• เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว

    ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน

    ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน

    ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ

    ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

    แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ
    Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้
    Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google
    ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก
    Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี
    โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ
    Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ
    Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing
    ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
    หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด
    OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย
    Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ
    นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล
    การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    🎙️ เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ ➡️ Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้ ➡️ Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก ➡️ Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี ➡️ โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ ➡️ Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing ➡️ ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ ➡️ หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด ➡️ OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย ➡️ Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล ➡️ การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Germany's Ecosia proposes stewardship to run Google Chrome
    STOCKHOLM (Reuters) -Germany's Ecosia, a nonprofit search engine, said on Thursday it has submitted a proposal to assume a 10-year stewardship of Alphabet's Google Chrome web browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย

    ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต

    โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

    นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ

    เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025

    นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet
    ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox
    หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว
    นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน
    จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท
    ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ
    เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน
    ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว
    รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน
    รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว
    สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com
    Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ
    ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ
    มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    🎙️ TouristDigiPay – เมื่อคริปโตกลายเป็นกุญแจฟื้นการท่องเที่ยวไทย ประเทศไทยกำลังเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อฟื้นฟูการท่องเที่ยวที่ซบเซา ด้วยโครงการ “TouristDigiPay” มูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet เพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิต โครงการนี้จะเริ่มในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 และดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ “regulatory sandbox” ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงาน ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นักท่องเที่ยวจะไม่จ่ายเงินด้วยคริปโตโดยตรง แต่จะต้องแปลงผ่านแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตเข้าสู่ e-wallet ที่ใช้จ่ายเป็นเงินบาทเท่านั้น โดยจำกัดการใช้จ่ายรายเดือนสูงสุด 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กจะถูกจำกัดไว้ที่ 50,000 บาท ส่วนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ เหตุผลหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ หลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะจากจีนที่ลดลงถึง 34% ในครึ่งปีแรกของ 2025 นอกจากนี้ ประเทศอื่นก็เริ่มใช้คริปโตในภาคการท่องเที่ยวเช่นกัน เช่น ภูฏานที่ร่วมมือกับ Binance Pay, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโต และแม้แต่ Blue Origin ของ Jeff Bezos ก็รับ Bitcoin กับ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาทผ่าน e-wallet ➡️ ดำเนินการเป็นเวลา 18 เดือนในรูปแบบ regulatory sandbox ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลประกอบด้วยกระทรวงการคลัง, ธปท., ปปง., ก.ล.ต. และกระทรวงการท่องเที่ยว ➡️ นักท่องเที่ยวไม่จ่ายคริปโตโดยตรง แต่ใช้เงินบาทผ่านระบบหลังบ้าน ➡️ จำกัดการใช้จ่ายรายเดือนที่ 500,000 บาท และร้านค้าขนาดเล็กที่ 50,000 บาท ➡️ ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจะถูกตัดออกจากโครงการ ➡️ เป้าหมายคือกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ซบเซา โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีน ➡️ ตัวเลขนักท่องเที่ยวครึ่งปีแรก 2025 อยู่ที่ 16.8 ล้านคน ลดลงจาก 17.7 ล้านคนในปีที่แล้ว ➡️ รัฐบาลลดเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2025 จาก 37 ล้านคน เหลือ 33 ล้านคน ➡️ รองนายกฯ และ รมว.คลังระบุว่าโครงการนี้ช่วยลดการพึ่งพาเงินสดและบัตรเครดิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ภูฏานร่วมมือกับ Binance Pay เพื่อเปิดรับคริปโตในภาคการท่องเที่ยว ➡️ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้จ่ายค่าโดยสารสายการบินด้วยคริปโตผ่าน Crypto.com ➡️ Blue Origin รับ Bitcoin และ Ether สำหรับการท่องเที่ยวอวกาศ ➡️ ประเทศไทยกำลังพิจารณาให้คริปโตเชื่อมกับบัตรเครดิตเพื่อใช้จ่ายในประเทศ ➡️ มีแผนรวมตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัลภายใต้กฎหมายเดียวเพื่อความคล่องตัวของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/thailands-usd15b-touristdigipay-scheme-will-let-visitors-convert-crypto-to-baht-18-month-pilot-program-is-engineered-to-revive-slumping-tourism-in-the-region
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการยึดคริปโตจากกลุ่ม Zeppelin: เมื่อความยุติธรรมไล่ทันอาชญากรรมไซเบอร์

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศยึดเงินคริปโตมูลค่ากว่า $2.8 ล้าน พร้อมเงินสด $70,000 และรถยนต์หรูจาก Ianis Aleksandrovich Antropenko ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรนซัมแวร์ Zeppelin ซึ่งเคยโจมตีองค์กรในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2019–2022

    Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่ใช้วิธี “double extortion” คือเข้ารหัสข้อมูลเหยื่อและขโมยข้อมูลไปด้วย จากนั้นขู่จะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยกลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี, การเงิน และแม้แต่ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน

    Antropenko และพวกใช้บริการ ChipMixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม “ล้างรอย” เงินคริปโต เพื่อซ่อนที่มาของเงินค่าไถ่ และยังใช้วิธีแลกคริปโตเป็นเงินสดแล้วฝากแบบแบ่งยอดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากธนาคาร

    แม้ Zeppelin จะถูกระบุว่า “ล้มหาย” ไปในปี 2022 หลังนักวิจัยจาก Unit221b สร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรีให้เหยื่อ แต่ในปี 2024 มีรายงานว่าโค้ดของ Zeppelin ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคาเพียง $500 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมัลแวร์นี้ในอนาคต

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    DoJ ยึดคริปโตมูลค่า $2.8 ล้าน, เงินสด $70,000 และรถหรูจากผู้ต้องสงสัย Antropenko
    Antropenko ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงคอมพิวเตอร์และฟอกเงินในศาลรัฐเท็กซัส
    Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่ใช้วิธี double extortion
    เหยื่อถูกเข้ารหัสข้อมูลและขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่
    กลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมถึง NGO และศูนย์พักพิง
    ใช้ ChipMixer และการฝากเงินแบบแบ่งยอดเพื่อฟอกเงิน
    DoJ ออกหมายจับ 6 ฉบับในรัฐเท็กซัส, เวอร์จิเนีย และแคลิฟอร์เนีย
    Zeppelin ถูกระบุว่าเลิกใช้งานในปี 2022 หลังนักวิจัยสร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรี
    การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญปราบปรามแรนซัมแวร์ของ DoJ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zeppelin พัฒนาจาก VegaLocker และ Buran ซึ่งเป็นมัลแวร์สาย Delphi
    FBI เคยเตือนว่า Zeppelin ใช้ช่องโหว่ RDP และ SonicWall ในการเข้าถึงระบบ
    Unit221b หยุดให้บริการถอดรหัส Zeppelin แล้วในปี 2024
    มีรายงานว่า Zeppelin2 ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคา $500
    DoJ เคยยึดคริปโตจากกลุ่ม Chaos และ BlackSuit รวมกว่า $3.4 ล้าน
    ตั้งแต่ปี 2020 DoJ ยึดทรัพย์จากอาชญากรรมไซเบอร์รวมกว่า $350 ล้าน

    https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-dollars-in-cryptocurrency-has-been-confiscated-as-the-doj-cracks-down-on-an-infamous-ransomware-operator
    🕵️‍♂️ ปฏิบัติการยึดคริปโตจากกลุ่ม Zeppelin: เมื่อความยุติธรรมไล่ทันอาชญากรรมไซเบอร์ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศยึดเงินคริปโตมูลค่ากว่า $2.8 ล้าน พร้อมเงินสด $70,000 และรถยนต์หรูจาก Ianis Aleksandrovich Antropenko ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรนซัมแวร์ Zeppelin ซึ่งเคยโจมตีองค์กรในหลายประเทศตั้งแต่ปี 2019–2022 Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS (Ransomware-as-a-Service) ที่ใช้วิธี “double extortion” คือเข้ารหัสข้อมูลเหยื่อและขโมยข้อมูลไปด้วย จากนั้นขู่จะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ โดยกลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรด้านสุขภาพ, เทคโนโลยี, การเงิน และแม้แต่ศูนย์พักพิงคนไร้บ้าน Antropenko และพวกใช้บริการ ChipMixer ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม “ล้างรอย” เงินคริปโต เพื่อซ่อนที่มาของเงินค่าไถ่ และยังใช้วิธีแลกคริปโตเป็นเงินสดแล้วฝากแบบแบ่งยอดเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากธนาคาร แม้ Zeppelin จะถูกระบุว่า “ล้มหาย” ไปในปี 2022 หลังนักวิจัยจาก Unit221b สร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรีให้เหยื่อ แต่ในปี 2024 มีรายงานว่าโค้ดของ Zeppelin ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคาเพียง $500 ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมัลแวร์นี้ในอนาคต ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ DoJ ยึดคริปโตมูลค่า $2.8 ล้าน, เงินสด $70,000 และรถหรูจากผู้ต้องสงสัย Antropenko ➡️ Antropenko ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงคอมพิวเตอร์และฟอกเงินในศาลรัฐเท็กซัส ➡️ Zeppelin เป็นแรนซัมแวร์แบบ RaaS ที่ใช้วิธี double extortion ➡️ เหยื่อถูกเข้ารหัสข้อมูลและขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายค่าไถ่ ➡️ กลุ่มนี้เคยโจมตีองค์กรในสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมถึง NGO และศูนย์พักพิง ➡️ ใช้ ChipMixer และการฝากเงินแบบแบ่งยอดเพื่อฟอกเงิน ➡️ DoJ ออกหมายจับ 6 ฉบับในรัฐเท็กซัส, เวอร์จิเนีย และแคลิฟอร์เนีย ➡️ Zeppelin ถูกระบุว่าเลิกใช้งานในปี 2022 หลังนักวิจัยสร้างเครื่องมือถอดรหัสฟรี ➡️ การยึดทรัพย์ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญปราบปรามแรนซัมแวร์ของ DoJ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zeppelin พัฒนาจาก VegaLocker และ Buran ซึ่งเป็นมัลแวร์สาย Delphi ➡️ FBI เคยเตือนว่า Zeppelin ใช้ช่องโหว่ RDP และ SonicWall ในการเข้าถึงระบบ ➡️ Unit221b หยุดให้บริการถอดรหัส Zeppelin แล้วในปี 2024 ➡️ มีรายงานว่า Zeppelin2 ถูกขายในฟอรั่มแฮกเกอร์รัสเซียในราคา $500 ➡️ DoJ เคยยึดคริปโตจากกลุ่ม Chaos และ BlackSuit รวมกว่า $3.4 ล้าน ➡️ ตั้งแต่ปี 2020 DoJ ยึดทรัพย์จากอาชญากรรมไซเบอร์รวมกว่า $350 ล้าน https://www.techradar.com/pro/security/millions-of-dollars-in-cryptocurrency-has-been-confiscated-as-the-doj-cracks-down-on-an-infamous-ransomware-operator
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay

    รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ

    โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง

    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด

    หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต

    รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ

    ข้อมูลจากข่าวหลัก
    โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท
    ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน
    นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต
    ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO
    เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code
    ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต
    ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ
    การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท
    ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO
    รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
    QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก
    การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก
    การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน
    การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต
    หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    🏖️ เมื่อคริปโตกลายเป็นเงินจ่ายค่าข้าวมันไก่: ไทยเปิดตัว TouristDigiPay รัฐบาลไทยเปิดตัวโครงการนำร่องชื่อ “TouristDigiPay” ที่ให้ชาวต่างชาติสามารถแปลงคริปโตเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่ายในประเทศ โดยไม่ต้องพกเงินสดหรือบัตรเครดิตจากต่างประเทศ โครงการนี้จะดำเนินการในรูปแบบ sandbox เป็นเวลา 18 เดือน โดยมีการกำหนดวงเงินแปลงคริปโตไว้ที่ 550,000 บาทต่อเดือน เพื่อป้องกันการฟอกเงินและควบคุมความเสี่ยง นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. และผู้ให้บริการ e-money ที่อยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย พร้อมผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML อย่างเข้มงวด หลังแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เงินจะถูกเก็บไว้ใน Tourist Wallet ซึ่งสามารถใช้จ่ายผ่าน QR code กับร้านค้าในไทยได้ โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต รัฐบาลหวังว่าโครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกับคริปโต เช่น นักเดินทางรุ่นใหม่ และผู้ที่ไม่สะดวกใช้บัตรเครดิตข้ามประเทศ ✅ ข้อมูลจากข่าวหลัก ➡️ โครงการ TouristDigiPay เปิดตัวเมื่อ 18 ส.ค. 2025 เพื่อให้นักท่องเที่ยวแปลงคริปโตเป็นเงินบาท ➡️ ดำเนินการใน sandbox เป็นเวลา 18 เดือน พร้อมกำหนดวงเงินแปลงที่ 550,000 บาทต่อเดือน ➡️ นักท่องเที่ยวต้องเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลและ e-money ที่ได้รับอนุญาต ➡️ ต้องผ่านการตรวจสอบ KYC และ AML ตามมาตรฐานของ AMLO ➡️ เงินที่แปลงจะถูกเก็บใน Tourist Wallet และใช้จ่ายผ่าน QR code ➡️ ร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาทเท่านั้น ไม่ใช่คริปโต ➡️ ไม่อนุญาตให้ถอนเงินสดระหว่างการเข้าร่วมโครงการ ➡️ การใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กจำกัดที่ 50,000 บาทต่อเดือน ส่วนร้านใหญ่ได้ถึง 500,000 บาท ➡️ ห้ามใช้จ่ายกับธุรกิจที่ถูกจัดว่าเป็นความเสี่ยงสูงตามเกณฑ์ของ AMLO ➡️ รัฐบาลหวังเพิ่มการใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยว 5,000 บาทต่อคน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ โครงการนี้ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้โมเดล “แปลงคริปโตเป็น fiat” สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ➡️ QR code เป็นช่องทางจ่ายเงินที่นิยมที่สุดในไทย โดยเฉพาะร้านอาหารและร้านค้าขนาดเล็ก ➡️ การใช้ sandbox ช่วยให้รัฐบาลทดสอบเทคโนโลยีใหม่โดยไม่กระทบระบบการเงินหลัก ➡️ การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีนยังช้า ทำให้ไทยต้องหาทางดึงนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและอาเซียน ➡️ การใช้คริปโตช่วยลดต้นทุนการแลกเปลี่ยนเงินตราและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ➡️ หากโครงการสำเร็จ อาจขยายไปสู่การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าหรูในอนาคต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/18/thailand-to-launch-crypto-to-baht-conversion-for-foreign-tourists
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Thailand to launch crypto-to-baht conversion for foreign tourists
    BANGKOK (Reuters) -Thailand will launch an 18-month pilot programme to allow foreign visitors to convert cryptocurrencies into baht to make payments locally, officials said on Monday, part of efforts to rejuvenate the country's critical tourist sector.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • พุทธังสแกนจ่ายแก้ทุจริต ดึงวัดเข้าระบบ e-Donation

    ข่าวอื้อฉาววงการสงฆ์ ไล่ตั้งแต่สมีแย้มวัดไร่ขิง ต่อด้วยผู้หญิงสิบบาป สีกากอล์ฟกับพระชั้นผู้ใหญ่เย่อกันคาผ้าเหลืองทั่วไทย เคสล่าสุดอย่างเจ้าคุณอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุ มีทั้งข่าวนำเงินวัดไปให้สีกา นำเงินวัดไปใช้ในทางที่ผิด และพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่การพนันออนไลน์ สะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งสาวลึกยิ่งหวั่นไหวกับผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะตู้รับบริจาคที่รับเงินสดๆ ทั้งเหรียญและธนบัตร พุทธังเอากะตังใส่ตู้ ธัมมังเอากะตังใส่ตู้ สังฆังเอากะตังใส่ตู้ เอาแค่กรณีสมีแย้มกับวัดไร่ขิง เคยมีตู้บริจาคมากถึง 200 ตู้ รายได้เฉลี่ย 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ยิ่งช่วงเทศกาลหรืองานวัด รายได้วันละมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งเงินสดแผนกการเงินของวัดทุกวัน แต่การเงินวัดติดลบเพราะทุจริต เรื่องแดงถึงขั้นติดคุก

    ตำนานวัดกับการทุจริตที่พบเห็นได้บ่อย หนึ่งในนั้นคือใบอนุโมทนาบัตร ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ข่าวฉาวในอดีตพบว่ามีการขายใบอนุโมทนาบัตรในท้องตลาด บางคนใช้วิธีบริจาคให้วัด 100 บาท แต่ขอให้พระเขียนใบอนุโมทนาบัตร 10,000 บาทก็มี ครั้งหนึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ยุคนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถึงกับบ่นว่าโกงกันเยอะขึ้น กรมไม่รู้เลยจ่ายจริงหรือไม่จริง ตรวจไม่ได้ เป็นบาป ที่รู้เยอะเพราะมีคนมาบอก เอามาขาย และเห็นขายกันในท้องตลาด บาปซ้ำสองเลย แม้ที่ผ่านมาพยายามกระตุ้นให้บริจาคผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังพบว่าวัดจำนวนมากยังไม่เข้าระบบ

    มาถึงยุคนายปิ่นสาย สุรัสวดี ตัดสินใจร่อนหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ไปเข้าระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) พร้อมปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป เท่ากับว่าใบอนุโมทนาบัตรได้แต่บุญ แต่ลดหย่อนภาษีไม่ได้แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาต้องสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และยินยอมส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ข้อมูลการบริจาคจะอยู่ในระบบ D-MyTax ของกรมสรรพากร ดึงไปใช้ยื่นแบบภาษีได้ทันที

    ข้อมูลจากกรมสรรพากร พบว่ามีศาสนสถานที่เข้าร่วมระบบ e-Donation รวม 39,299 แห่ง มีธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้บริการ e-Donation 11 แห่ง ขณะนี้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการลงทะเบียน และประสานธนาคารในพื้นที่เพื่อขอ QR Code หรือ Bar Code รับบริจาคผ่านธนาคารต่อไป

    #Newskit
    พุทธังสแกนจ่ายแก้ทุจริต ดึงวัดเข้าระบบ e-Donation ข่าวอื้อฉาววงการสงฆ์ ไล่ตั้งแต่สมีแย้มวัดไร่ขิง ต่อด้วยผู้หญิงสิบบาป สีกากอล์ฟกับพระชั้นผู้ใหญ่เย่อกันคาผ้าเหลืองทั่วไทย เคสล่าสุดอย่างเจ้าคุณอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุ มีทั้งข่าวนำเงินวัดไปให้สีกา นำเงินวัดไปใช้ในทางที่ผิด และพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่การพนันออนไลน์ สะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งสาวลึกยิ่งหวั่นไหวกับผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะตู้รับบริจาคที่รับเงินสดๆ ทั้งเหรียญและธนบัตร พุทธังเอากะตังใส่ตู้ ธัมมังเอากะตังใส่ตู้ สังฆังเอากะตังใส่ตู้ เอาแค่กรณีสมีแย้มกับวัดไร่ขิง เคยมีตู้บริจาคมากถึง 200 ตู้ รายได้เฉลี่ย 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ยิ่งช่วงเทศกาลหรืองานวัด รายได้วันละมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งเงินสดแผนกการเงินของวัดทุกวัน แต่การเงินวัดติดลบเพราะทุจริต เรื่องแดงถึงขั้นติดคุก ตำนานวัดกับการทุจริตที่พบเห็นได้บ่อย หนึ่งในนั้นคือใบอนุโมทนาบัตร ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ข่าวฉาวในอดีตพบว่ามีการขายใบอนุโมทนาบัตรในท้องตลาด บางคนใช้วิธีบริจาคให้วัด 100 บาท แต่ขอให้พระเขียนใบอนุโมทนาบัตร 10,000 บาทก็มี ครั้งหนึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ยุคนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถึงกับบ่นว่าโกงกันเยอะขึ้น กรมไม่รู้เลยจ่ายจริงหรือไม่จริง ตรวจไม่ได้ เป็นบาป ที่รู้เยอะเพราะมีคนมาบอก เอามาขาย และเห็นขายกันในท้องตลาด บาปซ้ำสองเลย แม้ที่ผ่านมาพยายามกระตุ้นให้บริจาคผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังพบว่าวัดจำนวนมากยังไม่เข้าระบบ มาถึงยุคนายปิ่นสาย สุรัสวดี ตัดสินใจร่อนหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ไปเข้าระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) พร้อมปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป เท่ากับว่าใบอนุโมทนาบัตรได้แต่บุญ แต่ลดหย่อนภาษีไม่ได้แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาต้องสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และยินยอมส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ข้อมูลการบริจาคจะอยู่ในระบบ D-MyTax ของกรมสรรพากร ดึงไปใช้ยื่นแบบภาษีได้ทันที ข้อมูลจากกรมสรรพากร พบว่ามีศาสนสถานที่เข้าร่วมระบบ e-Donation รวม 39,299 แห่ง มีธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้บริการ e-Donation 11 แห่ง ขณะนี้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการลงทะเบียน และประสานธนาคารในพื้นที่เพื่อขอ QR Code หรือ Bar Code รับบริจาคผ่านธนาคารต่อไป #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย

    กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568

    ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า

    นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย

    ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่?

    #Newskit
    ทดลองคริปโตฯสแกนจ่าย หนุนต่างชาติเที่ยวไทย กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมมือเปิดตัวโครงการทดสอบการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศ หรือ ทัวริสต์ดิจิเพย์ (TouristDigiPay) ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ นำสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ คริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลที่ถือครองอยู่แปลงเป็นเงินบาท เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าต่างๆ ในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาทดสอบเบื้องต้น 18 เดือน คาดว่าจะเริ่มใช้บริการได้ในไตรมาส 4 ปี 2568 ทัวริสต์ดิจิเพย์ ไม่ได้เป็นการนำคริปโตเคอเรนซี่ หรือโทเคนดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องนำไปแลกผ่านผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ออกมาเป็นเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-money) ในบัญชีที่ชื่อว่า ทัวริสต์วอลเล็ต (Tourist Wallet) แล้วนำไปสแกนจ่ายตามร้านค้าอีกที จำกัดวงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือนสำหรับร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน สำหรับร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) โดยร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท เช่นเดียวกับรับเงินโอนทั่วไป หากใช้ไม่หมด แลกคืนได้ไม่เกินวงเงินแลกขาเข้า นักท่องเที่ยวต่างชาติที่สนใจจะต้องเปิดบัญชีและทำ KYC กับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ในไทย และเปิดบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต กับผู้ให้บริการ e-money จากนั้นโอนสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าบัญชี Exchange ในไทย แล้วขายออกมาเป็นเงินบาท รับเงินเข้าบัญชีทัวริสต์วอลเล็ต ก่อนสแกนจ่ายตามร้านค้า นอกจากจะจำกัดวงเงินต่อเดือนแล้ว สำนักงาน ปปง. จะดูแลธุรกรรมอย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นการฟอกเงิน กลุ่มเป้าหมายเน้นไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพ มีสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่แล้วมาใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมใช้บัตรพรีเพดการ์ด (Prepaid Card) ที่ผูกกับสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเครือข่ายร้านค้ารับบัตรยอดนิยมในไทยอย่าง VISA และ Mastercard ถือเป็นการจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดใหญ่หรือร้านค้าที่มีเครื่องรูดบัตร (EDC) เท่านั้น แต่เนื่องจากชาวต่างชาติที่มีสินทรัพย์ดิจิทัลคุ้นเคยกับวิธีการนี้อยู่แล้ว อีกทั้งทุกวันนี้ร้านค้าขนาดเล็กนิยมรับเงินสดเพราะไม่อยากนำรายได้จากการรับเงินโอนไปเข้าระบบภาษี ต้องคอยดูว่าโครงการนี้จะรอดหรือจะแป๊ก เฉกเช่นโครงการอื่นของรัฐบาล เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง หรือไม่? #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระดับนี้ออกมาเผยนัยยะ,ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ตลอดสายลับหลายฝ่ายอาจรู้เห็นจริงหมดเช่นกัน,แบงค์ดูเส้นทางการเงินของคนเบิกของคนรับก็รับรู้หมดล่ะตลอด,จะผ่านบัญชีหรือเงินสด จะจ่ายล่วงหน้ามาหลายวันหลายเดือนก็ตามหรือคนใกล้ชิดทางสายสัมพันธ์ต่างๆ หน้าที่การงานกิจการเติบโตขึ้นผิดปกติ กิจการเครือญาติมีการสนับสนุนเงินทุนเข้ามาผิดปกตินอกจากถุงขนมตกใส่โดยตรง.,ตอบแทนนอกจากตังเงินที่ตีมูลค่าเท่ากันก็เป็นไปได้หมดหากจริง.https://youtube.com/shorts/_li9wbJQO1A?si=ql3kH3ekKBXRyb18
    ระดับนี้ออกมาเผยนัยยะ,ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ตลอดสายลับหลายฝ่ายอาจรู้เห็นจริงหมดเช่นกัน,แบงค์ดูเส้นทางการเงินของคนเบิกของคนรับก็รับรู้หมดล่ะตลอด,จะผ่านบัญชีหรือเงินสด จะจ่ายล่วงหน้ามาหลายวันหลายเดือนก็ตามหรือคนใกล้ชิดทางสายสัมพันธ์ต่างๆ หน้าที่การงานกิจการเติบโตขึ้นผิดปกติ กิจการเครือญาติมีการสนับสนุนเงินทุนเข้ามาผิดปกตินอกจากถุงขนมตกใส่โดยตรง.,ตอบแทนนอกจากตังเงินที่ตีมูลค่าเท่ากันก็เป็นไปได้หมดหากจริง.https://youtube.com/shorts/_li9wbJQO1A?si=ql3kH3ekKBXRyb18
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อสตาร์ทอัพ AI อายุ 3 ปี เสนอซื้อ Chrome: เกมพลิกวงการเบราว์เซอร์

    ในโลกที่ Google Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์ด้วยผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคน และเป็นหัวใจของระบบ AI และโฆษณาของ Google การที่ Perplexity AI เสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการ

    Perplexity ก่อตั้งโดย Aravind Srinivas และทีมงานจาก UC Berkeley, OpenAI และ DeepMind โดยมีเป้าหมายสร้างระบบค้นหาที่ใช้ AI ตอบคำถามแบบเรียลไทม์ ล่าสุดเปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้

    ข้อเสนอซื้อ Chrome ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เรียกความสนใจมากกว่าความเป็นไปได้จริง เพราะ Chrome ไม่ได้ประกาศขาย และ Google กำลังต่อสู้คดีผูกขาดจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ที่อาจบังคับให้ขาย Chrome เพื่อเปิดตลาดให้แข่งขันมากขึ้น

    Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส ลงทุนเพิ่มอีก 3 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปี และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น เพื่อคลายความกังวลด้านกฎระเบียบ

    แม้ข้อเสนอจะต่ำกว่าที่ DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ทำให้ Perplexity กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามองในสงครามเบราว์เซอร์ยุค AI

    ข้อมูลในข่าว
    Perplexity AI เสนอซื้อ Google Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์
    บริษัทมีอายุเพียง 3 ปี และมีมูลค่าประเมินล่าสุดที่ 18 พันล้านดอลลาร์
    ข้อเสนอเกิดขึ้นท่ามกลางคดีผูกขาดที่ Google ถูกตัดสินว่าครองตลาดค้นหาอย่างไม่เป็นธรรม
    Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น
    DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์
    Google ยังไม่ตอบรับข้อเสนอ และกำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล
    Perplexity เปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้
    หากได้ Chrome จะเข้าถึงผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทันที

    Google ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะขาย Chrome และมีแนวโน้มต่อต้านการบังคับขาย
    การซื้อ Chrome อาจเผชิญแรงต้านจากศาลสูงและหน่วยงานกำกับดูแล
    Perplexity ยังไม่เปิดเผยแหล่งเงินทุนอย่างชัดเจน แม้จะอ้างว่ามีผู้สนับสนุนเต็มจำนวน
    หาก Chrome ถูกขายจริง อาจส่งผลกระทบต่อระบบโฆษณาและ AI ของ Google ทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/openai-rival-gets-free-publicity-by-offering-to-buy-google-chrome-for-just-under-usd35-billion-so-does-that-mean-it-will-kill-comet
    🧠 เมื่อสตาร์ทอัพ AI อายุ 3 ปี เสนอซื้อ Chrome: เกมพลิกวงการเบราว์เซอร์ ในโลกที่ Google Chrome ครองตลาดเบราว์เซอร์ด้วยผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคน และเป็นหัวใจของระบบ AI และโฆษณาของ Google การที่ Perplexity AI เสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการ Perplexity ก่อตั้งโดย Aravind Srinivas และทีมงานจาก UC Berkeley, OpenAI และ DeepMind โดยมีเป้าหมายสร้างระบบค้นหาที่ใช้ AI ตอบคำถามแบบเรียลไทม์ ล่าสุดเปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้ ข้อเสนอซื้อ Chrome ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์เรียกความสนใจมากกว่าความเป็นไปได้จริง เพราะ Chrome ไม่ได้ประกาศขาย และ Google กำลังต่อสู้คดีผูกขาดจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ที่อาจบังคับให้ขาย Chrome เพื่อเปิดตลาดให้แข่งขันมากขึ้น Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส ลงทุนเพิ่มอีก 3 พันล้านดอลลาร์ภายใน 2 ปี และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น เพื่อคลายความกังวลด้านกฎระเบียบ แม้ข้อเสนอจะต่ำกว่าที่ DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ แต่ก็ทำให้ Perplexity กลายเป็นผู้เล่นที่ถูกจับตามองในสงครามเบราว์เซอร์ยุค AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Perplexity AI เสนอซื้อ Google Chrome ด้วยเงินสด 34.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทมีอายุเพียง 3 ปี และมีมูลค่าประเมินล่าสุดที่ 18 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นท่ามกลางคดีผูกขาดที่ Google ถูกตัดสินว่าครองตลาดค้นหาอย่างไม่เป็นธรรม ➡️ Perplexity ระบุว่าจะคงรหัส Chromium แบบโอเพ่นซอร์ส และไม่เปลี่ยนเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น ➡️ DuckDuckGo ประเมินว่า Chrome อาจมีมูลค่าสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับข้อเสนอ และกำลังอุทธรณ์คำตัดสินของศาล ➡️ Perplexity เปิดตัวเบราว์เซอร์ Comet ที่ใช้ AI ช่วยค้นหาและทำงานแทนผู้ใช้ ➡️ หากได้ Chrome จะเข้าถึงผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทันที ⛔ Google ยังไม่แสดงท่าทีว่าจะขาย Chrome และมีแนวโน้มต่อต้านการบังคับขาย ⛔ การซื้อ Chrome อาจเผชิญแรงต้านจากศาลสูงและหน่วยงานกำกับดูแล ⛔ Perplexity ยังไม่เปิดเผยแหล่งเงินทุนอย่างชัดเจน แม้จะอ้างว่ามีผู้สนับสนุนเต็มจำนวน ⛔ หาก Chrome ถูกขายจริง อาจส่งผลกระทบต่อระบบโฆษณาและ AI ของ Google ทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/openai-rival-gets-free-publicity-by-offering-to-buy-google-chrome-for-just-under-usd35-billion-so-does-that-mean-it-will-kill-comet
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการล่าข้ามแดน: เมื่อตำรวจไทยตามรอยแก๊ง SMS หลอกลวงและฟอกเงินด้วยคริปโต

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ตำรวจไทยได้เปิดเผยสองปฏิบัติการใหญ่ที่สะเทือนวงการอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ

    เรื่องแรกคือการจับกุมชายไทยสองคนในกรุงเทพฯ ที่ใช้เครื่อง SMS Blaster ส่งข้อความหลอกลวงวันละกว่า 20,000 ข้อความ โดยขับรถไปรอบเมืองพร้อมอุปกรณ์ที่สามารถยิงข้อความในรัศมี 1–2 กิโลเมตร ข้อความมักเป็นแนว “แต้มสะสมใกล้หมด” หรือ “คุณได้รับรางวัล” พร้อมลิงก์ปลอมที่หลอกให้กรอกข้อมูลธนาคาร

    เบื้องหลังคือหัวหน้าแก๊งชาวจีนที่สั่งการผ่าน Telegram โดยจ้างคนไทยขับรถและยิงข้อความในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นรูปแบบ “Smishing” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและการหลอกลวงแบบคลาสสิก

    อีกด้านหนึ่งคือ “Operation Skyfall” ที่ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และหน่วยงานต่างประเทศเพื่อสืบสวนเครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนที่ใช้แอปปลอมชื่อ “Ulela Max” หลอกให้เหยื่อลงทุนในหุ้นปลอม ก่อนนำเงินไปแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมาไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีน

    เครือข่ายนี้สามารถฟอกเงินได้มากกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน โดยใช้บัญชีม้าและช่องทางดิจิทัลที่ซับซ้อน ตำรวจออกหมายจับ 28 คน และยึดเงินสดได้กว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยชาวเมียนมาในจังหวัดแม่สอด

    ลักษณะของอุปกรณ์ SMS Blaster
    ส่งข้อความในรัศมี 1–3 กิโลเมตร
    ใช้เทคโนโลยี False Base Station เลียนแบบเสาสัญญาณมือถือ
    สามารถยิงข้อความได้ถึง 100,000 ข้อความต่อชั่วโมง

    ปฏิบัติการ Operation Skyfall
    เครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนผ่านแอปปลอม “Ulela Max”
    เหยื่อถูกหลอกให้ลงทุนในหุ้นปลอมผ่านกลุ่ม Line และ Facebook
    เงินถูกแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมา

    ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
    ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และ Bitkub ในการติดตามธุรกรรมคริปโต
    ยึดเงินสดกว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยในแม่สอด
    ออกหมายจับ 28 คน รวมถึงผู้ต้องสงสัยต่างชาติและบัญชีม้า

    https://hackread.com/police-bust-crypto-scam-smishing-sms-blaster-operator/
    🧠 ปฏิบัติการล่าข้ามแดน: เมื่อตำรวจไทยตามรอยแก๊ง SMS หลอกลวงและฟอกเงินด้วยคริปโต ในเดือนสิงหาคม 2025 ตำรวจไทยได้เปิดเผยสองปฏิบัติการใหญ่ที่สะเทือนวงการอาชญากรรมไซเบอร์ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับนานาชาติ เรื่องแรกคือการจับกุมชายไทยสองคนในกรุงเทพฯ ที่ใช้เครื่อง SMS Blaster ส่งข้อความหลอกลวงวันละกว่า 20,000 ข้อความ โดยขับรถไปรอบเมืองพร้อมอุปกรณ์ที่สามารถยิงข้อความในรัศมี 1–2 กิโลเมตร ข้อความมักเป็นแนว “แต้มสะสมใกล้หมด” หรือ “คุณได้รับรางวัล” พร้อมลิงก์ปลอมที่หลอกให้กรอกข้อมูลธนาคาร เบื้องหลังคือหัวหน้าแก๊งชาวจีนที่สั่งการผ่าน Telegram โดยจ้างคนไทยขับรถและยิงข้อความในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งเป็นรูปแบบ “Smishing” ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและการหลอกลวงแบบคลาสสิก อีกด้านหนึ่งคือ “Operation Skyfall” ที่ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และหน่วยงานต่างประเทศเพื่อสืบสวนเครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนที่ใช้แอปปลอมชื่อ “Ulela Max” หลอกให้เหยื่อลงทุนในหุ้นปลอม ก่อนนำเงินไปแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมาไปยังหัวหน้าแก๊งชาวจีน เครือข่ายนี้สามารถฟอกเงินได้มากกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือน โดยใช้บัญชีม้าและช่องทางดิจิทัลที่ซับซ้อน ตำรวจออกหมายจับ 28 คน และยึดเงินสดได้กว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยชาวเมียนมาในจังหวัดแม่สอด ✅ ลักษณะของอุปกรณ์ SMS Blaster ➡️ ส่งข้อความในรัศมี 1–3 กิโลเมตร ➡️ ใช้เทคโนโลยี False Base Station เลียนแบบเสาสัญญาณมือถือ ➡️ สามารถยิงข้อความได้ถึง 100,000 ข้อความต่อชั่วโมง ✅ ปฏิบัติการ Operation Skyfall ➡️ เครือข่ายฟอกเงินข้ามแดนผ่านแอปปลอม “Ulela Max” ➡️ เหยื่อถูกหลอกให้ลงทุนในหุ้นปลอมผ่านกลุ่ม Line และ Facebook ➡️ เงินถูกแปลงเป็น USDT แล้วส่งผ่านบัญชีในกัมพูชาและเมียนมา ✅ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ➡️ ตำรวจไทยร่วมมือกับ Binance และ Bitkub ในการติดตามธุรกรรมคริปโต ➡️ ยึดเงินสดกว่า 46 ล้านบาทจากผู้ต้องสงสัยในแม่สอด ➡️ ออกหมายจับ 28 คน รวมถึงผู้ต้องสงสัยต่างชาติและบัญชีม้า https://hackread.com/police-bust-crypto-scam-smishing-sms-blaster-operator/
    HACKREAD.COM
    Police Bust Crypto Scammers, Nab Smishing SMS Blaster Operator
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..กับสันดานคนเขมรต้องรั้วลวดหนามแบบเวียดนามนี้ล่ะ,เวียดนามมันได้จริงๆกับพวกเขมรแบบนี้.ต้นทุนไม่แพงอะไร,เหล็กลวดไทยมีวัตถุดิบ,รัฐสร้างโรงงานผลิตตรงเลยก็ได้,นำเข้าวัตถุดิบปลอดภาษีก็ได้อีก,ห้ามเอกชนรายใดมาวุ่นวายด้วย,หรือหาแดกงบหลวงแม้ตัวนายพลชั่วเลวฝ่ายทหารเองก็ด้วย,เอาจริงๆมันจัดการง่ายจะตายก็ว่า,ถนนลาดยางกิโลเมตรละ1ล้านยังทำได้,แค่800กว่ากิโลเมตรตลอดพรมแดนให้กิโลเมตรละ10ล้านบาทอย่างดีแบบหนาแบบเปลี่ยนสะดวกสบายยกแผงก็ทำได้,รวมก็แค่8,000ล้านบาทเอง,กากมาก,ที่ชดเชยภาษีทรัมป์ที่เป็นข่าวว่าใช้ตังกว่า200,000ล้านบาทใช้ช่วยกิจการเอกชนไทยและโรงงานนายทุนต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทยส่งไปอเมริกามันยังช่วยพวกเหี้ยนี้มากกว่าอีก,200,000ล้านบาทนะถ้าให้แจกแจงรายละเอียดเปิดเผยเอกสารเป็นเว็บสาธารณะว่าใช้จริงไปไหนบ้าง เงิน200,000ล้านบาทนี้ชดเชยเอกชนรายใด โรงงานใดบ้างเป็นกระแสการไหลของเงินสดอย่างชัดเจนคงประชาชนตาสว่างกว่านี้อีก,หรืออดีตงบสร้างถนนหนทางปัจจุบันแบบกูขยายถนนแล้วขยายอีกซ้อมแล้วซ้อมซ้ำซากอีก ทั่วไทยอาจใช้งบตลอดทั้งปีกว่าแสนล้านบาทล่ะ ทำให้มีคุณภาพมาตราขนาดไหนอีกก็ไม่รู้ รถพ่วงเกิน21ตันเหยียบถนนหลวงไม่กี่เที่ยวก็ซ้อมอีกแล้วเป็นต้น,ถนนชาวบ้านไทบ้านรถพ่วงไปเหยียบครั้งเดียวถนนเป็นหลุมเลยพังเลยก็ว่า,จริงๆมาตราฐานถนนทั้งหมดทั่วประเทศต้องเกิน21ตันให้หมดเพราะเอกชนมักง่ายมาก หลายๆถนนชนบททั่วไทยใช้ทางโทมิใช่ทางเอก ลัดทางสั้นตรึม ถนนไทบ้านในชุมชนพังกันมากเพราะมิให้รถเกิน21ตันใช้,แต่เสือกวิ่งเป็นว่าเล่น,รถบรรทุกไทยเยอะมากๆในเวลานี้,ความปลอดภัยชาวบ้านประชาชนอันตรายด้วย,คนขับก็คนจีน คนลาว คนเขมร คนพม่า คนเวียดนามมากกว่าคนไทย,ยิ่งเป็นถนนข้ามแดนง่ายขึ้นเพื่อค้าขายขนส่ง วิ่งกระจายจริงๆ มอไซค์อักเสบและไปวัดไม่น้อย เพราะคนพวกนี้หมายสังหารคนไทยในท้องถนนง่ายๆด้วย ไร้น้ำจิตน้ำใจแบบคนไทย บดเบียด สีใกล้เหี้ยมีหมด.เข้าใต้ท้องมันมีมิใช่น้อยจากนั้นเอาตังตบหัวจบ.

    ..รั้วหนามทำได้สบายแต่เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองหรือทางหนีภัยลี้ภัยทางการเมืองตนจะลำบาก สมุนขี้ข้าลูกน้องจะหนีลำบาก ถูกจับได้จะซวยถึงนักการเมืองเดอะแก๊งอิทธิพลสั่งตายใครต่างๆไร้หลบหนีสะดวกทั้งกูและมรึงหากโดนคดีทางการเมืองจากไทย ช่องทางธรรมชาติทั่วรอบไทยจึงละเว้นไม่พยายามสร้าง นัยยะนี้ด้วย อะไรค้าขายเถื่อนๆกูก็ลำบากด้วยเป็นต้น ใครผีบ้าจะสร้างกำแพงตัดแหล่งช่องทางทำเงินทำตังมหาศาลของกู.



    https://www.youtube.com/shorts/lD7tGLBMEDE
    ..กับสันดานคนเขมรต้องรั้วลวดหนามแบบเวียดนามนี้ล่ะ,เวียดนามมันได้จริงๆกับพวกเขมรแบบนี้.ต้นทุนไม่แพงอะไร,เหล็กลวดไทยมีวัตถุดิบ,รัฐสร้างโรงงานผลิตตรงเลยก็ได้,นำเข้าวัตถุดิบปลอดภาษีก็ได้อีก,ห้ามเอกชนรายใดมาวุ่นวายด้วย,หรือหาแดกงบหลวงแม้ตัวนายพลชั่วเลวฝ่ายทหารเองก็ด้วย,เอาจริงๆมันจัดการง่ายจะตายก็ว่า,ถนนลาดยางกิโลเมตรละ1ล้านยังทำได้,แค่800กว่ากิโลเมตรตลอดพรมแดนให้กิโลเมตรละ10ล้านบาทอย่างดีแบบหนาแบบเปลี่ยนสะดวกสบายยกแผงก็ทำได้,รวมก็แค่8,000ล้านบาทเอง,กากมาก,ที่ชดเชยภาษีทรัมป์ที่เป็นข่าวว่าใช้ตังกว่า200,000ล้านบาทใช้ช่วยกิจการเอกชนไทยและโรงงานนายทุนต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทยส่งไปอเมริกามันยังช่วยพวกเหี้ยนี้มากกว่าอีก,200,000ล้านบาทนะถ้าให้แจกแจงรายละเอียดเปิดเผยเอกสารเป็นเว็บสาธารณะว่าใช้จริงไปไหนบ้าง เงิน200,000ล้านบาทนี้ชดเชยเอกชนรายใด โรงงานใดบ้างเป็นกระแสการไหลของเงินสดอย่างชัดเจนคงประชาชนตาสว่างกว่านี้อีก,หรืออดีตงบสร้างถนนหนทางปัจจุบันแบบกูขยายถนนแล้วขยายอีกซ้อมแล้วซ้อมซ้ำซากอีก ทั่วไทยอาจใช้งบตลอดทั้งปีกว่าแสนล้านบาทล่ะ ทำให้มีคุณภาพมาตราขนาดไหนอีกก็ไม่รู้ รถพ่วงเกิน21ตันเหยียบถนนหลวงไม่กี่เที่ยวก็ซ้อมอีกแล้วเป็นต้น,ถนนชาวบ้านไทบ้านรถพ่วงไปเหยียบครั้งเดียวถนนเป็นหลุมเลยพังเลยก็ว่า,จริงๆมาตราฐานถนนทั้งหมดทั่วประเทศต้องเกิน21ตันให้หมดเพราะเอกชนมักง่ายมาก หลายๆถนนชนบททั่วไทยใช้ทางโทมิใช่ทางเอก ลัดทางสั้นตรึม ถนนไทบ้านในชุมชนพังกันมากเพราะมิให้รถเกิน21ตันใช้,แต่เสือกวิ่งเป็นว่าเล่น,รถบรรทุกไทยเยอะมากๆในเวลานี้,ความปลอดภัยชาวบ้านประชาชนอันตรายด้วย,คนขับก็คนจีน คนลาว คนเขมร คนพม่า คนเวียดนามมากกว่าคนไทย,ยิ่งเป็นถนนข้ามแดนง่ายขึ้นเพื่อค้าขายขนส่ง วิ่งกระจายจริงๆ มอไซค์อักเสบและไปวัดไม่น้อย เพราะคนพวกนี้หมายสังหารคนไทยในท้องถนนง่ายๆด้วย ไร้น้ำจิตน้ำใจแบบคนไทย บดเบียด สีใกล้เหี้ยมีหมด.เข้าใต้ท้องมันมีมิใช่น้อยจากนั้นเอาตังตบหัวจบ. ..รั้วหนามทำได้สบายแต่เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองหรือทางหนีภัยลี้ภัยทางการเมืองตนจะลำบาก สมุนขี้ข้าลูกน้องจะหนีลำบาก ถูกจับได้จะซวยถึงนักการเมืองเดอะแก๊งอิทธิพลสั่งตายใครต่างๆไร้หลบหนีสะดวกทั้งกูและมรึงหากโดนคดีทางการเมืองจากไทย ช่องทางธรรมชาติทั่วรอบไทยจึงละเว้นไม่พยายามสร้าง นัยยะนี้ด้วย อะไรค้าขายเถื่อนๆกูก็ลำบากด้วยเป็นต้น ใครผีบ้าจะสร้างกำแพงตัดแหล่งช่องทางทำเงินทำตังมหาศาลของกู. https://www.youtube.com/shorts/lD7tGLBMEDE
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เขมรเปิดก่อน2.
    #ยกเลิกmou43และ44หากรัฐบาลชุดนี้ยังกอดไว้คือกบฎแผ่นดินที่เจตนาให้ไทยสูญเสียดินแดนอธิปไตยไทยชัดเจน.
    #เขมรวางกับระเบิดเปิดสงครามก่อน.
    #ทหารไทยขาขาดแล้วขาอีกทำไม!!!
    #ใครสั่งห้ามต้องลงพื้นที่ลาดตะเวนทันที.

    #กฎอัยการศึกทั่วประเทศทันที

    ..ตอนนี้มาเลย์นำโดยciaอเมริกาปั่นภาคใต้ไทยสุมหัวกับเขมรจะตียึดอีสานใต้ไทยและยึดภาคใต้ไทยด้วยแล้ว,ไทยเราต้องแจกกฐินสามัคคีจริงจังแล้วด้วย ตัดตอนมิให้อเมริกาหรือจีนมามุกให้อาเชียนเราเป็นสมรภูมิรบสงครามโลกที่3เด็ดขาด ชาติอาเชียนต้องตั้งตนเป็นอิสระได้แล้ว ห้ามอเมริกาหรือต่างชาติใดๆคุกคามอาเชียน มาเลย์สิงตโปร์หากทรยศอาเชียนต้องกำจัดออกจากอาเชียนขับออกทันที,ถือว่าเป็นภัยต่ออาเชียนนำเข้าอเมริกามาตั้งทัพในภูมิภาคอาเชียนและฟิลิปปินส์ก็ด้วย,สร้างความไม่สงบในอาเชียนชัดเจน,อาเชียนต้องบูรณาการใหม่จริงๆ,นี้มิใช่ศึกแค่ไทยกับเขมรอีกต่อไป แต่คือศึกของชาติทรยศอาเชียนนำเข้าอเมริกามาทำสงครามใหญ่ในภูมิภาคตนสร้างความเสียหายครั้งใหญ่แก่ประชาชนคนอาเชียนในภูมิภาคนี้แน่นอน,ทั้งละโมบอยากยึดไทยเป็นที่ตั้งฐานทัพของพวกฝรั่งตะวันตกด้วยโดยชาติทรยศที่เปิดเผยชัดเจนคือเขมรต้องการยึดดินแดนอีสานใต้ของไทยเป็นฐานทัพฝรั่งต้องการทหารฝรั่งต่างๆจะพันธมิตรอเมริกาหรือทหารอเมริกามาอยู่อาศัยตั้งฐานรบในไทยชัดเจน,บวกมาเลย์ก็หมายยึดภาคใต้ไทยตีไทยพร้อมกับเขมรโจมตีไทย,เพื่อให้ฝรั่งและพันธมิตรฝรั่งต่างๆแบบอเมริกามาตั้งฐานทัพในไทยอีกแห่งได้ด้วยเช่นกันอาจคือพังงาที่ตั้งธงไว้ กั้นขนส่งน้ำมันเข้าออกไปจีนเด็ดขาดด้วยนั้นเอง.,และเป็นฐานฮับการค้าระดับโลกในอนาคตด้วย กินทั้งทางสงครามฆ่าเจ้าหนี้แบบจีน กินไทยทั้งเม็ดเงินมหาศาลในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจการเงินการค้าการตลาดสำคัญระดับโลกด้วย,ยึดพื้นที่ครอบครองพื้นที่ปล้นชิงแย่งชิงพื้นที่ทำเงินของไทยอย่างหน้ามึนหน้าด้านหน้าหนาไม่มีความละอายใจใดๆได้นั้นเองแบบปล้นบ่อน้ำมันของไทยทั้งประเทศไปแล้ว.
    ..ทหารไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจริงๆจังหวะหมดสมขึ้นอยู่กับท่านแล้ว,จะตัดกำลังตัดจังหวะตัดตอนเตะตัดขาเสียจังหวะพวกมันในแผนการต่างๆที่วางไว้ไม่น้อยเลย,แม้มันเตรียมแผนรับมือไว้ก็จริงแต่ในทางหน้างานมีอักเสบแน่นอน,แค่ทำพร้อมกับอายัดกระแสเงินสดไหลเข้าไหลออกจากประเทศทันทีคือเงินใดๆโอนเข้าโอนออกอายัดไว้ทั้งหมดก่อนทันที เจ้าของตัวจริงสามารถเข้าไปติดต่อชี้แจ้งขอดำเนินการปลดอายัดได้ แต่ต้องผ่านการตรวจสอบทุกๆประการตามมาตราความมั่นคงปลอดภัยทั้งหมดก่อนจึงสามารถปลดปล่อยการอายัดได้,ทุกๆบาททุกสตางค์โดนหมด,ทุนต่างชาติใดๆจะใช้ตังเคลื่อนไหวมีลำบากแน่เพราะทุกๆอย่างมันใช้เงินนั้นเอง.โจรเองขนาดตังไม่มางานก็ไม่เดินนั้นเอง.และสาระพัดยุทธวิธีเชือดพวกกบฎทรยศต่ออธิปไตยไทยได้,นี้คือสงครามเต็มรูปแบบ สงครามตังคือที่พูดๆกันคือสงครามเศรษฐกิจ สงครามเชื้อโรคแบบวัคซีนโควิด สงครามตัวแทนแบบเขมรตบมือข้างเดียวอยู่นี้ที่ทหารไทยไม่เป็นตัวแทนใครเหมือนเขมร,และไม่หลงกลรัฐบาลที่นายกฯถูกพักงานจากข้อหาร้ายแรงที่สุดที่มองว่าทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามตน ตนซึ่งสมรู้ร่วมคิดเข้าด้วยกับเขมรเป็นพวกเขมรฮุนเซนอังเคิลตนชัดเจนว่าเข้าด้วยกับศัตรูเป็นฝ่ายเดียวกันกับศัตรูภัยรุกรานคุกคามประเทศไทยตนจึงสรุปว่าเป็นกบฎชัดเจนต่อราชอาณาจักรตนทั้งคณะทีมชุดรัฐบาลยังไม่ยินยอมแก้ไขต้นเหตุของปัญหาคือไม่ยอมยกเลิกmou43และ44นั้นย่อมแสดงชัดเจนเป็นประจักษ์ชัด มีเจตนาทำให้ประเทศเสียดินแดนและอธิปไตยไทยต่อเขมรภัยความมั่นคงอธิปไตยชาติตนเองที่ละเมิดข้อตกลงกว่า600ครั้งที่บันทึกไว้เป็นทางการและไม่เป็นทางการกว่า1,000ครั้งมีประชาชนคนบริสุทธิ์เสียชีวิตชัดเจนตลอดทหารไทยที่สูญเสียชีวิตเช่นกันทั้งพิการและบาดเจ็บมีจำนวนสะสมไม่น้อยในการยึด1:200,000ที่ทั้งความจริงมีการปักปันแดนดินในอดีตอยู่แล้ว เช่นสันปันน้ำ อัตรา1:50,000ที่สากลใช้กับลาวกับเวียดนาม ,จึงชี้ชัดเจนว่ารัฐบาลปัจจุบันมีเจตนานั้นพร้อมพยานหลักฐานชัดเจน พรรคหลักและพรรคร่วมรวมคือรัฐบาลทั้งชุดคณะเป็นกบฎต่ออธิปไตยดินแดนไทยตนชัดเจน.,และพิสูจน์ชัดเจนว่ามีผู้กระทำผิดในอดีตด้วย.,จากบิ๊กกุ้งยึดดินแดนจากเขมรพื้นที่จากเขมรสำเร็จตลอดพรมแดนภายใต้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ดูแลที่เป็นหลักจุดๆคือ11จุด ,ผู้กระทำการละเว้นในหน้าที่ในอดีตต้องถูกลงโทษร่วมด้วยทุกๆคน.
    ..
    ..กฎอัยการศึกไทยใครจะมีแทรกแซงในราชอาณาจักรเราไม่ได้,เราสามารถเชิญฑูตต่างชาติที่เห็นต่างออกนอกประเทศได้ทันที,ฑูตลักษณะนี้เสียการแทรกแซงแทรกซึมไม่สามารถสร้างความไม่สงบ ไม่สามารถเป็นมือที่สาม ไม่สามารถก่อจราจรทางลับ ไม่สามารถก่อความวุ่นวายหลักฉาก ไม่สามารถก่อโกลาหลหรือก่ออาชญากรรมทางการปกครองในประเทศนั้นๆได้นั่นเองจึงโว้ยวายตอแหลดัดจริตแกล้งรับไม่ได้ ตนเสียประโยชน์ทำลายประเทศนั้นเอง จึงสามารถคิดการณ์เป็นอื่นไม่ได้ เสี่ยงคือภัยความมั่นคงภายในเราต้องเชิญออกนอกประเทศไทยทันทีเช่นกัน.



    https://youtube.com/watch?v=Q-Ep7cOkQPw&si=OgQTm2Y43ZFo4cok
    #เขมรเปิดก่อน2. #ยกเลิกmou43และ44หากรัฐบาลชุดนี้ยังกอดไว้คือกบฎแผ่นดินที่เจตนาให้ไทยสูญเสียดินแดนอธิปไตยไทยชัดเจน. #เขมรวางกับระเบิดเปิดสงครามก่อน. #ทหารไทยขาขาดแล้วขาอีกทำไม!!! #ใครสั่งห้ามต้องลงพื้นที่ลาดตะเวนทันที. #กฎอัยการศึกทั่วประเทศทันที ..ตอนนี้มาเลย์นำโดยciaอเมริกาปั่นภาคใต้ไทยสุมหัวกับเขมรจะตียึดอีสานใต้ไทยและยึดภาคใต้ไทยด้วยแล้ว,ไทยเราต้องแจกกฐินสามัคคีจริงจังแล้วด้วย ตัดตอนมิให้อเมริกาหรือจีนมามุกให้อาเชียนเราเป็นสมรภูมิรบสงครามโลกที่3เด็ดขาด ชาติอาเชียนต้องตั้งตนเป็นอิสระได้แล้ว ห้ามอเมริกาหรือต่างชาติใดๆคุกคามอาเชียน มาเลย์สิงตโปร์หากทรยศอาเชียนต้องกำจัดออกจากอาเชียนขับออกทันที,ถือว่าเป็นภัยต่ออาเชียนนำเข้าอเมริกามาตั้งทัพในภูมิภาคอาเชียนและฟิลิปปินส์ก็ด้วย,สร้างความไม่สงบในอาเชียนชัดเจน,อาเชียนต้องบูรณาการใหม่จริงๆ,นี้มิใช่ศึกแค่ไทยกับเขมรอีกต่อไป แต่คือศึกของชาติทรยศอาเชียนนำเข้าอเมริกามาทำสงครามใหญ่ในภูมิภาคตนสร้างความเสียหายครั้งใหญ่แก่ประชาชนคนอาเชียนในภูมิภาคนี้แน่นอน,ทั้งละโมบอยากยึดไทยเป็นที่ตั้งฐานทัพของพวกฝรั่งตะวันตกด้วยโดยชาติทรยศที่เปิดเผยชัดเจนคือเขมรต้องการยึดดินแดนอีสานใต้ของไทยเป็นฐานทัพฝรั่งต้องการทหารฝรั่งต่างๆจะพันธมิตรอเมริกาหรือทหารอเมริกามาอยู่อาศัยตั้งฐานรบในไทยชัดเจน,บวกมาเลย์ก็หมายยึดภาคใต้ไทยตีไทยพร้อมกับเขมรโจมตีไทย,เพื่อให้ฝรั่งและพันธมิตรฝรั่งต่างๆแบบอเมริกามาตั้งฐานทัพในไทยอีกแห่งได้ด้วยเช่นกันอาจคือพังงาที่ตั้งธงไว้ กั้นขนส่งน้ำมันเข้าออกไปจีนเด็ดขาดด้วยนั้นเอง.,และเป็นฐานฮับการค้าระดับโลกในอนาคตด้วย กินทั้งทางสงครามฆ่าเจ้าหนี้แบบจีน กินไทยทั้งเม็ดเงินมหาศาลในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจการเงินการค้าการตลาดสำคัญระดับโลกด้วย,ยึดพื้นที่ครอบครองพื้นที่ปล้นชิงแย่งชิงพื้นที่ทำเงินของไทยอย่างหน้ามึนหน้าด้านหน้าหนาไม่มีความละอายใจใดๆได้นั้นเองแบบปล้นบ่อน้ำมันของไทยทั้งประเทศไปแล้ว. ..ทหารไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศจริงๆจังหวะหมดสมขึ้นอยู่กับท่านแล้ว,จะตัดกำลังตัดจังหวะตัดตอนเตะตัดขาเสียจังหวะพวกมันในแผนการต่างๆที่วางไว้ไม่น้อยเลย,แม้มันเตรียมแผนรับมือไว้ก็จริงแต่ในทางหน้างานมีอักเสบแน่นอน,แค่ทำพร้อมกับอายัดกระแสเงินสดไหลเข้าไหลออกจากประเทศทันทีคือเงินใดๆโอนเข้าโอนออกอายัดไว้ทั้งหมดก่อนทันที เจ้าของตัวจริงสามารถเข้าไปติดต่อชี้แจ้งขอดำเนินการปลดอายัดได้ แต่ต้องผ่านการตรวจสอบทุกๆประการตามมาตราความมั่นคงปลอดภัยทั้งหมดก่อนจึงสามารถปลดปล่อยการอายัดได้,ทุกๆบาททุกสตางค์โดนหมด,ทุนต่างชาติใดๆจะใช้ตังเคลื่อนไหวมีลำบากแน่เพราะทุกๆอย่างมันใช้เงินนั้นเอง.โจรเองขนาดตังไม่มางานก็ไม่เดินนั้นเอง.และสาระพัดยุทธวิธีเชือดพวกกบฎทรยศต่ออธิปไตยไทยได้,นี้คือสงครามเต็มรูปแบบ สงครามตังคือที่พูดๆกันคือสงครามเศรษฐกิจ สงครามเชื้อโรคแบบวัคซีนโควิด สงครามตัวแทนแบบเขมรตบมือข้างเดียวอยู่นี้ที่ทหารไทยไม่เป็นตัวแทนใครเหมือนเขมร,และไม่หลงกลรัฐบาลที่นายกฯถูกพักงานจากข้อหาร้ายแรงที่สุดที่มองว่าทหารไทยคือฝ่ายตรงข้ามตน ตนซึ่งสมรู้ร่วมคิดเข้าด้วยกับเขมรเป็นพวกเขมรฮุนเซนอังเคิลตนชัดเจนว่าเข้าด้วยกับศัตรูเป็นฝ่ายเดียวกันกับศัตรูภัยรุกรานคุกคามประเทศไทยตนจึงสรุปว่าเป็นกบฎชัดเจนต่อราชอาณาจักรตนทั้งคณะทีมชุดรัฐบาลยังไม่ยินยอมแก้ไขต้นเหตุของปัญหาคือไม่ยอมยกเลิกmou43และ44นั้นย่อมแสดงชัดเจนเป็นประจักษ์ชัด มีเจตนาทำให้ประเทศเสียดินแดนและอธิปไตยไทยต่อเขมรภัยความมั่นคงอธิปไตยชาติตนเองที่ละเมิดข้อตกลงกว่า600ครั้งที่บันทึกไว้เป็นทางการและไม่เป็นทางการกว่า1,000ครั้งมีประชาชนคนบริสุทธิ์เสียชีวิตชัดเจนตลอดทหารไทยที่สูญเสียชีวิตเช่นกันทั้งพิการและบาดเจ็บมีจำนวนสะสมไม่น้อยในการยึด1:200,000ที่ทั้งความจริงมีการปักปันแดนดินในอดีตอยู่แล้ว เช่นสันปันน้ำ อัตรา1:50,000ที่สากลใช้กับลาวกับเวียดนาม ,จึงชี้ชัดเจนว่ารัฐบาลปัจจุบันมีเจตนานั้นพร้อมพยานหลักฐานชัดเจน พรรคหลักและพรรคร่วมรวมคือรัฐบาลทั้งชุดคณะเป็นกบฎต่ออธิปไตยดินแดนไทยตนชัดเจน.,และพิสูจน์ชัดเจนว่ามีผู้กระทำผิดในอดีตด้วย.,จากบิ๊กกุ้งยึดดินแดนจากเขมรพื้นที่จากเขมรสำเร็จตลอดพรมแดนภายใต้อำนาจปฏิบัติหน้าที่ดูแลที่เป็นหลักจุดๆคือ11จุด ,ผู้กระทำการละเว้นในหน้าที่ในอดีตต้องถูกลงโทษร่วมด้วยทุกๆคน. .. ..กฎอัยการศึกไทยใครจะมีแทรกแซงในราชอาณาจักรเราไม่ได้,เราสามารถเชิญฑูตต่างชาติที่เห็นต่างออกนอกประเทศได้ทันที,ฑูตลักษณะนี้เสียการแทรกแซงแทรกซึมไม่สามารถสร้างความไม่สงบ ไม่สามารถเป็นมือที่สาม ไม่สามารถก่อจราจรทางลับ ไม่สามารถก่อความวุ่นวายหลักฉาก ไม่สามารถก่อโกลาหลหรือก่ออาชญากรรมทางการปกครองในประเทศนั้นๆได้นั่นเองจึงโว้ยวายตอแหลดัดจริตแกล้งรับไม่ได้ ตนเสียประโยชน์ทำลายประเทศนั้นเอง จึงสามารถคิดการณ์เป็นอื่นไม่ได้ เสี่ยงคือภัยความมั่นคงภายในเราต้องเชิญออกนอกประเทศไทยทันทีเช่นกัน. https://youtube.com/watch?v=Q-Ep7cOkQPw&si=OgQTm2Y43ZFo4cok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท่านแม่ทัพอย่าใช้นะคะ "ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงๆทำไมไม่ให้เป็นเงินสดมา เอาโดรนมาให้ทำไม?"ตามที่คุณสมชาย แสวงการ เขียนไว้บอกตามตรงความเชื่อใจ"0,มอบเงินให้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจัดหาไว้ใจได้เราเชื่อใจ❤
    ท่านแม่ทัพอย่าใช้นะคะ "ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงๆทำไมไม่ให้เป็นเงินสดมา เอาโดรนมาให้ทำไม?🙄"ตามที่คุณสมชาย แสวงการ เขียนไว้บอกตามตรงความเชื่อใจ"0,มอบเงินให้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจัดหาไว้ใจได้เราเชื่อใจ❤👍
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมอบีปะทะหลวงพ่ออลงกต! เงินบริจาควัดปริศนา ใครอมเงิน? ใครทอนเงิน? หมอบียันหลวงพ่อต้นคิดให้ถวายเงินสด หลวงพ่อสวนกลับหมอบีคิดเอง แถมไม่เคยแจงบัญชี เสียหายกว่า 5 ล้าน! งานนี้ใครพูดจริง ใครโกหก ตำรวจสอบสวนกลางรู้ดี!

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075903

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    หมอบีปะทะหลวงพ่ออลงกต! เงินบริจาควัดปริศนา ใครอมเงิน? ใครทอนเงิน? หมอบียันหลวงพ่อต้นคิดให้ถวายเงินสด หลวงพ่อสวนกลับหมอบีคิดเอง แถมไม่เคยแจงบัญชี เสียหายกว่า 5 ล้าน! งานนี้ใครพูดจริง ใครโกหก ตำรวจสอบสวนกลางรู้ดี! อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075903 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปฏิบัติการเชือดเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ ตำรวจสอบสวนกลางบุกจับ 3 ผู้ต้องหาชาวเมียนมา พัวพันขบวนการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่านเพจและแอปปลอม ลากเส้นทางเงินดิจิทัลโยง Huione Pay กัมพูชา ก่อนเปลี่ยนเป็นเงินสดขนข้ามแม่สอดสู่เมียวดี รวมมูลค่ากว่า 46 ล้านบาท จุดไฟร้อนในสงครามอาชญากรรมไซเบอร์ภูมิภาค

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075439

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ปฏิบัติการเชือดเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ ตำรวจสอบสวนกลางบุกจับ 3 ผู้ต้องหาชาวเมียนมา พัวพันขบวนการหลอกลงทุนเทรดหุ้นผ่านเพจและแอปปลอม ลากเส้นทางเงินดิจิทัลโยง Huione Pay กัมพูชา ก่อนเปลี่ยนเป็นเงินสดขนข้ามแม่สอดสู่เมียวดี รวมมูลค่ากว่า 46 ล้านบาท จุดไฟร้อนในสงครามอาชญากรรมไซเบอร์ภูมิภาค อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000075439 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 608 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์

    ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป

    แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้

    ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม

    นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ

    บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย

    แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน

    Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024
    มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools

    ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน
    ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด

    ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก
    เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation

    การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล
    Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี

    การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป
    พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions

    Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ
    เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings

    แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection
    Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi

    ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
    คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต

    Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง
    แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง

    End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย
    ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering

    การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที
    ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack

    https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
    🛡️💸 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์ ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้ ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน ✅ Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024 ➡️ มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools ✅ ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน ➡️ ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด ✅ ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก ➡️ เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation ✅ การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล ➡️ Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี ✅ การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป ➡️ พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions ✅ Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ ➡️ เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings ✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection ➡️ Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi ✅ ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ➡️ คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต ✅ Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง ➡️ แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง ✅ End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย ➡️ ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering ✅ การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที ➡️ ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
    HACKREAD.COM
    Navigating Cybersecurity Risks in Crypto-Backed Lending
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก

    Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก

    นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา

    การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น

    Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI
    มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก
    ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์
    ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา
    ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์

    การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา
    มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม”
    ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา

    นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน
    คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา
    มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด

    ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง
    ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง
    มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้

    นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ
    บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา

    การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน
    บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI
    ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

    บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง
    ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา
    มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ✅ Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI ➡️ มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก ➡️ ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์ ➡️ ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา ➡️ ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์ ✅ การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา ➡️ มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม” ➡️ ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา ✅ นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน ➡️ คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา ➡️ มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด ✅ ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง ➡️ ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง ➡️ มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้ ✅ นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ ➡️ บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา ✅ การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน ➡️ บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ➡️ ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ✅ บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง ➡️ ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา ➡️ มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI researchers are negotiating US$250mil pay packages. Just like NBA stars
    They have been aided by scarcity: Only a small pool of people have the technical know-how and experience to work on advanced artificial intelligence systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 284 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากซิลิคอนแวลลีย์: เมื่อ “ความรู้” กลายเป็นภัยความมั่นคง

    Cadence Design Systems บริษัทออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับการสร้างชิป (EDA tools) จากสหรัฐฯ ได้ยอมรับผิดและถูกปรับกว่า 140 ล้านดอลลาร์ หลังจากส่งออกเทคโนโลยีไปยังมหาวิทยาลัยแห่งชาติเพื่อการป้องกันประเทศของจีน (NUDT) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการจำลองการระเบิดนิวเคลียร์และการพัฒนาอาวุธ

    แม้ NUDT จะถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2015 แต่ Cadence และบริษัทลูกในจีนยังคงส่งออกซอฟต์แวร์ผ่านนามแฝงอย่าง CSCC และ Phytium โดยไม่ขอใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

    การกระทำนี้เกิดขึ้นกว่า 56 ครั้งในช่วงปี 2015–2020 และมีหลักฐานว่าพนักงานของ Cadence China ติดตั้งฮาร์ดแวร์บนแคมปัสของ NUDT และอำนวยความสะดวกในการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากพอร์ทัลของบริษัท

    Cadence ยอมรับผิดและถูกปรับรวมกว่า 140 ล้านดอลลาร์
    รวมค่าปรับทางอาญาและทางแพ่งจากกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
    อยู่ภายใต้การคุมประพฤติ 3 ปี พร้อมเงื่อนไขการปรับปรุงระบบควบคุมการส่งออก

    ส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยัง NUDT โดยใช้ชื่อแฝง CSCC และ Phytium
    มีการส่งออกอย่างน้อย 56 ครั้งระหว่างปี 2015–2020
    พนักงานรู้ว่า CSCC เป็นนามแฝงของ NUDT แต่ยังดำเนินการต่อ

    NUDT ถูกขึ้นบัญชีดำตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ ในการจำลองการระเบิดนิวเคลียร์
    เป็นมหาวิทยาลัยภายใต้การควบคุมของคณะกรรมาธิการทหารกลางของจีน
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอาวุธและซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีน

    Cadence China ถูกกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลจากฝ่ายควบคุมภายในของบริษัทแม่
    ใช้ชื่อ NUDT เฉพาะในภาษาจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
    มีการส่งอีเมลภายในเตือนว่า “เรื่องนี้อ่อนไหวเกินไป”

    แม้จะถูกปรับ แต่ Cadence ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีตามนโยบายของรัฐบาลทรัมป์
    ลดภาระภาษีเงินสดได้ประมาณเท่ากับค่าปรับ
    ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเติบโตถึง 20%

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-semiconductor-design-company-fined-usd140-million-over-china-dealings-sold-software-to-a-military-institution-thought-to-be-conducting-nuclear-explosion-simulations
    🎙️ เรื่องเล่าจากซิลิคอนแวลลีย์: เมื่อ “ความรู้” กลายเป็นภัยความมั่นคง Cadence Design Systems บริษัทออกแบบซอฟต์แวร์สำหรับการสร้างชิป (EDA tools) จากสหรัฐฯ ได้ยอมรับผิดและถูกปรับกว่า 140 ล้านดอลลาร์ หลังจากส่งออกเทคโนโลยีไปยังมหาวิทยาลัยแห่งชาติเพื่อการป้องกันประเทศของจีน (NUDT) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการจำลองการระเบิดนิวเคลียร์และการพัฒนาอาวุธ แม้ NUDT จะถูกขึ้นบัญชีดำโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2015 แต่ Cadence และบริษัทลูกในจีนยังคงส่งออกซอฟต์แวร์ผ่านนามแฝงอย่าง CSCC และ Phytium โดยไม่ขอใบอนุญาตอย่างถูกต้อง การกระทำนี้เกิดขึ้นกว่า 56 ครั้งในช่วงปี 2015–2020 และมีหลักฐานว่าพนักงานของ Cadence China ติดตั้งฮาร์ดแวร์บนแคมปัสของ NUDT และอำนวยความสะดวกในการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์จากพอร์ทัลของบริษัท ✅ Cadence ยอมรับผิดและถูกปรับรวมกว่า 140 ล้านดอลลาร์ ➡️ รวมค่าปรับทางอาญาและทางแพ่งจากกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ➡️ อยู่ภายใต้การคุมประพฤติ 3 ปี พร้อมเงื่อนไขการปรับปรุงระบบควบคุมการส่งออก ✅ ส่งออกซอฟต์แวร์ EDA ไปยัง NUDT โดยใช้ชื่อแฝง CSCC และ Phytium ➡️ มีการส่งออกอย่างน้อย 56 ครั้งระหว่างปี 2015–2020 ➡️ พนักงานรู้ว่า CSCC เป็นนามแฝงของ NUDT แต่ยังดำเนินการต่อ ✅ NUDT ถูกขึ้นบัญชีดำตั้งแต่ปี 2015 เนื่องจากใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ ในการจำลองการระเบิดนิวเคลียร์ ➡️ เป็นมหาวิทยาลัยภายใต้การควบคุมของคณะกรรมาธิการทหารกลางของจีน ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอาวุธและซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีน ✅ Cadence China ถูกกล่าวหาว่าปกปิดข้อมูลจากฝ่ายควบคุมภายในของบริษัทแม่ ➡️ ใช้ชื่อ NUDT เฉพาะในภาษาจีนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ➡️ มีการส่งอีเมลภายในเตือนว่า “เรื่องนี้อ่อนไหวเกินไป” ✅ แม้จะถูกปรับ แต่ Cadence ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีตามนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ ➡️ ลดภาระภาษีเงินสดได้ประมาณเท่ากับค่าปรับ ➡️ ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดเติบโตถึง 20% https://www.tomshardware.com/tech-industry/u-s-semiconductor-design-company-fined-usd140-million-over-china-dealings-sold-software-to-a-military-institution-thought-to-be-conducting-nuclear-explosion-simulations
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    U.S. semiconductor design company fined $140 million over China dealings — sold software to a military institution thought to be conducting nuclear explosion simulations
    Cadence admits guilt in exporting chip design tools to China’s National University of Defense Technology, which is believed to be working on the Chinese nuclear program.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • สินเชื่อเงินสด v.s. สินเชื่อค้ำประกัน ต่างกันอย่างไร ?
    สินเชื่อเงินสด v.s. สินเชื่อค้ำประกัน ต่างกันอย่างไร ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเซมิคอนดักเตอร์: เมื่อ STMicro ขยายอาณาจักรด้วยเซนเซอร์จาก NXP

    ในยุคที่ตลาดชิปสำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรมกำลังชะลอตัว STMicroelectronics กลับเดินเกมรุกด้วยการเข้าซื้อกิจการบางส่วนของ NXP Semiconductors ซึ่งเน้นด้าน MEMS-based electromechanical sensors เช่น:
    - เซนเซอร์ความปลอดภัยและการตรวจสอบสำหรับรถยนต์
    - เซนเซอร์วัดแรงดันสำหรับระบบอุตสาหกรรม

    ดีลนี้มีรายละเอียดดังนี้:
    - จ่ายเงินสดล่วงหน้า 900 ล้านดอลลาร์
    - จ่ายเพิ่มอีก 50 ล้านดอลลาร์ เมื่อบรรลุเป้าหมายทางเทคนิคบางประการ
    - ธุรกิจเซนเซอร์ของ NXP ที่ขายให้ STMicro มีรายได้ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา
    - คาดว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นในครึ่งแรกของปี 2026

    อย่างไรก็ตาม STMicro เพิ่งรายงานผลประกอบการขาดทุนไตรมาสแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยมีค่าใช้จ่ายจากการปรับโครงสร้างและการด้อยค่าทรัพย์สินถึง 190 ล้านดอลลาร์

    STMicroelectronics จะซื้อกิจการบางส่วนของธุรกิจเซนเซอร์จาก NXP
    มูลค่ารวมสูงสุดถึง 950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    ดีลนี้เน้นเซนเซอร์แบบ MEMS สำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรม
    เช่น เซนเซอร์ความปลอดภัยและเซนเซอร์วัดแรงดัน

    STMicro จะจ่ายเงินสดล่วงหน้า 900 ล้านดอลลาร์
    และอีก 50 ล้านดอลลาร์เมื่อบรรลุเป้าหมายทางเทคนิค

    ธุรกิจเซนเซอร์ของ NXP มีรายได้ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา
    เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพแม้ตลาดชิปโดยรวมจะชะลอตัว

    การซื้อกิจการคาดว่าจะเสร็จสิ้นในครึ่งแรกของปี 2026
    อยู่ระหว่างการดำเนินการและตรวจสอบ

    STMicro รายงานผลขาดทุนไตรมาสแรกในรอบกว่า 10 ปี
    ขาดทุนจากการปรับโครงสร้างและการด้อยค่าทรัพย์สิน 190 ล้านดอลลาร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/25/stmicro-to-buy-part-of-nxp-semiconductors039-sensor-business-for-up-to-950-million
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเซมิคอนดักเตอร์: เมื่อ STMicro ขยายอาณาจักรด้วยเซนเซอร์จาก NXP ในยุคที่ตลาดชิปสำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรมกำลังชะลอตัว STMicroelectronics กลับเดินเกมรุกด้วยการเข้าซื้อกิจการบางส่วนของ NXP Semiconductors ซึ่งเน้นด้าน MEMS-based electromechanical sensors เช่น: - เซนเซอร์ความปลอดภัยและการตรวจสอบสำหรับรถยนต์ - เซนเซอร์วัดแรงดันสำหรับระบบอุตสาหกรรม ดีลนี้มีรายละเอียดดังนี้: - จ่ายเงินสดล่วงหน้า 900 ล้านดอลลาร์ - จ่ายเพิ่มอีก 50 ล้านดอลลาร์ เมื่อบรรลุเป้าหมายทางเทคนิคบางประการ - ธุรกิจเซนเซอร์ของ NXP ที่ขายให้ STMicro มีรายได้ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา - คาดว่าการซื้อขายจะเสร็จสิ้นในครึ่งแรกของปี 2026 อย่างไรก็ตาม STMicro เพิ่งรายงานผลประกอบการขาดทุนไตรมาสแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยมีค่าใช้จ่ายจากการปรับโครงสร้างและการด้อยค่าทรัพย์สินถึง 190 ล้านดอลลาร์ ✅ STMicroelectronics จะซื้อกิจการบางส่วนของธุรกิจเซนเซอร์จาก NXP ➡️ มูลค่ารวมสูงสุดถึง 950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ✅ ดีลนี้เน้นเซนเซอร์แบบ MEMS สำหรับยานยนต์และอุตสาหกรรม ➡️ เช่น เซนเซอร์ความปลอดภัยและเซนเซอร์วัดแรงดัน ✅ STMicro จะจ่ายเงินสดล่วงหน้า 900 ล้านดอลลาร์ ➡️ และอีก 50 ล้านดอลลาร์เมื่อบรรลุเป้าหมายทางเทคนิค ✅ ธุรกิจเซนเซอร์ของ NXP มีรายได้ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ เป็นธุรกิจที่มีศักยภาพแม้ตลาดชิปโดยรวมจะชะลอตัว ✅ การซื้อกิจการคาดว่าจะเสร็จสิ้นในครึ่งแรกของปี 2026 ➡️ อยู่ระหว่างการดำเนินการและตรวจสอบ ✅ STMicro รายงานผลขาดทุนไตรมาสแรกในรอบกว่า 10 ปี ➡️ ขาดทุนจากการปรับโครงสร้างและการด้อยค่าทรัพย์สิน 190 ล้านดอลลาร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/25/stmicro-to-buy-part-of-nxp-semiconductors039-sensor-business-for-up-to-950-million
    WWW.THESTAR.COM.MY
    STMicro to buy part of NXP Semiconductors' sensor business for up to $950 million
    (Reuters) -French-Italian chipmaker STMicroelectronics said on Thursday it would acquire part of NXP Semiconductors' sensor unit for up to $950 million in cash.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
  • นครสวรรค์ - ตำรวจสอบสวนกลางตามค้นตู้เซฟ “ทิดสฤษดิ์” ถึงกุฏิเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ ขยายผลสอบเส้นเงินวัด..พบโฉนดสีกาเศรษฐินีอสังหาฯ อยู่ในตู้ด้วย พระเลขาฯ รับคุ้นชื่อแต่ไม่รู้ที่มาโฉนดโผล่กุฏิ

    ความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ซึ่งอดีตเจ้าอาวาสเพิ่งลาสิกขา หลังถูกร้องเรียนพัวพันสีกาและเงินวัดจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (22 ก.ค. 68) พ.ต.อ.สมรภูมิ ไทยเขียว รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ป.) พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนที่กลับจากการตรวจสอบพื้นที่พุทธอุทยานจังหวัดนครสวรรค์ ได้เข้าสอบสวนพยานเพิ่มเติมภายในวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะกลุ่มไวยาวัจกร เพื่อขยายผลเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเงินวัดและการบริหารจัดการที่ผ่านมา

    จากนั้นพนักงานสอบสวนได้เข้าตรวจสอบ “ตู้เซฟขนาดใหญ่” บนกุฏิของอดีตเจ้าอาวาส โดยอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวขึ้นไปเป็นตัวแทนร่วมสังเกตการณ์จำนวน 5 คน ซึ่งเมื่อเปิดตู้เซฟออกมาพบเอกสารบางส่วน เงินสดธนบัตรใบละ 20 บาท จำนวน 3 ปึก และพบ “โฉนดที่ดิน” ซึ่งระบุชื่อ นางสาวภูธินี กวินพิศาล เป็นเจ้าของอยู่ในตู้เซฟด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000069044

    #Thaitimes #MGROnline #ทิดสฤษดิ์
    นครสวรรค์ - ตำรวจสอบสวนกลางตามค้นตู้เซฟ “ทิดสฤษดิ์” ถึงกุฏิเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ ขยายผลสอบเส้นเงินวัด..พบโฉนดสีกาเศรษฐินีอสังหาฯ อยู่ในตู้ด้วย พระเลขาฯ รับคุ้นชื่อแต่ไม่รู้ที่มาโฉนดโผล่กุฏิ • ความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ซึ่งอดีตเจ้าอาวาสเพิ่งลาสิกขา หลังถูกร้องเรียนพัวพันสีกาและเงินวัดจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (22 ก.ค. 68) พ.ต.อ.สมรภูมิ ไทยเขียว รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ป.ป.ป.) พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนที่กลับจากการตรวจสอบพื้นที่พุทธอุทยานจังหวัดนครสวรรค์ ได้เข้าสอบสวนพยานเพิ่มเติมภายในวัดนครสวรรค์ โดยเฉพาะกลุ่มไวยาวัจกร เพื่อขยายผลเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเงินวัดและการบริหารจัดการที่ผ่านมา • จากนั้นพนักงานสอบสวนได้เข้าตรวจสอบ “ตู้เซฟขนาดใหญ่” บนกุฏิของอดีตเจ้าอาวาส โดยอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวขึ้นไปเป็นตัวแทนร่วมสังเกตการณ์จำนวน 5 คน ซึ่งเมื่อเปิดตู้เซฟออกมาพบเอกสารบางส่วน เงินสดธนบัตรใบละ 20 บาท จำนวน 3 ปึก และพบ “โฉนดที่ดิน” ซึ่งระบุชื่อ นางสาวภูธินี กวินพิศาล เป็นเจ้าของอยู่ในตู้เซฟด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000069044 • #Thaitimes #MGROnline #ทิดสฤษดิ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • รอง ผบช.ก.เผยพบทองคำบางส่วนแล้ว หลังถูกซักหนัก เจ้าอาวาสวัดม่วงอ้างหลง ๆ ลืมๆ เร่งตรวจสอบทุกบัญชีรายได้ไหลเข้าวัด

    วันนี้ ( 21 ก.ค.)ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี “พระราชวัชรพัฒนาทร” หรือ ”เจ้าคุณณรงค์“ เจ้าอาวาสวัดม่วง แจ้งความถูกคนร้ายลักเงินสด 10 ล้านบาท และทองคำหนัก 250 บาทว่าเรื่องนี้ค่อนข้างอลเวง เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ บก.ปปป.ซักถามเจ้าอาวาสหนักเข้าล่าสุดได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา ว่าท่านหลง ๆ ลืม ๆ และเริ่มจำได้บ้างแล้วว่าเจอทองบางส่วน แต่จำนวนเท่าไหร่ยังไม่ได้รับรายงาน ยืนยันเจ้าอาวาสไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์

    พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทิ้งเรื่องวัดม่วง เพราะเป็นเป้าหมายหนึ่งของเรา เหตุจากมีเงินเกินตัว และมีหลายบัญชีที่ยังไม่ชัดเจน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบทุกบัญชี ทุกรายได้ที่เข้ามาในวัด ตลอดจนเส้นเงินที่ไหลเข้ามาว่ามาจากไหน อย่างไร และเจ้าอาวาสบริหารเงินอย่างไร เพราะที่วัด ไวยาวัจกรไม่ได้มีอำนาจบริหารเงิน ดังนั้นเจ้าอาวาสต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000068587

    #Thaitimes #MGROnline #เจ้าอาวาสวัดม่วง
    รอง ผบช.ก.เผยพบทองคำบางส่วนแล้ว หลังถูกซักหนัก เจ้าอาวาสวัดม่วงอ้างหลง ๆ ลืมๆ เร่งตรวจสอบทุกบัญชีรายได้ไหลเข้าวัด • วันนี้ ( 21 ก.ค.)ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณี “พระราชวัชรพัฒนาทร” หรือ ”เจ้าคุณณรงค์“ เจ้าอาวาสวัดม่วง แจ้งความถูกคนร้ายลักเงินสด 10 ล้านบาท และทองคำหนัก 250 บาทว่าเรื่องนี้ค่อนข้างอลเวง เพราะเมื่อเจ้าหน้าที่ บก.ปปป.ซักถามเจ้าอาวาสหนักเข้าล่าสุดได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา ว่าท่านหลง ๆ ลืม ๆ และเริ่มจำได้บ้างแล้วว่าเจอทองบางส่วน แต่จำนวนเท่าไหร่ยังไม่ได้รับรายงาน ยืนยันเจ้าอาวาสไม่ได้เป็นอัลไซเมอร์ • พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทิ้งเรื่องวัดม่วง เพราะเป็นเป้าหมายหนึ่งของเรา เหตุจากมีเงินเกินตัว และมีหลายบัญชีที่ยังไม่ชัดเจน ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบทุกบัญชี ทุกรายได้ที่เข้ามาในวัด ตลอดจนเส้นเงินที่ไหลเข้ามาว่ามาจากไหน อย่างไร และเจ้าอาวาสบริหารเงินอย่างไร เพราะที่วัด ไวยาวัจกรไม่ได้มีอำนาจบริหารเงิน ดังนั้นเจ้าอาวาสต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000068587 • #Thaitimes #MGROnline #เจ้าอาวาสวัดม่วง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • การผลิตเงินตราของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางสำคัญ 3 ประการ และแต่ละทิศทางมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้:

    ### 1. **การเปลี่ยนสู่เงินดิจิทัล (Digital Currencies)**
    - **ผลดี:**
    - **ความสะดวกและเร็ว:** การชำระเงินข้ามประเทศใช้เวลาไม่กี่วินาที (เดิมใช้วัน) เช่น ระบบ CBDC ของจีน (e-CNY)
    - **การเข้าถึงบริการทางการเงิน:** ช่วยให้ประชากร 1.4 พันล้านคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงระบบการเงิน (World Bank 2023)
    - **ลดต้นทุน:** ธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า CBDC ลดต้นทุนการจัดการเงินสดได้ 30%
    - **ผลเสีย:**
    - **ความเสี่ยงทางไซเบอร์:** แฮ็กระบบการเงินระดับชาติ เช่น เหตุการณ์แฮ็ก Cryptocurrency ที่สูญเสียกว่า 3.8 พันล้าน USD ในปี 2022 (Chainalysis)
    - **การละเมิดความเป็นส่วนตัว:** รัฐอาจติดตามทุกการทำธุรกรรมของประชาชน

    ### 2. **การลดบทบาทเงินสด (Cashless Society)**
    - **ผลดี:**
    - **ลดอาชญากรรม:** สวีเดนพบว่าการปล้นลดลง 85% หลังลดการใช้เงินสด (Riksbank รายงาน)
    - **ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ:** IMF ชี้ว่าประเทศไร้เงินสดเพิ่ม GDP ได้ 0.8-1.2% จากการลดต้นทุนการพิมพ์/ขนส่ง
    - **ผลเสีย:**
    - **การแบ่งแยกดิจิทัล:** ผู้สูงอายุหรือชุมชนห่างไกลในอินเดียกว่า 40% ยังไม่พร้อม (Reserve Bank of India)
    - **ความเสี่ยงต่อระบบ:** ไฟฟ้าดับหรือระบบล่มอาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก

    ### 3. **การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน (Private Cryptocurrencies & Stablecoins)**
    - **ผลดี:**
    - **นวัตกรรมทางการเงิน:** DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์) สร้างตลาดมูลค่า 80 พันล้าน USD ในปี 2023 (DeFi Llama)
    - **การป้องกันเงินเฟ้อ:** Stablecoin เช่น USDT ให้ทางเลือกในประเทศที่เงินเฟ้อสูง (เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา)
    - **ผลเสีย:**
    - **ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน:** การล่มสลายของ TerraUSD (2022) ทำลายมูลค่ากว่า 40 พันล้าน USD ใน 3 วัน
    - **การฟอกเงิน:** UN ประเมินว่ามีการฟอกเงินผ่านคริปโตกว่า 8.6 พันล้าน USD ในปี 2021

    ### ผลกระทบเชิงโครงสร้าง:
    - **ผลดีโดยรวม:**
    - เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเงินโลก
    - ส่งเสริมการรวมตัวทางการเงิน (Financial Inclusion)
    - ลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (เดิมเฉลี่ย 6.5% ลดเหลือต่ำกว่า 1%)

    - **ผลเสียโดยรวม:**
    - **ความไม่เสมอภาค:** ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกทิ้งห่าง (แอฟริกามีการใช้ CBDC เพียง 3 ประเทศเทียบกับ 114 ประเทศที่กำลังวิจัย)
    - **ภัยคุกคามต่ออธิปไตย:** สกุลเงินดิจิทัลเอกชนอาจลดทอนอำนาจนโยบายการเงินของรัฐ

    ### ตัวอย่างประเทศที่ชัดเจน:
    - **จีน (e-CNY):** ใช้ทดลองใน 26 เมืองใหญ่ คาดครอบคลุม 15% ของเศรษฐกิจภายในปี 2025 → เพิ่มการควบคุมทางการคลัง แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการสอดส่องประชาชน
    - **สวีเดน:** เงินสดเหลือเพียง 8% ของ GDP (2010 อยู่ที่ 40%) → ลดอาชญากรรมแต่เสี่ยงต่อ Cyberattack

    ### บทสรุป:
    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น **"ดาบสองคม"** โดยทิศทางหลักคือ **การทำให้เป็นดิจิทัล (Digitalization)** ซึ่งให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวอย่างเร่งด่วน อนาคตอาจเห็นระบบการเงินแบบผสมผสานระหว่าง CBDC, สกุลเงินดิจิทัลเอกชน และเงินสดแบบจำกัด โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบกฎเกณฑ์ที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองประชาชน
    การผลิตเงินตราของโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางสำคัญ 3 ประการ และแต่ละทิศทางมีทั้งผลดีและผลเสีย ดังนี้: ### 1. **การเปลี่ยนสู่เงินดิจิทัล (Digital Currencies)** - **ผลดี:** - **ความสะดวกและเร็ว:** การชำระเงินข้ามประเทศใช้เวลาไม่กี่วินาที (เดิมใช้วัน) เช่น ระบบ CBDC ของจีน (e-CNY) - **การเข้าถึงบริการทางการเงิน:** ช่วยให้ประชากร 1.4 พันล้านคนที่ไม่มีบัญชีธนาคารเข้าถึงระบบการเงิน (World Bank 2023) - **ลดต้นทุน:** ธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า CBDC ลดต้นทุนการจัดการเงินสดได้ 30% - **ผลเสีย:** - **ความเสี่ยงทางไซเบอร์:** แฮ็กระบบการเงินระดับชาติ เช่น เหตุการณ์แฮ็ก Cryptocurrency ที่สูญเสียกว่า 3.8 พันล้าน USD ในปี 2022 (Chainalysis) - **การละเมิดความเป็นส่วนตัว:** รัฐอาจติดตามทุกการทำธุรกรรมของประชาชน ### 2. **การลดบทบาทเงินสด (Cashless Society)** - **ผลดี:** - **ลดอาชญากรรม:** สวีเดนพบว่าการปล้นลดลง 85% หลังลดการใช้เงินสด (Riksbank รายงาน) - **ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ:** IMF ชี้ว่าประเทศไร้เงินสดเพิ่ม GDP ได้ 0.8-1.2% จากการลดต้นทุนการพิมพ์/ขนส่ง - **ผลเสีย:** - **การแบ่งแยกดิจิทัล:** ผู้สูงอายุหรือชุมชนห่างไกลในอินเดียกว่า 40% ยังไม่พร้อม (Reserve Bank of India) - **ความเสี่ยงต่อระบบ:** ไฟฟ้าดับหรือระบบล่มอาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ### 3. **การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลภาคเอกชน (Private Cryptocurrencies & Stablecoins)** - **ผลดี:** - **นวัตกรรมทางการเงิน:** DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์) สร้างตลาดมูลค่า 80 พันล้าน USD ในปี 2023 (DeFi Llama) - **การป้องกันเงินเฟ้อ:** Stablecoin เช่น USDT ให้ทางเลือกในประเทศที่เงินเฟ้อสูง (เวเนซุเอลา อาร์เจนตินา) - **ผลเสีย:** - **ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน:** การล่มสลายของ TerraUSD (2022) ทำลายมูลค่ากว่า 40 พันล้าน USD ใน 3 วัน - **การฟอกเงิน:** UN ประเมินว่ามีการฟอกเงินผ่านคริปโตกว่า 8.6 พันล้าน USD ในปี 2021 ### ผลกระทบเชิงโครงสร้าง: - **ผลดีโดยรวม:** - เพิ่มประสิทธิภาพระบบการเงินโลก - ส่งเสริมการรวมตัวทางการเงิน (Financial Inclusion) - ลดต้นทุนการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน (เดิมเฉลี่ย 6.5% ลดเหลือต่ำกว่า 1%) - **ผลเสียโดยรวม:** - **ความไม่เสมอภาค:** ประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกทิ้งห่าง (แอฟริกามีการใช้ CBDC เพียง 3 ประเทศเทียบกับ 114 ประเทศที่กำลังวิจัย) - **ภัยคุกคามต่ออธิปไตย:** สกุลเงินดิจิทัลเอกชนอาจลดทอนอำนาจนโยบายการเงินของรัฐ ### ตัวอย่างประเทศที่ชัดเจน: - **จีน (e-CNY):** ใช้ทดลองใน 26 เมืองใหญ่ คาดครอบคลุม 15% ของเศรษฐกิจภายในปี 2025 → เพิ่มการควบคุมทางการคลัง แต่ถูกวิจารณ์เรื่องการสอดส่องประชาชน - **สวีเดน:** เงินสดเหลือเพียง 8% ของ GDP (2010 อยู่ที่ 40%) → ลดอาชญากรรมแต่เสี่ยงต่อ Cyberattack ### บทสรุป: การเปลี่ยนแปลงนี้เป็น **"ดาบสองคม"** โดยทิศทางหลักคือ **การทำให้เป็นดิจิทัล (Digitalization)** ซึ่งให้ประโยชน์ด้านประสิทธิภาพ แต่ต้องจัดการกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงและความเป็นส่วนตัวอย่างเร่งด่วน อนาคตอาจเห็นระบบการเงินแบบผสมผสานระหว่าง CBDC, สกุลเงินดิจิทัลเอกชน และเงินสดแบบจำกัด โดยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการออกแบบกฎเกณฑ์ที่สมดุลระหว่างนวัตกรรมกับการคุ้มครองประชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • น่าจะเป็นวันที่หนักหนาเอามากๆ สำหรับอดีตนักร้อง-นักแสดงสาว “นาตาลี เดวิส” ที่ถึงกับออกมาโพสต์ร่ายยาว บอกว่าผิดเองที่ไว้ใจแม่บ้าน อยู่ด้วยกันมา 1 ปี ให้เกียรติเสมือนคนในครอบครัว แต่กลับโดนขโมยเงินสด 1 ล้านกว่าบาท ที่สามีอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ไปจนเกลี้ยง

    “วันนี้เป็น 1 วันที่หนักหนามากที่สุดในชีวิต เจ็บ จุก จนพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องเอาคนเข้าคุก… แม่บ้านที่เรารักและให้เกียรติเขา ดูแลเสมือนคนในครอบครัว อยู่กันมา 1 ปี ไม่เคยแบ่งแยก กินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แม่สอนมาแต่เด็กว่าห้ามเรียกแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงว่าคนใช้ เขามาดูแลบ้าน มาช่วยเราเลี้ยงลูก มาเป็นลูกมือเรา เราต้องดูแลเขาดีๆ จนวันนี้ล่ะ ได้รู้ว่า มนุษย์บางคนมันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ… เงินสด 1 ล้านกว่าบาทที่หายไป เงินเก็บก้อนสำคัญที่สามีนาตาลีทำงานเก็บหอมรอมริบมาด้วยความสุจริต กลับถูกคนโลภขโมยไป ทั้งช็อก ผิดหวัง และ เสียใจ ไม่คิดว่าจะทำกันได้ลงคอ ผิดที่ไว้ใจจริงๆ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000067496

    #Thaitimes #MGROnline #นาตาลีเดวิส
    น่าจะเป็นวันที่หนักหนาเอามากๆ สำหรับอดีตนักร้อง-นักแสดงสาว “นาตาลี เดวิส” ที่ถึงกับออกมาโพสต์ร่ายยาว บอกว่าผิดเองที่ไว้ใจแม่บ้าน อยู่ด้วยกันมา 1 ปี ให้เกียรติเสมือนคนในครอบครัว แต่กลับโดนขโมยเงินสด 1 ล้านกว่าบาท ที่สามีอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเอาไว้ไปจนเกลี้ยง • “วันนี้เป็น 1 วันที่หนักหนามากที่สุดในชีวิต เจ็บ จุก จนพูดไม่ออก ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องเอาคนเข้าคุก… แม่บ้านที่เรารักและให้เกียรติเขา ดูแลเสมือนคนในครอบครัว อยู่กันมา 1 ปี ไม่เคยแบ่งแยก กินข้าวหม้อเดียวกัน อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน แม่สอนมาแต่เด็กว่าห้ามเรียกแม่บ้านหรือพี่เลี้ยงว่าคนใช้ เขามาดูแลบ้าน มาช่วยเราเลี้ยงลูก มาเป็นลูกมือเรา เราต้องดูแลเขาดีๆ จนวันนี้ล่ะ ได้รู้ว่า มนุษย์บางคนมันเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ… เงินสด 1 ล้านกว่าบาทที่หายไป เงินเก็บก้อนสำคัญที่สามีนาตาลีทำงานเก็บหอมรอมริบมาด้วยความสุจริต กลับถูกคนโลภขโมยไป ทั้งช็อก ผิดหวัง และ เสียใจ ไม่คิดว่าจะทำกันได้ลงคอ ผิดที่ไว้ใจจริงๆ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000067496 • #Thaitimes #MGROnline #นาตาลีเดวิส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขายพระ ต้องได้เงินสด...ซื้อพระต้องได้ของเลย...หลักการเดียวกับ ทองคำ ..ระบบจอง...อย่าเสี่ยงในช่วงนี้ ...อันตราย...!!
    ขายพระ ต้องได้เงินสด...ซื้อพระต้องได้ของเลย...หลักการเดียวกับ ทองคำ ..ระบบจอง...อย่าเสี่ยงในช่วงนี้ ...อันตราย...!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • KITS Style การรถไฟมาเลย์ทำซูเปอร์แอปฯ

    หลังจากที่การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) หรือ KTMB ประเทศมาเลเซีย พยายามผลักดันการซื้อตั๋วรถไฟแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นมา ล่าสุดได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วโดยสารออนไลน์แบบบูรณาการ KITS (KTMB Integrated Ticketing System) มาเป็นซูเปอร์แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า คิทส์ สไตล์ (KITS Style) โดยได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกันระหว่าง KTMB กับเอ็มเปย์ (MPay) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในมาเลเซีย

    โดยคุณสมบัติหลักของแอปฯ KITS Style คือ การซื้อตั๋วรถไฟของ KTMB ทั้งรถไฟ ETS/Intercity รถไฟชานเมือง KTM Komuter รถไฟข้ามแดน Shuttle Tebrau พ่วงไปกับการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตั๋วรถไฟต่างประเทศ รถเช่า รถรับ-ส่งสนามบิน เรือสำราญ กิจกรรมการท่องเที่ยวโดย Trip.com บริการเรียกรถรับจ้างสาธารณะ (E-Hailing) นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินต่างประเทศ ประกัน ตากาฟูล จ่ายบิลและเติมเงินโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียอีกด้วย

    พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวบัตร KITS Style Mastercard Prepaid Card ซึ่งประกาศว่าเป็นบัตรเติมเงินขนส่งสาธารณะแบบเปิดใบแรกในมาเลเซียและอาเซียน ที่ออกโดยผู้ให้บริการรถไฟ ปัจจุบันให้บริการในรูปแบบบัตรเสมือน (Virtual Card) โดยมีค่าธรรมเนียมออกบัตรเสมือน 10 ริงกิต ส่วนบัตรพลาสติกแบบชิปการ์ดจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานแอปฯ KTMB Mobile เดิม ระบบจะแจ้งเตือนการย้ายระบบไปยัง KITS Style แบบใหม่ โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้สมัครบริการ ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนยืนยันการเปลี่ยนแปลง

    Newskit ทดลองสมัครบริการแอปฯ KITS Style เริ่มแรกด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่าน App Store หรือ Google Play จากนั้นลงทะเบียนโดยใช้โทรศัพท์มือถือแล้วรอรับ SMS OTP ซึ่งพบว่าเบอร์ต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยสามารถสมัครได้ (ยกเว้นเอไอเอสที่พบปัญหาบล็อก SMS จากต่างประเทศ) จากนั้นกรอกรายละเอียดส่วนตัว กรณีชาวต่างชาติใช้ข้อมูลหนังสือเดินทาง แล้วตั้งรหัส PIN 6 หลักเป็นอันเสร็จสิ้น

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานต้องยืนยันการสร้างบัญชีผ่านการทำ e-KYC ด้วยการถ่ายภาพหนังสือเดินทาง เซลฟี่ใบหน้า ระบบจะอนุมัติภายใน 2 วันทำการ โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนเมื่อการยืนยันตัวตนสำเร็จ ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำ 10 ริงกิต สูงสุดไม่เกิน 1,000 ริงกิต สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต VISA และ Mastercard ได้ทั้งบัตรในประเทศและต่างประเทศ ส่วนชาวมาเลเซียสามารถเติมเงินผ่านทางออนไลน์แบงกิ้งระบบ FPX และ DuitNow แต่ยังไม่รองรับ e-Wallet

    #Newskit
    KITS Style การรถไฟมาเลย์ทำซูเปอร์แอปฯ หลังจากที่การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) หรือ KTMB ประเทศมาเลเซีย พยายามผลักดันการซื้อตั๋วรถไฟแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นมา ล่าสุดได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วโดยสารออนไลน์แบบบูรณาการ KITS (KTMB Integrated Ticketing System) มาเป็นซูเปอร์แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า คิทส์ สไตล์ (KITS Style) โดยได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกันระหว่าง KTMB กับเอ็มเปย์ (MPay) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในมาเลเซีย โดยคุณสมบัติหลักของแอปฯ KITS Style คือ การซื้อตั๋วรถไฟของ KTMB ทั้งรถไฟ ETS/Intercity รถไฟชานเมือง KTM Komuter รถไฟข้ามแดน Shuttle Tebrau พ่วงไปกับการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตั๋วรถไฟต่างประเทศ รถเช่า รถรับ-ส่งสนามบิน เรือสำราญ กิจกรรมการท่องเที่ยวโดย Trip.com บริการเรียกรถรับจ้างสาธารณะ (E-Hailing) นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินต่างประเทศ ประกัน ตากาฟูล จ่ายบิลและเติมเงินโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียอีกด้วย พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวบัตร KITS Style Mastercard Prepaid Card ซึ่งประกาศว่าเป็นบัตรเติมเงินขนส่งสาธารณะแบบเปิดใบแรกในมาเลเซียและอาเซียน ที่ออกโดยผู้ให้บริการรถไฟ ปัจจุบันให้บริการในรูปแบบบัตรเสมือน (Virtual Card) โดยมีค่าธรรมเนียมออกบัตรเสมือน 10 ริงกิต ส่วนบัตรพลาสติกแบบชิปการ์ดจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานแอปฯ KTMB Mobile เดิม ระบบจะแจ้งเตือนการย้ายระบบไปยัง KITS Style แบบใหม่ โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้สมัครบริการ ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนยืนยันการเปลี่ยนแปลง Newskit ทดลองสมัครบริการแอปฯ KITS Style เริ่มแรกด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่าน App Store หรือ Google Play จากนั้นลงทะเบียนโดยใช้โทรศัพท์มือถือแล้วรอรับ SMS OTP ซึ่งพบว่าเบอร์ต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยสามารถสมัครได้ (ยกเว้นเอไอเอสที่พบปัญหาบล็อก SMS จากต่างประเทศ) จากนั้นกรอกรายละเอียดส่วนตัว กรณีชาวต่างชาติใช้ข้อมูลหนังสือเดินทาง แล้วตั้งรหัส PIN 6 หลักเป็นอันเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานต้องยืนยันการสร้างบัญชีผ่านการทำ e-KYC ด้วยการถ่ายภาพหนังสือเดินทาง เซลฟี่ใบหน้า ระบบจะอนุมัติภายใน 2 วันทำการ โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนเมื่อการยืนยันตัวตนสำเร็จ ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำ 10 ริงกิต สูงสุดไม่เกิน 1,000 ริงกิต สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต VISA และ Mastercard ได้ทั้งบัตรในประเทศและต่างประเทศ ส่วนชาวมาเลเซียสามารถเติมเงินผ่านทางออนไลน์แบงกิ้งระบบ FPX และ DuitNow แต่ยังไม่รองรับ e-Wallet #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 550 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts