• “73% ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจเป็นบอต” — เปิดโปงเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลอกลวงด้วยทราฟฟิกปลอม

    Simul Sarker ผู้ก่อตั้ง DataCops เผยผลการสืบสวนที่น่าตกใจ: เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจำนวนมากกำลังถูกหลอกโดยบอตที่แสร้งเป็นผู้ใช้งานจริง ทำให้ข้อมูลใน Google Analytics ดูดี แต่ยอดขายกลับไม่ขยับ โดยเขาเริ่มจากการติดตั้งสคริปต์ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ลูกค้า และพบว่า 68% ของทราฟฟิกเป็นบอตที่มีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์อย่างแนบเนียน

    เมื่อขยายการตรวจสอบไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ กว่า 200 แห่ง พบว่าค่าเฉลี่ยของทราฟฟิกปลอมสูงถึง 73% ซึ่งเป็นปัญหาระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ

    บอตเหล่านี้มีหลายประเภท เช่น “Engagement Bot” ที่ทำให้รายงานดูดีโดยคลิกและเลื่อนหน้าอย่างเป็นระบบ, “Cart Abandonment Bot” ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแล้วทิ้งไว้เพื่อสร้างภาพว่ามีผู้สนใจ, และ “Phantom Social Media Visitor” ที่สร้างทราฟฟิกจาก Instagram หรือ TikTok โดยไม่มีการมีส่วนร่วมจริง

    นอกจากนี้ยังมีบอตที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เช่น การเก็บข้อมูลสินค้าจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ราคาและสต็อก ซึ่งแม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็สร้างภาระให้กับระบบและทำให้ข้อมูล analytics บิดเบือน

    เมื่อกรองบอตออกจากทราฟฟิกของลูกค้า พบว่ายอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34% โดยไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ใช่คุณภาพของสินค้า แต่เป็นการโฆษณาให้กับ “ผู้ชมที่ไม่มีตัวตน”

    ข้อมูลในข่าว
    การสืบสวนพบว่า 68–73% ของทราฟฟิกเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นบอต
    บอตมีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ เช่น เลื่อนหน้า คลิก และอยู่ในหน้าเว็บนาน
    ประเภทบอตที่พบ ได้แก่ Engagement Bot, Cart Abandonment Bot และ Phantom Visitor
    บางบอตใช้เพื่อเก็บข้อมูลสินค้าและราคาเพื่อวิเคราะห์การแข่งขัน
    การกรองบอตออกช่วยให้ยอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34%
    ปัญหาทราฟฟิกปลอมเป็นระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ
    บอตสามารถหลอกแพลตฟอร์มโฆษณาและทำให้ ROI ดูดีเกินจริง
    การตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ช่วยแยกมนุษย์ออกจากบอตได้แม่นยำ
    บอตบางตัวถูกออกแบบให้ทำให้ cart abandonment ดูสมจริง
    การใช้บอตเพื่อสร้างทราฟฟิกปลอมเป็นส่วนหนึ่งของ ad fraud

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การพึ่งพา Google Analytics โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรมจริงอาจทำให้เข้าใจผิด
    บอตที่มีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์สามารถหลบการกรองแบบทั่วไปได้
    การโฆษณาให้กับบอตทำให้เสียงบประมาณโดยไม่มีผลตอบแทน
    บอตที่เก็บข้อมูลสินค้าอาจทำให้ระบบทำงานหนักและข้อมูล analytics บิดเบือน
    การไม่ตรวจสอบ referral traffic อย่างละเอียดอาจทำให้เข้าใจผิดว่าแคมเปญได้ผล
    บางแพลตฟอร์มโฆษณาอาจไม่กรองบอตอย่างจริงจังเพราะมีผลต่อรายได้ของตนเอง

    https://joindatacops.com/resources/how-73-of-your-e-commerce-visitors-could-be-fake
    🛒 “73% ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอาจเป็นบอต” — เปิดโปงเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลอกลวงด้วยทราฟฟิกปลอม Simul Sarker ผู้ก่อตั้ง DataCops เผยผลการสืบสวนที่น่าตกใจ: เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจำนวนมากกำลังถูกหลอกโดยบอตที่แสร้งเป็นผู้ใช้งานจริง ทำให้ข้อมูลใน Google Analytics ดูดี แต่ยอดขายกลับไม่ขยับ โดยเขาเริ่มจากการติดตั้งสคริปต์ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์ลูกค้า และพบว่า 68% ของทราฟฟิกเป็นบอตที่มีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์อย่างแนบเนียน เมื่อขยายการตรวจสอบไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ กว่า 200 แห่ง พบว่าค่าเฉลี่ยของทราฟฟิกปลอมสูงถึง 73% ซึ่งเป็นปัญหาระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ บอตเหล่านี้มีหลายประเภท เช่น “Engagement Bot” ที่ทำให้รายงานดูดีโดยคลิกและเลื่อนหน้าอย่างเป็นระบบ, “Cart Abandonment Bot” ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแล้วทิ้งไว้เพื่อสร้างภาพว่ามีผู้สนใจ, และ “Phantom Social Media Visitor” ที่สร้างทราฟฟิกจาก Instagram หรือ TikTok โดยไม่มีการมีส่วนร่วมจริง นอกจากนี้ยังมีบอตที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เช่น การเก็บข้อมูลสินค้าจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ราคาและสต็อก ซึ่งแม้จะไม่เป็นอันตราย แต่ก็สร้างภาระให้กับระบบและทำให้ข้อมูล analytics บิดเบือน เมื่อกรองบอตออกจากทราฟฟิกของลูกค้า พบว่ายอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34% โดยไม่ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาด แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ใช่คุณภาพของสินค้า แต่เป็นการโฆษณาให้กับ “ผู้ชมที่ไม่มีตัวตน” ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ การสืบสวนพบว่า 68–73% ของทราฟฟิกเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซเป็นบอต ➡️ บอตมีพฤติกรรมเลียนแบบมนุษย์ เช่น เลื่อนหน้า คลิก และอยู่ในหน้าเว็บนาน ➡️ ประเภทบอตที่พบ ได้แก่ Engagement Bot, Cart Abandonment Bot และ Phantom Visitor ➡️ บางบอตใช้เพื่อเก็บข้อมูลสินค้าและราคาเพื่อวิเคราะห์การแข่งขัน ➡️ การกรองบอตออกช่วยให้ยอดขายจริงเพิ่มขึ้น 34% ➡️ ปัญหาทราฟฟิกปลอมเป็นระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่กรณีเฉพาะ ➡️ บอตสามารถหลอกแพลตฟอร์มโฆษณาและทำให้ ROI ดูดีเกินจริง ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ช่วยแยกมนุษย์ออกจากบอตได้แม่นยำ ➡️ บอตบางตัวถูกออกแบบให้ทำให้ cart abandonment ดูสมจริง ➡️ การใช้บอตเพื่อสร้างทราฟฟิกปลอมเป็นส่วนหนึ่งของ ad fraud ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การพึ่งพา Google Analytics โดยไม่ตรวจสอบพฤติกรรมจริงอาจทำให้เข้าใจผิด ⛔ บอตที่มีพฤติกรรมเหมือนมนุษย์สามารถหลบการกรองแบบทั่วไปได้ ⛔ การโฆษณาให้กับบอตทำให้เสียงบประมาณโดยไม่มีผลตอบแทน ⛔ บอตที่เก็บข้อมูลสินค้าอาจทำให้ระบบทำงานหนักและข้อมูล analytics บิดเบือน ⛔ การไม่ตรวจสอบ referral traffic อย่างละเอียดอาจทำให้เข้าใจผิดว่าแคมเปญได้ผล ⛔ บางแพลตฟอร์มโฆษณาอาจไม่กรองบอตอย่างจริงจังเพราะมีผลต่อรายได้ของตนเอง https://joindatacops.com/resources/how-73-of-your-e-commerce-visitors-could-be-fake
    JOINDATACOPS.COM
    How 73% of Your E-commerce Visitors Could Be Fake
    A conversion rate of less than 0.1%. That was the moment I realized something was fundamentally broken with the way we measure success on the internet.
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • 'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ชี้ จาก "เจนนี่ฟีเวอร์" ถึง "ธุรกิจออนไลน์" ที่รัฐต้องสนับสนุน "คนไทยขายได้ทั่วโลก"
    https://www.thai-tai.tv/news/21912/
    .
    #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #เจนนี่ฟีเวอร์ #DigitalCredit #เศรษฐกิจดิจิทัล #LiveToWorld #DigitalTrustEconomy

    'ดร.เอ้ สุชัชวีร์' ชี้ จาก "เจนนี่ฟีเวอร์" ถึง "ธุรกิจออนไลน์" ที่รัฐต้องสนับสนุน "คนไทยขายได้ทั่วโลก" https://www.thai-tai.tv/news/21912/ . #ไทยไท #ไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์ #เจนนี่ฟีเวอร์ #DigitalCredit #เศรษฐกิจดิจิทัล #LiveToWorld #DigitalTrustEconomy
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล

    ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว
    https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด

    หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

    ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989 แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Data Exchange Platform Services Market Size, Industry Share
    Data Exchange Platform Services Market size is expected to reach USD 51.69 billion by 2034, growing at a CAGR of 17.91% during the forecast period 2025-2034.
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
  • “Social Cooling — เมื่อคะแนนดิจิทัลกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเย็นชา”

    ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจดิจิทัล เว็บไซต์ SocialCooling.com ได้เปิดเผยผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของ Big Data ต่อพฤติกรรมมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่า “น้ำมันทำให้โลกร้อน แต่ข้อมูลทำให้สังคมเย็น” เพราะเมื่อเรารู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม — ลดความกล้า เสี่ยงน้อยลง และเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น

    แนวคิด “Social Cooling” หมายถึงผลกระทบระยะยาวจากการใช้ระบบคะแนนดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง “คะแนนชื่อเสียง” ที่บริษัทหรือรัฐบาลใช้ตัดสินคุณค่าของบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การกดไลก์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่เพื่อนที่คุณมีในโซเชียลมีเดีย

    ข้อมูลของคุณถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ระบบรู้จักมากกว่า เพื่อคาดเดาว่าคุณอาจเป็นคนแบบไหน เช่น มีแนวโน้มเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า เป็นผู้วางแผนมีลูก หรือแม้แต่เป็นเจ้าของปืน โดยที่คุณไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เลย

    ผลลัพธ์คือผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่กล้าคลิกลิงก์ที่อาจดูไม่ดี หรือแม้แต่แพทย์ที่หลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะกลัวคะแนนต่ำจากอัตราการเสียชีวิต

    ในประเทศจีน ระบบ “Social Credit Score” ถูกใช้จริง โดยวัดพฤติกรรมของประชาชนจากการซื้อของ การโพสต์บนโซเชียล และแม้แต่คะแนนของเพื่อน หากคะแนนต่ำจะถูกจำกัดสิทธิ์ เช่น ไม่สามารถสมัครงานราชการ ขอวีซ่า หรือแม้แต่หาคู่ทางออนไลน์

    คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ — เรากำลังกลายเป็นคนดีขึ้น หรือแค่ “เชื่องขึ้น”? และในโลกที่ทุกการกระทำถูกเก็บไว้ตลอดกาล เราจะยังมีสิทธิ์ “ผิดพลาด” ได้อีกหรือไม่?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Social Cooling คือผลกระทบจากระบบคะแนนดิจิทัลที่ทำให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง
    ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อคาดเดาพฤติกรรมที่ไม่เปิดเผย
    ตัวอย่างการคาดเดา ได้แก่ แนวโน้มทางเพศ ภาวะสุขภาพ ความเห็นทางการเมือง
    ผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดี เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นหรือคลิกลิงก์
    แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพราะกลัวคะแนนต่ำ
    ประเทศจีนใช้ระบบ Social Credit Score เพื่อควบคุมพฤติกรรมประชาชน
    คะแนนต่ำส่งผลต่อสิทธิ์ในการทำงาน ขอวีซ่า หรือแม้แต่การหาคู่
    ระบบนี้สร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัว ความเชื่อง และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Databrokers คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขายให้กับองค์กรต่าง ๆ
    ระบบคะแนนชื่อเสียงถูกใช้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tinder, LinkedIn, Amazon
    Cambridge Analytica เคยใช้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง
    การคืนสินค้าบ่อยอาจทำให้คุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่น่าเชื่อถือ
    บริษัทประกันสุขภาพบางแห่งใช้ข้อมูลไลฟ์สไตล์ในการประเมินเบี้ยประกัน

    https://www.socialcooling.com/
    🧊 “Social Cooling — เมื่อคะแนนดิจิทัลกลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้สังคมเย็นชา” ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของเศรษฐกิจดิจิทัล เว็บไซต์ SocialCooling.com ได้เปิดเผยผลกระทบที่ซ่อนอยู่ของ Big Data ต่อพฤติกรรมมนุษย์ โดยเปรียบเทียบว่า “น้ำมันทำให้โลกร้อน แต่ข้อมูลทำให้สังคมเย็น” เพราะเมื่อเรารู้ว่ากำลังถูกจับตามอง เราจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม — ลดความกล้า เสี่ยงน้อยลง และเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น แนวคิด “Social Cooling” หมายถึงผลกระทบระยะยาวจากการใช้ระบบคะแนนดิจิทัล เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสร้าง “คะแนนชื่อเสียง” ที่บริษัทหรือรัฐบาลใช้ตัดสินคุณค่าของบุคคล โดยอิงจากพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การกดไลก์ การซื้อสินค้า หรือแม้แต่เพื่อนที่คุณมีในโซเชียลมีเดีย ข้อมูลของคุณถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ระบบรู้จักมากกว่า เพื่อคาดเดาว่าคุณอาจเป็นคนแบบไหน เช่น มีแนวโน้มเป็นผู้มีภาวะซึมเศร้า เป็นผู้วางแผนมีลูก หรือแม้แต่เป็นเจ้าของปืน โดยที่คุณไม่เคยเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้เลย ผลลัพธ์คือผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดีขึ้น เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่กล้าคลิกลิงก์ที่อาจดูไม่ดี หรือแม้แต่แพทย์ที่หลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพราะกลัวคะแนนต่ำจากอัตราการเสียชีวิต ในประเทศจีน ระบบ “Social Credit Score” ถูกใช้จริง โดยวัดพฤติกรรมของประชาชนจากการซื้อของ การโพสต์บนโซเชียล และแม้แต่คะแนนของเพื่อน หากคะแนนต่ำจะถูกจำกัดสิทธิ์ เช่น ไม่สามารถสมัครงานราชการ ขอวีซ่า หรือแม้แต่หาคู่ทางออนไลน์ คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ — เรากำลังกลายเป็นคนดีขึ้น หรือแค่ “เชื่องขึ้น”? และในโลกที่ทุกการกระทำถูกเก็บไว้ตลอดกาล เราจะยังมีสิทธิ์ “ผิดพลาด” ได้อีกหรือไม่? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Social Cooling คือผลกระทบจากระบบคะแนนดิจิทัลที่ทำให้คนเซ็นเซอร์ตัวเอง ➡️ ข้อมูลของผู้ใช้ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อคาดเดาพฤติกรรมที่ไม่เปิดเผย ➡️ ตัวอย่างการคาดเดา ได้แก่ แนวโน้มทางเพศ ภาวะสุขภาพ ความเห็นทางการเมือง ➡️ ผู้คนเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้ได้คะแนนดี เช่น ไม่กล้าแสดงความเห็นหรือคลิกลิงก์ ➡️ แพทย์บางคนหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพราะกลัวคะแนนต่ำ ➡️ ประเทศจีนใช้ระบบ Social Credit Score เพื่อควบคุมพฤติกรรมประชาชน ➡️ คะแนนต่ำส่งผลต่อสิทธิ์ในการทำงาน ขอวีซ่า หรือแม้แต่การหาคู่ ➡️ ระบบนี้สร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัว ความเชื่อง และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Databrokers คือบริษัทที่รวบรวมข้อมูลเพื่อขายให้กับองค์กรต่าง ๆ ➡️ ระบบคะแนนชื่อเสียงถูกใช้ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Tinder, LinkedIn, Amazon ➡️ Cambridge Analytica เคยใช้ข้อมูลเพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง ➡️ การคืนสินค้าบ่อยอาจทำให้คุณถูกจัดอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่ไม่น่าเชื่อถือ ➡️ บริษัทประกันสุขภาพบางแห่งใช้ข้อมูลไลฟ์สไตล์ในการประเมินเบี้ยประกัน https://www.socialcooling.com/
    WWW.SOCIALCOOLING.COM
    Social Cooling - big data's unintended side effect
    Thousands of hidden scores influence your chance to get a job, a loan, insurance or even a date. Social Cooling describes how this increases pressure to conform, and asks how this will change society.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • “BlackRock ทุ่ม $40 พันล้าน ซื้อกิจการศูนย์ข้อมูล Aligned — ขยายพอร์ต AI Infrastructure สู่ 5GW ทั่วอเมริกา”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลก็พุ่งทะยานตาม ล่าสุด BlackRock ผ่านบริษัทลูก Global Infrastructure Partners (GIP) ได้ประกาศดีลมูลค่า $40 พันล้านเพื่อเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ซึ่งมีศูนย์ข้อมูลรวม 78 แห่ง ครอบคลุม 50 แคมปัสในสหรัฐฯ และอเมริกาใต้ รวมกำลังประมวลผลกว่า 5 กิกะวัตต์

    Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่เน้นรองรับงาน AI โดยเฉพาะ มีลูกค้าระดับ hyperscale และบริษัท AI อย่าง Lambda และเคยได้รับเงินลงทุนกว่า $12 พันล้านในต้นปีนี้จาก Macquarie Asset Management เพื่อเร่งขยายกิจการ

    ดีลนี้ยังมีผู้ร่วมวงอย่าง MGX บริษัทลงทุนด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Mubadala Investment Co. ซึ่งแสดงความสนใจลงทุนใน Aligned แบบแยกต่างหาก โดย MGX ยังมีบทบาทในโครงการ Stargate — ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้านที่ได้รับการสนับสนุนจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank

    การเข้าซื้อ Aligned จะทำให้ GIP มีพอร์ตศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยซื้อกิจการ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021 และยังมีแผนซื้อกิจการบริษัทพลังงาน AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน AI

    แม้ดีลยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ถือเป็นหนึ่งในดีลใหญ่ที่สุดของปีนี้ และสะท้อนถึงกระแสการลงทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีความกังวลจากนักวิเคราะห์บางส่วนว่า หากเทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่ตลาดคาดหวัง อาจเกิดฟองสบู่ในภาคโครงสร้างพื้นฐานได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    BlackRock ผ่าน GIP เตรียมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40 พันล้าน
    Aligned มีศูนย์ข้อมูล 78 แห่งใน 50 แคมปัส รวมกำลังประมวลผลกว่า 5GW
    ลูกค้าหลักของ Aligned ได้แก่ hyperscale cloud และบริษัท AI เช่น Lambda
    Aligned เคยได้รับเงินลงทุน $12 พันล้านจาก Macquarie ในต้นปีนี้
    MGX บริษัทลงทุนด้าน AI จาก Mubadala สนใจลงทุนใน Aligned แบบแยก
    MGX มีบทบาทในโครงการ Stargate ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้าน
    GIP เคยซื้อ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021
    GIP กำลังพิจารณาซื้อกิจการ AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าจาก AI
    ดีลนี้ถือเป็นหนึ่งในดีลโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดของปี 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ความต้องการศูนย์ข้อมูล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของโมเดล LLM และการใช้งาน edge AI
    การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI สูงกว่าศูนย์ข้อมูลทั่วไปหลายเท่า
    โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างระบบที่รองรับชิป AI กว่า 2 ล้านตัว
    ตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า $6.7 ล้านล้านภายในปี 2030
    BlackRock มีมูลค่าตลาดรวมกว่า $189 พันล้าน และถือเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/blackrock-subsidiary-buys-up-78-data-centers-totaling-5-gigawatts-in-usd40-billion-deal-ai-vendor-aligned-added-to-companys-portfolio
    🏢 “BlackRock ทุ่ม $40 พันล้าน ซื้อกิจการศูนย์ข้อมูล Aligned — ขยายพอร์ต AI Infrastructure สู่ 5GW ทั่วอเมริกา” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลก็พุ่งทะยานตาม ล่าสุด BlackRock ผ่านบริษัทลูก Global Infrastructure Partners (GIP) ได้ประกาศดีลมูลค่า $40 พันล้านเพื่อเข้าซื้อกิจการ Aligned Data Centers ซึ่งมีศูนย์ข้อมูลรวม 78 แห่ง ครอบคลุม 50 แคมปัสในสหรัฐฯ และอเมริกาใต้ รวมกำลังประมวลผลกว่า 5 กิกะวัตต์ Aligned เป็นผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่เน้นรองรับงาน AI โดยเฉพาะ มีลูกค้าระดับ hyperscale และบริษัท AI อย่าง Lambda และเคยได้รับเงินลงทุนกว่า $12 พันล้านในต้นปีนี้จาก Macquarie Asset Management เพื่อเร่งขยายกิจการ ดีลนี้ยังมีผู้ร่วมวงอย่าง MGX บริษัทลงทุนด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Mubadala Investment Co. ซึ่งแสดงความสนใจลงทุนใน Aligned แบบแยกต่างหาก โดย MGX ยังมีบทบาทในโครงการ Stargate — ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้านที่ได้รับการสนับสนุนจาก OpenAI, Oracle และ SoftBank การเข้าซื้อ Aligned จะทำให้ GIP มีพอร์ตศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่ขึ้น โดยก่อนหน้านี้เคยซื้อกิจการ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021 และยังมีแผนซื้อกิจการบริษัทพลังงาน AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งาน AI แม้ดีลยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ถือเป็นหนึ่งในดีลใหญ่ที่สุดของปีนี้ และสะท้อนถึงกระแสการลงทุนที่หลั่งไหลเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีความกังวลจากนักวิเคราะห์บางส่วนว่า หากเทคโนโลยี AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้ตามที่ตลาดคาดหวัง อาจเกิดฟองสบู่ในภาคโครงสร้างพื้นฐานได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ BlackRock ผ่าน GIP เตรียมซื้อกิจการ Aligned Data Centers มูลค่า $40 พันล้าน ➡️ Aligned มีศูนย์ข้อมูล 78 แห่งใน 50 แคมปัส รวมกำลังประมวลผลกว่า 5GW ➡️ ลูกค้าหลักของ Aligned ได้แก่ hyperscale cloud และบริษัท AI เช่น Lambda ➡️ Aligned เคยได้รับเงินลงทุน $12 พันล้านจาก Macquarie ในต้นปีนี้ ➡️ MGX บริษัทลงทุนด้าน AI จาก Mubadala สนใจลงทุนใน Aligned แบบแยก ➡️ MGX มีบทบาทในโครงการ Stargate ซูเปอร์คอมพิวเตอร์มูลค่า $500 พันล้าน ➡️ GIP เคยซื้อ CyrusOne มูลค่า $15 พันล้านในปี 2021 ➡️ GIP กำลังพิจารณาซื้อกิจการ AES Corp. เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าจาก AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็นหนึ่งในดีลโครงสร้างพื้นฐานที่ใหญ่ที่สุดของปี 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ความต้องการศูนย์ข้อมูล AI เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการเติบโตของโมเดล LLM และการใช้งาน edge AI ➡️ การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล AI สูงกว่าศูนย์ข้อมูลทั่วไปหลายเท่า ➡️ โครงการ Stargate มีเป้าหมายสร้างระบบที่รองรับชิป AI กว่า 2 ล้านตัว ➡️ ตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI คาดว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า $6.7 ล้านล้านภายในปี 2030 ➡️ BlackRock มีมูลค่าตลาดรวมกว่า $189 พันล้าน และถือเป็นผู้จัดการสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/blackrock-subsidiary-buys-up-78-data-centers-totaling-5-gigawatts-in-usd40-billion-deal-ai-vendor-aligned-added-to-companys-portfolio
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute

    ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

    โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI

    นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์

    Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia
    เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร
    ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน

    สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton
    เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027
    รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW

    เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads
    OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว
    ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ

    Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร
    สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell
    เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก

    ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
    สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง
    สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ

    https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    📰 Nvidia, Microsoft และ OpenAI ทุ่ม 700 ล้านดอลลาร์หนุน Nscale สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร — เปิดยุคใหม่ของ Sovereign Compute ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนยุทธศาสตร์ระดับชาติ สหราชอาณาจักรกำลังกลายเป็นศูนย์กลางใหม่ของโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เมื่อบริษัท Nscale ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพด้าน AI infrastructure ที่แยกตัวจากธุรกิจเหมืองคริปโต Arkon Energy ได้รับเงินลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia พร้อมการสนับสนุนจาก Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โครงการนี้จะตั้งอยู่ที่เมือง Loughton โดยมีชื่อว่า “Nscale AI Campus” ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการติดตั้ง GPU Nvidia GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 และสามารถขยายกำลังไฟฟ้าได้จาก 50MW ไปถึง 90MW เพื่อรองรับการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ โดยจะใช้สำหรับบริการ Microsoft Azure และการฝึกโมเดลของ OpenAI นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Stargate UK” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม sovereign AI ที่เน้นการประมวลผลภายในประเทศ โดย OpenAI จะเริ่มใช้งาน GPU จำนวน 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายไปถึง 31,000 ตัวในอนาคต เพื่อรองรับงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ Nvidia ยังประกาศแผนลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร เพื่อสร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell รวมกว่า 120,000 ตัว โดยมีเป้าหมายขยายไปถึง 300,000 ตัวทั่วโลก ซึ่งรวมถึงในสหรัฐฯ โปรตุเกส และนอร์เวย์ ✅ Nscale ได้รับเงินลงทุน 700 ล้านดอลลาร์จาก Nvidia ➡️ เป็นการสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ในสหราชอาณาจักร ➡️ ร่วมมือกับ Microsoft และ OpenAI ในการพัฒนาและใช้งาน ✅ สร้าง Nscale AI Campus ที่เมือง Loughton ➡️ เริ่มต้นด้วย GPU GB300 จำนวน 23,040 ตัวในปี 2027 ➡️ รองรับกำลังไฟฟ้า 50MW ขยายได้ถึง 90MW ✅ เปิดตัว Stargate UK สำหรับ sovereign AI workloads ➡️ OpenAI จะใช้ GPU 8,000 ตัวในปี 2026 และอาจขยายถึง 31,000 ตัว ➡️ ใช้ในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การแพทย์ การเงิน และบริการสาธารณะ ✅ Nvidia ลงทุนรวมกว่า 11 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักร ➡️ สร้าง AI factories ที่ใช้ GPU Blackwell Ultra และ Grace Blackwell ➡️ เป้าหมายคือการติดตั้ง GPU รวม 300,000 ตัวทั่วโลก ✅ ความร่วมมือสะท้อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ➡️ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการวิจัยขั้นสูง ➡️ สร้างโอกาสใหม่ให้กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนาในประเทศ https://www.techradar.com/pro/ai-crypto-bitcoin-mining-spinoff-gets-usd700-million-investment-from-nvidia-to-build-hyperscale-ai-infrastructure-using-youve-guessed-it-thousands-of-blackwell-gpus
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • ถอดบทเรียนอายัดบัญชี เราจะรับมืออย่างไร?

    กรณีที่บรรดาผู้ประกอบอาชีพค้าขาย รวมถึงบุคคลธรรมดาจำนวนมาก เดือดร้อนจากมาตรการอายัดบัญชี กำลังทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบธนาคาร ทำลายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้ขอนำมาสรุปพอสังเขป ได้แก่

    1. บัญชีธนาคารและรหัสพร้อมเพย์เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ควรเผยแพร่ลงบนสื่อสังคมออนไลน์โดยไม่จำเป็น เพราะอาจถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ควรบอกเลขที่บัญชีธนาคาร หรือรหัสพร้อมเพย์ด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ เฉพาะครอบครัว ญาติ กลุ่มเพื่อน หรือบุคคลที่ไว้วางใจ เพื่อใช้สำหรับธุรกรรมระหว่างบุคคล เช่น หารเงินค่าอาหาร ฝากซื้อของแบบตัวต่อตัว ส่วนรหัสพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชน ควรใช้สำหรับรับเงินภาครัฐ เช่น เงินคืนภาษี

    ปัจจุบันมีบางธนาคารออก QR Code รับเงิน ที่เป็นรหัสพร้อมเพย์อี-วอลเล็ต เพื่อรับเงินโอนเข้าบัญชีธนาคาร โดยไม่ต้องระบุเลขที่บัญชีโดยตรง เช่น K PLUS ธนาคารกสิกรไทย หรือ LHB YOU ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์

    2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัญชีธนาคาร ตกไปอยู่ในมือของขบวนการผิดกฎหมาย เช่น การเล่นพนันออนไลน์ หรือหวยใต้ดิน

    3. กรณีที่ต้องรับเงินจากคนแปลกหน้า เช่น อาชีพค้าขาย ควรใช้แพลตฟอร์ม QR รับเงินสำหรับร้านค้าโดยเฉพาะ โดยไม่ปะปนกับบัญชีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น K SHOP, แม่มณี, ถุงเงินกรุงไทย ฯลฯ ซึ่งสมัครได้ฟรี จากนั้นโอนยอดเงินเข้าบัญชีธนาคารปกติตามที่ต้องการ ช่วยให้ธนาคารแยกแยะได้ว่า รับเงินมาจากการค้าขาย

    หากร้านค้าต้องการเข้าร่วมมาตรการภาครัฐ เช่น คนละครึ่ง แนะนำให้สมัครแอปฯ ถุงเงิน ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา

    ข้อควรระวัง กรณีรับเงินโอนจากระบบพร้อมเพย์ ไม่มีค่าธรรมเนียม ได้รับเงินเต็มจำนวน แต่หากรับเงินโอนจาก QR บัตรเครดิต หรือ WeChat Pay และ Alipay จะถูกหักค่าธรรมเนียม ทำให้ไม่ได้รับเงินเต็มจำนวน จึงควรศึกษาเงื่อนไขของธนาคารด้วย

    4. บัญชีธนาคารมีไว้ทำธุรกรรมเฉพาะตัวเท่านั้น ไม่ควรให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร ไม่ว่าจะสนิทกันขนาดไหนก็ตาม และระวังพฤติกรรมแปลกๆ โดยการขอยืมบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินโอนโดยใช้อุบายต่างๆ นานา เพราะสุดท้ายเมื่อรู้ความจริงว่าผู้ที่ขอยืมบัญชีธนาคารนำไปใช้หลอกลวงผู้อื่น บัญชีโดนอายัดทุกธนาคาร

    5. ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพพัฒนารูปแบบการหลอกลวงประชาชนตลอดเวลา และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ เวลามีข่าวว่าประชาชนถูกฉ้อโกงทางการเงิน ควรให้ความใส่ใจและบอกต่อกับคนรอบข้าง ครอบครัวและเพื่อนให้ช่วยระมัดระวัง เพราะวันหนึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

    #Newskit
    ถอดบทเรียนอายัดบัญชี เราจะรับมืออย่างไร? กรณีที่บรรดาผู้ประกอบอาชีพค้าขาย รวมถึงบุคคลธรรมดาจำนวนมาก เดือดร้อนจากมาตรการอายัดบัญชี กำลังทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบธนาคาร ทำลายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้ขอนำมาสรุปพอสังเขป ได้แก่ 1. บัญชีธนาคารและรหัสพร้อมเพย์เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ควรเผยแพร่ลงบนสื่อสังคมออนไลน์โดยไม่จำเป็น เพราะอาจถูกมิจฉาชีพนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด ควรบอกเลขที่บัญชีธนาคาร หรือรหัสพร้อมเพย์ด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือ เฉพาะครอบครัว ญาติ กลุ่มเพื่อน หรือบุคคลที่ไว้วางใจ เพื่อใช้สำหรับธุรกรรมระหว่างบุคคล เช่น หารเงินค่าอาหาร ฝากซื้อของแบบตัวต่อตัว ส่วนรหัสพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชน ควรใช้สำหรับรับเงินภาครัฐ เช่น เงินคืนภาษี ปัจจุบันมีบางธนาคารออก QR Code รับเงิน ที่เป็นรหัสพร้อมเพย์อี-วอลเล็ต เพื่อรับเงินโอนเข้าบัญชีธนาคาร โดยไม่ต้องระบุเลขที่บัญชีโดยตรง เช่น K PLUS ธนาคารกสิกรไทย หรือ LHB YOU ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ 2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัญชีธนาคาร ตกไปอยู่ในมือของขบวนการผิดกฎหมาย เช่น การเล่นพนันออนไลน์ หรือหวยใต้ดิน 3. กรณีที่ต้องรับเงินจากคนแปลกหน้า เช่น อาชีพค้าขาย ควรใช้แพลตฟอร์ม QR รับเงินสำหรับร้านค้าโดยเฉพาะ โดยไม่ปะปนกับบัญชีที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น K SHOP, แม่มณี, ถุงเงินกรุงไทย ฯลฯ ซึ่งสมัครได้ฟรี จากนั้นโอนยอดเงินเข้าบัญชีธนาคารปกติตามที่ต้องการ ช่วยให้ธนาคารแยกแยะได้ว่า รับเงินมาจากการค้าขาย หากร้านค้าต้องการเข้าร่วมมาตรการภาครัฐ เช่น คนละครึ่ง แนะนำให้สมัครแอปฯ ถุงเงิน ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา ข้อควรระวัง กรณีรับเงินโอนจากระบบพร้อมเพย์ ไม่มีค่าธรรมเนียม ได้รับเงินเต็มจำนวน แต่หากรับเงินโอนจาก QR บัตรเครดิต หรือ WeChat Pay และ Alipay จะถูกหักค่าธรรมเนียม ทำให้ไม่ได้รับเงินเต็มจำนวน จึงควรศึกษาเงื่อนไขของธนาคารด้วย 4. บัญชีธนาคารมีไว้ทำธุรกรรมเฉพาะตัวเท่านั้น ไม่ควรให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร ไม่ว่าจะสนิทกันขนาดไหนก็ตาม และระวังพฤติกรรมแปลกๆ โดยการขอยืมบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินโอนโดยใช้อุบายต่างๆ นานา เพราะสุดท้ายเมื่อรู้ความจริงว่าผู้ที่ขอยืมบัญชีธนาคารนำไปใช้หลอกลวงผู้อื่น บัญชีโดนอายัดทุกธนาคาร 5. ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพพัฒนารูปแบบการหลอกลวงประชาชนตลอดเวลา และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ เวลามีข่าวว่าประชาชนถูกฉ้อโกงทางการเงิน ควรให้ความใส่ใจและบอกต่อกับคนรอบข้าง ครอบครัวและเพื่อนให้ช่วยระมัดระวัง เพราะวันหนึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว #Newskit
    1 Comments 0 Shares 365 Views 0 Reviews
  • คนค้าขายฉิบหาย เพราะระบบ CFR ของ ITMX

    มาตรการอายัดบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ กำลังทำให้บรรดาผู้ประกอบอาชีพค้าขายจำนวนมากเดือดร้อน เพราะจู่ๆ ถูกอายัดบัญชี ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ ธนาคารอ้างว่าบัญชีและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ถูกระงับการทำธุรกรรมตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CFR) ทำให้มีผู้ค้าส่วนหนึ่งงดรับเงินโอนหรือสแกน QR Code รับเฉพาะเงินสดไปก่อน ขณะเดียวกัน ลูกค้าธนาคารส่วนหนึ่งต่างถอนเงินออกจากบัญชี เพราะไม่ไว้วางใจระบบธนาคาร

    สาเหตุหลักเป็นเพราะกลุ่มมิจฉาชีพเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงประชาชน จากเดิมล่อลวงให้โอนเงินเข้าบัญชีม้า เป็นการโอนเงินไปยังบัญชีร้านค้าเพื่อแลกสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นลักษณะของการฟอกเงินวิธีหนึ่ง หรือการหลอกให้โอนเงินครั้งแรกจำนวนน้อย เพื่อให้เหยื่อเชื่อใจว่ามีตัวตนจริง ก่อนให้โอนไปยังบัญชีม้า ซึ่งการอายัดบัญชีจะมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. ผู้เสียหายโทร.แจ้งสายด่วน 1441 หรือแจ้งความกับตำรวจ แล้วทำเรื่องแจ้งธนาคารอายัด ซึ่งจะมีเลขอ้างอิง 2. ธนาคารอายัดเองเมื่อสังเกตการทำธุรกรรมแล้วเชื่อว่าผิดปกติ กรณีนี้จะไม่มีเลขอ้างอิง โดยพิจารณาให้เป็นบัญชีม้าแต่ละสีตามความรุนแรงของพฤติกรรม

    เบื้องหลังที่ทำให้บรรดาผู้ค้าต่างพากันวุ่นวาย คือ ระบบ Central Fraud Registry (CFR) เป็นศูนย์กลางรวมรวมข้อมูลรายการธุรกรรมต้องสงสัย และนำข้อมูลไปใช้ในการสอบสวนขยายผลเพื่ออายัดเงินจากบัญชีม้าต่างๆ และเพื่อประโยชน์ในการติดตามเงินคืนแก่ผู้เสียหายเมื่อมีการร้องขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ในกระบวนการยุติธรรม โดยให้ธนาคารส่งข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย ที่ผู้เสียหายเป็นผู้แจ้ง หรือธนาคารตรวจพบรายการต้องสงสัยนั้นเอง หากเส้นทางการเงินโยงไปยังบัญชีใดก็จะอายัดบัญชี และรายงานไปยังธนาคารสมาชิก เพื่ออายัดบัญชีภายใต้เลขประจำตัวประชาชนเดียวกัน ผลก็คือแม้ธนาคารต้นทางจะปลดอายัดแล้ว แต่ผู้ค้าที่มีบัญชีหลายธนาคาร ต้องไปไล่เบี้ยกับธนาคารอื่นๆ ที่ยังคงอายัดบัญชี

    นอกจากนี้ กรณีตำรวจไซเบอร์ใช้สายด่วน 1441 รับเรื่อง แล้วโยนไปให้ร้อยเวรตามโรงพักต่างๆ ต้องรับภาระทำคดี โดยที่ตำรวจไซเบอร์และธนาคารพาณิชย์ต่างโยนภาระพิสูจน์ความจริงกันไปมา แสดงให้เห็นว่า แม้กระบวนการล็อกบัญชีจะง่ายดายโดยอ้างว่าเพื่อยับยั้งความเสียหาย แต่การปลดล็อกบัญชีหากพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่บัญชีม้ายุ่งยากกว่า จึงเป็นมาตรการที่วุ่นวาย ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบธนาคาร ทำลายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    #Newskit
    คนค้าขายฉิบหาย เพราะระบบ CFR ของ ITMX มาตรการอายัดบัญชีของธนาคารพาณิชย์ ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ กำลังทำให้บรรดาผู้ประกอบอาชีพค้าขายจำนวนมากเดือดร้อน เพราะจู่ๆ ถูกอายัดบัญชี ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ ธนาคารอ้างว่าบัญชีและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ถูกระงับการทำธุรกรรมตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (CFR) ทำให้มีผู้ค้าส่วนหนึ่งงดรับเงินโอนหรือสแกน QR Code รับเฉพาะเงินสดไปก่อน ขณะเดียวกัน ลูกค้าธนาคารส่วนหนึ่งต่างถอนเงินออกจากบัญชี เพราะไม่ไว้วางใจระบบธนาคาร สาเหตุหลักเป็นเพราะกลุ่มมิจฉาชีพเปลี่ยนวิธีการหลอกลวงประชาชน จากเดิมล่อลวงให้โอนเงินเข้าบัญชีม้า เป็นการโอนเงินไปยังบัญชีร้านค้าเพื่อแลกสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นลักษณะของการฟอกเงินวิธีหนึ่ง หรือการหลอกให้โอนเงินครั้งแรกจำนวนน้อย เพื่อให้เหยื่อเชื่อใจว่ามีตัวตนจริง ก่อนให้โอนไปยังบัญชีม้า ซึ่งการอายัดบัญชีจะมีอยู่ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1. ผู้เสียหายโทร.แจ้งสายด่วน 1441 หรือแจ้งความกับตำรวจ แล้วทำเรื่องแจ้งธนาคารอายัด ซึ่งจะมีเลขอ้างอิง 2. ธนาคารอายัดเองเมื่อสังเกตการทำธุรกรรมแล้วเชื่อว่าผิดปกติ กรณีนี้จะไม่มีเลขอ้างอิง โดยพิจารณาให้เป็นบัญชีม้าแต่ละสีตามความรุนแรงของพฤติกรรม เบื้องหลังที่ทำให้บรรดาผู้ค้าต่างพากันวุ่นวาย คือ ระบบ Central Fraud Registry (CFR) เป็นศูนย์กลางรวมรวมข้อมูลรายการธุรกรรมต้องสงสัย และนำข้อมูลไปใช้ในการสอบสวนขยายผลเพื่ออายัดเงินจากบัญชีม้าต่างๆ และเพื่อประโยชน์ในการติดตามเงินคืนแก่ผู้เสียหายเมื่อมีการร้องขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ในกระบวนการยุติธรรม โดยให้ธนาคารส่งข้อมูลธุรกรรมต้องสงสัย ที่ผู้เสียหายเป็นผู้แจ้ง หรือธนาคารตรวจพบรายการต้องสงสัยนั้นเอง หากเส้นทางการเงินโยงไปยังบัญชีใดก็จะอายัดบัญชี และรายงานไปยังธนาคารสมาชิก เพื่ออายัดบัญชีภายใต้เลขประจำตัวประชาชนเดียวกัน ผลก็คือแม้ธนาคารต้นทางจะปลดอายัดแล้ว แต่ผู้ค้าที่มีบัญชีหลายธนาคาร ต้องไปไล่เบี้ยกับธนาคารอื่นๆ ที่ยังคงอายัดบัญชี นอกจากนี้ กรณีตำรวจไซเบอร์ใช้สายด่วน 1441 รับเรื่อง แล้วโยนไปให้ร้อยเวรตามโรงพักต่างๆ ต้องรับภาระทำคดี โดยที่ตำรวจไซเบอร์และธนาคารพาณิชย์ต่างโยนภาระพิสูจน์ความจริงกันไปมา แสดงให้เห็นว่า แม้กระบวนการล็อกบัญชีจะง่ายดายโดยอ้างว่าเพื่อยับยั้งความเสียหาย แต่การปลดล็อกบัญชีหากพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่บัญชีม้ายุ่งยากกว่า จึงเป็นมาตรการที่วุ่นวาย ทำให้ประชาชนไม่มั่นใจในระบบธนาคาร ทำลายเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ #Newskit
    1 Comments 0 Shares 435 Views 0 Reviews
  • “Seagate ทุ่มงบ 135 ล้านดอลลาร์ พัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ 100TB — ดันไอร์แลนด์เหนือสู่ศูนย์กลางการวิจัยระดับโลก”

    ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล Seagate ได้ประกาศลงทุนครั้งใหญ่กว่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) เพื่อขยายศูนย์วิจัยในเมือง Derry/Londonderry ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100TB ภายในปี 2030

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Invest Northern Ireland ด้วยเงินทุนร่วมอีก £15 ล้าน และจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี photonics และระบบบันทึกแบบ Mozaic ซึ่งใช้เลเซอร์ช่วยในการเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก — แนวทางที่ช่วยเพิ่มความจุได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของฮาร์ดดิสก์

    ปัจจุบันศูนย์วิจัยของ Seagate ในไอร์แลนด์เหนือผลิตหัวอ่านข้อมูลมากกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านเลเซอร์ที่สำคัญสำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นถัดไป โดยโครงการใหม่นี้จะช่วยสร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูง พร้อมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น

    John Morris, CTO ของ Seagate กล่าวว่า “ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปริมาณข้อมูลไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น — แต่คุณค่าของข้อมูลก็เปลี่ยนไป เราต้องการโซลูชันการจัดเก็บที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ต้องเชื่อถือได้ ทนทาน และขยายได้”

    รายละเอียดการลงทุนของ Seagate
    ลงทุนรวม 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) ในศูนย์วิจัยที่ไอร์แลนด์เหนือ
    ได้รับเงินสนับสนุนจาก Invest NI จำนวน £15 ล้าน
    เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Mozaic และ photonics สำหรับฮาร์ดดิสก์
    เป้าหมายคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 100TB ภายในปี 2030

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและท้องถิ่น
    สร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูงในภูมิภาค
    เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานผ่านการจัดซื้อวัสดุและบริการในท้องถิ่น
    เพิ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการ Smart Nano NI Consortium
    ผลักดันไอร์แลนด์เหนือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลระดับ exabyte
    เทคโนโลยี Mozaic ใช้ plasmonic transducer และ waveguide เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเขียนข้อมูล
    SSD แม้จะเร็วกว่า แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความจุเมื่อเทียบกับ HDD
    ตลาดจัดเก็บข้อมูลเติบโตจากความต้องการของ AI, cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.techradar.com/pro/seagate-invests-usd135-million-in-its-european-photonic-center-to-deliver-100tb-hard-drives-by-2030
    💽 “Seagate ทุ่มงบ 135 ล้านดอลลาร์ พัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ 100TB — ดันไอร์แลนด์เหนือสู่ศูนย์กลางการวิจัยระดับโลก” ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI และเศรษฐกิจดิจิทัล Seagate ได้ประกาศลงทุนครั้งใหญ่กว่า 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) เพื่อขยายศูนย์วิจัยในเมือง Derry/Londonderry ประเทศไอร์แลนด์เหนือ โดยมีเป้าหมายพัฒนาเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100TB ภายในปี 2030 โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Invest Northern Ireland ด้วยเงินทุนร่วมอีก £15 ล้าน และจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี photonics และระบบบันทึกแบบ Mozaic ซึ่งใช้เลเซอร์ช่วยในการเขียนข้อมูลลงบนจานแม่เหล็ก — แนวทางที่ช่วยเพิ่มความจุได้อย่างมหาศาลโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดของฮาร์ดดิสก์ ปัจจุบันศูนย์วิจัยของ Seagate ในไอร์แลนด์เหนือผลิตหัวอ่านข้อมูลมากกว่าหนึ่งในสี่ของโลก และเป็นศูนย์กลางการวิจัยด้านเลเซอร์ที่สำคัญสำหรับฮาร์ดดิสก์รุ่นถัดไป โดยโครงการใหม่นี้จะช่วยสร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูง พร้อมเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่น John Morris, CTO ของ Seagate กล่าวว่า “ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ปริมาณข้อมูลไม่เพียงแต่เพิ่มขึ้น — แต่คุณค่าของข้อมูลก็เปลี่ยนไป เราต้องการโซลูชันการจัดเก็บที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ต้องเชื่อถือได้ ทนทาน และขยายได้” ✅ รายละเอียดการลงทุนของ Seagate ➡️ ลงทุนรวม 135 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ £115 ล้าน) ในศูนย์วิจัยที่ไอร์แลนด์เหนือ ➡️ ได้รับเงินสนับสนุนจาก Invest NI จำนวน £15 ล้าน ➡️ เน้นการพัฒนาเทคโนโลยี Mozaic และ photonics สำหรับฮาร์ดดิสก์ ➡️ เป้าหมายคือฮาร์ดดิสก์ขนาด 100TB ภายในปี 2030 ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและท้องถิ่น ➡️ สร้างงานวิจัยและงานผลิตที่มีทักษะสูงในภูมิภาค ➡️ เสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานผ่านการจัดซื้อวัสดุและบริการในท้องถิ่น ➡️ เพิ่มความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยผ่านโครงการ Smart Nano NI Consortium ➡️ ผลักดันไอร์แลนด์เหนือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฮาร์ดดิสก์ขนาดใหญ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูลระดับ exabyte ➡️ เทคโนโลยี Mozaic ใช้ plasmonic transducer และ waveguide เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเขียนข้อมูล ➡️ SSD แม้จะเร็วกว่า แต่ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความจุเมื่อเทียบกับ HDD ➡️ ตลาดจัดเก็บข้อมูลเติบโตจากความต้องการของ AI, cloud และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.techradar.com/pro/seagate-invests-usd135-million-in-its-european-photonic-center-to-deliver-100tb-hard-drives-by-2030
    0 Comments 0 Shares 293 Views 0 Reviews
  • “Republic จับมือ Incentiv สร้าง Web3 ที่ง่ายและให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม — ไม่ใช่แค่สำหรับนักพัฒนา แต่สำหรับทุกคน”

    ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าโลก Web3 นั้นซับซ้อนเกินไป มีแต่คนวงในที่ได้ประโยชน์ และคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหน — ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Web3 กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และได้รับรางวัลจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

    Republic ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกด้านการลงทุนและการเร่งการเติบโตของ Web3 ได้ประกาศจับมือกับ Incentiv ซึ่งเป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่รองรับ EVM โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ “ให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา, ผู้ใช้งาน, ผู้ให้สภาพคล่อง หรือแม้แต่คนที่ช่วยขยายเครือข่าย

    Incentiv มีจุดเด่นคือการรวมเทคโนโลยี Advanced Account Abstraction เข้าไว้ในระดับโปรโตคอล พร้อมโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใสไปยังทุกฝ่ายที่มีบทบาทในระบบ — ไม่ใช่แค่คนที่ถือโทเคนเยอะที่สุด

    ระบบนี้ขับเคลื่อนด้วย Incentiv+ Engine ซึ่งเป็นกลไกกลางที่จัดสรรรางวัลตาม “ผลกระทบที่วัดได้จริง” เช่น จำนวนธุรกรรมที่สร้าง, การพัฒนาโค้ด, การให้บริการ หรือการแนะนำผู้ใช้ใหม่ โดยมีฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น passkey login, การกู้คืนกระเป๋าเงิน, การรวมธุรกรรมหลายรายการ, การจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยโทเคนเดียว และกฎการโอนผ่าน TransferGate

    Republic ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra จะเข้ามาให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ พร้อมเปิดเครือข่ายระดับโลกที่ลงทุนไปแล้วกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ เพื่อช่วยให้ Incentiv เข้าถึงผู้ใช้งานจริงในระดับสากล

    ปัจจุบัน Incentiv มีผู้ใช้งานใน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน และเตรียมเปิดตัว mainnet พร้อม token generation event ในเร็วๆ นี้ — ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง Web3 ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ “คุณค่าที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ”

    ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv
    Republic ให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่าน Republic Research
    สนับสนุนการเติบโตของ Incentiv ด้วยเครือข่ายที่ลงทุนกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ
    เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ง่าย ยั่งยืน และให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม

    จุดเด่นของ Incentiv blockchain
    เป็น Layer 1 ที่รองรับ EVM และออกแบบเพื่อการใช้งานจริง
    ใช้ Advanced Account Abstraction ในระดับโปรโตคอล
    มีโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใส
    รางวัลถูกจัดสรรตามผลกระทบที่วัดได้จริงผ่าน Incentiv+ Engine

    ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย
    Passkey log-in และการกู้คืนกระเป๋าเงิน
    Bundled transactions และ unified token fee payments
    TransferGate transaction rules สำหรับควบคุมการโอน
    ระบบรางวัลรวมที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Republic เคยสนับสนุนโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra
    Incentiv มีผู้ใช้งาน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน
    เตรียมเปิดตัว mainnet และ token generation event ในเร็วๆ นี้
    เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่คนวงใน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน
    ระบบรางวัลที่อิงผลกระทบต้องมีการวัดผลที่แม่นยำ — หากไม่ชัดเจนอาจเกิดความเหลื่อมล้ำ
    การรวมฟีเจอร์หลายอย่างในโปรโตคอลอาจเพิ่มความซับซ้อนด้านความปลอดภัย
    การเปิด mainnet และ token event อาจมีความผันผวนด้านราคาในช่วงแรก
    ผู้ใช้ใหม่อาจยังไม่เข้าใจระบบ TransferGate หรือ bundled transactions
    หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจเกิดการใช้ระบบเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม

    https://hackread.com/republic-incentiv-partner-reward-web3-participation/
    🌐 “Republic จับมือ Incentiv สร้าง Web3 ที่ง่ายและให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม — ไม่ใช่แค่สำหรับนักพัฒนา แต่สำหรับทุกคน” ถ้าคุณเคยรู้สึกว่าโลก Web3 นั้นซับซ้อนเกินไป มีแต่คนวงในที่ได้ประโยชน์ และคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นตรงไหน — ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Web3 กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และได้รับรางวัลจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง Republic ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกด้านการลงทุนและการเร่งการเติบโตของ Web3 ได้ประกาศจับมือกับ Incentiv ซึ่งเป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่รองรับ EVM โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ “ให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม” ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา, ผู้ใช้งาน, ผู้ให้สภาพคล่อง หรือแม้แต่คนที่ช่วยขยายเครือข่าย Incentiv มีจุดเด่นคือการรวมเทคโนโลยี Advanced Account Abstraction เข้าไว้ในระดับโปรโตคอล พร้อมโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใสไปยังทุกฝ่ายที่มีบทบาทในระบบ — ไม่ใช่แค่คนที่ถือโทเคนเยอะที่สุด ระบบนี้ขับเคลื่อนด้วย Incentiv+ Engine ซึ่งเป็นกลไกกลางที่จัดสรรรางวัลตาม “ผลกระทบที่วัดได้จริง” เช่น จำนวนธุรกรรมที่สร้าง, การพัฒนาโค้ด, การให้บริการ หรือการแนะนำผู้ใช้ใหม่ โดยมีฟีเจอร์เสริมที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้น เช่น passkey login, การกู้คืนกระเป๋าเงิน, การรวมธุรกรรมหลายรายการ, การจ่ายค่าธรรมเนียมด้วยโทเคนเดียว และกฎการโอนผ่าน TransferGate Republic ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra จะเข้ามาให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ พร้อมเปิดเครือข่ายระดับโลกที่ลงทุนไปแล้วกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ เพื่อช่วยให้ Incentiv เข้าถึงผู้ใช้งานจริงในระดับสากล ปัจจุบัน Incentiv มีผู้ใช้งานใน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน และเตรียมเปิดตัว mainnet พร้อม token generation event ในเร็วๆ นี้ — ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง Web3 ที่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของ “คุณค่าที่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ” ✅ ความร่วมมือระหว่าง Republic และ Incentiv ➡️ Republic ให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ผ่าน Republic Research ➡️ สนับสนุนการเติบโตของ Incentiv ด้วยเครือข่ายที่ลงทุนกว่า $2.6 พันล้านใน 150 ประเทศ ➡️ เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ง่าย ยั่งยืน และให้รางวัลทุกการมีส่วนร่วม ✅ จุดเด่นของ Incentiv blockchain ➡️ เป็น Layer 1 ที่รองรับ EVM และออกแบบเพื่อการใช้งานจริง ➡️ ใช้ Advanced Account Abstraction ในระดับโปรโตคอล ➡️ มีโมเดลเศรษฐกิจแบบ regenerative ที่กระจายมูลค่าอย่างโปร่งใส ➡️ รางวัลถูกจัดสรรตามผลกระทบที่วัดได้จริงผ่าน Incentiv+ Engine ✅ ฟีเจอร์ที่ช่วยให้ใช้งานง่าย ➡️ Passkey log-in และการกู้คืนกระเป๋าเงิน ➡️ Bundled transactions และ unified token fee payments ➡️ TransferGate transaction rules สำหรับควบคุมการโอน ➡️ ระบบรางวัลรวมที่กระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Republic เคยสนับสนุนโปรเจกต์อย่าง Avalanche และ Supra ➡️ Incentiv มีผู้ใช้งาน testnet แล้วกว่า 1.3 ล้านกระเป๋าเงิน ➡️ เตรียมเปิดตัว mainnet และ token generation event ในเร็วๆ นี้ ➡️ เป้าหมายคือสร้าง Web3 ที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ใช่แค่คนวงใน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานและนักลงทุน ⛔ ระบบรางวัลที่อิงผลกระทบต้องมีการวัดผลที่แม่นยำ — หากไม่ชัดเจนอาจเกิดความเหลื่อมล้ำ ⛔ การรวมฟีเจอร์หลายอย่างในโปรโตคอลอาจเพิ่มความซับซ้อนด้านความปลอดภัย ⛔ การเปิด mainnet และ token event อาจมีความผันผวนด้านราคาในช่วงแรก ⛔ ผู้ใช้ใหม่อาจยังไม่เข้าใจระบบ TransferGate หรือ bundled transactions ⛔ หากไม่มีการกำกับดูแลที่ดี อาจเกิดการใช้ระบบเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม https://hackread.com/republic-incentiv-partner-reward-web3-participation/
    HACKREAD.COM
    Republic and Incentiv Partner to Simplify and Reward Web3 Participation
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • ศูนย์ข้อมูลอังกฤษไม่กินน้ำอย่างที่คิด – พลิกภาพจำของเทคโนโลยีที่กระหายน้ำ

    ในยุคที่ AI และคลาวด์กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล หลายคนอาจนึกถึงศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่กินไฟมหาศาลและใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อน แต่รายงานล่าสุดจาก techUK กลับพลิกภาพนั้นอย่างสิ้นเชิง

    จากการสำรวจศูนย์ข้อมูล 73 แห่งทั่วอังกฤษ พบว่า 64% ใช้น้ำไม่ถึง 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งน้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center ทั่วไป และใกล้เคียงกับการใช้น้ำของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก

    ที่สำคัญคือกว่า 51% ของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling) และอีกจำนวนมากใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจรปิด ทำให้ 89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป

    แม้จะมีข้อสงสัยว่าตัวเลขเหล่านี้อาจไม่รวมการใช้น้ำทางอ้อม เช่น จากการผลิตไฟฟ้า แต่รายงานก็ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของอุตสาหกรรมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ

    ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030 การออกแบบศูนย์ข้อมูลให้ใช้น้ำน้อยลงจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รายงานจาก techUK พบว่า 64% ของศูนย์ข้อมูลในอังกฤษใช้น้ำต่ำกว่า 10,000 ลบ.ม./ปี
    ปริมาณนี้น้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center และใกล้เคียงกับสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
    51% ของศูนย์ข้อมูลใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling)
    หลายแห่งใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจร
    89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป
    การระบายความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่เคยทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมาก
    รายงานเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำ
    ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและเป้าหมายด้าน AI ของอังกฤษ
    รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030
    ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนช่วยผลักดันการออกแบบที่ยั่งยืน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ระบบ waterless cooling เช่น immersion cooling และ direct-to-chip กำลังได้รับความนิยม
    Closed-loop systems ใช้ของเหลวพิเศษที่มีจุดเดือดต่ำและหมุนเวียนภายในระบบ
    การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดการใช้น้ำทางอ้อมจากการผลิตไฟฟ้า
    ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีความเครียดด้านน้ำ เช่นลอนดอนและแมนเชสเตอร์ มีแนวโน้มใช้ระบบแห้งมากขึ้น
    การออกแบบศูนย์ข้อมูลแบบ modular ช่วยลด footprint และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ
    หลายบริษัทเริ่มใช้ AI เพื่อควบคุมระบบระบายความร้อนแบบเรียลไทม์

    https://www.techradar.com/pro/not-as-thirsty-as-we-thought-average-data-center-uses-less-water-than-a-typical-leisure-center-study-claims
    🎙️ ศูนย์ข้อมูลอังกฤษไม่กินน้ำอย่างที่คิด – พลิกภาพจำของเทคโนโลยีที่กระหายน้ำ ในยุคที่ AI และคลาวด์กลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล หลายคนอาจนึกถึงศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่กินไฟมหาศาลและใช้น้ำจำนวนมากเพื่อระบายความร้อน แต่รายงานล่าสุดจาก techUK กลับพลิกภาพนั้นอย่างสิ้นเชิง จากการสำรวจศูนย์ข้อมูล 73 แห่งทั่วอังกฤษ พบว่า 64% ใช้น้ำไม่ถึง 10,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งน้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center ทั่วไป และใกล้เคียงกับการใช้น้ำของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ที่สำคัญคือกว่า 51% ของศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling) และอีกจำนวนมากใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจรปิด ทำให้ 89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป แม้จะมีข้อสงสัยว่าตัวเลขเหล่านี้อาจไม่รวมการใช้น้ำทางอ้อม เช่น จากการผลิตไฟฟ้า แต่รายงานก็ชี้ให้เห็นถึงความพยายามของอุตสาหกรรมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ ในขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030 การออกแบบศูนย์ข้อมูลให้ใช้น้ำน้อยลงจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รายงานจาก techUK พบว่า 64% ของศูนย์ข้อมูลในอังกฤษใช้น้ำต่ำกว่า 10,000 ลบ.ม./ปี ➡️ ปริมาณนี้น้อยกว่าศูนย์กีฬา Leisure Center และใกล้เคียงกับสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ➡️ 51% ของศูนย์ข้อมูลใช้ระบบระบายความร้อนแบบไม่ใช้น้ำ (waterless cooling) ➡️ หลายแห่งใช้ระบบ closed-loop ที่รีไซเคิลน้ำภายในวงจร ➡️ 89% ของผู้ให้บริการไม่จำเป็นต้องติดตามการใช้น้ำอีกต่อไป ➡️ การระบายความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่เคยทำให้ศูนย์ข้อมูลใช้น้ำมาก ➡️ รายงานเสนอให้มีการจัดทำ “ดัชนีการใช้ประโยชน์น้ำ” เพื่อวัดความเครียดของแหล่งน้ำ ➡️ ศูนย์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจดิจิทัลและเป้าหมายด้าน AI ของอังกฤษ ➡️ รัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มขีดความสามารถด้านการประมวลผล 20 เท่าภายในปี 2030 ➡️ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนช่วยผลักดันการออกแบบที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ระบบ waterless cooling เช่น immersion cooling และ direct-to-chip กำลังได้รับความนิยม ➡️ Closed-loop systems ใช้ของเหลวพิเศษที่มีจุดเดือดต่ำและหมุนเวียนภายในระบบ ➡️ การใช้พลังงานหมุนเวียนช่วยลดการใช้น้ำทางอ้อมจากการผลิตไฟฟ้า ➡️ ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ที่มีความเครียดด้านน้ำ เช่นลอนดอนและแมนเชสเตอร์ มีแนวโน้มใช้ระบบแห้งมากขึ้น ➡️ การออกแบบศูนย์ข้อมูลแบบ modular ช่วยลด footprint และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ➡️ หลายบริษัทเริ่มใช้ AI เพื่อควบคุมระบบระบายความร้อนแบบเรียลไทม์ https://www.techradar.com/pro/not-as-thirsty-as-we-thought-average-data-center-uses-less-water-than-a-typical-leisure-center-study-claims
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่ออดีตพนักงาน Huawei ถูกตัดสินจำคุกจากคดีลับเทคโนโลยี

    ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คดีล่าสุดจากประเทศจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อศาลในเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei จำนวน 14 คน จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิปไปใช้ในการก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Zunpai Communication Technology

    Zhang Kun อดีตนักวิจัยจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ได้ลาออกในปี 2019 และก่อตั้ง Zunpai ในปี 2021 โดยดึงอดีตเพื่อนร่วมงานมาร่วมทีม พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและหุ้นในบริษัท แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกล่าวหาว่า พวกเขาได้คัดลอกข้อมูลลับก่อนลาออก และนำไปใช้ในการพัฒนาชิป Wi-Fi ของ Zunpai

    ในเดือนธันวาคม 2023 ตำรวจเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 14 คน และอายัดทรัพย์สินของ Zunpai มูลค่า 95 ล้านหยวน โดยพบว่าเทคโนโลยีที่ใช้ใน Zunpai มีความคล้ายคลึงกับของ Huawei ถึง 90% แม้คำตัดสินจะยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี พร้อมโทษปรับ

    คดีนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของจีนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเตือนว่า “การลอกเลียนเทคโนโลยี” ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป

    ศาลเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei 14 คน
    จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิป

    ผู้ต้องหาก่อตั้งบริษัท Zunpai เพื่อพัฒนาชิป Wi-Fi
    โดยใช้ข้อมูลจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Huawei

    ตำรวจพบว่าเทคโนโลยีของ Zunpai คล้ายกับของ Huawei ถึง 90%
    และอายัดทรัพย์สินมูลค่า 95 ล้านหยวน

    คำตัดสินยังไม่เผยแพร่ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี
    พร้อมโทษปรับทางการเงิน

    Huawei ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคดีนี้
    แต่ได้ดำเนินการทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2023

    จีนมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา
    มีผู้ถูกดำเนินคดีด้าน IP มากกว่า 21,000 คนในปี 2024

    HiSilicon เป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ที่มีบทบาทสำคัญ
    โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา AI และการสื่อสาร

    การลอกเลียนเทคโนโลยีชิปส่งผลต่อการแข่งขันในระดับโลก
    และอาจกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี

    การตั้งบริษัทใหม่โดยอดีตพนักงานเป็นเรื่องปกติในวงการเทคโนโลยี
    แต่ต้องไม่ละเมิดข้อมูลลับของบริษัทเดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/14-ex-huawei-employees-handed-down-prison-sentences-in-china-accused-face-up-to-six-years-for-taking-chip-related-business-secrets-with-them-to-form-startup-zunpai
    🔐⚖️ เรื่องเล่าจากโลกชิป: เมื่ออดีตพนักงาน Huawei ถูกตัดสินจำคุกจากคดีลับเทคโนโลยี ในโลกของเซมิคอนดักเตอร์ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด คดีล่าสุดจากประเทศจีนได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อศาลในเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei จำนวน 14 คน จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิปไปใช้ในการก่อตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Zunpai Communication Technology Zhang Kun อดีตนักวิจัยจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ได้ลาออกในปี 2019 และก่อตั้ง Zunpai ในปี 2021 โดยดึงอดีตเพื่อนร่วมงานมาร่วมทีม พร้อมเสนอเงินเดือนสูงและหุ้นในบริษัท แต่สิ่งที่ตามมาคือข้อกล่าวหาว่า พวกเขาได้คัดลอกข้อมูลลับก่อนลาออก และนำไปใช้ในการพัฒนาชิป Wi-Fi ของ Zunpai ในเดือนธันวาคม 2023 ตำรวจเซี่ยงไฮ้ได้จับกุมผู้ต้องสงสัยทั้ง 14 คน และอายัดทรัพย์สินของ Zunpai มูลค่า 95 ล้านหยวน โดยพบว่าเทคโนโลยีที่ใช้ใน Zunpai มีความคล้ายคลึงกับของ Huawei ถึง 90% แม้คำตัดสินจะยังไม่เผยแพร่สู่สาธารณะ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี พร้อมโทษปรับ คดีนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของจีนในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิปที่ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจดิจิทัล และยังเป็นการเตือนว่า “การลอกเลียนเทคโนโลยี” ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ✅ ศาลเซี่ยงไฮ้ตัดสินจำคุกอดีตพนักงาน Huawei 14 คน ➡️ จากข้อหาขโมยข้อมูลลับด้านเทคโนโลยีชิป ✅ ผู้ต้องหาก่อตั้งบริษัท Zunpai เพื่อพัฒนาชิป Wi-Fi ➡️ โดยใช้ข้อมูลจาก HiSilicon ซึ่งเป็นหน่วยงานของ Huawei ✅ ตำรวจพบว่าเทคโนโลยีของ Zunpai คล้ายกับของ Huawei ถึง 90% ➡️ และอายัดทรัพย์สินมูลค่า 95 ล้านหยวน ✅ คำตัดสินยังไม่เผยแพร่ แต่มีรายงานว่าผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกสูงสุด 6 ปี ➡️ พร้อมโทษปรับทางการเงิน ✅ Huawei ยังไม่ออกความเห็นอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับคดีนี้ ➡️ แต่ได้ดำเนินการทางกฎหมายตั้งแต่ปี 2023 ✅ จีนมีแนวโน้มเพิ่มความเข้มงวดในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ➡️ มีผู้ถูกดำเนินคดีด้าน IP มากกว่า 21,000 คนในปี 2024 ✅ HiSilicon เป็นหน่วยงานพัฒนาชิปของ Huawei ที่มีบทบาทสำคัญ ➡️ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา AI และการสื่อสาร ✅ การลอกเลียนเทคโนโลยีชิปส่งผลต่อการแข่งขันในระดับโลก ➡️ และอาจกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานเทคโนโลยี ✅ การตั้งบริษัทใหม่โดยอดีตพนักงานเป็นเรื่องปกติในวงการเทคโนโลยี ➡️ แต่ต้องไม่ละเมิดข้อมูลลับของบริษัทเดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/14-ex-huawei-employees-handed-down-prison-sentences-in-china-accused-face-up-to-six-years-for-taking-chip-related-business-secrets-with-them-to-form-startup-zunpai
    0 Comments 0 Shares 394 Views 0 Reviews
  • การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ

    ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน

    ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง

    อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ

    ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์

    แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค

    เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย

    อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

    สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌐 การพัฒนาอินเทอร์เน็ต: จากสายทองแดงสู่ใยแก้ว และไปไกลถึงอวกาศ 🌏 ในยุคปัจจุบันที่โลกเชื่อมต่อกันอย่างแนบแน่น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร การทำงาน การเรียนรู้ หรือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ในทุกมิติ แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้ไม่ได้เริ่มต้นจากความล้ำสมัย หากแต่เริ่มจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานอย่างสายทองแดง ก่อนจะพัฒนาไปสู่ใยแก้วนำแสง และก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ด้วยอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📞 จุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ตย้อนกลับไปในปี 1969 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาโครงการ ARPANET ซึ่งเป็นเครือข่ายแรกที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จากหลายสถาบันเข้าด้วยกัน โดยใช้สายโทรศัพท์ทองแดงเป็นโครงข่ายหลัก ความก้าวหน้านี้ได้ปูทางสู่การพัฒนาระบบการสื่อสารผ่านแนวคิดการสลับแพ็กเก็ต ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ข้อมูลสามารถเดินทางผ่านเครือข่ายได้อย่างยืดหยุ่นและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สายทองแดงเองก็มีข้อจำกัดมากมาย ทั้งในเรื่องของระยะทาง ความเร็ว และความไวต่อสัญญาณรบกวน 🧭 ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial-up ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยอาศัยสายโทรศัพท์ทองแดงร่วมกับโมเด็ม ซึ่งทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาล็อก และในทางกลับกัน แม้ว่าจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาชนทั่วไปได้สัมผัสกับโลกออนไลน์ แต่ Dial-up ก็เต็มไปด้วยข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นความเร็วที่ต่ำ การผูกขาดสายโทรศัพท์ระหว่างการใช้งาน หรือการหลุดสัญญาณอย่างสม่ำเสมอ ต่อมาจึงเกิดการพัฒนาเทคโนโลยี DSL (Digital Subscriber Line) ซึ่งสามารถใช้งานโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตได้พร้อมกันบนสายทองแดงเส้นเดียวกัน และให้ความเร็วสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังอยู่บนโครงข่ายเดิม DSL ก็ช่วยยืดอายุของโครงสร้างพื้นฐานสายทองแดงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ⚠️ อย่างไรก็ดี พลังของสายทองแดงมีขีดจำกัดทั้งในเชิงฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์ ปริมาณข้อมูลที่สามารถรับส่งได้ต่อวินาทีนั้นมีข้อจำกัดจากระยะทาง ความต้านทาน และความถี่ของสัญญาณ การพยายามเพิ่มความเร็วผ่านสายทองแดงจึงต้องเผชิญกับปัญหาการลดทอนของสัญญาณ และความเสี่ยงต่อการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบข้างมากขึ้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณของโลกในยุคดิจิทัล 💡 การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจึงเกิดขึ้น ด้วยการหันมาใช้ใยแก้วนำแสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูล ใยแก้วนำแสงใช้พลังงานแสงแทนกระแสไฟฟ้า จึงสามารถส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูงมาก มีแบนด์วิดท์กว้าง และไม่ไวต่อคลื่นรบกวนภายนอก หลักการทำงานของใยแก้วนำแสงอาศัยปรากฏการณ์สะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection) ที่ทำให้แสงสามารถวิ่งผ่านเส้นใยแก้วได้ในระยะไกลโดยไม่สูญเสียพลังงานมากนัก ใยแก้วนำแสงไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ แต่ยังเพิ่มความปลอดภัย และลดต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ 📺 ประโยชน์ของใยแก้วนำแสงเห็นได้ชัดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง การประชุมทางไกล การเรียนรู้ออนไลน์ หรือแม้แต่การเล่นเกมผ่านคลาวด์ ความเร็วที่สูงและความเสถียรของเครือข่ายช่วยให้บริการเหล่านี้ทำงานได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต และเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนานวัตกรรมและบริการที่อาศัยการรับส่งข้อมูลจำนวนมากแบบเรียลไทม์ 🚧 แม้ว่าใยแก้วนำแสงจะเป็นโซลูชันที่ดูจะ “พร้อมสำหรับอนาคต” แต่ในทางปฏิบัติ การติดตั้งโครงข่ายนี้ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย โดยเฉพาะปัญหาในช่วง Last Mile หรือการเชื่อมโยงใยแก้วนำแสงจากสายหลักเข้าสู่บ้านและธุรกิจแต่ละหลัง ซึ่งมักมีต้นทุนสูง ใช้แรงงานผู้เชี่ยวชาญ และต้องอาศัยการวางแผนโครงข่ายอย่างรอบคอบ ความซับซ้อนนี้ทำให้ชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลถูกมองข้าม จนนำไปสู่ “ช่องว่างทางดิจิทัล” ที่ยังคงปรากฏอยู่ในหลายภูมิภาค 🛰️ เพื่อเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) อย่าง Starlink ที่ให้เวลาแฝงต่ำและความเร็วสูงกว่าเทคโนโลยีดาวเทียมรุ่นก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและความไวต่อสภาพอากาศ แต่การเข้าถึงที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของดาวเทียมได้สร้างความหวังใหม่สำหรับประชากรที่เคยอยู่นอกขอบเขตของโครงสร้างพื้นฐานแบบมีสาย 🔭 อนาคตของการเชื่อมต่อไม่ได้หยุดอยู่แค่ใยแก้วนำแสงหรือดาวเทียม ปัจจุบันมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น Wavelength Division Multiplexing (WDM) ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลหลายชุดพร้อมกันในเส้นใยเส้นเดียว หรือ Hollow Core Fiber ที่นำแสงวิ่งผ่านอากาศแทนแกนแก้ว เพิ่มความเร็วและลดเวลาแฝง นอกจากนี้ยังมีแนวคิดอินเทอร์เน็ตควอนตัม (Quantum Internet) ที่ใช้หลักกลศาสตร์ควอนตัมในการสร้างระบบเครือข่ายที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด 📌 สรุปได้ว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้นและเชื่อถือได้มากขึ้น หมายถึงโอกาสที่เปิดกว้างมากขึ้นเช่นกัน การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตที่เชื่อมโยงกันมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 Comments 0 Shares 435 Views 0 Reviews
  • สหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกการแบน ETNs ด้านคริปโตสำหรับนักลงทุนรายย่อย
    Financial Conduct Authority (FCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผน ยกเลิกการแบนการซื้อขาย Crypto Exchange-Traded Notes (ETNs) สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางของรัฐบาลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

    ก่อนหน้านี้ FCA ได้ อนุมัติการซื้อขาย ETNs สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่ยังคงแบนสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยให้เหตุผลว่า ETNs เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน

    อย่างไรก็ตาม FCA ได้เปลี่ยนจุดยืน โดยระบุว่า การยกเลิกการแบนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของตลาดคริปโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ

    ข้อมูลจากข่าว
    - FCA เตรียมยกเลิกการแบน Crypto ETNs สำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - ก่อนหน้านี้ ETNs ถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น
    - การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ
    - ETNs ที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อยต้องอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุมัติจาก FCA
    - สหราชอาณาจักรเลือกแนวทางที่คล้ายกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ETNs ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทั้งหมด
    - FCA ยังคงแบนการซื้อขาย Crypto Derivatives สำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกฎระเบียบด้านคริปโตในอนาคตหรือไม่
    - นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ ETNs ก่อนตัดสินใจลงทุน

    การยกเลิกการแบนนี้ อาจช่วยให้ตลาดคริปโตในสหราชอาณาจักรเติบโตขึ้น และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/uk-to-end-ban-on-retail-investors-buying-crypto-exchange-traded-notes
    สหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกการแบน ETNs ด้านคริปโตสำหรับนักลงทุนรายย่อย Financial Conduct Authority (FCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผน ยกเลิกการแบนการซื้อขาย Crypto Exchange-Traded Notes (ETNs) สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางของรัฐบาลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนหน้านี้ FCA ได้ อนุมัติการซื้อขาย ETNs สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่ยังคงแบนสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยให้เหตุผลว่า ETNs เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน อย่างไรก็ตาม FCA ได้เปลี่ยนจุดยืน โดยระบุว่า การยกเลิกการแบนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของตลาดคริปโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ ✅ ข้อมูลจากข่าว - FCA เตรียมยกเลิกการแบน Crypto ETNs สำหรับนักลงทุนรายย่อย - ก่อนหน้านี้ ETNs ถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น - การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ - ETNs ที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อยต้องอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุมัติจาก FCA - สหราชอาณาจักรเลือกแนวทางที่คล้ายกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ETNs ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทั้งหมด - FCA ยังคงแบนการซื้อขาย Crypto Derivatives สำหรับนักลงทุนรายย่อย - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกฎระเบียบด้านคริปโตในอนาคตหรือไม่ - นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ ETNs ก่อนตัดสินใจลงทุน การยกเลิกการแบนนี้ อาจช่วยให้ตลาดคริปโตในสหราชอาณาจักรเติบโตขึ้น และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/uk-to-end-ban-on-retail-investors-buying-crypto-exchange-traded-notes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK to end ban on retail investors buying crypto exchange-traded notes
    LONDON (Reuters) -Britain's financial regulator is to remove a ban on consumers buying crypto exchange-traded notes (ETNs), ditching its previous position of wanting to keep them out of the hands of retail investors.
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • ยุทธศาสตร์โลก (Global Strategy) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการดำเนินการในระดับโลกเพื่อตอบสนองความท้าทายและโอกาสในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี

    ### **ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์โลกปัจจุบัน**
    1. **การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ**
    - **สหรัฐอเมริกา vs จีน**: การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี (เช่น สงครามชิป) และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์
    - **บทบาทของรัสเซีย**: สงครามยูเครนและผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและอาหารโลก
    - **EU และกลุ่มประเทศอื่นๆ**: แสวงหาความเป็นเอกภาพหรือความเป็นกลางในความขัดแย้ง

    2. **เศรษฐกิจและการค้าโลก**
    - **ห่วงโซ่อุปทานใหม่**: การลดการพึ่งพาจีน (Friend-shoring, Reshoring)
    - **การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI**
    - **ความตกลงการค้าใหม่**: เช่น CPTPP, RCEP

    3. **ความมั่นคงและความขัดแย้ง**
    - **สงครามในตะวันออกกลาง** (อิสราเอล-ปาเลสไตน์, ความตึงเครียดกับอิหร่าน)
    - **ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน**
    - **การขยายตัวของ NATO และความสัมพันธ์กับรัสเซีย**

    4. **สิ่งแวดล้อมและพลังงาน**
    - **การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด** (Net Zero, Renewable Energy)
    - **ผลกระทบจาก Climate Change** และนโยบายลดคาร์บอน
    - **ความมั่นคงด้านพลังงาน** (การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางและรัสเซีย)

    5. **เทคโนโลยีและไซเบอร์**
    - **การแข่งขันด้าน AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, อวกาศ**
    - **สงครามไซเบอร์และความปลอดภัยข้อมูล**
    - **กฎระเบียบเทคโนโลยีระหว่างประเทศ** (เช่น GDPR, การควบคุม AI)

    6. **การทูตและองค์กรระหว่างประเทศ**
    - **บทบาทของ UN, WTO, IMF** ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเศรษฐกิจ
    - **กลุ่มประเทศ BRICS+** ที่ขยายตัวเพื่อท้าทายระบบโลกเดิม
    - **Soft Power และการทูตวัฒนธรรม**

    ### **ยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ**
    - **สหรัฐอเมริกา**: มุ่งรักษา hegemony ผ่านการเสริมกำลัง NATO, สนับสนุนไต้หวัน, และลงทุนในเทคโนโลยี
    - **จีน**: Belt and Road Initiative (BRI), การขยายอิทธิพลใน Global South
    - **ยุโรป**: ลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย, ส่งเสริม Green Deal
    - **รัสเซีย**: หาพันธมิตรใหม่ (จีน, อิหร่าน) หลังถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตก
    - **กลุ่ม Global South (อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้)**: แสวงหาความเป็นกลางหรือประโยชน์จากหลายฝ่าย

    ### **แนวโน้มในอนาคต**
    - **โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)** แทนระบบที่นำโดยสหรัฐเพียงอย่างเดียว
    - **ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเทคโนโลยี**
    - **ความเสี่ยงจากความขัดแย้งใหม่ๆ** (เช่น AI Warfare, การแย่งชิงทรัพยากร)

    ยุทธศาสตร์โลกในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึง **ความร่วมมือระหว่างประเทศ** แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับ **การแข่งขันและการเผชิญหน้า** ในหลายด้านด้วย
    ยุทธศาสตร์โลก (Global Strategy) เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนและการดำเนินการในระดับโลกเพื่อตอบสนองความท้าทายและโอกาสในบริบทระหว่างประเทศ ซึ่งอาจครอบคลุมหลายด้าน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ### **ประเด็นสำคัญในยุทธศาสตร์โลกปัจจุบัน** 1. **การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ** - **สหรัฐอเมริกา vs จีน**: การแข่งขันทางเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี (เช่น สงครามชิป) และอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ - **บทบาทของรัสเซีย**: สงครามยูเครนและผลกระทบต่อความมั่นคงพลังงานและอาหารโลก - **EU และกลุ่มประเทศอื่นๆ**: แสวงหาความเป็นเอกภาพหรือความเป็นกลางในความขัดแย้ง 2. **เศรษฐกิจและการค้าโลก** - **ห่วงโซ่อุปทานใหม่**: การลดการพึ่งพาจีน (Friend-shoring, Reshoring) - **การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI** - **ความตกลงการค้าใหม่**: เช่น CPTPP, RCEP 3. **ความมั่นคงและความขัดแย้ง** - **สงครามในตะวันออกกลาง** (อิสราเอล-ปาเลสไตน์, ความตึงเครียดกับอิหร่าน) - **ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้และไต้หวัน** - **การขยายตัวของ NATO และความสัมพันธ์กับรัสเซีย** 4. **สิ่งแวดล้อมและพลังงาน** - **การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด** (Net Zero, Renewable Energy) - **ผลกระทบจาก Climate Change** และนโยบายลดคาร์บอน - **ความมั่นคงด้านพลังงาน** (การพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากตะวันออกกลางและรัสเซีย) 5. **เทคโนโลยีและไซเบอร์** - **การแข่งขันด้าน AI, ควอนตัมคอมพิวติ้ง, อวกาศ** - **สงครามไซเบอร์และความปลอดภัยข้อมูล** - **กฎระเบียบเทคโนโลยีระหว่างประเทศ** (เช่น GDPR, การควบคุม AI) 6. **การทูตและองค์กรระหว่างประเทศ** - **บทบาทของ UN, WTO, IMF** ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเศรษฐกิจ - **กลุ่มประเทศ BRICS+** ที่ขยายตัวเพื่อท้าทายระบบโลกเดิม - **Soft Power และการทูตวัฒนธรรม** ### **ยุทธศาสตร์ของประเทศต่างๆ** - **สหรัฐอเมริกา**: มุ่งรักษา hegemony ผ่านการเสริมกำลัง NATO, สนับสนุนไต้หวัน, และลงทุนในเทคโนโลยี - **จีน**: Belt and Road Initiative (BRI), การขยายอิทธิพลใน Global South - **ยุโรป**: ลดการพึ่งพาพลังงานรัสเซีย, ส่งเสริม Green Deal - **รัสเซีย**: หาพันธมิตรใหม่ (จีน, อิหร่าน) หลังถูกโดดเดี่ยวจากตะวันตก - **กลุ่ม Global South (อินเดีย, บราซิล, แอฟริกาใต้)**: แสวงหาความเป็นกลางหรือประโยชน์จากหลายฝ่าย ### **แนวโน้มในอนาคต** - **โลกหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World)** แทนระบบที่นำโดยสหรัฐเพียงอย่างเดียว - **ความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและเทคโนโลยี** - **ความเสี่ยงจากความขัดแย้งใหม่ๆ** (เช่น AI Warfare, การแย่งชิงทรัพยากร) ยุทธศาสตร์โลกในยุคนี้จึงต้องคำนึงถึง **ความร่วมมือระหว่างประเทศ** แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับ **การแข่งขันและการเผชิญหน้า** ในหลายด้านด้วย
    0 Comments 0 Shares 766 Views 0 Reviews
  • 14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    14 พฤษภาคม 2568 -อดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล วิเคราะห์เรื่องสำคัญในประเด็น“ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token“[เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติวิธีการกู้เงินโดยการออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาล (Government Token: G-Token) ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548อนุมัติให้กระทรวงการคลังออกโทเคนดิจิทัลโดยวงเงินกู้ตามกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณด้วยวิธีการเสนอขายให้แก่ผู้มีสิทธิซื้อโดยตรงผ่านผู้ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินการด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการออกโทเคนดิจิทัล นายทะเบียน หรือผู้รับฝากโทเคนดิจิทัล เป็นต้นให้กระทรวงการคลังกำหนดหลักเกณฑ์การชำระระดอกเบี้ยและการใช้เงินตามโทเคนดิจิทัล โดยให้กระทรวงการคลังหรือนิติบุคคลอื่นใดที่กระทรวงการคลังมอบหมาย โอนเงินให้แก่ผู้ถือโทเคน ดิจิทัลหรือผู้รับตามที่นายทะเบียนกำหนด ให้การโอนโทเคนดิจิทัลดำเนินการตามวิธีการที่ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือนิติบุคคลอื่นใดที่สามารถรับคำสั่งซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้โอนได้เปิดบัญชีเก็บรักษาโทเคนดิจิทัลของตนไว้โดยให้มีผลสมบูรณ์เมื่อผู้โอนนั้นได้บันทึกการรับโอนโทเคนดิจิทัลเข้าไปในบัญชีของผู้รับโอนแล้ว เพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการพัฒนากลไกการบริหารหนี้สาธารณะให้มีประสิทธิภาพและภาครัฐสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ตลอดจนเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน อันสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีคุณภาพ มั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุมเพียงพอ และเข้าถึงได้ทั้งในด้านพื้นที่และราคา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงบประมาณ และธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง สำนักงาน ก.ล.ต. เห็นว่า หาก กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ ซึ่งไม่เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้ว ก็สามารถดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดย G-Token มีการกำหนดสิทธิให้ผู้ถือมีสิทธิได้รับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ กค. กำหนด จึงมีลักษณะเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือ กิจการใด ๆ หรือกำหนดสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการหรือสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง และเข้าข่ายเป็นโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561]**ถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจาก G-token?+เรื่อง การนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลการนำประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลให้สำเร็จนั้น มีเรื่องที่ต้องดำเนินการด้านโครงสร้างพื้นฐานก่อนหลายอย่าง (ดูรูป) กล่าวคือ (1) ต้องช่วยให้ประชากรเข้าถึงระบบอินเทอร์เนตอย่างกว้างขวาง (2) ต้องให้ความรู้ทั้งในระบบโรงเรียนและในกลุ่มประชาคม (3) ต้องพัฒนาธุรกิจการเงินแบบดิจิทัลให้กว้างขวางมากขึ้น (4) ต้องกระตุ้นคนรุ่นหนุ่มสาวให้ลองทำธุรกิจขนาดย่อมด้านดิจิทัลให้มากขึ้น และ (5) รัฐต้องให้บริการทางออนไลน์มากขึ้นรวมทั้งใช้บล็อกเชนในการบริหารราชการให้โปร่งใส หน้าที่ของฝ่ายรัฐบาล คือพัฒนาให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ รวมไปถึงความแน่นอนด้านกฎหมายที่จะตีความกรณีเกิดข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับโทเคน และการนำโทเคนไปใช้เป็นหลักประกันส่วนการดำเนินการให้โทเคนเกิดขึ้นในหลักทรัพย์ต่างๆ (tokenization) อย่างหลากหลาย เพื่อนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น จะต้องมีโครงสร้างพื้นฐานครบถ้วนเสียก่อน ทั้ง stable coin สกุลบาท ทั้ง smart contract ทั้งระบบเคลียริ่งที่ปลอดภัย โดยภายหลังจากมีโครงสร้างพื้นฐานแน่นหนาแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับรัฐบาลเองไม่ควรมีหน้าที่ไปออกโทเคนของตนเอง ดังเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้ยังไม่มีประเทศใดที่ระบบการเงินล้ำหน้า ที่รัฐบาลเป็นผู้ออกโทเคนของตนเองในการกู้หนี้สาธารณะ+เรื่อง การทำให้ผู้ลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรได้สะดวกวิธีการในการเปิดให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลนั้นมีอยู่แล้วในปัจจุบัน ด้วยกลไกผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงต้องชี้แจงให้ชัดเจนก่อนว่า G-Token จะเพิ่มความสะดวกอย่างใดแก่ผู้ลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องการขายคืน ซึ่งราคาในกองทุนรวมจะเป็นไปตามกติกาโดยมี ก.ล.ต. กำกับดูแล แต่กรณี G-Token ผู้ลงทุนจะต้องไปขายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งราคาอาจจะผันผวนไปแต่ละชั่วโมงตามแรงเก็งกำไรได้แทนที่จะเป็นการชักจูงให้ผู้ลงทุนรายย่อย ลงทุนเพื่อออมเงินอย่างปลอดภัย ระวังจะกลับกลายเป็นเวทีเก็งกำไร ระวังจะกลายเป็นกาสิโนโทเคนดิจิทัล+เรื่อง ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่งเปิดช่อง ให้กู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นวิธีการอื่นใดก็ได้ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ แต่ข้อความก่อนหน้าซึ่งบัญญัติว่า “การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้หรือวิธีการอื่นใดก็ได้” นั้น คำว่า “วิธีการอื่นใด” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกับสัญญาหรือตราสารหนี้ ดังที่รายงานคณะรัฐมนตรีไว้ว่า “ปัจจุบัน การกู้เงินตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร ตั๋วเงินคลัง หรือหุ้นกู้”การที่ กค. พิจารณาได้ว่าการกู้เงินโดยวิธีการออก G-Token ไม่ใช่การออกตราสารหนี้ เพื่อไม่เป็นให้เป็น “หลักทรัพย์” ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น ผมเห็นว่าขัดกับเจตนารมย์ของพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548ทั้งนี้ โทเคนดิจิทัลซึ่งตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดเป็นหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดสิทธิของผู้ถือในการได้มาซึ่งสิทธิอื่นใดที่เฉพาะเจาะจง นั้น คำว่า token แปลว่า สัญลักษณ์ ดังเช่น non-fungible token (NFT) หมายถึงสัญลักษณ์ที่ไม่สามารถแทนกันได้ ตัวอย่างที่ใช้กรณีงานศิลปะ ดังนั้น G-Token จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง ตัว G-Token เองจึงไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลังผมจึงเห็นว่า ในเมื่อเป็นเพียงสัญลักษณ์แทน แต่ไม่ใช่สัญญาหรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกระทรวงการคลัง จึงไม่เข้าข่ายนิยามใดในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาททางกฎหมายเกิดขึ้นได้ในภายหลัง+เรื่อง การปฏิบัติตามกฏหมายเงินตรายังมีจำเป็นจะต้องมีเงื่อนไขบังคับ เพื่อไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่น เพราะจะเข้าข่ายเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องขออนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนกระทรวงการคลังต้องชี้แจงก่อนว่า จะมีมาตรการป้องกันไม่ให้ผู้ถือ G-Token นำไปใช้เพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายแก่บุคคลอื่นได้อย่างไร+เรื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการออก G-Token จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการ จากเดิมที่ออกพันธบัตรมีค่าธรรมเนียมดำเนินการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 0.03% ของกรอบวงเงินจำหน่ายนั้น กระทรวงการคลังจะต้องแจกแจงก่อนว่า G-Token จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ ทั้งด้านกระทรวงการคลัง ซึ่งต้องรวมไปถึงค่าใช้จ่ายทำหน้าที่เป็นนายทะเบียน ว่าต่ำกว่า ธปท. อย่างไร และทั้งด้านประชาชนผู้ลงทุนที่จะซื้อและขายคืน จะสูงหรือต่ำกว่ากลไกกองทุนรวมอย่างใดทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าเงินที่กระทรวงการคลังจ่ายแก่ ธปท. นั้นไม่รั่วไหลไปไหน เพราะ ธปท. เป็นองค์กรของรัฐ **กล่าวโดยสรุป ระบบการขายพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของรัฐบาลที่มีอยู่แล้วขณะนี้โดยผ่านกลไก ธปท. นั้น ใช้งานได้ดีไม่เคยมีปัญหา ดังนั้น การที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มแนวการกู้หนี้สาธารณะโดยใช้โทเคนดิจิทัลนั้น จะต้องชั่งน้ำหนักแสดงแก่ประชาชนก่อนว่า ผลได้คุ้มกับผลเสียหรือไม่ส่วนความหวังที่จะนำไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลนั้น ควรนำเสนอต่อประชาชนก่อนว่า รัฐบาลมีแผนการพัฒนาองค์รวมด้านนี้เป็นอย่างไร ไม่ใช่เดินหน้าเพียงเสี้ยวเดียวในเรื่องของการจัดทำโทเคนของรัฐบาล ซึ่งจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรัฐบาลอื่นใดในโลกที่ดำเนินการวันที่ 14 พฤษภาคม 2568นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    0 Comments 0 Shares 991 Views 0 Reviews
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังสร้าง ประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยร่างกฎหมาย ซึ่งถือเป็น ประเทศแรกในโลกที่ใช้ AI ในกระบวนการออกกฎหมาย

    รัฐบาล UAE มี กระทรวงที่อุทิศให้กับ AI โดยเฉพาะ ภายใต้ กระทรวงรัฐด้านปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการทำงานทางไกล ซึ่งจะใช้ AI ในการ วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ตั้งแต่กฎหมายที่มีอยู่ ไปจนถึงคำพิพากษาและบริการสาธารณะต่าง ๆ

    UAE เป็นประเทศแรกที่นำ AI มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมาย
    - ใช้ AI เพื่อ วิเคราะห์ข้อมูลจากกฎหมายที่มีอยู่ คำพิพากษา และบริการสาธารณะ
    - ช่วยให้ กระบวนการร่างกฎหมายมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    รัฐบาล UAE มีกระทรวงที่อุทิศให้กับ AI โดยเฉพาะ
    - อยู่ภายใต้ กระทรวงรัฐด้านปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการทำงานทางไกล
    - เป็น หนึ่งในประเทศที่มีการลงทุนด้าน AI มากที่สุดในโลก

    AI จะช่วยให้การร่างกฎหมายมีความแม่นยำและสอดคล้องกับข้อมูลจริงมากขึ้น
    - ลด ข้อผิดพลาดในการร่างกฎหมาย
    - ช่วยให้ กฎหมายสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดีขึ้น

    การใช้ AI ในกระบวนการออกกฎหมายอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใส
    - ต้องมี มาตรการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า AI ไม่ถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง

    AI อาจไม่สามารถเข้าใจบริบททางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างสมบูรณ์
    - กฎหมายต้อง คำนึงถึงปัจจัยทางสังคมที่ AI อาจไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/08/ai-will-soon-help-draft-laws-in-this-middle-eastern-country
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังสร้าง ประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยร่างกฎหมาย ซึ่งถือเป็น ประเทศแรกในโลกที่ใช้ AI ในกระบวนการออกกฎหมาย รัฐบาล UAE มี กระทรวงที่อุทิศให้กับ AI โดยเฉพาะ ภายใต้ กระทรวงรัฐด้านปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการทำงานทางไกล ซึ่งจะใช้ AI ในการ วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ตั้งแต่กฎหมายที่มีอยู่ ไปจนถึงคำพิพากษาและบริการสาธารณะต่าง ๆ ✅ UAE เป็นประเทศแรกที่นำ AI มาใช้ในกระบวนการร่างกฎหมาย - ใช้ AI เพื่อ วิเคราะห์ข้อมูลจากกฎหมายที่มีอยู่ คำพิพากษา และบริการสาธารณะ - ช่วยให้ กระบวนการร่างกฎหมายมีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ รัฐบาล UAE มีกระทรวงที่อุทิศให้กับ AI โดยเฉพาะ - อยู่ภายใต้ กระทรวงรัฐด้านปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการทำงานทางไกล - เป็น หนึ่งในประเทศที่มีการลงทุนด้าน AI มากที่สุดในโลก ✅ AI จะช่วยให้การร่างกฎหมายมีความแม่นยำและสอดคล้องกับข้อมูลจริงมากขึ้น - ลด ข้อผิดพลาดในการร่างกฎหมาย - ช่วยให้ กฎหมายสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดีขึ้น ‼️ การใช้ AI ในกระบวนการออกกฎหมายอาจมีข้อจำกัดด้านความโปร่งใส - ต้องมี มาตรการตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า AI ไม่ถูกใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ‼️ AI อาจไม่สามารถเข้าใจบริบททางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างสมบูรณ์ - กฎหมายต้อง คำนึงถึงปัจจัยทางสังคมที่ AI อาจไม่สามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/08/ai-will-soon-help-draft-laws-in-this-middle-eastern-country
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI will soon help draft laws in this Middle Eastern country
    In a world first, the United Arab Emirates (UAE) has decided to integrate artificial intelligence into its legislative process. The idea is to modernise the process of drafting, revising and updating legislation, drawing on the advanced analytical capabilities of AI.
    0 Comments 0 Shares 365 Views 0 Reviews
  • ญี่ปุ่นเตรียมปรับแก้กฎหมายเพื่อยกระดับสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกกฎหมาย การปรับเปลี่ยนนี้รวมถึงการห้ามการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน สะท้อนถึงความตั้งใจของประเทศในการเพิ่มความโปร่งใสและสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดคริปโต

    การควบคุมการซื้อขายภายใน (Insider Trading):
    - การปรับแก้กฎหมายครั้งนี้จะรวมถึงการกำหนดข้อห้ามในการซื้อขายที่ใช้ข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผย ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของญี่ปุ่นในการสร้างมาตรฐานใหม่ที่โปร่งใสในตลาดคริปโต.

    กำหนดเวลาเสนอร่างกฎหมาย:
    - FSA มีแผนเสนอร่างกฎหมายแก้ไขต่อรัฐสภาญี่ปุ่นในปี 2026 เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถถูกพิจารณาและบังคับใช้ได้ในอนาคต.

    บทบาทของญี่ปุ่นในตลาดโลก:
    - ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ยอมรับและพยายามกำกับดูแลตลาดคริปโตอย่างชัดเจน ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/30/japan-to-give-crypto-assets-legal-status-as-financial-products-nikkei-says
    ญี่ปุ่นเตรียมปรับแก้กฎหมายเพื่อยกระดับสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ถูกกฎหมาย การปรับเปลี่ยนนี้รวมถึงการห้ามการซื้อขายโดยใช้ข้อมูลภายใน สะท้อนถึงความตั้งใจของประเทศในการเพิ่มความโปร่งใสและสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดคริปโต การควบคุมการซื้อขายภายใน (Insider Trading): - การปรับแก้กฎหมายครั้งนี้จะรวมถึงการกำหนดข้อห้ามในการซื้อขายที่ใช้ข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผย ซึ่งสะท้อนถึงความพยายามของญี่ปุ่นในการสร้างมาตรฐานใหม่ที่โปร่งใสในตลาดคริปโต. กำหนดเวลาเสนอร่างกฎหมาย: - FSA มีแผนเสนอร่างกฎหมายแก้ไขต่อรัฐสภาญี่ปุ่นในปี 2026 เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถถูกพิจารณาและบังคับใช้ได้ในอนาคต. บทบาทของญี่ปุ่นในตลาดโลก: - ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ยอมรับและพยายามกำกับดูแลตลาดคริปโตอย่างชัดเจน ซึ่งอาจช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/30/japan-to-give-crypto-assets-legal-status-as-financial-products-nikkei-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Japan to give crypto assets legal status as financial products, Nikkei says
    TOKYO (Reuters) -Japan's Financial Services Agency (FSA) plans to revise the Financial Instruments and Exchange Act to give crypto assets a legal status as financial products, the Nikkei business daily said on Sunday, without citing sources.
    0 Comments 0 Shares 506 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ใช้อำนาจให้อภัยโทษ (pardons) ให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล BitMEX ซึ่งได้แก่ Benjamin Delo, Arthur Hayes และ Samuel Reed โดยทั้งสามเคยรับสารภาพในปี 2022 ถึงความผิดฐานละเมิดกฎหมาย Bank Secrecy Act ระหว่างปี 2015 ถึง 2020 ที่เกี่ยวข้องกับการไม่จัดทำโปรแกรมป้องกันการฟอกเงินและระบบ "รู้จักลูกค้า" (Know Your Customer หรือ KYC)

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Crypto:
    - การให้อภัยโทษเกิดขึ้นในช่วงที่มีความหวังในวงการคริปโตเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลที่ผ่อนคลายมากขึ้นภายใต้ทรัมป์ ซึ่งเคยมีการสนับสนุนผู้บริจาคจากวงการคริปโตในช่วงหาเสียง.

    ข้อกล่าวหาในอดีต:
    - ผู้ก่อตั้ง BitMEX ถูกกล่าวหาว่าตั้งใจละเมิดกฎหมายระหว่างปี 2015-2020 โดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านแพลตฟอร์ม.

    การให้อภัยโทษเพิ่มเติม:
    - ทรัมป์ยังได้ให้อภัยโทษ Trevor Milton ผู้ก่อตั้งบริษัท Nikola ซึ่งล้มละลายและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง.

    มุมมองในเชิงนโยบาย:
    - การตัดสินใจนี้อาจแสดงถึงความพยายามของทรัมป์ในการสร้างความเชื่อมั่นกับวงการเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/trump-pardoned-bitmex-co-founders-white-house-official-says
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ได้ใช้อำนาจให้อภัยโทษ (pardons) ให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้งแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล BitMEX ซึ่งได้แก่ Benjamin Delo, Arthur Hayes และ Samuel Reed โดยทั้งสามเคยรับสารภาพในปี 2022 ถึงความผิดฐานละเมิดกฎหมาย Bank Secrecy Act ระหว่างปี 2015 ถึง 2020 ที่เกี่ยวข้องกับการไม่จัดทำโปรแกรมป้องกันการฟอกเงินและระบบ "รู้จักลูกค้า" (Know Your Customer หรือ KYC) ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Crypto: - การให้อภัยโทษเกิดขึ้นในช่วงที่มีความหวังในวงการคริปโตเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลที่ผ่อนคลายมากขึ้นภายใต้ทรัมป์ ซึ่งเคยมีการสนับสนุนผู้บริจาคจากวงการคริปโตในช่วงหาเสียง. ข้อกล่าวหาในอดีต: - ผู้ก่อตั้ง BitMEX ถูกกล่าวหาว่าตั้งใจละเมิดกฎหมายระหว่างปี 2015-2020 โดยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการฟอกเงินผ่านแพลตฟอร์ม. การให้อภัยโทษเพิ่มเติม: - ทรัมป์ยังได้ให้อภัยโทษ Trevor Milton ผู้ก่อตั้งบริษัท Nikola ซึ่งล้มละลายและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฉ้อโกง. มุมมองในเชิงนโยบาย: - การตัดสินใจนี้อาจแสดงถึงความพยายามของทรัมป์ในการสร้างความเชื่อมั่นกับวงการเทคโนโลยีและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/trump-pardoned-bitmex-co-founders-white-house-official-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump pardoned BitMEX co-founders, White House official says
    (Reuters) -U.S. President Donald Trump has pardoned the three co-founders of cryptocurrency exchange BitMEX, a White House official said on Friday.
    0 Comments 0 Shares 678 Views 0 Reviews
  • GameStop ได้นำ Bitcoin มาเป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินและช่วยในการฟื้นตัวของธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เริ่มตั้งคลังสำรอง Bitcoin อย่างเป็นทางการ เพื่อเตรียมใช้ประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทและรัฐบาลเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของคริปโตฯ ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

    GameStop กับการฟื้นตัวธุรกิจ:
    - การเพิ่ม Bitcoin ในสินทรัพย์สำรองแสดงถึงการปรับตัวของ GameStop ต่อยุคดิจิทัลและสร้างความหลากหลายให้กับการบริหารการเงิน เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นธุรกิจที่ประสบปัญหา

    Bitcoin เชิงกลยุทธ์ของรัฐบาล:
    - การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการยอมรับคริปโตฯ ในฐานะทรัพย์สินที่มีค่าในระดับชาติ และอาจชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่รัฐบาลเริ่มมองเห็นประโยชน์จากการใช้ Bitcoin ในการวางแผนเชิงเศรษฐศาสตร์

    การเปลี่ยนแปลงในวงการคริปโตฯ:
    - บริษัท Strategy ซึ่งเป็นผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่อันดับต้น ได้แสดงความมุ่งมั่นในตลาดนี้ผ่านการรีแบรนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริษัทในโลกคริปโตฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/26/factbox-cryptocurrency-holdings-of-us-companies
    GameStop ได้นำ Bitcoin มาเป็นสินทรัพย์สำรองเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินและช่วยในการฟื้นตัวของธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เริ่มตั้งคลังสำรอง Bitcoin อย่างเป็นทางการ เพื่อเตรียมใช้ประโยชน์ในเชิงกลยุทธ์ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทและรัฐบาลเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของคริปโตฯ ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล GameStop กับการฟื้นตัวธุรกิจ: - การเพิ่ม Bitcoin ในสินทรัพย์สำรองแสดงถึงการปรับตัวของ GameStop ต่อยุคดิจิทัลและสร้างความหลากหลายให้กับการบริหารการเงิน เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นธุรกิจที่ประสบปัญหา Bitcoin เชิงกลยุทธ์ของรัฐบาล: - การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการยอมรับคริปโตฯ ในฐานะทรัพย์สินที่มีค่าในระดับชาติ และอาจชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่รัฐบาลเริ่มมองเห็นประโยชน์จากการใช้ Bitcoin ในการวางแผนเชิงเศรษฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงในวงการคริปโตฯ: - บริษัท Strategy ซึ่งเป็นผู้ถือ Bitcoin รายใหญ่อันดับต้น ได้แสดงความมุ่งมั่นในตลาดนี้ผ่านการรีแบรนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของบริษัทในโลกคริปโตฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/26/factbox-cryptocurrency-holdings-of-us-companies
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Factbox-Cryptocurrency holdings of US companies
    (Reuters) - U.S. videogame retailer GameStop said on Tuesday it would include bitcoin as a treasury reserve asset to diversify its corporate holdings, betting on the world's biggest cryptocurrency to help turnaround its struggling primary business.
    0 Comments 0 Shares 463 Views 0 Reviews
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 1535 Views 0 Reviews
  • นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM

    วิสัยทัศน์

    สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก


    ---

    1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา

    ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา
    ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง
    เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน
    สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน


    ---

    2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน

    จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน
    พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา
    ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน
    พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน


    ---

    3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล

    อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย
    เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี


    ---

    4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม

    เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
    ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา
    จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech)


    ---

    5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

    ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล
    สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่
    พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่


    ---

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

    นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ
    ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน
    ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล
    ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ


    ---

    "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต"
    #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่

    นโยบายพรรคการเมือง: การปฏิรูปการศึกษาเพื่ออนาคต ด้วยเทคโนโลยีและ STEM วิสัยทัศน์ สร้างระบบการศึกษาที่ทันสมัย เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม พัฒนาเยาวชนให้เป็นนักคิด นักแก้ปัญหา และนักนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในเวทีโลก --- 1. การพัฒนา STEM Education ให้เป็นรากฐานของระบบการศึกษา ✅ ปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับแนวทาง STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ✅ ส่งเสริมโครงการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ (Project-Based Learning) ให้นักเรียนได้ทดลอง คิดวิเคราะห์ และพัฒนาทักษะผ่านโครงงานจริง ✅ เพิ่มวิชาหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเขียนโค้ด (Coding) เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรมาตรฐาน ✅ สนับสนุนการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น โอลิมปิกวิชาการ การแข่งขันหุ่นยนต์ และแฮ็กกาธอน --- 2. การนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงการเรียนการสอน ✅ จัดหาอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้โรงเรียนทั่วประเทศ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียน ✅ พัฒนาระบบการเรียนการสอนออนไลน์ (E-Learning & Hybrid Learning) เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ✅ ใช้ AI และ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ เพื่อออกแบบการสอนที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคน ✅ พัฒนาคลังสื่อดิจิทัล (Open Educational Resources - OER) รวมถึงแพลตฟอร์มบทเรียนออนไลน์ฟรีสำหรับทุกคน --- 3. การพัฒนาครูให้พร้อมสำหรับยุคดิจิทัล ✅ อบรมและพัฒนาครูด้านเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความรู้และพัฒนาทักษะของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สร้างเครือข่ายครูและนักวิชาการด้านเทคโนโลยี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาแนวทางการสอนที่ทันสมัย ✅ เพิ่มแรงจูงใจให้ครูพัฒนาทักษะดิจิทัล เช่น การให้ทุนอบรมหรือการเลื่อนขั้นสำหรับครูที่ผ่านการรับรองทักษะเทคโนโลยี --- 4. สร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและอุตสาหกรรม ✅ เปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้การเรียนการสอนสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ✅ ส่งเสริมการฝึกงานและโครงการนักศึกษาฝึกงานในสายงานเทคโนโลยีและ STEM เพื่อให้นักเรียนได้ประสบการณ์จริงก่อนจบการศึกษา ✅ จัดตั้งกองทุนส่งเสริมนวัตกรรมทางการศึกษา สนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีการศึกษา (EdTech) --- 5. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ✅ ให้ทุนการศึกษาและอุปกรณ์เรียนฟรีสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและห่างไกล ✅ สร้างโรงเรียนต้นแบบด้านเทคโนโลยีในทุกภูมิภาค เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ STEM ในแต่ละพื้นที่ ✅ พัฒนาระบบการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมและอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงการศึกษาเท่าเทียมกับเมืองใหญ่ --- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ✅ นักเรียนไทยมีทักษะด้านเทคโนโลยีและ STEM ที่แข็งแกร่ง พร้อมแข่งขันในระดับนานาชาติ ✅ ครูมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ✅ ระบบการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ตลาดแรงงานและเศรษฐกิจดิจิทัล ✅ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โอกาสเด็กทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ --- "การศึกษาไทยก้าวไกล เทคโนโลยีล้ำหน้า STEM นำอนาคต" #พรรคเพื่อการศึกษายุคใหม่
    0 Comments 0 Shares 1528 Views 0 Reviews
  • ซันเวย์ปั้นมิกซ์ยูสยะโฮร์ สถานี RTS Link เชื่อมสิงคโปร์

    โครงการก่อสร้างรถไฟเชื่อมระหว่างยะโฮร์-สิงคโปร์ หรือ อาร์ทีเอส ลิงก์ (RTS Link) ระยะทาง 4 กิโลเมตร ลงทุนร่วมกันระหว่าง เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ประเทศมาเลเซีย กับเอสเอ็มอาร์ที คอร์ปอเรชัน ผู้ให้บริการรถไฟประเทศสิงคโปร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2564 เชื่อมระหว่างสถานีบูกิตชาการ์ (Bukit Chagar) ฝั่งมาเลเซีย และสถานีวูดแลนด์นอร์ธ (Woodlands North) ฝั่งสิงคโปร์ เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายทอมสัน-อีสต์โคสต์ มีแผนจะเปิดให้บริการในเดือน ม.ค. 2570

    ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. เอ็มอาร์ที คอร์ป ได้ลงนามสัญญากับซันเวย์ กรุ๊ป (Sunway Group) พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสย่านสถานีบูกิตชาการ์ มูลค่า 2,600 ล้านริงกิต ประกอบด้วยที่พักอาศัย ศูนย์การค้า โรงแรม ศูนย์การศึกษา และศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่ 4.23 เอเคอร์ พร้อมอาคารจอดรถยนต์ 1,550 คัน และจักรยานยนต์ 1,015 คัน รองรับการท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค. 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี คาดว่าจะเปิดอาคารจอดรถในเดือน พ.ย. 2569 ส่วนโครงการเฟสแรกเปิดให้บริการในปี 2576

    สำหรับซันเวย์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ประกอบธุรกิจหลากหลายกว่า 13 ประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง การศึกษา โรงแรม การแพทย์ ศูนย์การค้า ธีมพาร์ค ดิจิทัล ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนและการเงิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย และเหมืองหิน อีกทั้งยังลงทุนในหลายประเทศ โดยประเทศไทยได้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์การขนส่งทางอุตสาหกรรม เช่น สายยางไฮโดรลิก สายยางอุตสาหกรรม และเครื่องบีบสาย

    สำหรับรัฐยะโฮร์ กลุ่มซันเวย์ กรุ๊ปลงทุนทั้งธุรกิจก่อสร้าง เหมืองหิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย การศึกษา รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงการซันเวย์ ซิตี้ อิสกันดาร์ ปูเตรี (Sunway City Iskandar Puteri) บนพื้นที่ 2,000 เอเคอร์ ที่ประกอบด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ศูนย์กีฬา โรงเรียนนานาชาติ และโรงแรม

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. รัฐบาลมาเลเซียและสิงคโปร์ลงนามเปิดตัวเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก ครอบคลุมพื้นที่ 3,571 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 9 โซนเศรษฐกิจ รองรับ 11 ภาคอุตสาหกรรม เช่น การผลิต โลจิสติกส์ ความมั่นคงด้านอาหาร การท่องเที่ยว พลังงาน เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว บริการทางการเงิน บริการทางธุรกิจ การศึกษา และสุขภาพ โดยตั้งเป้าหมาย 50 โครงการใน 5 ปีแรกและ 100 โครงการในอีก 10 ปีข้างหน้า

    #Newskit
    ซันเวย์ปั้นมิกซ์ยูสยะโฮร์ สถานี RTS Link เชื่อมสิงคโปร์ โครงการก่อสร้างรถไฟเชื่อมระหว่างยะโฮร์-สิงคโปร์ หรือ อาร์ทีเอส ลิงก์ (RTS Link) ระยะทาง 4 กิโลเมตร ลงทุนร่วมกันระหว่าง เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ประเทศมาเลเซีย กับเอสเอ็มอาร์ที คอร์ปอเรชัน ผู้ให้บริการรถไฟประเทศสิงคโปร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2564 เชื่อมระหว่างสถานีบูกิตชาการ์ (Bukit Chagar) ฝั่งมาเลเซีย และสถานีวูดแลนด์นอร์ธ (Woodlands North) ฝั่งสิงคโปร์ เชื่อมกับรถไฟฟ้าสายทอมสัน-อีสต์โคสต์ มีแผนจะเปิดให้บริการในเดือน ม.ค. 2570 ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. เอ็มอาร์ที คอร์ป ได้ลงนามสัญญากับซันเวย์ กรุ๊ป (Sunway Group) พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสย่านสถานีบูกิตชาการ์ มูลค่า 2,600 ล้านริงกิต ประกอบด้วยที่พักอาศัย ศูนย์การค้า โรงแรม ศูนย์การศึกษา และศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่ 4.23 เอเคอร์ พร้อมอาคารจอดรถยนต์ 1,550 คัน และจักรยานยนต์ 1,015 คัน รองรับการท่องเที่ยวและการเดินทางเพื่อธุรกิจ โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค. 2568 ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี คาดว่าจะเปิดอาคารจอดรถในเดือน พ.ย. 2569 ส่วนโครงการเฟสแรกเปิดให้บริการในปี 2576 สำหรับซันเวย์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศมาเลเซีย ประกอบธุรกิจหลากหลายกว่า 13 ประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง การศึกษา โรงแรม การแพทย์ ศูนย์การค้า ธีมพาร์ค ดิจิทัล ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนและการเงิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย และเหมืองหิน อีกทั้งยังลงทุนในหลายประเทศ โดยประเทศไทยได้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์การขนส่งทางอุตสาหกรรม เช่น สายยางไฮโดรลิก สายยางอุตสาหกรรม และเครื่องบีบสาย สำหรับรัฐยะโฮร์ กลุ่มซันเวย์ กรุ๊ปลงทุนทั้งธุรกิจก่อสร้าง เหมืองหิน วัสดุก่อสร้าง การผลิตและจำหน่าย การศึกษา รวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เช่น โครงการซันเวย์ ซิตี้ อิสกันดาร์ ปูเตรี (Sunway City Iskandar Puteri) บนพื้นที่ 2,000 เอเคอร์ ที่ประกอบด้วยบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ศูนย์กีฬา โรงเรียนนานาชาติ และโรงแรม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. รัฐบาลมาเลเซียและสิงคโปร์ลงนามเปิดตัวเขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์ (JS-SEZ) เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก ครอบคลุมพื้นที่ 3,571 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 9 โซนเศรษฐกิจ รองรับ 11 ภาคอุตสาหกรรม เช่น การผลิต โลจิสติกส์ ความมั่นคงด้านอาหาร การท่องเที่ยว พลังงาน เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว บริการทางการเงิน บริการทางธุรกิจ การศึกษา และสุขภาพ โดยตั้งเป้าหมาย 50 โครงการใน 5 ปีแรกและ 100 โครงการในอีก 10 ปีข้างหน้า #Newskit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 840 Views 0 Reviews
  • บริษัท Singapore Telecommunications (SingTel) ได้รับสินเชื่อสีเขียวมูลค่า 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาแหล่งข้อมูลศูนย์ (data centre) ใหม่ในสิงคโปร์ ศูนย์ข้อมูลนี้จะมีขนาดใหญ่ถึง 58 เมกะวัตต์และคาดว่าจะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยสินเชื่อสีเขียวนี้เป็นสินเชื่อที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    สินเชื่อสีเขียวมาจากธนาคาร DBS, OCBC, Standard Chartered, HSBC, และ United Overseas Bank ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีเป้าหมายในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ SingTel มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของสิงคโปร์และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

    สิ่งที่น่าสนใจในข่าวนี้คือการที่การพัฒนาศูนย์ข้อมูลนี้จะมีความหนาแน่นสูง เหมาะสำหรับการประมวลผลงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจะช่วยเสริมสร้างความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนั้นในเดือนธันวาคมปี 2023 SingTel ยังได้รับสินเชื่อสีเขียวมูลค่า 535 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อใช้ชำระหนี้และพัฒนาศูนย์ข้อมูลอีกสองแห่ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/07/singtel-secures-476-million-green-loan-to-develop-data-centre
    บริษัท Singapore Telecommunications (SingTel) ได้รับสินเชื่อสีเขียวมูลค่า 476 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาแหล่งข้อมูลศูนย์ (data centre) ใหม่ในสิงคโปร์ ศูนย์ข้อมูลนี้จะมีขนาดใหญ่ถึง 58 เมกะวัตต์และคาดว่าจะเริ่มใช้งานในปี 2026 โดยสินเชื่อสีเขียวนี้เป็นสินเชื่อที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินเชื่อสีเขียวมาจากธนาคาร DBS, OCBC, Standard Chartered, HSBC, และ United Overseas Bank ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีเป้าหมายในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ SingTel มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของสิงคโปร์และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ สิ่งที่น่าสนใจในข่าวนี้คือการที่การพัฒนาศูนย์ข้อมูลนี้จะมีความหนาแน่นสูง เหมาะสำหรับการประมวลผลงานของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ขึ้นและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจะช่วยเสริมสร้างความสามารถของ AI ในการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนั้นในเดือนธันวาคมปี 2023 SingTel ยังได้รับสินเชื่อสีเขียวมูลค่า 535 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อใช้ชำระหนี้และพัฒนาศูนย์ข้อมูลอีกสองแห่ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/07/singtel-secures-476-million-green-loan-to-develop-data-centre
    WWW.THESTAR.COM.MY
    SingTel secures $476 million green loan to develop data centre
    (Reuters) - Singapore Telecommunications (SingTel) said on Friday that it had secured a S$643 million ($476.16 million) green loan to finance the development of a new 58 megawatt (MW) data centre in the city-state.
    0 Comments 0 Shares 544 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลเนเธอร์แลนด์กำลังเจรจากับบริษัท Nvidia และ AMD ของสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดหาฮาร์ดแวร์และความรู้ทางเทคโนโลยีสำหรับการสร้างศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในประเทศเนเธอร์แลนด์

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีแผนที่จะสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของสหภาพยุโรปในการเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของยุโรป เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้จัดสรรงบประมาณ 204.5 ล้านยูโร (ประมาณ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการลงทุนใน AI และยังมีแผนที่จะใช้เงินสนับสนุนจากสหภาพยุโรปด้วย

    นาย Dirk Beljaarts รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า โอกาสในการสร้างโครงการนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเจรจากับ Nvidia และ AMD แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้รายละเอียดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการเจรจา

    การสร้างศูนย์ AI ในเนเธอร์แลนด์จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของยุโรปในด้านเทคโนโลยี AI และเป็นการตอบสนองต่อการแข่งขันที่รุนแรงในระดับโลก การเจรจานี้เป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาสู่ยุโรปและเสริมสร้างความสามารถในการวิจัยและพัฒนาในภูมิภาคนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/09/netherlands-secures-nvidia039s-supply-for-possible-ai-facility
    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์กำลังเจรจากับบริษัท Nvidia และ AMD ของสหรัฐอเมริกา เพื่อจัดหาฮาร์ดแวร์และความรู้ทางเทคโนโลยีสำหรับการสร้างศูนย์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีแผนที่จะสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI เพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของสหภาพยุโรปในการเสริมสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลของยุโรป เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้จัดสรรงบประมาณ 204.5 ล้านยูโร (ประมาณ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการลงทุนใน AI และยังมีแผนที่จะใช้เงินสนับสนุนจากสหภาพยุโรปด้วย นาย Dirk Beljaarts รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า โอกาสในการสร้างโครงการนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเจรจากับ Nvidia และ AMD แม้ว่าเขาจะไม่ได้ให้รายละเอียดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการเจรจา การสร้างศูนย์ AI ในเนเธอร์แลนด์จะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของยุโรปในด้านเทคโนโลยี AI และเป็นการตอบสนองต่อการแข่งขันที่รุนแรงในระดับโลก การเจรจานี้เป็นก้าวสำคัญในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาสู่ยุโรปและเสริมสร้างความสามารถในการวิจัยและพัฒนาในภูมิภาคนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/09/netherlands-secures-nvidia039s-supply-for-possible-ai-facility
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Netherlands holds supply talks with Nvidia, AMD on AI-facility
    AMSTERDAM (Reuters) - The Dutch government said on Thursday it is in discussions with U.S. chip firms Nvidia and AMD about suppling hardware and technological knowledge for a possible artificial intelligence (AI) facility.
    0 Comments 0 Shares 592 Views 0 Reviews
More Results