• Good morning ทุเรียน #จุลินทรีย์ #น้ำหมัก #durian #ปลวก #farming #ทุเรียน
    Good morning ทุเรียน #จุลินทรีย์ #น้ำหมัก #durian #ปลวก #farming #ทุเรียน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • แม้งานจะยุ่งแค่ไหน...ชีวิตก็ยัง #EESY เพราะไม่ busy!
    3 ตัวช่วยคู่ครัว ที่แม่บ้านยุคใหม่ต้องมี

    EESY CLEAN ขจัดคราบมัน – คราบแน่นแค่ไหน ก็ออกง่ายในพริบตา
    🍽 EESY CLEAN ล้างจาน – ล้างสะอาด ไม่ต้องเปลืองแรง
    ไบโอแซน ทีพีไอ – จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์

    ครบจบเรื่องครัว ชีวิตดีแบบ EESY ทุกวัน!

    #EESYCLEAN #EESYไม่Busy #ของมันต้องมี #ของใช้ในบ้าน #แม่บ้านยุคใหม่ #เคล็ดลับแม่บ้าน #ครัวสะอาด #ล้างจานง่าย #ขจัดคราบมัน #บำบัดน้ำเสีย #ไบโอแซน #ของดีบอกต่อ #รีวิวของใช้ในบ้าน #TPIผลิตภัณฑ์
    #แม่บ้านTikTok #TidyTok #ทำความสะอาดบ้าน #ชีวิตง่ายขึ้น #ชีวิตEESYทุกวัน
    💥แม้งานจะยุ่งแค่ไหน...ชีวิตก็ยัง #EESY เพราะไม่ busy! 3 ตัวช่วยคู่ครัว ที่แม่บ้านยุคใหม่ต้องมี👇 🧼 EESY CLEAN ขจัดคราบมัน – คราบแน่นแค่ไหน ก็ออกง่ายในพริบตา 🍽 EESY CLEAN ล้างจาน – ล้างสะอาด ไม่ต้องเปลืองแรง 🚿 ไบโอแซน ทีพีไอ – จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ✨ ครบจบเรื่องครัว ชีวิตดีแบบ EESY ทุกวัน! #EESYCLEAN #EESYไม่Busy #ของมันต้องมี #ของใช้ในบ้าน #แม่บ้านยุคใหม่ #เคล็ดลับแม่บ้าน #ครัวสะอาด #ล้างจานง่าย #ขจัดคราบมัน #บำบัดน้ำเสีย #ไบโอแซน #ของดีบอกต่อ #รีวิวของใช้ในบ้าน #TPIผลิตภัณฑ์ #แม่บ้านTikTok #TidyTok #ทำความสะอาดบ้าน #ชีวิตง่ายขึ้น #ชีวิตEESYทุกวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • Medaily Pro Fiber จากแบรนด์ Medese เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบผงชงดื่มที่ออกแบบโดย พญ.สุรีนันต์ ฤทธิ์เทวา (หมอใบเตย) เพื่อช่วยในการปรับสมดุลลำไส้และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ผลิตภัณฑ์นี้มีจุดเด่นที่การรวมสารสกัดจากธรรมชาติ 19 ชนิด และโพรไบโอติกส์ 15,000 ล้านตัวในแต่ละซอง

    ---

    ส่วนผสมสำคัญ

    Cactinea™ (2,000 มก.): สารสกัดจากกระบองเพชรฝรั่งเศสที่ช่วยลดการบวมน้ำและขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย

    Fibersol-2: เส้นใยอาหารที่ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้และส่งเสริมการขับถ่าย

    โพรไบโอติกส์ (15,000 ล้านตัว): จุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

    สารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ: รวมถึงสารสกัดจากผลไม้และพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

    ---

    ประโยชน์ต่อร่างกาย

    ปรับสมดุลลำไส้: ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการท้องผูกและท้องอืด

    ลดการบวมน้ำ: ช่วยขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำจากการบริโภคอาหารรสจัดหรือเค็ม

    ดีท็อกซ์ลำไส้และตับ: ช่วยล้างสารพิษที่สะสมในลำไส้และตับ ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและมีพลังงานมากขึ้น

    เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: โพรไบโอติกส์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดีขึ้น

    ---

    รายละเอียดผลิตภัณฑ์

    รูปแบบ: ผงชงดื่ม บรรจุในซอง

    ปริมาณ: 1 กล่องมี 5 ซอง

    ราคา​กล่อง​ละ​ : 299 บาท

    วิธีรับประทาน: ชงดื่มวันละ 1 ซอง ก่อนนอน

    รสชาติ: รสชาติอร่อยเหมือนน้ำผลไม้ ไม่จับตัวเป็นวุ้น และไม่ทำให้ปวดบิด

    ---

    Medaily Pro Fiber เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ท้องผูก หรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพลำไส้และลดการบวมน้ำจากการบริโภคอาหารรสจัด ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติและการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นี้

    ---
    Medaily Pro Fiber จากแบรนด์ Medese เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบผงชงดื่มที่ออกแบบโดย พญ.สุรีนันต์ ฤทธิ์เทวา (หมอใบเตย) เพื่อช่วยในการปรับสมดุลลำไส้และส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ผลิตภัณฑ์นี้มีจุดเด่นที่การรวมสารสกัดจากธรรมชาติ 19 ชนิด และโพรไบโอติกส์ 15,000 ล้านตัวในแต่ละซอง --- 🌿 ส่วนผสมสำคัญ Cactinea™ (2,000 มก.): สารสกัดจากกระบองเพชรฝรั่งเศสที่ช่วยลดการบวมน้ำและขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย Fibersol-2: เส้นใยอาหารที่ช่วยเพิ่มกากใยในลำไส้และส่งเสริมการขับถ่าย โพรไบโอติกส์ (15,000 ล้านตัว): จุลินทรีย์ชนิดดีที่ช่วยปรับสมดุลลำไส้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ: รวมถึงสารสกัดจากผลไม้และพืชที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ --- 💪 ประโยชน์ต่อร่างกาย ปรับสมดุลลำไส้: ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ลดอาการท้องผูกและท้องอืด ลดการบวมน้ำ: ช่วยขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำจากการบริโภคอาหารรสจัดหรือเค็ม ดีท็อกซ์ลำไส้และตับ: ช่วยล้างสารพิษที่สะสมในลำไส้และตับ ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและมีพลังงานมากขึ้น เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: โพรไบโอติกส์ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงและต้านทานโรคได้ดีขึ้น --- 📦 รายละเอียดผลิตภัณฑ์ รูปแบบ: ผงชงดื่ม บรรจุในซอง ปริมาณ: 1 กล่องมี 5 ซอง ราคา​กล่อง​ละ​ : 299 บาท วิธีรับประทาน: ชงดื่มวันละ 1 ซอง ก่อนนอน รสชาติ: รสชาติอร่อยเหมือนน้ำผลไม้ ไม่จับตัวเป็นวุ้น และไม่ทำให้ปวดบิด --- Medaily Pro Fiber เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ท้องผูก หรือผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพลำไส้และลดการบวมน้ำจากการบริโภคอาหารรสจัด ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติและการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทำให้มั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นี้ ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • กาแฟ Medpresso จากแบรนด์ Medese เป็นกาแฟนมพืชสูตรพิเศษที่พัฒนาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมวัว

    ---

    คุณสมบัติพิเศษของ Medpresso

    ใช้เบสนมพืช 100%: ประกอบด้วยนมอัลมอนด์และนมโอ๊ต แทนการใช้นมวัว ช่วยลดความเสี่ยงจากการแพ้แลคโตสและไขมันอิ่มตัว

    ไม่มีน้ำตาล ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอล: เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันในร่างกาย

    แคลอรี่ต่ำ: เพียงประมาณ 70 แคลอรี่ต่อซอง ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

    มีพรีไบโอติก: ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหาร

    ---

    ส่วนประกอบสำคัญที่มีผลดีต่อร่างกาย

    นมอัลมอนด์และนมโอ๊ต: แหล่งของไขมันดี วิตามิน E และ D ช่วยบำรุงผิวพรรณและกระดูก

    กาแฟคุณภาพสูง: ให้คาเฟอีนที่ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ

    พรีไบโอติก: ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้

    ---

    ประโยชน์ต่อร่างกาย

    ช่วยควบคุมน้ำหนัก: ด้วยแคลอรี่ต่ำและไม่มีน้ำตาล ช่วยลดความอยากอาหารและส่งเสริมการเผาผลาญไขมัน

    เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัวหรือแลคโตส: เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของนมวัว

    เสริมสุขภาพลำไส้: พรีไบโอติกช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้

    ---

    รายละเอียดผลิตภัณฑ์

    บรรจุภัณฑ์: 1 กล่องมี 10 ซอง (5 ซองรสนมอัลมอนด์ และ 5 ซองรสนมโอ๊ต)

    ราคากล่อง​ละ 290 บาท

    วิธีรับประทาน: ชงกับน้ำร้อนหรือน้ำเย็นตามชอบ สามารถดื่มได้ทั้งตอนเช้าและบ่าย

    ---
    กาแฟ Medpresso จากแบรนด์ Medese เป็นกาแฟนมพืชสูตรพิเศษที่พัฒนาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนมวัว --- ☕ คุณสมบัติพิเศษของ Medpresso ใช้เบสนมพืช 100%: ประกอบด้วยนมอัลมอนด์และนมโอ๊ต แทนการใช้นมวัว ช่วยลดความเสี่ยงจากการแพ้แลคโตสและไขมันอิ่มตัว ไม่มีน้ำตาล ไขมันทรานส์ และคอเลสเตอรอล: เหมาะสำหรับผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและไขมันในร่างกาย แคลอรี่ต่ำ: เพียงประมาณ 70 แคลอรี่ต่อซอง ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก มีพรีไบโอติก: ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้และระบบย่อยอาหาร --- 🌿 ส่วนประกอบสำคัญที่มีผลดีต่อร่างกาย นมอัลมอนด์และนมโอ๊ต: แหล่งของไขมันดี วิตามิน E และ D ช่วยบำรุงผิวพรรณและกระดูก กาแฟคุณภาพสูง: ให้คาเฟอีนที่ช่วยเพิ่มความตื่นตัวและสมาธิ พรีไบโอติก: ส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ --- 💪 ประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยควบคุมน้ำหนัก: ด้วยแคลอรี่ต่ำและไม่มีน้ำตาล ช่วยลดความอยากอาหารและส่งเสริมการเผาผลาญไขมัน เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้นมวัวหรือแลคโตส: เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของนมวัว เสริมสุขภาพลำไส้: พรีไบโอติกช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ --- 📦 รายละเอียดผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์: 1 กล่องมี 10 ซอง (5 ซองรสนมอัลมอนด์ และ 5 ซองรสนมโอ๊ต) ราคากล่อง​ละ 290 บาท วิธีรับประทาน: ชงกับน้ำร้อนหรือน้ำเย็นตามชอบ สามารถดื่มได้ทั้งตอนเช้าและบ่าย ---
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวมลิงค์ข้อมูล Chorine Dioxide Solution (CDS)
    สารคดีเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ เมื่อปี 2012 โดยใช้สูตรของ จิม ฮัมเบิล ที่เรียกกันว่า MMS (Miracle Mineral Solution) เป็นงานวิจัยร่วมกับสภากาชาดในการใช้ MMS กำจัดโรคมาลาเรีย ภายใน 24 ชม.!!
    https://t.me/CDS4UData/9
    https://www.brighteon.com/e73aaf21-d7ef-411d-9777...
    คลิปสั้น 12 นาที สภากาชาดแอฟริกาใช้คลอรีนไดออกไซด์ในการรักษาคนไข้มาลาเรีย154 คน ภายใน 24 ชม.
    https://www.brighteon.com/aab729ec-e096-4c6f-b176...
    ขณะนี้แพทย์กว่า 5,000 คนใน 25 ประเทศใช้ chlorine dioxide (คลอรีนไดออกไซด์) หรือเรียกสั้นๆ ว่า CDS เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ติดโควิด-19 อัตราการรักษาได้ผล 100% จากการรักษาที่ประเทศโบลิเวีย และเอกวาดอร์ และในอีกหลายๆประเทศ
    ที่มา: https://www.stopworldcontrol.com/cds/
    CDS แพทย์และผู้พันเพโดร จากเม็กซิโก
    https://t.me/CDS4UData/3
    CDS ถามตอบ มันคือสารฟอกขาวหรือ
    https://t.me/CDS4UData/4
    CDS ไม่ไปฆ่าเซลล์หรือทำร้ายเซลล์ในตัวเรา โดย ดร.เพโดร แพทย์ทหารจากเม็กซิโก
    https://t.me/CDS4UData/6
    CDS คุณหมอ แมนูแอล อะพาริโช ประธานกลุ่มแพทย์ COMUSAV ทั่วโลก บอกว่ามีงานศึกษาวิจัยการใช้คลอรีนไดออกไซด์ 3 ฉบับซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร Index แล้ว
    https://t.me/CDS4UData/7
    การทดลองกับเม็ดเลือดแดงโดยให้คนดื่มคลอรีนไดออกไซด์ CDS แล้วเจาะเลือดส่องกล้องจุลทรรศน์ ทำให้เห็นว่าเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างและมีความกลม ตามที่ควรจะเป็น ไม่ติดกันเป็นสาย
    https://t.me/CDS4UData/8
    คลอรีนไดออกไซด์ กับ เด็กออทิสติก
    https://t.me/CDS4UData/20
    การทำงานของ CDS
    https://t.me/CDS4UData/10
    สารบัญข้อมูล ห้อง “CDS ทำเองได้ ใช้เองเป็น”
    https://t.me/CDS4UData/470
    วิธีทำ CDS ช่องเทเลแกรม ป้องกันรักษาโรค ทางสายกลาง โดย หม่อมโจ้ รุ่งคุณ กิติยากร
    https://t.me/MiddlewayResistance/1560
    โรคที่รักษาด้วย CDS ได้
    https://t.me/CDS4UData/14
    CDS for Cancer protocol
    https://canceremocional.org/en/cds-protocols-a-through-z/...
    คลิปความอันตรายของสารใดๆก็ตาม ขึ้นอยู่กับปริมาณโดส https://t.me/awakened_thailand/207
    คลิปทำไมคลอรีนไดออกไซด์ถึงกำจัดโควิดได้ https://t.me/awakened_thailand/194
    ที่อเมริกาต้อง ผสม CDS เอง ไม่มีแบบสำเร็จรูปขาย สั่งซื้อเองได้ที่นี่
    https://amzn.to/3CSaiwf
    วีธีใช้ CDS โปรโตคอลในการล้างโลหะหนัก
    https://t.me/CDS4UData/179
    https://m.facebook.com/story.php...
    หนังสือเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ (CDS) อธิบายพื้นฐาน หลักการทำงานต่างๆ รวมไปถึงวิธีการเตรียม และสารที่ต้องใช้
    https://t.me/CDS4UData/23
    คลิปโควิดลงปอด รักษาหายได้ด้วย CDS (ภาพตัวอย่าง X ray)
    https://t.me/awakened_thailand/199
    สารคดีเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ โดยสารนี้เรียกว่า MMS (ชื่อแรกเริ่ม) ซึ่งมีความแตกต่างจาก CDS (Chlorine Dioxide Solution) ในการเตรียม
    https://rumble.com/vm8dkf-chlorine-dioxide-the-universal...
    The Universal Antidote of Chorine Dioxide Documentary FULL
    https://www.brighteon.com/cbea0547-0152-48d0-8ad8...
    คลอรีนไดออกไซด์สามารถทำลายไกลโฟเซต (ยาฆ่าหญ้า) ที่ทำให้เด็กเป็นออทิสติก https://t.me/awakened_thailand/408
    การดื่ม MMS1 หรือ CDS ไปทำลายจุลินทรีย์ดีในลำไส้หรือไม่
    https://t.me/awakened_thailand/409
    ประสบการณ์ผู้ใช้ยา CDS
    https://t.me/CDS_Thailand
    รีวิวบางส่วน
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=170017322259924&id=100077549707108
    CDS ตัวอย่าง5เคสน่าทึ่ง
    https://www.brighteon.com/cbea0547-0152-48d0-8ad8...
    เคสใช้ CDS ของต่างประเทศ มีเคสมะเร็ง โรคเบาหวานและสารพัดโรค
    https://t.me/ChlorineDioxideInfo
    ควรใช้สารตั้งต้นเกรดอะไรในกระบวนการผลิต CDS
    https://t.me/CDS4UData/2154
    Protocol คืออะไร?? โดย เพจ คนไทยต้องรอด
    https://fb.watch/qU2nCSju8p/?
    Protocol E สวนล้างลำไส้ โดย เพจ คนไทยต้องรอด
    https://t.me/CDS4UData/2060
    รวมคลิปและวิธีทำ CDS
    https://drive.google.com/.../17WvCSyxFMIcjx...
    แจกหนังสือ อุบายขายโรค กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ แถมคู่มือทำ cds เกรดแลปด้วยตัวเอง โดย ผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ Daddy's On Fire
    https://tinyurl.com/daddyonfire
    กลุ่มCOMUSAV
    https://t.me/comusav
    https://t.me/ChlorineDioxideTestimonies
    ห้อง CDS คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน
    https://t.me/CDS4UData
    ห้อง Natural Health Knowledge รวบรวมความรู้ด้านสุขภาพต่างๆ ทั้ง CDS, MMS, Colloidal silver, Borax และอื่นๆ เน้นทางเลือกในการรักษาสุขภาพ/รักษาโรค โดยไม่ต้องพึ่งพายาเคมี
    https://t.me/naturalhealthknowledge
    ห้องแชทเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ ของต่างประเทศ (ทั้ง MMS & CDS)
    https://t.me/theuniversalantidote
    ห้องแชทภาษาสเปน
    https://t.me/joinchat/gj6PrWvxyJlkZjdk
    ห้องแชทภาษาอังกฤษ Natural Health Knowledge
    https://t.me/naturalhealthknowledgechat
    เปิดใจศึกษา CDS | บทสัมภาษณ์กับ ดร. แอนเดรียส คัลเกอร์
    https://www.rookon.com/?p=1248
    ไลฟ์สดเรื่อง CDS โดย อดิเทพ จาวลาห์
    https://www.youtube.com/watch?v=HOW9VLeS-7g
    CDS ปลอดภัยไหม
    https://www.youtube.com/watch?v=VabfaTTsK6o
    https://fb.watch/uPOe7rQYRN/?
    หมอบอกว่ากิน CDS แล้วตาย... จริงหรือ?
    https://www.youtube.com/live/wAaEXilj4qg?si=p8CD7sqmnlC6L3u8
    https://www.facebook.com/share/v/pkhiVpNEraX7irMi/
    CDS , คาบาล , เราจะทำอย่างไรต่อ?
    https://www.youtube.com/live/cJSCI-6A6kA?si=j8TwPX6vnNvY_s6t
    https://fb.watch/v6cVR3d2hw/?
    ไลฟ์สด หัวข้อ CDS และ การล้างพิษ วิธีทำ CDS |อดิเทพ จาวลาห์
    https://fb.watch/vxYlcFYh8I/?
    https://www.youtube.com/live/z7dGSQAmX1k?si=-karhpJzOl5dmklZ
    CDS วิธีผลิตโดยใช้ป็๊มลม
    https://www.facebook.com/share/v/15CLedm4hA/
    EP1 https://www.youtube.com/live/5mCbq1fYT2Y?si=TP8aU5NpILbIl2Nu
    EP2 https://www.youtube.com/live/VMtE0bQ4_lM?si=sxFqf-XxXkav1t9C
    ไลฟ์สด หัวข้อ : BRICS | Donald Trump | วิธีการทำ CDS แบบที่ 3 ช่องทางการชม https://linktr.ee/chawlaadithep
    https://lin.ee/whj86pz
    https://www.youtube.com/live/NLyB0--X-dY?si=2NqruDF9U9TXknHv
    สนใจลงเรียนคอร์ส CDS ฟรี เพิ่มเพื่อนไลน์ @dioxiway
    กรุณาลงทะเบียนฟรีที่ https://forms.gle/2p1tZUMogn41iQMD6
    —————
    เกี่ยวกับ Dioxi Way
    Dioxi Way ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง
    1. ให้คนไทยเข้าใจ CDS
    2. ให้แพทย์ไทยเข้าถึงผลวิจัยและชมผลรับของผู้ที่ใช้ CDS เพื่อ พลักดัน ให้ CDS ถูกกฏหมาย
    เรากำลังสร้างเว็บไซต์ Dioxiway.com ให้เป็นแหล่งข้อมูลดังกล่าวครับ
    ขอบคุณครับ อดิเทพ จาวลาห์
    ไฟล์ วิธีทำ CDS (ไฟล์ PDF)
    ท่านสามารถรับชมได้ทาง
    1. ออนไลน์ - https://jmp.sh/s/1klP9ql0fMm3TZMNyOyN
    หรือ
    2. ดาวน์โหลดไฟล์ลงเครื่อง - https://www.transferxl.com/download/04jqQp0R3pyJK2
    ผลิต CDS ง่ายๆทำเองที่บ้านได้ โดยคุณอดิเทพ จาวลาห์
    https://www.rookon.com/?p=1276
    เข้าใจ CDS (พื้นฐาน)
    - คลอรีไดอ็อกไซด์คืออะไร?
    - สารตั้งต้น
    - ClO2 | CDS | NaClO2 | NaClO | MMS | CD | Cl2 คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร?
    - คุณสมบัติของ CDS
    - การคำนวนค่า PPM
    - CDS หมดอายุได้หรือไม่?
    - CDS ฆ่าเซลล์เราได้หรือไม่?
    - แบคทีเรีย ดี / แบคทีเรีย ไม่ดี
    - ClO2 / RBC
    รับชมคลิปได้ทาง:
    Facebook : https://www.facebook.com/share/v/162ihSAu7L/?mibextid=wwXIfr
    TikTok : https://vt.tiktok.com/ZSM4LFMEQ/
    YouTube : https://youtu.be/cwafLyKQ6JA?si=KS58k3YZ1-lSLHRI
    สารคดี Bluetruth โดย Dr. Pedro Chavez
    https://dioxitube.com/w/aJNKrv79PLdaXQib7mctqk
    การดีท็อกซ์ กราฟีน อ็อกไซด์ (ภาษาอังกฤษ) ข้อมูลจาก Comusav โดย Dr. Pedro Chavez ครับ
    1. https://www.comusav.com/.../ENGLISH-AI-Protocol-16-Dec...
    2. https://www.comusav.com/.../18-NOV-2021_ENGLISH_COVID19...
    สร้างลิงก์ใหม่ให้แล้ว ท่านไม่ต้องลงทะเบียน
    ลงเรียนทันที
    🏼 https://group.rookon.com/read-blog/1_คอร-ส-cds.html
    ต้องการคอมเมนต์สอบถาม? ลงทะเบียนที่นี่
    🏼 https://group.rookon.com/register
    ติดต่อพบแพทย์ออนไลน์ ขอรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของกลุ่ม Dr. Andreas Kalcker
    - ALK Foundation : www.alkfoundation.com
    ติดต่อรับชมรายละเอียด/สั่งซื้อสารตั้งต้น
    - https://forms.gle/ph5HBBZNAuThZnQV8
    วิธีการใช้ CDS
    - โปรโตคอล A – มือใหม่ที่ยังสงสัย - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1016/
    - โปรโตคอล B – อาบน้ำ - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1018/
    - โปรโตคอล C - คลาสสิก ต่อเนื่อง (ล้างผิษ วซ โควิด) - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1021/
    - โปรโตคอล D – ผิวหนัง - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1023/
    - โปรโตคอล E – สวนทวาร - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1026/
    - โปรโตคอล F – ไข้ การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเฉียบพลัน - https://cds.rookon.com/protocol/1086/
    - โปรโตคอล G – หูและผิวหนัง - https://cds.rookon.com/protocol/1030/
    - โปรโตคอล H – ป้องกันการติดเชื้อทางอากาศในห้องโถง - https://cds.rookon.com/protocol/1031/
    - โปรโตคอล I – แมลงกัดต่อยและสภาพผิวอื่นๆ - https://cds.rookon.com/protocol/1032/
    - โปรโตคอล J – บ้วนปาก - https://cds.rookon.com/protocol/1033/
    - โปรโตคอล K –
    - โปรโตคอล L – แช่เท้า - https://cds.rookon.com/protocol/1041/
    - โปรโตคอล M – มาลาเรีย - https://cds.rookon.com/protocol/1042/
    - โปรโตคอล N – ทารก เด็ก วัยรุ่น - https://cds.rookon.com/protocol/1043/
    - โปรโตคอล O – ตา จมูก - https://cds.rookon.com/protocol/1044/
    - โปรโตคอล P –
    - โปรโตคอล Q –
    - โปรโตคอล R –
    - โปรโตคอล S –
    - โปรโตคอล T –
    - โปรโตคอล U –
    - โปรโตคอล V –
    - โปรโตคอล W – การใช้ประโยชน์อื่นๆ - https://cds.rookon.com/protocol/1058/
    - โปรโตคอล X –
    - โปรโตคอล Y –
    - โปรโตคอล Z –
    หรืออีกช่องทางศึกษา
    ถ้าสนใจศึกษา CDS ให้ลง App Telegram แล้วเข้าห้องนี้ https://t.me/CDS_School วิธีการทำ CDS (Chlorine Dioxide Solution) อย่างถูกต้อง ตามกลุ่มหมอ COMUSAV จะมีเนื้อหาอย่างละเอียด ทั้งวิธีทำ แหล่งหาสารและอุปกรณ์ทุกอย่าง รวมถึงการใช้อย่างละเอียด อย่างถูกต้องและปลอดภัย เพื่อให้คนพึ่งพาตนเองได้ ( ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น )
    เทเลแกรมสำหรับโทรศัพท์ระบบเอ็นดรอยด์
    Telegram for Android
    https://telegram.org/android
    ลองเข้าไปโหลดIOS ในนี้ดูค่ะ
    https://telegram.org/apps
    ศึกษาตามหัวข้อต่างๆ (1) เริ่มอ่านข้อความแรกของห้องนี้
    https://t.me/CDS_School/924
    (2) เปิดโลก CDS ....ความรู้พื้นฐาน และ กลไกการทำงานของ CDS ในร่างกายมนุษย์
    https://t.me/CDS_School/939 https://t.me/CDS_School/940 https://t.me/CDS_School/947 https://t.me/CDS_School/948 https://t.me/CDS_School/950 https://t.me/CDS_School/951 (3) อุปกรณ์สำหรับทำ CDS
    https://t.me/CDS_School/1290
    (4) การเลือกเกรดโซเดียมคลอไรท์
    https://t.me/CDS_School/1293
    (5) อายุผงโซเดียมคลอไรท์ 80%
    https://t.me/CDS_School/1297
    (6) แหล่งหาสารโซเดียมคลอไรท์
    https://t.me/CDS_School/1301
    (7) ต้นทุนสำหรับการทำ CDS
    https://t.me/CDS_School/1308
    ( ทำไมจึงต้องหลีกเลี่ยงโซเดียมคลอไรท์เกรดอุตสาหกรรม
    https://t.me/CDS_School/1314
    (9) ประเภทกรดที่ใช้ทำ CDS
    https://t.me/CDS_School/1340
    (10) วิธีเลือกโหลสุญญากาศ แก้วช๊อต ขวดสีชา
    https://t.me/CDS_School/1342
    (11) ทำไมต้องใช้น้ำกลั่น
    https://t.me/CDS_School/1346
    (12) น้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่รถยนต์ใช้ไม่ได้
    https://t.me/CDS_School/1347
    (13) แหล่งหาสาร และ อุปกรณ์ทุกอย่าง
    https://t.me/CDS_School/1351
    (14) ไม่ใช้ขวดดรอปเปอร์ที่เป็นยางใส่สารตั้งต้น
    https://t.me/CDS_School/1351
    (15) วิธีเจือจางสารตั้งต้น โซเดียมคลอไรท์ 25% กรดซิตริค 50%
    https://t.me/CDS_School/1357
    (16) ข้อควรระวังในการเจือจางสาร
    https://t.me/CDS_School/1358
    (17) วิธีเจือจางสารตั้งต้น โซเดียมคลอไรท์ 22.4%
    https://t.me/CDS_School/1360
    (18) อายุของสารตั้งต้นที่เจือจางแล้ว และ การเก็บรักษา
    https://t.me/CDS_School/1365
    (19) วิธีทำ CDS ด้วยโซเดียมคลอไรท์ กับ กรดซิตริค
    https://t.me/CDS_School/1369
    (20) สารที่เหลือในแก้วช๊อต
    https://t.me/CDS_School/1377
    (21) วิธีทำ CDS ด้วยโซเดียมคลอไรท์ กับ กรดไฮโดรคลอริค
    https://t.me/CDS_School/1379
    (22) วิธีการคำนวณเพื่อเจือจางกรดไฮโดรคลอริคให้ได้ความเข้มข้นตามที่ต้องการ
    https://t.me/CDS_School/1391
    (23) คลิปสาธิตวิธีทำ CDS โดย Dr. Andreas Kalcker
    https://t.me/CDS_School/1396
    (24) คู่มือการศึกษา CDS จาก The Universal Antidote
    https://t.me/CDS_School/1402
    (25) ขั้นตอนการทำ CDS พร้อมรูปภาพประกอบโดย TUA
    https://t.me/CDS_School/1404
    (26) แหล่งซื้อแผ่นทดสอบความเข้มข้น ppm ของ CDS
    https://t.me/CDS_School/1411
    (27) อายุของ CDS
    https://t.me/CDS_School/1413
    (28) การเก็บรักษา CDS
    https://t.me/CDS_School/1414
    (29) วิธีดูสภาพของ CDS
    https://t.me/CDS_School/1418
    (30) วิธีดื่ม CDS ขั้นพื้นฐาน
    https://t.me/CDS_School/1422
    (31) วิธีเพิ่มโดส
    https://t.me/CDS_School/1428
    (32) อาการขับพิษ
    https://t.me/CDS_School/1433
    (33) โดสสูงสุดสำหรับการผสมเพื่อดื่ม
    https://t.me/CDS_School/1437
    (34) เหตุผลที่ต้องดื่มทุกชั่วโมง
    https://t.me/CDS_School/1439
    (35) Jim Humble ผู้ค้นพบ MMS
    https://t.me/CDS_School/1445
    (36) Dr.Andreas ผู้พัฒนา CDS จาก MMS
    https://t.me/CDS_School/1452
    (37) น้ำทะเล กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1454
    (38) วิธีผสมน้ำเกลือสมุทร หรือ น้ำดอกเกลือใช้แทนน้ำทะเล
    https://t.me/CDS_School/1459
    (39) หนังสือ Forbidden Health แต่งโดย Dr.Andreas Kalcker
    https://t.me/CDS_School/1462 (40) ดื่ม CDS เมื่อท้องว่าง
    https://t.me/CDS_School/1463
    (41) ดื่ม CDS เว้นช่วงจากอาหารและยา
    https://t.me/CDS_School/1463
    (42) อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องงดระหว่างการดื่ม CDS
    https://t.me/CDS_School/1465
    (43) ตัวอย่างตารางเวลาในการดื่ม CDS
    https://t.me/CDS_School/1468
    (44) สมุนไพร กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1469
    (45) น้ำมันกัญชา กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1471
    (46) สาเหตุที่บางคนร่างกายร้อนวูบวาบเมื่อดื่ม CDS
    https://t.me/CDS_School/1473
    (47) อาการร่างกายขับพิษ หรือ ปฏิกิริยาเฮิร์กไซเมอร์
    https://t.me/CDS_School/1476
    (48) หากสารในแก้วช๊อตกระฉอกจนปนเปื้อนน้ำในโหล
    https://t.me/CDS_School/1485
    (49) เมื่อโหลหรือขวดบรรจุ CDS ตกแตก
    https://t.me/CDS_School/1486
    (50) วิธีแก้ไข กรณีดื่ม CDS จน overdose โอเวอร์โดส
    https://t.me/CDS_School/1487
    (51) ยาละลายลิ่มเลือด กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1488
    (52) คีโม กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1489
    (53) การผ่าตัด กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1490
    (54) pH ของ CDS
    https://t.me/CDS_School/1491
    (55) blood brain barrier-แนวกั้นเลือดและสมอง กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1526 (56) การค้นหาแหล่งข้อมูล CDS ทางออนไลน์
    https://t.me/CDS_School/1529
    (57) ความรู้ CDS โดย TUA
    https://t.me/CDS_School/1534
    (58) MMS กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1535
    (59) ควรเริ่มใช้ CDS เมื่อใด
    https://t.me/CDS_School/1537
    (60) หนังสือที่แนะนำเพื่อศึกษา CDS
    https://t.me/CDS_School/1546
    (61) หนังสือ MMS Health Recovery Guide Book แต่งโดย Jim Humble
    https://t.me/CDS_School/1477
    (62) โรคที่ใช้ CDS รักษาได้
    https://t.me/CDS_School/1550
    (63) แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1570 https://t.me/CDS_School/1993 (64) โลหะวัสดุการแพทย์ที่ใส่เข้าไปในร่างกาย กับ CDS
    https://t.me/CDS_School/1577
    (65) ตัวอย่างการจัดเวลาสำหรับดื่ม CDS
    https://t.me/CDS_School/1668
    (66) อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างการดื่ม CDS
    https://t.me/CDS_School/1673
    (67) อาการร่างกายขับพิษ-ปฏิกิริยาเฮิร์กไซเมอร์ และ วิธีรับมือ
    https://t.me/CDS_School/1677
    (68) 3 กฏทองคำ จำให้แม่น
    https://t.me/CDS_School/1429
    (69) ใช้ CDS นานเท่าใด อาการจึงดีขึ้น
    https://t.me/CDS_School/1681
    (70) ความเข้มข้น ppm ของ CDS ที่เราใช้
    https://t.me/CDS_School/1683
    (71) ความปลอดภัยของ CDS
    https://t.me/CDS_School/1685 https://t.me/CDS_School/951
    (72) รายงานทางการแพทย์ที่ใช้ CDS สำหรับป้องกันและรักษา covid-19 โดยแพทย์กลุ่ม COMUSAV
    https://t.me/CDS_School/1689
    (73) วิธีใช้ CDS ป้องกันและรักษา covid-19 โดยกลุ่มแพทย์ COMUSAV
    https://t.me/CDS_School/1713
    (74) วิธีใช้ CDS รักษาผู้บาดเจ็บจากการรับวัคซีน covid-19 โดยกลุ่มแพทย์ COMUSAV
    https://t.me/CDS_School/1743
    (75) ห้องแชร์ประสบการณ์ผู้ใช้ CDS รักษาอาการต่างๆ
    https://t.me/CDS_School/1919
    (76) ห้องคนไทยตื่นรู้
    https://t.me/CDS_School/1926
    (77) สารคดี ความเป็นมาของ CDS ฉบับเต็ม ( ภาษาอังกฤษ ) โดยบุคคลากรทางการแพทย์ https://t.me/CDS_School/1928 (78) สารคดี MMS ( ภาษาอังกฤษ ) https://t.me/CDS_School/1932 (79) สารคดี จุดเริ่มต้น จิม ฮัมเลิล กับ คลอรีนไดออกไซด์ MMS https://t.me/CDS_School/1933 (80) สภากาชาดแอฟริกาใช้คลอรีนไดออกไซด์ในการรักษาคนไข้มาลาเรียหายภายใน 24 ชม. (คลิปนี้ถูกบล๊อค และ เซ็นเซอร์โดยสื่อหลัก) https://t.me/CDS_School/1934 https://t.me/CDS_School/1935 (81) จุดเริ่มต้นของ CDS โดย Dr. Andreas Kalcker https://t.me/CDS_School/1936 (82) CDS ทำงานอย่างไร และ ทำไมมันถึงปลอดภัย https://t.me/CDS_School/1937 https://t.me/CDS_School/948 https://t.me/CDS_School/947 https://t.me/CDS_School/940 (83) ชัวร์หรือมั่วนิ่ม เมื่อสื่อหลักบอกเราว่าคลอรีนไดออกไซด์คือสารฟอกขาวที่เป็นอันตราย https://t.me/CDS_School/947 https://t.me/CDS_School/1938 https://t.me/CDS_School/1939
    (84) การวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่างของเม็ดเลือดแดงสด ที่ได้รับ CDS แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่เม็ดเลือดแดงที่แข็งแรง สามารถขนส่งออกซิเจนได้ดีขึ้น https://t.me/CDS_School/948 https://t.me/CDS_School/1940 https://t.me/CDS_School/1941 (85) คลอรีนไดออกไซด์ ประกอบด้วย คลอรีนอิออน(ประจุลบ) Cl- มันจึงไม่ใช่คลอรีน Cl2 https://t.me/CDS_School/1942 https://t.me/CDS_School/940 (86) ตัวอย่างน่าทึ่ง 5 เคสที่หายด้วย CDS https://t.me/CDS_School/1943
    (87) แพทย์แชร์ประสบการณ์จากการใช้ CDS รักษาคนไข้ https://t.me/CDS_School/1944 https://t.me/CDS_School/1947 https://t.me/CDS_School/1948 https://t.me/CDS_School/1949 https://t.me/CDS_School/1950 https://t.me/CDS_School/1951 https://t.me/CDS_School/1952 https://t.me/CDS_School/1953 https://t.me/CDS_School/1954 https://t.me/CDS_School/1955
    https://t.me/CDS_School/1956 https://t.me/CDS_School/1957 https://t.me/CDS_School/1958 https://t.me/CDS_School/1996 (88) ประเทศโบลีเวีย ประกาศออกกฏหมายในสภาให้ใช้ CDS รักษาผู้ป่วย Covid-19 https://t.me/CDS_School/950 https://t.me/CDS_School/1945 https://t.me/CDS_School/1946 (89) กำจัดมะเร็งง่ายๆ ด้วยการเพิ่มออกซิเจน!! https://t.me/CDS_School/1959
    90) เด็กออทิสติก กับ CDS https://t.me/CDS_School/1961 https://t.me/CDS_School/1962 https://t.me/CDS_School/1963 https://t.me/CDS_School/1964 https://t.me/CDS_School/1992
    (91) ห้องแชทเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ ของต่างประเทศ (ทั้ง MMS & CDS) https://t.me/CDS_School/1965 (92) สิทธิบัตรต่างๆที่เกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ https://t.me/CDS_School/1966 https://t.me/CDS_School/1967 https://t.me/CDS_School/1968 https://t.me/CDS_School/1969 https://t.me/CDS_School/1970 https://t.me/CDS_School/1971 https://t.me/CDS_School/1972 https://t.me/CDS_School/1973 https://t.me/CDS_School/1975 https://t.me/CDS_School/1976 https://t.me/CDS_School/1977 https://t.me/CDS_School/1978 https://t.me/CDS_School/1980
    https://t.me/CDS_School/1981 https://t.me/CDS_School/1982 https://t.me/CDS_School/1983 https://t.me/CDS_School/1984 https://t.me/CDS_School/1985 https://t.me/CDS_School/1986 https://t.me/CDS_School/1987 https://t.me/CDS_School/1990 https://t.me/CDS_School/1991
    (93) เปิดโลก CDS https://t.me/CDS_School/939
    ช่องทางการเข้าถึง CDS เมื่อทำด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ
    เพจ “คนไทยต้องรอด”
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61551524785454
    โอเพ่นแชท "บอกทางรอดพี่น้องชาวไทย"
    https://line.me/.../AJOpx8doUEgGLo8CtyrYeFl8mDr_0e9Hs0w...
    จิตอาสาอีกท่านที่ผู้เชียวชาญแนะนำ https://lin.ee/ic3PIRV
    จิตอาสาที่ผู้เชียวชาญแนะนำ กลุ่มไลน์ "detox ล้างพิษ ถ่ายพยาธิ"
    https://line.me/.../7zjtSeoGIl9FS_o30cxE6P9YJqp2p2iuaq1...
    หรือ line id : sjpthai
    จิตอาสาอีกท่านที่ผู้เชียวชาญแนะนำ line id : jae.pai
    เวป suwannawaree.com
    https://www.suwannawaree.com/product/cds/
    กลุ่ม "สมุนไพร ชนะพิษ" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้
    https://line.me/.../6HYG5coFaoOTNcXYezlTZo1lWq4Z4bO0AIP...
    เพจ : เรามาล้างพิษวัคซีนด้วย CDS กันเถอะ
    https://www.facebook.com/Starseeds22
    ไลน์ https://line.me/ti/p/99Z9doLz5K
    TikTok https://www.tiktok.com/@meelap1999x?_t=8qpQOqra2x6&_r=1
    2ช่องทางนี้ขอสงวนไว้สำหรับผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เท่านั้น
    1.ติดต่อ ไอดีไลน์ : JWOV และ 2.กลุ่ม "cds ตระกูลเกา"
    https://line.me/.../50dWeG5SoOuUg1J53nEMuD7oXnSD3zJ5...
    👉สำหรับผู้ที่อยู่อเมริกา ซื้อหาได้จากเว็บไซต์ https://kvlab.com/
    👉ติดต่อรับชมรายละเอียด/สั่งซื้อสารตั้งต้น
    - https://forms.gle/ph5HBBZNAuThZnQV8
    #ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    ✅รวมลิงค์ข้อมูล Chorine Dioxide Solution (CDS) ✍️สารคดีเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ เมื่อปี 2012 โดยใช้สูตรของ จิม ฮัมเบิล ที่เรียกกันว่า MMS (Miracle Mineral Solution) เป็นงานวิจัยร่วมกับสภากาชาดในการใช้ MMS กำจัดโรคมาลาเรีย ภายใน 24 ชม.!! https://t.me/CDS4UData/9 https://www.brighteon.com/e73aaf21-d7ef-411d-9777... ✍️คลิปสั้น 12 นาที สภากาชาดแอฟริกาใช้คลอรีนไดออกไซด์ในการรักษาคนไข้มาลาเรีย154 คน ภายใน 24 ชม. https://www.brighteon.com/aab729ec-e096-4c6f-b176... ✍️ขณะนี้แพทย์กว่า 5,000 คนใน 25 ประเทศใช้ chlorine dioxide (คลอรีนไดออกไซด์) หรือเรียกสั้นๆ ว่า CDS เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ติดโควิด-19 อัตราการรักษาได้ผล 100% จากการรักษาที่ประเทศโบลิเวีย และเอกวาดอร์ และในอีกหลายๆประเทศ ที่มา: https://www.stopworldcontrol.com/cds/ ✍️CDS แพทย์และผู้พันเพโดร จากเม็กซิโก https://t.me/CDS4UData/3 ✍️CDS ถามตอบ มันคือสารฟอกขาวหรือ https://t.me/CDS4UData/4 ✍️ CDS ไม่ไปฆ่าเซลล์หรือทำร้ายเซลล์ในตัวเรา โดย ดร.เพโดร แพทย์ทหารจากเม็กซิโก https://t.me/CDS4UData/6 ✍️CDS คุณหมอ แมนูแอล อะพาริโช ประธานกลุ่มแพทย์ COMUSAV ทั่วโลก บอกว่ามีงานศึกษาวิจัยการใช้คลอรีนไดออกไซด์ 3 ฉบับซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสาร Index แล้ว https://t.me/CDS4UData/7 ✍️การทดลองกับเม็ดเลือดแดงโดยให้คนดื่มคลอรีนไดออกไซด์ CDS แล้วเจาะเลือดส่องกล้องจุลทรรศน์ ทำให้เห็นว่าเม็ดเลือดแดงมีรูปร่างและมีความกลม ตามที่ควรจะเป็น ไม่ติดกันเป็นสาย https://t.me/CDS4UData/8 ✍️คลอรีนไดออกไซด์ กับ เด็กออทิสติก https://t.me/CDS4UData/20 ✍️การทำงานของ CDS https://t.me/CDS4UData/10 ✍️สารบัญข้อมูล ห้อง “CDS ทำเองได้ ใช้เองเป็น” https://t.me/CDS4UData/470 ✍️วิธีทำ CDS ช่องเทเลแกรม ป้องกันรักษาโรค ทางสายกลาง โดย หม่อมโจ้ รุ่งคุณ กิติยากร https://t.me/MiddlewayResistance/1560 ✍️โรคที่รักษาด้วย CDS ได้ https://t.me/CDS4UData/14 ✍️CDS for Cancer protocol https://canceremocional.org/en/cds-protocols-a-through-z/... ✍️คลิปความอันตรายของสารใดๆก็ตาม ขึ้นอยู่กับปริมาณโดส https://t.me/awakened_thailand/207 ✍️คลิปทำไมคลอรีนไดออกไซด์ถึงกำจัดโควิดได้ https://t.me/awakened_thailand/194 ✍️ที่อเมริกาต้อง ผสม CDS เอง ไม่มีแบบสำเร็จรูปขาย สั่งซื้อเองได้ที่นี่ https://amzn.to/3CSaiwf ✍️วีธีใช้ CDS โปรโตคอลในการล้างโลหะหนัก https://t.me/CDS4UData/179 https://m.facebook.com/story.php... ✍️หนังสือเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ (CDS) อธิบายพื้นฐาน หลักการทำงานต่างๆ รวมไปถึงวิธีการเตรียม และสารที่ต้องใช้ https://t.me/CDS4UData/23 ✍️คลิปโควิดลงปอด รักษาหายได้ด้วย CDS (ภาพตัวอย่าง X ray) https://t.me/awakened_thailand/199 ✍️สารคดีเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ โดยสารนี้เรียกว่า MMS (ชื่อแรกเริ่ม) ซึ่งมีความแตกต่างจาก CDS (Chlorine Dioxide Solution) ในการเตรียม https://rumble.com/vm8dkf-chlorine-dioxide-the-universal... ✍️The Universal Antidote of Chorine Dioxide Documentary FULL https://www.brighteon.com/cbea0547-0152-48d0-8ad8... ✍️คลอรีนไดออกไซด์สามารถทำลายไกลโฟเซต (ยาฆ่าหญ้า) ที่ทำให้เด็กเป็นออทิสติก https://t.me/awakened_thailand/408 ✍️ การดื่ม MMS1 หรือ CDS ไปทำลายจุลินทรีย์ดีในลำไส้หรือไม่ https://t.me/awakened_thailand/409 ✍️ประสบการณ์ผู้ใช้ยา CDS https://t.me/CDS_Thailand รีวิวบางส่วน https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=170017322259924&id=100077549707108 ✍️CDS ตัวอย่าง5เคสน่าทึ่ง https://www.brighteon.com/cbea0547-0152-48d0-8ad8... ✍️เคสใช้ CDS ของต่างประเทศ มีเคสมะเร็ง โรคเบาหวานและสารพัดโรค https://t.me/ChlorineDioxideInfo ✍️ควรใช้สารตั้งต้นเกรดอะไรในกระบวนการผลิต CDS https://t.me/CDS4UData/2154 ✍️Protocol คืออะไร?? โดย เพจ คนไทยต้องรอด https://fb.watch/qU2nCSju8p/? ✍️Protocol E สวนล้างลำไส้ โดย เพจ คนไทยต้องรอด https://t.me/CDS4UData/2060 ✍️รวมคลิปและวิธีทำ CDS https://drive.google.com/.../17WvCSyxFMIcjx... ✍️แจกหนังสือ อุบายขายโรค กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ แถมคู่มือทำ cds เกรดแลปด้วยตัวเอง โดย ผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ Daddy's On Fire https://tinyurl.com/daddyonfire 👉กลุ่มCOMUSAV https://t.me/comusav 👉 https://t.me/ChlorineDioxideTestimonies 👉ห้อง CDS คลอรีนไดออกไซด์โซลูชัน https://t.me/CDS4UData 👉ห้อง Natural Health Knowledge รวบรวมความรู้ด้านสุขภาพต่างๆ ทั้ง CDS, MMS, Colloidal silver, Borax และอื่นๆ เน้นทางเลือกในการรักษาสุขภาพ/รักษาโรค โดยไม่ต้องพึ่งพายาเคมี https://t.me/naturalhealthknowledge 👉ห้องแชทเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ ของต่างประเทศ (ทั้ง MMS & CDS) https://t.me/theuniversalantidote 👉ห้องแชทภาษาสเปน https://t.me/joinchat/gj6PrWvxyJlkZjdk 👉ห้องแชทภาษาอังกฤษ Natural Health Knowledge https://t.me/naturalhealthknowledgechat ✍️เปิดใจศึกษา CDS | บทสัมภาษณ์กับ ดร. แอนเดรียส คัลเกอร์ https://www.rookon.com/?p=1248 ✍️ไลฟ์สดเรื่อง CDS โดย อดิเทพ จาวลาห์ https://www.youtube.com/watch?v=HOW9VLeS-7g CDS ปลอดภัยไหม https://www.youtube.com/watch?v=VabfaTTsK6o https://fb.watch/uPOe7rQYRN/? หมอบอกว่ากิน CDS แล้วตาย... จริงหรือ? https://www.youtube.com/live/wAaEXilj4qg?si=p8CD7sqmnlC6L3u8 https://www.facebook.com/share/v/pkhiVpNEraX7irMi/ ✍️ CDS , คาบาล , เราจะทำอย่างไรต่อ? https://www.youtube.com/live/cJSCI-6A6kA?si=j8TwPX6vnNvY_s6t https://fb.watch/v6cVR3d2hw/? ✍️ไลฟ์สด หัวข้อ CDS และ การล้างพิษ วิธีทำ CDS |อดิเทพ จาวลาห์ https://fb.watch/vxYlcFYh8I/? https://www.youtube.com/live/z7dGSQAmX1k?si=-karhpJzOl5dmklZ ✍️CDS วิธีผลิตโดยใช้ป็๊มลม https://www.facebook.com/share/v/15CLedm4hA/ EP1 https://www.youtube.com/live/5mCbq1fYT2Y?si=TP8aU5NpILbIl2Nu EP2 https://www.youtube.com/live/VMtE0bQ4_lM?si=sxFqf-XxXkav1t9C ✍️ไลฟ์สด หัวข้อ : BRICS | Donald Trump | วิธีการทำ CDS แบบที่ 3 ช่องทางการชม https://linktr.ee/chawlaadithep https://lin.ee/whj86pz https://www.youtube.com/live/NLyB0--X-dY?si=2NqruDF9U9TXknHv 👉สนใจลงเรียนคอร์ส CDS ฟรี เพิ่มเพื่อนไลน์ @dioxiway กรุณาลงทะเบียนฟรีที่ https://forms.gle/2p1tZUMogn41iQMD6 ————— เกี่ยวกับ Dioxi Way Dioxi Way ถูกก่อตั้งขึ้นด้วยจุดประสงค์ 2 อย่าง 1. ให้คนไทยเข้าใจ CDS 2. ให้แพทย์ไทยเข้าถึงผลวิจัยและชมผลรับของผู้ที่ใช้ CDS เพื่อ พลักดัน ให้ CDS ถูกกฏหมาย เรากำลังสร้างเว็บไซต์ Dioxiway.com ให้เป็นแหล่งข้อมูลดังกล่าวครับ ขอบคุณครับ อดิเทพ จาวลาห์ ไฟล์ วิธีทำ CDS (ไฟล์ PDF) ท่านสามารถรับชมได้ทาง 1. ออนไลน์ - https://jmp.sh/s/1klP9ql0fMm3TZMNyOyN หรือ 2. ดาวน์โหลดไฟล์ลงเครื่อง - https://www.transferxl.com/download/04jqQp0R3pyJK2 ✍️ผลิต CDS ง่ายๆทำเองที่บ้านได้ โดยคุณอดิเทพ จาวลาห์ https://www.rookon.com/?p=1276 เข้าใจ CDS (พื้นฐาน) - คลอรีไดอ็อกไซด์คืออะไร? - สารตั้งต้น - ClO2 | CDS | NaClO2 | NaClO | MMS | CD | Cl2 คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร? - คุณสมบัติของ CDS - การคำนวนค่า PPM - CDS หมดอายุได้หรือไม่? - CDS ฆ่าเซลล์เราได้หรือไม่? - แบคทีเรีย ดี / แบคทีเรีย ไม่ดี - ClO2 / RBC รับชมคลิปได้ทาง: Facebook : https://www.facebook.com/share/v/162ihSAu7L/?mibextid=wwXIfr TikTok : https://vt.tiktok.com/ZSM4LFMEQ/ YouTube : https://youtu.be/cwafLyKQ6JA?si=KS58k3YZ1-lSLHRI สารคดี Bluetruth โดย Dr. Pedro Chavez https://dioxitube.com/w/aJNKrv79PLdaXQib7mctqk การดีท็อกซ์ กราฟีน อ็อกไซด์ (ภาษาอังกฤษ) ข้อมูลจาก Comusav โดย Dr. Pedro Chavez ครับ 1. https://www.comusav.com/.../ENGLISH-AI-Protocol-16-Dec... 2. https://www.comusav.com/.../18-NOV-2021_ENGLISH_COVID19... สร้างลิงก์ใหม่ให้แล้ว ท่านไม่ต้องลงทะเบียน 📌 ลงเรียนทันที 👉🏼 https://group.rookon.com/read-blog/1_คอร-ส-cds.html 📌 ต้องการคอมเมนต์สอบถาม? ลงทะเบียนที่นี่ 👉🏼 https://group.rookon.com/register ติดต่อพบแพทย์ออนไลน์ ขอรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของกลุ่ม Dr. Andreas Kalcker - ALK Foundation : www.alkfoundation.com ติดต่อรับชมรายละเอียด/สั่งซื้อสารตั้งต้น - https://forms.gle/ph5HBBZNAuThZnQV8 วิธีการใช้ CDS - โปรโตคอล A – มือใหม่ที่ยังสงสัย - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1016/ - โปรโตคอล B – อาบน้ำ - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1018/ - โปรโตคอล C - คลาสสิก ต่อเนื่อง (ล้างผิษ วซ โควิด) - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1021/ - โปรโตคอล D – ผิวหนัง - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1023/ - โปรโตคอล E – สวนทวาร - https://cds.rookon.com/protocol/โปรโตคอล-a-ถึง-f/1026/ - โปรโตคอล F – ไข้ การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียเฉียบพลัน - https://cds.rookon.com/protocol/1086/ - โปรโตคอล G – หูและผิวหนัง - https://cds.rookon.com/protocol/1030/ - โปรโตคอล H – ป้องกันการติดเชื้อทางอากาศในห้องโถง - https://cds.rookon.com/protocol/1031/ - โปรโตคอล I – แมลงกัดต่อยและสภาพผิวอื่นๆ - https://cds.rookon.com/protocol/1032/ - โปรโตคอล J – บ้วนปาก - https://cds.rookon.com/protocol/1033/ - โปรโตคอล K – - โปรโตคอล L – แช่เท้า - https://cds.rookon.com/protocol/1041/ - โปรโตคอล M – มาลาเรีย - https://cds.rookon.com/protocol/1042/ - โปรโตคอล N – ทารก เด็ก วัยรุ่น - https://cds.rookon.com/protocol/1043/ - โปรโตคอล O – ตา จมูก - https://cds.rookon.com/protocol/1044/ - โปรโตคอล P – - โปรโตคอล Q – - โปรโตคอล R – - โปรโตคอล S – - โปรโตคอล T – - โปรโตคอล U – - โปรโตคอล V – - โปรโตคอล W – การใช้ประโยชน์อื่นๆ - https://cds.rookon.com/protocol/1058/ - โปรโตคอล X – - โปรโตคอล Y – - โปรโตคอล Z – หรืออีกช่องทางศึกษา 👉ถ้าสนใจศึกษา CDS ให้ลง App Telegram แล้วเข้าห้องนี้ https://t.me/CDS_School วิธีการทำ CDS (Chlorine Dioxide Solution) อย่างถูกต้อง ตามกลุ่มหมอ COMUSAV จะมีเนื้อหาอย่างละเอียด ทั้งวิธีทำ แหล่งหาสารและอุปกรณ์ทุกอย่าง รวมถึงการใช้อย่างละเอียด อย่างถูกต้องและปลอดภัย เพื่อให้คนพึ่งพาตนเองได้ ( ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ) เทเลแกรมสำหรับโทรศัพท์ระบบเอ็นดรอยด์ Telegram for Android https://telegram.org/android ลองเข้าไปโหลดIOS ในนี้ดูค่ะ https://telegram.org/apps ศึกษาตามหัวข้อต่างๆ 👇👇 (1) เริ่มอ่านข้อความแรกของห้องนี้ https://t.me/CDS_School/924 (2) เปิดโลก CDS ....ความรู้พื้นฐาน และ กลไกการทำงานของ CDS ในร่างกายมนุษย์ https://t.me/CDS_School/939 https://t.me/CDS_School/940 https://t.me/CDS_School/947 https://t.me/CDS_School/948 https://t.me/CDS_School/950 https://t.me/CDS_School/951 (3) อุปกรณ์สำหรับทำ CDS https://t.me/CDS_School/1290 (4) การเลือกเกรดโซเดียมคลอไรท์ https://t.me/CDS_School/1293 (5) อายุผงโซเดียมคลอไรท์ 80% https://t.me/CDS_School/1297 (6) แหล่งหาสารโซเดียมคลอไรท์ https://t.me/CDS_School/1301 (7) ต้นทุนสำหรับการทำ CDS https://t.me/CDS_School/1308 (😎 ทำไมจึงต้องหลีกเลี่ยงโซเดียมคลอไรท์เกรดอุตสาหกรรม https://t.me/CDS_School/1314 (9) ประเภทกรดที่ใช้ทำ CDS https://t.me/CDS_School/1340 (10) วิธีเลือกโหลสุญญากาศ แก้วช๊อต ขวดสีชา https://t.me/CDS_School/1342 (11) ทำไมต้องใช้น้ำกลั่น https://t.me/CDS_School/1346 (12) น้ำกลั่นเติมแบตเตอรี่รถยนต์ใช้ไม่ได้ https://t.me/CDS_School/1347 (13) แหล่งหาสาร และ อุปกรณ์ทุกอย่าง https://t.me/CDS_School/1351 (14) ไม่ใช้ขวดดรอปเปอร์ที่เป็นยางใส่สารตั้งต้น https://t.me/CDS_School/1351 (15) วิธีเจือจางสารตั้งต้น โซเดียมคลอไรท์ 25% กรดซิตริค 50% https://t.me/CDS_School/1357 (16) ข้อควรระวังในการเจือจางสาร https://t.me/CDS_School/1358 (17) วิธีเจือจางสารตั้งต้น โซเดียมคลอไรท์ 22.4% https://t.me/CDS_School/1360 (18) อายุของสารตั้งต้นที่เจือจางแล้ว และ การเก็บรักษา https://t.me/CDS_School/1365 (19) วิธีทำ CDS ด้วยโซเดียมคลอไรท์ กับ กรดซิตริค https://t.me/CDS_School/1369 (20) สารที่เหลือในแก้วช๊อต https://t.me/CDS_School/1377 (21) วิธีทำ CDS ด้วยโซเดียมคลอไรท์ กับ กรดไฮโดรคลอริค https://t.me/CDS_School/1379 (22) วิธีการคำนวณเพื่อเจือจางกรดไฮโดรคลอริคให้ได้ความเข้มข้นตามที่ต้องการ https://t.me/CDS_School/1391 (23) คลิปสาธิตวิธีทำ CDS โดย Dr. Andreas Kalcker https://t.me/CDS_School/1396 (24) คู่มือการศึกษา CDS จาก The Universal Antidote https://t.me/CDS_School/1402 (25) ขั้นตอนการทำ CDS พร้อมรูปภาพประกอบโดย TUA https://t.me/CDS_School/1404 (26) แหล่งซื้อแผ่นทดสอบความเข้มข้น ppm ของ CDS https://t.me/CDS_School/1411 (27) อายุของ CDS https://t.me/CDS_School/1413 (28) การเก็บรักษา CDS https://t.me/CDS_School/1414 (29) วิธีดูสภาพของ CDS https://t.me/CDS_School/1418 (30) วิธีดื่ม CDS ขั้นพื้นฐาน https://t.me/CDS_School/1422 (31) วิธีเพิ่มโดส https://t.me/CDS_School/1428 (32) อาการขับพิษ https://t.me/CDS_School/1433 (33) โดสสูงสุดสำหรับการผสมเพื่อดื่ม https://t.me/CDS_School/1437 (34) เหตุผลที่ต้องดื่มทุกชั่วโมง https://t.me/CDS_School/1439 (35) Jim Humble ผู้ค้นพบ MMS https://t.me/CDS_School/1445 (36) Dr.Andreas ผู้พัฒนา CDS จาก MMS https://t.me/CDS_School/1452 (37) น้ำทะเล กับ CDS https://t.me/CDS_School/1454 (38) วิธีผสมน้ำเกลือสมุทร หรือ น้ำดอกเกลือใช้แทนน้ำทะเล https://t.me/CDS_School/1459 (39) หนังสือ Forbidden Health แต่งโดย Dr.Andreas Kalcker https://t.me/CDS_School/1462 (40) ดื่ม CDS เมื่อท้องว่าง https://t.me/CDS_School/1463 (41) ดื่ม CDS เว้นช่วงจากอาหารและยา https://t.me/CDS_School/1463 (42) อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องงดระหว่างการดื่ม CDS https://t.me/CDS_School/1465 (43) ตัวอย่างตารางเวลาในการดื่ม CDS https://t.me/CDS_School/1468 (44) สมุนไพร กับ CDS https://t.me/CDS_School/1469 (45) น้ำมันกัญชา กับ CDS https://t.me/CDS_School/1471 (46) สาเหตุที่บางคนร่างกายร้อนวูบวาบเมื่อดื่ม CDS https://t.me/CDS_School/1473 (47) อาการร่างกายขับพิษ หรือ ปฏิกิริยาเฮิร์กไซเมอร์ https://t.me/CDS_School/1476 (48) หากสารในแก้วช๊อตกระฉอกจนปนเปื้อนน้ำในโหล https://t.me/CDS_School/1485 (49) เมื่อโหลหรือขวดบรรจุ CDS ตกแตก https://t.me/CDS_School/1486 (50) วิธีแก้ไข กรณีดื่ม CDS จน overdose โอเวอร์โดส https://t.me/CDS_School/1487 (51) ยาละลายลิ่มเลือด กับ CDS https://t.me/CDS_School/1488 (52) คีโม กับ CDS https://t.me/CDS_School/1489 (53) การผ่าตัด กับ CDS https://t.me/CDS_School/1490 (54) pH ของ CDS https://t.me/CDS_School/1491 (55) blood brain barrier-แนวกั้นเลือดและสมอง กับ CDS https://t.me/CDS_School/1526 (56) การค้นหาแหล่งข้อมูล CDS ทางออนไลน์ https://t.me/CDS_School/1529 (57) ความรู้ CDS โดย TUA https://t.me/CDS_School/1534 (58) MMS กับ CDS https://t.me/CDS_School/1535 (59) ควรเริ่มใช้ CDS เมื่อใด https://t.me/CDS_School/1537 (60) หนังสือที่แนะนำเพื่อศึกษา CDS https://t.me/CDS_School/1546 (61) หนังสือ MMS Health Recovery Guide Book แต่งโดย Jim Humble https://t.me/CDS_School/1477 (62) โรคที่ใช้ CDS รักษาได้ https://t.me/CDS_School/1550 (63) แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ กับ CDS https://t.me/CDS_School/1570 https://t.me/CDS_School/1993 (64) โลหะวัสดุการแพทย์ที่ใส่เข้าไปในร่างกาย กับ CDS https://t.me/CDS_School/1577 (65) ตัวอย่างการจัดเวลาสำหรับดื่ม CDS https://t.me/CDS_School/1668 (66) อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างการดื่ม CDS https://t.me/CDS_School/1673 (67) อาการร่างกายขับพิษ-ปฏิกิริยาเฮิร์กไซเมอร์ และ วิธีรับมือ https://t.me/CDS_School/1677 (68) 3 กฏทองคำ จำให้แม่น https://t.me/CDS_School/1429 (69) ใช้ CDS นานเท่าใด อาการจึงดีขึ้น https://t.me/CDS_School/1681 (70) ความเข้มข้น ppm ของ CDS ที่เราใช้ https://t.me/CDS_School/1683 (71) ความปลอดภัยของ CDS https://t.me/CDS_School/1685 https://t.me/CDS_School/951 (72) รายงานทางการแพทย์ที่ใช้ CDS สำหรับป้องกันและรักษา covid-19 โดยแพทย์กลุ่ม COMUSAV https://t.me/CDS_School/1689 (73) วิธีใช้ CDS ป้องกันและรักษา covid-19 โดยกลุ่มแพทย์ COMUSAV https://t.me/CDS_School/1713 (74) วิธีใช้ CDS รักษาผู้บาดเจ็บจากการรับวัคซีน covid-19 โดยกลุ่มแพทย์ COMUSAV https://t.me/CDS_School/1743 (75) ห้องแชร์ประสบการณ์ผู้ใช้ CDS รักษาอาการต่างๆ https://t.me/CDS_School/1919 (76) ห้องคนไทยตื่นรู้ https://t.me/CDS_School/1926 (77) สารคดี ความเป็นมาของ CDS ฉบับเต็ม ( ภาษาอังกฤษ ) โดยบุคคลากรทางการแพทย์ https://t.me/CDS_School/1928 (78) สารคดี MMS ( ภาษาอังกฤษ ) https://t.me/CDS_School/1932 (79) สารคดี จุดเริ่มต้น จิม ฮัมเลิล กับ คลอรีนไดออกไซด์ MMS https://t.me/CDS_School/1933 (80) สภากาชาดแอฟริกาใช้คลอรีนไดออกไซด์ในการรักษาคนไข้มาลาเรียหายภายใน 24 ชม. (คลิปนี้ถูกบล๊อค และ เซ็นเซอร์โดยสื่อหลัก) https://t.me/CDS_School/1934 https://t.me/CDS_School/1935 (81) จุดเริ่มต้นของ CDS โดย Dr. Andreas Kalcker https://t.me/CDS_School/1936 (82) CDS ทำงานอย่างไร และ ทำไมมันถึงปลอดภัย https://t.me/CDS_School/1937 https://t.me/CDS_School/948 https://t.me/CDS_School/947 https://t.me/CDS_School/940 (83) ชัวร์หรือมั่วนิ่ม เมื่อสื่อหลักบอกเราว่าคลอรีนไดออกไซด์คือสารฟอกขาวที่เป็นอันตราย https://t.me/CDS_School/947 https://t.me/CDS_School/1938 https://t.me/CDS_School/1939 (84) การวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่างของเม็ดเลือดแดงสด ที่ได้รับ CDS แสดงให้เห็นถึงสภาวะที่เม็ดเลือดแดงที่แข็งแรง สามารถขนส่งออกซิเจนได้ดีขึ้น https://t.me/CDS_School/948 https://t.me/CDS_School/1940 https://t.me/CDS_School/1941 (85) คลอรีนไดออกไซด์ ประกอบด้วย คลอรีนอิออน(ประจุลบ) Cl- มันจึงไม่ใช่คลอรีน Cl2 https://t.me/CDS_School/1942 https://t.me/CDS_School/940 (86) ตัวอย่างน่าทึ่ง 5 เคสที่หายด้วย CDS https://t.me/CDS_School/1943 (87) แพทย์แชร์ประสบการณ์จากการใช้ CDS รักษาคนไข้ https://t.me/CDS_School/1944 https://t.me/CDS_School/1947 https://t.me/CDS_School/1948 https://t.me/CDS_School/1949 https://t.me/CDS_School/1950 https://t.me/CDS_School/1951 https://t.me/CDS_School/1952 https://t.me/CDS_School/1953 https://t.me/CDS_School/1954 https://t.me/CDS_School/1955 https://t.me/CDS_School/1956 https://t.me/CDS_School/1957 https://t.me/CDS_School/1958 https://t.me/CDS_School/1996 (88) ประเทศโบลีเวีย ประกาศออกกฏหมายในสภาให้ใช้ CDS รักษาผู้ป่วย Covid-19 https://t.me/CDS_School/950 https://t.me/CDS_School/1945 https://t.me/CDS_School/1946 (89) กำจัดมะเร็งง่ายๆ ด้วยการเพิ่มออกซิเจน!! https://t.me/CDS_School/1959 90) เด็กออทิสติก กับ CDS https://t.me/CDS_School/1961 https://t.me/CDS_School/1962 https://t.me/CDS_School/1963 https://t.me/CDS_School/1964 https://t.me/CDS_School/1992 (91) ห้องแชทเกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ ของต่างประเทศ (ทั้ง MMS & CDS) https://t.me/CDS_School/1965 (92) สิทธิบัตรต่างๆที่เกี่ยวกับคลอรีนไดออกไซด์ https://t.me/CDS_School/1966 https://t.me/CDS_School/1967 https://t.me/CDS_School/1968 https://t.me/CDS_School/1969 https://t.me/CDS_School/1970 https://t.me/CDS_School/1971 https://t.me/CDS_School/1972 https://t.me/CDS_School/1973 https://t.me/CDS_School/1975 https://t.me/CDS_School/1976 https://t.me/CDS_School/1977 https://t.me/CDS_School/1978 https://t.me/CDS_School/1980 https://t.me/CDS_School/1981 https://t.me/CDS_School/1982 https://t.me/CDS_School/1983 https://t.me/CDS_School/1984 https://t.me/CDS_School/1985 https://t.me/CDS_School/1986 https://t.me/CDS_School/1987 https://t.me/CDS_School/1990 https://t.me/CDS_School/1991 (93) เปิดโลก CDS https://t.me/CDS_School/939 ช่องทางการเข้าถึง CDS เมื่อทำด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆ 👉เพจ “คนไทยต้องรอด” https://www.facebook.com/profile.php?id=61551524785454 👉โอเพ่นแชท "บอกทางรอดพี่น้องชาวไทย" https://line.me/.../AJOpx8doUEgGLo8CtyrYeFl8mDr_0e9Hs0w... 👉จิตอาสาอีกท่านที่ผู้เชียวชาญแนะนำ https://lin.ee/ic3PIRV 👉จิตอาสาที่ผู้เชียวชาญแนะนำ กลุ่มไลน์ "detox ล้างพิษ ถ่ายพยาธิ" https://line.me/.../7zjtSeoGIl9FS_o30cxE6P9YJqp2p2iuaq1... หรือ line id : sjpthai 👉จิตอาสาอีกท่านที่ผู้เชียวชาญแนะนำ line id : jae.pai 👉เวป suwannawaree.com https://www.suwannawaree.com/product/cds/ 👉กลุ่ม "สมุนไพร ชนะพิษ" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้ https://line.me/.../6HYG5coFaoOTNcXYezlTZo1lWq4Z4bO0AIP... 👉เพจ : เรามาล้างพิษวัคซีนด้วย CDS กันเถอะ https://www.facebook.com/Starseeds22 ไลน์ https://line.me/ti/p/99Z9doLz5K TikTok https://www.tiktok.com/@meelap1999x?_t=8qpQOqra2x6&_r=1 👉2ช่องทางนี้ขอสงวนไว้สำหรับผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์เท่านั้น 1.ติดต่อ ไอดีไลน์ : JWOV และ 2.กลุ่ม "cds ตระกูลเกา" https://line.me/.../50dWeG5SoOuUg1J53nEMuD7oXnSD3zJ5... 👉สำหรับผู้ที่อยู่อเมริกา ซื้อหาได้จากเว็บไซต์ https://kvlab.com/ 👉ติดต่อรับชมรายละเอียด/สั่งซื้อสารตั้งต้น - https://forms.gle/ph5HBBZNAuThZnQV8 #ทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากกลุ่มคนไทยพิทักษ์สิทธิ์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 959 มุมมอง 0 รีวิว
  • โอเมก้า-3 เดินทางจากจานอาหาร…สู่สมอง ลำไส้ และยีนของคุณ

    โอเมก้า-3 อาจเริ่มต้นจากจานปลาย่างในมือคุณ หรือเมล็ดแฟลกซ์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในข้าวต้มตอนเช้า

    แต่มันไม่ได้หยุดแค่ที่ลำไส้

    เมื่อคุณเคี้ยวกลืน และดูดซึม…โอเมก้า-3 จะออกเดินทางอย่างเงียบงาม

    ไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ของหัวใจ

    ไปจนถึงตับที่ผลิตไขมัน
    และแม้แต่สมองที่คุณใช้คิด พูด ร้องไห้ และให้อภัย

    โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่ “สารอาหารเฉพาะทาง”…

    แต่มันคือผู้ประสานความสัมพันธ์ของอวัยวะทั้งร่างกายให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง

    กลไกเชิงลึก: เส้นทางของโอเมก้า-3 ในร่างกาย

    1. จากปลา…สู่สมอง

    โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA เป็นกรดไขมันหลักใน เยื่อหุ้มเซลล์สมองและตา

    ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท → การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ดีขึ้น

    ลดการอักเสบในสมองผ่านการยับยั้ง MAPK และ NF-κB

    มีผลต่อ PPARγ และกระตุ้นการตายของเซลล์ผิดปกติ (apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง

    โอเมก้า-3 จึงทั้ง “ปกป้อง” สมอง และ “คัดแยก” เซลล์ที่ไม่ควรอยู่

    2. 🍽 จากจานอาหาร…สู่ระบบย่อยและลำไส้

    เมื่อเรารับประทานโอเมก้า-3 → ร่างกายดูดซึมผ่าน ลำไส้เล็ก

    จากนั้นเข้าสู่กระแสเลือดผ่านระบบหลอดเลือด (vasculature) → ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ

    โอเมก้า-3 ที่ไปถึงลำไส้ใหญ่ → เปลี่ยนแปลงสมดุลของจุลินทรีย์

    เพิ่มแบคทีเรียที่ผลิต butyrate และ SCFAs

    ลดเชื้อร้าย เช่น E. coli, S. aureus, Pseudomonas

    โอเมก้า-3 เหมือนผู้ดูแลชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้...ให้สงบ ไม่ก่อไฟอักเสบเรื้อรัง

    3. จากลำไส้…สู่หลอดเลือด

    โอเมก้า-3 ลดการแข็งตัวของเลือด, ลดความหนืด

    เสริมความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด → ความดันโลหิตลดลง

    ลดสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น LTB₄ และ TXA₂

    4. จากเซลล์ลำไส้…สู่ตับและยีน

    ตับคือจุดศูนย์กลางของการเผาผลาญไขมัน

    โอเมก้า-3 ปรับสมดุล omega-3:omega-6 ratio → ลดไขมันสะสมในตับ (NAFLD)

    กระตุ้น PPARα และ PPARγ → ควบคุมการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนจากอาหารไขมันสูง

    นี่ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก…แต่คือการเปลี่ยน “สภาวะยีน” ของตับให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง

    🍽 เมนูอบอุ่นที่ส่งโอเมก้า-3 ไปถึงหัวใจของคุณ

    ปลาทะเล (ย่างพริกไทยดำ, ต้มส้ม, ปลาทูต้มเค็มใส่กระเทียม)

    แฟลกซ์ซีดบดผสมน้ำมะนาว/น้ำผึ้ง

    ไข่ไก่โอเมก้า-3

    ข้าวยำใส่ปลาทู + เมล็ดเจียเล็กน้อย

    คำแนะนำการใช้

    หากรับประทานโอเมก้า-3จากปลา

    แนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้ DHA และ EPA อย่างพอเพียง
    (ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งดี)

    หากรับประทานในรูปแบบน้ำมันปลา (เสริม)

    เริ่มจาก 1000–2000 มก./วัน (รวม EPA + DHA)
    และควรเลือกแบบ Triglyceride form หรือจากปลาเล็ก เพื่อความปลอดภัยและดูดซึมได้ดี

    โอเมก้า-3 จากพืช (ALA) เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย

    สามารถใช้เสริมได้ แต่ควรกินเป็นประจำ และอาจไม่เพียงพอหากต้องการผลลึกด้านสมองหรือภูมิคุ้มกัน

    ข้อควรระวัง

    ผู้ที่ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

    เพราะโอเมก้า-3 มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลลื่นขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก

    ผู้ที่มี โรคตับรุนแรง, โรคแพ้อาหารทะเล, หรือใช้ยาเบาหวานบางชนิด ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนเริ่มเสริมโอเมก้า-3

    หากมีภาวะ ภูมิคุ้มกันต่ำ, ลำไส้แปรปรวนรุนแรง, หรือเคยมีปัญหาแพ้น้ำมันปลา

    ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และเลือกแหล่งที่บริสุทธิ์ ผ่านการตรวจโลหะหนัก

    คำถามชวนคิด

    Q: ถ้าไม่กินปลาเลย ควรทำอย่างไร?

    A: ใช้แฟลกซ์ซีดบด + เมล็ดเจีย + น้ำมันงาขี้ม่อน (ALA) ร่วมกับ DHA จากสาหร่าย

    Q: หากเป็นเบาหวานหรือ NAFLD แล้ว จะช่วยจริงไหม?

    A: งานวิจัยนี้ระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของตับและลำไส้ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้

    สมุนไพรที่เสริมกลไกนี้

    ขมิ้นชัน → ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และตับผ่าน NF-κB

    กระเทียม → เสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้

    ใบหม่อน → ปรับสมดุลจุลินทรีย์ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    พริกไทยดำ → เสริมการดูดซึมโอเมก้า-3 และสารอื่นๆ

    ปลอบโยนหัวใจ

    ร่างกายของคุณมีทางเชื่อมลับ ๆ มากมาย
    ที่สมองพูดคุยกับลำไส้

    ที่ตับส่งสัญญาณถึงหลอดเลือด
    และที่จุลินทรีย์นับล้านกำลังตัดสินว่าคุณจะอักเสบหรือหายดีในวันนี้หรือไม่

    โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่แค่ไขมันชนิดหนึ่ง

    แต่มันคือ “สะพานเชื่อมระหว่างอวัยวะ…ด้วยความสงบ”

    ขอให้คุณใช้มื้ออาหารเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู

    และให้โอเมก้า-3 พาคุณกลับไปหาความสงบในแบบที่คุณเคยลืมไปนานแล้ว

    คำเตือน

    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเชิงกลไกทางชีวภาพเท่านั้น
    ไม่ได้มีเจตนาให้ใช้แทนการรักษา หรือคำแนะนำทางการแพทย์

    ผู้ที่มีโรคตับ โรคเบาหวาน หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
    ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โอเมก้า-3 หรือสมุนไพรเสริมใดๆ

    อ้างอิง

    Fu Y, Wang Y, Zhang Y, et al. (2021). Associations among Dietary Omega‐3 Polyunsaturated Fatty Acids, the Gut Microbiota, and Intestinal Immunity. Mediators of Inflammation, 2021, Article ID 8879227. https://doi.org/10.1155/2021/8879227
    🌿 โอเมก้า-3 เดินทางจากจานอาหาร…สู่สมอง ลำไส้ และยีนของคุณ โอเมก้า-3 อาจเริ่มต้นจากจานปลาย่างในมือคุณ หรือเมล็ดแฟลกซ์เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในข้าวต้มตอนเช้า แต่มันไม่ได้หยุดแค่ที่ลำไส้ เมื่อคุณเคี้ยวกลืน และดูดซึม…โอเมก้า-3 จะออกเดินทางอย่างเงียบงาม ไปจนถึงเยื่อหุ้มเซลล์ของหัวใจ ไปจนถึงตับที่ผลิตไขมัน และแม้แต่สมองที่คุณใช้คิด พูด ร้องไห้ และให้อภัย โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่ “สารอาหารเฉพาะทาง”… แต่มันคือผู้ประสานความสัมพันธ์ของอวัยวะทั้งร่างกายให้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้ง 🔬 กลไกเชิงลึก: เส้นทางของโอเมก้า-3 ในร่างกาย 1. 🧠 จากปลา…สู่สมอง โอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA เป็นกรดไขมันหลักใน เยื่อหุ้มเซลล์สมองและตา ช่วยเสริมความยืดหยุ่นของเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท → การส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ดีขึ้น ลดการอักเสบในสมองผ่านการยับยั้ง MAPK และ NF-κB มีผลต่อ PPARγ และกระตุ้นการตายของเซลล์ผิดปกติ (apoptosis) ในเซลล์มะเร็ง 🧠 โอเมก้า-3 จึงทั้ง “ปกป้อง” สมอง และ “คัดแยก” เซลล์ที่ไม่ควรอยู่ 2. 🍽 จากจานอาหาร…สู่ระบบย่อยและลำไส้ เมื่อเรารับประทานโอเมก้า-3 → ร่างกายดูดซึมผ่าน ลำไส้เล็ก จากนั้นเข้าสู่กระแสเลือดผ่านระบบหลอดเลือด (vasculature) → ส่งไปยังอวัยวะต่างๆ โอเมก้า-3 ที่ไปถึงลำไส้ใหญ่ → เปลี่ยนแปลงสมดุลของจุลินทรีย์ เพิ่มแบคทีเรียที่ผลิต butyrate และ SCFAs ลดเชื้อร้าย เช่น E. coli, S. aureus, Pseudomonas 🧠 โอเมก้า-3 เหมือนผู้ดูแลชุมชนจุลินทรีย์ในลำไส้...ให้สงบ ไม่ก่อไฟอักเสบเรื้อรัง 3. 🫀 จากลำไส้…สู่หลอดเลือด โอเมก้า-3 ลดการแข็งตัวของเลือด, ลดความหนืด เสริมความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด → ความดันโลหิตลดลง ลดสารกระตุ้นการอักเสบ เช่น LTB₄ และ TXA₂ 4. 🧬 จากเซลล์ลำไส้…สู่ตับและยีน ตับคือจุดศูนย์กลางของการเผาผลาญไขมัน โอเมก้า-3 ปรับสมดุล omega-3:omega-6 ratio → ลดไขมันสะสมในตับ (NAFLD) กระตุ้น PPARα และ PPARγ → ควบคุมการเผาผลาญและลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วนจากอาหารไขมันสูง 🧠 นี่ไม่ใช่แค่การลดน้ำหนัก…แต่คือการเปลี่ยน “สภาวะยีน” ของตับให้กลับมาสมดุลอีกครั้ง 🍽 เมนูอบอุ่นที่ส่งโอเมก้า-3 ไปถึงหัวใจของคุณ ปลาทะเล (ย่างพริกไทยดำ, ต้มส้ม, ปลาทูต้มเค็มใส่กระเทียม) แฟลกซ์ซีดบดผสมน้ำมะนาว/น้ำผึ้ง ไข่ไก่โอเมก้า-3 ข้าวยำใส่ปลาทู + เมล็ดเจียเล็กน้อย 🧭 คำแนะนำการใช้ หากรับประทานโอเมก้า-3จากปลา แนะนำอย่างน้อย 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้ได้ DHA และ EPA อย่างพอเพียง (ปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน ปลาทู ปลาซาร์ดีน เป็นแหล่งดี) หากรับประทานในรูปแบบน้ำมันปลา (เสริม) เริ่มจาก 1000–2000 มก./วัน (รวม EPA + DHA) และควรเลือกแบบ Triglyceride form หรือจากปลาเล็ก เพื่อความปลอดภัยและดูดซึมได้ดี โอเมก้า-3 จากพืช (ALA) เช่น เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย สามารถใช้เสริมได้ แต่ควรกินเป็นประจำ และอาจไม่เพียงพอหากต้องการผลลึกด้านสมองหรือภูมิคุ้มกัน ❗ ข้อควรระวัง ผู้ที่ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin, aspirin ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะโอเมก้า-3 มีฤทธิ์ทำให้เลือดไหลลื่นขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก ผู้ที่มี โรคตับรุนแรง, โรคแพ้อาหารทะเล, หรือใช้ยาเบาหวานบางชนิด ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ก่อนเริ่มเสริมโอเมก้า-3 หากมีภาวะ ภูมิคุ้มกันต่ำ, ลำไส้แปรปรวนรุนแรง, หรือเคยมีปัญหาแพ้น้ำมันปลา ควรเริ่มจากปริมาณน้อย และเลือกแหล่งที่บริสุทธิ์ ผ่านการตรวจโลหะหนัก ❓ คำถามชวนคิด Q: ถ้าไม่กินปลาเลย ควรทำอย่างไร? A: ใช้แฟลกซ์ซีดบด + เมล็ดเจีย + น้ำมันงาขี้ม่อน (ALA) ร่วมกับ DHA จากสาหร่าย Q: หากเป็นเบาหวานหรือ NAFLD แล้ว จะช่วยจริงไหม? A: งานวิจัยนี้ระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดการอักเสบของตับและลำไส้ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลินได้ 🌿 สมุนไพรที่เสริมกลไกนี้ ขมิ้นชัน → ช่วยลดการอักเสบในลำไส้และตับผ่าน NF-κB กระเทียม → เสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้ ใบหม่อน → ปรับสมดุลจุลินทรีย์ และลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน พริกไทยดำ → เสริมการดูดซึมโอเมก้า-3 และสารอื่นๆ 🤍 ปลอบโยนหัวใจ ร่างกายของคุณมีทางเชื่อมลับ ๆ มากมาย ที่สมองพูดคุยกับลำไส้ ที่ตับส่งสัญญาณถึงหลอดเลือด และที่จุลินทรีย์นับล้านกำลังตัดสินว่าคุณจะอักเสบหรือหายดีในวันนี้หรือไม่ โอเมก้า-3 จึงไม่ใช่แค่ไขมันชนิดหนึ่ง แต่มันคือ “สะพานเชื่อมระหว่างอวัยวะ…ด้วยความสงบ” ขอให้คุณใช้มื้ออาหารเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู และให้โอเมก้า-3 พาคุณกลับไปหาความสงบในแบบที่คุณเคยลืมไปนานแล้ว 🌿 ⚠️ คำเตือน บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อการศึกษาเชิงกลไกทางชีวภาพเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาให้ใช้แทนการรักษา หรือคำแนะนำทางการแพทย์ ผู้ที่มีโรคตับ โรคเบาหวาน หรือใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โอเมก้า-3 หรือสมุนไพรเสริมใดๆ 📚 อ้างอิง Fu Y, Wang Y, Zhang Y, et al. (2021). Associations among Dietary Omega‐3 Polyunsaturated Fatty Acids, the Gut Microbiota, and Intestinal Immunity. Mediators of Inflammation, 2021, Article ID 8879227. https://doi.org/10.1155/2021/8879227
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 693 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 774 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย
    1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน
    2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน

    ข้อแรกผิดยังไง?
    ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ

    ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น
    1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย
    2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ
    การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน
    เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ
    และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง

    ข้อสองผิดยังไง?
    ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ
    แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ
    1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์)
    2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ
    3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย
    4. และการอักเสบ
    ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่
    การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training
    อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food
    การจัดการความเครียด
    และการนอนให้มีคุณภาพดี

    ดังนั้น
    ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน
    และ
    Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ
    คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    ✴️ความเชื่อที่ผิดในสังคมไทย 1. ทุกคนเมื่อยามแก่ จะต้องทรุดโทรม ต้องป่วยเหมือนๆกัน 2. สุขภาพจะดีได้ ต้องอาศัยการทาน “ยาวิเศษ” ตั้งแต่สมุนไพร “overclaimed” ไปจนสารอ่อนไวที่ไปประโคมฉีดเข้าเส้น โดยไม่ศึกษากันก่อน ข้อแรกผิดยังไง? ผมอายุ 52 ปี แต่มี Biological ageing ต่ำกว่าคนอายุ 30 ปลายๆ ที่ไม่ออกกำลังกาย ทาน fast food เยอะ ทานเหล้าเบียร์สม่ำเสมอ รวมถึงนอน ตี 1 ตี 3 ประจำ ความเสื่อมถอยของสุขภาพนั้น 1. อายุเป็นเพียงปัจจัย 1 ปัจจัย 2. อีก 4 ปัจจัยสำคัญคือ การออกกำลังกาย (cardio และ weight training), การทาน (และไม่ทาน) อะไร, การจัดการความเครียด และการนอน เราจึงเริ่มเห็นคนอายุ 55 ปี ที่แข็งแรงกว่าคนอายุ 35 ปีที่ตามใจปาก ไม่ออกกำลังกาย นอนดึกเสมอ และคนอายุ 55 ปีนี้ตอนอายุ 70 จะยังวิ่งออกกำลังกายได้ แต่คนอายุ 35 คนนี้ตอนอายุเพียง 50 อาจเป็นเบาหวาน ความดัน เหนื่อยง่าย ป่วยเก่ง ข้อสองผิดยังไง? ของวิเศษในโลกใบนี้ จะอาหารเสริมให้ปึ๋งปั๋ง อาหารเสริมลดความดัน รวมถึงวิตามินเทพ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลได้เพียงสั้นๆ เพราะไปลดปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลักๆของเราอยู่ที่เพียง 4 ข้อ 1. การ degrade ตามอายุ และสิ่งแวดล้อม (เช่น PM2.5, ควันดำดีเซล, เครื่องสำอางค์) 2. Mitochondria เสื่อมตามอายุ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่นสูบบุหรี่ กินเหล้า ทานหวานจัด นอนดึกหลังเที่ยงคืนซ้ำๆ 3. ภาวะการพร่องจุลินทรีย์ดีหลายสายพันธุ์ในร่างกาย 4. และการอักเสบ ดังนั้น “ยาวิเศษ” เป็นได้แค่ “ของเสริม” ให้กับ ”ของหลัก“ ที่ได้แก่ การออกกำลังกายทั้ง cardio & weight training อาหารดี มีประโยชน์ จากธรรมชาติ ไร้ fast food/ultra processed food การจัดการความเครียด และการนอนให้มีคุณภาพดี ดังนั้น ความเร็วของการแก่ ป่วย เสื่อม ของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน และ Supplement คือ Supplement ให้ทานเมื่อขาด แต่ไม่ใช่ใช้เป็น “หลัก” ในการการดูแลสุขภาพ คนอเมริกันเป็น 1 ในชาติที่ทาน supplement สูงที่สุดในโลก แต่อายุเฉลี่ยนอกจากไม่เพิ่ม กลับมีสั้นลงด้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 776 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..มันจดสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของด้วยนะ,หลักฐานการก่อภัยพิบัติโลกเต็มๆมือเลย.
    ..ไทยก็ขี้ข้ามันด้วย ผ่านกฎหมายสภาพอากาศรอรับคำสั่งด้วย,ทาสขี้ข้าสมุนรับใช้เหมือนหมาที่ซื่อสัตย์พร้อมจะฆ่าคนไทยทั้งประเทศอย่างอำมหิตแบบฉีดวัคซีนแก่คนไทยกว่า60ล้านคนสำเร็จล่ะ.
    ..ตื่นๆเถอะคนไทยเรา,คนกทม.ด้วย ตึกถล่มของสตง.ไม่ใช่แค่โกงกินตังหรอก มันวางหมากเตรียมบทเล่นกันรอนานแล้ว.

    ..สิทธิบัตรการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ
    (เทคโนโลยีการสมคบคิด ยกเว้นกรณีนี้)

    ปี - หมายเลขสิทธิบัตร - ชื่อสิทธิบัตร
    1891 – US462795A – วิธีการผลิตฝนตก
    1914 – US1103490A – เครื่องผลิตฝน (ภาพบอลลูน)
    1917 – US1225521A – การป้องกันก๊าซพิษในการทำสงคราม
    1920 – US1338343A – กระบวนการและเครื่องมือสำหรับการผลิตเมฆเทียม หมอก หรือละอองที่มีความเข้มข้นสูง
    1924 – US1512783A – องค์ประกอบสำหรับขจัดหมอก
    1927 – US1619183A – กระบวนการผลิตเมฆควันจากเครื่องบินที่กำลังเคลื่อนที่
    1928 – US1665267A – กระบวนการผลิตหมอกเทียม
    1932 – US1892132A – อุปกรณ์พ่นละอองสำหรับไอเสียเครื่องยนต์เครื่องบิน
    1933 – US1928963A – ระบบและวิธีการไฟฟ้า (สำหรับการพ่นสารเคมีในชั้นบรรยากาศ)
    1934 – US1957075A – อุปกรณ์พ่นสารเคมีบนเครื่องบิน
    1936 – US2045865A – เครื่องมือเขียนข้อความบนท้องฟ้า
    1936 – US2052626A – วิธีการพ่นหมอก (MIT)
    1937 – US2068987A – กระบวนการพ่นหมอก
    1939 – US2160900A – วิธีการขจัดไอระเหย
    1941 – US2232728A – วิธีการและองค์ประกอบในการพ่นหมอก
    1941 – US2257360A – วัตถุระเบิดเพนตาเอริทริทอลเตตราไนเตรตที่ลดความไวแล้ว
    1946 – US2395827A – หน่วยพ่นสารเคมีบนเครื่องบิน (กรมการบินสหรัฐฯ) ของเกษตรกรรม)
    1946 – US2409201A – ส่วนผสมที่ทำให้เกิดควัน
    1949 – US2476171A – เครื่องกำเนิดม่านควัน
    1949 – US2480967A – เครื่องระบายควันทางอากาศ
    1950 – US2527230A – วิธีการสร้างผลึกและการตกตะกอน
    1951 – US2550324A – กระบวนการควบคุมสภาพอากาศ
    1951 – US2570867A – วิธีการสร้างผลึกและการตกตะกอน (เจเนอรัล อิเล็กทริก)
    1952 – US2582678A – เครื่องกระจายวัสดุสำหรับเครื่องบิน
    1952 – US2591988A – การผลิตเม็ดสี tio2 (ดูปองต์)
    1952 – US2614083A – ส่วนผสมควันที่คัดกรองโลหะคลอไรด์
    1953 – US2633455A – เครื่องกำเนิดควัน
    1954 – US2688069A – เครื่องกำเนิดไอน้ำ
    1955 – US2721495A – วิธีการและเครื่องมือสำหรับตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กที่ก่อตัวเป็นผลึกที่แขวนลอยอยู่ในบรรยากาศก๊าซ (เจเนอรัล อิเล็กทริก)
    1956 – US2730402A – อุปกรณ์กระจายที่ควบคุมได้
    1957 – US2801322A – ห้องสลายตัวสำหรับเชื้อเพลิงโมโนโพรเพลแลนต์
    1958 – US2835530A – กระบวนการสำหรับการควบแน่นของความชื้นในบรรยากาศและการละลายของหมอก
    1959 – US2881335A – การสร้างสนามไฟฟ้า (HAARP – เพื่อชาร์จก้อนเมฆใหม่!)
    1959 – US2903188A – การควบคุมการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน
    1959 – US2908442A – วิธีการกระจายหมอกและเมฆในบรรยากาศตามธรรมชาติ
    1960 – US2962450A – องค์ประกอบการไล่หมอก (ดูเอกสารอ้างอิง)
    1960 – US2963975A – กระสุนคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับหว่านเมฆ
    1961 – US2986360A – อุปกรณ์พ่นยาฆ่าแมลงทางอากาศ
    1962 – US3044911A – ระบบขับเคลื่อน
    1962 – US3056556A – วิธีการสร้างอิทธิพลเทียมต่อสภาพอากาศ
    1964 – US3120459A – ผงไฟผสมที่มีเกลือออกซิไดซ์เคลือบโลหะ
    1964 – US3126155A – เครื่องกำเนิดหว่านเมฆซิลเวอร์ไอโอไดด์ (ส่วนผสมทางการค้าหลัก)
    1964 – US3127107A – การสร้างผลึกน้ำแข็ง
    1964 – US3131131A – การผสมไฟฟ้าสถิตในการแปลงจุลินทรีย์
    1965 – US3174150A – ระบบเสาอากาศโฟกัสอัตโนมัติ (HAARP)
    1966 – US3257801A – องค์ประกอบดอกไม้ไฟประกอบด้วยของแข็ง สารออกซิไดเซอร์ โบรอนและอลูมิเนียม สารเติมแต่งและสารยึดเกาะ
    1966 – US3234357A – อุปกรณ์ผลิตควันด้วยความร้อนไฟฟ้า
    1966 – US3274035A – องค์ประกอบโลหะสำหรับผลิตควันไฮโดรสโคปิก
    1967 – US3300721A – อุปกรณ์สื่อสารผ่านชั้นของก๊าซไอออนไนซ์ (HAARP)
    1967 – US3313487A – เครื่องหว่านเมฆ
    1967 – US3338476A – อุปกรณ์ทำความร้อนสำหรับใช้กับภาชนะบรรจุละอองลอย
    1968 – US3410489A – ระบบสเปรย์ปีกนกที่ปรับอัตโนมัติพร้อมปั๊ม
    1969 – US3429507A – เครื่องผลิตฝน
    1969 – US3430533A – ฝักจ่ายอากาศบนเครื่องบินที่มีท่อจ่ายแบบปิดผนึกด้วยตนเอง
    1969 – US3432208A – เครื่องจ่ายอนุภาคของเหลว (US Air แรง)
    1969 – US3437502A – เม็ดสีไททาเนียมไดออกไซด์เคลือบด้วยซิลิกาและอลูมิเนียม (ดูปองต์)
    1969 – US3441214A – วิธีการและเครื่องมือสำหรับการหว่านเมฆ
    2001 -US20030085296A1 - อุปกรณ์ควบคุมพายุเฮอริเคนและพายุทอร์นาโด

    สิทธิบัตรการควบคุมหรือปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ
    ..มันจดสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของด้วยนะ,หลักฐานการก่อภัยพิบัติโลกเต็มๆมือเลย. ..ไทยก็ขี้ข้ามันด้วย ผ่านกฎหมายสภาพอากาศรอรับคำสั่งด้วย,ทาสขี้ข้าสมุนรับใช้เหมือนหมาที่ซื่อสัตย์พร้อมจะฆ่าคนไทยทั้งประเทศอย่างอำมหิตแบบฉีดวัคซีนแก่คนไทยกว่า60ล้านคนสำเร็จล่ะ. ..ตื่นๆเถอะคนไทยเรา,คนกทม.ด้วย ตึกถล่มของสตง.ไม่ใช่แค่โกงกินตังหรอก มันวางหมากเตรียมบทเล่นกันรอนานแล้ว. ..สิทธิบัตรการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ (เทคโนโลยีการสมคบคิด ยกเว้นกรณีนี้) ปี - หมายเลขสิทธิบัตร - ชื่อสิทธิบัตร 1891 – US462795A – วิธีการผลิตฝนตก 1914 – US1103490A – เครื่องผลิตฝน (ภาพบอลลูน) 1917 – US1225521A – การป้องกันก๊าซพิษในการทำสงคราม 1920 – US1338343A – กระบวนการและเครื่องมือสำหรับการผลิตเมฆเทียม หมอก หรือละอองที่มีความเข้มข้นสูง 1924 – US1512783A – องค์ประกอบสำหรับขจัดหมอก 1927 – US1619183A – กระบวนการผลิตเมฆควันจากเครื่องบินที่กำลังเคลื่อนที่ 1928 – US1665267A – กระบวนการผลิตหมอกเทียม 1932 – US1892132A – อุปกรณ์พ่นละอองสำหรับไอเสียเครื่องยนต์เครื่องบิน 1933 – US1928963A – ระบบและวิธีการไฟฟ้า (สำหรับการพ่นสารเคมีในชั้นบรรยากาศ) 1934 – US1957075A – อุปกรณ์พ่นสารเคมีบนเครื่องบิน 1936 – US2045865A – เครื่องมือเขียนข้อความบนท้องฟ้า 1936 – US2052626A – วิธีการพ่นหมอก (MIT) 1937 – US2068987A – กระบวนการพ่นหมอก 1939 – US2160900A – วิธีการขจัดไอระเหย 1941 – US2232728A – วิธีการและองค์ประกอบในการพ่นหมอก 1941 – US2257360A – วัตถุระเบิดเพนตาเอริทริทอลเตตราไนเตรตที่ลดความไวแล้ว 1946 – US2395827A – หน่วยพ่นสารเคมีบนเครื่องบิน (กรมการบินสหรัฐฯ) ของเกษตรกรรม) 1946 – US2409201A – ส่วนผสมที่ทำให้เกิดควัน 1949 – US2476171A – เครื่องกำเนิดม่านควัน 1949 – US2480967A – เครื่องระบายควันทางอากาศ 1950 – US2527230A – วิธีการสร้างผลึกและการตกตะกอน 1951 – US2550324A – กระบวนการควบคุมสภาพอากาศ 1951 – US2570867A – วิธีการสร้างผลึกและการตกตะกอน (เจเนอรัล อิเล็กทริก) 1952 – US2582678A – เครื่องกระจายวัสดุสำหรับเครื่องบิน 1952 – US2591988A – การผลิตเม็ดสี tio2 (ดูปองต์) 1952 – US2614083A – ส่วนผสมควันที่คัดกรองโลหะคลอไรด์ 1953 – US2633455A – เครื่องกำเนิดควัน 1954 – US2688069A – เครื่องกำเนิดไอน้ำ 1955 – US2721495A – วิธีการและเครื่องมือสำหรับตรวจจับอนุภาคขนาดเล็กที่ก่อตัวเป็นผลึกที่แขวนลอยอยู่ในบรรยากาศก๊าซ (เจเนอรัล อิเล็กทริก) 1956 – US2730402A – อุปกรณ์กระจายที่ควบคุมได้ 1957 – US2801322A – ห้องสลายตัวสำหรับเชื้อเพลิงโมโนโพรเพลแลนต์ 1958 – US2835530A – กระบวนการสำหรับการควบแน่นของความชื้นในบรรยากาศและการละลายของหมอก 1959 – US2881335A – การสร้างสนามไฟฟ้า (HAARP – เพื่อชาร์จก้อนเมฆใหม่!) 1959 – US2903188A – การควบคุมการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน 1959 – US2908442A – วิธีการกระจายหมอกและเมฆในบรรยากาศตามธรรมชาติ 1960 – US2962450A – องค์ประกอบการไล่หมอก (ดูเอกสารอ้างอิง) 1960 – US2963975A – กระสุนคาร์บอนไดออกไซด์สำหรับหว่านเมฆ 1961 – US2986360A – อุปกรณ์พ่นยาฆ่าแมลงทางอากาศ 1962 – US3044911A – ระบบขับเคลื่อน 1962 – US3056556A – วิธีการสร้างอิทธิพลเทียมต่อสภาพอากาศ 1964 – US3120459A – ผงไฟผสมที่มีเกลือออกซิไดซ์เคลือบโลหะ 1964 – US3126155A – เครื่องกำเนิดหว่านเมฆซิลเวอร์ไอโอไดด์ (ส่วนผสมทางการค้าหลัก) 1964 – US3127107A – การสร้างผลึกน้ำแข็ง 1964 – US3131131A – การผสมไฟฟ้าสถิตในการแปลงจุลินทรีย์ 1965 – US3174150A – ระบบเสาอากาศโฟกัสอัตโนมัติ (HAARP) 1966 – US3257801A – องค์ประกอบดอกไม้ไฟประกอบด้วยของแข็ง สารออกซิไดเซอร์ โบรอนและอลูมิเนียม สารเติมแต่งและสารยึดเกาะ 1966 – US3234357A – อุปกรณ์ผลิตควันด้วยความร้อนไฟฟ้า 1966 – US3274035A – องค์ประกอบโลหะสำหรับผลิตควันไฮโดรสโคปิก 1967 – US3300721A – อุปกรณ์สื่อสารผ่านชั้นของก๊าซไอออนไนซ์ (HAARP) 1967 – US3313487A – เครื่องหว่านเมฆ 1967 – US3338476A – อุปกรณ์ทำความร้อนสำหรับใช้กับภาชนะบรรจุละอองลอย 1968 – US3410489A – ระบบสเปรย์ปีกนกที่ปรับอัตโนมัติพร้อมปั๊ม 1969 – US3429507A – เครื่องผลิตฝน 1969 – US3430533A – ฝักจ่ายอากาศบนเครื่องบินที่มีท่อจ่ายแบบปิดผนึกด้วยตนเอง 1969 – US3432208A – เครื่องจ่ายอนุภาคของเหลว (US Air แรง) 1969 – US3437502A – เม็ดสีไททาเนียมไดออกไซด์เคลือบด้วยซิลิกาและอลูมิเนียม (ดูปองต์) 1969 – US3441214A – วิธีการและเครื่องมือสำหรับการหว่านเมฆ 2001 -US20030085296A1 - อุปกรณ์ควบคุมพายุเฮอริเคนและพายุทอร์นาโด สิทธิบัตรการควบคุมหรือปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 701 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่จากแบคทีเรียในสวนหลังบ้านชื่อ Lariocidin ที่มีโครงสร้างเหมือนปมเชือก ทำให้มีความทนทานและฆ่าแบคทีเรียดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่การค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดิน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพระดับโลก

    โครงสร้างที่ทนทานของ Lasso Peptide
    - Lasso Peptide มีโครงสร้างเหมือน ปมเชือก ทำให้มีความทนทานต่อการสลายและยังคงประสิทธิภาพได้นาน
    - Lariocidin จึงสามารถทำงานได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะแบบทั่วไป

    กลไกการกำจัดแบคทีเรียที่ไม่เหมือนใคร
    - ariocidin โจมตีส่วนที่เรียกว่า Ribosome ซึ่งเป็นศูนย์กลางการสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย
    - ด้วยวิธีการหยุดการทำงานของ Ribosome และสร้างความผิดพลาดในการผลิตโปรตีน Lariocidin สามารถฆ่าแบคทีเรียที่ดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ดิน—แหล่งทรัพยากรที่ไม่ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอ
    - การค้นพบนี้เน้นให้เห็นว่า ดินเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการพัฒนายาใหม่ เพราะจุลินทรีย์ในดินมีวิธีป้องกันตัวเองจากแบคทีเรียชนิดอื่นในธรรมชาติ

    ความสำคัญในระดับโลกของการค้นพบ
    - การดื้อยาปฏิชีวนะ เป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ทำให้ผู้เสียชีวิตหลายล้านคนต่อปี
    - องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้การดื้อยาปฏิชีวนะอยู่ใน สิบอันดับแรกของภัยคุกคามต่อสุขภาพ

    แม้ว่า Lariocidin จะมีศักยภาพสูง แต่ยังอยู่ใน ระยะเริ่มต้นของการวิจัย นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในมนุษย์ รวมถึงพัฒนาวิธีการผลิตในปริมาณมากสำหรับการใช้งานทางการแพทย์

    https://www.neowin.net/news/drug-that-kills-antibiotic-resistant-bacteria-was-unknowingly-growing-in-a-garden/
    นักวิจัยค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่จากแบคทีเรียในสวนหลังบ้านชื่อ Lariocidin ที่มีโครงสร้างเหมือนปมเชือก ทำให้มีความทนทานและฆ่าแบคทีเรียดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่การค้นพบครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดิน อาจเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพระดับโลก ✅ โครงสร้างที่ทนทานของ Lasso Peptide - Lasso Peptide มีโครงสร้างเหมือน ปมเชือก ทำให้มีความทนทานต่อการสลายและยังคงประสิทธิภาพได้นาน - Lariocidin จึงสามารถทำงานได้ดีกว่ายาปฏิชีวนะแบบทั่วไป ✅ กลไกการกำจัดแบคทีเรียที่ไม่เหมือนใคร - ariocidin โจมตีส่วนที่เรียกว่า Ribosome ซึ่งเป็นศูนย์กลางการสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย - ด้วยวิธีการหยุดการทำงานของ Ribosome และสร้างความผิดพลาดในการผลิตโปรตีน Lariocidin สามารถฆ่าแบคทีเรียที่ดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ดิน—แหล่งทรัพยากรที่ไม่ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างเพียงพอ - การค้นพบนี้เน้นให้เห็นว่า ดินเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการพัฒนายาใหม่ เพราะจุลินทรีย์ในดินมีวิธีป้องกันตัวเองจากแบคทีเรียชนิดอื่นในธรรมชาติ ✅ ความสำคัญในระดับโลกของการค้นพบ - การดื้อยาปฏิชีวนะ เป็นปัญหาสุขภาพระดับโลกที่ทำให้ผู้เสียชีวิตหลายล้านคนต่อปี - องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้การดื้อยาปฏิชีวนะอยู่ใน สิบอันดับแรกของภัยคุกคามต่อสุขภาพ แม้ว่า Lariocidin จะมีศักยภาพสูง แต่ยังอยู่ใน ระยะเริ่มต้นของการวิจัย นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพในมนุษย์ รวมถึงพัฒนาวิธีการผลิตในปริมาณมากสำหรับการใช้งานทางการแพทย์ https://www.neowin.net/news/drug-that-kills-antibiotic-resistant-bacteria-was-unknowingly-growing-in-a-garden/
    WWW.NEOWIN.NET
    Drug that kills antibiotic-resistant bacteria was unknowingly growing in a garden
    A new antibiotic that can kill antibiotic-resistant bacteria has been discovered, and it was found in a garden.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 441 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื่องจากเป็นคอมบูชะ ของเรา เป็นแบบ Raw Kombucha คือ ไม่ผ่านการกรอง หรือ การพาสเจอไรซ์
    อาจมีตะกอน หรือ เซลลูโรสที่เรียกว่า Scoby เกิดขึ้นภายในขวด

    ปรากฎการณ์นี้ ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ แต่มันแสดงถึง ความสมดุลและความสมบูรณ์ของจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถดื่มได้ และมีประโยชน์มากอีกด้วย

    Scoby Do it จำหน่าย เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โพรไบโอติกส์
    ชาหมักคอมบูชะ & ไซเดอร์ Home made
    รวมถึงสาระสุขภาพน่ารู้เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ❤

    s.shopee.co.th/2Vaj94vH0k
    เนื่องจากเป็นคอมบูชะ ของเรา เป็นแบบ Raw Kombucha คือ ไม่ผ่านการกรอง หรือ การพาสเจอไรซ์ อาจมีตะกอน หรือ เซลลูโรสที่เรียกว่า Scoby เกิดขึ้นภายในขวด ปรากฎการณ์นี้ ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดปกติ แต่มันแสดงถึง ความสมดุลและความสมบูรณ์ของจุลินทรีย์ชนิดดี สามารถดื่มได้ และมีประโยชน์มากอีกด้วย Scoby Do it จำหน่าย เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โพรไบโอติกส์ ชาหมักคอมบูชะ & ไซเดอร์ Home made รวมถึงสาระสุขภาพน่ารู้เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน ❤ s.shopee.co.th/2Vaj94vH0k
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • "
    น้ำส้มสายชูผลไม้ Cider Vinegar ไซเดอร์ วีนีการ์ ที่มี The Mother คือ น้ำสายชูที่หมักด้วยวิธีธรรมชาติ อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ชื่อว่า "Acetobacter xylinum" ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลในผลไม้ ให้เป็น กรดอินทรีย์ ที่ชื่อว่า Acetic Acid

    https://s.shopee.co.th/4fiHwHUyb4
    " น้ำส้มสายชูผลไม้ Cider Vinegar ไซเดอร์ วีนีการ์ ที่มี The Mother คือ น้ำสายชูที่หมักด้วยวิธีธรรมชาติ อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ชื่อว่า "Acetobacter xylinum" ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลในผลไม้ ให้เป็น กรดอินทรีย์ ที่ชื่อว่า Acetic Acid https://s.shopee.co.th/4fiHwHUyb4
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • แป้งทนย่อย หรือ แป้งค้างคืน (Resistant Starch) ลำไส้ดูดซึมได้น้อย จะไปหมักในลำไส้ใหญ่เป็นอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ยอดเยี่ยม
    ข้อดี -ลดความอ้วน ลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค
    แป้งทนย่อย หรือ แป้งค้างคืน (Resistant Starch) ลำไส้ดูดซึมได้น้อย จะไปหมักในลำไส้ใหญ่เป็นอาหารเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ยอดเยี่ยม ข้อดี -ลดความอ้วน ลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 6 0 รีวิว
  • .......#ว่าด้วยเรื่องหัวไชเท้า.........
    .........................................
    ใครที่ชอบ ทาน หัวไชเท้า เป็นชีวิตจิตใจ ได้โปรดอ่านให้ละเอียดเลย

    เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง

    สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย

    หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ

    หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี

    หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี

    ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว

    ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

    ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง

    จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี

    ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง

    Cr: Boos Day
    ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อรวรรณ
    .......📌#ว่าด้วยเรื่องหัวไชเท้า......... ......................................... ใครที่ชอบ ทาน หัวไชเท้า เป็นชีวิตจิตใจ ได้โปรดอ่านให้ละเอียดเลย เมื่อทานผักผลไม้และสมุนไพรได้ อาหารเสริมจึงไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะอาหารเสริมก็สกัดมาจากพืชผัก ผลไม้และสมุนไพรเช่นเดียวกัน ตามคำนิยามที่ว่า ทานอาหารเป็นยานั่นเอง สำหรับหัวไชเท้านี้เป็นอาหารทางการแพทย์ที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก เป็นผักตระกูลกระหล่ำ ความพิเศษและแตกต่างจากไม้ตระกูลกะหล่ำที่เหลือคือ หัวไชเท้ามีองค์ประกอบสองส่วน คือมีรากและหัวไชเท้าช่วยเติมเต็มระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อเราทานเข้าไป กำมะถันที่มีอยู่ในหัวไชเท้าจะขับไล่เชื้อโรคทุกชนิดและทำหน้าที่เป็นมูลไส้เดือน มันจะช่วยฆ่าหนอนพยาธิในลำไส้และปรสิตอื่น ๆ ทั้งหมดได้อีกด้วย หัวไชเท้ามีส่วนประกอบของ ออร์กาโนซัลเฟอร์ช่วยให้หลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำสะอาดและสร้างเกราะป้องกันในตัวเพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะติดกับเยื่อบุ หัวไชเท้าช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยป้องกันโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือดหัวใจอื่น ๆ ได้ดี เพราะหัวไชเท้าช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล ชนิดที่ดี และลดคอเลสเตอรอล ชนิดที่ไม่ดี หัวไชเท้าช่วยขับไล่มะเร็งได้เกือบทุกชนิด เพราะสามารถฟื้นฟูไต ตับ ตับอ่อน และม้ามได้เป็นอย่างดี ใบของหัวไชเท้าไม่ต้องทิ้งเพราะเป็นหนึ่งในอาหารรักษาร่างกาย ที่ดีมาก เช่นกัน เพราะใบไม้หัวไชเท้าเป็นพรีไบโอติกที่มีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับสองรองจาก บลูเบอร์รี่ป่า เลยทีเดียว ทั้งหัวไชเท้าและใบและมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น วิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ไฟโตเคมิคอล และอัลคาลอยด์ ต้านมะเร็ง และมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยซ่อมแซมลำไส้ใหญ่ และส่วนอื่น ๆ ของลำไส้ที่สูญเสียความสามารถในการดูดซึมสารอาหาร สารอาหารของมันนั้นถูกดูดซึมโดยระบบย่อยอาหารที่ทำงานผิดปกติมากที่สุด และดูดซึมได้ดีกว่าอาหารอื่น ๆ เนื่องจากมีเอนไซม์สูง จริง ๆ แล้ว ใบหัวไชเท้าเป็นอาหารป่า แม้ว่าจะปลูกในสวนหรือในฟาร์มก็ตาม ใบไม้เหล่านี้ช่วยกำจัดสารพิษทั้ง 4 อย่างออกจากร่างกาย คือ กำจัดดีดีที รังสี โลหะหนัก ไวรัส ทานได้ทั้งสดและต้มใส่ซุบน้ำก๋วยเตี๋ยวต้มจืดหรือแกงส้ม ส่วนทานสดโดยจิ้มน้ำพริกหรือทานกับชูชิ ปั่นดื่มจะดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำความสะอาดโลหะหนักในระดับที่รุนแรง และกำจัดสารปรอท ตะกั่ว สารหนู และอะลูมิเนียมออกจากร่างกาย มีพลังเกือบเท่าผักชี ใบและหัวไชเท้าช่วยป้องกันโรคทางระบบประสาทรวมถึงโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง เอแอลเอส ( ALS ) และโรคไลม์ ( Lyme ) ทางระบบประสาท หัวไชเท้าจึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผักใบที่ทรงพลังที่สุดสำหรับสุขภาพของผู้คนนั่นเอง Cr: Boos Day ❤️ ด้วยความรักและปรารถนาดีจากแพทย์และทีมงานสถาบันสุขภาพครอบครัวองค์รวมดร.อรวรรณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1089 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2/3/68

    กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย!

    จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง

    ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง?

    3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร!

    1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ
    คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน

    ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้

    นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม

    2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น
    ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

    ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
    โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก
    มะเร็งปอด
    และมะเร็งกระเพาะอาหาร,
    ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย

    ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า

    3.กล้วยที่มีจุดดำ:
    ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน
    ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ

    จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง

    ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น,
    มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก
    ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ,
    ช่วยในการย่อยอาหาร
    ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า

    ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง!
    cr:sanook
    2/3/68 กินวิถีญี่ปุ่น 3 อาหาร "ต้านมะเร็ง" แถมยืดอายุยืน ไทยมีครบทุกอย่าง และราคาถูกกว่าด้วย! จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า อายุขัยเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ประมาณ 84.3 ปี ซึ่งถือว่าสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก ไม่เพียงแต่ได้รับการสนับสนุนจากระบบการแพทย์ที่ทันสมัย และการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ต่ยังรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ในขณะเดียวกัน การศึกษาหลายชิ้นพบว่า มะเร็งเป็นโรคที่มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการรับประทานอาหาร ตามข้อมูลจากสถาบันวิจัยมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AICR) ระบุว่า ประมาณ 30–50% ของเคสมะเร็ง สามารถป้องกันได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีสุขภาพดีขึ้น แล้วคนญี่ปุ่นมักกินอะไร เพื่อปกป้องสุขภาพและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง? 3 เมนูต้านมะเร็ง ที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบ อุดมไปด้วยสารอาหาร! 1.กระเทียม: ยารักษามะเร็งจากธรรมชาติ คนญี่ปุ่นมักใส่กระเทียมเข้าไปในอาหารประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการปรุงซุป ผัดผัก ไปจนถึงการทำน้ำจิ้ม ขณะเดียวกัน กระเทียมนั้นเป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งชั้นนำที่คนญี่ปุ่นบริโภคทุกวัน ตามการวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI) กระเทียมมีสารออร์แกโนซัลเฟอร์ ซึ่งสามารถกระตุ้นเอนไซม์กำจัดสารพิษในตับได้ จึงช่วยกำจัดสารก่อมะเร็งออกจากร่างกายได้ นอกจากนี้ กระเทียมยังยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากไนไตรต์ที่พบในอาหารแปรรูปอีกด้วย และยังมีอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition แสดงให้เห็นว่าผู้ที่บริโภคกระเทียมเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง 30–50% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ค่อยรับประทานกระเทียม 2.ชาเขียว: เคล็ดลับอายุยืนของคนญี่ปุ่น ในญี่ปุ่น ชาเขียวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังถูกมองว่าเป็นยาสำหรับการปกป้องสุขภาพด้วย ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention ผู้ที่ดื่มชาเขียว 5 แก้วต่อวัน หรือมากกว่านั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ดื่มน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ชาเขียวมีสารคาเทชินและอีจีซีจี (Epigallocatechin gallate) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะอาหาร, ป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ซึ่งช่วยยับยั้งการขยายตัวของมะเร็ง, ขับสารพิษและปกป้องตับ เนื่องจากความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายในร่างกาย ไม่เพียงเท่านั้น แอล-ธีอะนีน (L-theanine) ในชาเขียวยังช่วยลดความเครียดและปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ ชาวญี่ปุ่นหลายคนจึงมีนิสัยดื่มชาเขียวทุกวัน และบางคนยังสร้างสรรค์มัทฉะ - ผงชาเขียวบริสุทธิ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าชาเขียวปกติหลายเท่า 3.กล้วยที่มีจุดดำ: ซูเปอร์ฟู้ดเสริมภูมิคุ้มกัน ชาวญี่ปุ่นมีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ คือพวกเขาชอบกินกล้วยที่มีจุดดำบนเปลือก แทนที่จะกินสุกสีเหลืองธรรมดาเหมือนประเทศอื่นๆ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยโตเกียว พบว่ากล้วยที่สุกจนมีจุดดำจะมีสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้โจมตีเซลล์มะเร็ง ประโยชน์ของกล้วยที่มีจุดดำคือ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสามารถระบุและทำลายเซลล์มะเร็งได้เร็วขึ้น, มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ, ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ลดความเสี่ยงของการอักเสบและมะเร็งลำไส้ใหญ่ และจากการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีอาหารญี่ปุ่นยังพบว่า กล้วยที่มีจุดดำช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาว เสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้มากกว่ากล้วยที่ยังไม่สุกถึง 8 เท่า ท้ายที่สุด วิธีการรับประทานอาหารของชาวญี่ปุ่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่า อาหารสามารถมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งและยืดอายุขัย แทนที่จะไปมองหา "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่มีราคาสูง พวกเขาเลือกอาหารที่ใกล้ตัวและให้คุณค่าทางสุขภาพสูง! cr:sanook
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1296 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การย่อยและลำดับ

    สุขภาพทางเดินอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา การย่อยอาหารและกระบวนการย่อยอาหารทำให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติ

    เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน บางครั้งผู้คนจึงสงสัยว่าพวกเขาแปรรูปอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่

    โดยทั่วไป กระบวนการย่อยอาหารจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่ ระยะเวลาการเดินทางในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด อาจใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง แม้ว่าเวลาที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ก็ตาม

    การเดินทางของอาหารผ่านระบบย่อยอาหาร

    การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวอาหาร น้ำลายจะย่อยแป้งในแต่ละคำด้วยเอนไซม์ ทำให้คุณกลืนสิ่งที่คุณกินได้ง่ายขึ้น

    เมื่อคุณกลืนอาหารเข้าไป อาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะคลายตัวและปล่อยให้เข้าสู่กระเพาะอาหารของคุณ ซึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวจะปิดลงทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะไม่เดินทางกลับเข้าไปในปากของคุณ จำได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามเนื้อนี้กระตือรือร้นที่จะผ่อนคลายมากเกินไป

    ในกระเพาะของคุณ อาหารและเชื้อแบคทีเรียต่างๆจะถูกทำลายเนื่องจากกรดในกระเพาะ และส่วนผสมของอาหารที่ย่อยได้บางส่วนจะเข้าไปในลำไส้เล็กของคุณ

    ในลำไส้เล็ก ตับอ่อนและตับจะเพิ่มน้ำย่อยที่ช่วยเร่งกระบวนการทั้งหมด ผนังของมันดูดซึมสารอาหารและน้ำและทำให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ (สารอาหาร) จากอาหารที่คุณบริโภค (หวังว่าสิ่งที่คุณกิน จะเป็นสิ่งที่ดี) ส่วนอาหารที่เหลือที่ไม่ได้ย่อยจะดำเนินต่อไปยังลำไส้ใหญ่ของคุณ

    โดยปกติจะใช้เวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่อาหารจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ อาหารนั้นจะคงอยู่นานกว่าหนึ่งวันและสลายตัวมากยิ่งขึ้น น้ำและสารอาหารที่เหลือซึ่งร่างกายของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการดูดซึมและต่อมาส่วนที่เหลือคืออุจจาระที่จะออกจากร่างกายของคุณเมื่อคุณพร้อมที่จะขับถ่าย

    ในเวลาประมาณสามวัน อาหารที่คุณกินควรจะเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารไปยังสถานีสุดท้าย

    อาหารใช้เวลาย่อยนานแค่ไหน

    เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารยังขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระบบการเผาผลาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ประเภทและปริมาณของอาหารที่เป็นปัญหา

    การย่อยน้ำเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน

    หากดื่มน้ำในขณะท้องว่าง น้ำจะเดินทางเข้าสู่ลำไส้ทันที นี่คือสาเหตุว่าทำไมการดื่มน้ำตอนตื่นนอนจึงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และว่าด้วยวิชา วงจรชีวิต (Circadian rhythm) ในช่วงเวลาระหว่าง 5:00 น ถึง 7:00 น ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำแต่จะปล่อยน้ำทั้งหมดลงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อช่วยในการขับถ่าย

    เราสามารถย่อยของเหลวอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน

    หากคุณดื่มน้ำผลไม้บ่อยกว่าน้ำเปล่า น้ำผลไม้นั้นจะถูกย่อยและถูกขับออกจากร่างกายในเวลาประมาณ 20 นาที เนื่องจากร่างกายไม่ต้องการน้ำตาลฟรักโตส

    สมูทตี้ต่างจากน้ำผลไม้ โดยคงเส้นใยจากผักและผลไม้ที่ผสมเข้าด้วยกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงทำให้คุณอิ่มมากขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารก็ใช้เวลานานขึ้น (ประมาณ 30 นาที) อาหารที่มีเส้นใยสูงอาจจะดีต่อระบบย่อยอาหารเนื่องจากช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ามีน้ำตาลฟรักโตสร่วมด้วย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    เกี่ยวกับการย่อยผลไม้

    แตงโมเป็นผลไม้ที่เร็วที่สุดในการย่อยผลไม้ เนื่องจากแตงโมใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการออกจากกระเพาะอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของมัน เช่น แตง ส้ม เกรฟฟรุต กล้วย และองุ่น จะออกจากท้องคุณในเวลาประมาณ 30 นาที

    หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินอาหาร ไม่ควรผสมผลไม้กับกับผักเหตุเพราะเวลาในการย่อยอาหารที่แตกต่างกัน

    การย่อยผัก

    ผักใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผักกาดหอม แตงกวา พริก มะเขือเทศ และผักอื่นๆ ที่มีน้ำปริมาณมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที

    ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักเคล กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ มักจะย่อยภายใน 40 นาที

    และแบบช้าๆ ได้แก่ แครอท บีทรูท และผักที่มีรากอื่นๆ จะถูกย่อยภายในเวลาประมาณ 50 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผักที่มีรากที่เป็นแป้ง เช่น มันฝรั่ง ซึ่งร่วมกับสควอชบัตเตอร์นัท อาร์ติโชค มันเทศ ข้าวโพด ฯลฯ ใช้เวลาในการย่อยถึง 60 นาที

    การย่อยเมล็ดพืชจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย

    การย่อยธัญพืชและคาร์โบไฮเดรตต่างๆ จะใช้เวลานานกว่าการแปรรูปผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง บักวีต และข้าวโอ๊ตอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการออกจากท้อง ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล ถั่วต่างๆ ฯลฯ ใช้เวลามากกว่านั้น – ประมาณสองชั่วโมง

    การย่อยเนื้อสัตว์

    ถ้ากำลังมองหาเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาย่อยน้อยที่สุด

    ..ปลาที่ไม่มีน้ำมัน (เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล อาหารทะเล ฯลฯ) ซึ่งจะออกจากกระเพาะในเวลาประมาณ 30 นาที ในขณะที่ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาโอ ปลาสวาย แซลมอน ฯลฯ) จะย่อยในเวลาประมาณ 50 นาที

    เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ใช้เวลาย่อยนานกว่าเนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงสองวัน ไก่และไก่งวงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุด ในขณะที่เนื้อวัว เนื้อแกะ และโดยเฉพาะเนื้อหมูต้องใช้เวลานานกว่ามากในการย่อยให้เต็มที่

    การย่อยนม

    โดยเฉลี่ยแล้ว นมพร่องมันเนยและชีสไขมันต่ำ (เช่น คอทเทจชีสไขมันต่ำหรือริคอตต้า) จะใช้เวลาย่อย 1.5 ชั่วโมง ในขณะที่คอตเทจชีสจากนมทั้งตัวและซอฟต์ชีสจะออกจากกระเพาะภายใน 2 ชั่วโมง ชีสแข็งจากนมเต็มตัวอาจใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการย่อยอย่างเหมาะสม

    ย่อยไข่นานแค่ไหน

    ไข่แดงจะใช้เวลาย่อย 30 นาที ในขณะที่การย่อยไข่ทั้งฟองจะใช้เวลา 45 นาที

    เมล็ดพืชและถั่ว

    เมล็ดพืชที่มีไขมันสูง (เช่น งา ทานตะวัน รวมถึงเมล็ดฟักทอง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการย่อย

    ถั่วต่างๆ (ถั่วลิสงดิบ อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ฯลฯ) ต้องใช้เวลาในการย่อยประมาณ 2.5 ถึง 3 ชั่วโมง

    เวลาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเวลาโดยประมาณ พวกเขาอธิบายว่าโดยปกติแล้วอาหารบางประเภทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนกหากประสบการณ์ของคุณแตกต่างไปจากคำอธิบายข้างต้น

    อย่างไรก็ตาม หากคุณคิดว่าระบบย่อยอาหารของคุณค่อนข้างเชื่องช้า และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่คุณควรหลีกเลี่ยง

    อาหารที่ย่อยยาก

    อาหารทอดที่มีไขมันสูงและมีเส้นใยต่ำ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับการย่อยอาหารของคุณและสุขภาพโดยทั่วไป มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากรับประทานอาหารทอด ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปทั่วร่างกายเร็วเกินไปและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรืออยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานานจน ส่งผลให้ท้องอืดและรู้สึกอิ่ม

    ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

    โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้นอย่ารับประทานผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไปในคราวเดียว

    น้ำตาลเทียมและฟรุกโตส

    น้ำตาลเทียมนั้นย่อยยากและมักจะเดินทางผ่านระบบโดยไม่ได้รับการย่อย ดังนั้นจึงไม่ให้สารอาหารแก่ร่างกายมากนัก นอกจากนี้ พวกมันยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ที่พบในระบบทางเดินอาหารของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายได้ เมื่อบริโภคน้ำตาลมากเกินไป คุณอาจมีอาการตะคริวและท้องร่วงได้ และเพิ่มน้ำหนักแน่นอน

    ถั่ว

    ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากมีโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจย่อยยากและมักทำให้เกิดแก๊สรวมถึงเป็นตะคริวเนื่องจากร่างกายของคุณขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการสลายน้ำตาลในนั้น

    ผักตระกูลกะหล่ำ

    ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และอื่นๆ มีน้ำตาลแบบเดียวกับที่พบในถั่ว ดังนั้นจึงย่อยได้ยาก พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบเพราะจะช่วยให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น

    อาหารรสเผ็ด

    สำหรับบางคนการย่อยอาหารช้าและอาการเสียดท้องเป็นเรื่องปกติหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด ซึ่งมีสาเหตุมาจากแคปไซซินที่พบในพริก

    ผลิตภัณฑ์นม

    ผลิตภัณฑ์จากนมย่อยยากและช้า จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและสามารถก่อให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย สำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส หากคุณไม่สามารถกำจัดอาหารดังกล่าวออกจากอาหารได้ คุณก็ต้องหาเอนไซม์จากภายนอกเพื่อย่อยนมนั้น

    เนื่องจากเราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพบผู้ร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุภารกิจนี้คือการจดบันทึกอาหาร กำจัดอาหารบางชนิดที่คุณสงสัยว่าจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อคุณจับฝ่ายที่มีความผิดได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงหรือค้นหาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา

    และอาหารชนิดใดที่ย่อยง่าย

    หากคุณสงสัยว่าจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงการย่อยช้า ได้อย่างไร ให้เน้นไปที่อาหารที่ย่อยเร็ว เช่น:

    • ข้าวขาว : หากคุณพยายามหาธัญพืชที่ย่อยง่าย ให้เลือกข้าวขาวและหลีกเลี่ยงข้าวกล้อง สีดำ หรือสีแดง

    • ไข่ : ไข่ไม่เพียงแต่ปรุงง่าย แต่ยังย่อยง่ายอีกด้วย

    • มันเทศ : มันเทศเป็นแหล่งของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งย่อยได้ง่ายกว่าเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ และยังเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณด้วย

    • ไก่ : หากคุณต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในอาหาร ให้เลือกไก่เพราะเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและใช้เวลาย่อยน้อยลง

    • ปลา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าใช้เวลาในการย่อยน้อย

    ปัญหาและเงื่อนไขทางเดินอาหาร

    หากคุณเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหารของคุณแต่ยังคงมีอาการอาหารไม่ย่อยอยู่บ้าง คุณอาจมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือแม้กระทั่งต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัว หากปัญหาของคุณมีเพียงกรดไหลย้อน ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูกมีลมในท้อง ท้องร่วง และอื่นๆ เป็นครั้งคราว ก็มักจะไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นค่อนข้างสม่ำเสมอหรือกลายเป็นโรคเรื้อรัง ควรแน่ใจว่าคุณติดต่อแพทย์โดยเร็วที่สุด

    นี่เป็นเพียงเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้เกิดอาการของคุณ:

    แพ้แลคโตส

    ผลิตภัณฑ์นมอาจย่อยยากสำหรับผู้ที่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในท้อง และท้องอืด

    โรค Celiac

    กลูเตนในอาหารที่มีข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอก ร่างกายของพวกเขาระบุว่ากลูเตนเป็นสิ่งแปลกปลอมและตอบสนองโดยการโจมตีโปรตีนนี้และทำลายลำไส้ทันทีที่กลูเตนไปถึงลำไส้เล็ก

    หากคุณมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า ท้องอืดและปวดท้อง ท้องร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือดูเป็นไขมัน และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นโรคเซลิแอก

    กรดไหลย้อน

    กรดไหลย้อนเป็นอาการทางการแพทย์ทั่วไปที่เกิดจากกรดในกระเพาะไหลย้อนเข้าไปในปาก หากกรดไหลย้อนปรากฏในรูปแบบเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น คุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างปิดไม่สนิท แต่ถ้าหูรูดคุณทำงานได้ดีแต่ในระบบคุณมีแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะหาทางไปที่อื่น ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่าไหล่ ชามือ อาการนี้อาจสร้างความรำคาญแต่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์ หากเป็นกรณีนี้ โปรดติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญของคุณเนื่องจากคุณอาจได้รับผลกระทบจากโรคกรดไหลย้อนจริงๆ

    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS)

    ภาวะนี้ทำให้ลำไส้ระคายเคืองและมาพร้อมกับอาการต่างๆ เช่น ตะคริว ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และมีแก๊สในช่องท้อง เช่นเดียวกับโรค Celiac การเปลี่ยนแปลงอาหารสามารถช่วยให้คุณรักษาอาการให้สมดุลได้

    บทสรุป

    จะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารตามลำดับ

    วิธีการที่ดี ให้เริ่มต้นที่ผักร้อยละ 40 ตามด้วยข้าวหรือแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นเส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นต่างๆ แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน จากนั้นปล่อยให้ไขมันเป็นลำดับสุดท้าย

    วิธีการนี้ร่างกายคุณจะย่อยตามลำดับและสิ่งที่คุณกินเข้าไปจะไม่ถูกหมักหมมจนทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร

    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง

    Cr. Santi Manadee
    #การย่อยและลำดับ สุขภาพทางเดินอาหารมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดีโดยทั่วไปของเรา การย่อยอาหารและกระบวนการย่อยอาหารทำให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการทำงานตามปกติ เนื่องจากการย่อยอาหารเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน บางครั้งผู้คนจึงสงสัยว่าพวกเขาแปรรูปอาหารด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ใช้เวลานานเท่าไหร่ โดยทั่วไป กระบวนการย่อยอาหารจะใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงแต่ ระยะเวลาการเดินทางในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด อาจใช้เวลา 24 ถึง 72 ชั่วโมง แม้ว่าเวลาที่แท้จริงอาจขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ก็ตาม การเดินทางของอาหารผ่านระบบย่อยอาหาร การย่อยอาหารเริ่มต้นที่ปากของคุณ เมื่อคุณเคี้ยวอาหาร น้ำลายจะย่อยแป้งในแต่ละคำด้วยเอนไซม์ ทำให้คุณกลืนสิ่งที่คุณกินได้ง่ายขึ้น เมื่อคุณกลืนอาหารเข้าไป อาหารจะไหลผ่านหลอดอาหาร จากนั้นกล้ามเนื้อที่เรียกว่ากล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะคลายตัวและปล่อยให้เข้าสู่กระเพาะอาหารของคุณ ซึ่งกล้ามเนื้อดังกล่าวจะปิดลงทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะไม่เดินทางกลับเข้าไปในปากของคุณ จำได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ากล้ามเนื้อนี้กระตือรือร้นที่จะผ่อนคลายมากเกินไป ในกระเพาะของคุณ อาหารและเชื้อแบคทีเรียต่างๆจะถูกทำลายเนื่องจากกรดในกระเพาะ และส่วนผสมของอาหารที่ย่อยได้บางส่วนจะเข้าไปในลำไส้เล็กของคุณ ในลำไส้เล็ก ตับอ่อนและตับจะเพิ่มน้ำย่อยที่ช่วยเร่งกระบวนการทั้งหมด ผนังของมันดูดซึมสารอาหารและน้ำและทำให้ร่างกายได้รับสิ่งดีๆ (สารอาหาร) จากอาหารที่คุณบริโภค (หวังว่าสิ่งที่คุณกิน จะเป็นสิ่งที่ดี) ส่วนอาหารที่เหลือที่ไม่ได้ย่อยจะดำเนินต่อไปยังลำไส้ใหญ่ของคุณ โดยปกติจะใช้เวลา 6 ถึง 8 ชั่วโมงก่อนที่อาหารจะเดินทางผ่านกระเพาะอาหารไปจนถึงลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ อาหารนั้นจะคงอยู่นานกว่าหนึ่งวันและสลายตัวมากยิ่งขึ้น น้ำและสารอาหารที่เหลือซึ่งร่างกายของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการดูดซึมและต่อมาส่วนที่เหลือคืออุจจาระที่จะออกจากร่างกายของคุณเมื่อคุณพร้อมที่จะขับถ่าย ในเวลาประมาณสามวัน อาหารที่คุณกินควรจะเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารไปยังสถานีสุดท้าย อาหารใช้เวลาย่อยนานแค่ไหน เวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารยังขึ้นอยู่กับอายุ เพศ ระบบการเผาผลาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ประเภทและปริมาณของอาหารที่เป็นปัญหา การย่อยน้ำเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน หากดื่มน้ำในขณะท้องว่าง น้ำจะเดินทางเข้าสู่ลำไส้ทันที นี่คือสาเหตุว่าทำไมการดื่มน้ำตอนตื่นนอนจึงเป็นเรื่องดี เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับความชุ่มชื้นอย่างรวดเร็ว และว่าด้วยวิชา วงจรชีวิต (Circadian rhythm) ในช่วงเวลาระหว่าง 5:00 น ถึง 7:00 น ร่างกายจะไม่ดูดซึมน้ำแต่จะปล่อยน้ำทั้งหมดลงไปยังลำไส้ใหญ่เพื่อช่วยในการขับถ่าย เราสามารถย่อยของเหลวอื่นๆ ได้เร็วแค่ไหน หากคุณดื่มน้ำผลไม้บ่อยกว่าน้ำเปล่า น้ำผลไม้นั้นจะถูกย่อยและถูกขับออกจากร่างกายในเวลาประมาณ 20 นาที เนื่องจากร่างกายไม่ต้องการน้ำตาลฟรักโตส สมูทตี้ต่างจากน้ำผลไม้ โดยคงเส้นใยจากผักและผลไม้ที่ผสมเข้าด้วยกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันจึงทำให้คุณอิ่มมากขึ้นและกระบวนการย่อยอาหารก็ใช้เวลานานขึ้น (ประมาณ 30 นาที) อาหารที่มีเส้นใยสูงอาจจะดีต่อระบบย่อยอาหารเนื่องจากช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ถ้ามีน้ำตาลฟรักโตสร่วมด้วย ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เกี่ยวกับการย่อยผลไม้ แตงโมเป็นผลไม้ที่เร็วที่สุดในการย่อยผลไม้ เนื่องจากแตงโมใช้เวลาเพียง 20 นาทีในการออกจากกระเพาะอาหาร ลูกพี่ลูกน้องของมัน เช่น แตง ส้ม เกรฟฟรุต กล้วย และองุ่น จะออกจากท้องคุณในเวลาประมาณ 30 นาที หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาทางเดินอาหาร ไม่ควรผสมผลไม้กับกับผักเหตุเพราะเวลาในการย่อยอาหารที่แตกต่างกัน การย่อยผัก ผักใช้เวลาย่อยนานกว่าผลไม้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผักกาดหอม แตงกวา พริก มะเขือเทศ และผักอื่นๆ ที่มีน้ำปริมาณมากจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักเคล กะหล่ำดอก บรอกโคลี ฯลฯ มักจะย่อยภายใน 40 นาที และแบบช้าๆ ได้แก่ แครอท บีทรูท และผักที่มีรากอื่นๆ จะถูกย่อยภายในเวลาประมาณ 50 นาที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผักที่มีรากที่เป็นแป้ง เช่น มันฝรั่ง ซึ่งร่วมกับสควอชบัตเตอร์นัท อาร์ติโชค มันเทศ ข้าวโพด ฯลฯ ใช้เวลาในการย่อยถึง 60 นาที การย่อยเมล็ดพืชจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย การย่อยธัญพืชและคาร์โบไฮเดรตต่างๆ จะใช้เวลานานกว่าการแปรรูปผักและผลไม้ ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง บักวีต และข้าวโอ๊ตอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งในการออกจากท้อง ในขณะที่พืชตระกูลถั่ว เช่น ถั่วชิกพี ถั่วเลนทิล ถั่วต่างๆ ฯลฯ ใช้เวลามากกว่านั้น – ประมาณสองชั่วโมง การย่อยเนื้อสัตว์ ถ้ากำลังมองหาเนื้อสัตว์ที่ใช้เวลาย่อยน้อยที่สุด ..ปลาที่ไม่มีน้ำมัน (เช่น ปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล อาหารทะเล ฯลฯ) ซึ่งจะออกจากกระเพาะในเวลาประมาณ 30 นาที ในขณะที่ปลาที่มีไขมัน (เช่น ปลาทู ปลาซาร์ดีน ปลาโอ ปลาสวาย แซลมอน ฯลฯ) จะย่อยในเวลาประมาณ 50 นาที เนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ใช้เวลาย่อยนานกว่าเนื่องจากกระบวนการอาจใช้เวลานานถึงสองวัน ไก่และไก่งวงเป็นตัวเลือกที่เร็วที่สุด ในขณะที่เนื้อวัว เนื้อแกะ และโดยเฉพาะเนื้อหมูต้องใช้เวลานานกว่ามากในการย่อยให้เต็มที่ การย่อยนม โดยเฉลี่ยแล้ว นมพร่องมันเนยและชีสไขมันต่ำ (เช่น คอทเทจชีสไขมันต่ำหรือริคอตต้า) จะใช้เวลาย่อย 1.5 ชั่วโมง ในขณะที่คอตเทจชีสจากนมทั้งตัวและซอฟต์ชีสจะออกจากกระเพาะภายใน 2 ชั่วโมง ชีสแข็งจากนมเต็มตัวอาจใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการย่อยอย่างเหมาะสม ย่อยไข่นานแค่ไหน ไข่แดงจะใช้เวลาย่อย 30 นาที ในขณะที่การย่อยไข่ทั้งฟองจะใช้เวลา 45 นาที เมล็ดพืชและถั่ว เมล็ดพืชที่มีไขมันสูง (เช่น งา ทานตะวัน รวมถึงเมล็ดฟักทอง) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการย่อย ถั่วต่างๆ (ถั่วลิสงดิบ อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัท ฯลฯ) ต้องใช้เวลาในการย่อยประมาณ 2.5 ถึง 3 ชั่วโมง เวลาที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเวลาโดยประมาณ พวกเขาอธิบายว่าโดยปกติแล้วอาหารบางประเภทจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องตื่นตระหนกหากประสบการณ์ของคุณแตกต่างไปจากคำอธิบายข้างต้น อย่างไรก็ตาม หากคุณคิดว่าระบบย่อยอาหารของคุณค่อนข้างเชื่องช้า และหากคุณต้องการป้องกันไม่ให้การย่อยอาหารของคุณช้าลงกว่าที่เป็นอยู่ ให้ค้นหาว่าอาหารชนิดใดที่คุณควรหลีกเลี่ยง อาหารที่ย่อยยาก อาหารทอดที่มีไขมันสูงและมีเส้นใยต่ำ อาหารเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับการย่อยอาหารของคุณและสุขภาพโดยทั่วไป มีสองสถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากรับประทานอาหารทอด ซึ่งอาจเคลื่อนตัวไปทั่วร่างกายเร็วเกินไปและส่งผลให้เกิดอาการท้องเสียหรืออยู่ในระบบทางเดินอาหารเป็นเวลานานจน ส่งผลให้ท้องอืดและรู้สึกอิ่ม ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว โดยทั่วไปแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวนั้นดีต่อการย่อยอาหารเนื่องจากมีไฟเบอร์สูง อย่างไรก็ตาม บางคนอาจประสบปัญหาทางเดินอาหารด้วยเหตุผลดังกล่าว ดังนั้นอย่ารับประทานผลไม้รสเปรี้ยวมากเกินไปในคราวเดียว น้ำตาลเทียมและฟรุกโตส น้ำตาลเทียมนั้นย่อยยากและมักจะเดินทางผ่านระบบโดยไม่ได้รับการย่อย ดังนั้นจึงไม่ให้สารอาหารแก่ร่างกายมากนัก นอกจากนี้ พวกมันยังส่งผลเสียต่อจุลินทรีย์ในลำไส้ที่พบในระบบทางเดินอาหารของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมายได้ เมื่อบริโภคน้ำตาลมากเกินไป คุณอาจมีอาการตะคริวและท้องร่วงได้ และเพิ่มน้ำหนักแน่นอน ถั่ว ถั่วเป็นแหล่งอาหารที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากมีโปรตีนและไฟเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพมากมาย แต่อาจย่อยยากและมักทำให้เกิดแก๊สรวมถึงเป็นตะคริวเนื่องจากร่างกายของคุณขาดเอนไซม์ที่จำเป็นในการสลายน้ำตาลในนั้น ผักตระกูลกะหล่ำ ผักตระกูลกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี และอื่นๆ มีน้ำตาลแบบเดียวกับที่พบในถั่ว ดังนั้นจึงย่อยได้ยาก พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารดิบเพราะจะช่วยให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น อาหารรสเผ็ด สำหรับบางคนการย่อยอาหารช้าและอาการเสียดท้องเป็นเรื่องปกติหลังจากรับประทานอาหารรสเผ็ด ซึ่งมีสาเหตุมาจากแคปไซซินที่พบในพริก ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์จากนมย่อยยากและช้า จึงทำให้รู้สึกอิ่มนานและสามารถก่อให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหารได้ง่าย สำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส หากคุณไม่สามารถกำจัดอาหารดังกล่าวออกจากอาหารได้ คุณก็ต้องหาเอนไซม์จากภายนอกเพื่อย่อยนมนั้น เนื่องจากเราทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณพบผู้ร้ายที่ทำให้เกิดปัญหาในระบบย่อยอาหาร และวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการบรรลุภารกิจนี้คือการจดบันทึกอาหาร กำจัดอาหารบางชนิดที่คุณสงสัยว่าจะทำให้การย่อยอาหารช้าลง และสังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย เมื่อคุณจับฝ่ายที่มีความผิดได้แล้ว ให้หลีกเลี่ยงหรือค้นหาทางเลือกอื่นที่ไม่ทำให้คุณเกิดปัญหา และอาหารชนิดใดที่ย่อยง่าย หากคุณสงสัยว่าจะย่อยอาหารอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงการย่อยช้า ได้อย่างไร ให้เน้นไปที่อาหารที่ย่อยเร็ว เช่น: • ข้าวขาว : หากคุณพยายามหาธัญพืชที่ย่อยง่าย ให้เลือกข้าวขาวและหลีกเลี่ยงข้าวกล้อง สีดำ หรือสีแดง • ไข่ : ไข่ไม่เพียงแต่ปรุงง่าย แต่ยังย่อยง่ายอีกด้วย • มันเทศ : มันเทศเป็นแหล่งของเส้นใยที่ละลายน้ำได้ซึ่งย่อยได้ง่ายกว่าเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ และยังเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ของคุณด้วย • ไก่ : หากคุณต้องการเก็บเนื้อสัตว์ไว้ในอาหาร ให้เลือกไก่เพราะเป็นแหล่งโปรตีนไร้ไขมันที่ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและใช้เวลาย่อยน้อยลง • ปลา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าใช้เวลาในการย่อยน้อย ปัญหาและเงื่อนไขทางเดินอาหาร หากคุณเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหารของคุณแต่ยังคงมีอาการอาหารไม่ย่อยอยู่บ้าง คุณอาจมีปัญหาในการย่อยอาหารบางประเภทหรือแม้กระทั่งต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคประจำตัว หากปัญหาของคุณมีเพียงกรดไหลย้อน ท้องอืด ปวดท้อง ท้องผูกมีลมในท้อง ท้องร่วง และอื่นๆ เป็นครั้งคราว ก็มักจะไม่มีอะไรต้องกังวล อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นค่อนข้างสม่ำเสมอหรือกลายเป็นโรคเรื้อรัง ควรแน่ใจว่าคุณติดต่อแพทย์โดยเร็วที่สุด นี่เป็นเพียงเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้เกิดอาการของคุณ: แพ้แลคโตส ผลิตภัณฑ์นมอาจย่อยยากสำหรับผู้ที่ขาดเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับการย่อยน้ำตาลที่พบในนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ส่งผลให้เกิดอาการท้องเสีย ปวดท้อง มีแก๊สในท้อง และท้องอืด โรค Celiac กลูเตนในอาหารที่มีข้าวสาลี ข้าวไรย์ และข้าวบาร์เลย์เป็นสาเหตุของปัญหาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซลิแอก ร่างกายของพวกเขาระบุว่ากลูเตนเป็นสิ่งแปลกปลอมและตอบสนองโดยการโจมตีโปรตีนนี้และทำลายลำไส้ทันทีที่กลูเตนไปถึงลำไส้เล็ก หากคุณมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า ท้องอืดและปวดท้อง ท้องร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือดูเป็นไขมัน และน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ คุณอาจเป็นโรคเซลิแอก กรดไหลย้อน กรดไหลย้อนเป็นอาการทางการแพทย์ทั่วไปที่เกิดจากกรดในกระเพาะไหลย้อนเข้าไปในปาก หากกรดไหลย้อนปรากฏในรูปแบบเรื้อรังและรุนแรงมากขึ้น คุณมีอาการแสบร้อนกลางอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างปิดไม่สนิท แต่ถ้าหูรูดคุณทำงานได้ดีแต่ในระบบคุณมีแก๊ส แก๊สเหล่านี้ก็จะหาทางไปที่อื่น ซึ่ง อาจจะทำให้เกิดอาการปวดคอ บ่าไหล่ ชามือ อาการนี้อาจสร้างความรำคาญแต่ก็เป็นปัญหาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวมากกว่าสองครั้งต่อสัปดาห์ หากเป็นกรณีนี้ โปรดติดต่อ ผู้เชี่ยวชาญของคุณเนื่องจากคุณอาจได้รับผลกระทบจากโรคกรดไหลย้อนจริงๆ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) ภาวะนี้ทำให้ลำไส้ระคายเคืองและมาพร้อมกับอาการต่างๆ เช่น ตะคริว ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และมีแก๊สในช่องท้อง เช่นเดียวกับโรค Celiac การเปลี่ยนแปลงอาหารสามารถช่วยให้คุณรักษาอาการให้สมดุลได้ บทสรุป จะเห็นได้ว่าอาหารแต่ละอย่างใช้เวลาในการย่อยแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารตามลำดับ วิธีการที่ดี ให้เริ่มต้นที่ผักร้อยละ 40 ตามด้วยข้าวหรือแป้งขัดขาว ไม่ว่าจะเป็นเส้นขนมจีน เส้นก๋วยเตี๋ยวหรือเส้นต่างๆ แล้วค่อยตามด้วยโปรตีน จากนั้นปล่อยให้ไขมันเป็นลำดับสุดท้าย วิธีการนี้ร่างกายคุณจะย่อยตามลำดับและสิ่งที่คุณกินเข้าไปจะไม่ถูกหมักหมมจนทำให้เกิดแก๊สในระบบทางเดินอาหาร ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1081 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใหม่ !!!

    น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากมะขามป้อม
    Indian Gooseberry Cider Vinegar

    ORGANIC & WITH THE MOTHER
    ไม่กรอง ไม่พาสเจอร์ไรส์ อุดมไปด้วย Probiotics
    และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย

    สรรพคุณ :
    - ต้านการอักเสบ ยังยั้งการสร้างเมลานินได้
    - มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี
    - แก้ไอ ละลายเสมหะ -แก้กระหายน้ำ
    - ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ
    - ช่วยลด และรักษาเลือดออกตามไรฟัน
    - แก้คลื่นไส้ อาเจียน
    - ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ


    วิธีการใช้ Indian Gooseberry Cider Vinegar: GBCV Keto Friendly
    ==============================
    1 ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆ อาจจะเป็นน้ำเย็นธรรมดา หรือ น้ำผลไม้ , น้ำสมุนไพร หรือ น้ำโซดา โดยผสมวีนีก้าร์เพียง 2-3 ช้อนชา เท่านั้น
    2 ใช้เป็นส่วนผสมในปรุง หรือการหมักอาหาร
    3 ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง น้ำสลัด , น้ำซอส หรือ น้ำจิ้ม
    4 ใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนม เช่น คุกกี้ หรือ เบเกอรี่ต่างๆ
    5 ใช้เป็นโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวหน้า โดยมีอัตราส่วน 1:1 น้ำวีนีก้าร์ กับ น้ำสะอาด


    สั่งซื้อได้แล้วตอนนี้ ที่ Shopee : https://s.shopee.co.th/6V8qkraHos
    ใหม่ !!! น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากมะขามป้อม Indian Gooseberry Cider Vinegar ORGANIC & WITH THE MOTHER ไม่กรอง ไม่พาสเจอร์ไรส์ อุดมไปด้วย Probiotics และจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ต่อร่างกาย สรรพคุณ : - ต้านการอักเสบ ยังยั้งการสร้างเมลานินได้ - มีสารต้านอนุมูลอิสระ และ วิตามินซี - แก้ไอ ละลายเสมหะ -แก้กระหายน้ำ - ช่วยขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอ่อนๆ - ช่วยลด และรักษาเลือดออกตามไรฟัน - แก้คลื่นไส้ อาเจียน - ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ วิธีการใช้ Indian Gooseberry Cider Vinegar: GBCV Keto Friendly ============================== 1 🥤 ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆ อาจจะเป็นน้ำเย็นธรรมดา หรือ น้ำผลไม้ , น้ำสมุนไพร หรือ น้ำโซดา โดยผสมวีนีก้าร์เพียง 2-3 ช้อนชา เท่านั้น 2 🥘 ใช้เป็นส่วนผสมในปรุง หรือการหมักอาหาร 3 🥗 ใช้เป็นส่วนผสมในการปรุง น้ำสลัด , น้ำซอส หรือ น้ำจิ้ม 4 🥨 ใช้เป็นส่วนผสมในการอบขนม เช่น คุกกี้ หรือ เบเกอรี่ต่างๆ 5 👧 ใช้เป็นโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวหน้า โดยมีอัตราส่วน 1:1 น้ำวีนีก้าร์ กับ น้ำสะอาด สั่งซื้อได้แล้วตอนนี้ ที่ Shopee : https://s.shopee.co.th/6V8qkraHos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 985 มุมมอง 0 รีวิว
  • หยุด การเผาตอซัง ข้าว อ้อย ข้าวโพด เพราะจะทำลายหน้าดินจนหมด

    ทำให้สูญเสียธาตุอาหารในดินโดยไม่รู้ตัว อยากรู้การกำจัดตอซัง ฟังทางนี้

    ไม่ต้องเผา!! นวัตกรรมล่าสุดจุลินทรีย์ ผสมเอนไซม์พิเศษเร่งการย่อยสลาย

    ส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้การเผาต่อซัง เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและไว แต่การเผานอกจากสร้าง pm 2.5 แล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาทางระบบหายใจคือ มะเร็งปอด ที่สำคัญคือยังทำลายเงินที่สะสมไว้ในดิน การเผาจะทำลายธาตุอาหารต่างๆที่สะสมอยู่ในดิน รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่ดีกับการเจริญเติบโตของข้าว

    และอีกปัญหาที่พบในการใช้จุลินทรีย์แบบเดียวกันคือ ไม่สามารถแก้ปัญหาข้าวดีดข้าวเด้งได้ จึงสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก

    สูตรล่าสุด ไบโอเจ็ท ผสมตัวเอ็นไซม์ ซึ่งช่วยย่อยสลายเปลือกของเม็ดข้าว ทำให้จุลินทรีย์สามารถเข้าไปทำลายเม็ดข้าวและแก้ปัญหาข้าวดีดได้

    โดยปกติเราและจุลินทรีย์ ต่างๆ เวลาย่อยสลายตอซังข้าวจะใช้วิธีปล่อยเอ็นไซม์ออกมา ซึ่งจะต้องใช้เวลานานมาก แต่ตัวไบโอเจ็ทได้นำเอาเอ็นไซม์ต่างๆ เหล่านั้นมาสกัดเป็นสูตรเข้มข้นในขวดไบโอเจ็ท ทำให้เอ็นไซม์ต่างๆเหล่านั้น มีประสิทธิภาพ และย่อยสลายได้อย่างเร็วขึ้นเมื่อรวมตัวกับตัวเร่งปฎิกิริยา จึงทำให้ตัวเร่งปฎิกิริยา ไฮโดรเจนบอนเดส คะตะลิสต์ (Hydrogen bondase catalyst) จึงทำให้กระบวนการต่างๆเหล่านั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วอย่างที่คุณคาดไม่ถึง


    ประโยชน์ของไบโอเจ็ท

    1.ไม่ทำลายหน้าดินโดยการเผา จึงทำให้ธาตุอาหารต่างๆที่อยู่ในดินไม่โดนทำลาย

    2.จุลินทรีย์ที่ดีจะดำรงอยู่ได้ การปลูกครั้งต่อไปก็จะทำให้รากพืชกินอาหารได้ดีขึ้น

    3.ไม่สร้างมลภาวะเป็นพิษให้กับสิ่งแวดล้อม

    4.ช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย ประหยัดเงินในกระเป๋า

    5.แก้ปัญหาข้าวดีด ข้าวเด้งได้อย่างเห็นผล ย่อยสลายตอซังข้าวได้อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น
    หยุด‼️ การเผาตอซัง ข้าว อ้อย ข้าวโพด เพราะจะทำลายหน้าดินจนหมด ทำให้สูญเสียธาตุอาหารในดินโดยไม่รู้ตัว อยากรู้การกำจัดตอซัง ฟังทางนี้ ไม่ต้องเผา!! นวัตกรรมล่าสุดจุลินทรีย์ ผสมเอนไซม์พิเศษเร่งการย่อยสลาย ส่วนใหญ่เกษตรกรจะใช้การเผาต่อซัง เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและไว แต่การเผานอกจากสร้าง pm 2.5 แล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาทางระบบหายใจคือ มะเร็งปอด ที่สำคัญคือยังทำลายเงินที่สะสมไว้ในดิน การเผาจะทำลายธาตุอาหารต่างๆที่สะสมอยู่ในดิน รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่ดีกับการเจริญเติบโตของข้าว และอีกปัญหาที่พบในการใช้จุลินทรีย์แบบเดียวกันคือ ไม่สามารถแก้ปัญหาข้าวดีดข้าวเด้งได้ จึงสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรเป็นอย่างมาก สูตรล่าสุด ไบโอเจ็ท ผสมตัวเอ็นไซม์ ซึ่งช่วยย่อยสลายเปลือกของเม็ดข้าว ทำให้จุลินทรีย์สามารถเข้าไปทำลายเม็ดข้าวและแก้ปัญหาข้าวดีดได้ โดยปกติเราและจุลินทรีย์ ต่างๆ เวลาย่อยสลายตอซังข้าวจะใช้วิธีปล่อยเอ็นไซม์ออกมา ซึ่งจะต้องใช้เวลานานมาก แต่ตัวไบโอเจ็ทได้นำเอาเอ็นไซม์ต่างๆ เหล่านั้นมาสกัดเป็นสูตรเข้มข้นในขวดไบโอเจ็ท ทำให้เอ็นไซม์ต่างๆเหล่านั้น มีประสิทธิภาพ และย่อยสลายได้อย่างเร็วขึ้นเมื่อรวมตัวกับตัวเร่งปฎิกิริยา จึงทำให้ตัวเร่งปฎิกิริยา ไฮโดรเจนบอนเดส คะตะลิสต์ (Hydrogen bondase catalyst) จึงทำให้กระบวนการต่างๆเหล่านั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วอย่างที่คุณคาดไม่ถึง ประโยชน์ของไบโอเจ็ท 1.ไม่ทำลายหน้าดินโดยการเผา จึงทำให้ธาตุอาหารต่างๆที่อยู่ในดินไม่โดนทำลาย 2.จุลินทรีย์ที่ดีจะดำรงอยู่ได้ การปลูกครั้งต่อไปก็จะทำให้รากพืชกินอาหารได้ดีขึ้น 3.ไม่สร้างมลภาวะเป็นพิษให้กับสิ่งแวดล้อม 4.ช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย ประหยัดเงินในกระเป๋า 5.แก้ปัญหาข้าวดีด ข้าวเด้งได้อย่างเห็นผล ย่อยสลายตอซังข้าวได้อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาอันสั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 400 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis)

    ไส้ติ่งเป็นถุงขนาดเรียว ยาว 2-4 นิ้ว ตั้งอยู่ใกล้บริเวณหัวต่อของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก

    ไส้ติ่งถูกดูหมิ่นมายาวนานว่าเป็นแค่ร่องรอยหรือไร้ประโยชน์ แต่เมื่อความรู้ทันสมัยขึ้น ดูเหมือนว่าไส้ติ่งจะเป็น "safe house-บ้านที่ปลอดภัย" สำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์

    ในลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่นับล้านๆตัว และมีจุลินทรีย์ฝังดีต่อฝั่งที่ไม่ดีในอัตราส่วน 200 ต่อ 1

    จากข้อสังเกตและการทดลองต่างๆ นักวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Duke ตั้งสมมติฐานว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในไส้ติ่งช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระบบในลำไส้ให้สมดุล

    ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Parker ได้ศึกษาการทำงานร่วมกันของจุลินทรีย์เหล่านี้ในลำไส้ และในกระบวนการนี้ได้บันทึกการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า biofilms(แผ่นชีวะในลำไส้)

    biofilms ชั้นที่บางและละเอียดอ่อนนี้เป็นการรวมตัวของจุลินทรีย์ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่อาศัยอยู่รวมกันบนเยื่อบุลำไส้

    “การศึกษาของเราระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันปกป้องและบำรุงที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นชีวะ” ปาร์กเกอร์อธิบาย

    ด้วยการปกป้องจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจึงไม่มีที่อยู่ นอกจากนี้ เรายังแสดงให้เห็นว่าแผ่นชีวะมีความเด่นชัดมากที่สุดในไส้ติ่ง และความชุกของพวกมันจะลดลงเมื่อเคลื่อนตัวออกมา

    โรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงงมักส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในลำไส้รวมถึงแผ่นชีวะถูกขับออกจากร่างกาย

    เมื่อสิ่งที่อยู่ในลำไส้ออกจากร่างกาย จุลินทรีย์ที่ดี ที่ซ่อนอยู่ในไส้ติ่งสามารถเกิดขึ้นและสร้างใหม่ให้กับเยื่อบุลำไส้ ก่อนที่แบคทีเรียที่เป็นอันตรายจะอาศัยอยู่ต่อไป

    การรับประทานอาหารหรือยาปฏิชีวนะ ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจนำไปสู่การอักเสบที่เกี่ยวข้องกับไส้ติ่งอักเสบ และอาจนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน

    ดังนั้น แนวทางปฏิบัติด้านการดูแลสุขภาพคือการลดการบริโภคอาหารที่ทำให้แบคทีเรียฝั่งที่ไม่ดีเจริญเติบโตได้ดี และรับประทานอาหารให้กับจุลินทรีย์ฝั่งดี

    เมื่อมีการอุดตันของโพรงในไส้ติ่งจนทำให้เกิดการบวม อักเสบ หรือทำให้ไส้ติ่งแตกและเกิดมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในกระแสเลือด อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้

    อาการ

    • เมื่อเริ่มมีการอุดตัน คุณจะมีอาการปวดท้องตรงกลางๆ หน้าท้อง รอบๆ สะดือ ต่อมาเมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ จะทำให้ปวดท้องที่ตำแหน่งของไส้ติ่งคือ บริเวณท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ใต้ ซี่โครงซี่สุดท้าย

    • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้

    • เมื่อมีการอักเสบและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาจมีไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียรุนแรง

    การเยียวยาด้วยตัวเองที่บ้าน

    รับประทานกรีกโยเกิร์ต หรือโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาล ในปริมาณ 4-5 ถ้วย ขนาดเท่ากับที่ขายในท้องตลาด

    รับประทาน synbc 5 ซองทันที

    วิธีการป้องกันไส้ติ่งอักเสบ

    รับประทานอาหารที่เป็นโปรไบโอติกและพรีไบโอติกเป็นประจำ

    สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

    น้ำตาล ผลไม้หวาน เห็ดและขนมปัง เบียร์

    ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Synbc

    Cr. Santi Manadee
    #ไส้ติ่งอักเสบ(Appendicitis) ไส้ติ่งเป็นถุงขนาดเรียว ยาว 2-4 นิ้ว ตั้งอยู่ใกล้บริเวณหัวต่อของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ไส้ติ่งถูกดูหมิ่นมายาวนานว่าเป็นแค่ร่องรอยหรือไร้ประโยชน์ แต่เมื่อความรู้ทันสมัยขึ้น ดูเหมือนว่าไส้ติ่งจะเป็น "safe house-บ้านที่ปลอดภัย" สำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของมนุษย์ ในลำไส้ของมนุษย์มีจุลินทรีย์อาศัยอยู่นับล้านๆตัว และมีจุลินทรีย์ฝังดีต่อฝั่งที่ไม่ดีในอัตราส่วน 200 ต่อ 1 จากข้อสังเกตและการทดลองต่างๆ นักวิจัยของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย Duke ตั้งสมมติฐานว่าจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในไส้ติ่งช่วยในการย่อยอาหารและรักษาระบบในลำไส้ให้สมดุล ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา Parker ได้ศึกษาการทำงานร่วมกันของจุลินทรีย์เหล่านี้ในลำไส้ และในกระบวนการนี้ได้บันทึกการมีอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า biofilms(แผ่นชีวะในลำไส้) biofilms ชั้นที่บางและละเอียดอ่อนนี้เป็นการรวมตัวของจุลินทรีย์ เมือก และโมเลกุลของระบบภูมิคุ้มกันที่อาศัยอยู่รวมกันบนเยื่อบุลำไส้ “การศึกษาของเราระบุว่าระบบภูมิคุ้มกันปกป้องและบำรุงที่อยู่อาศัย ของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในแผ่นชีวะ” ปาร์กเกอร์อธิบาย ด้วยการปกป้องจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ จุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายจึงไม่มีที่อยู่ นอกจากนี้ เรายังแสดงให้เห็นว่าแผ่นชีวะมีความเด่นชัดมากที่สุดในไส้ติ่ง และความชุกของพวกมันจะลดลงเมื่อเคลื่อนตัวออกมา โรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงงมักส่งผลให้สิ่งที่อยู่ในลำไส้รวมถึงแผ่นชีวะถูกขับออกจากร่างกาย เมื่อสิ่งที่อยู่ในลำไส้ออกจากร่างกาย จุลินทรีย์ที่ดี ที่ซ่อนอยู่ในไส้ติ่งสามารถเกิดขึ้นและสร้างใหม่ให้กับเยื่อบุลำไส้ ก่อนที่แบคทีเรียที่เป็นอันตรายจะอาศัยอยู่ต่อไป การรับประทานอาหารหรือยาปฏิชีวนะ ที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน อาจนำไปสู่การอักเสบที่เกี่ยวข้องกับไส้ติ่งอักเสบ และอาจนำไปสู่การอุดตันของลำไส้ที่ทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน ดังนั้น แนวทางปฏิบัติด้านการดูแลสุขภาพคือการลดการบริโภคอาหารที่ทำให้แบคทีเรียฝั่งที่ไม่ดีเจริญเติบโตได้ดี และรับประทานอาหารให้กับจุลินทรีย์ฝั่งดี เมื่อมีการอุดตันของโพรงในไส้ติ่งจนทำให้เกิดการบวม อักเสบ หรือทำให้ไส้ติ่งแตกและเกิดมีการติดเชื้อในช่องท้องหรือในกระแสเลือด อาจทำให้มีอันตรายถึงชีวิตได้ อาการ • เมื่อเริ่มมีการอุดตัน คุณจะมีอาการปวดท้องตรงกลางๆ หน้าท้อง รอบๆ สะดือ ต่อมาเมื่อไส้ติ่งมีการอักเสบ จะทำให้ปวดท้องที่ตำแหน่งของไส้ติ่งคือ บริเวณท้องน้อยด้านขวา ที่อยู่ใต้ ซี่โครงซี่สุดท้าย • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ • เมื่อมีการอักเสบและติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาจมีไข้สูง ปากแห้ง คอแห้ง อ่อนเพลียรุนแรง การเยียวยาด้วยตัวเองที่บ้าน รับประทานกรีกโยเกิร์ต หรือโยเกิร์ตที่ไม่มีน้ำตาล ในปริมาณ 4-5 ถ้วย ขนาดเท่ากับที่ขายในท้องตลาด รับประทาน synbc 5 ซองทันที วิธีการป้องกันไส้ติ่งอักเสบ รับประทานอาหารที่เป็นโปรไบโอติกและพรีไบโอติกเป็นประจำ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง น้ำตาล ผลไม้หวาน เห็ดและขนมปัง เบียร์ ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Synbc Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1070 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าพเจ้าสนับสนุนการเผาฟางแบบสุดตัว

    ข้าพเจ้าเผามาตลอด อย่าว่าแต่ฟางเลย หญ้า ใบไม้ก็เผา ใครห้ามก็ไม่ฟัง ก็จะเผา จะทำไม

    ขั้นตอนหนึ่ง ในการทำนาของข้าพเจ้า คือ หลังจากเกี่ยวข้าวและจัดการข้าวเปลือกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะเผาฟางทั้งหมด ด้วยวิธีทางชีวภาพ นั้นคือการทำปุ๋ยหมัก ตามวิธีการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง วิศวกรรมแม่โจ้ 1 แต่ข้าพเจ้าจะพูดว่า เผาฟางโดยไม่ใช้ไฟ

    ถ้าทำแบบขี้เกียจ จะใช้เวลาหมัก 2 เดือน คนหมักมีหน้าที่แค่รักษาความชื้น และคอยเจาะกองปุ๋ย เติมน้ำ ทุก 10 วัน เพื่อรักษาความชื้นภายใน ไม่ให้แห้ง จุลินทรีย์จะได้ทำหน้าที่ย่อยสลายได้อย่างต่อเนื่อง ควันที่เห็นเกิดจากความร้อนในกระบวนการย่อยสลาย ปะทะเข้ากับอากาศเย็น ถ้าทำหน้าร้อนจะเห็นเป็นเปลวความร้อน

    เนื่องจากเป็นการหมักแบบใช้ออกซิเจน ก๊าซที่ได้จึงเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซนี้จะถูกใช้โดยต้นไม้ ตามวัฏจักรคาร์บอน สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำเพิ่มเติม คือ ต้องปลูกต้นไม้ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ ได้คาร์บอนเครดิต ไปเต็มๆ แต่อันนี้ไม่ขาย เอาไว้โม้ แฮ่ๆ

    เมื่อครบ 2 เดือน ล้มกอง ตากให้แห้งพอหมาดๆ จะได้ปุ๋ยหมักชั้นเยี่ยม อ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร(ลูกศิษย์เรียกจารย์ลุง) ผู้ทำวิจัย เคลมว่า ถ้าทำตามวิธีของจารย์ลุง ปุ๋ยหมักจะผ่านตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ประเทศไทย ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เลยส่งไปตรวจ 2 ครั้งเขาตรวจ 20 กว่ารายการ ทั้งธาตุอาหารหลัก อาหารรอง อินทรีย์วัตถุ โลหะหนัก ฯ ปรากฎว่าผ่านเกณฑ์จริง น่าจะเชื่อตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเงิน เพราะงานวิจัยของจารย์ลุง ได้รางวัลงานวิจัยดีเด่นแห่งชาติ

    แม้แต่หญ้าที่ตัดแล้ว ใบไม้ที่ร่วงหล่น ข้าพเจ้าจะรวบรวมไว้ และก็เผาแบบเดียวกัน เผาโดยไม่ใช้ไฟ ไร้ PM10 PM2.5 ได้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ ไว้ใส่พืช ผัก ผลไม้ มันช่างดีจริงจริง

    เมื่อถึงฤดูทำนา เวลาเตรียมดิน ข้าพเจ้าจะขนฟางที่เผาแล้วทั้งหมดลงใส่นา จบเรื่องปุ๋ย ตลอดฤดูการปลูก เกี่ยวข้าวเสร็จ เผาฟางต่อ เผาโดยไม่ใช้ไฟ ทำวนไป ได้ดินดี ได้ข้าวอินทรีย์ธรรมดาแสนดี ไว้กินตลอดปี
    ข้าพเจ้าสนับสนุนการเผาฟางแบบสุดตัว ข้าพเจ้าเผามาตลอด อย่าว่าแต่ฟางเลย หญ้า ใบไม้ก็เผา ใครห้ามก็ไม่ฟัง ก็จะเผา จะทำไม ขั้นตอนหนึ่ง ในการทำนาของข้าพเจ้า คือ หลังจากเกี่ยวข้าวและจัดการข้าวเปลือกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะเผาฟางทั้งหมด ด้วยวิธีทางชีวภาพ นั้นคือการทำปุ๋ยหมัก ตามวิธีการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง วิศวกรรมแม่โจ้ 1 แต่ข้าพเจ้าจะพูดว่า เผาฟางโดยไม่ใช้ไฟ ถ้าทำแบบขี้เกียจ จะใช้เวลาหมัก 2 เดือน คนหมักมีหน้าที่แค่รักษาความชื้น และคอยเจาะกองปุ๋ย เติมน้ำ ทุก 10 วัน เพื่อรักษาความชื้นภายใน ไม่ให้แห้ง จุลินทรีย์จะได้ทำหน้าที่ย่อยสลายได้อย่างต่อเนื่อง ควันที่เห็นเกิดจากความร้อนในกระบวนการย่อยสลาย ปะทะเข้ากับอากาศเย็น ถ้าทำหน้าร้อนจะเห็นเป็นเปลวความร้อน เนื่องจากเป็นการหมักแบบใช้ออกซิเจน ก๊าซที่ได้จึงเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซนี้จะถูกใช้โดยต้นไม้ ตามวัฏจักรคาร์บอน สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องทำเพิ่มเติม คือ ต้องปลูกต้นไม้ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพื่อกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ ได้คาร์บอนเครดิต ไปเต็มๆ แต่อันนี้ไม่ขาย เอาไว้โม้ แฮ่ๆ เมื่อครบ 2 เดือน ล้มกอง ตากให้แห้งพอหมาดๆ จะได้ปุ๋ยหมักชั้นเยี่ยม อ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร(ลูกศิษย์เรียกจารย์ลุง) ผู้ทำวิจัย เคลมว่า ถ้าทำตามวิธีของจารย์ลุง ปุ๋ยหมักจะผ่านตามมาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ประเทศไทย ข้าพเจ้าไม่เชื่อ เลยส่งไปตรวจ 2 ครั้งเขาตรวจ 20 กว่ารายการ ทั้งธาตุอาหารหลัก อาหารรอง อินทรีย์วัตถุ โลหะหนัก ฯ ปรากฎว่าผ่านเกณฑ์จริง น่าจะเชื่อตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องเสียเงิน เพราะงานวิจัยของจารย์ลุง ได้รางวัลงานวิจัยดีเด่นแห่งชาติ แม้แต่หญ้าที่ตัดแล้ว ใบไม้ที่ร่วงหล่น ข้าพเจ้าจะรวบรวมไว้ และก็เผาแบบเดียวกัน เผาโดยไม่ใช้ไฟ ไร้ PM10 PM2.5 ได้ปุ๋ยหมักอินทรีย์ ไว้ใส่พืช ผัก ผลไม้ มันช่างดีจริงจริง เมื่อถึงฤดูทำนา เวลาเตรียมดิน ข้าพเจ้าจะขนฟางที่เผาแล้วทั้งหมดลงใส่นา จบเรื่องปุ๋ย ตลอดฤดูการปลูก เกี่ยวข้าวเสร็จ เผาฟางต่อ เผาโดยไม่ใช้ไฟ ทำวนไป ได้ดินดี ได้ข้าวอินทรีย์ธรรมดาแสนดี ไว้กินตลอดปี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 604 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุขภาพดี ด้วย นัตโตะ วัน-เว้น-วัน

    1. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ (Gut Health) เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ไฟเบอร์ อีกทั้งวิตามิน K2 ในนัตโตะช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและลดการอักเสบ

    2. บำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต (Bone & Cardiovascular Health) มี วิตามิน K2 สูง ซึ่งช่วยในการนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เอนไซม์นัตโตะคิเนส (Nattokinase) ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

    3. ลดการอักเสบ + ชะลอวัย (Anti-Inflammatory & Longevity) สารอาหาร โพลีแซ็กคาไรด์ และโปรตีน ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การบริโภคนัตโตะเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ยืนยาว โดยสนับสนุนระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ (เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง)
    สุขภาพดี ด้วย นัตโตะ วัน-เว้น-วัน 1. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ (Gut Health) เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ไฟเบอร์ อีกทั้งวิตามิน K2 ในนัตโตะช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและลดการอักเสบ 2. บำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต (Bone & Cardiovascular Health) มี วิตามิน K2 สูง ซึ่งช่วยในการนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เอนไซม์นัตโตะคิเนส (Nattokinase) ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 3. ลดการอักเสบ + ชะลอวัย (Anti-Inflammatory & Longevity) สารอาหาร โพลีแซ็กคาไรด์ และโปรตีน ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การบริโภคนัตโตะเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ยืนยาว โดยสนับสนุนระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ (เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 669 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาหารที่ถูกจุลินทรีย์สกัดออกมาเป็นยา ร่างกายสามารพชถดูดซึมได้เร็วมาก
    https://www.herbenzyme.com/
    อาหารที่ถูกจุลินทรีย์สกัดออกมาเป็นยา ร่างกายสามารพชถดูดซึมได้เร็วมาก https://www.herbenzyme.com/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ลำไส้แปรปรวน - Irritable Bowel Syndrome

    (IBS)

    IBS เป็นกลุ่มอาการในลำไส้ที่อาจรวมถึงตะคริวในช่องท้อง ท้องร่วง ท้องผูก ท้องอืด และมีแก๊ส กลุ่มอาการในลำไส้มักเกิดขึ้นร่วมกันแต่ อาการจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและระยะเวลาในแต่ละคน

    ประเภทของ IBS แบ่งตามอาการเฉพาะที่เกิดขึ้น เช่น อาการท้องผูกและน้ำหนักลด

    IBS อาจทำให้เกิดความเสียหายในลำไส้ได้และนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จากการศึกษาปี 2022 IBS ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในทางเดินอาหาร แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตของคุณ

    อาการของ IBS มักประกอบด้วย:

    • ตะคริว

    • อาการปวดท้อง

    • ท้องอืดและมีแก๊ส

    • อาการท้องผูก

    • ท้องเสีย

    • คลื่นไส้และอาเจียน

    • เหนื่อยล้าและอ่อนแรง

    • อารมณ์เปลี่ยนแปลง ซึมเศร้า และวิตกกังวล

    มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายสำหรับIBS

    IBS ในผู้หญิง

    IBS มีแนวโน้มที่จะพบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ โดยมักจะมีอาการปวดท้องและท้องผูกมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการมากขึ้นหรือแย่ลงในช่วงมีประจำเดือน

    IBS ในผู้ชาย

    อาการของ IBS ในเพศชายอาจเหมือนกับอาการในเพศหญิง แต่อาจเน้นไปที่อาการท้องเสียมากกว่าตามการวิจัย

    ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ที่เป็นโรค IBS จะมีอาการท้องผูกและท้องร่วง อาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและมีแก๊สมักจะหายไปหลังจากที่คุณถ่ายอุจจาระ อาการไม่ได้เกิดขึ้นถาวรเสมอไป พวกเขาสามารถแก้ไขได้

    อาการปวด IBS

    อาจรู้สึกเหมือนเป็นตะคริว เย็นวูบวาบ เสียวซ่าน คุณจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2 อย่างต่อไปนี้:

    • บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยหลังการถ่ายอุจจาระ

    • ความถี่ในการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไป

    • รูปลักษณ์ของอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป
    กระบวนการทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับ IBS อาจแตกต่างกันไป แต่อาจประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้:

    • การเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าลงหรือกระตุก ทำให้เกิดตะคริวอย่างเจ็บปวด

    • ระดับเซโรโทนินในลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้

    สาเหตุของโรค

    สาเหตุที่เป็นไปได้

    - ลำไส้ใหญ่หรือระบบภูมิคุ้มกันที่ไวเกินไปหลังการติดเชื้อเแบคทีเรียในทางเดินอาหาร
    - การรับประทานยาลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง
    - การรับประทานสมุนไพรเพื่อการขับถ่ายอาทิ มะขามแขก น้ำมันละหุ่ง เป็นต้น
    - การได้รับยาปฏิชีวนะ
    - การได้รับยาบางชนิดเพื่อรักษาสภาวะทางการแพทย์เป็นระยะเวลานาน
    - การขาดเมือกในลำไส้
    -การขาดจุลชีพฝั่งดีในลำไส้
    - การเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยรสเผ็ดและรสเปรี้ยว
    - ความเครียดเรื้อรัง ระบบประสาทของคุณควบคุมการเคลื่อนไหวอัตโนมัติหรือการเคลื่อนไหวของระบบย่อยอาหารในระดับที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่าความเครียดส่งผลต่อเส้นประสาท ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากเกินไป

    หากคุณมี IBS ลำไส้ใหญ่ของคุณอาจตอบสนองต่อการหยุดชะงักของระบบย่อยอาหารมากเกินไป เชื่อกันว่า IBS ได้รับผลกระทบจากระบบภูมิคุ้มกันซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากความเครียดเช่นกัน

    การวินิจฉัย

    แพทย์ของคุณอาจวินิจฉัย IBS ตามอาการของคุณได้ พวกเขายังอาจทำตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งขั้นตอนเพื่อแยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ของอาการของคุณ:

    • กำหนดรูปแบบการรับประทานอาหารบางอย่างหรือหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่เฉพาะเจาะจงเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อแยกแยะการแพ้อาหาร

    • สั่งการทดสอบตัวอย่างอุจจาระของคุณเพื่อขจัดการติดเชื้อ

    • สั่งการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจางและขจัดโรคช่องท้อง

    • สั่งการส่องกล้องลำไส้ใหญ่

    โดยทั่วไปแพทย์ของคุณจะสั่งการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เฉพาะในกรณีที่สงสัยว่ามีอาการลำไส้ใหญ่บวม โรคลำไส้อักเสบ (โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบแบบเป็นแผล) หรือมะเร็งเป็นสาเหตุของอาการของคุณ

    อาหารอะไรบ้างที่กระตุ้นการเกิด IBS

    อาหารบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อยสำหรับผู้ป่วย IBS อาหารเหล่านี้บางชนิดอาจส่งผลต่อคุณมากกว่าอาหารอื่นๆ

    การจดบันทึกรายการอาหารไว้สักพักเพื่อเรียนรู้ว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดอาจช่วยได้ อาหารบางอย่างที่คุณอาจจำกัดหรือยกเว้น ได้แก่:

    • ถั่วทุกชนิดและทุกรูปแบบ

    • อาหารที่มีซอร์บิทอล แมนนิทอล หรือไซลิทอล

    • หัวหอม กระเทียม มะเขือ มะเขือเทศและผักที่มีรสเปรี้ยวหรือเผ็ด

    • ผลไม้ทุกชนิด

    • อาหารประเภทนม

    • เห็ดและยิสต์

    การเยียวยาที่บ้าน

    การเยียวยาที่บ้านหรือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการ IBS ของคุณได้โดยไม่ต้องใช้ยา ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเหล่านี้ได้แก่:

    • มีส่วนร่วมในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    • จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเนื่องจากคาเฟอีนไปกระตุ้นลำไส้

    • การลดความเครียด (การบำบัดด้วยการพูดคุย การฝึกสติ การสะกดจิต และการฝึกสมาธิ)

    • รับประทานโปรไบโอติก ( จุลินทรีย์ "ดี" ที่มักพบในลำไส้) เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและแก็ส

    • เพิ่มปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร หรืออาหารเสริม

    • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและรับประทานอย่างช้าๆ คุณอาจพบว่าการย่อยอาหารในปริมาณน้อยง่ายกว่าการรับประทานอาหารในปริมาณมาก

    • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (2 ลิตร) (เช่น น้ำเปล่า ชาสมุนไพร น้ำซุป) เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ

    • ลองรับประทานอาหาร ที่มี FODMAP ต่ำในระยะสั้นเพื่อช่วยระบุอาหารที่กระตุ้นอาการ FODMAP เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเฉพาะที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการในลำไส้ อาหารที่มี FODMAP สูง ได้แก่ แอปเปิล หัวหอม กระเทียม ข้าวสาลี แล็กโทส แอลกอฮอล์และน้ำตาล

    • เลือกผักที่ปรุงสุกแล้วมากกว่าผักดิบ

    • เลือกโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไข่ ไก่ ปลา และโยเกิร์ตธรรมดาที่ไม่มีแลคโตส

    • ปรุงอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น การอบ การคั่ว การนึ่งและการต้ม สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงอาการไม่สบายตัวได้เช่นกัน

    • หากคุณมีอาการท้องผูก ควรพิจารณารับประทานใยอาหาร บางประเภท เช่น กระเจี๊ยบเขียว มันสําปะหลัง และไซเลียม หลีกเลี่ยงรำข้าวสาลีและลูกพรุน ซึ่งเป็นใยอาหารที่ย่อยง่าย อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและปวดท้อง

    • จำกัด การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเช่น บร็อคโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำบรัสเซลส์ หากผักหรือพืชเหล่านี้กระตุ้นให้คุณมีอาการ

    • จำกัดปริมาณ น้ำตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานเทียม เช่น ซอร์บิทอล แมนนิทอล ไซลิทอล มอลทิทอล และอีริทริทอล

    • หลีกเลี่ยงภาวะแพ้กลูเตนและโรคซีลิแอค บางคนอาจแพ้คาร์โบไฮเดรตในข้าวสาลี(กลูเตน)

    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ

    Paa vill
    Zyem
    Synbc
    K cal
    Butterfly
    Cr. Santi Manadee
    #ลำไส้แปรปรวน - Irritable Bowel Syndrome (IBS) IBS เป็นกลุ่มอาการในลำไส้ที่อาจรวมถึงตะคริวในช่องท้อง ท้องร่วง ท้องผูก ท้องอืด และมีแก๊ส กลุ่มอาการในลำไส้มักเกิดขึ้นร่วมกันแต่ อาการจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงและระยะเวลาในแต่ละคน ประเภทของ IBS แบ่งตามอาการเฉพาะที่เกิดขึ้น เช่น อาการท้องผูกและน้ำหนักลด IBS อาจทำให้เกิดความเสียหายในลำไส้ได้และนี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จากการศึกษาปี 2022 IBS ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในทางเดินอาหาร แต่สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตของคุณ อาการของ IBS มักประกอบด้วย: • ตะคริว • อาการปวดท้อง • ท้องอืดและมีแก๊ส • อาการท้องผูก • ท้องเสีย • คลื่นไส้และอาเจียน • เหนื่อยล้าและอ่อนแรง • อารมณ์เปลี่ยนแปลง ซึมเศร้า และวิตกกังวล มีความแตกต่างบางอย่างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายสำหรับIBS IBS ในผู้หญิง IBS มีแนวโน้มที่จะพบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ โดยมักจะมีอาการปวดท้องและท้องผูกมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการมากขึ้นหรือแย่ลงในช่วงมีประจำเดือน IBS ในผู้ชาย อาการของ IBS ในเพศชายอาจเหมือนกับอาการในเพศหญิง แต่อาจเน้นไปที่อาการท้องเสียมากกว่าตามการวิจัย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ที่เป็นโรค IBS จะมีอาการท้องผูกและท้องร่วง อาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและมีแก๊สมักจะหายไปหลังจากที่คุณถ่ายอุจจาระ อาการไม่ได้เกิดขึ้นถาวรเสมอไป พวกเขาสามารถแก้ไขได้ อาการปวด IBS อาจรู้สึกเหมือนเป็นตะคริว เย็นวูบวาบ เสียวซ่าน คุณจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2 อย่างต่อไปนี้: • บรรเทาอาการปวดเล็กน้อยหลังการถ่ายอุจจาระ • ความถี่ในการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไป • รูปลักษณ์ของอุจจาระเปลี่ยนแปลงไป กระบวนการทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับ IBS อาจแตกต่างกันไป แต่อาจประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้: • การเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ช้าลงหรือกระตุก ทำให้เกิดตะคริวอย่างเจ็บปวด • ระดับเซโรโทนินในลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของลำไส้ สาเหตุของโรค สาเหตุที่เป็นไปได้ - ลำไส้ใหญ่หรือระบบภูมิคุ้มกันที่ไวเกินไปหลังการติดเชื้อเแบคทีเรียในทางเดินอาหาร - การรับประทานยาลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง - การรับประทานสมุนไพรเพื่อการขับถ่ายอาทิ มะขามแขก น้ำมันละหุ่ง เป็นต้น - การได้รับยาปฏิชีวนะ - การได้รับยาบางชนิดเพื่อรักษาสภาวะทางการแพทย์เป็นระยะเวลานาน - การขาดเมือกในลำไส้ -การขาดจุลชีพฝั่งดีในลำไส้ - การเริ่มต้นมื้ออาหารด้วยรสเผ็ดและรสเปรี้ยว - ความเครียดเรื้อรัง ระบบประสาทของคุณควบคุมการเคลื่อนไหวอัตโนมัติหรือการเคลื่อนไหวของระบบย่อยอาหารในระดับที่สูงมาก ซึ่งหมายความว่าความเครียดส่งผลต่อเส้นประสาท ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากเกินไป หากคุณมี IBS ลำไส้ใหญ่ของคุณอาจตอบสนองต่อการหยุดชะงักของระบบย่อยอาหารมากเกินไป เชื่อกันว่า IBS ได้รับผลกระทบจากระบบภูมิคุ้มกันซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากความเครียดเช่นกัน การวินิจฉัย แพทย์ของคุณอาจวินิจฉัย IBS ตามอาการของคุณได้ พวกเขายังอาจทำตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างน้อยหนึ่งขั้นตอนเพื่อแยกแยะสาเหตุที่เป็นไปได้อื่น ๆ ของอาการของคุณ: • กำหนดรูปแบบการรับประทานอาหารบางอย่างหรือหลีกเลี่ยงกลุ่มอาหารที่เฉพาะเจาะจงเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อแยกแยะการแพ้อาหาร • สั่งการทดสอบตัวอย่างอุจจาระของคุณเพื่อขจัดการติดเชื้อ • สั่งการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาภาวะโลหิตจางและขจัดโรคช่องท้อง • สั่งการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ โดยทั่วไปแพทย์ของคุณจะสั่งการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เฉพาะในกรณีที่สงสัยว่ามีอาการลำไส้ใหญ่บวม โรคลำไส้อักเสบ (โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบแบบเป็นแผล) หรือมะเร็งเป็นสาเหตุของอาการของคุณ อาหารอะไรบ้างที่กระตุ้นการเกิด IBS อาหารบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อยสำหรับผู้ป่วย IBS อาหารเหล่านี้บางชนิดอาจส่งผลต่อคุณมากกว่าอาหารอื่นๆ การจดบันทึกรายการอาหารไว้สักพักเพื่อเรียนรู้ว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดอาจช่วยได้ อาหารบางอย่างที่คุณอาจจำกัดหรือยกเว้น ได้แก่: • ถั่วทุกชนิดและทุกรูปแบบ • อาหารที่มีซอร์บิทอล แมนนิทอล หรือไซลิทอล • หัวหอม กระเทียม มะเขือ มะเขือเทศและผักที่มีรสเปรี้ยวหรือเผ็ด • ผลไม้ทุกชนิด • อาหารประเภทนม • เห็ดและยิสต์ การเยียวยาที่บ้าน การเยียวยาที่บ้านหรือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตบางอย่างอาจช่วยบรรเทาอาการ IBS ของคุณได้โดยไม่ต้องใช้ยา ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเหล่านี้ได้แก่: • มีส่วนร่วมในการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ • จำกัดการบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเนื่องจากคาเฟอีนไปกระตุ้นลำไส้ • การลดความเครียด (การบำบัดด้วยการพูดคุย การฝึกสติ การสะกดจิต และการฝึกสมาธิ) • รับประทานโปรไบโอติก ( จุลินทรีย์ "ดี" ที่มักพบในลำไส้) เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและแก็ส • เพิ่มปริมาณการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร หรืออาหารเสริม • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและรับประทานอย่างช้าๆ คุณอาจพบว่าการย่อยอาหารในปริมาณน้อยง่ายกว่าการรับประทานอาหารในปริมาณมาก • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว (2 ลิตร) (เช่น น้ำเปล่า ชาสมุนไพร น้ำซุป) เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ • ลองรับประทานอาหาร ที่มี FODMAP ต่ำในระยะสั้นเพื่อช่วยระบุอาหารที่กระตุ้นอาการ FODMAP เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเฉพาะที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการในลำไส้ อาหารที่มี FODMAP สูง ได้แก่ แอปเปิล หัวหอม กระเทียม ข้าวสาลี แล็กโทส แอลกอฮอล์และน้ำตาล • เลือกผักที่ปรุงสุกแล้วมากกว่าผักดิบ • เลือกโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่น ไข่ ไก่ ปลา และโยเกิร์ตธรรมดาที่ไม่มีแลคโตส • ปรุงอาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น การอบ การคั่ว การนึ่งและการต้ม สามารถช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงอาการไม่สบายตัวได้เช่นกัน • หากคุณมีอาการท้องผูก ควรพิจารณารับประทานใยอาหาร บางประเภท เช่น กระเจี๊ยบเขียว มันสําปะหลัง และไซเลียม หลีกเลี่ยงรำข้าวสาลีและลูกพรุน ซึ่งเป็นใยอาหารที่ย่อยง่าย อาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องอืดและปวดท้อง • จำกัด การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเช่น บร็อคโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี กะหล่ำบรัสเซลส์ หากผักหรือพืชเหล่านี้กระตุ้นให้คุณมีอาการ • จำกัดปริมาณ น้ำตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานเทียม เช่น ซอร์บิทอล แมนนิทอล ไซลิทอล มอลทิทอล และอีริทริทอล • หลีกเลี่ยงภาวะแพ้กลูเตนและโรคซีลิแอค บางคนอาจแพ้คาร์โบไฮเดรตในข้าวสาลี(กลูเตน) ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแนะนำ Paa vill Zyem Synbc K cal Butterfly Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1186 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิดแคปชั่นไม่ออก
    เอาสูตรจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปละกันนะคะ

    สิ่งที่ต้องเตรียม
    หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ขวด
    https://th.shp.ee/5Lj1TYa
    ขวด 1.5 ลิตร 1 ใบ
    ไข่ไก่ 1 ฟอง
    น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
    ผงชูรส 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำสะอาด 1-1.25 ลิตร

    วิธีทำ
    1) เติมน้ำปริมาตร 1 ลิตร หรือ 1.25 ลงในขวด 1.5 ลิตร
    2) เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทั้งขวด ลงในขวด 1.5 ลิตร
    3) ตอกไข่ไก่ลงในถ้วย ผสมน้ำปลาและผงชูรส ตีให้เข้ากัน (ใช้เป็นอาหารจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง)
    4) ใช้ช้อนตักส่วนผสมที่เข้ากันแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ กรอกลงในขวด 1.5 ลิตร
    5) นำขวดที่บรรจุเสร็จแล้ว วางไว้ในที่ร่มให้แสงส่องถึง

    หมายเหตุ
    เขย่าขวดเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย วันเว้นวัน ช่วยให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้รับอาหารได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การเพาะเชื้อสำเร็จเร็วขึ้นด้วยค่ะ
    คิดแคปชั่นไม่ออก 😅 เอาสูตรจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปละกันนะคะ สิ่งที่ต้องเตรียม หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ขวด 📌 https://th.shp.ee/5Lj1TYa ขวด 1.5 ลิตร 1 ใบ ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ผงชูรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 1-1.25 ลิตร วิธีทำ 1) เติมน้ำปริมาตร 1 ลิตร หรือ 1.25 ลงในขวด 1.5 ลิตร 2) เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทั้งขวด ลงในขวด 1.5 ลิตร 3) ตอกไข่ไก่ลงในถ้วย ผสมน้ำปลาและผงชูรส ตีให้เข้ากัน (ใช้เป็นอาหารจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง) 4) ใช้ช้อนตักส่วนผสมที่เข้ากันแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ กรอกลงในขวด 1.5 ลิตร 5) นำขวดที่บรรจุเสร็จแล้ว วางไว้ในที่ร่มให้แสงส่องถึง หมายเหตุ เขย่าขวดเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย วันเว้นวัน ช่วยให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้รับอาหารได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การเพาะเชื้อสำเร็จเร็วขึ้นด้วยค่ะ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิดแคปชั่นไม่ออก
    เอาสูตรจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปละกันนะคะ

    สิ่งที่ต้องเตรียม
    หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ขวด
    https://th.shp.ee/5Lj1TYa
    ขวด 1.5 ลิตร 1 ใบ
    ไข่ไก่ 1 ฟอง
    น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
    ผงชูรส 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำสะอาด 1-1.25 ลิตร

    วิธีทำ
    1) เติมน้ำปริมาตร 1 ลิตร หรือ 1.25 ลงในขวด 1.5 ลิตร
    2) เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทั้งขวด ลงในขวด 1.5 ลิตร
    3) ตอกไข่ไก่ลงในถ้วย ผสมน้ำปลาและผงชูรส ตีให้เข้ากัน (ใช้เป็นอาหารจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง)
    4) ใช้ช้อนตักส่วนผสมที่เข้ากันแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ กรอกลงในขวด 1.5 ลิตร
    5) นำขวดที่บรรจุเสร็จแล้ว วางไว้ในที่ร่มให้แสงส่องถึง

    หมายเหตุ
    เขย่าขวดเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย วันเว้นวัน ช่วยให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้รับอาหารได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การเพาะเชื้อสำเร็จเร็วขึ้นด้วยค่ะ
    คิดแคปชั่นไม่ออก 😅 เอาสูตรจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงไปละกันนะคะ สิ่งที่ต้องเตรียม หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ขวด 📌 https://th.shp.ee/5Lj1TYa ขวด 1.5 ลิตร 1 ใบ ไข่ไก่ 1 ฟอง น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ ผงชูรส 1 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 1-1.25 ลิตร วิธีทำ 1) เติมน้ำปริมาตร 1 ลิตร หรือ 1.25 ลงในขวด 1.5 ลิตร 2) เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทั้งขวด ลงในขวด 1.5 ลิตร 3) ตอกไข่ไก่ลงในถ้วย ผสมน้ำปลาและผงชูรส ตีให้เข้ากัน (ใช้เป็นอาหารจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง) 4) ใช้ช้อนตักส่วนผสมที่เข้ากันแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ กรอกลงในขวด 1.5 ลิตร 5) นำขวดที่บรรจุเสร็จแล้ว วางไว้ในที่ร่มให้แสงส่องถึง หมายเหตุ เขย่าขวดเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย วันเว้นวัน ช่วยให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้รับอาหารได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การเพาะเชื้อสำเร็จเร็วขึ้นด้วยค่ะ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 348 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts