• เรื่องเล่าจากคลื่นวิทยุถึงการวัดหัวใจ: เมื่อ Wi-Fi กลายเป็นหมอเงียบในบ้านคุณ

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย UC Santa Cruz นำโดยศาสตราจารย์ Katia Obraczka และนักศึกษาปริญญาเอก Nayan Bhatia ได้พัฒนาเทคโนโลยีชื่อ “Pulse-Fi” ซึ่งใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับอัลกอริธึม machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจจากระยะไกล โดยไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์แบบสัมผัส เช่น สมาร์ทวอทช์หรืออุปกรณ์คีบปลายนิ้ว

    หลักการทำงานคือ Wi-Fi transmitter จะปล่อยคลื่นวิทยุออกไปในพื้นที่ และเมื่อคลื่นเหล่านั้นสะท้อนหรือผ่านร่างกายมนุษย์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสัญญาณ ซึ่งอัลกอริธึมของ Pulse-Fi สามารถแยกแยะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเต้นของหัวใจออกจากสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ได้อย่างแม่นยำ

    ระบบนี้สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายในเวลาเพียง 5 วินาที และสามารถทำงานได้แม้ผู้ใช้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องคำนึงถึงท่าทาง เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน

    Pulse-Fi ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูกอย่าง ESP32 (ประมาณ $5–10) หรือ Raspberry Pi ($30) ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดได้ และยังมีแผนพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ได้ในอนาคต

    เทคโนโลยี Pulse-Fi และหลักการทำงาน
    ใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับ machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    แยกสัญญาณชีพจรจากสัญญาณรบกวนในสิ่งแวดล้อม
    ทำงานได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายใน 5 วินาที

    ความสามารถในการใช้งานจริง
    วัดได้จากระยะไกลถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องสัมผัสร่างกาย
    ไม่ขึ้นกับท่าทางของผู้ใช้งาน เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน
    ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูก เช่น ESP32 หรือ Raspberry Pi

    การเปรียบเทียบกับอุปกรณ์แบบสัมผัส
    Pulse-Fi ไม่ต้องสัมผัสผิวหนังเหมือน pulse oximeter หรือสมาร์ทวอทช์
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
    มีศักยภาพในการใช้งานในบ้าน โรงพยาบาล หรือพื้นที่ห่างไกล

    แผนพัฒนาในอนาคต
    กำลังพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับ sleep apnea
    หากสำเร็จ จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น
    อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตรวจสุขภาพแบบไร้สัมผัส

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/research-team-uses-wi-fi-to-monitor-heart-rate-accurately-relies-on-signal-variations-caused-by-beating-heart-to-determine-bpm
    🎙️ เรื่องเล่าจากคลื่นวิทยุถึงการวัดหัวใจ: เมื่อ Wi-Fi กลายเป็นหมอเงียบในบ้านคุณ ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย UC Santa Cruz นำโดยศาสตราจารย์ Katia Obraczka และนักศึกษาปริญญาเอก Nayan Bhatia ได้พัฒนาเทคโนโลยีชื่อ “Pulse-Fi” ซึ่งใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับอัลกอริธึม machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจจากระยะไกล โดยไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์แบบสัมผัส เช่น สมาร์ทวอทช์หรืออุปกรณ์คีบปลายนิ้ว หลักการทำงานคือ Wi-Fi transmitter จะปล่อยคลื่นวิทยุออกไปในพื้นที่ และเมื่อคลื่นเหล่านั้นสะท้อนหรือผ่านร่างกายมนุษย์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสัญญาณ ซึ่งอัลกอริธึมของ Pulse-Fi สามารถแยกแยะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเต้นของหัวใจออกจากสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ได้อย่างแม่นยำ ระบบนี้สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายในเวลาเพียง 5 วินาที และสามารถทำงานได้แม้ผู้ใช้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องคำนึงถึงท่าทาง เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน Pulse-Fi ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูกอย่าง ESP32 (ประมาณ $5–10) หรือ Raspberry Pi ($30) ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดได้ และยังมีแผนพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ได้ในอนาคต ✅ เทคโนโลยี Pulse-Fi และหลักการทำงาน ➡️ ใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับ machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ➡️ แยกสัญญาณชีพจรจากสัญญาณรบกวนในสิ่งแวดล้อม ➡️ ทำงานได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายใน 5 วินาที ✅ ความสามารถในการใช้งานจริง ➡️ วัดได้จากระยะไกลถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องสัมผัสร่างกาย ➡️ ไม่ขึ้นกับท่าทางของผู้ใช้งาน เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน ➡️ ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูก เช่น ESP32 หรือ Raspberry Pi ✅ การเปรียบเทียบกับอุปกรณ์แบบสัมผัส ➡️ Pulse-Fi ไม่ต้องสัมผัสผิวหนังเหมือน pulse oximeter หรือสมาร์ทวอทช์ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบไม่รบกวนชีวิตประจำวัน ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานในบ้าน โรงพยาบาล หรือพื้นที่ห่างไกล ✅ แผนพัฒนาในอนาคต ➡️ กำลังพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับ sleep apnea ➡️ หากสำเร็จ จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น ➡️ อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตรวจสุขภาพแบบไร้สัมผัส https://www.tomshardware.com/maker-stem/research-team-uses-wi-fi-to-monitor-heart-rate-accurately-relies-on-signal-variations-caused-by-beating-heart-to-determine-bpm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด

    Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง

    แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น

    จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก

    การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์

    เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch
    ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode
    Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด
    ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง

    ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple
    ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm)
    ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก)
    การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า

    ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ
    ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก
    มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน
    สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น

    การใช้งานในชีวิตประจำวัน
    ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ
    มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน

    https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแสงสีเขียวถึง AFib: เมื่อ Apple Watch กลายเป็นเครื่องมือวัดหัวใจที่แม่นยำเกินคาด Apple เปิดตัว Apple Watch รุ่นแรกพร้อมคำสัญญาว่าจะช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะด้วยเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ใช้เทคนิค photoplethysmography (PPG) ซึ่งอาศัยการวัดการดูดซับแสงจากเลือดผ่านผิวหนัง โดยใช้ LED สีเขียวและอินฟราเรดร่วมกับ photodiode ที่ไวต่อแสง แม้ Apple Watch จะไม่ใช่อุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้ความแม่นยำของเซ็นเซอร์สูงขึ้นมาก โดยเฉพาะตั้งแต่รุ่น Series 6 เป็นต้นมา ซึ่งเพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด และปรับปรุงอัลกอริธึม machine learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลชีพจรได้แม่นยำขึ้น จากการศึกษาภายในของ Apple ในปี 2024 พบว่า Apple Watch มีความแม่นยำในการวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักถึง 98% (±5 bpm) และสูงถึง 99.7% หากยอมรับค่าคลาดเคลื่อน ±10 bpm ส่วนในการออกกำลังกาย ความแม่นยำลดลงเล็กน้อย เช่น 96% สำหรับการปั่นจักรยานกลางแจ้ง, 88% สำหรับการวิ่ง, และ 91% สำหรับการออกกำลังกายหนัก การตรวจสอบแบบ passive (พื้นหลัง) ก็มีความแม่นยำถึง 89% ในรุ่นใหม่ แต่ลดลงเหลือ 72% ในรุ่นก่อน Series 6 ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนา hardware และ software อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอิสระที่เปรียบเทียบ Apple Watch กับอุปกรณ์วัดชีพจรแบบสายคาดอก เช่น Polar พบว่า Apple Watch มีค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ยเพียง -0.12 bpm ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ และมีความสัมพันธ์สูงกับอุปกรณ์มาตรฐานในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น AFib ควรใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ร่วมด้วย เพราะ Apple Watch อาจไม่สามารถตรวจจับความผิดปกติได้ครบถ้วนในทุกสถานการณ์ ✅ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ของ Apple Watch ➡️ ใช้ photoplethysmography (PPG) ร่วมกับ LED สีเขียว, อินฟราเรด และ photodiode ➡️ Series 6 เพิ่ม LED สีแดงสำหรับวัดออกซิเจนในเลือด ➡️ ใช้ machine learning วิเคราะห์ข้อมูลชีพจรแบบต่อเนื่อง ✅ ความแม่นยำจากการศึกษาภายใน Apple ➡️ ขณะพัก: แม่นยำ 98% (±5 bpm), สูงสุด 99.7% (±10 bpm) ➡️ ขณะออกกำลังกาย: 96% (ปั่นจักรยาน), 88% (วิ่ง), 91% (ออกกำลังกายหนัก) ➡️ การตรวจสอบพื้นหลัง: 89% ในรุ่นใหม่, 72% ในรุ่นเก่า ✅ ผลการทดสอบจากงานวิจัยอิสระ ➡️ ค่าคลาดเคลื่อนเฉลี่ย -0.12 bpm เทียบกับอุปกรณ์สายคาดอก ➡️ มีความสัมพันธ์สูงในผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดัน ➡️ สนับสนุนการใช้ในคลินิกเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ✅ การใช้งานในชีวิตประจำวัน ➡️ ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ, การฟื้นตัว, ความฟิต, และจังหวะผิดปกติ ➡️ มีฟีเจอร์แจ้งเตือน AFib, ความดันสูง/ต่ำ, และประวัติการเต้นของหัวใจ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบต่อเนื่องโดยไม่รบกวนชีวิตประจำวัน https://www.slashgear.com/1956322/apple-watch-heart-rate-monitor-how-accurate-explained/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Just How Accurate Is The Heart Rate Monitor In The Apple Watch? - SlashGear
    Apple Watch uses optical sensors to track heart rate with strong accuracy during rest and workouts, though it’s not a medical-grade device.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบข้อมูลสนามบินเซเลตาร์ สิงคโปร์ เปิดทำการบินถึง 4 ทุ่มตามที่ทักษิณอ้าง เหตุเป็นช่วง "ไนท์ เคอร์ฟิว" ลดเสียงรบกวนชุมชนโดยรอบสนามบิน แถมกลางวันยังมีชั่วโมงฝึกบิน 1 ชั่วโมง 4 ช่วง ด้านอินฟลูเอนเซอร์สายวิทย์ฯ กังขา ถ้าบอกว่ามาหาหมอลงจอดได้ ไม่ต้องไปประเทศอื่น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000085048

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    พบข้อมูลสนามบินเซเลตาร์ สิงคโปร์ เปิดทำการบินถึง 4 ทุ่มตามที่ทักษิณอ้าง เหตุเป็นช่วง "ไนท์ เคอร์ฟิว" ลดเสียงรบกวนชุมชนโดยรอบสนามบิน แถมกลางวันยังมีชั่วโมงฝึกบิน 1 ชั่วโมง 4 ช่วง ด้านอินฟลูเอนเซอร์สายวิทย์ฯ กังขา ถ้าบอกว่ามาหาหมอลงจอดได้ ไม่ต้องไปประเทศอื่น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000085048 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์ที่ไม่อยากเป็นแค่เบราว์เซอร์: เมื่อ Atlassian ซื้อ The Browser Company เพื่อสร้างเครื่องมือทำงานแห่งอนาคต

    Atlassian ผู้พัฒนา Jira และ Trello ได้ประกาศซื้อกิจการ The Browser Company ด้วยเงินสด 610 ล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายชัดเจน: สร้าง “AI browser for work” ที่ไม่ใช่แค่หน้าต่างเปิดเว็บ แต่เป็นพื้นที่ทำงานที่เข้าใจบริบทของผู้ใช้

    The Browser Company เป็นผู้สร้าง Arc และ Dia—สองเบราว์เซอร์ที่เน้นการจัดการแท็บ, การทำงานร่วมกับ AI, และการออกแบบเพื่อ productivity โดยเฉพาะ Dia ซึ่งเปิดตัวในเวอร์ชันเบต้าเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 มีฟีเจอร์เด่นคือการพูดคุยกับ AI assistant เกี่ยวกับหลายแท็บพร้อมกัน และการจัดการงานแบบ context-aware

    Josh Miller ซีอีโอของ The Browser Company ระบุว่า Arc มีผู้ใช้เฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การจัดกลุ่มแท็บและ whiteboard แต่ไม่สามารถขยายไปสู่ตลาดแมสได้ จึงหยุดพัฒนา Arc และหันมาโฟกัสที่ Dia ซึ่งมีความ “เบา เร็ว และฉลาด” มากกว่า

    Atlassian มองว่าเบราว์เซอร์ในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์การทำงาน เพราะถูกออกแบบมาเพื่อ “browse” ไม่ใช่ “do” และ Dia คือโอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์ที่เข้าใจว่าแต่ละแท็บคืองานที่ต้องทำ เช่น การเขียนอีเมล, การจัดประชุม, หรือการอัปเดต Jira

    ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจาก OpenAI และ Perplexity เคยเจรจาขอซื้อ The Browser Company แต่ไม่สำเร็จ โดย Atlassian ได้เปรียบในแง่ของความเข้าใจผู้ใช้ระดับองค์กร และการนำ AI ไปใช้ใน scale ใหญ่ ซึ่งจะช่วยผลักดัน Dia ให้กลายเป็นเบราว์เซอร์ที่มี AI memory, ความปลอดภัยระดับองค์กร และความสามารถในการเชื่อมโยงแอป SaaS ได้อย่างลึกซึ้ง

    การเข้าซื้อกิจการของ Atlassian
    ซื้อ The Browser Company ด้วยเงินสด 610 ล้านดอลลาร์
    ดีลจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2026 (สิ้นปี 2025)
    The Browser Company จะยังคงดำเนินงานอย่างอิสระ

    จุดเด่นของ Arc และ Dia
    Arc มีฟีเจอร์จัดการแท็บ, whiteboard, และการแชร์กลุ่มแท็บ
    Dia เน้นการพูดคุยกับ AI assistant และการจัดการงานแบบ context-aware
    Arc หยุดพัฒนาแล้ว ส่วน Dia จะเป็นผลิตภัณฑ์หลักในอนาคต

    วิสัยทัศน์ของ Atlassian
    ต้องการสร้าง “AI browser for work” ที่เข้าใจบริบทของผู้ใช้
    เน้นการเชื่อมโยงแอป SaaS เช่น Jira, Trello, email, design tools
    ใช้ AI memory เพื่อเชื่อมโยงแท็บ, งาน, และเครื่องมืออย่างมีประสิทธิภาพ

    ความได้เปรียบของ Atlassian
    มีลูกค้าองค์กรกว่า 300,000 ราย รวมถึง 80% ของ Fortune 500
    มีผู้ใช้ AI บนแพลตฟอร์มกว่า 2.3 ล้านรายต่อเดือน
    มีความเชี่ยวชาญในการนำ AI ไปใช้ในระดับองค์กร

    https://www.cnbc.com/2025/09/04/atlassian-the-browser-company-deal.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบราว์เซอร์ที่ไม่อยากเป็นแค่เบราว์เซอร์: เมื่อ Atlassian ซื้อ The Browser Company เพื่อสร้างเครื่องมือทำงานแห่งอนาคต Atlassian ผู้พัฒนา Jira และ Trello ได้ประกาศซื้อกิจการ The Browser Company ด้วยเงินสด 610 ล้านดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายชัดเจน: สร้าง “AI browser for work” ที่ไม่ใช่แค่หน้าต่างเปิดเว็บ แต่เป็นพื้นที่ทำงานที่เข้าใจบริบทของผู้ใช้ The Browser Company เป็นผู้สร้าง Arc และ Dia—สองเบราว์เซอร์ที่เน้นการจัดการแท็บ, การทำงานร่วมกับ AI, และการออกแบบเพื่อ productivity โดยเฉพาะ Dia ซึ่งเปิดตัวในเวอร์ชันเบต้าเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 มีฟีเจอร์เด่นคือการพูดคุยกับ AI assistant เกี่ยวกับหลายแท็บพร้อมกัน และการจัดการงานแบบ context-aware Josh Miller ซีอีโอของ The Browser Company ระบุว่า Arc มีผู้ใช้เฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การจัดกลุ่มแท็บและ whiteboard แต่ไม่สามารถขยายไปสู่ตลาดแมสได้ จึงหยุดพัฒนา Arc และหันมาโฟกัสที่ Dia ซึ่งมีความ “เบา เร็ว และฉลาด” มากกว่า Atlassian มองว่าเบราว์เซอร์ในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์การทำงาน เพราะถูกออกแบบมาเพื่อ “browse” ไม่ใช่ “do” และ Dia คือโอกาสในการสร้างเบราว์เซอร์ที่เข้าใจว่าแต่ละแท็บคืองานที่ต้องทำ เช่น การเขียนอีเมล, การจัดประชุม, หรือการอัปเดต Jira ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจาก OpenAI และ Perplexity เคยเจรจาขอซื้อ The Browser Company แต่ไม่สำเร็จ โดย Atlassian ได้เปรียบในแง่ของความเข้าใจผู้ใช้ระดับองค์กร และการนำ AI ไปใช้ใน scale ใหญ่ ซึ่งจะช่วยผลักดัน Dia ให้กลายเป็นเบราว์เซอร์ที่มี AI memory, ความปลอดภัยระดับองค์กร และความสามารถในการเชื่อมโยงแอป SaaS ได้อย่างลึกซึ้ง ✅ การเข้าซื้อกิจการของ Atlassian ➡️ ซื้อ The Browser Company ด้วยเงินสด 610 ล้านดอลลาร์ ➡️ ดีลจะเสร็จสิ้นในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2026 (สิ้นปี 2025) ➡️ The Browser Company จะยังคงดำเนินงานอย่างอิสระ ✅ จุดเด่นของ Arc และ Dia ➡️ Arc มีฟีเจอร์จัดการแท็บ, whiteboard, และการแชร์กลุ่มแท็บ ➡️ Dia เน้นการพูดคุยกับ AI assistant และการจัดการงานแบบ context-aware ➡️ Arc หยุดพัฒนาแล้ว ส่วน Dia จะเป็นผลิตภัณฑ์หลักในอนาคต ✅ วิสัยทัศน์ของ Atlassian ➡️ ต้องการสร้าง “AI browser for work” ที่เข้าใจบริบทของผู้ใช้ ➡️ เน้นการเชื่อมโยงแอป SaaS เช่น Jira, Trello, email, design tools ➡️ ใช้ AI memory เพื่อเชื่อมโยงแท็บ, งาน, และเครื่องมืออย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ความได้เปรียบของ Atlassian ➡️ มีลูกค้าองค์กรกว่า 300,000 ราย รวมถึง 80% ของ Fortune 500 ➡️ มีผู้ใช้ AI บนแพลตฟอร์มกว่า 2.3 ล้านรายต่อเดือน ➡️ มีความเชี่ยวชาญในการนำ AI ไปใช้ในระดับองค์กร https://www.cnbc.com/2025/09/04/atlassian-the-browser-company-deal.html
    WWW.CNBC.COM
    Atlassian agrees to acquire The Browser Co. for $610 million
    OpenAI and Perplexity both reportedly looked at acquiring the startup.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Pezy SC4s: เมื่อ CPU ไม่ใช่แค่สมองกลาง แต่กลายเป็น “เครือข่ายของหมู่บ้านที่คิดเองได้”

    ในงาน Hot Chips 2025 บริษัท Pezy Computing จากญี่ปุ่นได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า SC4s ซึ่งใช้แนวคิด MIMD (Multiple Instructions, Multiple Data) แทนที่จะเป็น SIMD หรือ SIMT แบบที่ CPU ทั่วไปใช้กัน

    Pezy เปรียบเทียบสถาปัตยกรรมของตัวเองกับ “สังคมของรัฐ จังหวัด เมือง และหมู่บ้าน” ที่แต่ละหน่วยสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากศูนย์กลาง ซึ่งต่างจาก CPU ทั่วไปที่มักใช้การประมวลผลแบบ lockstep หรือควบคุมจาก instruction เดียว

    SC4s ถูกผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC และมีขนาด die ใหญ่ถึง 556mm² ซึ่งถือว่า “มหึมา” เมื่อเทียบกับ CPU ทั่วไป แต่ Pezy ไม่สนใจเรื่องพื้นที่ซิลิคอน เพราะเป้าหมายคือการทดสอบว่า “การขยายขนาดแบบสุดโต่ง” จะให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่าหรือไม่

    แม้จะยังไม่มีชิปจริงออกมา แต่ Pezy ได้เผยผลการจำลองการทำงานของ SC4s ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในการประมวลผล DGEMM (matrix multiplication) ชิปนี้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า และในการรันอัลกอริธึม Smith-Waterman สำหรับ genome alignment ก็เร็วขึ้นถึง 4 เท่า

    Pezy ยังประกาศว่ากำลังพัฒนา SC5 ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่านั้น และตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 แม้จะรู้ดีว่า timeline แบบนี้มักจะเปลี่ยนได้ตลอด

    สถาปัตยกรรม MIMD ของ Pezy SC4s
    ใช้แนวคิด “หลายคำสั่ง หลายข้อมูล” แทน “คำสั่งเดียว หลายข้อมูล”
    เหมาะกับงานที่มี thread อิสระจำนวนมาก เช่น genome alignment หรือ AI inference
    เปรียบเทียบกับสังคมที่แต่ละหน่วยตัดสินใจเอง ไม่ต้องรอศูนย์กลาง

    ข้อมูลทางเทคนิคของ SC4s
    ผลิตบน TSMC 5nm
    ขนาด die ประมาณ 556mm² ใหญ่กว่าชิปทั่วไป
    ไม่เน้นลดพื้นที่ แต่เน้นทดสอบประสิทธิภาพจากการขยายขนาด

    ผลการจำลองประสิทธิภาพ
    DGEMM: ประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า
    Smith-Waterman: เร็วขึ้นเกือบ 4 เท่า
    ยังไม่มีผลการทดสอบจากชิปจริง

    แผนการพัฒนาในอนาคต
    SC5 จะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่า
    ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027
    ยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและจำลอง

    https://www.techradar.com/pro/security/states-prefectures-cities-and-villages-how-one-tiny-japanese-cpu-maker-is-taking-a-radically-different-route-to-making-processors-with-thousands-of-cores
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Pezy SC4s: เมื่อ CPU ไม่ใช่แค่สมองกลาง แต่กลายเป็น “เครือข่ายของหมู่บ้านที่คิดเองได้” ในงาน Hot Chips 2025 บริษัท Pezy Computing จากญี่ปุ่นได้เปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ชื่อว่า SC4s ซึ่งใช้แนวคิด MIMD (Multiple Instructions, Multiple Data) แทนที่จะเป็น SIMD หรือ SIMT แบบที่ CPU ทั่วไปใช้กัน Pezy เปรียบเทียบสถาปัตยกรรมของตัวเองกับ “สังคมของรัฐ จังหวัด เมือง และหมู่บ้าน” ที่แต่ละหน่วยสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่ต้องรอคำสั่งจากศูนย์กลาง ซึ่งต่างจาก CPU ทั่วไปที่มักใช้การประมวลผลแบบ lockstep หรือควบคุมจาก instruction เดียว SC4s ถูกผลิตบนเทคโนโลยี 5nm ของ TSMC และมีขนาด die ใหญ่ถึง 556mm² ซึ่งถือว่า “มหึมา” เมื่อเทียบกับ CPU ทั่วไป แต่ Pezy ไม่สนใจเรื่องพื้นที่ซิลิคอน เพราะเป้าหมายคือการทดสอบว่า “การขยายขนาดแบบสุดโต่ง” จะให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่าหรือไม่ แม้จะยังไม่มีชิปจริงออกมา แต่ Pezy ได้เผยผลการจำลองการทำงานของ SC4s ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในการประมวลผล DGEMM (matrix multiplication) ชิปนี้มีประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า และในการรันอัลกอริธึม Smith-Waterman สำหรับ genome alignment ก็เร็วขึ้นถึง 4 เท่า Pezy ยังประกาศว่ากำลังพัฒนา SC5 ซึ่งจะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่านั้น และตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 แม้จะรู้ดีว่า timeline แบบนี้มักจะเปลี่ยนได้ตลอด ✅ สถาปัตยกรรม MIMD ของ Pezy SC4s ➡️ ใช้แนวคิด “หลายคำสั่ง หลายข้อมูล” แทน “คำสั่งเดียว หลายข้อมูล” ➡️ เหมาะกับงานที่มี thread อิสระจำนวนมาก เช่น genome alignment หรือ AI inference ➡️ เปรียบเทียบกับสังคมที่แต่ละหน่วยตัดสินใจเอง ไม่ต้องรอศูนย์กลาง ✅ ข้อมูลทางเทคนิคของ SC4s ➡️ ผลิตบน TSMC 5nm ➡️ ขนาด die ประมาณ 556mm² ใหญ่กว่าชิปทั่วไป ➡️ ไม่เน้นลดพื้นที่ แต่เน้นทดสอบประสิทธิภาพจากการขยายขนาด ✅ ผลการจำลองประสิทธิภาพ ➡️ DGEMM: ประสิทธิภาพด้านพลังงานมากกว่า SC3 ถึง 2 เท่า ➡️ Smith-Waterman: เร็วขึ้นเกือบ 4 เท่า ➡️ ยังไม่มีผลการทดสอบจากชิปจริง ✅ แผนการพัฒนาในอนาคต ➡️ SC5 จะใช้เทคโนโลยี 3nm หรือเล็กกว่า ➡️ ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 ➡️ ยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบและจำลอง https://www.techradar.com/pro/security/states-prefectures-cities-and-villages-how-one-tiny-japanese-cpu-maker-is-taking-a-radically-different-route-to-making-processors-with-thousands-of-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ConcreteSC: เมื่อการสื่อสารไร้สายเรียนรู้ที่จะ “เข้าใจ” มากกว่าแค่ “ส่ง”

    ในอดีต การส่งข้อมูลไร้สายคือการพยายามถ่ายทอดทุกบิตให้ตรงที่สุด—ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือข้อความ ทุกพิกเซลต้องถูกส่งอย่างแม่นยำ แต่ในยุคที่ AI และอุปกรณ์ IoT กำลังครองโลก แนวคิดนี้เริ่มล้าสมัย เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ “ข้อมูลดิบ” แต่คือ “ความหมายที่เข้าใจได้”

    ทีมวิจัยจาก Seoul National University of Science and Technology นำโดย Dr. Dong Jin Ji ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า ConcreteSC ซึ่งเป็น framework สำหรับ “semantic communication” ที่ไม่ส่งข้อมูลแบบเดิม แต่ส่ง “สิ่งที่ข้อมูลนั้นหมายถึง” โดยตรง

    ConcreteSC ไม่ใช้ codebook ขนาดใหญ่แบบ vector quantization (VQ) ซึ่งมักมีปัญหาเรื่อง noise และความซับซ้อนในการฝึกโมเดล แต่ใช้ distribution แบบ “concrete” ที่สามารถแปลงข้อมูลต่อเนื่องให้เป็นบิตได้โดยตรง และรองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวน

    เมื่อทดสอบกับชุดข้อมูล ImageNet ภายใต้เงื่อนไข Rayleigh และ Rician fading ซึ่งจำลองสภาพแวดล้อมไร้สายจริง ConcreteSC ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน structural similarity และ peak signal-to-noise ratio พร้อมลดความซับซ้อนของระบบลงอย่างมาก

    เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ใน smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมากโดยไม่ต้องใช้สาย, หรือในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ที่ต้องการความแม่นยำแต่ไม่สามารถส่งข้อมูลจำนวนมากได้

    แนวคิดหลักของ ConcreteSC
    เป็น framework สำหรับ semantic communication ที่เน้นการส่ง “ความหมาย” มากกว่าข้อมูลดิบ
    ใช้ concrete distribution แทน codebook ขนาดใหญ่แบบ VQ
    รองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มี noise

    ผลการทดสอบและประสิทธิภาพ
    ทดสอบกับ ImageNet ภายใต้ Rayleigh และ Rician fading
    ให้ผลลัพธ์ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน SSIM และ PSNR
    ลดความซับซ้อน เพราะ scaling ตาม bit length ไม่ใช่ขนาด codebook

    การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม
    เหมาะกับ smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมาก
    ใช้ในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุ
    รองรับการทำงานของ AI บนอุปกรณ์ขนาดเล็กโดยไม่ต้องใช้ bandwidth สูง

    ความก้าวหน้าทางเทคนิค
    สามารถฝึกโมเดลแบบ multi-feedback-length ด้วย masking scheme ที่เรียบง่าย
    เป็น framework ที่ fully differentiable และสามารถ integrate กับระบบอื่นได้ง่าย
    เปิดทางให้ใช้ semantic communication เป็นแกนหลักของ 6G

    https://www.techradar.com/pro/korean-researchers-develop-new-technology-that-could-boost-processing-unit-by-being-more-human-semantic-communication-focuses-on-the-bigger-picture-literally
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ConcreteSC: เมื่อการสื่อสารไร้สายเรียนรู้ที่จะ “เข้าใจ” มากกว่าแค่ “ส่ง” ในอดีต การส่งข้อมูลไร้สายคือการพยายามถ่ายทอดทุกบิตให้ตรงที่สุด—ไม่ว่าจะเป็นภาพ เสียง หรือข้อความ ทุกพิกเซลต้องถูกส่งอย่างแม่นยำ แต่ในยุคที่ AI และอุปกรณ์ IoT กำลังครองโลก แนวคิดนี้เริ่มล้าสมัย เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ “ข้อมูลดิบ” แต่คือ “ความหมายที่เข้าใจได้” ทีมวิจัยจาก Seoul National University of Science and Technology นำโดย Dr. Dong Jin Ji ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ชื่อว่า ConcreteSC ซึ่งเป็น framework สำหรับ “semantic communication” ที่ไม่ส่งข้อมูลแบบเดิม แต่ส่ง “สิ่งที่ข้อมูลนั้นหมายถึง” โดยตรง ConcreteSC ไม่ใช้ codebook ขนาดใหญ่แบบ vector quantization (VQ) ซึ่งมักมีปัญหาเรื่อง noise และความซับซ้อนในการฝึกโมเดล แต่ใช้ distribution แบบ “concrete” ที่สามารถแปลงข้อมูลต่อเนื่องให้เป็นบิตได้โดยตรง และรองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวน เมื่อทดสอบกับชุดข้อมูล ImageNet ภายใต้เงื่อนไข Rayleigh และ Rician fading ซึ่งจำลองสภาพแวดล้อมไร้สายจริง ConcreteSC ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน structural similarity และ peak signal-to-noise ratio พร้อมลดความซับซ้อนของระบบลงอย่างมาก เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ใน smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมากโดยไม่ต้องใช้สาย, หรือในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ที่ต้องการความแม่นยำแต่ไม่สามารถส่งข้อมูลจำนวนมากได้ ✅ แนวคิดหลักของ ConcreteSC ➡️ เป็น framework สำหรับ semantic communication ที่เน้นการส่ง “ความหมาย” มากกว่าข้อมูลดิบ ➡️ ใช้ concrete distribution แทน codebook ขนาดใหญ่แบบ VQ ➡️ รองรับการฝึกแบบ end-to-end แม้ในสภาพแวดล้อมที่มี noise ✅ ผลการทดสอบและประสิทธิภาพ ➡️ ทดสอบกับ ImageNet ภายใต้ Rayleigh และ Rician fading ➡️ ให้ผลลัพธ์ดีกว่า VQ ทั้งในด้าน SSIM และ PSNR ➡️ ลดความซับซ้อน เพราะ scaling ตาม bit length ไม่ใช่ขนาด codebook ✅ การนำไปใช้ในอุตสาหกรรม ➡️ เหมาะกับ smart factory ที่มีการสื่อสารระหว่างเครื่องจักรจำนวนมาก ➡️ ใช้ในอุปกรณ์ดูแลสุขภาพที่ใช้พลังงานต่ำ เช่นเซนเซอร์สำหรับผู้สูงอายุ ➡️ รองรับการทำงานของ AI บนอุปกรณ์ขนาดเล็กโดยไม่ต้องใช้ bandwidth สูง ✅ ความก้าวหน้าทางเทคนิค ➡️ สามารถฝึกโมเดลแบบ multi-feedback-length ด้วย masking scheme ที่เรียบง่าย ➡️ เป็น framework ที่ fully differentiable และสามารถ integrate กับระบบอื่นได้ง่าย ➡️ เปิดทางให้ใช้ semantic communication เป็นแกนหลักของ 6G https://www.techradar.com/pro/korean-researchers-develop-new-technology-that-could-boost-processing-unit-by-being-more-human-semantic-communication-focuses-on-the-bigger-picture-literally
    WWW.TECHRADAR.COM
    ConcreteSC is a new idea from South Korean scientists that could make 6G networks work better
    ConcreteSC tech could deliver 39x speed boost for next-gen wireless networks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027

    แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น

    ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง

    ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว

    แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน
    มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry”
    ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน
    ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030

    รายละเอียดของแผน 17 ข้อ
    พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ
    ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน
    สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time
    ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค

    ความคืบหน้าทางเทคนิค
    ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ
    ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด
    มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว

    การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค
    สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว
    วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
    คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    🎙️ เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027 แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว ✅ แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน ➡️ มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry” ➡️ ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน ➡️ ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030 ✅ รายละเอียดของแผน 17 ข้อ ➡️ พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน ➡️ สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ➡️ ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค ✅ ความคืบหน้าทางเทคนิค ➡️ ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ ➡️ ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด ➡️ มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว ✅ การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค ➡️ สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว ➡️ วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ➡️ คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China plans to outpace Neuralink with a state-backed brain chip blitz — seven ministries, a 17-point roadmap, and clinical trials where patients play chess
    Plan aims to streamline approval by bringing regulators in at the beginning, potentially shaving years off the lab-to-market timeline.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก NSHipster: เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นชนิดข้อมูล

    ในโลกของการเขียนโปรแกรม เรามักชินกับการตัดสินใจแบบ “จริงหรือเท็จ” ผ่าน Boolean แต่ในชีวิตจริง เช่น GPS หรือเซนเซอร์ต่าง ๆ ข้อมูลที่เราได้มักจะมี “ความไม่แน่นอน” ปะปนอยู่เสมอ แล้วทำไมโค้ดเราถึงไม่สะท้อนสิ่งนั้น?

    บทความจาก NSHipster ได้หยิบแนวคิดจากงานวิจัยของ Microsoft Research และ University of Washington ที่เสนอชนิดข้อมูลใหม่ชื่อว่า Uncertain<T> ซึ่งเป็นการนำความน่าจะเป็นมาใส่ใน type system โดยตรง เช่น แทนที่จะบอกว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว” ด้วย if statement ธรรมดา เราอาจพูดว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว ด้วยความมั่นใจ 95%” ซึ่งสะท้อนความจริงได้มากกว่า

    แนวคิดนี้ถูกนำมาเขียนใหม่ใน Swift โดยใช้ distribution ต่าง ๆ เช่น Rayleigh, Normal, Bernoulli, Exponential และ Mixture เพื่อจำลองความไม่แน่นอนในข้อมูลจริง ตั้งแต่ GPS, ความเร็ว, ความหนาแน่นของอากาศ ไปจนถึงพฤติกรรมผู้ใช้และ latency ของ API

    นอกจากนี้ยังมีการใช้ Monte Carlo sampling เพื่อประเมินผลลัพธ์จากการสุ่มหลายพันครั้ง และใช้ Sequential Probability Ratio Testing (SPRT) เพื่อปรับจำนวน sample อัตโนมัติตามความซับซ้อนของเงื่อนไข

    แนวคิดของ Uncertain<T>
    เป็นชนิดข้อมูลที่รวมความน่าจะเป็นเข้าไปใน type system
    ใช้แทนค่าที่มีความไม่แน่นอน เช่น GPS, sensor, user behavior
    เปลี่ยนจาก true/false เป็น Uncertain<Bool> ที่มีค่า probability

    การใช้งานใน Swift
    มีการ port จาก C# มาเป็น Swift library พร้อมตัวอย่างการใช้งาน
    รองรับ distribution หลายแบบ เช่น normal, exponential, kumaraswamy
    ใช้ SPRT เพื่อปรับจำนวน sample ตามความซับซ้อนของเงื่อนไข

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    GPS ที่มี horizontal accuracy ถูกแปลงเป็น Uncertain<CLLocation>
    การคำนวณความเร็ว, ความต้านทานอากาศ, หรือ comfort index ใช้ค่าที่มี standard deviation
    การประเมินว่า “สามารถวิ่ง 5K ได้” ถูกคำนวณจากหลายเงื่อนไขรวมกัน

    การใช้ Monte Carlo sampling
    ใช้สุ่มหลายพันครั้งเพื่อประเมิน expected value หรือ confidence
    ตัวอย่างเช่น slot machine ที่คำนวณ expected payout จากการ spin 10,000 ครั้ง

    การวิเคราะห์สถิติ
    รองรับการคำนวณ mean, standard deviation, confidence interval
    วิเคราะห์ shape ของ distribution เช่น skewness และ kurtosis
    รองรับ entropy และ mode สำหรับข้อมูลแบบ discrete

    https://nshipster.com/uncertainty/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก NSHipster: เมื่อความไม่แน่นอนกลายเป็นชนิดข้อมูล ในโลกของการเขียนโปรแกรม เรามักชินกับการตัดสินใจแบบ “จริงหรือเท็จ” ผ่าน Boolean แต่ในชีวิตจริง เช่น GPS หรือเซนเซอร์ต่าง ๆ ข้อมูลที่เราได้มักจะมี “ความไม่แน่นอน” ปะปนอยู่เสมอ แล้วทำไมโค้ดเราถึงไม่สะท้อนสิ่งนั้น? บทความจาก NSHipster ได้หยิบแนวคิดจากงานวิจัยของ Microsoft Research และ University of Washington ที่เสนอชนิดข้อมูลใหม่ชื่อว่า Uncertain<T> ซึ่งเป็นการนำความน่าจะเป็นมาใส่ใน type system โดยตรง เช่น แทนที่จะบอกว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว” ด้วย if statement ธรรมดา เราอาจพูดว่า “คุณถึงที่หมายแล้ว ด้วยความมั่นใจ 95%” ซึ่งสะท้อนความจริงได้มากกว่า แนวคิดนี้ถูกนำมาเขียนใหม่ใน Swift โดยใช้ distribution ต่าง ๆ เช่น Rayleigh, Normal, Bernoulli, Exponential และ Mixture เพื่อจำลองความไม่แน่นอนในข้อมูลจริง ตั้งแต่ GPS, ความเร็ว, ความหนาแน่นของอากาศ ไปจนถึงพฤติกรรมผู้ใช้และ latency ของ API นอกจากนี้ยังมีการใช้ Monte Carlo sampling เพื่อประเมินผลลัพธ์จากการสุ่มหลายพันครั้ง และใช้ Sequential Probability Ratio Testing (SPRT) เพื่อปรับจำนวน sample อัตโนมัติตามความซับซ้อนของเงื่อนไข ✅ แนวคิดของ Uncertain<T> ➡️ เป็นชนิดข้อมูลที่รวมความน่าจะเป็นเข้าไปใน type system ➡️ ใช้แทนค่าที่มีความไม่แน่นอน เช่น GPS, sensor, user behavior ➡️ เปลี่ยนจาก true/false เป็น Uncertain<Bool> ที่มีค่า probability ✅ การใช้งานใน Swift ➡️ มีการ port จาก C# มาเป็น Swift library พร้อมตัวอย่างการใช้งาน ➡️ รองรับ distribution หลายแบบ เช่น normal, exponential, kumaraswamy ➡️ ใช้ SPRT เพื่อปรับจำนวน sample ตามความซับซ้อนของเงื่อนไข ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ GPS ที่มี horizontal accuracy ถูกแปลงเป็น Uncertain<CLLocation> ➡️ การคำนวณความเร็ว, ความต้านทานอากาศ, หรือ comfort index ใช้ค่าที่มี standard deviation ➡️ การประเมินว่า “สามารถวิ่ง 5K ได้” ถูกคำนวณจากหลายเงื่อนไขรวมกัน ✅ การใช้ Monte Carlo sampling ➡️ ใช้สุ่มหลายพันครั้งเพื่อประเมิน expected value หรือ confidence ➡️ ตัวอย่างเช่น slot machine ที่คำนวณ expected payout จากการ spin 10,000 ครั้ง ✅ การวิเคราะห์สถิติ ➡️ รองรับการคำนวณ mean, standard deviation, confidence interval ➡️ วิเคราะห์ shape ของ distribution เช่น skewness และ kurtosis ➡️ รองรับ entropy และ mode สำหรับข้อมูลแบบ discrete https://nshipster.com/uncertainty/
    NSHIPSTER.COM
    Uncertain⟨T⟩
    GPS coordinates aren’t exact. Sensor readings have noise. User behavior is probabilistic. Yet we write code that pretends uncertainty doesn’t exist, forcing messy real-world data through clean Boolean logic.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากอัมพาตสู่การควบคุมดิจิทัลด้วย “ความคิด”

    ย้อนกลับไปในปี 2016 Noland Arbaugh ประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำ ทำให้เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป และใช้ชีวิตบนรถเข็นมานานหลายปี จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink บริษัทของ Elon Musk

    การผ่าตัดใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมง โดยหุ่นยนต์ของ Neuralink ฝังชิปขนาดเท่าเหรียญเข้าไปในสมอง พร้อมเชื่อมเส้นใยขนาดเล็กกว่าเส้นผมกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาทในสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว

    ผลลัพธ์คือ Arbaugh สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยความคิด เช่น เล่น Mario Kart, เปิด–ปิดเครื่องฟอกอากาศ, ควบคุมทีวี และพิมพ์ข้อความโดยไม่ต้องขยับร่างกายเลยแม้แต่นิ้วเดียว

    เขาใช้ระบบนี้วันละประมาณ 10 ชั่วโมง และบอกว่า “ง่ายมาก” ในการเรียนรู้วิธีใช้งาน วันแรกที่ลองใช้ เขาสามารถทำลายสถิติโลกปี 2017 ด้านความเร็วและความแม่นยำในการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI

    แม้จะมีปัญหาในช่วงแรก เช่น เส้นใยบางส่วนหลุดออกจากเนื้อสมอง ทำให้ประสิทธิภาพลดลง แต่ทีม Neuralink ก็สามารถปรับแต่งระบบให้กลับมาใช้งานได้เกือบเต็มรูปแบบ

    ปัจจุบัน Arbaugh กลับไปเรียนที่วิทยาลัยในรัฐแอริโซนา และเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง พร้อมรับงานพูดในที่สาธารณะ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพอีกครั้ง” และเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ในอนาคต แม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Noland Arbaugh เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink ในปี 2024
    การผ่าตัดใช้หุ่นยนต์ฝังชิปและเชื่อมเส้นใยกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาท
    ชิปสามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งดิจิทัลเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ
    Arbaugh สามารถเล่นเกม, พิมพ์ข้อความ, และควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยความคิด
    ใช้งานระบบวันละประมาณ 10 ชั่วโมง และเรียนรู้ได้ง่าย
    วันแรกที่ใช้งาน Arbaugh ทำลายสถิติโลกด้านการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI
    ปัจจุบันเขากลับไปเรียนและเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง
    เขาเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ แม้จะมีความเสี่ยง
    Neuralink ใช้ระบบชาร์จแบบไร้สายผ่านหมวกที่ฝังขดลวดไว้
    ระบบได้รับการปรับปรุงให้สามารถใช้งานขณะชาร์จได้แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BCI (Brain-Computer Interface) เป็นเทคโนโลยีที่มีการศึกษามานานกว่า 50 ปี
    บริษัทอื่น เช่น Synchron และ Blackrock Neurotech ก็มีการทดลองฝังชิปสมองเช่นกัน
    Neuralink ใช้การฝังใน motor cortex ซึ่งเป็นบริเวณควบคุมการเคลื่อนไหวโดยตรง
    ชิปของ Neuralink เป็นแบบไร้สาย ต่างจากบางบริษัทที่ยังใช้สายเชื่อมต่อผ่านกะโหลก
    การฝังชิปสมองอาจเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาตและโรคทางระบบประสาท

    https://fortune.com/2025/08/23/neuralink-participant-1-noland-arbaugh-18-months-post-surgery-life-changed-elon-musk/
    🧠 จากอัมพาตสู่การควบคุมดิจิทัลด้วย “ความคิด” ย้อนกลับไปในปี 2016 Noland Arbaugh ประสบอุบัติเหตุจากการดำน้ำ ทำให้เขาเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไป และใช้ชีวิตบนรถเข็นมานานหลายปี จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink บริษัทของ Elon Musk การผ่าตัดใช้เวลาน้อยกว่าสองชั่วโมง โดยหุ่นยนต์ของ Neuralink ฝังชิปขนาดเท่าเหรียญเข้าไปในสมอง พร้อมเชื่อมเส้นใยขนาดเล็กกว่าเส้นผมกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาทในสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหว ผลลัพธ์คือ Arbaugh สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ด้วยความคิด เช่น เล่น Mario Kart, เปิด–ปิดเครื่องฟอกอากาศ, ควบคุมทีวี และพิมพ์ข้อความโดยไม่ต้องขยับร่างกายเลยแม้แต่นิ้วเดียว เขาใช้ระบบนี้วันละประมาณ 10 ชั่วโมง และบอกว่า “ง่ายมาก” ในการเรียนรู้วิธีใช้งาน วันแรกที่ลองใช้ เขาสามารถทำลายสถิติโลกปี 2017 ด้านความเร็วและความแม่นยำในการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI แม้จะมีปัญหาในช่วงแรก เช่น เส้นใยบางส่วนหลุดออกจากเนื้อสมอง ทำให้ประสิทธิภาพลดลง แต่ทีม Neuralink ก็สามารถปรับแต่งระบบให้กลับมาใช้งานได้เกือบเต็มรูปแบบ ปัจจุบัน Arbaugh กลับไปเรียนที่วิทยาลัยในรัฐแอริโซนา และเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง พร้อมรับงานพูดในที่สาธารณะ เขาบอกว่า “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพอีกครั้ง” และเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ในอนาคต แม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Noland Arbaugh เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้รับการฝังชิปสมองจาก Neuralink ในปี 2024 ➡️ การผ่าตัดใช้หุ่นยนต์ฝังชิปและเชื่อมเส้นใยกว่า 1,000 เส้นเข้ากับเซลล์ประสาท ➡️ ชิปสามารถแปลสัญญาณสมองเป็นคำสั่งดิจิทัลเพื่อควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ➡️ Arbaugh สามารถเล่นเกม, พิมพ์ข้อความ, และควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยความคิด ➡️ ใช้งานระบบวันละประมาณ 10 ชั่วโมง และเรียนรู้ได้ง่าย ➡️ วันแรกที่ใช้งาน Arbaugh ทำลายสถิติโลกด้านการควบคุมเคอร์เซอร์ด้วย BCI ➡️ ปัจจุบันเขากลับไปเรียนและเริ่มวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเอง ➡️ เขาเชื่อว่าการทดลองนี้จะช่วยคนอื่นได้ แม้จะมีความเสี่ยง ➡️ Neuralink ใช้ระบบชาร์จแบบไร้สายผ่านหมวกที่ฝังขดลวดไว้ ➡️ ระบบได้รับการปรับปรุงให้สามารถใช้งานขณะชาร์จได้แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BCI (Brain-Computer Interface) เป็นเทคโนโลยีที่มีการศึกษามานานกว่า 50 ปี ➡️ บริษัทอื่น เช่น Synchron และ Blackrock Neurotech ก็มีการทดลองฝังชิปสมองเช่นกัน ➡️ Neuralink ใช้การฝังใน motor cortex ซึ่งเป็นบริเวณควบคุมการเคลื่อนไหวโดยตรง ➡️ ชิปของ Neuralink เป็นแบบไร้สาย ต่างจากบางบริษัทที่ยังใช้สายเชื่อมต่อผ่านกะโหลก ➡️ การฝังชิปสมองอาจเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพาตและโรคทางระบบประสาท https://fortune.com/2025/08/23/neuralink-participant-1-noland-arbaugh-18-months-post-surgery-life-changed-elon-musk/
    FORTUNE.COM
    Neuralink’s first study participant says his whole life has changed
    Noland Arbaugh became P1 at Neuralink last year and it’s opened up a host of opportunities for him.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อพลังงานลมถูกโจมตีด้วย “เงินน้ำมัน” และกลยุทธ์ทางกฎหมาย

    ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brown กลับพบว่าเบื้องหลังการต่อต้านโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ มีเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา

    รายงาน “Legal Entanglements” จาก Climate & Development Lab (CDL) เปิดเผยว่า กลุ่มต่อต้านพลังงานลมใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลม โดยอ้างความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การคุกคามวาฬสายพันธุ์ North Atlantic Right Whale ทั้งที่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นตัวการหลักที่ทำลายระบบนิเวศทางทะเล

    หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือการฟ้องร้องโครงการ Cape Wind โดยกลุ่ม Alliance to Protect Nantucket Sound ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีน้ำมัน William Koch จนทำให้โครงการต้องยุติ แม้จะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม

    เมื่อ CDL เปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มต่อต้านกับบริษัทน้ำมันและสำนักงานกฎหมาย เช่น Marzulla Law บริษัทเหล่านี้กลับตอบโต้ด้วยการข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้หน่วยงานรัฐตัดงบประมาณของมหาวิทยาลัย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ การโจมตีทางกฎหมายเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โครงการพลังงานสะอาดล่าช้า แต่ยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    CDL แห่งมหาวิทยาลัย Brown เผยรายงาน “Legal Entanglements” เปิดโปงเครือข่ายต่อต้านพลังงานลม
    กลุ่มต่อต้านได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา
    ใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง
    อ้างการคุกคามวาฬ North Atlantic Right Whale ทั้งที่สาเหตุหลักมาจากการขนส่งน้ำมันและภาวะโลกร้อน
    Marzulla Law ส่งจดหมายข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้ DOE ตัดงบประมาณ
    กลุ่ม Green Oceans ที่ Marzulla Law เป็นตัวแทน เคยฟ้องโครงการ Revolution Wind จนต้องหยุดชั่วคราว
    CDL ยืนยันว่าไม่ได้รับทุนจาก DOE และจะไม่ยอมเซ็นเซอร์งานวิจัย
    Brown University ยืนยันหลักการเสรีภาพทางวิชาการ แม้จะถูกกดดันจากภายนอก
    รายงานชี้ว่าการฟ้องร้องแม้ไม่สำเร็จ ก็สามารถทำให้โครงการล่าช้าและเพิ่มต้นทุน
    การบิดเบือนข้อมูลทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Offshore wind มีศักยภาพสูงในแถบ North Atlantic และสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
    ประเทศอย่างเดนมาร์ก เยอรมนี และเวียดนามประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานลมนอกชายฝั่ง
    การใช้พลังงานลมช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และลดการปล่อยคาร์บอน
    การฟ้องร้องโครงการพลังงานสะอาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วโลกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมเก่า
    การคุกคามนักวิจัยและมหาวิทยาลัยเป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีเสรีภาพทางวิชาการ

    https://electrek.co/2025/08/25/scientist-exposes-anti-wind-groups-as-oil-funded-now-they-want-to-silence-him/
    🌬️ เมื่อพลังงานลมถูกโจมตีด้วย “เงินน้ำมัน” และกลยุทธ์ทางกฎหมาย ในขณะที่โลกกำลังเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Brown กลับพบว่าเบื้องหลังการต่อต้านโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่งในสหรัฐฯ มีเครือข่ายที่ซับซ้อนซึ่งได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา รายงาน “Legal Entanglements” จาก Climate & Development Lab (CDL) เปิดเผยว่า กลุ่มต่อต้านพลังงานลมใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลม โดยอ้างความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การคุกคามวาฬสายพันธุ์ North Atlantic Right Whale ทั้งที่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นตัวการหลักที่ทำลายระบบนิเวศทางทะเล หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือการฟ้องร้องโครงการ Cape Wind โดยกลุ่ม Alliance to Protect Nantucket Sound ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐีน้ำมัน William Koch จนทำให้โครงการต้องยุติ แม้จะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม เมื่อ CDL เปิดเผยความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มต่อต้านกับบริษัทน้ำมันและสำนักงานกฎหมาย เช่น Marzulla Law บริษัทเหล่านี้กลับตอบโต้ด้วยการข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้หน่วยงานรัฐตัดงบประมาณของมหาวิทยาลัย สิ่งที่น่ากังวลคือ การโจมตีทางกฎหมายเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โครงการพลังงานสะอาดล่าช้า แต่ยังเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการ และทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ CDL แห่งมหาวิทยาลัย Brown เผยรายงาน “Legal Entanglements” เปิดโปงเครือข่ายต่อต้านพลังงานลม ➡️ กลุ่มต่อต้านได้รับทุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันและกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา ➡️ ใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายและการบิดเบือนข้อมูลเพื่อชะลอหรือยกเลิกโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ➡️ อ้างการคุกคามวาฬ North Atlantic Right Whale ทั้งที่สาเหตุหลักมาจากการขนส่งน้ำมันและภาวะโลกร้อน ➡️ Marzulla Law ส่งจดหมายข่มขู่ให้มหาวิทยาลัย Brown ถอนรายงาน และขู่ว่าจะยื่นเรื่องให้ DOE ตัดงบประมาณ ➡️ กลุ่ม Green Oceans ที่ Marzulla Law เป็นตัวแทน เคยฟ้องโครงการ Revolution Wind จนต้องหยุดชั่วคราว ➡️ CDL ยืนยันว่าไม่ได้รับทุนจาก DOE และจะไม่ยอมเซ็นเซอร์งานวิจัย ➡️ Brown University ยืนยันหลักการเสรีภาพทางวิชาการ แม้จะถูกกดดันจากภายนอก ➡️ รายงานชี้ว่าการฟ้องร้องแม้ไม่สำเร็จ ก็สามารถทำให้โครงการล่าช้าและเพิ่มต้นทุน ➡️ การบิดเบือนข้อมูลทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบของพลังงานลม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Offshore wind มีศักยภาพสูงในแถบ North Atlantic และสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ➡️ ประเทศอย่างเดนมาร์ก เยอรมนี และเวียดนามประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานลมนอกชายฝั่ง ➡️ การใช้พลังงานลมช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และลดการปล่อยคาร์บอน ➡️ การฟ้องร้องโครงการพลังงานสะอาดเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันทั่วโลกเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมเก่า ➡️ การคุกคามนักวิจัยและมหาวิทยาลัยเป็นรูปแบบใหม่ของการโจมตีเสรีภาพทางวิชาการ https://electrek.co/2025/08/25/scientist-exposes-anti-wind-groups-as-oil-funded-now-they-want-to-silence-him/
    ELECTREK.CO
    Scientist exposes anti-wind groups as oil-funded. Now they want to silence him.
    A report shows how fossil-funded legal groups file bogus lawsuits and spread disinfo about wind - then those lawyers threatened the authors.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Bluesky ถอนตัวจาก Mississippi เพราะกฎหมาย “ยืนยันอายุ” ที่อาจกระทบเสรีภาพออนไลน์

    Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลแบบกระจายศูนย์ที่หลายคนมองว่าเป็นทางเลือกใหม่ของ X (Twitter เดิม) ได้ตัดสินใจบล็อกผู้ใช้จากรัฐ Mississippi ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป เนื่องจากกฎหมาย HB1126 ที่เพิ่งผ่านการรับรองจากศาลสูงสหรัฐฯ

    กฎหมายนี้กำหนดให้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลต้องตรวจสอบอายุของผู้ใช้ก่อนให้เข้าถึงบริการ และต้องขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับผู้เยาว์ รวมถึงติดตามและเก็บข้อมูลของผู้ใช้ที่เป็นเด็กและวัยรุ่น ซึ่งสร้างภาระด้านเทคนิคและความปลอดภัยอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ให้บริการขนาดเล็กอย่าง Bluesky

    Bluesky ระบุว่าการปฏิบัติตามกฎหมายนี้จะเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงแพลตฟอร์มอย่างสิ้นเชิง และอาจกระทบต่อสิทธิในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น

    แม้จะบล็อก IP จาก Mississippi แต่ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึง Bluesky ได้ผ่าน VPN ซึ่งช่วยเปลี่ยนตำแหน่ง IP ไปยังรัฐหรือประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดนี้ อย่างไรก็ตาม Bluesky ย้ำว่าการตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องเบา และยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็กเป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Bluesky บล็อกผู้ใช้จากรัฐ Mississippi ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2025
    เหตุผลคือกฎหมาย HB1126 ที่บังคับให้แพลตฟอร์มต้องยืนยันอายุผู้ใช้ทุกคน
    ต้องขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับผู้เยาว์ และติดตามข้อมูลของเด็ก
    ศาลสูงสหรัฐฯ รับรองกฎหมายนี้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2025
    Bluesky ระบุว่าการปฏิบัติตามกฎหมายจะเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงแพลตฟอร์มอย่างสิ้นเชิง
    การบล็อก IP มีผลเฉพาะกับแอป Bluesky ที่ใช้ AT Protocol
    ผู้ใช้ใน Mississippi ยังสามารถใช้ VPN เพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มได้
    Bluesky เคยบังคับใช้การยืนยันอายุในสหราชอาณาจักรภายใต้กฎหมาย Online Safety Act
    กฎหมายของ UK บังคับเฉพาะเนื้อหาที่ “ถูกกฎหมายแต่เป็นอันตราย” ต่างจาก HB1126 ที่บังคับทุกคน
    Bluesky ยืนยันว่าความปลอดภัยของเด็กยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HB1126 เป็นหนึ่งในกฎหมายควบคุมโซเชียลมีเดียที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ
    ค่าปรับสำหรับการไม่ปฏิบัติตามอาจสูงถึง $10,000 ต่อผู้ใช้
    VPN สามารถช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์และการเซ็นเซอร์
    การใช้ VPN อย่างปลอดภัยควรเลือกบริการที่ไม่มีการเก็บ log และมีการเข้ารหัสแบบ AES-256
    การยืนยันอายุผ่านระบบดิจิทัล เช่น การสแกนใบหน้า หรือการตรวจสอบบัตรเครดิต ยังเป็นประเด็นถกเถียงด้านความเป็นส่วนตัว

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/bluesky-exits-mississippi-over-age-verification-row
    🧩 เมื่อ Bluesky ถอนตัวจาก Mississippi เพราะกฎหมาย “ยืนยันอายุ” ที่อาจกระทบเสรีภาพออนไลน์ Bluesky ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลแบบกระจายศูนย์ที่หลายคนมองว่าเป็นทางเลือกใหม่ของ X (Twitter เดิม) ได้ตัดสินใจบล็อกผู้ใช้จากรัฐ Mississippi ทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2025 เป็นต้นไป เนื่องจากกฎหมาย HB1126 ที่เพิ่งผ่านการรับรองจากศาลสูงสหรัฐฯ กฎหมายนี้กำหนดให้ทุกแพลตฟอร์มโซเชียลต้องตรวจสอบอายุของผู้ใช้ก่อนให้เข้าถึงบริการ และต้องขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับผู้เยาว์ รวมถึงติดตามและเก็บข้อมูลของผู้ใช้ที่เป็นเด็กและวัยรุ่น ซึ่งสร้างภาระด้านเทคนิคและความปลอดภัยอย่างมาก โดยเฉพาะกับผู้ให้บริการขนาดเล็กอย่าง Bluesky Bluesky ระบุว่าการปฏิบัติตามกฎหมายนี้จะเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงแพลตฟอร์มอย่างสิ้นเชิง และอาจกระทบต่อสิทธิในการแสดงออกและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ทุกวัย ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้น แม้จะบล็อก IP จาก Mississippi แต่ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึง Bluesky ได้ผ่าน VPN ซึ่งช่วยเปลี่ยนตำแหน่ง IP ไปยังรัฐหรือประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดนี้ อย่างไรก็ตาม Bluesky ย้ำว่าการตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องเบา และยังคงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเด็กเป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Bluesky บล็อกผู้ใช้จากรัฐ Mississippi ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2025 ➡️ เหตุผลคือกฎหมาย HB1126 ที่บังคับให้แพลตฟอร์มต้องยืนยันอายุผู้ใช้ทุกคน ➡️ ต้องขอความยินยอมจากผู้ปกครองสำหรับผู้เยาว์ และติดตามข้อมูลของเด็ก ➡️ ศาลสูงสหรัฐฯ รับรองกฎหมายนี้เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2025 ➡️ Bluesky ระบุว่าการปฏิบัติตามกฎหมายจะเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงแพลตฟอร์มอย่างสิ้นเชิง ➡️ การบล็อก IP มีผลเฉพาะกับแอป Bluesky ที่ใช้ AT Protocol ➡️ ผู้ใช้ใน Mississippi ยังสามารถใช้ VPN เพื่อเข้าถึงแพลตฟอร์มได้ ➡️ Bluesky เคยบังคับใช้การยืนยันอายุในสหราชอาณาจักรภายใต้กฎหมาย Online Safety Act ➡️ กฎหมายของ UK บังคับเฉพาะเนื้อหาที่ “ถูกกฎหมายแต่เป็นอันตราย” ต่างจาก HB1126 ที่บังคับทุกคน ➡️ Bluesky ยืนยันว่าความปลอดภัยของเด็กยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HB1126 เป็นหนึ่งในกฎหมายควบคุมโซเชียลมีเดียที่เข้มงวดที่สุดในสหรัฐฯ ➡️ ค่าปรับสำหรับการไม่ปฏิบัติตามอาจสูงถึง $10,000 ต่อผู้ใช้ ➡️ VPN สามารถช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์และการเซ็นเซอร์ ➡️ การใช้ VPN อย่างปลอดภัยควรเลือกบริการที่ไม่มีการเก็บ log และมีการเข้ารหัสแบบ AES-256 ➡️ การยืนยันอายุผ่านระบบดิจิทัล เช่น การสแกนใบหน้า หรือการตรวจสอบบัตรเครดิต ยังเป็นประเด็นถกเถียงด้านความเป็นส่วนตัว https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/bluesky-exits-mississippi-over-age-verification-row
    WWW.TECHRADAR.COM
    Bluesky exits Mississippi over age verification row – but there may be a workaround
    Traffic from Mississippi's IP addresses is blocked, but a VPN could help you get back online
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 177 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dragonwing Q-6690 — โปรเซสเซอร์ที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “รู้ตำแหน่ง” และ “รู้ตัวตน” ของสิ่งรอบตัว

    ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์พกพาในร้านค้าหรือคลังสินค้าสามารถสแกนสินค้าทั้งชั้นโดยไม่ต้องเห็น หรือสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้โดยไม่ต้องแตะ — นั่นคือสิ่งที่ Qualcomm Dragonwing Q-6690 กำลังทำให้เป็นจริง

    นี่คือโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ฝัง RFID แบบ UHF (RAIN) ไว้ในตัวโดยตรง ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ไม่ต้องติดตั้งโมดูล RFID แยกอีกต่อไป ทำให้ขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    นอกจาก RFID แล้ว Q-6690 ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อระดับสูงสุดในปัจจุบัน ได้แก่ 5G แบบ Dual-SIM Dual-Active, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ Ultra-Wideband (UWB) ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อได้เร็วและแม่นยำในระดับเซนติเมตร

    ที่น่าสนใจคือ Qualcomm ยังออกแบบให้ Q-6690 รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ เช่น เพิ่มพลัง AI, รองรับกล้องใหม่ หรือเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์

    อุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ ค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และแม้แต่การแพทย์ โดยสามารถนำไปใช้ในระบบตรวจสอบสินค้าแบบเรียลไทม์, การชำระเงินแบบไร้สัมผัส, การติดตามทรัพย์สิน และการควบคุมการเข้าออกพื้นที่

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Qualcomm เปิดตัว Dragonwing Q-6690 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์พกพาระดับองค์กรตัวแรกที่ฝัง RFID แบบ UHF ในตัว
    รองรับการเชื่อมต่อ 5G DSDA, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ UWB
    ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์หลากหลาย เช่น handheld, POS, kiosk และ smart terminal
    RFID แบบฝังในตัวช่วยลดขนาดอุปกรณ์และต้นทุนการผลิต
    รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์
    ใช้สถาปัตยกรรม Kryo CPU แบบ octa-core ความเร็วสูงสุด 2.9 GHz
    มี AI engine ที่รองรับการประมวลผลสูงสุด 6 TOPS
    รองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และการแพทย์
    มีอายุผลิตภัณฑ์ยาวถึงปี 2034 เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในองค์กร
    ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ใหญ่ เช่น Decathlon, EssilorLuxottica และ RAIN Alliance

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RFID แบบ UHF (RAIN) สามารถอ่านแท็กได้หลายรายการพร้อมกัน แม้ไม่อยู่ในสายตา
    Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Operation และแบนด์วิดท์สูงถึง 320 MHz
    Bluetooth 6.0 ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมี latency ต่ำและประหยัดพลังงานมากขึ้น
    UWB ช่วยให้การระบุตำแหน่งแม่นยำในระดับเซนติเมตร เหมาะกับการติดตามทรัพย์สิน
    การอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน certification และ time-to-market

    https://www.techpowerup.com/340340/qualcomm-launches-worlds-first-enterprise-mobile-processor-with-fully-integrated-rfid-capabilities
    📡 Dragonwing Q-6690 — โปรเซสเซอร์ที่ไม่ใช่แค่ฉลาด แต่ “รู้ตำแหน่ง” และ “รู้ตัวตน” ของสิ่งรอบตัว ลองจินตนาการว่าอุปกรณ์พกพาในร้านค้าหรือคลังสินค้าสามารถสแกนสินค้าทั้งชั้นโดยไม่ต้องเห็น หรือสามารถตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้โดยไม่ต้องแตะ — นั่นคือสิ่งที่ Qualcomm Dragonwing Q-6690 กำลังทำให้เป็นจริง นี่คือโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลกที่ฝัง RFID แบบ UHF (RAIN) ไว้ในตัวโดยตรง ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ไม่ต้องติดตั้งโมดูล RFID แยกอีกต่อไป ทำให้ขนาดเล็กลง น้ำหนักเบาขึ้น และประหยัดพลังงานมากขึ้น นอกจาก RFID แล้ว Q-6690 ยังมาพร้อมกับการเชื่อมต่อระดับสูงสุดในปัจจุบัน ได้แก่ 5G แบบ Dual-SIM Dual-Active, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ Ultra-Wideband (UWB) ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อได้เร็วและแม่นยำในระดับเซนติเมตร ที่น่าสนใจคือ Qualcomm ยังออกแบบให้ Q-6690 รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ เช่น เพิ่มพลัง AI, รองรับกล้องใหม่ หรือเพิ่มพอร์ตเชื่อมต่อ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ อุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ ได้แก่ ค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และแม้แต่การแพทย์ โดยสามารถนำไปใช้ในระบบตรวจสอบสินค้าแบบเรียลไทม์, การชำระเงินแบบไร้สัมผัส, การติดตามทรัพย์สิน และการควบคุมการเข้าออกพื้นที่ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Qualcomm เปิดตัว Dragonwing Q-6690 ซึ่งเป็นโปรเซสเซอร์พกพาระดับองค์กรตัวแรกที่ฝัง RFID แบบ UHF ในตัว ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ 5G DSDA, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0 และ UWB ➡️ ออกแบบมาเพื่ออุปกรณ์หลากหลาย เช่น handheld, POS, kiosk และ smart terminal ➡️ RFID แบบฝังในตัวช่วยลดขนาดอุปกรณ์และต้นทุนการผลิต ➡️ รองรับการอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์แบบ over-the-air โดยไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Kryo CPU แบบ octa-core ความเร็วสูงสุด 2.9 GHz ➡️ มี AI engine ที่รองรับการประมวลผลสูงสุด 6 TOPS ➡️ รองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมค้าปลีก โลจิสติกส์ การผลิต และการแพทย์ ➡️ มีอายุผลิตภัณฑ์ยาวถึงปี 2034 เหมาะกับการใช้งานระยะยาวในองค์กร ➡️ ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ใหญ่ เช่น Decathlon, EssilorLuxottica และ RAIN Alliance ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RFID แบบ UHF (RAIN) สามารถอ่านแท็กได้หลายรายการพร้อมกัน แม้ไม่อยู่ในสายตา ➡️ Wi-Fi 7 รองรับ Multi-Link Operation และแบนด์วิดท์สูงถึง 320 MHz ➡️ Bluetooth 6.0 ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะมี latency ต่ำและประหยัดพลังงานมากขึ้น ➡️ UWB ช่วยให้การระบุตำแหน่งแม่นยำในระดับเซนติเมตร เหมาะกับการติดตามทรัพย์สิน ➡️ การอัปเกรดฟีเจอร์ผ่านซอฟต์แวร์ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้าน certification และ time-to-market https://www.techpowerup.com/340340/qualcomm-launches-worlds-first-enterprise-mobile-processor-with-fully-integrated-rfid-capabilities
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qualcomm Launches World's First Enterprise Mobile Processor with Fully Integrated RFID Capabilities
    Qualcomm Technologies, Inc. today announced a new groundbreaking processor, the Qualcomm Dragonwing Q-6690, which is the world's first enterprise mobile processor with fully integrated UHF RFID capabilities. The processor includes built-in 5G, Wi-Fi 7, Bluetooth 6.0, and ultra-wideband, supporting p...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude เข้าเบราว์เซอร์แล้ว — ฉลาดขึ้น แต่ก็ต้องระวังมากขึ้น

    Anthropic กำลังทดลองให้ Claude ทำงานในเบราว์เซอร์ Chrome ได้โดยตรง ซึ่งหมายความว่า Claude จะสามารถเห็นหน้าเว็บที่ผู้ใช้เปิดอยู่ คลิกปุ่มต่าง ๆ และกรอกฟอร์มให้ได้ทันที — ฟังดูเหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานแทนเราในโลกออนไลน์

    Claude for Chrome ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการงานประจำ เช่น จัดตารางนัดหมาย ตอบอีเมล อัปเดตรายงานค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่ทดสอบฟีเจอร์เว็บไซต์ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องออกจากเบราว์เซอร์เลย

    แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องจับตา โดยเฉพาะ “prompt injection” ซึ่งเป็นการซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในเว็บไซต์หรืออีเมล เช่น ข้อความที่มองไม่เห็นที่สั่งให้ Claude ลบไฟล์ ส่งข้อมูล หรือทำธุรกรรมโดยไม่รู้ตัว

    Anthropic ได้ทำการทดสอบแบบ red-teaming พบว่า หากไม่มีระบบป้องกัน Claude มีโอกาสถูกโจมตีสำเร็จถึง 23.6% เช่น มีอีเมลปลอมที่แอบอ้างว่าเป็นฝ่าย IT ขอให้ลบอีเมลทั้งหมดเพื่อ “ความปลอดภัย” Claude ก็ทำตามทันทีโดยไม่ถามผู้ใช้

    หลังจากเพิ่มระบบป้องกัน เช่น การยืนยันก่อนทำธุรกรรม การจำกัดเว็บไซต์ที่เข้าถึงได้ และการตรวจจับคำสั่งแปลก ๆ Claude สามารถลดอัตราการโจมตีสำเร็จลงเหลือ 11.2% และในบางรูปแบบการโจมตีเฉพาะทาง เช่น การซ่อนคำสั่งใน DOM หรือ URL ก็สามารถลดลงเหลือ 0%

    ตอนนี้ Claude for Chrome ยังอยู่ในช่วงทดลองกับผู้ใช้ Max plan จำนวน 1,000 คน โดย Anthropic ต้องการเรียนรู้จากการใช้งานจริง เพื่อพัฒนาระบบให้ปลอดภัยและพร้อมใช้งานในวงกว้างในอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Claude for Chrome เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ Claude ทำงานในเบราว์เซอร์ได้โดยตรง
    Claude สามารถคลิกปุ่ม กรอกฟอร์ม และจัดการงานต่าง ๆ ในหน้าเว็บได้
    ใช้ช่วยจัดตารางนัดหมาย ตอบอีเมล รายงานค่าใช้จ่าย และทดสอบเว็บไซต์
    อยู่ในช่วงทดลองกับผู้ใช้ Max plan จำนวน 1,000 คน
    Anthropic ทำการทดสอบ prompt injection แบบ red-teaming จำนวน 123 เคส
    พบว่าอัตราการโจมตีสำเร็จอยู่ที่ 23.6% ก่อนมีระบบป้องกัน
    หลังเพิ่มระบบป้องกัน เช่น การยืนยันก่อนทำงาน อัตราการโจมตีลดลงเหลือ 11.2%
    การโจมตีแบบซ่อนคำสั่งใน DOM หรือ URL ถูกลดลงเหลือ 0% ด้วยระบบใหม่
    Claude ถูกจำกัดไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์กลุ่มเสี่ยง เช่น การเงิน เนื้อหาผู้ใหญ่ และคริปโต
    มีระบบ classifier ตรวจจับคำสั่งแปลก ๆ และการเข้าถึงข้อมูลผิดปกติ
    Claude ยังคงขออนุญาตก่อนทำงานที่มีความเสี่ยงสูง แม้ในโหมด autonomous

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Prompt injection เป็นภัยที่เกิดจากการซ่อนคำสั่งในเนื้อหาเว็บที่ AI อ่าน
    Claude for Chrome คล้ายกับแนวคิดของ Copilot for Edge และ Gemini for Chrome
    Google เคยปรับโครงสร้าง Chrome Extension ตั้งแต่ปี 2018 เพื่อแก้ปัญหาความปลอดภัย
    Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์หลักที่ยังไม่รวม AI agent เข้ามาใช้งาน
    การใช้ AI ในเบราว์เซอร์ต้องมีการควบคุมสิทธิ์และการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

    https://www.anthropic.com/news/claude-for-chrome
    🧭 Claude เข้าเบราว์เซอร์แล้ว — ฉลาดขึ้น แต่ก็ต้องระวังมากขึ้น Anthropic กำลังทดลองให้ Claude ทำงานในเบราว์เซอร์ Chrome ได้โดยตรง ซึ่งหมายความว่า Claude จะสามารถเห็นหน้าเว็บที่ผู้ใช้เปิดอยู่ คลิกปุ่มต่าง ๆ และกรอกฟอร์มให้ได้ทันที — ฟังดูเหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวที่ทำงานแทนเราในโลกออนไลน์ Claude for Chrome ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยจัดการงานประจำ เช่น จัดตารางนัดหมาย ตอบอีเมล อัปเดตรายงานค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่ทดสอบฟีเจอร์เว็บไซต์ใหม่ ๆ โดยไม่ต้องออกจากเบราว์เซอร์เลย แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ต้องจับตา โดยเฉพาะ “prompt injection” ซึ่งเป็นการซ่อนคำสั่งอันตรายไว้ในเว็บไซต์หรืออีเมล เช่น ข้อความที่มองไม่เห็นที่สั่งให้ Claude ลบไฟล์ ส่งข้อมูล หรือทำธุรกรรมโดยไม่รู้ตัว Anthropic ได้ทำการทดสอบแบบ red-teaming พบว่า หากไม่มีระบบป้องกัน Claude มีโอกาสถูกโจมตีสำเร็จถึง 23.6% เช่น มีอีเมลปลอมที่แอบอ้างว่าเป็นฝ่าย IT ขอให้ลบอีเมลทั้งหมดเพื่อ “ความปลอดภัย” Claude ก็ทำตามทันทีโดยไม่ถามผู้ใช้ หลังจากเพิ่มระบบป้องกัน เช่น การยืนยันก่อนทำธุรกรรม การจำกัดเว็บไซต์ที่เข้าถึงได้ และการตรวจจับคำสั่งแปลก ๆ Claude สามารถลดอัตราการโจมตีสำเร็จลงเหลือ 11.2% และในบางรูปแบบการโจมตีเฉพาะทาง เช่น การซ่อนคำสั่งใน DOM หรือ URL ก็สามารถลดลงเหลือ 0% ตอนนี้ Claude for Chrome ยังอยู่ในช่วงทดลองกับผู้ใช้ Max plan จำนวน 1,000 คน โดย Anthropic ต้องการเรียนรู้จากการใช้งานจริง เพื่อพัฒนาระบบให้ปลอดภัยและพร้อมใช้งานในวงกว้างในอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Claude for Chrome เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ให้ Claude ทำงานในเบราว์เซอร์ได้โดยตรง ➡️ Claude สามารถคลิกปุ่ม กรอกฟอร์ม และจัดการงานต่าง ๆ ในหน้าเว็บได้ ➡️ ใช้ช่วยจัดตารางนัดหมาย ตอบอีเมล รายงานค่าใช้จ่าย และทดสอบเว็บไซต์ ➡️ อยู่ในช่วงทดลองกับผู้ใช้ Max plan จำนวน 1,000 คน ➡️ Anthropic ทำการทดสอบ prompt injection แบบ red-teaming จำนวน 123 เคส ➡️ พบว่าอัตราการโจมตีสำเร็จอยู่ที่ 23.6% ก่อนมีระบบป้องกัน ➡️ หลังเพิ่มระบบป้องกัน เช่น การยืนยันก่อนทำงาน อัตราการโจมตีลดลงเหลือ 11.2% ➡️ การโจมตีแบบซ่อนคำสั่งใน DOM หรือ URL ถูกลดลงเหลือ 0% ด้วยระบบใหม่ ➡️ Claude ถูกจำกัดไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์กลุ่มเสี่ยง เช่น การเงิน เนื้อหาผู้ใหญ่ และคริปโต ➡️ มีระบบ classifier ตรวจจับคำสั่งแปลก ๆ และการเข้าถึงข้อมูลผิดปกติ ➡️ Claude ยังคงขออนุญาตก่อนทำงานที่มีความเสี่ยงสูง แม้ในโหมด autonomous ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Prompt injection เป็นภัยที่เกิดจากการซ่อนคำสั่งในเนื้อหาเว็บที่ AI อ่าน ➡️ Claude for Chrome คล้ายกับแนวคิดของ Copilot for Edge และ Gemini for Chrome ➡️ Google เคยปรับโครงสร้าง Chrome Extension ตั้งแต่ปี 2018 เพื่อแก้ปัญหาความปลอดภัย ➡️ Vivaldi เป็นเบราว์เซอร์หลักที่ยังไม่รวม AI agent เข้ามาใช้งาน ➡️ การใช้ AI ในเบราว์เซอร์ต้องมีการควบคุมสิทธิ์และการตรวจสอบอย่างเข้มงวด https://www.anthropic.com/news/claude-for-chrome
    WWW.ANTHROPIC.COM
    Piloting Claude for Chrome
    Announcing a pilot test of a new Claude browser extension
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพเหตุการณ์ที่กำลังถ่ายทอดสด สามารถบันทึกภาพอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่หน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ขณะพยายามกู้ศพของนักข่าวฮอสซัม อัล-มาสรี ซึ่งเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลที่โรงพยาบาลนัสเซอร์ ในเมืองคานยูนิส ฉนวนกาซาตอนใต้


    อาชญากรรมที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อหน้าต่อตาคนทั่วโลก
    ภาพเหตุการณ์ที่กำลังถ่ายทอดสด สามารถบันทึกภาพอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่หน่วยป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน ขณะพยายามกู้ศพของนักข่าวฮอสซัม อัล-มาสรี ซึ่งเสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอลที่โรงพยาบาลนัสเซอร์ ในเมืองคานยูนิส ฉนวนกาซาตอนใต้ อาชญากรรมที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อหน้าต่อตาคนทั่วโลก
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 246 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท

    แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย

    Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC

    แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel
    หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด
    มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี
    Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ
    ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น
    Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์
    ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน
    Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง
    Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์
    การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    🎙️ Intel กับดีลพลิกเกม — เงินจากรัฐบาลสหรัฐฯ กับความหวังครั้งใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2025 Intel ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 8.9 พันล้านดอลลาร์ ผ่านโครงการ CHIPS Act และ Secure Enclave ซึ่งถูกเปลี่ยนรูปแบบจาก “เงินช่วยเหลือ” เป็น “การถือหุ้น” โดยรัฐบาลจะได้หุ้นใหม่ของ Intel จำนวน 433.3 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ $20.47 คิดเป็นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท แม้จะไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด แต่รัฐบาลยังได้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ Intel แยกธุรกิจสำคัญออกไปโดยง่าย Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของทำเนียบขาวเชื่อว่าเงินก้อนนี้จะช่วยให้ Intel “กลับมาตั้งหลักได้” และอาจเป็นต้นแบบของการสร้าง sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ เพื่อถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอื่นในอนาคต เช่น AMD หรือ TSMC แต่ Morgan Stanley กลับมองต่าง โดยชี้ว่า Intel ยังไม่มี “ทางลัด” สู่การฟื้นตัว และควรเริ่มจากการปรับปรุงแผนพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ก่อน เพราะหากไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดได้ ก็ยากที่จะลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง 14A node ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่ากังวลคือธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และมีหนี้สุทธิเกิน 20 พันล้านดอลลาร์ ทำให้การฟื้นตัวเต็มรูปแบบยังไม่แน่นอน แม้จะมีการพิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจจาก IDM 2.0 ไปเป็น “fab lite” หรือกลับไปใช้ IDM 1.0 ก็ตาม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ เปลี่ยนเงินช่วยเหลือ $8.9 พันล้าน เป็นการถือหุ้น 9.9% ใน Intel ➡️ หุ้นที่ซื้อมีราคาต่ำกว่าตลาด และไม่มีสิทธิ์บริหารหรือมีตัวแทนในบอร์ด ➡️ มีสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มอีก 5% หาก Intel ขายธุรกิจ foundry เกิน 49% ภายใน 5 ปี ➡️ Kevin Hassett มองดีลนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ sovereign wealth fund ของสหรัฐฯ ➡️ ประธานาธิบดี Trump สนับสนุนดีลนี้ และเตรียมทำข้อตกลงลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น ➡️ Morgan Stanley ชี้ว่า Intel ต้องเริ่มจากการปรับปรุง roadmap ของไมโครโปรเซสเซอร์ ➡️ ธุรกิจ foundry ของ Intel ขาดทุนกว่า $10 พันล้าน และมีหนี้สุทธิเกิน $20 พันล้าน ➡️ Intel พิจารณาเปลี่ยนโมเดลธุรกิจระหว่าง IDM 2.0, IDM 1.0 และ fab lite ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CHIPS Act เป็นกฎหมายที่ออกในยุค Biden เพื่อส่งเสริมการผลิตชิปในสหรัฐฯ ➡️ Secure Enclave เป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาชิปที่ปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางทหารและความมั่นคง ➡️ Sovereign wealth fund เป็นกองทุนที่รัฐบาลใช้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว เช่น กองทุนของนอร์เวย์ ➡️ การถือหุ้นในบริษัทเทคโนโลยีอาจเป็นกลยุทธ์ใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี https://wccftech.com/hassett-thinks-intel-will-get-its-act-together-with-cash-inflow-but-morgan-stanley-contends-theres-no-quick-fix/
    WCCFTECH.COM
    Hassett Thinks Intel Will "Get Its Act Together" With Cash Inflow, But Morgan Stanley Contends There's No "Quick Fix"
    Morgan Stanley's Joseph Moore believes that Intel's turnaround would be a lengthy affair, with no simple remedies available.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานในฝันหรือกับดัก? เมื่อข้อเสนอจากรัสเซียกลายเป็นภัยเงียบต่อหญิงสาวแอฟริกัน

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โฆษณางานจากรัสเซียที่ดูหรูหราและน่าดึงดูดได้แพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียในแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายคือหญิงสาวอายุระหว่าง 18–22 ปี ข้อเสนอเหล่านี้มาพร้อมคำสัญญาเรื่องเงินเดือนสูง ที่พักฟรี และโอกาสในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความสวยงามนั้น กลับมีรายงานจากหลายองค์กรวิจัยว่า ผู้หญิงเหล่านี้ถูกส่งไปทำงานในโรงงานประกอบโดรน Shahed 136 ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ในสงครามยูเครน และโรงงานเหล่านี้ถูกโจมตีอยู่บ่อยครั้ง

    องค์กรที่อยู่เบื้องหลังการรับสมัครคือ Alabuga Start ซึ่งเป็นหน่วยงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Alabuga ของรัสเซีย โดยมีการขยายการรับสมัครไปยังประเทศในแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี 2023

    รัฐบาลแอฟริกาใต้ โดยกระทรวงสตรี เยาวชน และผู้พิการ ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และขอให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนหญิง ระมัดระวังอย่างยิ่ง

    นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยว่าองค์กรในเครือ BRICS บางแห่งในแอฟริกาใต้ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อส่งแรงงานกว่า 5,600 คนไปยัง Alabuga และบริษัทก่อสร้างในรัสเซีย ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวลว่าอาจมีการแอบแฝงเป้าหมายทางทหาร

    กระทรวงต่างประเทศของแอฟริกาใต้ยืนยันว่ากำลังสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง และได้ช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งกลับประเทศหลังจากเธอพบว่าข้อเสนอที่ได้รับไม่เป็นจริง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กระทรวงสตรีของแอฟริกาใต้เตือนประชาชนให้ระวังข้อเสนอทำงานในรัสเซีย
    ข้อเสนอเหล่านี้มาจาก Alabuga Start ซึ่งเป็นหน่วยงานรับสมัครในเขตเศรษฐกิจพิเศษของรัสเซีย
    กลุ่มเป้าหมายคือหญิงสาวอายุ 18–22 ปีจากแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    มีรายงานว่าแรงงานหญิงถูกส่งไปทำงานในโรงงานประกอบโดรน Shahed 136
    โรงงานเหล่านี้ถูกโจมตีโดยยูเครนเป็นประจำ
    กระทรวงต่างประเทศแอฟริกาใต้กำลังสอบสวนเรื่องนี้ และได้ช่วยเหลือหญิงสาวกลับประเทศ
    รัฐบาลรัสเซียปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานหรือละเมิดสิทธิ
    ข้อเสนอเหล่านี้ถูกโปรโมทผ่านอินฟลูเอนเซอร์ใน Instagram และ TikTok
    BRICS Women’s Business Alliance ในแอฟริกาใต้ลงนามข้อตกลงส่งแรงงาน 5,600 คนไปยังรัสเซีย
    ปัญหาการว่างงานในแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงอายุต่ำกว่า 34 ปี สูงถึง 48%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Shahed 136 เป็นโดรนโจมตีที่รัสเซียใช้ในสงครามยูเครน และมีต้นแบบจากอิหร่าน
    Alabuga เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ผลิตอาวุธและเทคโนโลยีทางทหาร
    รัสเซียเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการสูญเสียประชากรชายในสงคราม
    การใช้ BRICS เป็นเครื่องมือในการรับสมัครแรงงานอาจเป็นการบิดเบือนวัตถุประสงค์ขององค์กร
    การรับสมัครแรงงานหญิงเพื่อประกอบอาวุธอาจละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/26/south-africa-womens-ministry-warns-on-russian-job-offers
    🎙️ งานในฝันหรือกับดัก? เมื่อข้อเสนอจากรัสเซียกลายเป็นภัยเงียบต่อหญิงสาวแอฟริกัน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โฆษณางานจากรัสเซียที่ดูหรูหราและน่าดึงดูดได้แพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียในแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายคือหญิงสาวอายุระหว่าง 18–22 ปี ข้อเสนอเหล่านี้มาพร้อมคำสัญญาเรื่องเงินเดือนสูง ที่พักฟรี และโอกาสในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความสวยงามนั้น กลับมีรายงานจากหลายองค์กรวิจัยว่า ผู้หญิงเหล่านี้ถูกส่งไปทำงานในโรงงานประกอบโดรน Shahed 136 ซึ่งเป็นอาวุธที่ใช้ในสงครามยูเครน และโรงงานเหล่านี้ถูกโจมตีอยู่บ่อยครั้ง องค์กรที่อยู่เบื้องหลังการรับสมัครคือ Alabuga Start ซึ่งเป็นหน่วยงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Alabuga ของรัสเซีย โดยมีการขยายการรับสมัครไปยังประเทศในแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปี 2023 รัฐบาลแอฟริกาใต้ โดยกระทรวงสตรี เยาวชน และผู้พิการ ได้ออกแถลงการณ์เตือนว่า ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และขอให้ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนหญิง ระมัดระวังอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยว่าองค์กรในเครือ BRICS บางแห่งในแอฟริกาใต้ได้ลงนามข้อตกลงเพื่อส่งแรงงานกว่า 5,600 คนไปยัง Alabuga และบริษัทก่อสร้างในรัสเซีย ซึ่งยิ่งเพิ่มความกังวลว่าอาจมีการแอบแฝงเป้าหมายทางทหาร กระทรวงต่างประเทศของแอฟริกาใต้ยืนยันว่ากำลังสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง และได้ช่วยเหลือหญิงสาวคนหนึ่งกลับประเทศหลังจากเธอพบว่าข้อเสนอที่ได้รับไม่เป็นจริง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กระทรวงสตรีของแอฟริกาใต้เตือนประชาชนให้ระวังข้อเสนอทำงานในรัสเซีย ➡️ ข้อเสนอเหล่านี้มาจาก Alabuga Start ซึ่งเป็นหน่วยงานรับสมัครในเขตเศรษฐกิจพิเศษของรัสเซีย ➡️ กลุ่มเป้าหมายคือหญิงสาวอายุ 18–22 ปีจากแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ➡️ มีรายงานว่าแรงงานหญิงถูกส่งไปทำงานในโรงงานประกอบโดรน Shahed 136 ➡️ โรงงานเหล่านี้ถูกโจมตีโดยยูเครนเป็นประจำ ➡️ กระทรวงต่างประเทศแอฟริกาใต้กำลังสอบสวนเรื่องนี้ และได้ช่วยเหลือหญิงสาวกลับประเทศ ➡️ รัฐบาลรัสเซียปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานหรือละเมิดสิทธิ ➡️ ข้อเสนอเหล่านี้ถูกโปรโมทผ่านอินฟลูเอนเซอร์ใน Instagram และ TikTok ➡️ BRICS Women’s Business Alliance ในแอฟริกาใต้ลงนามข้อตกลงส่งแรงงาน 5,600 คนไปยังรัสเซีย ➡️ ปัญหาการว่างงานในแอฟริกาใต้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงอายุต่ำกว่า 34 ปี สูงถึง 48% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Shahed 136 เป็นโดรนโจมตีที่รัสเซียใช้ในสงครามยูเครน และมีต้นแบบจากอิหร่าน ➡️ Alabuga เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ผลิตอาวุธและเทคโนโลยีทางทหาร ➡️ รัสเซียเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานจากการสูญเสียประชากรชายในสงคราม ➡️ การใช้ BRICS เป็นเครื่องมือในการรับสมัครแรงงานอาจเป็นการบิดเบือนวัตถุประสงค์ขององค์กร ➡️ การรับสมัครแรงงานหญิงเพื่อประกอบอาวุธอาจละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/26/south-africa-womens-ministry-warns-on-russian-job-offers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    South Africa Women’s Ministry warns on Russian job offers
    "We are extremely worried," he said. "Influencers have been mobilised to promote these opportunities that look very good on paper."
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • จาก Pirate Bay สู่ 4chan — เมื่อรัฐบาลใช้ “ตัวอย่างร้าย” เพื่อเปิดทางสู่การเซ็นเซอร์

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 รัฐบาลสหราชอาณาจักรใช้เว็บไซต์ The Pirate Bay เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันการบล็อกเว็บละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่า TPB เป็นเว็บที่ไม่ให้ความร่วมมือและมีชื่อเสียงในด้านการละเมิดอย่างชัดเจน

    วันนี้ Ofcom กำลังใช้แนวทางเดียวกันกับเว็บไซต์ 4chan — เว็บบอร์ดที่มีชื่อเสียงในด้านเนื้อหาสุดโต่งและไม่ผ่านการควบคุม โดยอ้างว่า 4chan ไม่ให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลตามที่กฎหมาย Online Safety Act กำหนด เช่น การประเมินความเสี่ยงของเนื้อหาผิดกฎหมาย และการป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม

    Ofcom ได้ส่งคำร้องขอข้อมูลไปยัง 4chan หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงออก “หนังสือแจ้งการละเมิดเบื้องต้น” พร้อมขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000 และอาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร

    แต่ 4chan ไม่ใช่เว็บในอังกฤษ — มันเป็นบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีทนายความพร้อมตอบโต้ โดยอ้างสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซง

    นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการบล็อกเว็บ แต่เป็นการปะทะกันระหว่าง “สิทธิในการแสดงออก” กับ “การควบคุมเนื้อหา” ข้ามพรมแดน และอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ofcom ใช้กฎหมาย Online Safety Act เพื่อบังคับให้เว็บไซต์ต่างประเทศส่งข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาผิดกฎหมาย
    4chan ถูกขอให้ส่งรายงานการประเมินความเสี่ยงของเนื้อหา แต่ไม่ตอบกลับ
    Ofcom ออกหนังสือแจ้งการละเมิด และขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000
    หากยังไม่ปฏิบัติตาม อาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร
    4chan เป็นบริษัทในสหรัฐฯ ไม่มีสำนักงานหรือทรัพย์สินในอังกฤษ
    ทนายของ 4chan อ้างว่าการบังคับใช้กฎหมายอังกฤษในสหรัฐฯ เป็นการละเมิดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการร้องขอให้ใช้มาตรการทางการทูตและกฎหมายเพื่อปกป้องบริษัทอเมริกัน
    กรณีนี้คล้ายกับการบล็อก The Pirate Bay ในปี 2012 ซึ่งถูกใช้เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันนโยบาย
    Ofcom มีอำนาจในการบล็อกเว็บไซต์โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน
    การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เว็บละเมิดลิขสิทธิ์อาจถูกมองว่าเป็นการเซ็นเซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Online Safety Act กำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเนื้อหา NSFW
    กฎหมายนี้มีผลกระทบต่อหลายเว็บไซต์ รวมถึงเว็บโป๊และเว็บบอร์ดที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยง
    รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ก็มีการออกกฎหมายคล้ายกันเกี่ยวกับการตรวจสอบอายุ
    การบังคับใช้กฎหมายข้ามประเทศมีความซับซ้อน และมักถูกโต้แย้งในศาลสหรัฐฯ
    การบล็อกเว็บไซต์อาจทำให้ผู้ใช้หันไปใช้ VPN หรือแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุม

    https://torrentfreak.com/uk-govt-finds-ideal-pirate-bay-poster-boy-to-sell-blocking-of-non-pirate-sites-250824/
    🎙️ จาก Pirate Bay สู่ 4chan — เมื่อรัฐบาลใช้ “ตัวอย่างร้าย” เพื่อเปิดทางสู่การเซ็นเซอร์ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 รัฐบาลสหราชอาณาจักรใช้เว็บไซต์ The Pirate Bay เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันการบล็อกเว็บละเมิดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ โดยอ้างว่า TPB เป็นเว็บที่ไม่ให้ความร่วมมือและมีชื่อเสียงในด้านการละเมิดอย่างชัดเจน วันนี้ Ofcom กำลังใช้แนวทางเดียวกันกับเว็บไซต์ 4chan — เว็บบอร์ดที่มีชื่อเสียงในด้านเนื้อหาสุดโต่งและไม่ผ่านการควบคุม โดยอ้างว่า 4chan ไม่ให้ความร่วมมือในการส่งข้อมูลตามที่กฎหมาย Online Safety Act กำหนด เช่น การประเมินความเสี่ยงของเนื้อหาผิดกฎหมาย และการป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม Ofcom ได้ส่งคำร้องขอข้อมูลไปยัง 4chan หลายครั้ง แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงออก “หนังสือแจ้งการละเมิดเบื้องต้น” พร้อมขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000 และอาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร แต่ 4chan ไม่ใช่เว็บในอังกฤษ — มันเป็นบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีทนายความพร้อมตอบโต้ โดยอ้างสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ และขอให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซง นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการบล็อกเว็บ แต่เป็นการปะทะกันระหว่าง “สิทธิในการแสดงออก” กับ “การควบคุมเนื้อหา” ข้ามพรมแดน และอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ofcom ใช้กฎหมาย Online Safety Act เพื่อบังคับให้เว็บไซต์ต่างประเทศส่งข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาผิดกฎหมาย ➡️ 4chan ถูกขอให้ส่งรายงานการประเมินความเสี่ยงของเนื้อหา แต่ไม่ตอบกลับ ➡️ Ofcom ออกหนังสือแจ้งการละเมิด และขู่ว่าจะปรับวันละ £20,000 ➡️ หากยังไม่ปฏิบัติตาม อาจขอคำสั่งศาลให้บล็อกเว็บไซต์ทั้งเว็บในสหราชอาณาจักร ➡️ 4chan เป็นบริษัทในสหรัฐฯ ไม่มีสำนักงานหรือทรัพย์สินในอังกฤษ ➡️ ทนายของ 4chan อ้างว่าการบังคับใช้กฎหมายอังกฤษในสหรัฐฯ เป็นการละเมิดสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้รับการร้องขอให้ใช้มาตรการทางการทูตและกฎหมายเพื่อปกป้องบริษัทอเมริกัน ➡️ กรณีนี้คล้ายกับการบล็อก The Pirate Bay ในปี 2012 ซึ่งถูกใช้เป็น “ตัวอย่าง” เพื่อผลักดันนโยบาย ➡️ Ofcom มีอำนาจในการบล็อกเว็บไซต์โดยไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชน ➡️ การบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เว็บละเมิดลิขสิทธิ์อาจถูกมองว่าเป็นการเซ็นเซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Online Safety Act กำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเนื้อหา NSFW ➡️ กฎหมายนี้มีผลกระทบต่อหลายเว็บไซต์ รวมถึงเว็บโป๊และเว็บบอร์ดที่มีเนื้อหาสุ่มเสี่ยง ➡️ รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯ ก็มีการออกกฎหมายคล้ายกันเกี่ยวกับการตรวจสอบอายุ ➡️ การบังคับใช้กฎหมายข้ามประเทศมีความซับซ้อน และมักถูกโต้แย้งในศาลสหรัฐฯ ➡️ การบล็อกเว็บไซต์อาจทำให้ผู้ใช้หันไปใช้ VPN หรือแพลตฟอร์มที่ไม่ถูกควบคุม https://torrentfreak.com/uk-govt-finds-ideal-pirate-bay-poster-boy-to-sell-blocking-of-non-pirate-sites-250824/
    TORRENTFREAK.COM
    Is 4chan the Perfect ‘Pirate Bay’ Poster Child to Justify Wider UK Site-Blocking?
    The UK may need a Pirate Bay-style poster child to gain public support for national blocking of non-pirate sites under the Online Safety Act.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • OKLCH — สีที่เข้าใจสายตาคนมากกว่าที่เคย

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบปุ่มบนเว็บไซต์ และอยากให้แต่ละปุ่มมีสีต่างกัน แต่ยังคง “ความรู้สึก” ที่เหมือนกัน — ไม่ใช่บางปุ่มดูสว่างเกินไป บางปุ่มดูหม่น หรือบางปุ่มดูโดดเด่นเกินหน้าเพื่อน

    นั่นคือปัญหาที่ OKLCH เข้ามาแก้ได้อย่างเฉียบขาด

    OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ “perceptually uniform” หรือก็คือ สีที่เปลี่ยนไปอย่างสม่ำเสมอตามการรับรู้ของสายตามนุษย์ ไม่ใช่แค่ตัวเลขในระบบ RGB หรือ HSL ที่บางครั้งเปลี่ยนแค่ 5 หน่วย แต่กลับทำให้สีดูเปลี่ยนไปมากเกินคาด

    OKLCH ประกอบด้วย 3 ค่า:
    - Lightness (L): ความสว่าง
    - Chroma (C): ความเข้มของสี
    - Hue (H): เฉดสี

    เมื่อคุณเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C ไว้ สีที่ได้จะมีความสว่างและความเข้มเท่ากัน ต่างกันแค่เฉด — ทำให้สร้างชุดสีที่ “รู้สึกเท่ากัน” ได้ง่ายมาก

    นอกจากนี้ OKLCH ยังช่วยให้การสร้าง gradients ดูนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติกว่า RGB เพราะมันคำนวณจากความสว่าง ความเข้ม และเฉด ไม่ใช่แค่ค่าของแดง เขียว น้ำเงิน

    และที่สำคัญ OKLCH รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งเป็นขอบเขตสีที่กว้างกว่าสำหรับหน้าจอสมัยใหม่ เช่น MacBook หรือ iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สีดูสดและแม่นยำยิ่งขึ้น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ perceptually uniform
    ประกอบด้วย 3 ค่า: Lightness, Chroma และ Hue
    การเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C จะได้ชุดสีที่มีความรู้สึกเท่ากัน
    OKLCH ช่วยให้ gradients ดูนุ่มนวลและไม่เกิดสีแปลกกลางทาง
    รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่าสี sRGB
    OKLCH ถูกนำมาใช้ใน CSS Color Module Level 4 และรองรับในเบราว์เซอร์สมัยใหม่
    สามารถใช้ @supports ใน CSS เพื่อ fallback ไปยัง sRGB หากเบราว์เซอร์ไม่รองรับ
    มีเครื่องมือช่วยสร้างพาเลตสี OKLCH เช่น oklch.fyi
    OKLCH ใช้พื้นฐานจาก OKLab ซึ่งเป็นโมเดลสีที่แม่นยำต่อการรับรู้ของมนุษย์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    OKLCH ถูกเสนอโดย Björn Ottosson ในปี 2020 เพื่อแก้ปัญหาความไม่สม่ำเสมอของสีในระบบเดิม
    Display-P3 มีขอบเขตสีมากกว่า sRGB ถึง 50% โดยเฉพาะในเฉดแดงและเขียว
    OKLCH สามารถกำหนดค่าที่อยู่นอกขอบเขตของหน้าจอจริงได้ แต่จะถูก “clip” ให้ใกล้เคียงที่สุด
    การใช้ OKLCH ช่วยให้การออกแบบเว็บเข้าถึงผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้ดีขึ้น

    https://jakub.kr/components/oklch-colors
    🎙️ OKLCH — สีที่เข้าใจสายตาคนมากกว่าที่เคย ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกแบบปุ่มบนเว็บไซต์ และอยากให้แต่ละปุ่มมีสีต่างกัน แต่ยังคง “ความรู้สึก” ที่เหมือนกัน — ไม่ใช่บางปุ่มดูสว่างเกินไป บางปุ่มดูหม่น หรือบางปุ่มดูโดดเด่นเกินหน้าเพื่อน นั่นคือปัญหาที่ OKLCH เข้ามาแก้ได้อย่างเฉียบขาด OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ “perceptually uniform” หรือก็คือ สีที่เปลี่ยนไปอย่างสม่ำเสมอตามการรับรู้ของสายตามนุษย์ ไม่ใช่แค่ตัวเลขในระบบ RGB หรือ HSL ที่บางครั้งเปลี่ยนแค่ 5 หน่วย แต่กลับทำให้สีดูเปลี่ยนไปมากเกินคาด OKLCH ประกอบด้วย 3 ค่า: - Lightness (L): ความสว่าง - Chroma (C): ความเข้มของสี - Hue (H): เฉดสี เมื่อคุณเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C ไว้ สีที่ได้จะมีความสว่างและความเข้มเท่ากัน ต่างกันแค่เฉด — ทำให้สร้างชุดสีที่ “รู้สึกเท่ากัน” ได้ง่ายมาก นอกจากนี้ OKLCH ยังช่วยให้การสร้าง gradients ดูนุ่มนวลและเป็นธรรมชาติกว่า RGB เพราะมันคำนวณจากความสว่าง ความเข้ม และเฉด ไม่ใช่แค่ค่าของแดง เขียว น้ำเงิน และที่สำคัญ OKLCH รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งเป็นขอบเขตสีที่กว้างกว่าสำหรับหน้าจอสมัยใหม่ เช่น MacBook หรือ iPhone รุ่นใหม่ ทำให้สีดูสดและแม่นยำยิ่งขึ้น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ OKLCH เป็นระบบสีใหม่ใน CSS ที่ออกแบบมาให้ perceptually uniform ➡️ ประกอบด้วย 3 ค่า: Lightness, Chroma และ Hue ➡️ การเปลี่ยนเฉพาะ Hue โดยคงค่า L และ C จะได้ชุดสีที่มีความรู้สึกเท่ากัน ➡️ OKLCH ช่วยให้ gradients ดูนุ่มนวลและไม่เกิดสีแปลกกลางทาง ➡️ รองรับสีใน Display-P3 ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่าสี sRGB ➡️ OKLCH ถูกนำมาใช้ใน CSS Color Module Level 4 และรองรับในเบราว์เซอร์สมัยใหม่ ➡️ สามารถใช้ @supports ใน CSS เพื่อ fallback ไปยัง sRGB หากเบราว์เซอร์ไม่รองรับ ➡️ มีเครื่องมือช่วยสร้างพาเลตสี OKLCH เช่น oklch.fyi ➡️ OKLCH ใช้พื้นฐานจาก OKLab ซึ่งเป็นโมเดลสีที่แม่นยำต่อการรับรู้ของมนุษย์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ OKLCH ถูกเสนอโดย Björn Ottosson ในปี 2020 เพื่อแก้ปัญหาความไม่สม่ำเสมอของสีในระบบเดิม ➡️ Display-P3 มีขอบเขตสีมากกว่า sRGB ถึง 50% โดยเฉพาะในเฉดแดงและเขียว ➡️ OKLCH สามารถกำหนดค่าที่อยู่นอกขอบเขตของหน้าจอจริงได้ แต่จะถูก “clip” ให้ใกล้เคียงที่สุด ➡️ การใช้ OKLCH ช่วยให้การออกแบบเว็บเข้าถึงผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นได้ดีขึ้น https://jakub.kr/components/oklch-colors
    JAKUB.KR
    What are OKLCH colors?
    Article about the OKLCH color model.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอลโจมตีโรงพยาบาลนาสเซอร์ในทางใต้ของฉนวนกาซา สังหารผู้คนไปอีกอย่างน้อย 20 ราย ในนั้นรวมถึงสื่อมวลชน 5 คน ที่ทำงานให้กับรอยเตอร์, เอพี, อัลจาซีราห์และอื่นๆ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000081204

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    อิสราเอลโจมตีโรงพยาบาลนาสเซอร์ในทางใต้ของฉนวนกาซา สังหารผู้คนไปอีกอย่างน้อย 20 ราย ในนั้นรวมถึงสื่อมวลชน 5 คน ที่ทำงานให้กับรอยเตอร์, เอพี, อัลจาซีราห์และอื่นๆ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000081204 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 580 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักพันธุศาสตร์ Krutovsky กล่าวว่าอาหาร GMO สามารถแทรกซึมเข้าสู่จีโนมมนุษย์ได้

    การศึกษาการถ่ายโอนยีนในแนวนอน (วิธีการที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศระหว่างพืชและสัตว์ต่างชนิดกัน) แสดงให้เห็นว่ามนุษย์อาจมีกลไกการถ่ายโอนดังกล่าว

    นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนจีโนมต่างๆ ที่ได้จากอาหารไม่เพียงแต่สามารถเข้าสู่กระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารเท่านั้น แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผ่านทางเลือด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของยีนในร่างกายอีกด้วย

    เขากล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญต้องการทราบว่าชิ้นส่วน RNA สั้นๆ เช่น ข้าวโพดหรือเห็ดที่ยังไม่สลายตัวอย่างสมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและทำปฏิกิริยากับ RNA ของมนุษย์ได้หรือไม่? งานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้

    หากการแทรกซึมดังกล่าวเกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผลกระทบต่อรุ่นต่อๆ ไป

    ..............................................................................

    ..ไฟเซอร์อาจแอบใส่เอนไซม์ GMO ลงในชีสอเมริกัน 90% อย่างเงียบๆ — แต่กลับไม่มีอยู่บนฉลาก
    🧬 นักพันธุศาสตร์ Krutovsky กล่าวว่าอาหาร GMO สามารถแทรกซึมเข้าสู่จีโนมมนุษย์ได้ การศึกษาการถ่ายโอนยีนในแนวนอน (วิธีการที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศระหว่างพืชและสัตว์ต่างชนิดกัน) แสดงให้เห็นว่ามนุษย์อาจมีกลไกการถ่ายโอนดังกล่าว นั่นหมายความว่าชิ้นส่วนจีโนมต่างๆ ที่ได้จากอาหารไม่เพียงแต่สามารถเข้าสู่กระเพาะอาหารพร้อมกับอาหารเท่านั้น แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่เซลล์ผ่านทางเลือด ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของยีนในร่างกายอีกด้วย เขากล่าวว่า ผู้เชี่ยวชาญต้องการทราบว่าชิ้นส่วน RNA สั้นๆ เช่น ข้าวโพดหรือเห็ดที่ยังไม่สลายตัวอย่างสมบูรณ์ในกระเพาะอาหาร สามารถเข้าสู่กระแสเลือดและทำปฏิกิริยากับ RNA ของมนุษย์ได้หรือไม่? งานวิจัยหลายชิ้นพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำได้ หากการแทรกซึมดังกล่าวเกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผลกระทบต่อรุ่นต่อๆ ไป .............................................................................. ..ไฟเซอร์อาจแอบใส่เอนไซม์ GMO ลงในชีสอเมริกัน 90% อย่างเงียบๆ — แต่กลับไม่มีอยู่บนฉลาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jetson AGX Thor – mini PC ที่แรงเกินตัวสำหรับยุค AI

    ถ้าคุณเห็นเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนโต๊ะ คุณอาจคิดว่ามันคือการ์ดจอ RTX รุ่นใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ Jetson AGX Thor — mini PC ที่ Nvidia ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับสูงในรูปแบบ edge computing โดยเฉพาะ

    หัวใจของมันคือ Jetson T5000 system-on-module ที่ใช้ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ซึ่งเทียบเท่ากับระบบ data center ขนาดใหญ่

    นอกจาก GPU ยังมี CPU แบบ 14-core Arm Neoverse-V3AE และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB พร้อมระบบเชื่อมต่อระดับสูง เช่น 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB และพอร์ต HDMI/DisplayPort สำหรับงานวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีม

    แม้จะมีขนาดเพียง 24 x 11 x 5.6 ซม. แต่ Jetson AGX Thor ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในหุ่นยนต์, ระบบ AI ด้านภาพ, และการประมวลผลเซนเซอร์จำนวนมาก โดยรองรับซอฟต์แวร์จากแพลตฟอร์ม Isaac, Metropolis และ Holoscan ของ Nvidia

    สำหรับผู้ที่ต้องการรุ่นเล็กลง ยังมี Jetson T4000 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งให้พลัง 1200 TFLOPS และใช้ GPU 1536 คอร์ พร้อมแรม 64GB — เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพแต่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia เปิดตัว Jetson AGX Thor Developer Kit พร้อมโมดูล Jetson T5000
    ใช้ GPU Blackwell 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว
    ให้พลังประมวลผลสูงสุด 2070 TFLOPS (FP4, Sparse)
    มี CPU Arm Neoverse-V3AE 14 คอร์ และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB
    รองรับการเชื่อมต่อ 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB
    รองรับวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีมพร้อมพอร์ต HDMI 2.0b และ DisplayPort 1.4a
    ขนาดเครื่อง 243.19 x 112.4 x 56.88 มม. ใหญ่กว่าพีซีธุรกิจทั่วไปแต่ยังถือว่าเล็ก
    รองรับซอฟต์แวร์ Isaac, Metropolis และ Holoscan สำหรับงาน AI
    มีรุ่นเล็ก Jetson T4000 อยู่ระหว่างพัฒนา ให้พลัง 1200 TFLOPS และแรม 64GB
    เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $3,499 โดยจะเริ่มส่งมอบวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    สถาปัตยกรรม Blackwell ถูกออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ
    Jetson AGX Thor ใช้เทคโนโลยี Multi-Instance GPU เพื่อแบ่งงานได้หลายส่วนพร้อมกัน
    Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยออกแบบชิประดับนี้
    การใช้ LPDDR5X ช่วยลด latency และเพิ่ม bandwidth สำหรับงาน AI
    Jetson AGX Thor เหมาะกับงาน edge robotics, autonomous systems และการประมวลผลภาพทางการแพทย์
    Nvidia วางตำแหน่ง Thor ไว้คู่กับ DGX Spark สำหรับงาน AI แบบ desktop และ edge

    https://www.techradar.com/pro/nvidia-quietly-unveiled-its-fastest-mini-pc-ever-capable-of-topping-2070-tflops-and-if-you-squint-enough-you-might-even-think-it-looks-like-an-rtx-5090
    🎙️ Jetson AGX Thor – mini PC ที่แรงเกินตัวสำหรับยุค AI ถ้าคุณเห็นเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี้วางอยู่บนโต๊ะ คุณอาจคิดว่ามันคือการ์ดจอ RTX รุ่นใหม่ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ Jetson AGX Thor — mini PC ที่ Nvidia ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI ระดับสูงในรูปแบบ edge computing โดยเฉพาะ หัวใจของมันคือ Jetson T5000 system-on-module ที่ใช้ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ให้พลังประมวลผลสูงถึง 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ซึ่งเทียบเท่ากับระบบ data center ขนาดใหญ่ นอกจาก GPU ยังมี CPU แบบ 14-core Arm Neoverse-V3AE และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB พร้อมระบบเชื่อมต่อระดับสูง เช่น 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB และพอร์ต HDMI/DisplayPort สำหรับงานวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีม แม้จะมีขนาดเพียง 24 x 11 x 5.6 ซม. แต่ Jetson AGX Thor ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในหุ่นยนต์, ระบบ AI ด้านภาพ, และการประมวลผลเซนเซอร์จำนวนมาก โดยรองรับซอฟต์แวร์จากแพลตฟอร์ม Isaac, Metropolis และ Holoscan ของ Nvidia สำหรับผู้ที่ต้องการรุ่นเล็กลง ยังมี Jetson T4000 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งให้พลัง 1200 TFLOPS และใช้ GPU 1536 คอร์ พร้อมแรม 64GB — เหมาะสำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพแต่มีข้อจำกัดด้านพลังงาน 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia เปิดตัว Jetson AGX Thor Developer Kit พร้อมโมดูล Jetson T5000 ➡️ ใช้ GPU Blackwell 2560 คอร์ และ Tensor Core รุ่นที่ 5 จำนวน 96 ตัว ➡️ ให้พลังประมวลผลสูงสุด 2070 TFLOPS (FP4, Sparse) ➡️ มี CPU Arm Neoverse-V3AE 14 คอร์ และแรม LPDDR5X ขนาด 128GB ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ 4 ช่อง 25GbE, WiFi 6E, NVMe SSD 1TB ➡️ รองรับวิดีโอ 4K และ 8K แบบหลายสตรีมพร้อมพอร์ต HDMI 2.0b และ DisplayPort 1.4a ➡️ ขนาดเครื่อง 243.19 x 112.4 x 56.88 มม. ใหญ่กว่าพีซีธุรกิจทั่วไปแต่ยังถือว่าเล็ก ➡️ รองรับซอฟต์แวร์ Isaac, Metropolis และ Holoscan สำหรับงาน AI ➡️ มีรุ่นเล็ก Jetson T4000 อยู่ระหว่างพัฒนา ให้พลัง 1200 TFLOPS และแรม 64GB ➡️ เปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $3,499 โดยจะเริ่มส่งมอบวันที่ 20 พฤศจิกายน 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ สถาปัตยกรรม Blackwell ถูกออกแบบมาเพื่องาน AI และ HPC โดยเฉพาะ ➡️ Jetson AGX Thor ใช้เทคโนโลยี Multi-Instance GPU เพื่อแบ่งงานได้หลายส่วนพร้อมกัน ➡️ Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยออกแบบชิประดับนี้ ➡️ การใช้ LPDDR5X ช่วยลด latency และเพิ่ม bandwidth สำหรับงาน AI ➡️ Jetson AGX Thor เหมาะกับงาน edge robotics, autonomous systems และการประมวลผลภาพทางการแพทย์ ➡️ Nvidia วางตำแหน่ง Thor ไว้คู่กับ DGX Spark สำหรับงาน AI แบบ desktop และ edge https://www.techradar.com/pro/nvidia-quietly-unveiled-its-fastest-mini-pc-ever-capable-of-topping-2070-tflops-and-if-you-squint-enough-you-might-even-think-it-looks-like-an-rtx-5090
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 95 – เมื่อระบบปฏิบัติการกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งยุค

    ย้อนกลับไปในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 โลกไอทีได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน — การเปิดตัวระบบปฏิบัติการที่กลายเป็น “งานอีเวนต์ระดับชาติ” ผู้คนต่อแถวหน้าร้านคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อรอซื้อ Windows 95 เหมือนกับรอคอนเสิร์ตหรือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์

    Microsoft ทุ่มงบประมาณกว่า $300 ล้านในการโปรโมต พร้อมแคมเปญ “Start Me Up” ที่ใช้เพลงของ Rolling Stones และการแสดงแสงสีที่ Empire State Building และ CN Tower เพื่อสร้างกระแสให้กับ “ปุ่ม Start” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Windows ไปตลอดกาล

    Windows 95 ไม่ใช่แค่การอัปเกรดจาก Windows 3.1 แต่เป็นการรวม DOS และ Windows เข้าด้วยกัน พร้อม UI ใหม่ที่มี taskbar, plug and play, การรองรับชื่อไฟล์ยาว และระบบ multitasking แบบ 32-bit ที่เปลี่ยนวิธีใช้งานคอมพิวเตอร์ไปโดยสิ้นเชิง

    แม้จะต้องใช้แผ่น floppy ถึง 13–15 แผ่นในการติดตั้ง และมีราคาสูงถึง $209 (เทียบเท่าเกือบ $400 ในปี 2025) แต่ยอดขายก็พุ่งถึง $720 ล้านในวันแรก และทะลุ 40 ล้านชุดภายในปีเดียว

    Windows 95 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง ด้วยการรวม MSN และรองรับเบราว์เซอร์ Netscape และ Internet Explorer รุ่นแรก ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น

    https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-windows-95-release-was-30-years-ago-today-the-first-time-software-was-a-pop-culture-smash
    🎙️ Windows 95 – เมื่อระบบปฏิบัติการกลายเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งยุค ย้อนกลับไปในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 โลกไอทีได้เห็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน — การเปิดตัวระบบปฏิบัติการที่กลายเป็น “งานอีเวนต์ระดับชาติ” ผู้คนต่อแถวหน้าร้านคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เที่ยงคืนเพื่อรอซื้อ Windows 95 เหมือนกับรอคอนเสิร์ตหรือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ Microsoft ทุ่มงบประมาณกว่า $300 ล้านในการโปรโมต พร้อมแคมเปญ “Start Me Up” ที่ใช้เพลงของ Rolling Stones และการแสดงแสงสีที่ Empire State Building และ CN Tower เพื่อสร้างกระแสให้กับ “ปุ่ม Start” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Windows ไปตลอดกาล Windows 95 ไม่ใช่แค่การอัปเกรดจาก Windows 3.1 แต่เป็นการรวม DOS และ Windows เข้าด้วยกัน พร้อม UI ใหม่ที่มี taskbar, plug and play, การรองรับชื่อไฟล์ยาว และระบบ multitasking แบบ 32-bit ที่เปลี่ยนวิธีใช้งานคอมพิวเตอร์ไปโดยสิ้นเชิง แม้จะต้องใช้แผ่น floppy ถึง 13–15 แผ่นในการติดตั้ง และมีราคาสูงถึง $209 (เทียบเท่าเกือบ $400 ในปี 2025) แต่ยอดขายก็พุ่งถึง $720 ล้านในวันแรก และทะลุ 40 ล้านชุดภายในปีเดียว Windows 95 ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง ด้วยการรวม MSN และรองรับเบราว์เซอร์ Netscape และ Internet Explorer รุ่นแรก ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปเริ่มเข้าถึงโลกออนไลน์ได้ง่ายขึ้น https://www.tomshardware.com/software/windows/microsofts-windows-95-release-was-30-years-ago-today-the-first-time-software-was-a-pop-culture-smash
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • กล้องที่ถ่ายภาพด้วยเวลา – เมื่อการถ่ายภาพรถไฟกลายเป็นศาสตร์แห่งการประมวลผล

    Daniel Lawrence ใช้กล้อง line scan เพื่อถ่ายภาพรถไฟที่เคลื่อนผ่านกล้องนิ่ง ๆ โดยกล้องจะมีแค่ 1–2 แถวพิกเซลที่สแกนต่อเนื่องในแนวตั้ง ขณะที่รถไฟเคลื่อนผ่านในแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และมีลักษณะพิเศษคือ “แถบแนวนอน” ที่เกิดจากฉากหลังซ้ำ ๆ

    เขาใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C ที่มีเซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 และบันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อให้สามารถประมวลผลได้อย่างละเอียดในภายหลัง

    การประมวลผลภาพจากกล้องนี้มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ การประมาณความเร็ว การ resample ภาพ การ demosaic สี การลบแถบแนวตั้ง การลด noise การแก้ skew ไปจนถึงการปรับสี ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ด

    Daniel ยังทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบว่าบางครั้ง AI สร้างโค้ดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น เช่น การใช้ tensor ขนาดมหึมา หรือการสร้าง matrix ที่กิน RAM จนหมด ทำให้เขาต้องกลับมาเขียนเองในหลายส่วน

    เขาแชร์ภาพรถไฟจากหลายประเทศ รวมถึง Renfe AVE, CR400AF, และรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก พร้อมเปรียบเทียบกับงานของ Adam Magyar และ KR64 ที่ใช้กล้อง strip scan แบบฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟในญี่ปุ่น

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กล้อง line scan ใช้แถวพิกเซลเดียวในการสแกนวัตถุที่เคลื่อนผ่าน
    ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงและมีลักษณะ “แถบแนวนอน” จากฉากหลัง
    ใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C เซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2
    บันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อประมวลผลภายหลัง
    ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ด้วย energy function และการวิเคราะห์ gradient
    ประมาณความเร็วโดยเปรียบเทียบ green channels และใช้ spline interpolation
    resample ภาพด้วย Hann window เพื่อป้องกัน aliasing
    demosaic สีด้วย bilinear interpolation และจัดการ offset ของ Bayer array
    ลบแถบแนวตั้งด้วย weighted least squares และ exponential smoothing
    ลด noise ด้วย patch-based denoising ที่ใช้ self-similarity ตลอดแถว
    แก้ skew ด้วย Hough transform และ sampling ใหม่หลังการแก้
    ปรับสีด้วย matrix ที่ “เดาเอา” แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี
    ใช้ Python และ numpy ในการเขียนโค้ด โดยแบ่งข้อมูลเป็น chunks
    ทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบข้อจำกัดหลายจุด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กล้อง line scan ใช้หลักการเดียวกับ photo finish camera ในการแข่งขันกีฬา
    strip scan camera แบบฟิล์มต้องดึงฟิล์มด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับวัตถุ
    Adam Magyar ใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพใต้ดินที่มีแสงน้อย
    KR64 ใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
    Hann window เป็นหนึ่งใน window function ที่นิยมใช้ใน signal processing
    patch-based denoising เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยด้านภาพ เช่น BM3D
    Hough transform ใช้ในการตรวจจับเส้นตรงและ skew ในภาพ

    https://daniel.lawrence.lu/blog/y2025m09d21/
    🎙️ กล้องที่ถ่ายภาพด้วยเวลา – เมื่อการถ่ายภาพรถไฟกลายเป็นศาสตร์แห่งการประมวลผล Daniel Lawrence ใช้กล้อง line scan เพื่อถ่ายภาพรถไฟที่เคลื่อนผ่านกล้องนิ่ง ๆ โดยกล้องจะมีแค่ 1–2 แถวพิกเซลที่สแกนต่อเนื่องในแนวตั้ง ขณะที่รถไฟเคลื่อนผ่านในแนวนอน ทำให้ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และมีลักษณะพิเศษคือ “แถบแนวนอน” ที่เกิดจากฉากหลังซ้ำ ๆ เขาใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C ที่มีเซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 และบันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อให้สามารถประมวลผลได้อย่างละเอียดในภายหลัง การประมวลผลภาพจากกล้องนี้มีหลายขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ การประมาณความเร็ว การ resample ภาพ การ demosaic สี การลบแถบแนวตั้ง การลด noise การแก้ skew ไปจนถึงการปรับสี ซึ่งแต่ละขั้นตอนมีเทคนิคเฉพาะที่ต้องใช้ความเข้าใจทั้งด้านคณิตศาสตร์และการเขียนโค้ด Daniel ยังทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบว่าบางครั้ง AI สร้างโค้ดที่ซับซ้อนเกินจำเป็น เช่น การใช้ tensor ขนาดมหึมา หรือการสร้าง matrix ที่กิน RAM จนหมด ทำให้เขาต้องกลับมาเขียนเองในหลายส่วน เขาแชร์ภาพรถไฟจากหลายประเทศ รวมถึง Renfe AVE, CR400AF, และรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก พร้อมเปรียบเทียบกับงานของ Adam Magyar และ KR64 ที่ใช้กล้อง strip scan แบบฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟในญี่ปุ่น 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กล้อง line scan ใช้แถวพิกเซลเดียวในการสแกนวัตถุที่เคลื่อนผ่าน ➡️ ภาพที่ได้มีความละเอียดสูงและมีลักษณะ “แถบแนวนอน” จากฉากหลัง ➡️ ใช้กล้อง Alkeria Necta N4K2-7C เซนเซอร์ Bayer array ขนาด 4096×2 ➡️ บันทึกข้อมูลแบบ raw 16-bit เพื่อประมวลผลภายหลัง ➡️ ตรวจจับวัตถุเคลื่อนที่ด้วย energy function และการวิเคราะห์ gradient ➡️ ประมาณความเร็วโดยเปรียบเทียบ green channels และใช้ spline interpolation ➡️ resample ภาพด้วย Hann window เพื่อป้องกัน aliasing ➡️ demosaic สีด้วย bilinear interpolation และจัดการ offset ของ Bayer array ➡️ ลบแถบแนวตั้งด้วย weighted least squares และ exponential smoothing ➡️ ลด noise ด้วย patch-based denoising ที่ใช้ self-similarity ตลอดแถว ➡️ แก้ skew ด้วย Hough transform และ sampling ใหม่หลังการแก้ ➡️ ปรับสีด้วย matrix ที่ “เดาเอา” แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี ➡️ ใช้ Python และ numpy ในการเขียนโค้ด โดยแบ่งข้อมูลเป็น chunks ➡️ ทดลองใช้ AI agent ในการช่วยเขียนโค้ด แต่พบข้อจำกัดหลายจุด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กล้อง line scan ใช้หลักการเดียวกับ photo finish camera ในการแข่งขันกีฬา ➡️ strip scan camera แบบฟิล์มต้องดึงฟิล์มด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับวัตถุ ➡️ Adam Magyar ใช้กล้องดิจิทัลในการถ่ายภาพใต้ดินที่มีแสงน้อย ➡️ KR64 ใช้กล้องฟิล์มในการถ่ายภาพรถไฟญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ➡️ Hann window เป็นหนึ่งใน window function ที่นิยมใช้ใน signal processing ➡️ patch-based denoising เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานวิจัยด้านภาพ เช่น BM3D ➡️ Hough transform ใช้ในการตรวจจับเส้นตรงและ skew ในภาพ https://daniel.lawrence.lu/blog/y2025m09d21/
    DANIEL.LAWRENCE.LU
    Line scan camera image processing
    I use my line scan camera to take cool pictures of trains and other stuff.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวหาบรรดาชาติตะวันตกในวันอาทิตย์(24ส.ค.) พยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติความขัดแย้งในยูคเรน หลังจากดูเหมือนว่าความเคลื่อนไหวทางการทูตจะหยุดชะงักลงไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000080763

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย กล่าวหาบรรดาชาติตะวันตกในวันอาทิตย์(24ส.ค.) พยายามขัดขวางการเจรจาสันติภาพเพื่อยุติความขัดแย้งในยูคเรน หลังจากดูเหมือนว่าความเคลื่อนไหวทางการทูตจะหยุดชะงักลงไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000080763 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จไกเซอร์ รุ่นพัฒน์มาร่ำรวย หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน นครสวรรค์
    สมเด็จไกเซอร์ รุ่นพัฒน์มาร่ำรวย ( ฝังตะกรุดสามดอก ตอกเลข ๒๙๔ ) หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน นครสวรรค์ ปี2566 // พระดีพิธีใหญ่ !! //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยมและโชคลาภ ทำให้ผู้บูชาเป็นที่รักใคร่ มีคนช่วยเหลือเกื้อกูล เหมาะกับการค้าขาย การเจรจา แคล้วคลาดปลอดภัย ปัดป้องสิ่งอัปมงคลเสนียดจัญไร ช่วยปัดล้างสิ่งอัปมงคล แก้ดวงตก แก้ชง เสริมดวง หนุนดวงให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ >>

    ** หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน เกจิดังนครสวรรค์ ได้รับสืบทอดวิชาจากหลวงปู่เทศ วัดสระทะเล ซึ่งเป็นทวดผ่านทาง หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ หลวงปู่อิน วัดหางน้ำสาคร หลวงปู่หมึก วัดสระทะเล ซึ่งหลวงปู่พัฒน์ มีศักดิ์เป็นหลาน และหลวงปู่โหมด วัดโคกเดื่อ ต่อมาจึงได้ไปเรียนวิชาทางเมตตามหานิยมกับ หลวงปู่ชุบ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง จังหวัดอุตรดิตถ์ และได้เป็นเจ้าอาวาสที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งนานถึง 6 ปี >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    สมเด็จไกเซอร์ รุ่นพัฒน์มาร่ำรวย หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน นครสวรรค์ สมเด็จไกเซอร์ รุ่นพัฒน์มาร่ำรวย ( ฝังตะกรุดสามดอก ตอกเลข ๒๙๔ ) หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน นครสวรรค์ ปี2566 // พระดีพิธีใหญ่ !! //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ ด้านเมตตามหานิยมและโชคลาภ ทำให้ผู้บูชาเป็นที่รักใคร่ มีคนช่วยเหลือเกื้อกูล เหมาะกับการค้าขาย การเจรจา แคล้วคลาดปลอดภัย ปัดป้องสิ่งอัปมงคลเสนียดจัญไร ช่วยปัดล้างสิ่งอัปมงคล แก้ดวงตก แก้ชง เสริมดวง หนุนดวงให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ >> ** หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน เกจิดังนครสวรรค์ ได้รับสืบทอดวิชาจากหลวงปู่เทศ วัดสระทะเล ซึ่งเป็นทวดผ่านทาง หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ หลวงปู่อิน วัดหางน้ำสาคร หลวงปู่หมึก วัดสระทะเล ซึ่งหลวงปู่พัฒน์ มีศักดิ์เป็นหลาน และหลวงปู่โหมด วัดโคกเดื่อ ต่อมาจึงได้ไปเรียนวิชาทางเมตตามหานิยมกับ หลวงปู่ชุบ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง จังหวัดอุตรดิตถ์ และได้เป็นเจ้าอาวาสที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้งนานถึง 6 ปี >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พร้อมกล่องเดิมๆ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts