• ความเหมือนที่แตกต่าง จากศัตรูสู่มิตร คู่นึงขออภัยให้อภัยอย่างลูกผู้ชาย อีกคู่สมรู้แก้ต่างแก้ตัวฟอกซั่ว แล้วชิ่งหนีทันทีที่เพื่อนชะตาขาด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    ความเหมือนที่แตกต่าง จากศัตรูสู่มิตร คู่นึงขออภัยให้อภัยอย่างลูกผู้ชาย อีกคู่สมรู้แก้ต่างแก้ตัวฟอกซั่ว แล้วชิ่งหนีทันทีที่เพื่อนชะตาขาด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Yay
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เหตุใดมีผู้สูงวัยเยอะมาก
    เรื่องนี้ที่ต้องนำเสนอเพราะแฟนเพจคิงส์ฯสงสัย
    ว่าเพราะเหตุใด วันที่มีการถ่ายทอดการไลฟ์วันที่แฟนคลับ
    ไปต้อนรับจีกามินที่สนามบิน จึงมีผู้สูงวัยเยอะมาก
    ต้องออกตัวก่อน ว่าโพสนี้ไม่มีแขวะ หรือแซะ แต่วิเคราะห์เพื่อเป็นประโยชน์
    และให้เกิดการตระหนักถึงปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน
    - วันนี้มีจักรวาล แน๊กชาลี มีจักรวาลจีกามิน ที่แยกฐานแฟนอย่างชัดเจน ซึ่งจะบอกว่า จีกามินไม่หลงเหลือคนที่คลั่งไคล้ หรือรักนางจริงๆแล้วเลย ก็ไม่ยุติธรรมนัก แต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไรที่จะกำหนดเทรนนทวิทได้ ตามกลไกของสังคม นอกเสียจากการใช้ระบบบอทในการเจนข้อความตามที่ได้เคยอธิบายวิธีการไปแล้ว และจากที่เห็นคนที่ไปรอรับจีกามิน ก็จะมีความสุขที่ได้เจอคนที่พวกเค้ารอคอย มันก็เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เค้ารัก เค้าหลงของเค้า เราจะไปห้ามก็ไม่ได้ คนเรามันก็ชอบไม่เหมือนกัน
    - ส่วนเรื่องที่สงสัยกันมากว่า ทำไม มีคนสูงอายุเยอะเลย จ้างมาหรือเปล่าอะไรแบบนี้ พี่คิงส์ก็จะพูดเป็นกลางๆครับ ว่าไม่ได้จ้างมา และพี่ก็ไม่ได้มาแก้ต่างแก้ตัวแทน และอยากให้ทุกคนอ่านให้จบ
    - พี่คิงส์ เคยขุดก่อนที่จะมูฟออน และรับรู้ถึงแฟนคลับชั้นลึก หมายถึงในกลุ่มเทพ ห้อง DC ที่ในช่วงแรกๆนั้น เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่รักจีกามิน และชาลี แต่ด้วยชาลีเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการจัดบิ๊กแม๊ต และต้องให้คนไทยด้วยกัน ต้องใช้จ่ายมากมาย ก็ทำให้เกิดความขัดอกขัดใจของผู้ที่เสียประโยชน์ จึงเป็นเหตุให้ ชาลีกลายเป็นคนแปลกหน้า ในสายตาคนในกลุ่ม ซึ่งก็มีป้า จ. ที่เป็นคนที่ออกตัวแรงสุด เพราะป้าเอง ก็มีกำลังใจขึ้นมาจากการฝากใจไว้กับจีกามิน และเหมือนเป็นการบำบัดจิตตัวเองอย่างไม่รู้ตัว จากชอบ เป็นรัก จากรักเป็นคลั่งไคล้ และเทิดทูน อยากให้เป็นนางฟ้าในใจตลอดไป
    - ในกลุ่มนี้ อดีตมีจำนวนถึงห้าพันกว่าคน แต่หลังจากที่จีกามินกลับไปเกาหลี และไม่ติดต่อกับแน๊กชาลี จำนวนสมาชิกที่พร้อมซัพพอตจีกามิน ก็ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน มีจำนวนใกล้จะต่ำกว่าพันไปทุกที
    - พี่คิงส์จึงสืบต่อ และพบว่า จากเมื่อก่อนในจำนวนเริ่มต้นของสมาชิกกลุ่มดีซี ห้าพันกว่าคนนั้น จะเป็นผช.ซัก 80 % ที่เหลือเป็น ผญ. แต่วันนี้เป็นผญ.90% ในจำนวนพันคนนิดๆนี้ และ ป้า จ. ก็เหมือนเป็นจุดเชื่อมใจ ระหว่างคนในห้องกับ จีกามิน โดยจะช่วยกันเชียร์ให้ส่งของขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้ยายหนูของเธอ ซึ่งการทำหน้าที่ของป้า จ. ก็จะใช้เวลาไปกับการแสดงออกทางจิตวิทยา ในการห่วงใย เพราะป้าๆที่เป็นเทพดีซี ในปัจจุบันแทบจะ 100% ที่เป็น ผญ. ล้วนผ่านประสบการณ์ชีวิต และครอบครัวที่่ล้มเหลว คนที่เปย์หนักๆบางคน ยอมเปย์ให้จีกามิน แทนที่จะเก็บเงินไว้ในการรักษาตัวจากโรคะที่ร้ายแรง ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ของป้าเค้านะครับ ก็ได้แค่สงสารแต่ช่วยอะไรไม่ได้ - - ดังนั้น ท่ามกลางภาพของหญิงมีอายุจำนวนมาก ที่มารอรับจีกามิน มันมีเบื้องหลังแห่วงความหดหู่อยู่ไม่น้อย ว่าในประเทศของเรา มีหญิงสูงอายุจำนวนมาก ที่พบความล้มเหลว หรือผ่านความเสียใจ ถึงแม้จะมีเงินมากมายเท่าไหร่ มีธุรกิจใหญ่โต มีทรัพย์มากถึงขนาดที่สามารถเปย์จีกามินได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง แต่กลับไม่พบกับความสุขในชีวิตจริง และยอมเลือก และยอมแลก ทั้งเวลา และทรัพย์สิน เพียงเพื่อได้ชื่นชม ได้เชียร์ ใครซักคนหนึ่ง ที่เป็นตัวละคร พร้อมสตอรี่ที่พาเพ้อฝัน จากป้า จ. ให้ได้มาซึ่งกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไป
    - ก็อย่างที่พี่คิงส์บอกจุดยืนของพี่ไปแล้วเมื่อวาน ว่าพี่คิงส์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสาวต่างด้าว ที่เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย แต่ที่ทำโพสนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้ชายที่ได้มาอ่านโพสนี้ ให้ใส่ใจและดูแลภรรยาของคุณ อย่าให้เธอต้องมีอนาคตที่เป็นหนึ่งในเกมส์แห่งความเศร้านี้ ต้องไปนั่งชม นั่งเชียร์ นั่งเปย์ เสียเวลาทั้งวันทั้งคืน เป็นปีๆ เพียงเพื่อรับเศษความสนใจจากคนที่ไม่เคยรู้จัก เพราะคนที่เปย์ ก็จะได้รับเพียง "ขอบคุณค่า" ขอบคุณมั่กๆ ฉันรักคุณ มันก็แค่นี้จริงๆ ซึ่งตัวแสดงแบบนี้ หรือเหล่านี้ เค้าก็ไม่ได้รู้จักคนเปย์จริง ก็เป็นเพียงแค่เป็นงานที่สร้างรายได้ ก็อย่างที่ให้คำนิยามว่า "เป็นแค่ต่างด้าวมาหากินในไทย" แค่นั้นเอง
    บางที ก็หดหู่นะ แต่ก็ได้แค่รู้สึก เพราะสุดท้าย มันเป็นเงินเค้า เวลาของเค้า ชีวิตของเค้า ที่เค้าควักด้วยความเต็มใจ ถึงบางคนจะอิ๊บอ๋าย หมดเนื้อ หมดตัว มันก็เป็นความอิ๊บอ๋าย ที่อาบด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ดั่งที่เราได้เห็นในภาพป้าๆที่ไปรอต้อนรับนั่นเอง
    #ก็แค่แอบสงสารคนไทยด้วยกัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เหตุใดมีผู้สูงวัยเยอะมาก เรื่องนี้ที่ต้องนำเสนอเพราะแฟนเพจคิงส์ฯสงสัย ว่าเพราะเหตุใด วันที่มีการถ่ายทอดการไลฟ์วันที่แฟนคลับ ไปต้อนรับจีกามินที่สนามบิน จึงมีผู้สูงวัยเยอะมาก ต้องออกตัวก่อน ว่าโพสนี้ไม่มีแขวะ หรือแซะ แต่วิเคราะห์เพื่อเป็นประโยชน์ และให้เกิดการตระหนักถึงปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน - วันนี้มีจักรวาล แน๊กชาลี มีจักรวาลจีกามิน ที่แยกฐานแฟนอย่างชัดเจน ซึ่งจะบอกว่า จีกามินไม่หลงเหลือคนที่คลั่งไคล้ หรือรักนางจริงๆแล้วเลย ก็ไม่ยุติธรรมนัก แต่มันก็ไม่ได้มากมายอะไรที่จะกำหนดเทรนนทวิทได้ ตามกลไกของสังคม นอกเสียจากการใช้ระบบบอทในการเจนข้อความตามที่ได้เคยอธิบายวิธีการไปแล้ว และจากที่เห็นคนที่ไปรอรับจีกามิน ก็จะมีความสุขที่ได้เจอคนที่พวกเค้ารอคอย มันก็เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เค้ารัก เค้าหลงของเค้า เราจะไปห้ามก็ไม่ได้ คนเรามันก็ชอบไม่เหมือนกัน - ส่วนเรื่องที่สงสัยกันมากว่า ทำไม มีคนสูงอายุเยอะเลย จ้างมาหรือเปล่าอะไรแบบนี้ พี่คิงส์ก็จะพูดเป็นกลางๆครับ ว่าไม่ได้จ้างมา และพี่ก็ไม่ได้มาแก้ต่างแก้ตัวแทน และอยากให้ทุกคนอ่านให้จบ - พี่คิงส์ เคยขุดก่อนที่จะมูฟออน และรับรู้ถึงแฟนคลับชั้นลึก หมายถึงในกลุ่มเทพ ห้อง DC ที่ในช่วงแรกๆนั้น เป็นการรวมตัวของกลุ่มคนที่รักจีกามิน และชาลี แต่ด้วยชาลีเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการจัดบิ๊กแม๊ต และต้องให้คนไทยด้วยกัน ต้องใช้จ่ายมากมาย ก็ทำให้เกิดความขัดอกขัดใจของผู้ที่เสียประโยชน์ จึงเป็นเหตุให้ ชาลีกลายเป็นคนแปลกหน้า ในสายตาคนในกลุ่ม ซึ่งก็มีป้า จ. ที่เป็นคนที่ออกตัวแรงสุด เพราะป้าเอง ก็มีกำลังใจขึ้นมาจากการฝากใจไว้กับจีกามิน และเหมือนเป็นการบำบัดจิตตัวเองอย่างไม่รู้ตัว จากชอบ เป็นรัก จากรักเป็นคลั่งไคล้ และเทิดทูน อยากให้เป็นนางฟ้าในใจตลอดไป - ในกลุ่มนี้ อดีตมีจำนวนถึงห้าพันกว่าคน แต่หลังจากที่จีกามินกลับไปเกาหลี และไม่ติดต่อกับแน๊กชาลี จำนวนสมาชิกที่พร้อมซัพพอตจีกามิน ก็ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน มีจำนวนใกล้จะต่ำกว่าพันไปทุกที - พี่คิงส์จึงสืบต่อ และพบว่า จากเมื่อก่อนในจำนวนเริ่มต้นของสมาชิกกลุ่มดีซี ห้าพันกว่าคนนั้น จะเป็นผช.ซัก 80 % ที่เหลือเป็น ผญ. แต่วันนี้เป็นผญ.90% ในจำนวนพันคนนิดๆนี้ และ ป้า จ. ก็เหมือนเป็นจุดเชื่อมใจ ระหว่างคนในห้องกับ จีกามิน โดยจะช่วยกันเชียร์ให้ส่งของขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้ยายหนูของเธอ ซึ่งการทำหน้าที่ของป้า จ. ก็จะใช้เวลาไปกับการแสดงออกทางจิตวิทยา ในการห่วงใย เพราะป้าๆที่เป็นเทพดีซี ในปัจจุบันแทบจะ 100% ที่เป็น ผญ. ล้วนผ่านประสบการณ์ชีวิต และครอบครัวที่่ล้มเหลว คนที่เปย์หนักๆบางคน ยอมเปย์ให้จีกามิน แทนที่จะเก็บเงินไว้ในการรักษาตัวจากโรคะที่ร้ายแรง ซึ่งมันก็เป็นสิทธิ์ของป้าเค้านะครับ ก็ได้แค่สงสารแต่ช่วยอะไรไม่ได้ - - ดังนั้น ท่ามกลางภาพของหญิงมีอายุจำนวนมาก ที่มารอรับจีกามิน มันมีเบื้องหลังแห่วงความหดหู่อยู่ไม่น้อย ว่าในประเทศของเรา มีหญิงสูงอายุจำนวนมาก ที่พบความล้มเหลว หรือผ่านความเสียใจ ถึงแม้จะมีเงินมากมายเท่าไหร่ มีธุรกิจใหญ่โต มีทรัพย์มากถึงขนาดที่สามารถเปย์จีกามินได้อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง แต่กลับไม่พบกับความสุขในชีวิตจริง และยอมเลือก และยอมแลก ทั้งเวลา และทรัพย์สิน เพียงเพื่อได้ชื่นชม ได้เชียร์ ใครซักคนหนึ่ง ที่เป็นตัวละคร พร้อมสตอรี่ที่พาเพ้อฝัน จากป้า จ. ให้ได้มาซึ่งกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไป - ก็อย่างที่พี่คิงส์บอกจุดยืนของพี่ไปแล้วเมื่อวาน ว่าพี่คิงส์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสาวต่างด้าว ที่เข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย แต่ที่ทำโพสนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้ชายที่ได้มาอ่านโพสนี้ ให้ใส่ใจและดูแลภรรยาของคุณ อย่าให้เธอต้องมีอนาคตที่เป็นหนึ่งในเกมส์แห่งความเศร้านี้ ต้องไปนั่งชม นั่งเชียร์ นั่งเปย์ เสียเวลาทั้งวันทั้งคืน เป็นปีๆ เพียงเพื่อรับเศษความสนใจจากคนที่ไม่เคยรู้จัก เพราะคนที่เปย์ ก็จะได้รับเพียง "ขอบคุณค่า" ขอบคุณมั่กๆ ฉันรักคุณ มันก็แค่นี้จริงๆ ซึ่งตัวแสดงแบบนี้ หรือเหล่านี้ เค้าก็ไม่ได้รู้จักคนเปย์จริง ก็เป็นเพียงแค่เป็นงานที่สร้างรายได้ ก็อย่างที่ให้คำนิยามว่า "เป็นแค่ต่างด้าวมาหากินในไทย" แค่นั้นเอง บางที ก็หดหู่นะ แต่ก็ได้แค่รู้สึก เพราะสุดท้าย มันเป็นเงินเค้า เวลาของเค้า ชีวิตของเค้า ที่เค้าควักด้วยความเต็มใจ ถึงบางคนจะอิ๊บอ๋าย หมดเนื้อ หมดตัว มันก็เป็นความอิ๊บอ๋าย ที่อาบด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ดั่งที่เราได้เห็นในภาพป้าๆที่ไปรอต้อนรับนั่นเอง #ก็แค่แอบสงสารคนไทยด้วยกัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 748 มุมมอง 1 รีวิว
  • พี่เดของไอ่sum คิดจะช่วยแก้ตัวแก้ต่าง อย่าลืมซ้อมดื่มเยี่ย..วด้วย ช่วยไอ่sumมันหน่อย ตั้ง71แก้ว
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธ์แดงสำรอง
    #ร่วมด้วยช่วยกัน
    พี่เดของไอ่sum คิดจะช่วยแก้ตัวแก้ต่าง อย่าลืมซ้อมดื่มเยี่ย..วด้วย ช่วยไอ่sumมันหน่อย ตั้ง71แก้ว #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธ์แดงสำรอง #ร่วมด้วยช่วยกัน
    Haha
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม
    .
    29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่
    .
    ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้
    .
    พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ
    .
    เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่
    .
    ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15TCsxyisV/

    #Thaitimes
    ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม . 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ . ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้ . พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ . อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ . เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่ . ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/15TCsxyisV/ #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม
    .
    29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่
    .
    ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้
    .
    พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ
    .
    อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ
    .
    เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่
    .
    ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้
    ถึงเวลาแก้กฏหมายยุบอำนาจ DSI มีไปทำไม . 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา คณะกรรมการกลั่นกรองการรับคดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มีมติรับ "ดิ ไอคอน" เป็นคดีพิเศษ พร้อมเห็นพ้องแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.กู้ยืมเงินเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ . ในยุคของทวี สอดส่อง เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมไม่เคยมีความโปร่งใส ทำอะไรมีเงื่อนงำตลอด การแก้ตัวปกป้องทักษิณ ชินวัตรพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจนั้น ก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสั่งการให้กับอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ให้ดำเนินการเช่นนี้ . พอมาถึงดีเอสไอแล้ว การที่รับโอนเรื่องดิไอคอนมา ผมยังตั้งคำถามเดิมๆอยู่เหมือนเดิม คือผมบอกว่าดีเอสไอทำงานชิ้นนี้ไม่สำเร็จ ผมฟันธงไว้ตอนนี้ ผมให้ไม่เกิน 6 เดือน เพราะ หนึ่ง ดีเอสไอไม่มีคน เรื่องนี้เป็นเรื่องการฉ้อโกงประชาชนทั่วประเทศ มีผู้ที่มากล่าวหาเป็นหมื่นคน ดีเอสไอจะมีปัญญาอะไร ถ้าไม่ได้พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านช่วยเหลือ บอกว่ายังจะใช้โรงพักรับเรื่องอยู่ แล้วก็ส่งมาให้ดีเอสไอ . อีกเรื่องหนึ่งที่ดีเอสไอเองก็น้ำท่วมปาก พูดไม่ออก เพราะว่าดีเอสไอนั่งทับขี้ไว้เยอะ ผมถามต่อ ว่า แล้วทำไมคดีเก่าๆ อย่างเช่น FOREX-3D สิบกว่าปีแล้ว จนถึงวันนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่ายังทำไม่จบเลย ,คดีการปั่นหุ้น STARK ทำให้ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์ไปเป็นพันๆ คน ไปไหนแล้วก็ไม่รู้,ตอนนี้ คดี THE EARTTH ก็เงียบกริบและเรื่องของบางคนเข้าไปโกงบริษัท GGC ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในเครือ ปตท. สร้างสต๊อกลม มูลค่าความเสียหายสองพันกว่าล้าน แล้วพอตำรวจสอบสวนกลางเอาเรื่องนี้เข้าไปทำจวนจะจบแล้ว จะส่งฟ้องอัยการแต่ใครก็ไม่รู้วิ่งเต้นให้ดีเอสไอ ใช้อำนาจทางกฎหมายรับเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอ มาถึงวันนี้ก็ไม่ได้ไปไหน แช่ไว้เฉยๆ . เราจะมีดีเอสไอไปทำไมแบบนี้ ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าดีเอสไอ ผู้ใหญ่ในดีเอสไอบางคน นักการเมืองบางคน มันรับเงินรับทองของผู้ที่ทำผิด พอเงินทองมา การสอบสวนมันก็อ่อนด้อย นี่คือจุดอ่อนของพวกคุณ คุณยุทธนา แพรดำ คุณก็คงจะออกมาแก้ตัว รับประกันนู่นนี่ . ขอโทษ ท่านอธิบดีดีเอสไอ คุณยุทธนา แพรดำ ผมจำเป็นต้องพูด เพราะนี่คือความจริงมีหนึ่งเดียว ประชาชนเขารู้กันหมด ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ เรานอกจากจะต้องดิ้นรนต่อต้านดีเอสไอแล้ว ต้องหาทางยุบมัน หรือแก้กฎหมาย แล้วก็ให้สอบสวนกลางมีอำนาจมากขึ้น มีการพัฒนาบุคลากรมากขึ้น มีการฝึกอบรมมากขึ้น เพื่อให้คนในสอบสวนกลางสามารถที่จะมีทักษะ มีศักยภาพ มีทรัพยากร มีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยในการเป็นเสาหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . จำคำพูดผมไว้ ผมเคยทำนายอะไรเอาไว้ ไม่เคยผิดพลาด คุณยุทธนา แพรดำ คุณทำไม่สำเร็จหรอก และผมจะดูการยื่นขอประกันตัวของนายบอสพอล งวดนี้ ผมหวังว่าดีเอสไอจะยังค้านการประกันตัวเหมือนเดิมนะครับ ที่ผมกลัวก็คือว่า พอยื่นประกันตัวอีกครั้งหนึ่ง ศาลท่านถามว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โจทก์ว่าอย่างไร ดีเอสไอไม่ค้านครับ ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ มันเป็นไปได้
    Love
    Angry
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 499 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลภ ลวง โกง รวย หายนะ

    ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ

    ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ

    "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม"

    นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน

    เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว

    "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ”

    เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน

    เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์

    ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio)

    ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม

    “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ"

    เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ

    “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้”

    ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง

    ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน"

    แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน

    ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง

    สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    โลภ ลวง โกง รวย หายนะ ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม" นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ” เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ" เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้” ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน" แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    Like
    Yay
    19
    0 ความคิดเห็น 3 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขออนุญาตเจ้าของลายมือ

    ตามลายมือ ทายว่า

    พูดจาเก่ง ฉลาด เชื่อมั่นในความรู้และความคิดของตัวเอง จนบางครั้งออกแนวดื้อและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น คิดเร็วทำเร็ว คิดอะไรหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน คิดวิตกกังวลเรื่องงาน เงินและครอบครัว

    เงิน หาเงินเก่ง ใช้เงินเก่ง ใช้จ่ายเงินเพื่อเกียรติยศและชื่อเสียงตามสังคมที่ตัวเองอยู่ ใช้จ่ายเงินอุปการะครอบครัวและญาติ เงินปานกลาง

    ลาภ ได้ลาภจากเพศตรงข้ามหรือคู่ ได้รับการสนับสนุนจากคู่เรื่องงานและเงิน

    งาน ก่อนอายุ 30 งานพอไปได้เรื่อยๆ เจออุปสรรคบ้าง เงินติดขัดบ้าง มีคนช่วยเหลือเวลามีปัญหา มีการเดินทางไปมาด้วยหน้าที่ในการงาน มีคนทำให้เดือดร้อนใจ เหนื่อยพอสมควร ตอนอายุ 30 ถึงอายุ 40 งานพอไปได้เรื่อยๆ เจออุปสรรคตอนอายุ 30 ต้น กับอายุ 30 ปลาย ตอนอายุ 40 มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องงาน ตอนอายุ 40 ต้น เจออุปสรรค ตอนอายุ 50 กลาง เจออุปสรรค

    สร้างเกียรติยศและชื่อเสียงในหน้าที่การงานด้วยความรู้ความสามารถของตัวเอง

    ตามวันเดือนปีเกิดเวลาเกิด ทายว่า

    ผูกพันกับครอบครัว มีการเดินทางไปหาครอบครัว ไม่อยู่กับที่ พูดจาเก่ง มีความพยายามในการศึกษาหาความรู้ ขัดแย้งหรือมีปัญหากับแม่ มีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

    เงิน มีรายได้มากกว่ารายจ่าย หาเงินได้ด้วยความรู้ความสามารถของตัวเอง รายจ่ายหมดไปกับวิชาความรู้ที่ศึกษา ก้บให้แม่

    ลาภ ได้มาจากคนใกล้ชิดหรือเพื่อน

    งาน งานที่เหมาะ เช่น ครูบาอาจารย์ งานที่ให้ความรู้ งานที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนอื่น งานที่ทำนำมาทั้งรายได้และชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง

    ขอตำแหน่งวิชาการ เด่นตอนอายุ 53 เด่นปานกลางตอนอายุ 51/55/57 เรื่องตำแหน่ง ได้รับความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดหรือเพื่อน

    ย้าย มักมีอุปสรรคในการย้าย

    ตอนอายุ 50 การย้ายมีอุปสรรค ไม่ได้ย้าย มีขัดแย้งหรือมีปัญหากับแม่ เสียค่าใช้จ่ายให้แม่ เจอความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับญาติ เช่นความเจ็บป่วยของญาติ เด่นเรื่องงาน

    ตอนอายุ 51 เรื่องราวเกี่ยวกับคู่ เรื่องราวเกี่ยวกับบ้าน เด่นเรื่องงาน ได้ลาภจากคนใกล้ชิดหรือเพื่อน

    ตอนอายุ 52 เรื่องราวเกี่ยวกับลูก ลูกน้อง เรื่องดีเกี่ยวกับเงิน ลูก พ่อ มีการเดินทางไปหาครอบครัวและญาติ ไม่อยู่กับที่ มีปัญหาเฉพาะหน้าให้แก้ไข
    ขออนุญาตเจ้าของลายมือ ตามลายมือ ทายว่า พูดจาเก่ง ฉลาด เชื่อมั่นในความรู้และความคิดของตัวเอง จนบางครั้งออกแนวดื้อและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น คิดเร็วทำเร็ว คิดอะไรหลายอย่างพร้อมกันในเวลาเดียวกัน คิดวิตกกังวลเรื่องงาน เงินและครอบครัว เงิน หาเงินเก่ง ใช้เงินเก่ง ใช้จ่ายเงินเพื่อเกียรติยศและชื่อเสียงตามสังคมที่ตัวเองอยู่ ใช้จ่ายเงินอุปการะครอบครัวและญาติ เงินปานกลาง ลาภ ได้ลาภจากเพศตรงข้ามหรือคู่ ได้รับการสนับสนุนจากคู่เรื่องงานและเงิน งาน ก่อนอายุ 30 งานพอไปได้เรื่อยๆ เจออุปสรรคบ้าง เงินติดขัดบ้าง มีคนช่วยเหลือเวลามีปัญหา มีการเดินทางไปมาด้วยหน้าที่ในการงาน มีคนทำให้เดือดร้อนใจ เหนื่อยพอสมควร ตอนอายุ 30 ถึงอายุ 40 งานพอไปได้เรื่อยๆ เจออุปสรรคตอนอายุ 30 ต้น กับอายุ 30 ปลาย ตอนอายุ 40 มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องงาน ตอนอายุ 40 ต้น เจออุปสรรค ตอนอายุ 50 กลาง เจออุปสรรค สร้างเกียรติยศและชื่อเสียงในหน้าที่การงานด้วยความรู้ความสามารถของตัวเอง ตามวันเดือนปีเกิดเวลาเกิด ทายว่า ผูกพันกับครอบครัว มีการเดินทางไปหาครอบครัว ไม่อยู่กับที่ พูดจาเก่ง มีความพยายามในการศึกษาหาความรู้ ขัดแย้งหรือมีปัญหากับแม่ มีไหวพริบในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เงิน มีรายได้มากกว่ารายจ่าย หาเงินได้ด้วยความรู้ความสามารถของตัวเอง รายจ่ายหมดไปกับวิชาความรู้ที่ศึกษา ก้บให้แม่ ลาภ ได้มาจากคนใกล้ชิดหรือเพื่อน งาน งานที่เหมาะ เช่น ครูบาอาจารย์ งานที่ให้ความรู้ งานที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนอื่น งานที่ทำนำมาทั้งรายได้และชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง ขอตำแหน่งวิชาการ เด่นตอนอายุ 53 เด่นปานกลางตอนอายุ 51/55/57 เรื่องตำแหน่ง ได้รับความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดหรือเพื่อน ย้าย มักมีอุปสรรคในการย้าย ตอนอายุ 50 การย้ายมีอุปสรรค ไม่ได้ย้าย มีขัดแย้งหรือมีปัญหากับแม่ เสียค่าใช้จ่ายให้แม่ เจอความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับญาติ เช่นความเจ็บป่วยของญาติ เด่นเรื่องงาน ตอนอายุ 51 เรื่องราวเกี่ยวกับคู่ เรื่องราวเกี่ยวกับบ้าน เด่นเรื่องงาน ได้ลาภจากคนใกล้ชิดหรือเพื่อน ตอนอายุ 52 เรื่องราวเกี่ยวกับลูก ลูกน้อง เรื่องดีเกี่ยวกับเงิน ลูก พ่อ มีการเดินทางไปหาครอบครัวและญาติ ไม่อยู่กับที่ มีปัญหาเฉพาะหน้าให้แก้ไข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## นับถอยหลัง "กองทุนประกันสังคม" เหลือเงิน 0 บาทปี 97 ##
    ..
    ..
    เพราะงั้น การเก็บเงินจาก ผู้ประกันตน 1,000 บาท ที่ง้างกันมานับ 10 ปี อาจหวนกลับมาหนาหูอีกครั้ง หล่ะมั้ง...???
    .
    ไม่รู้ว่าบริหารอย่างไร จึงกลายมาเป็นลักษณะเช่นนี้ได้...
    .
    แต่...!!!
    .
    จะว่าไปสังคมผู้สูงอายุนี่ ปัญหาใหญ่จริงๆนั่นแหล่ะ เพราะคนส่วนใหญ่ สูงอายุ รายได้ที่เคยมีหดตัวลง หรือ หายไป
    .
    ส่วน ผู้ที่อายุน้อยรายได้อาจยังไม่เยอะมากเท่าไหร่...
    .
    ดังนั้น เท่ากับ ผู้ที่รายได้ไม่มาก จำนวนน้อย แบก สภาวะสังคมผู้สูงอายุ แบบนี้ไว้...
    .
    หวังว่าวันนึง ประเทศไทย จะเจอนักการเมืองที่ดี มีสติปัญญา หาทางแก้ไขได้ ด้วยปัญญา
    .
    ไม่รู้ผมแก่ตัวไปจะยังทันได้เห็นมั้ย...???
    .
    🤣🤣🤣🤣



    https://www.thansettakij.com/business/economy/610249
    .
    ## นับถอยหลัง "กองทุนประกันสังคม" เหลือเงิน 0 บาทปี 97 ## .. .. เพราะงั้น การเก็บเงินจาก ผู้ประกันตน 1,000 บาท ที่ง้างกันมานับ 10 ปี อาจหวนกลับมาหนาหูอีกครั้ง หล่ะมั้ง...??? . ไม่รู้ว่าบริหารอย่างไร จึงกลายมาเป็นลักษณะเช่นนี้ได้... . แต่...!!! . จะว่าไปสังคมผู้สูงอายุนี่ ปัญหาใหญ่จริงๆนั่นแหล่ะ เพราะคนส่วนใหญ่ สูงอายุ รายได้ที่เคยมีหดตัวลง หรือ หายไป . ส่วน ผู้ที่อายุน้อยรายได้อาจยังไม่เยอะมากเท่าไหร่... . ดังนั้น เท่ากับ ผู้ที่รายได้ไม่มาก จำนวนน้อย แบก สภาวะสังคมผู้สูงอายุ แบบนี้ไว้... . หวังว่าวันนึง ประเทศไทย จะเจอนักการเมืองที่ดี มีสติปัญญา หาทางแก้ไขได้ ด้วยปัญญา . ไม่รู้ผมแก่ตัวไปจะยังทันได้เห็นมั้ย...??? . 🤣🤣🤣🤣 https://www.thansettakij.com/business/economy/610249 .
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    นับถอยหลัง "กองทุนประกันสังคม" เหลือเงิน 0 บาทปี 97
    พิพัฒน์ รมว.แรงงาน เปิดตัวเลขเงินกองทุนประกันสังคม เผย พุ่งสูงสุดที่ 6 ล้านล้านบาทในปี 2585 ก่อนดิ่งเหวลดลงเหลือ "ศูนย์" บาทในปี 2597 เร่งระดมมาตรการแก้ไขด่วน
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บอสพอลบอสปันเจ็บใจสุดๆ
    บรรดานักตบที่สร้างความหวังและรีดไปหลายตังค์
    นังพัด เป็นโนหนึ่ง ทันที แม่นังปันไปพบที่บ้าน
    แพร็บบบ หกแฉนห้า ปลิวไปในเป๋าตังอิพัดเรียบร้อย
    ข้อสรุป ตอบคำถามว่า ทำไม พัดถึงเป็น โน 1
    - พัดเป็นตัวเชี่ยของทั้งสองฝั่ง
    1. รวบรวม ผสห เกือบเก้าสิบคน แล้วเอาเครดิตมาออกหน้าที่โหนกระแส
    2. เรียกรับค่าตอบแทน จาก ผสห คือ อย่างเห้ ทำท่าเปรย เคสอื่นเค้าให้ร้อยละฉี่ฉิบ อิห่านจิก เค้าเดือดร้อน มาพึ่งเมิง ไปซ้ำเติม ผสห เรียกเค้าอีก อิฉัด
    3. ดิลกับบรรดาบอสๆ อ้างว่าตัวเองช่วยได้ เรียกจากปันและบอสพอลอีก ยี่ฉิบฉามฉิบล้าน อิห่านจิก อารายของเมิง
    4. อ้าง กับ ฝั่งพอล เพื่อรับยอดแรก ต้องเอางบนี้ไปจ่ายพี่หนุ่ม เพื่อให้พี่หนุ่มเขียนคริปแก้ตัว ฟอกให้ขาวให้ และสามารถเคลียกับ อย. สคบ. สตช. ได้ทุกหน่วย
    5. อ้างกับฝั่งพอล เพื่อสร้างทีมไอโอ แก้ข่าว ต้องจ่ายหกแฉนห้าแรก
    6. อ้างกับ ผสห ต้องจ่ายผ่านนาง เพื่อเอาไป เร่งรัดคะดี
    นี่แหละ เรื่องของเรื่อง ทำไม บอสพอลถึงกาหัวไว้ ว่าต้องจัดอินี่ก่อน
    ตอนนี้ พอลส่งทะนวย พร้อมหลักต๋าน ดนคด. กับอิพัดแย้ววว
    เป็นที่แน่นอนว่า พอล ไม่ปล่อยให้ใครไว้ข้างนอกแน่นอน
    และยังมี นักตบ อีก 10 คิว ที่พอล วางงานไว้ทุกราย
    หรืออีกนัยหนึ่ง เชีอดพัดให้อีก 10 ตัวดู ว่าถ้าไม่ช่วยข้าและพวก
    เมิงจะเจอแบบอินี่
    เรียบร้อย โรงเรียน ดิไอค่อน
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #บอสพอลบอสปันเจ็บใจสุดๆ บรรดานักตบที่สร้างความหวังและรีดไปหลายตังค์ นังพัด เป็นโนหนึ่ง ทันที แม่นังปันไปพบที่บ้าน แพร็บบบ หกแฉนห้า ปลิวไปในเป๋าตังอิพัดเรียบร้อย ข้อสรุป ตอบคำถามว่า ทำไม พัดถึงเป็น โน 1 - พัดเป็นตัวเชี่ยของทั้งสองฝั่ง 1. รวบรวม ผสห เกือบเก้าสิบคน แล้วเอาเครดิตมาออกหน้าที่โหนกระแส 2. เรียกรับค่าตอบแทน จาก ผสห คือ อย่างเห้ ทำท่าเปรย เคสอื่นเค้าให้ร้อยละฉี่ฉิบ อิห่านจิก เค้าเดือดร้อน มาพึ่งเมิง ไปซ้ำเติม ผสห เรียกเค้าอีก อิฉัด 3. ดิลกับบรรดาบอสๆ อ้างว่าตัวเองช่วยได้ เรียกจากปันและบอสพอลอีก ยี่ฉิบฉามฉิบล้าน อิห่านจิก อารายของเมิง 4. อ้าง กับ ฝั่งพอล เพื่อรับยอดแรก ต้องเอางบนี้ไปจ่ายพี่หนุ่ม เพื่อให้พี่หนุ่มเขียนคริปแก้ตัว ฟอกให้ขาวให้ และสามารถเคลียกับ อย. สคบ. สตช. ได้ทุกหน่วย 5. อ้างกับฝั่งพอล เพื่อสร้างทีมไอโอ แก้ข่าว ต้องจ่ายหกแฉนห้าแรก 6. อ้างกับ ผสห ต้องจ่ายผ่านนาง เพื่อเอาไป เร่งรัดคะดี นี่แหละ เรื่องของเรื่อง ทำไม บอสพอลถึงกาหัวไว้ ว่าต้องจัดอินี่ก่อน ตอนนี้ พอลส่งทะนวย พร้อมหลักต๋าน ดนคด. กับอิพัดแย้ววว เป็นที่แน่นอนว่า พอล ไม่ปล่อยให้ใครไว้ข้างนอกแน่นอน และยังมี นักตบ อีก 10 คิว ที่พอล วางงานไว้ทุกราย หรืออีกนัยหนึ่ง เชีอดพัดให้อีก 10 ตัวดู ว่าถ้าไม่ช่วยข้าและพวก เมิงจะเจอแบบอินี่ เรียบร้อย โรงเรียน ดิไอค่อน #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Haha
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องผลประโยชน์ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อนำมาสู่การมีอิทธิพลและอำนาจเหนือคนอื่น

    ดังที่เห็นในประเทศไทย ในทุกเรื่อง โดยที่ขณะนี้ เกาะกูดเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่อง
    ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ความเห็นแก่ตัว เอาประโยชน์ส่วนตน แบ่งแผ่นดินไปขาย

    ในระดับโลก ดังที่รายงานจาก อัลจาซีรา เป็นตราประทับความโหดร้ายที่ไม่น่าเชื่อต่อมนุษย์ ต่อเด็ก ต่อคนไร้ทางสู้ จนถึงปัจจุบัน
    เพียงแค่หนึ่งปีตาย 43,000

    คนส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิงคนแก่และบาดเจ็บเป็น 100,000 คน

    โดยแกนหลักดังปรากฏหลักฐานในคลิปนี้ จากสหรัฐอังกฤษ เที่ยวบิน 6000 เที่ยวภายในหนึ่งปี หรือประมาณ 16 เที่ยว ต่อหนึ่งวัน ขนอาวุธ  ยุทธโธปกรณ์มาให้อิสราเอล
    ทั้งนี้รวมถึงเงินสนับสนุนมากมาย
    ความหิวกระหายในการแผ่อิทธิพล ที่จะครองอำนาจตลอดไป ควรจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนและไม่ใช่เพียงแต่กำไรที่ได้จากการขายอาวุธอย่างเดียว
    กฎบัตรสหประชาชาติ ไร้ความหมาย
    ลองเปิดดูความหิวโหย ความตายทุกอาคารบ้านเรือนถูกระเบิดพังพินาศ

    ประเทศไทยและคนไทย ต้องรอดและจารึกในสมองและหัวใจ รู้ว่าคนในประเทศนี้ คนไหนเลวร้าย ร่วมมือกับปีศาจ ขายทุกอย่างของคนไทยที่หวงแหนไปให้ต่างชาติ

    https://youtu.be/34TsEv4cc3c?si=1z8kd_RSEsL23lEy
    เรื่องผลประโยชน์ ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อนำมาสู่การมีอิทธิพลและอำนาจเหนือคนอื่น ดังที่เห็นในประเทศไทย ในทุกเรื่อง โดยที่ขณะนี้ เกาะกูดเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ที่เป็นสัญลักษณ์ของ ความเห็นแก่ตัว เอาประโยชน์ส่วนตน แบ่งแผ่นดินไปขาย ในระดับโลก ดังที่รายงานจาก อัลจาซีรา เป็นตราประทับความโหดร้ายที่ไม่น่าเชื่อต่อมนุษย์ ต่อเด็ก ต่อคนไร้ทางสู้ จนถึงปัจจุบัน เพียงแค่หนึ่งปีตาย 43,000 คนส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิงคนแก่และบาดเจ็บเป็น 100,000 คน โดยแกนหลักดังปรากฏหลักฐานในคลิปนี้ จากสหรัฐอังกฤษ เที่ยวบิน 6000 เที่ยวภายในหนึ่งปี หรือประมาณ 16 เที่ยว ต่อหนึ่งวัน ขนอาวุธ  ยุทธโธปกรณ์มาให้อิสราเอล ทั้งนี้รวมถึงเงินสนับสนุนมากมาย ความหิวกระหายในการแผ่อิทธิพล ที่จะครองอำนาจตลอดไป ควรจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนและไม่ใช่เพียงแต่กำไรที่ได้จากการขายอาวุธอย่างเดียว กฎบัตรสหประชาชาติ ไร้ความหมาย ลองเปิดดูความหิวโหย ความตายทุกอาคารบ้านเรือนถูกระเบิดพังพินาศ ประเทศไทยและคนไทย ต้องรอดและจารึกในสมองและหัวใจ รู้ว่าคนในประเทศนี้ คนไหนเลวร้าย ร่วมมือกับปีศาจ ขายทุกอย่างของคนไทยที่หวงแหนไปให้ต่างชาติ  https://youtu.be/34TsEv4cc3c?si=1z8kd_RSEsL23lEy
    Like
    Yay
    10
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หนึ่งในร้อย

    ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก

    ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น

    แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง

    .

    ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก

    .

    หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่

    .

    แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน

    .

    จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่

    ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย"

    .

    หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย

    .

    ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น

    .

    ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง

    .

    คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ

    .

    ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา

    .

    ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง

    นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ

    .

    ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้

    จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด

    น่าเสียดาย...

    ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต

    #thaitimes
    #ดอกไม้สด
    #ละคร
    #mycherieamour
    #วิเคราะห์ตัวละคร
    #วิจารณ์ละคร
    #หนึ่งในร้อย ก่อนหน้าละครฉายไม่นาน ผมเคยพูดถึงเรื่องนี้ไปหนหนึ่ง มาบัดนี้ละครออกอากาศได้ประมาณครึ่งทางแล้วกระมัง อยากพูดถึงอีกครั้งด้วยเป็นนิยายของดอกไม้สดที่เป็นเรื่องในดวงใจมาตั้งแต่เด็ก ละครทำออกมาได้ทั้งเป็นที่ต้องใจ และติดใจ ต้องใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่ชื่นชอบ ติดใจในที่นี้หมายถึงมีส่วนที่แปลงไปเยอะพอสมควร ที่โดยส่วนตัวอดคิดไม่ได้ว่ามีความจำเป็นเพียงใด จึงต้องเปลี่ยนไปในลักษณะนั้น แต่เอาเถิด เข้าใจว่าต้นฉบับเรื่องหนึ่งในร้อยนี้ เป็นนิยายซึ่งยากมากที่จะสร้างขึ้นมาเป็นละคร เพราะโดยความเป็นจริงนั้นถูกเขียนมาเพื่อเหมาะกับเป็นเรื่องสำหรับอ่านมากที่สุด ทว่าแน่นอน คนที่อ่านแล้วชื่นชอบในนิยายเรื่องนี้ เชื่อว่าโดยมากต้องมีภาพในจินตนาการโลดแล่นอยู่ในหัว ที่เป็นไปได้ก็อยากเห็นภาพเคลื่อนไหวหรือคนที่เป็นตัวตนจริง และรอมาอย่างยาวนานว่าจะมีโอกาสได้เห็นอนงค์และคุณพระอรรถคดี โลดแล่นอยู่ในจอให้ชมในสักวันหนึ่ง(ไม่ได้ดูเวอร์ชันคุณภิญโญ ทองเจือ เพราะยังเด็กเกินที่จะสนใจดูละคร) ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้จัดในข้อนี้ที่เห็นคุณค่าบทประพันธ์ของดอกไม้สด จนนำมาสู่การทำฝันในวัยเยาว์ของผมให้กลายเป็นจริง . ด้วยความที่ถูกนำมาสร้าง ณ ปี พ.ศ. 2567 แม้นจะยังคงยุคสมัยตามช่วงเวลาในนิยายก็ตาม แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันได้อ่านหนึ่งในร้อยมาก่อนย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก และคนในรุ่นนี้เองที่เติบโตมากับเทคโนโลยีต่าง ๆ และโลกในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายแทบทุกอย่าง ทำให้โดยพื้นฐานแล้วส่วนใหญ่พวกเขามักไม่ทนกับอะไรที่ค่อยเป็นค่อยไป ดำเนินเรื่องอย่างเชื่องช้า เนิบ ๆ ดังเช่นความรักของคนในยุคที่นิยายหนึ่งในร้อยถือกำเนิด ด้วยความอดทนอันจำกัดนี้เอง คงเป็นเหตุผลสำคัญที่คนเขียนบทมีโจทย์สำคัญเป็นการบ้านว่าทำอย่างไร จะให้ละครในแต่ละตอนดึงดูดคนดูกลุ่มนี้ ที่ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญให้ตรึงสายตาไว้กับอนงค์และคุณพระอรรถคดีได้ตลอด ตั้งแต่เริ่มฉายจนจบฉากสุดท้ายในแต่ละตอน โดยไม่เปลี่ยนช่องหรือหันเหความสนใจไปทำอย่างอื่นเสีย จึงปรากฏเป็นหนึ่งในร้อยที่มีอนงค์และคุณพระอรรถซึ่งถูกใส่จริตและเสริมบุคลิกให้มีความเป็นไปได้มากที่สุดเพื่อดึงดูดใจ ให้คนดูหลงรักในตัวละครทั้งสองตั้งแต่ตอนแรก . หลายเหตุการณ์หลายตัวละครที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซึ่งไม่มีในต้นฉบับเดิม หรือแม้นกระทั่งอนงค์ที่ได้รับการปรับให้เก่งกล้าเกินงามในบางสถานการณ์ อีกทั้งมั่นใจในตัวเองสูงมาก จนเหมือนจะเป็นอนงค์ขั้นสุด ที่ไม่ใช่แค่ขั้นกว่า เรียกว่ามีความเข้มข้นของพลังงานชีวิตเปี่ยมล้นจนแสดงออกมาเกินขีดอยู่บ้าง แต่เพราะเป็นญาญ่าแสดง จึงพอให้อภัยทำเป็นมองข้ามไปไม่ติดใจมาก ด้วยว่าสวมบทอนงค์ได้อย่างน่าเอ็นดูยิ่ง หากเป็นคนอื่นมารับบทนี้ ยังนึกไม่ออกเช่นกันว่าจะรอดหรือไม่ อาจจะได้ภาพของอนงค์ที่น่าเกลียดน่าชังไปเลยก็เป็นได้ และเพราะบทบาทของอนงค์ในนิยายนั้นถูกกล่าวถึงน้อยมาก รายละเอียดของเรื่องส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวของคุณพระฯ ที่เป็นหัวใจหลักของนิยาย ส่วนมากเนื้อหาบอกเล่าประวัติความเป็นมาแต่หนหลังเชื่อมต่อมาถึงปัจจุบัน ที่คุณพระฯ มีความสัมพันธ์กับตัวละครอื่น ๆ ในทางไหนอย่างไรบ้าง ส่วนอนงค์เพียงถูกกล่าวถึงแบบโฉบไปเฉี่ยวมา ฉากที่พบกันระหว่างพระนางมีอยู่แค่ไม่กี่หนตลอดทั้งเรื่อง โดยมากอนงค์จะรับรู้เรื่องของคุณพระฯ ผ่านการบอกเล่าของแม่ช้อยมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ว่าทำไมผู้เขียนบทจึงต้องทำงานหนักมาก ในการเปลี่ยนให้อนงค์ในนิยายกลายเป็นตัวละครที่ถูกดึงขึ้นมาให้ได้รับบทบาทที่เด่นพอ ๆ กันหรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับตัวเอกของเรื่อง ไม่อย่างนั้นคนดูคงจะไม่ติดตามและทิ้งละครไปอย่างรวดเร็วเป็นแน่ . แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะหายไปคือนิสัยรักการจดบันทึกหรือเขียนไดอารีของอนงค์ ที่ต้นฉบับหากรับรู้เรื่องราวใดมาจากปากแม่ช้อย เธอจะรีบนำมาเขียนใส่ไว้ในสมุดบันทึกประจำตัว เพื่อเก็บไว้อ่านคนเดียว ซึ่งคนอ่านก็จะสามารถทราบถึงจิตใจของเธอที่มีต่อคุณพระฯ จากสิ่งที่เธอเขียนนั่นเอง ซึ่งเป็นส่วนที่ดีมากและแทบจะไม่พบเลยในเวอร์ชันละคร นอกจากแค่ตอนที่อนงค์ทำเป็นสมุดเล่มเล็กที่มีภาพและคำแนะนำตัวเองแล้วมอบให้คุณพระฯ ซึ่งออกจะเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเสี่ยงต่อภาพพจน์ที่ถูกมองจากคนอย่างคุณพระฯได้เหมือนกัน . จากนี้ต่อไปในอีกครึ่งทางที่เหลือนั้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวที่ถูกเขียนขึ้นใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน คุณพระฯเองก็ถูกปรับให้คล้ายจะกลายเป็นโฮล์มส์ ที่ขยายการงานให้กว้างออกไปจากในหนังสือเพื่อจะได้มีอะไรให้เล่นกับบทละครมากขึ้น จึงเป็นคุณพระฯ ที่เหมือนอยู่กันคนละโลกกับคุณพระฯในนิยาย ส่วนชัดก็กลายเป็นคนที่อ่อนแอจนปวกเปียกไม่สมกับที่เป็นทหารสักนิด และเห็นแก่ตัวเองอย่างร้ายกาจจนน่ารังเกียจไปเลย เพราะต้นฉบับนิยายนั้นชัดเปลี่ยนใจจากอนงค์มาหาจันทร ด้วยความที่ไม่ระแคะระคายมาก่อนว่าพี่ชายนั้นรักจันทรอยู่ก่อนแล้ว จึงได้ขอร้องให้พี่ช่วยไปสู่ขอจันทรแทนแม่ ส่วนด้านอื่นที่ดีงามนั้นมีคนพูดกันไปมากแล้ว จึงไม่ขอพูดซ้ำ แต่สิ่งที่อยากจะกล่าวถึงอย่างมาก ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้เลยก็คือ ความหมายของชื่อเรื่อง "หนึ่งในร้อย" . หนึ่งในร้อย เป็นคำเปรียบถึงคนอย่างคุณพระฯ เรื่องนี้ชัดเจนแน่นอน ความดีของตัวละครนี้ สำหรับคนที่ดูละครอย่างเดียวอาจเห็นภาพได้ไม่ตรงและใสเท่าในบทประพันธ์ เพราะหนังสือมีเวลาให้ผู้เขียนได้ใส่รายละเอียด และเล่าให้คนอ่านสามารถรู้ชัดเจนถึงที่มาที่ไปแห่งความเป็นคน ซึ่งมีความเป็นสัตบุรุษคือไม่ใช่แค่ดีอย่างทั่วไปหรือดีแบบโลก ๆ เท่านั้น แต่มีความดำรงตนอยู่ในศีลและตั้งตนให้ดำรงมั่นในธรรมะที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ให้ใจไม่ไหลไปตามกระแสแห่งความต้องการที่เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ จึงไม่ถูกชักจูงโดยง่ายจากแรงเร้าภายนอกที่มากระทบ ด้วยเหตุนี้คุณพระฯ จึงมีคุณธรรมอยู่ประจำใจเสมอ อันจะคอยคัดท้ายไม่ให้หลุดออกนอกเส้นทางดีงาม แม้นมีบางคราวที่ต้องผจญคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำจนถึงขั้นแทบอับปาง เกือบจะไม่สามารถนำพานาวาชีวิตล่องฝ่าภัยต่อไปเหนือลำน้ำได้ แต่สุดท้ายก็รอดพ้นจากวิกฤตและได้รับผลแห่งความดีที่ทำมาด้วยความสุขใจในเบื้องปลาย . ทว่าคุณพระฯ เองก็ยังมีข้อเสียที่เด่นชัดมาก หากจะมองให้ลึกลงไป นั่นคือการที่เขาช่วยคนโดยเน้นไปที่การอนุเคราะห์ เติมเต็มความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ให้แก่แม่และน้อง ๆ หรือคนที่รู้จัก และแม้นในคนทั่วไปเท่าที่อาชีพการงานและฐานะแห่งตนจะพอทำได้ แต่ไม่ได้ช่วยด้วยการฝึกให้คนเหล่านั้นรู้จักการช่วยเหลือตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าถึงคราวที่คุณพระฯ อยู่ในสถานะอันลำบากในทางใดทางหนึ่ง ที่ไม่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือจำต้องปฏิเสธคำขอร้อง บรรดาคนซึ่งเคยได้รับเป็นประจำจากเขามาโดยตลอด จึงเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นความโกรธ จนหลุดแสดงอำนาจและกิเลสในใจตนให้ระเบิดออกมาอย่างกับคนเสียจริต เห็นได้จากแม่และชัดเป็นต้น . ดังนั้นการช่วยคนที่ประเสริฐเลิศยอดที่สุด ที่จะไม่กลับเป็นภัยย้อนมาทำร้ายตัวของคนซึ่งเป็นผู้ให้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องเน้นช่วยคนด้วยการให้เขารู้จักการช่วยเหลือตัวเองให้อยู่รอดได้ โดยไม่เป็นเพียงผู้ขอร่ำไปตลอดไป นั่นคือสิ่งที่ผมได้ฟังอยู่เสมอจากคำสอนของพระอาจารย์ที่เคารพศรัทธา ด้วยพรหมวิหาร 4 นั้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ คือต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ถ้าเมตตาไม่มีประมาณแล้วขาดซึ่งปัญญากำกับ เมตตานั้นจะเป็นเช่นอาวุธที่หันกลับสู่ตนหากไม่ระวัง . คุณพระฯ เองมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะกับญาติจนถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคือความกรุณาดังแสดงออกให้เห็น และมีจิตพลอยยินดีในเมื่อผู้อื่นได้รับความเจริญหรือผลแห่งความสำเร็จ ไม่เกิดอิจฉาริษยาประทุษร้ายกับใครแม้นเป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คุณพระฯ ยังสอบไม่ผ่านในข้ออุเบกขา คือไม่รู้จักที่จะตัดรอบ ช่วยได้เท่าที่ช่วยไหว สัตว์โลกล้วนมีวิบากแห่งตนซึ่งได้สั่งสมมาไม่ว่าทางร้ายหรือดี ไม่ใช่ต้องเอาชีวิตของเขาขึ้นมาแบกหามไว้ราวกับเป็นเรื่องของตนเองไปเสียทั้งหมด คือช่วยแล้วปล่อยวางไม่ลง แม่ก็แล้ว น้อง ๆ หลายคนและครอบครัวของน้องก็อีก จึงต้องตกที่นั่งถูกคนที่ตนให้ความช่วยเหลือนั้นวกกลับมาทำร้ายตนจนสาหัสแทบจะสิ้นลมหายใจ เป็นการเบียดเบียนตนเองซึ่งทางพุทธศาสนาไม่สรรเสริญ . ดังนั้น คนอย่างคุณพระฯ อาจหาได้ยาก ดังเช่นคำว่า "หนึ่งในร้อย" แต่คนที่หาได้ยากกว่าอาจถึงขั้น "หนึ่งในล้าน" คือคนที่เข้าใจ และเข้าถึง หลักธรรมในหมวด 4 ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงและนำมาปฏิบัติได้คือ เมตตาได้ทุกผู้แม้เป็นศัตรูของตัวเอง ช่วยเหลือได้ทุกคนเท่าที่ช่วยไหวโดยไม่เดือดร้อน มีใจร่วมยินดีเมื่อเห็นว่าเขาได้ดี ปราศจากความคิดมุ่งร้ายอยากทำลาย สุดท้ายคือไม่อนาทรร้อนใจแม้นไม่สามารถช่วยได้ ด้วยเห็นแล้วว่าไม่อาจช่วย หรือช่วยต่อไปจะเป็นโทษต่อเขาและต่อเรามากกว่า ก็ต้องปล่อยเขาไปตามทางที่เขาสร้างมา . ตอนล่าสุดเมื่อคืนยังไม่ว่างดูสดแบบเต็ม ๆ เลย แค่ผ่านตาแวบ ๆ บางฉาก แต่ก็พอเดาทิศทางได้เลา ๆ ว่าบทดัดแปลงคงจะพาอนงค์และคุณพระฯ ทะลุมิติท่องไปไกลในดินแดนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละโลกกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนิยาย ถ้าเรียกภาษาคนรุ่นใหม่คงจะใช้คำว่า ตัวละครเดียวกันแต่อยู่คนละมัลติเวิร์ส(ไม่แน่ใจสะกดเช่นนี้หรือไม่)กระมัง นี่คือส่วนที่หวั่นใจมาตลอด เพราะในสัปดาห์ก่อนที่เห็นว่าฉากสำคัญที่อยู่ตอนท้ายในนิยาย คือคุณพระล้มเจ็บ ถูกร่นขึ้นมาตั้งแต่กลางเรื่อง อีกทั้งความดราม่าที่ถูกผูกขึ้นใหม่ระหว่างตัวละคร 3-4 ตัว ก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่า ต่อจากนี้ไปคงจะเป็นการด้นใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาอีกมาก และไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน ก็ได้แต่ละเหี่ยใจ . ความดีงามของอนงค์ในหนังสือ ที่แม้นเป็นสาวสมัยใหม่ในยุคนั้น แต่ยังมีความรู้รักในเกียรติและศักดิ์ศรีของกุลสตรี ฉลาดและมีเฉลียว อีกทั้งมองคนออกอย่างเลิศ วางตัวเหมาะสมไม่ทำอะไรที่จะไปสะกิดให้คุณพระฯ นึกหยามหรือดูแคลนเอาได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกอย่างดำเนินไปจนถึงที่สุด จึงกล้าเผยหัวใจตนให้คนที่แอบเทิดทูนบูชารับรู้ ทั้งที่ทราบอยู่แก่ใจว่าอาจทำให้คุณพระฯ มองเธอไปในแง่ไม่ดี แต่ใจที่นึกเวทนาสงสารบวกความรักที่งอกเงยมานานมันเปี่ยมล้นพ้นใจ เกินกว่าจะเก็บกลั้นไว้ภายใน จึงได้ปลดปล่อยไหลทะลักไปในครานั้น แต่แม้จะหลุดคำพูดฝากรัก หากถ้อยคำที่สื่อสารก็ยังเปี่ยมด้วยมธุรส และงดงามในภาษาที่ช่างสรรคำมาเจรจาอย่างน่าทึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นคงจะไม่อาจคาดหวังว่าจะได้พบเจอเสียแล้ว เพราะได้ถูกแปรเปลี่ยนไปเป็นอนงค์ในแบบฉบับที่เหมือนปล่อยให้อำนาจความรัก ชักจูงเธอไปให้คิดและทำในสิ่งซึ่งอนงค์ในนิยายจะไม่มีวันทำเป็นอันขาด น่าเสียดาย... ภาพประกอบขอยืมจากในเน็ต #thaitimes #ดอกไม้สด #ละคร #mycherieamour #วิเคราะห์ตัวละคร #วิจารณ์ละคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 296 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตั้มตกหลุมดักกลางโหนกระแส
    ล่าสุด ท่ามกลางการประกาศระหว่าง อัฉริยะ และตั้มทนายหิวแสง
    ในการสงบศึก ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวกับค ดีที่มีผลเหมือนเป็นเกมส์บังคับให้อัจริยะต้องยอมประกาศกลางรายการโหนกระแส
    ...แต่หนุ่มกรรชัย ได้สนทนากลางรายการคล้ายกับการเปิดให้ตั้มได้แก้ตัว แต่กลับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ ให้สังคมและเจ้าหน้าที่ต้องจับตา
    โดย หนุ่ม ได้ถามตั้มว่า คุณเป็นทนายที่รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะเหตุใด คุณถึงใช้ชีวิตแบรนด์เนมส์ หรูหรา นั่เฟิสคลาส ผมเองก็สงสัย ผมเปิดโอกาสให้คุณได้อธิบาย
    ตั้ม ได้เฉลยความนัย ว่าตนเองได้รับมา 2 ล้าน ยูโร 2 ล.x 36.45 บ. = 80 ล.
    โดยอ้างว่า เป็นเงินเสี่ยงโ ชค ที่เค้าโอนมาให้ในบช เป็นสินน้ำใจ
    ซึ่ง จากข้ออ้างของที่มาของยอดเงิน วิธีการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกต่างรู้กันดีว่า เป็นกระบวนการของการฟอก โดยอ้างที่มาว่ามาจากการเสี่ยงโชคในต่างประเทศ
    ...จึงเกิดประเด็นใหม่ ให้หน่วยงานได้เข้าไปทำการตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมา ตั้ม มีความเกี่ยวข้องกับ สรุเชษฐ์หักพาน ที่เป็นเจ้าพ่อเว็บออนไลน์ และพบเส้นทางของเงินดาร์ค อย่างปฏิเสธไม่ได้ รวมถึง การพบข้อมูลของตั้ม ที่มิได้เป็นแค่เพียง ที่ปรึกษาทางกฏหมายให้สุรเชษฐ์ แต่กลับเป็นหุ้นส่วนของวงการสีดาร์ค ทั้งใต้ดิน และบนดิน ที่พบว่าตั้มได้ไปเดินเตร็ดเตร่บ่อยๆ ในโรงแรมที่มีชั้นใต้ดิน ที่มีนักเล่นมือหนักๆมาใช้บริการ ย่านภูเก็ต
    คิงส์โพธิ์ดำเชื่อว่า นี่จะเป็นอีกวาระสำคัญ ที่ท้าทายให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบเส้นเงินของตั้ม เพื่อพิสูจน์ความจริง
    ...ทนายหิวแสง อาจสิ้นชื่อ เพราะการหลุดกลางรายการโหนกระแสครั้งนี้ ก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    #ตั้มตกหลุมดักกลางโหนกระแส ล่าสุด ท่ามกลางการประกาศระหว่าง อัฉริยะ และตั้มทนายหิวแสง ในการสงบศึก ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวกับค ดีที่มีผลเหมือนเป็นเกมส์บังคับให้อัจริยะต้องยอมประกาศกลางรายการโหนกระแส ...แต่หนุ่มกรรชัย ได้สนทนากลางรายการคล้ายกับการเปิดให้ตั้มได้แก้ตัว แต่กลับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ ให้สังคมและเจ้าหน้าที่ต้องจับตา โดย หนุ่ม ได้ถามตั้มว่า คุณเป็นทนายที่รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะเหตุใด คุณถึงใช้ชีวิตแบรนด์เนมส์ หรูหรา นั่เฟิสคลาส ผมเองก็สงสัย ผมเปิดโอกาสให้คุณได้อธิบาย ตั้ม ได้เฉลยความนัย ว่าตนเองได้รับมา 2 ล้าน ยูโร 2 ล.x 36.45 บ. = 80 ล. โดยอ้างว่า เป็นเงินเสี่ยงโ ชค ที่เค้าโอนมาให้ในบช เป็นสินน้ำใจ ซึ่ง จากข้ออ้างของที่มาของยอดเงิน วิธีการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกต่างรู้กันดีว่า เป็นกระบวนการของการฟอก โดยอ้างที่มาว่ามาจากการเสี่ยงโชคในต่างประเทศ ...จึงเกิดประเด็นใหม่ ให้หน่วยงานได้เข้าไปทำการตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมา ตั้ม มีความเกี่ยวข้องกับ สรุเชษฐ์หักพาน ที่เป็นเจ้าพ่อเว็บออนไลน์ และพบเส้นทางของเงินดาร์ค อย่างปฏิเสธไม่ได้ รวมถึง การพบข้อมูลของตั้ม ที่มิได้เป็นแค่เพียง ที่ปรึกษาทางกฏหมายให้สุรเชษฐ์ แต่กลับเป็นหุ้นส่วนของวงการสีดาร์ค ทั้งใต้ดิน และบนดิน ที่พบว่าตั้มได้ไปเดินเตร็ดเตร่บ่อยๆ ในโรงแรมที่มีชั้นใต้ดิน ที่มีนักเล่นมือหนักๆมาใช้บริการ ย่านภูเก็ต คิงส์โพธิ์ดำเชื่อว่า นี่จะเป็นอีกวาระสำคัญ ที่ท้าทายให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบเส้นเงินของตั้ม เพื่อพิสูจน์ความจริง ...ทนายหิวแสง อาจสิ้นชื่อ เพราะการหลุดกลางรายการโหนกระแสครั้งนี้ ก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สามารถคนนี้นักตบมืออาชีพของแทร่วีรกรรมไม่ธรรมดอนะฮาฟ
    นังพัชผู้โป๊ะแตก กับ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช มีอะไรที่ผูกพันธ์กันพอสมควร
    แต่ เรื่องของสามารถคนนี้ ไม่ธรรมดา จากคนต๊อกต๋อย
    กลายเป็นมือขวาคู่ใจลุงป้อม เขี่ยอดีตคนใกล้ชิดผู้เป็นองครักษ์
    ขนาด เสี่ยแป้งยังต้องถอย ไปตั้งหลักกับคนชั้น 14
    ทั้งๆที่ คอยดูแลลุงอย่างดีมาตลอด
    ...ด้วยความที่เป็นดังสาริกาลิ้นทอง ที่พูดอะไร ลุงเชื่อหมด
    แม้กระทั่ง...วันที่ลุงป้อมอยู่ในภาวะหน้าสิว หน้าฝ้า เอ้ยสิ่ว หน้าขวาน
    ย้อนกลับไป วันที่ลุงป้อม ได้เรียกพรรคร่วมไปพูดคุยกัน
    โดยมีข่าวว่า พรรคส้มไม่ต่ำกว่า 40 - 70 เสียง + เพื่อไทยอีกจำนวนเหยียบร้อย จะยกมืออย่างพร้อมเพรียง เพื่อให้ลุงป้อมได้ขึ้นตำแหน่งนายก
    ตรงความมั่นใจนี้แหละ ที่ทำให้หลายคนสงสัยว่า อะไร คือที่มาของความมั่นใจในวันนั้น เพราะท้ายที่สุด อุ๊งอิ๊ง จึงได้การรับรองจากสส. พรรคร่วมอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งลุงป้อมเอง ก็เพิ่งมารู้ตัวหลังโหวต จนเป็นที่มาของการหยุมนักข่าว ที่ถามแซะลุงว่า เห็นผลโหวตหรือยัง
    ...พี่คิงส์ จะเฉลยให้ทุกท่านได้รับทราบ ณ บัดนาว
    ก็อย่างที่บอก ว่าสามารถ จากคนนอกพรรค กลายเป็นมือขวาลุง และสามารถก็ได้อาสา จะไปดึงสส.ส้ม และสส.เพื่อไทย ให้เป็นงูเห่า มายกมือหนับหนุนลุง โดย ในเพื่อไทย อ้างลุงว่าต้องเลี้ยงหัวละล้าน จำนวนกี่สิบ หรือหลักร้อยก็ว่าไป แต่ส่งถึงมือสส จริง สามารถอมไว้เอง ห้าฉิบเปอร์เซ็ง ส่วนพรรคส้ม ก็ต้องเป็นรายเดือน ตีไปหัวละแฉน สามารถก็อมไว้อีกห้าฉิบ เหมือนเดิม
    ที่น่าเจ็บจายคือ ลุงเลี้ยงมาเกือบปี เหมือนสำนวนที่ว่า ลับดาบพันวัน เพื่อใช้งานหนเดียว แต่กลายเป็น สส.พรรคส้มเอง ก็เอาไปขำขันว่า ลุงให้เงินใช้ฟฟรีรี เอาไปปาตี้กันหนุกหนาน สส.เพื่อไทยก็ขำกัน จนไปถึงหูโทนี่ โทนี่ก็ถึงกับปรี๊ดแตก ประกาศลั่นว่า จะไม่เอา พลปชร มาร่วมรัฐบาลเด็ดขวด
    ...และก็นั่นหละ วันโหวต ลุงป้อมก็ได้รับการเสนอชื่อจริง แต่คนลงคะแนนให้ลุง เท่าเห็บแมว ไอ่สามารถเอง ก็แก้ตัวต่างๆนานา ซึ่งเวลานั้น พี่คิงส์ก็ประเมินแล้ว ว่าลุงต้องถีบออก ถ้ารู้ความจริง แต่ เฮ๊ยย ลุงไม่ถีบ
    ...จนมาถึงวันนี้ กับเสียงเทวดา ที่คุยกับพอล กรณีดิไอคอน ที่อ้างว่า สามารถทำให้พอลดีดนิ้วแบบทานอส ได้ทุกอย่างในประเทศ แต่ต้องเงินถึง จนในที่สุดลุงป้อมแกก็รีบแถลง ขับสามารถออกจากสาระบบ อย่างที่เห็น
    นึกถึงคำพูดเสี่ยแป้ง ลอยมาเลยว่า
    ลุงป้อม ชอบเชื่อคนใหม่ ไม่สนใจคนเก่า สามารถคนเดียว ทำพลปชร อิ๊บอ๋ายมาได้ ถึงเพลานี้ทีเดียวเชียว สามารถ นักตบ มืออาชีพจริงๆ
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #สามารถคนนี้นักตบมืออาชีพของแทร่วีรกรรมไม่ธรรมดอนะฮาฟ นังพัชผู้โป๊ะแตก กับ สามารถ เจนชัยจิตรวนิช มีอะไรที่ผูกพันธ์กันพอสมควร แต่ เรื่องของสามารถคนนี้ ไม่ธรรมดา จากคนต๊อกต๋อย กลายเป็นมือขวาคู่ใจลุงป้อม เขี่ยอดีตคนใกล้ชิดผู้เป็นองครักษ์ ขนาด เสี่ยแป้งยังต้องถอย ไปตั้งหลักกับคนชั้น 14 ทั้งๆที่ คอยดูแลลุงอย่างดีมาตลอด ...ด้วยความที่เป็นดังสาริกาลิ้นทอง ที่พูดอะไร ลุงเชื่อหมด แม้กระทั่ง...วันที่ลุงป้อมอยู่ในภาวะหน้าสิว หน้าฝ้า เอ้ยสิ่ว หน้าขวาน ย้อนกลับไป วันที่ลุงป้อม ได้เรียกพรรคร่วมไปพูดคุยกัน โดยมีข่าวว่า พรรคส้มไม่ต่ำกว่า 40 - 70 เสียง + เพื่อไทยอีกจำนวนเหยียบร้อย จะยกมืออย่างพร้อมเพรียง เพื่อให้ลุงป้อมได้ขึ้นตำแหน่งนายก ตรงความมั่นใจนี้แหละ ที่ทำให้หลายคนสงสัยว่า อะไร คือที่มาของความมั่นใจในวันนั้น เพราะท้ายที่สุด อุ๊งอิ๊ง จึงได้การรับรองจากสส. พรรคร่วมอย่างเป็นเอกฉันท์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งลุงป้อมเอง ก็เพิ่งมารู้ตัวหลังโหวต จนเป็นที่มาของการหยุมนักข่าว ที่ถามแซะลุงว่า เห็นผลโหวตหรือยัง ...พี่คิงส์ จะเฉลยให้ทุกท่านได้รับทราบ ณ บัดนาว ก็อย่างที่บอก ว่าสามารถ จากคนนอกพรรค กลายเป็นมือขวาลุง และสามารถก็ได้อาสา จะไปดึงสส.ส้ม และสส.เพื่อไทย ให้เป็นงูเห่า มายกมือหนับหนุนลุง โดย ในเพื่อไทย อ้างลุงว่าต้องเลี้ยงหัวละล้าน จำนวนกี่สิบ หรือหลักร้อยก็ว่าไป แต่ส่งถึงมือสส จริง สามารถอมไว้เอง ห้าฉิบเปอร์เซ็ง ส่วนพรรคส้ม ก็ต้องเป็นรายเดือน ตีไปหัวละแฉน สามารถก็อมไว้อีกห้าฉิบ เหมือนเดิม ที่น่าเจ็บจายคือ ลุงเลี้ยงมาเกือบปี เหมือนสำนวนที่ว่า ลับดาบพันวัน เพื่อใช้งานหนเดียว แต่กลายเป็น สส.พรรคส้มเอง ก็เอาไปขำขันว่า ลุงให้เงินใช้ฟฟรีรี เอาไปปาตี้กันหนุกหนาน สส.เพื่อไทยก็ขำกัน จนไปถึงหูโทนี่ โทนี่ก็ถึงกับปรี๊ดแตก ประกาศลั่นว่า จะไม่เอา พลปชร มาร่วมรัฐบาลเด็ดขวด ...และก็นั่นหละ วันโหวต ลุงป้อมก็ได้รับการเสนอชื่อจริง แต่คนลงคะแนนให้ลุง เท่าเห็บแมว ไอ่สามารถเอง ก็แก้ตัวต่างๆนานา ซึ่งเวลานั้น พี่คิงส์ก็ประเมินแล้ว ว่าลุงต้องถีบออก ถ้ารู้ความจริง แต่ เฮ๊ยย ลุงไม่ถีบ ...จนมาถึงวันนี้ กับเสียงเทวดา ที่คุยกับพอล กรณีดิไอคอน ที่อ้างว่า สามารถทำให้พอลดีดนิ้วแบบทานอส ได้ทุกอย่างในประเทศ แต่ต้องเงินถึง จนในที่สุดลุงป้อมแกก็รีบแถลง ขับสามารถออกจากสาระบบ อย่างที่เห็น นึกถึงคำพูดเสี่ยแป้ง ลอยมาเลยว่า ลุงป้อม ชอบเชื่อคนใหม่ ไม่สนใจคนเก่า สามารถคนเดียว ทำพลปชร อิ๊บอ๋ายมาได้ ถึงเพลานี้ทีเดียวเชียว สามารถ นักตบ มืออาชีพจริงๆ ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 491 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ตั้มตกหลุมดักกลางโหนกระแส
    ล่าสุด ท่ามกลางการประกาศระหว่าง อัฉริยะ และตั้มทนายหิวแสง
    ในการสงบศึก ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวกับค ดีที่มีผลเหมือนเป็นเกมส์บังคับให้อัจริยะต้องยอมประกาศกลางรายการโหนกระแส
    ...แต่หนุ่มกรรชัย ได้สนทนากลางรายการคล้ายกับการเปิดให้ตั้มได้แก้ตัว แต่กลับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ ให้สังคมและเจ้าหน้าที่ต้องจับตา
    โดย หนุ่ม ได้ถามตั้มว่า คุณเป็นทนายที่รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะเหตุใด คุณถึงใช้ชีวิตแบรนด์เนมส์ หรูหรา นั่เฟิสคลาส ผมเองก็สงสัย ผมเปิดโอกาสให้คุณได้อธิบาย
    ตั้ม ได้เฉลยความนัย ว่าตนเองได้รับมา 2 ล้าน ยูโร 2 ล.x 36.45 บ. = เกือบ 80 ล.
    โดยอ้างว่า เป็นเงินเสี่ยงโ ชค ที่เค้าโอนมาให้ในบช เป็น............
    ซึ่ง จากข้ออ้างของที่มาของยอดเงิน วิธีการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกต่างรู้กันดีว่า เป็นกระบวนการของการฟอก โดยอ้างที่มาว่ามาจากการเสี่ยงโชคในต่างประเทศ
    ...จึงเกิดประเด็นใหม่ ให้หน่วยงานได้เข้าไปทำการตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมา ตั้ม มีความเกี่ยวข้องกับ สรุเชษฐ์หักพาน ที่เป็นเจ้าพ่อเว็บออนไลน์ และพบเส้นทางของเงินดาร์ค อย่างปฏิเสธไม่ได้ รวมถึง การพบข้อมูลของตั้ม ที่มิได้เป็นแค่เพียง ที่ปรึกษาทางกฏหมายให้สุรเชษฐ์ แต่กลับเป็นหุ้นส่วนของวงการสีดาร์ค ทั้งใต้ดิน และบนดิน ที่พบว่าตั้มได้ไปเดินเตร็ดเตร่บ่อยๆ ในโรงแรมที่มีชั้นใต้ดิน ที่มีนักเล่นมือหนักๆมาใช้บริการ ย่านภูเก็ต
    คิงส์โพธิ์ดำเชื่อว่า นี่จะเป็นอีกวาระสำคัญ ที่ท้าทายให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบเส้นเงินของตั้ม เพื่อพิสูจน์ความจริง
    ...ทนายหิวแสง อาจสิ้นชื่อ เพราะการหลุดกลางรายการโหนกระแสครั้งนี้ ก็เป็นได้
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #ตั้มตกหลุมดักกลางโหนกระแส ล่าสุด ท่ามกลางการประกาศระหว่าง อัฉริยะ และตั้มทนายหิวแสง ในการสงบศึก ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวกับค ดีที่มีผลเหมือนเป็นเกมส์บังคับให้อัจริยะต้องยอมประกาศกลางรายการโหนกระแส ...แต่หนุ่มกรรชัย ได้สนทนากลางรายการคล้ายกับการเปิดให้ตั้มได้แก้ตัว แต่กลับเป็นการสร้างประเด็นใหม่ ให้สังคมและเจ้าหน้าที่ต้องจับตา โดย หนุ่ม ได้ถามตั้มว่า คุณเป็นทนายที่รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่เพราะเหตุใด คุณถึงใช้ชีวิตแบรนด์เนมส์ หรูหรา นั่เฟิสคลาส ผมเองก็สงสัย ผมเปิดโอกาสให้คุณได้อธิบาย ตั้ม ได้เฉลยความนัย ว่าตนเองได้รับมา 2 ล้าน ยูโร 2 ล.x 36.45 บ. = เกือบ 80 ล. โดยอ้างว่า เป็นเงินเสี่ยงโ ชค ที่เค้าโอนมาให้ในบช เป็น............ ซึ่ง จากข้ออ้างของที่มาของยอดเงิน วิธีการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟอกต่างรู้กันดีว่า เป็นกระบวนการของการฟอก โดยอ้างที่มาว่ามาจากการเสี่ยงโชคในต่างประเทศ ...จึงเกิดประเด็นใหม่ ให้หน่วยงานได้เข้าไปทำการตรวจสอบ เพราะที่ผ่านมา ตั้ม มีความเกี่ยวข้องกับ สรุเชษฐ์หักพาน ที่เป็นเจ้าพ่อเว็บออนไลน์ และพบเส้นทางของเงินดาร์ค อย่างปฏิเสธไม่ได้ รวมถึง การพบข้อมูลของตั้ม ที่มิได้เป็นแค่เพียง ที่ปรึกษาทางกฏหมายให้สุรเชษฐ์ แต่กลับเป็นหุ้นส่วนของวงการสีดาร์ค ทั้งใต้ดิน และบนดิน ที่พบว่าตั้มได้ไปเดินเตร็ดเตร่บ่อยๆ ในโรงแรมที่มีชั้นใต้ดิน ที่มีนักเล่นมือหนักๆมาใช้บริการ ย่านภูเก็ต คิงส์โพธิ์ดำเชื่อว่า นี่จะเป็นอีกวาระสำคัญ ที่ท้าทายให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบเส้นเงินของตั้ม เพื่อพิสูจน์ความจริง ...ทนายหิวแสง อาจสิ้นชื่อ เพราะการหลุดกลางรายการโหนกระแสครั้งนี้ ก็เป็นได้ #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..จริงๆประเทศไทยในนามชื่อว่าแผ่นดินไทยนี้ มันอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ไม่แพ้ชาติใดๆบนโลกนีัเลย,แต่เรามีผู้ปกครองที่กาก ขลาดเขลา ขี้กาก ใจขี้ขลาด เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ กอบโกยเข้าแค่วงศ์โคตรตระกูลมันผ่านการมีอำนาจ ได้อำนาจ มีตำแหน่งในการปกครองแผ่นดินนี้และใช้ไปทางที่เลวชั่วแทน,ไม่คิดถึงคนในประเทศชาติตนด้วยส้นตีนมันสมองของชนชั้นอำมาตย์ปกครองเก่านี้มองประชาชนยังเป็นเพียงทาส&ขี้ข้า&ไพร่เก่าๆเดิมๆคนรับใช้ สไตล์ศักดินาเก่า การหมอบกราบมันชอบนักคนเชื้อชาติตระกูลนี้ในไทยเราและสืบเป็นทายาทอสูรสูบทรัพยากรมีค่าสมบัติชาติส่วนรวมไปไว้กับตัวโดนอันมากเป็นอันมากที่เห็นคือผ่านระบบผูกขาด&เผด็จการผูกขาดนั้นเอง ไม่รวมอีลิทศักดินาต่างชาติมาจับมือสุ่มหัวกันปล้นแผ่นดินไทยเรานี้อีกแบบเห็นชัดเจนตัวพ่อคือบ่อน้ำมันบ่อปิโตรเลียมไทยเราและบ่อทองคำเรา เพียง2ตย.นี้ก็เพียงพอแล้ว,การปกครองในไทยเราถึงปัจจุบันจึงถือว่าล้มเหลว,เป็นเพียงการสิ้นชาติสิ้นอธิปไตยสิ้นอิสระภาพแห่งตนคนไทยเรารวมทั้งสิ้นสมบัติสิ้นของมีค่าสิ้นทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยตนด้วย มีแต่ชื่อ มีแต่ว่าสถานะชื่อว่าบ้าน แต่ทั้งหมดมันยึด ปล้น ครอบครองเอาไปสิ้นจนหมด คงมั่นคงไว้แต่ความทุกข์ความยากจน ดิ้นรนเป็นทาสแรงงาน ทาสหนี้สินต่างๆแก่เหล่ามันผู้ปกครองที่ควบคุมกลไกทั้งระบบของเดอะแก๊งมันเอง,ทหารรัฐประหารในอดีตเรื่อยมาอาจสรุปได้ว่าคือคนของอีลิทชนชั้นปกครองชั่วอาจทัังฝ่ายคนเลวฝั่งไทยเองและอีลิทต่างชาติด้วยที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจเพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์จึงลงมือก่อน,ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่นแบบโชว์ออฟแต่ไม่ยอมฉีกพรบ.ทาสบ่อน้ำมันหรือยึดบ่อน้ำมันคืน ไม่แตะสักขนเล็บแมวขนหมาฝรั่ง,จึงถือว่าเหี้ยหมด มิใช่ทหาร&เหล่าคณะคนไทยห่าอะไรที่ยึดอำนาจจากระบบประชาธิปไตยที่มักชอบแอบอ้างก่อการนั้นเลย,มันคือคณะก่อการอีลิท นอมินีพวกชนชั้นไทยและอีลิทชนชั้นต่างชาติที่สมคบคิดกัน,ปล้นคนไทยให้ยากจนนี้ล่ะ,อิหร่านขายน้ำมันลิตระ1-2บาทจะเบนซินหรือดีเชล ไทยเหี้ยขายแพง คณะยึดอำนาจที่ผ่านๆมาคือคณะสาระเลวมิได้รักษาอธิปไตยชาติไทยจริงห่าอะไรแค่รักษาผลประโยชน์พวกห่านี้ล่ะ.และของพวกมันกันเองด้วย,แผ่นดินไทยร่ำรวยกว่าหมื่นกว่าแสนล้านล้านบาทหรือ1×10¹²⁰ก็ว่า ร่ำรวยขนาดนั้นเลยล่ะแต่สาระเลวปกครองให้ประชาชนยากจนมั่นคง.
    ..จริงๆประเทศไทยในนามชื่อว่าแผ่นดินไทยนี้ มันอุดมสมบูรณ์อย่างมาก ไม่แพ้ชาติใดๆบนโลกนีัเลย,แต่เรามีผู้ปกครองที่กาก ขลาดเขลา ขี้กาก ใจขี้ขลาด เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ กอบโกยเข้าแค่วงศ์โคตรตระกูลมันผ่านการมีอำนาจ ได้อำนาจ มีตำแหน่งในการปกครองแผ่นดินนี้และใช้ไปทางที่เลวชั่วแทน,ไม่คิดถึงคนในประเทศชาติตนด้วยส้นตีนมันสมองของชนชั้นอำมาตย์ปกครองเก่านี้มองประชาชนยังเป็นเพียงทาส&ขี้ข้า&ไพร่เก่าๆเดิมๆคนรับใช้ สไตล์ศักดินาเก่า การหมอบกราบมันชอบนักคนเชื้อชาติตระกูลนี้ในไทยเราและสืบเป็นทายาทอสูรสูบทรัพยากรมีค่าสมบัติชาติส่วนรวมไปไว้กับตัวโดนอันมากเป็นอันมากที่เห็นคือผ่านระบบผูกขาด&เผด็จการผูกขาดนั้นเอง ไม่รวมอีลิทศักดินาต่างชาติมาจับมือสุ่มหัวกันปล้นแผ่นดินไทยเรานี้อีกแบบเห็นชัดเจนตัวพ่อคือบ่อน้ำมันบ่อปิโตรเลียมไทยเราและบ่อทองคำเรา เพียง2ตย.นี้ก็เพียงพอแล้ว,การปกครองในไทยเราถึงปัจจุบันจึงถือว่าล้มเหลว,เป็นเพียงการสิ้นชาติสิ้นอธิปไตยสิ้นอิสระภาพแห่งตนคนไทยเรารวมทั้งสิ้นสมบัติสิ้นของมีค่าสิ้นทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยตนด้วย มีแต่ชื่อ มีแต่ว่าสถานะชื่อว่าบ้าน แต่ทั้งหมดมันยึด ปล้น ครอบครองเอาไปสิ้นจนหมด คงมั่นคงไว้แต่ความทุกข์ความยากจน ดิ้นรนเป็นทาสแรงงาน ทาสหนี้สินต่างๆแก่เหล่ามันผู้ปกครองที่ควบคุมกลไกทั้งระบบของเดอะแก๊งมันเอง,ทหารรัฐประหารในอดีตเรื่อยมาอาจสรุปได้ว่าคือคนของอีลิทชนชั้นปกครองชั่วอาจทัังฝ่ายคนเลวฝั่งไทยเองและอีลิทต่างชาติด้วยที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจเพราะกลัวจะเสียผลประโยชน์จึงลงมือก่อน,ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่นแบบโชว์ออฟแต่ไม่ยอมฉีกพรบ.ทาสบ่อน้ำมันหรือยึดบ่อน้ำมันคืน ไม่แตะสักขนเล็บแมวขนหมาฝรั่ง,จึงถือว่าเหี้ยหมด มิใช่ทหาร&เหล่าคณะคนไทยห่าอะไรที่ยึดอำนาจจากระบบประชาธิปไตยที่มักชอบแอบอ้างก่อการนั้นเลย,มันคือคณะก่อการอีลิท นอมินีพวกชนชั้นไทยและอีลิทชนชั้นต่างชาติที่สมคบคิดกัน,ปล้นคนไทยให้ยากจนนี้ล่ะ,อิหร่านขายน้ำมันลิตระ1-2บาทจะเบนซินหรือดีเชล ไทยเหี้ยขายแพง คณะยึดอำนาจที่ผ่านๆมาคือคณะสาระเลวมิได้รักษาอธิปไตยชาติไทยจริงห่าอะไรแค่รักษาผลประโยชน์พวกห่านี้ล่ะ.และของพวกมันกันเองด้วย,แผ่นดินไทยร่ำรวยกว่าหมื่นกว่าแสนล้านล้านบาทหรือ1×10¹²⁰ก็ว่า ร่ำรวยขนาดนั้นเลยล่ะแต่สาระเลวปกครองให้ประชาชนยากจนมั่นคง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • 22/10/67

    พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
    ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

    ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น
    แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง
    เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

    “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง
    โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด”

    ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
    จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

    ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน
    และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ
    เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา”

    ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

    ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ

    ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ
    สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง”

    พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป
    เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร
    หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา!
    ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

    ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด
    และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง”

    ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

    ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย
    แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก”

    ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน
    มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา
    เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

    ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
    ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

    ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด”

    ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก
    แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

    ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

    ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

    นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

    ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

    “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ”

    ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

    ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง
    กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข
    ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

    ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์
    ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ
    แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี
    ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว
    และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

    สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ
    เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง
    แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ
    แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ”

    คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง”

    ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก”

    ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย
    แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

    หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว
    ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

    ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้”
    ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ”

    ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว”

    แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

    ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ”

    แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า

    “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด
    ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก
    จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา”

    อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย
    เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน
    ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

    ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์
    กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

    ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

    ………………………………………………………………………

    ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

    สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข
    ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้
    ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

    เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน
    และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้

    แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
    .
    22/10/67 พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด” ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา” ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง” พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง” ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก” ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด” ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ” คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง” ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก” ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้” ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ” ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว” แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ” แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา” อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง ……………………………………………………………………… ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22/10/67

    พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
    ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

    ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น
    แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง
    เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

    “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง
    โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด”

    ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก
    จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

    ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน
    และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ
    เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา”

    ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

    ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ

    ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ
    สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง”

    พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป
    เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร
    หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา!
    ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

    ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด
    และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง”

    ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

    ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย
    แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก”

    ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน
    มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา
    เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

    ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
    ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

    ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด”

    ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก
    แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

    ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

    ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว

    นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

    ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

    “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ”

    ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

    ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง
    กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข
    ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว

    ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์
    ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ
    แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน”

    แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี
    ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว
    และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

    สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ
    เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง
    แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

    ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ
    แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ”

    คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง”

    ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก”

    ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย
    แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

    หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว
    ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

    ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้”
    ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ”

    ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว”

    แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ

    ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ”

    แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า

    “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด
    ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก
    จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา”

    อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย
    เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน
    ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้

    ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์
    กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ”

    ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

    ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

    ………………………………………………………………………

    ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก

    สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข
    ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้
    ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

    เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน
    และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้

    แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย


    .
    22/10/67 พ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือ ไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้ ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง “ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด” ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป ” ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา” ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ ” แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง” ผู้เป็นพ่อถามต่อ ” ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสียๆ ของเขาบ้าง” พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า……..พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา! ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า ” ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้พวกคนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวด และอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง” ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า ” อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก” ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวัน มาถึงเร็ว ๆ ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง ” พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว” ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก ” ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด” ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้นไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม ” เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก” พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น ” พ่อครับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ !!!! ” ลูกชายบอกกับพ่อของเขา “พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ” ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า ” พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆว หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน” แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไป ฉุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ พวกคนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ” คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า “วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง” ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า ” ผมจะไปจัดการพวกคนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก” ” ลูกต้องไปเขียนก่อน” พ่อบอกเสียงเรียบ “เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน ” โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้” ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า ” ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ” ” กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว” แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ ” ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ” แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า “เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูก จะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา” อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์ กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ” ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง ……………………………………………………………………… ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## The icon ภาค 2 โดย อาจารย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ##
    ..
    ..
    วิเคราะห์เจาะลึก โดย อาจารย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ครั้งที่ 2 คดี The icon
    .
    อาจารย์ปานเทพ ละเอียดยิบเช่นเดิมครับ...
    .
    จากรายการ News Hour 18-10-67 : ย้อนเทียบ..คำพิพากษาคดีแชร์ลูกโซ่ดัง ใครรอด-ไม่รอด
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=hcsD9fW6VCA
    ...
    ...
    เสริมให้เล็กน้อยครับ...
    .
    ผมเห็นเพจพวกลงทุนใน คริปโตเคอร์เรนซี ออกมาแก้ตัวแทน คริปโตเคอร์เรนซี ในเคสนี้ ว่า...
    .
    รู้มั้ยพวก ธุรกิจมืด พวกที่ฟอกเงิน เขาไม่นิยมใช้ USDT เหตุเพราะ สามารถถูกอายัดบัญชีได้...
    .
    ถ้าพูดให้ครบถ้วนคือ โดยปกติ ทำไม่ได้นะครับ
    .
    แต่...
    .
    กรณีนั้น Exchange ถูกกดดันจากประเทศ อเมริกา ครับ...
    .
    คำถามครับ ตำรวจไทย มีอำนาจ อายัดบัญชีพวกนี้ด้วยหรือไม่...???
    .
    ตำรวจไทย มีอำนาจ กดดัน Exchange เช่น ประเทศ อเมริกา หรือ ไม่...???
    .
    หนึ่งในเหตุผลที่ ประเทศต่างๆ ไม่สนับสนุน คริปโคเคอร์เรนซี หรือ บิตคอยน์ สำหรับใช้แทนเงินกระดาษ ก็คือเรื่องนี้ครับ "การฟอกเงิน" รัฐตามรอยได้ยากมากครับ...
    .
    ดีไม่ดีไปคิดต่อกันเอาเองครับ...
    .
    😁😁😁😁
    ## The icon ภาค 2 โดย อาจารย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ## .. .. วิเคราะห์เจาะลึก โดย อาจารย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ครั้งที่ 2 คดี The icon . อาจารย์ปานเทพ ละเอียดยิบเช่นเดิมครับ... . จากรายการ News Hour 18-10-67 : ย้อนเทียบ..คำพิพากษาคดีแชร์ลูกโซ่ดัง ใครรอด-ไม่รอด . https://www.youtube.com/watch?v=hcsD9fW6VCA ... ... เสริมให้เล็กน้อยครับ... . ผมเห็นเพจพวกลงทุนใน คริปโตเคอร์เรนซี ออกมาแก้ตัวแทน คริปโตเคอร์เรนซี ในเคสนี้ ว่า... . รู้มั้ยพวก ธุรกิจมืด พวกที่ฟอกเงิน เขาไม่นิยมใช้ USDT เหตุเพราะ สามารถถูกอายัดบัญชีได้... . ถ้าพูดให้ครบถ้วนคือ โดยปกติ ทำไม่ได้นะครับ . แต่... . กรณีนั้น Exchange ถูกกดดันจากประเทศ อเมริกา ครับ... . คำถามครับ ตำรวจไทย มีอำนาจ อายัดบัญชีพวกนี้ด้วยหรือไม่...??? . ตำรวจไทย มีอำนาจ กดดัน Exchange เช่น ประเทศ อเมริกา หรือ ไม่...??? . หนึ่งในเหตุผลที่ ประเทศต่างๆ ไม่สนับสนุน คริปโคเคอร์เรนซี หรือ บิตคอยน์ สำหรับใช้แทนเงินกระดาษ ก็คือเรื่องนี้ครับ "การฟอกเงิน" รัฐตามรอยได้ยากมากครับ... . ดีไม่ดีไปคิดต่อกันเอาเองครับ... . 😁😁😁😁
    Like
    Love
    12
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 585 มุมมอง 3 รีวิว
  • จากเรื่องมหากาพย์ ดิ ไอคอน ที่เพิ่งเริ่มขึ้นมานั้น ทำให้เห็นปรากฎการณ์ ที่เหลือเชื่อหลายอย่าง ที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย อย่างแรกคือ มาตราฐาน มายเซท ของคนไทยนั้นยัง ล้าหลังแบบไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชม คนที่อวดรวย แบบสะเหร่อๆ เอาเงินเป็นปึก มากองๆไว้ อวดนาฬิกาเรือนละหลายสิบล้าน แบบโต้งๆ คอตเทนท์เหล่านี้ คนจะแห่มาตามเยอะมาก และไม่เข้าใจว่าจะไปตาม เป็น FC คนที่ทำอะไรแบบนี้ทำไม ตรรกกะคนไทย ทำไมตื้นเขินขนาดนี้ ใครทำบุญออกกล้องเยอะๆ คือคนดี ใครโชว์เงินโชว์ทอง
    เฮ้าเลี่ยน มากๆคือคนประสบความสำเร็จ คิดกันได้แค่นี้
    จะเป็นลม

    เรื่องสองคือ คนไทยยังพยายามหาธุรกิจ ที่เป็น passive income นั่งเฉยๆ แล้วเงินงอก ลงหมืืนได้แสน ลงแสนได้ล้าน
    มหาลัย ไม่เคยสอนเหรอ ว่ามันไม่มีจริง ถ้ามันจริงเขาจะมาชวนมึงทำไม ทำเองรวยเองเงียบๆดิเห้ย Passive income จริงๆ มันมีแค่ เป็นเจ้าของที่ให้เขาเช่า 20-30 ปี อันนี้แหละ passive แน่ๆ หรือสัมปทานจากภาครัฐ พวกโรงไฟฟ้า อะไรที่คนอย่างเราๆท่านๆเอื้อมไม่ถึง นั่นแหละ ถึงจะจริง ที่เหลือ โกหกทั้งเพ

    เรื่องสาม คนไทย ยังโลภ แบบไม่ดูตาม้า ตาเรือ เห็นที่สัมภาษณ์กันคือ เห็นดาราแล้วเชื่อเลย ลงเงินเลยไม่ตรวจอะไรก่อน เอาจริงดิ ทำไมแยกหนังละคร กับชีวิตจริงไม่ออกกันเลยเหรอ ใครเล่นหนังดี ตีบทแตก คนนัินคือคนดีงั้นเหรอ
    เชี่ยยยย ไม่อยากจะเชื่อเลย

    หรือเราควรออกกฎหมายแบบ ประเทศจีน คือ ใครอวดรวยเว่อๆ นั้นโดนแบน ช่องปลิวไปเลย ข้อหา สร้างความฝัน ความเชื่อผิดเพี้ยน แพร่กระจาย ค่านิยมไม่ดี เป็นภัยหลอกลวงสังคม ถ้าคุณภาพคนของเรายังอ่อนแอขนาดนี้

    เรื่องสุดท้าย ทีืไม่อยากจะเชื่อ คือคนระดับพี่แซม ที่ถนอมเนื้อตัว พระเอกตลอดกาล เคยเป็นทั้ง สส ยันตัวเต็ง ผู้ว่ากทม บ้านก็รวยอยู่แล้ว ยังหลงหลุดไปวังวนนี้ แต่เอาเข้าจริง ผมว่า แกไม่รู้เบื้องลึก หนาบาง ขนาดนั้นหรอก อาจจะโดนเขาชวนมาทำให้ช่วยพูดให้ช่วงแรก แล้วได้เงินเยอะดี เช็คดูแล้วบริษัท ก็เปิดมาหลายปี แถมได้รางวัลโล่ จาก สคบ อีกตะหาก ก็ถลำเข้ามา คล้ายๆน้องมิน คุณหนูบ้านรวย นางเอกฮอต ถ้ารู้ว่า หลอกเขากินแน่ๆ ใครเขาจะมา ชีวิตก็สบายดีมากอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ กฎหมายไทย ทำผิดแล้วบอกว่าไม่รู้ ก็แก้ตัวไม่ได้ งานนี้ก็เลยหืดขึ้นคอ

    ส่วนกันต์ นั้น อีกเรื่อง เพราะอยู่มานานเกินกว่า จะบอกว่าไม่รู้แจ้ง แถมคอนเทนด์ที่ทำนั้น เรียกทัวร์ได้มหาศาล นาฬิการวมๆแล้ว เป็นร้อยล้าน กินขนม ห่อละสามล้าน ย้ำ ขนม ไปประมูลมา เมียแอบกิน ห่อละสามล้าน แล้วก็อะไรเว่อๆแบบเกินมนุษย มนา คนไทยแห่มากดไลค์ก็จริง แต่ลึกๆแล้ว ไม่มีใครชื่นชมด้วยใจบริสุทธ์ ส่วนมากมีแต่แอบอิจฉา และ
    รอวันล้ม จะได้ตามมาซ้ำได้ถนัดๆ คือได้เห็นมึงแย่ แล้วรู้สึกว่าชีวิตกูดีขึ้นอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไร
    คนไทยส่วนมากก็รอดูวันนั้น…..ซึ่งมันก็คือวันนี้

    นิทานเรื่องนี้ สอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตผมทุกวันนี้ พอมีพอกิน ขึ้นมั่งลงมั่ง ก็ไม่ใช่ชีวิตที่แย่ เพราะพวก รถซุปเปอร์คาร์ ครบสี อวดรวยเว่อวัง นาฬิกาเยอะๆ เงินสดกองๆ ชอปปิ้งทีละล้านสุดท้ายแม่งเงินสีเทา หรือหลอกเขาแดกทั้งนั้น

    เพราะคนทำมาหากินสุจริต และสติดีๆ ไม่มีใครเขาทำกันแบบนี้หรอกคุณ

    Cr: อนิศ โอสถานุเคราะห์
    จากเรื่องมหากาพย์ ดิ ไอคอน ที่เพิ่งเริ่มขึ้นมานั้น ทำให้เห็นปรากฎการณ์ ที่เหลือเชื่อหลายอย่าง ที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย อย่างแรกคือ มาตราฐาน มายเซท ของคนไทยนั้นยัง ล้าหลังแบบไม่น่าเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นการชื่นชม คนที่อวดรวย แบบสะเหร่อๆ เอาเงินเป็นปึก มากองๆไว้ อวดนาฬิกาเรือนละหลายสิบล้าน แบบโต้งๆ คอตเทนท์เหล่านี้ คนจะแห่มาตามเยอะมาก และไม่เข้าใจว่าจะไปตาม เป็น FC คนที่ทำอะไรแบบนี้ทำไม ตรรกกะคนไทย ทำไมตื้นเขินขนาดนี้ ใครทำบุญออกกล้องเยอะๆ คือคนดี ใครโชว์เงินโชว์ทอง เฮ้าเลี่ยน มากๆคือคนประสบความสำเร็จ คิดกันได้แค่นี้ จะเป็นลม เรื่องสองคือ คนไทยยังพยายามหาธุรกิจ ที่เป็น passive income นั่งเฉยๆ แล้วเงินงอก ลงหมืืนได้แสน ลงแสนได้ล้าน มหาลัย ไม่เคยสอนเหรอ ว่ามันไม่มีจริง ถ้ามันจริงเขาจะมาชวนมึงทำไม ทำเองรวยเองเงียบๆดิเห้ย Passive income จริงๆ มันมีแค่ เป็นเจ้าของที่ให้เขาเช่า 20-30 ปี อันนี้แหละ passive แน่ๆ หรือสัมปทานจากภาครัฐ พวกโรงไฟฟ้า อะไรที่คนอย่างเราๆท่านๆเอื้อมไม่ถึง นั่นแหละ ถึงจะจริง ที่เหลือ โกหกทั้งเพ เรื่องสาม คนไทย ยังโลภ แบบไม่ดูตาม้า ตาเรือ เห็นที่สัมภาษณ์กันคือ เห็นดาราแล้วเชื่อเลย ลงเงินเลยไม่ตรวจอะไรก่อน เอาจริงดิ ทำไมแยกหนังละคร กับชีวิตจริงไม่ออกกันเลยเหรอ ใครเล่นหนังดี ตีบทแตก คนนัินคือคนดีงั้นเหรอ เชี่ยยยย ไม่อยากจะเชื่อเลย หรือเราควรออกกฎหมายแบบ ประเทศจีน คือ ใครอวดรวยเว่อๆ นั้นโดนแบน ช่องปลิวไปเลย ข้อหา สร้างความฝัน ความเชื่อผิดเพี้ยน แพร่กระจาย ค่านิยมไม่ดี เป็นภัยหลอกลวงสังคม ถ้าคุณภาพคนของเรายังอ่อนแอขนาดนี้ เรื่องสุดท้าย ทีืไม่อยากจะเชื่อ คือคนระดับพี่แซม ที่ถนอมเนื้อตัว พระเอกตลอดกาล เคยเป็นทั้ง สส ยันตัวเต็ง ผู้ว่ากทม บ้านก็รวยอยู่แล้ว ยังหลงหลุดไปวังวนนี้ แต่เอาเข้าจริง ผมว่า แกไม่รู้เบื้องลึก หนาบาง ขนาดนั้นหรอก อาจจะโดนเขาชวนมาทำให้ช่วยพูดให้ช่วงแรก แล้วได้เงินเยอะดี เช็คดูแล้วบริษัท ก็เปิดมาหลายปี แถมได้รางวัลโล่ จาก สคบ อีกตะหาก ก็ถลำเข้ามา คล้ายๆน้องมิน คุณหนูบ้านรวย นางเอกฮอต ถ้ารู้ว่า หลอกเขากินแน่ๆ ใครเขาจะมา ชีวิตก็สบายดีมากอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละ กฎหมายไทย ทำผิดแล้วบอกว่าไม่รู้ ก็แก้ตัวไม่ได้ งานนี้ก็เลยหืดขึ้นคอ ส่วนกันต์ นั้น อีกเรื่อง เพราะอยู่มานานเกินกว่า จะบอกว่าไม่รู้แจ้ง แถมคอนเทนด์ที่ทำนั้น เรียกทัวร์ได้มหาศาล นาฬิการวมๆแล้ว เป็นร้อยล้าน กินขนม ห่อละสามล้าน ย้ำ ขนม ไปประมูลมา เมียแอบกิน ห่อละสามล้าน แล้วก็อะไรเว่อๆแบบเกินมนุษย มนา คนไทยแห่มากดไลค์ก็จริง แต่ลึกๆแล้ว ไม่มีใครชื่นชมด้วยใจบริสุทธ์ ส่วนมากมีแต่แอบอิจฉา และ รอวันล้ม จะได้ตามมาซ้ำได้ถนัดๆ คือได้เห็นมึงแย่ แล้วรู้สึกว่าชีวิตกูดีขึ้นอัตโนมัติ ไม่ต้องทำอะไร คนไทยส่วนมากก็รอดูวันนั้น…..ซึ่งมันก็คือวันนี้ นิทานเรื่องนี้ สอนให้ผมรู้ว่า ชีวิตผมทุกวันนี้ พอมีพอกิน ขึ้นมั่งลงมั่ง ก็ไม่ใช่ชีวิตที่แย่ เพราะพวก รถซุปเปอร์คาร์ ครบสี อวดรวยเว่อวัง นาฬิกาเยอะๆ เงินสดกองๆ ชอปปิ้งทีละล้านสุดท้ายแม่งเงินสีเทา หรือหลอกเขาแดกทั้งนั้น เพราะคนทำมาหากินสุจริต และสติดีๆ ไม่มีใครเขาทำกันแบบนี้หรอกคุณ Cr: อนิศ โอสถานุเคราะห์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • Newsstory : สามารถร้อนตัวหนัก รีบออกมาแก้ตัว แถมข่มขู่ กรณีตบทรัพย์ ดิไอคอน
    #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่
    #theicon #สามารถ
    Newsstory : สามารถร้อนตัวหนัก รีบออกมาแก้ตัว แถมข่มขู่ กรณีตบทรัพย์ ดิไอคอน #Newsstory #สนธิทอร์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #นิวส์สตอรี่ #theicon #สามารถ
    Like
    Haha
    16
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1401 มุมมอง 954 1 รีวิว
  • บอสบอย ปกรณ์ เศร้า ลั่นพลาดเอง ยอมรับทุกอย่างไม่อยากแก้ตัว
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    บอสบอย ปกรณ์ เศร้า ลั่นพลาดเอง ยอมรับทุกอย่างไม่อยากแก้ตัว #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Like
    Love
    Haha
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 764 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก็ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราอยู่ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่...???
    .
    ประชาธิปไตย ขาดออกจากหลัก นิติรัฐ ได้รึเปล่าหล่ะ...???
    .
    คนทำผิด ไม่ควรถูกลงโทษหรือ...???
    .
    ประเทศไทย ควรปกครอง โดยปราศจาก กฎหมายหรือ...???
    .
    ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะ ประชาธิปไตย หรือ คอมมิวนิสต์ เขาก็เริ่มต้นที่ หลักนิติรัฐ กันทั้งนั้น
    .
    ถ้าไม่มี กฎหมาย บัญญัติ สิทธิ หน้าที่ และ รองรับ เสรีภาพ ของบุคคลไว้....
    .
    สัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกลุ่มกัน เช่น มนุษย์ ซึ่งมีทั้ง คนดี คนเลว และ คนเห็นแก่ตัว อาศัยอยู่รวมกัน ก็คงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีที่สิ้นสุด...
    .
    เพื่อให้สังคม สงบสุขร่มเย็น เขาถึง ต้องมีกฎหมายไว้เพื่อการนี้ไงหล่ะ...
    .
    เพราะมันจะมี มนุษย์บางจำพวก ที่ปากเรียกร้องคนเท่ากัน แต่ ชอบยกยอตัวเอง ว่า ดีกว่า รุ่นใหม่กว่า มีอารยธรรมมากกว่า แล้วกดคนอื่น ว่า ไดโนเสาร์ โบราณเต่าล้านปี
    .
    คนพวกนี้ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่ว่าจะทำชั่วขนาดไหนมา พอท่องคาถา "ประชาธิปไตย" "สิทธิ-เสรีภาพ" จะราวกับว่า ได้ลงไปชุบตัวในบ่อทอง จนกลายเป็น "ผู้วิเศษ" ไป
    .
    อ้างแต่ คะแนนเสียง...
    .
    คะแนนเสียง สามารถ บอกความชมชอบของผู้คนได้...
    .
    แต่...คะแนนเสียง ไม่สามารถ บอกความถูก-ผิด ได้
    .
    ดังนั้นถึงต้องมีคนกลางที่เรียกว่า ศาลยุติธรรม ขึ้นมาตัดสินคดีความต่างๆยังไงหล่ะ...
    .
    และ ในเมื่อ ศาล เอง ก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ลำเอียง...
    .
    ศาลเอง ก็ไม่สามารถ ตัดสินคดีไปตามอำเภอใจตนได้ ต้องทำตามที่ กฎหมาย และ กฎระเบียบ กำหนดไว้เท่านั้น...!!!
    .
    เป็นที่มาของ อำนาจ อธิปไตย ทั้ง 3 ขา (บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ) ในการปกครองประเทศ ที่แยกจากกันเด็ดขาด แต่ สามารถ คานอำนาจกัันได้ ตามหลักการ Check and Balance ยังไงหล่ะ...!!!
    .
    เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ พยายามด้อยค่า หนึ่งเสาหลักอำนาจอธิปไตย ทำลายระบบคานอำนาจ ตามหลักการประชาธิปไตย เสียเอง...
    .
    แปลกนะ...!!!
    .
    ผมว่า วิญญูชน คนทั่วไป ที่เรียนจบกฎหมาย ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะ หลักการพวกนี้ เด็กปี 1-2 ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจกันหมดแล้ว...
    .
    เว้นเสียแต่ว่า...
    .
    จะจงใจ...
    .
    1.แกล้งโง่
    2.ให้ข้อมูลไม่ครบ
    3.เขางอกจนโง้ง จริงๆ
    .
    ผมเคย ดูหนัง ดูซีรีย์ ส่วนใหญ่พอ โจร หรือ ตัวโกง มันแพ้ตอนท้ายเรื่อง...
    .
    โจรมันมักจะตะโกน "ข้าไม่ผิด"
    .
    พวกมันจะพูดในทำนองที่ว่า ที่มัน "ชั่ว" มาทั้งเรื่อง ตลอด 30 ตอน โผล่หน้ามา ทุกฉาก ต้องฆ่าคน ใส่ร้ายคน...
    .
    "ไม่ว่าจะทำอะไรมา ยังไงกูก็ไม่ผิด"
    .
    นี่แหล่ะครับ "คนชั่ว"
    .
    ในเมื่อ กฎหมาย คือ ศีลธรรม ที่เขียนเป็นตัวหนังสือ...
    .
    หรือว่า ในเมื่อ คนมันไม่มี ศีลธรรม เสียแล้ว กฎหมาย ไม่ต้องมันก็ได้...???
    .
    🤣🤣🤣🤣
    .
    ส่วนตัว ผมไม่ ถวิลหา "สังคมโจร" ครับ...
    ...
    ...
    อ่อ..."ล้มล้างการปกครอง" ที่ศาลท่านเคยว่าไว้เนี่ย ให้ไปดูที่คำว่า "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ครับ...
    .
    หมายความว่า การกระทำที่ ค่อยๆทำให้เกิดขึ้น เช่น...
    .
    ทำให้คนเสื่อมคลายความศรัทธาใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ "ปล่อยข่าวเท็จ" โจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิจ
    .
    ทำให้คนที่เล่น โซเชียลมีเดีย มาเห็น บ่อยๆ ซ้ำๆ จากหลายช่องทาง หลายเพจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน จนผู้คนเกิดหลงเชื่อ
    .
    ทำให้ ผู้คนหมดศรัทธาลง จาก สถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    อย่าลืมนะครับ ประเทศไทย ปกครองในระบอบ Institution Monarchy หรือ ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ
    .
    ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่ง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
    .
    หรือ ใครจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้
    .
    การที่คุณจะแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจาก การปกครอง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือ เสื่อมเสียศรัทธา ไปเสียจากประชาชน ด้วยความเท็จ...
    .
    นั่นแหล่ะครับ คือการ "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" และ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...!!!
    .
    เป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ ไม่ใช้ การใช้กำลังแบบฉับพลัน เช่น การเอามีดออกมาฟัน หรือ การเอาปืนออกมายิง
    .
    แบบนี้เป็นต้น ครับ
    .
    สันดานแบบนี้ ไม่รู้พวกไหนกันนะที่ชอบทำ...!!!
    .
    เน๊าะ...!!!
    .
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    ก็ต้องถามว่าทุกวันนี้ เราอยู่ในระบอบการปกครองที่เรียกว่า ประชาธิปไตย ใช่หรือไม่...??? . ประชาธิปไตย ขาดออกจากหลัก นิติรัฐ ได้รึเปล่าหล่ะ...??? . คนทำผิด ไม่ควรถูกลงโทษหรือ...??? . ประเทศไทย ควรปกครอง โดยปราศจาก กฎหมายหรือ...??? . ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะ ประชาธิปไตย หรือ คอมมิวนิสต์ เขาก็เริ่มต้นที่ หลักนิติรัฐ กันทั้งนั้น . ถ้าไม่มี กฎหมาย บัญญัติ สิทธิ หน้าที่ และ รองรับ เสรีภาพ ของบุคคลไว้.... . สัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกลุ่มกัน เช่น มนุษย์ ซึ่งมีทั้ง คนดี คนเลว และ คนเห็นแก่ตัว อาศัยอยู่รวมกัน ก็คงทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีที่สิ้นสุด... . เพื่อให้สังคม สงบสุขร่มเย็น เขาถึง ต้องมีกฎหมายไว้เพื่อการนี้ไงหล่ะ... . เพราะมันจะมี มนุษย์บางจำพวก ที่ปากเรียกร้องคนเท่ากัน แต่ ชอบยกยอตัวเอง ว่า ดีกว่า รุ่นใหม่กว่า มีอารยธรรมมากกว่า แล้วกดคนอื่น ว่า ไดโนเสาร์ โบราณเต่าล้านปี . คนพวกนี้ ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ โดยไม่ว่าจะทำชั่วขนาดไหนมา พอท่องคาถา "ประชาธิปไตย" "สิทธิ-เสรีภาพ" จะราวกับว่า ได้ลงไปชุบตัวในบ่อทอง จนกลายเป็น "ผู้วิเศษ" ไป . อ้างแต่ คะแนนเสียง... . คะแนนเสียง สามารถ บอกความชมชอบของผู้คนได้... . แต่...คะแนนเสียง ไม่สามารถ บอกความถูก-ผิด ได้ . ดังนั้นถึงต้องมีคนกลางที่เรียกว่า ศาลยุติธรรม ขึ้นมาตัดสินคดีความต่างๆยังไงหล่ะ... . และ ในเมื่อ ศาล เอง ก็เป็นคน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ ดังนั้นเพื่อความไม่ลำเอียง... . ศาลเอง ก็ไม่สามารถ ตัดสินคดีไปตามอำเภอใจตนได้ ต้องทำตามที่ กฎหมาย และ กฎระเบียบ กำหนดไว้เท่านั้น...!!! . เป็นที่มาของ อำนาจ อธิปไตย ทั้ง 3 ขา (บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ) ในการปกครองประเทศ ที่แยกจากกันเด็ดขาด แต่ สามารถ คานอำนาจกัันได้ ตามหลักการ Check and Balance ยังไงหล่ะ...!!! . เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ พยายามด้อยค่า หนึ่งเสาหลักอำนาจอธิปไตย ทำลายระบบคานอำนาจ ตามหลักการประชาธิปไตย เสียเอง... . แปลกนะ...!!! . ผมว่า วิญญูชน คนทั่วไป ที่เรียนจบกฎหมาย ไม่น่าจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ เพราะ หลักการพวกนี้ เด็กปี 1-2 ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจกันหมดแล้ว... . เว้นเสียแต่ว่า... . จะจงใจ... . 1.แกล้งโง่ 2.ให้ข้อมูลไม่ครบ 3.เขางอกจนโง้ง จริงๆ . ผมเคย ดูหนัง ดูซีรีย์ ส่วนใหญ่พอ โจร หรือ ตัวโกง มันแพ้ตอนท้ายเรื่อง... . โจรมันมักจะตะโกน "ข้าไม่ผิด" . พวกมันจะพูดในทำนองที่ว่า ที่มัน "ชั่ว" มาทั้งเรื่อง ตลอด 30 ตอน โผล่หน้ามา ทุกฉาก ต้องฆ่าคน ใส่ร้ายคน... . "ไม่ว่าจะทำอะไรมา ยังไงกูก็ไม่ผิด" . นี่แหล่ะครับ "คนชั่ว" . ในเมื่อ กฎหมาย คือ ศีลธรรม ที่เขียนเป็นตัวหนังสือ... . หรือว่า ในเมื่อ คนมันไม่มี ศีลธรรม เสียแล้ว กฎหมาย ไม่ต้องมันก็ได้...??? . 🤣🤣🤣🤣 . ส่วนตัว ผมไม่ ถวิลหา "สังคมโจร" ครับ... ... ... อ่อ..."ล้มล้างการปกครอง" ที่ศาลท่านเคยว่าไว้เนี่ย ให้ไปดูที่คำว่า "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" ครับ... . หมายความว่า การกระทำที่ ค่อยๆทำให้เกิดขึ้น เช่น... . ทำให้คนเสื่อมคลายความศรัทธาใน สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการ "ปล่อยข่าวเท็จ" โจมตี สถาบันพระมหากษัตริย์ อยู่เป็นนิจ . ทำให้คนที่เล่น โซเชียลมีเดีย มาเห็น บ่อยๆ ซ้ำๆ จากหลายช่องทาง หลายเพจ ซึ่งเป็นเครือข่ายเดียวกัน จนผู้คนเกิดหลงเชื่อ . ทำให้ ผู้คนหมดศรัทธาลง จาก สถาบันพระมหากษัตริย์ . อย่าลืมนะครับ ประเทศไทย ปกครองในระบอบ Institution Monarchy หรือ ระบอบราชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญ . ซึ่งถือเป็น รูปแบบหนึ่ง ในการปกครองระบอบประชาธิปไตย . หรือ ใครจะเรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้ . การที่คุณจะแยก สถาบันพระมหากษัตริย์ ออกจาก การปกครอง ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หรือ เสื่อมเสียศรัทธา ไปเสียจากประชาชน ด้วยความเท็จ... . นั่นแหล่ะครับ คือการ "เซาะกร่อนบ่อนทำลาย" และ เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...!!! . เป็นการกระทำที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆทำ ไม่ใช้ การใช้กำลังแบบฉับพลัน เช่น การเอามีดออกมาฟัน หรือ การเอาปืนออกมายิง . แบบนี้เป็นต้น ครับ . สันดานแบบนี้ ไม่รู้พวกไหนกันนะที่ชอบทำ...!!! . เน๊าะ...!!! . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    โรมท่องซ้ำ ไม่เอานิติสงคราม 10/10/67 #โรม รังสิมันต์ #นิติสงคราม #การเมือง #พรรคประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 354 0 รีวิว
  • 💬 .. อ่านแล้วชอบประโยคนี้จัง ”เราต่างพบกันชั่วคราว
    เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง“ 🥹🤍

    .. เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว ..

    วันหนึ่งความ ต า ย จะมาเยือนเราทุกคน
    ลองมองไปที่คนรอบตัว คนที่เรารัก คนที่รักเรา

    เขาเหล่านี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น
    แต่ในวันที่ยังมีกันและกัน เรามักหลงลืม
    ความจริงข้อนี้ไปหมดสิ้น คิดเข้าข้างตัวเองเสมอ
    ว่าวันพรุ่งนี้ยังเป็นของเราเสมอ

    แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว
    เราจะไม่มีวันได้ยินเสียง ไม่มีวันได้สัมผัส
    ไม่มีวันได้แก้ตัว กล่าวคำขอโทษใดๆ

    ถึงตอนนั้นเราจะรู้ได้เอง
    คำว่า "หมดเวลา" มีอยู่จริง

    จงรักกันให้มาก ดูแลกันให้ดี ให้อภัย
    รักษาน้ำใจ ไม่ถือโทษโกรธเคือง
    เพราะท้ายที่สุด ทุกสิ่งที่เราได้กระทำต่อกันไว้
    จะกลายเป็นความทรงจำในใจ
    เป็นบาดแผล เป็นก้อนหิน เป็นดอกไม้
    เวลาไม่ได้มีมากเท่าที่เราคิด

    เชื่อเถอะว่า ชีวิตไม่ได้ยั่งยืนยาวนานขนาดนั้น
    และความจริงในความจริง “เราต่างพบกันชั่วคราว
    เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง”
    💬 .. อ่านแล้วชอบประโยคนี้จัง ”เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง“ 🥹🤍 .. เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว .. วันหนึ่งความ ต า ย จะมาเยือนเราทุกคน ลองมองไปที่คนรอบตัว คนที่เรารัก คนที่รักเรา เขาเหล่านี้จะอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ในวันที่ยังมีกันและกัน เรามักหลงลืม ความจริงข้อนี้ไปหมดสิ้น คิดเข้าข้างตัวเองเสมอ ว่าวันพรุ่งนี้ยังเป็นของเราเสมอ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เมื่อวันพรุ่งนี้ไม่มีอีกแล้ว เราจะไม่มีวันได้ยินเสียง ไม่มีวันได้สัมผัส ไม่มีวันได้แก้ตัว กล่าวคำขอโทษใดๆ ถึงตอนนั้นเราจะรู้ได้เอง คำว่า "หมดเวลา" มีอยู่จริง จงรักกันให้มาก ดูแลกันให้ดี ให้อภัย รักษาน้ำใจ ไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะท้ายที่สุด ทุกสิ่งที่เราได้กระทำต่อกันไว้ จะกลายเป็นความทรงจำในใจ เป็นบาดแผล เป็นก้อนหิน เป็นดอกไม้ เวลาไม่ได้มีมากเท่าที่เราคิด เชื่อเถอะว่า ชีวิตไม่ได้ยั่งยืนยาวนานขนาดนั้น และความจริงในความจริง “เราต่างพบกันชั่วคราว เพื่อจากกันตลอดกาลเท่านั้นเอง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน..
    คุณจะต้องทุกข์มาก
    ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก
    คุณจะต้องเหนื่อยมาก
    ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก
    คุณจะต้องเจ็บปวดมาก
    ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน
    คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ
    ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี...
    คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว
    ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันขณะ
    คุณจะอยู่อย่างโปร่งเบาสบาย
    ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย
    คุณจะอยู่อย่างมีความสุข
    ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา
    คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส
    ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง
    คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย..🌼
    Cr : PAG Design
    ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน.. คุณจะต้องทุกข์มาก ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก คุณจะต้องเหนื่อยมาก ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก คุณจะต้องเจ็บปวดมาก ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี... คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบันขณะ คุณจะอยู่อย่างโปร่งเบาสบาย ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย คุณจะอยู่อย่างมีความสุข ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย..🌼 Cr : PAG Design
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • 3 ต.ค.67
    ศาลสิงคโปร์ตัดสินลงโทษอดีตรัฐมนตรี Subramnian Iswaran ข้อหาคอร์รัปชั่น รับ 'ของขวัญ' จากเอกชนในรูปของตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ฯลฯ เป็นมูลค่า S$403,000 (สิบล้านบาท) ตอบแทนการจัดงาน F1 Grand Prix

    อัยการขอให้ศาลลงโทษจำคุก 6-7 เดือน

    ผู้พิพากษาใจดี ให้เพิ่มโบนัส เป็นหนึ่งปี

    ผู้พิพากษากล่าวว่า บุคคลที่ทำงานเป็นรัฐบาลต้องมีมาตรฐานสูงกว่าคนทั่วไป ต้องซื่อสัตย์ระดับสูงสุด เพราะคนระดับนี้ย่อมมีอิทธิพลต่อองค์กรธุรกิจต่างๆ

    “Persons who accept appointments to high office take on the heavy responsibilities of their office along with the associated power and status, and should generally be regarded as having acted with greater culpability in abusing their position to obtain valuable gifts."

    ศาลว่า คนระดับรัฐมนตรีต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สูงสุด ไม่มีข้อแม้หรือคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

    ไม่มีใครเอาปืนจี้ให้เป็นรัฐมนตรี

    คำพิพากษานี้เป็นการตั้งมาตรฐานของความอดทนต่อการคอร์รัปชั่นในประเทศสิงคโปร์เท่ากับศูนย์

    และสร้างบรรทัดฐานว่า จะเป็นรัฐมนตรีต้องสะอาดจริงๆ

    วินทร์ เลียววาริณ
    ถอดความจาก The Straits Times
    3-10-2024

    ภาพ: MIEL / The Straits Times
    3 ต.ค.67 ศาลสิงคโปร์ตัดสินลงโทษอดีตรัฐมนตรี Subramnian Iswaran ข้อหาคอร์รัปชั่น รับ 'ของขวัญ' จากเอกชนในรูปของตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม ฯลฯ เป็นมูลค่า S$403,000 (สิบล้านบาท) ตอบแทนการจัดงาน F1 Grand Prix อัยการขอให้ศาลลงโทษจำคุก 6-7 เดือน ผู้พิพากษาใจดี ให้เพิ่มโบนัส เป็นหนึ่งปี ผู้พิพากษากล่าวว่า บุคคลที่ทำงานเป็นรัฐบาลต้องมีมาตรฐานสูงกว่าคนทั่วไป ต้องซื่อสัตย์ระดับสูงสุด เพราะคนระดับนี้ย่อมมีอิทธิพลต่อองค์กรธุรกิจต่างๆ “Persons who accept appointments to high office take on the heavy responsibilities of their office along with the associated power and status, and should generally be regarded as having acted with greater culpability in abusing their position to obtain valuable gifts." ศาลว่า คนระดับรัฐมนตรีต้องมีมาตรฐานของความซื่อสัตย์สูงสุด ไม่มีข้อแม้หรือคำแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครเอาปืนจี้ให้เป็นรัฐมนตรี คำพิพากษานี้เป็นการตั้งมาตรฐานของความอดทนต่อการคอร์รัปชั่นในประเทศสิงคโปร์เท่ากับศูนย์ และสร้างบรรทัดฐานว่า จะเป็นรัฐมนตรีต้องสะอาดจริงๆ วินทร์ เลียววาริณ ถอดความจาก The Straits Times 3-10-2024 ภาพ: MIEL / The Straits Times
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts