• อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 739
    ชื่อบทธรรม :- การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท)
    (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง
    แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์
    ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ.
    บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :-
    )
    --คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน
    จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ?
    “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ
    ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่
    สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ.
    --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว
    จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน.
    --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล),
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี,
    มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น
    ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก
    โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) ,
    ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี,
    มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี,
    สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น
    โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร
    : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า
    “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ...
    ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี”
    ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือ
    เลิก ละกุศลธรรม สามประการนี้ กล่าวคือ
    กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย
    แล้วสมาทานประพฤติ อกุศลธรรม สามประการ
    กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของ อกุศลธรรม
    และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย.
    ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี
    ทิฏฐินั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ
    โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาวาจา.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี
    เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น.
    โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี
    การกระทำของเขานั้น จึงเป็น #อสัทธัมมสัญญัตติ์
    (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นใน อสัทธรรม)
    และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น.
    ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย
    มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา
    ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น.
    ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา
    เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน
    ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี)
    นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้
    เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ;
    +‐-แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย
    จักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้.
    +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ;
    ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ
    ว่าเป็นคน ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น #นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง.
    +--ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี*--๑ ทั้งสองฝ่าย
    ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน
    และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึง #อบายทุคติวินิบาตนรก.
    นี่แหละ คือ อปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้)
    นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว
    ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล
    -----
    *--๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก
    หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“
    ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ
    ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้.
    ---‐-
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด
    มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า
    “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล),
    ... ฯลฯ ...
    ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี”
    ดังนี้นั้น
    พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ
    กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย
    แล้วสมาทานประพฤติ กุศลธรรม สามประการ
    กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
    เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง
    ของ อกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ
    อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย.
    ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่
    ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฏฐิ
    โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่
    ความดำรินั้นของเขา จึงเป็น สัมมาสังกัปปะ.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่
    วาจานั้นของเขา จึงเป็น สัมมาวาจา.
    เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้
    ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น.
    โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่
    การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม)
    และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น.
    ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย
    มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
    ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น.
    ด้วยอาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย.
    --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม
    ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้
    หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น.
    +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น
    ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น
    +--ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ
    เป็น #อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง.
    ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย
    ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ
    และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึง #สุคติโลกสวรรค์.
    นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง
    ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.-

    ------‐
    **ขยายความโดยสูตรอื่นอีก**
    (ทิฏฐิแห่งพระบาลีนี้ ยังเป็นประเภท โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือยังมีอาสวะ
    มีความยึดมั่นว่าสัตว์ว่าบุคคล มีความดีความชั่ว มีนรกสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งได้เป็นสองฝ่าย.
    --เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เป็นทิฏฐิ คือเป็นเพียงความเห็น ไม่มีประจักษ์พยานที่เป็นวัตถุสิ่งของมาแสดงให้เห็นชัดได้ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างทิฏฐิขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยส่วนเดียว.
    ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นมาว่า โลกอื่นมี หรือไม่มี เราจะต้องถือเอาข้างฝ่ายทิฏฐิที่ทำให้เกิดประโยชน์โดยส่วนเดียว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ทิฏฐิที่ถือว่าโลกอื่นมี ซึ่งเป็นเหตุให้ขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นไปเพื่อโลกอื่น และได้รับประโยชน์สุขในโลกอื่น;
    ถ้าเผอิญโลกอื่นไม่มี ตนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร การกระทำเพื่อประโยชน์โลกอื่นก็ไม่เสียเปล่า คือเป็นความดีที่ได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชนในโลกนี้ และได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้อย่างเต็มที่.
    ดังนั้นจึงสรุปว่า การมีทิฏฐิว่าโลกอื่นมี ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์โดยส่วนสอง คือแม้โลกอื่นจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์ ยิ่งโลกอื่นมีก็ยิ่งได้รับประโยชน์จึง เรียกทิฏฐิชนิดนี้ว่าเป็นอปัณณกธรรม คือธรรมที่ผิดไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตัดปัญหาออกไปเสียได้โดยประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดปัญหาที่แย้งกันอย่างตรงข้ามเป็นสองฝ่าย ดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีนี้. เราจึงถือว่า สัมมาทิฏฐิ ชนิดนี้ระงับผลร้ายเสียได้ในเมื่อเกิดการขัดแย้งในระหว่างลัทธิ.
    --ในความขัดแย้งระหว่างทิฏฐิคู่อื่นๆ เช่นทิฏฐิว่า
    การกระทำไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำหรือการกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำ
    (ทำบุญทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ หรือทำบุญทำบาปชื่อว่าเป็นอันกระทำ)
    เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาแล้ว พึงเลือกถือเอาทิฏฐิข้างฝ่ายที่จะผิดไม่ได้อีกอย่างเดียวกัน คือทิฏฐิที่ว่า การกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำและเลือกกระทำแต่ฝ่ายข้างดี;
    แม้สมมุติว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นการกระทำ เขาก็ยังได้รับผลของการกระทำ
    คือเป็นที่สรรเสริญแห่งวิญญูชน และผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์สุขอยู่นั่นเอง.
    นี้เป็น สัมมาทิฏฐิที่ควรมี หรือถือเป็นหลักในเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นเกี่ยวกับลัทธิที่ต่างกันชนิดหนึ่ง.
    ---- ม. ม. ๑๓/๑๐๕-๑๑๐ /๑๑๐-๑๑๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/105/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%90

    --สำหรับทิฏฐิที่ว่ามีเหตุหรือไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ของสัตว์ นั้น
    ก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกัน คือถ้า ถือว่า มีเหตุ ก็จะเป็นความปลอดภัยกว่าการถือว่าไม่มีเหตุ.
    ผู้ที่ถือว่ามีเหตุ ย่อมกระทำการกระทำที่เป็นการสร้างเหตุดีเว้นเหตุชั่ว;
    สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุขึ้นมา การกระทำของเขาก็ยังเป็นความดีทั้งสองสถาน คือวิญญูชนสรรเสริญ และเขาก็ได้รับผลดีแห่งการกระทำของเขา
    คือเป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกอื่น. แม้นี้ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่ควรสร้างขึ้น
    เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างลัทธิ ด้วยเหมือนกัน.
    - ม. ม. ๑๓/๑๑๑-๑๑๕/๑๑๕-๑๑๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%95

    --สำหรับทิฏฐิที่ว่า อารุปปธรรม (คุณสมบัติที่เป็นสภาวะไม่มีรูป) เป็นสิ่งที่ มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่ นั้น ิญญูชนจะเลือกถือเอาข้างที่ว่า มีอยู่ และปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งคุณธรรมประเภทที่--ไม่มีรูปนั้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ; คือสมมุติว่าถ้าอารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ เขาก็ยังได้รับประโยชน์ที่รองลงมา คือ รุปปธรรม (คุณสมบัติหรือคุณค่าที่มีรูป). ถ้าหากว่าอารุปปธรรมมีจริง เขาก็จะได้รับคุณค่าหรือประโยชน์ชั้นที่เป็นอารุปปธรรมนั้นตามความมุ่งหมาย. ดังนั้น การที่ถือว่า อารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่นั้น จัดเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่อาจจะผิดได้ ในเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างลัทธิ. อนึ่ง ถ้าอธิบายตามแบบเก่าๆ อย่างในอรรถกถา ก็คือให้ถือว่า อรูปพรหมมีอยู่ แล้วปฏิบัติเพื่ออรูปพรหมนั้น ถ้าสมมุติว่าอรูปพรหมไม่มี ก็ยังได้รับผลเป็นรูปพรหมที่รองลงมา แต่ถ้าอรูปพรหมมีก็จะได้รับผลเต็มตามความหมายของอรูปพรหม จึงถือว่าเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง. อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวสำหรับผู้มีการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวว่า คุณค่าหรือคุณสมบัติชนิดที่ไม่ต้องมีสภาวะเป็นรูปธรรม (คือไม่เป็นวัตถุนิยม) นั้นก็มีอยู่และมีผลเป็นความสะดวกกว่า สบายกว่าเป็นสุขสงบกว่า ประเสริฐกว่า เพราะไม่ต้องมีการกระทบกระทั่งฝ่ายรูปธรรม เช่นการทะเลาะวิวาทหรือป่วยไข้ทางร่างกายเป็นต้น.
    - ม. ม. ๑๓/๑๑๕/๑๒๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90

    --สำหรับทิฏฐิว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่มี นั้น วิญญูชนจะถือเอาข้างฝ่ายที่ถือว่า มีความดับแห่งภพ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับแห่งภพ เขาก็จะได้รับผลเป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้; ส่วนพวกที่ถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มีนั้น เขาก็จะไปติดตันตายด้านอยู่เพียงแค่อรูปภพอันเป็นภพสูงสุด. ดังนั้น การถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่ นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีทางจะผิดได้ ในเมื่อมีการมีการทุ่มเถียงขัดแย้ง กันระหว่างลัทธิ.
    - ม.ม ๑๓/๑๑๗/๑๒๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91

    --สรุปความว่า
    ปัญหาทางลัทธินั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นตัว หรือได้ยินเสียงโดยตรง จนถึงกับเรากล่าวว่ามันเป็นอย่างไรๆได้ ดังนั้น จึงต้องตั้งขึ้นเป็นลัทธิชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือทำให้ได้รับประโยชน์โดยส่วนเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองไม่เห็นหรือฟังเสียงโดยตรงไม่ได้นั้นๆ เราจึงต้องจัดทำหรือต้องมีอย่างถูกต้องชนิดผิดไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อธรรมะเหล่านี้
    ).
    **
    #สัมมาทิฏฐิ
    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม. 13/81 - 85/104 - 109.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม. ๑๓/๑๐๑ - ๑๐๕/๑๐๔ - ๑๐๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/101/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=739
    ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ สัทธรรมลำดับที่ : 739 ชื่อบทธรรม :- การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739 เนื้อความทั้งหมด :- --การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท) (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :- ) --คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ? “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ. --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน. --คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือ เลิก ละกุศลธรรม สามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติ อกุศลธรรม สามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของ อกุศลธรรม และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ทิฏฐินั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็น มิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็น มิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็น #อสัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นใน อสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย. --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ; +‐-แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึง อบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้. +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคน ทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น #นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง. +--ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี*--๑ ทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึง #อบายทุคติวินิบาตนรก. นี่แหละ คือ อปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล ----- *--๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“ ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้. ---‐- --คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล), ... ฯลฯ ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติ กุศลธรรม สามประการ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง ของ อกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ใน เนกขัมมะ อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่ ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็น สัมมาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่ ความดำรินั้นของเขา จึงเป็น สัมมาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่ วาจานั้นของเขา จึงเป็น สัมมาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้ ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่ การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม) และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมี สัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย. --คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น. +--เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น +--ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็น #อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึง #สุคติโลกสวรรค์. นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.- ------‐ **ขยายความโดยสูตรอื่นอีก** (ทิฏฐิแห่งพระบาลีนี้ ยังเป็นประเภท โลกิยสัมมาทิฏฐิ คือยังมีอาสวะ มีความยึดมั่นว่าสัตว์ว่าบุคคล มีความดีความชั่ว มีนรกสวรรค์ เป็นต้น ซึ่งแบ่งได้เป็นสองฝ่าย. --เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ในลักษณะที่เป็นทิฏฐิ คือเป็นเพียงความเห็น ไม่มีประจักษ์พยานที่เป็นวัตถุสิ่งของมาแสดงให้เห็นชัดได้ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องสร้างทิฏฐิขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขโดยส่วนเดียว. ตัวอย่างปัญหาเกิดขึ้นมาว่า โลกอื่นมี หรือไม่มี เราจะต้องถือเอาข้างฝ่ายทิฏฐิที่ทำให้เกิดประโยชน์โดยส่วนเดียว ซึ่งในที่นี้ได้แก่ทิฏฐิที่ถือว่าโลกอื่นมี ซึ่งเป็นเหตุให้ขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์อันเป็นไปเพื่อโลกอื่น และได้รับประโยชน์สุขในโลกอื่น; ถ้าเผอิญโลกอื่นไม่มี ตนก็ไม่เสียประโยชน์อะไร การกระทำเพื่อประโยชน์โลกอื่นก็ไม่เสียเปล่า คือเป็นความดีที่ได้รับการสรรเสริญจากวิญญูชนในโลกนี้ และได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้อย่างเต็มที่. ดังนั้นจึงสรุปว่า การมีทิฏฐิว่าโลกอื่นมี ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์โดยส่วนสอง คือแม้โลกอื่นจะไม่มีก็ยังได้รับประโยชน์ ยิ่งโลกอื่นมีก็ยิ่งได้รับประโยชน์จึง เรียกทิฏฐิชนิดนี้ว่าเป็นอปัณณกธรรม คือธรรมที่ผิดไม่ได้ทั้งสองฝ่าย เป็นสัมมาทิฏฐิที่ตัดปัญหาออกไปเสียได้โดยประการทั้งปวง ในเมื่อเกิดปัญหาที่แย้งกันอย่างตรงข้ามเป็นสองฝ่าย ดังที่กล่าวไว้ในพระบาลีนี้. เราจึงถือว่า สัมมาทิฏฐิ ชนิดนี้ระงับผลร้ายเสียได้ในเมื่อเกิดการขัดแย้งในระหว่างลัทธิ. --ในความขัดแย้งระหว่างทิฏฐิคู่อื่นๆ เช่นทิฏฐิว่า การกระทำไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำหรือการกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำ (ทำบุญทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ หรือทำบุญทำบาปชื่อว่าเป็นอันกระทำ) เกิดเป็นปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาแล้ว พึงเลือกถือเอาทิฏฐิข้างฝ่ายที่จะผิดไม่ได้อีกอย่างเดียวกัน คือทิฏฐิที่ว่า การกระทำชื่อว่าเป็นอันกระทำและเลือกกระทำแต่ฝ่ายข้างดี; แม้สมมุติว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นการกระทำ เขาก็ยังได้รับผลของการกระทำ คือเป็นที่สรรเสริญแห่งวิญญูชน และผู้นั้นก็ได้รับประโยชน์สุขอยู่นั่นเอง. นี้เป็น สัมมาทิฏฐิที่ควรมี หรือถือเป็นหลักในเมื่อเกิดการขัดแย้งขึ้นเกี่ยวกับลัทธิที่ต่างกันชนิดหนึ่ง. ---- ม. ม. ๑๓/๑๐๕-๑๑๐ /๑๑๐-๑๑๔. http://etipitaka.com/read/pali/13/105/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%90 --สำหรับทิฏฐิที่ว่ามีเหตุหรือไม่มีเหตุแห่งความเศร้าหมองหรือความบริสุทธิ์ของสัตว์ นั้น ก็มีหลักเกณฑ์ทำนองเดียวกัน คือถ้า ถือว่า มีเหตุ ก็จะเป็นความปลอดภัยกว่าการถือว่าไม่มีเหตุ. ผู้ที่ถือว่ามีเหตุ ย่อมกระทำการกระทำที่เป็นการสร้างเหตุดีเว้นเหตุชั่ว; สมมุติว่าสิ่งทั้งหลายจะเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุขึ้นมา การกระทำของเขาก็ยังเป็นความดีทั้งสองสถาน คือวิญญูชนสรรเสริญ และเขาก็ได้รับผลดีแห่งการกระทำของเขา คือเป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกอื่น. แม้นี้ก็คือ สัมมาทิฏฐิที่ควรสร้างขึ้น เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างลัทธิ ด้วยเหมือนกัน. - ม. ม. ๑๓/๑๑๑-๑๑๕/๑๑๕-๑๑๙. http://etipitaka.com/read/pali/13/111/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%95 --สำหรับทิฏฐิที่ว่า อารุปปธรรม (คุณสมบัติที่เป็นสภาวะไม่มีรูป) เป็นสิ่งที่ มีอยู่หรือไม่ได้มีอยู่ นั้น ิญญูชนจะเลือกถือเอาข้างที่ว่า มีอยู่ และปฏิบัติเพื่อให้ได้ซึ่งคุณธรรมประเภทที่--ไม่มีรูปนั้น เขาก็จะได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ; คือสมมุติว่าถ้าอารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่ เขาก็ยังได้รับประโยชน์ที่รองลงมา คือ รุปปธรรม (คุณสมบัติหรือคุณค่าที่มีรูป). ถ้าหากว่าอารุปปธรรมมีจริง เขาก็จะได้รับคุณค่าหรือประโยชน์ชั้นที่เป็นอารุปปธรรมนั้นตามความมุ่งหมาย. ดังนั้น การที่ถือว่า อารุปปธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่นั้น จัดเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่อาจจะผิดได้ ในเมื่อเกิดการขัดแย้งกันขึ้นในระหว่างลัทธิ. อนึ่ง ถ้าอธิบายตามแบบเก่าๆ อย่างในอรรถกถา ก็คือให้ถือว่า อรูปพรหมมีอยู่ แล้วปฏิบัติเพื่ออรูปพรหมนั้น ถ้าสมมุติว่าอรูปพรหมไม่มี ก็ยังได้รับผลเป็นรูปพรหมที่รองลงมา แต่ถ้าอรูปพรหมมีก็จะได้รับผลเต็มตามความหมายของอรูปพรหม จึงถือว่าเป็นทิฏฐิที่ถูกต้อง. อีกอย่างหนึ่ง ถ้ากล่าวสำหรับผู้มีการศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน ก็ต้องกล่าวว่า คุณค่าหรือคุณสมบัติชนิดที่ไม่ต้องมีสภาวะเป็นรูปธรรม (คือไม่เป็นวัตถุนิยม) นั้นก็มีอยู่และมีผลเป็นความสะดวกกว่า สบายกว่าเป็นสุขสงบกว่า ประเสริฐกว่า เพราะไม่ต้องมีการกระทบกระทั่งฝ่ายรูปธรรม เช่นการทะเลาะวิวาทหรือป่วยไข้ทางร่างกายเป็นต้น. - ม. ม. ๑๓/๑๑๕/๑๒๐. http://etipitaka.com/read/pali/13/115/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90 --สำหรับทิฏฐิว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีอยู่หรือไม่มี นั้น วิญญูชนจะถือเอาข้างฝ่ายที่ถือว่า มีความดับแห่งภพ แล้วก็ปฏิบัติเพื่อความดับแห่งภพ เขาก็จะได้รับผลเป็นปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้; ส่วนพวกที่ถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มีนั้น เขาก็จะไปติดตันตายด้านอยู่เพียงแค่อรูปภพอันเป็นภพสูงสุด. ดังนั้น การถือว่า ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่ นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีทางจะผิดได้ ในเมื่อมีการมีการทุ่มเถียงขัดแย้ง กันระหว่างลัทธิ. - ม.ม ๑๓/๑๑๗/๑๒๑. http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 --สรุปความว่า ปัญหาทางลัทธินั้น คือปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่อาจมองเห็นตัว หรือได้ยินเสียงโดยตรง จนถึงกับเรากล่าวว่ามันเป็นอย่างไรๆได้ ดังนั้น จึงต้องตั้งขึ้นเป็นลัทธิชนิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือทำให้ได้รับประโยชน์โดยส่วนเดียวเกี่ยวกับสิ่งที่เขามองไม่เห็นหรือฟังเสียงโดยตรงไม่ได้นั้นๆ เราจึงต้องจัดทำหรือต้องมีอย่างถูกต้องชนิดผิดไม่ได้ ดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อธรรมะเหล่านี้ ). ** #สัมมาทิฏฐิ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม. 13/81 - 85/104 - 109. http://etipitaka.com/read/thai/13/81/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม. ๑๓/๑๐๑ - ๑๐๕/๑๐๔ - ๑๐๙. http://etipitaka.com/read/pali/13/101/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=739 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=56&id=739 ลำดับสาธยายธรรม : 56 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_56.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ
    -การทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิเมื่อมีปัญหาระหว่างลัทธิ (นัตถิก - อัตถิกวาท, อกิริย - กิริยวาท, อเหตุก - เหตุกวาท, อารุปปวาท, ภวนิโรธวาท) (พราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ รู้แจ้งโลกทั้งปวง แสดงธรรมงดงามบริบูรณ์ ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า :- ) คหบดี ท. ! มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลงสัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล ? “ยังไม่มี พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! สำหรับพวกท่านที่ยังไม่มีศาสดาอันเป็นที่พอใจ ธรรมะอันผิดไม่ได้ (อปัณณกธรรม) นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านสมาทานแล้วปฏิบัติ. คหบดี ท. ! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อหิตสุขแก่พวกท่านตลอดกาลนาน. คหบดี ท.! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เป็นอย่างไรเล่า ? คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ ไม่มี, โลกอื่น ไม่มี, มารดา ไม่มี, บิดา ไม่มี, โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้. คหบดี ท. ! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล) , การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล) , ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกนี้ มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้. คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกันและกัน มิใช่หรือ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมีวาทะมีทิฏฐิว่า “ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็ไม่มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละกุศลธรรมสามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของอกุศลธรรม และไม่มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่แท้ ๆ เขาดำริไปว่า โลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขาจึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของเขา จึงเป็นมิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ ๆ ว่าโลก อื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่แท้ ๆ เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็นอสัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในอสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันดีงามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในปกติภาวะอันเลวทราม คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์ การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย. คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ (ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่ ; แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้. เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนทุศีล เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็น นัตถิกวาท ดังนี้อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การได้รับกระลี๑ ทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็ถูกวิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึงอบายทุคติวินิบาตนรก. ๑. คำว่า กระลี (ในบทว่า กลิคฺคาโห) เป็นคำที่แปลเป็นไทยได้ยาก หมายถึงความชั่วร้ายที่มาจากผีชนิดหนึ่ง ในที่นี้ จึงแปลทับศัพท์ว่า “กระลี“ ซึ่งแม้จะแปลว่า ความชั่ว ความเลว ความพ่ายแพ้ ฯลฯ ก็ไม่มีความหมายเต็มตามความหมายเดิมของคำคำนี้. นี่แหละ คืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดยสิ้นเชิงย่อมแผ่ไป โดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศล. คหบดี ท. ! ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์พวกใด มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี(ผล), ... ฯลฯ ... ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้นั้น พวกเขาพึงหวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เสีย แล้วสมาทานประพฤติกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะเหตุว่าสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมอง ของอกุศลธรรม และมองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นธรรมขาวผ่องฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย. ทิฏฐิของเขา ต่อโลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว ก็เป็นทิฏฐิที่เห็นว่าโลกอื่นมีอยู่ ทิฏฐินั้นของเขาจึงเป็นสัมมาทิฏฐิ โลกอื่นซึ่งมีอยู่นั่นเทียว เขาก็ดำริว่าโลกอื่นมีอยู่ ความดำรินั้นของเขา จึงเป็นสัมมาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียวว่าโลกอื่นมีอยู่ วาจานั้นของเขา จึงเป็นสัมมาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่นั่นเทียว ว่าโลกอื่นมีอยู่ เช่นนี้ชื่อว่าเขาทำตนไม่เป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกอื่น. โลกอื่นมีอยู่นั่นเทียว เขาทำให้ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นมีอยู่ การกระทำของเขานั้น จึงเป็น สัทธัมมสัญญัตติ์ (ทำให้ผู้อื่นหมายมั่นในสัทธรรม) และด้วยสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขาย่อมไม่ยกตนข่มผู้อื่น. ด้วยการกระทำอย่างนี้ ชื่อว่า เขาละปกติภาวะอันเลวทรามในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ในภาวะอันดีงาม คือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ความไม่เป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า สัทธัมมสัญญัตติ์ การไม่ยกตัว และการไม่ข่มผู้อื่น. ด้วย อาการอย่างนี้ กุศลธรรมอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขาเพราะมีสัมมาทิฏฐิ เป็นปัจจัย. คหบดี ท. ! ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็นอย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นมีอยู่ บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะเหตุนั้น. เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามีกันเลย คำจริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง; ถึงกระนั้น บุรุษผู้เจริญนั้น ก็ยังจะเป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนมีศีล เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็น อัตถิกวาท ดังนี้ อยู่นั่นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การถือเอาซึ่งความสำเร็จทั้งสองฝ่าย ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ก็เป็นผู้อันวิญญูชนสรรเสริญ และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกายก็เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. นี่แหละคืออปัณณกธรรม (ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่บุคคลนี้ถือเอาถูกโดยสิ้นเชิง ย่อมแผ่ไป โดยส่วนทั้งสอง ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งอกุศล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ
    สัทธรรมลำดับที่ : 734
    ชื่อบทธรรม : -ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ
    --ก. แห่งมิจฉาทิฏฐิ
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้
    เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ?
    สองอย่าง คือ :-
    ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส).
    ๒--การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโส มนสิกาโร).
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ.

    --ข. แห่งสัมมาทิฏฐิ
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้
    เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ?
    สองอย่าง คือ :-
    ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส).
    ๒--การกระทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิกาโร).
    http://etipitaka.com/read/pali/20/110/?keywords=มนสิกาโร
    --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #ไทยสุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. 20/81-82/370-371.
    http://etipitaka.com/read/thai/20/81/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. ๒๐/๑๐๙-๑๑๐/๓๗๐-๓๗๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/20/109/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=734
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54
    ลำดับสาธยายธรรม : 54​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ สัทธรรมลำดับที่ : 734 ชื่อบทธรรม : -ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734 เนื้อความทั้งหมด :- --ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ --ก. แห่งมิจฉาทิฏฐิ --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ :- ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). ๒--การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโส มนสิกาโร). --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ. --ข. แห่งสัมมาทิฏฐิ --ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ :- ๑--การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). ๒--การกระทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิกาโร). http://etipitaka.com/read/pali/20/110/?keywords=มนสิกาโร --ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล #เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #ไทยสุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. 20/81-82/370-371. http://etipitaka.com/read/thai/20/81/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทุก.อํ. ๒๐/๑๐๙-๑๑๐/๓๗๐-๓๗๑. http://etipitaka.com/read/pali/20/109/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%97%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=734 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54&id=734 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=54 ลำดับสาธยายธรรม : 54​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_54.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ในสูตรถัดไป ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วยวิญญาตัทพธรรมทางจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ (๑๘/๒๒-๒๓/๒๙-๓๐).
    -[ในสูตรถัดไป ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วยวิญญาตัทพธรรมทางจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และมนะ (๑๘/๒๒-๒๓/๒๙-๓๐). อีกสูตรหนึ่ง ทรงแสดงสิ่งทั้งปวงด้วยขันธ์ห้า (๑๗/๓๓/๕๖-๕๗)]. ต้นเหตุแห่งมิจฉาทิฏฐิ - สัมมาทิฏฐิ ก. แห่งมิจฉาทิฏฐิ ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ : การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). การกระทำในใจโดยไม่แยบคาย (อโยนิโส มนสิกาโร). ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมิจฉาทิฏฐิ. ข. แห่งสัมมาทิฏฐิ ภิกษุ ท. ! ปัจจัย ๒ อย่างเหล่านี้ เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ สองอย่างเหล่าไหนเล่า ? สองอย่าง คือ : การโฆษณาของคนเหล่าอื่น (ปรโต โฆโส). การกระทำในใจโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิกาโร). ภิกษุ ท. ! ปัจจัยสองอย่างเหล่านี้แล เพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • "พระธรรมทูตยุโรป" แถลงการณ์ห่วงใย! ต่อท่าที 2 สส.พรรคประชาชน เผยเป็นถ้อยคำ “มิจฉาทิฎฐิ” ยกคำสอน จิตซึ่งตั้งไว้ผิดแล้ว พึงทำให้บุคคลนั้นถึงความพินาศเลวทรามฉิบหายได้
    https://www.thai-tai.tv/news/20977/
    .
    #พระธรรมทูตยุโรป #มิจฉาทิฏฐิ #ข่าวการเมือง #พรรคประชาชน #นิตยภัต #ไทยไท

    "พระธรรมทูตยุโรป" แถลงการณ์ห่วงใย! ต่อท่าที 2 สส.พรรคประชาชน เผยเป็นถ้อยคำ “มิจฉาทิฎฐิ” ยกคำสอน จิตซึ่งตั้งไว้ผิดแล้ว พึงทำให้บุคคลนั้นถึงความพินาศเลวทรามฉิบหายได้ https://www.thai-tai.tv/news/20977/ . #พระธรรมทูตยุโรป #มิจฉาทิฏฐิ #ข่าวการเมือง #พรรคประชาชน #นิตยภัต #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก
    สัทธรรมลำดับที่ : 1065
    ชื่อบทธรรม : -ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1065
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ
    ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ในนรก.
    ธรรม ๑๐ ประการ อย่างไรเล่า ? สิบประการ คือ คนบางคนในกรณีนี้
    เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง
    หยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต
    มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต... ๑;
    http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=ปาณาติปา
    (ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงบุคคล ผู้
    กระทำอทินนาทาน... ๒,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=อทินนา
    กระทำกาเมสุมิจฉาจาร...๓,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=กาเม
    พูดเท็จ... ๔,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=มุสา
    พูดส่อเสียด... ๕,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=ปิสุณ
    พูดคำหยาบ... ๖,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=ผรุส
    พูดเพ้อเจ้อ... ๗,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=สมฺผปฺปลา
    มากด้วยอภิชฌา... ๘,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=อภิชฺฌา
    มีพยาบาท... ๙,
    http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=พฺยาปนฺน
    เป็นมิจฉาทิฏฐิ... ๑๐ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=มิจฺฉาทิฏฺฐิ

    (ซึ่งแต่ละอย่างๆ มีรายละเอียดหาดูได้จากหัวข้อว่า
    “ลักษณะความสะอาด – ไม่สะอาด ในอริยวินัย”
    เฉพาะฝ่ายชั่วหรือฝ่ายความไม่สะอาด ; แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : -
    )
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล
    #ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ในนรก.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/259/189.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/259/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๓๐๕/๑๘๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%99
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1065
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95&id=1065
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95
    ลำดับสาธยายธรรม : 95 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_95.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก สัทธรรมลำดับที่ : 1065 ชื่อบทธรรม : -ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1065 เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ในนรก. ธรรม ๑๐ ประการ อย่างไรเล่า ? สิบประการ คือ คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง หยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต... ๑; http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=ปาณาติปา (ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงบุคคล ผู้ กระทำอทินนาทาน... ๒, http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=อทินนา กระทำกาเมสุมิจฉาจาร...๓, http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=กาเม พูดเท็จ... ๔, http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=มุสา พูดส่อเสียด... ๕, http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=ปิสุณ พูดคำหยาบ... ๖, http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=ผรุส พูดเพ้อเจ้อ... ๗, http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=สมฺผปฺปลา มากด้วยอภิชฌา... ๘, http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=อภิชฺฌา มีพยาบาท... ๙, http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=พฺยาปนฺน เป็นมิจฉาทิฏฐิ... ๑๐ ; http://etipitaka.com/read/pali/24/306/?keywords=มิจฺฉาทิฏฺฐิ (ซึ่งแต่ละอย่างๆ มีรายละเอียดหาดูได้จากหัวข้อว่า “ลักษณะความสะอาด – ไม่สะอาด ในอริยวินัย” เฉพาะฝ่ายชั่วหรือฝ่ายความไม่สะอาด ; แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : - ) --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล #ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ในนรก.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/259/189. http://etipitaka.com/read/thai/24/259/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๓๐๕/๑๘๙. http://etipitaka.com/read/pali/24/305/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%99 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1065 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95&id=1065 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=95 ลำดับสาธยายธรรม : 95 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_95.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก
    -ผู้ไม่สะอาด เป็นผู้ที่เหมือนกับถูกนำไปเก็บไว้ในนรก ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ย่อม เป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ในนรก. ธรรม ๑๐ ประการ อย่างไรเล่า ? สิบประการ คือ คนบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ มีปกติทำสัตว์มีปาณะให้ตกล่วง หยาบช้า มีฝ่ามือเปื้อนด้วยโลหิต มีแต่การฆ่าและการทุบตี ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์มีชีวิต ๑; (ต่อไปนี้ ได้ตรัสถึงบุคคล ผู้ กระทำอทินนาทาน กระทำกาเมสุมิจฉาจาร พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากด้วยอภิชฌา มีพยาบาท เป็นมิจฉาทิฏฐิ ; ซึ่งแต่ละอย่างๆ มีรายละเอียดหาดูได้จากหัวข้อว่า “ลักษณะความสะอาด – ไม่สะอาดในอริยวินัย” เฉพาะฝ่ายชั่วหรือฝ่ายความไม่สะอาด ที่หน้า ๑๕๖๕ – ๖ แห่งหนังสือเล่มนี้ ; แล้วตรัสจบลงด้วยคำว่า : - ) ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นเหมือนบุคคลผู้ถูกนำตัวไปเก็บไว้ในนรก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด
    สัทธรรมลำดับที่ : 1057
    ชื่อบทธรรม :- เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1057
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด
    --ภิกษุ ท. ! เราได้อยู่แล้วโดยประเทศแห่งวิหารธรรม
    อย่างเดียวกันกับ วิหารธรรมที่เราเคยอยู่แล้วเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ๆ.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/17/?keywords=วิหาเรน+ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ
    เมื่ออยู่โดย วิหารธรรมอย่างนี้ เราย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า :-
    “+--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาทิฏฐิ บ้าง;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาทิฏฐิบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาทิฏฐิ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาทิฏฐิบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสังกัปปะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาสังกัปปะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาสังกัปปะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสังกัปปะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาวาจา บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาวาจาบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาวาจา บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาวาจาบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉากัมมันตะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉากัมมันตะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมากัมมันตะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมากัมมันตะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาอาชีวะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาอาชีวะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาอาชีวะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาอาชีวะ บ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาวายามะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาวายามะ บ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาวายามะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาวายาะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสติ บ้าง ;
    +- ความเข้าไป สงบรำงับ แห่งมิจฉาสติบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาสติ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสติบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสมาธิ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาสมาธิบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัมมาสมาธิ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสมาธิบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งฉันทะบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ วิตก บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งวิตกบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ สัญญา บ้าง ;
    +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัญญาบ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ วิตก และสัญญา ที่ยังไม่เข้าไปสงบรำงับ บ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ วิตก และสัญญา ที่เข้าไปสงบรำงับแล้ว บ้าง ;
    +--เวทนาย่อมมี
    เพราะปัจจัยคือ การบรรลุถึงฐานะที่ได้พยายามเพื่อจะบรรลุถึง บ้าง”
    ดังนี้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/13/50.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/13/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๗/๕๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/17/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1057
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92&id=1057
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92
    ลำดับสาธยายธรรม : 92 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_92.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด สัทธรรมลำดับที่ : 1057 ชื่อบทธรรม :- เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1057 เนื้อความทั้งหมด :- --เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด --ภิกษุ ท. ! เราได้อยู่แล้วโดยประเทศแห่งวิหารธรรม อย่างเดียวกันกับ วิหารธรรมที่เราเคยอยู่แล้วเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ๆ. http://etipitaka.com/read/pali/19/17/?keywords=วิหาเรน+ปฐมาภิสมฺพุทฺโธ เมื่ออยู่โดย วิหารธรรมอย่างนี้ เราย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า :- “+--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาทิฏฐิ บ้าง; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาทิฏฐิบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาทิฏฐิ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาทิฏฐิบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสังกัปปะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาสังกัปปะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาสังกัปปะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสังกัปปะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาวาจา บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาวาจาบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาวาจา บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาวาจาบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉากัมมันตะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉากัมมันตะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมากัมมันตะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมากัมมันตะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาอาชีวะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาอาชีวะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาอาชีวะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาอาชีวะ บ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาวายามะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาวายามะ บ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาวายามะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาวายาะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสติ บ้าง ; +- ความเข้าไป สงบรำงับ แห่งมิจฉาสติบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาสติ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสติบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสมาธิ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาสมาธิบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาสมาธิ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสมาธิบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งฉันทะบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ วิตก บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งวิตกบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัญญา บ้าง ; +- ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัญญาบ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ วิตก และสัญญา ที่ยังไม่เข้าไปสงบรำงับ บ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ วิตก และสัญญา ที่เข้าไปสงบรำงับแล้ว บ้าง ; +--เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ การบรรลุถึงฐานะที่ได้พยายามเพื่อจะบรรลุถึง บ้าง” ดังนี้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/13/50. http://etipitaka.com/read/thai/19/13/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๑๗/๕๐. http://etipitaka.com/read/pali/19/17/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1057 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92&id=1057 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=92 ลำดับสาธยายธรรม : 92 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_92.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด
    -(ผู้ศึกษาพึงสังเกตให้เห็นว่า ข้อเท็จจริงอันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง กล่าวคือ ต้อง มีการเสวยเวทนาจริงๆ จึงจะเห็นทุกขอริยสัจที่เกิดจากตัณหาอันเกิดจากเวทนานั้น และความที่ ทุกข์ดับไปในขณะที่ตัณหาดับไปในเวทนานั้น ในเมื่อจิตประกอบอยู่ด้วยธัมมสมังคีแห่งอัฏฐัง คิกมรรค โดยอัตโนมัติ; ดังนั้น ถ้าปราศจากเวทนาเสียเพียงอย่างเดียวแล้ว อริยสัจสี่ก็ยัง มิได้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง; ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า “อริยสัจ ทรงบัญญัติสำหรับสัตว์ที่อาจเสวย เวทนา” ดังนี้ โดยนัยดังที่พระพุทธองค์ตรัสแล้วข้างบน). เวทนาโดยปัจจัยสี่สิบเอ็ดชนิด ภิกษุ ท. ! เราได้อยู่แล้วโดยประเทศแห่งวิหารธรรม อย่างเดียวกันกับวิหารธรรมที่เราเคยอยู่แล้วเมื่อตรัสรู้แล้วใหม่ๆ. เมื่ออยู่โดยวิหารธรรมอย่างนี้ เราย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า : “เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาทิฏฐิ บ้าง; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาทิฏฐิบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาทิฏฐิ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาทิฏฐิบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสังกัปปะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาสังกัปปะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาสังกัปปะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสังกัปปะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาวาจา บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาวาจาบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาวาจา บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาวาจาบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉากัมมันตะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉากัมมันตะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมากัมมันตะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมากัมมันตะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาอาชีวะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาอาชีวะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาอาชีวะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาอาชีวะ บ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาวายามะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาวายามะ บ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาวายามะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาวายาะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสติ บ้าง ; - ความเข้าไป สงบรำงับ แห่งมิจฉาสติบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาสติ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสติบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ มิจฉาสมาธิ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งมิจฉาสมาธิบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัมมาสมาธิ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัมมาสมาธิบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งฉันทะบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ วิตก บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งวิตกบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ สัญญา บ้าง ; - ความเข้าไปสงบรำงับ แห่งสัญญาบ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ วิตก และสัญญาที่ยังไม่เข้าไปสงบรำงับ บ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ ฉันทะ วิตก และสัญญา ที่เข้าไปสงบรำงับแล้ว บ้าง ; เวทนาย่อมมี เพราะปัจจัยคือ การบรรลุถึงฐานะที่ได้พยายามเพื่อจะบรรลุถึง บ้าง” ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป
    สัทธรรมลำดับที่ : 321
    ชื่อบทธรรม :- ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=321
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป
    --ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์พวกใด
    ในกาลอดีตก็ตาม, ในกาลอนาคตก็ตาม, ในกาลนี้ก็ตาม,
    ย่อม เห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่สนิทใจ (ปิยรูป-สาตรูป) ในโลก
    http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=ปิยรูปํ+สาตรูปํ
    โดยความเป็นของเที่ยง
    โดยความเป็นสุข
    โดยความเป็นตัวตน
    โดยความเป็นของไม่เสียบแทง
    โดยความเป็นของเกษม ;
    สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น #ย่อมทำตัณหาให้เจริญ.
    เมื่อทำตัณหาให้เจริญอยู่ ก็ทำอุปธิให้เจริญ.
    เมื่อทำอุปธิให้เจริญอยู่ ก็ทำทุกข์ให้เจริญ.
    เมื่อทำทุกข์ให้เจริญอยู่สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น
    ย่อมไม่หลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน
    ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ;
    เราตถาคต ย่อมกล่าวว่า “#พวกเหล่านั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์”
    ดังนี้.
    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน
    ถ้วยดื่มสำริดมีเครื่องดื่มใส่อยู่แล้วชนิดหนึ่ง
    สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่.
    ครั้งนั้น มีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังร้อนจัด มีความร้อนระอุไปทั้งตัว
    เหน็ดเหนื่อย คอแห้ง ระหายน้ำ มาถึงเข้า.คนทั้งหลายบอกแก่บุรุษนั้นว่า
    “นี่แน่ท่านผู้เจริญ ! ถ้วยดื่มสำริดใบนี้ มีเครื่องดื่ม
    สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส สำหรับท่าน,
    แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่, ถ้าหากท่านต้องการดื่มก็ดื่มได้,
    เมื่อท่านกำลังดื่ม จักติดใจมันด้วยสีของมันบ้าง ด้วยกลิ่นของมันบ้าง ด้วยรสของมันบ้าง ; แต่ว่า ครั้นดื่มเข้าไปแล้ว ท่านจักถึงความตาย
    หรือได้รับทุกข์เจียนตายเพราะเหตุนั้น”
    ดังนี้.
    บุรุษนั้น ไม่ทันจะพิจารณาถ้วยดื่มสำริดอันนั้น
    (ว่าจะควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม อย่างไร เป็นต้น)
    รีบดื่มเอาๆ ไม่ยอมวาง.
    บุรุษนั้น ก็ถึงความตาย หรือ ได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะเหตุนั้น.
    ฉันใดก็ฉันนั้น ที่สมณะหรือพราหมณ์พวกใด
    ในกาลอดีตก็ตาม,
    ในกาลอนาคตก็ตาม,
    ในกาลนี้ก็ตาม,
    ย่อมเห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่สนิทใจในโลก
    โดยความเป็นของเที่ยง
    โดยความเป็นสุข
    โดยความเป็นตัวตน
    โดยความเป็นของไม่เสียบแทง
    โดยความเป็นของเกษม ;
    สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมทำตัณหาให้เจริญ.
    เมื่อทำตัณหาให้เจริญอยู่ ก็ทำอุปธิให้เจริญ.
    เมื่อทำอุปธิให้เจริญอยู่ ก็ทำทุกข์ให้เจริญ.
    เมื่อทำทุกข์ให้เจริญอยู่สมณะหรือพราหมณ์
    "พวกนั้น ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์”
    ดังนี้.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/106-107/259-260.
    http://etipitaka.com/read/thai/16/106/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๒-๑๓๓/๒๕๙-๒๖๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=321
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=22&id=321
    ลำดับสาธยายธรรม : 22 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_22.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป สัทธรรมลำดับที่ : 321 ชื่อบทธรรม :- ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=321 เนื้อความทั้งหมด :- --ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป --ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์พวกใด ในกาลอดีตก็ตาม, ในกาลอนาคตก็ตาม, ในกาลนี้ก็ตาม, ย่อม เห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่สนิทใจ (ปิยรูป-สาตรูป) ในโลก http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=ปิยรูปํ+สาตรูปํ โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่เสียบแทง โดยความเป็นของเกษม ; สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น #ย่อมทำตัณหาให้เจริญ. เมื่อทำตัณหาให้เจริญอยู่ ก็ทำอุปธิให้เจริญ. เมื่อทำอุปธิให้เจริญอยู่ ก็ทำทุกข์ให้เจริญ. เมื่อทำทุกข์ให้เจริญอยู่สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมไม่หลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ; เราตถาคต ย่อมกล่าวว่า “#พวกเหล่านั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์” ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน ถ้วยดื่มสำริดมีเครื่องดื่มใส่อยู่แล้วชนิดหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่. ครั้งนั้น มีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังร้อนจัด มีความร้อนระอุไปทั้งตัว เหน็ดเหนื่อย คอแห้ง ระหายน้ำ มาถึงเข้า.คนทั้งหลายบอกแก่บุรุษนั้นว่า “นี่แน่ท่านผู้เจริญ ! ถ้วยดื่มสำริดใบนี้ มีเครื่องดื่ม สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส สำหรับท่าน, แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่, ถ้าหากท่านต้องการดื่มก็ดื่มได้, เมื่อท่านกำลังดื่ม จักติดใจมันด้วยสีของมันบ้าง ด้วยกลิ่นของมันบ้าง ด้วยรสของมันบ้าง ; แต่ว่า ครั้นดื่มเข้าไปแล้ว ท่านจักถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตายเพราะเหตุนั้น” ดังนี้. บุรุษนั้น ไม่ทันจะพิจารณาถ้วยดื่มสำริดอันนั้น (ว่าจะควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม อย่างไร เป็นต้น) รีบดื่มเอาๆ ไม่ยอมวาง. บุรุษนั้น ก็ถึงความตาย หรือ ได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะเหตุนั้น. ฉันใดก็ฉันนั้น ที่สมณะหรือพราหมณ์พวกใด ในกาลอดีตก็ตาม, ในกาลอนาคตก็ตาม, ในกาลนี้ก็ตาม, ย่อมเห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่สนิทใจในโลก โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่เสียบแทง โดยความเป็นของเกษม ; สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมทำตัณหาให้เจริญ. เมื่อทำตัณหาให้เจริญอยู่ ก็ทำอุปธิให้เจริญ. เมื่อทำอุปธิให้เจริญอยู่ ก็ทำทุกข์ให้เจริญ. เมื่อทำทุกข์ให้เจริญอยู่สมณะหรือพราหมณ์ "พวกนั้น ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์” ดังนี้.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. 16/106-107/259-260. http://etipitaka.com/read/thai/16/106/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - นิทาน. สํ. ๑๖/๑๓๒-๑๓๓/๒๕๙-๒๖๐. http://etipitaka.com/read/pali/16/132/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=321 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=22&id=321 ลำดับสาธยายธรรม : 22 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_22.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป
    -ตัณหาเจริญเพราะมิจฉาทิฏฐิในปิยรูป - สาตรูป ภิกษุ ท. ! สมณะหรือพราหมณ์พวกใด ในกาลอดีตก็ตาม, ในกาลอนาคตก็ตาม, ในกาลนี้ก็ตาม, ย่อม เห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่สนิทใจ (ปิยรูปสาตรูป) ในโลก โดยความเป็นของเที่ยง โดยความเป็นสุข โดยความเป็นตัวตน โดยความเป็นของไม่เสียบแทง โดยความเป็นของเกษม ; สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมทำตัณหาให้เจริญ. เมื่อทำตัณหาให้เจริญอยู่ ก็ทำอุปธิให้เจริญ. เมื่อทำอุปธิให้เจริญอยู่ ก็ทำทุกข์ให้เจริญ. เมื่อทำทุกข์ให้เจริญอยู่สมณะหรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมไม่หลุดพ้นจากความเกิด ความแก่ ความตาย ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ; เราตถาคต ย่อมกล่าวว่า “พวกเหล่านั้น ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์” ดังนี้. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน ถ้วยดื่มสำริดมีเครื่องดื่มใส่อยู่แล้วชนิดหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่. ครั้งนั้น มีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งกำลังร้อนจัด มีความร้อนระอุไปทั้งตัว เหน็ดเหนื่อย คอแห้ง ระหายน้ำ มาถึงเข้า. คนทั้งหลายบอกแก่บุรุษนั้นว่า “นี่แน่ท่านผู้เจริญ ! ถ้วยดื่มสำริดใบนี้ มีเครื่องดื่ม สมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น และรส สำหรับท่าน, แต่ว่ามียาพิษปนติดอยู่, ถ้าหากท่านต้องการดื่มก็ดื่มได้, เมื่อท่านกำลังดื่ม จักติดใจมันด้วยสีของมันบ้าง ด้วยกลิ่นของมันบ้าง ด้วยรสของมันบ้าง ; แต่ว่า ครั้นดื่ม เข้าไปแล้ว ท่านจักถึงความตาย หรือได้รับทุกข์เจียนตายเพราะเหตุนั้น” ดังนี้. บุรุษนั้น ไม่ทันจะพิจารณาถ้วยดื่มสำริดอันนั้น (ว่าจะควรดื่มหรือไม่ควรดื่ม อย่างไร เป็นต้น) รีบดื่มเอาๆ ไม่ยอมวาง. บุรุษนั้น ก็ถึงความตาย หรือ ได้รับทุกข์เจียนตาย เพราะเหตุนั้น. ฉันใดก็ฉันนั้น ที่สมณะหรือพราหมณ์พวกใด ในกาลอดีตก็ตาม. ในกาลอนาคตก็ตาม, ในกาลนี้ก็ตาม, ย่อมเห็นสิ่งอันเป็นที่รักที่สนิทใจในโลก โดยความเป็นของเที่ยง ....ฯลฯ.... ย่อมไม่หลุดพ้นจากทุกข์” ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าเพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน
    สัทธรรมลำดับที่ : 314
    ชื่อบทธรรม :- เพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=314
    เนื้อความทั้งหมด :-
    นิทเทศ ๖ ว่าด้วยอาการที่ตัณหาทำให้เกิดทุกข์
    นิทเทศ ๗ ว่าด้วยทิฏฐิที่เกี่ยวกับตัณหา
    --เพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน
    --ภิกษุ ท. ! สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
    ที่บัญญัติทิฏฐิ
    ปรารภปุพพันตขันธ์บ้าง
    ปรารภอปรันตขันธ์บ้าง
    ปรารภทั้งปุพพันตะและ อปรันตขันธ์บ้าง
    ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ
    ปรารภขันธ์ทั้งที่เป็น ปุพพันตะและอปรันตะ
    ดังนี้แล้ว
    กล่าวบัญญัติทิฏฐิอันเป็นอธิมุตติบท
    (ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างยิ่งของสัตว์ ตามทิฏฐิแห่งตน ๆ)
    มีอย่างต่าง ๆ กันเป็นอเนก ;
    สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด
    ถูกกระทำแล้วให้ตกอยู่ภายในแห่งข่าย ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ)
    ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล่านั้นเอง
    เมื่อโงหัวอยู่ที่เดียว ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น
    เมื่อเที่ยวโงหัวอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น.

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนชาวประมงและลูกมือของชาวประมงผู้เชี่ยวชาญ
    ได้ล้อมแหล่งน้ำน้อยไว้ด้วยอวนตาถี่ เมื่อเป็นอย่างนี้
    สัตว์มีชีวิตทั้งหลายเป็นอันมากเหล่าหนึ่งเหล่าใด ในแหล่งน้ำนี้
    สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น แม้ทั้งหมด ชื่อว่าถูกกระทำไว้แล้วในภายในแห่งอวน
    เมื่อผุดอยู่ที่เดียว ก็ผุดอยู่ ในอวนนั้น เมื่อเที่ยวผุดอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป
    ก็ยังคงผุดอยู่ในอวนนั้นนั่นเอง, นี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ
    สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่บัญญัติทิฏฐิ
    ปรารภปุพพันตขันธ์บ้าง ปรารภอปรันตขันธ์บ้าง
    ปรารภทั้งปุพพันตะและอปรันตขันธ์บ้าง ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ
    ปรารภขันธ์ทั้งที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะ
    ดังนี้แล้ว
    กล่าวบัญญัติทิฏฐิ อันเป็นอธิมุตติบท
    (ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างยิ่งของสัตว์ ตามทิฏฐิแห่งตน ๆ)
    มีอย่างต่าง ๆ กัน เป็นอเนก ;
    สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ถูกกระทำแล้ว
    ให้ตกอยู่ภายในแห่งข่าย ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ)
    ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล่านั้นเอง เมื่อโงหัวอยู่ที่เดียว ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น
    เมื่อเที่ยวโงหัวอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้นนั่นเอง.-
    http://etipitaka.com/read/pali/9/58/?keywords=ฉนฺนํ+ผสฺสายตนานํ+สมุทยญฺจ

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/43/90.
    http://etipitaka.com/read/thai/9/43/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที.(๘/๕๘/๙๐). ๙/๕๘/๙๐.
    http://etipitaka.com/read/pali/9/58/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=314
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21&id=314
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21
    ลำดับสาธยายธรรม : 21 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_21.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัด​ศึกษาว่าเพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน สัทธรรมลำดับที่ : 314 ชื่อบทธรรม :- เพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=314 เนื้อความทั้งหมด :- นิทเทศ ๖ ว่าด้วยอาการที่ตัณหาทำให้เกิดทุกข์ นิทเทศ ๗ ว่าด้วยทิฏฐิที่เกี่ยวกับตัณหา --เพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน --ภิกษุ ท. ! สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่บัญญัติทิฏฐิ ปรารภปุพพันตขันธ์บ้าง ปรารภอปรันตขันธ์บ้าง ปรารภทั้งปุพพันตะและ อปรันตขันธ์บ้าง ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ ปรารภขันธ์ทั้งที่เป็น ปุพพันตะและอปรันตะ ดังนี้แล้ว กล่าวบัญญัติทิฏฐิอันเป็นอธิมุตติบท (ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างยิ่งของสัตว์ ตามทิฏฐิแห่งตน ๆ) มีอย่างต่าง ๆ กันเป็นอเนก ; สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ถูกกระทำแล้วให้ตกอยู่ภายในแห่งข่าย ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล่านั้นเอง เมื่อโงหัวอยู่ที่เดียว ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น เมื่อเที่ยวโงหัวอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น. --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนชาวประมงและลูกมือของชาวประมงผู้เชี่ยวชาญ ได้ล้อมแหล่งน้ำน้อยไว้ด้วยอวนตาถี่ เมื่อเป็นอย่างนี้ สัตว์มีชีวิตทั้งหลายเป็นอันมากเหล่าหนึ่งเหล่าใด ในแหล่งน้ำนี้ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น แม้ทั้งหมด ชื่อว่าถูกกระทำไว้แล้วในภายในแห่งอวน เมื่อผุดอยู่ที่เดียว ก็ผุดอยู่ ในอวนนั้น เมื่อเที่ยวผุดอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็ยังคงผุดอยู่ในอวนนั้นนั่นเอง, นี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่งที่บัญญัติทิฏฐิ ปรารภปุพพันตขันธ์บ้าง ปรารภอปรันตขันธ์บ้าง ปรารภทั้งปุพพันตะและอปรันตขันธ์บ้าง ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ ปรารภขันธ์ทั้งที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะ ดังนี้แล้ว กล่าวบัญญัติทิฏฐิ อันเป็นอธิมุตติบท (ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างยิ่งของสัตว์ ตามทิฏฐิแห่งตน ๆ) มีอย่างต่าง ๆ กัน เป็นอเนก ; สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ถูกกระทำแล้ว ให้ตกอยู่ภายในแห่งข่าย ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล่านั้นเอง เมื่อโงหัวอยู่ที่เดียว ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น เมื่อเที่ยวโงหัวอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้นนั่นเอง.- http://etipitaka.com/read/pali/9/58/?keywords=ฉนฺนํ+ผสฺสายตนานํ+สมุทยญฺจ #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สี. ที. 9/43/90. http://etipitaka.com/read/thai/9/43/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สี. ที.(๘/๕๘/๙๐). ๙/๕๘/๙๐. http://etipitaka.com/read/pali/9/58/?keywords=%E0%B9%99%E0%B9%90 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=314 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21&id=314 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=21 ลำดับสาธยายธรรม : 21 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_21.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - นิทเทศ ๖
    -นิทเทศ ๖ ว่าด้วยอาการที่ตัณหาทำให้เกิดทุกข์ จบ นิทเทศ ๗ ว่าด้วยทิฏฐิที่เกี่ยวกับตัณหา (มี ๘ เรื่อง) เพราะมิจฉาทิฏฐิจึงเป็นปลาติดอวน ภิกษุ ท. ! สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่บัญญัติทิฏฐิ ปรารภปุพพันตขันธ์บ้าง ปรารภอปรันตขันธ์บ้าง ปรารภทั้งปุพพันตะและ อปรันตขันธ์บ้าง ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ ปรารภขันธ์ทั้งที่เป็น ปุพพันตะและอปรันตะ ดังนี้แล้ว กล่าวบัญญัติทิฏฐิอันเป็นอธิมุตติบท (ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างยิ่งของสัตว์ ตามทิฏฐิแห่งตน ๆ) มีอย่างต่าง ๆ กันเป็นอเนก ; สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ถูกกระทำแล้วให้ตกอยู่ภายในแห่งข่าย ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล่านั้นเอง เมื่อโงหัวอยู่ที่เดียว ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น เมื่อเที่ยวโงหัวอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น. ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนชาวประมงและลูกมือของชาวประมงผู้เชี่ยวชาญ ได้ล้อมแหล่งน้ำน้อยไว้ด้วยอวนตาถี่ เมื่อเป็นอย่างนี้ สัตว์มีชีวิตทั้งหลายเป็นอันมากเหล่าหนึ่งเหล่าใด ในแหล่งน้ำนี้ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น แม้ทั้งหมด ชื่อว่าถูกกระทำไว้แล้วในภายในแห่งอวน เมื่อผุดอยู่ที่เดียว ก็ผุดอยู่ ในอวนนั้น เมื่อเที่ยวผุดอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็ยังคงผุดอยู่ในอวนนั้นนั่นเอง, นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น กล่าวคือ สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่บัญญัติทิฏฐิปรารภปุพพันตขันธ์บ้าง ปรารภอปรันตขันธ์บ้าง ปรารภทั้งปุพพันตะและอปรันตขันธ์บ้าง ล้วนแต่เป็นผู้มีปุพพันตาปรันตานุทิฏฐิ ปรารภขันธ์ทั้งที่เป็นปุพพันตะและอปรันตะ ดังนี้แล้ว กล่าวบัญญัติทิฏฐิ อันเป็นอธิมุตติบท (ทางแห่งความหลุดพ้นอย่างยิ่งของสัตว์ ตามทิฏฐิแห่งตน ๆ) มีอย่าง ต่าง ๆ กัน เป็นอเนก ; สมณพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ถูกกระทำแล้ว ให้ตกอยู่ภายในแห่งข่าย ด้วยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ) ทั้งหลาย ๖๒ ประการเหล่านั้นเอง เมื่อโงหัวอยู่ที่เดียว ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้น เมื่อเที่ยวโงหัวอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ก็โงหัวอยู่ในข่ายนั้นนั่นเอง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ
    สัทธรรมลำดับที่ : 680
    ชื่อบทธรรม :- สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=680
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ

    ก. สุขัลลิกานุโยคของมิจฉาทิฏฐิ
    http://etipitaka.com/read/pali/11/143/?keywords=สุขลฺลิกานุโย+อนริยา
    --จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย
    กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า
    “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างตามประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค
    (ประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยความสุข)”
    ดังนี้.
    --จุนทะ ! เมื่อปริพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นกล่าวอยู่อย่างนี้
    พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า “อาวุโส ! สุขัลลิกานุโยคชนิดไหนกัน ?
    ก็สุขัลลิกานุโยคมีอยู่มาก หลายอย่างหลายประการ”
    ดังนี้.
    --จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้
    เป็นการกระทำที่ต่ำทรามเป็นของชาวบ้าน
    เป็นของชนชั้นปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ
    ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
    ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ความสงบระงับ
    ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม
    ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานสี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ
    +--จุนทะ !
    คนบางคน ในกรณีนี้
    เป็นคนพาล ฆ่าสัตว์มีชีวิตแล้ว เลี้ยงตัวเองให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคข้อที่ ๑.
    +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    คนบางคนในโลกนี้
    ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว เลี้ยงตัวเองให้ป็นสุขให้อิ่มหนำ
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยค ข้อที่ ๒.
    +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    คนบางคนในกรณีนี้
    กล่าวเท็จแล้ว เลี้ยงตัวเองให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคข้อที่ ๓.
    +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    คนบางคนในกรณีนี้
    อิ่มเอิบเพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้งห้า ให้เขาบำเรออยู่ :
    นี้เป็นสุขัลลิกานุโยค ข้อที่ ๔.

    ข. สุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ
    http://etipitaka.com/read/pali/11/144/?keywords=สุขลฺลิกานุโย+สมฺมา
    --จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า
    “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างตามประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านั้น (เป็นแน่)”
    ดังนี้ ;
    พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า หาใช่อย่างนั้นไม่.
    ปริพาชกเหล่านั้น ไม่ได้กล่าวแก่พวกเธอโดยชอบ
    แต่กล่าวตู่พวกเธอด้วยคำไม่จริง ไม่แท้.
    --จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้
    เป็นไปเพื่อความหน่ายความคลายกำหนัด
    เป็นไปเพื่อความดับ ความเข้าไปสงบรำงับ
    เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน, โดยส่วนเดียว.
    สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ?
    +--จุนทะ ! สี่อย่างคือ
    +--ภิกษุในกรณีนี้
    เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรม ท.
    จึง บรรลุฌานที่ ๑ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่หนึ่ง ;
    +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    +--ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้
    จึง บรรลุณานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน
    นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร
    มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สอง ;
    +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    +--ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา
    มีสติสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย
    บรรลุฌานที่ ๓ อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า
    ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, แล้วแลอยู่
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สาม ;
    +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    ภิกษุ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้
    เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส ท. ในกาลก่อน
    จึง บรรลุฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข
    มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่
    : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สี่.
    --จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้แล
    เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด
    ....ฯลฯ....
    เพื่อนิพพาน, โดยส่วนเดียว.
    --จุนทะ ! นั่นแหละ คือฐานะที่มีอยู่
    คือฐานะที่ปริพพาชกผู้เป็น ลัทธิอื่น ท. จะกล่าวอย่างนี้ ว่า
    “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างประกอบด้วย สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้”
    ดังนี้.
    พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า อย่างนั้นถูกแล้ว.
    ปริพพาชกเหล่านั้นกล่าวกะพวกเธออยู่อย่างถูกต้อง ;
    จะกล่าวตู่พวกเธอด้วยคำไม่จริง ไม่แท้ ก็หามิได้.
    #ผลแห่งสุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ
    http://etipitaka.com/read/pali/11/145/?keywords=สุขลฺลิกานุโย+ผลานิ

    --จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า
    “อาวุโส ! เมื่อท่านทั้งหลาย ตามประกอบอยู่ซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้ ท่านหวังผลอะไร หวังอานิสงส์อะไร ? ”
    เมื่อพวกเขากล่าวอย่างนี้ เธอพึงกล่าวตอบเขาว่า
    “อาวุโส ! พวกเราตามประกอบอยู่ซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้
    หวังผล ๔ อย่าง หวังอานิสงส์ ๔ อย่าง.
    สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างในกรณีนี้ คือ
    ๑--ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม #เป็นโสดาบัน
    มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า
    : นี้เป็น ผลที่หนึ่ง เป็นอานิสงส์ที่หนึ่ง.
    อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    ๒--ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม
    และเพราะความที่ราคะโทสะโมหะเป็นธรรมชาติเบาบาง #เป็นสกทาคามี
    มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
    : นี้เป็น ผลที่สอง เป็นอานิสงส์ที่สอง.
    อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    ๓--ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ในเบื้องต่ำทั้งห้าอย่าง #เป็นโอปปาติกะ(อนาคามี) มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
    : นี้เป็น ผลที่สาม เป็นอานิสงส์ที่สาม.
    อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก :
    ๔--ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่ง $เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
    #เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่
    : นี้เป็น ผลที่สี่ เป็นอานิสงส์ที่สี่.
    อาวุโส ! เราทั้งหลายตามประกอบซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง
    เหล่านี้อยู่ เพราะหวังผล ๔ อย่างเหล่านี้”
    ดังนี้.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปา. ที. 11/102-104/114-116
    http://etipitaka.com/read/thai/11/102/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปา. ที. ๑๑/๑๔๓-๑๔๕/๑๑๔-๑๑๖
    http://etipitaka.com/read/pali/11/143/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=680
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=48&id=680
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=48
    ลำดับสาธยายธรรม : 48 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_48.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ สัทธรรมลำดับที่ : 680 ชื่อบทธรรม :- สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=680 เนื้อความทั้งหมด :- --สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ ก. สุขัลลิกานุโยคของมิจฉาทิฏฐิ http://etipitaka.com/read/pali/11/143/?keywords=สุขลฺลิกานุโย+อนริยา --จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างตามประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค (ประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยความสุข)” ดังนี้. --จุนทะ ! เมื่อปริพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นกล่าวอยู่อย่างนี้ พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า “อาวุโส ! สุขัลลิกานุโยคชนิดไหนกัน ? ก็สุขัลลิกานุโยคมีอยู่มาก หลายอย่างหลายประการ” ดังนี้. --จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้ เป็นการกระทำที่ต่ำทรามเป็นของชาวบ้าน เป็นของชนชั้นปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ความสงบระงับ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานสี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ +--จุนทะ ! คนบางคน ในกรณีนี้ เป็นคนพาล ฆ่าสัตว์มีชีวิตแล้ว เลี้ยงตัวเองให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคข้อที่ ๑. +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : คนบางคนในโลกนี้ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว เลี้ยงตัวเองให้ป็นสุขให้อิ่มหนำ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยค ข้อที่ ๒. +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : คนบางคนในกรณีนี้ กล่าวเท็จแล้ว เลี้ยงตัวเองให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคข้อที่ ๓. +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : คนบางคนในกรณีนี้ อิ่มเอิบเพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้งห้า ให้เขาบำเรออยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยค ข้อที่ ๔. ข. สุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ http://etipitaka.com/read/pali/11/144/?keywords=สุขลฺลิกานุโย+สมฺมา --จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างตามประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านั้น (เป็นแน่)” ดังนี้ ; พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า หาใช่อย่างนั้นไม่. ปริพาชกเหล่านั้น ไม่ได้กล่าวแก่พวกเธอโดยชอบ แต่กล่าวตู่พวกเธอด้วยคำไม่จริง ไม่แท้. --จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้ เป็นไปเพื่อความหน่ายความคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อความดับ ความเข้าไปสงบรำงับ เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน, โดยส่วนเดียว. สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? +--จุนทะ ! สี่อย่างคือ +--ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรม ท. จึง บรรลุฌานที่ ๑ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่หนึ่ง ; +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : +--ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึง บรรลุณานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สอง ; +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : +--ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่ ๓ อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สาม ; +--จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส ท. ในกาลก่อน จึง บรรลุฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สี่. --จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้แล เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ....ฯลฯ.... เพื่อนิพพาน, โดยส่วนเดียว. --จุนทะ ! นั่นแหละ คือฐานะที่มีอยู่ คือฐานะที่ปริพพาชกผู้เป็น ลัทธิอื่น ท. จะกล่าวอย่างนี้ ว่า “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างประกอบด้วย สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้” ดังนี้. พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า อย่างนั้นถูกแล้ว. ปริพพาชกเหล่านั้นกล่าวกะพวกเธออยู่อย่างถูกต้อง ; จะกล่าวตู่พวกเธอด้วยคำไม่จริง ไม่แท้ ก็หามิได้. #ผลแห่งสุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ http://etipitaka.com/read/pali/11/145/?keywords=สุขลฺลิกานุโย+ผลานิ --จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า “อาวุโส ! เมื่อท่านทั้งหลาย ตามประกอบอยู่ซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้ ท่านหวังผลอะไร หวังอานิสงส์อะไร ? ” เมื่อพวกเขากล่าวอย่างนี้ เธอพึงกล่าวตอบเขาว่า “อาวุโส ! พวกเราตามประกอบอยู่ซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้ หวังผล ๔ อย่าง หวังอานิสงส์ ๔ อย่าง. สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างในกรณีนี้ คือ ๑--ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม #เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า : นี้เป็น ผลที่หนึ่ง เป็นอานิสงส์ที่หนึ่ง. อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก : ๒--ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความที่ราคะโทสะโมหะเป็นธรรมชาติเบาบาง #เป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ : นี้เป็น ผลที่สอง เป็นอานิสงส์ที่สอง. อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก : ๓--ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ในเบื้องต่ำทั้งห้าอย่าง #เป็นโอปปาติกะ(อนาคามี) มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา : นี้เป็น ผลที่สาม เป็นอานิสงส์ที่สาม. อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก : ๔--ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่ง $เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ #เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ : นี้เป็น ผลที่สี่ เป็นอานิสงส์ที่สี่. อาวุโส ! เราทั้งหลายตามประกอบซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้อยู่ เพราะหวังผล ๔ อย่างเหล่านี้” ดังนี้.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปา. ที. 11/102-104/114-116 http://etipitaka.com/read/thai/11/102/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปา. ที. ๑๑/๑๔๓-๑๔๕/๑๑๔-๑๑๖ http://etipitaka.com/read/pali/11/143/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=680 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=48&id=680 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=48 ลำดับสาธยายธรรม : 48 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_48.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ
    -(ความชุ่มอยู่ในกามสุข เรียกว่ากามสุขัลลิกะ, การประกอบตนอยู่ในกามสุขัลลิกะ เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค ; จัดเป็นอันตะฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าศึกแก่มัชฌิมาปฏิปทา) . สุขัลลิกานุโยค ๒ แบบ ก. สุขัลลิกานุโยคของมิจฉาทิฏฐิ จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างตามประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค (ประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยความสุข)” ดังนี้. จุนทะ ! เมื่อปริพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นกล่าวอยู่อย่างนี้ พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า “อาวุโส ! สุขัลลิกานุโยคชนิดไหนกัน ? ก็สุขัลลิกานุโยคมีอยู่มาก หลายอย่างหลายประการ” ดังนี้. จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้ เป็นการกระทำที่ต่ำทรามเป็นของชาวบ้าน เป็นของชนชั้นปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ความสงบระงับ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพพานสี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างคือ คนบางคน ในกรณีนี้ เป็นคนพาล ฆ่าสัตว์มีชีวิตแล้ว เลี้ยงตัวเองให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคข้อที่ ๑. จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : คนบางคนในโลกนี้ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แล้ว เลี้ยงตัวเองให้ป็นสุขให้อิ่มหนำ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยค ข้อที่ ๒. จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : คนบางคนในกรณีนี้ กล่าวเท็จแล้ว เลี้ยงตัวเองให้เป็นสุขให้อิ่มหนำ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคข้อที่ ๓. จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : คนบางคนในกรณีนี้อิ่มเอิบเพียบพร้อมด้วยกามคุณทั้งห้า ให้เขาบำเรออยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยค ข้อที่ ๔. ข. สุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างตามประกอบด้วยสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านั้น (เป็นแน่)” ดังนี้ ; พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า หาใช่อย่างนั้นไม่. ปริพาชกเหล่านั้น ไม่ได้กล่าวแก่พวกเธอโดยชอบ แต่กล่าวตู่พวกเธอด้วยคำไม่จริง ไม่แท้. จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้ เป็นไปเพื่อความหน่ายความคลายกำหนัด เป็นไปเพื่อความดับ ความเข้าไปสงบรำงับ เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้พร้อม เพื่อนิพพาน, โดยส่วนเดียว. สี่อย่างเหล่าไหนเล่า ? จุนทะ ! สี่อย่างคือ ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรม ท. จึง บรรลุฌานที่ ๑ อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่หนึ่ง ; จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึง บรรลุณานที่ ๒ เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน นำให้เกิดสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สอง ; จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ จึงอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และย่อมเสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุฌานที่ ๓ อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข, แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่สาม ; จุนทะ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัส ท. ในกาลก่อน จึง บรรลุฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความมีสติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่ : นี้เป็นสุขัลลิกานุโยคที่. จุนทะ ! สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้แล เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ....ฯลฯ.... เพื่อนิพพาน, โดยส่วนเดียว. จุนทะ ! นั่นแหละ คือฐานะที่มีอยู่ คือฐานะที่ปริพพาชกผู้เป็น ลัทธิอื่น ท. จะกล่าวอย่างนี้ ว่า “พวกสมณศากยปุตติย์ อยู่กันอย่างประกอบด้วย สุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้” ดังนี้. พวกเธอพึงกล่าวกะเขาว่า อย่างนั้นถูกแล้ว. ปริพพาชกเหล่านั้นกล่าวกะพวกเธออยู่อย่างถูกต้อง ; จะกล่าวตู่พวกเธอด้วยคำไม่จริง ไม่แท้ ก็หามิได้. ผลแห่งสุขัลลิกานุโยคของสัมมาทิฏฐิ จุนทะ ! อาจจะมีปริพพาชกผู้เป็นลัทธิอื่นทั้งหลาย กล่าวกะพวกเธออย่างนี้ ว่า “อาวุโส ! เมื่อท่านทั้งหลาย ตามประกอบอยู่ซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้ ท่านหวังผลอะไร หวังอานิสงส์อะไร ? ” เมื่อพวกเขากล่าวอย่างนี้ เธอพึงกล่าวตอบเขาว่า “อาวุโส ! พวกเราตามประกอบอยู่ซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่างเหล่านี้ หวังผล ๔ อย่าง หวังอานิสงส์ ๔ อย่าง. สี่อย่าง อย่างไรเล่า ? สี่อย่างในกรณีนี้ คือ ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็น โสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า : นี้เป็น ผลที่หนึ่ง เป็นอานิสงส์ที่หนึ่ง. อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความที่ราคะโทสะโมหะเป็นธรรมชาติเบาบาง เป็น สกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ : นี้เป็น ผลที่สอง เป็นอานิสงส์ที่สอง. อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุ เพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ในเบื้องต่ำทั้งห้าอย่าง เป็น โอปปาติกะ (อนาคามี) มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา : นี้เป็น ผลที่สาม เป็นอานิสงส์ที่สาม. อาวุโส ! ข้ออื่นยังมีอีก : ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่ : นี้เป็น ผลที่สี่ เป็นอานิสงส์ที่สี่. อาวุโส ! เราทั้งหลายตามประกอบซึ่งสุขัลลิกานุโยค ๔ อย่าง เหล่านี้อยู่ เพราะหวังผล ๔ อย่างเหล่านี้” ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าทำบาปกับพ่อแม่ แล้วหวังให้ชีวิตเป็นบุญ

    หลายคนเผลอคิดว่า
    ‘แค่ไม่ทำร้ายใครก็ไม่เป็นไร’
    แต่กลับลืมไปว่า
    จงใจทำให้คนที่รักเรามากที่สุดเสียใจ
    คือ อกุศลจิตระดับลึก
    ที่เปิดทางให้ชีวิตชักนำอัปมงคลทั้งหลายเข้ามาไม่หยุด

    รู้ว่าท่านเป็นห่วง
    ก็ยิ่งทำให้เขาห่วงให้สะใจ
    พาเพื่อนแย่ๆ มาให้ดู
    กินเหล้าเมาก่อนขับรถให้ท่านเห็น
    พอท่านเตือน ก็แทงใจดำกลับ
    อ้างว่า “ไม่อยากเกิดมาในบ้านโกโรโกโส”
    นี่แหละ…จิตที่เห็นผิดเป็นชอบ
    และดึงดูดเวรกรรมให้ตามติดไปทุกทาง

    เพราะพ่อแม่คือ รากของชีวิต
    ถ้าแกล้งทำร้ายราก
    อย่าหวังว่าลำต้นจะมั่นคง
    ผลไม้แห่งชีวิตจะหวานชื่นได้เลย

    ในทางตรงข้าม
    ถ้าจงใจทำให้ท่านเป็นสุขด้วยสติ
    แม้จะไม่ตามใจในทางผิด
    แต่หาทางที่ละมุนละม่อม
    พยายามพูดดีๆ ให้เลิกของมึนเมา
    เลือกทางที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง
    แม้โดนด่า โดนเหน็บ ก็ให้ระลึกไว้เสมอว่า...

    "เจตนากุศลของเราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด"
    เพราะนี่คือการทำดีโดยไม่ปรุงหวังให้ใครพอใจ
    แต่ปรารถนาให้ท่านพ้นทุกข์จริงๆ

    หากจะขัดใจพ่อแม่เพื่อเลือกทางธรรม
    เพื่อคนรักที่ดี
    เพื่ออนาคตที่ไม่ผิดศีลธรรม
    แล้วท่านไม่พอใจ
    จงแยกให้ออกว่า
    เราผิดเพราะขัดใจท่านในทางผิด
    หรือ
    ท่านผิดเพราะอยากให้เราตามใจในทางผิด

    ดูให้ดีๆ ว่า
    วาจาเราเคยแทงใจดำท่านด้วยอารมณ์หรือไม่?
    ถ้าไม่…
    แต่ท่านยังทุกข์เพราะเราไม่ตามใจ
    ให้รู้ว่าเป็น กรรมของท่านที่ยึด
    ไม่ใช่กรรมของเราที่ชั่ว

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    การตอบแทนคุณพ่อแม่ คือบุญสูงสุด
    ไม่ใช่ตามใจไปในทางเสื่อม
    แต่คือการช่วยท่าน พลิกจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ
    ให้ท่านตื่นจากโมหะ แล้วเห็นว่าชีวิตมีทางดีให้เลือกได้

    จงจำไว้ว่า…
    ใครที่ทำพ่อแม่ทุกข์ด้วยความสะใจ
    ชีวิตเขาจะมีแต่เรื่องมืดๆ ดึงให้เขว ให้หลง
    แต่ใครที่ทำพ่อแม่สุขด้วยสติ
    แม้เดินทางลำบาก ก็จะไม่หลงผิด
    แม้พลาด ก็มีแรงกลับขึ้นเสมอ

    #ธรรมะครอบครัว
    #กตัญญูคือรากแห่งบุญ
    #ทำบุญกับพ่อแม่ให้ถูกทาง
    #ไม่ใช่แค่ตามใจ แต่คือดึงขึ้นจากความหลง
    🌿 อย่าทำบาปกับพ่อแม่ แล้วหวังให้ชีวิตเป็นบุญ หลายคนเผลอคิดว่า ‘แค่ไม่ทำร้ายใครก็ไม่เป็นไร’ แต่กลับลืมไปว่า จงใจทำให้คนที่รักเรามากที่สุดเสียใจ คือ อกุศลจิตระดับลึก ที่เปิดทางให้ชีวิตชักนำอัปมงคลทั้งหลายเข้ามาไม่หยุด 🔻 รู้ว่าท่านเป็นห่วง ก็ยิ่งทำให้เขาห่วงให้สะใจ พาเพื่อนแย่ๆ มาให้ดู กินเหล้าเมาก่อนขับรถให้ท่านเห็น พอท่านเตือน ก็แทงใจดำกลับ อ้างว่า “ไม่อยากเกิดมาในบ้านโกโรโกโส” นี่แหละ…จิตที่เห็นผิดเป็นชอบ และดึงดูดเวรกรรมให้ตามติดไปทุกทาง 👣 เพราะพ่อแม่คือ รากของชีวิต ถ้าแกล้งทำร้ายราก อย่าหวังว่าลำต้นจะมั่นคง ผลไม้แห่งชีวิตจะหวานชื่นได้เลย ✨ ในทางตรงข้าม ถ้าจงใจทำให้ท่านเป็นสุขด้วยสติ แม้จะไม่ตามใจในทางผิด แต่หาทางที่ละมุนละม่อม พยายามพูดดีๆ ให้เลิกของมึนเมา เลือกทางที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง แม้โดนด่า โดนเหน็บ ก็ให้ระลึกไว้เสมอว่า... "เจตนากุศลของเราคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด" เพราะนี่คือการทำดีโดยไม่ปรุงหวังให้ใครพอใจ แต่ปรารถนาให้ท่านพ้นทุกข์จริงๆ 🧘‍♂️ หากจะขัดใจพ่อแม่เพื่อเลือกทางธรรม เพื่อคนรักที่ดี เพื่ออนาคตที่ไม่ผิดศีลธรรม แล้วท่านไม่พอใจ จงแยกให้ออกว่า เราผิดเพราะขัดใจท่านในทางผิด หรือ ท่านผิดเพราะอยากให้เราตามใจในทางผิด 🔍 ดูให้ดีๆ ว่า วาจาเราเคยแทงใจดำท่านด้วยอารมณ์หรือไม่? ถ้าไม่… แต่ท่านยังทุกข์เพราะเราไม่ตามใจ ให้รู้ว่าเป็น กรรมของท่านที่ยึด ไม่ใช่กรรมของเราที่ชั่ว 🙏 พระพุทธเจ้าตรัสว่า การตอบแทนคุณพ่อแม่ คือบุญสูงสุด ไม่ใช่ตามใจไปในทางเสื่อม แต่คือการช่วยท่าน พลิกจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ ให้ท่านตื่นจากโมหะ แล้วเห็นว่าชีวิตมีทางดีให้เลือกได้ 🕯️ จงจำไว้ว่า… ใครที่ทำพ่อแม่ทุกข์ด้วยความสะใจ ชีวิตเขาจะมีแต่เรื่องมืดๆ ดึงให้เขว ให้หลง แต่ใครที่ทำพ่อแม่สุขด้วยสติ แม้เดินทางลำบาก ก็จะไม่หลงผิด แม้พลาด ก็มีแรงกลับขึ้นเสมอ #ธรรมะครอบครัว #กตัญญูคือรากแห่งบุญ #ทำบุญกับพ่อแม่ให้ถูกทาง #ไม่ใช่แค่ตามใจ แต่คือดึงขึ้นจากความหลง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์
    สัทธรรมลำดับที่ : 1031
    ชื่อบทธรรม :- ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1031
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์ โดย ๑๖ ประการ

    ( ก. ภาวะไม่บริสุทธิ์สำหรับเปรียบเทียบ )

    --“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อการเกียดกันกิเลสด้วยตบะบริบูรณ์อย่างนี้แล้ว
    พระผู้มีพระภาคยังจะกล่าวถึงอุปกิเลสมีอย่างต่างๆ
    แห่งการบำเพ็ญตบะนั้นอย่างไรอีกเล่า ?”
    --๑. นิโค๎รธ ! ในกรณีนี้ คือ
    ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาเป็นผู้พอใจด้วยตบะนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์
    (เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อตัวกู, มิใช่เพื่อธรรมะ).
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา $พอใจด้วยตบะว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น
    แม้ข้อนี้ก็ยังเป็นอุปกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง) ของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขายกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา @ยกตนข่มขู่ผู้อื่นด้วยตบะ นั้น
    แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาเมาตบะ หลงตบะ ถึงความมัวเมาด้วยตบะนั้น.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา เมาตบะ หลงตบะ $ถึงความมัวเมาด้วยตบะ นั้น
    แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น
    เขาพอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา $พอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ
    ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น
    แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น
    เขายกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา $ยกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น
    แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๖.นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น
    เขาเมาลาภ หลงลาภ $ถึงความมัวเมาด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา เมาลาภ หลงลาภ ถึงความมัวเมาด้วยลาภสักการะ
    และเสียงสรรเสริญ นั้น
    แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๗. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาถึงการแบ่งแยกในโภชนะ ทั้งหลายว่า “นี้ควรแก่เรา นี้ไม่ควรแก่เรา”
    ดังนี้.
    เขาไม่ชอบสิ่งใด เขาสะบัดหน้าไม่สนใจ ละมันไปเสีย;
    เขา ชอบสิ่งใด เขาก็จดจ่อมัวเมา หมายมั่นซึ่งสิ่งนั้น ไม่มองเห็นโทษ
    $ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องออก (จากอัสสาทะแห่งสิ่งนั้น) กินเอา ๆ.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๘. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ด้วยคิดว่า
    พระราชา มหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เดียรถีย์
    ทั้งหลายจักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่จะได้ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๙. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ เป็นผู้ ที่เที่ยวรุกราน
    สมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ว่า
    “อะไรกันนะ ท่านผู้นี้ มีอาชีพ (ดำรงชีพ) สำส่อน กินเสียหมดทุกอย่าง
    ไม่ว่าจะเป็นพืชเกิดจากราก พืชเกิดจากข้อ พืชเกิดจากผล พืชเกิดจากยอด
    และพืชเกิดจากลำต้นเป็นที่ห้า”
    ดังนี้
    $ด้วยวาทะย่ำยีสมณะราวกะว่ามีคมแห่งฟันดังสายฟ้า.
    +--นิโค๎รธ ! การกระทำแม้นี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๑๐. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ เห็นสมณะหรือพราหมณ์ใดๆ
    ที่คนพากันสักการะอยู่ เคารพอยู่ นับถืออยู่ บูชาอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย
    ก็ มีความคิดว่า
    “คนทั้งหลายพากันสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งสมณพราหมณ์นี้ผู้มีอาชีพสำส่อนอยู่
    ในตระกูลทั้งหลาย แต่กลับไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเราผู้บำเพ็ญตบะ
    ดำรงชีวิตอยู่อย่างมี ลูข*--๑ ปฏิปทา อยู่ในตระกูลทั้งหลาย”
    ดังนี้
    เขา $เกิดมีความริษยาและตระหนี่ในตระกูลทั้งหลายขึ้นมาด้วย อาการอย่างนี้.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    [*--๑ ลูขะ คำนี้ แปลยากสำหรับคนไทย เคยแปลกันว่าเศร้าหมองบ้าง ปอนๆ บ้าง
    เป็นคำแปลที่อาจให้เกิดความเข้าใจผิดจากความหมายอันแท้จริง ซึ่งสูงหรือลึกไปกว่านั้น
    กล่าวคือ มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ความสวยงาม
    ไร้ความสะดวกสบาย เป็นชีวิตแบบต่ำสุดสำหรับ นักบวช
    ซึ่งเราเรียกกันโดยทั่วไปว่าเคร่งครัดอย่างยิ่ง.
    ขอให้ใช้คำว่า ลูขะ นี้เป็นคำคำหนึ่ง ในภาษาไทยสืบไปในภายหน้าด้วย.]​
    --๑๑. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ $ชอบนั่งแสดงตัวตามทางที่คนผ่าน (เพื่ออวดคน).
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของ ผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๑๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เปิดเผยตน (ตามที่เป็นจริง)
    เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ประกาศอยู่ว่า
    “อย่างนี้ๆ เป็นตบะของฉัน, มีในตบะของฉัน”
    ดังนี้ เป็นต้น.
    ±--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๑๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ มีปกตินิสัยทำสิ่งไรๆ ให้เป็นของปกปิด
    เมื่อถูกถามอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่ท่านไหม
    ก็กล่าวสิ่งที่ไม่ควรว่าควร กล่าวสิ่งที่ควรว่าไม่ควร
    $เป็นผู้กล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
    ดังนี้.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๑๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ, $เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรมอยู่,
    เขาไม่ยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ต่อปริยาย
    ที่ควรยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) แม้มีอยู่แท้.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๑๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ $เป็นคนขี้โกรธมักผูกโกรธ.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --๑๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ
    เป็นคน ลบหลู่ คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน
    เป็นคน ริษยา ตระหนี่
    เป็นคน โอ้อวด มีมายา
    เป็นคน หัวดื้อ ดูหมิ่นท่าน
    เป็นคน ปรารถนาลามก ตกอยู่ในอำนาจแห่งความ ปรารถนาลามก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบอยู่ด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ
    เป็นคนลูบคลำ สิ่งต่างๆ ตามทิฏฐิของตน ยึดถือไว้เหนียวแน่น สลัดคืนได้ยาก.
    +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ.
    --นิโค๎รธ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : การเกียดกันกิเลส ด้วยตบะในรูปแบบอย่างที่ว่ามานี้ (ทุกข้อ)
    เป็นอุปกิเลส หรือไม่เป็นอุปกิเลสเล่า ?
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะเหล่านี้
    เป็นอุปกิเลสแน่แท้ ไม่เป็นอุปกิเลส หามิได้.
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีอยู่ คือผู้ บำเพ็ญตบะบางคนในกรณีนี้
    ประกอบด้วยอุปกิเลสเหล่านี้ครบทุกอย่างแล้ว
    ทำไมจะไม่ ประกอบด้วยอุปกิเลสแต่ละอย่าง ๆ เล่า”.

    (ข. ภาวะบริสุทธิ์ที่สำหรับถือเป็นหลัก)

    --๑. นิโค๎รธ ! ในกรณีนี้
    ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาไม่เป็นผู้พอใจไม่รู้สึกว่าบริบูรณ์แล้ว
    ตามประสงค์ด้วยตบะนั้น (ไม่ได้บำเพ็ญตบะเพื่อความพอใจแห่งตัวกู).
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ได้บำเพ็ญตบะเพื่อความพอใจแห่งตนนั้น
    นั่นแหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น.
    +-+นิโค๎รธ ! ข้อที่เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น
    --๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่เขาไม่เมาตบะไม่หลงตบะ $ไม่ถึงความมัวเมาด้วยตบนั้น.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่ เขา ไม่เมาตบะ ไม่หลงตบะ ไม่ถึงความมัวเมาด้วยตบะ นั้น
    ด้วยเหตุผลนี้ แหละ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาไม่เป็นผู้พอใจ $ด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา
    ไม่เป็นผู้พอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น
    ด้วยเหตุผลนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    $เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น
    เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา
    ไม่ยกตน $ไม่ข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    $เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้น
    เขาไม่เมาลาภ ไม่หลงลาภ ไม่ถึงความมัวเมาลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา
    ไม่ เมาลาภไม่หลงลาภไม่ถึงความมัวเมาสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๗. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาไม่ถึงการแบ่งแยกในภาชนะ ทั้งหลาย
    ว่า “นี้ควรแก่เรา นี้ไม่ควรแก่เรา” ดังนี้
    เขา ไม่ชอบสิ่งใด เขาไม่ได้สะบัดหน้าแสดงความไม่สนใจ ละมันไปเสีย
    เขา ชอบสิ่งใด เขาก็ไม่จดจ่อ ไม่มัวเมา ไม่หมายมั่นสิ่งนั้น มองเห็นโทษ
    มีปัญญาเป็นเครื่องออก (จากอัสสาทะแห่งสิ่งนั้น) บริโภคอยู่.
    ด้วยเหตุนี้แหละ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๘. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่
    เขาไม่คิดอย่างนี้ว่า พระราชา มหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เดียรถีย์ ทั้งหลาย
    จักสักการะเรา $เพราะเหตุแห่งความใคร่จะได้ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ.
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๙. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นผู้เที่ยวรุกราน สมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ว่า
    “อะไรกันนะ ท่านผู้นี้มีอาชีพ (ดำรงชีพ) สำส่อน กินเสียหมดทุกอย่าง
    ไม่ว่าจะเป็นพืชเกิดจากราก พืชเกิดจากข้อ พืชเกิดจากผล พืชเกิดจากยอด
    และพืชเกิดจากลำต้นเป็นที่ห้า”
    ดังนี้
    ด้วยวาทะย่ำยีสมณะราวกะว่ามีคมแห่งฟันดังสายฟ้า.
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๐. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ เห็นสมณะหรือ พราหมณ์ใด ๆ
    ที่คนพากันสักการะอยู่ เคารพอยู่ นับถืออยู่ บูชาอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย
    เขา ไม่มีความคิดอย่างนี้ ว่า
    “คนทั้งหลายพากันสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งสมณะพราหมณ์นี้
    ผู้มีอาชีวะสำส่อนอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย
    แต่กลับไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเราผู้ดำรงชีพอยู่อย่างมีลูขปฏิปทา
    อยู่ในตระกูลทั้งหลาย”
    ดังนี้
    เขา ไม่เกิดมีความริษยาและตระหนี่ ในตระกูลทั้งหลายขึ้นมา อย่างนี้.
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๑. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่ชอบนั่งแสดง ตนตามทางที่คนผ่าน (เพื่ออวดคน).
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ
    จะไม่เปิดเผยตน (ตามที่เป็นจริง)
    เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก็หามิได้ (เขาเป็นคนจริงและเปิดเผย)
    ประกาศอยู่ ว่า
    “อย่างนี้ๆ เป็นตบะของฉัน, มีในตบะของฉัน”
    ดังนี้ เป็นต้น.
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่มีปกตินิสัยทำ สิ่งไรๆ ให้เป็นของปกปิด
    เมื่อถูกถามอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่ท่านไหม ก็ กล่าวสิ่งที่ ไม่ควรว่าไม่ควร
    กล่าวสิ่งที่ควรกล่าวว่าควร ไม่เป็นผู้กล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
    ดังนี้.
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ,
    เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรมอยู่,
    เขายอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ต่อปริยายที่ควรยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ซึ่งมีอยู่แท้.
    +--นิโค๎รธ ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ
    ไม่เป็นคนขี้โกรธ ไม่ผูกโกรธ.
    +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขาเป็นคนไม่ขี้โกรธ ไม่ผูกโกรธนั้น
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --๑๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก
    : ผู้บำเพ็ญตบะ
    ไม่เป็นคนลบหลู่ คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน ไม่เป็นคนริษยา ไม่ตระหนี่
    ไม่เป็นคนโอ้อวด ไม่มีมายา ไม่เป็นคนหัวดื้อ ไม่ดูหมิ่นท่าน ไม่เป็นคนปรารถนาลามก
    ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก
    ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ประกอบอยู่ด้วยอันคาหิกทิฏฐิ
    ไม่เป็นคนลูบคลำสิ่งต่างๆ ตามทิฏฐิของตน
    ไม่ยึดถือไว้เหนียวแน่น สลัด คืนได้ง่าย.
    ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น.
    --นิโค๎รธ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
    : เมื่อเป็นอย่างนี้ มันเป็นการเกียดกันกิเลสด้วยตบะที่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์เล่า ?
    --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อเป็นอย่างนี้
    มันเป็นการเกียดกันกิเลสด้วยตบะที่บริสุทธิ์โดยแท้ หาใช่ไม่บริสุทธิ์ไม่
    ทั้งยังเป็นการบรรลุถึงยอดถึงแก่นอีกด้วย พระเจ้าข้า !”
    --นิโค๎รธเอ๋ย ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะเพียงเท่านี้ ยังไม่ถึงยอด ถึงแก่น
    เป็นเพียงถึงเปลือกแห้งๆ เท่านั้น.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปา. ที. 11/30 - 36/24 - 25.
    http://etipitaka.com/read/thai/11/30/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปา. ที. ๑๑/๔๔ - ๕๐/๒๔ - ๒๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/11/44/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1031
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1031
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์ สัทธรรมลำดับที่ : 1031 ชื่อบทธรรม :- ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1031 เนื้อความทั้งหมด :- --ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์ โดย ๑๖ ประการ ( ก. ภาวะไม่บริสุทธิ์สำหรับเปรียบเทียบ ) --“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อการเกียดกันกิเลสด้วยตบะบริบูรณ์อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคยังจะกล่าวถึงอุปกิเลสมีอย่างต่างๆ แห่งการบำเพ็ญตบะนั้นอย่างไรอีกเล่า ?” --๑. นิโค๎รธ ! ในกรณีนี้ คือ ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาเป็นผู้พอใจด้วยตบะนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ (เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อตัวกู, มิใช่เพื่อธรรมะ). +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา $พอใจด้วยตบะว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น แม้ข้อนี้ก็ยังเป็นอุปกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง) ของผู้บำเพ็ญตบะ. --๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขายกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา @ยกตนข่มขู่ผู้อื่นด้วยตบะ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาเมาตบะ หลงตบะ ถึงความมัวเมาด้วยตบะนั้น. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา เมาตบะ หลงตบะ $ถึงความมัวเมาด้วยตบะ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาพอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา $พอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขายกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา $ยกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๖.นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเมาลาภ หลงลาภ $ถึงความมัวเมาด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา เมาลาภ หลงลาภ ถึงความมัวเมาด้วยลาภสักการะ และเสียงสรรเสริญ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๗. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาถึงการแบ่งแยกในโภชนะ ทั้งหลายว่า “นี้ควรแก่เรา นี้ไม่ควรแก่เรา” ดังนี้. เขาไม่ชอบสิ่งใด เขาสะบัดหน้าไม่สนใจ ละมันไปเสีย; เขา ชอบสิ่งใด เขาก็จดจ่อมัวเมา หมายมั่นซึ่งสิ่งนั้น ไม่มองเห็นโทษ $ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องออก (จากอัสสาทะแห่งสิ่งนั้น) กินเอา ๆ. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๘. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ด้วยคิดว่า พระราชา มหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เดียรถีย์ ทั้งหลายจักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่จะได้ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๙. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เป็นผู้ ที่เที่ยวรุกราน สมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ว่า “อะไรกันนะ ท่านผู้นี้ มีอาชีพ (ดำรงชีพ) สำส่อน กินเสียหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพืชเกิดจากราก พืชเกิดจากข้อ พืชเกิดจากผล พืชเกิดจากยอด และพืชเกิดจากลำต้นเป็นที่ห้า” ดังนี้ $ด้วยวาทะย่ำยีสมณะราวกะว่ามีคมแห่งฟันดังสายฟ้า. +--นิโค๎รธ ! การกระทำแม้นี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๑๐. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เห็นสมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ที่คนพากันสักการะอยู่ เคารพอยู่ นับถืออยู่ บูชาอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย ก็ มีความคิดว่า “คนทั้งหลายพากันสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งสมณพราหมณ์นี้ผู้มีอาชีพสำส่อนอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย แต่กลับไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเราผู้บำเพ็ญตบะ ดำรงชีวิตอยู่อย่างมี ลูข*--๑ ปฏิปทา อยู่ในตระกูลทั้งหลาย” ดังนี้ เขา $เกิดมีความริษยาและตระหนี่ในตระกูลทั้งหลายขึ้นมาด้วย อาการอย่างนี้. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. [*--๑ ลูขะ คำนี้ แปลยากสำหรับคนไทย เคยแปลกันว่าเศร้าหมองบ้าง ปอนๆ บ้าง เป็นคำแปลที่อาจให้เกิดความเข้าใจผิดจากความหมายอันแท้จริง ซึ่งสูงหรือลึกไปกว่านั้น กล่าวคือ มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ความสวยงาม ไร้ความสะดวกสบาย เป็นชีวิตแบบต่ำสุดสำหรับ นักบวช ซึ่งเราเรียกกันโดยทั่วไปว่าเคร่งครัดอย่างยิ่ง. ขอให้ใช้คำว่า ลูขะ นี้เป็นคำคำหนึ่ง ในภาษาไทยสืบไปในภายหน้าด้วย.]​ --๑๑. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ $ชอบนั่งแสดงตัวตามทางที่คนผ่าน (เพื่ออวดคน). +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของ ผู้บำเพ็ญตบะ. --๑๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เปิดเผยตน (ตามที่เป็นจริง) เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ประกาศอยู่ว่า “อย่างนี้ๆ เป็นตบะของฉัน, มีในตบะของฉัน” ดังนี้ เป็นต้น. ±--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๑๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ มีปกตินิสัยทำสิ่งไรๆ ให้เป็นของปกปิด เมื่อถูกถามอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่ท่านไหม ก็กล่าวสิ่งที่ไม่ควรว่าควร กล่าวสิ่งที่ควรว่าไม่ควร $เป็นผู้กล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ดังนี้. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๑๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ, $เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรมอยู่, เขาไม่ยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ต่อปริยาย ที่ควรยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) แม้มีอยู่แท้. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๑๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ $เป็นคนขี้โกรธมักผูกโกรธ. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --๑๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เป็นคน ลบหลู่ คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน เป็นคน ริษยา ตระหนี่ เป็นคน โอ้อวด มีมายา เป็นคน หัวดื้อ ดูหมิ่นท่าน เป็นคน ปรารถนาลามก ตกอยู่ในอำนาจแห่งความ ปรารถนาลามก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบอยู่ด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ เป็นคนลูบคลำ สิ่งต่างๆ ตามทิฏฐิของตน ยึดถือไว้เหนียวแน่น สลัดคืนได้ยาก. +--นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. --นิโค๎รธ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : การเกียดกันกิเลส ด้วยตบะในรูปแบบอย่างที่ว่ามานี้ (ทุกข้อ) เป็นอุปกิเลส หรือไม่เป็นอุปกิเลสเล่า ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะเหล่านี้ เป็นอุปกิเลสแน่แท้ ไม่เป็นอุปกิเลส หามิได้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีอยู่ คือผู้ บำเพ็ญตบะบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วยอุปกิเลสเหล่านี้ครบทุกอย่างแล้ว ทำไมจะไม่ ประกอบด้วยอุปกิเลสแต่ละอย่าง ๆ เล่า”. (ข. ภาวะบริสุทธิ์ที่สำหรับถือเป็นหลัก) --๑. นิโค๎รธ ! ในกรณีนี้ ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาไม่เป็นผู้พอใจไม่รู้สึกว่าบริบูรณ์แล้ว ตามประสงค์ด้วยตบะนั้น (ไม่ได้บำเพ็ญตบะเพื่อความพอใจแห่งตัวกู). +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ได้บำเพ็ญตบะเพื่อความพอใจแห่งตนนั้น นั่นแหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น. +-+นิโค๎รธ ! ข้อที่เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น --๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่เขาไม่เมาตบะไม่หลงตบะ $ไม่ถึงความมัวเมาด้วยตบนั้น. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่ เขา ไม่เมาตบะ ไม่หลงตบะ ไม่ถึงความมัวเมาด้วยตบะ นั้น ด้วยเหตุผลนี้ แหละ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาไม่เป็นผู้พอใจ $ด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่เป็นผู้พอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น ด้วยเหตุผลนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ยกตน $ไม่ข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้น เขาไม่เมาลาภ ไม่หลงลาภ ไม่ถึงความมัวเมาลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ เมาลาภไม่หลงลาภไม่ถึงความมัวเมาสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๗. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ $เขาไม่ถึงการแบ่งแยกในภาชนะ ทั้งหลาย ว่า “นี้ควรแก่เรา นี้ไม่ควรแก่เรา” ดังนี้ เขา ไม่ชอบสิ่งใด เขาไม่ได้สะบัดหน้าแสดงความไม่สนใจ ละมันไปเสีย เขา ชอบสิ่งใด เขาก็ไม่จดจ่อ ไม่มัวเมา ไม่หมายมั่นสิ่งนั้น มองเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องออก (จากอัสสาทะแห่งสิ่งนั้น) บริโภคอยู่. ด้วยเหตุนี้แหละ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๘. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาไม่คิดอย่างนี้ว่า พระราชา มหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เดียรถีย์ ทั้งหลาย จักสักการะเรา $เพราะเหตุแห่งความใคร่จะได้ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๙. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นผู้เที่ยวรุกราน สมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ว่า “อะไรกันนะ ท่านผู้นี้มีอาชีพ (ดำรงชีพ) สำส่อน กินเสียหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพืชเกิดจากราก พืชเกิดจากข้อ พืชเกิดจากผล พืชเกิดจากยอด และพืชเกิดจากลำต้นเป็นที่ห้า” ดังนี้ ด้วยวาทะย่ำยีสมณะราวกะว่ามีคมแห่งฟันดังสายฟ้า. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๐. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เห็นสมณะหรือ พราหมณ์ใด ๆ ที่คนพากันสักการะอยู่ เคารพอยู่ นับถืออยู่ บูชาอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย เขา ไม่มีความคิดอย่างนี้ ว่า “คนทั้งหลายพากันสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งสมณะพราหมณ์นี้ ผู้มีอาชีวะสำส่อนอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย แต่กลับไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเราผู้ดำรงชีพอยู่อย่างมีลูขปฏิปทา อยู่ในตระกูลทั้งหลาย” ดังนี้ เขา ไม่เกิดมีความริษยาและตระหนี่ ในตระกูลทั้งหลายขึ้นมา อย่างนี้. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๑. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่ชอบนั่งแสดง ตนตามทางที่คนผ่าน (เพื่ออวดคน). ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ จะไม่เปิดเผยตน (ตามที่เป็นจริง) เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก็หามิได้ (เขาเป็นคนจริงและเปิดเผย) ประกาศอยู่ ว่า “อย่างนี้ๆ เป็นตบะของฉัน, มีในตบะของฉัน” ดังนี้ เป็นต้น. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่มีปกตินิสัยทำ สิ่งไรๆ ให้เป็นของปกปิด เมื่อถูกถามอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่ท่านไหม ก็ กล่าวสิ่งที่ ไม่ควรว่าไม่ควร กล่าวสิ่งที่ควรกล่าวว่าควร ไม่เป็นผู้กล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ดังนี้. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ, เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรมอยู่, เขายอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ต่อปริยายที่ควรยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ซึ่งมีอยู่แท้. +--นิโค๎รธ ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นคนขี้โกรธ ไม่ผูกโกรธ. +--นิโค๎รธ ! ข้อที่เขาเป็นคนไม่ขี้โกรธ ไม่ผูกโกรธนั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --๑๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นคนลบหลู่ คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน ไม่เป็นคนริษยา ไม่ตระหนี่ ไม่เป็นคนโอ้อวด ไม่มีมายา ไม่เป็นคนหัวดื้อ ไม่ดูหมิ่นท่าน ไม่เป็นคนปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ประกอบอยู่ด้วยอันคาหิกทิฏฐิ ไม่เป็นคนลูบคลำสิ่งต่างๆ ตามทิฏฐิของตน ไม่ยึดถือไว้เหนียวแน่น สลัด คืนได้ง่าย. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. --นิโค๎รธ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : เมื่อเป็นอย่างนี้ มันเป็นการเกียดกันกิเลสด้วยตบะที่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์เล่า ? --“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อเป็นอย่างนี้ มันเป็นการเกียดกันกิเลสด้วยตบะที่บริสุทธิ์โดยแท้ หาใช่ไม่บริสุทธิ์ไม่ ทั้งยังเป็นการบรรลุถึงยอดถึงแก่นอีกด้วย พระเจ้าข้า !” --นิโค๎รธเอ๋ย ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะเพียงเท่านี้ ยังไม่ถึงยอด ถึงแก่น เป็นเพียงถึงเปลือกแห้งๆ เท่านั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปา. ที. 11/30 - 36/24 - 25. http://etipitaka.com/read/thai/11/30/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปา. ที. ๑๑/๔๔ - ๕๐/๒๔ - ๒๕. http://etipitaka.com/read/pali/11/44/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1031 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1031 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์
    -ภาวะบริสุทธิ์แห่งการประพฤติตบะพรหมจรรย์ โดย ๑๖ ประการ ( ก. ภาวะไม่บริสุทธิ์สำหรับเปรียบเทียบ ) “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อการเกียดกันกิเลสด้วยตบะบริบูรณ์อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคยังจะกล่าวถึงอุปกิเลสมีอย่างต่างๆแห่งการบำเพ็ญตบะนั้นอย่างไรอีกเล่า ?” ๑. นิโค๎รธ ! ในกรณีนี้ คือ ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาเป็นผู้พอใจด้วยตบะนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ (เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อตัวกู, มิใช่เพื่อธรรมะ). นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา พอใจด้วยตบะว่า บริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น แม้ข้อนี้ก็ยังเป็นอุปกิเลส (เครื่องเศร้าหมอง) ของผู้บำเพ็ญตบะ. ๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขายกตนข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ยกตนข่มขู่ผู้อื่นด้วยตบะ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาเมาตบะ หลงตบะ ถึงความมัวเมาด้วยตบะนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา เมาตบะ หลงตบะ ถึงความมัวเมาด้วยตบะ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาพอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์. นิโค๎รธ ! ข้อที่ เขา พอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขายกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ยกตนข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๖.นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาเมาลาภ หลงลาภ ถึงความมัวเมาด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา เมาลาภ หลงลาภ ถึงความมัวเมาด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๗. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาถึงการแบ่งแยกในโภชนะ ทั้งหลายว่า “นี้ควรแก่เรา นี้ไม่ควรแก่เรา” ดังนี้. เขาไม่ชอบสิ่งใด เขาสะบัดหน้าไม่สนใจ ละมันไปเสีย; เขา ชอบสิ่งใด เขาก็จดจ่อมัวเมา หมายมั่นซึ่งสิ่งนั้น ไม่มองเห็นโทษ ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องออก (จากอัสสาทะแห่งสิ่งนั้น) กินเอา ๆ. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๘. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ด้วยคิดว่า พระราชา มหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เดียรถีย์ ทั้งหลาย จักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่จะได้ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๙. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เป็นผู้ ที่เที่ยวรุกราน สมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ไม่ว่าในที่ไหนๆ ว่า “อะไรกันนะ ท่านผู้นี้ มีอาชีพ (ดำรงชีพ) สำส่อน กินเสียหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพืชเกิดจากราก พืชเกิดจาก ข้อ พืชเกิดจากผล พืชเกิดจากยอด และพืชเกิดจากลำต้นเป็นที่ห้า” ดังนี้ ด้วยวาทะย่ำยีสมณะราวกะว่ามีคมแห่งฟันดังสายฟ้า. นิโค๎รธ ! การกระทำแม้นี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๐. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เห็นสมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ที่คนพากันสักการะอยู่ เคารพอยู่ นับถืออยู่ บูชาอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย ก็ มีความคิดว่า “คนทั้งหลายพากันสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งสมณพราหมณ์นี้ผู้มีอาชีพสำส่อนอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย แต่กลับไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเราผู้บำเพ็ญตบะ ดำรงชีวิตอยู่อย่างมี ลูข๑ ปฏิปทา อยู่ในตระกูลทั้งหลาย” ดังนี้ เขา เกิดมีความริษยาและตระหนี่ในตระกูลทั้งหลายขึ้นมาด้วย อาการอย่างนี้. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๐. ลูขะ คำนี้ แปลยากสำหรับคนไทย เคยแปลกันว่าเศร้าหมองบ้าง ปอนๆ บ้าง เป็นคำแปลที่อาจให้เกิดความเข้าใจผิดจากความหมายอันแท้จริง ซึ่งสูงหรือลึกไปกว่านั้น กล่าวคือ มีชีวิตอยู่ด้วยสิ่งที่ไร้ค่า ไร้ความสวยงาม ไร้ความสะดวกสบาย เป็นชีวิตแบบต่ำสุดสำหรับ นักบวช ซึ่งเราเรียกกันโดยทั่วไปว่าเคร่งครัดอย่างยิ่ง. ขอให้ใช้คำว่า ลูขะ นี้เป็นคำคำหนึ่ง ในภาษาไทยสืบไปในภายหน้าด้วย. ๑๑. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ชอบนั่งแสดงตัว ตามทางที่คนผ่าน (เพื่ออวดคน). นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของ ผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เปิดเผยตน (ตามที่เป็นจริง) เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลาย ประกาศอยู่ว่า “อย่างนี้ๆ เป็นตบะของฉัน, มีในตบะของฉัน” ดังนี้ เป็นต้น. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ มีปกตินิสัยทำสิ่งไรๆ ให้เป็นของปกปิด เมื่อถูกถามอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่ท่านไหม ก็กล่าวสิ่งที่ไม่ควรว่าควร กล่าวสิ่งที่ควรว่าไม่ควร เป็นผู้กล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ดังนี้. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ, เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรมอยู่, เขาไม่ยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ต่อปริยาย ที่ควรยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) แม้มีอยู่แท้. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เป็นคน ขี้โกรธ มักผูกโกรธ. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. ๑๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เป็นคน ลบหลู่ คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน เป็นคน ริษยา ตระหนี่ เป็นคน โอ้อวด มีมายา เป็น คน หัวดื้อ ดูหมิ่นท่าน เป็นคน ปรารถนาลามก ตกอยู่ในอำนาจแห่งความ ปรารถนาลามก เป็นมิจฉาทิฏฐิ ประกอบอยู่ด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ เป็นคนลูบคลำ สิ่งต่างๆ ตามทิฏฐิของตน ยึดถือไว้เหนียวแน่น สลัดคืนได้ยาก. นิโค๎รธ ! แม้ข้อนี้ก็เป็นอุปกิเลสของผู้บำเพ็ญตบะ. นิโค๎รธ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : การเกียดกันกิเลส ด้วยตบะในรูปแบบอย่างที่ว่ามานี้ (ทุกข้อ) เป็นอุปกิเลส หรือไม่เป็นอุปกิเลสเล่า ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะเหล่านี้ เป็นอุปกิเลสแน่แท้ ไม่เป็นอุปกิเลส หามิได้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้เป็นฐานะที่มีอยู่ คือผู้ บำเพ็ญตบะบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วยอุปกิเลสเหล่านี้ครบทุกอย่างแล้ว ทำไมจะไม่ ประกอบด้วยอุปกิเลสแต่ละอย่าง ๆ เล่า”. (ข. ภาวะบริสุทธิ์ที่สำหรับถือเป็นหลัก) ๑. นิโค๎รธ ! ในกรณีนี้ ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาไม่เป็นผู้พอใจไม่รู้สึกว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ด้วยตบะนั้น (ไม่ได้บำเพ็ญตบะเพื่อความพอใจแห่งตัวกู). นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ได้บำเพ็ญตบะเพื่อความพอใจแห่งตนนั้น นั่นแหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยตบะนั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น ๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่เขาไม่เมาตบะ ไม่หลงตบะ ไม่ถึงความมัวเมาด้วยตบะนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่ เขา ไม่เมาตบะ ไม่หลงตบะ ไม่ถึงความมัวเมาด้วยตบะ นั้น ด้วยเหตุผลนี้ แหละ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาไม่เป็นผู้พอใจ ด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่เป็นผู้พอใจด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ ว่าบริบูรณ์แล้วตามประสงค์ นั้น ด้วยเหตุผลนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้นด้วยตบะนั้น เขาไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่นด้วยลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาทำลาภสักการะและเสียงสรรเสริญให้เกิดขึ้น เขาไม่เมาลาภ ไม่หลงลาภ ไม่ถึงความมัวเมาลาภสักการะและเสียงสรรเสริญนั้น. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขา ไม่ เมาลาภไม่หลงลาภไม่ถึงความมัวเมาสักการะและเสียงสรรเสริญ นั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๗. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขา ไม่ถึงการแบ่งแยกในภาชนะ ทั้งหลาย ว่า “นี้ควรแก่เรา นี้ไม่ควรแก่เรา” ดังนี้ เขา ไม่ชอบสิ่งใด เขาไม่ได้สะบัดหน้าแสดงความไม่สนใจ ละมันไปเสีย เขา ชอบสิ่งใด เขาก็ไม่จดจ่อ ไม่มัวเมา ไม่หมายมั่นสิ่งนั้น มองเห็นโทษ มีปัญญาเป็นเครื่องออก (จากอัสสาทะแห่งสิ่งนั้น) บริโภคอยู่. ด้วยเหตุนี้แหละ เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๘. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ สมาทานตบะอยู่ เขาไม่คิดอย่างนี้ว่า พระราชา มหาอำมาตย์ กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เดียรถีย์ ทั้งหลาย จักสักการะเรา เพราะเหตุแห่งความใคร่จะได้ลาภสักการะและเสียงสรรเสริญ. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๙. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นผู้เที่ยวรุกราน สมณะหรือพราหมณ์ใดๆ ว่า “อะไรกันนะ ท่านผู้นี้มีอาชีพ (ดำรงชีพ) สำส่อน กินเสียหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพืชเกิดจากราก พืชเกิดจากข้อ พืชเกิดจากผล พืชเกิดจากยอด และพืชเกิดจากลำต้นเป็นที่ห้า” ดังนี้ ด้วยวาทะย่ำยีสมณะราวกะว่ามีคมแห่งฟันดังสายฟ้า. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๐. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ เห็นสมณะหรือ พราหมณ์ใด ๆ ที่คนพากันสักการะอยู่ เคารพอยู่ นับถืออยู่ บูชาอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย เขา ไม่มีความคิดอย่างนี้ ว่า “คนทั้งหลายพากันสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งสมณะพราหมณ์นี้ผู้มีอาชีวะสำส่อนอยู่ ในตระกูลทั้งหลาย แต่กลับไม่สักการะเคารพนับถือบูชาเราผู้ดำรงชีพอยู่อย่างมีลูขปฏิปทา อยู่ในตระกูล ทั้งหลาย” ดังนี้ เขา ไม่เกิดมีความริษยาและตระหนี่ ในตระกูลทั้งหลายขึ้นมา อย่างนี้. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๑. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่ชอบนั่งแสดง ตนตามทางที่คนผ่าน (เพื่ออวดคน). ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๒. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ จะไม่เปิดเผยตน (ตามที่เป็นจริง) เที่ยวไปในตระกูลทั้งหลายก็หามิได้ (เขาเป็นคนจริงและเปิดเผย) ประกาศอยู่ ว่า “อย่างนี้ๆ เป็นตบะของฉัน, มีในตบะของฉัน” ดังนี้ เป็นต้น. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๓. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่มีปกตินิสัยทำ สิ่งไรๆ ให้เป็นของปกปิด เมื่อถูกถามอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่ท่านไหม ก็ กล่าวสิ่งที่ ไม่ควรว่าไม่ควร กล่าวสิ่งที่ควรกล่าวว่าควร ไม่เป็นผู้กล่าวมุสาทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ ดังนี้. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๔. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ, เมื่อตถาคตหรือสาวกของตถาคตแสดงธรรมอยู่, เขายอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ต่อปริยายที่ควรยอมรับ (ว่าถูกว่าจริง) ซึ่งมีอยู่แท้. นิโค๎รธ ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๕. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นคนขี้โกรธ ไม่ผูกโกรธ. นิโค๎รธ ! ข้อที่เขาเป็นคนไม่ขี้โกรธ ไม่ผูกโกรธนั้น ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. ๑๖. นิโค๎รธ ! ข้ออื่นยังมีอีก : ผู้บำเพ็ญตบะ ไม่เป็นคนลบหลู่ คุณท่าน ตีตนเสมอท่าน ไม่เป็นคนริษยา ไม่ตระหนี่ ไม่เป็นคนโอ้อวด ไม่มีมายา ไม่เป็นคนหัวดื้อ ไม่ดูหมิ่นท่าน ไม่เป็นคนปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาลามก ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ประกอบอยู่ด้วยอันคาหิกทิฏฐิ ไม่เป็นคนลูบคลำสิ่งต่างๆ ตามทิฏฐิของตน ไม่ยึดถือไว้เหนียวแน่น สลัด คืนได้ง่าย. ด้วยเหตุนี้แหละเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในฐานะนั้น. นิโค๎รธ ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร : เมื่อเป็นอย่างนี้ มันเป็นการเกียดกันกิเลสด้วยตบะที่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์เล่า ? “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! เมื่อเป็นอย่างนี้ มันเป็นการเกียดกันกิเลสด้วยตบะที่บริสุทธิ์โดยแท้ หาใช่ไม่บริสุทธิ์ไม่ ทั้งยังเป็นการบรรลุถึงยอดถึงแก่นอีกด้วย พระเจ้าข้า !” นิโค๎รธเอ๋ย ! การเกียดกันกิเลสด้วยตบะเพียงเท่านี้ ยังไม่ถึงยอด ถึงแก่น เป็นเพียงถึงเปลือกแห้งๆ เท่านั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การให้ผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ
    สัทธรรมลำดับที่ : 1029
    ชื่อบทธรรม :- การให้ผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1029
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --การให้ผลของ มิจฉัตตะ และ สัมมัตตะ
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลมี
    มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา
    .... ฯลฯ ....
    มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ เสียแล้ว,
    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
    ที่เขากระทำเต็มที่ตาม
    ทิฏฐินั้น ใดๆ ก็ดี
    เจตนา ก็ดี
    ความปรารถนา ก็ดี
    ปณิธาน ก็ดี
    สังขาร (การปรุงแต่ง) ใดๆ ก็ดี
    ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดของบุคคลนั้น #ย่อมเป็นไปเพื่อความทุกข์
    อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ทิฏฐินั้นเป็นทิฏฐิชั่ว (ปาปิก).
    http://etipitaka.com/read/pali/24/227/?keywords=ปาปิก

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน พรรณไม้สะเดา พรรณไม้ บวบขม พรรณไม้น้ำเต้าขม
    ที่เขาปลูกลงไปในดินเปียก;
    พืชนั้นเข้าไปจับเอา รสแห่งดินและรสแห่งน้ำใดๆ
    รสแห่งดินและรสแห่งน้ำทั้งหมดนั้น
    ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของขม ของเผ็ดร้อน ของไม่อร่อย.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
    ข้อนั้นเพราะเหตุว่าพืชนั้นเป็นพืชชั่ว, ฉันใดก็ฉันนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลมี
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา
    ….ฯลฯ....
    สัมมาญานะ สัมมาวิมุตติ แล้ว,
    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เขากระทำเต็มที่ตาม
    ทิฏฐินั้น ใดๆ ก็ดี
    เจตนา ก็ดี
    ความปรารถนา ก็ดี
    ปณิธาน ก็ดี
    สังขาร ใดๆ ก็ดี
    ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดของบุคคลนั้น #ย่อมเป็นไปเพื่อความสุข
    อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นประโยชน์เกื้อกูล.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
    ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ทิฏฐินั้นเป็นทิฏฐิดี (ภทฺทิก).
    http://etipitaka.com/read/pali/24/228/?keywords=ภทฺทิก

    --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน พืชพรรณอ้อย พืชพรรณข้าวสาลี พืชพรรณองุ่น (มุทฺทิก)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/228/?keywords=มุทฺทิกพีชํ
    ที่เขาปลูกลงไปในดินเปียก;
    พืชนั้นเข้าไปจับเอารสแห่งดินและรสแห่งน้ำใดๆ รสแห่งดินและรสแห่งน้ำ ทั้งหมดนั้น
    ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นรสน่ายินดี รสหวาน รสชุ่มฉ่ำ.
    ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
    ข้อนั้นเพราะเหตุว่าพืชนั้นเป็นพืชดี ฉันใดก็ฉันนั้น.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/182 - 184/104.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/182/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๒๖ - ๒๒๘/๑๐๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1029
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1029
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89
    ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​การให้ผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ สัทธรรมลำดับที่ : 1029 ชื่อบทธรรม :- การให้ผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1029 เนื้อความทั้งหมด :- --การให้ผลของ มิจฉัตตะ และ สัมมัตตะ --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลมี มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา .... ฯลฯ .... มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ เสียแล้ว, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เขากระทำเต็มที่ตาม ทิฏฐินั้น ใดๆ ก็ดี เจตนา ก็ดี ความปรารถนา ก็ดี ปณิธาน ก็ดี สังขาร (การปรุงแต่ง) ใดๆ ก็ดี ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดของบุคคลนั้น #ย่อมเป็นไปเพื่อความทุกข์ อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ทิฏฐินั้นเป็นทิฏฐิชั่ว (ปาปิก). http://etipitaka.com/read/pali/24/227/?keywords=ปาปิก --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน พรรณไม้สะเดา พรรณไม้ บวบขม พรรณไม้น้ำเต้าขม ที่เขาปลูกลงไปในดินเปียก; พืชนั้นเข้าไปจับเอา รสแห่งดินและรสแห่งน้ำใดๆ รสแห่งดินและรสแห่งน้ำทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของขม ของเผ็ดร้อน ของไม่อร่อย. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่าพืชนั้นเป็นพืชชั่ว, ฉันใดก็ฉันนั้น. --ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลมี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ….ฯลฯ.... สัมมาญานะ สัมมาวิมุตติ แล้ว, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เขากระทำเต็มที่ตาม ทิฏฐินั้น ใดๆ ก็ดี เจตนา ก็ดี ความปรารถนา ก็ดี ปณิธาน ก็ดี สังขาร ใดๆ ก็ดี ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดของบุคคลนั้น #ย่อมเป็นไปเพื่อความสุข อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นประโยชน์เกื้อกูล. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ทิฏฐินั้นเป็นทิฏฐิดี (ภทฺทิก). http://etipitaka.com/read/pali/24/228/?keywords=ภทฺทิก --ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน พืชพรรณอ้อย พืชพรรณข้าวสาลี พืชพรรณองุ่น (มุทฺทิก) http://etipitaka.com/read/pali/24/228/?keywords=มุทฺทิกพีชํ ที่เขาปลูกลงไปในดินเปียก; พืชนั้นเข้าไปจับเอารสแห่งดินและรสแห่งน้ำใดๆ รสแห่งดินและรสแห่งน้ำ ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นรสน่ายินดี รสหวาน รสชุ่มฉ่ำ. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่าพืชนั้นเป็นพืชดี ฉันใดก็ฉันนั้น.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/182 - 184/104. http://etipitaka.com/read/thai/24/182/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๒๖ - ๒๒๘/๑๐๔. http://etipitaka.com/read/pali/24/226/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%90%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1029 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89&id=1029 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=89 ลำดับสาธยายธรรม : 89 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_89.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - การให้ผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ
    -(ความไม่ประสงค์ (วิราธนา) มีได้เพราะอาศัยมิจฉัตตะ ตรัสไว้โดยนัยตรงกันข้าม ผู้ศึกษาพึงเทียบเคียงได้เอง. คำขยายความที่กว้างขวางออกไป มีอยู่ในข้อความต่อไป จากข้อความตอนนี้). การให้ผลของมิจฉัตตะและสัมมัตตะ ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลมีมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา .... ฯลฯ .... มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ เสียแล้ว, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เขากระทำเต็มที่ตามทิฏฐินั้น ใดๆ ก็ดี เจตนา ก็ดี ความปรารถนา ก็ดี ปณิธาน ก็ดี สังขาร (การปรุงแต่ง) ใดๆ ก็ดี ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดของบุคคลนั้น ย่อม เป็นไปเพื่อความทุกข์อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ไม่เป็นประโยชน์ เกื้อกูล. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ทิฏฐินั้นเป็นทิฏฐิชั่ว (ปาปิก). ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน พรรณไม้สะเดา พรรณไม้ บวบขม พรรณไม้น้ำเต้าขม ที่เขาปลูกลงไปในดินเปียก; พืชนั้นเข้าไปจับเอา รสแห่งดินและรสแห่งน้ำใดๆ รสแห่งดินและรสแห่งน้ำทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของขม ของเผ็ดร้อน ของไม่อร่อย. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่าพืชนั้นเป็นพืชชั่ว, ฉันใดก็ฉันนั้น. ภิกษุ ท. ! เมื่อบุคคลมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา ….ฯลฯ.... สัมมาญานะ สัมมาวิมุตติ แล้ว, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เขากระทำเต็มที่ตามทิฏฐินั้น ใดๆ ก็ดี เจตนา ก็ดี ความปรารถนา ก็ดี ปณิธาน ก็ดี สังขาร ใดๆ ก็ดี ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดของบุคคลนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความสุขอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นประโยชน์เกื้อกูล. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ทิฏฐินั้นเป็นทิฏฐิดี (ภทฺทิก). ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือน พืชพรรณอ้อย พืชพรรณข้าวสาลี พืชพรรณองุ่น (มุทฺทิก) ที่เขาปลูกลงไปในดินเปียก; พืชนั้นเข้าไปจับเอารสแห่งดินและรสแห่งน้ำใดๆ รสแห่ง ดินและรสแห่งน้ำทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นรสน่ายินดี รสหวาน รสชุ่มฉ่ำ. ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ? ข้อนั้นเพราะเหตุว่าพืชนั้นเป็นพืชดี ฉันใดก็ฉันนั้น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ)
    สัทธรรมลำดับที่ : 1019
    ชื่อบทธรรม : -พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --พิธีปลงบาปด้วยลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ
    --พราหมณ์ ! อะไรกันหนอ ท่านจึงสระเกล้าในวัดอุโบสถ
    นุ่งห่ม ผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ กำหญ้ากุสะสด มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ?
    วันนี้เป็นวันอะไรของพวกสกุลพราหมณ์ ?
    --“พระโคดมผู้เจริญ ! วันนี้เป็นวันปัจโจโรหณี (ปลงบาป) ของ พวกสกุลพราหมณ์”
    http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=ปจฺโจโรหณี
    --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างไรกันเล่า ?
    --“พระโคดมผู้เจริญ ! ในกรณีนี้ พราหมณ์ทั้งหลายสระเกล้าในวันอุโบสถ
    นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ ฉาบแผ่นดินด้วยโคมัยสด
    ปูลาดด้วยหญ้ากุสะสด แล้วสำเร็จการ นอนระหว่างกองกูณฑ์และเรือนไฟ
    ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อไฟนั้นสามครั้ง ในราตรีนั้น กล่าวอยู่ว่า
    “ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ”
    ดังนี้
    หล่อเลี้ยงไฟไว้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น อันพอเพียง;
    ล่วงราตรีนั้นแล้ว เลี้ยงดูพราหมณ์ ทั้งหลายให้อิ่มหนำ ด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต.
    --พระโคดมผู้เจริญ ! พิธีปัจโจโรหณี ของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างนี้ แล”.
    --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างหนึ่ง.
    ส่วน พิธีปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น; กล่าวคือ
    --พราหมณ์! อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า
    “วิบากแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ นี้แล เป็น ธรรมลามกทั้งในทิฏฐิธรรม (ขณะนี้)
    และอภิสัมปรายะ (ขณะอื่น)”.
    ครั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ ละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ปลงลงเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ.
    (ในกรณีแห่ง
    มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ
    ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ
    ).

    --พราหมณ์ ! #ปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างนี้ แล.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/252/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย
    --“พระโคดมผู้เจริญ ! ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง
    ในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น.
    ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ มีค่าไม่เข้าถึงส่วนเสี้ยวที่สิบหกของ
    ปัจโจโรหณีในอริยวินัยนี้ ”.-

    [
    --ในสูตรนี้
    ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า
    “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”;
    --ส่วนในสูตรอื่นๆ
    (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90
    http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%97
    ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย
    http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย
    --ในสูตรอื่น
    ทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี
    http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=ปจฺโจโรหณิยา+พฺราหฺมณานํ
    (ทสก. อํ. ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96
    ].

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์

    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/204 - 206/119.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/204/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๑ - ๒๕๓/๑๑๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1019
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88
    ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ) สัทธรรมลำดับที่ : 1019 ชื่อบทธรรม : -พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019 เนื้อความทั้งหมด :- --พิธีปลงบาปด้วยลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ --พราหมณ์ ! อะไรกันหนอ ท่านจึงสระเกล้าในวัดอุโบสถ นุ่งห่ม ผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ กำหญ้ากุสะสด มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ? วันนี้เป็นวันอะไรของพวกสกุลพราหมณ์ ? --“พระโคดมผู้เจริญ ! วันนี้เป็นวันปัจโจโรหณี (ปลงบาป) ของ พวกสกุลพราหมณ์” http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=ปจฺโจโรหณี --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างไรกันเล่า ? --“พระโคดมผู้เจริญ ! ในกรณีนี้ พราหมณ์ทั้งหลายสระเกล้าในวันอุโบสถ นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ ฉาบแผ่นดินด้วยโคมัยสด ปูลาดด้วยหญ้ากุสะสด แล้วสำเร็จการ นอนระหว่างกองกูณฑ์และเรือนไฟ ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อไฟนั้นสามครั้ง ในราตรีนั้น กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ” ดังนี้ หล่อเลี้ยงไฟไว้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น อันพอเพียง; ล่วงราตรีนั้นแล้ว เลี้ยงดูพราหมณ์ ทั้งหลายให้อิ่มหนำ ด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต. --พระโคดมผู้เจริญ ! พิธีปัจโจโรหณี ของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างนี้ แล”. --พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างหนึ่ง. ส่วน พิธีปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น; กล่าวคือ --พราหมณ์! อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า “วิบากแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ นี้แล เป็น ธรรมลามกทั้งในทิฏฐิธรรม (ขณะนี้) และอภิสัมปรายะ (ขณะอื่น)”. ครั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ ละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ปลงลงเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ. (ในกรณีแห่ง มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง $มิจฉาทิฏฐิ ). --พราหมณ์ ! #ปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างนี้ แล. http://etipitaka.com/read/pali/24/252/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย --“พระโคดมผู้เจริญ ! ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น. ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ มีค่าไม่เข้าถึงส่วนเสี้ยวที่สิบหกของ ปัจโจโรหณีในอริยวินัยนี้ ”.- [ --ในสูตรนี้ ตรัสเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “ปัจโจโรหณีในอริยวินัย”; --ส่วนในสูตรอื่นๆ (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๓,๒๖๙/๑๒๐ ,๑๕๗) http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%90 http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%97 ตรัสเรียกว่า “ปัจโจโรหณีอันเป็นอริยะ” ก็มี. http://etipitaka.com/read/pali/24/253/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย http://etipitaka.com/read/pali/24/269/?keywords=ปจฺโจโรหณี+อริย --ในสูตรอื่น ทรงยกเอากุศลกรรมบถสิบ มาเป็นธรรมเครื่องปลงบาปแทนสัมมัตตะสิบ ก็มี http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=ปจฺโจโรหณิยา+พฺราหฺมณานํ (ทสก. อํ. ๒๔/๒๖๗ - ๒๖๙/๑๕๖) http://etipitaka.com/read/pali/24/267/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%96 ]. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/204 - 206/119. http://etipitaka.com/read/thai/24/204/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๑ - ๒๕๓/๑๑๙. http://etipitaka.com/read/pali/24/251/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%99 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1019 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88&id=1019 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=88 ลำดับสาธยายธรรม : 88 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_88.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - พิธีปลงบาปด้วยสัมมัตตปฏิปทา(ลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ)
    -พิธีปลงบาปด้วยลักษณะแห่งมิจฉาทิฎฐิ พราหมณ์ ! อะไรกันหนอ ท่านจึงสระเกล้าในวัดอุโบสถ นุ่งห่ม ผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ กำหญ้ากุสะสด มายืนอยู่ ณ ที่นี้ ? วันนี้เป็นวันอะไรของพวกสกุลพราหมณ์ ? “พระโคดมผู้เจริญ ! วันนี้เป็นวันปัจโจโรหณี (ปลงบาป) ของ พวกสกุลพราหมณ์” พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างไรกันเล่า ? “พระโคดมผู้เจริญ ! ในกรณีนี้ พราหมณ์ทั้งหลายสระเกล้าในวันอุโบสถ นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์คู่ใหม่ ฉาบแผ่นดินด้วยโคมัยสด ปูลาดด้วยหญ้ากุสะสด แล้วสำเร็จการ นอนระหว่างกองกูณฑ์และเรือนไฟ ลุกขึ้นประคองอัญชลีต่อไฟนั้นสามครั้ง ในราตรีนั้น กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าปลงบาปกะท่านผู้เจริญ” ดังนี้ หล่อเลี้ยงไฟไว้ด้วยเนยใส น้ำมัน เนยข้น อันพอเพียง; ล่วงราตรีนั้นแล้ว เลี้ยงดูพราหมณ์ ทั้งหลายให้อิ่มหนำ ด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต. พระโคดมผู้เจริญ ! พิธีปัจโจโรหณี ของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างนี้ แล”. พราหมณ์ ! พิธีปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ เป็นอย่างหนึ่ง. ส่วน พิธีปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น; กล่าวคือ พราหมณ์! อริยสาวกในกรณีนี้ พิจารณาเห็นโดยประจักษ์ว่า “วิบากแห่งมิจฉาทิฏฐินี้แล เป็น ธรรมลามกทั้งในทิฏฐิธรรม (ขณะนี้) และอภิสัมปรายะ (ขณะอื่น)”. ครั้น พิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ก็ ละเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ ปลงลงเสียซึ่งมิจฉาทิฏฐิ. (ในกรณีแห่งมิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ ก็ได้ตรัสไว้ด้วยข้อความอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่ง มิจฉาทิฏฐิ). พราหมณ์ ! ปัจโจโรหณีในอริยวินัย เป็นอย่างนี้ แล. “พระโคดมผู้เจริญ ! ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์เป็นอย่างหนึ่ง ในอริยวินัย เป็นอย่างอื่น. ปัจโจโรหณีของพวกพราหมณ์ มีค่าไม่เข้าถึงส่วนเสี้ยวที่สิบหกของ ปัจโจโรหณีในอริยวินัยนี้ ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​การเปรียบเทียบนาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์ทุกขมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 1018
    ชื่อบทธรรม :- นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์แห่งมรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1018
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์แห่งมรรค

    ก. นาบาป
    --ภิกษุ ท. ! พืชที่หว่านลงในนาที่ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง
    http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=เขตฺเต+พีชํ
    ย่อม ไม่ให้ผลมาก ไม่ให้ความพอใจมาก ไม่ให้กำไรมาก.
    ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง อย่างไรเล่า ?
    แปดอย่าง คือ นาในกรณีนี้
    ๑. พื้นที่ลุ่มๆ ดอนๆ
    ๒. เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด ๓. ดินเค็ม ๔.ไถให้ลึกไม่ได้
    ๕. ไม่มีทางน้ำเข้า ๖. ไม่มีทางน้ำออก ๗.ไม่มีเหมือง
    ๘.ไม่มีหัวคันนา,
    นี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น เหมือนกัน
    : ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างเหล่านี้
    http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=อฏฺฐงฺคสมนฺนาคเต
    เป็นทานไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก.
    ที่ว่าประกอบด้วยองค์แปดอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    แปดอย่าง คือ สมณพราหมณ์ในกรณีนี้ เป็นผู้
    ๑.มีมิจฉาทิฏฐิ ๒.มีมิจฉาสังกัปปะ
    ๓.มีมิจฉาวาจา ๔.มีมิจฉากัมมันตะ ๕.มีมิจฉาอาชีวะ
    ๖.มีมิจฉาวายามะ ๗.มีมิจฉาสติ ๘.มีมิจฉาสมาธิ.
    --ภิกษุ ท. ! ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างอย่างนี้
    เป็นทาน ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก.

    ข. นาบุญ
    --ภิกษุ ท. ! พืชที่หว่านลงในนาที่ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง
    http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=เขตฺเต+พีชํ
    ย่อม ให้ผลมาก ให้ความพอใจมาก ให้กำไรมาก.
    ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง อย่างไรเล่า ?
    แปดอย่าง คือ นาในกรณีนี้
    ๑. พื้นที่ลุ่มๆ ดอนๆ
    ๒.ไม่เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด ๓. ดินไม่เค็ม ๔. ไถให้ลึกได้
    ๕. มีทางน้ำเข้า ๖. มีทางน้ำออก ๗. มีเหมือง
    ๘. มีหัวคันนา,
    นี้ฉันใด ;
    --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉัน นั้นเหมือนกัน
    : ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างเหล่านี้
    http://etipitaka.com/read/pali/23/242/?keywords=อฏฺฐงฺคสมนฺนาคเต
    เป็นทานมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก.
    ที่ว่าประกอบด้วยองค์แปดอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
    แปดอย่าง คือ สมณพราหมณ์ใน กรณีนี้ เป็นผู้
    ๑.มีสัมมาทิฏฐิ ๒.มีสัมมาสังกัปปะ
    ๓.มีสัมมาวาจา ๔.มีสัมมากัมมันตะ ๕.มีสัมมาอาชีวะ
    ๖.มีสัมมาวายามะ ๗.มีสัมมาสติ ๘.มีสัมมาสมาธิ.
    --ภิกษุ ท. ! ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างอย่างนี้
    เป็นทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก
    แล.-
    -----คาถาอธิบายเพิ่มท้ายสูตร
    พืชอันหว่านลงในนาที่สมบูรณ์
    เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล
    ธัญชาติย่อมงอกงาม ไม่มีศัตรูพืช
    ย่อมแตกงอกงาม ถึงความไพบูลย์ให้ผลเต็มที่ ฉันใด
    โภชนะที่บุคคลถวายใน
    สมณพราหมณ์ผู้มีศีลสมบูรณ์ ก็ฉันนั้น
    ย่อมนำมาซึ่งกุศลอันสมบูรณ์
    เพราะกรรมที่เขาทำนั้นสมบูรณ์แล้ว
    เพราะฉะนั้นบุคคลในโลกนี้ผู้หวังกุศลสัมปทา
    จงเป็นผู้มีประโยชน์ถึงพร้อม
    พึงคบหาท่านผู้มีปัญญาสมบูรณ์
    ปุญญสัมปทาย่อมสำเร็จได้อย่างนี้
    ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ได้จิตสัมปทาแล้ว
    กระทำกรรมให้บริบูรณ์ ย่อมได้ผลบริบูรณ์
    รู้โลกนี้ตามเป็นจริงแล้ว พึงถึงทิฐิสัมปทา
    อาศัยมรรคสัมปทา มีจิตบริบูรณ์ ย่อมบรรลุอรหัต
    เพราะกำจัดมลทินทั้งปวงได้แล้ว บรรลุนิพพานสัมปทาได้แล้ว
    ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น
    จัดเป็นสรรพสัมปทา ฯ

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อฏฺฐก. อํ. 23/184/124.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/184/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%94
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๒๔๑/๑๒๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%94
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1018
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1018
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87
    ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​การเปรียบเทียบนาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์ทุกขมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 1018 ชื่อบทธรรม :- นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์แห่งมรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1018 เนื้อความทั้งหมด :- --นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์แห่งมรรค ก. นาบาป --ภิกษุ ท. ! พืชที่หว่านลงในนาที่ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=เขตฺเต+พีชํ ย่อม ไม่ให้ผลมาก ไม่ให้ความพอใจมาก ไม่ให้กำไรมาก. ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง อย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ นาในกรณีนี้ ๑. พื้นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ๒. เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด ๓. ดินเค็ม ๔.ไถให้ลึกไม่ได้ ๕. ไม่มีทางน้ำเข้า ๖. ไม่มีทางน้ำออก ๗.ไม่มีเหมือง ๘.ไม่มีหัวคันนา, นี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น เหมือนกัน : ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างเหล่านี้ http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=อฏฺฐงฺคสมนฺนาคเต เป็นทานไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก. ที่ว่าประกอบด้วยองค์แปดอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ สมณพราหมณ์ในกรณีนี้ เป็นผู้ ๑.มีมิจฉาทิฏฐิ ๒.มีมิจฉาสังกัปปะ ๓.มีมิจฉาวาจา ๔.มีมิจฉากัมมันตะ ๕.มีมิจฉาอาชีวะ ๖.มีมิจฉาวายามะ ๗.มีมิจฉาสติ ๘.มีมิจฉาสมาธิ. --ภิกษุ ท. ! ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างอย่างนี้ เป็นทาน ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก. ข. นาบุญ --ภิกษุ ท. ! พืชที่หว่านลงในนาที่ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=เขตฺเต+พีชํ ย่อม ให้ผลมาก ให้ความพอใจมาก ให้กำไรมาก. ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง อย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ นาในกรณีนี้ ๑. พื้นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ๒.ไม่เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด ๓. ดินไม่เค็ม ๔. ไถให้ลึกได้ ๕. มีทางน้ำเข้า ๖. มีทางน้ำออก ๗. มีเหมือง ๘. มีหัวคันนา, นี้ฉันใด ; --ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉัน นั้นเหมือนกัน : ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างเหล่านี้ http://etipitaka.com/read/pali/23/242/?keywords=อฏฺฐงฺคสมนฺนาคเต เป็นทานมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก. ที่ว่าประกอบด้วยองค์แปดอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ สมณพราหมณ์ใน กรณีนี้ เป็นผู้ ๑.มีสัมมาทิฏฐิ ๒.มีสัมมาสังกัปปะ ๓.มีสัมมาวาจา ๔.มีสัมมากัมมันตะ ๕.มีสัมมาอาชีวะ ๖.มีสัมมาวายามะ ๗.มีสัมมาสติ ๘.มีสัมมาสมาธิ. --ภิกษุ ท. ! ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างอย่างนี้ เป็นทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก แล.- -----คาถาอธิบายเพิ่มท้ายสูตร พืชอันหว่านลงในนาที่สมบูรณ์ เมื่อฝนตกต้องตามฤดูกาล ธัญชาติย่อมงอกงาม ไม่มีศัตรูพืช ย่อมแตกงอกงาม ถึงความไพบูลย์ให้ผลเต็มที่ ฉันใด โภชนะที่บุคคลถวายใน สมณพราหมณ์ผู้มีศีลสมบูรณ์ ก็ฉันนั้น ย่อมนำมาซึ่งกุศลอันสมบูรณ์ เพราะกรรมที่เขาทำนั้นสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้นบุคคลในโลกนี้ผู้หวังกุศลสัมปทา จงเป็นผู้มีประโยชน์ถึงพร้อม พึงคบหาท่านผู้มีปัญญาสมบูรณ์ ปุญญสัมปทาย่อมสำเร็จได้อย่างนี้ ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ได้จิตสัมปทาแล้ว กระทำกรรมให้บริบูรณ์ ย่อมได้ผลบริบูรณ์ รู้โลกนี้ตามเป็นจริงแล้ว พึงถึงทิฐิสัมปทา อาศัยมรรคสัมปทา มีจิตบริบูรณ์ ย่อมบรรลุอรหัต เพราะกำจัดมลทินทั้งปวงได้แล้ว บรรลุนิพพานสัมปทาได้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงนั้น จัดเป็นสรรพสัมปทา ฯ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - อฏฺฐก. อํ. 23/184/124. http://etipitaka.com/read/thai/23/184/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%94 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - อฏฺฐก. อํ. ๒๓/๒๔๑/๑๒๔. http://etipitaka.com/read/pali/23/241/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%94 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1018 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1018 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87 ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์แห่งมรรค
    -นาบุญหรือนาบาป เนื่องอยู่กับองค์แห่งมรรค ก. นาบาป ภิกษุ ท. ! พืชที่หว่านลงในนาที่ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง ย่อม ไม่ให้ผลมาก ไม่ให้ความพอใจมาก ไม่ให้กำไรมาก. ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง อย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ นาในกรณีนี้ พื้นที่ลุ่มๆ ดอนๆ เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด ดินเค็ม ไถให้ลึกไม่ได้ ไม่มีทางน้ำเข้า ไม่มีทางน้ำออก ไม่มีเหมือง ไม่มีหัวคันนา, นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉันนั้น เหมือนกัน : ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างเหล่านี้ เป็นทานไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก. ที่ว่าประกอบด้วยองค์แปดอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ สมณพราหมณ์ในกรณีนี้ เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ มีมิจฉาสังกัปปะ มีมิจฉาวาจา มีมิจฉา กัมมันตะ มีมิจฉาอาชีวะ มีมิจฉาวายามะ มีมิจฉาสติ มีมิจฉาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างอย่างนี้ เป็นทาน ไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ไม่มีความรุ่งเรืองมาก ไม่แผ่ไพศาลมาก. ข. นาบุญ ภิกษุ ท. ! พืชที่หว่านลงในนาที่ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง ย่อม ให้ผลมาก ให้ความพอใจมาก ให้กำไรมาก. ประกอบด้วยลักษณะ ๘ อย่าง อย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ นาในกรณีนี้ พื้นที่ลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวด ดินไม่เค็ม ไถให้ลึกได้ มีทางน้ำเข้า มีทางน้ำออก มีเหมือง มีหัวคันนา, นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! ข้อนี้ก็ฉัน นั้นเหมือนกัน : ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างเหล่านี้ เป็นทานมี ผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก. ที่ว่าประกอบด้วยองค์แปดอย่างนั้น เป็นอย่างไรเล่า ? แปดอย่าง คือ สมณพราหมณ์ใน กรณีนี้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาสังกัปปะ มีสัมมาวาจา มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! ทานที่บุคคลให้ในสมณพราหมณ์ที่ประกอบด้วยองค์แปดอย่างอย่างนี้ เป็นทานมีผลมาก มีอานิสงส์มาก มีความรุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ภาวะแห่งความเป็น ผิด(มิจฉัตตะสิบ)​-ถูก(สัมมัตตะสิบ)​
    สัทธรรมลำดับที่ : 1014
    ชื่อบทธรรม :- ภาวะแห่งความเป็นผิด - ถูก
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1014
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ภาวะแห่งความเป็นผิด - ถูก
    --ภิกษุ ท. ! มิจฉัตตะ (ภาวะแห่งความเป็นผิด) ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่.
    สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ
    มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ
    มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ.
    +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล #มิจฉัตตะสิบ.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=มิจฺฉตฺต

    --ภิกษุ ท. ! สัมมัตตะ (ภาวะแห่งความเป็นถูก) ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่.
    สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ.
    +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล #สัมมัตตะสิบ.-
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=สมฺมตฺต

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/211/132 – 133.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/211/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๗/๑๓๒ – ๑๓๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1014
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1014
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87
    ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ภาวะแห่งความเป็น ผิด(มิจฉัตตะสิบ)​-ถูก(สัมมัตตะสิบ)​ สัทธรรมลำดับที่ : 1014 ชื่อบทธรรม :- ภาวะแห่งความเป็นผิด - ถูก https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1014 เนื้อความทั้งหมด :- --ภาวะแห่งความเป็นผิด - ถูก --ภิกษุ ท. ! มิจฉัตตะ (ภาวะแห่งความเป็นผิด) ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่. สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ. +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล #มิจฉัตตะสิบ. http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=มิจฺฉตฺต --ภิกษุ ท. ! สัมมัตตะ (ภาวะแห่งความเป็นถูก) ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่. สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ. +--ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล #สัมมัตตะสิบ.- http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=สมฺมตฺต #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/211/132 – 133. http://etipitaka.com/read/thai/24/211/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๗/๑๓๒ – ๑๓๓. http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1014 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1014 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87 ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ภาวะแห่งความเป็นผิด - ถูก
    -[ภาวะแห่งความผิดและภาวะแห่งความถูก ฝ่ายละแปดประการนี้ ในที่อื่นเรียกว่า อกุศลธรรมและกุศลธรรม ก็มี ( ๑๙/๒๒/๖๒ – ๖๔) ; ในที่อื่นเรียกว่า มิจฉาปฏิปทาและสัมมาปฏิปทา ก็มี (๑๙/๒๒-๒๓/๖๕-๖๗) ; และในที่อื่นอีกเรียกว่า มิจฉาปฏิปัตติและสัมมาปฏิปัตติ ก็มี (๑๙/๒๘/๘๙-๙๑). สำหรับสิ่งที่เรียกว่า มิจฉัตตะและสัมมัตตะ ในที่นี้นั้น แสดงไว้ด้วยองค์แปด; ในที่อื่นแสดงไว้ด้วยองค์สิบ ก็มี คือเพิ่ม มิจฉาญาณะ – รู้ผิด มิจฉาวิมุตติ – หลุดพ้นผิด เข้ากับมิจฉัตตะแปด เป็นมิจฉัตตะสิบ ก็มี (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๗/๑๓๒), และเพิ่มสัมมาญาณะ รู้ถูก สัมมาวิมุตติ – หลุดพ้นถูก เข้ากับสัมมัตตะแปด เป็นสัมมัตตะสิบ ก็มี (ทสก. อํ. ๒๔/ ๒๕๗/๑๓๓), ดังมีข้อความตรัสไว้ดังหัวข้อข้างล่างนี้ :-]. ภาวะแห่งความเป็นผิด - ถูก ภิกษุ ท. ! มิจฉัตตะ (ภาวะแห่งความเป็นผิด) ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่. สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล มิจฉัตตะสิบ. ภิกษุ ท. ! สัมมัตตะ (ภาวะแห่งความเป็นถูก) ๑๐ ประการเหล่านี้ มีอยู่. สิบประการอย่างไรเล่า ? สิบประการคือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล สัมมัตตะสิบ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ภาวะแห่งความผิด และ ภาวะแห่งความถูก
    สัทธรรมลำดับที่ : 1013
    ชื่อบทธรรม :- ภาวะแห่งความถูก – ผิด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1013
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ภาวะแห่งความถูก – ผิด
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ภาวะแห่งความไม่ถูกต้อง(ผิด-มิจฺฉตฺต) และ
    ภาวะแห่งความถูกต้อง (สมฺมตฺต). พวกเธอจงฟัง.
    --ภิกษุ ท. ! ภาวะแห่งความผิด เป็นอย่างไรเล่า ? ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
    มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ภาวะแห่งความไม่ถูกต้อง(​ผิด)​.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=มิจฺฉตฺ

    --ภิกษุ ท. ! ภาวะแห่งความถูก เป็นอย่างไรเล่า ? ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ภาวะแห่งความถูกต้อง.-
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=สมฺมตฺต

    [ภาวะแห่งความไม่ถูกต้อง(​ผิด)และภาวะแห่งความถูก ฝ่ายละแปดประการนี้
    ในที่อื่นเรียกว่า อกุศลธรรมและกุศลธรรม ก็มี
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒/๖๒ – ๖๔) ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92
    ในที่อื่นเรียกว่า มิจฉาปฏิปทาและสัมมาปฏิปทา ก็มี
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒-๒๓/๖๕-๖๗) ;
    http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%95
    และในที่อื่นอีกเรียกว่า มิจฉาปฏิปัตติและสัมมาปฏิปัตติ ก็มี
    (มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๘/๘๙-๙๑).
    http://etipitaka.com/read/pali/19/28/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%99
    สำหรับสิ่งที่เรียกว่า มิจฉัตตะและสัมมัตตะ ในที่นี้นั้น แสดงไว้ด้วยองค์แปด;
    ในที่อื่นแสดงไว้ด้วยองค์สิบ ก็มี
    คือเพิ่ม มิจฉาญาณะ(รู้ผิด)​ มิจฉาวิมุตติ(หลุดพ้นผิด)​
    เข้ากับมิจฉัตตะแปด เป็นมิจฉัตตะสิบ ก็มี
    (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๗/๑๓๒),
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%92
    และเพิ่มสัมมาญาณะ(รู้ถูก)​ สัมมาวิมุตติ(หลุดพ้นถูก)​
    เข้ากับสัมมัตตะแปด เป็นสัมมัตตะสิบ ก็มี
    (ทสก. อํ. ๒๔/ ๒๕๗/๑๓๓),
    http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%93

    ดังมีข้อความตรัสไว้ดังหัวข้อสัทธรรมที่​ 1014 ต่อไป :-
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1014
    ].

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/17/59 - 61.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/17/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒/๕๙ - ๖๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%99
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1013
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1013
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87
    ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ภาวะแห่งความผิด และ ภาวะแห่งความถูก สัทธรรมลำดับที่ : 1013 ชื่อบทธรรม :- ภาวะแห่งความถูก – ผิด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1013 เนื้อความทั้งหมด :- --ภาวะแห่งความถูก – ผิด --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ภาวะแห่งความไม่ถูกต้อง(ผิด-มิจฺฉตฺต) และ ภาวะแห่งความถูกต้อง (สมฺมตฺต). พวกเธอจงฟัง. --ภิกษุ ท. ! ภาวะแห่งความผิด เป็นอย่างไรเล่า ? ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ภาวะแห่งความไม่ถูกต้อง(​ผิด)​. http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=มิจฺฉตฺ --ภิกษุ ท. ! ภาวะแห่งความถูก เป็นอย่างไรเล่า ? ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า #ภาวะแห่งความถูกต้อง.- http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=สมฺมตฺต [ภาวะแห่งความไม่ถูกต้อง(​ผิด)และภาวะแห่งความถูก ฝ่ายละแปดประการนี้ ในที่อื่นเรียกว่า อกุศลธรรมและกุศลธรรม ก็มี (มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒/๖๒ – ๖๔) ; http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%92 ในที่อื่นเรียกว่า มิจฉาปฏิปทาและสัมมาปฏิปทา ก็มี (มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒-๒๓/๖๕-๖๗) ; http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%95 และในที่อื่นอีกเรียกว่า มิจฉาปฏิปัตติและสัมมาปฏิปัตติ ก็มี (มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๘/๘๙-๙๑). http://etipitaka.com/read/pali/19/28/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%99 สำหรับสิ่งที่เรียกว่า มิจฉัตตะและสัมมัตตะ ในที่นี้นั้น แสดงไว้ด้วยองค์แปด; ในที่อื่นแสดงไว้ด้วยองค์สิบ ก็มี คือเพิ่ม มิจฉาญาณะ(รู้ผิด)​ มิจฉาวิมุตติ(หลุดพ้นผิด)​ เข้ากับมิจฉัตตะแปด เป็นมิจฉัตตะสิบ ก็มี (ทสก. อํ. ๒๔/๒๕๗/๑๓๒), http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%92 และเพิ่มสัมมาญาณะ(รู้ถูก)​ สัมมาวิมุตติ(หลุดพ้นถูก)​ เข้ากับสัมมัตตะแปด เป็นสัมมัตตะสิบ ก็มี (ทสก. อํ. ๒๔/ ๒๕๗/๑๓๓), http://etipitaka.com/read/pali/24/257/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%93 ดังมีข้อความตรัสไว้ดังหัวข้อสัทธรรมที่​ 1014 ต่อไป :- https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1014 ]. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/17/59 - 61. http://etipitaka.com/read/thai/19/17/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒/๕๙ - ๖๑. http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%99 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1013 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87&id=1013 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=87 ลำดับสาธยายธรรม : 87 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_87.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ภาวะแห่งความถูก – ผิด
    -ภาวะแห่งความถูก – ผิด ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ภาวะแห่งความผิด (มิจฺฉตฺต) และ ภาวะแห่งความถูก (สมฺมตฺต). พวกเธอจงฟัง. ภิกษุ ท. ! ภาวะแห่งความผิด เป็นอย่างไรเล่า ? ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ภาวะแห่งความผิด. ภิกษุ ท. ! ภาวะแห่งความถูก เป็นอย่างไรเล่า ? ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เรากล่าวว่า ภาวะแห่งความถูก.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​องค์แห่งมรรคใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ-อสัตตบุรุษ
    สัทธรรมลำดับที่ : 991
    ชื่อบทธรรม : -องค์แห่งมรรค ใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ - อสัตตบุรุษ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=991
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --องค์แห่งมรรค ใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ - อสัตตบุรุษ
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ซึ่งอสัตบุรุษและอสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ;
    จักแสดง ซึ่งสัตบุรุษและสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ.
    ....
    --ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มี
    มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #อสัตบุรุษ.
    --ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ตนเองเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วย
    .... (โดยนัยนี้เรื่อยไปจนถึง) ....
    ตนเองเป็นผู้มีมิจฉาสมาธิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มีมิจฉาสมาธิด้วย
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #อสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/302/?keywords=อสปฺปุริเสน

    --ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มี
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #สัตบุรุษ.
    --ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้
    ตนเองเป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มี สัมมาทิฏฐิด้วย
    .... (โดยนัยนี้เรื่อยไปจนถึง) ...
    ตนเองเป็นผู้มี สัมมาสมาธิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มี สัมมาสมาธิด้วย
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #สัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ.-
    http://etipitaka.com/read/pali/21/303/?keywords=สปฺปุริเสน

    (ในสูตรอื่น ขยายองค์ประกอบที่ทำบุคคลให้เป็น
    สัตบุรุษและอสัตบุรุษมากออกไป
    จากองค์แปดแห่งสัมมามรรคหรือมิจฉามรรค
    ออกไปเป็นสัมมัตตะสิบหรือมิจฉัตตะสิบ
    โดยเนื้อความที่มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันจนครบทั้งสี่จำพวก ดังนี้ก็มี.
    ---๒๑/๓๐๓/๒๐๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/303/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%96
    ในสูตรอื่น
    แทนที่จะทรงจำแนกบุคคลเป็นอสัตบุรุษและสัตบุรุษ
    แต่ได้ทรงจำแนกบุคคลเป็นบาปชนและกัลยาณชน จัดเป็นคู่หนึ่ง ก็มี
    ---๒๑/๓๐๔ - ๓๐๕/๒๐๗ - ๒๐๘,
    http://etipitaka.com/read/pali/21/304/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97
    และทรงจำแนกเป็นชนผู้มีบาปธรรมและชนผู้มีกัลยาณธรรม เป็นอีกคู่หนึ่ง ก็มี
    -​-- ๒๑/๓๐๖ -๓๐๗/๒๐๙ – ๒๑๐ ;
    http://etipitaka.com/read/pali/21/306/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%99
    ทั้งนี้เป็นไปโดยหลักเกณฑ์อันเดียวกันกับที่ทรงจำแนก
    อสัตบุรุษและสัตบุรุษจนครบทั้งสี่จำพวกเช่นเดียวกันอีก.
    ในสูตรอื่น
    แทนที่จะใช้องค์แปดแห่งมรรถหรือสัมมัตตะสิบหรือมัจฉัตตะสิบ
    เป็นเครื่องจำแนกบุคคลให้เป็นคู่ตรงกันข้ามกันเช่นข้างบนนี้
    แต่ได้ทรงใช้หลักแห่งกุศลกรรมบถสิบ อกุศลกรรมบถสิบ เป็นต้น
    เป็นเครื่องจำแนก จนครบทั้งสี่จำพวก โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันก็มี
    -​-๒๑/๒๙๗ - ๓๐๑/๒๐๑- ๒๐๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/297/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%91
    )

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/209/205.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/209/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๐๒/๒๐๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/302/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=623
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=991
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85
    ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​องค์แห่งมรรคใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ-อสัตตบุรุษ สัทธรรมลำดับที่ : 991 ชื่อบทธรรม : -องค์แห่งมรรค ใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ - อสัตตบุรุษ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=991 เนื้อความทั้งหมด :- --องค์แห่งมรรค ใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ - อสัตตบุรุษ --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ซึ่งอสัตบุรุษและอสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ; จักแสดง ซึ่งสัตบุรุษและสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ. .... --ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มี มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #อสัตบุรุษ. --ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ตนเองเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วย .... (โดยนัยนี้เรื่อยไปจนถึง) .... ตนเองเป็นผู้มีมิจฉาสมาธิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มีมิจฉาสมาธิด้วย : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #อสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ. http://etipitaka.com/read/pali/21/302/?keywords=อสปฺปุริเสน --ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #สัตบุรุษ. --ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ตนเองเป็นผู้มี สัมมาทิฏฐิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มี สัมมาทิฏฐิด้วย .... (โดยนัยนี้เรื่อยไปจนถึง) ... ตนเองเป็นผู้มี สัมมาสมาธิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มี สัมมาสมาธิด้วย : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า #สัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ.- http://etipitaka.com/read/pali/21/303/?keywords=สปฺปุริเสน (ในสูตรอื่น ขยายองค์ประกอบที่ทำบุคคลให้เป็น สัตบุรุษและอสัตบุรุษมากออกไป จากองค์แปดแห่งสัมมามรรคหรือมิจฉามรรค ออกไปเป็นสัมมัตตะสิบหรือมิจฉัตตะสิบ โดยเนื้อความที่มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันจนครบทั้งสี่จำพวก ดังนี้ก็มี. ---๒๑/๓๐๓/๒๐๖. http://etipitaka.com/read/pali/21/303/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%96 ในสูตรอื่น แทนที่จะทรงจำแนกบุคคลเป็นอสัตบุรุษและสัตบุรุษ แต่ได้ทรงจำแนกบุคคลเป็นบาปชนและกัลยาณชน จัดเป็นคู่หนึ่ง ก็มี ---๒๑/๓๐๔ - ๓๐๕/๒๐๗ - ๒๐๘, http://etipitaka.com/read/pali/21/304/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%97 และทรงจำแนกเป็นชนผู้มีบาปธรรมและชนผู้มีกัลยาณธรรม เป็นอีกคู่หนึ่ง ก็มี -​-- ๒๑/๓๐๖ -๓๐๗/๒๐๙ – ๒๑๐ ; http://etipitaka.com/read/pali/21/306/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%99 ทั้งนี้เป็นไปโดยหลักเกณฑ์อันเดียวกันกับที่ทรงจำแนก อสัตบุรุษและสัตบุรุษจนครบทั้งสี่จำพวกเช่นเดียวกันอีก. ในสูตรอื่น แทนที่จะใช้องค์แปดแห่งมรรถหรือสัมมัตตะสิบหรือมัจฉัตตะสิบ เป็นเครื่องจำแนกบุคคลให้เป็นคู่ตรงกันข้ามกันเช่นข้างบนนี้ แต่ได้ทรงใช้หลักแห่งกุศลกรรมบถสิบ อกุศลกรรมบถสิบ เป็นต้น เป็นเครื่องจำแนก จนครบทั้งสี่จำพวก โดยหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันก็มี -​-๒๑/๒๙๗ - ๓๐๑/๒๐๑- ๒๐๔. http://etipitaka.com/read/pali/21/297/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%91 ) #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/209/205. http://etipitaka.com/read/thai/21/209/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๐๒/๒๐๕. http://etipitaka.com/read/pali/21/302/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%90%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=623 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85&id=991 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=85 ลำดับสาธยายธรรม : 85 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_85.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - องค์แห่งมรรค ใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ - อสัตตบุรุษ
    -องค์แห่งมรรค ใช้เป็นหลักจำแนกความเป็นสัตบุรุษ - อสัตตบุรุษ ภิกษุ ท. ! เราจักแสดง ซึ่งอสัตบุรุษและอสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ; จักแสดง ซึ่งสัตบุรุษและสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ. .... ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มี มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อสัตบุรุษ. ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษที่ยิ่งกว่าอสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ตนเองเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้เป็นมิจฉาทิฏฐิด้วย .... (โดยนัยนี้เรื่อยไปจนถึง) .... ตนเองเป็นผู้มีมิจฉาสมาธิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มีมิจฉาสมาธิด้วย : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อสัตบุรุษที่ยิ่งกว่า อสัตบุรุษ. ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า สัตบุรุษ. ภิกษุ ท. ! สัตบุรุษที่ยิ่งกว่าสัตบุรุษ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ตนเองเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มีสัมมาทิฏฐิด้วย .... (โดยนัยนี้เรื่อยไปจนถึง) ... ตนเองเป็นผู้มีสัมมาสมาธิด้วย ชักชวนผู้อื่นให้มีสัมมาสมาธิด้วย : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า สัตบุรุษที่ยิ่งกว่า สัตบุรุษ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ใน ธรรม - อธรรม - อรรถ - อนรรถ ที่ควรทราบ
    สัทธรรมลำดับที่ : 979
    ชื่อบทธรรม :- ธรรม-อธรรม-อรรถ-อนรรถ ที่ควรทราบ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=979
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ธรรม(ความเป็นจริงแท้)​-อธรรม(ควา​มไม่จริงแท้)​
    --อรรถ(ความเป็นประโยชน์)​-อนรรถ(ความไม่เป็นประโยชน์)​ ที่ควรทราบ
    --ภิกษุ ท. !
    อธรรม เป็นสิ่งที่ควรทราบ, อนรรถ ก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ.
    ธรรม เป็นสิ่งที่ควรทราบ, อรรถ ก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ.
    รู้แจ้งทั้งอธรรมและอนรรถ, รู้แจ้งทั้งธรรมและอรรถแล้ว
    บุคคลพึงปฏิบัติ ตามที่เป็นธรรม, ตามที่เป็นอรรถ.
    --ภิกษุ ท. ! อะไรเป็น อธรรม และเป็น อนรรถ ?
    มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ
    มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อธรรม เรียกว่า อนรรถ.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=อธมฺโม+อนตฺโถ

    --ภิกษุ ท. ! อะไรเป็น ธรรม อะไรเป็น อรรถ ?
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า ธรรม เรียกว่า อรรถ.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=ธมฺโม+อตฺโถ

    --ภิกษุ ท. ! เราอาศัยเหตุผลดังกล่าวมานี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า
    “ภิกษุ ท. !
    อธรรมเป็นสิ่งที่ควรทราบ, อนรรถก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ.
    ธรรมเป็นสิ่งที่ควรทราบ, อรรถก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ.
    รู้แจ้งทั้งอธรรมและอนรรถ, รู้แจ้งทั้งธรรมและอรรถแล้ว
    บุคคลพึงปฏิบัติ ตามที่เป็นธรรม, ตามที่เป็นอรรถ”
    ดังนี้.-

    (--
    ในสูตรถัดไป (๒๔/๒๓๘/๑๑๔).
    http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%94
    ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า อธรรม ด้วยมิจฉัตตะ,
    ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ด้วยสัมมัตตะ;
    ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า อนรรถ ด้วยบาปอกุศลธรรมต่างๆ ที่เกิดจากมิจฉัตตะแต่ละอย่างๆ เป็นปัจจัย, และ
    ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า อรรถ ด้วยกุศลธรรมต่างๆ ที่เกิดแต่สัมมัตตะแต่ละอย่างๆ เป็นปัจจัย.

    --ในสูตรอื่นอีก (๒๔/๒๗๓/๑๖๐)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/273/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90
    ทรงแสดง อธรรม และ อนรรถ ด้วยอกุศลกัมมบถสิบ และ
    ทรงแสดง ธรรม และ อรรถ ด้วยกุศลกัมมบถสิบ.

    --ในอีกสูตรหนึ่ง (๒๔/๒๘๑/๑๖๒)
    http://etipitaka.com/read/pali/24/281/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%92
    ทรงแสดง อธรรม ด้วยอกุศลกัมมบถ
    แสดง ธรรม ด้วยกุศลกัมมบถ
    แสดง อนรรถ ด้วยวิบากแห่งอกุศลกัมมบถ
    และแสดง อรรถ ด้วยวิบากแห่งกุศลกัมมบถ
    --).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/192/113.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/192/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%93
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๘/๑๑๓.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%93
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=979
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=84&id=979
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=84
    ลำดับสาธยายธรรม : 84 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_84.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ใน ธรรม - อธรรม - อรรถ - อนรรถ ที่ควรทราบ สัทธรรมลำดับที่ : 979 ชื่อบทธรรม :- ธรรม-อธรรม-อรรถ-อนรรถ ที่ควรทราบ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=979 เนื้อความทั้งหมด :- --ธรรม(ความเป็นจริงแท้)​-อธรรม(ควา​มไม่จริงแท้)​ --อรรถ(ความเป็นประโยชน์)​-อนรรถ(ความไม่เป็นประโยชน์)​ ที่ควรทราบ --ภิกษุ ท. ! อธรรม เป็นสิ่งที่ควรทราบ, อนรรถ ก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. ธรรม เป็นสิ่งที่ควรทราบ, อรรถ ก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. รู้แจ้งทั้งอธรรมและอนรรถ, รู้แจ้งทั้งธรรมและอรรถแล้ว บุคคลพึงปฏิบัติ ตามที่เป็นธรรม, ตามที่เป็นอรรถ. --ภิกษุ ท. ! อะไรเป็น อธรรม และเป็น อนรรถ ? มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อธรรม เรียกว่า อนรรถ. http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=อธมฺโม+อนตฺโถ --ภิกษุ ท. ! อะไรเป็น ธรรม อะไรเป็น อรรถ ? สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า ธรรม เรียกว่า อรรถ. http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=ธมฺโม+อตฺโถ --ภิกษุ ท. ! เราอาศัยเหตุผลดังกล่าวมานี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า “ภิกษุ ท. ! อธรรมเป็นสิ่งที่ควรทราบ, อนรรถก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. ธรรมเป็นสิ่งที่ควรทราบ, อรรถก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. รู้แจ้งทั้งอธรรมและอนรรถ, รู้แจ้งทั้งธรรมและอรรถแล้ว บุคคลพึงปฏิบัติ ตามที่เป็นธรรม, ตามที่เป็นอรรถ” ดังนี้.- (-- ในสูตรถัดไป (๒๔/๒๓๘/๑๑๔). http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%94 ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า อธรรม ด้วยมิจฉัตตะ, ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า ธรรม ด้วยสัมมัตตะ; ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า อนรรถ ด้วยบาปอกุศลธรรมต่างๆ ที่เกิดจากมิจฉัตตะแต่ละอย่างๆ เป็นปัจจัย, และ ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า อรรถ ด้วยกุศลธรรมต่างๆ ที่เกิดแต่สัมมัตตะแต่ละอย่างๆ เป็นปัจจัย. --ในสูตรอื่นอีก (๒๔/๒๗๓/๑๖๐) http://etipitaka.com/read/pali/24/273/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%90 ทรงแสดง อธรรม และ อนรรถ ด้วยอกุศลกัมมบถสิบ และ ทรงแสดง ธรรม และ อรรถ ด้วยกุศลกัมมบถสิบ. --ในอีกสูตรหนึ่ง (๒๔/๒๘๑/๑๖๒) http://etipitaka.com/read/pali/24/281/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%96%E0%B9%92 ทรงแสดง อธรรม ด้วยอกุศลกัมมบถ แสดง ธรรม ด้วยกุศลกัมมบถ แสดง อนรรถ ด้วยวิบากแห่งอกุศลกัมมบถ และแสดง อรรถ ด้วยวิบากแห่งกุศลกัมมบถ --). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/192/113. http://etipitaka.com/read/thai/24/192/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%93 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๓๘/๑๑๓. http://etipitaka.com/read/pali/24/238/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%91%E0%B9%93 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=979 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=84&id=979 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=84 ลำดับสาธยายธรรม : 84 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_84.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ธรรม - อธรรม - อรรถ - อนรรถ ที่ควรทราบ
    -ธรรม - อธรรม - อรรถ - อนรรถ ที่ควรทราบ ภิกษุ ท. ! อธรรม เป็นสิ่งที่ควรทราบ, อนรรถ ก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. ธรรม เป็นสิ่งที่ควรทราบ, อรรถ ก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. รู้แจ้งทั้งอธรรมและอนรรถ, รู้แจ้งทั้งธรรมและอรรถแล้ว บุคคลพึงปฏิบัติตามที่เป็นธรรมตามที่เป็นอรรถ. ภิกษุ ท. ! อะไรเป็น อธรรม และเป็น อนรรถ ? มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า อธรรม เรียกว่า อนรรถ. ภิกษุ ท. ! อะไรเป็น ธรรม อะไรเป็น อรรถ ? สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า ธรรม เรียกว่า อรรถ. ภิกษุ ท. ! เราอาศัยเหตุผลดังกล่าวมานี้แล้ว เราจึงกล่าวว่า “ภิกษุ ท. ! อธรรมเป็นสิ่งที่ควรทราบ, อนรรถก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. ธรรมเป็นสิ่งที่ควรทราบ, อรรถก็เป็นสิ่งที่ควรทราบ. รู้แจ้งทั้งอธรรมและอนรรถ, รู้แจ้งทั้งธรรมและอรรถแล้ว บุคคลพึงปฏิบัติตามที่เป็นธรรมตามที่เป็นอรรถ” ดังนี้.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ศึกษา​อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 971
    ชื่อบทธรรม :- อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=971
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งอริยมรรคและอนริยมรรค แก่พวกเธอ.
    เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! อนริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ
    ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร
    มุสาวาท ปิสุณวาท ผรุสวาท สัมผัปปลาปวาท
    อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อนริยมรรค.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/299/?keywords=อนริโย
    --ภิกษุ ท. ! อริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า?
    เว้นจากปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร
    เว้นจากมุสาวาท เว้นจากปิสุณวาท เว้นจากผรุสวาท เว้นจากสัมผัปปลาปวาท
    อนภิชฌา อัพยาบาท สัมมาทิฏฐิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อริยมรรค.-
    http://etipitaka.com/read/pali/24/300/?keywords=อริโย

    (กุศลกัมมบถสิบ และ อกุศลกัมมบถสิบ
    ซึ่งเรียกชื่อว่า อริยมรรค และอนริยมรรคในที่นี้,
    ในสูตรอื่นเรียกว่า สุกกมรรค - กัณหมรรค ก็มี
    http://etipitaka.com/read/pali/24/300/?keywords=สุกฺโก
    --- ๒๔/๓๐๐/๑๗๙
    http://etipitaka.com/read/pali/24/300/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%99
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ. 24/252/178
    http://etipitaka.com/read/thai/24/252/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ. ๒๔/๒๙๙/๑๗๘
    http://etipitaka.com/read/pali/24/299/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%98
    ลำดับสาธยายธรรม : 83
    ศึกษา​เพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=971
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=971
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83
    ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    อริยสาวก​พึง​ศึกษา​อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 971 ชื่อบทธรรม :- อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=971 เนื้อความทั้งหมด :- --อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งอริยมรรคและอนริยมรรค แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น. --ภิกษุ ท. ! อนริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณวาท ผรุสวาท สัมผัปปลาปวาท อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ : ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อนริยมรรค. http://etipitaka.com/read/pali/24/299/?keywords=อนริโย --ภิกษุ ท. ! อริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า? เว้นจากปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นจากมุสาวาท เว้นจากปิสุณวาท เว้นจากผรุสวาท เว้นจากสัมผัปปลาปวาท อนภิชฌา อัพยาบาท สัมมาทิฏฐิ : ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อริยมรรค.- http://etipitaka.com/read/pali/24/300/?keywords=อริโย (กุศลกัมมบถสิบ และ อกุศลกัมมบถสิบ ซึ่งเรียกชื่อว่า อริยมรรค และอนริยมรรคในที่นี้, ในสูตรอื่นเรียกว่า สุกกมรรค - กัณหมรรค ก็มี http://etipitaka.com/read/pali/24/300/?keywords=สุกฺโก --- ๒๔/๓๐๐/๑๗๙ http://etipitaka.com/read/pali/24/300/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%99 ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ. 24/252/178 http://etipitaka.com/read/thai/24/252/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก.อํ. ๒๔/๒๙๙/๑๗๘ http://etipitaka.com/read/pali/24/299/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%97%E0%B9%98 ลำดับสาธยายธรรม : 83 ศึกษา​เพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=971 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=971 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83 ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค
    -(กัมมาวรณภาวะ - มีกรรมเป็นเครื่องกั้น หมายถึงวิปฏิสารแห่งจิต เพราะได้ทำกรรมชั่วไว้, กิเลสาวรณภาวะ - มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น หมายถึงกิเลส โดยเฉพาะคือมิจฉาทิฏฐิที่เป็นพื้นฐานแห่งจิต, วิปากาวรณภาวะ - หมายถึง วิบากที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะเข้าใจธรรมได้). อริยมรรค ซึ่งมิใช่อริยอัฏฐังคิกมรรค ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งอริยมรรคและอนริยมรรค แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น. ภิกษุ ท. ! อนริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณวาท ผรุสวาท สัมผัปปลาปวาท อภิชฌาพยาบาท มิจฉาทิฏฐิ : ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อนริยมรรค. ภิกษุ ท. ! อริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า? เว้นจากปาณาติบาต เว้นจากอทินนาทาน เว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร เว้นจากมุสาวาท เว้นจากปิสุณวาท เว้นจากผรุสวาท เว้นจากสัมผัปปลาปวาท อนภิชฌา อัพยาบาท สัมมาทิฏฐิ : ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อริยมรรค.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะและทางไปสู่สัมมัติตตนิยาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 970
    ชื่อบทธรรม :- ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=970
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย.
    เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ?
    (ต่อไปนี้ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า นิพพานคามิมรรค โดยสูตรหลายสูตรเป็นลำดับไป
    http://etipitaka.com/read/pali/18/452/?keywords=นิพฺพานคามิญฺจ
    ในที่นี้จะยกมาเฉพาะชื่อธรรมที่ทรงแสดงเท่านั้น :-​ )
    --กายคตาสติ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สมถะและวิปัสสนา
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สวิตักกสวิจารสมาธิ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สติปัฏฐานสี่
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สัมมัปปธานสี่
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --อิทธิบาทสี่
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --อินทรีย์ห้า
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --พละห้า
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --โพชฌงค์เจ็ด
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --อริยอัฏฐังคิกมรรค
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว.
    --ภิกษุ ท. ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว
    จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! นั้น โคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท.
    พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
    นี้แล #เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/453/?keywords=อนุสาสนีติ
    --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑ - ๔๔๒/๖๗๔ - ๖๘๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/441/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%97%E0%B9%94
    --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐ - ๔๕๓/๗๒๐ - ๗๕๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/450/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92%E0%B9%90

    --ทางโล่งอันแน่นอนไปสู่สัมมัติตตนิยาม
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ
    แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม (บทสรุปอันแน่นอน)
    อันเป็นสัมมัตตะ (ภาวะแห่งความถูกต้อง) ในกุศลธรรมทั้งหลาย.*--๑
    หกประการ อย่างไรเล่า ? หกประการ คือ เป็นผู้ : -
    ๑--ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ (มีกรรมเป็นเครื่องกั้น) ;
    ๒--ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ (มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น);
    ๓--ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ (มีวิบากเป็นเครื่องกั้น);
    ๔--ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ;
    ๕--ไม่ประกอบด้วยฉันทะ ; และ
    ๖--เป็นผู้มีปัญญาทราม(ทุปฺปญฺโญ)​.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ทุปฺปญฺโญ

    *--๑. ภาวะแห่งความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปดประการหรือจะขยายออกไปถึงสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ อีก ๒ ประการ รวมเป็น ๑๐ ประการ ด้วยก็ได้.

    กล่าวโดยย่อว่า ธรรม ๖ ประการแห่งสูตรนี้ เป็นทางโล่งเปิดตรงไปสู่หัวใจอัฎฐังคิกมรรค.
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล
    แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการ
    ฟังสัทธรรมอยู่ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    หกประการอย่างไรเล่า ? หกประการคือ เป็นผู้ :-
    ๑--ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ ;
    ๒--ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ;
    ๓--ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ;
    ๔--ประกอบด้วยศรัทธา;
    ๕--ประกอบด้วยฉันทะ; และ
    ๖--เป็นผู้ที่มีปัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ปญฺญวา
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.-

    (กัมมาวรณภาวะ - มีกรรมเป็นเครื่องกั้น หมายถึง วิปฏิสารแห่งจิต เพราะได้ทำกรรมชั่วไว้,
    กิเลสาวรณภาวะ - มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น หมายถึง กิเลสโดยเฉพาะคือ มิจฉาทิฏฐิที่เป็นพื้นฐานแห่งจิต,
    วิปากาวรณภาวะ - หมายถึง วิบากที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะเข้าใจธรรมได้).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/388/357.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/388/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๖/๓๕๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97
    ศึกษา​เพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=970
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83
    ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะและทางไปสู่สัมมัติตตนิยาม สัทธรรมลำดับที่ : 970 ชื่อบทธรรม :- ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=970 เนื้อความทั้งหมด :- --ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย. เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น. --ภิกษุ ท. ! ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า นิพพานคามิมรรค โดยสูตรหลายสูตรเป็นลำดับไป http://etipitaka.com/read/pali/18/452/?keywords=นิพฺพานคามิญฺจ ในที่นี้จะยกมาเฉพาะชื่อธรรมที่ทรงแสดงเท่านั้น :-​ ) --กายคตาสติ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สมถะและวิปัสสนา : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สวิตักกสวิจารสมาธิ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สติปัฏฐานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สัมมัปปธานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --อิทธิบาทสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --อินทรีย์ห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --พละห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --โพชฌงค์เจ็ด : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --อริยอัฏฐังคิกมรรค : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว. --ภิกษุ ท. ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! นั้น โคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี้แล #เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. http://etipitaka.com/read/pali/18/453/?keywords=อนุสาสนีติ --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑ - ๔๔๒/๖๗๔ - ๖๘๔. http://etipitaka.com/read/pali/18/441/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%97%E0%B9%94 --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐ - ๔๕๓/๗๒๐ - ๗๕๑. http://etipitaka.com/read/pali/18/450/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92%E0%B9%90 --ทางโล่งอันแน่นอนไปสู่สัมมัติตตนิยาม --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม (บทสรุปอันแน่นอน) อันเป็นสัมมัตตะ (ภาวะแห่งความถูกต้อง) ในกุศลธรรมทั้งหลาย.*--๑ หกประการ อย่างไรเล่า ? หกประการ คือ เป็นผู้ : - ๑--ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ (มีกรรมเป็นเครื่องกั้น) ; ๒--ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ (มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น); ๓--ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ (มีวิบากเป็นเครื่องกั้น); ๔--ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ; ๕--ไม่ประกอบด้วยฉันทะ ; และ ๖--เป็นผู้มีปัญญาทราม(ทุปฺปญฺโญ)​. http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ทุปฺปญฺโญ *--๑. ภาวะแห่งความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปดประการหรือจะขยายออกไปถึงสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ อีก ๒ ประการ รวมเป็น ๑๐ ประการ ด้วยก็ได้. กล่าวโดยย่อว่า ธรรม ๖ ประการแห่งสูตรนี้ เป็นทางโล่งเปิดตรงไปสู่หัวใจอัฎฐังคิกมรรค. --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการ ฟังสัทธรรมอยู่ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. หกประการอย่างไรเล่า ? หกประการคือ เป็นผู้ :- ๑--ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ ; ๒--ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ; ๓--ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ; ๔--ประกอบด้วยศรัทธา; ๕--ประกอบด้วยฉันทะ; และ ๖--เป็นผู้ที่มีปัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ปญฺญวา --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.- (กัมมาวรณภาวะ - มีกรรมเป็นเครื่องกั้น หมายถึง วิปฏิสารแห่งจิต เพราะได้ทำกรรมชั่วไว้, กิเลสาวรณภาวะ - มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น หมายถึง กิเลสโดยเฉพาะคือ มิจฉาทิฏฐิที่เป็นพื้นฐานแห่งจิต, วิปากาวรณภาวะ - หมายถึง วิบากที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะเข้าใจธรรมได้). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/388/357. http://etipitaka.com/read/thai/22/388/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๖/๓๕๗. http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97 ศึกษา​เพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=970 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83 ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ
    -(ในพระบาลีข้างบนนี้ ทรงแสดง สัมมัตตะสิบและมิจฉัตตะสิบ ว่าเป็นอริยมรรคและ อนริยมรรค. ในบาลีแห่งอื่นๆ แสดงเป็นคู่ ๆ แปลกออกไปอีก คือในสูตรอื่น ๆ ทรงเรียกชื่อของธรรมหมวดนี้ว่า สุกกมรรค - กัณหมรรค ก็มี, เป็นสาธุธรรม - อสาธุธรรม, อริยมรรค - อนริยมรรค, กุศลธรรม - อกุศลธรรม, ธรรมมีประโยชน์ - ธรรมไม่มีประโยชน์, เป็นธรรม - เป็นอธรรม, ไม่เป็นไปเพื่ออาสวะ - เป็นไปเพื่ออาสวะ, เป็นธรรมไม่มีโทษ - เป็นธรรมมีโทษ, เป็นธรรมไม่แผดเผา - เป็นธรรมแผดเผา, ไม่เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส - เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส, มีสุขเป็นกำไร - มีทุกข์เป็นกำไร, มีสุขเป็นผลตอบแทน - มีทุกข์เป็นผลตอบแทน, เป็นธรรมทำความสงบ - ไม่เป็นธรรมทำความสงบ, เป็นธรรมของสัตบุรุษ ไม่เป็นธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมที่ควรทำให้เกิดขึ้น - ธรรมที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น, ธรรมที่ควรเสพ - ธรรมที่ไม่ควรเสพ, ธรรมที่ควรเจริญ - ธรรมที่ไม่ควรเจริญ, ธรรมที่ควรทำให้มาก - ธรรมที่ไม่ควรทำให้มาก, ธรรมที่ควรระลึกถึง - ธรรมที่ไม่ควรระลึกถึง, ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง - ธรรมที่ไม่ควรทำให้แจ้ง, ดังนี้ก็มี. - ๒๔/๒๕๘ - ๒๖๕/๑๓๔ - ๑๕๔). ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย. เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น. ภิกษุ ท. ! ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า นิพพานคามิมรรค โดยสูตรหลายสูตรเป็นลำดับไป ในที่นี้จะยกมาเฉพาะชื่อธรรมที่ทรงแสดงเท่านั้น :-) กายคตาสติ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สมถะและวิปัสสนา : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สวิตักกสวิจารสมาธิ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สติปัฏฐานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สัมมัปปธานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. อิทธิบาทสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. อินทรีย์ห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. พละห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. โพชฌงค์เจ็ด : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. อริยอัฏฐังคิกมรรค : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว. ภิกษุ ท. ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! นั้น โคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี้แล เป็นวจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑ - ๔๔๒, ๔๕๐ - ๔๕๓/๖๗๔ - ๖๘๔, ๗๒๐ – ๗๕๑. ทางโล่งอันแน่นอนไปสู่สัมมัติตตนิยาม ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม (บทสรุปอันแน่นอน) อันเป็นสัมมัตตะ (ภาวะแห่งความถูกต้อง) ในกุศลธรรมทั้งหลาย.๑ หกประการ อย่างไรเล่า ? หกประการ คือ เป็นผู้ : ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ (มีกรรมเป็นเครื่องกั้น) ; ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ (มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น); ๑. ภาวะแห่งความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปดประการหรือจะขยายออกไปถึงสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ อีก ๒ ประการ รวมเป็น ๑๐ ประการ ด้วยก็ได้. กล่าวโดยย่อว่า ธรรม ๖ ประการแห่งสูตรนี้ เป็นทางโล่งเปิดตรงไปสู่หัวใจอัฎฐังคิกมรรค. ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ (มีวิบากเป็นเครื่องกั้น); ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ; ไม่ประกอบด้วยฉันทะ ; และ เป็นผู้มีปัญญาทราม. ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการ ฟังสัทธรรมอยู่ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. หกประการอย่างไรเล่า ? หกประการคือ เป็นผู้ : ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ ; ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ; ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ; ประกอบด้วยศรัทธา; ประกอบด้วยฉันทะ; และ เป็นผู้ที่มีปัญญา. ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 380 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมัตตะในนามว่าอริยมรรค
    สัทธรรมลำดับที่ : 969
    ชื่อบทธรรม :- สัมมัตตะในนามว่า อริยมรรค
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=969
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สัมมัตตะในนามว่า อริยมรรค
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งธรรมอันป็นอริยมรรค และ
    ธรรมอันเป็น อนริยมรรค แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลายจงฟัง.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/262/?keywords=อริย+อนริโย
    --ภิกษุ ท. ! อนริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ
    (มิจฉาปัญญา)​มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
    (มิจฉาสีลา)​มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    (มิจฉาสมาธิ)​มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ
    มิจฉาญาณะ
    มิจฉาวิมุตติ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #อนริยมรรค.
    --ภิกษุ ท. ! อริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ
    (สัมมาปัญญา)​สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    (สัมมาสีลา)​สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    (สัมมาสมาธิ)​สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
    สัมมาญาณะ
    สัมมาวิมุตติ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #อริยมรรค.-

    (ในพระบาลีข้างบนนี้ ทรงแสดง
    สัมมัตตะสิบและมิจฉัตตะสิบ ว่าเป็นอริยมรรคและ อนริยมรรค.
    ในบาลีแห่งอื่นๆ แสดงเป็นคู่ ๆ แปลกออกไปอีก
    คือในสูตรอื่น ๆ ทรงเรียกชื่อของธรรมหมวดนี้ว่า
    สุกกมรรค - กัณหมรรค ก็มี,
    เป็นสาธุธรรม - อสาธุธรรม,
    อริยมรรค - อนริยมรรค,
    กุศลธรรม - อกุศลธรรม,
    ธรรมมีประโยชน์ - ธรรมไม่มีประโยชน์,
    เป็นธรรม - เป็นอธรรม,
    ไม่เป็นไปเพื่ออาสวะ - เป็นไปเพื่ออาสวะ,
    เป็นธรรมไม่มีโทษ - เป็นธรรมมีโทษ,
    เป็นธรรมไม่แผดเผา - เป็นธรรมแผดเผา,
    ไม่เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส - เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส,
    มีสุขเป็นกำไร - มีทุกข์เป็นกำไร,
    มีสุขเป็นผลตอบแทน - มีทุกข์เป็นผลตอบแทน,
    เป็นธรรมทำความสงบ - ไม่เป็นธรรมทำความสงบ,
    เป็นธรรมของสัตบุรุษ -ไม่เป็นธรรมของสัตบุรุษ,
    ธรรมที่ควรทำให้เกิดขึ้น - ธรรมที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น,
    ธรรมที่ควรเสพ - ธรรมที่ไม่ควรเสพ,
    ธรรมที่ควรเจริญ - ธรรมที่ไม่ควรเจริญ,
    ธรรมที่ควรทำให้มาก - ธรรมที่ไม่ควรทำให้มาก,
    ธรรมที่ควรระลึกถึง - ธรรมที่ไม่ควรระลึกถึง,
    ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง - ธรรมที่ไม่ควรทำให้แจ้ง,
    ดังนี้ก็มี.
    --- ๒๔/๒๕๘ - ๒๖๕/๑๓๔ - ๑๕๔
    http://etipitaka.com/read/pali/24/258/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%94 -​ http://etipitaka.com/read/pali/24/265/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%94
    ).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/218/145 - 146.
    http://etipitaka.com/read/thai/24/218/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๖๒/๑๔๕ - ๑๔๖.
    http://etipitaka.com/read/pali/24/262/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=969
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=969
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83
    ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​สัมมัตตะในนามว่าอริยมรรค สัทธรรมลำดับที่ : 969 ชื่อบทธรรม :- สัมมัตตะในนามว่า อริยมรรค https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=969 เนื้อความทั้งหมด :- --สัมมัตตะในนามว่า อริยมรรค --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งธรรมอันป็นอริยมรรค และ ธรรมอันเป็น อนริยมรรค แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลายจงฟัง. http://etipitaka.com/read/pali/24/262/?keywords=อริย+อนริโย --ภิกษุ ท. ! อนริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ (มิจฉาปัญญา)​มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ (มิจฉาสีลา)​มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ (มิจฉาสมาธิ)​มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #อนริยมรรค. --ภิกษุ ท. ! อริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ (สัมมาปัญญา)​สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ (สัมมาสีลา)​สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (สัมมาสมาธิ)​สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #อริยมรรค.- (ในพระบาลีข้างบนนี้ ทรงแสดง สัมมัตตะสิบและมิจฉัตตะสิบ ว่าเป็นอริยมรรคและ อนริยมรรค. ในบาลีแห่งอื่นๆ แสดงเป็นคู่ ๆ แปลกออกไปอีก คือในสูตรอื่น ๆ ทรงเรียกชื่อของธรรมหมวดนี้ว่า สุกกมรรค - กัณหมรรค ก็มี, เป็นสาธุธรรม - อสาธุธรรม, อริยมรรค - อนริยมรรค, กุศลธรรม - อกุศลธรรม, ธรรมมีประโยชน์ - ธรรมไม่มีประโยชน์, เป็นธรรม - เป็นอธรรม, ไม่เป็นไปเพื่ออาสวะ - เป็นไปเพื่ออาสวะ, เป็นธรรมไม่มีโทษ - เป็นธรรมมีโทษ, เป็นธรรมไม่แผดเผา - เป็นธรรมแผดเผา, ไม่เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส - เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส, มีสุขเป็นกำไร - มีทุกข์เป็นกำไร, มีสุขเป็นผลตอบแทน - มีทุกข์เป็นผลตอบแทน, เป็นธรรมทำความสงบ - ไม่เป็นธรรมทำความสงบ, เป็นธรรมของสัตบุรุษ -ไม่เป็นธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมที่ควรทำให้เกิดขึ้น - ธรรมที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น, ธรรมที่ควรเสพ - ธรรมที่ไม่ควรเสพ, ธรรมที่ควรเจริญ - ธรรมที่ไม่ควรเจริญ, ธรรมที่ควรทำให้มาก - ธรรมที่ไม่ควรทำให้มาก, ธรรมที่ควรระลึกถึง - ธรรมที่ไม่ควรระลึกถึง, ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง - ธรรมที่ไม่ควรทำให้แจ้ง, ดังนี้ก็มี. --- ๒๔/๒๕๘ - ๒๖๕/๑๓๔ - ๑๕๔ http://etipitaka.com/read/pali/24/258/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%93%E0%B9%94 -​ http://etipitaka.com/read/pali/24/265/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%94 ). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. 24/218/145 - 146. http://etipitaka.com/read/thai/24/218/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ทสก. อํ. ๒๔/๒๖๒/๑๔๕ - ๑๔๖. http://etipitaka.com/read/pali/24/262/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%94%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=969 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=969 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83 ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สัมมัตตะในนามว่า อริยมรรค
    -[สูตรข้างบนนี้ ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรค ว่าสัมมาปฏิปทา ; ในสูตรอื่น (๑๙/๒๘/๘๙ - ๙๑) ตรัสเรียกว่า สัมมาปฏิบัติ ก็มี. อนึ่ง สูตรข้างบนนั้นตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรค ว่า สัมมาปฏิทา ในสูตรบางแห่ง (นิทาน.สํ. ๑๖/๕/๑๙ - ๒๑) ตรัสเรียก ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร ว่าเป็นสัมมาปฏิปทา ก็มี. (ตรัสเรียกปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร ว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ก็มี - ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๔๐๑).เป็นอันว่า ทั้งอริยอัฏฐังคิกมรรค และปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร ต่างก็เป็นสัมมาปฏิปทาด้วยกัน ; ควรที่นักศึกษาจะสนใจอย่างยิ่ง]. สัมมัตตะในนามว่า อริยมรรค ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งธรรมอันป็นอริยมรรค และธรรมอันเป็น อนริยมรรค แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลายจงฟัง. ภิกษุ ท. ! อนริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ มิจฉาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อนริยมรรค. ภิกษุ ท. ! อริยมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า อริยมรรค.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา
    สัทธรรมลำดับที่ : 968
    ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=968
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่ง มิจฉาปฏิปทา และสัมมาปฏิปทา แก่พวกเธอ.
    เธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งข้อความนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! มิจฉาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
    มิจฉาปฏิปทานี้คือ
    มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ
    มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ
    มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #มิจฉาปฏิปทา.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=มิจฺฉาปฏิปทา

    --ภิกษุ ท. ! สัมมาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า ?
    สัมมาปฏิปทานี้คือ
    สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
    +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #สัมมาปฏิปทา.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/23/?keywords=สมฺมาปฏิปทา
    -
    [สูตรข้างบนนี้ ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า สัมมาปฏิปทา ;
    ในสูตรอื่น
    (๑๙/๒๘/๘๙ - ๙๑
    http://etipitaka.com/read/pali/19/28/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%99
    )
    ตรัสเรียกว่า #สัมมาปฏิบัติ ก็มี.อนึ่ง สูตรข้างบนนั้นตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรค ว่า สัมมาปฏิทา
    ในสูตรบางแห่ง
    (นิทาน.สํ. ๑๖/๕/๑๙ - ๒๑
    http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99
    )

    ตรัสเรียก #ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร ว่าเป็นสัมมาปฏิปทา ก็มี.

    (ตรัสเรียก ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร ว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ก็มี -
    ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๔๐๑
    http://etipitaka.com/read/pali/20/227/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%90%E0%B9%91
    ).
    เป็นอันว่า
    ทั้งอริยอัฏฐังคิกมรรค และปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร
    ต่างก็เป็นสัมมาปฏิปทาด้วยกัน ;
    ควรที่นักศึกษาจะสนใจอย่างยิ่ง
    ]

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/17/65-67.
    http://etipitaka.com/read/thai/19/17/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒/๖๕-๖๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%95
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=968
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=968
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82
    ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา สัทธรรมลำดับที่ : 968 ชื่อบทธรรม :- อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=968 เนื้อความทั้งหมด :- --อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่ง มิจฉาปฏิปทา และสัมมาปฏิปทา แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งข้อความนั้น. --ภิกษุ ท. ! มิจฉาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า ? มิจฉาปฏิปทานี้คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #มิจฉาปฏิปทา. http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=มิจฺฉาปฏิปทา --ภิกษุ ท. ! สัมมาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า ? สัมมาปฏิปทานี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. +--ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า #สัมมาปฏิปทา. http://etipitaka.com/read/pali/19/23/?keywords=สมฺมาปฏิปทา - [สูตรข้างบนนี้ ตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรคว่า สัมมาปฏิปทา ; ในสูตรอื่น (๑๙/๒๘/๘๙ - ๙๑ http://etipitaka.com/read/pali/19/28/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%99 ) ตรัสเรียกว่า #สัมมาปฏิบัติ ก็มี.อนึ่ง สูตรข้างบนนั้นตรัสเรียกอัฏฐังคิกมรรค ว่า สัมมาปฏิทา ในสูตรบางแห่ง (นิทาน.สํ. ๑๖/๕/๑๙ - ๒๑ http://etipitaka.com/read/pali/16/5/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%99 ) ตรัสเรียก #ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร ว่าเป็นสัมมาปฏิปทา ก็มี. (ตรัสเรียก ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร ว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ก็มี - ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๔๐๑ http://etipitaka.com/read/pali/20/227/?keywords=%E0%B9%94%E0%B9%90%E0%B9%91 ). เป็นอันว่า ทั้งอริยอัฏฐังคิกมรรค และปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร ต่างก็เป็นสัมมาปฏิปทาด้วยกัน ; ควรที่นักศึกษาจะสนใจอย่างยิ่ง ] #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. 19/17/65-67. http://etipitaka.com/read/thai/19/17/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๒/๖๕-๖๗. http://etipitaka.com/read/pali/19/22/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%95 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=968 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82&id=968 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=82 ลำดับสาธยายธรรม : 82 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_82.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา
    -(ผู้ศึกษาพึงทราบว่า คำว่า พรหมยาน เป็นคำสูงสุดในฝ่ายศาสนาพราหมณ์ พระอานนท์อยากจะมีคำเช่นนั้นในพระพุทธศาสนานี้บ้าง จึงทูลถาม; แต่พระองค์ตรัสตอบอย่างธัมมาธิษฐาน ระบุเอาอัฏฐังคิกมรรคเป็นพรหมยาน, และแถมยังมีคำว่า ธรรมยาน และอนุตตรสังคามวิชัย อีกด้วย. เราเห็นว่า คำว่า ธรรมยาน สำคัญกว่า จึงยกเอามาเป็นชื่อแห่งหัวข้อนี้. อนึ่ง อัฏฐังคิกมรรคนี้ จำแนกความหมายได้หลายอย่าง เช่นจำแนกเป็น วิเวกนิสฺสิตํ วิราคนิสฺสิตํ นิโรธนิสฺสิตํ โวสฺสคฺคปริณามี ดังในหัวข้อ ที่จัด อัฏฐังคิกมรรคเป็น กัลยาณมิตร เป็นต้น บ้าง, และในหัวข้อทรงจำแนกเป็น ราค - โทส - โมหวินย - ปริโยสานบ้าง, ในหัวข้อว่า “อัฏฐังคิกมรรคชนิดที่เจริญแล้ว ทำกิจแห่งอริยสัจสี่พร้อมกันไปในตัว” เป็นต้น ซึ่งได้กล่าวไว้ในหมายเหตุท้ายหัวข้อนั้นๆ ที่หน้า ๑๔๑๙, ๑๔๒๑, ๑๔๕๘ แห่งหนังสือนี้ ทรงจำแนกว่า อมโตคธ อมตปรายน อมตปริโยสาน บ้าง, นิพฺพานนินฺน นิพฺพานโปณ นิพฺพานปพฺภาร บ้าง). อัฏฐังคิกมรรค เป็นสัมมาปฏิปทา ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่ง มิจฉาปฏิปทา และสัมมาปฏิปทา แก่พวกเธอ. เธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งข้อความนั้น. ภิกษุ ท. ! มิจฉาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า ? มิจฉาปฏิปทานี้คือ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า มิจฉาปฏิปทา. ภิกษุ ท. ! สัมมาปฏิปทา เป็นอย่างไรเล่า ? สัมมาปฏิปทานี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ. ภิกษุ ท. ! นี้เรียกว่า สัมาปฏิปทา.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 431 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครสอนให้ตอบอย่างนั้น มโนกรรมทุจริตชัด ๆ..เพราะเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) จึงเห็นผิดเป็นชอบ ที่ครอบครัวทำธุรกิจในที่ดินวัด เห็นว่า เป็นธุรกิจชอบด้วยกฎหมาย ไม่สะดุ้ง ไม่ละอาย ไม่เกรงกลัวบาป ไม่เชื่อเรื่องกรรม

    เคียดแค้นพยาบาท ใครทำไม่ถูกใจ ก็ทำลายล้าง

    โลภเพ่งเล็งในอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของชาติ โกง ทุจริตทุกช่องทาง รายการยาวเหมือนหางว่าว

    ตอบได้คำเดียว.."ไม่เป็นความจริงค่ะ"..
    ใครสอนให้ตอบอย่างนั้น มโนกรรมทุจริตชัด ๆ..เพราะเห็นผิด(มิจฉาทิฏฐิ) จึงเห็นผิดเป็นชอบ ที่ครอบครัวทำธุรกิจในที่ดินวัด เห็นว่า เป็นธุรกิจชอบด้วยกฎหมาย ไม่สะดุ้ง ไม่ละอาย ไม่เกรงกลัวบาป ไม่เชื่อเรื่องกรรม เคียดแค้นพยาบาท ใครทำไม่ถูกใจ ก็ทำลายล้าง โลภเพ่งเล็งในอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของชาติ โกง ทุจริตทุกช่องทาง รายการยาวเหมือนหางว่าว ตอบได้คำเดียว.."ไม่เป็นความจริงค่ะ"..
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบียร์ใกล้จะเข้าใจเดรัจฉานวิชาถูกแล้ว ติดอีกนิดเดียว คือ ยังไม่เข้าใจ ติรฉาน กับ อันตรายิกธรรม จึงยังเข้าใจว่า เดรัจฉานวิชา (วิชาเลี้ยงชีพ) ขวางพระนิพพาน ท่านมหาหรือครูบาอาจารย์ ช่วยเขาที ช่วยอธิบายให้เขาเคลียที อีกนิดเดียว

    และชอบมากนะ กล่าวตู่พระพุทธเจ้าเนี่ย บอกว่าพระพุทธเจ้าปฏิเสธ นู่นนั่นนี่ ตรงไหนอะพระพุทธเจ้าปฏิเสธหมอดูอยู่ตรงไหน ก็บอกแล้วไง ให้มาเปิดพระไตรปิฏกดูกัน ตรงไหนที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมอดู มีปมกับอาชีพหมอดูแบบเหนียวแน่นมากนะ อยู่ตรงไหนในประเทศไตรปิฎก อันนี้พูดเองคิดเองเออเอง แล้วก็สอนชาวบ้านแบบผิดๆ สงสารคนฟังเลย ได้ความรู้ผิดๆ ไปเต็มๆ นั่งฟังอย่างตั้งใจ เอาจริงๆ ไม่รู้เรื่องนะนั่น ไม่เชื่อคนที่ฟังมาขึ้นไมค์กับครูนัทได้ รับรอง มิจฉาทิฏฐิ คืออะไร แค่นี้ก็นิ่งคิดคำตอบไปหลายสิบวันแล้ว

    เบียร์ยังยืนยันว่า ผู้ที่พยากรณ์เจ้าชายสิทธัตถะใช้ฌาน เฮ้ย ไปเอามาจากไหน อันนี้คิดเองเออเออีกแล้ว ในคัมภีร์ก็บอกชัด ว่าใช้ตำรา ยังจะแถ เขาจะใช้ฌานได้ยังไง เขาไม่มีอนาคตังสญาน จะเอาให้ถูกให้ได้ ตลกมาก

    ฟังนะเบียร์ ไม่มีใครนะ ที่พูดว่าหมอดูร่างทรงพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ทำได้ อันนี้เธอกำลังใส่ร้ายคนอื่นอีกแล้วนะ ที่เขาพูดคือ พระพุทธเจ้าไม่ยุ่งกับอาชีพของชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านจะเป็นหมอดูเป็นร่างทรงเป็นอะไร พระพุทธเจ้าไม่ไปนั่งห้าม เพราะมันเป็นการเลี้ยงชีพของชาวบ้านเขา ไม่ใช่ว่าต้องรอพระพุทธเจ้าอนุญาตถึงทำได้ อันนี้ไม่ใช่แล้วนะ เธอเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเลย และเธอก็เข้าใจผิดแบบไม่ยอมแก้ไขด้วย ก็บอกแล้วไง ว่าจะสู้ตายก็ให้ออกมา ทำไมไม่ออกมาละ ทำไมนั่งพูดคนเดียวล่ะ โธ่เอ้ยเบียร์ น่าเวทนา

    https://youtu.be/TN8q3QlaRfM?si=UkH0YtScTcAhANfu
    เบียร์ใกล้จะเข้าใจเดรัจฉานวิชาถูกแล้ว ติดอีกนิดเดียว คือ ยังไม่เข้าใจ ติรฉาน กับ อันตรายิกธรรม จึงยังเข้าใจว่า เดรัจฉานวิชา (วิชาเลี้ยงชีพ) ขวางพระนิพพาน ท่านมหาหรือครูบาอาจารย์ ช่วยเขาที ช่วยอธิบายให้เขาเคลียที อีกนิดเดียว และชอบมากนะ กล่าวตู่พระพุทธเจ้าเนี่ย บอกว่าพระพุทธเจ้าปฏิเสธ นู่นนั่นนี่ ตรงไหนอะพระพุทธเจ้าปฏิเสธหมอดูอยู่ตรงไหน ก็บอกแล้วไง ให้มาเปิดพระไตรปิฏกดูกัน ตรงไหนที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธหมอดู มีปมกับอาชีพหมอดูแบบเหนียวแน่นมากนะ อยู่ตรงไหนในประเทศไตรปิฎก อันนี้พูดเองคิดเองเออเอง แล้วก็สอนชาวบ้านแบบผิดๆ สงสารคนฟังเลย ได้ความรู้ผิดๆ ไปเต็มๆ นั่งฟังอย่างตั้งใจ เอาจริงๆ ไม่รู้เรื่องนะนั่น ไม่เชื่อคนที่ฟังมาขึ้นไมค์กับครูนัทได้ รับรอง มิจฉาทิฏฐิ คืออะไร แค่นี้ก็นิ่งคิดคำตอบไปหลายสิบวันแล้ว เบียร์ยังยืนยันว่า ผู้ที่พยากรณ์เจ้าชายสิทธัตถะใช้ฌาน เฮ้ย ไปเอามาจากไหน อันนี้คิดเองเออเออีกแล้ว ในคัมภีร์ก็บอกชัด ว่าใช้ตำรา ยังจะแถ เขาจะใช้ฌานได้ยังไง เขาไม่มีอนาคตังสญาน จะเอาให้ถูกให้ได้ ตลกมาก ฟังนะเบียร์ ไม่มีใครนะ ที่พูดว่าหมอดูร่างทรงพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ทำได้ อันนี้เธอกำลังใส่ร้ายคนอื่นอีกแล้วนะ ที่เขาพูดคือ พระพุทธเจ้าไม่ยุ่งกับอาชีพของชาวบ้าน ดังนั้นชาวบ้านจะเป็นหมอดูเป็นร่างทรงเป็นอะไร พระพุทธเจ้าไม่ไปนั่งห้าม เพราะมันเป็นการเลี้ยงชีพของชาวบ้านเขา ไม่ใช่ว่าต้องรอพระพุทธเจ้าอนุญาตถึงทำได้ อันนี้ไม่ใช่แล้วนะ เธอเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเลย และเธอก็เข้าใจผิดแบบไม่ยอมแก้ไขด้วย ก็บอกแล้วไง ว่าจะสู้ตายก็ให้ออกมา ทำไมไม่ออกมาละ ทำไมนั่งพูดคนเดียวล่ะ โธ่เอ้ยเบียร์ น่าเวทนา https://youtu.be/TN8q3QlaRfM?si=UkH0YtScTcAhANfu
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 831 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางชีวิต หมายถึงจริยธรรม ซึ่งแตกต่างกันด้วยกรรมบท 10​ ประกอบด้วยกายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3
    *กายกรรม 3 ได้แก่ การฆ่าและเบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดลูกเมียหรือละเมิดสิ่งรักหวงของเจ้าของ
    **วจีกรรม 4 ได้แก่ พูดเท็จหรือพูดบิดเบือนจากความจริง พูดส่อเสียดให้แตกแยก พูดหยาบหรือพูดข้ามขั้นตอนของเหตุและผล พูดเพ้อเจ้อ เรื่อยเปื่อย ไร้สาระ
    ***มโนกรรม 3 ได้แก่ โลภเพ่งเล็งในอุปกรณ์แห่งทรัพย์ ฯ มีจิตพยาบาท และมีมิจฉาทิฏฐิไม่เห็นความจริง ๔ ประการหรือไม่เห็นอริยสัจจ์ ๔

    เส้นทางชีวิต หมายถึงจริยธรรม ซึ่งแตกต่างกันด้วยกรรมบท 10​ ประกอบด้วยกายกรรม 3 วจีกรรม 4 และมโนกรรม 3 *กายกรรม 3 ได้แก่ การฆ่าและเบียดเบียนสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดลูกเมียหรือละเมิดสิ่งรักหวงของเจ้าของ **วจีกรรม 4 ได้แก่ พูดเท็จหรือพูดบิดเบือนจากความจริง พูดส่อเสียดให้แตกแยก พูดหยาบหรือพูดข้ามขั้นตอนของเหตุและผล พูดเพ้อเจ้อ เรื่อยเปื่อย ไร้สาระ ***มโนกรรม 3 ได้แก่ โลภเพ่งเล็งในอุปกรณ์แห่งทรัพย์ ฯ มีจิตพยาบาท และมีมิจฉาทิฏฐิไม่เห็นความจริง ๔ ประการหรือไม่เห็นอริยสัจจ์ ๔ 😀
    คนดีเป็นได้ยาก แต่เป็นหน้าที่หลักของความเป็นคน

    จึงต้องใช้ความเพียรยิ่งยวด เพื่อเจริญสติตามรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ให้เห็นจิตมีสมาธิตั้งมั่น ทำจิตให้ปราโมทยิ่ง และทำจิตให้ปล่อยอยู่

    ทางปฏิบัติของคนดี จึงเป็นทางเฉพาะสำหรับอริยชน ซึ่งเป็นเส้นทางขนานกับทางโจร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 289 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศถึงเพื่อนๆ กลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.) ครูนัทได้ฟื้นฟูกลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะกลุ่มใหญ่ขึ้น เป็น "คณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.)" ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทและนักวิชาการแขนงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้ง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งครูนัทกำลังดำเนินการจัดทำโครงการสัมนาวิชาการนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาศึกษาเรื่องการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่ออนุว้ติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย

    โดยการประชุมผู้นำคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎก ตลอดจนการศึกษาภาษาบาลีมีความสำคัญ ควรให้พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการให้ความรู้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาพระไตรปิฎกจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่เข้าใจเอาตามฐานข้อมูลทางสังคมไทย ที่ถูกต้องจะต้องเข้าใจตามฐานข้อมูลทางสังคมของประเทศอินเดีย จึงควรมีการส่งเสริมให้เรียนพระไตรปิฎกและคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎกให้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น และให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ให้พระภิกษุได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากฐานข้อมูลที่แท้จริงยังสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าใจบริบทในพระไตรปิฎกให้มากขึ้น จะได้ไม่เกิดการตีความหรือความเข้าใจที่ผิดจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง เช่นที่ทุกวันนี้คนไทย ชาวพุทธเถรวาทไทย เข้าใจเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดเกือบทั้งประเทศ โดยชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่า “เดรัจฉานวิชา” หมายถึงวิชาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขวางกั้นพระนิพพาน เป็นวิชาที่มีความเลวทรามงมงาย แท้จริงแล้ว ความหมายของ “เดรัจฉานวิชา” หาได้เป็นอย่างที่สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เดรัจฉานวิชาคือวิชาเลี้ยงชีพทั่วไป เป็นวิชาเลี้ยงชีพของชาวบ้าน และไม่ได้ขวางกั้นพระนิพพานแต่อย่างใด โดยไม่พบในพระไตรปิฎกพระสูตรใดหรือเล่มใดเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เดรัจฉานวิชาขวางกั้นพระนิพพาน” โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เดรัจฉานวิชา" คือ วิชาเลี้ยงชีพที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่วิชาที่จะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการขอที่เขาให้ด้วยศรัทธา ไม่ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยวิชาชาวบ้านเพื่อแข่งกับชาวบ้านเพราะจะทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธา ไม่ดูแลอุปถัมภ์ภิกษุ ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่าภิกษุไม่ต่างจากตน จะไม่ฟังธรรมจากภิกษุในพระพุทธศาสนา

    พระภิกษุที่จะมีสิทธิได้ไปศึกษาดูงานในโครงการ จะต้องเป็นผู้สอบวัดระดับความรู้ทางบาลีและพระไตรปิฎกได้ตามมาตรฐานที่จะกำหนดขึ้นมาและขาดแคลนทุนทรัพย์ (พระหนุ่มเณรน้อยบ้านนอกเราที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากจะได้มีโอกาส) อันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษาพระไตรปิฎกให้ลึกซึ้งขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูนัทตั้งความปรารถนามานานแล้ว แต่ยังทำไม่สำเร็จ คราวนี้จะลองอีกครั้ง

    ทั้งยังควรมีการควบคุมการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เกิดการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิดหรือบิดเบือน จนเป็นเหตุให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กฎระเบียบจะเป็นอย่างไร จะสรุปได้เมื่อมีการฟังเสียงประชาชน เราไม่ควรปล่อยให้มีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำคอนเท้นต์ที่มีลักษณะบิดเบือนข้อมูลหรือองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ครูนัทฝากให้ช่วยกันกระจายข่าวด้วยนะคะ และขอให้นักวิชาการ ครูบาอาจารย์แขนงต่างๆ ที่ทราบข่าวนี้ มาร่วมกับครูนัทนะคะ ติดต่อมาหาครูนัทได้เลยทางช่องแชทค่ะ

    ขอบคุณมากๆ นะคะ
    ขอบพระคุณเจ้าของภาพสวยๆนะคะ
    ประกาศถึงเพื่อนๆ กลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.) ครูนัทได้ฟื้นฟูกลุ่มพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง โดยครั้งนี้จะกลุ่มใหญ่ขึ้น เป็น "คณะพุทธบริษัทสภาเพื่อรักษาพระธรรมวินัย (พสธ.)" ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการพุทธศาสนาเถรวาทและนักวิชาการแขนงต่างๆ ตลอดจนประชาชนทั่วไปทั้ง ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งครูนัทกำลังดำเนินการจัดทำโครงการสัมนาวิชาการนำเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภาศึกษาเรื่องการบัญญัติกฎหมายเพื่ออุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพื่ออนุว้ติการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 67 รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดําเนินมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย โดยการประชุมผู้นำคณะ เห็นพ้องต้องกันว่า การศึกษาพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้องตามคัมภีร์พระพุทธศาสนามีพระไตรปิฎก อรรถกถา และคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎก ตลอดจนการศึกษาภาษาบาลีมีความสำคัญ ควรให้พระภิกษุซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการให้ความรู้แก่ประชาชนได้เข้าถึงการศึกษาพระไตรปิฎกจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง ไม่ใช่เข้าใจเอาตามฐานข้อมูลทางสังคมไทย ที่ถูกต้องจะต้องเข้าใจตามฐานข้อมูลทางสังคมของประเทศอินเดีย จึงควรมีการส่งเสริมให้เรียนพระไตรปิฎกและคัมภีร์เนื่องด้วยพระไตรปิฎกให้มากขึ้น กว้างขวางขึ้น และให้มีกองทุนส่งเสริมการศึกษาพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ให้พระภิกษุได้มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงานจากฐานข้อมูลที่แท้จริงยังสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เพื่อให้เข้าใจบริบทในพระไตรปิฎกให้มากขึ้น จะได้ไม่เกิดการตีความหรือความเข้าใจที่ผิดจากฐานข้อมูลที่ถูกต้องแท้จริง เช่นที่ทุกวันนี้คนไทย ชาวพุทธเถรวาทไทย เข้าใจเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดเกือบทั้งประเทศ โดยชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่า คำว่า “เดรัจฉานวิชา” หมายถึงวิชาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ขวางกั้นพระนิพพาน เป็นวิชาที่มีความเลวทรามงมงาย แท้จริงแล้ว ความหมายของ “เดรัจฉานวิชา” หาได้เป็นอย่างที่สังคมไทยส่วนใหญ่เข้าใจไม่ แต่เดรัจฉานวิชาคือวิชาเลี้ยงชีพทั่วไป เป็นวิชาเลี้ยงชีพของชาวบ้าน และไม่ได้ขวางกั้นพระนิพพานแต่อย่างใด โดยไม่พบในพระไตรปิฎกพระสูตรใดหรือเล่มใดเลยที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่า “เดรัจฉานวิชาขวางกั้นพระนิพพาน” โดยความหมายที่แท้จริงของคำว่า "เดรัจฉานวิชา" คือ วิชาเลี้ยงชีพที่ชาวบ้านใช้เลี้ยงชีพ ไม่ใช่วิชาที่จะนำไปสู่พระนิพพาน พระพุทธเจ้ามีพุทธประสงค์ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยการขอที่เขาให้ด้วยศรัทธา ไม่ให้ภิกษุเลี้ยงชีพด้วยวิชาชาวบ้านเพื่อแข่งกับชาวบ้านเพราะจะทำให้ชาวบ้านไม่ศรัทธา ไม่ดูแลอุปถัมภ์ภิกษุ ไม่ศรัทธาเพราะเห็นว่าภิกษุไม่ต่างจากตน จะไม่ฟังธรรมจากภิกษุในพระพุทธศาสนา พระภิกษุที่จะมีสิทธิได้ไปศึกษาดูงานในโครงการ จะต้องเป็นผู้สอบวัดระดับความรู้ทางบาลีและพระไตรปิฎกได้ตามมาตรฐานที่จะกำหนดขึ้นมาและขาดแคลนทุนทรัพย์ (พระหนุ่มเณรน้อยบ้านนอกเราที่ไม่มีโยมอุปัฏฐากจะได้มีโอกาส) อันจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการศึกษาพระไตรปิฎกให้ลึกซึ้งขึ้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ครูนัทตั้งความปรารถนามานานแล้ว แต่ยังทำไม่สำเร็จ คราวนี้จะลองอีกครั้ง ทั้งยังควรมีการควบคุมการเผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เกิดการเผยแพร่ในสิ่งที่ผิดหรือบิดเบือน จนเป็นเหตุให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกอย่างเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ กฎระเบียบจะเป็นอย่างไร จะสรุปได้เมื่อมีการฟังเสียงประชาชน เราไม่ควรปล่อยให้มีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำคอนเท้นต์ที่มีลักษณะบิดเบือนข้อมูลหรือองค์ความรู้ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ครูนัทฝากให้ช่วยกันกระจายข่าวด้วยนะคะ และขอให้นักวิชาการ ครูบาอาจารย์แขนงต่างๆ ที่ทราบข่าวนี้ มาร่วมกับครูนัทนะคะ ติดต่อมาหาครูนัทได้เลยทางช่องแชทค่ะ ขอบคุณมากๆ นะคะ ขอบพระคุณเจ้าของภาพสวยๆนะคะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1176 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts