• ศาลอาญาให้ประกัน “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” ฉ้อโกงขายทองไม่ตรงปก สั่งติดกำไลอีเอ็ม-ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีออกสื่อเด็ดขาด ชี้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง จำเลยถูกขังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งนำเงินมาวางศาลเพื่อบรรเทาความเสียหายเต็มตามฟ้อง จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

    ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (31 ม.ค.) ศาลอาญาได้มีคำสั่งพิจารณาคำร้องขอประกันตัว คดีไลฟ์สด " ขายทองไม่ตรงปก” หมายเลขดำ อทย.582/2567ที่อัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้อง บริษัท เคทเอ็นโกลด์ จำกัด โดย นายกานต์พล เรืองอร่าม หรือ ป๋าเบียร์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาที่ 1, นายกานต์พล เรืองอร่าม ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือ แม่ตั๊ก ผู้ต้องหาที่ 3 ฐาน"ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่นำจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บรีโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ บริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น, ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343,83,91 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30,47,52 พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000010144

    #MGROnline #ศาลอาญา #ประกัน #แม่ตั๊ก #ป๋าเบียร์
    ศาลอาญาให้ประกัน “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” ฉ้อโกงขายทองไม่ตรงปก สั่งติดกำไลอีเอ็ม-ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีออกสื่อเด็ดขาด ชี้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง จำเลยถูกขังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งนำเงินมาวางศาลเพื่อบรรเทาความเสียหายเต็มตามฟ้อง จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว • ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (31 ม.ค.) ศาลอาญาได้มีคำสั่งพิจารณาคำร้องขอประกันตัว คดีไลฟ์สด " ขายทองไม่ตรงปก” หมายเลขดำ อทย.582/2567ที่อัยการสำนักงานคดีอาญายื่นฟ้อง บริษัท เคทเอ็นโกลด์ จำกัด โดย นายกานต์พล เรืองอร่าม หรือ ป๋าเบียร์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาที่ 1, นายกานต์พล เรืองอร่าม ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือ แม่ตั๊ก ผู้ต้องหาที่ 3 ฐาน"ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่นำจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บรีโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ บริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น, ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต" ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343,83,91 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30,47,52 พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000010144 • #MGROnline #ศาลอาญา #ประกัน #แม่ตั๊ก #ป๋าเบียร์
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 822 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาให้ประกัน “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” ฉ้อโกงขายทองไม่ตรงปก สั่งติดกำไลอีเอ็ม-ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีออกสื่อเด็ดขาด ชี้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง จำเลยถูกขังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งนำเงินมาวางศาลเพื่อบรรเทาความเสียหายเต็มตามฟ้อง จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010144

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลอาญาให้ประกัน “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์” ฉ้อโกงขายทองไม่ตรงปก สั่งติดกำไลอีเอ็ม-ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดีออกสื่อเด็ดขาด ชี้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง จำเลยถูกขังมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทั้งนำเงินมาวางศาลเพื่อบรรเทาความเสียหายเต็มตามฟ้อง จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000010144 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Angry
    10
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1479 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาให้ประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" สามีภรรยา จำเลยคดีหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพผ่านออนไลน์ โดยวางเงินประกันคนละ 2 ล้านบาท ติดกำไล EM ห้ามไขข่าวกระทบพิจารณาคดี และห้ามออกนอกประเทศ
    .
    วันนี้ (31 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือเเม่ตั๊ก เป็น จำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น
    .
    ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30, 47 และ 52, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว กรณีที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดโฆษณาหลอกลวง ขายทองคำที่ไม่ได้มาตรฐาน จนมีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อซื้อทองคำจากพวกจำเลยไป มูลค่าความเสียหายสูง นัดฟังคำสั่งวันนี้ โจทก์ จำเลยที่ 2-3 ทนายจำเลยที่ 2-3 มาศาล
    .
    มีรายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกับให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม (EM), ให้นำหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุมาวางศาล โดยห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์ ไขข่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่อสื่อมวลชน กระทบการพิจารณาคดี
    .
    สำหรับ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่บ้านพักในซอยรามอินทรา 65 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ หลังมีผู้เสียหายจากการซื้อทองคำออนไลน์ แล้วพบว่าคุณภาพทองคำต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ก่อนที่จะฝากขัง น.ส.กรกนกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และนายกานต์พลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีก่อความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายคน และในชั้นสอบสวนยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงยกคำร้อง รวมระยะเวลาที่ทั้งสองถูกจำคุกประมาณ 4 เดือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010118
    .........
    Sondhi X
    ศาลอาญาให้ประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" สามีภรรยา จำเลยคดีหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพผ่านออนไลน์ โดยวางเงินประกันคนละ 2 ล้านบาท ติดกำไล EM ห้ามไขข่าวกระทบพิจารณาคดี และห้ามออกนอกประเทศ . วันนี้ (31 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือเเม่ตั๊ก เป็น จำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น . ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30, 47 และ 52, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว กรณีที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดโฆษณาหลอกลวง ขายทองคำที่ไม่ได้มาตรฐาน จนมีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อซื้อทองคำจากพวกจำเลยไป มูลค่าความเสียหายสูง นัดฟังคำสั่งวันนี้ โจทก์ จำเลยที่ 2-3 ทนายจำเลยที่ 2-3 มาศาล . มีรายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกับให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม (EM), ให้นำหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุมาวางศาล โดยห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์ ไขข่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่อสื่อมวลชน กระทบการพิจารณาคดี . สำหรับ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่บ้านพักในซอยรามอินทรา 65 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ หลังมีผู้เสียหายจากการซื้อทองคำออนไลน์ แล้วพบว่าคุณภาพทองคำต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ก่อนที่จะฝากขัง น.ส.กรกนกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และนายกานต์พลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีก่อความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายคน และในชั้นสอบสวนยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงยกคำร้อง รวมระยะเวลาที่ทั้งสองถูกจำคุกประมาณ 4 เดือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010118 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    Yay
    27
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2831 มุมมอง 1 รีวิว
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้ประกัน ‘เอ็ม เอกชาติ’ วงเงิน 2 เเสนบาท แต่ให้ติดกำไลอีเอ็ม ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทาง ชี้ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ช่วยบรรเทาความเสียหายปิดหนี้ให้ยายผู้ตาย เกือบ 3 แสนบาท และกำลังเจรจาค่าเสียหาย

    วันนี้ ( 29 ธ.ค.) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ในคดีที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรทุ่งเบญจา ยื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกนายเอกชาติ หรือเอ็ม มีพร้อม อายุ 32 ปี ผู้ต้องหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" กรณีกาีเสียชีวิตของนาย ธนาคาร คันธี หรือ แบงค์ เลสเตอร์ ไปยื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลจังหวัดจันทบุรีเป็นเวลา 12 วัน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา

    ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลจังหวัดจันทบุรี

    ศาลจังหวัดจันทบุรีพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เเล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ร้ายเเรง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวยกคำร้อง

    ฝ่ายผู้ต้องหายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวในระหว่างสอบสวน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000124910

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์ #เอ็มเอกชาติ
    ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้ประกัน ‘เอ็ม เอกชาติ’ วงเงิน 2 เเสนบาท แต่ให้ติดกำไลอีเอ็ม ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทาง ชี้ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ช่วยบรรเทาความเสียหายปิดหนี้ให้ยายผู้ตาย เกือบ 3 แสนบาท และกำลังเจรจาค่าเสียหาย • วันนี้ ( 29 ธ.ค.) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ในคดีที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรทุ่งเบญจา ยื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกนายเอกชาติ หรือเอ็ม มีพร้อม อายุ 32 ปี ผู้ต้องหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" กรณีกาีเสียชีวิตของนาย ธนาคาร คันธี หรือ แบงค์ เลสเตอร์ ไปยื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกต่อศาลจังหวัดจันทบุรีเป็นเวลา 12 วัน เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา • ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวต่อศาลจังหวัดจันทบุรี • ศาลจังหวัดจันทบุรีพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เเล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ร้ายเเรง ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวยกคำร้อง • ฝ่ายผู้ต้องหายื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยผู้ต้องหาชั่วคราวในระหว่างสอบสวน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000124910 • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์ #เอ็มเอกชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 583 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้ประกัน ‘เอ็ม เอกชาติ’ วงเงิน 2 เเสนบาท แต่ให้ติดกำไลอีเอ็ม ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทาง ชี้ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ช่วยบรรเทาความเสียหายปิดหนี้ให้ยายผู้ตาย เกือบ 3 แสนบาท และกำลังเจรจาค่าเสียหาย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000124910

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลอุทธรณ์ภาค 2 สั่งให้ประกัน ‘เอ็ม เอกชาติ’ วงเงิน 2 เเสนบาท แต่ให้ติดกำไลอีเอ็ม ตรวจสอบหรือจำกัดการเดินทาง ชี้ผู้ต้องหามีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ช่วยบรรเทาความเสียหายปิดหนี้ให้ยายผู้ตาย เกือบ 3 แสนบาท และกำลังเจรจาค่าเสียหาย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000124910 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1438 มุมมอง 0 รีวิว
  • รถไฟ ECRL มาเลย์ฯ-จีนแบกคนละครึ่ง

    โครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย หรือ ECRL (East Coast Rail Link) ระยะทาง 665 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 50,270 ล้านริงกิต อาจเรียกว่ากำลังจะเป็นรถไฟมาเลย์ฯ-จีนก็เป็นได้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. บริษัท มาเลเซีย เรล ลิงก์ (MRL) และบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน อีซีอาร์แอล (CCCECRL) ประเทศจีน ได้ทำพิธีลงนามการออกแบบภายนอกขบวนรถรถไฟฟ้าอีเอ็มยู (EMU) ตามข้อตกลงร่วมทุนด้านการดำเนินงานและการบำรุงรักษาของโครงการ ECRL พร้อมเปิดตัวโลโก้อย่างเป็นทางการของ ECRL ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเข็มทิศ ที่มีเข็มชี้ไปทางทิศตะวันออกภายในดอกไม้สีฟ้า 4 กลีบ

    โดยทั้งสองบริษัทได้จัดตั้งบริษัทดำเนินงาน (OpCo) แบกรับความเสี่ยงฝ่ายละ 50:50 เพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ ECRL ซึ่งนายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายแบ่งเบาภาระต้นทุนการดำเนินงานของโครงการ อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดย MRL จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินของโครงการ ECRL ในนามรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน (CCCC) จากประเทศจีน จะเป็นผู้รับเหมาทางด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง ก่อสร้าง และดำเนินการ (EPCC) ตลอดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้

    หากเกิดการขาดทุนระหว่างดำเนินงาน บริษัทจีนและมาเลเซียแบกรับความเสี่ยง 50% เท่ากัน แต่หากมีกำไรถึง 80% บริษัทจีนจะลงทุนใน MRL ส่วนที่เหลือลงทุนใน CCCECRL สำหรับความคืบหน้าโครงการ ECRL ณ เดือน พ.ย. 2567 อยู่ที่ 76.06% ซึ่งตามกำหนดคาดว่าทางรถไฟช่วงสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค รัฐสลังงอร์ แล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2569 และระยะที่สองจากสถานีกอมบัค ถึงท่าเรือแคลง ภายในเดือน ธ.ค. 2570 คาดหวังว่าจะเชื่อมโยงกับโครงข่ายรถไฟทางไกลของประเทศไทย เพราะจากสถานีรถไฟโกตาบารู กับชายแดนมาเลเซีย-ไทย ที่ด่านรันเตาปันจัง เมืองปาร์เซมัส ห่างกัน 20 กิโลเมตร

    โครงการทางรถไฟ ECRL มีทั้งหมด 20 สถานี แบ่งเป็นสถานีเฉพาะผู้โดยสาร 10 สถานี สถานีผู้โดยสารและขนส่งสินค้า 10 สถานี พาดผ่าน 4 รัฐ ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และสลังงอร์ มีอุโมงค์ 59 แห่ง ขบวนรถโดยสารใช้รถไฟ EMU รวม 11 ขบวน ขบวนละ 6 ตู้โดยสาร รองรับผู้โดยสารสูงสุด 430 คน ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่าขบวนรถล้านช้างของรถไฟลาว-จีน จากสถานีโกตาบารูไปยังสถานีกอมบัคใช้เวลาเดินทางเพียง 4 ชั่วโมง คาดว่าจะส่งมอบขบวนรถชุดแรกภายในสิ้นปี 2568 ส่วนขบวนรถสินค้าใช้ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    #Newskit
    รถไฟ ECRL มาเลย์ฯ-จีนแบกคนละครึ่ง โครงการทางรถไฟเชื่อมชายฝั่งตะวันออกมาเลเซีย หรือ ECRL (East Coast Rail Link) ระยะทาง 665 กิโลเมตร มูลค่าโครงการ 50,270 ล้านริงกิต อาจเรียกว่ากำลังจะเป็นรถไฟมาเลย์ฯ-จีนก็เป็นได้ เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. บริษัท มาเลเซีย เรล ลิงก์ (MRL) และบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน อีซีอาร์แอล (CCCECRL) ประเทศจีน ได้ทำพิธีลงนามการออกแบบภายนอกขบวนรถรถไฟฟ้าอีเอ็มยู (EMU) ตามข้อตกลงร่วมทุนด้านการดำเนินงานและการบำรุงรักษาของโครงการ ECRL พร้อมเปิดตัวโลโก้อย่างเป็นทางการของ ECRL ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเข็มทิศ ที่มีเข็มชี้ไปทางทิศตะวันออกภายในดอกไม้สีฟ้า 4 กลีบ โดยทั้งสองบริษัทได้จัดตั้งบริษัทดำเนินงาน (OpCo) แบกรับความเสี่ยงฝ่ายละ 50:50 เพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการ ECRL ซึ่งนายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายแบ่งเบาภาระต้นทุนการดำเนินงานของโครงการ อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค โดย MRL จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินของโครงการ ECRL ในนามรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนบริษัท ไชน่า คอมมูนิเคชันส์ คอนสตรัคชัน (CCCC) จากประเทศจีน จะเป็นผู้รับเหมาทางด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง ก่อสร้าง และดำเนินการ (EPCC) ตลอดระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ หากเกิดการขาดทุนระหว่างดำเนินงาน บริษัทจีนและมาเลเซียแบกรับความเสี่ยง 50% เท่ากัน แต่หากมีกำไรถึง 80% บริษัทจีนจะลงทุนใน MRL ส่วนที่เหลือลงทุนใน CCCECRL สำหรับความคืบหน้าโครงการ ECRL ณ เดือน พ.ย. 2567 อยู่ที่ 76.06% ซึ่งตามกำหนดคาดว่าทางรถไฟช่วงสถานีโกตาบารู รัฐกลันตัน ถึงสถานีกอมบัค รัฐสลังงอร์ แล้วเสร็จในเดือน ธ.ค. 2569 และระยะที่สองจากสถานีกอมบัค ถึงท่าเรือแคลง ภายในเดือน ธ.ค. 2570 คาดหวังว่าจะเชื่อมโยงกับโครงข่ายรถไฟทางไกลของประเทศไทย เพราะจากสถานีรถไฟโกตาบารู กับชายแดนมาเลเซีย-ไทย ที่ด่านรันเตาปันจัง เมืองปาร์เซมัส ห่างกัน 20 กิโลเมตร โครงการทางรถไฟ ECRL มีทั้งหมด 20 สถานี แบ่งเป็นสถานีเฉพาะผู้โดยสาร 10 สถานี สถานีผู้โดยสารและขนส่งสินค้า 10 สถานี พาดผ่าน 4 รัฐ ได้แก่ กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และสลังงอร์ มีอุโมงค์ 59 แห่ง ขบวนรถโดยสารใช้รถไฟ EMU รวม 11 ขบวน ขบวนละ 6 ตู้โดยสาร รองรับผู้โดยสารสูงสุด 430 คน ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เทียบเท่าขบวนรถล้านช้างของรถไฟลาว-จีน จากสถานีโกตาบารูไปยังสถานีกอมบัคใช้เวลาเดินทางเพียง 4 ชั่วโมง คาดว่าจะส่งมอบขบวนรถชุดแรกภายในสิ้นปี 2568 ส่วนขบวนรถสินค้าใช้ความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 686 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1711 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เท้าเหม็นแก้ได้ #อีเอ็ม #จุลินทรีย์
    #สอบถามเพิ่มเติมได้คะ
    #เท้าเหม็นแก้ได้ #อีเอ็ม #จุลินทรีย์ #สอบถามเพิ่มเติมได้คะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 34 0 รีวิว
  • ทิชา ป้ามลพิษ บอกไม่กลับไปทำผิด แต่ลูกสาวป้าผิดทั้งที่ใส่กำไลอีเอ็ม ส่วนไอ้ว่าว เมิงยังเห็นลูกสาวมึงในแววตามันอยู่ไหม
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ทิชา ป้ามลพิษ บอกไม่กลับไปทำผิด แต่ลูกสาวป้าผิดทั้งที่ใส่กำไลอีเอ็ม ส่วนไอ้ว่าว เมิงยังเห็นลูกสาวมึงในแววตามันอยู่ไหม #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 475 มุมมอง 0 รีวิว