• ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์"
    ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ
    .
    ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ?
    .
    ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!”
    .
    การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว
    .
    สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ
    .
    ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM)
    .
    ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?"
    .
    จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป
    "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ
    .
    นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
    .
    "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง
    .
    ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ
    • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ
    • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม
    • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂
    • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว
    • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555
    • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา
    รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด
    • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด
    .
    สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ . ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ? . ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!” . การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว . สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ . ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM) . ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?" . จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ . นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน . "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง . ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂 • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555 • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด . สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    Haha
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox
    18-2-2025
    วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
    บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่
    มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ
    ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น
    มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน
    "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974"
    มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?"
    แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox
    ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง
    ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้
    ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม
    ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย
    หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง
    มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948
    การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
    การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า
    สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น
    อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ
    ที่มา
    https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox 18-2-2025 วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่ มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974" มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?" แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้ ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948 การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ ที่มา https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีลอส มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้เป็นแกนนำในความพยายามปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง เตือนในวันอังคาร (11 ก.พ.) ว่าอเมริกาจะ "ล้มละลาย" หากไม่มีการตัดลดงบประมาณใดๆ
    .
    มัสก์ เป็นแกนนำความพยายามดังกล่าวภายใต้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เขาได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับ "การล้มละลาย" ระหว่างแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ออกคำสั่งเป็นชุดๆ เล็งเป้าลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง
    .
    ทั้งนี้ คำแถลงของมัสก์ เล็งเป้าอย่างเจาะจงไปที่ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของประเทศ ที่แตะระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณล่าสุด พร้อมบอกว่าการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ
    .
    อย่างไรก็ตาม รายงานของเอเอฟพีระบุว่าความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของทรัมป์เองกำลังพบว่าตนเองกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเผชิญหน้ากับศาลสหรัฐฯ เนื่องจากคณะผู้พิพากษากลางตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมทางกฎหมายของมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของทำเนียบขาว
    .
    แผนล้างบางของทรัมป์ ส่งผลกระทบให้หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องปิดปฏิบัติการ และพนักงานต้องกลับบ้าน โหมกระพือการต่อสู้ทางกฎหมายทั่วประเทศ โดยมีการยื่นฟ้องดำเนินคดีหลายคำร้อง ในความพยายามหาทางระงับสิ่งที่ฝ่ายคัดค้านให้คำจำกัดความว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    .
    เมื่อถูกถามในวันอังคาร (11 ก.พ.) เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน มัสก์ที่เป็นซีอีโอของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ซึ่งได้สัญญาจ้างต่างๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบกล่า เขาจะหาทางสร้างความโปร่งใสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    .
    ทีมปฏิรูปของ DOGE ได้ก่อความกังวลในหมู่พวกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการเงินของผู้คนหลายล้านคนในสหรัฐฯ ผ่านกระทรวงการคลัง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013983
    ..............
    Sondhi X
    อีลอส มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้เป็นแกนนำในความพยายามปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง เตือนในวันอังคาร (11 ก.พ.) ว่าอเมริกาจะ "ล้มละลาย" หากไม่มีการตัดลดงบประมาณใดๆ . มัสก์ เป็นแกนนำความพยายามดังกล่าวภายใต้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เขาได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับ "การล้มละลาย" ระหว่างแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ออกคำสั่งเป็นชุดๆ เล็งเป้าลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง . ทั้งนี้ คำแถลงของมัสก์ เล็งเป้าอย่างเจาะจงไปที่ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของประเทศ ที่แตะระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณล่าสุด พร้อมบอกว่าการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ . อย่างไรก็ตาม รายงานของเอเอฟพีระบุว่าความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของทรัมป์เองกำลังพบว่าตนเองกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเผชิญหน้ากับศาลสหรัฐฯ เนื่องจากคณะผู้พิพากษากลางตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมทางกฎหมายของมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของทำเนียบขาว . แผนล้างบางของทรัมป์ ส่งผลกระทบให้หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องปิดปฏิบัติการ และพนักงานต้องกลับบ้าน โหมกระพือการต่อสู้ทางกฎหมายทั่วประเทศ โดยมีการยื่นฟ้องดำเนินคดีหลายคำร้อง ในความพยายามหาทางระงับสิ่งที่ฝ่ายคัดค้านให้คำจำกัดความว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย . เมื่อถูกถามในวันอังคาร (11 ก.พ.) เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน มัสก์ที่เป็นซีอีโอของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ซึ่งได้สัญญาจ้างต่างๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบกล่า เขาจะหาทางสร้างความโปร่งใสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ . ทีมปฏิรูปของ DOGE ได้ก่อความกังวลในหมู่พวกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการเงินของผู้คนหลายล้านคนในสหรัฐฯ ผ่านกระทรวงการคลัง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013983 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1929 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุอเมริกาอาจแบกหนี้น้อยกว่าที่คิด และที่เป็นเช่นนั้นก็เพรามีการโกงที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินของกระทรวงการคลัง ในความคิดเห็นที่บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ระหว่างบินไปร่วมชมเกมซูเปอร์โบว์ล ในนิวออร์ลีนส์
    .
    ปัจจุบันตัวเลขหนี้สาธารณะของอเมริกาอยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลจากกระทรงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งรับบทบางกลางในระบบการเงินโลก
    .
    ทรัมป์ มอบหมายหน้าที่แก่มหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ภายใต้ความทะเยอทะยานยกเครื่องรัฐบาลกลาง ซึ่งโหมกระพือการประท้วงในวอชิงตัน และคำกล่าวหาต่างๆนานาว่ารัฐบาลของทรัมป์ กำลังละเมิดกฎหมาย
    .
    กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลของมัสก์ สร้างความวุ่นวายแก่ปฏิบัติการต่างๆของหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง และก่อความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคง เนื่องจากกำลังเข้าถึงบันทึกที่อ่อนไหวเกี่ยวกับการชำระเงินและการใช้จ่ายต่างๆนานา
    .
    "เราทำแม้กระทั่ง กำลังตรวจสอบกระทรวงการคลัง" ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเที่ยวบินแอร์ฟอร์ซวันในวันอาทิตย์(9ก.พ.) "อาจมีปัญญา คุณได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในเรื่องของกระทรวงการคลัง อาจมีประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ"
    .
    ทรัมป์บอกต่อว่าในด้านกระทรวงการคลัง "อาจมีหลายๆอย่างที่ยังไม่ถูกพิจารณาตรวจสอบ หรือในอีกคำพูดหนึ่งก็คือ บางอย่างในนั้นที่เราค้นพบคือมีการฉ้อโกงกันมากมาย เพราะฉะนั้นเราอาจมีหนี้น้อยกว่าที่เราคิด"
    .
    ความคิดเห็นของทรัมป์ในวันอาทิตย์(9ก.พ.) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก่อความถามว่าคณะทำงานของมัสก์ จะดำเนินการในรูปแบบใดในด้านการคลัง
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อวันเสาร์(8ก.พ.) ผู้พิพากษากลางรายหนึ่งขัดขวางคณะทำงานของมัสก์ จากการเข้าถึงระบบของรัฐบาล ที่ใช้ในกระบวนการชำระหนี้ล้านล้านดอลลาร์ อ้างถึงความเสี่ยงข้อมูลที่อ่อนไหวอาจถูกเปิดเผยอย่างไม่เหมาะสม
    .
    หลังจากมีคำพิพากษา มัสก์เผยว่าทางกระทรวงการคลังและกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เห็นพ้องกันกำหนดให้การชำระเงินของรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งหมด ต้องชี้แจงเหตุผลในรูปแบบของความเห็นรวมไว้ในนั้่นด้วย และจำเป็นต้องมีการจำแนกประเภท
    .
    "การฉ้อโกงและความสิ้นเปลืองทั้งหลายจะถูกขจัดออกไปแบบเรียลไทม์ รับประกันได้เลยว่าการคอร์รัปชันในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งจะถูกเปิดโปง" มัสก์โพสต์ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ บน X แพลตฟอร์มที่เขาเป็นเจ้าของ
    .
    การควบคุมระบบการชำระเงินของมัสก์ได้รับการอนุมัติจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ และผู้ที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามจะถูกกำจัด เช่นเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกพักงานหลังจากปฏิเสธที่จะมอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบให้กับมัสต์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    .
    อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์ บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าคณะทำงานของมัสก์ จะเข้าถึงระบบการชำระเงินเพียงเฉพาะการดูเท่านั้น และการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับการหยุดชำระเงิน จะดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นๆ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013149
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุอเมริกาอาจแบกหนี้น้อยกว่าที่คิด และที่เป็นเช่นนั้นก็เพรามีการโกงที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินของกระทรวงการคลัง ในความคิดเห็นที่บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ระหว่างบินไปร่วมชมเกมซูเปอร์โบว์ล ในนิวออร์ลีนส์ . ปัจจุบันตัวเลขหนี้สาธารณะของอเมริกาอยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลจากกระทรงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งรับบทบางกลางในระบบการเงินโลก . ทรัมป์ มอบหมายหน้าที่แก่มหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ภายใต้ความทะเยอทะยานยกเครื่องรัฐบาลกลาง ซึ่งโหมกระพือการประท้วงในวอชิงตัน และคำกล่าวหาต่างๆนานาว่ารัฐบาลของทรัมป์ กำลังละเมิดกฎหมาย . กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลของมัสก์ สร้างความวุ่นวายแก่ปฏิบัติการต่างๆของหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง และก่อความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคง เนื่องจากกำลังเข้าถึงบันทึกที่อ่อนไหวเกี่ยวกับการชำระเงินและการใช้จ่ายต่างๆนานา . "เราทำแม้กระทั่ง กำลังตรวจสอบกระทรวงการคลัง" ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเที่ยวบินแอร์ฟอร์ซวันในวันอาทิตย์(9ก.พ.) "อาจมีปัญญา คุณได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในเรื่องของกระทรวงการคลัง อาจมีประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ" . ทรัมป์บอกต่อว่าในด้านกระทรวงการคลัง "อาจมีหลายๆอย่างที่ยังไม่ถูกพิจารณาตรวจสอบ หรือในอีกคำพูดหนึ่งก็คือ บางอย่างในนั้นที่เราค้นพบคือมีการฉ้อโกงกันมากมาย เพราะฉะนั้นเราอาจมีหนี้น้อยกว่าที่เราคิด" . ความคิดเห็นของทรัมป์ในวันอาทิตย์(9ก.พ.) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก่อความถามว่าคณะทำงานของมัสก์ จะดำเนินการในรูปแบบใดในด้านการคลัง . ก่อนหน้านี้เมื่อวันเสาร์(8ก.พ.) ผู้พิพากษากลางรายหนึ่งขัดขวางคณะทำงานของมัสก์ จากการเข้าถึงระบบของรัฐบาล ที่ใช้ในกระบวนการชำระหนี้ล้านล้านดอลลาร์ อ้างถึงความเสี่ยงข้อมูลที่อ่อนไหวอาจถูกเปิดเผยอย่างไม่เหมาะสม . หลังจากมีคำพิพากษา มัสก์เผยว่าทางกระทรวงการคลังและกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เห็นพ้องกันกำหนดให้การชำระเงินของรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งหมด ต้องชี้แจงเหตุผลในรูปแบบของความเห็นรวมไว้ในนั้่นด้วย และจำเป็นต้องมีการจำแนกประเภท . "การฉ้อโกงและความสิ้นเปลืองทั้งหลายจะถูกขจัดออกไปแบบเรียลไทม์ รับประกันได้เลยว่าการคอร์รัปชันในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งจะถูกเปิดโปง" มัสก์โพสต์ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ บน X แพลตฟอร์มที่เขาเป็นเจ้าของ . การควบคุมระบบการชำระเงินของมัสก์ได้รับการอนุมัติจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ และผู้ที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามจะถูกกำจัด เช่นเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกพักงานหลังจากปฏิเสธที่จะมอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบให้กับมัสต์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ . อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์ บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าคณะทำงานของมัสก์ จะเข้าถึงระบบการชำระเงินเพียงเฉพาะการดูเท่านั้น และการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับการหยุดชำระเงิน จะดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นๆ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013149 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1389 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?”
    .
    CNNของสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (7 ก.พ.) ว่า นักข่าวชื่อดังประจำนิตยสารไทม์ส ไซมอน ชัสเตอร์ (Simon Schuster) และไบรอัน เบนเนตต์ (Brian Bennett) แสดงความเห็นว่า “มาจนถึงเวลานี้ มัสก์์ (อีลอน มัสก์) ดูเหมือนไม่อยู่ภายใต้ใครยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ให้อำนาจกวาดล้างแก่คนที่ช่วยให้เขาชนะเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำตามเป้าหมายของเขา”
    .
    โดยภาพปกฮือฮาและมีสีสันของนิตยสารไทม์สล่าสุดแสดงให้เห็นมหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวนั่งบริหารประเทศแทนทรัมป์
    .
    มือของมัสก์ถือแก้วกาแฟและเขานั่งระหว่างธงชาติสหรัฐฯ และธงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดฉากหลังสีแดงสด เป็นภาพปกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE ที่ตั้งใหม่โดยทรัมป์ให้มัสก์บริหาร และตามมาด้วยการสั่งปิด USAID และหมายตาเพื่อล้างบางไปที่หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อื่นอีก 14 แห่ง รวมกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    .
    CNN รายงานว่าขณะที่ทรัมป์เองวันศุกร์ (7) สั่งปลดผู้บริหารสูงสุดสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA แบบฟ้าผ่าจากเหตุผลเกี่ยวข้องกับคดีทรัมป์นำเอกสารลับทำเนียบขาว รวมจดหมายจากประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มาเก็บไว้ที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ที่รัฐฟลอริดา
    .
    และในวันเดียวกัน (7) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งทางบริหารสั่งตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้ อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (8)
    .
    โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติอย่างไม่ชอบธรรมต่อชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวพร้อมเสนอให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าไปลี้ภัยต่อในอเมริกา
    .
    เป็นการออกมาวิจารณ์ต่อกฎหมายที่ทรัมป์เห็นว่าไม่ชอบธรรมในการพริทอเรียเปิดโอกาสให้สามารถยึดที่ดินของแอฟริกันผิวขาวได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยาในบางกรณี
    .
    แอฟริกาใต้เป็นประเทศบ้านเกิดของอีลอน มัสก์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอเมริกาและเปลี่ยนสัญชาติในที่สุด พ่อของเขาคือ เออโรล มัสก์ (Errol Musk) ปัจจุบันอายุ 79 ปี และยังอาศัยอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า พ่อของเขาอ้างว่า ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ได้ร้องขอให้ช่วยประสานโทรศัพท์ติดต่อหารือระหว่างรามาโฟซา และลูกชายอีลอน มัสก์เกิดขึ้นก่อนข่าวสหรัฐฯ จะตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้อ้างเหตุกฎหมายที่ดินแอฟริกาใต้
    .
    โดยการทูตหลังบ้านแบบรีบด่วนหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ทางออนไลน์โดยไม่แสดงหลักฐานว่า แอฟริกาใต้กำลังยึดที่ดินและ “บางชนชั้น” กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย
    .
    CNN รายงานต่อว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่นิตยสารไทม์สขึ้นปก อีลอน มัสก์ หลังเมื่อพฤศจิกายนล่าสุดมีการขึ้นปกรูปเจ้าของบริษัทเทสลาพร้อมคำว่า “ประชาชนมัสก์” (Citizen Musk) แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้สำเร็จ
    .
    อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวถามทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7) ถึงปกนิตยสารไทม์สล่าสุดว่าเป็นเช่นใด
    .
    เขากลับตอบกลับมาว่า “นิตยสารไทม์สยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” และเสริมต่อว่า “ผมไม่รู้เลยนะนี่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013144
    ..............
    Sondhi X
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” . CNNของสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (7 ก.พ.) ว่า นักข่าวชื่อดังประจำนิตยสารไทม์ส ไซมอน ชัสเตอร์ (Simon Schuster) และไบรอัน เบนเนตต์ (Brian Bennett) แสดงความเห็นว่า “มาจนถึงเวลานี้ มัสก์์ (อีลอน มัสก์) ดูเหมือนไม่อยู่ภายใต้ใครยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ให้อำนาจกวาดล้างแก่คนที่ช่วยให้เขาชนะเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำตามเป้าหมายของเขา” . โดยภาพปกฮือฮาและมีสีสันของนิตยสารไทม์สล่าสุดแสดงให้เห็นมหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวนั่งบริหารประเทศแทนทรัมป์ . มือของมัสก์ถือแก้วกาแฟและเขานั่งระหว่างธงชาติสหรัฐฯ และธงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดฉากหลังสีแดงสด เป็นภาพปกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE ที่ตั้งใหม่โดยทรัมป์ให้มัสก์บริหาร และตามมาด้วยการสั่งปิด USAID และหมายตาเพื่อล้างบางไปที่หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อื่นอีก 14 แห่ง รวมกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ . CNN รายงานว่าขณะที่ทรัมป์เองวันศุกร์ (7) สั่งปลดผู้บริหารสูงสุดสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA แบบฟ้าผ่าจากเหตุผลเกี่ยวข้องกับคดีทรัมป์นำเอกสารลับทำเนียบขาว รวมจดหมายจากประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มาเก็บไว้ที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ที่รัฐฟลอริดา . และในวันเดียวกัน (7) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งทางบริหารสั่งตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้ อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (8) . โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติอย่างไม่ชอบธรรมต่อชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวพร้อมเสนอให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าไปลี้ภัยต่อในอเมริกา . เป็นการออกมาวิจารณ์ต่อกฎหมายที่ทรัมป์เห็นว่าไม่ชอบธรรมในการพริทอเรียเปิดโอกาสให้สามารถยึดที่ดินของแอฟริกันผิวขาวได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยาในบางกรณี . แอฟริกาใต้เป็นประเทศบ้านเกิดของอีลอน มัสก์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอเมริกาและเปลี่ยนสัญชาติในที่สุด พ่อของเขาคือ เออโรล มัสก์ (Errol Musk) ปัจจุบันอายุ 79 ปี และยังอาศัยอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า พ่อของเขาอ้างว่า ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ได้ร้องขอให้ช่วยประสานโทรศัพท์ติดต่อหารือระหว่างรามาโฟซา และลูกชายอีลอน มัสก์เกิดขึ้นก่อนข่าวสหรัฐฯ จะตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้อ้างเหตุกฎหมายที่ดินแอฟริกาใต้ . โดยการทูตหลังบ้านแบบรีบด่วนหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ทางออนไลน์โดยไม่แสดงหลักฐานว่า แอฟริกาใต้กำลังยึดที่ดินและ “บางชนชั้น” กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย . CNN รายงานต่อว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่นิตยสารไทม์สขึ้นปก อีลอน มัสก์ หลังเมื่อพฤศจิกายนล่าสุดมีการขึ้นปกรูปเจ้าของบริษัทเทสลาพร้อมคำว่า “ประชาชนมัสก์” (Citizen Musk) แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้สำเร็จ . อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวถามทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7) ถึงปกนิตยสารไทม์สล่าสุดว่าเป็นเช่นใด . เขากลับตอบกลับมาว่า “นิตยสารไทม์สยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” และเสริมต่อว่า “ผมไม่รู้เลยนะนี่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013144 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Yay
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ไทม์ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?”

    ที่มา https://mgronline.com/around/detail/9680000013114?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3yTxNQVHxC50qqeZwlACSBJc8Utl__OFPbqoUIDCFYl6Klmpa7H3isaE4_aem_BgzsI5BZsYutCaHnKNVeeA#zaklu5vy65j3zc9a8vfjpindf4pwizkk
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ไทม์ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” ที่มา https://mgronline.com/around/detail/9680000013114?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3yTxNQVHxC50qqeZwlACSBJc8Utl__OFPbqoUIDCFYl6Klmpa7H3isaE4_aem_BgzsI5BZsYutCaHnKNVeeA#zaklu5vy65j3zc9a8vfjpindf4pwizkk
    MGRONLINE.COM
    จัดหนัก! ปกนิตยสารไทม์สส่ง “อีลอน มัสก์” นั่งบริหารหลังโต๊ะปธน.สหรัฐฯแทน “ทรัมป์” ในทำเนียบขาว อิทธิพลเพียบ! พ่อต่อสายให้รามาโฟซาคุยก่อนโดนตัดเงินช่วยแอฟริกาใต้
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว
    .
    ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID
    .
    คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ
    .
    รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง
    .
    อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว
    .
    รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน
    .
    "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.)
    .
    เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้
    .
    ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!"
    .
    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย
    .
    การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง
    .
    ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน
    .
    ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว . ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID . คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ . รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง . อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว . รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน . "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.) . เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้ . ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!" . ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์ . กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย . การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง . ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน . ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1378 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ขวางแผนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ของ USAID

    วันนี้ (8 ก.พ.2568) ผู้พิพากษาศาลแขวงในวอชิงตัน มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามสั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ในสังกัดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ที่เดิมจะมีผลภายใน 24.00 น.ของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หรือเวลา 12.00 น. วันนี้ในไทย

    ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวมีจำนวนพนักงานประมาณ 10,000 คน ซึ่งสองในสามทำงานในต่างประเทศ

    ตามแผนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก USAID จะเหลือพนักงานที่ทำงานต่อเพียง 611 คนเท่านั้น เนื่องจากมองว่ารายจ่ายในต่างประเทศไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน
    ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ขวางแผนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ของ USAID วันนี้ (8 ก.พ.2568) ผู้พิพากษาศาลแขวงในวอชิงตัน มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามสั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ในสังกัดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ที่เดิมจะมีผลภายใน 24.00 น.ของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หรือเวลา 12.00 น. วันนี้ในไทย ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวมีจำนวนพนักงานประมาณ 10,000 คน ซึ่งสองในสามทำงานในต่างประเทศ ตามแผนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก USAID จะเหลือพนักงานที่ทำงานต่อเพียง 611 คนเท่านั้น เนื่องจากมองว่ารายจ่ายในต่างประเทศไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดสาเหตุ USAID จากเงินภาษีสหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งทุนของความวุ่นวายทั่วโลก

    ตั้งแต่ปี 2000 เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของจอร์จ โซรอส ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่า เงินภาษีของสหรัฐฯ หลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกโอนผ่าน USAID

    สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก USAID เพื่อใช้ในการมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และเซอร์เบีย

    ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานในยูเครน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้วิกเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งด้วยการสนับสนุนจาก USAID ที่โอนเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังศูนย์ดังกล่าว

    อีกด้านหนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2024) มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอส ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของสหรัฐฯ นำไปใช้สนับสนุนแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เพื่อสร้าง "การเปลี่ยนแปลงอำนาจ"

    มีรายงานว่า โซรอสและ USAID พยายามโค่นล้มวิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีมาเป็นเวลานานแล้ว หลังออร์บานต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์ผู้นี้มาอย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ซึ่งเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับฝ่ายค้านของออร์บาน

    ส่วนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอสซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำในการต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิรบในปี 2020–2021

    โซรอสจัดหาเงินทุนให้กับ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation เพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    ขณะเดียวกัน USAID และโซรอสถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินคดีต่อต้านทรัมป์ ตามที่ไมค์ เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกล่าวอ้าง นอกจากนี้ อัลวิน แบร็ก อัยการแมนฮัตตันยังถูกกล่าวหาว่าถูกโซรอส “ซื้อ” อีกด้วย

    https://www.imctnews.com/news_details-news-6608.html
    เปิดสาเหตุ USAID จากเงินภาษีสหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งทุนของความวุ่นวายทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2000 เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของจอร์จ โซรอส ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่า เงินภาษีของสหรัฐฯ หลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกโอนผ่าน USAID สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก USAID เพื่อใช้ในการมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และเซอร์เบีย ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานในยูเครน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้วิกเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งด้วยการสนับสนุนจาก USAID ที่โอนเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังศูนย์ดังกล่าว อีกด้านหนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2024) มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอส ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของสหรัฐฯ นำไปใช้สนับสนุนแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เพื่อสร้าง "การเปลี่ยนแปลงอำนาจ" มีรายงานว่า โซรอสและ USAID พยายามโค่นล้มวิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีมาเป็นเวลานานแล้ว หลังออร์บานต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์ผู้นี้มาอย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ซึ่งเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับฝ่ายค้านของออร์บาน ส่วนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอสซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำในการต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิรบในปี 2020–2021 โซรอสจัดหาเงินทุนให้กับ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation เพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 ขณะเดียวกัน USAID และโซรอสถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินคดีต่อต้านทรัมป์ ตามที่ไมค์ เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกล่าวอ้าง นอกจากนี้ อัลวิน แบร็ก อัยการแมนฮัตตันยังถูกกล่าวหาว่าถูกโซรอส “ซื้อ” อีกด้วย https://www.imctnews.com/news_details-news-6608.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • จนท.รัฐสังกัด USAID โดนสั่งไม่ต้องมาทำงานหลังข่าว 'ทรัมป์' ไฟเขียวสั่งปิด

    เจ้าหน้าที่องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ​ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ถูกสั่งว่าไม่ต้องเข้าตึกทำงานในวันจันทร์ ที่สำนักงานใหญ่กรุงวอชิงตัน

    สำนักข่าวเอพีรายงานข่าวนี้โดยอ้างเอกสารเเจ้งต่อเจ้าหน้าที่ USAID หลังจากที่มหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ที่ทำงานให้กับรัฐบาลในโครงการประหยัดงบประมาณกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตกลงกับเขาว่าสามารถปิดองค์กรดังกล่าวได้

    USAID พบว่าพนักงานกว่า 600 คนระบุว่าไม่สามารถเข้าระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ช่วงข้ามคืน

    ส่วนผู้ที่สามารถเข้าระบบได้ กล่าวว่ามีอีเมลที่ส่งถึงพวกตนที่ระบุว่า "ตามเเนวทางของผู้นำองค์กร" ตึกสำนักงานใหญ่จะถูกปิดลงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์

    ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์ กล่าวเช้าวันจันทร์ว่า เขาได้คุยกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว และว่าผู้นำสหรัฐฯ "ตกลงว่าเราสามารถปิดมันลงได้" โดย USAID เป็นองค์กรอายุ 60 ปีที่ทำงานด้านความช่วยเหลือและการพัฒนา

    มัสก์กล่าวผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “เป็นที่เห็นได้ว่า มันไม่ใช้แอปเปิลที่มีหนอนหนึ่งตัวอยู่ข้างใน…ที่เรามีอยู่ตอนนี้มันคือหนอนทั้งลูกเลย คุณจึงต้องกำจัดทั้งหมดไป มันเกินกว่าที่จะแก้ไขได้”

    “เรากำลังปิดมันลง” มัสก์กล่าว

    USAID เป็นที่หมายตาของผู้ที่ต้องการตัดลดงบประมาณมาระยะหนึ่งเเล้ว องค์กรนี้ดูเเลเรื่องโครงการพัฒนา งานด้านความมั่นคง และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในประเทศต่าง ๆ รวมแล้ว 120 ประเทศ

    ประธานาธิบดีทรัมป์ อิลอน มัสก์ ตลอดจนนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันในสภา ยังได้เคยวิจารณ์ USAID ว่าส่งเสริมงานที่มีเเนวคิดเสรีนิยม

    สำนักข่าวเอพีอ้างแหล่งข่าวที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ปัจจุบันอีกรายหนึ่ง ซึ่งบอกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลทรัมป์สั่งพักงานเจ้าหน้าที่สูงสุดด้านความปลอดภัยของ USAID สองราย หลังจากที่พวกเขาไม่ส่งมอบข้อมูลชั้นความลับในพื้นที่หวงห้าม ให้กับคณะทำงานตรวจสอบรัฐบาลของมัสก์

    ทั้งนี้ เว็บไซต์ของ USAID หายไปจากอินเตอร์เน็ตในวันเสาร์โดยไม่มีคำอธิบาย

    ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวคืนวันอาทิตย์ว่าองค์กรดังกล่าวบริหารงานโดย “คนบ้าหัวรุนเเรง” และว่า “เราจะเอาพวกเขาออกไป”

    รัฐบาลอเมริกันภายใต้ทรัมป์ ได้ใช้มาตรการระงับความช่วยเหลือต่างชาติครั้งใหญ่ และปิดโครงการจำนวนมากของ USAID ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำงานรูปแบบเดียวกันต้องปลดคนออกจากงาน หรือพักงานจำนวนมาก
    จนท.รัฐสังกัด USAID โดนสั่งไม่ต้องมาทำงานหลังข่าว 'ทรัมป์' ไฟเขียวสั่งปิด เจ้าหน้าที่องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ​ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ถูกสั่งว่าไม่ต้องเข้าตึกทำงานในวันจันทร์ ที่สำนักงานใหญ่กรุงวอชิงตัน สำนักข่าวเอพีรายงานข่าวนี้โดยอ้างเอกสารเเจ้งต่อเจ้าหน้าที่ USAID หลังจากที่มหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ที่ทำงานให้กับรัฐบาลในโครงการประหยัดงบประมาณกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตกลงกับเขาว่าสามารถปิดองค์กรดังกล่าวได้ USAID พบว่าพนักงานกว่า 600 คนระบุว่าไม่สามารถเข้าระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ช่วงข้ามคืน ส่วนผู้ที่สามารถเข้าระบบได้ กล่าวว่ามีอีเมลที่ส่งถึงพวกตนที่ระบุว่า "ตามเเนวทางของผู้นำองค์กร" ตึกสำนักงานใหญ่จะถูกปิดลงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์ กล่าวเช้าวันจันทร์ว่า เขาได้คุยกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว และว่าผู้นำสหรัฐฯ "ตกลงว่าเราสามารถปิดมันลงได้" โดย USAID เป็นองค์กรอายุ 60 ปีที่ทำงานด้านความช่วยเหลือและการพัฒนา มัสก์กล่าวผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “เป็นที่เห็นได้ว่า มันไม่ใช้แอปเปิลที่มีหนอนหนึ่งตัวอยู่ข้างใน…ที่เรามีอยู่ตอนนี้มันคือหนอนทั้งลูกเลย คุณจึงต้องกำจัดทั้งหมดไป มันเกินกว่าที่จะแก้ไขได้” “เรากำลังปิดมันลง” มัสก์กล่าว USAID เป็นที่หมายตาของผู้ที่ต้องการตัดลดงบประมาณมาระยะหนึ่งเเล้ว องค์กรนี้ดูเเลเรื่องโครงการพัฒนา งานด้านความมั่นคง และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในประเทศต่าง ๆ รวมแล้ว 120 ประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ อิลอน มัสก์ ตลอดจนนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันในสภา ยังได้เคยวิจารณ์ USAID ว่าส่งเสริมงานที่มีเเนวคิดเสรีนิยม สำนักข่าวเอพีอ้างแหล่งข่าวที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ปัจจุบันอีกรายหนึ่ง ซึ่งบอกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลทรัมป์สั่งพักงานเจ้าหน้าที่สูงสุดด้านความปลอดภัยของ USAID สองราย หลังจากที่พวกเขาไม่ส่งมอบข้อมูลชั้นความลับในพื้นที่หวงห้าม ให้กับคณะทำงานตรวจสอบรัฐบาลของมัสก์ ทั้งนี้ เว็บไซต์ของ USAID หายไปจากอินเตอร์เน็ตในวันเสาร์โดยไม่มีคำอธิบาย ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวคืนวันอาทิตย์ว่าองค์กรดังกล่าวบริหารงานโดย “คนบ้าหัวรุนเเรง” และว่า “เราจะเอาพวกเขาออกไป” รัฐบาลอเมริกันภายใต้ทรัมป์ ได้ใช้มาตรการระงับความช่วยเหลือต่างชาติครั้งใหญ่ และปิดโครงการจำนวนมากของ USAID ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำงานรูปแบบเดียวกันต้องปลดคนออกจากงาน หรือพักงานจำนวนมาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 265 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'มัสก์' จวกระบบสื่อสหรัฐฯ! ชี้ 5 ผู้ทรงอิทธิพล มหาเศรษฐีครองอำนาจสื่อกระแสหลักสหรัฐฯ ผูกขาดอำนาจกรองข่าวสารเบ็ดเสร็จ


    https://www.imctnews.com/news_details-news-6525.html

    อีลอน มัสก์ จุดประเด็นร้อนวิพากษ์วิจารณ์การกระจุกตัวของอำนาจสื่อในสหรัฐอเมริกา ระบุมีผู้ทรงอิทธิพลเพียง 5 คนที่ควบคุมและกรองข้อมูลข่าวสารทั้งหมด

    นำโดย ไบรอัน แอล โรเบิร์ตส์ ประธานและซีอีโอของ Comcast Corporation ที่ครอบครองเครือข่าย NBC, MSNBC, CNBC, Universal Pictures และ Peacock

    ด้านตระกูล Disney มีคริสติน แมคคาร์ธี และบ็อบ ไอเกอร์ ควบคุม ABC, ESPN, Disney+, Hulu รวมถึงค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Pixar, Marvel และ Lucasfilm

    ขณะที่ชารี เรดสโตน แห่ง Paramount Global กุมบังเหียน CBS, MTV, Nickelodeon และ Paramount Pictures
    ส่วนตระกูลเมอร์ด็อกครอบครอง Fox Corporation และ News Corporation รวมถึง Wall Street Journal

    ตระกูลเฮิร์สต์เจ้าของ Hearst Communications ที่ควบคุมหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังถือหุ้นใน A&E Networks และ ESPN ร่วมกับ Disney

    สะท้อนการผูกขาดอำนาจสื่อที่ส่งผลต่อการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการรับรู้ของประชาชนชาวอเมริกันในชีวิตประจำวัน
    'มัสก์' จวกระบบสื่อสหรัฐฯ! ชี้ 5 ผู้ทรงอิทธิพล มหาเศรษฐีครองอำนาจสื่อกระแสหลักสหรัฐฯ ผูกขาดอำนาจกรองข่าวสารเบ็ดเสร็จ https://www.imctnews.com/news_details-news-6525.html อีลอน มัสก์ จุดประเด็นร้อนวิพากษ์วิจารณ์การกระจุกตัวของอำนาจสื่อในสหรัฐอเมริกา ระบุมีผู้ทรงอิทธิพลเพียง 5 คนที่ควบคุมและกรองข้อมูลข่าวสารทั้งหมด นำโดย ไบรอัน แอล โรเบิร์ตส์ ประธานและซีอีโอของ Comcast Corporation ที่ครอบครองเครือข่าย NBC, MSNBC, CNBC, Universal Pictures และ Peacock ด้านตระกูล Disney มีคริสติน แมคคาร์ธี และบ็อบ ไอเกอร์ ควบคุม ABC, ESPN, Disney+, Hulu รวมถึงค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Pixar, Marvel และ Lucasfilm ขณะที่ชารี เรดสโตน แห่ง Paramount Global กุมบังเหียน CBS, MTV, Nickelodeon และ Paramount Pictures ส่วนตระกูลเมอร์ด็อกครอบครอง Fox Corporation และ News Corporation รวมถึง Wall Street Journal ตระกูลเฮิร์สต์เจ้าของ Hearst Communications ที่ควบคุมหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังถือหุ้นใน A&E Networks และ ESPN ร่วมกับ Disney สะท้อนการผูกขาดอำนาจสื่อที่ส่งผลต่อการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการรับรู้ของประชาชนชาวอเมริกันในชีวิตประจำวัน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทรัมป์ฟันฉับ! ตัดงบ USAID ทุบเครือข่าย Soros – สื่อฝ่ายค้านฮังการีสะดุ้ง!"

    เนื้อข่าว:
    สื่อต่อต้านรัฐบาลฮังการีกำลังร้อนเป็นไฟ หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ากลุ่ม NGO และสื่อฮังการีที่เชื่อมโยงกับมหาเศรษฐี George Soros ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นว่าความ "อิสระ" ของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์…แต่อยู่ที่งบหนุนจากต่างชาติ

    "Soros หมดฤทธิ์! เมื่อเงินหนุนฝ่ายค้านฮังการีถูกตัดขาด"

    Balázs Orbán ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของนายกรัฐมนตรีฮังการี ได้แฉว่าหนึ่งในสื่อฝ่ายค้านรายใหญ่ของประเทศไม่พอใจอย่างหนัก หลังสูญเสียแหล่งทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามว่า "สื่อที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลต่างชาติ จะเรียกว่าอิสระได้อย่างไร?"

    ด้าน Elon Musk นักธุรกิจพันล้านและที่ปรึกษาคนสนิทของทรัมป์ รีโพสต์ข้อความของ Orbán พร้อมซัดแรงว่า "ฝ่ายซ้ายสุดโต่งของสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่ออุ้มพรรคการเมืองและสื่อฝ่ายซ้ายทั่วโลก!" ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์

    "เครือข่าย Soros สะเทือน! USAID โดนทรัมป์เชือด"

    คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้กระทบแค่สื่อฝ่ายค้าน แต่ยังส่งผลไปถึง NGO ฮังการีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ George Soros ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนหลักผ่าน USAID และสถานทูตสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ David Pressman

    ก่อนหน้านี้ ในวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ สถานทูตสหรัฐฯ ที่บูดาเปสต์เคยประกาศแจกจ่ายงบกว่า 200 ล้านฟอรินต์ (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับกลุ่มสื่อและ NGO ผ่านโครงการ Free Media Tender ซึ่งขณะนี้ถูกสั่งระงับ สื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 444, Jelen, G7, Magyar Hang และ Transparency International
    Mérték Media Monitor ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลโครงการนี้ยืนยันว่า "ใช่ โครงการนี้ถูกระงับแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอ ไม่มีการทำสัญญาหรือรับเงินเพิ่มเติม"

    "ตัดท่อน้ำเลี้ยง! สื่อและ NGO ในเครือข่าย Soros โดนเท"

    การระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศครั้งนี้ถือเป็นหมัดหนักที่โจมตีเครือข่ายของ Soros ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทสำคัญในการใช้เงินทุนเพื่อผลักดันแนวคิดเสรีนิยมทั่วโลก ทรัมป์เคยเตือนหลายครั้งว่า USAID ไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย

    "ตัดเงินสนับสนุน = เปิดโปงความจริง!" ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่านี่คือการคืนความโปร่งใสให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดการใช้เงินภาษีอุ้มกลุ่มการเมืองต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายค้านฮังการีและ NGO ที่เคยได้รับทุนต่างออกมาโวยวายว่าการตัดงบนี้คือการทำลาย "ประชาธิปไตย"

    อย่างไรก็ตาม คำถามที่ชัดเจนขึ้นก็คือ "ถ้าต้องพึ่งเงิน Soros และรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอด... ยังกล้าเรียกตัวเองว่าสื่ออิสระหรือ?"

    .
    https://web.facebook.com/share/p/1WpNbXhfxE/
    "ทรัมป์ฟันฉับ! ตัดงบ USAID ทุบเครือข่าย Soros – สื่อฝ่ายค้านฮังการีสะดุ้ง!" เนื้อข่าว: สื่อต่อต้านรัฐบาลฮังการีกำลังร้อนเป็นไฟ หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ากลุ่ม NGO และสื่อฮังการีที่เชื่อมโยงกับมหาเศรษฐี George Soros ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นว่าความ "อิสระ" ของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์…แต่อยู่ที่งบหนุนจากต่างชาติ "Soros หมดฤทธิ์! เมื่อเงินหนุนฝ่ายค้านฮังการีถูกตัดขาด" Balázs Orbán ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของนายกรัฐมนตรีฮังการี ได้แฉว่าหนึ่งในสื่อฝ่ายค้านรายใหญ่ของประเทศไม่พอใจอย่างหนัก หลังสูญเสียแหล่งทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามว่า "สื่อที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลต่างชาติ จะเรียกว่าอิสระได้อย่างไร?" ด้าน Elon Musk นักธุรกิจพันล้านและที่ปรึกษาคนสนิทของทรัมป์ รีโพสต์ข้อความของ Orbán พร้อมซัดแรงว่า "ฝ่ายซ้ายสุดโต่งของสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่ออุ้มพรรคการเมืองและสื่อฝ่ายซ้ายทั่วโลก!" ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์ "เครือข่าย Soros สะเทือน! USAID โดนทรัมป์เชือด" คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้กระทบแค่สื่อฝ่ายค้าน แต่ยังส่งผลไปถึง NGO ฮังการีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ George Soros ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนหลักผ่าน USAID และสถานทูตสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ David Pressman ก่อนหน้านี้ ในวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ สถานทูตสหรัฐฯ ที่บูดาเปสต์เคยประกาศแจกจ่ายงบกว่า 200 ล้านฟอรินต์ (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับกลุ่มสื่อและ NGO ผ่านโครงการ Free Media Tender ซึ่งขณะนี้ถูกสั่งระงับ สื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 444, Jelen, G7, Magyar Hang และ Transparency International Mérték Media Monitor ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลโครงการนี้ยืนยันว่า "ใช่ โครงการนี้ถูกระงับแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอ ไม่มีการทำสัญญาหรือรับเงินเพิ่มเติม" "ตัดท่อน้ำเลี้ยง! สื่อและ NGO ในเครือข่าย Soros โดนเท" การระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศครั้งนี้ถือเป็นหมัดหนักที่โจมตีเครือข่ายของ Soros ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทสำคัญในการใช้เงินทุนเพื่อผลักดันแนวคิดเสรีนิยมทั่วโลก ทรัมป์เคยเตือนหลายครั้งว่า USAID ไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย "ตัดเงินสนับสนุน = เปิดโปงความจริง!" ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่านี่คือการคืนความโปร่งใสให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดการใช้เงินภาษีอุ้มกลุ่มการเมืองต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายค้านฮังการีและ NGO ที่เคยได้รับทุนต่างออกมาโวยวายว่าการตัดงบนี้คือการทำลาย "ประชาธิปไตย" อย่างไรก็ตาม คำถามที่ชัดเจนขึ้นก็คือ "ถ้าต้องพึ่งเงิน Soros และรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอด... ยังกล้าเรียกตัวเองว่าสื่ออิสระหรือ?" . https://web.facebook.com/share/p/1WpNbXhfxE/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กล่าวโจมตีสำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) เรียกหน่วยงานแห่งนี้ว่าเป็น "องค์กรก่อการร้าย" หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนไหวระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศของวอชิงตันเป็นเวลา 3 เดือน
    .
    หลังจากระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นรัฐบาลของทรัมป์ ได้ออกประกาศมอบข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือด้านอาการและมนุษยธรรมอื่นๆ แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือบอกว่าคำสั่งดังกล่าวยังคงนำพามาซึ่งความไม่แน่นอน และกลุ่มคนอ่อนแอที่สุดในโลกบางส่วนเริ่มสัมผัสได้ถึงผลกระทบของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    ทรัมป์ มอบหมายให้ มัสก์ รับผิดชอบด้านการตัดลดคนงานรัฐบาลและปรับลดในสิ่งที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้เรียกว่าเป็นการใช้จ่ายที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น ภายใต้หน้ากากของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งเวลานี้กำลังเล่นงาน USAID ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    .
    "USAID คือองค์กรอาชญากรรม" มัสก์ เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเอง ตอบกลับวิดีโอหนึ่งที่กล่าวอ้างว่า USAID เกี่ยวข้องกับ "งานเกเรของ CIA" และ "เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต"
    .
    ข้อความในโพสต์ต่อมา มัสก์เน้นย้ำในคำกล่าวหานี้ แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาถามผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ 215 ล้านคน "คุณรู้หรือไม่ว่า USAID ใช้ภาษีเงินดอลลาร์ของคุณเป็นทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 ที่เข่นฆ่าผู้คนหลายล้านคน"
    .
    มีรายงานว่า ทรัมป์ ต้องการดึง USAID ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานอิสระ เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการต่างประเทศ แต่พอสำนักข่าวเอเอฟพีติดต่อสอบถามในเรื่องนี้ ทางคณะทำงานของทรัมป์ ยังไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
    .
    เอเอฟพียืนยันว่าเวลานี้เว็บไซต์ของ USAID หยุดให้บริการแล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งระงับการช่วยเหลือต่างประเทศและองค์การพัฒนาทั่วโลก ทำให้ต้องมีการพักงาน เลิกจ้าง และปิดโครงการต่างๆ หลายพันโครงการ
    .
    USAID เป็นองค์กรอิสระที่ถูกจัดตั้งขึ้นในนามของสภาคองเกรส ทำหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณกว่า 42,800 ล้านดอลลาร์ ที่มีเจตนาบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมและมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ทั่วโลก
    .
    คริส เมอร์ฟีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากเดโมแครต วิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของทรัมป์ ว่าเทียบเท่ากับเป็นการทำลายล้างองค์กรแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
    .
    ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของ USAID จำนวน 2 ราย ถูกบังคับให้ลางาน หลังจากพวกเขาห้ามเจ้าหน้าที่จากกระทรวง DOGE ของมัสก์ เข้าถึงเอกสารลับ ส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างกว้างขวางในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010780
    ..................
    Sondhi X
    มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กล่าวโจมตีสำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) เรียกหน่วยงานแห่งนี้ว่าเป็น "องค์กรก่อการร้าย" หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนไหวระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศของวอชิงตันเป็นเวลา 3 เดือน . หลังจากระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นรัฐบาลของทรัมป์ ได้ออกประกาศมอบข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือด้านอาการและมนุษยธรรมอื่นๆ แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือบอกว่าคำสั่งดังกล่าวยังคงนำพามาซึ่งความไม่แน่นอน และกลุ่มคนอ่อนแอที่สุดในโลกบางส่วนเริ่มสัมผัสได้ถึงผลกระทบของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . ทรัมป์ มอบหมายให้ มัสก์ รับผิดชอบด้านการตัดลดคนงานรัฐบาลและปรับลดในสิ่งที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้เรียกว่าเป็นการใช้จ่ายที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น ภายใต้หน้ากากของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งเวลานี้กำลังเล่นงาน USAID ซ้ำแล้วซ้ำเล่า . "USAID คือองค์กรอาชญากรรม" มัสก์ เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเอง ตอบกลับวิดีโอหนึ่งที่กล่าวอ้างว่า USAID เกี่ยวข้องกับ "งานเกเรของ CIA" และ "เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต" . ข้อความในโพสต์ต่อมา มัสก์เน้นย้ำในคำกล่าวหานี้ แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาถามผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ 215 ล้านคน "คุณรู้หรือไม่ว่า USAID ใช้ภาษีเงินดอลลาร์ของคุณเป็นทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 ที่เข่นฆ่าผู้คนหลายล้านคน" . มีรายงานว่า ทรัมป์ ต้องการดึง USAID ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานอิสระ เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการต่างประเทศ แต่พอสำนักข่าวเอเอฟพีติดต่อสอบถามในเรื่องนี้ ทางคณะทำงานของทรัมป์ ยังไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว . เอเอฟพียืนยันว่าเวลานี้เว็บไซต์ของ USAID หยุดให้บริการแล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งระงับการช่วยเหลือต่างประเทศและองค์การพัฒนาทั่วโลก ทำให้ต้องมีการพักงาน เลิกจ้าง และปิดโครงการต่างๆ หลายพันโครงการ . USAID เป็นองค์กรอิสระที่ถูกจัดตั้งขึ้นในนามของสภาคองเกรส ทำหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณกว่า 42,800 ล้านดอลลาร์ ที่มีเจตนาบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมและมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ทั่วโลก . คริส เมอร์ฟีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากเดโมแครต วิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของทรัมป์ ว่าเทียบเท่ากับเป็นการทำลายล้างองค์กรแห่งนี้โดยสิ้นเชิง . ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของ USAID จำนวน 2 ราย ถูกบังคับให้ลางาน หลังจากพวกเขาห้ามเจ้าหน้าที่จากกระทรวง DOGE ของมัสก์ เข้าถึงเอกสารลับ ส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างกว้างขวางในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010780 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1311 มุมมอง 0 รีวิว
  • แล้วดูคนจีนตอนนี้...หรือ คนจีนที่ไทย หรือทั่วโลก..ในอนาคตจะแซงอเมริกาแล้ว...ไม่ใช่จีนแบบเก่าที่ copy อย่างเดียว...แต่เป็นการ copy and development ต่อยอดไปอีก...
    ..กลับเข้าเรื่อง ..ทำไมเราไหว้เจ้า ตามคนจีจีน ดูฮวงจุ้ยตามคนอื่น..เคารพเทพของจีน..และคามอย่างอีกหลายความเชื่อ และวิถีปฏิบัติแบบจีน....เพราะ ..เขาสำเร็จ เขารวย...ไง...เราไม่รู้หรอกอันไหนให้ผลบ้าง...แค่กรณี เลข 8 ...ของคนจีน..มีมาช้านาน...ไปดูมหาเศรษฐีในประเทศสิ ..ใช้เลข 8 กันไม่น้อย...
    แล้วดูคนจีนตอนนี้...หรือ คนจีนที่ไทย หรือทั่วโลก..ในอนาคตจะแซงอเมริกาแล้ว...ไม่ใช่จีนแบบเก่าที่ copy อย่างเดียว...แต่เป็นการ copy and development ต่อยอดไปอีก... ..กลับเข้าเรื่อง ..ทำไมเราไหว้เจ้า ตามคนจีจีน ดูฮวงจุ้ยตามคนอื่น..เคารพเทพของจีน..และคามอย่างอีกหลายความเชื่อ และวิถีปฏิบัติแบบจีน....เพราะ ..เขาสำเร็จ เขารวย...ไง...เราไม่รู้หรอกอันไหนให้ผลบ้าง...แค่กรณี เลข 8 ...ของคนจีน..มีมาช้านาน...ไปดูมหาเศรษฐีในประเทศสิ ..ใช้เลข 8 กันไม่น้อย...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี แนะนำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อช่องแคบอังกฤษเป็น "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่งเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา
    .
    ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเองเมื่อวันเสาร์ (25 ม.ค.) มัสก์ เสนอ "ชื่อใหม่สำหรับน่านน้ำที่กั้นกลางระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส" โดยแชร์ภาพถ่ายของช่องแคบแห่งนี้ พร้อมกับเขียนข้อความ "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" ทับบนช่องแคบ
    .
    ดูเหมือนว่าโพสต์ข้อมัสก์จะเป็นการล้อเล่นขำๆ แต่มันมีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ พันธมิตรทางการเมืองใกล้ชิดของมัสก์ ออกคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และเปลี่ยนชื่อยอดเขาเดนาลี ในรัฐอะแลสกา กลับมาเป็นภูเขาแม็คคินลีย์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมช่วงก่อนหน้าปี 2015 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านั้น ได้รับการยืนยันจากกระทรวงมหาดไทยของอเมริกาเมื่อวันศุกร์ (24 ม.ค.)
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศซ้ำๆ ถึงความตั้งใจให้ได้มาซึ่งเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวที่จะเป็นการขยายชายฝั่งทะเลอาร์กติกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ล่าสุด ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเสาร์ (25 ม.ค.) หลังพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เมตเต เฟรเดอริกเซน​​ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า "ผมคิดว่าเรากำลังได้มันมา"
    .
    ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ยังชี้แนะหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของอเมริกา
    .
    ชาวโรมันเรียกช่องแคบอังกฤษว่า "Mare Britannicum" หรือ "ทะเลของชาวบริตัน" มันถูกเรียกกันทั่วไปว่าช่องแคบอังกฤษตั้งแต่ยุคกลาง แม้ว่าในฝรั่งเศสจะเรียกว่า "La Manche" หรือ "The Sleeve" เนื่องจากรูปทรงของมัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008691
    ..............
    Sondhi X
    อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี แนะนำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อช่องแคบอังกฤษเป็น "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่งเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา . ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเองเมื่อวันเสาร์ (25 ม.ค.) มัสก์ เสนอ "ชื่อใหม่สำหรับน่านน้ำที่กั้นกลางระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส" โดยแชร์ภาพถ่ายของช่องแคบแห่งนี้ พร้อมกับเขียนข้อความ "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" ทับบนช่องแคบ . ดูเหมือนว่าโพสต์ข้อมัสก์จะเป็นการล้อเล่นขำๆ แต่มันมีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ พันธมิตรทางการเมืองใกล้ชิดของมัสก์ ออกคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และเปลี่ยนชื่อยอดเขาเดนาลี ในรัฐอะแลสกา กลับมาเป็นภูเขาแม็คคินลีย์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมช่วงก่อนหน้าปี 2015 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านั้น ได้รับการยืนยันจากกระทรวงมหาดไทยของอเมริกาเมื่อวันศุกร์ (24 ม.ค.) . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศซ้ำๆ ถึงความตั้งใจให้ได้มาซึ่งเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวที่จะเป็นการขยายชายฝั่งทะเลอาร์กติกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ล่าสุด ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเสาร์ (25 ม.ค.) หลังพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เมตเต เฟรเดอริกเซน​​ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า "ผมคิดว่าเรากำลังได้มันมา" . ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ยังชี้แนะหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของอเมริกา . ชาวโรมันเรียกช่องแคบอังกฤษว่า "Mare Britannicum" หรือ "ทะเลของชาวบริตัน" มันถูกเรียกกันทั่วไปว่าช่องแคบอังกฤษตั้งแต่ยุคกลาง แม้ว่าในฝรั่งเศสจะเรียกว่า "La Manche" หรือ "The Sleeve" เนื่องจากรูปทรงของมัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008691 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก
    .
    เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ
    .
    พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ
    .
    พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง
    .
    นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง
    .
    ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย
    .
    ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
    .
    วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ
    .
    นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก
    .
    ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    ถึงเวลา "ทรัมป์ 2.0" ตัวป่วนอเมริกาและโลก . เมื่อวันจันทร์ที่20 มกราคม ผมได้นั่งฟังสุนทรพจน์เนื่องในพิธีสาบานตนของนายทรัมป์ ยาวประมาณ 30 นาที เขาบอกว่า“ยุคทองของอเมริกา”กำลังจะเริ่มต้นนับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โผงผาง นิสัยใจคอคล้ายๆผม สุนทรพจน์สนุก มีสีสัน แล้วผมก็ต้องยอมรับว่า นายคนนี้เป็นตัวป่วนโลกจริงๆ สื่ออเมริการ้ายกาจมากนับเลยว่านายทรัมป์พูดได้ 2,885 คำ หรือยาวเป็นสองเท่า มากกว่าสมัยแรกที่พูดพูด 1,433 คำ . พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมายเลย หลายคนก็เข้ามาซบ เอาอกเอาใจนายทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของเฟซบุ๊ก นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้ง Amazon ซันดาร์ พิชัย คนอินเดีย ซีอีอีของ Google นายทิม คุก ซีอีโอของ Apple คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกหน้าออกตา จนนายทรัมป์ ประกาศว่าจะเช็กบิลกับคนพวกนี้หลังจากเลือกตั้งชนะ พวกนี้ก็เลยกระโดดเข้ามาร่วมวงก่อน มาแสดงความยินดี เพราะจะต้องยอมสยบกับนายทรัมป์ มิหนำซ้ำ ยังบริจาคเงินก้อนโตให้กับนายทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดทางธุรกิจ . พิธีสาบานตนรับตำแหน่งฯของโดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ8,500ล้านบาท เป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนในพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Apple, Meta, Google, Amzaon, Microsoft และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เมื่ออ่านเกมให้เป็น เงินบริจาคก็เหมือนเป็นค่าต๋ง ค่าคุ้มครอง ถ้าพูดในลักษณะเป็นมาเฟีย เป็นเครื่องบรรณาการซึ่งก็คือเงินสินบนนั่นเอง ใครบอกว่าอเมริกาไม่รับสินบน รับครับ แต่มาอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมเล่าให้ฟังนี้คือ โฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกันอย่างแท้จริง . นายทรัมป์ประกาศจะสร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่นายทรัมป์กับนโยบายกลับไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดเฉพาะผลประโยชน์ของตัว และทิ้งคุณค่าที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน นอกจากนี้ สหรัฐฯเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์ กลับหวนกลับไปใช้ จมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิมและใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง ไม่เคยคิดที่จะพัฒนาตัวเอง . ที่ย้อนแย้งที่สุด คือประชาชนอเมริกันเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภาเลือกคนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือภาวะกบเลือกนาย ที่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับกรรมมากที่สุดก็คือชาวอเมริกันทั้งหลาย . ทรัมป์พูดบอกว่า เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ จะเน้นที่คุณสมบัติ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อเมริกาจะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชายและหญิง ยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ . วันที่ 20 มกราคมในวันรับตำแหน่ง ทรัมป์บ้าเลือดมาก ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของไบเดน 78 ฉบับ เซ็นยกเลิกๆ เหมือนกับตบหน้านายไบเดน ว่านาทีแรกที่กูเข้ามาเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่มึงทำมา กูจะเซ็นออกให้หมด เพราะว่ามันไร้สาระ นั่นคือการตอบโต้ทางการเมือง ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่งสิบกว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ ปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมตอุดมการณ์ทางการเพศ . นี่ไงล่ะอเมริกาประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม ผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการริดลอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก . ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ
    Like
    Love
    Haha
    30
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1657 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mukesh Ambani, มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย กำลังวางแผนสร้างศูนย์ข้อมูล AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ศูนย์ข้อมูลนี้จะตั้งอยู่ในเมืองจามนาการ์ และคาดว่าจะมีความจุรวมถึงสามกิกะวัตต์เมื่อสร้างเสร็จ ซึ่งจะใหญ่กว่าศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันที่มีความจุน้อยกว่าหนึ่งกิกะวัตต์

    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดว่าค่าใช้จ่ายจะอยู่ในช่วง 20-30 พันล้านดอลลาร์ โดย Reliance Industries บริษัทหลักของ Ambani มีเงินสดประมาณ 26 พันล้านดอลลาร์ในบัญชี เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการนี้ Ambani อาจต้องหาวิธีการทางการเงินที่สร้างสรรค์ รวมถึงการขอรับเงินทุนจากรัฐบาล

    นอกจากนี้ Ambani ยังได้เริ่มซื้อชิปจาก Nvidia เพื่อใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลนี้ หาก Ambani สามารถทำสำเร็จ เขามีเป้าหมายที่จะครองตลาด AI โดยการให้บริการ inferencing ที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งหมายถึงการให้เช่าพลังการประมวลผลให้กับบริษัทที่ต้องการรันโมเดล AI โดยไม่ต้องสร้างและดูแลศูนย์ข้อมูลของตนเอง

    สิ่งที่ทำให้โครงการนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นคือความมุ่งมั่นของ Ambani ในการใช้พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่นี้จะใช้พลังงานหมุนเวียนจากคอมเพล็กซ์พลังงานสีเขียวที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งประกอบด้วยพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานไฮโดรเจน

    https://www.techspot.com/news/106490-indian-billionaire-plots-world-largest-ai-data-center.html
    Mukesh Ambani, มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย กำลังวางแผนสร้างศูนย์ข้อมูล AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ศูนย์ข้อมูลนี้จะตั้งอยู่ในเมืองจามนาการ์ และคาดว่าจะมีความจุรวมถึงสามกิกะวัตต์เมื่อสร้างเสร็จ ซึ่งจะใหญ่กว่าศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันที่มีความจุน้อยกว่าหนึ่งกิกะวัตต์ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดว่าค่าใช้จ่ายจะอยู่ในช่วง 20-30 พันล้านดอลลาร์ โดย Reliance Industries บริษัทหลักของ Ambani มีเงินสดประมาณ 26 พันล้านดอลลาร์ในบัญชี เพื่อเป็นการสนับสนุนโครงการนี้ Ambani อาจต้องหาวิธีการทางการเงินที่สร้างสรรค์ รวมถึงการขอรับเงินทุนจากรัฐบาล นอกจากนี้ Ambani ยังได้เริ่มซื้อชิปจาก Nvidia เพื่อใช้ในโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลนี้ หาก Ambani สามารถทำสำเร็จ เขามีเป้าหมายที่จะครองตลาด AI โดยการให้บริการ inferencing ที่มีต้นทุนต่ำ ซึ่งหมายถึงการให้เช่าพลังการประมวลผลให้กับบริษัทที่ต้องการรันโมเดล AI โดยไม่ต้องสร้างและดูแลศูนย์ข้อมูลของตนเอง สิ่งที่ทำให้โครงการนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นคือความมุ่งมั่นของ Ambani ในการใช้พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่นี้จะใช้พลังงานหมุนเวียนจากคอมเพล็กซ์พลังงานสีเขียวที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งประกอบด้วยพลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานไฮโดรเจน https://www.techspot.com/news/106490-indian-billionaire-plots-world-largest-ai-data-center.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Asia's richest man Mukesh Ambani plots world's largest AI data center in India
    The data center is being constructed in Jamnagar and is projected to have a staggering total capacity of three gigawatts upon completion. For perspective, the largest operational...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • เศรษฐีแนะนำ คนรุ่นใหม่
    ที่ เบื่อชีวิตวนลูป สิ่งซ้ำๆ
    ให้มองว่าที่ทำงานคือ
    "โรงเรียนที่ได้เงิน"
    .
    ถ้าเราเคยเบื่อกับงานประจำ เบื่อชีวิตวนลูป เบื่อสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในทุกวัน การลองเปลี่ยนมุมมองจะช่วยให้ความเบื่อนี้มันดีขึ้นกว่าไหม?
    .
    หนึ่งในคำแนะนำที่ดีที่สุดของ Mark Cuban ที่แนะนำคนรุ่นใหม่คือ “มองงานเป็นโรงเรียน รับเงินเพื่อเรียนรู้”
    .
    Mark Cuban เจ้าของทีม Dallas Mavericks และนักลงทุนชื่อดัง ได้แบ่งปันแนวคิดผ่าน BlueSky โดยเขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่มองการทำงานในแบบที่นักกีฬาอาชีพมอง เป็นฟรีเอเจนต์ที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา
    .
    "คุณจ่ายเงินเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะได้รับเงินเพื่อเรียนรู้" แม้ว่าเราต้องทำงานให้ดีที่สุด แต่ทุกคนมีอิสระที่จะมองหาโอกาสและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ
    .
    ถ้าถามว่าคำแนะนำของเขาเชื่อถือได้ไหม? ก็คิดว่าได้ เพราะเขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายคอมพิวเตอร์ มาสู่การเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน
    .
    เขาพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในวัย 20 ต้น ๆ เขาได้งานที่บริษัทขายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ทั้งที่เรียนวิชาคอมพิวเตอร์มาเพียงวิชาเดียว แทนที่จะย่อท้อ เขากลับทุ่มเทศึกษาคู่มือคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง จนสามารถก่อตั้งบริษัท MicroSolutions และขายได้ในราคา 6 ล้านดอลลาร์ในปี 1990
    .
    “ความสมดุลระหว่างการเรียนรู้และความมั่นคง”
    Patrice Williams Lindo ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาด้านอาชีพ Career Nomad ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า การเป็น "ฟรีเอเจนต์" ไม่ได้หมายถึงการมองหางานใหม่ตลอดเวลา แต่ควรเน้นการสร้างคุณค่าในงานปัจจุบัน พร้อม ๆ กับการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
    .
    และนี่เป็น 5 วิธีประยุกต์ใช้แนวคิด "รับเงินเพื่อเรียนรู้" ในชีวิตจริง
    .
    1. มองทุกงานเป็นโอกาสเรียนรู้ แม้งานจะไม่ตรงสาย แต่ทักษะที่ได้อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต
    2. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ กำหนดสิ่งที่ต้องการพัฒนาในแต่ละเดือน เช่น ทักษะใหม่ หรือความเข้าใจในธุรกิจ
    3. สร้างเครือข่ายอย่างมีคุณภาพ รักษาความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เพราะอาจเป็นโอกาสในอนาคต
    4. ติดตามการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม รู้ทันเทรนด์และทักษะที่ตลาดต้องการ
    5. ลงทุนกับตัวเอง หาโอกาสพัฒนาทักษะผ่านการอบรม สัมมนา หรือการเรียนออนไลน์
    .
    อย่าลืมว่า…โอกาสอยู่รอบตัว
    ในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมองงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เหมือนที่ Mark Cuban พูดไว้ "คุณเป็นฟรีเอเจนต์เสมอ"
    .
    มันไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนงานบ่อย ๆ แต่เพื่อเปิดใจรับโอกาสและพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะในที่สุด ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ จะเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในการสร้างความสำเร็จในอนาคต
    .
    .
    เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH
    ———
    100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน
    .
    #Mindset #Business
    #100WEALTH
    #ไปให้ถึง100ล้าน
    .
    อ้างอิง
    https://bit .ly/4jsKppt
    เศรษฐีแนะนำ คนรุ่นใหม่ ที่ เบื่อชีวิตวนลูป สิ่งซ้ำๆ ให้มองว่าที่ทำงานคือ "โรงเรียนที่ได้เงิน" . ถ้าเราเคยเบื่อกับงานประจำ เบื่อชีวิตวนลูป เบื่อสิ่งที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในทุกวัน การลองเปลี่ยนมุมมองจะช่วยให้ความเบื่อนี้มันดีขึ้นกว่าไหม? . หนึ่งในคำแนะนำที่ดีที่สุดของ Mark Cuban ที่แนะนำคนรุ่นใหม่คือ “มองงานเป็นโรงเรียน รับเงินเพื่อเรียนรู้” . Mark Cuban เจ้าของทีม Dallas Mavericks และนักลงทุนชื่อดัง ได้แบ่งปันแนวคิดผ่าน BlueSky โดยเขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่มองการทำงานในแบบที่นักกีฬาอาชีพมอง เป็นฟรีเอเจนต์ที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตลอดเวลา . "คุณจ่ายเงินเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะได้รับเงินเพื่อเรียนรู้" แม้ว่าเราต้องทำงานให้ดีที่สุด แต่ทุกคนมีอิสระที่จะมองหาโอกาสและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เสมอ . ถ้าถามว่าคำแนะนำของเขาเชื่อถือได้ไหม? ก็คิดว่าได้ เพราะเขาเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายคอมพิวเตอร์ มาสู่การเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน . เขาพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในวัย 20 ต้น ๆ เขาได้งานที่บริษัทขายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ทั้งที่เรียนวิชาคอมพิวเตอร์มาเพียงวิชาเดียว แทนที่จะย่อท้อ เขากลับทุ่มเทศึกษาคู่มือคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง จนสามารถก่อตั้งบริษัท MicroSolutions และขายได้ในราคา 6 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 . “ความสมดุลระหว่างการเรียนรู้และความมั่นคง” Patrice Williams Lindo ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาด้านอาชีพ Career Nomad ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า การเป็น "ฟรีเอเจนต์" ไม่ได้หมายถึงการมองหางานใหม่ตลอดเวลา แต่ควรเน้นการสร้างคุณค่าในงานปัจจุบัน พร้อม ๆ กับการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง . และนี่เป็น 5 วิธีประยุกต์ใช้แนวคิด "รับเงินเพื่อเรียนรู้" ในชีวิตจริง . 1. มองทุกงานเป็นโอกาสเรียนรู้ แม้งานจะไม่ตรงสาย แต่ทักษะที่ได้อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต 2. ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ กำหนดสิ่งที่ต้องการพัฒนาในแต่ละเดือน เช่น ทักษะใหม่ หรือความเข้าใจในธุรกิจ 3. สร้างเครือข่ายอย่างมีคุณภาพ รักษาความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน เพราะอาจเป็นโอกาสในอนาคต 4. ติดตามการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม รู้ทันเทรนด์และทักษะที่ตลาดต้องการ 5. ลงทุนกับตัวเอง หาโอกาสพัฒนาทักษะผ่านการอบรม สัมมนา หรือการเรียนออนไลน์ . อย่าลืมว่า…โอกาสอยู่รอบตัว ในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดแรงงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมองงานเป็นโอกาสในการเรียนรู้อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ เหมือนที่ Mark Cuban พูดไว้ "คุณเป็นฟรีเอเจนต์เสมอ" . มันไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนงานบ่อย ๆ แต่เพื่อเปิดใจรับโอกาสและพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะในที่สุด ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมไว้ จะเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในการสร้างความสำเร็จในอนาคต . . เขียนและเรียบเรียงโดย 100WEALTH ——— 100WEALTH l ไปให้ถึง100ล้าน . #Mindset #Business #100WEALTH #ไปให้ถึง100ล้าน . อ้างอิง https://bit .ly/4jsKppt
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • อภิมหึมา มหาเศรษฐีของโลก..กล่าวไว้คำนึง...แปลได้ความสรุปดังนี้...
    ....ผมไม่ได้รังเกียจคนจน...แต่สิ่งที่คนจนเป็น และกระทำ ต่างหาก..ที่มีปัญหา ..นั่นคือ เรื่อง ความรู้ ความคิด ทัศนคติ..ที่ทำให้เขาพัฒนาตนเองขึ้นไปไม่ได้ ..
    ..เช่นถ้าคนจนถูกหวย หรือรับมรดกมา.10-100 ล้าน...ก็จะหมดไปภายในเวลาไม่นาน..เพราะองค์ความรู้ในการบริหารเงิน...ไม่มี....และชีวิตก็จะกลับไป จน อย่างเดิม.... (เราเห็นคัวอย่างคนถูกหวยรางสัลที่1 ในไทยหลายคนเป็นแบบนี้เลย)
    ..เขากล่าว..คนรุ่นใหม่ ที่เริ่มสร้างธุรกิจเริ่มจากเล็กๆ...มีความก้าวหน้าในสัดส่วนที่น่าพอใจ..แบบนี้ ถึงยังไม่รวย ก็น่าชื่นชม...นั่นเพราะวิธีคิดของเขา...มีความก้าวหน้า ..มีความทะยานอยาก..ไม่ใช่โทษนั่นนี่ และยอมรับสภาพ..และใช้ชีวิตไปวันๆ....
    ..โอกาสที่ดีหายาก..และคุณจะไม่รู้ได้เลย ว่ามันใช่หรือเปล่า? ตราบใดที่คุณไม่ลอง...แต่ต้องบนพื้นฐานที่คุณมีความรู้..แตกฉานในสิ่งนั่นพอสมควร.ไม่ใช่แค่ ความอยาก...แบบนั้น 100 ธุรกิจ ก็เจ๊งหมด..
    อภิมหึมา มหาเศรษฐีของโลก..กล่าวไว้คำนึง...แปลได้ความสรุปดังนี้... ....ผมไม่ได้รังเกียจคนจน...แต่สิ่งที่คนจนเป็น และกระทำ ต่างหาก..ที่มีปัญหา ..นั่นคือ เรื่อง ความรู้ ความคิด ทัศนคติ..ที่ทำให้เขาพัฒนาตนเองขึ้นไปไม่ได้ .. ..เช่นถ้าคนจนถูกหวย หรือรับมรดกมา.10-100 ล้าน...ก็จะหมดไปภายในเวลาไม่นาน..เพราะองค์ความรู้ในการบริหารเงิน...ไม่มี....และชีวิตก็จะกลับไป จน อย่างเดิม.... (เราเห็นคัวอย่างคนถูกหวยรางสัลที่1 ในไทยหลายคนเป็นแบบนี้เลย) ..เขากล่าว..คนรุ่นใหม่ ที่เริ่มสร้างธุรกิจเริ่มจากเล็กๆ...มีความก้าวหน้าในสัดส่วนที่น่าพอใจ..แบบนี้ ถึงยังไม่รวย ก็น่าชื่นชม...นั่นเพราะวิธีคิดของเขา...มีความก้าวหน้า ..มีความทะยานอยาก..ไม่ใช่โทษนั่นนี่ และยอมรับสภาพ..และใช้ชีวิตไปวันๆ.... ..โอกาสที่ดีหายาก..และคุณจะไม่รู้ได้เลย ว่ามันใช่หรือเปล่า? ตราบใดที่คุณไม่ลอง...แต่ต้องบนพื้นฐานที่คุณมีความรู้..แตกฉานในสิ่งนั่นพอสมควร.ไม่ใช่แค่ ความอยาก...แบบนั้น 100 ธุรกิจ ก็เจ๊งหมด..
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • SCHOLZ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี : (เราสนับสนุนเสรีภาพในการพูด ตราบใดที่เราเห็นด้วยกับคุณ!!!) 😂😂😂

    "ในยุโรปรวมทั้งในเยอรมนีเรามีเสรีภาพในการพูด
    ทุกคนสามารถพูดในสิ่งที่ต้องการได้ แม้ว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐีก็ตาม
    สิ่งที่เราไม่ยอมรับคือ หากการพูดเป็นการสนับสนุนจุดยืนของฝ่ายขวา (อนุรักษนิยม)"

    .

    SCHOLZ: WE SUPPORT FREE SPEECH, AS LONG AS WE AGREE WITH YOU
    "We have the freedom of speech in Europe and in Germany.
    Everyone can say what he wants, even if he is a billionaire.
    What we do not accept is if this is supporting extreme right positions."
    SCHOLZ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี : (เราสนับสนุนเสรีภาพในการพูด ตราบใดที่เราเห็นด้วยกับคุณ!!!) 😂😂😂 "ในยุโรปรวมทั้งในเยอรมนีเรามีเสรีภาพในการพูด ทุกคนสามารถพูดในสิ่งที่ต้องการได้ แม้ว่าเขาจะเป็นมหาเศรษฐีก็ตาม สิ่งที่เราไม่ยอมรับคือ หากการพูดเป็นการสนับสนุนจุดยืนของฝ่ายขวา (อนุรักษนิยม)" . SCHOLZ: WE SUPPORT FREE SPEECH, AS LONG AS WE AGREE WITH YOU "We have the freedom of speech in Europe and in Germany. Everyone can say what he wants, even if he is a billionaire. What we do not accept is if this is supporting extreme right positions."
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 24 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจุด "ยุคทองใหม่ ในสหรัฐฯ เริ่มขึ้นแล้ว" หลังเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัย 2 ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) แต่โฟกัสเกือบทั้งหมดจับตาไปที่คำกล่าวสุนทรพจน์อันเข้มข้นของเขา ที่อวดอ้างจะใช้นโยบายแข็งกร้าวต่างๆ ในการกอบกู้สิ่งที่เขาเรียกว่า "การเสื่อมถอยของสังคมอเมริกา"
    .
    ในคำกล่าวสุนทรพจน์ ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ยังได้กล่าวโจมตีพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย และวัฒนธรรมสงคราม "ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้วในเวลานี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ประเทศของเราจะมีแต่ความรุ่งเรืองและได้รับความเคารพจากทั่วโลกอีกครั้ง "ทรัมป์ กล่าวในอาคารรัฐสภา บริเวณที่พิธีสาบานตนของเขาถูกจัดขึ้นในร่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ สืบเนื่องจากอากาศหนาวจัด
    .
    ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้ยังพาดพิงถึงกรณีที่กระสุนของมือสังหารที่เฉียดเข้าไป ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่เขาได้รับชัยชนะ ว่า "ผมได้รับการปกป้องจากพระเจ้า ให้ทำอเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง"
    .
    นอกจากเน้นย้ำคำสัญญาต่างๆ แล้ว ทรัมป์ได้ประณามอย่างดุเดือดต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า "การทรยศหักหลังอเมริกา โดยสถาบันหัวรุนแรงและคอร์รัปชัน" ภายใต้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังพ้นจากตำแหน่ง "การเสื่อมถอยของอเมริกาจบลงแล้ว"
    .
    ไบเดน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้ำชาต้อนรับ ทรัมป์ และเมลาเนีย ภรรยา ที่ทำเนียบขาว เฝ้ามองพิธีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ระหว่างที่ศัตรูทางการเมืองของเขา กล่าวสุนทรพจน์โจมตียุคสมัยการดำรงตำแหน่งสมัยเดียวของเขา
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวางกรอบนโยบายต่างประเทศ บอกว่าเขาต้องการเป็นผู้สร้างสันติภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จากนั้นกลับบอกว่าสหรัฐฯ จะทวงคืนคลองปานามา และเตือนว่าจะใช้สงครามการค้าโดยอิสระเสรี พร้อมประกาศปักธงชาติอเมริกา บนดาวอังคาร
    .
    มหาเศรษฐีวัย 78 ปีรายนี้ ซึ่งกลายมาเป็นบุคคลมีอายุมากที่สุดที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เตรียมเริ่มต้นวาระการดำรงตำแหน่งสมัยล่าสุด ด้วยการเซ็นคำสั่งพิเศษต่างๆ "ผมจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ ณ ชายแดนทางใต้ของเรา" ติดกับเม็กซิโก ทรัมป์กล่าวท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวในห้องประชุม Rotunda พร้อมประกาศขับไล่พวกผู้อพยพผิดกฎหมายหลายล้านคน
    .
    ทรัมป์ บอกว่ารัฐบาลของเขาจะยอมรับเพียง "2 เพศ เพศชายและเพศหญิง" ยุติแนวทางปฏิบัติในปัจจุบันที่มองทางเลือกแก่เพศที่ 3 ในทางออกบางอย่าง ขณะเดียวกัน เขาจะถอนวอชิงตันออกจากข้อตกลงโลกร้อนปารีส ที่มีเป้าหมายหยุดภาวะโลกร้อน
    .
    ในขณะที่ ทรัมป์ เป็นเพียงคนวงนอกทางการเมืองครั้งที่สาบานตนรับตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ แต่คราวนี้เขาถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนมั่งมีและเหล่าคนทรงอิทธิพลของอเมริกา
    .
    อีลอน มัสก์ ชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก บอสของเมตา เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน และซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของกูเกิล ทั้งหมดล้วนแต่ได้นั่งในเก้าอี้แถวหน้าในอาคารรัฐสภา เคียงข้างครอบครัวของทรัมป์และเหล่าคณะรัฐมนตรี ในขณะที่ มัสก์ จะเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนลดค่าใช้จ่ายในรัฐบาลใหม่
    .
    อดีตประธานาธิบดีอย่าง บารัค โอบามา จอร์จ ดับเบิลยู.บุช และ บิล คลินตัน ต่างเข้าร่วมพิธีพร้อมกับภริยา ยกเว้น มิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลย 1 ที่ไม่ได้เข้าร่วม
    .
    กลุ่มกองเชียร์เฝ้ามองพิธีสาบานตน ผ่านโทรศัพท์มือถือด้านนอกของอาคารัฐสภา จากปกติแล้วจะมีผู้คนหลายหมื่นคนเข้ามาร่วมพิธีทอดยาวไปจนถึงอุทยานเนชั่นแนล มอลล์
    .
    หลังจาก ทรัมป์ เคยไม่ยอมเข้าร่วมพิธีสาบานตนของ ไบเดน ในปี 2021 อ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง จนกระทั่งปลุกปั่นให้พวกผู้สนับสนุนบุกจู่โจมอาคารรัฐสภา แต่คราวนี้ ไบเดน เลือกที่จะกลับคืนสู่บรรยากาศดั้งเดิม "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน" ไบเดน บอกกับ ทรัมป์ ตอนที่เขาเดินทางมายังทำเนียบขาว เพื่อดื่มชา
    .
    ในช่วงท้ายๆ ก่อนอำลาตำแหน่งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ไบเดน ได้เซ็นคำสั่งนิรโทษกรรมล่วงหน้าเป็นชุดๆ ให้แก่พวกลูกน้องและคู่สมรสของพวกเขา เพื่อปกป้องคนเหลานี้จากการถูกสืบสวนที่มีแรงจูงใจทางการเมือง
    .
    นอกจากนี้แล้ว เขายังนิรโทษกรรมให้แก่ แอนโทนี เฟาซี อดีตที่ปรึกษาโควิด-19 มาร์ค มิลลีย์ นายพลปลดเกษียณ และสมาชิกคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเหตุจลาจลโมตีอาคารรัฐสภา 6 มกราคม 2021 โดยฝีมือของพวกผู้สนับสนุนทรัมป์
    .
    ทรัมป์ โจมตีในเรื่องดังกล่าวไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่ง กล่าวอ้างว่า ไบเดน นิรโทษกรรมให้บุคคล "ที่มีความผิดในคดีอาญาที่ร้ายแรงมาก"
    .
    มหาเศรษฐีรายนี้กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่สามารถกลับมาครองอำนาจได้อีกสมัย หลังจากตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสมัยก่อนหน้านั้น โดยคนแรกได้แก่ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในปี 1893
    .
    สำหรับทั่วทั้งโลกแล้ว การกลับคืนสู่ตำแหน่งของ ทรัมป์ นั่นหมายความว่า พวกเขาคาดหมายได้เลยว่า ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้
    .
    ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ก่อนสาบานตน และบอกในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่าเขาเปิดกว้างสำหรับพูดคุยเกี่ยวกับความขัดแย้งยูเครน ซึ่ง ทรัมป์ ไม่ได้พาดพิงระหว่างกล่าวสุนทรพจน์
    .
    เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก็แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ เช่นกัน โดยบอกว่า "วันที่ดีที่สุดของความเป็นพันธมิตรระหว่างเรายังมาไม่ถึง" หลังจากก่อนหน้านี้ไม่นาน ทีมงานของทรัมป์ เพิ่งช่วยเป็นคนกลางบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ระหว่างอิสราเอลกับฮามาส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006232
    ..............
    Sondhi X
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจุด "ยุคทองใหม่ ในสหรัฐฯ เริ่มขึ้นแล้ว" หลังเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัย 2 ในวันจันทร์ (20 ม.ค.) แต่โฟกัสเกือบทั้งหมดจับตาไปที่คำกล่าวสุนทรพจน์อันเข้มข้นของเขา ที่อวดอ้างจะใช้นโยบายแข็งกร้าวต่างๆ ในการกอบกู้สิ่งที่เขาเรียกว่า "การเสื่อมถอยของสังคมอเมริกา" . ในคำกล่าวสุนทรพจน์ ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ยังได้กล่าวโจมตีพวกผู้อพยพผิดกฎหมาย และวัฒนธรรมสงคราม "ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มขึ้นแล้วในเวลานี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ประเทศของเราจะมีแต่ความรุ่งเรืองและได้รับความเคารพจากทั่วโลกอีกครั้ง "ทรัมป์ กล่าวในอาคารรัฐสภา บริเวณที่พิธีสาบานตนของเขาถูกจัดขึ้นในร่มเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ สืบเนื่องจากอากาศหนาวจัด . ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้ยังพาดพิงถึงกรณีที่กระสุนของมือสังหารที่เฉียดเข้าไป ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ที่เขาได้รับชัยชนะ ว่า "ผมได้รับการปกป้องจากพระเจ้า ให้ทำอเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง" . นอกจากเน้นย้ำคำสัญญาต่างๆ แล้ว ทรัมป์ได้ประณามอย่างดุเดือดต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า "การทรยศหักหลังอเมริกา โดยสถาบันหัวรุนแรงและคอร์รัปชัน" ภายใต้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำลังพ้นจากตำแหน่ง "การเสื่อมถอยของอเมริกาจบลงแล้ว" . ไบเดน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้ำชาต้อนรับ ทรัมป์ และเมลาเนีย ภรรยา ที่ทำเนียบขาว เฝ้ามองพิธีด้วยใบหน้าเรียบเฉย ระหว่างที่ศัตรูทางการเมืองของเขา กล่าวสุนทรพจน์โจมตียุคสมัยการดำรงตำแหน่งสมัยเดียวของเขา . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังวางกรอบนโยบายต่างประเทศ บอกว่าเขาต้องการเป็นผู้สร้างสันติภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จากนั้นกลับบอกว่าสหรัฐฯ จะทวงคืนคลองปานามา และเตือนว่าจะใช้สงครามการค้าโดยอิสระเสรี พร้อมประกาศปักธงชาติอเมริกา บนดาวอังคาร . มหาเศรษฐีวัย 78 ปีรายนี้ ซึ่งกลายมาเป็นบุคคลมีอายุมากที่สุดที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี เตรียมเริ่มต้นวาระการดำรงตำแหน่งสมัยล่าสุด ด้วยการเซ็นคำสั่งพิเศษต่างๆ "ผมจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ ณ ชายแดนทางใต้ของเรา" ติดกับเม็กซิโก ทรัมป์กล่าวท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่นหวั่นไหวในห้องประชุม Rotunda พร้อมประกาศขับไล่พวกผู้อพยพผิดกฎหมายหลายล้านคน . ทรัมป์ บอกว่ารัฐบาลของเขาจะยอมรับเพียง "2 เพศ เพศชายและเพศหญิง" ยุติแนวทางปฏิบัติในปัจจุบันที่มองทางเลือกแก่เพศที่ 3 ในทางออกบางอย่าง ขณะเดียวกัน เขาจะถอนวอชิงตันออกจากข้อตกลงโลกร้อนปารีส ที่มีเป้าหมายหยุดภาวะโลกร้อน . ในขณะที่ ทรัมป์ เป็นเพียงคนวงนอกทางการเมืองครั้งที่สาบานตนรับตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017 ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ แต่คราวนี้เขาถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคนมั่งมีและเหล่าคนทรงอิทธิพลของอเมริกา . อีลอน มัสก์ ชายผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก บอสของเมตา เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน และซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของกูเกิล ทั้งหมดล้วนแต่ได้นั่งในเก้าอี้แถวหน้าในอาคารรัฐสภา เคียงข้างครอบครัวของทรัมป์และเหล่าคณะรัฐมนตรี ในขณะที่ มัสก์ จะเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนลดค่าใช้จ่ายในรัฐบาลใหม่ . อดีตประธานาธิบดีอย่าง บารัค โอบามา จอร์จ ดับเบิลยู.บุช และ บิล คลินตัน ต่างเข้าร่วมพิธีพร้อมกับภริยา ยกเว้น มิเชล โอบามา อดีตสุภาพสตรีหมายเลย 1 ที่ไม่ได้เข้าร่วม . กลุ่มกองเชียร์เฝ้ามองพิธีสาบานตน ผ่านโทรศัพท์มือถือด้านนอกของอาคารัฐสภา จากปกติแล้วจะมีผู้คนหลายหมื่นคนเข้ามาร่วมพิธีทอดยาวไปจนถึงอุทยานเนชั่นแนล มอลล์ . หลังจาก ทรัมป์ เคยไม่ยอมเข้าร่วมพิธีสาบานตนของ ไบเดน ในปี 2021 อ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง จนกระทั่งปลุกปั่นให้พวกผู้สนับสนุนบุกจู่โจมอาคารรัฐสภา แต่คราวนี้ ไบเดน เลือกที่จะกลับคืนสู่บรรยากาศดั้งเดิม "ยินดีต้อนรับกลับบ้าน" ไบเดน บอกกับ ทรัมป์ ตอนที่เขาเดินทางมายังทำเนียบขาว เพื่อดื่มชา . ในช่วงท้ายๆ ก่อนอำลาตำแหน่งในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ไบเดน ได้เซ็นคำสั่งนิรโทษกรรมล่วงหน้าเป็นชุดๆ ให้แก่พวกลูกน้องและคู่สมรสของพวกเขา เพื่อปกป้องคนเหลานี้จากการถูกสืบสวนที่มีแรงจูงใจทางการเมือง . นอกจากนี้แล้ว เขายังนิรโทษกรรมให้แก่ แอนโทนี เฟาซี อดีตที่ปรึกษาโควิด-19 มาร์ค มิลลีย์ นายพลปลดเกษียณ และสมาชิกคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งที่ทำหน้าที่ตรวจสอบเหตุจลาจลโมตีอาคารรัฐสภา 6 มกราคม 2021 โดยฝีมือของพวกผู้สนับสนุนทรัมป์ . ทรัมป์ โจมตีในเรื่องดังกล่าวไม่นานหลังจากสาบานตนรับตำแหน่ง กล่าวอ้างว่า ไบเดน นิรโทษกรรมให้บุคคล "ที่มีความผิดในคดีอาญาที่ร้ายแรงมาก" . มหาเศรษฐีรายนี้กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่สามารถกลับมาครองอำนาจได้อีกสมัย หลังจากตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสมัยก่อนหน้านั้น โดยคนแรกได้แก่ โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในปี 1893 . สำหรับทั่วทั้งโลกแล้ว การกลับคืนสู่ตำแหน่งของ ทรัมป์ นั่นหมายความว่า พวกเขาคาดหมายได้เลยว่า ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ . ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ ก่อนสาบานตน และบอกในวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่าเขาเปิดกว้างสำหรับพูดคุยเกี่ยวกับความขัดแย้งยูเครน ซึ่ง ทรัมป์ ไม่ได้พาดพิงระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ . เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ก็แสดงความยินดีกับ ทรัมป์ เช่นกัน โดยบอกว่า "วันที่ดีที่สุดของความเป็นพันธมิตรระหว่างเรายังมาไม่ถึง" หลังจากก่อนหน้านี้ไม่นาน ทีมงานของทรัมป์ เพิ่งช่วยเป็นคนกลางบรรลุข้อตกลงหยุดยิงในกาซา ระหว่างอิสราเอลกับฮามาส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006232 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1109 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค)
    .
    เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี
    .
    เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น
    .
    ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน
    .
    เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต
    .
    ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา
    .
    “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว
    .
    ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา
    .
    ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน
    .
    อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989
    .
    โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
    .
    โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา
    .
    ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา”
    .
    บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน”
    .
    และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว”
    .
    “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด”
    .
    เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช”
    .
    เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีคนใหม่หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าสู่พิธีสาบานตนรับตำแหน่งเป็นผู้นำคนที่ 47 ในวันรำลึกสาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (MLK) ฟุ้งจะทำให้อเมริกากลับมามั่งคั่งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ เดินหน้าขุดหาน้ำมัน เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก ยืนยันยึดคลองปานามาแน่ ยุติยุค LGBTQ รุ่งเรือง ท่ามกลางเสียงปรบมือ กลุ่ม Proud Boys ต้นเหตุบุกรัฐสภาสหรัฐฯวันที่ 6 ม.ค 2021 ร่วมฉลองเดินมาร์ชบนถนนกลางกรุง ดีซีวันจันทร์(20 ม.ค) . เอพีรายงานวันจันทร์(20 ม.ค) ว่า สหรัฐฯได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 ในวันจันทร์(20)หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งโดยมีประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ จอห์น โรเบิร์ต เป็นผู้ทำพิธี หลังจากก่อนหน้า เจดี. แวนซ์ เข้าพิธีสาบานตนในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐฯโดยผู้พิพากษาศาลสูงสุดสหรัฐฯที่ทรัมป์ตั้ง เบรตต์ คาวานอห์ ( Brett Kavanaug)เป็นผู้ทำพิธี . เอพีรายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์จำนวน 1 ลำจอดอยู่ที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯเพื่อนำอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 สหรัฐฯ จิล ไบเดนกลับไปหลังพิธีสาบานตนเสร็จสิ้น . ภาพกลุ่มไวท์ซูพรีมาซิสต์ Proud Boys ผู้สนับสนุนทรัมป์เดินมาร์ชบนถนนสายต่างๆในกรุงวอชิงตัน ดีซี พร้อมโชว์ป้ายต่อต้านกลุ่มต้านฟาร์สซิสต์ระหว่างทรัมป์กำลังเตรียมสาบานตน . เอพีรายงานว่า สุนทรพจน์ประธานาธิบดีทรัมป์สมัย 2 มีเนื้อหาไม่ต่างจากสิ่งที่เขาเคยพูดหาเสียงบนเวที เขาประกาศภาวะฉุกเฉินพรมแดนใต้ติดเม็กซิโกโดยยังคงอ้างอย่างผิดพลาดว่า พวกผู้อพยพเข้าสหรัฐฯผิดกฎหมายนี้ออกมาจากคุกและสถานบำบัดทางจิต . ทรัมป์ยังประกาศยุติ กฎเกณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า . เนื้อหาสุนทรพจน์ของผู้นำคนที่ 47 ยังกล่าวว่า “ ยุคทองของอเมริกาได้เริ่มต้นแล้วในเวลานี้” และสิ่งที่หวือหวาและเป็นที่จับตาไปทั่วเมื่อทรัมป์ประกาศภารกิจที่จะนำธงชาติสหรัฐฯไปปักบนดาวอังคารและทำให้มหาเศรษฐีพันล้านอเมริกัน อีลอน มัสก์ ชูมือขึ้นในอากาศอย่างตื่นเต้นทันที . บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า และเหมือนกับบนเวทีหาเสียง เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศผ่านสุนทรพจน์รับตำแหน่งในการนำ “คลองปานามา” กลับมาสู่อ้อมอกอเมริกาอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า “จีน”กำลังควบคุมคลองปานามา . “พวกเราไม่ได้มอบมันให้กับจีน พวกเราให้แก่ปานามา และพวกเราจะนำมันกลับมา” ทรัมป์กล่าว . ขณะที่เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานว่าในสุนทรพจน์ ทรัมป์ย้ำว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิลเลียม แม็คคินลีย์ (William McKinley) ระหว่างปี 1897 – ปี 1901 ทำให้ประเทศร่ำรวยจากการเก็บภาษีและได้มอบเงินต่อให้ประธานาธิบดี ทีโอดอร์ โรเซอเวลต์ รวมถึงคลองปานามา . ทรัมป์ย้ำว่า สหรัฐฯใช้เงินมหาศาลสำหรับการขุดคลองปานามารวมถึงชีวิตที่ต้องเสียไปอีก38,000 คน . อ้างอิงตามประวัติพบแม็คคินลีย์ถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 6 ก.ย ปี 1901 และเสียชีวิตเนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหวในเวลาต่อมา เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ผนวกฮาวายเข้าเป็นหนึ่งในมลรัฐของสหรัฐฯเมื่อปี 1989 . โพลิติโกของสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์ใช้สุนทรพจน์รับตำแหน่งโจมตีรัฐบาลของไบเดนและการจัดการอย่างผิดพลาดต่อวิกฤตผู้อพยพเข้าอเมริกา โดยกล่าวว่า ประเทศเกิดวิกฤตในความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล . โพลิติโกรายงานว่า ไบเดนหัวเราะกับตัวเองไม่กี่ครั้งระหว่างนั่งฟังสุนทรพจน์โดยเฉพาะเมื่อทรัมป์ประกาศจะออกคำสั่งบริหารเพื่อนำ 'สามัญสำนึก' หรือ common sense กลับคืนมา . ส่วนอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ถึงขั้นส่ายหัวไปมาระหว่างที่ทั้งเธอและสามีอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน คุยกระซิบข้างหูและหัวเราะเมื่อทรัมป์ปฎิญาณจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น “อ่าวอเมริกา” . บีบีซีชี้ว่า ทรัมป์ประกาศก้องว่า “ขุด ที่รัก ขุด” (Drill baby drill) ท่ามกลางเสียงปรบมือ เขาประกาศที่จะทำให้อเมริกากลับมาเป็นชาติอุตสาหกรรมอีกครั้ง พร้อมชี้ว่าประเทศสหรัฐฯถือเป็นชาติที่มีทรัพยากรน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมากที่สุดในโลก “และพวกเรากำลังจะใช้มัน” . และในช่วงท้ายของสุนทรพจน์เขากล่าวว่า อนาคตเป็นของพวกเรา ยุคทองกำลังจะเริ่มขึ้น พร้อมกันยังรับรู้ถึงชัยชนะแลนด์สไลด์ของตัวเองโดยกล่าวว่า” อเมริกันชนได้ส่งเสียงออกมาแล้ว” . “ผมยืนอยู่ตรงหน้าพวกคุณเป็นหลักฐานว่าคุณไม่ควรจะเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะทำ ในอเมริกาแล้ว การทำสิ่งที่ไม่เป็นไปไม่ได้ถือเป็นสิ่งที่พวกเราทำได้ดีที่สุด” . เขากล่าวว่า อเมริกาจะไม่ถูกครอบครองหรือคุกคาม “พวกเราจะไม่ล้มเหลว นับจากวันนี้สหรัฐอเมริกาจะเป็นอิสระ มีอธิปไตย และเป็นชาติที่เป็นเอกราช” . เขาเสริมต่อว่า สหรัฐฯภายใต้เขาจะปราศจากสีหรือเพศโดยชี้ว่า ที่ผ่านมาทั้งในด้านสาธารณะหรือส่วนตัวมีสิ่งเหล่านี้นโยบาย DEI (Diversity, equity, and inclusion) ความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพศเพื่อเข้าแทรกแซงมากเกินไปและยืนยันว่า อเมริกามีแค่ 2 เพศเท่านั้น เพศชาย และ เพศหญิง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000006231 .............. Sondhi X
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1099 มุมมอง 0 รีวิว
  • 17/1/68

    https://thaipublica.org
    Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons
    กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา

    จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล

    มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค

    3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร

    และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488
    ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา

    ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า
    อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส

    10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง

    การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา
    จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น"
    โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ

    ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู"

    วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา

    เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน
    ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
    วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้"

    ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน"

    สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์
    เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน

    ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ

    * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน

    * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน

    * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง

    * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย

    * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country"

    จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน
    แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย

    สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย

    ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน
    ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ

    ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง
    ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี

    ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว

    เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น
    นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา

    กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    17/1/68 https://thaipublica.org Integrated Resort ที่มาภาพ : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons กาสิโนซีรีส์ตอนที่แล้ว(จากบ่อน 1.0 ถึงกาสิโน 5.0) ได้พูดถึงวิวัฒนาการของบ่อนพนันในบ้านเรา จากยุค 1.0 "ยุคบ่อนบ้าน" ที่มีมาแต่อดีตกาล มายุค 2.0 "ยุคบ่อนเบี้ย" ที่ยาวนานจากสมัยอยุธยาจนถึงรัตน โกสินทร์ตอนต้นมาถึงยุค 3.0 "ยุคของการปิดบ่อน" ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 ที่ต้องใช้เวลานานร่วม 30 ปีกว่าจะปิดบ่อนเบี้ยได้ทั่วราชอาณาจักร และมาถึงยุค 4.0 "ยุคของกาสิโนโดยรัฐบาล" หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร ในปี พ.ศ.2475 ที่นำมาสู่การออกพ.ร.บ.การพนันในปี พ.ศ.2478 และนำมาสู่การทดลองเปิดกาสิโน 11 แห่งทั่วประเทศในปี 2481 ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จ แต่กลับมาเปิดจริงจังในอีก 7 ปีต่อมาในปี 2488 ที่ปราณบุรี ที่เปิดได้เพียง 82 วันก็ต้องปิดตัวลง เพราะ "เอาไม่อยู่"กับปัญหาสังคมที่เกิดตามมา ก้าวสู่ยุค 5.0 "ยุคกาสิโนโดยกลุ่มทุน" กรณีศึกษาที่ทั่วโลกยอมรับมากที่สุด คือ "สิงคโปร์" มีเรื่องเล่าพาดพิงถึงชีวิตของบุคคล 2 คน คนแรกคือ "ลีกวนยู" แห่งสิงคโปร์ คนที่สอง คือ "สแตนลีย์ โฮ" แห่งมาเก้า คนหนึ่งคือผู้นำประเทศ คนหนึ่งคือเจ้าพ่อกาสิโน คนหนึ่งปฏิเสธกาสิโน คนหนึ่งร่ำรวยเพราะกาสิโน ทั้งคู่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างกันเพียง 2 ปีสแตนลีย์ โฮ เกิดก่อนเมื่อปี พ.ศ.2464 ที่ฮ่องกงในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากภาวะสงครามโลกทำให้ครอบครัวเขาได้รับผลกระทบ โฮไม่ทันได้เรียนจบมหาวิทยาลัยก็ต้องเลิกเรียน ชีวิตต้องระหกระเหิน จนต้องลี้ภัยมาทำมาค้าขายอยู่ที่มาเก้า อายุ 27 ปี โฮได้แต่งงานกับลูกสาวของทนายความใหญ่ในมาเก้าที่มีสายสัมพันธ์กับเจ้าอาณานิคมโปรตุเกส 10 ปีต่อมาพ่อตาได้ใช้เส้นสายช่วยให้โฮได้สัมปาทานกาสิโนในมาเก้า เป็นสัมปทานผูกขาดที่ยาวนานถึง 40 ปี สแตนลีย์ โฮ จึงเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในมาเก้ามาจนถึงปี 2002 จนหมดอายุสัมปทาน เขาเป็นเจ้าของกาสิโนถึง 19 แห่ง การได้รับสัมปทานคือจุดสำคัญที่ทำให้โฮกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา จุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ โฮกล่าวว่า "ผมไม่เล่นพนัน" และเตือนด้วยว่า "อย่าหวังรวยจากการพนัน มันเป็นแค่เกมเท่านั้น" โฮจึงเหมือนคนปลูกผักที่ไม่กินผักที่ตัวเองปลูก เพราะรู้ดีว่ามันมีสารพิษ ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจกาสิโน ทำให้โฮมองหาลู่ทางขยายอาณาจักรธุรกิจของตนเอง และพบที่หนึ่งที่น่าสนใจ เป็นประเทศเกิดใหม่ที่เพิ่งได้รับเอกราชและกำลังสร้างชาติ นั่นคือ สิงค โปร์ ที่มีผู้นำชื่อ "ลึกวนยู" วินทร์ เลียววาริณ นักเขียนรางวัลซีไรท์ เขียนถึงเรื่องราวการสร้างชาติสิงคโปร์ของลึกวนยูในหนังสือ "สร้างชาติจากศูนย์" ว่า ปี พ.ศ.2508 เกาะสิงคโปร์ถูกมาเลเซียปฏิเสธ "ไม่ให้ไปต่อ" ไม่รับสิงคโปร์เป็นรัฐหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ลีกวน ยู ที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเพียง 35 ปี และเพิ่งชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้บริหารรัฐสิงคโปร์ได้เพียง 2 ปีคาดไม่ถึงว่าจะถูกมาเลเซียตัดขาด เป็นเอกราชที่ไม่ได้ปรารถนา เพราะสิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ เป็นเพียงเมืองท่าที่เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพกับยุงณ เวลานั้น ลีกวนยู กล่าวว่า "สิงคโปร์ไม่ควรจะดำรงอยู่ เราไม่มีฐาน ไม่มีพื้นที่ ไม่มีเงินทุน ไม่มีวัตถุดิบอะไรเลยที่จะสร้างประเทศ" สิงคโปร์มีแต่ความเป็นเมืองท่าและมีคน ในอดีตสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ สิงคโปร์เต็มไปด้วยชาวจีนอพยพ และแน่นอนเต็มไปด้วยการเล่นพนัน 3 ปีหลังจากเป็นเอกราช ลีกวนยูประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย วินทร์ เรียววาริณ เล่าว่า "ลีกวนยูมองเห็นหายนะของการพนันมาตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาติดพนัน และขอเครื่องทองของแม่ไปจำนำเพื่อเล่นการพนัน ลีกวนยูจึงไม่เคยเล่นการพนัน และต่อต้านเรื่องนี้" ลีกวนยู จึงปฏิเสธข้อเสนอขอสร้างกาสิโนในสิงคโปร์ของสแตนลีย์ โฮ อย่างไม่สนใจใยดี และประกาศว่า "ขอสร้างชาติด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และจะไม่ขอพึ่งเงินจากการพนัน" สิงคโปร์เองในสมัยนั้นน่าจะไม่ต่างจากมาเก๊า ตรงที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเป็นเมืองท่า หรืออาจจะไม่ต่างจากสปป.ลาวหรือกัมพูชา ที่บอบซ้ำกับสงครามคอมมิวนิสต์ เพียงแต่ ลีกวนยู ไม่เลือกง้อเงินพนัน ขณะที่ผู้ปกครองมาเก้า ลาว และกัมพูชาคิดต่างออกไป ลีกวนยู ตั้งใจจะทำให้สิงคโปร์เป็น "First World Oasis" เป็นจุดแวะพักจุดแรกของชาวตะวันตกที่เดินทางมาทวีปเอเซียไม่น่าเชื่อว่า เพียง 8 ปีหลังจากได้รับเอกราชที่คาดไม่ถึง ลีกวนยู และชาวสิงคโปร์ทำงานอย่างหนัก เพื่อพัฒนาตัวเองเป็นเมืองท่าปลอดภาษี เป็นศูนย์กลางการบินและการเดินเรือ เป็นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้า และเป็นศูนย์กลางการเงิน ความสำเร็จของสิงคโปร์ นอกจากการทำงานหนักแล้วก็คือ * การมุ่งสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน * การบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด ไม่มีสองมาตรฐาน * การปราบคอรัปชั้นอย่างจริงจัง * และการให้ความสำคัญกับ "การพัฒนาคน" เพราะทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวที่สิงคโปร์มีคือ "คน"การพยายามสร้างตัวเองให้เป็น "First World Oasis" ทำให้สิงคโปร์พยายามสร้างจุดดึงดูด นักท่องเที่ยวด้วย * โปรเจคมากมาย ถมทะเลเพื่อสร้างสนามบิน ถมทะเลเพื่อสร้างอ่าว ปลูกต้นไม้ทั้งเกาะให้เป็น "อุทยานนคร" และสร้างเมืองให้สะอาดและปลอดภัย สิงคโปร์จึงเต็มไปด้วย "ข้อห้ามและค่าปรับ" จนถูกกระแนะกระแหนว่า "Singapore is Fine country" จวบจนปลายทศวรรษ 1990 เมื่อทำทุกอย่างจนแทบไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว จนประเทศมีระบบที่มีประสิทธิภาพและสะอาดมากจนเป็น ที่เลื่องลือ สิงคโปร์จึงยอมรับข้อเสนอเรื่องการเปิด "Integrated Resort" หรือรีสอร์ตแบบบูรณาการที่รวมเอากิจการหลาย ๆ อย่างไว้ด้วยกัน รวมทั้งกาสิโน แต่นั่นไม่ใช่ในสมัยของลีกวนยู เป็นยุคของผู้นำรุ่นที่ 3 ที่มีชื่อว่า "ลีเซียนลุง" บุตรชายของเขาเอง ซึ่งลึกวนยู ก็ยังคงไม่เห็นด้วยกับการหวังเงินจากการพนันเช่นเคย สิ่งที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ลีกวนยู ยอมให้ลูกชายที่เป็นนายกรัฐมนตรีเปิดกาสิโน คือ งานวิจัยเพราะใช่ว่าชาวสิงคโปร์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกับโปรเจคนี้ ถึงขนาดฝ่ายคัดค้านกดดันให้ ลีเซียนลุง จัดทำประชามติ แต่เขาปฏิเสธ ด้วย ข่าวจากทั่วทุกสารทิศทั่วโลกต่างรายงานถึงผลกระทบจากการมีกาสิโน ที่สหรัฐอเมริกา การเปิดกาสิโนมากมายที่เมืองแอตแลนติกซิตี้ มลรัฐนิวเจอร์ชีย์ ตามรอยของลาสเวกัส ส่งผลให้เกิดอาชญากรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในปีเดียว และ ปัจจุบันกาสิโนหลายแห่งทะยอยปิดตัวลง ที่มาเก้า เมื่อมีการเปิดกาสิโนเพิ่มขึ้นจาก 19 แห่งในยุคสแตนลีย์ โฮ ขยายเป็น 35 แห่งในยุคหลัง กาสิโนนอกจากจะทำให้เกิดปัญหาประชากรแออัด ปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์พุ่งสูงขึ้น ยังก่อให้เกิดปัญหาความไม่ปลอดภัยในสังคมตามมา สำนักงานตำรวจของมาเก้า เปิดเผยว่าอาชญากรรมเกี่ยวกับการพนัน เพิ่มขึ้นถึง 37.8% ในช่วงเวลาเพียง 3ปี ที่สปป.ลาว รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในกาสิโนเด็ดขาด แต่การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ทำให้กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรอบประเทศกลายเป็นสถานที่คุ้นเคยของประชาชนลาว ที่ "คิงส์โรมัน" สถานกาสิโนชื่อดัง พบว่านักพนันกว่า 60% ที่เข้าไปเล่นเป็นนักพนันชาวลาว เช่นเดียวกับที่กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ากาสิโน แต่พบว่าคนกัมพูชา ในท้องถิ่นที่กาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าไปเล่น นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ กับมาเก๊า สปป.ลาว กัมพูชา รวมถึงสหรัฐอเมริกา กาสิโนในยุค 5.0 จึงเป็นความท้าทายของผู้บริหารประเทศว่า จะสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ กับความสงบสุขทางสังคมได้อย่างไร?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 821 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความฝันของนักการเมือง นักโกงเมือง โจรมหาเศรษฐี โจรการเมืองคือ เปิด บ่อน หวย ซ่อง ฟอกเงิน เหรียญเงินลม
    รากหญ้าฝันจะได้ 500-1,000 บาท รอแจกเงิน ไม่ทำงานรอเงินฟรี ฝันพังทลายเป็นทาสโจร 100 ปี
    ความฝันของนักการเมือง นักโกงเมือง โจรมหาเศรษฐี โจรการเมืองคือ เปิด บ่อน หวย ซ่อง ฟอกเงิน เหรียญเงินลม รากหญ้าฝันจะได้ 500-1,000 บาท รอแจกเงิน ไม่ทำงานรอเงินฟรี ฝันพังทลายเป็นทาสโจร 100 ปี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • 14 มกราคม 2568-รายงานพิเศษจากเพจ Blognone ระบุว่าจากกรณีที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชัน ‘Fineasy’ และ ‘สินเชื่อความสุข’ ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme ซึ่งเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน และไม่สามารถลบออกได้ ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย อดสงสัยไม่ได้ว่า "ใครเป็นเจ้าของ OPPO?" และ "OPPO-realme เป็นอะไรกัน?"
    .
    Blognone สืบสวน (อีกแล้ว) พบว่า OPPO และ realme เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนภายใต้ 'BBK Electronics' และยังมีแบรนด์อื่นที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันด้วย
    .
    BBK Electronics บริษัทข้ามชาติสัญชาติจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดย ‘Duan Yongping’ ผู้ประกอบการและมหาเศรษฐีชาวจีน โดยเริ่มจากการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องเล่น CD, DVD, และ MP3 ต่อมาได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดสมาร์ทโฟน จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ระดับโลก
    .
    ล่าสุด Counterpoint Research ออกรายงานยอดขายสมาร์ทโฟนประจำปี 2024 พบว่า 'OPPO' ติดอันดับ 4 สมาร์ทโฟนขายดีที่สุดในปี 2024 ด้วยส่วนแบ่ง 8% แม้จะลดลงมากที่สุดในบรรดาห้าอันดับแบรนด์แรกก็ตาม ส่วน 'vivo' ติดอันดับ 5 ด้วยส่วนแบ่ง 8% เช่นกัน
    .
    #blognone #bnnews
    14 มกราคม 2568-รายงานพิเศษจากเพจ Blognone ระบุว่าจากกรณีที่มีการติดตั้งแอปพลิเคชัน ‘Fineasy’ และ ‘สินเชื่อความสุข’ ในสมาร์ทโฟน OPPO และ realme ซึ่งเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน และไม่สามารถลบออกได้ ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย อดสงสัยไม่ได้ว่า "ใครเป็นเจ้าของ OPPO?" และ "OPPO-realme เป็นอะไรกัน?" . Blognone สืบสวน (อีกแล้ว) พบว่า OPPO และ realme เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟนสัญชาติจีนภายใต้ 'BBK Electronics' และยังมีแบรนด์อื่นที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันด้วย . BBK Electronics บริษัทข้ามชาติสัญชาติจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดย ‘Duan Yongping’ ผู้ประกอบการและมหาเศรษฐีชาวจีน โดยเริ่มจากการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น เครื่องเล่น CD, DVD, และ MP3 ต่อมาได้ขยายธุรกิจสู่ตลาดสมาร์ทโฟน จนกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ระดับโลก . ล่าสุด Counterpoint Research ออกรายงานยอดขายสมาร์ทโฟนประจำปี 2024 พบว่า 'OPPO' ติดอันดับ 4 สมาร์ทโฟนขายดีที่สุดในปี 2024 ด้วยส่วนแบ่ง 8% แม้จะลดลงมากที่สุดในบรรดาห้าอันดับแบรนด์แรกก็ตาม ส่วน 'vivo' ติดอันดับ 5 ด้วยส่วนแบ่ง 8% เช่นกัน . #blognone #bnnews
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts