• ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 3

    ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง

    Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด

    Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ
    มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table

    “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….”

    มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ

    และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 4

    พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส

    อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย

    แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป

    Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย
    วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย”
    วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork :
    “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย”
    การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 :

    ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง

    เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค

    ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ

    แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้
    แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ
    Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….”

    เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่

    ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย

    สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน

    และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    2 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 3 ทำไมนักการเงินตัวใหญ่แห่งวอลสตรีท และกรรมการของ Federal Reserve Bank เข้ามาวุ่นวาย จัดการและช่วยเหลือการปฏิวัติของพวก Bolsheviks ทำไมหุ้นส่วนของ Morgan ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน ซึ่งทำงานร่วมกันเป็นวง เพื่อให้มีการหาเงินทุนสนับสนุน ทั้งพวกปฏิวัติ และ พวกต้านปฏิวัติ รวมทั้งการจารกรรม ที่ไม่น่าจะเป็นผลดีกับอเมริกาเอง Thompson ดูเหมือนจะตรงไปตรงมา กับเป้าหมายของเขาในรัสเซีย เขาบอกว่า เขาต้องการให้รัสเซีย ยังคงทำสงครามกับเยอรมัน และต้องการใช้รัสเซียเป็นตลาด สำหรับให้อเมริกาค้าขายหลังสงคราม และในบันทึก ที่เขาทำถึง Lloyd George เมื่อเดือนธันวาคม 1917 บอกว่า “……..สถานการณ์ในรัสเซียจบสิ้น และรัสเซียคงตกอยู่ในมือของเยอรมัน ที่จะมายึดเอาทุกอย่างไป….ผมเชื่อว่า ด้วยความฉลาดและความกล้าเท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้เยอรมันเข้ามาครอบครองรัสเซีย และเอาเนื้อรัสเซียไปกิน ด้วยค่าใช้จ่ายของพวกสัมพันธมิตร” นี่คงใกล้ความในใจของ Thompson มากที่สุด Thompson กลัวว่า นักธุรกิจของเยอรมันนั่นแหละ ที่จะเข้าไปจองที่ในรัสเซีย จนไม่เหลือมาถึงอเมริกา และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ Thompson ไปชักจูง หว่านล้อมเอาพรรคพวกแถววอลสตรีท เข้าไปร่วมวงกับพวก Bolsheviks อย่างนั้นหรือ มีจดหมายที่น่าสนใจอยู่ 1 ฉบับ ที่แสดงให้เห็นภาพความคิด ในหัวของเหล่าผู้คนที่เข้าไปร่วม เชียร์ Bolsheviks มันเป็นจดหมายของ Raymond Robins ผู้ช่วยของ Thompson ซึ่งเขียนถึง Bruce Lockhart สายลับของอังกฤษ และเป็นสายสืบของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table “คุณคงจะได้ยินผู้คนเขาพูดกันว่า ผมเป็นตัวแทนของพวกวอลสตรีท และผมเป็นขี้ข้ารับใช้ของ William B. Thompson เพื่อมาเอาเหมืองทองแดงที่ Altai ให้เขา และผมเองก็ได้รับที่ดินจำนวน 50,000 เอเคอร์ ตรงที่เป็นป่าไม้ที่ดีที่สุดของรัสเซีย และผมได้คว้างานสร้างทางรถไฟ Trans-Siberian Railway ไปเรียบร้อยแล้ว และเขายังให้ผมได้รับสัมปทานผูกขาดสำหรับแพลตินั่มในรัสเซีย ทั้งหมดนี้ เป็นงานที่ผมทำอยู่ในโซเวียต……… คุณคงได้ยินเรื่องพรรค์นี้ เอาล่ะ มันไม่ใช่เรื่องจริงเลยนะเพื่อน แต่สมมุติว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง เรามาลองสมมุติดูว่า ผมมาอยู่ที่นี่ เพื่อมาลอกคราบรัสเซียให้กับพวกวอลสตรีท ให้กับนักธุรกิจอเมริกัน สมมุติว่า คุณเป็นหมาป่าพันธุ์อังกฤษ และผมเป็นหมาป่าพันธุ์อเมริกัน และเมื่อสงครามโลกนี้จบ เราก็คงขย้ำกันเอง เพื่อแย่งตลาดรัสเซีย ทำไมเราไม่มาเปิดใจกันอย่างตรงไปตรงมา อย่างมนุษย์ทำกัน ทำไมเราไม่คิดว่า เราต่างเป็นหมาป่าที่ฉลาดทั้งคู่ และเราน่าจะรู้ว่า ถ้าเราไม่ออกล่า “ร่วมกัน” ในชั่วโมงนี้ หมาป่าพันธุ์เยอรมัน ก็คงจะกินเราเรียบทั้งคู่ และจับเราเป็นทาส…….” มันคงพอให้เรามองเห็นความคิดของ Thompson และนักธุรกิจอเมริกัน และเรื่องราวที่ดำเนินอยู่ ได้พอสมควร Thompson เป็นนักการเงิน นักปั่นหุ้น แม้ว่าจะไม่มีผลประโยชน์ใดอยู่ในรัสเซีย แต่เขาก็ใช้กาชาดเป็นเครื่องมือ เข้าไปในรัสเซีย และมองเห็นโอกาส ว่าจะสร้างอิทธิพล ชักใย ครอบครอง ลอกคราบ และควบคุมรัสเซีย หลังสงครามเลิกอย่างไร โดยเขี่ยเยอรมันให้พ้นทางอย่างเบ็ดเสร็จ เขาลงทุนจ่ายเงิน เพื่อสร้างอำนาจทางการเมือง ทิ้งไว้ในรัสเซีย เขาคือนักล่าชาวอเมริกัน ที่กำลังคิดต่อสู้กับนักล่าชาวเยอรมัน ในดินแดนที่กำลังตกเป็นเหยื่อ และ Lenin และ Trotsky ก็คงมองความคิดของนักล่าสาระพัดชาติออกเช่นเดียวกัน และถือโอกาสใช้นักล่าสาระพัดชาติเป็นเหยื่อ เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายของตนเองด้วย ในขณะเดียวกัน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 4 พวก Bolsheviks เอง ก็มองออก ว่า ตัวแทนของมหาอำนาจตะวันตก ที่ส่งมาประจำที่ Petrograd ไม่ได้ชอบและสนับสนุนพวกเขา โดยเฉพาะตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส อเมริกา มีตัวแทน คือ ฑูต Francis ซึ่งแสดงความไม่พอใจพวกปฏิวัติ อย่างเปิดเผยมาตลอด แถมให้คำแนะนำ ไปทางวอชิงตัน สวนทางกับพวกวอลสตรีทเสมอ ส่วนอังกฤษมีตัวแทน คือ Sir James Buchanan ซึ่งข่าวว่ายังผูกพันอยู่กับพวกราชวงศ์ซาร์ ที่ถูกปฏิวัติไปแล้ว แต่ภายหลัง ก็ดูเหมือนจะให้การสนับสนุนกับกลุ่ม Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษคิดว่า จะทำให้รัสเซีย กลับเข้าร่วมทำสงครามสู้กับเยอรมันต่อไป ส่วนฝรั่งเศสมีตัวแทนคือฑูต Paleologue ซึ่งแสดงความต่อต้านพวก Bolsheviks อย่างเปิดเผย แต่พอถึงต้นปี 1918 ก็มีการส่งตัวแสดงใหม่ 3 คน มาเข้าฉาก และทั้ง 3 คน กลายเป็นตัวแทนตัวจริง ของมหาอำนาจตะวันตก และทำให้พวกตัวแทน ที่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการหมดท่า หลุดไปจากเส้นทางการติดต่อโดยสิ้นเชิง เขาฉีกบทเปลี่ยนตัวใหม่ เอาหมาป่ามาใช้แทน หมาบ้าน เพื่อเตรียมฉีกเนื้อรัสเซีย ก่อนหมาป่าพันธุ์เยอรมัน จะมาคาบไป Raymond Robins ซึ่งรับหน้าที่ดูแล กิจกรรมกาชาดอเมริกันต่อจาก William Boyce Thompson เมื่อต้นเดือนธันวาคม 1917 แต่ดูเหมือน Robins จะให้ความสนใจ และดำเนินกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง ของรัสเซียมากกว่า กิจกรรมบันเทาทุกข์ให้คนร้สเซีย วันที่ 26 ธันวาคม 1917 Robins ส่งโทรเลขไปถึงหุ้นส่วน Morgan คือนาย Henry Davison ซึ่งทำหน้าที่ เป็นประธานคณะกิจกรรมกาชาดอเมริกันชั่วคราวว่า “โปรดเร่งให้ประธานาธิบดี เริ่มมีการติดต่อกับพวก Bolsheviks ด้วย” วันที่ 23 มกราคม 1918 Robins ส่งโทรเลขไปหา Thompson ที่ NewYork : “รัฐบาลโซเวียตมั่นคงขึ้นทุกวัน พวกเขามีอำนาจเพิ่มขึ้น หลังจากมีการรวมตัวกันได้ จากการปิดสภา แต่ผมไม่สามารถจะผลักดันได้แรงกว่านี้ ให้เห็นถึงความสำคัญของการรับรองรัฐบาล Bolsheviks ทาง Sisson เห็นด้วยกับข้อความนี้ ขอให้ท่านช่วยนำโทรเลขนี้แสดงกับ Creel ด้วย Thatcher และ Wardwell ก็เห็นพ้องด้วย” การพยายามผลักดันให้กับพวก Bolsheviks อย่างไม่หยุดยั้ง ของ Robins ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชมในพวก Bolsheviks และมีอิทธิพลทางการเมืองพอสมควร แต่ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีรายงานส่งมาทางวอซิงตันว่า Robins เองก็เป็น Bolshevik ไปแล้ว เช่น โทรเลขที่มาจากโคเปนเฮเกน ลงวันที่ 3 ธันวาคม 1918 : ลับสุดยอด จากคำยืนยันของ Radek ที่ให้กับ George de Patpourrie กงสุลของออสเตรียฮังการี ประจำมอสโคว์บอกว่า Col. Robins ไอ้โจรร้ายของกาชาดอเมริกันที่มารัสเซีย ขณะนี้อยู่ที่มอสโคว์ เป็นตัวกลางในการเจรจา ระหว่างรัฐบาลโซเวียตโดยผ่านพวก Bolsheviks ให้กับพรรคพวกของตัวในอเมริกา มีผู้คนหลายฝ่ายเห็นว่า Col. Robins เองก็เป็นพวก Bolsheviks ในขณะที่บางฝ่ายก็บอกว่าไม่ใช่ แต่กิจกรรมที่เขากำลังดำเนินอยู่ในรัสเซีย มันตรงกันข้ามกับผลประโยชน์ ของรัฐบาลทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เอกสารในแฟ้มสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ที่คณะกรรมาธิการ Lusk Committee ยึดมาได้ในปี 1919 ยืนยันว่า ทั้ง Robins และภรรยาเขา มีกิจกรรมใกล้ชิดกับพวก Bolsheviks ในอเมริกา และมีส่วนร่วมในการตั้งสำนักงาน Soviet Bureau ในนิวยอร์ค ฝ่ายรัฐบาลอังกฤษ ก็ส่งเจ้าหน้าที่ไปรัสเซีย เพื่อประสานงานอย่างไม่เป็นทางการกับพวก Bolsheviks เช่นเดียวกัน โดยส่งนาย Bruce Lockhart สายลับ ที่พูดภาษารัสเซียได้คล่องแคล่ว Lockhart ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกับ Robins เขาก็เหมือนเป็น Robins ก๊อบปี้อังกฤษนั่นแหละ แต่ต่างกับ Robins ตรงที่ Lockhart ต่อสายตรงถึงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้ แม้ Lockhart จะไม่ได้ถูกส่งตัวไปโดยกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ หรือรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ แต่ Lockhart ถูกเลือก และส่งไปปฏิบัติภาระกิจในรัสเซีย ตามคำสั่งของ Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ก็เห็นชอบด้วย ดูเหมือนในที่สุดแล้ว รัฐบาลอังกฤษ จะเล่นเรื่องรัสเซียอย่างไม่กลัวคนนินทา ต่างกับรัฐบาลอเมริกา ที่ดูยังกล้าๆกลัวๆ Maxim Litvinov ซึ่งเป็นตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ของโซเวียตประจำอยู่ที่อังกฤษ ได้เขียนจดหมายแนะนำตัว Lockhart แก่ Trotsky ว่า “….แม้ว่าเขาเป็นสายลับของอังกฤษ แต่เป็นคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา และมีความเข้าใจในสถานะและเห็นใจพวกเรา….” เป้าหมายของ Milner น่าจะเป็นการหาลู่ทาง เพื่อทำธุรกิจในภาคใต้ของรัสเซียและส่วนอื่นๆ ไม่ต่างกับที่ Morgan แห่งนิวยอร์คกำลังทำอยู่ ส่วนรัฐบาลฝรั่งเศสก็ส่ง Jaques Sadoul ซึ่งเปิดเผยว่าเขาเป็นพวก Bolsheviks แถมเป็นเพื่อนเก่าแก่กับ Trotsky อีกด้วย สรุป รัฐบาลของทั้ง 3 ประเทศ ถอนอำนาจ ของตัวแทนทางการฑูตอย่างเป็นทางการของตนเอง ที่ส่งไปประจำที่ Petrograd และส่งตัวแทนอย่างไม่เป็นทางการ ที่เอียงไปทางพวก Bolsheviks ให้ไปทำหน้าที่แทน และในที่สุด แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านและตั้งคำถามมากมาย ประธานาธิบดี Wilson ก็ยอมเปิดหน้า ให้การรับรองรัฐบาล Bolsheviks การรับรองนี้ มาจากการกดดันของกลุ่มวอลสตรีท โดยเฉพาะ มาจาก American International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่กลุ่ม Morgan มีอำนาจควบคุม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 2 พ.ค. 2558
    0 Comments 0 Shares 421 Views 0 Reviews
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 6

    เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน

    การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย

    ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย

    นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks”

    ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ

    นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917
    ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง
    ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin

    จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน

    จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว

    ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..”

    Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน

    วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน
    (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง )

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 6 เดือนเมษายน ค.ศ.1917 Vladimir Lenin และพวกอีก 32 คน ซึ่งส่วนมากเป็นพวก Bolsheviks เดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ ข้ามเยอรมัน ผ่านสวีเดน เพื่อไปเข้าเมือง Petrograd ของรัสเซีย พวกเขากำลังไปร่วมกับ Leon Trotsky เพื่อ “ทำปฏิวัติ” ให้สมบูรณ์ การผ่านด่านเยอรมันเรียบร้อยดี มีการอำนวยความสะดวก และจ่ายเงินไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ ของรัฐบาลเยอรมัน การผ่านเข้ารัสเซียของ Lenin เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ ที่ได้รับการเห็นชอบโดยกองบัญชาการสูงสุดของเยอรมัน ซึ่งไม่ได้ผ่านการรับรู้จากไกเซอร์ จักรพรรดิของเยอรมัน ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิด สนิทสนมกับ ซาร์แห่งรัสเซีย ดูเหมือนมันจะเป็นแผนของเยอรมัน ที่ต้องการให้กองทัพรัสเซียแตกแยก รวมตัวกันไม่ได้ และขจัดให้รัสเซียออกไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นความพยายามของรัฐบาลเยอรมัน ที่จะตัดกำลังคู่ต่อสู้คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร เยอรมันคิดเองทำเอง หรือมีใครช่วยหรือชักใย นอกจากไกเซอร์จะไม่รู้แล้ว ตัวเสนาธิการกองทัพเยอรมัน Major General Hoffman ก็ไม่รู้เรื่องด้วย เขาเขียนไว้ในบันทึกว่า “เราไม่รู้เรื่อง และทำให้เราไม่สามารถเห็นผลกระทบ ที่จะเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติ จากการเดินทางเข้าไปในรัสเซียของพวก Bolsheviks” ฝ่ายเยอรมัน ผู้ที่ให้ความเห็นชอบให้ Lenin เดินทางผ่านเยอรมันไปรัสเซีย คือ ตัวนายกรัฐมนตรี Theobold von Bethmann-Hollweg เอง ซึ่งมาจากตระกูลใหญ่เจ้าของธนาคาร Bethmann Frankfurt ที่ร่ำรวยมากในช่วงศตวรรษที่ 19 นาย Bethmann-Hollweg ได้ รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในปี ค.ศ. 1909 แต่ในเดือน พ.ย. 1913 เขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกรัฐสภาของเยอรมันลงมติไม่ไว้วางใจ นาย Bethmann-Hollweg นี่ เป็นคนที่พูดจา ชนิดต้องใช้มะกอกเกิน 3 ตะกร้า ถึงจะจับให้มั่นได้ ปี ค.ศ. 1917 เขาไม่ได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา และยื่นใบลาออก แต่ก่อนลาออก เขาทิ้งทวน โดยการให้ความเห็นชอบไว้เรียบร้อยแล้ว ให้นักปฏิวัติ กลุ่ม Bolsheviks เดินทางผ่านเยอรมัน เข้าไปยังรัสเซีย โดยเขาสั่งตรงไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศ Unthur Zimmermann ลูกกระเป๋งที่เป็นผู้รับผิดชอบดูแลงานประจำของรัฐมนตรี ทั้งในเบอร์ลินและงานที่ส่งจากกรุงโคเปนเฮเกน มายังเยอรมันในช่วงเดือน เม.ย.1917 ไกเซอร์ไม่รู้เรื่องขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิวัติในรัสเซียเลย จนกระทั่ง Lenin ไปถึงรัสเซียแล้ว แสดงว่าถูกกันท่าโดยพวกรัฐบาล ซึ่งคงกลัวเสียแผน หากกษัตริย์ของ 2 ประเทศ จะจับมือช่วยกันเอง ขณะที่ Lenin เอง ก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือเขา เขารู้แต่เพียงว่า รัฐบาลเยอรมันให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุน แต่จากการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งปรากฏในภายหลัง จึงได้เห็นเส้นทางเดินของ “ความช่วยเหลือ” ให้แก่ Lenin จากเบอร์ลิน Zimmermann และ Bethmann-Hollweg ติดต่อกับรัฐมนตรีเยอรมันที่โคเปน เฮเกนชื่อ Brockdorff-Rantzau ซึ่งติดต่ออีกทอดไปถึงนาย Alexander Israel Helphand (หรือที่รู้จักกันในนาม Parvus) ซึ่งอยู่ที่โคเปนเฮเกน จริงๆแล้ว ทางเยอรมันเตรียมแผนนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 แล้ว ในวันที่ 14 สิงหาคม 1915 Brockdorff-Rantzau เขียนจดหมายถึงรัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมัน ที่เบอร์ลิน เกี่ยวกับการสนทนาของเขากับ Helphand (Parvus) และแนะนำให้เยอรมันใช้ Helphand “…..ซึ่งเป็นคนที่มีเครือข่ายอำนาจ ที่ล้ำลึกอย่างนึกไม่ถึง ที่เราควรจะจ้างเขาไว้ตลอดช่วงที่มีสงคราม……ขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังความเสี่ยงในการจะใช้เครือข่ายอำนาจที่อยู่ข้างหลัง Helphand เช่นเดียวกัน…..” Helphand (Parvus) แท้จริงแล้วเป็นใคร และเครือข่ายอำนาจของเขา คือพวกไหน ความคิดของ Brockdorff-Rantzau ที่จะใช้การปฏิวัติรัสเซีย เพื่อประโยชน์ของเยอรมัน ก็ดูเหมือนจะไม่ต่างกับความคิดของคนบางกลุ่มในอเมริกา ที่พยายามจะเอาเรื่องการปฏิวัติรายการเดียวกันนั้น มาใช้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา ทั้งภายในและต่างประเทศ ไปด้วยพร้อมกัน วันที่ 16 เมษายน 1917 รถไฟขบวนที่ขนคนจำนวน 32 คน รวมทั้ง Lenin และเมีย ก็เริ่มเคลื่อนออกจากสถานีใหญ่ก ลางเมือง Bern ของสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมุ่งหน้าไป Stockholm เมื่อ ถึงด่านเข้าเขตแดนรัสเซีย มีเพียง 2 คน ที่ถูกปฏิเสธการเข้า ที่เหลือผ่านเข้าไปได้หมด หลายเดือนต่อมา 2 คนนั้นก็ตามเข้าไป พร้อมกับพวก Mensheviks อีก 200 คน (หมายเหตุ: เพื่อความเข้าใจของผู้ติดตามเรื่อง รัสเซียมีพรรคสังคมนิยมเรียกว่า Russian Social-Democratic Party ซึ่งเป็นพวกนิยมแนวความคิดแบบ Marxist ในการประชุมพรรคประมาณปี ค.ศ.1903 สมาชิกได้แตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกกลุ่มตัวเองว่า Bolsheviks มี Lenin เป็น หัวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกอีลิตและชนชั้นกลาง อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ควรมีชนชั้นแรงงานเข้ามาร่วมด้วย เพื่อให้ฐานเสียงใหญ่ขึ้น เรียกกลุ่มตัวเองว่า Mensheviks มี Martov เป็นหัวหน้า ส่วนนาย Trotsky นั้น สังกัดกลุ่ม Mensheviks และเปลี่ยนมาอยู่กลุ่ม Bolsheviks เอาในปี ค.ศ.1917 นั่นเอง ) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 เม.ย. 2558
    0 Comments 0 Shares 331 Views 0 Reviews
  • “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ”

    เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน

    การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว

    เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว

    จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ

    แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม

    กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด

    https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    🧊 “กรีนแลนด์: ดินแดนสวยงามที่ไม่ต้อนรับมนุษย์ — บันทึกการเดินทางสุดโหดจากเดนมาร์กสู่ขั้วโลกเหนือ” เมื่อชาวเดนมาร์กคนหนึ่งตัดสินใจพาครอบครัวเดินทางไปเยือนกรีนแลนด์ ดินแดนที่เคยเป็นอาณานิคมของเดนมาร์กและยังคงมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอยู่จนถึงทุกวันนี้ เขาได้พบกับประสบการณ์ที่ทั้งงดงามและโหดร้ายในเวลาเดียวกัน การเดินทางเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายที่สนามบินโคเปนเฮเกน ก่อนจะบินไปยังกรีนแลนด์ แต่กลับต้องวนรอบสนามบินถึง 3 ชั่วโมงเพราะหมอกหนา และสุดท้ายต้องบินไปเติมน้ำมันที่ไอซ์แลนด์ก่อนกลับเดนมาร์กอีกครั้ง รวมเวลาบินกว่า 15 ชั่วโมงโดยไม่ได้ลงจอดเลย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ชาวกรีนแลนด์ดูจะชินเสียแล้ว เมื่อไปถึงเมือง Nuuk เมืองหลวงของกรีนแลนด์ ผู้เขียนพบกับความสงบแบบเหนือจริง ผู้คนไม่เร่งรีบ อากาศหนาวจัดแต่มีแสงแดดแรงจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบกลางวัน และหนาวจัดในทันทีเมื่อเปิดหน้าต่างตอนกลางคืน เป็นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว จากนั้นเดินทางต่อไปยัง Ilulissat เมืองที่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งและภูมิประเทศที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ แต่สิ่งที่ทำให้ตกใจที่สุดคือฝูงยุงที่ดุร้ายจนต้องใส่ตาข่ายคลุมหน้า และสุนัขลากเลื่อนที่ถูกล่ามไว้กลางแจ้งเหมือนอยู่ในคุกกลางธรรมชาติ แม้จะมีความงดงามของธารน้ำแข็งและการได้เห็นวาฬในทะเลที่สงบที่สุดเท่าที่เคยเจอ แต่ก็มีภาพที่สะเทือนใจ เช่น การโยนซากสุนัขที่ตายแล้วลงหน้าผาต่อหน้ากลุ่มเด็ก และการล่าวาฬที่ยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรม กรีนแลนด์จึงเป็นดินแดนที่ทั้งงดงามและโหดร้าย เป็นสถานที่ที่ธรรมชาติยังคงควบคุมทุกอย่าง และมนุษย์ต้องปรับตัวอย่างสุดขั้วเพื่ออยู่รอด https://matduggan.com/greenland-is-a-beautiful-nightmare/
    MATDUGGAN.COM
    matduggan.com
    It's JSON all the way down
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • แพ็คเกจสุดพิเศษ ลดแรง!
    สแกนดิเนเวีย & ไอซ์แลนด์ ดินแดนกลาเซียร์
    10 วัน 7 คืน โดยสายการบิน Emirates (EK)

    ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 147,900 บาท
    เดินทาง 7 – 16 ตุลาคม 2568

    ไฮไลต์การเดินทาง

    * สต๊อกโฮล์ม ชมเมืองเก่ากัมลา สแตน
    * วงกลมทองคำ – อุทยานซิงเควลลิร์
    * น้ำตกกูลฟอสส์ – น้ำตกเซลยาแลนส์ – น้ำตกสโกการ์
    * หาดทรายดำ – โจกุลซาร์ลอน – Diamond Beach
    * อุทยานแห่งชาติสเกฟตาเฟลล์
    * ภูเขาไฟเคิร์กจูเฟล – หมู่บ้านอาร์นาสตาปิ
    * โคเปนเฮเกน ชมเงือกน้อยและน้ำพุเกฟิออน

    ครบทุกประสบการณ์ธรรมชาติสุดอลังการ + เมืองสวยโรแมนติกของยุโรปเหนือ

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e6b675

    ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c15f96

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Scandinavia #IcelandTrip #ทัวร์ไอซ์แลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #Emirates #NordicAdventure #DiamondBeach #IcelandWaterfalls #เที่ยวต่างประเทศ #Travel2025
    ✨ แพ็คเกจสุดพิเศษ ลดแรง! ✨ สแกนดิเนเวีย & ไอซ์แลนด์ ดินแดนกลาเซียร์ ❄️ 10 วัน 7 คืน โดยสายการบิน Emirates (EK) ✈️ 💰 ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 147,900 บาท 📅 เดินทาง 7 – 16 ตุลาคม 2568 📍 ไฮไลต์การเดินทาง * สต๊อกโฮล์ม ชมเมืองเก่ากัมลา สแตน 🏰 * วงกลมทองคำ – อุทยานซิงเควลลิร์ 🌋 * น้ำตกกูลฟอสส์ – น้ำตกเซลยาแลนส์ – น้ำตกสโกการ์ 🌊 * หาดทรายดำ – โจกุลซาร์ลอน – Diamond Beach 💎 * อุทยานแห่งชาติสเกฟตาเฟลล์ 🌲 * ภูเขาไฟเคิร์กจูเฟล – หมู่บ้านอาร์นาสตาปิ 🏔️ * โคเปนเฮเกน ชมเงือกน้อยและน้ำพุเกฟิออน 🧜‍♀️ ครบทุกประสบการณ์ธรรมชาติสุดอลังการ + เมืองสวยโรแมนติกของยุโรปเหนือ 🌍 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e6b675 ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c15f96 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Scandinavia #IcelandTrip #ทัวร์ไอซ์แลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #Emirates #NordicAdventure #DiamondBeach #IcelandWaterfalls #เที่ยวต่างประเทศ #Travel2025
    0 Comments 0 Shares 717 Views 0 Reviews
  • สแกนดิเนเวีย 10 วัน 8 คืน
    โคเปนเฮเกน – ออสโล – ฟลอม – เบอร์เกน – ฟลัม – สต๊อคโฮล์ม – เฮลซิงกิ
    โดยสายการบินฟินน์แอร์ (บินเช้า–ถึงค่ำ / ขากลับบินตรง)
    รวมค่าวีซ่า + น้ำดื่มบริการบนรถโค้ชทุกวัน

    เหลือ 5 ที่สุดท้ายเท่านั้น!
    เดินทาง 6–15 ส.ค. 68
    ราคาเพียง 124,900.-

    พร้อมพาเที่ยวแบบสบาย ๆ พักก่อนลุย
    เช็คอินจุดไฮไลท์ทั่วสแกนฯ ไปกับเรา

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #สแกนดิเนเวีย #สวีเดน #นอร์เวย์ #ฟินแลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #ทัวร์ยุโรป #เฮลซิงกิ #โคเปนเฮเกน #สต๊อกโฮล์ม #ทัวร์ดีมีคุณภาพ #ทัวร์ยุโรปราคาดี #ฟินน์แอร์ #ทัวร์ออกแน่นอน #เที่ยวหน้าร้อน #ยุโรปร้อนนี้ต้องไป
    🇸🇪🇳🇴🇫🇮 สแกนดิเนเวีย 10 วัน 8 คืน 📍โคเปนเฮเกน – ออสโล – ฟลอม – เบอร์เกน – ฟลัม – สต๊อคโฮล์ม – เฮลซิงกิ ✈️ โดยสายการบินฟินน์แอร์ (บินเช้า–ถึงค่ำ / ขากลับบินตรง) 🧳 รวมค่าวีซ่า + น้ำดื่มบริการบนรถโค้ชทุกวัน 🔥 เหลือ 5 ที่สุดท้ายเท่านั้น! 📅 เดินทาง 6–15 ส.ค. 68 💸 ราคาเพียง 124,900.- พร้อมพาเที่ยวแบบสบาย ๆ พักก่อนลุย 🏞️ เช็คอินจุดไฮไลท์ทั่วสแกนฯ ไปกับเรา 💙 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #สแกนดิเนเวีย #สวีเดน #นอร์เวย์ #ฟินแลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #ทัวร์ยุโรป #เฮลซิงกิ #โคเปนเฮเกน #สต๊อกโฮล์ม #ทัวร์ดีมีคุณภาพ #ทัวร์ยุโรปราคาดี #ฟินน์แอร์ #ทัวร์ออกแน่นอน #เที่ยวหน้าร้อน #ยุโรปร้อนนี้ต้องไป
    0 Comments 0 Shares 702 Views 0 Reviews
  • โคเปนเฮเกนโต้สหรัฐฯระบุสมควรมีความเคารพต่อเดนมาร์กที่เป็นชาติพันธมิตรนาโตใกล้ชิด ยันเสริมความมั่นคงปกป้องกรีนแลนด์เพิ่มหลังรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และสุภาพสตรีหมายเลข 2 ต้องโดนจำกัดบินเข้าได้แต่ฐานทัพอากาศสหรัฐฯบนกรีนแลนด์ส่วนทรัมป์ไม่ตัดความเป็นไปได้ใช้กำลังทหาร หลังแคนาดาหันไปจับมือออสเตรเลียลุยพัฒนาระบบเรดาร์ทหารป้องกันเขตอาร์กติกร่วมกับออสเตรเลีย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000030408
    โคเปนเฮเกนโต้สหรัฐฯระบุสมควรมีความเคารพต่อเดนมาร์กที่เป็นชาติพันธมิตรนาโตใกล้ชิด ยันเสริมความมั่นคงปกป้องกรีนแลนด์เพิ่มหลังรองประธานาธิบดี เจดี แวนซ์ และสุภาพสตรีหมายเลข 2 ต้องโดนจำกัดบินเข้าได้แต่ฐานทัพอากาศสหรัฐฯบนกรีนแลนด์ส่วนทรัมป์ไม่ตัดความเป็นไปได้ใช้กำลังทหาร หลังแคนาดาหันไปจับมือออสเตรเลียลุยพัฒนาระบบเรดาร์ทหารป้องกันเขตอาร์กติกร่วมกับออสเตรเลีย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000030408
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 1431 Views 0 Reviews
  • แผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการยึดเกาะกรีนแลนด์ อาจนำมาซึ่งสงครามระหว่างอเมริกากับเดนมาร์ก จากคำเตือนของ รัสมุส จาร์ลอฟ สส.เดนมาร์ก และประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมของรัฐสภา พร้อมประกาศกร้าวว่าโคเปนเฮเกนจะไม่ยอมสละเกาะในแถบอาร์กติกแห่งนี้ให้แก่อเมริกา

    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000025072
    แผนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ในการยึดเกาะกรีนแลนด์ อาจนำมาซึ่งสงครามระหว่างอเมริกากับเดนมาร์ก จากคำเตือนของ รัสมุส จาร์ลอฟ สส.เดนมาร์ก และประธานคณะกรรมาธิการกลาโหมของรัฐสภา พร้อมประกาศกร้าวว่าโคเปนเฮเกนจะไม่ยอมสละเกาะในแถบอาร์กติกแห่งนี้ให้แก่อเมริกา อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000025072
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 2303 Views 0 Reviews
  • พรรคเดโมคราติกซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านกลางขวาสามารถเอาชนะเลือกตั้งรัฐสภากรีนแลนด์สำเร็จวันอังคาร (11 มี.ค.) ท่ามกลางสายตาจับตาจากทั้งโลกหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ข่มขู่ต้องการผนวกกรีนแลนด์ของเดนมาร์กเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ และมีเสียงมากขึ้นจากประชาชนกรีนแลนด์ต้องการแยกตัวเป็นเอกราชจากโคเปนเฮเกน

    อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000024099
    พรรคเดโมคราติกซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านกลางขวาสามารถเอาชนะเลือกตั้งรัฐสภากรีนแลนด์สำเร็จวันอังคาร (11 มี.ค.) ท่ามกลางสายตาจับตาจากทั้งโลกหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ข่มขู่ต้องการผนวกกรีนแลนด์ของเดนมาร์กเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ และมีเสียงมากขึ้นจากประชาชนกรีนแลนด์ต้องการแยกตัวเป็นเอกราชจากโคเปนเฮเกน อ่านต่อ..https://sondhitalk.com/detail/9680000024099
    Like
    Haha
    Sad
    10
    0 Comments 0 Shares 2631 Views 0 Reviews
  • เดนมาร์กเปิดเผย จะทุ่มงบประมาณ 14,600 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (ประมาณ 2,050 ล้านดอลลาร์ หรือ 69,000 ล้านบาท) เสริมประจำการทางทหารในอาร์กติก ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงความสนใจซ้ำๆ ที่จะเข้าควบคุมกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก และเย้ยหยันโคเปนเฮเกน ว่าไม่มีศักยภาพพอที่จะปกป้องเกาะแห่งนี้
    .
    ในเดือนนี้ ทรัมป์ บอกว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และเดนมาร์กต้องปล่อยมือจากการควบคุมเกาะอาร์กติกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้
    .
    หลังจากปรับลดการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองลงอย่างมากมานานกว่า 1 ทศวรรษ เดนมาร์ก แถลงในวันจันทร์ (27 ม.ค.) ว่าจะใช้จ่ายเงิน 14,600 ล้านโครเนอ ในการเสริมความมั่นคงในภูมิภาคอาร์กติก ดินแดนยุทธศาสตร์ใกล้กับทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย
    .
    "เราต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า มีความท้าทายร้ายแรงในเรื่องความมั่นคงและด้านการป้องกันตนเองในอาร์กติกและนอร์ทแอตแลนติก" โทรเอลส์ ลุนด์ โพลเซน รัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุในถ้อยแถลง
    .
    ในขณะที่ เดนมาร์ก รับผิดชอบมอบความมั่นคงและการป้องกันตนเองแก่กรีนแลนด์ แต่พวกเขากลับมีแสนยานุภาพทางทหารอย่างจำกัดบนเกาะที่ใหญ่โตแห่งนี้ จนถึงมองอย่างกว้างว่าเป็นหลุมดำด้านความมั่นคง
    .
    ณ ปัจจุบัน ศักยภาพของเดนมาร์กนั้นมีเพียงแค่เรือตรวจการณ์เก่าเก็บ 4 ลำ เครื่องบินลาดตระเวนชาลเลนเจอร์ 1 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 12 ตัว ซึ่งทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจการณ์ทั่วเกาะ ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าฝรั่งเศสถึง 4 เท่า
    .
    ในงบประมาณใหม่นี้ รวมไปถึงเงินทุนสำหรับเรือราชนาวีอาร์กติกใหม่ 3 ลำ เพิ่มโดรนตรวจการณ์ระยะไกลที่วางแผนไว้อีกเท่าตัวเป็น 4 ลำ เช่นเดียวกับดาวเทียวสอดแนม ถ้อยแถลงรัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุ
    .
    รายงานข่าวระบุว่า บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ของเดนมาร์ก เห็นพ้องกันจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับอาร์กติก ในข้อตกลงหนึ่งๆ ที่จะนำเสนอในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
    .
    ในด้านกองทัพสหรัฐฯ พวกเขามีกำลังพลประจำการถาวรอยู่ ณ ฐานทัพอวกาศพิทัฟฟิก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ตำแหน่งยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของระบบแจ้งเตือนขีปนาวุธล่วงหน้า ในขณะที่จุดดังกล่าวเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดสำหรับเดินทางจากยุโรปไปยังอเมริกาเหนือ ผ่านเกาะแห่งนี้
    .
    ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (25 ม.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน บอกว่า เดนมาร์กไม่มีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะปกป้องเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นการเย้ยยันข่าวลือที่หลุดออกมาว่า เดนมาร์กมีแผนเพิ่มประจำการทางทหารบนเกาะในอาร์กติกแห่งนี้
    .
    ทรัมป์ เคยหยิบยกความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์ ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก และรื้อฟื้นความคิดดังกล่าวหลังได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
    .
    ผู้นำอเมริการายนี้เน้นย้ำว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญในด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ในขณะที่เดนมาร์กปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย
    .
    ทรัมป์ กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าเกาะกรีนแลนด์ เราจะได้มันมา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ เพื่อเสรีภาพของโลก มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสหรัฐฯ เหนือสิ่งอื่นใดที่เรามีคือ สามารถมอบเสรีภาพ เดนมาร์กไม่สามารถมอบให้ได้ พวกเขาส่งสุนัขลากเลื่อนเข้าไปอีก 2 ตัวเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พวกเขาคิดหรือว่านั่นเป็นการป้องกัน" ทรัมป์บอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส
    .
    ดูเหมือนว่า ทรัมป์ จะพาดพิงถึงถ้อยแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมของเดนมาร์ก ที่บอกว่าโคเปนเฮเกนมีแผนเพิ่มเติมเรือตรวจการณ์ 2 ลำ โดรน 2 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 2 ตัว เข้าไปเสริมกองกำลังพล 75 นาย เรือ 4 ลำ และเครื่องบินลาดตระเวน 1 ลำ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
    .
    "ผมไม่รู้ว่า เดนมาร์ก จะอ้างว่าอย่างไร แต่มันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรมากๆ หากพวกเขาไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น" ทรัมป์บอกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมอ้างว่า "ประชาชนชาวกรีนแลนด์ต้องการเข้าร่วมกับเรา"
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008692
    ..............
    Sondhi X
    เดนมาร์กเปิดเผย จะทุ่มงบประมาณ 14,600 ล้านโครเนอเดนมาร์ก (ประมาณ 2,050 ล้านดอลลาร์ หรือ 69,000 ล้านบาท) เสริมประจำการทางทหารในอาร์กติก ตามหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงความสนใจซ้ำๆ ที่จะเข้าควบคุมกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก และเย้ยหยันโคเปนเฮเกน ว่าไม่มีศักยภาพพอที่จะปกป้องเกาะแห่งนี้ . ในเดือนนี้ ทรัมป์ บอกว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และเดนมาร์กต้องปล่อยมือจากการควบคุมเกาะอาร์กติกที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งนี้ . หลังจากปรับลดการใช้จ่ายด้านการป้องกันตนเองลงอย่างมากมานานกว่า 1 ทศวรรษ เดนมาร์ก แถลงในวันจันทร์ (27 ม.ค.) ว่าจะใช้จ่ายเงิน 14,600 ล้านโครเนอ ในการเสริมความมั่นคงในภูมิภาคอาร์กติก ดินแดนยุทธศาสตร์ใกล้กับทั้งสหรัฐฯ และรัสเซีย . "เราต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า มีความท้าทายร้ายแรงในเรื่องความมั่นคงและด้านการป้องกันตนเองในอาร์กติกและนอร์ทแอตแลนติก" โทรเอลส์ ลุนด์ โพลเซน รัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุในถ้อยแถลง . ในขณะที่ เดนมาร์ก รับผิดชอบมอบความมั่นคงและการป้องกันตนเองแก่กรีนแลนด์ แต่พวกเขากลับมีแสนยานุภาพทางทหารอย่างจำกัดบนเกาะที่ใหญ่โตแห่งนี้ จนถึงมองอย่างกว้างว่าเป็นหลุมดำด้านความมั่นคง . ณ ปัจจุบัน ศักยภาพของเดนมาร์กนั้นมีเพียงแค่เรือตรวจการณ์เก่าเก็บ 4 ลำ เครื่องบินลาดตระเวนชาลเลนเจอร์ 1 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 12 ตัว ซึ่งทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบตรวจการณ์ทั่วเกาะ ที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าฝรั่งเศสถึง 4 เท่า . ในงบประมาณใหม่นี้ รวมไปถึงเงินทุนสำหรับเรือราชนาวีอาร์กติกใหม่ 3 ลำ เพิ่มโดรนตรวจการณ์ระยะไกลที่วางแผนไว้อีกเท่าตัวเป็น 4 ลำ เช่นเดียวกับดาวเทียวสอดแนม ถ้อยแถลงรัฐมนตรีกลาโหมเดนมาร์กระบุ . รายงานข่าวระบุว่า บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ของเดนมาร์ก เห็นพ้องกันจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับอาร์กติก ในข้อตกลงหนึ่งๆ ที่จะนำเสนอในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ . ในด้านกองทัพสหรัฐฯ พวกเขามีกำลังพลประจำการถาวรอยู่ ณ ฐานทัพอวกาศพิทัฟฟิก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะกรีนแลนด์ ตำแหน่งยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของระบบแจ้งเตือนขีปนาวุธล่วงหน้า ในขณะที่จุดดังกล่าวเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดสำหรับเดินทางจากยุโรปไปยังอเมริกาเหนือ ผ่านเกาะแห่งนี้ . ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (25 ม.ค.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน บอกว่า เดนมาร์กไม่มีแสนยานุภาพเพียงพอที่จะปกป้องเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ความเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนเป็นการเย้ยยันข่าวลือที่หลุดออกมาว่า เดนมาร์กมีแผนเพิ่มประจำการทางทหารบนเกาะในอาร์กติกแห่งนี้ . ทรัมป์ เคยหยิบยกความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์ ครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก และรื้อฟื้นความคิดดังกล่าวหลังได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา . ผู้นำอเมริการายนี้เน้นย้ำว่ากรีนแลนด์มีความสำคัญในด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และไม่ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ในขณะที่เดนมาร์กปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีไว้ขาย . ทรัมป์ กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าเกาะกรีนแลนด์ เราจะได้มันมา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆ เพื่อเสรีภาพของโลก มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสหรัฐฯ เหนือสิ่งอื่นใดที่เรามีคือ สามารถมอบเสรีภาพ เดนมาร์กไม่สามารถมอบให้ได้ พวกเขาส่งสุนัขลากเลื่อนเข้าไปอีก 2 ตัวเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พวกเขาคิดหรือว่านั่นเป็นการป้องกัน" ทรัมป์บอกกับไฟแนนเชียลไทม์ส . ดูเหมือนว่า ทรัมป์ จะพาดพิงถึงถ้อยแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมของเดนมาร์ก ที่บอกว่าโคเปนเฮเกนมีแผนเพิ่มเติมเรือตรวจการณ์ 2 ลำ โดรน 2 ลำ และสุนัขลากเลื่อนลาดตระเวน 2 ตัว เข้าไปเสริมกองกำลังพล 75 นาย เรือ 4 ลำ และเครื่องบินลาดตระเวน 1 ลำ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน . "ผมไม่รู้ว่า เดนมาร์ก จะอ้างว่าอย่างไร แต่มันจะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตรมากๆ หากพวกเขาไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น" ทรัมป์บอกเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมอ้างว่า "ประชาชนชาวกรีนแลนด์ต้องการเข้าร่วมกับเรา" . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008692 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    8
    0 Comments 0 Shares 1695 Views 0 Reviews
  • เชื่อว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจได้ความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์จากทายาทเครื่องสำอาง ESTÉE LAUDER “โรแนลด์ ลอเดอร์” (Ronald Lauder) เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นายกรัฐมนตรีอิตาลีฟันธง เหมือนสัญญาณเตือนไป “ปักกิ่ง” ไม่กี่วันหลังวอชิงตันล็อบบี้ไม่ให้ขายบริษัทเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ของกรีนแลนด์ไปให้ปักกิ่ง
    .
    หนังสือพิมพ์ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษรายงานวันพุธ (8 ม.ค.) ว่า มีการเชื่อว่า ความคิดการซื้อเกาะกรีนแลนด์อาจมาจากเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของทรัมป์ ทายาทเครื่องสำอาง ESTÉE LAUDER “โรแนลด์ ลอเดอร์” (Ronald Lauder) อ้างจากหนังสือ The Divider ของปีเตอร์ เบเกอร์ (Peter Baker) จากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และซูซาน กลาสเซอร์ (Susan Glasser) จาก The New Yorker ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอดีตผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่อยู่ในทำเนียบขาวระหว่างปี 2017-2021
    .
    “เพื่อนคนหนึ่งของผมที่เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์มากๆ คิดว่าเราควรได้เกาะกรีนแลนด์” ทรัมป์กล่าวต่อที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในเวลานั้น อ้างอิงจากหนังสือ
    .
    ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในเวลานั้นถามย้ำว่า “คุณคิดว่าอย่างไร?”
    .
    และส่งผลทำให้มีการตั้งทีมศึกษา การหาทางออกต่างๆ เป็นต้นว่า ข้อเสนอขอเช่าเกาะ ที่คล้ายข้อตกลงอสังหาริมทรัพย์นิวยอร์ก
    .
    อ้างอิงจากนิวยอร์กไทม์ส มีความวิตกในกลุ่มผู้ช่วยทรัมป์ว่า หากแนวคิดการซื้อเกาะกรีนแลนด์หากรั่วออกไปอาจส่งผลกระทบทางการทูตได้
    .
    ทรัมป์ให้มสัมภาษณ์กับผู้แต่งว่า “ผมพูดว่า ทำไมพวกเราไม่ครอบครองมัน” และเสริมว่า “คุณมองไปที่แผนที่สิ ผมเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผมมองไปที่ตรงมุม ผมพูดว่า ผมจะต้องมีร้านสำหรับตึกที่ผมกำลังจะสร้างและอื่นๆ มันไม่ต่างกันเลย”
    .
    ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่า “ผมรักแผน และผมมักพูดว่า มองไปที่ขนาดของมันสิ มันใหญ่มหึมามาก มันสมควรเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา”
    .
    ดิอินดีเพนเดนท์รายงานว่า อ้างอิงจากหนังสือพบว่า ทายาท Estée Lauder ได้หารือกับทรัมป์เกี่ยวกับเกาะกรีนแลนด์มาตั้งแต่เริ่มแรกของสมัยการดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2017 และแม้กระทั่งเสนอตัวเองเป็นประตูหลังติดต่อรัฐบาลเดนมาร์กสำหรับการเจรจาต่อรอง
    .
    ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ จอห์น โบลตัน (John Bolton) ในเวลานั้นได้สั่งผู้ช่วยของเขา ฟิโอนา ฮิลล์ (Fiona Hill) ให้ตั้งทีมงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ และพบมีการแอบหารือลับร่วมกับเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก พร้อมกับเมโมเสนอช่องทางตัวเลือก
    .
    ทั้งนี้ โบลตันวิตกการแผ่อิทธิพลของ "ปักกิ่ง" มายังภูมิภาคอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ และเชื่อว่าการที่สหรัฐฯ จะเพิ่มอิทธิพลปรากฏตัวบนเกาะกรีนแลนด์จะเป็นความคิดที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม โบลตันเชื่อว่า ความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์นั้นไม่มีความเป็นไปได้
    .
    มีการสานสัมพันธ์ระหว่างกรีนแลนด์และจีน อ้างอิงจาก highnorthnews รายงานเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ปี 2021 ว่า เกาะกรีนแลนด์ได้เปิดสำนักงานตัวแทนขึ้นที่กรุงปักกิ่ง เพื่อโปรโมตทางเศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรมระหว่างกรีนแลนด์และเอเชีย โดยมีเป้าหมายไปที่ "จีน" แต่ยังครอบคลุมไปถึงญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้
    .
    ความกังวลของโบลตันเกี่ยวกับกรีนแลนด์ในเวลานั้นยังสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของวอชิงตันเมื่อล่าสุด
    .
    รอยเตอร์รายงานวันศุกร์ (10) ล่าสุดว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่กำลังจะหมดสมัยได้ร่วมกับโคเปนเฮเกนแอบล็อบบี้บริษัทเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) Tanbreez Mining ของกรีนแลนด์ที่มีนโยบายว่า ทำเหมืองเพื่อเทคโนโลยีสะอาดกว่า (Mining for Greener Technologies) ไม่ให้ถูกขายไปให้ปักกิ่ง
    .
    แร่แรร์เอิร์ธนั้นมีคุณสมบัติความเป็นแม่เหล็กสูงและมีความสำคัญต่อการพัฒนาตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงจรวดมิสไซล์ที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างแข่งขันเพื่อครอบครอง
    .
    เกร็ก บาร์นส์ (Greg Barnes) ซีอีโอบริษัท Tanbreez Mining ที่ขัดสนเงินให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันปีที่แล้วเดินทางมาที่ทางใต้ของเกาะกรีนแลนด์ถึง 2 ครั้งเพื่อเตือนไม่ให้ขายไปให้ผู้ซื้อที่เชื่อมโยงกับปักกิ่ง
    .
    และในท้ายที่สุดเขาจำเป็นต้องขายบริษัทเหมืองแร่กรีนแลนด์ไปให้บริษัทเหมืองแร่ Critical Metals ที่มีฐานในนิวยอร์กในข้อตกลงที่สลับซับซ้อนและได้เงินน้อยกว่า ซึ่งสัญญาจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้
    .
    ทั้งนี้บาร์นส์จะได้เงินสด 5 ล้านดอลลาร์และหุ้นใน Critical Metals สำหรับ Tanbreez Mining เป็นมูลค่า 211 ล้านดอลลาร์ เป็นมูลค่าสัญญาขายน้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบออกมาจากฝั่งของบริษัทจีน
    .
    ทรัมป์ต้องการได้เกาะกรีนแลนด์เพื่อกันจีนนั้นยังออกมาจากความเห็นของนายกรัฐมนตรีอิตาลี จอร์เจีย เมโลนี (Giorgia Meloni)
    .
    ฟรานซ์24 ของฝรั่งเศสรายงานวันพฤหัสบดี (9) ว่า ผู้นำหญิงอิตาลีเปิดเผยว่า เธอมองว่าการที่ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันคนใหม่ข่มขู่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์หรือคลองปานามาเป็นเสมือนคำเตือนไปยังประเทศฝ่ายตรงข้ามเป็นต้นว่า “จีน” ที่สมควรทำตัวออกห่างจากพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ
    .
    เดลีเมลของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (11) ว่า นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ Múte Egede ในวันศุกร์ (10) ที่เดนมาร์ก ได้แสดงความปรารถนาจะเข้าสู่การเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมย้ำว่า “ชาวกรีนแลนด์ไม่ต้องการเป็นอเมริกันชน”
    .
    เกิดขึ้นหลังแอ็กซิออส (Axios) รายงานว่า เจ้าหน้าที่เดนมาร์กได้สื่อสารในทางลับกับทีมของทรัมป์ประเด็นเกาะกรีนแลนด์ก่อนหน้าวันพิธีสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค.
    .
    สหรัฐฯ ที่ตั้งชาติมาอย่างหลากหลายวิธีทั้งสู้รบในสงครามปฏิวัติอเมริกากับอังกฤษ และการสู้รบสเปน และเม็กซิโกในการขยายดินแดน และยังรวมไปถึงการใช้เงินเพื่อซื้อดินแดน
    .
    เดลีเมลของอังกฤษประเมินว่า หากสหรัฐฯ เดินหน้าซื้อเกาะกรีนแลนด์จริงอาจต้องจ่ายแพงกว่าตอนซื้อรัฐอะแลสกาจากรัสเซียเมื่อปี 1867 ในราคา 7.2 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 153.5 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
    .
    โดยชี้ว่า เกาะกรีนแลนด์ใหญ่กว่ารัฐอะแลสกา 150 เท่า คาดว่าอาจต้องควักกระเป๋าจ่ายถึง 230.25 ล้านดอลลาร์
    สหรัฐฯ เคยซื้อเกาะเวอร์จินจากเดนมาร์กเมื่อปี 1917 ด้วยทองคำมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ 616.2 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
    .
    และรัฐบาลลุงแซมยังเคยทุ่มซื้อรัฐลุยเซียนาจากฝรั่งเศสเมื่อปี 1803 ในราคา 15 ล้านดอลลาร์ หรือตกราว 418.8 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003916
    ..............
    Sondhi X
    เชื่อว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจได้ความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์จากทายาทเครื่องสำอาง ESTÉE LAUDER “โรแนลด์ ลอเดอร์” (Ronald Lauder) เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นายกรัฐมนตรีอิตาลีฟันธง เหมือนสัญญาณเตือนไป “ปักกิ่ง” ไม่กี่วันหลังวอชิงตันล็อบบี้ไม่ให้ขายบริษัทเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) ของกรีนแลนด์ไปให้ปักกิ่ง . หนังสือพิมพ์ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษรายงานวันพุธ (8 ม.ค.) ว่า มีการเชื่อว่า ความคิดการซื้อเกาะกรีนแลนด์อาจมาจากเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของทรัมป์ ทายาทเครื่องสำอาง ESTÉE LAUDER “โรแนลด์ ลอเดอร์” (Ronald Lauder) อ้างจากหนังสือ The Divider ของปีเตอร์ เบเกอร์ (Peter Baker) จากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส และซูซาน กลาสเซอร์ (Susan Glasser) จาก The New Yorker ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับอดีตผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะที่อยู่ในทำเนียบขาวระหว่างปี 2017-2021 . “เพื่อนคนหนึ่งของผมที่เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์มากๆ คิดว่าเราควรได้เกาะกรีนแลนด์” ทรัมป์กล่าวต่อที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติในเวลานั้น อ้างอิงจากหนังสือ . ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ในเวลานั้นถามย้ำว่า “คุณคิดว่าอย่างไร?” . และส่งผลทำให้มีการตั้งทีมศึกษา การหาทางออกต่างๆ เป็นต้นว่า ข้อเสนอขอเช่าเกาะ ที่คล้ายข้อตกลงอสังหาริมทรัพย์นิวยอร์ก . อ้างอิงจากนิวยอร์กไทม์ส มีความวิตกในกลุ่มผู้ช่วยทรัมป์ว่า หากแนวคิดการซื้อเกาะกรีนแลนด์หากรั่วออกไปอาจส่งผลกระทบทางการทูตได้ . ทรัมป์ให้มสัมภาษณ์กับผู้แต่งว่า “ผมพูดว่า ทำไมพวกเราไม่ครอบครองมัน” และเสริมว่า “คุณมองไปที่แผนที่สิ ผมเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผมมองไปที่ตรงมุม ผมพูดว่า ผมจะต้องมีร้านสำหรับตึกที่ผมกำลังจะสร้างและอื่นๆ มันไม่ต่างกันเลย” . ผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่า “ผมรักแผน และผมมักพูดว่า มองไปที่ขนาดของมันสิ มันใหญ่มหึมามาก มันสมควรเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา” . ดิอินดีเพนเดนท์รายงานว่า อ้างอิงจากหนังสือพบว่า ทายาท Estée Lauder ได้หารือกับทรัมป์เกี่ยวกับเกาะกรีนแลนด์มาตั้งแต่เริ่มแรกของสมัยการดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2017 และแม้กระทั่งเสนอตัวเองเป็นประตูหลังติดต่อรัฐบาลเดนมาร์กสำหรับการเจรจาต่อรอง . ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ จอห์น โบลตัน (John Bolton) ในเวลานั้นได้สั่งผู้ช่วยของเขา ฟิโอนา ฮิลล์ (Fiona Hill) ให้ตั้งทีมงานเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ และพบมีการแอบหารือลับร่วมกับเอกอัครราชทูตเดนมาร์ก พร้อมกับเมโมเสนอช่องทางตัวเลือก . ทั้งนี้ โบลตันวิตกการแผ่อิทธิพลของ "ปักกิ่ง" มายังภูมิภาคอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ และเชื่อว่าการที่สหรัฐฯ จะเพิ่มอิทธิพลปรากฏตัวบนเกาะกรีนแลนด์จะเป็นความคิดที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม โบลตันเชื่อว่า ความคิดซื้อเกาะกรีนแลนด์นั้นไม่มีความเป็นไปได้ . มีการสานสัมพันธ์ระหว่างกรีนแลนด์และจีน อ้างอิงจาก highnorthnews รายงานเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ปี 2021 ว่า เกาะกรีนแลนด์ได้เปิดสำนักงานตัวแทนขึ้นที่กรุงปักกิ่ง เพื่อโปรโมตทางเศรษฐกิจ การค้า วัฒนธรรมระหว่างกรีนแลนด์และเอเชีย โดยมีเป้าหมายไปที่ "จีน" แต่ยังครอบคลุมไปถึงญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ . ความกังวลของโบลตันเกี่ยวกับกรีนแลนด์ในเวลานั้นยังสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของวอชิงตันเมื่อล่าสุด . รอยเตอร์รายงานวันศุกร์ (10) ล่าสุดว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ที่กำลังจะหมดสมัยได้ร่วมกับโคเปนเฮเกนแอบล็อบบี้บริษัทเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth) Tanbreez Mining ของกรีนแลนด์ที่มีนโยบายว่า ทำเหมืองเพื่อเทคโนโลยีสะอาดกว่า (Mining for Greener Technologies) ไม่ให้ถูกขายไปให้ปักกิ่ง . แร่แรร์เอิร์ธนั้นมีคุณสมบัติความเป็นแม่เหล็กสูงและมีความสำคัญต่อการพัฒนาตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าไปจนถึงจรวดมิสไซล์ที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างแข่งขันเพื่อครอบครอง . เกร็ก บาร์นส์ (Greg Barnes) ซีอีโอบริษัท Tanbreez Mining ที่ขัดสนเงินให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันปีที่แล้วเดินทางมาที่ทางใต้ของเกาะกรีนแลนด์ถึง 2 ครั้งเพื่อเตือนไม่ให้ขายไปให้ผู้ซื้อที่เชื่อมโยงกับปักกิ่ง . และในท้ายที่สุดเขาจำเป็นต้องขายบริษัทเหมืองแร่กรีนแลนด์ไปให้บริษัทเหมืองแร่ Critical Metals ที่มีฐานในนิวยอร์กในข้อตกลงที่สลับซับซ้อนและได้เงินน้อยกว่า ซึ่งสัญญาจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ . ทั้งนี้บาร์นส์จะได้เงินสด 5 ล้านดอลลาร์และหุ้นใน Critical Metals สำหรับ Tanbreez Mining เป็นมูลค่า 211 ล้านดอลลาร์ เป็นมูลค่าสัญญาขายน้อยกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบออกมาจากฝั่งของบริษัทจีน . ทรัมป์ต้องการได้เกาะกรีนแลนด์เพื่อกันจีนนั้นยังออกมาจากความเห็นของนายกรัฐมนตรีอิตาลี จอร์เจีย เมโลนี (Giorgia Meloni) . ฟรานซ์24 ของฝรั่งเศสรายงานวันพฤหัสบดี (9) ว่า ผู้นำหญิงอิตาลีเปิดเผยว่า เธอมองว่าการที่ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันคนใหม่ข่มขู่จะใช้กำลังทหารเข้ายึดเกาะกรีนแลนด์หรือคลองปานามาเป็นเสมือนคำเตือนไปยังประเทศฝ่ายตรงข้ามเป็นต้นว่า “จีน” ที่สมควรทำตัวออกห่างจากพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ . เดลีเมลของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (11) ว่า นายกรัฐมนตรีกรีนแลนด์ Múte Egede ในวันศุกร์ (10) ที่เดนมาร์ก ได้แสดงความปรารถนาจะเข้าสู่การเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับผลประโยชน์ร่วมกัน พร้อมย้ำว่า “ชาวกรีนแลนด์ไม่ต้องการเป็นอเมริกันชน” . เกิดขึ้นหลังแอ็กซิออส (Axios) รายงานว่า เจ้าหน้าที่เดนมาร์กได้สื่อสารในทางลับกับทีมของทรัมป์ประเด็นเกาะกรีนแลนด์ก่อนหน้าวันพิธีสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค. . สหรัฐฯ ที่ตั้งชาติมาอย่างหลากหลายวิธีทั้งสู้รบในสงครามปฏิวัติอเมริกากับอังกฤษ และการสู้รบสเปน และเม็กซิโกในการขยายดินแดน และยังรวมไปถึงการใช้เงินเพื่อซื้อดินแดน . เดลีเมลของอังกฤษประเมินว่า หากสหรัฐฯ เดินหน้าซื้อเกาะกรีนแลนด์จริงอาจต้องจ่ายแพงกว่าตอนซื้อรัฐอะแลสกาจากรัสเซียเมื่อปี 1867 ในราคา 7.2 ล้านดอลลาร์ หรือเท่ากับ 153.5 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน . โดยชี้ว่า เกาะกรีนแลนด์ใหญ่กว่ารัฐอะแลสกา 150 เท่า คาดว่าอาจต้องควักกระเป๋าจ่ายถึง 230.25 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ เคยซื้อเกาะเวอร์จินจากเดนมาร์กเมื่อปี 1917 ด้วยทองคำมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับ 616.2 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน . และรัฐบาลลุงแซมยังเคยทุ่มซื้อรัฐลุยเซียนาจากฝรั่งเศสเมื่อปี 1803 ในราคา 15 ล้านดอลลาร์ หรือตกราว 418.8 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000003916 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Yay
    5
    0 Comments 0 Shares 2573 Views 0 Reviews
  • 24/12/67

    โรคขี้เกียจเดินของผู้สูงวัย. โรคซาร์โคเพเนีย (Sarcopenia) คือ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และ ความแข็งแรงเป็นผลมาจากการแก่ตัว หรือ การเป็นผู้สูงอายุที่ขี้เกียจเดิน

    ผู้สูงอายุทุกท่าน ระวัง “ซาร์โคเพเนีย” จะมาเยือนท่าน

    1. พยายามยืน/เดิน ให้มากขึ้น นั่ง/นอน เท่าที่จำเป็น

    2. หลังอายุ 60 ~ 70 ปี ยากที่จะลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ออกกำลังกาย และพึ่งพา การกินให้น้อยลงเพื่อลดน้ำหนัก! กล้ามเนื้อทั้งหมดอาจหายไป มันอันตรายมากนะ

    3. การเดิน การขี่จักรยาน เป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เจ็บเข่า

    4. ถ้าผู้สูงอายุป่วย และเข้าโรงพยาบาล การนอนเพียง 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ จะเสียมวลกล้ามเนื้ออย่างน้อย 5%

    5. ปกติผู้สูงอายุ จำนวนมาก ที่ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง ที่จ้างผู้ช่วยคอยดูแล คอยพยุง จะยิ่งสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเร็วขึ้น

    6. ตราบใดที่ผู้สูงอายุ พยายามเดิน หรือเคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ่อยๆ กล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกายจะเกี่ยวข้อง! รวมไปถึงการกลืนอาหาร ก็จักดีขึ้น

    7. โรคซาร์โคเพเนีย นั้น ความจริง น่ากลัวมากกว่าโรคกระดูกพรุน
    เพราะ โรคซาร์โคเพเนียไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย

    8. ผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยเดิน หรือ ขาเคลื่อนไหวน้อย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง

    ดังนั้น อย่างน้อย ฝึกนั่งสควอต (ยืน/นั่ง ยอง วันละ 20-30 ครั้ง) หรือ ยืนขึ้นทันที เมื่อก้นของคุณ สัมผัสที่นั่งบนเก้าอี้ วันละ 20-30 ครั้งก็ยังดี

    ดังนั้น วันนี้ คุณต้องใส่ใจกับ ซาร์โคเพเนีย!แล้วนะ

    ขึ้น & ลงบันได ... การเดิน ในทุกวัน สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้! เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น…สำหรับทุกคนเมื่อเป็นผู้สูงวัย...

    ▪การศึกษา จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์กพบว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ของการไม่เดิน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา สามารถ *ลดประสิทธิภาพของขาลงได้ถึง 1 ใน 3* ซึ่งเท่ากับอายุเพิ่มขึ้น 20 - 30 ปี !! *งั้นเดินไปเถอะ*

    ▪เมื่อใด กล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแอลง เราจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวในภายหลัง

    ▪ดังนั้น การเดินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก

    ▪ 50% ของกระดูก & 50% ของกล้ามเนื้อ อยู่ในสองขาของเรา

    ▪ข้อต่อ & กระดูกที่ใหญ่ที่สุด & แข็งแรงที่สุด ก็อยู่ที่ขาของเรา *ดังนั้น พยายามเดินให้ได้ ในทุกวัน*
    cr:กลุ่มไลน์
    #เพจสุขภาพและความงามโดยเยาว์
    24/12/67 โรคขี้เกียจเดินของผู้สูงวัย. โรคซาร์โคเพเนีย (Sarcopenia) คือ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ โครงกระดูก และ ความแข็งแรงเป็นผลมาจากการแก่ตัว หรือ การเป็นผู้สูงอายุที่ขี้เกียจเดิน ผู้สูงอายุทุกท่าน ระวัง “ซาร์โคเพเนีย” จะมาเยือนท่าน 1. พยายามยืน/เดิน ให้มากขึ้น นั่ง/นอน เท่าที่จำเป็น 2. หลังอายุ 60 ~ 70 ปี ยากที่จะลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ออกกำลังกาย และพึ่งพา การกินให้น้อยลงเพื่อลดน้ำหนัก! กล้ามเนื้อทั้งหมดอาจหายไป มันอันตรายมากนะ 3. การเดิน การขี่จักรยาน เป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เจ็บเข่า 4. ถ้าผู้สูงอายุป่วย และเข้าโรงพยาบาล การนอนเพียง 1 สัปดาห์ ผู้สูงอายุ จะเสียมวลกล้ามเนื้ออย่างน้อย 5% 5. ปกติผู้สูงอายุ จำนวนมาก ที่ไม่ทำอะไรด้วยตนเอง ที่จ้างผู้ช่วยคอยดูแล คอยพยุง จะยิ่งสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเร็วขึ้น 6. ตราบใดที่ผู้สูงอายุ พยายามเดิน หรือเคลื่อนไหวด้วยตัวเองบ่อยๆ กล้ามเนื้อทั้งหมดของร่างกายจะเกี่ยวข้อง! รวมไปถึงการกลืนอาหาร ก็จักดีขึ้น 7. โรคซาร์โคเพเนีย นั้น ความจริง น่ากลัวมากกว่าโรคกระดูกพรุน เพราะ โรคซาร์โคเพเนียไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย 8. ผู้สูงอายุ ที่ไม่ค่อยเดิน หรือ ขาเคลื่อนไหวน้อย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง ดังนั้น อย่างน้อย ฝึกนั่งสควอต (ยืน/นั่ง ยอง วันละ 20-30 ครั้ง) หรือ ยืนขึ้นทันที เมื่อก้นของคุณ สัมผัสที่นั่งบนเก้าอี้ วันละ 20-30 ครั้งก็ยังดี ดังนั้น วันนี้ คุณต้องใส่ใจกับ ซาร์โคเพเนีย!แล้วนะ ขึ้น & ลงบันได ... การเดิน ในทุกวัน สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้! เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น…สำหรับทุกคนเมื่อเป็นผู้สูงวัย... ▪การศึกษา จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ในเดนมาร์กพบว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ของการไม่เดิน ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา สามารถ *ลดประสิทธิภาพของขาลงได้ถึง 1 ใน 3* ซึ่งเท่ากับอายุเพิ่มขึ้น 20 - 30 ปี !! *งั้นเดินไปเถอะ* ▪เมื่อใด กล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแอลง เราจะต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัวในภายหลัง ▪ดังนั้น การเดินจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ▪ 50% ของกระดูก & 50% ของกล้ามเนื้อ อยู่ในสองขาของเรา ▪ข้อต่อ & กระดูกที่ใหญ่ที่สุด & แข็งแรงที่สุด ก็อยู่ที่ขาของเรา *ดังนั้น พยายามเดินให้ได้ ในทุกวัน* cr:กลุ่มไลน์ #เพจสุขภาพและความงามโดยเยาว์
    0 Comments 0 Shares 738 Views 0 Reviews
  • ตั้งแต่ 7 พ.ย.นี้ สายการบิน SAS ยุติเที่ยวบินให้บริการจากโคเปนเฮเกนไปยังเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากสายการบิน Nordic เข้าร่วมกับสายการบินในยุโรปที่กำลังเติบโต โดยถอยออกจากตลาดการบินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

    10 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวจากเว็บไซต์ของสายการบิน SAS ระบุไว้ว่า“เนื่องจากสภาวะตลาดในปัจจุบัน เราได้ทำการตัดสินใจที่ยากลำบากในการระงับบริการไปยังเซี่ยงไฮ้” สายการบินระบุในแถลงการณ์ โดยเที่ยวบินสุดท้ายที่จะให้บริการในเส้นทางนี้คือวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้

    ทั้งนี้ สแกน ดิเนเวียนแอร์ไลน์ ( SAS ) เป็นสายการบินประจำชาติ ของ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และ สวีเดน ย่อมาจาก Scandinavian Airlines System และเรียกตามกฎหมายว่า Scandinavian Airlines

    #Thaitimes
    ตั้งแต่ 7 พ.ย.นี้ สายการบิน SAS ยุติเที่ยวบินให้บริการจากโคเปนเฮเกนไปยังเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากสายการบิน Nordic เข้าร่วมกับสายการบินในยุโรปที่กำลังเติบโต โดยถอยออกจากตลาดการบินที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก 10 ตุลาคม 2567- รายงานข่าวจากเว็บไซต์ของสายการบิน SAS ระบุไว้ว่า“เนื่องจากสภาวะตลาดในปัจจุบัน เราได้ทำการตัดสินใจที่ยากลำบากในการระงับบริการไปยังเซี่ยงไฮ้” สายการบินระบุในแถลงการณ์ โดยเที่ยวบินสุดท้ายที่จะให้บริการในเส้นทางนี้คือวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ สแกน ดิเนเวียนแอร์ไลน์ ( SAS ) เป็นสายการบินประจำชาติ ของ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และ สวีเดน ย่อมาจาก Scandinavian Airlines System และเรียกตามกฎหมายว่า Scandinavian Airlines #Thaitimes
    Like
    Sad
    2
    0 Comments 0 Shares 757 Views 0 Reviews
  • จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้….

    ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!!

    ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
    ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน
    ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน
    ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า……
    “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……”
    ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน
    เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore)
    เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..…

    เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน
    2001 ที่ Ljubljana, Slovenia
    คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น
    ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม)
    แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ
    เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

    ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร?
    เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย”
    ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้
    เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร……

    ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย
    และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ
    ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ

    ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม
    พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

    หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย
    บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง)
    อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน
    ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ
    ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน
    และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan
    ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง
    เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น
    ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต
    เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000
    ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี
    ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า
    “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ
    และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…”

    การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช)
    ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม
    และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน
    ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน)
    ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ
    ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ…

    รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย)
    แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น
    อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง…
    และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน
    American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า
    “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……”
    “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..”
    “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..”
    แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป

    สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม
    และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน
    ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน
    เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า
    “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “
    และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย

    แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า
    นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ
    ABM (Anti-Ballistic Missile)
    เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี..

    การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน
    ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก)
    โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที
    ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
    แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู
    และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้
    พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา
    ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย
    และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า
    ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!!

    ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์
    เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก)
    เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร
    เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม
    คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์
    ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……”
    เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร

    ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ
    ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
    เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?”
    คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ……
    ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย
    วิตก……
    กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก
    เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ

    ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา
    ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย
    กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
    ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!!
    การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย
    แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน
    มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
    แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี

    ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่
    ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน
    ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ
    ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข
    แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ)
    เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย

    คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..”
    ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น
    ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว
    เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!!
    และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…)
    ว่า……

    “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………”

    **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006

    Wiwanda W. Vichit
    จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้…. ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!! ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า…… “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……” ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore) เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..… เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน 2001 ที่ Ljubljana, Slovenia คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม) แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย” ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้ เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร…… ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง) อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000 ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…” การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช) ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน) ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ… รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย) แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง… และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……” “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..” “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..” แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “ และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ ABM (Anti-Ballistic Missile) เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี.. การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้ พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!! ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์ เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก) เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์ ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……” เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?” คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ…… ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย วิตก…… กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!! การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ) เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..” ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!! และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…) ว่า…… “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………” **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 1920 Views 0 Reviews