• เมื่อเสียงสมน้ำหน้า เคล้าก่นด่า ดังกว่า... ตึก สตง. ถล่ม! วิกฤตศรัทธาหน่วยตรวจ ลืมสำรวจตัวเอง? ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง แต่ความเชื่อมั่น ในกระบวนการของภาครัฐเอง ก็สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ 😓

    🏢 เหตุการณ์ถล่ม ของตึกเดียวในประเทศไทย จากแผ่นดินไหว จุดชนวนคำถามถึงความโปร่งใส ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และทำให้หน่วยงาน “ผู้ตรวจ” กลายเป็น “ผู้ถูกตรวจสอบ” เสียเอง

    🔎 เมื่อคำถามไม่ได้มีแค่ “ทำไมตึกถล่ม” แต่เป็น “ใครจะรับผิดชอบ?” 28 มีนาคม 2568 เวลา 14.37 น. กรุงเทพฯ สะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ศูนย์กลางที่เมียนมา 🌏 ในขณะที่อาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ แกว่งไกวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ แต่กลับมีตึกหนึ่งที่ “พังลงทั้งหลัง” 😱 ตึกแห่งนั้นคือ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    เสียงระเบิดของโครงสร้างถล่มลงมา เสียงผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ... และเสียง “ประชาชน” ที่เริ่มตั้งคำถามดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ

    ทำไมตึกเดียวในไทยถึงถล่มทั้งหลัง?

    สตง. ไม่ตรวจสอบโครงการของตนเองหรือ?

    หรือระบบรัฐไทยล้มเหลวในระดับโครงสร้าง... ทั้งจริง ๆ และเชิงเปรียบเทียบ?

    📘 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ Office of the Auditor General of Thailand คือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 🇹🇭 มีภารกิจสำคัญในการตรวจสอบ การใช้เงินของภาครัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

    📌 ภารกิจหลักของ สตง.
    1. ตรวจสอบงบประมาณหน่วยงานรัฐ (Financial Audit)
    2. ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit)
    3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Performance Audit)

    นอกจากบทบาทในการตรวจสอบ สตง. ยังเสนอแนะการบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมจัดทำรายงานประจำปีต่อรัฐสภา และประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.audit.go.th เพื่อให้เกิด “ธรรมาภิบาล” ที่แท้จริง

    สตง. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ” แต่เมื่อสำนักงานของตัวเองถล่ม... ใครจะตรวจสอบ “ผู้ตรวจสอบ”?

    🧱 โครงการตึกใหม่ สตง. ต้นทุน 2,560 ล้านบาท แลกกับภาพลักษณ์องค์กร

    🏗️ ข้อมูลโครงการ
    สร้างที่:ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

    ขนาดอาคาร 30 ชั้น บนพื้นที่ 11 ไร่

    งบประมาณรวม 2,560 ล้านบาท

    ผู้รับเหมาคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด

    บริษัทควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู (PKW) ที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทพี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด

    การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 โดยตั้งเป้าเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคต 🌱

    แต่ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากสร้างมาได้เพียง 30%... ตึกก็ถล่มทั้งหลัง 😰

    💣 สาเหตุ? อุบัติเหตุ? หรือสะท้อนปัญหาลึกของระบบ?

    📍 แรงแผ่นดินไหว หรือโครงสร้างอ่อนแอ? แม้แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จะถือว่ารุนแรง แต่บริเวณกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจตุจักร ได้รับแรงสั่นสะเทือนประมาณ 5.1 เท่านั้น ซึ่งถือว่า ไม่แรงพอที่จะทำให้อาคารพังราบทั้งหลัง ตามมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง

    แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารพัง?

    วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน? 🧱

    โครงสร้างไม่รองรับแรงสั่น?

    ขั้นตอนตรวจสอบขาดความรัดกุม?

    จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในอาคารส่วนใหญ่ มาจากบริษัทต่างชาติ ที่ถูกสั่งปิดโรงงานในปลายปี 2567 เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ‼️

    🧪 ตรวจสอบวัสดุจริง กับข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นใจ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สวทช. และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบเหล็กเส้น จากสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เหล็ก 5 จาก 6 ประเภท มาจากโรงงานเดียวกัน โรงงานนี้เคยมีประวัติการระเบิด และเครนหล่น อีกทั้งยังเคยถูกสั่งปิดชั่วคราว จากเหตุผลด้านความปลอดภัย

    ❗ คำถามคือ เหล็กจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ ผ่านการอนุมัติเข้าโครงการระดับพันล้าน ได้อย่างไร?

    🧠 เมื่อ “ผู้ตรวจ” ลืม “ตรวจสอบตัวเอง”? กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบที่รัดกุม แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า…

    การประมูลมักให้น้ำหนักกับ “ราคาถูก” มากกว่าคุณภาพ ผู้รับเหมาจึงใช้วัสดุราคาต่ำกว่ามาตรฐาน การกำกับดูแลไม่ทั่วถึง เพราะผู้ควบคุมโครงการ ก็อยู่ภายใต้งบจำกัด

    น่าเจ็บปวดที่เหตุการณ์นี้เกิดกับ “สตง.” ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบของความโปร่งใส

    ⚖️ การเมืองในองค์กรอิสระ: อิสระจริง หรือเลือกกันเอง? โครงสร้าง คตง. และการสรรหา คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดย ส.ว. ปัจจุบันผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งโดย ส.ว. ชุดพิเศษ การแต่งตั้งกรรมการหลายคน มีข้อครหาว่าไม่โปร่งใส และถูกฟ้องต่อศาลปกครอง

    ⛔ จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึง “อิสรภาพ” ขององค์กรที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง

    📣 กระแสโซเชียล & ประชาชน “เสียงสมน้ำหน้า” ดังยิ่งกว่าความเศร้า ในขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังรอการกู้ร่างในซากตึก โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยเสียงแดกดัน เช่น

    “ผู้ตรวจ ลืมตรวจตึกตัวเอง”

    “สมน้ำหน้าที่พังเพราะไม่โปร่งใส”

    “เงินภาษีคนไทยพังลงต่อหน้า”

    คำพูดเหล่านี้อาจดูโหดร้าย แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่า “แม้แต่หน่วยงานตรวจสอบ ก็ยังไม่รอดจากระบบที่พัง”

    📉 วิกฤตศรัทธา & บทเรียนราคาแพง สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือชีวิต… แต่คือ ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐ

    🚨 บทเรียนสำคัญที่รัฐต้องรับให้ได้ การคัดเลือกผู้รับเหมา ควรมีระบบที่ยึด “คุณภาพ” เป็นหลัก ต้องมีการตรวจสอบหลายชั้น โดยอิสระจริง ๆ ปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพิ่มบทลงโทษกรณีวัสดุหรือผู้รับเหมาไม่ได้มาตรฐาน

    📌 จากตึกถล่ม สู่การตรวจสอบศรัทธาประชาชน เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดของประเทศไทย 🕯️ แต่ในขณะเดียวกัน... นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนระบบราชการ และการบริหารงบประมาณของรัฐอย่างแท้จริง

    อย่าให้เสียง “สมน้ำหน้า” ดังกลบเสียงของผู้เสียชีวิต อย่าให้ตึกที่พัง เป็นเพียงข่าวแค่ไม่กี่วัน แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สร้าง “การเปลี่ยนแปลง”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021119 เม.ย. 2568

    📢#ตึกสตงถล่ม #ผู้ตรวจถูกตรวจ #แผ่นดินไหว2568 #ข่าวด่วน #เหล็กไม่ได้มาตรฐาน #สตงคือใคร #ความโปร่งใสภาครัฐ #อาคารถล่มกรุงเทพ #ITDCREC #ข่าวไทย
    เมื่อเสียงสมน้ำหน้า เคล้าก่นด่า ดังกว่า... ตึก สตง. ถล่ม! วิกฤตศรัทธาหน่วยตรวจ ลืมสำรวจตัวเอง? ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง แต่ความเชื่อมั่น ในกระบวนการของภาครัฐเอง ก็สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ 😓 🏢 เหตุการณ์ถล่ม ของตึกเดียวในประเทศไทย จากแผ่นดินไหว จุดชนวนคำถามถึงความโปร่งใส ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และทำให้หน่วยงาน “ผู้ตรวจ” กลายเป็น “ผู้ถูกตรวจสอบ” เสียเอง 🔎 เมื่อคำถามไม่ได้มีแค่ “ทำไมตึกถล่ม” แต่เป็น “ใครจะรับผิดชอบ?” 28 มีนาคม 2568 เวลา 14.37 น. กรุงเทพฯ สะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ศูนย์กลางที่เมียนมา 🌏 ในขณะที่อาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ แกว่งไกวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ แต่กลับมีตึกหนึ่งที่ “พังลงทั้งหลัง” 😱 ตึกแห่งนั้นคือ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงระเบิดของโครงสร้างถล่มลงมา เสียงผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ... และเสียง “ประชาชน” ที่เริ่มตั้งคำถามดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ ทำไมตึกเดียวในไทยถึงถล่มทั้งหลัง? สตง. ไม่ตรวจสอบโครงการของตนเองหรือ? หรือระบบรัฐไทยล้มเหลวในระดับโครงสร้าง... ทั้งจริง ๆ และเชิงเปรียบเทียบ? 📘 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ Office of the Auditor General of Thailand คือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 🇹🇭 มีภารกิจสำคัญในการตรวจสอบ การใช้เงินของภาครัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 📌 ภารกิจหลักของ สตง. 1. ตรวจสอบงบประมาณหน่วยงานรัฐ (Financial Audit) 2. ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit) 3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Performance Audit) นอกจากบทบาทในการตรวจสอบ สตง. ยังเสนอแนะการบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมจัดทำรายงานประจำปีต่อรัฐสภา และประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.audit.go.th เพื่อให้เกิด “ธรรมาภิบาล” ที่แท้จริง สตง. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ” แต่เมื่อสำนักงานของตัวเองถล่ม... ใครจะตรวจสอบ “ผู้ตรวจสอบ”? 🧱 โครงการตึกใหม่ สตง. ต้นทุน 2,560 ล้านบาท แลกกับภาพลักษณ์องค์กร 🏗️ ข้อมูลโครงการ สร้างที่:ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ขนาดอาคาร 30 ชั้น บนพื้นที่ 11 ไร่ งบประมาณรวม 2,560 ล้านบาท ผู้รับเหมาคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู (PKW) ที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทพี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 โดยตั้งเป้าเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคต 🌱 แต่ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากสร้างมาได้เพียง 30%... ตึกก็ถล่มทั้งหลัง 😰 💣 สาเหตุ? อุบัติเหตุ? หรือสะท้อนปัญหาลึกของระบบ? 📍 แรงแผ่นดินไหว หรือโครงสร้างอ่อนแอ? แม้แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จะถือว่ารุนแรง แต่บริเวณกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจตุจักร ได้รับแรงสั่นสะเทือนประมาณ 5.1 เท่านั้น ซึ่งถือว่า ไม่แรงพอที่จะทำให้อาคารพังราบทั้งหลัง ตามมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารพัง? วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน? 🧱 โครงสร้างไม่รองรับแรงสั่น? ขั้นตอนตรวจสอบขาดความรัดกุม? จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในอาคารส่วนใหญ่ มาจากบริษัทต่างชาติ ที่ถูกสั่งปิดโรงงานในปลายปี 2567 เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ‼️ 🧪 ตรวจสอบวัสดุจริง กับข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นใจ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สวทช. และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบเหล็กเส้น จากสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เหล็ก 5 จาก 6 ประเภท มาจากโรงงานเดียวกัน โรงงานนี้เคยมีประวัติการระเบิด และเครนหล่น อีกทั้งยังเคยถูกสั่งปิดชั่วคราว จากเหตุผลด้านความปลอดภัย ❗ คำถามคือ เหล็กจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ ผ่านการอนุมัติเข้าโครงการระดับพันล้าน ได้อย่างไร? 🧠 เมื่อ “ผู้ตรวจ” ลืม “ตรวจสอบตัวเอง”? กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบที่รัดกุม แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า… การประมูลมักให้น้ำหนักกับ “ราคาถูก” มากกว่าคุณภาพ ผู้รับเหมาจึงใช้วัสดุราคาต่ำกว่ามาตรฐาน การกำกับดูแลไม่ทั่วถึง เพราะผู้ควบคุมโครงการ ก็อยู่ภายใต้งบจำกัด น่าเจ็บปวดที่เหตุการณ์นี้เกิดกับ “สตง.” ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบของความโปร่งใส ⚖️ การเมืองในองค์กรอิสระ: อิสระจริง หรือเลือกกันเอง? โครงสร้าง คตง. และการสรรหา คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดย ส.ว. ปัจจุบันผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งโดย ส.ว. ชุดพิเศษ การแต่งตั้งกรรมการหลายคน มีข้อครหาว่าไม่โปร่งใส และถูกฟ้องต่อศาลปกครอง ⛔ จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึง “อิสรภาพ” ขององค์กรที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง 📣 กระแสโซเชียล & ประชาชน “เสียงสมน้ำหน้า” ดังยิ่งกว่าความเศร้า ในขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังรอการกู้ร่างในซากตึก โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยเสียงแดกดัน เช่น “ผู้ตรวจ ลืมตรวจตึกตัวเอง” “สมน้ำหน้าที่พังเพราะไม่โปร่งใส” “เงินภาษีคนไทยพังลงต่อหน้า” คำพูดเหล่านี้อาจดูโหดร้าย แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่า “แม้แต่หน่วยงานตรวจสอบ ก็ยังไม่รอดจากระบบที่พัง” 📉 วิกฤตศรัทธา & บทเรียนราคาแพง สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือชีวิต… แต่คือ ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐ 🚨 บทเรียนสำคัญที่รัฐต้องรับให้ได้ การคัดเลือกผู้รับเหมา ควรมีระบบที่ยึด “คุณภาพ” เป็นหลัก ต้องมีการตรวจสอบหลายชั้น โดยอิสระจริง ๆ ปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพิ่มบทลงโทษกรณีวัสดุหรือผู้รับเหมาไม่ได้มาตรฐาน 📌 จากตึกถล่ม สู่การตรวจสอบศรัทธาประชาชน เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดของประเทศไทย 🕯️ แต่ในขณะเดียวกัน... นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนระบบราชการ และการบริหารงบประมาณของรัฐอย่างแท้จริง อย่าให้เสียง “สมน้ำหน้า” ดังกลบเสียงของผู้เสียชีวิต อย่าให้ตึกที่พัง เป็นเพียงข่าวแค่ไม่กี่วัน แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สร้าง “การเปลี่ยนแปลง” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021119 เม.ย. 2568 📢#ตึกสตงถล่ม #ผู้ตรวจถูกตรวจ #แผ่นดินไหว2568 #ข่าวด่วน #เหล็กไม่ได้มาตรฐาน #สตงคือใคร #ความโปร่งใสภาครัฐ #อาคารถล่มกรุงเทพ #ITDCREC #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • กิจการร่วมค้าฯ ไม่ยอมตุยเดี่ยว
    ลากสตง.ลงหลุมด้วย
    วัสดุก่อสร้างทั้งหมดได้รับการอนุมัติ-ตรวจสอบก่อนเข้าพื้นที่ก่อสร้างจากสตง.
    #7ดอกจิก
    กิจการร่วมค้าฯ ไม่ยอมตุยเดี่ยว ลากสตง.ลงหลุมด้วย วัสดุก่อสร้างทั้งหมดได้รับการอนุมัติ-ตรวจสอบก่อนเข้าพื้นที่ก่อสร้างจากสตง. #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตวิศวกร Apple Kong Long และ Wang Huanyu ตัดสินใจกลับจีนเพื่อเข้าร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Kong ได้รับตำแหน่งเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Fudan และ Wang ร่วมงานกับมหาวิทยาลัย Huazhong แนวโน้มนี้เกิดขึ้นขณะที่ จีนเร่งพัฒนาการผลิตชิปในประเทศ และสหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีให้จีน

    ✅ ใครคือ Kong Long—อดีตวิศวกร Apple ที่กลับจีน?
    - Kong Long เคยทำงานด้าน ชิปไร้สาย (Wireless Semiconductor) ที่ Apple
    - ล่าสุดเข้าร่วมเป็น นักวิจัยและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Fudan ในด้าน การออกแบบวงจรรวม RF และคอมพิวเตอร์ดิจิตอล-อนาล็อกแบบไฮบริด

    ✅ แนวโน้มวิศวกรจีนกลับประเทศเพิ่มขึ้น
    - หลายปีที่ผ่านมา วิศวกรที่ทำงานในสหรัฐฯ เริ่มกลับจีน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชิปของประเทศ
    - นโยบาย ควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ทำให้จีนต้องเร่งพึ่งพาความสามารถภายในประเทศ

    ✅ การศึกษาของ Kong Long บ่งบอกถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยี
    - จบการศึกษาด้าน Microelectronics จาก Shanghai Jiao Tong University
    - ได้ ปริญญาเอกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก University of California, Los Angeles (UCLA)
    - เคยทำงานที่ Oracle ในด้าน Mixed-Signal IC Design ก่อนเข้าสู่วงการเซมิคอนดักเตอร์ที่ Apple

    ✅ อดีตวิศวกร Apple อีกคนก็เพิ่งกลับจีนเพื่อเข้าร่วมการพัฒนาเทคโนโลยีชิป
    - Wang Huanyu ผู้พัฒนา ชิป Apple M3 และ M4 ลาออกจาก Apple เพื่อร่วมงานกับ School of Integrated Circuits ที่ Huazhong University of Science and Technology
    - การกลับมาของวิศวกรระดับสูงอาจเป็น สัญญาณว่าจีนกำลังเร่งขยายทีมงานภายในประเทศ

    ✅ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนอาจมีผลต่อการตัดสินใจของวิศวกรเหล่านี้
    - นักวิเคราะห์มองว่า แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้วิศวกรจีนที่ทำงานในบริษัทต่างชาติ ตัดสินใจลาออกและกลับประเทศ
    - อาจเป็นผลจากความตึงเครียดของ นโยบายป้องกันจีนจากการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง

    https://wccftech.com/ex-apple-engineer-returns-to-china-after-seven-years-to-fulfill-chipmaking-ambitions/
    อดีตวิศวกร Apple Kong Long และ Wang Huanyu ตัดสินใจกลับจีนเพื่อเข้าร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดย Kong ได้รับตำแหน่งเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Fudan และ Wang ร่วมงานกับมหาวิทยาลัย Huazhong แนวโน้มนี้เกิดขึ้นขณะที่ จีนเร่งพัฒนาการผลิตชิปในประเทศ และสหรัฐฯ มีมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีให้จีน ✅ ใครคือ Kong Long—อดีตวิศวกร Apple ที่กลับจีน? - Kong Long เคยทำงานด้าน ชิปไร้สาย (Wireless Semiconductor) ที่ Apple - ล่าสุดเข้าร่วมเป็น นักวิจัยและอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย Fudan ในด้าน การออกแบบวงจรรวม RF และคอมพิวเตอร์ดิจิตอล-อนาล็อกแบบไฮบริด ✅ แนวโน้มวิศวกรจีนกลับประเทศเพิ่มขึ้น - หลายปีที่ผ่านมา วิศวกรที่ทำงานในสหรัฐฯ เริ่มกลับจีน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมชิปของประเทศ - นโยบาย ควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ทำให้จีนต้องเร่งพึ่งพาความสามารถภายในประเทศ ✅ การศึกษาของ Kong Long บ่งบอกถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยี - จบการศึกษาด้าน Microelectronics จาก Shanghai Jiao Tong University - ได้ ปริญญาเอกด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจาก University of California, Los Angeles (UCLA) - เคยทำงานที่ Oracle ในด้าน Mixed-Signal IC Design ก่อนเข้าสู่วงการเซมิคอนดักเตอร์ที่ Apple ✅ อดีตวิศวกร Apple อีกคนก็เพิ่งกลับจีนเพื่อเข้าร่วมการพัฒนาเทคโนโลยีชิป - Wang Huanyu ผู้พัฒนา ชิป Apple M3 และ M4 ลาออกจาก Apple เพื่อร่วมงานกับ School of Integrated Circuits ที่ Huazhong University of Science and Technology - การกลับมาของวิศวกรระดับสูงอาจเป็น สัญญาณว่าจีนกำลังเร่งขยายทีมงานภายในประเทศ ✅ ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนอาจมีผลต่อการตัดสินใจของวิศวกรเหล่านี้ - นักวิเคราะห์มองว่า แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้วิศวกรจีนที่ทำงานในบริษัทต่างชาติ ตัดสินใจลาออกและกลับประเทศ - อาจเป็นผลจากความตึงเครียดของ นโยบายป้องกันจีนจากการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง https://wccftech.com/ex-apple-engineer-returns-to-china-after-seven-years-to-fulfill-chipmaking-ambitions/
    WCCFTECH.COM
    Former Apple Chip Engineer Returns To China And Joins The Country’s Silicon-Manufacturing Ambitions After Seven Years Of Working With The Trillion-Dollar Firm
    After working with Apple for seven years, a chip engineer has departed back to China, where he works on fulfilling the country’s chipmaking goals
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • SpaceX และ Apple อาจมีข้อพิพาทเกี่ยวกับคลื่นความถี่ดาวเทียม โดย SpaceX พยายาม กดดันหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ไม่ให้อนุญาตให้ Globalstar (ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Apple) ขยายการใช้คลื่นความถี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมของ iPhone หาก SpaceX ควบคุมตลาดมากเกินไป อาจทำให้บริการดาวเทียม มีราคาแพงขึ้น และเกิดจุดอับสัญญาณ ได้

    ✅ SpaceX เคยเจรจาร่วมมือกับ Apple แต่ล้มเหลว
    - ก่อนหน้านี้ SpaceX และ Apple เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมของ iPhone
    - อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ส่งผลให้ Apple หันไปใช้เครือข่ายดาวเทียมอื่นแทน SpaceX

    ✅ SpaceX ต้องการควบคุมคลื่นความถี่ให้มากที่สุด
    - ดาวเทียมทุกดวงใช้ คลื่นวิทยุส่งสัญญาณมายังโลก ซึ่งต้องมีการจัดสรรเพื่อให้สัญญาณไม่รบกวนกัน
    - หาก SpaceX ได้รับสิทธิ์ควบคุมคลื่นความถี่จำนวนมาก บริษัทอื่นจะ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ หรืออาจเกิด จุดอับสัญญาณ ในพื้นที่บางแห่ง

    ✅ การแข่งขันอุตสาหกรรมดาวเทียมอาจส่งผลต่อราคาบริการ
    - หาก SpaceX ครอบครองความถี่จำนวนมาก อาจทำให้เกิดสถานการณ์ กึ่งผูกขาด ซึ่งทำให้บริษัทสามารถ ตั้งราคาสูงขึ้นได้

    ✅ บริการ SOS ผ่านดาวเทียมของ iPhone อาจได้รับผลกระทบ
    - Apple ใช้ Globalstar สำหรับ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมบน iPhone ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
    - หาก SpaceX จำกัดการเข้าถึงคลื่นความถี่ Globalstar อาจ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ได้

    https://www.techradar.com/phones/iphone/spacex-and-apple-reported-spat-could-spell-bad-news-for-starlink-and-your-iphones-satellite-communication-features
    SpaceX และ Apple อาจมีข้อพิพาทเกี่ยวกับคลื่นความถี่ดาวเทียม โดย SpaceX พยายาม กดดันหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ไม่ให้อนุญาตให้ Globalstar (ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Apple) ขยายการใช้คลื่นความถี่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมของ iPhone หาก SpaceX ควบคุมตลาดมากเกินไป อาจทำให้บริการดาวเทียม มีราคาแพงขึ้น และเกิดจุดอับสัญญาณ ได้ ✅ SpaceX เคยเจรจาร่วมมือกับ Apple แต่ล้มเหลว - ก่อนหน้านี้ SpaceX และ Apple เคยพูดคุยกันเกี่ยวกับการทำงานร่วมกัน เพื่อสนับสนุนบริการสื่อสารผ่านดาวเทียมของ iPhone - อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ส่งผลให้ Apple หันไปใช้เครือข่ายดาวเทียมอื่นแทน SpaceX ✅ SpaceX ต้องการควบคุมคลื่นความถี่ให้มากที่สุด - ดาวเทียมทุกดวงใช้ คลื่นวิทยุส่งสัญญาณมายังโลก ซึ่งต้องมีการจัดสรรเพื่อให้สัญญาณไม่รบกวนกัน - หาก SpaceX ได้รับสิทธิ์ควบคุมคลื่นความถี่จำนวนมาก บริษัทอื่นจะ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ หรืออาจเกิด จุดอับสัญญาณ ในพื้นที่บางแห่ง ✅ การแข่งขันอุตสาหกรรมดาวเทียมอาจส่งผลต่อราคาบริการ - หาก SpaceX ครอบครองความถี่จำนวนมาก อาจทำให้เกิดสถานการณ์ กึ่งผูกขาด ซึ่งทำให้บริษัทสามารถ ตั้งราคาสูงขึ้นได้ ✅ บริการ SOS ผ่านดาวเทียมของ iPhone อาจได้รับผลกระทบ - Apple ใช้ Globalstar สำหรับ บริการฉุกเฉินผ่านดาวเทียมบน iPhone ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือแม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ - หาก SpaceX จำกัดการเข้าถึงคลื่นความถี่ Globalstar อาจ ไม่สามารถให้บริการที่มีคุณภาพ ได้ https://www.techradar.com/phones/iphone/spacex-and-apple-reported-spat-could-spell-bad-news-for-starlink-and-your-iphones-satellite-communication-features
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • Check Point Security ยืนยันว่าเหตุการณ์แฮกเกิดขึ้น แต่เป็นเหตุการณ์เก่าที่ได้รับการแก้ไขแล้ว แฮกเกอร์ CoreInjection อ้างว่ามีข้อมูลบัญชีผู้ใช้และเครือข่ายภายใน แต่ Check Point ปฏิเสธว่าข้อมูลที่ถูกแฮกไม่มีผลต่อระบบของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายไม่มั่นใจว่าคำอธิบายของ Check Point น่าเชื่อถือหรือไม่

    ✅ ข้อมูลที่แฮกเกอร์อ้างว่าได้ขโมยไป
    - แฮกเกอร์ CoreInjection อ้างว่าได้ข้อมูลที่มี บัญชีผู้ใช้, สัญญาพนักงาน และแผนที่เครือข่ายภายใน
    - ข้อมูลถูกโพสต์บน ฟอรั่มอาชญากรรมไซเบอร์ และเสนอขาย

    ✅ Check Point ยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์เก่า และได้รับการแก้ไขแล้ว
    - บริษัทระบุว่านี่เป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานแล้ว และส่งผลกระทบกับองค์กรเพียงไม่กี่แห่ง
    - ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบของลูกค้า หรือโครงสร้างด้านความปลอดภัย

    ✅ ผู้เชี่ยวชาญบางรายไม่มั่นใจในคำชี้แจงของ Check Point
    - Alon Gal CTO ของ Hudson Rock เชื่อว่าการแฮกครั้งนี้ มีโอกาสสูงที่จะจริง และผู้โจมตี อาจเข้าถึงบัญชีแอดมินที่มีสิทธิ์สูง
    - Check Point ปฏิเสธว่า ไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อบริษัทหรือพนักงาน

    ✅ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Check Point ในอดีต
    - ในปี 2024 มีรายงานว่าแฮกเกอร์พยายามใช้ช่องโหว่ใน Check Point VPN software เพื่อเข้าถึงระบบขององค์กร
    - การโจมตีเหล่านั้นถูกระงับได้ง่าย และมีการออกมาตรการแก้ไขอย่างรวดเร็ว

    https://www.techradar.com/pro/security/security-firm-check-point-confirms-data-breach-but-says-users-have-nothing-to-worry-about
    Check Point Security ยืนยันว่าเหตุการณ์แฮกเกิดขึ้น แต่เป็นเหตุการณ์เก่าที่ได้รับการแก้ไขแล้ว แฮกเกอร์ CoreInjection อ้างว่ามีข้อมูลบัญชีผู้ใช้และเครือข่ายภายใน แต่ Check Point ปฏิเสธว่าข้อมูลที่ถูกแฮกไม่มีผลต่อระบบของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางรายไม่มั่นใจว่าคำอธิบายของ Check Point น่าเชื่อถือหรือไม่ ✅ ข้อมูลที่แฮกเกอร์อ้างว่าได้ขโมยไป - แฮกเกอร์ CoreInjection อ้างว่าได้ข้อมูลที่มี บัญชีผู้ใช้, สัญญาพนักงาน และแผนที่เครือข่ายภายใน - ข้อมูลถูกโพสต์บน ฟอรั่มอาชญากรรมไซเบอร์ และเสนอขาย ✅ Check Point ยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์เก่า และได้รับการแก้ไขแล้ว - บริษัทระบุว่านี่เป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานแล้ว และส่งผลกระทบกับองค์กรเพียงไม่กี่แห่ง - ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบของลูกค้า หรือโครงสร้างด้านความปลอดภัย ✅ ผู้เชี่ยวชาญบางรายไม่มั่นใจในคำชี้แจงของ Check Point - Alon Gal CTO ของ Hudson Rock เชื่อว่าการแฮกครั้งนี้ มีโอกาสสูงที่จะจริง และผู้โจมตี อาจเข้าถึงบัญชีแอดมินที่มีสิทธิ์สูง - Check Point ปฏิเสธว่า ไม่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อบริษัทหรือพนักงาน ✅ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Check Point ในอดีต - ในปี 2024 มีรายงานว่าแฮกเกอร์พยายามใช้ช่องโหว่ใน Check Point VPN software เพื่อเข้าถึงระบบขององค์กร - การโจมตีเหล่านั้นถูกระงับได้ง่าย และมีการออกมาตรการแก้ไขอย่างรวดเร็ว https://www.techradar.com/pro/security/security-firm-check-point-confirms-data-breach-but-says-users-have-nothing-to-worry-about
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากการโจมตีทางไซเบอร์โดยกลุ่ม Salt Typhoon หลายฝ่ายเรียกร้องให้สหรัฐฯ ตอบโต้จีน อย่างไรก็ตาม Marcus Hutchins เตือนว่าการตอบโต้ไซเบอร์อาจทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการโจมตีครั้งใหญ่จากจีน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ล้าสมัยและไม่ได้รับการปกป้องที่เพียงพอ Hutchins เสนอให้สหรัฐฯ ลงทุนในระบบป้องกันไซเบอร์ก่อนดำเนินยุทธวิธีตอบโต้

    ✅ Salt Typhoon เจาะระบบผ่านช่องโหว่ของกฎหมาย CALEA
    - กฎหมาย Communications Assistance for Law Enforcement Act (CALEA) ที่ออกในปี 1994 กำหนดให้มี ช่องทางเข้าถึงข้อมูลสื่อสารของผู้ต้องสงสัย
    - อย่างไรก็ตาม ระบบที่ออกแบบเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามอาชญากร กลับกลายเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้โจมตี

    ✅ สหรัฐฯ มีขีดความสามารถในการโจมตีไซเบอร์ แต่ไม่พร้อมรับมือการตอบโต้จากจีน
    - Hutchins เตือนว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสหรัฐฯ ล้าสมัย และไม่ได้รับการปกป้องที่เพียงพอ
    - ะบบบางส่วน ไม่ได้รับการอัปเดตมานานกว่า 10 ปี ทำให้จีนสามารถใช้การโจมตีขนาดใหญ่เพื่อตอบโต้ได้ทันที

    ✅ จีนใช้เวลากว่าทศวรรษในการศึกษาระบบของสหรัฐฯ
    - นักวิเคราะห์เชื่อว่ากลุ่ม Typhoon ใช้การโจมตีขนาดเล็กเพื่อทดสอบความสามารถในการตอบโต้ของสหรัฐฯ
    - หากเกิดความขัดแย้งระดับสูง จีนสามารถใช้ข้อมูลที่เก็บสะสมไว้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำ

    ✅ ภาคเอกชนของสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการป้องกันที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
    - ในสหรัฐฯ แต่ละองค์กรต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ของตนเอง
    - Hutchins วิจารณ์ว่า ภาคเอกชนมักมองว่าการเพิกเฉยต่อการโจมตีไซเบอร์มีต้นทุนต่ำกว่าการป้องกัน

    ✅ ข้อเสนอให้สหรัฐฯ ปรับปรุงมาตรการป้องกันก่อนดำเนินยุทธวิธีตอบโต้
    - Hutchins ย้ำว่า สหรัฐฯ ควรสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งก่อนเข้าสู่สงครามไซเบอร์
    - นักวิเคราะห์หลายคนเห็นด้วยว่า การโจมตีจีนโดยไม่มีการป้องกันที่ดี อาจกลายเป็นหายนะสำหรับสหรัฐฯ เอง

    https://www.techradar.com/pro/security/american-cyber-brass-calls-for-retaliatory-strikes-against-china-but-is-the-us-really-ready
    หลังจากการโจมตีทางไซเบอร์โดยกลุ่ม Salt Typhoon หลายฝ่ายเรียกร้องให้สหรัฐฯ ตอบโต้จีน อย่างไรก็ตาม Marcus Hutchins เตือนว่าการตอบโต้ไซเบอร์อาจทำให้สหรัฐฯ เสี่ยงต่อการโจมตีครั้งใหญ่จากจีน เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ล้าสมัยและไม่ได้รับการปกป้องที่เพียงพอ Hutchins เสนอให้สหรัฐฯ ลงทุนในระบบป้องกันไซเบอร์ก่อนดำเนินยุทธวิธีตอบโต้ ✅ Salt Typhoon เจาะระบบผ่านช่องโหว่ของกฎหมาย CALEA - กฎหมาย Communications Assistance for Law Enforcement Act (CALEA) ที่ออกในปี 1994 กำหนดให้มี ช่องทางเข้าถึงข้อมูลสื่อสารของผู้ต้องสงสัย - อย่างไรก็ตาม ระบบที่ออกแบบเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามอาชญากร กลับกลายเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้โจมตี ✅ สหรัฐฯ มีขีดความสามารถในการโจมตีไซเบอร์ แต่ไม่พร้อมรับมือการตอบโต้จากจีน - Hutchins เตือนว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของสหรัฐฯ ล้าสมัย และไม่ได้รับการปกป้องที่เพียงพอ - ะบบบางส่วน ไม่ได้รับการอัปเดตมานานกว่า 10 ปี ทำให้จีนสามารถใช้การโจมตีขนาดใหญ่เพื่อตอบโต้ได้ทันที ✅ จีนใช้เวลากว่าทศวรรษในการศึกษาระบบของสหรัฐฯ - นักวิเคราะห์เชื่อว่ากลุ่ม Typhoon ใช้การโจมตีขนาดเล็กเพื่อทดสอบความสามารถในการตอบโต้ของสหรัฐฯ - หากเกิดความขัดแย้งระดับสูง จีนสามารถใช้ข้อมูลที่เก็บสะสมไว้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ได้อย่างแม่นยำ ✅ ภาคเอกชนของสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการป้องกันที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน - ในสหรัฐฯ แต่ละองค์กรต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยไซเบอร์ของตนเอง - Hutchins วิจารณ์ว่า ภาคเอกชนมักมองว่าการเพิกเฉยต่อการโจมตีไซเบอร์มีต้นทุนต่ำกว่าการป้องกัน ✅ ข้อเสนอให้สหรัฐฯ ปรับปรุงมาตรการป้องกันก่อนดำเนินยุทธวิธีตอบโต้ - Hutchins ย้ำว่า สหรัฐฯ ควรสร้างระบบป้องกันที่แข็งแกร่งก่อนเข้าสู่สงครามไซเบอร์ - นักวิเคราะห์หลายคนเห็นด้วยว่า การโจมตีจีนโดยไม่มีการป้องกันที่ดี อาจกลายเป็นหายนะสำหรับสหรัฐฯ เอง https://www.techradar.com/pro/security/american-cyber-brass-calls-for-retaliatory-strikes-against-china-but-is-the-us-really-ready
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • GL.iNet ได้เปิดตัว Slate 7 (GL-BE3600) ซึ่งเป็นเราเตอร์ Wi-Fi 7 แบบพกพาตัวแรกของโลก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับ 4K และ 8K streaming, การประชุมวิดีโอ และการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องใช้แบนด์วิดท์สูง Slate 7 มีคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง รวมถึง ซีพียู Qualcomm 1.1GHz quad-core, แรม 1GB DDR4 และหน่วยความจำแฟลช 512MB

    ✅ ความเร็ว Wi-Fi 7 ระดับสูงสุด—เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ
    - ความเร็ว 688 Mbps บนคลื่น 2.4GHz และ 2882 Mbps บนคลื่น 5GHz
    - เสาอากาศภายนอกพับเก็บได้ ช่วยขยายสัญญาณให้ครอบคลุมมากขึ้น

    ✅ รองรับการเชื่อมต่อแบบสายที่มีประสิทธิภาพสูง
    - มี พอร์ต WAN 2.5Gbps และ LAN 1Gbps เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเสถียร
    - รองรับ USB 3.0 สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหรือโมเด็ม

    ✅ ระบบ VPN ที่แข็งแกร่ง—ความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการเชื่อมต่อออนไลน์
    - รองรับ OpenVPN ความเร็วสูงสุด 100 Mbps และ WireGuard ที่ความเร็วสูงสุด 540 Mbps
    - สามารถเชื่อมต่อกับ บริการ VPN กว่า 30 แห่ง เพื่อปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ✅ พลังงานยืดหยุ่น—ใช้งานได้หลากหลาย
    - ใช้ พอร์ต USB-C และรองรับ แรงดันไฟฟ้าหลายระดับ (5V/3A, 9V/3A, 12V/2.5A)
    - สามารถใช้พลังงานจาก แล็ปท็อป, พาวเวอร์แบงก์ หรือสมาร์ทโฟน

    ✅ ฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการเครือข่ายขั้นสูง
    - ระบบ OpenWrt 23.05 พร้อม Kernel 5.4.213 ให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น การตรวจสอบการใช้แบนด์วิดท์ และกำหนดค่าฟีเจอร์ไฟร์วอลล์
    - ใช้ WPA3 encryption เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

    ✅ ราคาเป็นมิตรกับงบประมาณ—เข้าถึงได้ง่าย
    - ราคา $120 สำหรับการสั่งจองล่วงหน้า และ ราคาเต็มอยู่ที่ $149.90
    - การส่งมอบสินค้าเริ่มต้นใน เดือนพฤษภาคม 2025

    https://www.techradar.com/pro/heres-the-worlds-first-mobile-wi-fi-7-router-and-i-cant-believe-how-ridiculously-cheap-it-is
    GL.iNet ได้เปิดตัว Slate 7 (GL-BE3600) ซึ่งเป็นเราเตอร์ Wi-Fi 7 แบบพกพาตัวแรกของโลก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับ 4K และ 8K streaming, การประชุมวิดีโอ และการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องใช้แบนด์วิดท์สูง Slate 7 มีคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง รวมถึง ซีพียู Qualcomm 1.1GHz quad-core, แรม 1GB DDR4 และหน่วยความจำแฟลช 512MB ✅ ความเร็ว Wi-Fi 7 ระดับสูงสุด—เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ - ความเร็ว 688 Mbps บนคลื่น 2.4GHz และ 2882 Mbps บนคลื่น 5GHz - เสาอากาศภายนอกพับเก็บได้ ช่วยขยายสัญญาณให้ครอบคลุมมากขึ้น ✅ รองรับการเชื่อมต่อแบบสายที่มีประสิทธิภาพสูง - มี พอร์ต WAN 2.5Gbps และ LAN 1Gbps เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเสถียร - รองรับ USB 3.0 สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหรือโมเด็ม ✅ ระบบ VPN ที่แข็งแกร่ง—ความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการเชื่อมต่อออนไลน์ - รองรับ OpenVPN ความเร็วสูงสุด 100 Mbps และ WireGuard ที่ความเร็วสูงสุด 540 Mbps - สามารถเชื่อมต่อกับ บริการ VPN กว่า 30 แห่ง เพื่อปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ✅ พลังงานยืดหยุ่น—ใช้งานได้หลากหลาย - ใช้ พอร์ต USB-C และรองรับ แรงดันไฟฟ้าหลายระดับ (5V/3A, 9V/3A, 12V/2.5A) - สามารถใช้พลังงานจาก แล็ปท็อป, พาวเวอร์แบงก์ หรือสมาร์ทโฟน ✅ ฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการเครือข่ายขั้นสูง - ระบบ OpenWrt 23.05 พร้อม Kernel 5.4.213 ให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น การตรวจสอบการใช้แบนด์วิดท์ และกำหนดค่าฟีเจอร์ไฟร์วอลล์ - ใช้ WPA3 encryption เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ✅ ราคาเป็นมิตรกับงบประมาณ—เข้าถึงได้ง่าย - ราคา $120 สำหรับการสั่งจองล่วงหน้า และ ราคาเต็มอยู่ที่ $149.90 - การส่งมอบสินค้าเริ่มต้นใน เดือนพฤษภาคม 2025 https://www.techradar.com/pro/heres-the-worlds-first-mobile-wi-fi-7-router-and-i-cant-believe-how-ridiculously-cheap-it-is
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • Counterpoint Research รายงานว่า ยอดขายมือถือจอพับในปี 2025 อาจลดลง แม้ว่าจะเติบโตอย่างช้า ๆ ในปี 2024 โดยแบรนด์ใหญ่เช่น Samsung, Google, Oppo, Huawei และ Motorola ต่างก็ลงทุนในตลาดนี้อย่างหนัก แต่ยังไม่สามารถขยายฐานผู้ใช้ได้มากพอ นักวิเคราะห์คาดว่า หาก Apple เปิดตัว iPhone Fold ในปี 2026 อาจช่วยพลิกตลาดได้

    ✅ มือถือจอพับยังคงเป็นกลุ่มเล็กในตลาดสมาร์ทโฟน
    - แม้ว่าหลายแบรนด์จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ ยอดขายมือถือจอพับไม่เคยเกิน 2% ของตลาดสมาร์ทโฟนทั้งหมด
    - ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สนใจคือ ราคาสูงและขาดจุดขายที่ดึงดูดพอ

    ✅ แบรนด์ต่าง ๆ ยังคงลงทุน แม้ผู้ใช้ยังไม่ตอบรับเต็มที่
    - Honor และ Oppo มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยขยายตลาดมือถือจอพับ แต่ ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในจีนและยุโรป
    - นักวิเคราะห์มองว่า ปี 2026 จะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด โดยเฉพาะเมื่อ Apple เข้าสู่ตลาด

    ✅ Apple อาจเปิดตัว iPhone Fold ในปี 2026
    - Apple มัก รอให้ตลาดมีความชัดเจนก่อน แล้วค่อยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างดี
    - มีข่าวลือว่า iPhone Fold อาจใช้บานพับโลหะเหลวและดีไซน์บางเป็นพิเศษ
    - นักวิเคราะห์คาดว่า Apple อาจเลือกทำมือถือพับแบบฝาพับแทนที่จะเป็นแท็บเล็ตพับ เพื่อให้มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า

    ✅ ราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดมือถือจอพับ
    - คาดว่า iPhone Fold อาจมีราคา ประมาณ $2,000 ซึ่งยังคงสูงมาก
    - แม้ว่าราคาอาจลดลงเมื่อเทคโนโลยีมีความแพร่หลายขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะลดลงแค่ไหน

    https://www.techradar.com/phones/iphone/foldable-phone-sales-are-tipped-to-fall-this-year-and-apple-is-the-only-brand-that-could-turn-things-around
    Counterpoint Research รายงานว่า ยอดขายมือถือจอพับในปี 2025 อาจลดลง แม้ว่าจะเติบโตอย่างช้า ๆ ในปี 2024 โดยแบรนด์ใหญ่เช่น Samsung, Google, Oppo, Huawei และ Motorola ต่างก็ลงทุนในตลาดนี้อย่างหนัก แต่ยังไม่สามารถขยายฐานผู้ใช้ได้มากพอ นักวิเคราะห์คาดว่า หาก Apple เปิดตัว iPhone Fold ในปี 2026 อาจช่วยพลิกตลาดได้ ✅ มือถือจอพับยังคงเป็นกลุ่มเล็กในตลาดสมาร์ทโฟน - แม้ว่าหลายแบรนด์จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ ยอดขายมือถือจอพับไม่เคยเกิน 2% ของตลาดสมาร์ทโฟนทั้งหมด - ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สนใจคือ ราคาสูงและขาดจุดขายที่ดึงดูดพอ ✅ แบรนด์ต่าง ๆ ยังคงลงทุน แม้ผู้ใช้ยังไม่ตอบรับเต็มที่ - Honor และ Oppo มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ช่วยขยายตลาดมือถือจอพับ แต่ ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในจีนและยุโรป - นักวิเคราะห์มองว่า ปี 2026 จะเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด โดยเฉพาะเมื่อ Apple เข้าสู่ตลาด ✅ Apple อาจเปิดตัว iPhone Fold ในปี 2026 - Apple มัก รอให้ตลาดมีความชัดเจนก่อน แล้วค่อยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบอย่างดี - มีข่าวลือว่า iPhone Fold อาจใช้บานพับโลหะเหลวและดีไซน์บางเป็นพิเศษ - นักวิเคราะห์คาดว่า Apple อาจเลือกทำมือถือพับแบบฝาพับแทนที่จะเป็นแท็บเล็ตพับ เพื่อให้มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า ✅ ราคายังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดตลาดมือถือจอพับ - คาดว่า iPhone Fold อาจมีราคา ประมาณ $2,000 ซึ่งยังคงสูงมาก - แม้ว่าราคาอาจลดลงเมื่อเทคโนโลยีมีความแพร่หลายขึ้น แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะลดลงแค่ไหน https://www.techradar.com/phones/iphone/foldable-phone-sales-are-tipped-to-fall-this-year-and-apple-is-the-only-brand-that-could-turn-things-around
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยจาก Sucuri พบว่าผู้โจมตีกำลังใช้ mu-plugins (Must-Use Plugins) ของ WordPress เป็นช่องทางแอบซ่อน โค้ดอันตราย ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ ฝังมัลแวร์, แสดงโฆษณาสแปม, รีไดเรกต์ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ปลอม และรันโค้ดระยะไกล โดยที่เจ้าของเว็บไซต์อาจไม่ทันสังเกต

    ✅ mu-plugins ทำงานอย่างไร และทำไมถึงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์?
    - mu-plugins เป็นปลั๊กอินที่ เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติและไม่สามารถปิดได้จากแผงควบคุม WordPress
    - ปลั๊กอินเหล่านี้มักใช้เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ เช่น การปรับแต่งประสิทธิภาพและการจัดการระบบ

    ✅ ตัวอย่างมัลแวร์ที่ถูกค้นพบ
    - redirect.php: รีไดเรกต์ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ปลอม
    - index.php: เปิดช่องทางให้รันโค้ดระยะไกลและปล่อยมัลแวร์ลงเครื่องเป้าหมาย
    - custom-js-loader.php: ฉีดโค้ด JavaScript สแปมเข้าไปในหน้าเว็บ

    ✅ เว็บไซต์ถูกแฮกได้อย่างไร?
    - ใช้ปลั๊กอินหรือธีมที่มีช่องโหว่
    - แฮกผ่านรหัสผ่านของแอดมินที่ไม่แข็งแกร่งพอ
    - เซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งที่มีการรักษาความปลอดภัยต่ำ

    ✅ แนวทางป้องกันสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์
    - สแกนหาไฟล์อันตรายใน mu-plugins directory
    - ตรวจสอบบัญชีแอดมินที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต
    - อัปเดต WordPress, ปลั๊กอิน และธีมให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    - เปลี่ยนรหัสผ่านของแอดมินและเปิดใช้งาน 2FA (Two-Factor Authentication)
    - ติดตั้งปลั๊กอินความปลอดภัยเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟล์

    https://www.techradar.com/pro/security/a-popular-wordpress-plugin-has-been-hijacked-to-show-malicious-code-spam-images
    นักวิจัยจาก Sucuri พบว่าผู้โจมตีกำลังใช้ mu-plugins (Must-Use Plugins) ของ WordPress เป็นช่องทางแอบซ่อน โค้ดอันตราย ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์ ฝังมัลแวร์, แสดงโฆษณาสแปม, รีไดเรกต์ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ปลอม และรันโค้ดระยะไกล โดยที่เจ้าของเว็บไซต์อาจไม่ทันสังเกต ✅ mu-plugins ทำงานอย่างไร และทำไมถึงเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์? - mu-plugins เป็นปลั๊กอินที่ เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติและไม่สามารถปิดได้จากแผงควบคุม WordPress - ปลั๊กอินเหล่านี้มักใช้เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ เช่น การปรับแต่งประสิทธิภาพและการจัดการระบบ ✅ ตัวอย่างมัลแวร์ที่ถูกค้นพบ - redirect.php: รีไดเรกต์ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ปลอม - index.php: เปิดช่องทางให้รันโค้ดระยะไกลและปล่อยมัลแวร์ลงเครื่องเป้าหมาย - custom-js-loader.php: ฉีดโค้ด JavaScript สแปมเข้าไปในหน้าเว็บ ✅ เว็บไซต์ถูกแฮกได้อย่างไร? - ใช้ปลั๊กอินหรือธีมที่มีช่องโหว่ - แฮกผ่านรหัสผ่านของแอดมินที่ไม่แข็งแกร่งพอ - เซิร์ฟเวอร์โฮสติ้งที่มีการรักษาความปลอดภัยต่ำ ✅ แนวทางป้องกันสำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์ - สแกนหาไฟล์อันตรายใน mu-plugins directory - ตรวจสอบบัญชีแอดมินที่ถูกสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต - อัปเดต WordPress, ปลั๊กอิน และธีมให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด - เปลี่ยนรหัสผ่านของแอดมินและเปิดใช้งาน 2FA (Two-Factor Authentication) - ติดตั้งปลั๊กอินความปลอดภัยเพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของไฟล์ https://www.techradar.com/pro/security/a-popular-wordpress-plugin-has-been-hijacked-to-show-malicious-code-spam-images
    WWW.TECHRADAR.COM
    A key WordPress feature has been hijacked to show malicious code, spam images
    A directory hosting essential plugins is a great place to store malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • APIsec ซึ่งเป็นบริษัทด้าน API Security Testing พบว่าฐานข้อมูลลูกค้าของตนถูกเปิดให้เข้าถึงโดยไม่มีรหัสผ่าน นักวิจัยจาก UpGuard ค้นพบและแจ้งเตือน APIsec ซึ่งได้ล็อกระบบหลังจากปล่อยให้ข้อมูลเปิดเป็นเวลาหลายวัน แม้ว่า APIsec จะพยายามลดความสำคัญของเหตุการณ์นี้ในตอนแรก แต่ต่อมายอมรับว่าข้อมูลลูกค้าถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตาม APIsec ยังไม่เปิดเผยจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ หรือสำเนาจดหมายแจ้งเหตุการณ์นี้

    ✅ ข้อมูลที่หลุดออกมา
    - ข้อมูลประกอบด้วย ชื่อผู้ใช้, อีเมล และรายละเอียดเกี่ยวกับระดับความปลอดภัยของ API
    - มีข้อมูลเกี่ยวกับว่า แต่ละบัญชีเปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) หรือไม่ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับแฮกเกอร์

    ✅ APIsec เคยพยายามลดความสำคัญของเหตุการณ์นี้
    - ในช่วงแรก APIsec กล่าวว่าฐานข้อมูลที่หลุดออกมาเป็นเพียง "ข้อมูลทดสอบ" และไม่ใช่ข้อมูลลูกค้าจริง
    - อย่างไรก็ตาม หลังจาก UpGuard นำหลักฐานมายืนยัน APIsec ยอมรับว่ามีข้อมูลของลูกค้ารวมอยู่ด้วย

    ✅ ยังไม่มีข้อมูลว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนเท่าใด
    - APIsec แจ้งว่าตนได้ แจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ แต่ไม่ได้เปิดเผยจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ
    - ไม่ได้เผยแพร่สำเนาของจดหมายแจ้งเหตุการณ์ที่ส่งให้ลูกค้า

    ✅ ปัญหาฐานข้อมูลที่ไม่มีการป้องกัน—ภัยคุกคามสำคัญที่องค์กรควรระวัง
    - บริษัทรวมถึง APIsec ใช้ Cloud Hosting ซึ่งต้องมีการป้องกันเป็นพิเศษ
    - ระบบ Cloud ใช้ Shared Responsibility Model—องค์กรต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งของความปลอดภัยเอง
    - ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยในหลายบริษัทที่ไม่กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพียงพอ


    https://www.techradar.com/pro/security/top-api-testing-firm-apisec-exposed-customer-data-during-security-lapse
    APIsec ซึ่งเป็นบริษัทด้าน API Security Testing พบว่าฐานข้อมูลลูกค้าของตนถูกเปิดให้เข้าถึงโดยไม่มีรหัสผ่าน นักวิจัยจาก UpGuard ค้นพบและแจ้งเตือน APIsec ซึ่งได้ล็อกระบบหลังจากปล่อยให้ข้อมูลเปิดเป็นเวลาหลายวัน แม้ว่า APIsec จะพยายามลดความสำคัญของเหตุการณ์นี้ในตอนแรก แต่ต่อมายอมรับว่าข้อมูลลูกค้าถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตาม APIsec ยังไม่เปิดเผยจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ หรือสำเนาจดหมายแจ้งเหตุการณ์นี้ ✅ ข้อมูลที่หลุดออกมา - ข้อมูลประกอบด้วย ชื่อผู้ใช้, อีเมล และรายละเอียดเกี่ยวกับระดับความปลอดภัยของ API - มีข้อมูลเกี่ยวกับว่า แต่ละบัญชีเปิดใช้การยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) หรือไม่ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับแฮกเกอร์ ✅ APIsec เคยพยายามลดความสำคัญของเหตุการณ์นี้ - ในช่วงแรก APIsec กล่าวว่าฐานข้อมูลที่หลุดออกมาเป็นเพียง "ข้อมูลทดสอบ" และไม่ใช่ข้อมูลลูกค้าจริง - อย่างไรก็ตาม หลังจาก UpGuard นำหลักฐานมายืนยัน APIsec ยอมรับว่ามีข้อมูลของลูกค้ารวมอยู่ด้วย ✅ ยังไม่มีข้อมูลว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนเท่าใด - APIsec แจ้งว่าตนได้ แจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ แต่ไม่ได้เปิดเผยจำนวนคนที่ได้รับผลกระทบ - ไม่ได้เผยแพร่สำเนาของจดหมายแจ้งเหตุการณ์ที่ส่งให้ลูกค้า ✅ ปัญหาฐานข้อมูลที่ไม่มีการป้องกัน—ภัยคุกคามสำคัญที่องค์กรควรระวัง - บริษัทรวมถึง APIsec ใช้ Cloud Hosting ซึ่งต้องมีการป้องกันเป็นพิเศษ - ระบบ Cloud ใช้ Shared Responsibility Model—องค์กรต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่งของความปลอดภัยเอง - ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยในหลายบริษัทที่ไม่กำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดเพียงพอ https://www.techradar.com/pro/security/top-api-testing-firm-apisec-exposed-customer-data-during-security-lapse
    WWW.TECHRADAR.COM
    Top API testing firm APIsec exposed customer data during security lapse
    Unprotected APIsec database found sitting unprotected online
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่า Florida Department of State ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการเลือกตั้ง การลงทะเบียนบริษัท และบริการสาธารณะอื่น ๆ ถูกแฮก โดยผู้โจมตีอ้างว่า ได้ขโมยข้อมูลกว่า 568,835 รายการ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนจำนวนมาก

    ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีอะไรบ้าง?
    - รายงานระบุว่า ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่ไปรษณีย์ และอีเมล ถูกดึงออกจากระบบ
    - อีเมลถือเป็น ข้อมูลที่อ่อนไหว เพราะอาจถูกใช้เพื่อ โจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยแฮกเกอร์สามารถปลอมแปลงเป็นหน่วยงานรัฐเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม

    ✅ ผลกระทบจากการรั่วไหลของที่อยู่ไปรษณีย์
    - นักวิเคราะห์จาก Incogni เตือนว่า ข้อมูลที่อยู่ไปรษณีย์อาจถูกใช้ในการปลอมแปลงตัวตนหรือก่ออาชญากรรมอื่น ๆ
    - เจ้าหน้าที่รัฐอาจตกอยู่ในความเสี่ยงจากการถูกคุกคามหรือการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล

    ✅ ยังไม่มีการยืนยันจากทางการ
    - ขณะนี้ Florida Department of State ยังไม่ได้ออกมายอมรับหรือปฏิเสธว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
    - เว็บไซต์ที่ติดตามเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลอย่าง Have I Been Pwned? ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีนี้

    ✅ แนวทางป้องกันสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ
    - เปลี่ยนรหัสผ่านทันที แม้ว่าไม่มีรายงานว่ารหัสผ่านถูกขโมย
    - หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันกับหลายเว็บไซต์
    - ตรวจสอบอีเมลที่ได้รับ หากพบว่ามีอีเมลจากหน่วยงานรัฐที่น่าสงสัย ควรระวังการหลอกลวง
    - ติดตามบัญชีธนาคารและข้อมูลเครดิต เพื่อป้องกันการโจรกรรมทางการเงิน

    https://www.techradar.com/pro/security/florida-department-of-state-data-breach-may-have-exposed-information-of-500-000-people
    มีรายงานว่า Florida Department of State ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการเลือกตั้ง การลงทะเบียนบริษัท และบริการสาธารณะอื่น ๆ ถูกแฮก โดยผู้โจมตีอ้างว่า ได้ขโมยข้อมูลกว่า 568,835 รายการ ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนตัวของประชาชนจำนวนมาก ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมยมีอะไรบ้าง? - รายงานระบุว่า ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่ไปรษณีย์ และอีเมล ถูกดึงออกจากระบบ - อีเมลถือเป็น ข้อมูลที่อ่อนไหว เพราะอาจถูกใช้เพื่อ โจมตีแบบฟิชชิ่ง โดยแฮกเกอร์สามารถปลอมแปลงเป็นหน่วยงานรัฐเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม ✅ ผลกระทบจากการรั่วไหลของที่อยู่ไปรษณีย์ - นักวิเคราะห์จาก Incogni เตือนว่า ข้อมูลที่อยู่ไปรษณีย์อาจถูกใช้ในการปลอมแปลงตัวตนหรือก่ออาชญากรรมอื่น ๆ - เจ้าหน้าที่รัฐอาจตกอยู่ในความเสี่ยงจากการถูกคุกคามหรือการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล ✅ ยังไม่มีการยืนยันจากทางการ - ขณะนี้ Florida Department of State ยังไม่ได้ออกมายอมรับหรือปฏิเสธว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น - เว็บไซต์ที่ติดตามเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลอย่าง Have I Been Pwned? ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีนี้ ✅ แนวทางป้องกันสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบ - เปลี่ยนรหัสผ่านทันที แม้ว่าไม่มีรายงานว่ารหัสผ่านถูกขโมย - หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันกับหลายเว็บไซต์ - ตรวจสอบอีเมลที่ได้รับ หากพบว่ามีอีเมลจากหน่วยงานรัฐที่น่าสงสัย ควรระวังการหลอกลวง - ติดตามบัญชีธนาคารและข้อมูลเครดิต เพื่อป้องกันการโจรกรรมทางการเงิน https://www.techradar.com/pro/security/florida-department-of-state-data-breach-may-have-exposed-information-of-500-000-people
    WWW.TECHRADAR.COM
    Florida Department of State data breach may have exposed information of 500,000 people
    Hacker claims to have stolen hundreds of thousands of email addresses
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงขลาก็มี! 2 โครงการใหญ่ “ไชน่า เรลเวย์ 10” รับเหมา เพจดังแฉไม่มีวิศวกรสามัญคุมงาน
    https://www.thai-tai.tv/news/17982/
    สงขลาก็มี! 2 โครงการใหญ่ “ไชน่า เรลเวย์ 10” รับเหมา เพจดังแฉไม่มีวิศวกรสามัญคุมงาน https://www.thai-tai.tv/news/17982/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ChatGPT 4o เปิดให้ใช้ฟรีในการสร้างภาพแล้ว โดยสามารถ เปลี่ยนพื้นหลัง, สร้างภาพจากไอเดียใหม่ และปรับอารมณ์ภาพ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ฟรี เช่น สามารถสร้างภาพได้เพียง 3 ครั้งต่อวัน และ ข้อจำกัดในการอัปโหลดรูปภาพเพื่อแก้ไข หากต้องการใช้งานเพิ่มเติม อาจต้องสมัครสมาชิกแบบเสียเงิน

    ✅ การสร้างภาพและแก้ไขพื้นหลัง
    - ChatGPT 4o สามารถ เปลี่ยนพื้นหลังของภาพได้อย่างแม่นยำ โดยตรวจจับวัตถุหลักและสร้างฉากที่เข้ากัน
    - ตัวอย่างเช่น เมื่อนำภาพของ French Bulldog ไปให้ AI และสั่งเปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด ChatGPT สามารถสร้างภาพใหม่ได้อย่างสมจริง

    ✅ ใช้ภาพอ้างอิงเพื่อสร้างภาพใหม่
    - ผู้ใช้สามารถให้ ChatGPT ใช้ภาพเดิมเป็นต้นแบบ และสร้างภาพใหม่ตามไอเดียที่ต้องการ
    - ตัวอย่างเช่น เมื่อให้ภาพของสุนัข และสั่งให้มัน แต่งตัวเป็นกบแล้วขี่สเก็ตบอร์ด AI สามารถสร้างภาพตามคำสั่งได้

    ✅ ปรับอารมณ์ของภาพ
    - AI สามารถปรับอารมณ์ของภาพได้ เช่น เปลี่ยนให้ สุนัขที่ดูเศร้าเป็นสุนัขที่ดูมีความสุข โดยใช้เทคนิคการปรับแต่งใบหน้า

    ✅ ข้อจำกัดของผู้ใช้ฟรี
    - OpenAI กำหนดให้ ผู้ใช้ฟรีสามารถสร้างภาพได้เพียง 3 ครั้งต่อวัน
    - นอกจากนี้ มีข้อจำกัดเกี่ยวกับ จำนวนครั้งที่สามารถอัปโหลดภาพเพื่อแก้ไข

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-4os-image-generation-is-now-free-for-everyone-3-ways-to-use-the-new-ai-tool-without-following-the-studio-ghibli-herd
    ChatGPT 4o เปิดให้ใช้ฟรีในการสร้างภาพแล้ว โดยสามารถ เปลี่ยนพื้นหลัง, สร้างภาพจากไอเดียใหม่ และปรับอารมณ์ภาพ อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ฟรี เช่น สามารถสร้างภาพได้เพียง 3 ครั้งต่อวัน และ ข้อจำกัดในการอัปโหลดรูปภาพเพื่อแก้ไข หากต้องการใช้งานเพิ่มเติม อาจต้องสมัครสมาชิกแบบเสียเงิน ✅ การสร้างภาพและแก้ไขพื้นหลัง - ChatGPT 4o สามารถ เปลี่ยนพื้นหลังของภาพได้อย่างแม่นยำ โดยตรวจจับวัตถุหลักและสร้างฉากที่เข้ากัน - ตัวอย่างเช่น เมื่อนำภาพของ French Bulldog ไปให้ AI และสั่งเปลี่ยนพื้นหลังเป็นชายหาด ChatGPT สามารถสร้างภาพใหม่ได้อย่างสมจริง ✅ ใช้ภาพอ้างอิงเพื่อสร้างภาพใหม่ - ผู้ใช้สามารถให้ ChatGPT ใช้ภาพเดิมเป็นต้นแบบ และสร้างภาพใหม่ตามไอเดียที่ต้องการ - ตัวอย่างเช่น เมื่อให้ภาพของสุนัข และสั่งให้มัน แต่งตัวเป็นกบแล้วขี่สเก็ตบอร์ด AI สามารถสร้างภาพตามคำสั่งได้ ✅ ปรับอารมณ์ของภาพ - AI สามารถปรับอารมณ์ของภาพได้ เช่น เปลี่ยนให้ สุนัขที่ดูเศร้าเป็นสุนัขที่ดูมีความสุข โดยใช้เทคนิคการปรับแต่งใบหน้า ✅ ข้อจำกัดของผู้ใช้ฟรี - OpenAI กำหนดให้ ผู้ใช้ฟรีสามารถสร้างภาพได้เพียง 3 ครั้งต่อวัน - นอกจากนี้ มีข้อจำกัดเกี่ยวกับ จำนวนครั้งที่สามารถอัปโหลดภาพเพื่อแก้ไข https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/chatgpt-4os-image-generation-is-now-free-for-everyone-3-ways-to-use-the-new-ai-tool-without-following-the-studio-ghibli-herd
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC กำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับ การทดลองผลิตชิป 1.4 nm ที่โรงงาน P2 Baoshan โดยแผนนี้เป็นการต่อยอดจาก 2 nm ที่กำลังเข้าสู่ Mass Production ในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า โรงงาน P3 และ P4 จะเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 และ P1 อาจเริ่มการผลิตทดสอบได้ในปี 2027 ขณะที่ Intel และ Samsung กำลังเร่งพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC

    ✅ P2 Baoshan จะเป็นศูนย์กลางการทดลองผลิตก่อนขยายไปยัง P3 และ P4
    - TSMC วางแผนใช้ โรงงาน Fab 20 ใน Baoshan สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 nm
    - แหล่งข่าวระบุว่า โรงงาน P3 และ P4 อาจเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027

    ✅ TSMC เร่งพัฒนา 2 nm พร้อมเตรียมขยายไปสู่ 1.4 nm
    - กระบวนการผลิต 2 nm (N2) กำลังจะเข้าสู่ Mass Production ในครึ่งหลังของปี 2025
    - การทดลองผลิต 1.4 nm จะเป็นการต่อยอดจาก N2 และขยายไปยังโรงงานอื่น ๆ ในอนาคต

    ✅ โรงงาน Fab 25 อาจมีส่วนร่วมในการทดลองผลิต 1.4 nm ด้วย
    - รายงานระบุว่า Fab 25 ใน Central Taiwan Science Park อาจเข้าร่วมโครงการนี้
    - มีการคาดการณ์ว่า 4 โรงงานจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาชิป 1.4 nm

    ✅ แหล่งข่าวคาดว่า "P1" จะเริ่มการผลิตทดสอบภายในปี 2027
    - ตามข้อมูลของ TrendForce กระบวนการ Risk Trial Production ของ P1 จะเริ่มในปี 2027
    - อาจมีการผลิตเต็มรูปแบบในปีถัดไป เพื่อเข้าสู่ตลาดในปี 2028

    ✅ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้มข้นขึ้น
    - Intel และ Samsung กำลังพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC
    - นักวิเคราะห์จาก TechInsights คาดว่า N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงกว่าคู่แข่ง
    - อัตรา High-Density (HD) Cell Density ของ N2 สูงถึง 313 MTr/mm² ขณะที่ Intel 18A มี 238 MTr/mm² และ Samsung SF2/SF3P อยู่ที่ 231 MTr/mm²

    https://www.techpowerup.com/334931/tsmc-reportedly-preparing-new-equipment-for-1-4-nm-trial-run-at-p2-baoshan-plant
    TSMC กำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับ การทดลองผลิตชิป 1.4 nm ที่โรงงาน P2 Baoshan โดยแผนนี้เป็นการต่อยอดจาก 2 nm ที่กำลังเข้าสู่ Mass Production ในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า โรงงาน P3 และ P4 จะเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 และ P1 อาจเริ่มการผลิตทดสอบได้ในปี 2027 ขณะที่ Intel และ Samsung กำลังเร่งพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC ✅ P2 Baoshan จะเป็นศูนย์กลางการทดลองผลิตก่อนขยายไปยัง P3 และ P4 - TSMC วางแผนใช้ โรงงาน Fab 20 ใน Baoshan สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 nm - แหล่งข่าวระบุว่า โรงงาน P3 และ P4 อาจเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 ✅ TSMC เร่งพัฒนา 2 nm พร้อมเตรียมขยายไปสู่ 1.4 nm - กระบวนการผลิต 2 nm (N2) กำลังจะเข้าสู่ Mass Production ในครึ่งหลังของปี 2025 - การทดลองผลิต 1.4 nm จะเป็นการต่อยอดจาก N2 และขยายไปยังโรงงานอื่น ๆ ในอนาคต ✅ โรงงาน Fab 25 อาจมีส่วนร่วมในการทดลองผลิต 1.4 nm ด้วย - รายงานระบุว่า Fab 25 ใน Central Taiwan Science Park อาจเข้าร่วมโครงการนี้ - มีการคาดการณ์ว่า 4 โรงงานจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาชิป 1.4 nm ✅ แหล่งข่าวคาดว่า "P1" จะเริ่มการผลิตทดสอบภายในปี 2027 - ตามข้อมูลของ TrendForce กระบวนการ Risk Trial Production ของ P1 จะเริ่มในปี 2027 - อาจมีการผลิตเต็มรูปแบบในปีถัดไป เพื่อเข้าสู่ตลาดในปี 2028 ✅ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้มข้นขึ้น - Intel และ Samsung กำลังพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC - นักวิเคราะห์จาก TechInsights คาดว่า N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงกว่าคู่แข่ง - อัตรา High-Density (HD) Cell Density ของ N2 สูงถึง 313 MTr/mm² ขณะที่ Intel 18A มี 238 MTr/mm² และ Samsung SF2/SF3P อยู่ที่ 231 MTr/mm² https://www.techpowerup.com/334931/tsmc-reportedly-preparing-new-equipment-for-1-4-nm-trial-run-at-p2-baoshan-plant
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Reportedly Preparing New Equipment for 1.4 nm Trial Run at "P2" Baoshan Plant
    Industry insiders posit that TSMC's two flagship fabrication facilities are running ahead of schedule with the development of an advanced 2 nm (N2) process node. A cross-facility mass production phase is tipped to begin later this year, which leaves room for next-level experiments. Taiwan's Economic...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ยืนยันว่า Core Ultra 300 'Panther Lake' จะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยปฏิเสธข่าวลือเรื่องการล่าช้า CEO Lip-Bu Tan ย้ำว่าเทคโนโลยี 18A Node ของ Intel ไม่ได้มีปัญหา และกำลังเดินหน้าตามแผน การผลิตจำนวนมากจะเริ่มก่อนสิ้นปี 2025 และในเดือนตุลาคมจะมี การเปิดตัวจำนวนจำกัดผ่านโปรแกรม EEP ขณะที่ Nova Lake จะเปิดตัวในปี 2026 เป็นรุ่นต่อจาก Panther Lake

    ✅ Panther Lake จะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 ไม่ใช่ปลายปี 2025 ตามที่เคยกล่าวไว้
    - ก่อนหน้านี้ Intel เคยยืนยันว่า Panther Lake จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2025
    - ข้อมูลใหม่จากงาน Vision 2025 ระบุว่า Panther Lake จะเข้าสู่ตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026

    ✅ ผู้บริหารยืนยันว่าการพัฒนา 18A Node ไม่ได้มีปัญหา
    - ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า ปัญหาการผลิตบนเทคโนโลยี 18A อาจทำให้ Panther Lake ล่าช้า
    - อย่างไรก็ตาม Lip-Bu Tan CEO ของ Intel ระบุว่า โครงการเดินหน้าไปได้ดี และจะมีการผลิตจำนวนมากก่อนสิ้นปี 2025

    ✅ Intel กำลังทดสอบการผลิตแบบ Early Enablement Program (EEP)
    - Intel วางแผนเปิดตัว Panther Lake ในจำนวนจำกัดผ่านโปรแกรม EEP ในเดือนตุลาคม 2025
    - การผลิตจำนวนมากจะเริ่มในช่วงต้นปี 2026

    ✅ Panther Lake ได้รับการออกแบบให้รวมพลังของ Lunar Lake และ Arrow Lake
    - รองประธานกลุ่ม Client Computing ระบุว่า Panther Lake จะใช้พลังงานต่ำเหมือน Lunar Lake
    - มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงเทียบเท่า Arrow Lake
    - เป็น CPU รุ่นแรกของ Intel ที่ใช้เทคโนโลยี 18A เต็มรูปแบบ

    ✅ Nova Lake จะเปิดตัวในปี 2026 เป็นรุ่นต่อจาก Panther Lake
    - Nova Lake จะมาพร้อม สถาปัตยกรรมใหม่และโครงสร้างชิปแบบแยกส่วน
    - คาดว่าจะเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปที่ใช้ N3 ของ TSMC ร่วมกับการออกแบบของ Intel

    https://www.techpowerup.com/334929/intel-vision-presentation-labels-core-ultra-300-panther-lake-cpu-series-as-2026-products
    Intel ยืนยันว่า Core Ultra 300 'Panther Lake' จะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยปฏิเสธข่าวลือเรื่องการล่าช้า CEO Lip-Bu Tan ย้ำว่าเทคโนโลยี 18A Node ของ Intel ไม่ได้มีปัญหา และกำลังเดินหน้าตามแผน การผลิตจำนวนมากจะเริ่มก่อนสิ้นปี 2025 และในเดือนตุลาคมจะมี การเปิดตัวจำนวนจำกัดผ่านโปรแกรม EEP ขณะที่ Nova Lake จะเปิดตัวในปี 2026 เป็นรุ่นต่อจาก Panther Lake ✅ Panther Lake จะเปิดตัวในช่วงต้นปี 2026 ไม่ใช่ปลายปี 2025 ตามที่เคยกล่าวไว้ - ก่อนหน้านี้ Intel เคยยืนยันว่า Panther Lake จะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2025 - ข้อมูลใหม่จากงาน Vision 2025 ระบุว่า Panther Lake จะเข้าสู่ตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 ✅ ผู้บริหารยืนยันว่าการพัฒนา 18A Node ไม่ได้มีปัญหา - ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า ปัญหาการผลิตบนเทคโนโลยี 18A อาจทำให้ Panther Lake ล่าช้า - อย่างไรก็ตาม Lip-Bu Tan CEO ของ Intel ระบุว่า โครงการเดินหน้าไปได้ดี และจะมีการผลิตจำนวนมากก่อนสิ้นปี 2025 ✅ Intel กำลังทดสอบการผลิตแบบ Early Enablement Program (EEP) - Intel วางแผนเปิดตัว Panther Lake ในจำนวนจำกัดผ่านโปรแกรม EEP ในเดือนตุลาคม 2025 - การผลิตจำนวนมากจะเริ่มในช่วงต้นปี 2026 ✅ Panther Lake ได้รับการออกแบบให้รวมพลังของ Lunar Lake และ Arrow Lake - รองประธานกลุ่ม Client Computing ระบุว่า Panther Lake จะใช้พลังงานต่ำเหมือน Lunar Lake - มีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงเทียบเท่า Arrow Lake - เป็น CPU รุ่นแรกของ Intel ที่ใช้เทคโนโลยี 18A เต็มรูปแบบ ✅ Nova Lake จะเปิดตัวในปี 2026 เป็นรุ่นต่อจาก Panther Lake - Nova Lake จะมาพร้อม สถาปัตยกรรมใหม่และโครงสร้างชิปแบบแยกส่วน - คาดว่าจะเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปที่ใช้ N3 ของ TSMC ร่วมกับการออกแบบของ Intel https://www.techpowerup.com/334929/intel-vision-presentation-labels-core-ultra-300-panther-lake-cpu-series-as-2026-products
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Vision Presentation Labels Core Ultra 300 "Panther Lake" CPU Series as 2026 Products
    Intel's freshly concluded Vision 2025 "Products Update and GTM" showcase included a segment dedicated to forthcoming Core Ultra 300 "Panther Lake" client processors. Industry watchdogs have grabbed a select few screenshots from Team Blue's broadcast from Las Vegas, Nevada—one backdropped slide confi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • NVIDIA และ Quantum Machines เปิดตัว DGX Quantum Early Access Program ซึ่งช่วยผสานการคำนวณควอนตัมเข้ากับการประมวลผลแบบคลาสสิก DGX Quantum ใช้ OPX1000 และ Grace Hopper Superchips เพื่อลดเวลาการส่งข้อมูลให้ต่ำกว่า 4 ไมโครวินาที พร้อมรองรับ AI-driven calibration และ Quantum Error Correction นักวิจัยจาก MIT, IQCC, และสถาบันอื่น ๆ เข้าร่วมเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้

    ✅ NVIDIA DGX Quantum คืออะไร?
    - เป็น สถาปัตยกรรมอ้างอิงที่พัฒนาโดย NVIDIA และ QM
    - เป็นระบบแรกที่ผสาน การประมวลผลควอนตัมและคลาสสิกเข้าด้วยกัน เพื่อรองรับการคำนวณที่ซับซ้อน

    ✅ ความท้าทายของควอนตัมคอมพิวติ้ง—จำเป็นต้องมีพลังการประมวลผลแบบคลาสสิกเสริม
    - ควอนตัมคอมพิวเตอร์ต้องใช้การประมวลผลแบบคลาสสิกเพื่อ แก้ไขข้อผิดพลาด (Quantum Error Correction - QEC) และปรับพารามิเตอร์
    - NVIDIA DGX Quantum ช่วยให้ ระบบมีพลังการประมวลผลมากขึ้น ลดความล่าช้าในการสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์

    ✅ OPX1000 ช่วยเร่งความเร็วและลดความล่าช้าในการคำนวณ
    - DGX Quantum ใช้ OPX1000 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มควบคุมแบบโมดูลาร์ ที่สามารถทำงานร่วมกับ Grace Hopper Superchips ของ NVIDIA
    - ลดเวลา รอบการส่งข้อมูลระหว่างควอนตัมกับ AI ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้น้อยกว่า 4 ไมโครวินาที ซึ่งเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ

    ✅ 6 กลุ่มนักวิจัยที่เข้าร่วมโปรแกรม Early Access
    - Engineering Quantum Systems ของ MIT
    - Israeli Quantum Computing Center (IQCC)
    - Diraq—บริษัทพัฒนาฮาร์ดแวร์ควอนตัม
    - Quantum Circuit Group ของ ENS Lyon
    - Fraunhofer IAF
    - สถาบันวิจัยทางควอนตัมอื่น ๆ

    ✅ DGX Quantum รองรับ AI-driven QPU calibration และการประมวลผลแบบไฮบริด
    - มีการผสาน การเรียนรู้เสริมแรง (Reinforcement Learning) เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคำนวณควอนตัม
    - สามารถปรับค่า drive และ readout fidelities อย่างแม่นยำเพื่อรองรับ QEC ที่มีประสิทธิภาพสูง

    https://www.techpowerup.com/334928/quantum-machines-announces-nvidia-dgx-quantum-early-access-program
    NVIDIA และ Quantum Machines เปิดตัว DGX Quantum Early Access Program ซึ่งช่วยผสานการคำนวณควอนตัมเข้ากับการประมวลผลแบบคลาสสิก DGX Quantum ใช้ OPX1000 และ Grace Hopper Superchips เพื่อลดเวลาการส่งข้อมูลให้ต่ำกว่า 4 ไมโครวินาที พร้อมรองรับ AI-driven calibration และ Quantum Error Correction นักวิจัยจาก MIT, IQCC, และสถาบันอื่น ๆ เข้าร่วมเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่นี้ ✅ NVIDIA DGX Quantum คืออะไร? - เป็น สถาปัตยกรรมอ้างอิงที่พัฒนาโดย NVIDIA และ QM - เป็นระบบแรกที่ผสาน การประมวลผลควอนตัมและคลาสสิกเข้าด้วยกัน เพื่อรองรับการคำนวณที่ซับซ้อน ✅ ความท้าทายของควอนตัมคอมพิวติ้ง—จำเป็นต้องมีพลังการประมวลผลแบบคลาสสิกเสริม - ควอนตัมคอมพิวเตอร์ต้องใช้การประมวลผลแบบคลาสสิกเพื่อ แก้ไขข้อผิดพลาด (Quantum Error Correction - QEC) และปรับพารามิเตอร์ - NVIDIA DGX Quantum ช่วยให้ ระบบมีพลังการประมวลผลมากขึ้น ลดความล่าช้าในการสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์ ✅ OPX1000 ช่วยเร่งความเร็วและลดความล่าช้าในการคำนวณ - DGX Quantum ใช้ OPX1000 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มควบคุมแบบโมดูลาร์ ที่สามารถทำงานร่วมกับ Grace Hopper Superchips ของ NVIDIA - ลดเวลา รอบการส่งข้อมูลระหว่างควอนตัมกับ AI ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้น้อยกว่า 4 ไมโครวินาที ซึ่งเร็วกว่าวิธีอื่น ๆ ✅ 6 กลุ่มนักวิจัยที่เข้าร่วมโปรแกรม Early Access - Engineering Quantum Systems ของ MIT - Israeli Quantum Computing Center (IQCC) - Diraq—บริษัทพัฒนาฮาร์ดแวร์ควอนตัม - Quantum Circuit Group ของ ENS Lyon - Fraunhofer IAF - สถาบันวิจัยทางควอนตัมอื่น ๆ ✅ DGX Quantum รองรับ AI-driven QPU calibration และการประมวลผลแบบไฮบริด - มีการผสาน การเรียนรู้เสริมแรง (Reinforcement Learning) เพื่อช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคำนวณควอนตัม - สามารถปรับค่า drive และ readout fidelities อย่างแม่นยำเพื่อรองรับ QEC ที่มีประสิทธิภาพสูง https://www.techpowerup.com/334928/quantum-machines-announces-nvidia-dgx-quantum-early-access-program
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Quantum Machines Announces NVIDIA DGX Quantum Early Access Program
    Quantum Machines (QM), the leading provider of advanced quantum control solutions, has recently announced the NVIDIA DGX Quantum Early Customer Program, with a cohort of six leading research groups and quantum computer builders. NVIDIA DGX Quantum, a reference architecture jointly developed by NVIDI...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung อาจเลิกใช้ชื่อ Exynos และเตรียมรีแบรนด์ชิปเซ็ตของตนเอง โดย Exynos 2600 จะถูกใช้ใน Galaxy S26 แต่มีจำนวนจำกัด ขณะที่ Exynos 2500 อาจถูกใช้ใน Galaxy Z Flip FE แต่ยังเป็น 4 nm มีข่าวลือว่า Samsung อาจเลิกใช้ Snapdragon และพัฒนาเทคโนโลยี 2 nm GAA ด้วยความช่วยเหลือจากบริษัท AI ภายนอก

    ✅ ชิป Exynos 2600 จะใช้ใน Galaxy S26 แต่มีจำนวนจำกัด
    - แหล่งข่าวระบุว่า Exynos 2600 จะถูกใช้ใน Galaxy S26 series แต่มีจำนวนผลิตที่จำกัด
    - อาจมีสถานการณ์คล้ายกับ Exynos 990 ที่เคยมีปริมาณจำกัดในอดีต

    ✅ Samsung Foundry อาจเลิกพัฒนา 1.4 nm และเดินหน้าสู่ 2 nm GAA
    - แหล่งข่าวบางแห่งเชื่อว่า Samsung จะไม่ใช้ 1.4 nm node และเดินหน้าสู่ 2 nm GAA (Gate-All-Around)
    - มีข่าวลือว่า Samsung ร่วมมือกับบริษัท AI ภายนอก เพื่อช่วยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่

    ✅ Exynos 2500 อาจถูกใช้ใน Galaxy Z Flip FE แต่ยังเป็น 4 nm
    - แม้ว่า Exynos 2500 อาจอยู่ในแผนผลิตของปี 2025 แต่รุ่นแรกจะยังคงเป็น 4 nm node
    - ชิปนี้ถูกพัฒนาสำหรับ สมาร์ทโฟนระดับกลาง ไม่ใช่เรือธง

    ✅ แหล่งข่าวบางแห่งระบุว่า Samsung อาจเลิกใช้ Snapdragon
    - มีข่าวลือว่า Samsung ต้องการหยุดใช้ Snapdragon และหันมาใช้ชิปที่พัฒนาเองทั้งหมด
    - อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวส่วนใหญ่ยังมองว่า Samsung จะใช้ ชิป Exynos และ Snapdragon ร่วมกัน

    ✅ เป้าหมายของ Samsung คือกู้คืนภาพลักษณ์ของชิปเซ็ต Exynos
    - Samsung อาจต้องการ หลีกเลี่ยงภาพลักษณ์เชิงลบที่ Exynos เคยมี โดยเปลี่ยนชื่อใหม่
    - บริษัทยังคงพยายามเพิ่มประสิทธิภาพของชิป และแข่งขันกับ Apple A-Series และ Qualcomm Snapdragon

    https://www.techpowerup.com/334927/leaker-claims-that-samsung-will-stop-using-exynos-nomenclature-next-gen-2-nm-mobile-soc-tipped-for-rebrand
    Samsung อาจเลิกใช้ชื่อ Exynos และเตรียมรีแบรนด์ชิปเซ็ตของตนเอง โดย Exynos 2600 จะถูกใช้ใน Galaxy S26 แต่มีจำนวนจำกัด ขณะที่ Exynos 2500 อาจถูกใช้ใน Galaxy Z Flip FE แต่ยังเป็น 4 nm มีข่าวลือว่า Samsung อาจเลิกใช้ Snapdragon และพัฒนาเทคโนโลยี 2 nm GAA ด้วยความช่วยเหลือจากบริษัท AI ภายนอก ✅ ชิป Exynos 2600 จะใช้ใน Galaxy S26 แต่มีจำนวนจำกัด - แหล่งข่าวระบุว่า Exynos 2600 จะถูกใช้ใน Galaxy S26 series แต่มีจำนวนผลิตที่จำกัด - อาจมีสถานการณ์คล้ายกับ Exynos 990 ที่เคยมีปริมาณจำกัดในอดีต ✅ Samsung Foundry อาจเลิกพัฒนา 1.4 nm และเดินหน้าสู่ 2 nm GAA - แหล่งข่าวบางแห่งเชื่อว่า Samsung จะไม่ใช้ 1.4 nm node และเดินหน้าสู่ 2 nm GAA (Gate-All-Around) - มีข่าวลือว่า Samsung ร่วมมือกับบริษัท AI ภายนอก เพื่อช่วยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ✅ Exynos 2500 อาจถูกใช้ใน Galaxy Z Flip FE แต่ยังเป็น 4 nm - แม้ว่า Exynos 2500 อาจอยู่ในแผนผลิตของปี 2025 แต่รุ่นแรกจะยังคงเป็น 4 nm node - ชิปนี้ถูกพัฒนาสำหรับ สมาร์ทโฟนระดับกลาง ไม่ใช่เรือธง ✅ แหล่งข่าวบางแห่งระบุว่า Samsung อาจเลิกใช้ Snapdragon - มีข่าวลือว่า Samsung ต้องการหยุดใช้ Snapdragon และหันมาใช้ชิปที่พัฒนาเองทั้งหมด - อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวส่วนใหญ่ยังมองว่า Samsung จะใช้ ชิป Exynos และ Snapdragon ร่วมกัน ✅ เป้าหมายของ Samsung คือกู้คืนภาพลักษณ์ของชิปเซ็ต Exynos - Samsung อาจต้องการ หลีกเลี่ยงภาพลักษณ์เชิงลบที่ Exynos เคยมี โดยเปลี่ยนชื่อใหม่ - บริษัทยังคงพยายามเพิ่มประสิทธิภาพของชิป และแข่งขันกับ Apple A-Series และ Qualcomm Snapdragon https://www.techpowerup.com/334927/leaker-claims-that-samsung-will-stop-using-exynos-nomenclature-next-gen-2-nm-mobile-soc-tipped-for-rebrand
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Leaker Claims that Samsung Will Stop Using "Exynos" Nomenclature, Next-gen 2 nm Mobile SoC Tipped for Rebrand
    Over the past weekend Jukanlosreve declared via social media that Samsung's: "Exynos 2600 (mobile SoC) is definitely back, and it will be used in the Galaxy S26 series. But the chip volume is so limited that it'll likely be similar to the Exynos 990 situation. I'm not sure if SF2 is actually any goo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • Altera ได้เริ่มจัดส่ง Agilex 7 FPGA M-Series ซึ่งเป็นชิปประมวลผลแบบ FPGA ระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI และศูนย์ข้อมูล โดยใช้ HBM2E และ DDR5/LPDDR5 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และลดความล่าช้า Positron ซึ่งเป็นบริษัท AI รายงานว่า FPGA นี้ช่วยให้ทำงานได้เร็วกว่า GPU ในการรันโมเดล AI เช่น Llama3 และช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า Intel คาดว่า FPGA นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์ AI และอุตสาหกรรมสื่อสาร 5G ในอีก 10 ปีข้างหน้า

    ✅ FPGA นี้ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    - มี 3.8 ล้าน Logic Elements รองรับการประมวลผลระดับสูง
    - ใช้ Hyperflex Architecture รุ่นที่ 2 เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการใช้พลังงาน

    ✅ หน่วยความจำความเร็วสูงช่วยแก้ปัญหาคอขวด
    - มี HBM2E ขนาด 32 GB พร้อมแบนด์วิดท์สูงสุด 820 GBps
    - รองรับ DDR5/LPDDR5 โดยมี Memory Bandwidth สูงสุด 1 TBps

    ✅ การใช้งานหลักของ Agilex 7 FPGA M-Series
    - ศูนย์ข้อมูล: ใช้เป็นเร่งความเร็ว AI และช่วยลดภาระงานของโปรเซสเซอร์ทั่วไป
    - อุปกรณ์เครือข่าย: รองรับไฟร์วอลล์ยุคใหม่ที่ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลระดับสูง
    - อุปกรณ์ออกอากาศ: ส่งข้อมูล 8K UHD ได้รวดเร็ว ลดความล่าช้าในเซ็นเซอร์ภาพ

    ✅ บริษัท AI ใช้ FPGA เพื่อประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ GPU ทั่วไป
    - Positron รายงานว่า Agilex 7 มีการใช้ Bandwidth สูงถึง 93% ซึ่งสูงกว่าระบบ GPU ที่มักอยู่ที่ 10-30%
    - เมื่อใช้ในการประมวลผล LLM (เช่น Llama3 และ MOE Models) ทำให้ได้ ประสิทธิภาพต่อค่าใช้จ่ายดีขึ้น 3.5 เท่า

    ✅ อนาคตของ Agilex 7 FPGA M-Series
    - มีอายุการใช้งานถึง ปี 2035 และพร้อมใช้งานทั่วโลก
    - คาดว่าจะถูกนำมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง, การประมวลผล AI, และโครงสร้างพื้นฐาน 5G

    https://www.techpowerup.com/334926/altera-starts-production-shipments-of-agilex-7-fpga-m-series
    Altera ได้เริ่มจัดส่ง Agilex 7 FPGA M-Series ซึ่งเป็นชิปประมวลผลแบบ FPGA ระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI และศูนย์ข้อมูล โดยใช้ HBM2E และ DDR5/LPDDR5 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และลดความล่าช้า Positron ซึ่งเป็นบริษัท AI รายงานว่า FPGA นี้ช่วยให้ทำงานได้เร็วกว่า GPU ในการรันโมเดล AI เช่น Llama3 และช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า Intel คาดว่า FPGA นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์ AI และอุตสาหกรรมสื่อสาร 5G ในอีก 10 ปีข้างหน้า ✅ FPGA นี้ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด - มี 3.8 ล้าน Logic Elements รองรับการประมวลผลระดับสูง - ใช้ Hyperflex Architecture รุ่นที่ 2 เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการใช้พลังงาน ✅ หน่วยความจำความเร็วสูงช่วยแก้ปัญหาคอขวด - มี HBM2E ขนาด 32 GB พร้อมแบนด์วิดท์สูงสุด 820 GBps - รองรับ DDR5/LPDDR5 โดยมี Memory Bandwidth สูงสุด 1 TBps ✅ การใช้งานหลักของ Agilex 7 FPGA M-Series - ศูนย์ข้อมูล: ใช้เป็นเร่งความเร็ว AI และช่วยลดภาระงานของโปรเซสเซอร์ทั่วไป - อุปกรณ์เครือข่าย: รองรับไฟร์วอลล์ยุคใหม่ที่ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลระดับสูง - อุปกรณ์ออกอากาศ: ส่งข้อมูล 8K UHD ได้รวดเร็ว ลดความล่าช้าในเซ็นเซอร์ภาพ ✅ บริษัท AI ใช้ FPGA เพื่อประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ GPU ทั่วไป - Positron รายงานว่า Agilex 7 มีการใช้ Bandwidth สูงถึง 93% ซึ่งสูงกว่าระบบ GPU ที่มักอยู่ที่ 10-30% - เมื่อใช้ในการประมวลผล LLM (เช่น Llama3 และ MOE Models) ทำให้ได้ ประสิทธิภาพต่อค่าใช้จ่ายดีขึ้น 3.5 เท่า ✅ อนาคตของ Agilex 7 FPGA M-Series - มีอายุการใช้งานถึง ปี 2035 และพร้อมใช้งานทั่วโลก - คาดว่าจะถูกนำมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง, การประมวลผล AI, และโครงสร้างพื้นฐาน 5G https://www.techpowerup.com/334926/altera-starts-production-shipments-of-agilex-7-fpga-m-series
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Altera Starts Production Shipments of Agilex 7 FPGA M-Series
    Altera Corporation, a leader in FPGA innovations, today announced production shipments of its Agilex 7 FPGA M-Series, the industry's first high-end, high-density FPGA to feature integrated high bandwidth memory and support for DDR5 and LPDDR5 memory technologies. Offering over 3.8 million logic elem...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Arm ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด CPU ศูนย์ข้อมูลจาก 15% เป็น 50% ภายในปี 2025 โดยมุ่งเน้นไปที่เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ AI และระบบ Cloud ขณะที่ Nvidia, AWS และ Ampere Computing เป็นผู้ใช้หลักของ CPU Arm นอกจากนี้ Google และ Microsoft กำลังออกแบบ CPU โดยใช้เทคโนโลยีของ Arm และมีรายงานว่า Meta อาจใช้ CPU Arm สำหรับระบบ Cloud ในอนาคต

    ✅ Arm ได้รับแรงหนุนจากเซิร์ฟเวอร์ AI และผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่
    - Nvidia GB200 และ GB300, AWS Graviton, และระบบที่ใช้ Ampere Computing ล้วนเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Arm-based CPUs
    - 50% ของเซิร์ฟเวอร์ AWS ใช้ชิป Arm แทน AMD หรือ Intel

    ✅ ซอฟต์แวร์เริ่มพัฒนาเพื่อ Arm ก่อน แล้วค่อยพอร์ตไป x86
    - สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป—แต่เดิม ศูนย์ข้อมูลพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับ x86
    - ตอนนี้บางแอปพลิเคชันถูกออกแบบให้ทำงานบน Arm ก่อน แล้วจึงพอร์ตไป x86

    ✅ Google และ Microsoft เริ่มออกแบบ CPU ศูนย์ข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยี Arm
    - แม้ว่าการพัฒนาอยู่ในช่วงต้น Amazon ยังคงนำหน้าในส่วนนี้
    - Meta รายงานว่า Arm กำลังพัฒนา CPU สำหรับระบบ Cloud ของ Meta แต่ยังไม่มีข้อมูลการใช้งานจริง

    ✅ Arm มี Compute Subsystems (CSS) ให้บริษัทอื่นสร้าง CPU ได้ง่ายขึ้น
    - ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบ CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลของตนเอง ได้อย่างรวดเร็ว
    - อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Arm ขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/arm-aims-to-capture-50-percent-of-data-center-cpu-market-in-2025
    Arm ตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งตลาด CPU ศูนย์ข้อมูลจาก 15% เป็น 50% ภายในปี 2025 โดยมุ่งเน้นไปที่เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ AI และระบบ Cloud ขณะที่ Nvidia, AWS และ Ampere Computing เป็นผู้ใช้หลักของ CPU Arm นอกจากนี้ Google และ Microsoft กำลังออกแบบ CPU โดยใช้เทคโนโลยีของ Arm และมีรายงานว่า Meta อาจใช้ CPU Arm สำหรับระบบ Cloud ในอนาคต ✅ Arm ได้รับแรงหนุนจากเซิร์ฟเวอร์ AI และผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ - Nvidia GB200 และ GB300, AWS Graviton, และระบบที่ใช้ Ampere Computing ล้วนเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Arm-based CPUs - 50% ของเซิร์ฟเวอร์ AWS ใช้ชิป Arm แทน AMD หรือ Intel ✅ ซอฟต์แวร์เริ่มพัฒนาเพื่อ Arm ก่อน แล้วค่อยพอร์ตไป x86 - สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป—แต่เดิม ศูนย์ข้อมูลพึ่งพาซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาสำหรับ x86 - ตอนนี้บางแอปพลิเคชันถูกออกแบบให้ทำงานบน Arm ก่อน แล้วจึงพอร์ตไป x86 ✅ Google และ Microsoft เริ่มออกแบบ CPU ศูนย์ข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยี Arm - แม้ว่าการพัฒนาอยู่ในช่วงต้น Amazon ยังคงนำหน้าในส่วนนี้ - Meta รายงานว่า Arm กำลังพัฒนา CPU สำหรับระบบ Cloud ของ Meta แต่ยังไม่มีข้อมูลการใช้งานจริง ✅ Arm มี Compute Subsystems (CSS) ให้บริษัทอื่นสร้าง CPU ได้ง่ายขึ้น - ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบ CPU สำหรับศูนย์ข้อมูลของตนเอง ได้อย่างรวดเร็ว - อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Arm ขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/arm-aims-to-capture-50-percent-of-data-center-cpu-market-in-2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ภายใต้ CEO Lip-Bu Tan ซึ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า และปรับตัวให้เหมาะกับธุรกิจโรงงานผลิตชิป Tan เตรียมเดินหน้าสู่ การผลิต High-Volume ของ Panther Lake บนเทคโนโลยี 18A พร้อมมุ่งเน้นการจ้างงานและวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่เขาตัดสินใจเก็บธุรกิจโรงงานไว้โดยไม่แยกออกเป็นบริษัทอิสระ

    ✅ ความท้าทายของ Intel กับธุรกิจ Foundry
    - Intel ถูกวิจารณ์มานานว่า ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าได้
    - ปี 2011 Tim Cook เคยบอกกับ Morris Chang (ผู้ก่อตั้ง TSMC) ว่า Intel "ไม่เข้าใจการทำธุรกิจโรงงานผลิตชิป"
    - จุดนี้ทำให้ TSMC กลายเป็นผู้นำตลาด โดยสามารถรองรับลูกค้ารายใหญ่เช่น Apple และ Nvidia

    ✅ Lip-Bu Tan ต้องการปรับโครงสร้างเพื่อดึงลูกค้ากลับมา
    - Tan กล่าวว่า "Foundry เป็นธุรกิจบริการ และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า"
    - เขาเชื่อว่า ลูกค้าแต่ละรายมีรูปแบบการออกแบบชิปที่แตกต่างกัน และ Intel ต้อง เรียนรู้วิธีปรับตัวให้เข้ากับแต่ละบริษัท
    - กลยุทธ์นี้เคยประสบความสำเร็จในยุคที่เขาเป็น CEO ของ Cadence

    ✅ Intel ไม่ได้ยอมแพ้—เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่
    - Tan กล่าวว่า Intel พร้อมเข้าสู่การผลิตขนาดใหญ่ (High-Volume Production) ของ Panther Lake บนเทคโนโลยี 18A ในปีนี้
    - นอกจากนี้ Intel กำลังทำงานบน 14A Node ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีระดับสูงกว่า

    ✅ มุ่งเน้นการจ้างงานและฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร
    - Tan มองว่า Intel สูญเสียบุคลากรสำคัญไปหลายปี และเขาต้องการดึงวิศวกรชั้นนำกลับมา
    - เป้าหมายคือ สร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม

    ✅ Intel จะเก็บธุรกิจโรงงานไว้—ไม่แยกออกเป็นบริษัทอิสระ
    - ก่อนที่ Tan จะรับตำแหน่ง CEO มีข่าวลือว่า Intel อาจแยกธุรกิจโรงงานออกจากกันเพื่อเพิ่มผลกำไร
    - อย่างไรก็ตาม หลังจากสุนทรพจน์ครั้งแรกของ Tan ดูเหมือนว่า เขาจะพยายามรักษาธุรกิจนี้ไว้และดึงลูกค้ากลับมา

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/lip-bu-tans-first-speech-as-intel-ceo-focuses-on-innovation-and-working-with-foundry-customers
    Intel กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ภายใต้ CEO Lip-Bu Tan ซึ่งเน้นสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า และปรับตัวให้เหมาะกับธุรกิจโรงงานผลิตชิป Tan เตรียมเดินหน้าสู่ การผลิต High-Volume ของ Panther Lake บนเทคโนโลยี 18A พร้อมมุ่งเน้นการจ้างงานและวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่เขาตัดสินใจเก็บธุรกิจโรงงานไว้โดยไม่แยกออกเป็นบริษัทอิสระ ✅ ความท้าทายของ Intel กับธุรกิจ Foundry - Intel ถูกวิจารณ์มานานว่า ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าได้ - ปี 2011 Tim Cook เคยบอกกับ Morris Chang (ผู้ก่อตั้ง TSMC) ว่า Intel "ไม่เข้าใจการทำธุรกิจโรงงานผลิตชิป" - จุดนี้ทำให้ TSMC กลายเป็นผู้นำตลาด โดยสามารถรองรับลูกค้ารายใหญ่เช่น Apple และ Nvidia ✅ Lip-Bu Tan ต้องการปรับโครงสร้างเพื่อดึงลูกค้ากลับมา - Tan กล่าวว่า "Foundry เป็นธุรกิจบริการ และต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า" - เขาเชื่อว่า ลูกค้าแต่ละรายมีรูปแบบการออกแบบชิปที่แตกต่างกัน และ Intel ต้อง เรียนรู้วิธีปรับตัวให้เข้ากับแต่ละบริษัท - กลยุทธ์นี้เคยประสบความสำเร็จในยุคที่เขาเป็น CEO ของ Cadence ✅ Intel ไม่ได้ยอมแพ้—เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ - Tan กล่าวว่า Intel พร้อมเข้าสู่การผลิตขนาดใหญ่ (High-Volume Production) ของ Panther Lake บนเทคโนโลยี 18A ในปีนี้ - นอกจากนี้ Intel กำลังทำงานบน 14A Node ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีระดับสูงกว่า ✅ มุ่งเน้นการจ้างงานและฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กร - Tan มองว่า Intel สูญเสียบุคลากรสำคัญไปหลายปี และเขาต้องการดึงวิศวกรชั้นนำกลับมา - เป้าหมายคือ สร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ✅ Intel จะเก็บธุรกิจโรงงานไว้—ไม่แยกออกเป็นบริษัทอิสระ - ก่อนที่ Tan จะรับตำแหน่ง CEO มีข่าวลือว่า Intel อาจแยกธุรกิจโรงงานออกจากกันเพื่อเพิ่มผลกำไร - อย่างไรก็ตาม หลังจากสุนทรพจน์ครั้งแรกของ Tan ดูเหมือนว่า เขาจะพยายามรักษาธุรกิจนี้ไว้และดึงลูกค้ากลับมา https://www.tomshardware.com/tech-industry/lip-bu-tans-first-speech-as-intel-ceo-focuses-on-innovation-and-working-with-foundry-customers
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Lip-Bu Tan's first speech as Intel CEO focuses on innovation and working with foundry customers
    “I can’t do it alone: I need your help as a customer — give me honest feedback.”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักพัฒนาสร้าง WattWise ซึ่งเป็น เครื่องมือโอเพ่นซอร์ส ที่ช่วยลดการใช้พลังงานของ PC และเซิร์ฟเวอร์ ตามราคาค่าไฟ ระบบนี้ใช้ สมาร์ทปลั๊ก Kasa และปรับความเร็วซีพียู โดยอัตโนมัติ ตามช่วงเวลาที่ค่าไฟแพง นักพัฒนาวางแผนให้ WattWise รองรับสมาร์ทปลั๊กหลายแบรนด์และสามารถควบคุมพลังงานของจีพียูได้ด้วย

    ✅ WattWise ทำงานอย่างไร?
    - ใช้ สมาร์ทปลั๊ก Kasa และ Home Assistant เพื่อติดตามการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์
    - ใช้อัลกอริธึม Proportional-Integral (PI) Controller เพื่อปรับความเร็วซีพียูตาม โหลดของระบบและราคาพลังงาน
    - ตัวอย่างเช่น การลดความเร็ว AMD EPYC จาก 3.7 GHz เหลือ 1.5 GHz สามารถลดการใช้ไฟได้ 225 วัตต์

    ✅ การควบคุมการทำงานของซีพียูและจีพียูแบบอัตโนมัติ
    - แอปสามารถปรับลดความเร็วของ ซีพียูและจีพียู ตามช่วงเวลาที่ค่าไฟสูง
    - นักพัฒนาตั้งเป้าให้ รองรับสมาร์ทปลั๊กหลายตัวและแบรนด์อื่น ๆ นอกเหนือจาก Kasa ในอนาคต

    ✅ ลดต้นทุนค่าไฟสำหรับผู้ใช้เซิร์ฟเวอร์และ Workstation
    - ระบบ สามารถลดค่าไฟฟ้าสำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานสูง
    - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ควบคุมการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์และลดค่าใช้จ่าย

    ✅ โอเพ่นซอร์สภายใต้ MIT License—ทุกคนสามารถใช้ได้ฟรี
    - นักพัฒนาเปิดให้ดาวน์โหลดจาก GitHub และเปิดรับความคิดเห็นเพื่อพัฒนาเพิ่มเติม
    - ปัจจุบันยังมีเฉพาะ Dashboard UI และระบบปรับลดพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา

    https://www.tomshardware.com/software/applications/open-source-tool-designed-to-throttle-pc-and-server-performance-based-on-electricity-pricing-lightweight-cli-can-automatically-limit-clocks-during-peak-hours
    นักพัฒนาสร้าง WattWise ซึ่งเป็น เครื่องมือโอเพ่นซอร์ส ที่ช่วยลดการใช้พลังงานของ PC และเซิร์ฟเวอร์ ตามราคาค่าไฟ ระบบนี้ใช้ สมาร์ทปลั๊ก Kasa และปรับความเร็วซีพียู โดยอัตโนมัติ ตามช่วงเวลาที่ค่าไฟแพง นักพัฒนาวางแผนให้ WattWise รองรับสมาร์ทปลั๊กหลายแบรนด์และสามารถควบคุมพลังงานของจีพียูได้ด้วย ✅ WattWise ทำงานอย่างไร? - ใช้ สมาร์ทปลั๊ก Kasa และ Home Assistant เพื่อติดตามการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์ - ใช้อัลกอริธึม Proportional-Integral (PI) Controller เพื่อปรับความเร็วซีพียูตาม โหลดของระบบและราคาพลังงาน - ตัวอย่างเช่น การลดความเร็ว AMD EPYC จาก 3.7 GHz เหลือ 1.5 GHz สามารถลดการใช้ไฟได้ 225 วัตต์ ✅ การควบคุมการทำงานของซีพียูและจีพียูแบบอัตโนมัติ - แอปสามารถปรับลดความเร็วของ ซีพียูและจีพียู ตามช่วงเวลาที่ค่าไฟสูง - นักพัฒนาตั้งเป้าให้ รองรับสมาร์ทปลั๊กหลายตัวและแบรนด์อื่น ๆ นอกเหนือจาก Kasa ในอนาคต ✅ ลดต้นทุนค่าไฟสำหรับผู้ใช้เซิร์ฟเวอร์และ Workstation - ระบบ สามารถลดค่าไฟฟ้าสำหรับเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานสูง - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ควบคุมการใช้พลังงานแบบเรียลไทม์และลดค่าใช้จ่าย ✅ โอเพ่นซอร์สภายใต้ MIT License—ทุกคนสามารถใช้ได้ฟรี - นักพัฒนาเปิดให้ดาวน์โหลดจาก GitHub และเปิดรับความคิดเห็นเพื่อพัฒนาเพิ่มเติม - ปัจจุบันยังมีเฉพาะ Dashboard UI และระบบปรับลดพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา https://www.tomshardware.com/software/applications/open-source-tool-designed-to-throttle-pc-and-server-performance-based-on-electricity-pricing-lightweight-cli-can-automatically-limit-clocks-during-peak-hours
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านค้าปลีก Alternate อธิบายว่าการขาย RTX 5090 'B-stock' ที่มี ROP Units ขาดหายไป เป็นเพียงข้อผิดพลาดของระบบ และสินค้านี้เป็นสินค้าคืนจากลูกค้า แม้ว่าราคาถูกตั้งไว้ที่ $3,100 เทียบเท่ากับรุ่นปกติ Nvidia ระบุว่าปัญหานี้กระทบการ์ดจอเพียง 0.5% ของ RTX 5090 และ RTX 5070 Ti และแนะนำให้ลูกค้าติดต่อผู้ผลิตบอร์ดเพื่อเปลี่ยนสินค้า

    ✅ ROP Units มีบทบาทสำคัญต่อการแสดงผลของ GPU
    - ROP (Render Output Unit) ทำหน้าที่ประมวลผลพิกเซล รวมถึงการเบลนด์ภาพและแอนตี้แรสเตอร์ไลซ์
    - หาก ROP หายไป อาจทำให้ ประสิทธิภาพการ์ดจอลดลงถึง 11% ตามการทดสอบของ Gamer's Nexus

    ✅ ข้อผิดพลาดของ Alternate ทำให้ GPU มีราคาสูงเกินจริง
    - Alternate ลงขาย RTX 5090 'B-stock' ที่มี 168 ROP จาก 176 ที่ควรมี
    - ราคาถูกตั้งไว้ที่ €2,899 ($3,100) ซึ่งเทียบเท่ากับรุ่นปกติที่ไม่มีข้อบกพร่อง

    ✅ Nvidia ชี้แจงว่าปัญหานี้กระทบเพียง 0.5% ของ RTX 5090 และ RTX 5070 Ti
    - Nvidia ขอให้ลูกค้าติดต่อผู้ผลิตบอร์ด (AIB Partners) เพื่อรับการเปลี่ยนสินค้า
    - ผลกระทบจากข้อบกพร่องนี้พบใน RTX 5080 ด้วย

    ✅ ตลาด Blackwell ยังคงขาดแคลนและราคาสูง
    - แม้ว่าการผลิตจะเริ่มดีขึ้น แต่ ราคาตลาดยังสูงกว่าที่ควรจะเป็น
    - RTX 5090 Founders Edition บน eBay มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ $4,000

    ✅ Alternate อธิบายว่าเป็นความผิดพลาดของระบบภายใน
    - บริษัทชี้แจงว่าการ์ดจอที่ขายเป็น สินค้าคืนจากลูกค้า และไม่ได้ตั้งใจนำออกขาย
    - ระบบการตั้งราคาผิดพลาด โดยใช้ราคาของ RTX 5090 รุ่นใหม่แทน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/retailer-clarifies-rtx-5090-b-stock-listing-with-missing-rops-was-a-system-error
    ร้านค้าปลีก Alternate อธิบายว่าการขาย RTX 5090 'B-stock' ที่มี ROP Units ขาดหายไป เป็นเพียงข้อผิดพลาดของระบบ และสินค้านี้เป็นสินค้าคืนจากลูกค้า แม้ว่าราคาถูกตั้งไว้ที่ $3,100 เทียบเท่ากับรุ่นปกติ Nvidia ระบุว่าปัญหานี้กระทบการ์ดจอเพียง 0.5% ของ RTX 5090 และ RTX 5070 Ti และแนะนำให้ลูกค้าติดต่อผู้ผลิตบอร์ดเพื่อเปลี่ยนสินค้า ✅ ROP Units มีบทบาทสำคัญต่อการแสดงผลของ GPU - ROP (Render Output Unit) ทำหน้าที่ประมวลผลพิกเซล รวมถึงการเบลนด์ภาพและแอนตี้แรสเตอร์ไลซ์ - หาก ROP หายไป อาจทำให้ ประสิทธิภาพการ์ดจอลดลงถึง 11% ตามการทดสอบของ Gamer's Nexus ✅ ข้อผิดพลาดของ Alternate ทำให้ GPU มีราคาสูงเกินจริง - Alternate ลงขาย RTX 5090 'B-stock' ที่มี 168 ROP จาก 176 ที่ควรมี - ราคาถูกตั้งไว้ที่ €2,899 ($3,100) ซึ่งเทียบเท่ากับรุ่นปกติที่ไม่มีข้อบกพร่อง ✅ Nvidia ชี้แจงว่าปัญหานี้กระทบเพียง 0.5% ของ RTX 5090 และ RTX 5070 Ti - Nvidia ขอให้ลูกค้าติดต่อผู้ผลิตบอร์ด (AIB Partners) เพื่อรับการเปลี่ยนสินค้า - ผลกระทบจากข้อบกพร่องนี้พบใน RTX 5080 ด้วย ✅ ตลาด Blackwell ยังคงขาดแคลนและราคาสูง - แม้ว่าการผลิตจะเริ่มดีขึ้น แต่ ราคาตลาดยังสูงกว่าที่ควรจะเป็น - RTX 5090 Founders Edition บน eBay มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ $4,000 ✅ Alternate อธิบายว่าเป็นความผิดพลาดของระบบภายใน - บริษัทชี้แจงว่าการ์ดจอที่ขายเป็น สินค้าคืนจากลูกค้า และไม่ได้ตั้งใจนำออกขาย - ระบบการตั้งราคาผิดพลาด โดยใช้ราคาของ RTX 5090 รุ่นใหม่แทน https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/retailer-clarifies-rtx-5090-b-stock-listing-with-missing-rops-was-a-system-error
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Retailer clarifies RTX 5090 'B-stock' listing with missing ROPs was a system error
    The GPU was sourced from a customer return and was never intended for sale.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ประกาศว่า ฟีเจอร์ AI Copilot+ ที่เคยเป็นเอกสิทธิ์สำหรับ Snapdragon X ตอนนี้จะเริ่มทยอยปล่อยให้ใช้งานบน AMD Ryzen AI 300 series และ Intel Core Ultra 200V PCs โดยฟีเจอร์ที่สำคัญ ได้แก่ Live Captions, Cocreator, Restyle Image และ Image Creator ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สร้างสรรค์คอนเทนต์และปรับแต่งรูปภาพได้ง่ายขึ้น

    ✅ Live Captions พร้อมแปลภาษาแบบเรียลไทม์
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลเสียงพูดจาก 27 ภาษาเป็นภาษาจีนแบบย่อ
    - เดิมทีใช้ได้เฉพาะบน Snapdragon X แต่ตอนนี้เตรียมเปิดตัวให้กับ AMD และ Intel PCs

    ✅ Cocreator—ช่วยสร้างงานศิลปะใน Paint
    - ผู้ใช้สามารถสร้างภาพจาก ข้อความ (text prompt) หรือให้ AI ปรับแต่งภาพที่วาดเอง
    - ปัจจุบันเปิดให้ใช้งานบน AMD และ Intel PCs ที่มี NPU

    ✅ Restyle Image และ Image Creator ในแอป Photos
    - Restyle Image เป็นฟีเจอร์ปรับแต่งภาพให้เป็นสไตล์ศิลปะ เช่น ภาพสเก็ตช์หรือสีน้ำมัน
    - Image Creator ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างภาพจากคำสั่งข้อความได้โดยตรง

    ✅ ต้องอัปเดต Windows 11 และเปิดใช้งานการอัปเดตล่าสุด
    - ผู้ใช้ต้องติดตั้ง March non-security preview update
    - ต้องเปิดตัวเลือก Get the latest updates as soon as they’re available ใน Settings

    ✅ ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Voice Access จะเปิดตัวภายในปีนี้
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สั่งงาน Windows ผ่านเสียงได้ดีขึ้น
    - ปัจจุบันเปิดให้ใช้งานบน Snapdragon X และจะมาใน AMD และ Intel PCs ช่วงปลายปี

    https://www.tomshardware.com/software/windows/snapdragon-x-exclusive-copilot-features-begin-trickling-through-to-modern-x86-windows-11-pcs
    Microsoft ประกาศว่า ฟีเจอร์ AI Copilot+ ที่เคยเป็นเอกสิทธิ์สำหรับ Snapdragon X ตอนนี้จะเริ่มทยอยปล่อยให้ใช้งานบน AMD Ryzen AI 300 series และ Intel Core Ultra 200V PCs โดยฟีเจอร์ที่สำคัญ ได้แก่ Live Captions, Cocreator, Restyle Image และ Image Creator ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สร้างสรรค์คอนเทนต์และปรับแต่งรูปภาพได้ง่ายขึ้น ✅ Live Captions พร้อมแปลภาษาแบบเรียลไทม์ - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแปลเสียงพูดจาก 27 ภาษาเป็นภาษาจีนแบบย่อ - เดิมทีใช้ได้เฉพาะบน Snapdragon X แต่ตอนนี้เตรียมเปิดตัวให้กับ AMD และ Intel PCs ✅ Cocreator—ช่วยสร้างงานศิลปะใน Paint - ผู้ใช้สามารถสร้างภาพจาก ข้อความ (text prompt) หรือให้ AI ปรับแต่งภาพที่วาดเอง - ปัจจุบันเปิดให้ใช้งานบน AMD และ Intel PCs ที่มี NPU ✅ Restyle Image และ Image Creator ในแอป Photos - Restyle Image เป็นฟีเจอร์ปรับแต่งภาพให้เป็นสไตล์ศิลปะ เช่น ภาพสเก็ตช์หรือสีน้ำมัน - Image Creator ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างภาพจากคำสั่งข้อความได้โดยตรง ✅ ต้องอัปเดต Windows 11 และเปิดใช้งานการอัปเดตล่าสุด - ผู้ใช้ต้องติดตั้ง March non-security preview update - ต้องเปิดตัวเลือก Get the latest updates as soon as they’re available ใน Settings ✅ ฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น Voice Access จะเปิดตัวภายในปีนี้ - ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สั่งงาน Windows ผ่านเสียงได้ดีขึ้น - ปัจจุบันเปิดให้ใช้งานบน Snapdragon X และจะมาใน AMD และ Intel PCs ช่วงปลายปี https://www.tomshardware.com/software/windows/snapdragon-x-exclusive-copilot-features-begin-trickling-through-to-modern-x86-windows-11-pcs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Snapdragon X exclusive Copilot+ features begin trickling through to modern x86 Windows 11 PCs
    AMD Ryzen AI 300 series and Intel Core Ultra 200V PCs are getting Live Captions, Cocreator, Restyle Image, and Image Creator.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ได้เริ่มการผลิตชิป 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด โดยใช้ Gate-All-Around Transistors และ Backside Power Delivery Panther Lake จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A และอาจช่วยให้ Intel แข่งขันกับ TSMC ได้ดีกว่าเดิม ขณะที่ Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบเวเฟอร์ของ Intel และ TSMC กำลังเตรียมเปิดตัว N2 node ในปีนี้

    ✅ Risk Production คืออะไร?
    - Risk Production เป็นกระบวนการ ทดสอบการผลิตในปริมาณน้อย ก่อนเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบ
    - Intel กำลังขยายกำลังการผลิตจาก หลักร้อยเป็นหลักพันแผ่นเวเฟอร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์

    ✅ Panther Lake CPUs จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A
    - คาดว่า Panther Lake จะมี AI Performance ดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับ Core Ultra 200V
    - Intel ตั้งเป้าผลิตจำนวนมากก่อนสิ้นปีนี้

    ✅ เทคโนโลยี 18A ล้ำกว่าคู่แข่งอย่างไร?
    - Intel ใช้ Gate-All-Around (GAA) Transistors และ Backside Power Delivery
    - GAA ลดการรั่วไหลของพลังงาน ขณะที่ Backside Power Delivery ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์
    - TSMC จะนำ GAA มาใช้ใน N2 node ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงผลิตเร็ว ๆ นี้

    ✅ อนาคตของ Intel กับ 28A และ Nova Lake
    - Intel จะเริ่มออกแบบ 28A node ในครึ่งแรกของปี 2025
    - ชิป Nova Lake และ Clearwater Forest จะตามมาในปี 2026
    - Nova Lake จะใช้ ซิลิคอนจาก TSMC ขณะที่ Clearwater Forest จะเป็นชิป 18A สำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์

    ✅ คู่แข่งที่กำลังจับตาดู 18A ของ Intel
    - Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบ เวเฟอร์ 18A แต่ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะใช้ในการผลิตจริง
    - Apple เป็นลูกค้าหลักของ TSMC N2 และอาจใช้ใน iPhone 18 Pro ที่เปิดตัวปี 2026

    https://www.techspot.com/news/107380-intel-18a-node-enters-risk-production-paving-way.html
    Intel ได้เริ่มการผลิตชิป 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุด โดยใช้ Gate-All-Around Transistors และ Backside Power Delivery Panther Lake จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A และอาจช่วยให้ Intel แข่งขันกับ TSMC ได้ดีกว่าเดิม ขณะที่ Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบเวเฟอร์ของ Intel และ TSMC กำลังเตรียมเปิดตัว N2 node ในปีนี้ ✅ Risk Production คืออะไร? - Risk Production เป็นกระบวนการ ทดสอบการผลิตในปริมาณน้อย ก่อนเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบ - Intel กำลังขยายกำลังการผลิตจาก หลักร้อยเป็นหลักพันแผ่นเวเฟอร์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตเชิงพาณิชย์ ✅ Panther Lake CPUs จะเป็นชิปรุ่นแรกที่ใช้ 18A - คาดว่า Panther Lake จะมี AI Performance ดีขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับ Core Ultra 200V - Intel ตั้งเป้าผลิตจำนวนมากก่อนสิ้นปีนี้ ✅ เทคโนโลยี 18A ล้ำกว่าคู่แข่งอย่างไร? - Intel ใช้ Gate-All-Around (GAA) Transistors และ Backside Power Delivery - GAA ลดการรั่วไหลของพลังงาน ขณะที่ Backside Power Delivery ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ - TSMC จะนำ GAA มาใช้ใน N2 node ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงผลิตเร็ว ๆ นี้ ✅ อนาคตของ Intel กับ 28A และ Nova Lake - Intel จะเริ่มออกแบบ 28A node ในครึ่งแรกของปี 2025 - ชิป Nova Lake และ Clearwater Forest จะตามมาในปี 2026 - Nova Lake จะใช้ ซิลิคอนจาก TSMC ขณะที่ Clearwater Forest จะเป็นชิป 18A สำหรับตลาดเซิร์ฟเวอร์ ✅ คู่แข่งที่กำลังจับตาดู 18A ของ Intel - Nvidia และ Broadcom กำลังทดสอบ เวเฟอร์ 18A แต่ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะใช้ในการผลิตจริง - Apple เป็นลูกค้าหลักของ TSMC N2 และอาจใช้ใน iPhone 18 Pro ที่เปิดตัวปี 2026 https://www.techspot.com/news/107380-intel-18a-node-enters-risk-production-paving-way.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel's 18A node enters risk production, paving the way for Panther Lake
    Kevin O'Buckley, senior vice president and general manager of Intel Foundry Services, confirmed that risk production has begun for the company's upcoming 18A semiconductor node. The announcement,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัญหา ไฟไหม้ขยะและศูนย์รีไซเคิล เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน ในบุหรี่ไฟฟ้า ล่าสุด Fire Rover ซึ่งเป็นบริษัทด้านระบบดับเพลิงอัตโนมัติ รายงานว่าจำนวนไฟไหม้ขยะในปี 2024 พุ่งขึ้น 60% จากปี 2023 และสูงขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2022

    ✅ ตัวเลขไฟไหม้ขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - ในปี 2024 มีเหตุไฟไหม้ขยะ 2,910 ครั้ง เพิ่มขึ้นจาก 1,809 ครั้งในปี 2023
    - ศูนย์รีไซเคิลต้องเรียกทีมดับเพลิง 398 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ Fire Rover เริ่มบันทึกข้อมูลในปี 2016

    ✅ บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสาเหตุหลัก เนื่องจากการกำจัดที่ผิดวิธี
    - ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ทิ้งบุหรี่ไฟฟ้าในขยะทั่วไป แต่ใช้ ถังรีไซเคิล ซึ่งก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน
    - แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถติดไฟได้หลายวิธี เช่น แรงกดทับ, การเจาะ, ไฟฟ้าลัดวงจร และความสั่นสะเทือน จากกระบวนการในโรงงาน

    ✅ ค่าเสียหายสูงถึง $2.5 พันล้านในปี 2024
    - Fire Rover ประเมินว่า 50% ของเหตุไฟไหม้ขยะมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
    - ศูนย์กำจัดขยะต้องรับภาระค่าเสียหายจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีระบบรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ

    ✅ อุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้าถูกตั้งคำถามเรื่องความรับผิดชอบ
    - รายงานของ Fire Rover วิจารณ์ว่า อุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ลงทุนเพียงพอ ในระบบกำจัดแบตเตอรี่
    - 1.2 พันล้านชิ้น ของบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งเข้าสู่ขยะและรีไซเคิลทุกปี แต่ไม่มีมาตรการชัดเจนในการจัดการ

    ✅ การแก้ปัญหาในอนาคต
    - Fire Rover เสนอให้ มีโครงสร้างพื้นฐานรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่เข้มงวดขึ้น
    - ศูนย์กำจัดขยะควร เพิ่มมาตรการตรวจสอบและแยกแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนออกจากขยะทั่วไป

    https://www.techspot.com/news/107379-waste-fires-rise-largely-thanks-lithium-ion-batteries.html
    ปัญหา ไฟไหม้ขยะและศูนย์รีไซเคิล เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน ในบุหรี่ไฟฟ้า ล่าสุด Fire Rover ซึ่งเป็นบริษัทด้านระบบดับเพลิงอัตโนมัติ รายงานว่าจำนวนไฟไหม้ขยะในปี 2024 พุ่งขึ้น 60% จากปี 2023 และสูงขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2022 ✅ ตัวเลขไฟไหม้ขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - ในปี 2024 มีเหตุไฟไหม้ขยะ 2,910 ครั้ง เพิ่มขึ้นจาก 1,809 ครั้งในปี 2023 - ศูนย์รีไซเคิลต้องเรียกทีมดับเพลิง 398 ครั้ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่ Fire Rover เริ่มบันทึกข้อมูลในปี 2016 ✅ บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสาเหตุหลัก เนื่องจากการกำจัดที่ผิดวิธี - ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่ทิ้งบุหรี่ไฟฟ้าในขยะทั่วไป แต่ใช้ ถังรีไซเคิล ซึ่งก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน - แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถติดไฟได้หลายวิธี เช่น แรงกดทับ, การเจาะ, ไฟฟ้าลัดวงจร และความสั่นสะเทือน จากกระบวนการในโรงงาน ✅ ค่าเสียหายสูงถึง $2.5 พันล้านในปี 2024 - Fire Rover ประเมินว่า 50% ของเหตุไฟไหม้ขยะมาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน - ศูนย์กำจัดขยะต้องรับภาระค่าเสียหายจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีระบบรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพ ✅ อุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้าถูกตั้งคำถามเรื่องความรับผิดชอบ - รายงานของ Fire Rover วิจารณ์ว่า อุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ลงทุนเพียงพอ ในระบบกำจัดแบตเตอรี่ - 1.2 พันล้านชิ้น ของบุหรี่ไฟฟ้าแบบใช้แล้วทิ้งเข้าสู่ขยะและรีไซเคิลทุกปี แต่ไม่มีมาตรการชัดเจนในการจัดการ ✅ การแก้ปัญหาในอนาคต - Fire Rover เสนอให้ มีโครงสร้างพื้นฐานรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่เข้มงวดขึ้น - ศูนย์กำจัดขยะควร เพิ่มมาตรการตรวจสอบและแยกแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนออกจากขยะทั่วไป https://www.techspot.com/news/107379-waste-fires-rise-largely-thanks-lithium-ion-batteries.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Waste fires are on the rise largely thanks to the lithium-ion batteries in vape pens
    Fire Rover, a company that specializes in automated and semi-automated fire suppression systems, released its annual report noting that waste and recycling fires are steadily rising. In...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts