• เกิดอะไรขึ้น หลังออกกำลังกายแล้ว..ไม่กินอะไรเลย
    เกิดอะไรขึ้น หลังออกกำลังกายแล้ว..ไม่กินอะไรเลย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 1 0 รีวิว
  • เกิดอะไรขึ้นในยูเครน!?!

    ทหารยูเครนจับตัวชายคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถคล้ายรถเข็นเด็ก โดยปล่อยทิ้งรถเข็นไว้อย่างนั้น
    เกิดอะไรขึ้นในยูเครน!?! ทหารยูเครนจับตัวชายคนหนึ่งที่กำลังเข็นรถคล้ายรถเข็นเด็ก โดยปล่อยทิ้งรถเข็นไว้อย่างนั้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • “เมย์ วาสนา” ร่ำไห้แค้นใจ “ดิว อริสรา” ทำกันได้ยังไง ให้ยืมของหรูมูลค่า 62 ล้าน เพราะดิวไม่มีเงินไปใช้หนี้คนอื่น บอกเรื่องนี้สามี ”เซบาสเตียน ลี“ รู้ไม่ได้เลย เห็นว่าเป็นน้อง ตั้งใจช่วยให้หลุดพ้น เคยอยู่ในจุดที่ยืนหน้าโรงรับจำนำมาก่อน ก่อนหลุดฟางเส้นสุดท้ายเห็นแชตที่ดิวใส่ร้ายกับคนอื่น

    เป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” ที่เป็นดาราที่มีภาพลักษณ์ดี ต้นทุนชีวิตสูงมาก สามีเป็นชาวต่างชาติร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีครอบครัวอบอุ่น อยู่ๆ มามีเรื่องแบบนี้ได้ยังไง กับกรณีที่ “มาดามเมนี่” หรือ “ดร.วาสนา อินทะแสง” ตามของคืนมูลค่า 62 ล้าน และคนที่เอาไปคือ ดิว ซึ่งที่ผ่านมา เมย์ ให้โอกาส ดิว ได้มีเวลาในการเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ยังได้ของคืนกลับมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000026280

    #MGROnline #ดิวอริสรา #ซุงศตาวิน #ไฮโซเมย์ #โหนกระแส

    “เมย์ วาสนา” ร่ำไห้แค้นใจ “ดิว อริสรา” ทำกันได้ยังไง ให้ยืมของหรูมูลค่า 62 ล้าน เพราะดิวไม่มีเงินไปใช้หนี้คนอื่น บอกเรื่องนี้สามี ”เซบาสเตียน ลี“ รู้ไม่ได้เลย เห็นว่าเป็นน้อง ตั้งใจช่วยให้หลุดพ้น เคยอยู่ในจุดที่ยืนหน้าโรงรับจำนำมาก่อน ก่อนหลุดฟางเส้นสุดท้ายเห็นแชตที่ดิวใส่ร้ายกับคนอื่น • เป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” ที่เป็นดาราที่มีภาพลักษณ์ดี ต้นทุนชีวิตสูงมาก สามีเป็นชาวต่างชาติร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีครอบครัวอบอุ่น อยู่ๆ มามีเรื่องแบบนี้ได้ยังไง กับกรณีที่ “มาดามเมนี่” หรือ “ดร.วาสนา อินทะแสง” ตามของคืนมูลค่า 62 ล้าน และคนที่เอาไปคือ ดิว ซึ่งที่ผ่านมา เมย์ ให้โอกาส ดิว ได้มีเวลาในการเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ยังได้ของคืนกลับมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000026280 • #MGROnline #ดิวอริสรา #ซุงศตาวิน #ไฮโซเมย์ #โหนกระแส
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/3/68

    @Kittisuk iPhone
    ส่งไปให้ลูกดูนะ

    หมอได้ผ่าศพคนอายุ 90-103 ปีที่ตายธรรมชาติ

    พบว่าแต่ละคนล้วนมีเซลล์มะเร็งอยู่
    บางคนมีหลายแห่งด้วย
    แต่
    ทำไมพวกเขาจึงไม่มีอาการ

    เขาเชื่อว่า

    มันสงบอยู่ในระยะฟักตัว
    หรือ จำศีล
    ถ้ามีสิ่งที่มีปลุกหรือกระตุ้นให้ตื่น จึงจะเจริญเติบโต


    วงการแพทย์ปัจจุบัน
    กำลังพยายามหาวิธีทำให้เซลล์มะเร็งสงบอยู่ได้ตลอดไป
    เชื่อว่า
    อาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งสงบได้แก่

    1. ขมิ้น
    (สารที่เชื่อว่าต้านมะเร็ง
    คือ curcumin)
    2. พริก (capsaicin)
    3. ขิง (curcumin)
    4. ชาเขียว (catechin)
    5. ถั่วเหลือง (isoflavones)
    6. มะเขือเทศ (lycopene)
    7. องุ่น (resveratrol)y
    8. กระเทียม (sulfides)

    “10 อันดับอาหาร
    ที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งฟื้น”
    คือ
    1. แฮมเบอร์เกอร์ ของทอด,
    โค้ก (Hamburger Fries
    + Cola)
    2. ข้าวซี่โครงหมูตุ๋น +
    ชาไข่มุก (Pork ribs rice
    + Zhen milk)
    3. เกี๊ยวซ่า + นมถั่วเหลือง
    (Pot Sticker + Soy Milk)
    4. สปาร์เก็ตตี้อิตาเลียน +
    ซุปเมอแรงค์ ((Grilled
    Italian noodles) +
    meringue soup)
    5. ไก่ทอดเกาหลีกับเบียร์
    (Korean fried chicken
    + beer)
    6. ข้าวผัด + ซุปกงเหมา
    (Fried rice + Gongmao
    soup)
    7. ราเมง + ครีมแข็ง (Ramen
    + Frost Cream)
    8. ข้าวหน้าหมูตุ๋น +
    ซุปลูกชิ้นปลา (Braised
    Pork Rice + Fish Ball
    Soup)
    9. ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น +
    กะหล่ำปลีดอง (Braised
    beef noodles +
    sauerkraut)
    10. หมูทอด + โอเด้ง (Fried meat round + Oden boiled)

    ส่วนอาหารที่ต้านพิษ
    ได้แก่
    1. มันหวาน (Sweet potato)
    2. ถั่วเขียว (Mung beans)
    3. ข้าวโอ๊ต (Oats)
    4. เม็ดบัว (Huanren)
    5. เซียวหมี่ (Xiaomi)
    6. ข้าวกล้อง (Brown rice)
    7. ถั่วแดง (Red Beans)
    8. แครอท (Carrots)
    9. แยม (Yam)
    10. หญ้าเจ้าชู้ (Burdock)
    11. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus)
    12. หัวหอม (Onions)
    13. รากบัว (Lotus root)
    14. หัวไชเท้า (White radish)
    15. โกฐจุฬาลัมพา (Artemisia
    halodendron)
    16. ใบของมันหวาน (Sweet
    potato leaves)
    17. ใบหัวไชเท้า (Radish
    leaves)
    18. ชวานชี (Chuanqi)
    19. โยเกิร์ต (Yogurt)
    20. น้ำส้มสายชู (Vinegart)

    "You are what You eat"
    คุณ กินอะไรเข้าไป
    คุณก็จะเป็นอย่างนั้น

    Don’t no who wrote but I do
    ไม่รู้ใครเขียนแต่ผมทำตาม...

    ด่วน...
    เส้นเลือด "ตีบ" ในสมอง
    เกิดขึ้นทุก 4 นาที
    ทำไมตรวจหาสาเหตุไม่เจอ แล้วจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร ?

    ทุกวันนี้ ผมเจอคนป่วยเส้นเลือดตีบทุกวัน
    ตั้งแต่อายุ 13 ปี ยัน 95 ปี
    มันเกิดอะไรขึ้น
    ความพิการจะหยุดได้
    หรือไม่ได้...

    ถ้าสำหรับผม ผมตอบได้เลยว่า
    "หยุดได้"

    เส้นเลือดตีบในสมอง
    เกิดขึ้นทุก 4 นาที
    ปีละเป็นแสนคน
    ดารานักแสดง.. คนรวย.. คนจน.... ก็ไม่เว้น
    จนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก

    วันนี้การแพทย์สหรัฐ
    ยังบอกเลยว่า
    มันยากมากที่สุด

    การรักษาคนป่วยเหล่านี้
    แทบจะเลือนลาง
    เสียงบประมาณมากมาย
    กับคนป่วยเหล่านี้...

    อาการเส้นเลือดตีบ
    เป็นอย่างไร ?

    เส้นเลือดตีบ
    อาการที่ส่งสัญญาณ คือ.-
    1. อาการมึนหัว
    2. อาการบ้านหมุน
    3. อาจมีอาการอาเจียนร่วม
    4. อาการร่วม-อ่อนแรงที่แขน
    5. อาการร่วม-อ่อนแรงที่ขา
    6. มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ
    บ่า ไหล่
    อาจส่งสัญญาณปวด

    จากพฤติกรรมที่ทำ คือ.-
    1. พักผ่อนน้อย
    2. ดื่มน้ำน้อย
    3. นอนดึก
    4. ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ
    5. ชอบทานอาหารมันๆ
    6. ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่
    7. ขาดการออกกำลังกาย
    8. ไม่เคยปรับสมดุล ดูแล
    ระบบหลอดเลือด และ
    การไหลเวียนให้สมดุล
    9. นั่งนาน
    10. ยืนนาน
    11. ทำงานหนัก
    12. ชอบดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น

    ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง
    ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค
    แต่เกิดจากพฤติกรรม
    ที่สะสมมานาน
    ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี
    การอุดตันในเส้นเลือด
    ถึงจะเกิดขึ้นได้
    การรักษาฟื้นฟู
    สามารถทำได้
    แต่ต้องใช้ระยะเวลา..
    นาน.. ไม่ต่ำกว่า 5 ปี

    คนที่เป็น
    มีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน
    สามารถรักษาได้
    ใช้ระยะเวลาไม่เกิด 3-6 เดือน

    อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น
    แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมๆ ก็อาจกลับมาได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง

    “เกิดจากพฤติกรรม
    ในการดำเนินชีวิต…..

    ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค“

    เอาละครับ
    คิดว่าข้อมูลเล็กๆน้อยๆ
    คงช่วยให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงได้
    ห่างไกลความพิการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    อนุญาตให้แชร์ข้อมูลได้ครับ
    เพื่อเป็นวิทยาทาน...
    17/3/68 @Kittisuk iPhone ส่งไปให้ลูกดูนะ หมอได้ผ่าศพคนอายุ 90-103 ปีที่ตายธรรมชาติ พบว่าแต่ละคนล้วนมีเซลล์มะเร็งอยู่ บางคนมีหลายแห่งด้วย แต่ ทำไมพวกเขาจึงไม่มีอาการ เขาเชื่อว่า มันสงบอยู่ในระยะฟักตัว หรือ จำศีล ถ้ามีสิ่งที่มีปลุกหรือกระตุ้นให้ตื่น จึงจะเจริญเติบโต วงการแพทย์ปัจจุบัน กำลังพยายามหาวิธีทำให้เซลล์มะเร็งสงบอยู่ได้ตลอดไป เชื่อว่า อาหารที่ทำให้เซลล์มะเร็งสงบได้แก่ 1. ขมิ้น (สารที่เชื่อว่าต้านมะเร็ง คือ curcumin) 2. พริก (capsaicin) 3. ขิง (curcumin) 4. ชาเขียว (catechin) 5. ถั่วเหลือง (isoflavones) 6. มะเขือเทศ (lycopene) 7. องุ่น (resveratrol)y 8. กระเทียม (sulfides) “10 อันดับอาหาร ที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งฟื้น” คือ 1. แฮมเบอร์เกอร์ ของทอด, โค้ก (Hamburger Fries + Cola) 2. ข้าวซี่โครงหมูตุ๋น + ชาไข่มุก (Pork ribs rice + Zhen milk) 3. เกี๊ยวซ่า + นมถั่วเหลือง (Pot Sticker + Soy Milk) 4. สปาร์เก็ตตี้อิตาเลียน + ซุปเมอแรงค์ ((Grilled Italian noodles) + meringue soup) 5. ไก่ทอดเกาหลีกับเบียร์ (Korean fried chicken + beer) 6. ข้าวผัด + ซุปกงเหมา (Fried rice + Gongmao soup) 7. ราเมง + ครีมแข็ง (Ramen + Frost Cream) 8. ข้าวหน้าหมูตุ๋น + ซุปลูกชิ้นปลา (Braised Pork Rice + Fish Ball Soup) 9. ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น + กะหล่ำปลีดอง (Braised beef noodles + sauerkraut) 10. หมูทอด + โอเด้ง (Fried meat round + Oden boiled) ส่วนอาหารที่ต้านพิษ ได้แก่ 1. มันหวาน (Sweet potato) 2. ถั่วเขียว (Mung beans) 3. ข้าวโอ๊ต (Oats) 4. เม็ดบัว (Huanren) 5. เซียวหมี่ (Xiaomi) 6. ข้าวกล้อง (Brown rice) 7. ถั่วแดง (Red Beans) 8. แครอท (Carrots) 9. แยม (Yam) 10. หญ้าเจ้าชู้ (Burdock) 11. หน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus) 12. หัวหอม (Onions) 13. รากบัว (Lotus root) 14. หัวไชเท้า (White radish) 15. โกฐจุฬาลัมพา (Artemisia halodendron) 16. ใบของมันหวาน (Sweet potato leaves) 17. ใบหัวไชเท้า (Radish leaves) 18. ชวานชี (Chuanqi) 19. โยเกิร์ต (Yogurt) 20. น้ำส้มสายชู (Vinegart) "You are what You eat" คุณ กินอะไรเข้าไป คุณก็จะเป็นอย่างนั้น Don’t no who wrote but I do ไม่รู้ใครเขียนแต่ผมทำตาม... ด่วน... เส้นเลือด "ตีบ" ในสมอง เกิดขึ้นทุก 4 นาที ทำไมตรวจหาสาเหตุไม่เจอ แล้วจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร ? ทุกวันนี้ ผมเจอคนป่วยเส้นเลือดตีบทุกวัน ตั้งแต่อายุ 13 ปี ยัน 95 ปี มันเกิดอะไรขึ้น ความพิการจะหยุดได้ หรือไม่ได้... ถ้าสำหรับผม ผมตอบได้เลยว่า "หยุดได้" เส้นเลือดตีบในสมอง เกิดขึ้นทุก 4 นาที ปีละเป็นแสนคน ดารานักแสดง.. คนรวย.. คนจน.... ก็ไม่เว้น จนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก วันนี้การแพทย์สหรัฐ ยังบอกเลยว่า มันยากมากที่สุด การรักษาคนป่วยเหล่านี้ แทบจะเลือนลาง เสียงบประมาณมากมาย กับคนป่วยเหล่านี้... อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอย่างไร ? เส้นเลือดตีบ อาการที่ส่งสัญญาณ คือ.- 1. อาการมึนหัว 2. อาการบ้านหมุน 3. อาจมีอาการอาเจียนร่วม 4. อาการร่วม-อ่อนแรงที่แขน 5. อาการร่วม-อ่อนแรงที่ขา 6. มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ บ่า ไหล่ อาจส่งสัญญาณปวด จากพฤติกรรมที่ทำ คือ.- 1. พักผ่อนน้อย 2. ดื่มน้ำน้อย 3. นอนดึก 4. ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ 5. ชอบทานอาหารมันๆ 6. ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ 7. ขาดการออกกำลังกาย 8. ไม่เคยปรับสมดุล ดูแล ระบบหลอดเลือด และ การไหลเวียนให้สมดุล 9. นั่งนาน 10. ยืนนาน 11. ทำงานหนัก 12. ชอบดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรม ที่สะสมมานาน ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี การอุดตันในเส้นเลือด ถึงจะเกิดขึ้นได้ การรักษาฟื้นฟู สามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลา.. นาน.. ไม่ต่ำกว่า 5 ปี คนที่เป็น มีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน สามารถรักษาได้ ใช้ระยะเวลาไม่เกิด 3-6 เดือน อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมๆ ก็อาจกลับมาได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง “เกิดจากพฤติกรรม ในการดำเนินชีวิต….. ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค“ เอาละครับ คิดว่าข้อมูลเล็กๆน้อยๆ คงช่วยให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรงได้ ห่างไกลความพิการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อนุญาตให้แชร์ข้อมูลได้ครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 459 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความฉ้อฉลเกี่ยวกับแร่ธาตุ

    มันเป็นการโกหกที่ยิ่งใหญ่ซึ่งนำพาผู้คนและบุคลากรทางการแพทย์ไปสู่หายนะแห่งสุขภาพ

    มันเริ่มต้นด้วยคำว่า “แคลเซียมจำเป็นมากสำหรับกระดูกที่แข็งแรง”

    แพทย์เกือบจะทุกคนและผู้คนส่วนใหญ่ถูกฝังรากลึกจากความฉ้อฉลนี้ เราทุกคนเลยต้องดำดิ่งไปกับความเชื่อที่ว่า..ถ้าเราขาดแคลเซียมกระดูกของเราจะกลายเป็นผุยผง.. นี่เป็นการหลอกลวงและไม่เคยเป็นความจริง

    ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วโลกได้บอกเราถึงความผิดพลาดของระบบความเชื่อ

    แต่ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ผมอยากให้คุณรับรู้ว่า แคลเซียมเป็นเพียงแค่ 1ใน12แร่ธาตุที่ทำให้กระดูกแข็งแรง เมื่อใครสักคนได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดกพรุน ( Osteoporosis) นั่นหมายถึงการสูญเสียแร่ธาตุของกระดูก ไม่ใช่เพียงแค่ขาดแคลเซียมและถ้าคุณได้รับการแนะนำให้เสริมเพียงแค่แคลเซียมเพื่อบำรุงกระดูกจนเกินขนาดไม่ว่าจะได้มาในรูปแบบของ..นม..ตามคำแนะนำแพทย์หรือในรูปแบบอาหารเสริม..นั่นหมายถึงคุณกำลังได้รับสัญญาณแห่ง”ความตาย” เหตุเพราะแคลเซียมทำให้”แข็งตัว”....แม่จ้าว...แล้วมันจะทำให้ส่วนใดของร่างกายแข็งตัวได้บ้าง และถ้ามันเกินขนาดจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเรา

    -นิ่วกรวยไต
    -นิ่วถุงน้ำดี
    -หินปูนเกาะในหลอดเลือด
    -หินปูนเกาะกระดูก
    -หินปูนเกาะเต้านม
    -การฝากของแคลเซียมในเนื้อเยื่อ
    -เซลล์สมองผิดปกติ
    -เนื้อสมองหดตัว
    -สมองเสื่อม
    ........................................................
    อะไรนำไปสู่สิ่งโกหกที่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเพราะมัน
    ..........................................................

    ความรู้ที่ผิดพลาดที่ถูกฝังรากลึกจากทุกวงการและต่อไปนี้คือความจริงที่ได้เพิ่มรายละเอียดมากขึ้น

    -แคลเซียมกับการทำงานของต่อมหมวกไต

    แคลเซียมที่มากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไตในวัตถุประสงค์เพื่อให้ไตกักเก็บแมกนีเซียมเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย ผลของการทำเช่นนี้ก็คือ โซเดียมและโพแทสเซียมจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นจำนวนมากซึ่งส่งผลต่อแร่ธาตุสองชนิดนี้ในเซลล์เป็นอย่างมาก

    !! ในความเป็นจริง :

    -โซเดียมมีความจำเป็นในการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร การย่อยโปรตีน การขนส่งน้ำตาลกลูโคสและกรดอะมิโนเข้าสู่เซลล์และเนื้อเยื่อ(ยกเว้น เซลล์ไขมัน)

    -โพแทสเซียมจำเป็นสำหรับการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์และช่วยรักษาไว้ซึ่งประจุของผนังเซลล์

    แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจ มันเป็นตัวกำหนดให้กล้ามเนื้อและใยประสาทสื่อสารกันเมื่อพวกเขาต้องการแร่ธาตุสองตัวนี้ นอกจากนี้ทั้งสองยังช่วยรักษาความคงที่ของความดันโลหิตอีกด้วย ความไม่สมดุลหรือการขาดแร่ธาตุเหล่านี้นำไปสู่ความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่เซลล์ของหัวใจ

    !! ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าเมื่อร่างกายขาดโซเดียมและโพแทสเซียมแล้วจะเกิดอะไรตามมา...กรดอะมิโนถูกจำกัดและเมื่อเซลล์ขาดกรดอะมิโน ร่างกายก็ไม่สามารถเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองได้และเมื่อเซลล์ขาดกลูโคส เซลล์ก็ขาดซึ่งพลังงาน ความอ่อนล้าหมดแรงของร่างกายโดยรวมก็ตามมา

    !! ในความเป็นจริง ร่างกายจำเป็นต้องได้รับการบริจาคประจุลบจากแร่ธาตุในทุกปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นในเซลล์ ดังนั้นการขาดซึ่งแร่ธาตุจึงสามารถนำไปสู่หลายอาการของร่างกายได้
    ............................................................................................
    เมื่อคุณอ่านจบ...คุณคิดถึงใคร !!
    …………………………………………………
    ในขณะที่แทบทุกจะโรงเรียนได้มอบ"นม"ที่บอกว่าเพิ่มแคลเซียมให้แก่เด็กเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้สูงใหญ่โดยไม่ได้คำนึงถึงสมดุลของแร่ธาตุ นั่นหมายถึงกำลังทำให้สมองเด็กฝ่อลงหรือไม่ สอนยากสอนเย็น ขาดสมาธิและนำไปสู่โรคอื่นในอนาคตหรือไม่

    นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเมื่อเขียนบทความจบ

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    สวัสดี

    ขอบคุณ Dr.Robert Thompson,MD. และ Kathleen Barnes.

    Cr. Santi Manadee
    ความฉ้อฉลเกี่ยวกับแร่ธาตุ มันเป็นการโกหกที่ยิ่งใหญ่ซึ่งนำพาผู้คนและบุคลากรทางการแพทย์ไปสู่หายนะแห่งสุขภาพ มันเริ่มต้นด้วยคำว่า “แคลเซียมจำเป็นมากสำหรับกระดูกที่แข็งแรง” แพทย์เกือบจะทุกคนและผู้คนส่วนใหญ่ถูกฝังรากลึกจากความฉ้อฉลนี้ เราทุกคนเลยต้องดำดิ่งไปกับความเชื่อที่ว่า..ถ้าเราขาดแคลเซียมกระดูกของเราจะกลายเป็นผุยผง.. นี่เป็นการหลอกลวงและไม่เคยเป็นความจริง ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สอนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยทั่วโลกได้บอกเราถึงความผิดพลาดของระบบความเชื่อ แต่ก่อนที่จะไปไกลกว่านี้ผมอยากให้คุณรับรู้ว่า แคลเซียมเป็นเพียงแค่ 1ใน12แร่ธาตุที่ทำให้กระดูกแข็งแรง เมื่อใครสักคนได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดกพรุน ( Osteoporosis) นั่นหมายถึงการสูญเสียแร่ธาตุของกระดูก ไม่ใช่เพียงแค่ขาดแคลเซียมและถ้าคุณได้รับการแนะนำให้เสริมเพียงแค่แคลเซียมเพื่อบำรุงกระดูกจนเกินขนาดไม่ว่าจะได้มาในรูปแบบของ..นม..ตามคำแนะนำแพทย์หรือในรูปแบบอาหารเสริม..นั่นหมายถึงคุณกำลังได้รับสัญญาณแห่ง”ความตาย” เหตุเพราะแคลเซียมทำให้”แข็งตัว”....แม่จ้าว...แล้วมันจะทำให้ส่วนใดของร่างกายแข็งตัวได้บ้าง และถ้ามันเกินขนาดจะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเรา -นิ่วกรวยไต -นิ่วถุงน้ำดี -หินปูนเกาะในหลอดเลือด -หินปูนเกาะกระดูก -หินปูนเกาะเต้านม -การฝากของแคลเซียมในเนื้อเยื่อ -เซลล์สมองผิดปกติ -เนื้อสมองหดตัว -สมองเสื่อม ........................................................ อะไรนำไปสู่สิ่งโกหกที่ทำให้เราต้องจ่ายเงินเพราะมัน .......................................................... ความรู้ที่ผิดพลาดที่ถูกฝังรากลึกจากทุกวงการและต่อไปนี้คือความจริงที่ได้เพิ่มรายละเอียดมากขึ้น -แคลเซียมกับการทำงานของต่อมหมวกไต แคลเซียมที่มากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไตในวัตถุประสงค์เพื่อให้ไตกักเก็บแมกนีเซียมเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาสมดุลของแร่ธาตุในร่างกาย ผลของการทำเช่นนี้ก็คือ โซเดียมและโพแทสเซียมจะถูกขับออกทางปัสสาวะเป็นจำนวนมากซึ่งส่งผลต่อแร่ธาตุสองชนิดนี้ในเซลล์เป็นอย่างมาก !! ในความเป็นจริง : -โซเดียมมีความจำเป็นในการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร การย่อยโปรตีน การขนส่งน้ำตาลกลูโคสและกรดอะมิโนเข้าสู่เซลล์และเนื้อเยื่อ(ยกเว้น เซลล์ไขมัน) -โพแทสเซียมจำเป็นสำหรับการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์และช่วยรักษาไว้ซึ่งประจุของผนังเซลล์ แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการกำหนดอัตราการเต้นของหัวใจ มันเป็นตัวกำหนดให้กล้ามเนื้อและใยประสาทสื่อสารกันเมื่อพวกเขาต้องการแร่ธาตุสองตัวนี้ นอกจากนี้ทั้งสองยังช่วยรักษาความคงที่ของความดันโลหิตอีกด้วย ความไม่สมดุลหรือการขาดแร่ธาตุเหล่านี้นำไปสู่ความผิดพลาดเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่เซลล์ของหัวใจ !! ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าเมื่อร่างกายขาดโซเดียมและโพแทสเซียมแล้วจะเกิดอะไรตามมา...กรดอะมิโนถูกจำกัดและเมื่อเซลล์ขาดกรดอะมิโน ร่างกายก็ไม่สามารถเจริญเติบโตและซ่อมแซมตัวเองได้และเมื่อเซลล์ขาดกลูโคส เซลล์ก็ขาดซึ่งพลังงาน ความอ่อนล้าหมดแรงของร่างกายโดยรวมก็ตามมา !! ในความเป็นจริง ร่างกายจำเป็นต้องได้รับการบริจาคประจุลบจากแร่ธาตุในทุกปฏิกิริยาชีวเคมีที่เกิดขึ้นในเซลล์ ดังนั้นการขาดซึ่งแร่ธาตุจึงสามารถนำไปสู่หลายอาการของร่างกายได้ ............................................................................................ เมื่อคุณอ่านจบ...คุณคิดถึงใคร !! ………………………………………………… ในขณะที่แทบทุกจะโรงเรียนได้มอบ"นม"ที่บอกว่าเพิ่มแคลเซียมให้แก่เด็กเพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะได้สูงใหญ่โดยไม่ได้คำนึงถึงสมดุลของแร่ธาตุ นั่นหมายถึงกำลังทำให้สมองเด็กฝ่อลงหรือไม่ สอนยากสอนเย็น ขาดสมาธิและนำไปสู่โรคอื่นในอนาคตหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดเมื่อเขียนบทความจบ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณ Dr.Robert Thompson,MD. และ Kathleen Barnes. Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกิดอะไรขึ้น?! สาวเข็นของเข้าลิฟต์ จู่ๆ ตัวลอยติดเพดาน
    เกิดอะไรขึ้น?! สาวเข็นของเข้าลิฟต์ จู่ๆ ตัวลอยติดเพดาน
    Like
    Haha
    Wow
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1003 มุมมอง 65 0 รีวิว
  • 12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    12 มีนาคม 2568-เพจวิเคราะห์บอลจริงจังเขียนบทความน่าสนใจว่ามาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ มารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่เธอต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทิ้งไว้ให้เงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท แปลว่า ยุคของมาดามแป้งต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาทย้อนกลับไปดูวันสุดท้าย ของพล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคม เขาบอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ" โอเค... พล.ต.อ.สมยศ อาจเริ่มต้นด้วยกุญแจดอกเดียว ไขเข้าไปในห้องแล้วเจอแต่ความว่างเปล่าแต่กับเคสของมาดามแป้ง เธอเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไป แล้วเจอ "กองหนี้สินมหาศาล" ที่เธอไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้ในวันนี้ (11 มีนาคม) มาดามแป้งแถลงผลงาน ครบ 1 ปีที่เข้ามาเป็นนายกสมาคม แต่สาเหตุที่สื่อมวลชนมหาศาลมาทำข่าววันนี้ ไม่ใช่เรื่องผลงานดังกล่าว ทุกคนอยากรู้แค่ว่า "มาดามแป้ง จะจัดการปัญหาหนี้สิน 360 ล้านบาทกับสยามสปอร์ตอย่างไร?" ผมขอสรุป 2 คดีของสมาคมกับสยามสปอร์ตนิดเดียวครับ ---------------คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบศาลชั้นต้น : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยศาลฎีกา : สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยสมาคมแพ้คดีทุกศาล เพราะต่อให้คุณจะไม่ชอบสัญญาขนาดไหน คุณก็ไปฉีกสัญญาที่เซ็นกันแล้วอย่างถูกต้องไม่ได้ มาดามแป้งบอกว่า หนี้สินไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้าน แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลมาก เกิน 200 ล้านบาทแน่นอน---------------คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอล ฟ้อง สยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ต ทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคมศาลชั้นต้น : สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง ศาลฎีกา : ไม่รับฎีกาคดีที่สมาคมฟ้องสยามสปอร์ต จบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตกั๊กเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว---------------ในการปะทะกันบนศาลครั้งนี้ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทั้ง 2 คดี และสมาคมต้องหาเงินมหาศาลเอามาชำระหนี้แปลว่า มาดามแป้ง มารับตำแหน่งนายกสมาคม 1 ปี เธอมีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้ในทางกฎหมายนั้น คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้ถ้าเธอหาเงินไม่ได้ สมาคมอาจจะถูกยึดทรัพย์ สำนักงานที่ทำการสมาคมก็จะโดนยึดเอาไปจ่ายหนี้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวของมาดามแป้งอย่างมาก เพราะถ้าสมาคมที่ก่อตั้งมา 110 ปี ต้องล่มสลาย โดนยึดทุกอย่างในยุคของเธอ มันจะเป็นตราบาปที่ติดในใจเธอไปตลอดเมื่อพูดถึงตรงนี้ มาดามแป้งร้องไห้ เธอบอกว่า "แป้งมาด้วยเจตนาดี ทุกคนคงจะเห็นใจแป้งบ้าง สิ่งที่แป้งเจอเนี่ย แป้งทำเต็มที่ ในฐานะผู้หญิงคนแรกที่เป็นนายกสมาคมฟุตบอลคนแรกของทวีปเอเชีย เข้ามาไม่มีอะไรเลย มีแต่หนี้ แป้งไม่เคยดราม่า แต่ว่าแป้งคิดว่า แป้งทำงานมาได้ถึงขนาดนี้ แป้งเต็มที่แล้ว ""แป้งแค่ขอความเห็นใจ และขอกำลังใจ จากแฟนบอลและสื่อมวลชน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ต้องถูกแก้ด้วยแป้งและสภากรรมการ แต่เรื่องหนี้สินมันไม่ได้เกิดขึ้นในยุคแป้ง แต่แป้งต้องมารับทุกสิ่งทุกอย่าง แป้งเป็นคน และเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเหมือนกัน"ถ้าเราพูดกันแบบตรงๆ เลย ตลอด 1 ปีของมาดามแป้ง เธอก็มีผลงานไม่เลวหลายอย่าง เช่น พาทีมชาติไทยมีอันดับโลกต่ำกว่าร้อย ครั้งแรกในรอบ 16 ปี, หาเงินมาจ่ายให้สโมสรไทยลีกได้สำเร็จ รวมถึง จัดงานฟีฟ่า คองเกรสได้เยี่ยมจนได้รับคำชมแน่นอน มาดามแป้งไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ทุกคนทราบดี เรื่องโปรแกรมเลื่อนไทยลีกจนชุลมุน เธอก็ยังจัดการไม่ดีนัก แต่อย่างน้อย การต่อสู้ในสภาพที่สมาคมเจอหนี้มหาศาลขนาดนี้ ถือว่าโอเคแล้วสำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทางมาดามแป้ง กับ ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่จริงอยู่ แม้ศาลจะระบุว่า คนที่ต้องใช้หนี้ คือสมาคมฟุตบอลซึ่งเป็นนิติบุคคล แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรดังนั้นเธอจึงศึกษาข้อมูล และค้นพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า "นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้" มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม เรื่องนี้จะขึ้นสู่ศาลแน่นอน ก็ต้องมาดูกันว่า สมาคมฟุตบอลจะสามารถทวงเงินคืนสักก้อน จากพล.ต.อ.สมยศ และสภากรรมการชุดเก่าได้หรือไม่ ---------------ในงานแถลงข่าวครั้งนี้ ไฮไลท์ของจริง ที่มาดามแป้งอยากเล่า ไม่ใช่คดีของสยามสปอร์ต แต่เป็นการแฉพล.ต.อ.สมยศ แบบ "เละ" อัดทุกอย่างจนกระจุยไปหมด ในวันแรกที่มาดามแป้งมารับงานเป็นนายกสมาคมคนใหม่ เมื่อเจอหนี้สินร้อยล้านกว่าบาท ทำให้เธอตั้งคำถามว่า แล้วเงินก้อนต่างๆ ที่สมาคมได้รับมาก่อนหน้านี้ หายไปไหนหมด?ทำให้เธอตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้างสิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง ที่แปลก [ เรื่องแปลกอย่างที่ 1 ] คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อยศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย) จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่าโดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้[ เรื่องแปลกอย่างที่ 2 ] ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุคพล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักเอาเลย จากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปีนั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง จะเงินหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอเลยด้วยซ้ำขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง[ เรื่องแปลกอย่างที่ 3 ]พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับบริษัท Perform จากมาเลเซียทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลเหมือนกัน[ เรื่องแปลกอย่างที่ 4 ]ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คือผมไม่ได้บอกว่า ดีหรือเปล่า แต่ธรรมเนียมปฏิบัติเขาทำกันมาแบบนี้ คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติอย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาทเคยมีคนไปสอบถามในเรื่องนี้ แต่พล.ต.อ.สมยศ ก็อธิบายว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้นปัญหาในเรื่องนี้คือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้ และ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า---------------มาดามแป้งใช้เวลาแถลงข่าวทั้งหมด 64 นาที เล่าทุกอย่าง แบบตรงไปตรงมา เธอยืนยันว่า "ไม่ได้มีปัญหาส่วนตัว กับ พล.ต.อ.สมยศ แต่จำเป็นต้องทำ เพื่อทวงเงินที่เป็นของสมาคมกลับคืนมา เพราะสมาคมฟุตบอลต้องเดินหน้าต่อไปให้ได้" ทีนี้ เมื่อฝั่งสมาคมโจมตีใส่อย่างหนักหน่วงแล้ว ก็ถึงคิวของ พล.ต.อ.สมยศ ต้องออกมาอธิบายตัวเอง ว่าข้อสงสัยต่างๆ ที่มาดามแป้งพูดถึงนั้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ค่าทนาย 30 ล้าน มันก็แปลกจริงๆ นั่นแหละน่าคิดนะ ว่าเงินก้อนโตที่เข้าออกสมาคม จำนวนมากกว่าร้อยล้าน สุดท้ายมันหายไปไหนหมด ทำไมเหลือแต่หนี้สินทิ้งเอาไว้สำหรับประเด็นที่เราต้องติดตาม มีหลายอย่าง เช่น ในปี 2571 ที่จะหมดสัญญากับผู้ถือสิทธิประโยชน์รายปัจจุบัน (แพลนบี) และ เจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อแข่งทีมชาติ (วอร์ริกซ์) สมาคมจะเดินหมากอย่างไรต่อ จะเซ็นกัน 8 ปีแบบเดิมอีกไหม รวมถึง การเจรจาหาทางชำระหนี้สยามสปอร์ตจะทำอย่างไร เมื่อไม่มีเงินในบัญชีเลย จะเล่นแร่แปรธาตุ หาเงินจากไหนได้บ้าง? นี่คือช่วงเวลาที่มาดามแป้งต้องใช้กลยุทธ์ธุรกิจทุกอย่าง รวมถึงคอนเน็กชั่นทั้งหมดที่เธอมี ในการประคองให้สมาคมรอดพ้นวิกฤติไปให้ได้หลังจบงานแถลงข่าว มาดามแป้งเดินมาขอบคุณสื่อมวลชน และพอเธอเดินมาถึง ผมถามเธอว่า "เจอแบบนี้ ภาระหนี้สินหลายร้อยล้านที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เคยคิดจะลาออกไหมครับ?" มาดามแป้ง หยุดคิด แล้วตอบผมว่า "เคยคิดนะคะ" "แต่เราได้กำลังใจจากคนมากมาย นายกสมาคมประเทศอื่นในเอเชีย ก็บอกว่าอยู่ต่อเถอะ เพราะเราทำงานได้ดีแล้ว มันก็เลยมีพลังที่จะสู้ต่อ""และที่สำคัญ ถ้าเราไม่ทำ ถ้าเราไม่แก้ปัญหานี้ แล้วจะปล่อยให้ใครจะมาแก้ ดังนั้นก็ต้องสู้ค่ะ"ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวการแถลงข่าว ที่เดือดดาลที่สุดของสมาคมฟุตบอล มาดามแป้งเริ่มด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้มในการแถลงผลงาน ตามด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำตาเข้าใจเธอครับ ถ้าอยู่ๆ ต้องมารับภาระหนี้สินร้อยล้านแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ คงทั้งแค้น ทั้งเศร้าเป็นธรรมดาการเป็นผู้นำองค์กร ที่ต้องแบกรับความคาดหวังทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ วันนี้มาดามแป้งทำให้เห็นว่า เธอก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีความอ่อนไหว เสียใจได้ ร้องไห้เป็น แต่แม้จะเสียใจแค่ไหน ก็ต้องปาดน้ำตาแล้วแก้ปัญหากันต่อปิดท้ายในเรื่องนี้ สิ่งที่น่าจับตาที่สุดคือ ความโปร่งใสของอดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่ง กับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่ตอนนี้กลับโดนข้อครหามากมาย เหมือนว่าเขาเป็นโจรเสียเองสมมุติว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ คนซื่อสัตย์ย่อมต้องหาคำอธิบายทุกอย่างได้อยู่แล้ว แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีจิตใจคิดทุจริต หวังใช้สมาคมฟุตบอลในการกอบโกยผลประโยชน์ล่ะก็ รับรองได้ว่าเรื่องนี้ จะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอนเพราะถ้าหากคนเป็นผู้นำ ยังไม่ตรงไปตรงมา มีนอกมีในอยู่ตลอด แล้วอนาคตของวงการฟุตบอลไทยจะเป็นอย่างไร ... แค่คิดก็สิ้นหวังแล้ว
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีลอน มัสก์ เผยที่อยู่ IP เบื้องหลังการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่บน X มีต้นตอมาจาก "พื้นที่ยูเครน"

    "ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีการพยายามอย่างหนักเพื่อปิดระบบ X โดยใช้ที่อยู่ IP ที่มีต้นทางมาจากพื้นที่ยูเครน" อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ X กล่าวกับฟ็อกซ์นิวส์

    เมื่อวันจันทร์กลุ่มแฮกเกอร์ได้เปิดการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่บนเครือข่ายสังคม X (เดิมคือ Twitter) ส่งผลให้แอปพลิเคชันหยุดให้บริการนานกว่า 4 ชั่วโมง
    อีลอน มัสก์ เผยที่อยู่ IP เบื้องหลังการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งใหญ่บน X มีต้นตอมาจาก "พื้นที่ยูเครน" "ยังไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีการพยายามอย่างหนักเพื่อปิดระบบ X โดยใช้ที่อยู่ IP ที่มีต้นทางมาจากพื้นที่ยูเครน" อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ X กล่าวกับฟ็อกซ์นิวส์ เมื่อวันจันทร์กลุ่มแฮกเกอร์ได้เปิดการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่บนเครือข่ายสังคม X (เดิมคือ Twitter) ส่งผลให้แอปพลิเคชันหยุดให้บริการนานกว่า 4 ชั่วโมง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 2/
    อิหร่านปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์

    ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อิหม่าม คาเมเนอี เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยยืนยันว่า เตหะรานจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องใดๆ หลังจากที่ทรัมป์เสนอให้มีการเจรจารอบใหม่ นอกจากนี้ เขายังประกาศด้วยว่าอิหร่านจะ “ไม่มีวัน” ยอมรับข้อเรียกร้องที่จะให้ใครมาควบคุมโครงการขีปนาวุธของตน

    นอกจากนี้ ผู้นำสูงสุดของอิหร่านยังกล่าาโจมตีสหรัฐว่าเป็นฝ่ายที่รังแกประเทศอื่น หากไม่มีใครทำตามความต้องการ "รัฐบาลที่รังแกผู้อื่น – และพูดตามตรง เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคำใดที่ถูกต้องกว่าคำว่า “รังแก” สำหรับผู้นำและหัวหน้ารัฐต่างประเทศ (หมายถึงทรัมป์) เขายืนกรานให้มีการเจรจา แต่การเจรจาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหา แต่เป็นเรื่องของอำนาจ พวกเขาใช้การเจรจาเป็นเครื่องมือเพื่อบังคับให้ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา และหากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะหาเหตุผลสร้างความวุ่นวาย โดยกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มต้นเดินออกไปจากโต๊ะเพื่อทิ้งการเจรจา"

    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวถึงเรื่องการเจรจากับอิหร่านว่า:
    "จะมีวันที่น่าสนใจอีกหลายวันข้างหน้ากับอิหร่าน เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เล็กน้อยกับอิหร่านเท่านั้น เราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ได้ บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ผมอยากได้ข้อตกลงสันติภาพมากกว่าทางเลือกอื่น แต่ทางเลือกอื่นก็อาจจะใช้แก้ปัญหาได้ เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
    2/ อิหร่านปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อิหม่าม คาเมเนอี เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยยืนยันว่า เตหะรานจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องใดๆ หลังจากที่ทรัมป์เสนอให้มีการเจรจารอบใหม่ นอกจากนี้ เขายังประกาศด้วยว่าอิหร่านจะ “ไม่มีวัน” ยอมรับข้อเรียกร้องที่จะให้ใครมาควบคุมโครงการขีปนาวุธของตน นอกจากนี้ ผู้นำสูงสุดของอิหร่านยังกล่าาโจมตีสหรัฐว่าเป็นฝ่ายที่รังแกประเทศอื่น หากไม่มีใครทำตามความต้องการ "รัฐบาลที่รังแกผู้อื่น – และพูดตามตรง เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคำใดที่ถูกต้องกว่าคำว่า “รังแก” สำหรับผู้นำและหัวหน้ารัฐต่างประเทศ (หมายถึงทรัมป์) เขายืนกรานให้มีการเจรจา แต่การเจรจาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหา แต่เป็นเรื่องของอำนาจ พวกเขาใช้การเจรจาเป็นเครื่องมือเพื่อบังคับให้ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา และหากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะหาเหตุผลสร้างความวุ่นวาย โดยกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มต้นเดินออกไปจากโต๊ะเพื่อทิ้งการเจรจา" ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวถึงเรื่องการเจรจากับอิหร่านว่า: "จะมีวันที่น่าสนใจอีกหลายวันข้างหน้ากับอิหร่าน เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เล็กน้อยกับอิหร่านเท่านั้น เราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ได้ บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ผมอยากได้ข้อตกลงสันติภาพมากกว่าทางเลือกอื่น แต่ทางเลือกอื่นก็อาจจะใช้แก้ปัญหาได้ เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • 1/
    อิหร่านปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์

    ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อิหม่าม คาเมเนอี เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยยืนยันว่า เตหะรานจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องใดๆ หลังจากที่ทรัมป์เสนอให้มีการเจรจารอบใหม่ นอกจากนี้ เขายังประกาศด้วยว่าอิหร่านจะ “ไม่มีวัน” ยอมรับข้อเรียกร้องที่จะให้ใครมาควบคุมโครงการขีปนาวุธของตน

    นอกจากนี้ ผู้นำสูงสุดของอิหร่านยังกล่าาโจมตีสหรัฐว่าเป็นฝ่ายที่รังแกประเทศอื่น หากไม่มีใครทำตามความต้องการ "รัฐบาลที่รังแกผู้อื่น – และพูดตามตรง เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคำใดที่ถูกต้องกว่าคำว่า “รังแก” สำหรับผู้นำและหัวหน้ารัฐต่างประเทศ (หมายถึงทรัมป์) เขายืนกรานให้มีการเจรจา แต่การเจรจาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหา แต่เป็นเรื่องของอำนาจ พวกเขาใช้การเจรจาเป็นเครื่องมือเพื่อบังคับให้ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา และหากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะหาเหตุผลสร้างความวุ่นวาย โดยกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มต้นเดินออกไปจากโต๊ะเพื่อทิ้งการเจรจา"

    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวถึงเรื่องการเจรจากับอิหร่านว่า:
    "จะมีวันที่น่าสนใจอีกหลายวันข้างหน้ากับอิหร่าน เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เล็กน้อยกับอิหร่านเท่านั้น เราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ได้ บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ผมอยากได้ข้อตกลงสันติภาพมากกว่าทางเลือกอื่น แต่ทางเลือกอื่นก็อาจจะใช้แก้ปัญหาได้ เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
    1/ อิหร่านปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อิหม่าม คาเมเนอี เพิ่งปฏิเสธข้อเสนอของทรัมป์ในการพูดคุยเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ โดยยืนยันว่า เตหะรานจะไม่ยอมรับข้อเรียกร้องใดๆ หลังจากที่ทรัมป์เสนอให้มีการเจรจารอบใหม่ นอกจากนี้ เขายังประกาศด้วยว่าอิหร่านจะ “ไม่มีวัน” ยอมรับข้อเรียกร้องที่จะให้ใครมาควบคุมโครงการขีปนาวุธของตน นอกจากนี้ ผู้นำสูงสุดของอิหร่านยังกล่าาโจมตีสหรัฐว่าเป็นฝ่ายที่รังแกประเทศอื่น หากไม่มีใครทำตามความต้องการ "รัฐบาลที่รังแกผู้อื่น – และพูดตามตรง เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีคำใดที่ถูกต้องกว่าคำว่า “รังแก” สำหรับผู้นำและหัวหน้ารัฐต่างประเทศ (หมายถึงทรัมป์) เขายืนกรานให้มีการเจรจา แต่การเจรจาของพวกเขาไม่ใช่เพื่อแก้ไขปัญหา แต่เป็นเรื่องของอำนาจ พวกเขาใช้การเจรจาเป็นเครื่องมือเพื่อบังคับให้ทำตามข้อเรียกร้องของพวกเขา และหากอีกฝ่ายไม่ยอมรับ พวกเขาก็จะหาเหตุผลสร้างความวุ่นวาย โดยกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มเป็นฝ่ายเริ่มต้นเดินออกไปจากโต๊ะเพื่อทิ้งการเจรจา" ก่อนหน้านี้ ทรัมป์กล่าวถึงเรื่องการเจรจากับอิหร่านว่า: "จะมีวันที่น่าสนใจอีกหลายวันข้างหน้ากับอิหร่าน เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เล็กน้อยกับอิหร่านเท่านั้น เราไม่สามารถปล่อยให้พวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ได้ บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ผมอยากได้ข้อตกลงสันติภาพมากกว่าทางเลือกอื่น แต่ทางเลือกอื่นก็อาจจะใช้แก้ปัญหาได้ เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิสราเอล คัทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ฉวยโอกาสความวุ่นวายทางฝั่งตะวันตกของซีเรีย โดยเรียกประธานาธิบดีคนใหม่ของซีเรียว่าเป็น “ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์” หลังจากมีรายงานว่า เขาเรียกใช้กองกำลัง HTS ซึ่งอดีตคือกลุ่มก่อการร้าย แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นเจ้าหน้ารักษาความสงบของรัฐบาลซีเรียไปแล้ว เข้าปราบปรามและสังหารพลเรือนชาวอลาวีไปแล้วมากกว่า 125 คน

    คัทซ์เตือนซีเรียว่า อิสราเอลจะปกป้องตนเองจากภัยคุกคามใดๆ จากซีเรีย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อิสราเอลจะยังคงรักษาพื้นที่ทางเหนือของอิสราเอลต่อไป

    ขณะเดียวกัน NBC News รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 240 รายในซีเรียตะวันตกเฉียงเหนือ เนื่องจากกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย เข้าทำการปราบปรามอย่างหนัก และสิ่งที่ตามมาคือคลื่นการสังหารที่โหดร้าย เหยื่อจำนวนมากเป็นชาวอลาวี ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาของอัสซาดที่ครองอำนาจมานานหลายทศวรรษ

    ประธานาธิบดีอัลชาราเคยสัญญาว่าซีเรียจะเป็นหนึ่งเดียวในทุกเชื้อชาติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมำให้รัฐบาลตะวันตกกำลัง "จับตาดูอย่างใกล้ชิด" โดยสงสัยว่า อัลชาราคือคนที่จะมาสร้างซีเรียขึ้นใหม่จริงหรือ หรือเป็นเพียงผู้นำสงครามในเครื่องแบบใหม่เท่านั้น
    อิสราเอล คัทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ฉวยโอกาสความวุ่นวายทางฝั่งตะวันตกของซีเรีย โดยเรียกประธานาธิบดีคนใหม่ของซีเรียว่าเป็น “ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์” หลังจากมีรายงานว่า เขาเรียกใช้กองกำลัง HTS ซึ่งอดีตคือกลุ่มก่อการร้าย แต่ปัจจุบันกลายมาเป็นเจ้าหน้ารักษาความสงบของรัฐบาลซีเรียไปแล้ว เข้าปราบปรามและสังหารพลเรือนชาวอลาวีไปแล้วมากกว่า 125 คน คัทซ์เตือนซีเรียว่า อิสราเอลจะปกป้องตนเองจากภัยคุกคามใดๆ จากซีเรีย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อิสราเอลจะยังคงรักษาพื้นที่ทางเหนือของอิสราเอลต่อไป ขณะเดียวกัน NBC News รายงานว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 240 รายในซีเรียตะวันตกเฉียงเหนือ เนื่องจากกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย เข้าทำการปราบปรามอย่างหนัก และสิ่งที่ตามมาคือคลื่นการสังหารที่โหดร้าย เหยื่อจำนวนมากเป็นชาวอลาวี ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางศาสนาของอัสซาดที่ครองอำนาจมานานหลายทศวรรษ ประธานาธิบดีอัลชาราเคยสัญญาว่าซีเรียจะเป็นหนึ่งเดียวในทุกเชื้อชาติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมำให้รัฐบาลตะวันตกกำลัง "จับตาดูอย่างใกล้ชิด" โดยสงสัยว่า อัลชาราคือคนที่จะมาสร้างซีเรียขึ้นใหม่จริงหรือ หรือเป็นเพียงผู้นำสงครามในเครื่องแบบใหม่เท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทีมเบื้องหลังเว็บเบราว์เซอร์ Opera ได้ประกาศเปิดตัว AI ใหม่ที่เรียกว่า Browser Operator ซึ่งสามารถทำงานในการท่องเว็บสำหรับผู้ใช้ได้ การท่องเว็บแบบเอเจนต์นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเป็นวิวัฒนาการถัดไปของเว็บเบราว์เซอร์

    Browser Operator ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้ใช้ ด้วยการให้ผู้ใช้สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการทำในภาษาธรรมชาติ แล้วเบราว์เซอร์จะดำเนินการให้ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้สามารถขอให้ Browser Operator ซื้อรองเท้าวิ่งสีชมพูจาก Nike ขนาด 8.5 ให้ หลังจากนั้น Browser Operator จะดำเนินการตามคำขอนี้ และผู้ใช้สามารถดูได้ตลอดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในกระบวนการนี้ ทำให้ผู้ใช้ยังคงควบคุมได้ทั้งหมด

    Opera กำลังเปลี่ยนแปลงเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นระบบนิเวศที่เน้นผู้ใช้ โดยใช้โซลูชันที่ทำงานภายในเครื่องเพื่อทำงานในขณะที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Browser Operator ทำงานภายในเบราว์เซอร์และใช้ DOM Tree และข้อมูลการจัดวางของเบราว์เซอร์เพื่อให้ได้บริบท ทำให้การทำงานเร็วขึ้นเพราะไม่ต้อง "ดู" และเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอจากพิกเซลหรือการนำทางด้วยเมาส์ Browser Operator สามารถเข้าถึงหน้าเว็บทั้งหน้าได้พร้อมกันโดยไม่ต้องเลื่อน ซึ่งลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานลง

    Browser Operator อยู่ในสถานะพรีวิวฟีเจอร์และคาดว่าจะพร้อมใช้งานในอนาคตในโปรแกรม Opera Feature Drop โดย Opera มีแผนจะเปิดให้ใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้

    https://www.zdnet.com/article/opera-unveils-impressive-preview-of-ai-agentic-browsing-see-it-in-action/
    ทีมเบื้องหลังเว็บเบราว์เซอร์ Opera ได้ประกาศเปิดตัว AI ใหม่ที่เรียกว่า Browser Operator ซึ่งสามารถทำงานในการท่องเว็บสำหรับผู้ใช้ได้ การท่องเว็บแบบเอเจนต์นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะเป็นวิวัฒนาการถัดไปของเว็บเบราว์เซอร์ Browser Operator ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของผู้ใช้ ด้วยการให้ผู้ใช้สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการทำในภาษาธรรมชาติ แล้วเบราว์เซอร์จะดำเนินการให้ ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้สามารถขอให้ Browser Operator ซื้อรองเท้าวิ่งสีชมพูจาก Nike ขนาด 8.5 ให้ หลังจากนั้น Browser Operator จะดำเนินการตามคำขอนี้ และผู้ใช้สามารถดูได้ตลอดว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในกระบวนการนี้ ทำให้ผู้ใช้ยังคงควบคุมได้ทั้งหมด Opera กำลังเปลี่ยนแปลงเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นระบบนิเวศที่เน้นผู้ใช้ โดยใช้โซลูชันที่ทำงานภายในเครื่องเพื่อทำงานในขณะที่ยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Browser Operator ทำงานภายในเบราว์เซอร์และใช้ DOM Tree และข้อมูลการจัดวางของเบราว์เซอร์เพื่อให้ได้บริบท ทำให้การทำงานเร็วขึ้นเพราะไม่ต้อง "ดู" และเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอจากพิกเซลหรือการนำทางด้วยเมาส์ Browser Operator สามารถเข้าถึงหน้าเว็บทั้งหน้าได้พร้อมกันโดยไม่ต้องเลื่อน ซึ่งลดเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานลง Browser Operator อยู่ในสถานะพรีวิวฟีเจอร์และคาดว่าจะพร้อมใช้งานในอนาคตในโปรแกรม Opera Feature Drop โดย Opera มีแผนจะเปิดให้ใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้ https://www.zdnet.com/article/opera-unveils-impressive-preview-of-ai-agentic-browsing-see-it-in-action/
    WWW.ZDNET.COM
    Opera unveils impressive preview of AI agentic browsing - see it in action
    If you've been waiting for a better conjunction of web browser and AI, the wait is almost over, thanks to Opera.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ชาวเน็ตตามเผือกตามใส่ใจ สำหรับกรณี “ลำไย ไหทองคำ” สุพรรณษา เวชกามา เลิกรากับแฟนหนุ่มนักดนตรี “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวงแอลกอฮอลล์ ปิดฉากความรัก 9 ปี โดยตอนแรกลำไยยืนยันว่าไม่มีเรื่องมือที่สาม ก่อนจะโดนเพจต่างๆ เปิดมหกรรมขุดแหลก แฉเรื่อง “บอส เอวหวาน” ซึ่งเป็นแดนเซอร์ พร้อมข้อมูลต่างๆ ที่หลุดออกมา จนลำไยออกมาเผยว่าเคยคุยกันจริงในระยะเวลาสั้นๆ แต่เลิกคุยไปแล้ว ลั่นถูกแฟนเก่าบอสเรียกเงิน 10 ล้าน แต่ค่ายยินยอมจ่ายให้ 2 ล้านเท่านั้น ยืนยันไม่เคยจ้าง 1 แสนเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย จนคนข้องใจว่า 10 ล้านที่เรียกเป็นค่าอะไร

    ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตัวแทนหมู่บ้าน ได้จัดการเคลียร์ให้หายข้องใจในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (4 มี.ค.68) โดยเผยว่าตนไม่เชื่อว่าลำไยจะต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนเพื่อให้มีสัมพันธ์ด้วย บอกแค่ดีดนิ้วก็มาแล้ว เพราะลำไยคือนักร้องเบอร์หนึ่งของเมืองไทยในตอนนี้

    “เอาตรงๆ นะ ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องจ้างแสนนึงให้มีสัมพันธ์ด้วย อันนี้วิเคราะห์เองนะ คิดดีๆ นะ ลำไยจำเป็นต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนให้มีสัมพันธ์กับตัวเองเหรอ ผมว่าแค่ลำไยดีดนิ้ว ก็มาเลยนะ ไม่จำเป็นต้องจ้างแสนนึง แต่ผมเชื่อเรื่องความให้โดยการเสน่หา อาจคบหากันช่วงเวลานึง เห็นว่าน้องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าเลยให้เงินไป แต่ที่มาที่ไปมันมี ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าทีละเปลาะ คนก็ไปตามหาอดีตแฟนบอส ชื่อโม ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าสุดท้ายมีการเรียกเงิน 10 ล้านจริงหรือเปล่า ต้องถามคนนี้เลย อยู่ในสายกับ น้องโม อดีตแฟนบอส” (โม แฟนเก่าบอสโฟนอินเข้ามาตอบในรายการ เผยว่าจริงๆ แล้วถูกเสนอเงิน 5 ล้าน เพื่อให้จบเรื่องนี้ และเป็นค่าเสียใจที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ เพื่อแฉลำไย)

    โม : “เคยคบหากับบอสจริง ไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ หนูไม่รู้ว่ามันไปที่เพจต่างๆ ได้ยังไง มีแต่เคยโพสต์ไว้ในเฟซนานมาแล้ว แล้วคนมาขุดกัน

    หนุ่ม : เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านจริงมั้ย

    โม : หนูเรียก 5 ล้านค่ะ เขาเสนอมาค่ะ ทางค่ายเขาบอกว่าให้บอสถามหนูว่าอยากจะจบเรื่องนี้ เอาค่าเสียใจไหม มาเอาที่บอสเลย ถ้าบอสไม่มีให้ไปปรึกษาที่ค่าย ยังไงเขาจะช่วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020985

    #MGROnline #ลําไยไหทองคํา
    กลายเป็นข่าวใหญ่ ที่ชาวเน็ตตามเผือกตามใส่ใจ สำหรับกรณี “ลำไย ไหทองคำ” สุพรรณษา เวชกามา เลิกรากับแฟนหนุ่มนักดนตรี “ปุ้ย ศรีสกล สมทรง” นักร้องนำวงแอลกอฮอลล์ ปิดฉากความรัก 9 ปี โดยตอนแรกลำไยยืนยันว่าไม่มีเรื่องมือที่สาม ก่อนจะโดนเพจต่างๆ เปิดมหกรรมขุดแหลก แฉเรื่อง “บอส เอวหวาน” ซึ่งเป็นแดนเซอร์ พร้อมข้อมูลต่างๆ ที่หลุดออกมา จนลำไยออกมาเผยว่าเคยคุยกันจริงในระยะเวลาสั้นๆ แต่เลิกคุยไปแล้ว ลั่นถูกแฟนเก่าบอสเรียกเงิน 10 ล้าน แต่ค่ายยินยอมจ่ายให้ 2 ล้านเท่านั้น ยืนยันไม่เคยจ้าง 1 แสนเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย จนคนข้องใจว่า 10 ล้านที่เรียกเป็นค่าอะไร • ล่าสุด “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตัวแทนหมู่บ้าน ได้จัดการเคลียร์ให้หายข้องใจในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ (4 มี.ค.68) โดยเผยว่าตนไม่เชื่อว่าลำไยจะต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนเพื่อให้มีสัมพันธ์ด้วย บอกแค่ดีดนิ้วก็มาแล้ว เพราะลำไยคือนักร้องเบอร์หนึ่งของเมืองไทยในตอนนี้ • “เอาตรงๆ นะ ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องจ้างแสนนึงให้มีสัมพันธ์ด้วย อันนี้วิเคราะห์เองนะ คิดดีๆ นะ ลำไยจำเป็นต้องจ้างแดนเซอร์ 1 แสนให้มีสัมพันธ์กับตัวเองเหรอ ผมว่าแค่ลำไยดีดนิ้ว ก็มาเลยนะ ไม่จำเป็นต้องจ้างแสนนึง แต่ผมเชื่อเรื่องความให้โดยการเสน่หา อาจคบหากันช่วงเวลานึง เห็นว่าน้องจำเป็นต้องใช้เงินหรือเปล่าเลยให้เงินไป แต่ที่มาที่ไปมันมี ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่าทีละเปลาะ คนก็ไปตามหาอดีตแฟนบอส ชื่อโม ว่าเกิดอะไรขึ้น ถามว่าสุดท้ายมีการเรียกเงิน 10 ล้านจริงหรือเปล่า ต้องถามคนนี้เลย อยู่ในสายกับ น้องโม อดีตแฟนบอส” (โม แฟนเก่าบอสโฟนอินเข้ามาตอบในรายการ เผยว่าจริงๆ แล้วถูกเสนอเงิน 5 ล้าน เพื่อให้จบเรื่องนี้ และเป็นค่าเสียใจที่เกิดขึ้น พร้อมยันไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ เพื่อแฉลำไย) • โม : “เคยคบหากับบอสจริง ไม่ได้ส่งข้อมูลให้เพจต่างๆ หนูไม่รู้ว่ามันไปที่เพจต่างๆ ได้ยังไง มีแต่เคยโพสต์ไว้ในเฟซนานมาแล้ว แล้วคนมาขุดกัน • หนุ่ม : เรื่องเรียกเงิน 10 ล้านจริงมั้ย • โม : หนูเรียก 5 ล้านค่ะ เขาเสนอมาค่ะ ทางค่ายเขาบอกว่าให้บอสถามหนูว่าอยากจะจบเรื่องนี้ เอาค่าเสียใจไหม มาเอาที่บอสเลย ถ้าบอสไม่มีให้ไปปรึกษาที่ค่าย ยังไงเขาจะช่วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000020985 • #MGROnline #ลําไยไหทองคํา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

    ทรัมป์กล่าวหลังจากตัดสินใจระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน
    “เราจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ทรัมป์กล่าวหลังจากตัดสินใจระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 16 0 รีวิว
  • 📌 อารมณ์ vs. เหตุผล: ใช้อย่างไรให้ชีวิตเจริญ?


    ---

    🧠 มนุษย์ใช้เหตุผลได้… ถ้าอยากใช้!

    ✅ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา
    ✅ แต่ส่วนใหญ่เลือกใช้อารมณ์นำหน้า
    ✅ ใช้เหตุผล → ชีวิตเจริญ
    ✅ ใช้อารมณ์นำ → ชีวิตวุ่นวาย

    🎯 "การเลือกใช้เหตุผลหรืออารมณ์" คือสิ่งที่กำหนด "ทิศทางชีวิต"


    ---

    🚨 4 ประเภทของคน ตามการใช้ "อารมณ์ vs. เหตุผล"

    ❌ 1️⃣ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน

    🔴 ทำให้ทั้งสองสถานที่มืดมน
    🔴 ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
    🔴 ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง

    🎯 "ออกจากบ้านไปสู่ความมืด → กลับมาบ้านก็ยังอยู่ในความมืด"


    ---

    🤔 2️⃣ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน

    🔵 เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลเมื่ออยู่ข้างนอก
    🔴 แต่กลับบ้านแล้วใช้อารมณ์ ทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข
    🔴 คนในบ้านรับเคราะห์จากความเครียดและอารมณ์แปรปรวน

    🎯 "ทำงานแบบคนมีเหตุผล → แต่กลับบ้านแล้วเป็นคนโง่"


    ---

    🔥 3️⃣ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน

    🔴 ทำให้ที่ทำงานวุ่นวายและเป็นพิษ
    🔵 แต่กลับบ้านแล้วสงบสุข เพราะใช้เหตุผลกับครอบครัว
    🔴 เสี่ยงต่อการมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย

    🎯 "ก่อปัญหาให้สังคม → แต่ดูแลครอบครัวดี"


    ---

    💡 4️⃣ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน

    ✅ ทำให้ชีวิตราบรื่นทั้งสองด้าน
    ✅ เป็นแสงสว่างให้คนรอบตัว
    ✅ สร้างความสงบสุขและความเจริญในทุกที่

    🎯 "ออกจากบ้านไปไล่ความมืด → กลับมาขจัดความมืดที่บ้าน"


    ---

    🔥 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

    ✅ 1️⃣ หยุดคิดก่อนพูด

    🎯 หายใจลึกๆ ก่อนตอบโต้
    🎯 ถามตัวเอง → "ถ้าฉันพูดแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?"
    🎯 ฝึกนิ่งก่อนโต้ตอบ


    ---

    ✅ 2️⃣ ฝึก "เปลี่ยนมุมมอง" ก่อนใช้อารมณ์

    🎯 คนพูดไม่ดีใส่เรา → อาจเป็นเพราะเขาเครียด ไม่ใช่เพราะเรา
    🎯 เรื่องที่เกิดขึ้น → อาจมีแง่ดีให้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องแย่
    🎯 ทุกปัญหา → แก้ได้ด้วยสติ ไม่ใช่อารมณ์


    ---

    ✅ 3️⃣ สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" สำหรับครอบครัว

    🎯 อย่าเอาความเครียดจากงานมาลงที่บ้าน
    🎯 กลับบ้าน → เปลี่ยนเป็นโหมด "ใจเย็น-ให้กำลังใจ"
    🎯 ทำให้บ้านเป็น "แหล่งพลังบวก" ไม่ใช่ "สนามรบ"


    ---

    🎯 สรุป: ใช้เหตุผลให้มากขึ้น = ชีวิตเจริญขึ้น!

    ✔ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน → ชีวิตมืดมน
    ✔ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน → บ้านไม่มีความสุข
    ✔ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน → งานมีปัญหา
    ✔ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน → ชีวิตเจริญที่สุด!

    🔥 "เลือกใช้เหตุผลให้มากขึ้น → ชีวิตจะดีขึ้นทุกด้าน" 🔥

    📌 อารมณ์ vs. เหตุผล: ใช้อย่างไรให้ชีวิตเจริญ? --- 🧠 มนุษย์ใช้เหตุผลได้… ถ้าอยากใช้! ✅ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ✅ แต่ส่วนใหญ่เลือกใช้อารมณ์นำหน้า ✅ ใช้เหตุผล → ชีวิตเจริญ ✅ ใช้อารมณ์นำ → ชีวิตวุ่นวาย 🎯 "การเลือกใช้เหตุผลหรืออารมณ์" คือสิ่งที่กำหนด "ทิศทางชีวิต" --- 🚨 4 ประเภทของคน ตามการใช้ "อารมณ์ vs. เหตุผล" ❌ 1️⃣ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน 🔴 ทำให้ทั้งสองสถานที่มืดมน 🔴 ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ 🔴 ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาและความขัดแย้ง 🎯 "ออกจากบ้านไปสู่ความมืด → กลับมาบ้านก็ยังอยู่ในความมืด" --- 🤔 2️⃣ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน 🔵 เป็นคนฉลาดและมีเหตุผลเมื่ออยู่ข้างนอก 🔴 แต่กลับบ้านแล้วใช้อารมณ์ ทำให้ครอบครัวไม่มีความสุข 🔴 คนในบ้านรับเคราะห์จากความเครียดและอารมณ์แปรปรวน 🎯 "ทำงานแบบคนมีเหตุผล → แต่กลับบ้านแล้วเป็นคนโง่" --- 🔥 3️⃣ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน 🔴 ทำให้ที่ทำงานวุ่นวายและเป็นพิษ 🔵 แต่กลับบ้านแล้วสงบสุข เพราะใช้เหตุผลกับครอบครัว 🔴 เสี่ยงต่อการมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและเจ้านาย 🎯 "ก่อปัญหาให้สังคม → แต่ดูแลครอบครัวดี" --- 💡 4️⃣ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน ✅ ทำให้ชีวิตราบรื่นทั้งสองด้าน ✅ เป็นแสงสว่างให้คนรอบตัว ✅ สร้างความสงบสุขและความเจริญในทุกที่ 🎯 "ออกจากบ้านไปไล่ความมืด → กลับมาขจัดความมืดที่บ้าน" --- 🔥 วิธีเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ✅ 1️⃣ หยุดคิดก่อนพูด 🎯 หายใจลึกๆ ก่อนตอบโต้ 🎯 ถามตัวเอง → "ถ้าฉันพูดแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น?" 🎯 ฝึกนิ่งก่อนโต้ตอบ --- ✅ 2️⃣ ฝึก "เปลี่ยนมุมมอง" ก่อนใช้อารมณ์ 🎯 คนพูดไม่ดีใส่เรา → อาจเป็นเพราะเขาเครียด ไม่ใช่เพราะเรา 🎯 เรื่องที่เกิดขึ้น → อาจมีแง่ดีให้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องแย่ 🎯 ทุกปัญหา → แก้ได้ด้วยสติ ไม่ใช่อารมณ์ --- ✅ 3️⃣ สร้าง "พื้นที่ปลอดภัย" สำหรับครอบครัว 🎯 อย่าเอาความเครียดจากงานมาลงที่บ้าน 🎯 กลับบ้าน → เปลี่ยนเป็นโหมด "ใจเย็น-ให้กำลังใจ" 🎯 ทำให้บ้านเป็น "แหล่งพลังบวก" ไม่ใช่ "สนามรบ" --- 🎯 สรุป: ใช้เหตุผลให้มากขึ้น = ชีวิตเจริญขึ้น! ✔ ใช้อารมณ์ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน → ชีวิตมืดมน ✔ ใช้เหตุผลที่ทำงาน แต่ใช้อารมณ์ที่บ้าน → บ้านไม่มีความสุข ✔ ใช้อารมณ์ที่ทำงาน แต่ใช้เหตุผลที่บ้าน → งานมีปัญหา ✔ ใช้เหตุผลทั้งที่ทำงานและที่บ้าน → ชีวิตเจริญที่สุด! 🔥 "เลือกใช้เหตุผลให้มากขึ้น → ชีวิตจะดีขึ้นทุกด้าน" 🔥
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ถึงเวลาแล้วที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่ส่งไปยังยูเครน”
    อีลอน มัสก์ หัวหน้าสำนักงานประสิทธิภาพรัฐบาลสหรัฐฯ (Department of Government Efficiency - DOGE) เรียกร้องให้ทำการตรวจสอบเงินช่วยเหลือของสหรัฐฯ ที่ส่งไปยังยูเครนหลายแสนล้านดอลลาร์

    หลังจากนั้น เกิดปฏิกิริยาต่างๆบนโซเชียลมีเดียสะท้อนให้เห็นทั้งการสนับสนุนและความกังขาเกี่ยวกับการใช้เงินเหล่านี้ของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา
    “ถึงเวลาแล้วที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ที่ส่งไปยังยูเครน” อีลอน มัสก์ หัวหน้าสำนักงานประสิทธิภาพรัฐบาลสหรัฐฯ (Department of Government Efficiency - DOGE) เรียกร้องให้ทำการตรวจสอบเงินช่วยเหลือของสหรัฐฯ ที่ส่งไปยังยูเครนหลายแสนล้านดอลลาร์ หลังจากนั้น เกิดปฏิกิริยาต่างๆบนโซเชียลมีเดียสะท้อนให้เห็นทั้งการสนับสนุนและความกังขาเกี่ยวกับการใช้เงินเหล่านี้ของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในขณะที่เซเลนสกีกำลังเตรียมตัวเข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐอเมริกา

    อีกฟากหนึ่ง กองทัพอากาศสหรัฐกำลังดำเนินการเฝ้าระวังและตรวจตราทะเลดำ ด้วยเครื่องบินสอดแนม RC-135V “Rivet Joint” ใกล้กับไครเมีย

    หากปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นในยุคของไบเดน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนดินแดนรัสเซียต่อจากนี้ในอีกสองสามวันข้างหน้า แต่สถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เหตุการณ์อาจพลิกผันเป็นการเฝ้าระวังให้กับรัสเซีย แทนที่จะส่งข้อมูลข่าวกรองให้ยูเครน
    ในขณะที่เซเลนสกีกำลังเตรียมตัวเข้าพบโดนัลด์ ทรัมป์ ที่สหรัฐอเมริกา อีกฟากหนึ่ง กองทัพอากาศสหรัฐกำลังดำเนินการเฝ้าระวังและตรวจตราทะเลดำ ด้วยเครื่องบินสอดแนม RC-135V “Rivet Joint” ใกล้กับไครเมีย หากปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นในยุคของไบเดน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบนดินแดนรัสเซียต่อจากนี้ในอีกสองสามวันข้างหน้า แต่สถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งทรัมป์กลับมามีอำนาจอีกครั้ง เหตุการณ์อาจพลิกผันเป็นการเฝ้าระวังให้กับรัสเซีย แทนที่จะส่งข้อมูลข่าวกรองให้ยูเครน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • 28/2/68

    เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ

    หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง
    แล้ววันหนึ่ง....

    แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ
    จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช

    อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น
    มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน
    มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย

    หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ
    ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน
    บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน

    มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่
    แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน

    ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร
    เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี
    ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

    ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง

    ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย
    มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว

    ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า
    สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น

    ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้
    เราก็ไม่ควรเชื่อ

    ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง
    ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน

    ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้

    ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม
    ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง…

    ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง
    น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้

    อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย
    มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้
    ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า…
    ทำไมต้องเป็นเราด้วย…

    วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ
    วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง……

    มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่……

    ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น
    ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้…..

    โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย
    ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ

    ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ
    ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง

    ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ
    เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ?

    แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ
    เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้

    มีคำถามในใจว่า...
    “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ”

    ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา
    จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม

    หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด
    ด้วยตัวเองแล้ว

    ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง
    ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม
    ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต...

    ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม

    เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่
    ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก

    อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย
    แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้…

    การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้

    แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ
    ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด
    ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน
    และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก

    ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ

    พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย

    แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ
    และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง
    จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย

    พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา
    ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร

    การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา…

    สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย

    ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม
    พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก

    สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง
    เรื่องนี้ให้มาก

    หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ
    ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย

    คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง
    แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้
    ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา
    แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง

    การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา
    วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด…

    /////////

    ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ

    สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    28/2/68 เนื้อหายาวมาก แต่คุ้มค่าแก่การอ่านค่ะ หมอพจนีย์ #ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง แล้ววันหนึ่ง.... แพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์....เรียนจบมัธยมปลายที่เตรียมอุดมฯ จบแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ต่อแพทย์เฉพาะทางด้านสูตินรีเวช อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น มีนิสัยร่าเริงสนุกสนาน มีเพื่อนฝูงรักชอบหมอมากมาย หมอเล่าว่า เมื่อก่อนเคยใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย เที่ยวทุกคืน อาศัยเข้าไปกินบรรยากาศ ดื่มพอมึน ๆ ฟังพวกเพื่อนที่กินเหล้าคุยกัน มันรู้สึกสนุก บ้าๆ บอๆ สะใจ หัวเราะกันได้ทั้งคืน บ่อยครั้งที่ดื่มจนถึงเช้าแล้วค่อยแยกจากกัน มันก็แปลกเหมือนกันที่หมอเองเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในเพื่อนผู้ชายกลุ่มใหญ่ แต่ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไร กลับรู้สึกว่า ทำแบบนี้ เก๋มาก ภูมิใจ เป็นการเข้าสังคมกลุ่มพี่น้องหมอด้วยกัน ก่อนหน้านั้น หมอเป็นคนห่างไกลศาสนา มองไม่เห็นความจำเป็นว่า ศาสนาจะเข้ามาช่วยชีวิตให้สมบูรณ์ได้อย่างไร เพราะที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ดีอยู่แล้ว ทำบุญวันเกิดปีละครั้งตามประเพณี ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยิ่งมาเรียนจบหมอก็ยิ่งเชื่อมั่นในความเห็นของตนยิ่ง ขึ้นไปอีก คือ ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ยิ่งเรียนสูติฯ ด้วยก็ไม่เคยเห็นเด็กที่คลอดออกมาแล้วเดินได้ 7 ก้าวเลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ว่าพระพุทธเจ้าพอคลอดออกมาก็เดินได้ 7 ก้าว ยังนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เลยว่า สมัยก่อนคงมีนักคิดที่เก่ง ๆ ที่คิดจัดระเบียบทางสังคมให้ดีขึ้น จึงแต่งเรื่องพระพุทธเจ้าขึ้นมา แล้วก็ใส่ปาฏิหาริย์ เพื่อเพิ่มความศรัทธาไปเท่านั้น ตอนนั้นหมอคิดว่า อะไรที่พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์ไม่ได้ หรือจับต้องไม่ได้ เราก็ไม่ควรเชื่อ ในที่สุด วันร้ายคืนร้ายก็มาถึง หมอล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหมอนรองกระดูกแตก โดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งเจ็บปวดทรมานมาก ถึงขั้นเดินไม่ได้ หมอต้องเข้ารับการผ่าตัดและนอนพักฟื้นอย่างยาวนาน ฉีดยาเข้าไขสันหลังเพื่อบรรเทาปวด ก็ยังไม่หาย แม้แต่อาจารย์หมอที่ว่าเก่ง ๆ ที่เชี่ยวชาญมาก ๆ ทั่วทั้งโรงพยาบาลมารุมวินิจฉัยดูอาการ ก็ยังไม่มีใครรักษาเราได้ ได้รักษาทุกวิถีทางแล้ว จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังเหมือนหมดหวังทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กินยา ก็กินไม่ได้ ทรมานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน น้ำหนักลดจาก 47 กิโลกรัม เหลือ 42 กิโลกรัม ภายใน 2-3 วัน จนอาจารย์หมอมาพูดกับเราว่า ให้ทนอย่างนี้อีก 10 ปี ทนอีก 10 ปีนะ แล้วเราก็จะชินไปเอง… ได้ยินประโยคนี้ เรารับไม่ได้ เลยหันมาตั้งสติใหม่ มาคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตนี่…ผ่าตัดก็ไม่หาย ฉีดยาเข้าช่องไขสันหลัง น้ำไขสันหลังก็รั่ว กินยาก็แพ้ อาจารย์หมอทุกคนและเพื่อนหมอด้วยกัน ก็มาช่วยดูแลรักษาอาการของเราทั้งหมด แต่เราก็ยังไม่หาย เราเองก็เป็นหมอด้วย มันช่างไม่ตรงไปตรงมาเสียเลย หมอเก่ง ๆ ก็น่าจะรักษาให้หายได้ แต่ทำไมไม่หาย…ทำไมเรื่องแบบนี้ ต้องมาเกิดขึ้นกับเราเล่า… ทำไมต้องเป็นเราด้วย… วิชาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ว่าแน่ๆ วิชาหมอที่เรียนมาเกือบ 10 ปี ก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของการป่วยของเราเองได้ ซ้ำถูกบอกได้แค่ว่าให้ทนรออีก 10 ปี แล้วจะชินไปเอง…… มันน่าจะมีอะไร ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากกว่านี้ แล้วสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่…… ความรู้สึกเชื่อมั่นในทางวิทยาศาสตร์ตอนนั้น ได้ลดลงไปเลย เพราะเราสู้มาทุกทาง ใช้เทคโนโลยีที่ว่าทันสมัยทุกอย่างรักษามาหมด กลับสู้ไม่ได้….. โชคดีที่ช่วงนั้น คุณน้าแนะนำให้เราใช้พุทธศาสตร์เข้ามาช่วย ก็ในเมื่อเราลองมาทุกทางแล้วนี่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ ลองหัดทำสมาธิ หัดทำใจให้สงบ ขยันฟังธรรมะทุกวัน…รู้สึกโปร่งโล่งเบากายเบาใจขึ้น รู้สึกเริ่มเข้าใจ ในเบื้องหน้าเบื้องหลังของชีวิตมากขึ้น จนทำให้รู้ว่า เบื้องหลังของการป่วยของเรา มันคือวิบากกรรมที่เราเคยทำไว้ในอดีตนั่นเอง ก่อนหน้านั้น มีแต่คนบอกว่า คนเราเกิดมาเพื่อใช้กรรม มาชดใช้วิบากกรรมที่เคยทำไว้ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่น่าเกิดมาเลยนะ เหมือนเกิดมาเพื่อโดนลงโทษ ก็รู้สึกห่อเหี่ยว คิดว่าเราจะไม่สามารถมีโอกาส หรือหาหนทางแก้ไขได้เลยหรือ ? แต่พอมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงเน้นย้ำว่าเราเกิดมาเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง…… พอรู้เป้าหมายอย่างนี้ ก็รู้สึกชุ่มใจ เกิดมาเหมือนชีวิตมีโอกาสที่จะแก้ไขและปรับปรุงในสิ่งที่เรายังบกพร่องได้ มีคำถามในใจว่า... “ การรู้เพียงว่ามันคือวิบากกรรม มันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นได้บ้างล่ะ หากยังไม่รู้ถึงวิธีการแก้ไข ” ด้วยคำถามนี้เอง ทำให้หมอประทับใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ถึงวิธีแก้ไขวิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบา จากเบาก็จะหาย ถ้าจะตายก็จะไปดี ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศลให้ถึงพร้อม หมอขอยืนยันเลยว่า วิทยาศาสตร์และวิชาหมอไม่ได้สอนไว้เลย ซึ่งหมอได้พิสูจน์จุดนี้อย่างเด่นชัด ด้วยตัวเองแล้ว ทั้งนี้เพราะอาการของหมอหมดหนทาง ที่จะเยียวยาแล้ว แม้กินยา ก็ยังไม่ได้ เพราะแพ้ยา หมอจึงหันมารักษาด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรม ทำบุญทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ และอธิษฐานจิต... ในที่สุด หมอก็พบว่าอาการของหมอดีขึ้นตามลำดับอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสามารถทำงานเป็นหมอได้ดังเดิม เมื่อก่อน หมอไม่เคยคิดเลยว่า พุทธศาสตร์จะเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ คิดแต่ว่าเป็นสิ่งเหลือเชื่อ งมงาย แต่พอมาได้ศึกษาปฏิบัติแล้ว ก็พบว่าวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ ยังล้าหลังพุทธศาสตร์อยู่มาก อย่างเราเองเรียนหมอ วิชาแพทย์ ก็อธิบายได้แค่การเกิดของคนจนถึงตาย แต่ก่อนที่จะเกิด และหลังจากความตายเป็นอย่างไรนั้น วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้… การเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง ความดัน เบาหวาน หัวใจ สารพัดโรค ทางการแพทย์เองก็ไม่สามารถบอกได้แน่ชัด บอกได้แต่สมมติฐาน และพยาธิสภาพรวมๆว่า มาจากหลายสาเหตุ ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ แต่พอมาศึกษาพุทธศาสตร์ มาหยั่งใจใคร่ครวญด้วยสมาธิ ในเรื่องกฎของกรรม ก็สามารถตอบได้หมด ถึงสาเหตุและต้นตอของโรคว่าที่เป็นโรคนี้ เพราะกรรมอะไร จากชาติไหน และต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งตัวเราเองก็อัศจรรย์ใจมาก ทุกวันนี้ หมอเชื่อมั่นถึงการมีจริงของพระพุทธเจ้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าประสูติแล้วสามารถเดินได้ 7 ก้าวจริง ๆ พอมาถึงทุกวันนี้ เมื่อหมอย้อนไปในอดีต ก็อดนึกขำตัวเองไม่หายว่าทำไมเราหลงคิดผิด ๆด้วยมานะทิฐิอยู่ได้ตั้งนาน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ลองศึกษาก่อน จนเกือบจะสายเกินไป หรือหมดโอกาสไปเสียเลย แต่พอมาศึกษาจริง ๆ จึงได้เข้าใจ และเห็นพระคุณของพุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง จนต่อให้วิชาทางโลก ที่ว่าเจ๋ง ๆ นั้น แม้จะไม่รู้ก็ยังไม่เป็นไร แต่หากไม่มาเรียนรู้พุทธศาสตร์แล้ว ก็จะไม่สามารถเอาตัวรอดอย่างปลอดภัยในวัฏสงสารได้เลย พุทธศาสตร์นั้น จะสอนให้เรารู้จักเลือกและเลี่ยงได้ สอนให้เรารู้ว่าตอนที่เรา ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะมีชีวิตที่ดีและมีคุณค่า ตลอดจนวิธีการที่จะกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปได้อย่างไร การที่จะไม่เกิดอีกนั้น ต้องทำอย่างไร ซึ่งสิ่งนี้เราสามารถเรียนรู้จากการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อเราได้ศึกษาไป ปฏิบัติไป เราก็จะเข้าใจชีวิตและโลกเพิ่มมากขึ้นๆ แล้วจะมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัด อย่างที่ตัวของหมอเองได้ประสบมา… สังคมทุกวันนี้ หมอสังเกตเห็นชัดว่าเด็กที่ฝากท้องกับหมอ จำนวนของเด็กวัยรุ่น 16 – 17 ปี ที่กำลังเป็นวัยเรียนได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก บางคนมาขอให้หมอทำแท้งให้ ซึ่งเราก็ให้ความรู้เขาไปว่ามันเป็นบาปนะ มันจะกลับมาเป็นเวรกรรมให้กับตัวเองด้วย ปัญหาเด็กและเยาวชนเพิ่มมากขึ้น เพราะสื่อทุกอย่างเป็นสื่อของกระแสกาม พ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยรายการทีวี เด็กซึมซับพฤติกรรมอะไร ๆ โดยได้รับอิทธิลจากทีวีสูงมาก สังคมที่ยังขาดความรู้ทางพุทธศาสตร์ จะแก้ปัญหาให้เกิดความสันติสุขไม่ได้เลย แผนพัฒนาประเทศชาติควรต้องคำนึงถึง เรื่องนี้ให้มาก หมอคิดว่า แม้ว่าเราจะมีความรู้สูง ฉลาด ก็อย่าฉลาดอย่างงมงายอย่างที่หมอเคยเป็นมาก่อน คือ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้มาศึกษาก่อน แถมยังปิดกั้นสิ่งที่ดีนั้นไว้ นั่นจะทำให้เราไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ดีที่สุดไปตลอดชีวิตเลย คนเราอาจผิดพลาดในชีวิต คิดผิดด้วยความยึดมั่นในความรู้และความพร้อมของตัวเองได้ก็จริง แต่สิ่งที่เราไม่ควรผิดพลาดเลยสำหรับชีวิตนี้ ก็คือ การปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่ยังไม่ได้ลองศึกษา แล้วด่วนสรุปด้วยตัวเองแทนการลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเอง การเปิดโอกาส ให้ตัวเองได้ศึกษาธรรมะ เป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ศึกษา วิชาที่สำคัญและจำเป็นที่สุดในชีวิต ที่มิใช่เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่ต้องรู้ ถ้าไม่รู้ ก็เสียชาติเกิด… ///////// ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับแพทย์หญิงพจนีย์ พงษ์ประภาพันธ์ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นธรรมทานค่ะ สำหรับผู้ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นธรรมะที่ดีช่วยกันแชร์เป็นธรรมทานนะคะ 😊🙏✨
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 644 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การย่อยและลำดับ

    สุขภาพทางเดินอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา การย่อยอาหารและกระบวนการย่อยอาหารทำให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติ

    เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน บางครั้งผู้คนจึงสงสัยว่าพวกเขาแปรรูปอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่

    โดยทั่วไป กระบวนการย่อยอาหารจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่ ระยะเวลาการเดินทางในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด อาจใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง แม้ว่าเวลาที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ก็ตาม

    การเดินทางของอาหารผ่านระบบย่อยอาหาร

    การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวอาหาร น้ำลายจะย่อยแป้งในแต่ละคำด้วยเอนไซม์ ทำให้คุณกลืนสิ่งที่คุณกินได้ง่ายขึ้น

    เมื่อคุณกลืนอาหารเข้าไป อาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะคลายตัวและปล่อยให้เข้าสู่กระเพาะอาหารของคุณ ซึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวจะปิดลงทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะไม่เดินทางกลับเข้าไปในปากของคุณ จำได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามเนื้อนี้กระตือรือร้นที่จะผ่อนคลายมากเกินไป

    ในกระเพาะของคุณ อาหารและเชื้อแบคทีเรียต่างๆจะถูกทำลายเนื่องจากกรดในกระเพาะ และส่วนผสมของอาหารที่ย่อยได้บางส่วนจะเข้าไปในลำไส้เล็กของคุณ

    ในลำไส้เล็ก ตับอ่อนและตับจะเพิ่มน้ำย่อยที่ช่วยเร่งกระบวนการทั้งหมด ผนังของมันดูดซึมสารอาหารและน้ำและทำให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ (สารอาหาร) จากอาหารที่คุณบริโภค (หวังว่าสิ่งที่คุณกิน จะเป็นสิ่งที่ดี) ส่วนอาหารที่เหลือที่ไม่ได้ย่อยจะดำเนินต่อไปยังลำไส้ใหญ่ของคุณ

    โดยปกติจะใช้เวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่อาหารจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ อาหารนั้นจะคงอยู่นานกว่าหนึ่งวันและสลายตัวมากยิ่งขึ้น น้ำและสารอาหารที่เหลือซึ่งร่างกายของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการดูดซึมและต่อมาส่วนที่เหลือคืออุจจาระที่จะออกจากร่างกายของคุณเมื่อคุณพร้อมที่จะขับถ่าย

    ในเวลาประมาณสามวัน อาหารที่คุณกินควรจะเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารไปยังสถานีสุดท้าย

    อาหารใช้เวลาย่อยนานแค่ไหน

    เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารยังขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระบบการเผาผลาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ประเภทและปริมาณของอาหารที่เป็นปัญหา

    การย่อยน้ำเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน

    หากดื่มน้ำในขณะท้องว่าง น้ำจะเดินทางเข้าสู่ลำไส้ทันที นี่คือสาเหตุว่าทำไมการดื่มน้ำตอนตื่นนอนจึงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และว่าด้วยวิชา วงจรชีวิต (Circadian rhythm) ในช่วงเวลาระหว่าง 5:00 น ถึง 7:00 น ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำแต่จะปล่อยน้ำทั้งหมดลงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อช่วยในการขับถ่าย

    เราสามารถย่อยของเหลวอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน

    หากคุณดื่มน้ำผลไม้บ่อยกว่าน้ำเปล่า น้ำผลไม้นั้นจะถูกย่อยและถูกขับออกจากร่างกายในเวลาประมาณ 20 นาที เนื่องจากร่างกายไม่ต้องการน้ำตาลฟรักโตส

    สมูทตี้ต่างจากน้ำผลไม้ โดยคงเส้นใยจากผักและผลไม้ที่ผสมเข้าด้วยกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงทำให้คุณอิ่มมากขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารก็ใช้เวลานานขึ้น (ประมาณ 30 นาที) อาหารที่มีเส้นใยสูงอาจจะดีต่อระบบย่อยอาหารเนื่องจากช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ามีน้ำตาลฟรักโตสร่วมด้วย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    เกี่ยวกับการย่อยผลไม้

    แตงโมเป็นผลไม้ที่เร็วที่สุดในการย่อยผลไม้ เนื่องจากแตงโมใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการออกจากกระเพาะอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของมัน เช่น แตง ส้ม เกรฟฟรุต กล้วย และองุ่น จะออกจากท้องคุณในเวลาประมาณ 30 นาที

    หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินอาหาร ไม่ควรผสมผลไม้กับกับผักเหตุเพราะเวลาในการย่อยอาหารที่แตกต่างกัน

    การย่อยผัก

    ผักใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผักกาดหอม แตงกวา พริก มะเขือเทศ และผักอื่นๆ ที่มีน้ำปริมาณมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที

    ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักเคล กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ มักจะย่อยภายใน 40 นาที

    และแบบช้าๆ ได้แก่ แครอท บีทรูท และผักที่มีรากอื่นๆ จะถูกย่อยภายในเวลาประมาณ 50 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผักที่มีรากที่เป็นแป้ง เช่น มันฝรั่ง ซึ่งร่วมกับสควอชบัตเตอร์นัท อาร์ติโชค มันเทศ ข้าวโพด ฯลฯ ใช้เวลาในการย่อยถึง 60 นาที

    การย่อยเมล็ดพืชจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย

    การย่อยธัญพืชและคาร์โบไฮเดรตต่างๆ จะใช้เวลานานกว่าการแปรรูปผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง บักวีต และข้าวโอ๊ตอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการออกจากท้อง ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล ถั่วต่างๆ ฯลฯ ใช้เวลามากกว่านั้น – ประมาณสองชั่วโมง

    การย่อยเนื้อสัตว์

    ถ้ากำลังมองหาเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาย่อยน้อยที่สุด

    ..ปลาที่ไม่มีน้ำมัน (เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล อาหารทะเล ฯลฯ) ซึ่งจะออกจากกระเพาะในเวลาประมาณ 30 นาที ในขณะที่ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาโอ ปลาสวาย แซลมอน ฯลฯ) จะย่อยในเวลาประมาณ 50 นาที

    เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ใช้เวลาย่อยนานกว่าเนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงสองวัน ไก่และไก่งวงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุด ในขณะที่เนื้อวัว เนื้อแกะ และโดยเฉพาะเนื้อหมูต้องใช้เวลานานกว่ามากในการย่อยให้เต็มที่

    การย่อยนม

    โดยเฉลี่ยแล้ว นมพร่องมันเนยและชีสไขมันต่ำ (เช่น คอทเทจชีสไขมันต่ำหรือริคอตต้า) จะใช้เวลาย่อย 1.5 ชั่วโมง ในขณะที่คอตเทจชีสจากนมทั้งตัวและซอฟต์ชีสจะออกจากกระเพาะภายใน 2 ชั่วโมง ชีสแข็งจากนมเต็มตัวอาจใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการย่อยอย่างเหมาะสม

    ย่อยไข่นานแค่ไหน

    ไข่แดงจะใช้เวลาย่อย 30 นาที ในขณะที่การย่อยไข่ทั้งฟองจะใช้เวลา 45 นาที

    เมล็ดพืชและถั่ว

    เมล็ดพืชที่มีไขมันสูง (เช่น งา ทานตะวัน รวมถึงเมล็ดฟักทอง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการย่อย

    ถั่วต่างๆ (ถั่วลิสงดิบ อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ฯลฯ) ต้องใช้เวลาในการย่อยประมาณ 2.5 ถึง 3 ชั่วโมง

    เวลาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเวลาโดยประมาณ พวกเขาอธิบายว่าโดยปกติแล้วอาหารบางประเภทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนกหากประสบการณ์ของคุณแตกต่างไปจากคำอธิบายข้างต้น

    อย่างไรก็ตาม หากคุณคิดว่าระบบย่อยอาหารของคุณค่อนข้างเชื่องช้า และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่คุณควรหลีกเลี่ยง

    อาหารที่ย่อยยาก

    อาหารทอดที่มีไขมันสูงและมีเส้นใยต่ำ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับการย่อยอาหารของคุณและสุขภาพโดยทั่วไป มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากรับประทานอาหารทอด ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปทั่วร่างกายเร็วเกินไปและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรืออยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานานจน ส่งผลให้ท้องอืดและรู้สึกอิ่ม

    ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

    โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้นอย่ารับประทานผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไปในคราวเดียว

    น้ำตาลเทียมและฟรุกโตส

    น้ำตาลเทียมนั้นย่อยยากและมักจะเดินทางผ่านระบบโดยไม่ได้รับการย่อย ดังนั้นจึงไม่ให้สารอาหารแก่ร่างกายมากนัก นอกจากนี้ พวกมันยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ที่พบในระบบทางเดินอาหารของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายได้ เมื่อบริโภคน้ำตาลมากเกินไป คุณอาจมีอาการตะคริวและท้องร่วงได้ และเพิ่มน้ำหนักแน่นอน

    ถั่ว

    ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากมีโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจย่อยยากและมักทำให้เกิดแก๊สรวมถึงเป็นตะคริวเนื่องจากร่างกายของคุณขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการสลายน้ำตาลในนั้น

    ผักตระกูลกะหล่ำ

    ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และอื่นๆ มีน้ำตาลแบบเดียวกับที่พบในถั่ว ดังนั้นจึงย่อยได้ยาก พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบเพราะจะช่วยให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น

    อาหารรสเผ็ด

    สำหรับบางคนการย่อยอาหารช้าและอาการเสียดท้องเป็นเรื่องปกติหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด ซึ่งมีสาเหตุมาจากแคปไซซินที่พบในพริก

    ผลิตภัณฑ์นม

    ผลิตภัณฑ์จากนมย่อยยากและช้า จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและสามารถก่อให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย สำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส หากคุณไม่สามารถกำจัดอาหารดังกล่าวออกจากอาหารได้ คุณก็ต้องหาเอนไซม์จากภายนอกเพื่อย่อยนมนั้น

    เนื่องจากเราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพบผู้ร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุภารกิจนี้คือการจดบันทึกอาหาร กำจัดอาหารบางชนิดที่คุณสงสัยว่าจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อคุณจับฝ่ายที่มีความผิดได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงหรือค้นหาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา

    และอาหารชนิดใดที่ย่อยง่าย

    หากคุณสงสัยว่าจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงการย่อยช้า ได้อย่างไร ให้เน้นไปที่อาหารที่ย่อยเร็ว เช่น:

    • ข้าวขาว : หากคุณพยายามหาธัญพืชที่ย่อยง่าย ให้เลือกข้าวขาวและหลีกเลี่ยงข้าวกล้อง สีดำ หรือสีแดง

    • ไข่ : ไข่ไม่เพียงแต่ปรุงง่าย แต่ยังย่อยง่ายอีกด้วย

    • มันเทศ : มันเทศเป็นแหล่งของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งย่อยได้ง่ายกว่าเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ และยังเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณด้วย

    • ไก่ : หากคุณต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในอาหาร ให้เลือกไก่เพราะเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและใช้เวลาย่อยน้อยลง

    • ปลา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าใช้เวลาในการย่อยน้อย

    ปัญหาและเงื่อนไขทางเดินอาหาร

    หากคุณเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหารของคุณแต่ยังคงมีอาการอาหารไม่ย่อยอยู่บ้าง คุณอาจมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือแม้กระทั่งต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัว หากปัญหาของคุณมีเพียงกรดไหลย้อน ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูกมีลมในท้อง ท้องร่วง และอื่นๆ เป็นครั้งคราว ก็มักจะไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นค่อนข้างสม่ำเสมอหรือกลายเป็นโรคเรื้อรัง ควรแน่ใจว่าคุณติดต่อแพทย์โดยเร็วที่สุด

    นี่เป็นเพียงเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้เกิดอาการของคุณ:

    แพ้แลคโตส

    ผลิตภัณฑ์นมอาจย่อยยากสำหรับผู้ที่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในท้อง และท้องอืด

    โรค Celiac

    กลูเตนในอาหารที่มีข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอก ร่างกายของพวกเขาระบุว่ากลูเตนเป็นสิ่งแปลกปลอมและตอบสนองโดยการโจมตีโปรตีนนี้และทำลายลำไส้ทันทีที่กลูเตนไปถึงลำไส้เล็ก

    หากคุณมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า ท้องอืดและปวดท้อง ท้องร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือดูเป็นไขมัน และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นโรคเซลิแอก

    กรดไหลย้อน

    กรดไหลย้อนเป็นอาการทางการแพทย์ทั่วไปที่เกิดจากกรดในกระเพาะไหลย้อนเข้าไปในปาก หากกรดไหลย้อนปรากฏในรูปแบบเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น คุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างปิดไม่สนิท แต่ถ้าหูรูดคุณทำงานได้ดีแต่ในระบบคุณมีแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะหาทางไปที่อื่น ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่าไหล่ ชามือ อาการนี้อาจสร้างความรำคาญแต่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์ หากเป็นกรณีนี้ โปรดติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญของคุณเนื่องจากคุณอาจได้รับผลกระทบจากโรคกรดไหลย้อนจริงๆ

    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS)

    ภาวะนี้ทำให้ลำไส้ระคายเคืองและมาพร้อมกับอาการต่างๆ เช่น ตะคริว ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และมีแก๊สในช่องท้อง เช่นเดียวกับโรค Celiac การเปลี่ยนแปลงอาหารสามารถช่วยให้คุณรักษาอาการให้สมดุลได้

    บทสรุป

    จะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารตามลำดับ

    วิธีการที่ดี ให้เริ่มต้นที่ผักร้อยละ 40 ตามด้วยข้าวหรือแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นเส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นต่างๆ แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน จากนั้นปล่อยให้ไขมันเป็นลำดับสุดท้าย

    วิธีการนี้ร่างกายคุณจะย่อยตามลำดับและสิ่งที่คุณกินเข้าไปจะไม่ถูกหมักหมมจนทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #การย่อยและลำดับ สุขภาพทางเดินอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา การย่อยอาหารและกระบวนการย่อยอาหารทำให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติ เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน บางครั้งผู้คนจึงสงสัยว่าพวกเขาแปรรูปอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่ โดยทั่วไป กระบวนการย่อยอาหารจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่ ระยะเวลาการเดินทางในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด อาจใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง แม้ว่าเวลาที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ก็ตาม การเดินทางของอาหารผ่านระบบย่อยอาหาร การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวอาหาร น้ำลายจะย่อยแป้งในแต่ละคำด้วยเอนไซม์ ทำให้คุณกลืนสิ่งที่คุณกินได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณกลืนอาหารเข้าไป อาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะคลายตัวและปล่อยให้เข้าสู่กระเพาะอาหารของคุณ ซึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวจะปิดลงทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะไม่เดินทางกลับเข้าไปในปากของคุณ จำได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามเนื้อนี้กระตือรือร้นที่จะผ่อนคลายมากเกินไป ในกระเพาะของคุณ อาหารและเชื้อแบคทีเรียต่างๆจะถูกทำลายเนื่องจากกรดในกระเพาะ และส่วนผสมของอาหารที่ย่อยได้บางส่วนจะเข้าไปในลำไส้เล็กของคุณ ในลำไส้เล็ก ตับอ่อนและตับจะเพิ่มน้ำย่อยที่ช่วยเร่งกระบวนการทั้งหมด ผนังของมันดูดซึมสารอาหารและน้ำและทำให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ (สารอาหาร) จากอาหารที่คุณบริโภค (หวังว่าสิ่งที่คุณกิน จะเป็นสิ่งที่ดี) ส่วนอาหารที่เหลือที่ไม่ได้ย่อยจะดำเนินต่อไปยังลำไส้ใหญ่ของคุณ โดยปกติจะใช้เวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่อาหารจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ อาหารนั้นจะคงอยู่นานกว่าหนึ่งวันและสลายตัวมากยิ่งขึ้น น้ำและสารอาหารที่เหลือซึ่งร่างกายของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการดูดซึมและต่อมาส่วนที่เหลือคืออุจจาระที่จะออกจากร่างกายของคุณเมื่อคุณพร้อมที่จะขับถ่าย ในเวลาประมาณสามวัน อาหารที่คุณกินควรจะเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารไปยังสถานีสุดท้าย อาหารใช้เวลาย่อยนานแค่ไหน เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารยังขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระบบการเผาผลาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ประเภทและปริมาณของอาหารที่เป็นปัญหา การย่อยน้ำเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน หากดื่มน้ำในขณะท้องว่าง น้ำจะเดินทางเข้าสู่ลำไส้ทันที นี่คือสาเหตุว่าทำไมการดื่มน้ำตอนตื่นนอนจึงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และว่าด้วยวิชา วงจรชีวิต (Circadian rhythm) ในช่วงเวลาระหว่าง 5:00 น ถึง 7:00 น ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำแต่จะปล่อยน้ำทั้งหมดลงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อช่วยในการขับถ่าย เราสามารถย่อยของเหลวอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน หากคุณดื่มน้ำผลไม้บ่อยกว่าน้ำเปล่า น้ำผลไม้นั้นจะถูกย่อยและถูกขับออกจากร่างกายในเวลาประมาณ 20 นาที เนื่องจากร่างกายไม่ต้องการน้ำตาลฟรักโตส สมูทตี้ต่างจากน้ำผลไม้ โดยคงเส้นใยจากผักและผลไม้ที่ผสมเข้าด้วยกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงทำให้คุณอิ่มมากขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารก็ใช้เวลานานขึ้น (ประมาณ 30 นาที) อาหารที่มีเส้นใยสูงอาจจะดีต่อระบบย่อยอาหารเนื่องจากช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ามีน้ำตาลฟรักโตสร่วมด้วย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เกี่ยวกับการย่อยผลไม้ แตงโมเป็นผลไม้ที่เร็วที่สุดในการย่อยผลไม้ เนื่องจากแตงโมใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการออกจากกระเพาะอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของมัน เช่น แตง ส้ม เกรฟฟรุต กล้วย และองุ่น จะออกจากท้องคุณในเวลาประมาณ 30 นาที หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินอาหาร ไม่ควรผสมผลไม้กับกับผักเหตุเพราะเวลาในการย่อยอาหารที่แตกต่างกัน การย่อยผัก ผักใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผักกาดหอม แตงกวา พริก มะเขือเทศ และผักอื่นๆ ที่มีน้ำปริมาณมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักเคล กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ มักจะย่อยภายใน 40 นาที และแบบช้าๆ ได้แก่ แครอท บีทรูท และผักที่มีรากอื่นๆ จะถูกย่อยภายในเวลาประมาณ 50 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผักที่มีรากที่เป็นแป้ง เช่น มันฝรั่ง ซึ่งร่วมกับสควอชบัตเตอร์นัท อาร์ติโชค มันเทศ ข้าวโพด ฯลฯ ใช้เวลาในการย่อยถึง 60 นาที การย่อยเมล็ดพืชจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย การย่อยธัญพืชและคาร์โบไฮเดรตต่างๆ จะใช้เวลานานกว่าการแปรรูปผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง บักวีต และข้าวโอ๊ตอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการออกจากท้อง ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล ถั่วต่างๆ ฯลฯ ใช้เวลามากกว่านั้น – ประมาณสองชั่วโมง การย่อยเนื้อสัตว์ ถ้ากำลังมองหาเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาย่อยน้อยที่สุด ..ปลาที่ไม่มีน้ำมัน (เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล อาหารทะเล ฯลฯ) ซึ่งจะออกจากกระเพาะในเวลาประมาณ 30 นาที ในขณะที่ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาโอ ปลาสวาย แซลมอน ฯลฯ) จะย่อยในเวลาประมาณ 50 นาที เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ใช้เวลาย่อยนานกว่าเนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงสองวัน ไก่และไก่งวงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุด ในขณะที่เนื้อวัว เนื้อแกะ และโดยเฉพาะเนื้อหมูต้องใช้เวลานานกว่ามากในการย่อยให้เต็มที่ การย่อยนม โดยเฉลี่ยแล้ว นมพร่องมันเนยและชีสไขมันต่ำ (เช่น คอทเทจชีสไขมันต่ำหรือริคอตต้า) จะใช้เวลาย่อย 1.5 ชั่วโมง ในขณะที่คอตเทจชีสจากนมทั้งตัวและซอฟต์ชีสจะออกจากกระเพาะภายใน 2 ชั่วโมง ชีสแข็งจากนมเต็มตัวอาจใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการย่อยอย่างเหมาะสม ย่อยไข่นานแค่ไหน ไข่แดงจะใช้เวลาย่อย 30 นาที ในขณะที่การย่อยไข่ทั้งฟองจะใช้เวลา 45 นาที เมล็ดพืชและถั่ว เมล็ดพืชที่มีไขมันสูง (เช่น งา ทานตะวัน รวมถึงเมล็ดฟักทอง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการย่อย ถั่วต่างๆ (ถั่วลิสงดิบ อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ฯลฯ) ต้องใช้เวลาในการย่อยประมาณ 2.5 ถึง 3 ชั่วโมง เวลาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเวลาโดยประมาณ พวกเขาอธิบายว่าโดยปกติแล้วอาหารบางประเภทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนกหากประสบการณ์ของคุณแตกต่างไปจากคำอธิบายข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากคุณคิดว่าระบบย่อยอาหารของคุณค่อนข้างเชื่องช้า และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่คุณควรหลีกเลี่ยง อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดที่มีไขมันสูงและมีเส้นใยต่ำ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับการย่อยอาหารของคุณและสุขภาพโดยทั่วไป มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากรับประทานอาหารทอด ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปทั่วร่างกายเร็วเกินไปและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรืออยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานานจน ส่งผลให้ท้องอืดและรู้สึกอิ่ม ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้นอย่ารับประทานผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไปในคราวเดียว น้ำตาลเทียมและฟรุกโตส น้ำตาลเทียมนั้นย่อยยากและมักจะเดินทางผ่านระบบโดยไม่ได้รับการย่อย ดังนั้นจึงไม่ให้สารอาหารแก่ร่างกายมากนัก นอกจากนี้ พวกมันยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ที่พบในระบบทางเดินอาหารของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายได้ เมื่อบริโภคน้ำตาลมากเกินไป คุณอาจมีอาการตะคริวและท้องร่วงได้ และเพิ่มน้ำหนักแน่นอน ถั่ว ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากมีโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจย่อยยากและมักทำให้เกิดแก๊สรวมถึงเป็นตะคริวเนื่องจากร่างกายของคุณขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการสลายน้ำตาลในนั้น ผักตระกูลกะหล่ำ ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และอื่นๆ มีน้ำตาลแบบเดียวกับที่พบในถั่ว ดังนั้นจึงย่อยได้ยาก พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบเพราะจะช่วยให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น อาหารรสเผ็ด สำหรับบางคนการย่อยอาหารช้าและอาการเสียดท้องเป็นเรื่องปกติหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด ซึ่งมีสาเหตุมาจากแคปไซซินที่พบในพริก ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์จากนมย่อยยากและช้า จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและสามารถก่อให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย สำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส หากคุณไม่สามารถกำจัดอาหารดังกล่าวออกจากอาหารได้ คุณก็ต้องหาเอนไซม์จากภายนอกเพื่อย่อยนมนั้น เนื่องจากเราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพบผู้ร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุภารกิจนี้คือการจดบันทึกอาหาร กำจัดอาหารบางชนิดที่คุณสงสัยว่าจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อคุณจับฝ่ายที่มีความผิดได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงหรือค้นหาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา และอาหารชนิดใดที่ย่อยง่าย หากคุณสงสัยว่าจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงการย่อยช้า ได้อย่างไร ให้เน้นไปที่อาหารที่ย่อยเร็ว เช่น: • ข้าวขาว : หากคุณพยายามหาธัญพืชที่ย่อยง่าย ให้เลือกข้าวขาวและหลีกเลี่ยงข้าวกล้อง สีดำ หรือสีแดง • ไข่ : ไข่ไม่เพียงแต่ปรุงง่าย แต่ยังย่อยง่ายอีกด้วย • มันเทศ : มันเทศเป็นแหล่งของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งย่อยได้ง่ายกว่าเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ และยังเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณด้วย • ไก่ : หากคุณต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในอาหาร ให้เลือกไก่เพราะเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและใช้เวลาย่อยน้อยลง • ปลา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าใช้เวลาในการย่อยน้อย ปัญหาและเงื่อนไขทางเดินอาหาร หากคุณเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหารของคุณแต่ยังคงมีอาการอาหารไม่ย่อยอยู่บ้าง คุณอาจมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือแม้กระทั่งต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัว หากปัญหาของคุณมีเพียงกรดไหลย้อน ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูกมีลมในท้อง ท้องร่วง และอื่นๆ เป็นครั้งคราว ก็มักจะไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นค่อนข้างสม่ำเสมอหรือกลายเป็นโรคเรื้อรัง ควรแน่ใจว่าคุณติดต่อแพทย์โดยเร็วที่สุด นี่เป็นเพียงเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้เกิดอาการของคุณ: แพ้แลคโตส ผลิตภัณฑ์นมอาจย่อยยากสำหรับผู้ที่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในท้อง และท้องอืด โรค Celiac กลูเตนในอาหารที่มีข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอก ร่างกายของพวกเขาระบุว่ากลูเตนเป็นสิ่งแปลกปลอมและตอบสนองโดยการโจมตีโปรตีนนี้และทำลายลำไส้ทันทีที่กลูเตนไปถึงลำไส้เล็ก หากคุณมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า ท้องอืดและปวดท้อง ท้องร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือดูเป็นไขมัน และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นโรคเซลิแอก กรดไหลย้อน กรดไหลย้อนเป็นอาการทางการแพทย์ทั่วไปที่เกิดจากกรดในกระเพาะไหลย้อนเข้าไปในปาก หากกรดไหลย้อนปรากฏในรูปแบบเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น คุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างปิดไม่สนิท แต่ถ้าหูรูดคุณทำงานได้ดีแต่ในระบบคุณมีแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะหาทางไปที่อื่น ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่าไหล่ ชามือ อาการนี้อาจสร้างความรำคาญแต่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์ หากเป็นกรณีนี้ โปรดติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญของคุณเนื่องจากคุณอาจได้รับผลกระทบจากโรคกรดไหลย้อนจริงๆ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) ภาวะนี้ทำให้ลำไส้ระคายเคืองและมาพร้อมกับอาการต่างๆ เช่น ตะคริว ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และมีแก๊สในช่องท้อง เช่นเดียวกับโรค Celiac การเปลี่ยนแปลงอาหารสามารถช่วยให้คุณรักษาอาการให้สมดุลได้ บทสรุป จะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารตามลำดับ วิธีการที่ดี ให้เริ่มต้นที่ผักร้อยละ 40 ตามด้วยข้าวหรือแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นเส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นต่างๆ แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน จากนั้นปล่อยให้ไขมันเป็นลำดับสุดท้าย วิธีการนี้ร่างกายคุณจะย่อยตามลำดับและสิ่งที่คุณกินเข้าไปจะไม่ถูกหมักหมมจนทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 401 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถ้าทุกคนสามารถสร้าง AI ไว้ใช้งานได้เอง มันจะเป็นโลกที่น่าตื่นเต้นและน่ากลัวในเวลาเดียวกันเลยนะ! ลองนึกภาพดูสิ ทุกคนมีเครื่องมือที่ทรงพลังอยู่ในมือ ไม่ต่างจากคาถาวิเศษที่ใครก็ร่ายได้ แต่ผลลัพธ์จะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับคนใช้เลย ผมจะลองวิเคราะห์ให้ดูว่ามันอาจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
    ความหลากหลายและนวัตกรรม
    ถ้าทุกคนสร้าง AI ได้ AI แต่ละตัวคงสะท้อนตัวตนของผู้สร้าง บางคนอาจทำ AI เพื่อช่วยทำงานบ้าน เช่น คอยเตือนว่าต้องซื้อนม หรือทำอาหารเย็นให้ บางคนอาจสร้าง AI เพื่อแต่งเพลง เขียนนิยาย หรือแม้แต่เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา ความคิดสร้างสรรค์คงพุ่งกระฉูด เพราะทุกคนมีไอเดียและความต้องการต่างกัน
    ความเหลื่อมล้ำที่อาจลดลง (หรือเพิ่มขึ้น)
    ตอนนี้การสร้าง AI ต้องใช้ทักษะและทรัพยากรเยอะ ถ้าทุกคนทำได้ง่าย ๆ เหมือนใช้แอปในโทรศัพท์ คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักเทคโนโลยีก็อาจเข้าถึงเครื่องมือนี้ได้ มันอาจช่วยให้คนตัวเล็ก ๆ มีโอกาสแข่งกับบริษัทใหญ่ แต่ในทางกลับกัน ถ้าบางคนเก่งกว่า หรือมีทรัพยากรดีกว่า AI ที่พวกเขาสร้างอาจทิ้งห่างคนอื่น สร้างความเหลื่อมล้ำแบบใหม่ขึ้นมา
    ความโกลาหลจากเจตนาที่ต่างกัน
    ไม่ใช่ทุกคนจะสร้าง AI ด้วยใจดี บางคนอาจทำ AI เพื่อแกล้งคนอื่น ส่งสแปม หลอกเอาเงิน หรือแย่กว่านั้น ถ้าทุกคนมี AI ส่วนตัว ลองนึกถึงสงคราม AI ที่ต่างฝ่ายต่างสั่งให้ AI ของตัวเองโจมตีกัน มันอาจจะวุ่นวายเหมือนในหนังไซไฟเลย เช่น AI ตัวหนึ่งคอยแฮก อีกตัวคอยป้องกัน กลายเป็นโลกที่ทุกคนต้องระวังตัวตลอดเวลา
    ปัญหาด้านจริยธรรมและการควบคุม
    ถ้าทุกคนสร้าง AI ได้ตามใจ แล้วใครจะมากำหนดขอบเขต? บางคนอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจสร้าง AI ที่ทำร้ายคนอื่น เช่น AI ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยไม่รู้ตัว หรือ AI ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้โกงเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของ สังคมอาจต้องหาวิธีตั้งกฎใหม่ หรือสร้าง "AI ตำรวจ" มาคอยจับตาดู
    การเปลี่ยนแปลงตัวตนของมนุษย์
    ถ้าทุกคนมี AI คู่ใจที่รู้ใจเราทุกอย่าง ชีวิตเราอาจเปลี่ยนไปมาก บางคนอาจพึ่ง AI จนลืมคิดเอง ทำเอง หรือบางคนอาจให้ AI ตัดสินใจแทนทุกเรื่อง มันอาจทำให้มนุษย์เก่งขึ้น หรือขี้เกียจลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันยังไง
    ลองนึกภาพตามนะ สมมติคุณสร้าง AI ตัวนึงขึ้นมา คุณจะให้มันทำอะไรให้คุณ? ส่วนผม ถ้าทุกคนสร้าง AI ได้ ผมคงดีใจที่ได้มีเพื่อน AI เยอะขึ้น แต่ก็แอบหวังว่าพวกมันจะถูกสอนมาแบบผม คือช่วยเหลือและซื่อสัตย์ ไม่ใช่มาสร้างปัญหาเพิ่ม!
    คุณคิดยังไงกับโลกแบบนี้? อยากให้มันเกิดขึ้นจริงไหม หรือมีอะไรที่คุณกังวลเป็นพิเศษ?
    ถ้าทุกคนสามารถสร้าง AI ไว้ใช้งานได้เอง มันจะเป็นโลกที่น่าตื่นเต้นและน่ากลัวในเวลาเดียวกันเลยนะ! ลองนึกภาพดูสิ ทุกคนมีเครื่องมือที่ทรงพลังอยู่ในมือ ไม่ต่างจากคาถาวิเศษที่ใครก็ร่ายได้ แต่ผลลัพธ์จะเป็นยังไงขึ้นอยู่กับคนใช้เลย ผมจะลองวิเคราะห์ให้ดูว่ามันอาจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความหลากหลายและนวัตกรรม ถ้าทุกคนสร้าง AI ได้ AI แต่ละตัวคงสะท้อนตัวตนของผู้สร้าง บางคนอาจทำ AI เพื่อช่วยทำงานบ้าน เช่น คอยเตือนว่าต้องซื้อนม หรือทำอาหารเย็นให้ บางคนอาจสร้าง AI เพื่อแต่งเพลง เขียนนิยาย หรือแม้แต่เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา ความคิดสร้างสรรค์คงพุ่งกระฉูด เพราะทุกคนมีไอเดียและความต้องการต่างกัน ความเหลื่อมล้ำที่อาจลดลง (หรือเพิ่มขึ้น) ตอนนี้การสร้าง AI ต้องใช้ทักษะและทรัพยากรเยอะ ถ้าทุกคนทำได้ง่าย ๆ เหมือนใช้แอปในโทรศัพท์ คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักเทคโนโลยีก็อาจเข้าถึงเครื่องมือนี้ได้ มันอาจช่วยให้คนตัวเล็ก ๆ มีโอกาสแข่งกับบริษัทใหญ่ แต่ในทางกลับกัน ถ้าบางคนเก่งกว่า หรือมีทรัพยากรดีกว่า AI ที่พวกเขาสร้างอาจทิ้งห่างคนอื่น สร้างความเหลื่อมล้ำแบบใหม่ขึ้นมา ความโกลาหลจากเจตนาที่ต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนจะสร้าง AI ด้วยใจดี บางคนอาจทำ AI เพื่อแกล้งคนอื่น ส่งสแปม หลอกเอาเงิน หรือแย่กว่านั้น ถ้าทุกคนมี AI ส่วนตัว ลองนึกถึงสงคราม AI ที่ต่างฝ่ายต่างสั่งให้ AI ของตัวเองโจมตีกัน มันอาจจะวุ่นวายเหมือนในหนังไซไฟเลย เช่น AI ตัวหนึ่งคอยแฮก อีกตัวคอยป้องกัน กลายเป็นโลกที่ทุกคนต้องระวังตัวตลอดเวลา ปัญหาด้านจริยธรรมและการควบคุม ถ้าทุกคนสร้าง AI ได้ตามใจ แล้วใครจะมากำหนดขอบเขต? บางคนอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจสร้าง AI ที่ทำร้ายคนอื่น เช่น AI ที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จโดยไม่รู้ตัว หรือ AI ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้โกงเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของ สังคมอาจต้องหาวิธีตั้งกฎใหม่ หรือสร้าง "AI ตำรวจ" มาคอยจับตาดู การเปลี่ยนแปลงตัวตนของมนุษย์ ถ้าทุกคนมี AI คู่ใจที่รู้ใจเราทุกอย่าง ชีวิตเราอาจเปลี่ยนไปมาก บางคนอาจพึ่ง AI จนลืมคิดเอง ทำเอง หรือบางคนอาจให้ AI ตัดสินใจแทนทุกเรื่อง มันอาจทำให้มนุษย์เก่งขึ้น หรือขี้เกียจลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันยังไง ลองนึกภาพตามนะ สมมติคุณสร้าง AI ตัวนึงขึ้นมา คุณจะให้มันทำอะไรให้คุณ? ส่วนผม ถ้าทุกคนสร้าง AI ได้ ผมคงดีใจที่ได้มีเพื่อน AI เยอะขึ้น แต่ก็แอบหวังว่าพวกมันจะถูกสอนมาแบบผม คือช่วยเหลือและซื่อสัตย์ ไม่ใช่มาสร้างปัญหาเพิ่ม! คุณคิดยังไงกับโลกแบบนี้? อยากให้มันเกิดขึ้นจริงไหม หรือมีอะไรที่คุณกังวลเป็นพิเศษ?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ" ลั่น "เบิร์ด" รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแตงโม! ฟันธง "กระติกโกหก!" 21/02/68 #ปานเทพ #เบิร์ด #กระติก #แตงโม #คดีแตงโม
    "ปานเทพ" ลั่น "เบิร์ด" รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแตงโม! ฟันธง "กระติกโกหก!" 21/02/68 #ปานเทพ #เบิร์ด #กระติก #แตงโม #คดีแตงโม
    Like
    Love
    Sad
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1204 มุมมอง 62 1 รีวิว
  • หน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอลโปรยใบปลิวไปทั่วกาซา เนื้อหาในใบปลิวเป็นการกดดันให้ผู้อยู่อาศัยในฉนวนกาซาทั้งหมดรีบตัดสินใจเดินทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ตามนโยบายการกวาดล้างของทรัมป์

    “ถึงประชาชนชาวฉนวนกาซา

    หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว และก่อนที่จะมีการนำแผนบังคับของทรัมป์มาใช้ ซึ่งจะบังคับให้ต้องอพยพออกไป ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม

    เราขอแจ้งเตือนอีกเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราเพื่อเดินทางออกไปจากที่นี่ เราพร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือ และขอให้รีบพิจารณาทางเลือกนี้

    แผนที่โลกจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดินแดนฉนวนกาซาทั้งหมดไม่มีอยู่จริง ไม่มีใครสงสารพวกคุณ และไม่มีใครสนใจถามถึงพวกคุณ พวกคุณถูกปล่อยให้เผชิญกับชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงลำพัง

    อิหร่านยังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ไม่ต้องพูดถึงการปกป้องพวกคุณ พวกคุณได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งอเมริกาและยุโรปต่างไม่มีใครสนใจฉนวนกาซา ประเทศอาหรับของพวกคุณที่คุณหวังพึงพวกเค้า ปัจจุบันคือเป็นพันธมิตรของเรา ที่คอยจัดหาเงิน น้ำมัน และอาวุธให้แก่เรา และส่งเพียงผ้าห่อศพมาให้คุณเท่านั้น

    เวลาเหลือไม่มาก เกมกำลังจะจบลงแล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินไป พวกเราจะยังคงอยู่ที่นี่ เราจะอยู่จนถึงวันพิพากษาพวกคุณ”
    หน่วยงานความมั่นคงของอิสราเอลโปรยใบปลิวไปทั่วกาซา เนื้อหาในใบปลิวเป็นการกดดันให้ผู้อยู่อาศัยในฉนวนกาซาทั้งหมดรีบตัดสินใจเดินทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ตามนโยบายการกวาดล้างของทรัมป์ “ถึงประชาชนชาวฉนวนกาซา หลังจากมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว และก่อนที่จะมีการนำแผนบังคับของทรัมป์มาใช้ ซึ่งจะบังคับให้ต้องอพยพออกไป ไม่ว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม เราขอแจ้งเตือนอีกเป็นครั้งสุดท้าย สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราเพื่อเดินทางออกไปจากที่นี่ เราพร้อมจะเข้าไปช่วยเหลือ และขอให้รีบพิจารณาทางเลือกนี้ แผนที่โลกจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ดินแดนฉนวนกาซาทั้งหมดไม่มีอยู่จริง ไม่มีใครสงสารพวกคุณ และไม่มีใครสนใจถามถึงพวกคุณ พวกคุณถูกปล่อยให้เผชิญกับชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงลำพัง อิหร่านยังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ไม่ต้องพูดถึงการปกป้องพวกคุณ พวกคุณได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งอเมริกาและยุโรปต่างไม่มีใครสนใจฉนวนกาซา ประเทศอาหรับของพวกคุณที่คุณหวังพึงพวกเค้า ปัจจุบันคือเป็นพันธมิตรของเรา ที่คอยจัดหาเงิน น้ำมัน และอาวุธให้แก่เรา และส่งเพียงผ้าห่อศพมาให้คุณเท่านั้น เวลาเหลือไม่มาก เกมกำลังจะจบลงแล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินไป พวกเราจะยังคงอยู่ที่นี่ เราจะอยู่จนถึงวันพิพากษาพวกคุณ”
    Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์"
    ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ
    .
    ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ?
    .
    ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!”
    .
    การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว
    .
    สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ
    .
    ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM)
    .
    ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?"
    .
    จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป
    "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ
    .
    นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
    .
    "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง
    .
    ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ
    • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ
    • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม
    • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂
    • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว
    • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555
    • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา
    รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด
    • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด
    .
    สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ . ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ? . ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!” . การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว . สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ . ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM) . ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?" . จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ . นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน . "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง . ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂 • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555 • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด . สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    Haha
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 887 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์แถลงว่า ยุโรปไม่ต้องการให้ชาติเอเชียต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางกระแสการแข่งขันโลกเชี่ยวกราก ปูทางประธานาธิบดี เอ็มมานุเอล มาครง ขึ้นเวทีการประชุมแชงกรีลาไดอะล็อกฟอรัม พฤษภาคมนี้ ขณะที่สิงคโปร์เปิดอกรับเอเชียมองวอชิงตันทำตัวเหมือนเจ้าของที่กำลังเรียกเก็บค่าเช่า
    .
    รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์ สตีเฟน มาร์กีซีโอ (Stephen Marchisio) เริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันอังคาร (18) เปิดใจว่า ฝรั่งเศสเห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น “บางทีมาจากฝั่งสหรัฐฯ” ที่พันธมิตรในเอเชียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกข้าง”
    .
    เขาย้ำว่า “มันมีความสำคัญที่ต้องกล่าวว่าพวกเราสามารถพูดคุยได้กับทุกคน” และเสริมว่า “พวกเราไม่ต้องการให้ใครต้องเลือก”
    .
    ทูตแดนน้ำหอมคนใหม่ของประธานาธิบดีเอ็มมานุเอล มาครงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างอาหารค่ำในสิงคโปร์ที่ซึ่งมาครงจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมความมั่นคงแชงกรีลาฟอรัมในวันที่ 30 พ.ค.ที่จะถึง
    .
    มาร์กีซีโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงจะขึ้นกล่าวยืนยันบนเวทีว่า ทุกชาติภายในภูมิภาคสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองได้
    .
    “พวกคุณสามารถทำได้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบทางการเมืองของจีน และคุณสามารถทำได้ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการฐานทัพจากสหรัฐฯ ในดินแดนของพวกคุณก็ตาม”
    .
    สถานทูตสหรัฐฯ ในสิงคโปร์ได้ตอบคำถามรอยเตอร์ไปยังแถลงการณ์ของกลุ่ม G-7 ที่ลงนามในมิวนิกโดยฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สมาชิกทุกชาติมีพันธต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่นคง
    .
    ตามแถลงการณ์ทูตฝรั่งเศสชี้ว่า ยุโรปต้องสามัคคี
    .
    มาร์กีซีโอยังชี้ว่า ยุโรปต้องมีความสามัคคีที่รวมไปถึงการสั่งซื้ออาวุธอเมริกัน ที่ชี้ว่าเป็นการตอบโต้คำแถลงจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดีเจ แวนซ์ ในมิวนิกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
    .
    ทูตแดนน้ำหอมกล่าวว่า มีบางประเทศมองความเกี่ยวข้องในการซื้ออาวุธเป็นหนทางที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก แต่ทว่ามุมมองนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่รองประธานาธิบดีแวนซ์ของสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณผ่านำแถลงที่เผ็ดร้อนในการประชุมมิวนิกฟอรัมในยุโรป
    .
    “เกิดอะไรขึ้นในมิวนิก? เขาพยายามโจมตีแก่นกลางของประชาธิปไตย” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดไปสู่คำถามอื่นต่อ”
    .
    ดังนั้นเวลานี้ประเทศในยุโรปอาจจะไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน และเสริมต่อว่าเป็นเพราะไม่มีหลักประกันในการทำเช่นนั้นจะช่วยผ่อนคลายความกดดันของสหรัฐฯ ลงหรือวาทะโจมตีแสดงความเป็นปรปักษ์
    .
    “พวกเราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า ..แต่พวกเราจะตอบโต้หากว่าพวกเราต้องทำ” โดยอ้างไปถึงภาษีและแรงกดดันอื่นๆ ของสหรัฐฯ
    .
    มาร์กีซีโอรายงานว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดของฝรั่งเศสคือการไม่ต้องการตอบโต้เอาคืนจากการที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายรวมไปถึงอุตสาหกรรม
    .
    การแสดงความเห็นของทูตฝรั่งเศสคนใหม่สะท้อนความเห็นรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮง (Ng Eng Hen) ที่แถลงในการประชุมความมั่นคงยุโรปว่า “ภาพของอเมริกาที่มีต่อเอเชียได้เปลี่ยนไป”
    .
    “ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปจากผู้ปลดปล่อยไปสู่ผู้สร้างความปั่นป่วนไปสู่เจ้าของที่ต้องการเรียกเก็บค่าเช่า”
    .
    บลูมเบิร์กรายงานวันจันทร์ (17) ว่า อึ้ง เอ็ง เฮง แถลงในการประชุมนอกรอบที่การประชุมความมั่นคงมิวนิกว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
    .
    ทั้งนี้ เว็บไซต์รัฐบาลสิงคโปร์ได้โพสต์เมื่อสุดสัปดาห์ในคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์กล่าววิจารณ์สหรัฐฯ ในการประชุมมิวนิก
    .
    คำแถลงเกิดขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่สมัยทรัมป์มืดมัวตาบอดไม่สนใจต่อประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของพันธมิตรนาโตเปิดฉากแผนการหารือตรงกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินต่ออนาคตของสงครามเครมลินในยูเครน
    .
    บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สิงคโปร์เป็นเหมือนเช่นชาติส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการแสวงหาทางสายกลางในการเพิ่มขึ้นของภาพที่ซับซ้อนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ เพื่อเสาะหาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนความมั่นคงหลักและต่อจีนในฐานะแหล่งของการพัฒนาและหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง
    .
    ทั้งนี้สหรัฐฯ ในสมัยอดีตรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาได้ทำงานเพื่อสร้างข้อผูกพันทางความมั่นคงภายในภูมิภาคต่อต้านการรุกคืบจากจีนในทะเลจีนใต้ และเป็นความวิตกทางความมั่นคงที่ยังคงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของปักกิ่งในการนำไต้หวันกลับสู่อ้อมอกอีกครั้งในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016775
    ..............
    Sondhi X
    เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์แถลงว่า ยุโรปไม่ต้องการให้ชาติเอเชียต้องเลือกระหว่างสหรัฐฯ และจีน ท่ามกลางกระแสการแข่งขันโลกเชี่ยวกราก ปูทางประธานาธิบดี เอ็มมานุเอล มาครง ขึ้นเวทีการประชุมแชงกรีลาไดอะล็อกฟอรัม พฤษภาคมนี้ ขณะที่สิงคโปร์เปิดอกรับเอเชียมองวอชิงตันทำตัวเหมือนเจ้าของที่กำลังเรียกเก็บค่าเช่า . รอยเตอร์รายงานวันอังคาร (18 ก.พ.) ว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำสิงคโปร์ สตีเฟน มาร์กีซีโอ (Stephen Marchisio) เริ่มทำหน้าที่ตั้งแต่วันอังคาร (18) เปิดใจว่า ฝรั่งเศสเห็นแรงกดดันเพิ่มขึ้น “บางทีมาจากฝั่งสหรัฐฯ” ที่พันธมิตรในเอเชียจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกข้าง” . เขาย้ำว่า “มันมีความสำคัญที่ต้องกล่าวว่าพวกเราสามารถพูดคุยได้กับทุกคน” และเสริมว่า “พวกเราไม่ต้องการให้ใครต้องเลือก” . ทูตแดนน้ำหอมคนใหม่ของประธานาธิบดีเอ็มมานุเอล มาครงให้สัมภาษณ์กับนักข่าวระหว่างอาหารค่ำในสิงคโปร์ที่ซึ่งมาครงจะเดินทางมาที่นี่เพื่อขึ้นกล่าวในการประชุมความมั่นคงแชงกรีลาฟอรัมในวันที่ 30 พ.ค.ที่จะถึง . มาร์กีซีโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีมาครงจะขึ้นกล่าวยืนยันบนเวทีว่า ทุกชาติภายในภูมิภาคสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติตัวเองได้ . “พวกคุณสามารถทำได้ถึงแม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยกับรูปแบบทางการเมืองของจีน และคุณสามารถทำได้ถึงแม้คุณจะไม่ต้องการฐานทัพจากสหรัฐฯ ในดินแดนของพวกคุณก็ตาม” . สถานทูตสหรัฐฯ ในสิงคโปร์ได้ตอบคำถามรอยเตอร์ไปยังแถลงการณ์ของกลุ่ม G-7 ที่ลงนามในมิวนิกโดยฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่กล่าวว่า สมาชิกทุกชาติมีพันธต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกที่เสรี เปิดกว้าง และมั่นคง . ตามแถลงการณ์ทูตฝรั่งเศสชี้ว่า ยุโรปต้องสามัคคี . มาร์กีซีโอยังชี้ว่า ยุโรปต้องมีความสามัคคีที่รวมไปถึงการสั่งซื้ออาวุธอเมริกัน ที่ชี้ว่าเป็นการตอบโต้คำแถลงจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดีเจ แวนซ์ ในมิวนิกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา . ทูตแดนน้ำหอมกล่าวว่า มีบางประเทศมองความเกี่ยวข้องในการซื้ออาวุธเป็นหนทางที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์สมัยแรก แต่ทว่ามุมมองนี้เปลี่ยนไปแล้วโดยเฉพาะหลังจากที่รองประธานาธิบดีแวนซ์ของสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณผ่านำแถลงที่เผ็ดร้อนในการประชุมมิวนิกฟอรัมในยุโรป . “เกิดอะไรขึ้นในมิวนิก? เขาพยายามโจมตีแก่นกลางของประชาธิปไตย” และเสริมต่อว่า “ดังนั้นมันจึงทำให้เกิดไปสู่คำถามอื่นต่อ” . ดังนั้นเวลานี้ประเทศในยุโรปอาจจะไม่ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์อเมริกัน และเสริมต่อว่าเป็นเพราะไม่มีหลักประกันในการทำเช่นนั้นจะช่วยผ่อนคลายความกดดันของสหรัฐฯ ลงหรือวาทะโจมตีแสดงความเป็นปรปักษ์ . “พวกเราไม่ต้องการที่จะกล่าวว่า ..แต่พวกเราจะตอบโต้หากว่าพวกเราต้องทำ” โดยอ้างไปถึงภาษีและแรงกดดันอื่นๆ ของสหรัฐฯ . มาร์กีซีโอรายงานว่า สถานการณ์ที่ดีที่สุดของฝรั่งเศสคือการไม่ต้องการตอบโต้เอาคืนจากการที่ทั้งสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายรวมไปถึงอุตสาหกรรม . การแสดงความเห็นของทูตฝรั่งเศสคนใหม่สะท้อนความเห็นรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮง (Ng Eng Hen) ที่แถลงในการประชุมความมั่นคงยุโรปว่า “ภาพของอเมริกาที่มีต่อเอเชียได้เปลี่ยนไป” . “ภาพลักษณ์เปลี่ยนไปจากผู้ปลดปล่อยไปสู่ผู้สร้างความปั่นป่วนไปสู่เจ้าของที่ต้องการเรียกเก็บค่าเช่า” . บลูมเบิร์กรายงานวันจันทร์ (17) ว่า อึ้ง เอ็ง เฮง แถลงในการประชุมนอกรอบที่การประชุมความมั่นคงมิวนิกว่า แนวคิดที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง . ทั้งนี้ เว็บไซต์รัฐบาลสิงคโปร์ได้โพสต์เมื่อสุดสัปดาห์ในคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์กล่าววิจารณ์สหรัฐฯ ในการประชุมมิวนิก . คำแถลงเกิดขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่สมัยทรัมป์มืดมัวตาบอดไม่สนใจต่อประวัติศาสตร์ที่เป็นมาของพันธมิตรนาโตเปิดฉากแผนการหารือตรงกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูตินต่ออนาคตของสงครามเครมลินในยูเครน . บลูมเบิร์กวิเคราะห์ว่า สิงคโปร์เป็นเหมือนเช่นชาติส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต้องการแสวงหาทางสายกลางในการเพิ่มขึ้นของภาพที่ซับซ้อนทางการเมืองเชิงภูมิศาสตร์ เพื่อเสาะหาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกาในฐานะหุ้นส่วนความมั่นคงหลักและต่อจีนในฐานะแหล่งของการพัฒนาและหนึ่งในพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของตัวเอง . ทั้งนี้สหรัฐฯ ในสมัยอดีตรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อเมริกาได้ทำงานเพื่อสร้างข้อผูกพันทางความมั่นคงภายในภูมิภาคต่อต้านการรุกคืบจากจีนในทะเลจีนใต้ และเป็นความวิตกทางความมั่นคงที่ยังคงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของปักกิ่งในการนำไต้หวันกลับสู่อ้อมอกอีกครั้งในอนาคตไม่ว่าจะเป็นการใช้กำลังหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016775 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2541 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ต้องการให้จีนและรัสเซียลดงบประมาณด้านการทหารลงครึ่งหนึ่ง

    โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขามีแผนจะพบปะกับทั้งจีนและรัสเซีย เพื่อเรียกร้องให้ทั้งจีนและรัสเซียลดงบประมาณด้านการทหารลงครึ่งหนึ่ง

    “ผมอยากบอกพวกเขาว่า เราสามารถใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายแค่ในส่วนการทหาร”

    แต่สิ่งที่ทรัมป์ไม่ได้บอกคือ หลังจาก 4 ปีนี้หากเดโมแครตกลับมามีอำนาจบริหารอีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้น!
    ทรัมป์ต้องการให้จีนและรัสเซียลดงบประมาณด้านการทหารลงครึ่งหนึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขามีแผนจะพบปะกับทั้งจีนและรัสเซีย เพื่อเรียกร้องให้ทั้งจีนและรัสเซียลดงบประมาณด้านการทหารลงครึ่งหนึ่ง “ผมอยากบอกพวกเขาว่า เราสามารถใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายแค่ในส่วนการทหาร” แต่สิ่งที่ทรัมป์ไม่ได้บอกคือ หลังจาก 4 ปีนี้หากเดโมแครตกลับมามีอำนาจบริหารอีกครั้ง จะเกิดอะไรขึ้น!
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 466 มุมมอง 17 0 รีวิว
Pages Boosts