• เที่ยว #เวียดนามใต้ #โฮจิมินห์ #บาเด็น 😍
    เริ่มต้น 5,995 🔥🔥

    🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน
    ✈ QH-แบมบูแอร์เวส์
    🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐

    📍 กระเช้า Sun World
    📍 เขาบาเดน
    📍 เจ้าแม่กวนอิมยอดเขา
    📍 โบสถ์นอร์ทเธอดัม
    📍 ไปรษณีย์กลางไซง่อน
    📍 อนุสาวรีย์อดีตประธานาธิปดีโฮจิมินห์
    📍 ถนนคนเดินเหงียนเว้
    📍 Cafe Apartment

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    ☎️: 021166395

    #ทัวร์เวียดนามใต้ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยว #เวียดนามใต้ #โฮจิมินห์ #บาเด็น 😍 เริ่มต้น 5,995 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน ✈ QH-แบมบูแอร์เวส์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 กระเช้า Sun World 📍 เขาบาเดน 📍 เจ้าแม่กวนอิมยอดเขา 📍 โบสถ์นอร์ทเธอดัม 📍 ไปรษณีย์กลางไซง่อน 📍 อนุสาวรีย์อดีตประธานาธิปดีโฮจิมินห์ 📍 ถนนคนเดินเหงียนเว้ 📍 Cafe Apartment รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เวียดนามใต้ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 0 Reviews
  • เตโชแอร์พอร์ต สนามบินใหม่พนมเปญ

    แม้ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช (Techo International Airport หรือ KTI) ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเลื่อนเปิดให้บริการออกไป เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินพบว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สนามบินแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังจะทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ ซึ่งมีอายุกว่า 66 ปี บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ ใจกลางเมืองหลวงของกัมพูชา ด้วยความทันสมัยในฐานะท่าอากาศยานนานาชาติระดับ 4F บนพื้นที่ 2,600 เฮกตาร์ ใหญ่กว่าท่าอากาศยานเดิมกว่า 6 เท่า ซึ่งเฟสแรกรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15 ล้านคนต่อปี

    โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) กับบริษัท โอเวอร์ซีส์ แคมโบเดียน อินเวสต์เมนต์ คอร์ปฯ (OCIC Group) ของมหาเศรษฐีกัมพูชาเชื้อสายจีน ปง เคียวแซ (Pung Kheav Se) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกันดาล ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ 3 เส้น ยาว 4,000 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัทเซี่ยงไฮ้ เป่าเย่ กรุ๊ป คอร์ปฯ รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380-800 โบอิ้ง 747-800 พร้อมหอควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) สูง 118 เมตร

    สถาปัตยกรรมอาคารผู้โดยสาร ออกแบบโดย บริษัทฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ จากอังกฤษ ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอนสตรัคชัน เติร์ด เอนจิเนียริง บูโร ประเทศจีน ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารส่วนกลาง พร้อมเสารูปทรงแอโรฟอยล์หรือปีกนก ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง มีประตูขึ้นเครื่อง 22 ประตู รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ 40 ลำ หลังคาโดมโครงสร้างเหล็ก สูง 36 เมตร พร้อมตะแกรงกรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างในอาคาร ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,000 แผง และศูนย์กลางระบบผลิตไฟฟ้า (Energy Center) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับระบบปรับอากาศได้ 7,800 กิโลวัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 120 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ประมาณ 100,000 ตัน

    ในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ (PNH) มีเที่ยวบินทั้งหมด 41,022 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 4,746,000 คน โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ (BKK) มากที่สุด 88 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รองลงมาคือกว่างโจว ประเทศจีน (CAN) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (KUL) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (SGN) และสิงคโปร์ (SIN) หลังการย้ายสนามบินไปยังสถานที่แห่งใหม่ สนามบินเดิมรัฐบาลกัมพูชาจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ภายใต้การดูแลของ SSCA โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ยืนยันว่ายังไม่ขายให้แก่ผู้สนใจแต่อย่างใด

    #Newskit
    เตโชแอร์พอร์ต สนามบินใหม่พนมเปญ แม้ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช (Techo International Airport หรือ KTI) ทางตอนใต้ของกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จะเลื่อนเปิดให้บริการออกไป เพราะผู้เชี่ยวชาญประเมินพบว่ามีงานที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่สนามบินแห่งใหม่ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2563 ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังจะทดแทนท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ ซึ่งมีอายุกว่า 66 ปี บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ ใจกลางเมืองหลวงของกัมพูชา ด้วยความทันสมัยในฐานะท่าอากาศยานนานาชาติระดับ 4F บนพื้นที่ 2,600 เฮกตาร์ ใหญ่กว่าท่าอากาศยานเดิมกว่า 6 เท่า ซึ่งเฟสแรกรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 15 ล้านคนต่อปี โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชา โดยสำนักงานเลขาธิการการบินพลเรือนแห่งรัฐ (SSCA) กับบริษัท โอเวอร์ซีส์ แคมโบเดียน อินเวสต์เมนต์ คอร์ปฯ (OCIC Group) ของมหาเศรษฐีกัมพูชาเชื้อสายจีน ปง เคียวแซ (Pung Kheav Se) ตั้งอยู่ที่จังหวัดกันดาล ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางทิศใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร มีทางวิ่งหรือรันเวย์ 3 เส้น ยาว 4,000 เมตร ก่อสร้างโดย บริษัทเซี่ยงไฮ้ เป่าเย่ กรุ๊ป คอร์ปฯ รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น แอร์บัส A380-800 โบอิ้ง 747-800 พร้อมหอควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) สูง 118 เมตร สถาปัตยกรรมอาคารผู้โดยสาร ออกแบบโดย บริษัทฟอสเตอร์ แอนด์ พาร์ตเนอร์ จากอังกฤษ ก่อสร้างโดยบริษัท ไชน่า คอนสตรัคชัน เติร์ด เอนจิเนียริง บูโร ประเทศจีน ประกอบด้วยอาคารผู้โดยสารส่วนกลาง พร้อมเสารูปทรงแอโรฟอยล์หรือปีกนก ที่อยู่ด้านข้างทั้งสองข้าง มีประตูขึ้นเครื่อง 22 ประตู รองรับเครื่องบินขนาดกลางได้ 40 ลำ หลังคาโดมโครงสร้างเหล็ก สูง 36 เมตร พร้อมตะแกรงกรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างในอาคาร ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,000 แผง และศูนย์กลางระบบผลิตไฟฟ้า (Energy Center) สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ใช้กับระบบปรับอากาศได้ 7,800 กิโลวัตต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 120 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ประมาณ 100,000 ตัน ในปี 2567 ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ (PNH) มีเที่ยวบินทั้งหมด 41,022 เที่ยวบิน ผู้โดยสารรวม 4,746,000 คน โดยมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ สุวรรณภูมิ (BKK) มากที่สุด 88 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ รองลงมาคือกว่างโจว ประเทศจีน (CAN) กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย (KUL) โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม (SGN) และสิงคโปร์ (SIN) หลังการย้ายสนามบินไปยังสถานที่แห่งใหม่ สนามบินเดิมรัฐบาลกัมพูชาจะเก็บรักษาไว้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ภายใต้การดูแลของ SSCA โดยนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุน มาเนต ยืนยันว่ายังไม่ขายให้แก่ผู้สนใจแต่อย่างใด #Newskit
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • ครบรอบ 50ปี กรุงไซ่ง่อนแตก

    วันนี้เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) กองทัพเวียดนามเหนือสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จตามแผนการรุกฤดูใบไม้ผลิ 1975 ของนายพลวันเทียนดุง อันเป็นจุดจบของสงครามเวียดนามโดยสมบูรณ์แบบ

    ในวันนั้นได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ออกจากไซ่ง่อนในปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์โดยรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมีการอพยพประชาชนชาวเวียดนามใต้ที่ทำงานให้กับรัฐบาลสหรัฐฯพร้อมครอบครัวและเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯออกจากเวียดนามใต้ จนเกิดเหตุการณ์ที่ต้องทิ้งเฮลิคอปเตอร์ลงทะเลเพื่อเคลียร์รันเวย์บนเรือบรรทุกเครื่องบิน

    เวลา 11:30น. กองทัพเวียดนามเหนือหน่วยแรกสามารถพังประตูทำเนียบอิสรภาพได้ด้วยรถถัง T-54 หมายเลข 390

    ในเวลา 15:30น. นายพลเตรือง วัน มินห์ ประธานาธิบดีคนสุดท้ายแห่งเวียดนามใต้ที่พึ่งดำรงต่ำแหน่งมาได้แค่สามวันได้ถูกจับกุมและได้ประกาศออกทางวิทยุให้รัฐบาลเวียดนามใต้หมดอำนาจและให้กองทัพวางอาวุธ จนทำให้สงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาถึง 19ปีได้ยุติลงด้วยชัยชนะเด็ดขาดของเวียดนามใต้ต่อโลกเสรี

    เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…สาเหตุที่แท้จริงของความพ่ายแพ้ของเวียดนามใต้เกิดจากการที่รัฐบาลขาดเสถียรภาพในการบริหารประเทศ รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นทุกระหนระแหง และการแทรกแซงทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาทั้งเรื่องบริหารประเทศโดยเฉพาะเรื่องการสู้รบกับกองกำลังเวียดกง ซึ่งข้อนี้ก็คือ นับตั้งแต่กองทัพสหรัฐฯเข้าสู่สงครามเวียดนามเต็มรูปแบบในปี ค.ศ.1967 กองทัพสหรัฐฯไม่เคยให้ทหารเวียดนามใต้ร่วมต่อสู้ด้วยเลย

    ความจริงข้อนี้ได้ประจักษ์เมื่อกองทัพเวียดนามใต้เปิดปฏิบัติการลามซอน 719 เพื่อบุกเข้าไปในลาวเพื่อทำลายเส้นทางโฮจิมินห์ แม้ว่าพวกเขาจะมีกระสุนปืน, ปืนใหญ่, รถถัง, และอากาศยานรบสนับสนุนตลอดเวลา แต่เพราะพวกเขาขาดขวัญและกำลังใจที่จะรบมานาน ทำให้ปฏิบัติการครั้งนั้นกองทัพเวียดนามใต้แพ้หมดรูปและต้องวิ่งหนีกลับประเทศไป โดยต้องทิ้งอาวุธให้แก่ฝ่ายเวียดกงไว้เบื้องหลังเป็นจำนวนมาก
    ครบรอบ 50ปี กรุงไซ่ง่อนแตก วันนี้เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) กองทัพเวียดนามเหนือสามารถยึดกรุงไซ่ง่อนได้สำเร็จตามแผนการรุกฤดูใบไม้ผลิ 1975 ของนายพลวันเทียนดุง อันเป็นจุดจบของสงครามเวียดนามโดยสมบูรณ์แบบ ในวันนั้นได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ออกจากไซ่ง่อนในปฏิบัติการฟรีเควียนท์วินด์โดยรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมีการอพยพประชาชนชาวเวียดนามใต้ที่ทำงานให้กับรัฐบาลสหรัฐฯพร้อมครอบครัวและเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯออกจากเวียดนามใต้ จนเกิดเหตุการณ์ที่ต้องทิ้งเฮลิคอปเตอร์ลงทะเลเพื่อเคลียร์รันเวย์บนเรือบรรทุกเครื่องบิน เวลา 11:30น. กองทัพเวียดนามเหนือหน่วยแรกสามารถพังประตูทำเนียบอิสรภาพได้ด้วยรถถัง T-54 หมายเลข 390 ในเวลา 15:30น. นายพลเตรือง วัน มินห์ ประธานาธิบดีคนสุดท้ายแห่งเวียดนามใต้ที่พึ่งดำรงต่ำแหน่งมาได้แค่สามวันได้ถูกจับกุมและได้ประกาศออกทางวิทยุให้รัฐบาลเวียดนามใต้หมดอำนาจและให้กองทัพวางอาวุธ จนทำให้สงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลาถึง 19ปีได้ยุติลงด้วยชัยชนะเด็ดขาดของเวียดนามใต้ต่อโลกเสรี เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…สาเหตุที่แท้จริงของความพ่ายแพ้ของเวียดนามใต้เกิดจากการที่รัฐบาลขาดเสถียรภาพในการบริหารประเทศ รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นทุกระหนระแหง และการแทรกแซงทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาทั้งเรื่องบริหารประเทศโดยเฉพาะเรื่องการสู้รบกับกองกำลังเวียดกง ซึ่งข้อนี้ก็คือ นับตั้งแต่กองทัพสหรัฐฯเข้าสู่สงครามเวียดนามเต็มรูปแบบในปี ค.ศ.1967 กองทัพสหรัฐฯไม่เคยให้ทหารเวียดนามใต้ร่วมต่อสู้ด้วยเลย ความจริงข้อนี้ได้ประจักษ์เมื่อกองทัพเวียดนามใต้เปิดปฏิบัติการลามซอน 719 เพื่อบุกเข้าไปในลาวเพื่อทำลายเส้นทางโฮจิมินห์ แม้ว่าพวกเขาจะมีกระสุนปืน, ปืนใหญ่, รถถัง, และอากาศยานรบสนับสนุนตลอดเวลา แต่เพราะพวกเขาขาดขวัญและกำลังใจที่จะรบมานาน ทำให้ปฏิบัติการครั้งนั้นกองทัพเวียดนามใต้แพ้หมดรูปและต้องวิ่งหนีกลับประเทศไป โดยต้องทิ้งอาวุธให้แก่ฝ่ายเวียดกงไว้เบื้องหลังเป็นจำนวนมาก
    0 Comments 0 Shares 487 Views 0 Reviews
  • มาเลย์ถกไทย ทำรถไฟแพนเอเชีย

    หลังจากการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ล่าสุด นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย มีกำหนดพบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในวันที่ 2 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย (PARN) และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาคการขนส่ง

    โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการหารือ ได้แก่ การก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 ระหว่างด่าน ICQS รันเตาปันยัง รัฐกลันตัน กับด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส การก่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่าน ICQS บูกิตกายูฮีตัม รัฐเคดะห์ กับด่านพรมแดนสะเดาแห่งใหม่ จ.สงขลา ถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านปะลิสกับจังหวัดสตูล ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาทางรถไฟทั่วโลก โดยตระหนักถึงโอกาสสำคัญของทางรถไฟในแต่ละประเทศ และบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค

    การประชุมครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนรถไฟระหว่างสองประเทศ ซึ่งขณะนี้จำกัดอยู่เพียงการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความร่วมมือระหว่างการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่การยกระดับความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายรถไฟระหว่างมาเลเซียและไทย จะสามารถเปิดเส้นทางข้ามอาเซียนและจีนได้ นำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลให้กับภูมิภาคอาเซียน

    มีรายงานว่า มาเลเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการค้าฮาลาลระหว่างมาเลเซียและจีน ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ยังสนับสนุนโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเปิดตลาดในจีนตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคมองโกเลียใน ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียร่วมกับไทยและพันธมิตรจากจีน เปิดตัวโครงการ Asean Express นำร่องขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านประเทศไทยและลาว โดยใช้เวลาเพียง 9 วัน

    สำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย มีจุดเริ่มต้นจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ 1. คุนหมิง–ต้าหลี่-รุ่ยลี่-ย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ 2. คุนหมิง–ยวี่ซี-โม่หาน-เวียงจันทน์–กรุงเทพฯ 3. คุนหมิง–ยวี่ซี–เหอโขว่-ฮานอย-โฮจิมินห์-พนมเปญ-กรุงเทพฯ จากนั้นลงสู่ทางใต้ ผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางประเทศสิงคโปร์

    #Newskit
    มาเลย์ถกไทย ทำรถไฟแพนเอเชีย หลังจากการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) และหารือติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับความร่วมมือไทย-มาเลเซีย ระหว่างวันที่ 17-18 เม.ย. ล่าสุด นายแอนโทนี่ โลค รมว.คมนาคมมาเลเซีย มีกำหนดพบกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในวันที่ 2 พ.ค. เพื่อหารือเกี่ยวกับการสร้างโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย (PARN) และเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาคการขนส่ง โดยโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการหารือ ได้แก่ การก่อสร้างสะพานสุไหงโก-ลกแห่งที่ 2 ระหว่างด่าน ICQS รันเตาปันยัง รัฐกลันตัน กับด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส การก่อสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างด่าน ICQS บูกิตกายูฮีตัม รัฐเคดะห์ กับด่านพรมแดนสะเดาแห่งใหม่ จ.สงขลา ถนนเชื่อมต่อระหว่างด่านปะลิสกับจังหวัดสตูล ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นในการพัฒนาทางรถไฟทั่วโลก โดยตระหนักถึงโอกาสสำคัญของทางรถไฟในแต่ละประเทศ และบทบาทในการเสริมสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค การประชุมครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างความร่วมมือในภาคส่วนรถไฟระหว่างสองประเทศ ซึ่งขณะนี้จำกัดอยู่เพียงการใช้งานภายในประเทศเท่านั้น แม้จะมีความร่วมมือระหว่างการรถไฟมาลายา (KTM Berhad) กับการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว แต่การยกระดับความร่วมมือนี้จะนำไปสู่ระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟเชิงยุทธศาสตร์เกิดขึ้นได้ การเชื่อมโยงเครือข่ายรถไฟระหว่างมาเลเซียและไทย จะสามารถเปิดเส้นทางข้ามอาเซียนและจีนได้ นำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลให้กับภูมิภาคอาเซียน มีรายงานว่า มาเลเซียกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการค้าฮาลาลระหว่างมาเลเซียและจีน ระหว่างประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนี้ ยังสนับสนุนโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย โดยเน้นย้ำถึงศักยภาพในการเปิดตลาดในจีนตะวันตก โดยเฉพาะในภูมิภาคมองโกเลียใน ก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มาเลเซียร่วมกับไทยและพันธมิตรจากจีน เปิดตัวโครงการ Asean Express นำร่องขนส่งสินค้าทางรถไฟไปยังเมืองฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ผ่านประเทศไทยและลาว โดยใช้เวลาเพียง 9 วัน สำหรับโครงข่ายรถไฟสายแพนเอเชีย มีจุดเริ่มต้นจากนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แบ่งเป็น 3 สาย ได้แก่ 1. คุนหมิง–ต้าหลี่-รุ่ยลี่-ย่างกุ้ง-กรุงเทพฯ 2. คุนหมิง–ยวี่ซี-โม่หาน-เวียงจันทน์–กรุงเทพฯ 3. คุนหมิง–ยวี่ซี–เหอโขว่-ฮานอย-โฮจิมินห์-พนมเปญ-กรุงเทพฯ จากนั้นลงสู่ทางใต้ ผ่านประเทศมาเลเซีย ปลายทางประเทศสิงคโปร์ #Newskit
    0 Comments 0 Shares 635 Views 0 Reviews
  • ชุมชนเล็กๆของญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ในเขตเล ทานห์ โตน (Lê Thánh Tôn) นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
    ชุมชนเล็กๆของญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่ในเขตเล ทานห์ โตน (Lê Thánh Tôn) นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 859 Views 23 1 Reviews
  • สายแรกที่รอคอย รถไฟฟ้าโฮจิมินห์

    22 ธ.ค.2567 รถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม สาย 1 เบนถั่น-เซื่อยเตียน (Ben Thanh-Suoi Tien) ขององค์การบริหารรถไฟเขตเมืองนครโฮจิมินห์ (HCMC METRO) จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป นับเป็นรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ และเป็นเมืองที่สองต่อจากเมืองหลวง กรุงฮานอยที่มี 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2A ก๊าตลีง-ห่าโดง (Cat Linh-Ha Dong) และสาย 3 เญิน-ฮานอย (Nhon-Ha Noi)

    รถไฟฟ้าสายนี้มีระยะทาง 19.7 กิโลเมตร 14 สถานี เชื่อมระหว่างตลาดเบนถั่น ย่านการค้าที่มีชื่อเสียง ถึงปลายทางฝั่งตะวันออกของเมือง ผ่านสถานที่สำคัญ ได้แก่ โรงอุปรากรไซ่ง่อน (Saigon Opera House), ศูนย์การค้าวินคอม เมกา มอลล์, นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค, สถานีขนส่งเมียนดง (ตะวันออก), สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยแห่งชาติ โดยให้บริการผู้โดยสารฟรี 30 วัน ถึงวันที่ 20 ม.ค.2568 ในช่วง 6 เดือนแรกเปิดตั้งแต่เวลา 05.00-22.00 น. ความถี่ 8-12 นาทีต่อเที่ยว หลังจากนั้นจะเปิดเวลา 05.00-23.30 น. ความถี่ 5-10-15 นาที

    ค่าโดยสารคิดตามระยะทาง ตั๋วเที่ยวเดียวเริ่มต้นที่ 7,000-20,000 ดอง (9.41-26.89 บาท) ตั๋ว 1 วันราคา 40,000 ดอง (53.77 บาท) ตั๋ว 3 วันราคา 90,000 ดอง (120.99 บาท) ตั๋วรายเดือนบุคคลทั่วไปราคา 300,000 ดอง (403.30 บาท) และนักเรียน นักศึกษาราคา 150,000 ดอง (201.65 บาท) รับชำระด้วยเงินสดหรือบัตร EMV (Mastercard หรือ VISA) ทั้งบัตรในเวียดนามและบัตรต่างประเทศ รวมทั้งซื้อตั๋วและออกรหัส QR Code ผ่านแอปพลิเคชัน HCMC Metro

    โครงการก่อสร้างอนุมัติครั้งแรกในปี 2550 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน เริ่มก่อสร้างทางรถไฟยกระดับช่วงสถานีบาเซิน (Ba Son) ถึงสถานีวานถั่น (Van Thanh) เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2555 แต่ประสบปัญหาเวนคืนที่ดิน ต่อมาในเดือน ก.ค. 2557 ก่อสร้างสถานีใต้ดินโอเปร่าเฮาส์ (Opera House) เดือน พ.ค.2560 เริ่มขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน ส่วนทางรถไฟยกระดับ 11 สถานี เริ่มติดตั้งคานในปี 2558 ใช้เวลาประมาณ 2 ปี

    ที่ผ่านมาประสบปัญหาทั้งขาดแคลนเงินทุน สถานการณ์โควิด-19 และแผ่นยางรองคอสะพานหลุดออกมา กระทั่ง 8 ต.ค.2563 รถไฟฟ้าขบวนแรกจากประเทศญี่ปุ่นมาถึงท่าเรือคั้ญฮอย (Khanh Hoi) ทยอยนำเข้าครบ 17 ขบวนเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2565 การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จช่วงปลายปี ทดลองเดินรถครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2565 มีการฝึกอบรมให้กับทีมปฏิบัติการและซ้อมรับมือเหตุการณ์ต่างๆ สุดท้าย HCMC METRO ประกาศเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2567 ว่าแล้วเสร็จ 100% ก่อนแจ้งเปิดให้บริการในที่สุด

    #Newskit
    สายแรกที่รอคอย รถไฟฟ้าโฮจิมินห์ 22 ธ.ค.2567 รถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม สาย 1 เบนถั่น-เซื่อยเตียน (Ben Thanh-Suoi Tien) ขององค์การบริหารรถไฟเขตเมืองนครโฮจิมินห์ (HCMC METRO) จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป นับเป็นรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ และเป็นเมืองที่สองต่อจากเมืองหลวง กรุงฮานอยที่มี 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2A ก๊าตลีง-ห่าโดง (Cat Linh-Ha Dong) และสาย 3 เญิน-ฮานอย (Nhon-Ha Noi) รถไฟฟ้าสายนี้มีระยะทาง 19.7 กิโลเมตร 14 สถานี เชื่อมระหว่างตลาดเบนถั่น ย่านการค้าที่มีชื่อเสียง ถึงปลายทางฝั่งตะวันออกของเมือง ผ่านสถานที่สำคัญ ได้แก่ โรงอุปรากรไซ่ง่อน (Saigon Opera House), ศูนย์การค้าวินคอม เมกา มอลล์, นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค, สถานีขนส่งเมียนดง (ตะวันออก), สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยแห่งชาติ โดยให้บริการผู้โดยสารฟรี 30 วัน ถึงวันที่ 20 ม.ค.2568 ในช่วง 6 เดือนแรกเปิดตั้งแต่เวลา 05.00-22.00 น. ความถี่ 8-12 นาทีต่อเที่ยว หลังจากนั้นจะเปิดเวลา 05.00-23.30 น. ความถี่ 5-10-15 นาที ค่าโดยสารคิดตามระยะทาง ตั๋วเที่ยวเดียวเริ่มต้นที่ 7,000-20,000 ดอง (9.41-26.89 บาท) ตั๋ว 1 วันราคา 40,000 ดอง (53.77 บาท) ตั๋ว 3 วันราคา 90,000 ดอง (120.99 บาท) ตั๋วรายเดือนบุคคลทั่วไปราคา 300,000 ดอง (403.30 บาท) และนักเรียน นักศึกษาราคา 150,000 ดอง (201.65 บาท) รับชำระด้วยเงินสดหรือบัตร EMV (Mastercard หรือ VISA) ทั้งบัตรในเวียดนามและบัตรต่างประเทศ รวมทั้งซื้อตั๋วและออกรหัส QR Code ผ่านแอปพลิเคชัน HCMC Metro โครงการก่อสร้างอนุมัติครั้งแรกในปี 2550 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน เริ่มก่อสร้างทางรถไฟยกระดับช่วงสถานีบาเซิน (Ba Son) ถึงสถานีวานถั่น (Van Thanh) เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2555 แต่ประสบปัญหาเวนคืนที่ดิน ต่อมาในเดือน ก.ค. 2557 ก่อสร้างสถานีใต้ดินโอเปร่าเฮาส์ (Opera House) เดือน พ.ค.2560 เริ่มขุดเจาะอุโมงค์ใต้ดิน ส่วนทางรถไฟยกระดับ 11 สถานี เริ่มติดตั้งคานในปี 2558 ใช้เวลาประมาณ 2 ปี ที่ผ่านมาประสบปัญหาทั้งขาดแคลนเงินทุน สถานการณ์โควิด-19 และแผ่นยางรองคอสะพานหลุดออกมา กระทั่ง 8 ต.ค.2563 รถไฟฟ้าขบวนแรกจากประเทศญี่ปุ่นมาถึงท่าเรือคั้ญฮอย (Khanh Hoi) ทยอยนำเข้าครบ 17 ขบวนเมื่อวันที่ 6 พ.ค.2565 การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จช่วงปลายปี ทดลองเดินรถครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2565 มีการฝึกอบรมให้กับทีมปฏิบัติการและซ้อมรับมือเหตุการณ์ต่างๆ สุดท้าย HCMC METRO ประกาศเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2567 ว่าแล้วเสร็จ 100% ก่อนแจ้งเปิดให้บริการในที่สุด #Newskit
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 809 Views 0 Reviews
  • เจือง หมี ลาน ประธานบริษัท Van Thinh  เศรษฐีนี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 68 ปีของเวียดนาม ถูกศาลปฏิเสธคำอุทธรณ์ในคดีอยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ  และยังคงยืนโทษประหารชีวิต ดังนั้นในเวลานี้ ทางรอดเพียงทางเดียวของเธอคือการหาเงินมาจ่ายคืนรัฐ เพราะตามกฎหมายเวียดนาม เธอยังคงมีโอกาสลดโทษประหารชีวิตลงได้ หากสามารถชดใช้เงินจำนวน 75% ของที่เธอฉ้อโกงไป ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยศาลจะลดโทษให้เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตแทนเว็บไซต์ของรัฐบาลระบุว่า ลานถูกกล่าวหาว่าจัดทำเอกสารขอสินเชื่อปลอมเพื่อถอนเงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank ที่เธอถือหุ้นมากกว่า 90% ของธนาคาร “ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2561 ถึงวันที่ 7 ต.ค. 2565 เจือง หมี ลาน ได้ออกคำสั่งให้ทำใบสมัครขอสินเชื่อปลอม 916 รายการ ที่จัดสรรเงินไปมากกว่า 204 ล้านล้านด่ง (12,500 ล้านดอลลาร์) จากธนาคาร Saigon Commercial Bank” รายงานระบุนอกจากเจือง หมี ลาน แล้ว ยังมีผู้ต้องหาอีก 85 ราย รวมถึงอดีตเจ้าหน้าธนาคารแห่งชาติเวียดนาม ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนมูลค่า 5.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกพิจารณาคดีที่ศาลในนครโฮจิมินห์ด้วยเช่นกันทั้งนี้ มูลค่าของทรัพย์สินที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกไปนั้นเทียบเท่าประมาณ 3% ของจีดีพีของเวียดนามในปี 2565 ซึ่งทำให้คดีนี้เป็นหนึ่งในอาชญากรรมทางการเงินที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศบริษัท Van Thinh Phat ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 โดยเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และอพาร์ทเม้นต์หรู และยังลงทุนในบริการทางการเงินอีกด้วยเวียดนามดำเนินการปราบปรามเจ้าหน้าที่ทุจริตคอร์รัปชั่น และสมาชิกของกลุ่มธุรกิจชั้นนำของประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการกวาดล้างดังกล่าวถูกผลักดันโดยเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ในเดือนก่อนยังเรียกร้องให้ดำเนินการกวาดล้างให้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2564 มีผู้ถูกฟ้องมากกว่า 3,500 คน ในคดีรับสินบนมากกว่า 1,300 คดี 
    เจือง หมี ลาน ประธานบริษัท Van Thinh  เศรษฐีนี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วัย 68 ปีของเวียดนาม ถูกศาลปฏิเสธคำอุทธรณ์ในคดีอยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ  และยังคงยืนโทษประหารชีวิต ดังนั้นในเวลานี้ ทางรอดเพียงทางเดียวของเธอคือการหาเงินมาจ่ายคืนรัฐ เพราะตามกฎหมายเวียดนาม เธอยังคงมีโอกาสลดโทษประหารชีวิตลงได้ หากสามารถชดใช้เงินจำนวน 75% ของที่เธอฉ้อโกงไป ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยศาลจะลดโทษให้เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตแทนเว็บไซต์ของรัฐบาลระบุว่า ลานถูกกล่าวหาว่าจัดทำเอกสารขอสินเชื่อปลอมเพื่อถอนเงินจากธนาคาร Saigon Commercial Bank ที่เธอถือหุ้นมากกว่า 90% ของธนาคาร “ตั้งแต่วันที่ 9 ก.พ. 2561 ถึงวันที่ 7 ต.ค. 2565 เจือง หมี ลาน ได้ออกคำสั่งให้ทำใบสมัครขอสินเชื่อปลอม 916 รายการ ที่จัดสรรเงินไปมากกว่า 204 ล้านล้านด่ง (12,500 ล้านดอลลาร์) จากธนาคาร Saigon Commercial Bank” รายงานระบุนอกจากเจือง หมี ลาน แล้ว ยังมีผู้ต้องหาอีก 85 ราย รวมถึงอดีตเจ้าหน้าธนาคารแห่งชาติเวียดนาม ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนมูลค่า 5.2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกพิจารณาคดีที่ศาลในนครโฮจิมินห์ด้วยเช่นกันทั้งนี้ มูลค่าของทรัพย์สินที่ถูกกล่าวหาว่ายักยอกไปนั้นเทียบเท่าประมาณ 3% ของจีดีพีของเวียดนามในปี 2565 ซึ่งทำให้คดีนี้เป็นหนึ่งในอาชญากรรมทางการเงินที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศบริษัท Van Thinh Phat ก่อตั้งขึ้นในปี 2535 โดยเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และอพาร์ทเม้นต์หรู และยังลงทุนในบริการทางการเงินอีกด้วยเวียดนามดำเนินการปราบปรามเจ้าหน้าที่ทุจริตคอร์รัปชั่น และสมาชิกของกลุ่มธุรกิจชั้นนำของประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยการกวาดล้างดังกล่าวถูกผลักดันโดยเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ในเดือนก่อนยังเรียกร้องให้ดำเนินการกวาดล้างให้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2564 มีผู้ถูกฟ้องมากกว่า 3,500 คน ในคดีรับสินบนมากกว่า 1,300 คดี 
    0 Comments 0 Shares 532 Views 0 Reviews
  • 🍭 เก็บครบทุกสถานที่ไฮไลท์เริ่มเดินทางจากแหลมฉบัง ประเทศไทย ก่อนมุ่งหน้าสู่ ฮ่องกง แวะเยี่ยมชม นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เดินทาง 1 ได้ถึง 2 ทั้งล่องเรือและทัวร์บก 🕍💨

    🚢 ล่องเรือสำราญ Costa Serena (ขึ้นแหลมฉบัง-ลงฮ่องกง) (3 Plus B) 7 วัน 6 คืน

    📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูหมี, โฮจิมินห์ เที่ยว วัดเทียนหาว - ไปรษณีย์กลาง - โบสถ์นอร์ทเธอดาม - ช้อปปิ้งตลาดเบนถัน - ฮ่องกง - วัดแชกงหมิว - Jewelry Factory - ช้อปปิ้งที่ย่าน Tsim Sha Tsui

    💬 เดินทาง 22-28 ก.พ. 68

    💵 ราคาเริ่มต้น : ฿34,999 🚨‼️

    ✔️ รวมตั๋วเครื่องบินขากลับ และรวมเที่ยว
    ✔️ มีหัวหน้าทัวร์ดูแล
    ✔️ รวมอาหารทุกมื้อบนเรือ

    📢 รหัสแพคเกจทัวร์ : COST-SL-7D6N-LCH-HKG-2502221
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/edc5da

    ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือCOSTA #เรือCostaSerena #CostaSerena #Costa #Hongkong #ฮ่องกง #แพ็คเกจเรือล่องเรือสำราญ #Vietnam #Phumy #BenThanhMarket #CruiseDomain#thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    อ่านน้อยลง
    🍭 เก็บครบทุกสถานที่ไฮไลท์เริ่มเดินทางจากแหลมฉบัง ประเทศไทย ก่อนมุ่งหน้าสู่ ฮ่องกง แวะเยี่ยมชม นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เดินทาง 1 ได้ถึง 2 ทั้งล่องเรือและทัวร์บก 🕍💨 🚢 ล่องเรือสำราญ Costa Serena (ขึ้นแหลมฉบัง-ลงฮ่องกง) (3 Plus B) 7 วัน 6 คืน 📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูหมี, โฮจิมินห์ เที่ยว วัดเทียนหาว - ไปรษณีย์กลาง - โบสถ์นอร์ทเธอดาม - ช้อปปิ้งตลาดเบนถัน - ฮ่องกง - วัดแชกงหมิว - Jewelry Factory - ช้อปปิ้งที่ย่าน Tsim Sha Tsui 💬 เดินทาง 22-28 ก.พ. 68 💵 ราคาเริ่มต้น : ฿34,999 🚨‼️ ✔️ รวมตั๋วเครื่องบินขากลับ และรวมเที่ยว ✔️ มีหัวหน้าทัวร์ดูแล ✔️ รวมอาหารทุกมื้อบนเรือ 📢 รหัสแพคเกจทัวร์ : COST-SL-7D6N-LCH-HKG-2502221 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/edc5da ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือCOSTA #เรือCostaSerena #CostaSerena #Costa #Hongkong #ฮ่องกง #แพ็คเกจเรือล่องเรือสำราญ #Vietnam #Phumy #BenThanhMarket #CruiseDomain#thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ อ่านน้อยลง
    0 Comments 0 Shares 1808 Views 0 Reviews
  • 📢 ล่องเรือสำราญจากประเทศไทย สัมผัสความงดงามของท้องทะเลจากบนเรือ Costa Serena เส้นทางยอดฮิตที่ไม่อยากให้พลาด อัพเดตโปรโมชั่นและราคาล่าสุด ✨

    พีเรียดเดินทาง 💬

    ✔️ 15-19 ก.พ. 68 เส้นทาง แหลมฉบัง - ฟูก๊วก (ค้างคืน) - สมุย - แหลมฉบัง
    ✔️ 19-22 ก.พ. 68 เส้นทาง แหลมฉบัง - ฟูก๊วก - สมุย - แหลมฉบัง
    ✔️ 22-27 ก.พ. 68 เส้นทาง แหลมฉบัง - โฮจิมินห์ (ฟู่หมี) - ฮ่องกง

    ⭕️ รวมอาหารทุกมื้อ
    ⭕️ รวมห้องพักบนเรือสำราญ
    ⭕️ รวมภาษีท่าเรือ

    รายละเอียดต่างๆของเรือสำราญ Costa Serena ค่ะ
    https://www.cruisedomain.com/costa-serena-9th.php

    ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696 (Auto)

    #CostaSerena #แหลมฉบัง #ฟูก๊วก #เวียดนาม #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #โปรโมชั่นล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    📢 ล่องเรือสำราญจากประเทศไทย สัมผัสความงดงามของท้องทะเลจากบนเรือ Costa Serena เส้นทางยอดฮิตที่ไม่อยากให้พลาด อัพเดตโปรโมชั่นและราคาล่าสุด ✨ พีเรียดเดินทาง 💬 ✔️ 15-19 ก.พ. 68 เส้นทาง แหลมฉบัง - ฟูก๊วก (ค้างคืน) - สมุย - แหลมฉบัง ✔️ 19-22 ก.พ. 68 เส้นทาง แหลมฉบัง - ฟูก๊วก - สมุย - แหลมฉบัง ✔️ 22-27 ก.พ. 68 เส้นทาง แหลมฉบัง - โฮจิมินห์ (ฟู่หมี) - ฮ่องกง ⭕️ รวมอาหารทุกมื้อ ⭕️ รวมห้องพักบนเรือสำราญ ⭕️ รวมภาษีท่าเรือ รายละเอียดต่างๆของเรือสำราญ Costa Serena ค่ะ https://www.cruisedomain.com/costa-serena-9th.php ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #CostaSerena #แหลมฉบัง #ฟูก๊วก #เวียดนาม #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #โปรโมชั่นล่องเรือสำราญ #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 2025 Views 0 Reviews
  • 🚢 เปิดประสบการณ์ล่องเรือจากแหลมฉบัง ประเทศไทย !!
    พร้อมความสนุกสนานไร้ขีดจำกัด พบกับกิจกรรมมากมายบนเรือที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย
    ตั้งแต่โซนกิจกรรมสำหรับเด็กจนถึงกิจกรรมสำหรับผู้ใหญ่ ทุกความต้องการจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตลอดทริป ✨👨‍👩‍👧‍👦

    🚨 พร้อมโปรโมชั่น Early Bird 999 ท่านแรก ลด 1,000 ต่อท่าน
    ฟรี รถรับส่ง กรุงเทพฯ-ท่าเรือ-กรุงเทพฯ 🚨

    1. แพ็คเกจ Costa Serena, Cruise Only (ขึ้น-ลง แหลมฉบัง) 4 วัน 3 คืน 📢
    📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูก๊วก - สมุย - แหลมฉบัง
    💬 เดินทาง 19 - 22 ก.พ. 68

    2. แพ็คเกจ Costa Serena, Cruise Only (ขึ้น-ลง แหลมฉบัง) 5 วัน 4 คืน 📢
    📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูก๊วก (ค้างคืน) - สมุย - แหลมฉบัง
    💬 เดินทาง 15 - 19 ก.พ. 68

    3. แพ็คเกจ Costa Serena, Cruise Only (ขึ้นแหลมฉบัง / ลงฮ่องกง) 6 วัน 5 คืน 📢
    📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูหมี, โฮจิมินห์ - ฮ่องกง
    💬 เดินทาง 22 - 27 ก.พ. 68

    4. ทัวร์ล่องเรือสำราญ Costa Serena มีหัวหน้าทัวร์พาเที่ยวตลอดทริป 6 วัน 5 คืน 📢
    📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูหมี, โฮจิมินห์ - ฮ่องกง
    💬 เดินทาง 22 - 27 ก.พ. 68

    รายละเอียดเรือสำราญและห้องพัก
    https://cruisedomain.com/costa-serena-9th.php

    ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    ☎️: 0 2116 9696 (Auto)

    #Costa #CostaCruise #CostaSerena #เรือCostaSerena #เรือสำราญ #ล่องเรือสำราญ #แพ็คเกจเรือสำราญ #แหลมฉบัง #LaemChabang #ฮ่องกง #Hongkong #เวียดนาม #Vietnam #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    🚢 เปิดประสบการณ์ล่องเรือจากแหลมฉบัง ประเทศไทย !! พร้อมความสนุกสนานไร้ขีดจำกัด พบกับกิจกรรมมากมายบนเรือที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่โซนกิจกรรมสำหรับเด็กจนถึงกิจกรรมสำหรับผู้ใหญ่ ทุกความต้องการจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตลอดทริป ✨👨‍👩‍👧‍👦 🚨 พร้อมโปรโมชั่น Early Bird 999 ท่านแรก ลด 1,000 ต่อท่าน ฟรี รถรับส่ง กรุงเทพฯ-ท่าเรือ-กรุงเทพฯ 🚨 1. แพ็คเกจ Costa Serena, Cruise Only (ขึ้น-ลง แหลมฉบัง) 4 วัน 3 คืน 📢 📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูก๊วก - สมุย - แหลมฉบัง 💬 เดินทาง 19 - 22 ก.พ. 68 2. แพ็คเกจ Costa Serena, Cruise Only (ขึ้น-ลง แหลมฉบัง) 5 วัน 4 คืน 📢 📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูก๊วก (ค้างคืน) - สมุย - แหลมฉบัง 💬 เดินทาง 15 - 19 ก.พ. 68 3. แพ็คเกจ Costa Serena, Cruise Only (ขึ้นแหลมฉบัง / ลงฮ่องกง) 6 วัน 5 คืน 📢 📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูหมี, โฮจิมินห์ - ฮ่องกง 💬 เดินทาง 22 - 27 ก.พ. 68 4. ทัวร์ล่องเรือสำราญ Costa Serena มีหัวหน้าทัวร์พาเที่ยวตลอดทริป 6 วัน 5 คืน 📢 📍 เส้นทาง : แหลมฉบัง - ฟูหมี, โฮจิมินห์ - ฮ่องกง 💬 เดินทาง 22 - 27 ก.พ. 68 รายละเอียดเรือสำราญและห้องพัก https://cruisedomain.com/costa-serena-9th.php ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #Costa #CostaCruise #CostaSerena #เรือCostaSerena #เรือสำราญ #ล่องเรือสำราญ #แพ็คเกจเรือสำราญ #แหลมฉบัง #LaemChabang #ฮ่องกง #Hongkong #เวียดนาม #Vietnam #CruiseDomain #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 2998 Views 0 Reviews
  • 🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน01🤠

    ในปี 1975 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

    แม้ว่าเวียดนามจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เวียดนามก็ค่อย ๆ พัฒนาโครงสร้างอำนาจสูงสุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทางการเมือง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ก่อให้เกิดสิ่งที่โลกภายนอกเรียกว่าโครงสร้าง "รถเทียมม้าสี่ตัว"

    สิ่งที่เรียกว่า"รถเทียมม้าสี่ตัว" กล่าวคือ มีสี่คนดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาเวียดนาม ตามลำดับ และแทบจะไม่มีปรากฏการณ์ทำงวนควบตำแหน่งเกิดขึ้นเลย

    นี่เป็นระบบสมดุลเหนือใต้ที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับองค์ประกอบของอำนาจ

    ไม่เพียงเท่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้นำจากทางเหนือจะทำหน้าที่เป็นเลขาธิการทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดกงจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของประเทศให้มีเสถียรภาพ

    และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำที่กระตือรือร้นใส่ใจในทางเศรษฐกิจซึ่งมาจากภาคใต้ รับผิดชอบงานเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ

    โครงสร้างอำนาจนี้ดูมีเสถียรภาพ แต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมกันหลายครั้งในแวดวงการเมืองเวียดนาม และไม่มีเสถียรภาพมากนัก ในขณะที่การปฏิรูปของเวียดนามยังคงลึกซึ้งยิ่งขึ้น การต่อสู้เพื่ออำนาจและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

    สิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้

    ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองของเวียดนามแสดงออกถึงความแตกแยก

    ทางตอนเหนือซึ่งมีฮานอยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง มีแนวโน้มไปทางลัทธิสังคมนิยมมากกว่า ในขณะที่ทางตอนใต้ที่มีโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเมืองไซง่อนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นสังคมทุนนิยมมากกว่า

    โฮจิมินห์ซิตี้ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามและเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนาม

    ภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันในเวียดนามก็เป็นสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย"รถเทียมม้าสี่ตัว"เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องคำนึงถึงภาคเหนือและภาคใต้ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้มักจะผลัดกันรับผิดชอบดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ,เวียดนามจะแตกแยกอีกไหม?

    ในความเป็นจริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เวียดนามอยู่ในยุคแห่งการแบ่งแยกและการเผชิญหน้าระหว่างเหนือและใต้มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการแตกแยกในระยะยาว ช่องว่างและความบาดหมางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนาม ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ

    หากดูแผนที่ของเวียดนามจะพบว่าภูมิประเทศของเวียดนามนั้นยาวและแคบ เป็นรูปตัว S มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 กิโลเมตร และจุดที่แคบที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตร เหมือนงูยาวที่เกาะอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน

    เนื่องจากลำตัวของงูยาวตัวนี้เรียวเกินไป จึงสามารถตัดที่เอวได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหนือและใต้

    ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน เวียดนามตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนมายาวนาน จนกระทั่งสมัยห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร(五代十国) เวียดนามถือโอกาสจากการแตกแยกล่มสลายของจีน ปลดตนเองจากการควบคุมของจีนและสถาปนาประเทศเอกราช

    บางทีอาจเป็นเพราะการแยกทางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาว เวียดนามยังเผชิญการเผชิญหน้าระหว่างเหนือ-ใต้เช่นเดียวกับราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ(南北朝)ของจีน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว

    ในปีคริสตศักราช 1428 จักรพรรดิเล ท้าย โต๋( Lê Thái Tổ 黎太祖)มีพระนามเดิมว่า เล เหล่ย (Lê Lợi, 黎利)ได้สถาปนาราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ขึ้นในเมืองทังล็อง(Thăng Long升龙)ซึ่งปัจจุบันคือฮานอย หนึ่งร้อยปีหลังจากการสถาปนาประเทศ เจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้มีอำนาจในราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้แย่งชิงบัลลังก์ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ และสังหารหมู่ตระกูลราชวงศ์ และสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์หมัก (เหนือ)( Nhà Mạc 莫朝)

    แต่ต่อมาขุนนางผู้ภักดี ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)แห่งราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้พบทายาทของราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ทางตอนใต้ของเวียดนาม ให้เคารพเขาในฐานะจักรพรรดิ และสถาปนาราชวงศ์ ราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝) ขึ้นมาใหม่ ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างระบอบการปกครองทางเหนือและทางใต้

    ในช่วงการแบ่งแยกเหนือใต้ ระบอบแบ่งแยกดินแดนในท้องถิ่นก็ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียอำนาจและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอำนาจทางการเมือง

    ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เวียดนามก็อยู่ในช่วงแห่งการแบ่งแยกเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือและภาคใต้ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะกำหนดผลลัพธ์ของการแพ้ชนะ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กำหนดเขตแดน ก่อให้เกิดสถานการณ์ของ ภาคใต้ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)และภาคเหนือตระกูลตรินห์(Trinh鄭)

    ผู้ปกครองเหงียน (Nguyen阮)ทางตอนใต้เติบโตในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 การปกครองของพวกเขากินเวลานานถึงสองศตวรรษและใช้มาตรการต่างๆ มากมายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ

    การต่อต้านและการแบ่งแยกโดยพฤตินัยนี้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รุนแรงขึ้น และยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่วัฒนธรรมของเวียดนามในรุ่นต่อ ๆ ไป

    เมื่อพูดถึงเวียดนามยังเป็นเช่นนี้ การแบ่งแยกภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาวย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและประเพณีความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายของประเทศในยามสงบอย่างแน่นอน

    อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศไม่มั่นคง ก็อาจเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่และสามารถถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายโดยผู้ที่มีเจตนาร้าย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้

    ในยุคปัจจุบัน เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามใต้และเวียดนามเหนืออีกครั้ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหนือ-ใต้โดยพฤตินัย

    แต่เช่นเดียวกับจีน เนื่องจากความเคยชินทางประวัติศาสตร์ เวียดนามมีประสบการณ์ในการรวมชาติเหนือและภาคใต้เข้าด้วยกัน พลังการรวมเข้าสู่ศูนย์กลางของชาติในประเทศนั้นแข็งแกร่งมาก และในที่สุดประเทศก็รวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงกลางทศวรรษ 1970

    แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซงของอาณานิคมของยุโรปและการมาถึงของยุคอาณานิคมทำให้การแบ่งแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น

    ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศสมีความสนใจเวียดนามดินแดนมหาสมบัติแห่งนี้ และขยายอาณาเขตอาณานิคมของตนมาถึงที่นี่ ในเวลานั้น รัฐบาลชิง(清)เป็นเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) ของเวียดนาม แต่ด้วยการลงนามใน “สนธิสัญญาเทียนจิน (The Treaty of Tianjin中法新約)” รัฐบาลชิง(清)ที่ล้าหลังและไร้ความสามารถถูกบังคับให้สละอำนาจของเจ้านครสมัยศักดินา (suzerainty宗主权)ของตน

    ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 ฝรั่งเศสและเวียดนามลงนามในสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของเวียดนามโดยสมบูรณ์ อาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน( Indochina印度支那) และการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคอาณานิคมของเวียดนาม

    เพื่อให้ปกครองอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวฝรั่งเศสจึงใช้กลยุทธ์ "แบ่งแยกและปกครอง"และแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เขตแดนตอนเหนือ.....ตังเกี๋ย (Tonkin东京) เขตแดนตอนกลาง.....อันนัม(Annam安南)และเขตแดนตอนใต้.....โคชินชินา(Cochinchina交趾支那)

    ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนตอนใต้ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง เขตแดนตอนกลางเป็นรัฐในอารักขา และเขตแดนตอนเหนือเป็นกึ่งอารักขา

    ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ฝรั่งเศสได้จัดตั้ง "ระบบการอารักขา(protectorate保护)" ในตังเกี๋ย (Tonkin东京)และอันนัม(Annam安南) ซึ่งอนุญาตให้ราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)ปกครองในนาม โดยแท้จริงแล้วจักรพรรดิได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว

    จากมุมมองของระบบการเมืองเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางใต้เป็นดินแดนภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง และทางเหนือเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส

    ด้วยการแทรกแซงของฝรั่งเศสความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ทางตอนเหนือส่วนใหญ่เป็นภูเขา

    ในขณะที่ภาคใต้มีภูมิประเทศที่ราบเรียบ และยังมีอ่าวทะเลธรรมชาติและสวยงามเหมาะกับท่าเรือมากมายหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่กองกำลังต่างชาติที่รุกรานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ในขณะที่กองกำลังต่อต้านแห่งชาติของเวียดนามกระจุกตัวอยู่ที่ภาคเหนือ

    ก่อนการมาถึงของฝรั่งเศส ระบบรัฐของเวียดนามเป็นแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังเป็นไปตามแบบอย่างของจีนในการคัดเลือกข้าราชการผ่านระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制) ระบบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชน และเรื่องของอุดมการณ์ยังคงเป็นวัฒนธรรมขงจื๊อแบบดั้งเดิม

    อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของนักล่าอาณานิคม อุดมการณ์ตัวหลักของเวียดนามก็ได้รับผลกระทบ และความแตกต่างในระดับภูมิภาคก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือเมื่อชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อุดมการณ์และวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

    ดังจะเห็นได้จากคาบสมุทรเกาหลีที่ภาคเหนือและภาคใต้ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่

    หลังจากที่ฝรั่งเศสสถาปนาการปกครองอาณานิคมแล้ว ฝรั่งเศสย่อมดำเนินนโยบายการดูดซึมหลอมสลายอาณานิคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยแพร่ความคิดอุดมการณ์และวัฒนธรรมของเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) และดำเนินการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เพื่อจัดหาอาวุธทางอุดมการณ์อันทรงพลังเพื่อเสริมสร้างและรวบรวมการปกครองให้เข้าด้วยกันของอาณานิคม

    ชาวฝรั่งเศสก็เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการควบคุมเวียดนามและฝึกอบรมนักแปล ฝรั่งเศสได้เปิดโรงเรียนสองภาษาในเวียดนามตอนใต้ และกำหนดนโยบาย "การดูดซึมหลอมสลาย" ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเตรียมขยายการศึกษาแนวรูปแบบฝรั่งเศสสมัยใหม่ไปยังทุกหนทุกแห่งของภาคใต้ .

    อย่างไรก็ตาม ทางภาคเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮) ดังนั้นการสอบคัดเลือกโดยการสอบของจักรพรรดิ(科举制)แบบดั้งเดิมจึงยังคงถูกนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ และการศึกษายังคงขึ้นอยู่กับระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)เป็นหลัก พลังของการศึกษาสไตล์แบบตะวันตกนั้นยังอ่อนแอมาก

    เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)ของเวียดนามจนกระทั่งปีค.ศ. 1919 จึงค่อยถูกยกเลิก ซึ่งช้ากว่าจีนถึงสิบสี่ปี จากสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกและความแตกต่างในด้านการศึกษาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้

    ความแตกต่างในระบบการศึกษานี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ผลกระทบของความแตกต่างนี้มีมายาวนานและกว้างขวาง

    ในช่วงทศวรรษที่ 1940 เวียดนามตอนใต้ซึ่งได้รับอิทธิพลผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของตะวันตก ลัทธิขงจื๊อแบบคลาสสิกถูกละทิ้งไปนานแล้ว และเริ่มคิดถึงแนวคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ความสามารถพิเศษ และอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าราชการท้องถิ่นในภาคเหนือยังคงถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นวัฒนธรรมและถือเป็นสมบัติ

    หลังจากที่ชาวอเมริกันรับช่วงต่อจากฝรั่งเศสในฐานะผู้ควบคุมที่แท้จริงของเวียดนามใต้ พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและความคิดริเริ่มของนักเรียน ส่งเสริมการฝึกฝนผู้มีความสามารถในภาคใต้ ในขณะที่ภาคเหนือเน้นปลูกฝังความรักชาติและการรู้หนังสือการอ่านออกเขียนได้ และเสนอให้เผยแพร่การศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประชาชนในหมู่คนทำงาน

    กล่าวได้ง่ายๆว่า เวียดนามทางภาคใต้สิ่งที่ดำเนินการคือการศึกษาชั้นยอดระดับหัวกะทิ และมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถพิเศษของบุคคล ในขณะที่วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาในภาคเหนือคือการเผยแพร่ระดับมาตรฐานการรู้หนังสือ

    ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันระหว่างภาคเหนือและภาคใต้นำไปสู่การขยายความแตกต่างทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้โดยทั่วไป โดยทั่วไปแล้วเวียดนามทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลเปลี่ยนแปลงเอนเอียงไปทางตะวันตก ในขณะที่เวียดนามทางภาคเหนือได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวคิดคอมมิวนิสต์ การแตกแยกจากกันและความแตกต่างเช่นนี้ แม้หลังจากการรวมตัวกันของภาคเหนือและภาคใต้อีกครั้ง เนื่องจากความเคยชินเฉื่อยชาและความสนใจทางประวัติศาสตร์รวมทั้งผลประโยขน์ต่างๆ ทั้งสองก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ในเวลาอันสั้น

    ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับเวียดนามจะรู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้นค่อนข้างใหญ่ และช่องว่างก็มีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เวียดนามตอนเหนือส่วนใหณ่เป็นภูเขา ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบเรียบ และมีอ่าวทะเลเหมาะกับทำท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยวรีสอร์ทที่ดีเยี่ยมหลายแห่ง ซึ่งทำให้สภาพเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้โดยธรรมชาติแล้วดีกว่าทางภาคเหนือ

    เช่นเดียวกับจีน โฮจิมินห์ซิตี้ทางตอนใต้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะเมืองหลวงของเวียดนามใต้

    ก่อนการรวมตัวของประเทศ โฮจิมินห์ซิตี้เป็นที่รู้จักในนามไซ่ง่อน เป็นศูนย์กลางการปกครองและเขตปกครองหลายแห่งของมหาอำนาจตะวันตก และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปารีสน้อยแห่งตะวันออก"

    😎โปรดติดตามบทความ #เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02 ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰


    🤠#เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน01🤠 ในปี 1975 เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าเวียดนามจะรวมเป็นหนึ่งเดียว แต่เวียดนามก็ค่อย ๆ พัฒนาโครงสร้างอำนาจสูงสุดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองในทางการเมือง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังได้ก่อให้เกิดสิ่งที่โลกภายนอกเรียกว่าโครงสร้าง "รถเทียมม้าสี่ตัว" สิ่งที่เรียกว่า"รถเทียมม้าสี่ตัว" กล่าวคือ มีสี่คนดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานรัฐสภาเวียดนาม ตามลำดับ และแทบจะไม่มีปรากฏการณ์ทำงวนควบตำแหน่งเกิดขึ้นเลย นี่เป็นระบบสมดุลเหนือใต้ที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับองค์ประกอบของอำนาจ ไม่เพียงเท่านี้ โดยทั่วไปแล้วผู้นำจากทางเหนือจะทำหน้าที่เป็นเลขาธิการทั่วไป เพื่อให้แน่ใจว่าเวียดกงจะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมือง พร้อมทั้งรักษาความสัมพันธ์กับจีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนเหนือของประเทศให้มีเสถียรภาพ และนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำที่กระตือรือร้นใส่ใจในทางเศรษฐกิจซึ่งมาจากภาคใต้ รับผิดชอบงานเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจ โครงสร้างอำนาจนี้ดูมีเสถียรภาพ แต่จริงๆ แล้วเป็นผลมาจากการแลกเปลี่ยนและการประนีประนอมกันหลายครั้งในแวดวงการเมืองเวียดนาม และไม่มีเสถียรภาพมากนัก ในขณะที่การปฏิรูปของเวียดนามยังคงลึกซึ้งยิ่งขึ้น การต่อสู้เพื่ออำนาจและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น สิ่งนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองของเวียดนามแสดงออกถึงความแตกแยก ทางตอนเหนือซึ่งมีฮานอยเป็นศูนย์กลางทางการเมือง มีแนวโน้มไปทางลัทธิสังคมนิยมมากกว่า ในขณะที่ทางตอนใต้ที่มีโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นเมืองไซง่อนเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และเป็นสังคมทุนนิยมมากกว่า โฮจิมินห์ซิตี้ยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามและเป็นแรงผลักดันหลักในการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเวียดนาม ภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบันในเวียดนามก็เป็นสถานการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย"รถเทียมม้าสี่ตัว"เช่นกัน ในสถานการณ์ที่ต้องคำนึงถึงภาคเหนือและภาคใต้ ทั้งภาคเหนือและภาคใต้มักจะผลัดกันรับผิดชอบดูแลซึ่งกันและกัน ดังนั้นด้วยความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ,เวียดนามจะแตกแยกอีกไหม? ในความเป็นจริง ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เวียดนามอยู่ในยุคแห่งการแบ่งแยกและการเผชิญหน้าระหว่างเหนือและใต้มาเป็นเวลานาน เนื่องจากการแตกแยกในระยะยาว ช่องว่างและความบาดหมางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนาม ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ หากดูแผนที่ของเวียดนามจะพบว่าภูมิประเทศของเวียดนามนั้นยาวและแคบ เป็นรูปตัว S มีความยาวจากเหนือจรดใต้ 1,600 กิโลเมตร และจุดที่แคบที่สุดจากตะวันออกไปตะวันตกเพียง 50 กิโลเมตร เหมือนงูยาวที่เกาะอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน เนื่องจากลำตัวของงูยาวตัวนี้เรียวเกินไป จึงสามารถตัดที่เอวได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างเหนือและใต้ ในฐานะเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของจีน เวียดนามตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของจีนมายาวนาน จนกระทั่งสมัยห้าราชวงศ์และสิบอาณาจักร(五代十国) เวียดนามถือโอกาสจากการแตกแยกล่มสลายของจีน ปลดตนเองจากการควบคุมของจีนและสถาปนาประเทศเอกราช บางทีอาจเป็นเพราะการแยกทางระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาว เวียดนามยังเผชิญการเผชิญหน้าระหว่างเหนือ-ใต้เช่นเดียวกับราชวงศ์ใต้และราชวงศ์เหนือ(南北朝)ของจีน และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ในปีคริสตศักราช 1428 จักรพรรดิเล ท้าย โต๋( Lê Thái Tổ 黎太祖)มีพระนามเดิมว่า เล เหล่ย (Lê Lợi, 黎利)ได้สถาปนาราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ขึ้นในเมืองทังล็อง(Thăng Long升龙)ซึ่งปัจจุบันคือฮานอย หนึ่งร้อยปีหลังจากการสถาปนาประเทศ เจ้าหน้าที่ข้าราชการผู้มีอำนาจในราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้แย่งชิงบัลลังก์ ประกาศตนเป็นจักรพรรดิ์ และสังหารหมู่ตระกูลราชวงศ์ และสถาปนาราชวงศ์ราชวงศ์หมัก (เหนือ)( Nhà Mạc 莫朝) แต่ต่อมาขุนนางผู้ภักดี ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)แห่งราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ได้พบทายาทของราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝)ทางตอนใต้ของเวียดนาม ให้เคารพเขาในฐานะจักรพรรดิ และสถาปนาราชวงศ์ ราชวงศ์เหิ่วเล(Later Lê dynasty後黎朝) ขึ้นมาใหม่ ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างระบอบการปกครองทางเหนือและทางใต้ ในช่วงการแบ่งแยกเหนือใต้ ระบอบแบ่งแยกดินแดนในท้องถิ่นก็ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การสูญเสียอำนาจและการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอำนาจทางการเมือง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เวียดนามก็อยู่ในช่วงแห่งการแบ่งแยกเนื่องจากข้อพิพาทระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ภาคเหนือและภาคใต้ได้ทำสงครามกันหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม เป็นการยากที่จะกำหนดผลลัพธ์ของการแพ้ชนะ และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้แต่กำหนดเขตแดน ก่อให้เกิดสถานการณ์ของ ภาคใต้ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)และภาคเหนือตระกูลตรินห์(Trinh鄭) ผู้ปกครองเหงียน (Nguyen阮)ทางตอนใต้เติบโตในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 และก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 การปกครองของพวกเขากินเวลานานถึงสองศตวรรษและใช้มาตรการต่างๆ มากมายในด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ การต่อต้านและการแบ่งแยกโดยพฤตินัยนี้ทำให้ความแตกต่างระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รุนแรงขึ้น และยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการเมือง เศรษฐกิจ และแม้แต่วัฒนธรรมของเวียดนามในรุ่นต่อ ๆ ไป เมื่อพูดถึงเวียดนามยังเป็นเช่นนี้ การแบ่งแยกภาคเหนือและภาคใต้ในระยะยาวย่อมนำไปสู่ความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมและประเพณีความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงความหลากหลายของประเทศในยามสงบอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ระหว่างประเทศและในประเทศไม่มั่นคง ก็อาจเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่และสามารถถูกเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายโดยผู้ที่มีเจตนาร้าย ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ในยุคปัจจุบัน เวียดนามถูกแบ่งออกเป็นเวียดนามใต้และเวียดนามเหนืออีกครั้ง ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเหนือ-ใต้โดยพฤตินัย แต่เช่นเดียวกับจีน เนื่องจากความเคยชินทางประวัติศาสตร์ เวียดนามมีประสบการณ์ในการรวมชาติเหนือและภาคใต้เข้าด้วยกัน พลังการรวมเข้าสู่ศูนย์กลางของชาติในประเทศนั้นแข็งแกร่งมาก และในที่สุดประเทศก็รวมเป็นหนึ่งเดียวในช่วงกลางทศวรรษ 1970 แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเนื่องด้วยเหตุผลทางประวัติศาสตร์ การแทรกแซงของอาณานิคมของยุโรปและการมาถึงของยุคอาณานิคมทำให้การแบ่งแยกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้รุนแรงขึ้น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชาวฝรั่งเศสมีความสนใจเวียดนามดินแดนมหาสมบัติแห่งนี้ และขยายอาณาเขตอาณานิคมของตนมาถึงที่นี่ ในเวลานั้น รัฐบาลชิง(清)เป็นเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) ของเวียดนาม แต่ด้วยการลงนามใน “สนธิสัญญาเทียนจิน (The Treaty of Tianjin中法新約)” รัฐบาลชิง(清)ที่ล้าหลังและไร้ความสามารถถูกบังคับให้สละอำนาจของเจ้านครสมัยศักดินา (suzerainty宗主权)ของตน ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1884 ฝรั่งเศสและเวียดนามลงนามในสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของเวียดนามโดยสมบูรณ์ อาณานิคมฝรั่งเศสในอินโดจีน( Indochina印度支那) และการสถาปนาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคอาณานิคมของเวียดนาม เพื่อให้ปกครองอาณานิคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชาวฝรั่งเศสจึงใช้กลยุทธ์ "แบ่งแยกและปกครอง"และแบ่งเวียดนามออกเป็นสามส่วน ได้แก่ เขตแดนตอนเหนือ.....ตังเกี๋ย (Tonkin东京) เขตแดนตอนกลาง.....อันนัม(Annam安南)และเขตแดนตอนใต้.....โคชินชินา(Cochinchina交趾支那) ยิ่งไปกว่านั้น เขตแดนตอนใต้ยังเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง เขตแดนตอนกลางเป็นรัฐในอารักขา และเขตแดนตอนเหนือเป็นกึ่งอารักขา ตามบทบัญญัติของสนธิสัญญาเว้(The Treaty of Huế顺化条约)ฝรั่งเศสได้จัดตั้ง "ระบบการอารักขา(protectorate保护)" ในตังเกี๋ย (Tonkin东京)และอันนัม(Annam安南) ซึ่งอนุญาตให้ราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮)ปกครองในนาม โดยแท้จริงแล้วจักรพรรดิได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว จากมุมมองของระบบการเมืองเวียดนามโดยพื้นฐานแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ทางใต้เป็นดินแดนภายใต้เขตอำนาจของฝรั่งเศสโดยตรง และทางเหนือเป็นระบอบการปกครองหุ่นเชิดภายใต้การควบคุมของฝรั่งเศส ด้วยการแทรกแซงของฝรั่งเศสความแตกต่างระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ของเวียดนามเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน ประกอบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ เช่น ทางตอนเหนือส่วนใหญ่เป็นภูเขา ในขณะที่ภาคใต้มีภูมิประเทศที่ราบเรียบ และยังมีอ่าวทะเลธรรมชาติและสวยงามเหมาะกับท่าเรือมากมายหลายแห่ง ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ที่กองกำลังต่างชาติที่รุกรานส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในภาคใต้ ในขณะที่กองกำลังต่อต้านแห่งชาติของเวียดนามกระจุกตัวอยู่ที่ภาคเหนือ ก่อนการมาถึงของฝรั่งเศส ระบบรัฐของเวียดนามเป็นแบบรวมศูนย์ นอกจากนี้ยังเป็นไปตามแบบอย่างของจีนในการคัดเลือกข้าราชการผ่านระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制) ระบบการศึกษาส่วนใหญ่เป็นการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชน และเรื่องของอุดมการณ์ยังคงเป็นวัฒนธรรมขงจื๊อแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของนักล่าอาณานิคม อุดมการณ์ตัวหลักของเวียดนามก็ได้รับผลกระทบ และความแตกต่างในระดับภูมิภาคก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาของการเผชิญหน้าระหว่างเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือเมื่อชาวอเมริกันเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากระบบการเมืองที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อุดมการณ์และวัฒนธรรมเหล่านี้ทำให้ความแตกต่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากคาบสมุทรเกาหลีที่ภาคเหนือและภาคใต้ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ หลังจากที่ฝรั่งเศสสถาปนาการปกครองอาณานิคมแล้ว ฝรั่งเศสย่อมดำเนินนโยบายการดูดซึมหลอมสลายอาณานิคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เผยแพร่ความคิดอุดมการณ์และวัฒนธรรมของเจ้านครสมัยศักดินา (Suzerain宗主国) และดำเนินการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม เพื่อจัดหาอาวุธทางอุดมการณ์อันทรงพลังเพื่อเสริมสร้างและรวบรวมการปกครองให้เข้าด้วยกันของอาณานิคม ชาวฝรั่งเศสก็เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างการควบคุมเวียดนามและฝึกอบรมนักแปล ฝรั่งเศสได้เปิดโรงเรียนสองภาษาในเวียดนามตอนใต้ และกำหนดนโยบาย "การดูดซึมหลอมสลาย" ขึ้นในปี ค.ศ. 1897 เพื่อเตรียมขยายการศึกษาแนวรูปแบบฝรั่งเศสสมัยใหม่ไปยังทุกหนทุกแห่งของภาคใต้ . อย่างไรก็ตาม ทางภาคเหนือยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิราชวงศ์ตระกูลเหงียน(Nguyen阮) ดังนั้นการสอบคัดเลือกโดยการสอบของจักรพรรดิ(科举制)แบบดั้งเดิมจึงยังคงถูกนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ และการศึกษายังคงขึ้นอยู่กับระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)เป็นหลัก พลังของการศึกษาสไตล์แบบตะวันตกนั้นยังอ่อนแอมาก เป็นที่น่าสังเกตว่าระบบการสอบของจักรพรรดิ(科举制)ของเวียดนามจนกระทั่งปีค.ศ. 1919 จึงค่อยถูกยกเลิก ซึ่งช้ากว่าจีนถึงสิบสี่ปี จากสิ่งเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกและความแตกต่างในด้านการศึกษาระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ความแตกต่างในระบบการศึกษานี้นำไปสู่ความแตกต่างทางความคิดอุดมการณ์ระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ผลกระทบของความแตกต่างนี้มีมายาวนานและกว้างขวาง ในช่วงทศวรรษที่ 1940 เวียดนามตอนใต้ซึ่งได้รับอิทธิพลผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของตะวันตก ลัทธิขงจื๊อแบบคลาสสิกถูกละทิ้งไปนานแล้ว และเริ่มคิดถึงแนวคิดสมัยใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ ความสามารถพิเศษ และอารยธรรม อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าราชการท้องถิ่นในภาคเหนือยังคงถือว่าลัทธิขงจื๊อเป็นวัฒนธรรมและถือเป็นสมบัติ หลังจากที่ชาวอเมริกันรับช่วงต่อจากฝรั่งเศสในฐานะผู้ควบคุมที่แท้จริงของเวียดนามใต้ พวกเขายังคงมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติจริงและความคิดริเริ่มของนักเรียน ส่งเสริมการฝึกฝนผู้มีความสามารถในภาคใต้ ในขณะที่ภาคเหนือเน้นปลูกฝังความรักชาติและการรู้หนังสือการอ่านออกเขียนได้ และเสนอให้เผยแพร่การศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประชาชนในหมู่คนทำงาน กล่าวได้ง่ายๆว่า เวียดนามทางภาคใต้สิ่งที่ดำเนินการคือการศึกษาชั้นยอดระดับหัวกะทิ และมุ่งเน้นไปที่การปลูกฝังความสามารถพิเศษของบุคคล ในขณะที่วัตถุประสงค์หลักของการศึกษาในภาคเหนือคือการเผยแพร่ระดับมาตรฐานการรู้หนังสือ ลำดับความสำคัญที่แตกต่างกันระหว่างภาคเหนือและภาคใต้นำไปสู่การขยายความแตกต่างทางอุดมการณ์และวัฒนธรรมระหว่างภาคเหนือและภาคใต้โดยทั่วไป โดยทั่วไปแล้วเวียดนามทางภาคใต้ได้รับอิทธิพลเปลี่ยนแปลงเอนเอียงไปทางตะวันตก ในขณะที่เวียดนามทางภาคเหนือได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากแนวคิดคอมมิวนิสต์ การแตกแยกจากกันและความแตกต่างเช่นนี้ แม้หลังจากการรวมตัวกันของภาคเหนือและภาคใต้อีกครั้ง เนื่องจากความเคยชินเฉื่อยชาและความสนใจทางประวัติศาสตร์รวมทั้งผลประโยขน์ต่างๆ ทั้งสองก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้ในเวลาอันสั้น ใครก็ตามที่คุ้นเคยกับเวียดนามจะรู้ดีว่าช่องว่างระหว่างเวียดนามเหนือและใต้นั้นค่อนข้างใหญ่ และช่องว่างก็มีแนวโน้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เวียดนามตอนเหนือส่วนใหณ่เป็นภูเขา ภาคใต้มีภูมิประเทศเป็นที่ราบเรียบ และมีอ่าวทะเลเหมาะกับทำท่าเรือและสถานที่ท่องเที่ยวรีสอร์ทที่ดีเยี่ยมหลายแห่ง ซึ่งทำให้สภาพเงื่อนไขการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคใต้โดยธรรมชาติแล้วดีกว่าทางภาคเหนือ เช่นเดียวกับจีน โฮจิมินห์ซิตี้ทางตอนใต้เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนามในฐานะเมืองหลวงของเวียดนามใต้ ก่อนการรวมตัวของประเทศ โฮจิมินห์ซิตี้เป็นที่รู้จักในนามไซ่ง่อน เป็นศูนย์กลางการปกครองและเขตปกครองหลายแห่งของมหาอำนาจตะวันตก และยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "ปารีสน้อยแห่งตะวันออก" 😎โปรดติดตามบทความ #เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้จะแบ่งแยกประเทศอีกครั้งหรือไม่ ตอน02 ที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า😎 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 1915 Views 0 Reviews
  • Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น

    5 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ข่าว VN Express รายงานว่า Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น

    คดีอื้อฉาวนี้มีผู้ต้องหา 50 คน รวมทั้งอดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ Quyet และน้องสาวอีก 2 คน ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงและปั่นหุ้น5ตัวแสวงหากำไรที่ผิดกฎหมายประมาณ 723 พันล้านดอง (28.8 ล้านดอลลาร์)

    ศาลระบุว่ามีนักลงทุนมากกว่า 25,800 รายที่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงและปั่นซื้อขายหุ้นใน FLC Faros Construction อัยการระบุในคำฟ้องว่า Quyet วางแผนการปั่นหุ้นและปั่นส่วนเงินทุนของ Faros ให้สูงขึ้นเป็น 4.3 ล้านล้านดองจากมูลค่าจริง 1.5 พันล้านดองเพื่อให้บริษัทสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HoSE) ได้

    แม้ไม่สามารถระบุที่มาของเงินทุน4.3ล้านล้านดองที่บริษัทอ้างไว้ได้ แต่กรรมการตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์( HoSE )กลับอนุมัติการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ ส่งผลให้มีผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น
    บริษัทอ้างไว้ได้ แต่ผู้บริหารของ HoSE กลับอนุมัติการจดทะเบียน ส่งผลให้ผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น

    นอกจากนี้ Quyet วัย 49 ปี ยังถูกกล่าวหาว่าสั่งให้ Trinh Thi Minh Hue น้องสาวของเขา ซึ่งเป็นนักบัญชีของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLCเปิดบัญชีหุ้น 500 บัญชีในนามของผู้ร่วมสมคบคิด 45 คน ซึ่งใช้ในการซื้อขายปั่นหุ้นของ FLC และบริษัทในเครือ 4 แห่งไปมา ทำให้Hueน้องสาวของเขามีความผิด ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี
    ขณะที่น้องสาวอีกคนของเขา คือ Trinh Thi Thuy Nga รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BOS Securities ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ด้วยและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปี และรองประธานFLC อีกคนถูกจำคุก 8 ปี 6 เดือน

    ระหว่างการให้การครั้งสุดท้ายในศาล นายQuyet และน้องสาวของเขาแสดงความสำนึกผิดและขอโทษจำเลยคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว ที่ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับประเด็นคดีทางกฎหมาย และเขาได้แสวงหาผลประโยชน์จากความไว้วางใจ

    นายQuyet อดีตมหาเศรษฐีเวียดนา กล่าวถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจนี้ว่า เป็นบทเรียนอันน่าสะเทือนขวัญ และยอมรับว่าการที่เขามุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินไปนั้น ทำให้เขาทำผิดทางกฏหมาย ละเลยขอบเขตทางกฎหมายไป

    #Thaitimes
    Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น 5 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ข่าว VN Express รายงานว่า Trinh Van Quyet อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ของเวียดนาม ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLC Group JSC ถูกศาลตัดสินจำคุก 21 ปี มีความผิดฐานฉ้อโกงและปั่นหุ้น คดีอื้อฉาวนี้มีผู้ต้องหา 50 คน รวมทั้งอดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ Quyet และน้องสาวอีก 2 คน ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงและปั่นหุ้น5ตัวแสวงหากำไรที่ผิดกฎหมายประมาณ 723 พันล้านดอง (28.8 ล้านดอลลาร์) ศาลระบุว่ามีนักลงทุนมากกว่า 25,800 รายที่ตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงและปั่นซื้อขายหุ้นใน FLC Faros Construction อัยการระบุในคำฟ้องว่า Quyet วางแผนการปั่นหุ้นและปั่นส่วนเงินทุนของ Faros ให้สูงขึ้นเป็น 4.3 ล้านล้านดองจากมูลค่าจริง 1.5 พันล้านดองเพื่อให้บริษัทสามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ (HoSE) ได้ แม้ไม่สามารถระบุที่มาของเงินทุน4.3ล้านล้านดองที่บริษัทอ้างไว้ได้ แต่กรรมการตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์( HoSE )กลับอนุมัติการจดทะเบียนซื้อขายหุ้นบริษัทนี้ ส่งผลให้มีผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น บริษัทอ้างไว้ได้ แต่ผู้บริหารของ HoSE กลับอนุมัติการจดทะเบียน ส่งผลให้ผู้ลงทุนซื้อหุ้นไป 391 ล้านหุ้น นอกจากนี้ Quyet วัย 49 ปี ยังถูกกล่าวหาว่าสั่งให้ Trinh Thi Minh Hue น้องสาวของเขา ซึ่งเป็นนักบัญชีของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ FLCเปิดบัญชีหุ้น 500 บัญชีในนามของผู้ร่วมสมคบคิด 45 คน ซึ่งใช้ในการซื้อขายปั่นหุ้นของ FLC และบริษัทในเครือ 4 แห่งไปมา ทำให้Hueน้องสาวของเขามีความผิด ถูกตัดสินจำคุก 14 ปี ขณะที่น้องสาวอีกคนของเขา คือ Trinh Thi Thuy Nga รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ BOS Securities ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ด้วยและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 8 ปี และรองประธานFLC อีกคนถูกจำคุก 8 ปี 6 เดือน ระหว่างการให้การครั้งสุดท้ายในศาล นายQuyet และน้องสาวของเขาแสดงความสำนึกผิดและขอโทษจำเลยคนอื่นๆ ซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว ที่ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับประเด็นคดีทางกฎหมาย และเขาได้แสวงหาผลประโยชน์จากความไว้วางใจ นายQuyet อดีตมหาเศรษฐีเวียดนา กล่าวถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจนี้ว่า เป็นบทเรียนอันน่าสะเทือนขวัญ และยอมรับว่าการที่เขามุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายที่ทะเยอทะยานเกินไปนั้น ทำให้เขาทำผิดทางกฏหมาย ละเลยขอบเขตทางกฎหมายไป #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 544 Views 0 Reviews