• ผู้เสียหายสาวแจ้งความดำเนินคดี "ลุงสมนิจ" แอบอ้างเป็นภรรยาท้อง 4 เดือน ติดอยู่ในซากตึก สตง.พังถล่ม จนมีประชาชนสงสารโอนเงินให้จำนวนมาก ยอมรับตกใจไม่รู้เอาบัตรไปได้อย่างไร ชื่อเสียงตนเองและครอบครัวเสียหายหนัก

    วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ สน.บางซื่อ น.ส.กรวิภา (สงวนนามสกุล) หรือมายด์ อายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กรณี นายสมนิจ ดวงเนตร อายุ 50 ปี นำชื่อไปอ้างว่า ภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียนโซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้ เนื่องจากติดอยู่ใต้ซากตึก ต่อมาพบว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    น.ส.กรวิภา กล่าวว่า บัตรดังกล่าวคือบัตรที่ตนเคยเป็นพนักงาน ภายในห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อปี 2019 หลังจากนั้นได้นำบัตรคืนกับทางห้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าบัตรตนไปอยู่กับ ลุงสมนิจ รู้สึกตกใจและช็อกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าลุงเอาบัตรของตนไปได้อย่างไร เมื่อครอบครัวทราบข่าวตกใจมากนึกว่าลูกสาวเสียชีวิต

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030753

    #MGROnline #ลุงสมนิจ #แผ่นดินไหว #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.
    ผู้เสียหายสาวแจ้งความดำเนินคดี "ลุงสมนิจ" แอบอ้างเป็นภรรยาท้อง 4 เดือน ติดอยู่ในซากตึก สตง.พังถล่ม จนมีประชาชนสงสารโอนเงินให้จำนวนมาก ยอมรับตกใจไม่รู้เอาบัตรไปได้อย่างไร ชื่อเสียงตนเองและครอบครัวเสียหายหนัก • วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ สน.บางซื่อ น.ส.กรวิภา (สงวนนามสกุล) หรือมายด์ อายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กรณี นายสมนิจ ดวงเนตร อายุ 50 ปี นำชื่อไปอ้างว่า ภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียนโซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้ เนื่องจากติดอยู่ใต้ซากตึก ต่อมาพบว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง • น.ส.กรวิภา กล่าวว่า บัตรดังกล่าวคือบัตรที่ตนเคยเป็นพนักงาน ภายในห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อปี 2019 หลังจากนั้นได้นำบัตรคืนกับทางห้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าบัตรตนไปอยู่กับ ลุงสมนิจ รู้สึกตกใจและช็อกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าลุงเอาบัตรของตนไปได้อย่างไร เมื่อครอบครัวทราบข่าวตกใจมากนึกว่าลูกสาวเสียชีวิต • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030753 • #MGROnline #ลุงสมนิจ #แผ่นดินไหว #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า

    ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร

    ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้

    ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา

    ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร

    ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป

    #Newskit
    ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้ ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป #Newskit
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลำพูน – ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว สั่งจำคุก 15 ปี อดีตสาวโรงงานนิคมฯลำพูน หลอกหมอฟันสาวเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน ลงทุนสูญ 68 ล้านบาท พ่วงคดีฟอกเงินกับพวกอีก 2 ราย พร้อมคืนเงินให้กับโจทย์ 38 ล้าน พบจำเลยนั่งรถหรูราคาหลายล้านมาฟังมาคำตัดสิน

    นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน
    นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน

    ความคืบหน้ากรณีนางสาวกบ (นามสมมุติ) อดีตพนักงานโรงงานนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน ถูกฟ้องร้องฐานฉ้อโกงนางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน โดยอ้างว่าได้เปิดบริษัทรับซื้อกากอุตสาหกรรมตามโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000029230

    #MGROnline #หมอฟัน #เจ้าของคลินิกทำฟัน #ลำพูน
    ลำพูน – ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว สั่งจำคุก 15 ปี อดีตสาวโรงงานนิคมฯลำพูน หลอกหมอฟันสาวเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน ลงทุนสูญ 68 ล้านบาท พ่วงคดีฟอกเงินกับพวกอีก 2 ราย พร้อมคืนเงินให้กับโจทย์ 38 ล้าน พบจำเลยนั่งรถหรูราคาหลายล้านมาฟังมาคำตัดสิน • นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน • ความคืบหน้ากรณีนางสาวกบ (นามสมมุติ) อดีตพนักงานโรงงานนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน ถูกฟ้องร้องฐานฉ้อโกงนางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน โดยอ้างว่าได้เปิดบริษัทรับซื้อกากอุตสาหกรรมตามโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000029230 • #MGROnline #หมอฟัน #เจ้าของคลินิกทำฟัน #ลำพูน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • 58 ปี "คดีตุ๊กตา" ขืนใจสาวรับใช้ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “หญิงข่มขืนหญิง” ได้หรือไม่? 📚⚖️

    ✨ย้อนรอย “คดีตุ๊กตา” ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เปิดประเด็นการข่มขืนโดย “ผู้หญิงต่อผู้หญิง” ครั้งแรกของไทย ศึกษาเหตุการณ์รายละเอียดคดี บทสรุปทางกฎหมาย ที่ยังสะเทือนวงการกฎหมายถึงปัจจุบัน ✨

    เมื่อ “หญิงข่มขืนหญิง” ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป หากเอ่ยถึงคดีข่มขืน หลายคนอาจนึกถึงภาพของชายกระทำต่อหญิง แต่ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กลับมีคำพิพากษาหนึ่ง ที่เปิดโลกความเข้าใจในมุมมองใหม่ ⚖️

    โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2510 กับ “คดีตุ๊กตา” ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาอันลือลั่นว่า “หญิงก็เป็นตัวการร่วม ในการข่มขืนหญิงได้” คำวินิจฉัยครั้งนั้น ไม่เพียงเขย่าระบบยุติธรรมไทย แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ให้สังคมไทยในเวลานั้น

    “คดีตุ๊กตา” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในยุคนั้นตั้งขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ "พิมล กาฬสีห์" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในนามปากกา “ตุ๊กตา” ถูกอัยการยื่นฟ้อง ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราร่วมกับภรรยา "นภาพันธ์ กาฬสีห์" ต่อ "เพ็ชร ทัวิพัฒน์" หญิงสาวคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ที่บ้านพักในตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร

    แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 58 ปี แต่คำพิพากษาในคดีนี้ยั งคงได้รับการกล่าวขานในวงการกฎหมาย และสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกรณีแรกที่ “ศาลฎีกา” ของไทยยืนยันว่า หญิงสามารถร่วมเป็นตัวการข่มขืนหญิงได้

    📌 ทำไมคดีนี้จึงสำคัญ? ประเด็นที่สั่นคลอนสังคม คดีนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพล ที่บุคคลมีชื่อเสียงอาจมีต่อผู้ด้อยโอกาส เปิดประเด็นว่า “ข่มขืน” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเพศชายเท่านั้น

    ศาลยืนยันว่า ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วม ในการกระทำผิดฐานข่มขืนได้ แม้จะไม่ได้ลงมือข่มขืนเองก็ตาม

    📌 จุดเปลี่ยนด้านกฎหมาย คำพิพากษานี้ทำให้เกิดการตีความ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ว่า “ผู้ใด” หมายรวมถึงบุคคลทุกเพศ ไม่ใช่จำกัดแค่เพศชาย

    ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคดีตุ๊กตา
    🗓️ คืนวันอาทิตย์ที่่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 "เพ็ชร์ ทิวาพัฒน์" หญิงสาวผู้เสียหายวัย 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นสาวรับใช้ ในคืนนั้น เพ็ชรถูกนภาพันธ์เรียกขึ้นไปนวดให้พิมล บนชั้นสองของบ้าน

    นภาพันธ์ช่วยจับมือของเพ็ชร ไปจับอวัยวะเพศของพิมล และร่วมกดร่างเพ็ชรไว้ให้สามีข่มขืน เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ เกิดขึ้นซ้ำถึง 5 ครั้ง ในคืนนั้น

    🗓️ เช้ามืดวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพ็ชรหนีออกจากบ้าน และไปแจ้งความที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมสองสามีภรรยา และส่งเพ็ชรตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลตรวจพิสูจน์พบร่องรอยการข่มขืนอย่างชัดเจน อัยการจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง

    ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของผู้เสียหายมีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับพยานหลักฐาน และผลตรวจทางการแพทย์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2 ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี

    ➡️ แต่... จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์

    ศาลอุทธรณ์:ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า “ยินยอม” กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่า เชื่อว่าผู้เสียหาย สมัครใจร่วมประเวณีเอง เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้หญิง ไม่ควรถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมข่มขืน

    ➡️ อัยการในฐานะโจทก์ ฎีกาต่อ...

    ศาลฎีกา:พลิกคำพิพากษา ตอกย้ำ “หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนได้” ในการพิจารณาครั้งสำคัญ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
    ✅ พิพากษาว่า ผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ
    ✅ การมีส่วนร่วมของจำเลยที่ 2 ในการจับผู้เสียหาย และบังคับให้สามีข่มขืน ถือเป็นการ “ร่วมกันข่มขืน”
    ✅ ศาลฎีกายืนยันว่า ตามกฎหมายไทย หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนหญิงได้

    ➡️ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี 1 เดือน
    ➡️ จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษจำคุก 2 ปี

    การตีความทางกฎหมายที่สำคัญ มาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใด” ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น...
    🔹 คำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้ระบุเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีพฤติการณ์ร่วมกันในการข่มขืน ก็ถือว่ามีความผิดฐาน “ตัวการ” ได้
    🔹 แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนเอง แต่หากช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หรือบังคับเหยื่อ ก็ถือว่า “ร่วมกันกระทำผิด”

    ทำไมศาลฎีกาจึงพิพากษาเช่นนั้น?
    ✅ พฤติกรรมของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่า ร่วมกดขาและจับผู้เสียหาย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืน
    ✅ ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง หรือบอกว่าจะ “เพิ่มเงินเดือน” หากไม่ต่อต้าน
    ✅ บังคับผู้เสียหายให้อมอวัยวะเพศ และสั่งให้กลืนน้ำอสุจิของสามี

    ✨ ผลกระทบต่อสังคม และวงการกฎหมาย เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ก่อนหน้านั้น สังคมมองว่า “ข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่มีแต่เพศชาย เป็นผู้กระทำ

    ✨ คดีตุ๊กตาสร้างการตระหนักใหม่ว่า อาชญากรรมทางเพศ เกิดจากผู้กระทำได้ทุกเพศ อิทธิพลต่อการตีความกฎหมาย ศาลไทยขยายขอบเขตความผิดของมาตรา 276 ให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในคดีอาญาเกี่ยวกับเพศที่ซับซ้อนมากขึ้น

    “คดีตุ๊กตา” กับมรดกทางกฎหมายที่ยั่งยืน ผ่านมา 58 ปี คดีตุ๊กตายังเป็นกรณีศึกษา ในวงการกฎหมายและสังคม ที่สอนให้เข้าใจถึง ความซับซ้อนของความรุนแรงทางเพศ และบทบาทของกฎหมาย ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสังคมไทยอีกต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221140 มี.ค. 2568

    🏷️ #คดีตุ๊กตา #ข่มขืนในไทย #หญิงข่มขืนหญิงได้ #พิมลกาฬสีห์ #ศาลฎีกาไทย #กฎหมายอาญา #สิทธิมนุษยชน #ข่มขืนกระทำชำเรา #ข่าวดังในอดีต #คดีอาชญากรรมไทย
    58 ปี "คดีตุ๊กตา" ขืนใจสาวรับใช้ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “หญิงข่มขืนหญิง” ได้หรือไม่? 📚⚖️ ✨ย้อนรอย “คดีตุ๊กตา” ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เปิดประเด็นการข่มขืนโดย “ผู้หญิงต่อผู้หญิง” ครั้งแรกของไทย ศึกษาเหตุการณ์รายละเอียดคดี บทสรุปทางกฎหมาย ที่ยังสะเทือนวงการกฎหมายถึงปัจจุบัน ✨ เมื่อ “หญิงข่มขืนหญิง” ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป หากเอ่ยถึงคดีข่มขืน หลายคนอาจนึกถึงภาพของชายกระทำต่อหญิง แต่ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กลับมีคำพิพากษาหนึ่ง ที่เปิดโลกความเข้าใจในมุมมองใหม่ ⚖️ โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2510 กับ “คดีตุ๊กตา” ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาอันลือลั่นว่า “หญิงก็เป็นตัวการร่วม ในการข่มขืนหญิงได้” คำวินิจฉัยครั้งนั้น ไม่เพียงเขย่าระบบยุติธรรมไทย แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ให้สังคมไทยในเวลานั้น “คดีตุ๊กตา” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในยุคนั้นตั้งขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ "พิมล กาฬสีห์" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในนามปากกา “ตุ๊กตา” ถูกอัยการยื่นฟ้อง ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราร่วมกับภรรยา "นภาพันธ์ กาฬสีห์" ต่อ "เพ็ชร ทัวิพัฒน์" หญิงสาวคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ที่บ้านพักในตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 58 ปี แต่คำพิพากษาในคดีนี้ยั งคงได้รับการกล่าวขานในวงการกฎหมาย และสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกรณีแรกที่ “ศาลฎีกา” ของไทยยืนยันว่า หญิงสามารถร่วมเป็นตัวการข่มขืนหญิงได้ 📌 ทำไมคดีนี้จึงสำคัญ? ประเด็นที่สั่นคลอนสังคม คดีนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพล ที่บุคคลมีชื่อเสียงอาจมีต่อผู้ด้อยโอกาส เปิดประเด็นว่า “ข่มขืน” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเพศชายเท่านั้น ศาลยืนยันว่า ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วม ในการกระทำผิดฐานข่มขืนได้ แม้จะไม่ได้ลงมือข่มขืนเองก็ตาม 📌 จุดเปลี่ยนด้านกฎหมาย คำพิพากษานี้ทำให้เกิดการตีความ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ว่า “ผู้ใด” หมายรวมถึงบุคคลทุกเพศ ไม่ใช่จำกัดแค่เพศชาย ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคดีตุ๊กตา 🗓️ คืนวันอาทิตย์ที่่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 "เพ็ชร์ ทิวาพัฒน์" หญิงสาวผู้เสียหายวัย 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นสาวรับใช้ ในคืนนั้น เพ็ชรถูกนภาพันธ์เรียกขึ้นไปนวดให้พิมล บนชั้นสองของบ้าน นภาพันธ์ช่วยจับมือของเพ็ชร ไปจับอวัยวะเพศของพิมล และร่วมกดร่างเพ็ชรไว้ให้สามีข่มขืน เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ เกิดขึ้นซ้ำถึง 5 ครั้ง ในคืนนั้น 🗓️ เช้ามืดวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพ็ชรหนีออกจากบ้าน และไปแจ้งความที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมสองสามีภรรยา และส่งเพ็ชรตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลตรวจพิสูจน์พบร่องรอยการข่มขืนอย่างชัดเจน อัยการจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของผู้เสียหายมีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับพยานหลักฐาน และผลตรวจทางการแพทย์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2 ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี ➡️ แต่... จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์:ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า “ยินยอม” กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่า เชื่อว่าผู้เสียหาย สมัครใจร่วมประเวณีเอง เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้หญิง ไม่ควรถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมข่มขืน ➡️ อัยการในฐานะโจทก์ ฎีกาต่อ... ศาลฎีกา:พลิกคำพิพากษา ตอกย้ำ “หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนได้” ในการพิจารณาครั้งสำคัญ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ✅ พิพากษาว่า ผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ ✅ การมีส่วนร่วมของจำเลยที่ 2 ในการจับผู้เสียหาย และบังคับให้สามีข่มขืน ถือเป็นการ “ร่วมกันข่มขืน” ✅ ศาลฎีกายืนยันว่า ตามกฎหมายไทย หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนหญิงได้ ➡️ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี 1 เดือน ➡️ จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษจำคุก 2 ปี การตีความทางกฎหมายที่สำคัญ มาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใด” ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น... 🔹 คำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้ระบุเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีพฤติการณ์ร่วมกันในการข่มขืน ก็ถือว่ามีความผิดฐาน “ตัวการ” ได้ 🔹 แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนเอง แต่หากช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หรือบังคับเหยื่อ ก็ถือว่า “ร่วมกันกระทำผิด” ทำไมศาลฎีกาจึงพิพากษาเช่นนั้น? ✅ พฤติกรรมของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่า ร่วมกดขาและจับผู้เสียหาย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืน ✅ ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง หรือบอกว่าจะ “เพิ่มเงินเดือน” หากไม่ต่อต้าน ✅ บังคับผู้เสียหายให้อมอวัยวะเพศ และสั่งให้กลืนน้ำอสุจิของสามี ✨ ผลกระทบต่อสังคม และวงการกฎหมาย เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ก่อนหน้านั้น สังคมมองว่า “ข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่มีแต่เพศชาย เป็นผู้กระทำ ✨ คดีตุ๊กตาสร้างการตระหนักใหม่ว่า อาชญากรรมทางเพศ เกิดจากผู้กระทำได้ทุกเพศ อิทธิพลต่อการตีความกฎหมาย ศาลไทยขยายขอบเขตความผิดของมาตรา 276 ให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในคดีอาญาเกี่ยวกับเพศที่ซับซ้อนมากขึ้น “คดีตุ๊กตา” กับมรดกทางกฎหมายที่ยั่งยืน ผ่านมา 58 ปี คดีตุ๊กตายังเป็นกรณีศึกษา ในวงการกฎหมายและสังคม ที่สอนให้เข้าใจถึง ความซับซ้อนของความรุนแรงทางเพศ และบทบาทของกฎหมาย ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสังคมไทยอีกต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221140 มี.ค. 2568 🏷️ #คดีตุ๊กตา #ข่มขืนในไทย #หญิงข่มขืนหญิงได้ #พิมลกาฬสีห์ #ศาลฎีกาไทย #กฎหมายอาญา #สิทธิมนุษยชน #ข่มขืนกระทำชำเรา #ข่าวดังในอดีต #คดีอาชญากรรมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บิ๊กเต่า” นำทีมตำรวจสอบสวนกลาง สนธิกำลัง ป.ป.ช.และ ป.ป.ท. บุกจับคาโต๊ะทำงาน 2 เจ้าหน้าที่สำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ รีดเงิน 2.5 แสนบาท จากชาวบ้านเจ้าของที่ดินแนวโครงการขยายถนนที่เชียงดาว อ้างช่วยวิ่งเต้นให้ได้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายพบเป็นเพียงกลลวง เบื้องต้นยังปากแข็งบอกว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ จนท.ไม่ปักใจเชื่อ และเตรียมสืบสวนขยายผลว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหรือไม่ รวมทั้งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆ อีก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026821
    “บิ๊กเต่า” นำทีมตำรวจสอบสวนกลาง สนธิกำลัง ป.ป.ช.และ ป.ป.ท. บุกจับคาโต๊ะทำงาน 2 เจ้าหน้าที่สำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ รีดเงิน 2.5 แสนบาท จากชาวบ้านเจ้าของที่ดินแนวโครงการขยายถนนที่เชียงดาว อ้างช่วยวิ่งเต้นให้ได้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายพบเป็นเพียงกลลวง เบื้องต้นยังปากแข็งบอกว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ จนท.ไม่ปักใจเชื่อ และเตรียมสืบสวนขยายผลว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหรือไม่ รวมทั้งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆ อีก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026821
    Like
    Sad
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1117 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดิว อริสรา" ส่งทนายพบกองปราบแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันดาราสาวบินไปดูแลลูกที่ไต้หวันไม่มีเจตนาหลบหนีคดีพร้อมตั้งโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย เคลียร์ปัญหาให้จบโดยเร็ว

    วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ กองปราบปราม นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือทนายเอี้ยง ทนายความของ "ดิว อริสรา " ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ว่า หลังจากที่เมื่อวานนี้ คุณดิว อริสรา ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในรายการโหนกระแสและรับทราบเมื่อวานนี้ว่าทางฝั่งของ"มาดามเมนี่" วาสนา อินทะแสง ได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามแล้ว จึงได้พูดคุยกับตนและได้ข้อเท็จจริงยืนยันว่า การเดินทางไปไต้หวันไม่ใช่การหลบหนีตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งได้เดินทางไปก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว ทั้งนี้ดิวไม่ทราบมาก่อนว่าถูกแจ้งความเมื่อทราบเรื่องก็ได้รีบประสานให้ตัวเองดำเนินการยื่นหนังสือกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและยืนยันว่า ที่ไปต่างประเทศ เพราะต้องการที่จะไปดูแลลูก ไม่มีเจตนาที่จะหลบหนีคดี รวมทั้งยืนยันว่า หลังจากนี้ยินดีที่จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนและให้ความร่วมมือทุกประการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

    นายนิติศักดิ์ กล่าวต่อว่าส่วนข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากการที่พูดคุยเป็นไปตามที่ได้ชี้แจ้งในรายการคือ ทางดิว ต้องการยืมทรัพย์สิน ตามที่ตกลงกันก็คือให้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้น แต่เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากเจ้าหนี้ของคุณดิวต้องการเงินสด ไม่ได้ต้องการทรัพย์สิน จึงจำเป็นต้องนำทรัพย์สินไปจำนำเพื่อให้ได้เงินสด แต่ยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวอยู่ในเงื่อนไขที่ทางผู้เสียหายให้ทรัพย์สินยืมไป และทางคุณเมย์ก็รับทราบเรื่องที่มีการนำทรัพย์สินไปจำนำแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด แต่จะรับทราบก่อนหรือหลังรับจำนำ เรื่องนี้ส่วนตัวไม่ทราบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000026664

    #MGROnline #โหนกระแส #หนุ่มกรรชัย #เมย์วาสนา #ไฮโซเมย์ #ดิวอริศรา #สร้อยlotus
    "ดิว อริสรา" ส่งทนายพบกองปราบแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันดาราสาวบินไปดูแลลูกที่ไต้หวันไม่มีเจตนาหลบหนีคดีพร้อมตั้งโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย เคลียร์ปัญหาให้จบโดยเร็ว • วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ กองปราบปราม นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือทนายเอี้ยง ทนายความของ "ดิว อริสรา " ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ว่า หลังจากที่เมื่อวานนี้ คุณดิว อริสรา ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในรายการโหนกระแสและรับทราบเมื่อวานนี้ว่าทางฝั่งของ"มาดามเมนี่" วาสนา อินทะแสง ได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามแล้ว จึงได้พูดคุยกับตนและได้ข้อเท็จจริงยืนยันว่า การเดินทางไปไต้หวันไม่ใช่การหลบหนีตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งได้เดินทางไปก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว ทั้งนี้ดิวไม่ทราบมาก่อนว่าถูกแจ้งความเมื่อทราบเรื่องก็ได้รีบประสานให้ตัวเองดำเนินการยื่นหนังสือกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและยืนยันว่า ที่ไปต่างประเทศ เพราะต้องการที่จะไปดูแลลูก ไม่มีเจตนาที่จะหลบหนีคดี รวมทั้งยืนยันว่า หลังจากนี้ยินดีที่จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนและให้ความร่วมมือทุกประการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม • นายนิติศักดิ์ กล่าวต่อว่าส่วนข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากการที่พูดคุยเป็นไปตามที่ได้ชี้แจ้งในรายการคือ ทางดิว ต้องการยืมทรัพย์สิน ตามที่ตกลงกันก็คือให้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้น แต่เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากเจ้าหนี้ของคุณดิวต้องการเงินสด ไม่ได้ต้องการทรัพย์สิน จึงจำเป็นต้องนำทรัพย์สินไปจำนำเพื่อให้ได้เงินสด แต่ยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวอยู่ในเงื่อนไขที่ทางผู้เสียหายให้ทรัพย์สินยืมไป และทางคุณเมย์ก็รับทราบเรื่องที่มีการนำทรัพย์สินไปจำนำแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด แต่จะรับทราบก่อนหรือหลังรับจำนำ เรื่องนี้ส่วนตัวไม่ทราบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000026664 • #MGROnline #โหนกระแส #หนุ่มกรรชัย #เมย์วาสนา #ไฮโซเมย์ #ดิวอริศรา #สร้อยlotus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 389 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทวี” ตั้ง คกก.สอบปมนักโทษเสียชีวิตในเรือนจำเขาบิน ฝากบอกผู้เสียหายและครอบครัวจะให้ความเป็นธรรมแน่นอน พร้อมทำแบบสำรวจข้อมูลจากผู้ต้องขังทุกเรือนจำ ฟังผู้คุมอย่างเดียวไม่ได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024641
    “ทวี” ตั้ง คกก.สอบปมนักโทษเสียชีวิตในเรือนจำเขาบิน ฝากบอกผู้เสียหายและครอบครัวจะให้ความเป็นธรรมแน่นอน พร้อมทำแบบสำรวจข้อมูลจากผู้ต้องขังทุกเรือนจำ ฟังผู้คุมอย่างเดียวไม่ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024641
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1275 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท

    เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน

    บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต

    https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal agents confirm LastPass breach linked to massive cryptocurrency heists
    The $150 million heist, which occurred on January 30, 2024, is believed to have targeted Chris Larsen, co-founder of the cryptocurrency platform Ripple, according to blockchain security...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 338 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพบัตรประชาชนในมือถือท่าน โปรดระวังนะครับ! 📲
    มุกใหม่มิจฉาชีพ สวมบัตรประชาชน เปิดซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิม ขอรหัส otp ล้วงเงินบัตรเครดิต
    .
    ขณะนี้มีมิจฉาชีพปลอมแปลงบัตรประชาชนของผู้เสียหาย โดยตัดต่อใบหน้าของมิจฉาชีพไปใส่แทนภาพถ่ายบัตรประชาชนของผู้เสียหาย แล้วนำไปขอออกซิมการ์ดใหม่แต่ใช้เบอร์เดิม
    .
    เมื่อมิจฉาชีพเข้าใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหายได้แล้ว มิจฉาชีพก็จะเข้าสู่ระบบของบัตรเครดิตผู้เสียหาย เพื่อขอรหัส OTP ในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ก่อนจะนำไปบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปใช้จ่าย สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก
    .
    ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอเตือนภัย ให้ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชนผ่านทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ให้กับหน่วยงานหรือบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพครับ
    .
    ที่มา ตำรวจสอบสวนกลาง CIB
    ภาพบัตรประชาชนในมือถือท่าน โปรดระวังนะครับ! 📲 มุกใหม่มิจฉาชีพ สวมบัตรประชาชน เปิดซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิม ขอรหัส otp ล้วงเงินบัตรเครดิต . ขณะนี้มีมิจฉาชีพปลอมแปลงบัตรประชาชนของผู้เสียหาย โดยตัดต่อใบหน้าของมิจฉาชีพไปใส่แทนภาพถ่ายบัตรประชาชนของผู้เสียหาย แล้วนำไปขอออกซิมการ์ดใหม่แต่ใช้เบอร์เดิม . เมื่อมิจฉาชีพเข้าใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหายได้แล้ว มิจฉาชีพก็จะเข้าสู่ระบบของบัตรเครดิตผู้เสียหาย เพื่อขอรหัส OTP ในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ก่อนจะนำไปบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปใช้จ่าย สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก . ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอเตือนภัย ให้ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชนผ่านทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ให้กับหน่วยงานหรือบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพครับ . ที่มา ตำรวจสอบสวนกลาง CIB
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร ตร.ไซเบอร์รับคนไทยกลับแยกคนผิด ตั้งข้อหาหนัก
    .
    เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาจากทางกัมพูชาว่าจะมีการทยอยส่งตัวคนไทยที่เข้าไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์กลับประเทศไทย ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกลไกที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ / ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) โดยพบว่ามีผู้ที่เข้าข่าย กระทำความผิดในข้อหาการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและข้อหาอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แบ่งเป็น คนไทยกว่า 100 ราย ต่างชาติ 2 รายที่เรียกกันว่าบอสชาวจีน
    .
    ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการดำเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1.จากการซักถามปากคำและคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานใน ประเทศกัมพูชา สามารถจัดกลุ่มได้ จำนวน 8 กลุ่ม
    .
    ได้แก่ (1) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 2 จำนวน 23 คน มีพฤติการณ์หลอกให้ลงทุนในหุ้น
    (2) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 15 จำนวน 14 คน มีพฤติการณ์เป็นโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (3) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 18 จำนวน 18 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ M98
    .
    (4) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ B9 จำนวน 4 คน มีพฤติการณ์หลอกลวงด้วยการโทร หรือ call center โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน
    (5) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ออฟฟิศ 6 จำนวน 27 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 1 คน) มีพฤติการณ์หลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การไฟฟ้า/กรมบัญชีกลาง)
    .
    (6) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ห้อง 9 จำนวน 6 คน (7) ยังระบุสถานที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งอยู่ในบริเวณตึกภูมิตาสวน จำนวน 12 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 6 คน) คงเหลือเป็นบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการ NRM จำนวน 6 คน (😎 อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการชักชวนเล่นการพนันไฮโลออนไลน์
    .
    ในจำนวนทั้งหมด 112 คน ที่ได้ดำเนินการซักถาม ก่อนกระบวนการคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์ NRM พบว่าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน ซึ่งผลการคัดกรองทั้งหมดจำนวน 112 คน ปรากฏว่า ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์แต่อย่างใด
    .
    จากการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานพบว่าคนไทยตามข้อ 1. ที่ทำงานในตึกภูมิตาสวนรวมจำนวน 100 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และพบว่ามีหัวหน้า และคนติดตามซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คนร่วมกระทำผิดด้วย ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน รวม 19 คน ยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด
    .
    ข่าวแจ้งว่า วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลตามข้อ 2. ต่อศาลอาญา รวมจำนวน 102 คน ในข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ทั้งหมดรวม 102 คน แยกเป็นคนไทย จำนวน 100 คน และชาวจีน 2 คน
    .
    เวลาประมาณ 16.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และ ภ.จว.สระแก้ว ได้นำหมายจับดังกล่าวมาแสดง และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นคนไทย รวม 93 คน (ที่เหลืออีก 7 คน ได้มีการจับกุมตามหมายจับคดีอื่นไปก่อนแล้ว) และได้ทำบันทึกจับกุม รวมทั้งดำเนินการแจ้งการควบคุมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
    .
    และเวลาประมาณ 23.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้นำผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งหมด 93 คน ออกจากสโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ไปยัง บช.สอท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    .
    ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน ซึ่งยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด และไม่ได้ถูกออกหมายจับ ได้ส่งกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว
    .
    สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระแก้ว ได้รับตัวไป เพื่อคุ้มครอง และส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป
    .
    จากนั้น วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้ปิดศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM ณ สโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ทั่วไปปกติ
    ..............
    Sondhi X
    รวบแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร ตร.ไซเบอร์รับคนไทยกลับแยกคนผิด ตั้งข้อหาหนัก . เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาจากทางกัมพูชาว่าจะมีการทยอยส่งตัวคนไทยที่เข้าไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์กลับประเทศไทย ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกลไกที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ / ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) โดยพบว่ามีผู้ที่เข้าข่าย กระทำความผิดในข้อหาการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและข้อหาอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แบ่งเป็น คนไทยกว่า 100 ราย ต่างชาติ 2 รายที่เรียกกันว่าบอสชาวจีน . ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการดำเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1.จากการซักถามปากคำและคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานใน ประเทศกัมพูชา สามารถจัดกลุ่มได้ จำนวน 8 กลุ่ม . ได้แก่ (1) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 2 จำนวน 23 คน มีพฤติการณ์หลอกให้ลงทุนในหุ้น (2) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 15 จำนวน 14 คน มีพฤติการณ์เป็นโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (3) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 18 จำนวน 18 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ M98 . (4) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ B9 จำนวน 4 คน มีพฤติการณ์หลอกลวงด้วยการโทร หรือ call center โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน (5) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ออฟฟิศ 6 จำนวน 27 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 1 คน) มีพฤติการณ์หลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การไฟฟ้า/กรมบัญชีกลาง) . (6) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ห้อง 9 จำนวน 6 คน (7) ยังระบุสถานที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งอยู่ในบริเวณตึกภูมิตาสวน จำนวน 12 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 6 คน) คงเหลือเป็นบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการ NRM จำนวน 6 คน (😎 อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการชักชวนเล่นการพนันไฮโลออนไลน์ . ในจำนวนทั้งหมด 112 คน ที่ได้ดำเนินการซักถาม ก่อนกระบวนการคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์ NRM พบว่าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน ซึ่งผลการคัดกรองทั้งหมดจำนวน 112 คน ปรากฏว่า ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์แต่อย่างใด . จากการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานพบว่าคนไทยตามข้อ 1. ที่ทำงานในตึกภูมิตาสวนรวมจำนวน 100 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และพบว่ามีหัวหน้า และคนติดตามซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คนร่วมกระทำผิดด้วย ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน รวม 19 คน ยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด . ข่าวแจ้งว่า วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลตามข้อ 2. ต่อศาลอาญา รวมจำนวน 102 คน ในข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ทั้งหมดรวม 102 คน แยกเป็นคนไทย จำนวน 100 คน และชาวจีน 2 คน . เวลาประมาณ 16.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และ ภ.จว.สระแก้ว ได้นำหมายจับดังกล่าวมาแสดง และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นคนไทย รวม 93 คน (ที่เหลืออีก 7 คน ได้มีการจับกุมตามหมายจับคดีอื่นไปก่อนแล้ว) และได้ทำบันทึกจับกุม รวมทั้งดำเนินการแจ้งการควบคุมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ . และเวลาประมาณ 23.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้นำผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งหมด 93 คน ออกจากสโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ไปยัง บช.สอท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป . ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน ซึ่งยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด และไม่ได้ถูกออกหมายจับ ได้ส่งกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว . สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระแก้ว ได้รับตัวไป เพื่อคุ้มครอง และส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป . จากนั้น วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้ปิดศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM ณ สโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ทั่วไปปกติ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2129 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคสแรกของอุดร! ตำรวจอุดรฯ ตามอายัดบัญชีคืนเงินให้ผู้เสียหายเหยื่อคอลเซ็นเตอร์วัย 18 ปึ ได้เกือบ 2 แสนจากที่ถูกหลอกให้โอนเงินออกไปกว่า 2.6 ล้านบาท เผยชาวอุดรธานีเสียท่าแก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงินมีประมาณ 10,000 กว่าราย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019868

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เคสแรกของอุดร! ตำรวจอุดรฯ ตามอายัดบัญชีคืนเงินให้ผู้เสียหายเหยื่อคอลเซ็นเตอร์วัย 18 ปึ ได้เกือบ 2 แสนจากที่ถูกหลอกให้โอนเงินออกไปกว่า 2.6 ล้านบาท เผยชาวอุดรธานีเสียท่าแก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงินมีประมาณ 10,000 กว่าราย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019868 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Wow
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1095 มุมมอง 0 รีวิว
  • รวบมาดามบอสเต๋ ปิดตำนานซิมเคโฟร์

    การจับกุม น.ส.เริงฤดี ลักษณะหุต หรือบอสเต๋ อายุ 45 ปี กรรมการบริษัท ปันสุข 555 จำกัด และ น.ส.พรพิมล สีลาดเลา อายุ 30 ปี กรรมการบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หลานสาว น.ส.เริงฤดี ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 24 ก.พ. 2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 413 รายการ มีทั้งตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข 258 ตู้ รถยนต์ 11 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ที่ดินปราจีนบุรี 4 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ถือเป็นการปิดฉากอีกหนึ่งธุรกิจเครือข่ายต่อจากดิไอคอนกรุ๊ป

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ และนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร นำผู้เสียหาย 8 คน แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปคบ. ว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนซิมการ์ดและตู้เติมเงิน 5,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 3 เท่าภายใน 500 วัน และอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ปรากฎว่าไม่ได้รับผลตอบแทนมา 2 เดือน เมื่อทวงถามก็ถูกข่มขู่ว่าจะแจ้งความกลับ ต่อมามีผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. รวม 61 ราย มูลค่าความเสียหาย 27,557,701 บาท

    สืบสวนพบว่าผู้ต้องหาชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซิมเคโฟร์ ซึ่งเช่าโครงข่ายเสมือน (MVNO) จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข เสนอแพ็คเกจลงทุน 50,000 บาท รับผลตอบแทนสูงสุด 150,000 บาท ภายใน 500 วัน และขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังจังหวัดต่างๆ จัดการอบรมสัมมนาชักชวนร่วมลงทุน โดยจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร อีกทั้งธุรกิจตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทกว่า 400 ล้านบาท และมีการยักย้ายถ่ายโอนแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    ด้านสำนักงาน กสทช. เตรียมนำเรื่องนี้ไปหารือเพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมหารือกับ NT ให้ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานซิมเคโฟร์ 40,000 รายอีกด้วย

    สำหรับซิมเคโฟร์เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ก่อนเปิดตัวตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขเมื่อต้นปี 2567 ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนว่ามีการชักชวนลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อ้างว่าได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. จึงสั่งยุติการขายหรือแจกซิมมือถือ นอกจากนี้ยังพบว่าได้รับการจัดสรรเลขหมาย 331,000 เลขหมาย แต่ใช้งานจริงเพียง 46,000 เลขหมาย เติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาท สอดคล้องกับที่แจ้งว่ามีรายได้ประมาณปีละ 5 ล้านบาท และจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปีละ 7,000 บาท

    #Newskit
    รวบมาดามบอสเต๋ ปิดตำนานซิมเคโฟร์ การจับกุม น.ส.เริงฤดี ลักษณะหุต หรือบอสเต๋ อายุ 45 ปี กรรมการบริษัท ปันสุข 555 จำกัด และ น.ส.พรพิมล สีลาดเลา อายุ 30 ปี กรรมการบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หลานสาว น.ส.เริงฤดี ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 24 ก.พ. 2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 413 รายการ มีทั้งตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข 258 ตู้ รถยนต์ 11 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ที่ดินปราจีนบุรี 4 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ถือเป็นการปิดฉากอีกหนึ่งธุรกิจเครือข่ายต่อจากดิไอคอนกรุ๊ป ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ และนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร นำผู้เสียหาย 8 คน แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปคบ. ว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนซิมการ์ดและตู้เติมเงิน 5,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 3 เท่าภายใน 500 วัน และอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ปรากฎว่าไม่ได้รับผลตอบแทนมา 2 เดือน เมื่อทวงถามก็ถูกข่มขู่ว่าจะแจ้งความกลับ ต่อมามีผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. รวม 61 ราย มูลค่าความเสียหาย 27,557,701 บาท สืบสวนพบว่าผู้ต้องหาชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซิมเคโฟร์ ซึ่งเช่าโครงข่ายเสมือน (MVNO) จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข เสนอแพ็คเกจลงทุน 50,000 บาท รับผลตอบแทนสูงสุด 150,000 บาท ภายใน 500 วัน และขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังจังหวัดต่างๆ จัดการอบรมสัมมนาชักชวนร่วมลงทุน โดยจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร อีกทั้งธุรกิจตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทกว่า 400 ล้านบาท และมีการยักย้ายถ่ายโอนแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ด้านสำนักงาน กสทช. เตรียมนำเรื่องนี้ไปหารือเพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมหารือกับ NT ให้ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานซิมเคโฟร์ 40,000 รายอีกด้วย สำหรับซิมเคโฟร์เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ก่อนเปิดตัวตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขเมื่อต้นปี 2567 ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนว่ามีการชักชวนลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อ้างว่าได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. จึงสั่งยุติการขายหรือแจกซิมมือถือ นอกจากนี้ยังพบว่าได้รับการจัดสรรเลขหมาย 331,000 เลขหมาย แต่ใช้งานจริงเพียง 46,000 เลขหมาย เติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาท สอดคล้องกับที่แจ้งว่ามีรายได้ประมาณปีละ 5 ล้านบาท และจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปีละ 7,000 บาท #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 674 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผกก.เผยเหตุไฟไหม้บ้านพักย่านท่าทราย เจ้าของบ้านแจ้งความอ้างนำเงินเจ้านายมาเก็บไว้ 10 ล้าน ถูกไหม้เสียหายหมด แต่พบพิรุธเพียบ

    จากกรณีเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ รับแจ้งเหตุเพลิงลุกไหม้บ้านพักภายในชุมชนฝั่งลาว เลขที่ 116/444 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี จึงประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครนนทบุรี นำรถน้ำ 3 คัน มาสกัดเพลิงที่กำลังลุกไหม้

    ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพัก 2 ชั้น ซึ่งเพลิงลุกไหม้ห้องนอนชั้นล่างได้รับความเสียหาย ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงช่วยกันทุบประตูดับเพลิงก่อนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะมาถึง ซึ่งขณะนั้นเพลิงกำลังลุกไหม้ควันดำเต็มพื้นที่ ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้สงบลง เจ้าของบ้านได้เข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน อ้างว่าได้นำเงินสด จำนวน 500,000 กว่าบาท ซึ่งเป็นเงินของเจ้านาย เก็บไว้ในห้องนอน ก็ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด

    จากการสอบถาม พ.ต.อ.พิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ผู้เสียหายแจ้งความว่าเกิดเหตุไฟไหม้ห้องนอน เพลิงลุกไหม้บริเวณเตียงนอน ซึ่งเก็บเงินไว้ที่หัวเตียง จำนวน 10 ล้านบาท และเมื่อเกิดเพลิงไหม้เงินจำนวนดังกล่าวได้หายไป ซึ่งผู้เสียหายแจ้งว่าเป็นเงินสดทั้งหมด ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังได้รับแจ้งได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุว่าลักษณะของที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร มีการเก็บร่องรอยหลักฐานเบื้องต้น และได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ อีกส่วนคือเรื่องของเงินจำนวน 10 ล้าน บาท ที่ผู้เสียหายอ้างว่าได้เก็บเงินไว้ในห้องแล้วเกิดไฟไหม้ ต้องตรวจสอบว่ามีเงินจริงหรือไม่ ถ้ามีแล้วหายไปได้อย่างไร

    ซึ่งลักษณะที่เกิดเหตุไม่ได้ถูกเพลิงไหม้หนักจนทุกอย่างหมดสิ้น น่าจะต้องมีเงินหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จากการดูที่เกิดเหตุไม่มีหลงเหลืออยู่เลย อีกส่วนคือเงินที่มีจำนวนเยอะขนาดนี้ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเงินมาอยู่กับผู้เสียหายได้อย่างไร คดีนี้มีความผิดสังเกตหลายเรื่อง และมีข้อพิรุธ ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อสรุป ความยากทางคดีคิดว่าไม่ยาก เราใช้หลักการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริง คิดว่าใช้เวลาไม่นานความจริงจะปรากฎ

    #MGROnline #ไฟไหม้บ้านพัก #ย่านท่าทราย #เงินสด10ล้านบาท
    ผกก.เผยเหตุไฟไหม้บ้านพักย่านท่าทราย เจ้าของบ้านแจ้งความอ้างนำเงินเจ้านายมาเก็บไว้ 10 ล้าน ถูกไหม้เสียหายหมด แต่พบพิรุธเพียบ • จากกรณีเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ รับแจ้งเหตุเพลิงลุกไหม้บ้านพักภายในชุมชนฝั่งลาว เลขที่ 116/444 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี จึงประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครนนทบุรี นำรถน้ำ 3 คัน มาสกัดเพลิงที่กำลังลุกไหม้ • ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพัก 2 ชั้น ซึ่งเพลิงลุกไหม้ห้องนอนชั้นล่างได้รับความเสียหาย ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงช่วยกันทุบประตูดับเพลิงก่อนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะมาถึง ซึ่งขณะนั้นเพลิงกำลังลุกไหม้ควันดำเต็มพื้นที่ ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้สงบลง เจ้าของบ้านได้เข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน อ้างว่าได้นำเงินสด จำนวน 500,000 กว่าบาท ซึ่งเป็นเงินของเจ้านาย เก็บไว้ในห้องนอน ก็ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด • จากการสอบถาม พ.ต.อ.พิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ผู้เสียหายแจ้งความว่าเกิดเหตุไฟไหม้ห้องนอน เพลิงลุกไหม้บริเวณเตียงนอน ซึ่งเก็บเงินไว้ที่หัวเตียง จำนวน 10 ล้านบาท และเมื่อเกิดเพลิงไหม้เงินจำนวนดังกล่าวได้หายไป ซึ่งผู้เสียหายแจ้งว่าเป็นเงินสดทั้งหมด ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังได้รับแจ้งได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุว่าลักษณะของที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร มีการเก็บร่องรอยหลักฐานเบื้องต้น และได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ อีกส่วนคือเรื่องของเงินจำนวน 10 ล้าน บาท ที่ผู้เสียหายอ้างว่าได้เก็บเงินไว้ในห้องแล้วเกิดไฟไหม้ ต้องตรวจสอบว่ามีเงินจริงหรือไม่ ถ้ามีแล้วหายไปได้อย่างไร • ซึ่งลักษณะที่เกิดเหตุไม่ได้ถูกเพลิงไหม้หนักจนทุกอย่างหมดสิ้น น่าจะต้องมีเงินหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จากการดูที่เกิดเหตุไม่มีหลงเหลืออยู่เลย อีกส่วนคือเงินที่มีจำนวนเยอะขนาดนี้ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเงินมาอยู่กับผู้เสียหายได้อย่างไร คดีนี้มีความผิดสังเกตหลายเรื่อง และมีข้อพิรุธ ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อสรุป ความยากทางคดีคิดว่าไม่ยาก เราใช้หลักการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริง คิดว่าใช้เวลาไม่นานความจริงจะปรากฎ • #MGROnline #ไฟไหม้บ้านพัก #ย่านท่าทราย #เงินสด10ล้านบาท
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปล่อยเช่าเครื่อง EDC ขโมยรูดปรื๊ดบัตรเครดิต

    ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จับกุมนางวิยะดา พลเวียง อายุ 41 ปี เจ้าของเครื่องรูดบัตร (EDC) ที่ปล่อยให้คนร้ายเช่าที่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ถือเป็นการต่อจิ๊กซอว์ขบวนการลักขโมยวงเงินบัตรเครดิต ที่ปรากฎเป็นข่าวไปเมื่อต้นปี 2568 ซึ่งพบว่ามีกลุ่มคนไทยร่วมมือกับชาวจีนร่วมกระทำความผิด แม้นางวิยะดาอ้างว่าให้แฟนสาวของแก๊งชาวจีนเช่าเครื่องรูดบัตร ได้ค่าตอบแทน 15% รวมกว่า 130,000 บาท แต่ไม่รู้เห็นกับการกระทำความผิดก็ตาม

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อ จับกุม น.ส.ธัญชนก ชุ่มชื่นจิตร อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุที่คอนโดมิเนียมย่านเอกมัย กทม. เป็นคนทำทีไปใช้บริการออนเซน แล้วแอบเก็บเอาสายรัดข้อมือ (ริสแบนด์) ที่ใช้สแกนเข้าออกและเปิดตู้ล็อกเกอร์ไปทำแถบแม่เหล็กเพิ่ม โดยให้กลุ่มเพื่อนชาวจีนอีก 4 คน ช่วยทำอันใหม่ขึ้นมา ก่อนตระเวนเปิดล็อกเกอร์ของผู้เสียหายรายต่างๆ ระหว่างแช่ออนเซน แล้วหยิบบัตรเครดิตไปรูดโดยใช้เครื่อง EDC แบบพกพา

    สำหรับเครื่องรูดบัตรที่กลุ่มคนร้ายนำมาใช้เป็นแบบพกพายี่ห้อ BLUEPAD-50 v2 ของบริษัท DATECS ที่ธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งให้บริการร้านค้ารับบัตร เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ โดยใช้แอปพลิเคชันธนาคารทำรายการ รองรับการชำระเงินด้วยการแตะบัตร (Contactless) จำกัดไม่เกิน 1,500 บาทต่อรายการ และการเสียบบัตรชิปการ์ด (Dip Chip) ลงในเครื่อง ซึ่งไม่จำกัดวงเงินต่อรายการ

    โดยเปิดแอปฯ ผ่านสมาร์ทโฟน ใส่จำนวนเงินลงไป เสียบบัตรเครดิตที่เครื่องรูดบัตร กระทั่งรายการอนุมัติเพียงไม่กี่นาที ซึ่งพบว่ามีผู้เสียหายถูกคนร้ายรูดบัตรเครดิตด้วยมูลค่าตั้งแต่ 85,900 บาท ถึง 343,000 บาท บางธนาคารยอมระงับรายการที่คนร้ายรูดและช่วยเหลือตำรวจสืบสวน แต่บางธนาคารให้ลูกค้าไปตามเรื่องเอาเอง ไม่ยอมระงับรายการ และไม่เปิดเผยข้อมูลร้านค้าที่กระทำความผิด โดยพบว่ามีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร จ.นนทบุรี ธุรกิจรถฉุกเฉิน จ.ปทุมธานี และเต็นท์รถมือสองที่ จ.มหาสารคาม

    ปัจจุบันการขอใช้เครื่องรูดบัตร (EDC) ของแต่ละธนาคารเป็นไปอย่างง่ายดาย ร้านค้าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ขอได้ กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้มีขบวนการปล่อยเช่าเครื่องรูดบัตรเพื่อกระทำความผิด จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบว่าร้านค้าแต่ละแห่งมีการใช้เครื่องรูดบัตรที่ร้านค้าโดยตรงหรือไม่ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของร้านค้าหรือไม่ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการนำเครื่องรูดบัตรไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการปล่อยเช่าแก่กลุ่มมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายแก่ผู้คนในสังคม

    #Newskit
    ปล่อยเช่าเครื่อง EDC ขโมยรูดปรื๊ดบัตรเครดิต ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จับกุมนางวิยะดา พลเวียง อายุ 41 ปี เจ้าของเครื่องรูดบัตร (EDC) ที่ปล่อยให้คนร้ายเช่าที่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ถือเป็นการต่อจิ๊กซอว์ขบวนการลักขโมยวงเงินบัตรเครดิต ที่ปรากฎเป็นข่าวไปเมื่อต้นปี 2568 ซึ่งพบว่ามีกลุ่มคนไทยร่วมมือกับชาวจีนร่วมกระทำความผิด แม้นางวิยะดาอ้างว่าให้แฟนสาวของแก๊งชาวจีนเช่าเครื่องรูดบัตร ได้ค่าตอบแทน 15% รวมกว่า 130,000 บาท แต่ไม่รู้เห็นกับการกระทำความผิดก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ทองหล่อ จับกุม น.ส.ธัญชนก ชุ่มชื่นจิตร อายุ 22 ปี หนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุที่คอนโดมิเนียมย่านเอกมัย กทม. เป็นคนทำทีไปใช้บริการออนเซน แล้วแอบเก็บเอาสายรัดข้อมือ (ริสแบนด์) ที่ใช้สแกนเข้าออกและเปิดตู้ล็อกเกอร์ไปทำแถบแม่เหล็กเพิ่ม โดยให้กลุ่มเพื่อนชาวจีนอีก 4 คน ช่วยทำอันใหม่ขึ้นมา ก่อนตระเวนเปิดล็อกเกอร์ของผู้เสียหายรายต่างๆ ระหว่างแช่ออนเซน แล้วหยิบบัตรเครดิตไปรูดโดยใช้เครื่อง EDC แบบพกพา สำหรับเครื่องรูดบัตรที่กลุ่มคนร้ายนำมาใช้เป็นแบบพกพายี่ห้อ BLUEPAD-50 v2 ของบริษัท DATECS ที่ธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งให้บริการร้านค้ารับบัตร เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ โดยใช้แอปพลิเคชันธนาคารทำรายการ รองรับการชำระเงินด้วยการแตะบัตร (Contactless) จำกัดไม่เกิน 1,500 บาทต่อรายการ และการเสียบบัตรชิปการ์ด (Dip Chip) ลงในเครื่อง ซึ่งไม่จำกัดวงเงินต่อรายการ โดยเปิดแอปฯ ผ่านสมาร์ทโฟน ใส่จำนวนเงินลงไป เสียบบัตรเครดิตที่เครื่องรูดบัตร กระทั่งรายการอนุมัติเพียงไม่กี่นาที ซึ่งพบว่ามีผู้เสียหายถูกคนร้ายรูดบัตรเครดิตด้วยมูลค่าตั้งแต่ 85,900 บาท ถึง 343,000 บาท บางธนาคารยอมระงับรายการที่คนร้ายรูดและช่วยเหลือตำรวจสืบสวน แต่บางธนาคารให้ลูกค้าไปตามเรื่องเอาเอง ไม่ยอมระงับรายการ และไม่เปิดเผยข้อมูลร้านค้าที่กระทำความผิด โดยพบว่ามีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร จ.นนทบุรี ธุรกิจรถฉุกเฉิน จ.ปทุมธานี และเต็นท์รถมือสองที่ จ.มหาสารคาม ปัจจุบันการขอใช้เครื่องรูดบัตร (EDC) ของแต่ละธนาคารเป็นไปอย่างง่ายดาย ร้านค้าบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ขอได้ กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้มีขบวนการปล่อยเช่าเครื่องรูดบัตรเพื่อกระทำความผิด จึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องตรวจสอบว่าร้านค้าแต่ละแห่งมีการใช้เครื่องรูดบัตรที่ร้านค้าโดยตรงหรือไม่ และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของร้านค้าหรือไม่ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการนำเครื่องรูดบัตรไปใช้ในทางที่ผิด เช่นการปล่อยเช่าแก่กลุ่มมิจฉาชีพ สร้างความเสียหายแก่ผู้คนในสังคม #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 587 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000017337

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000017337 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1333 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ

    วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น. นายแทนคุณ หรืออี้ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม นำผู้เสียหายใน 5 คดีที่เชื่อมโยงกับ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ดารานักแสดง เรียกรับผลประโยชน์และแอบอ้างช่วยวิ่งเต้นคดีให้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อให้ข้อมูลหลักฐานกับพนักงานสอบสวนนำไปพิจารณาประกอบสำนวนคดี

    นายแทนคุณ กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายจากทั้ง 5 คดีที่เชื่อมโยงกับฟิล์ม รัฐภูมิ เข้าให้ข้อมูลหลักฐานกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อให้พิจารณาหาความเชื่อมโยงกับคดีเดิม และบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์ซ้ำ ๆ เพื่อพิจารณาหลักฐานตรงนี้ว่าจะสามารถดำเนินคดีกับ นายฟิล์ม ในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของดีเจแมนและใบเตย ตนเองได้มีการพูดคุยมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งพบว่าทั้งคู่มีหลักฐานเป็นเส้นทางการเงิน ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเงินดังกล่าวออกจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง มูลค่าหลักสิบล้านขึ้นไป รวมทั้งคลิปเสียงสนทนาระหว่างดีเจแมน ใบเตยและบุคคลที่สาม ขณะที่เป็นผู้ต้องหาอยู่ระหว่างต่อสู้คดี ซึ่งได้มีบุคคลเข้ามาติดต่อโดยอ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ โดยได้มีการเปิดวิดีโอคอลโทรศัพท์ให้เห็นว่าอยู่กับผู้ใหญ่ในสถานที่นั้นจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะมีการเรียกรับผลประโยชน์จากดีเจแมนและใบเตยคนละ 7 ล้านบาท รวม 14 ล้านบาท

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000017337

    #MGROnline #อี้แทนคุณ #ฟิล์มรัฐภูมิ #ตบทรัพย์ #บิ๊กเต่า #ข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
    "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ • วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น. นายแทนคุณ หรืออี้ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม นำผู้เสียหายใน 5 คดีที่เชื่อมโยงกับ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ดารานักแสดง เรียกรับผลประโยชน์และแอบอ้างช่วยวิ่งเต้นคดีให้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อให้ข้อมูลหลักฐานกับพนักงานสอบสวนนำไปพิจารณาประกอบสำนวนคดี • นายแทนคุณ กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายจากทั้ง 5 คดีที่เชื่อมโยงกับฟิล์ม รัฐภูมิ เข้าให้ข้อมูลหลักฐานกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อให้พิจารณาหาความเชื่อมโยงกับคดีเดิม และบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์ซ้ำ ๆ เพื่อพิจารณาหลักฐานตรงนี้ว่าจะสามารถดำเนินคดีกับ นายฟิล์ม ในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของดีเจแมนและใบเตย ตนเองได้มีการพูดคุยมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งพบว่าทั้งคู่มีหลักฐานเป็นเส้นทางการเงิน ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเงินดังกล่าวออกจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง มูลค่าหลักสิบล้านขึ้นไป รวมทั้งคลิปเสียงสนทนาระหว่างดีเจแมน ใบเตยและบุคคลที่สาม ขณะที่เป็นผู้ต้องหาอยู่ระหว่างต่อสู้คดี ซึ่งได้มีบุคคลเข้ามาติดต่อโดยอ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ โดยได้มีการเปิดวิดีโอคอลโทรศัพท์ให้เห็นว่าอยู่กับผู้ใหญ่ในสถานที่นั้นจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะมีการเรียกรับผลประโยชน์จากดีเจแมนและใบเตยคนละ 7 ล้านบาท รวม 14 ล้านบาท • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000017337 • #MGROnline #อี้แทนคุณ #ฟิล์มรัฐภูมิ #ตบทรัพย์ #บิ๊กเต่า #ข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงใหม่- "ส.ส.ปูอัด" โผล่แล้ว! ควงทนายความขึ้นโรงพักเชียงใหม่ รับทราบข้อกล่าวหาหลังถูกออกหมายจับคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวไต้หวัน ขอให้สัมภาษณ์ข่าวหลังเสร็จการรับทราบข้อหา

    วันนี้(18ก.พ.68) เวลาประมาณ 13.00น.ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ "ส.ส.ปูอัด"สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) กรุงเทพฯ พรรคไทยก้าวหน้า พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีที่นายไชยามพวานถูกกล่าวหาว่าข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน ซึ่งเหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 02.00น.วันที่ 9 ม.ค.68 และผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความในช่วงเช้าวันเดียวกัน

    โดยต่อมาตำรวจได้มีการขอศาลอนุมัติออกหมายจับเมื่อวันที่ 4 ก.พ.68 และประสานถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอตัวไปดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งสภาฯ จะมีการประชุมในวันที่ 20 ก.พ.68เพื่อลงมติเกี่ยวกับการส่งตัวนายไชยามพวาน ให้ตำรวจดำเนินคดี อย่างไรก็ตามนายไชยามพวาน ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเองก่อนในวันนี้

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/local/detail/9680000016123

    #MGROnline #ปูอัด #สส #เชียงใหม่ #ข่มขืน #นักท่องเที่ยว
    เชียงใหม่- "ส.ส.ปูอัด" โผล่แล้ว! ควงทนายความขึ้นโรงพักเชียงใหม่ รับทราบข้อกล่าวหาหลังถูกออกหมายจับคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวไต้หวัน ขอให้สัมภาษณ์ข่าวหลังเสร็จการรับทราบข้อหา • วันนี้(18ก.พ.68) เวลาประมาณ 13.00น.ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ หรือ "ส.ส.ปูอัด"สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) กรุงเทพฯ พรรคไทยก้าวหน้า พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีที่นายไชยามพวานถูกกล่าวหาว่าข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน ซึ่งเหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 02.00น.วันที่ 9 ม.ค.68 และผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความในช่วงเช้าวันเดียวกัน • โดยต่อมาตำรวจได้มีการขอศาลอนุมัติออกหมายจับเมื่อวันที่ 4 ก.พ.68 และประสานถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอตัวไปดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งสภาฯ จะมีการประชุมในวันที่ 20 ก.พ.68เพื่อลงมติเกี่ยวกับการส่งตัวนายไชยามพวาน ให้ตำรวจดำเนินคดี อย่างไรก็ตามนายไชยามพวาน ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตัวเองก่อนในวันนี้ • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/local/detail/9680000016123 • #MGROnline #ปูอัด #สส #เชียงใหม่ #ข่มขืน #นักท่องเที่ยว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอกลาภ ยิ้มวิไล คุก 5 ปี คดี Zipmex ฉ้อโกงพันล้าน

    ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2568 จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่รอลงอาญา และลงโทษปรับบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นเงิน 100,000 บาท ในคดีที่ผู้เสียหายรายหนึ่งยื่นฟ้องฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แม้นายเอกลาภยื่นขอประกันตนเองในชั้นอุทธรณ์ โดยยื่นหลักทรัพย์ 15 ล้านบาท แต่ทำเรื่องไม่ทัน จึงต้องไปคุมขังในเรือนจำ

    ถือเป็นคดีที่สั่นสะเทือนวงการคริปโตเคอเรนซี่ เพราะซิปเม็กซ์เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชื่อดัง ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับสองของไทย รองจากบิทคับ (Bitkub) ของนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2565 ซิปเม็กซ์ประกาศระงับการเพิกถอนเงินบาทและสินทรัพย์ดิจิทัลทุกกรณีเป็นการชั่วคราว ก่อนที่นายเอกลาภจะยอมรับว่าเกิดปัญหากับบริการ Zip-up ที่ลูกค้าในประเทศไทยฝากไปที่ Zipmex Global ในในสิงคโปร์ โดยคู่ค้าคือ Bebel Finance และ Celsius ประสบปัญหาสภาพคล่อง ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอยู่ใน Zip-up ทั้ง Bitcoin Etherium USDT และ USDC มีปัญหา

    แต่กลุ่มผู้เสียหายจากการลงทุนในซิปเม็กซ์พบว่า มีการโอนเหรียญไปที่ Celsius ตั้งแต่ปี 2564 แต่เพิ่งมีการออก Term & Condition ให้ผู้ใช้งานกดยอมรับเมื่อเดือน เม.ย.2565 ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. แม้รับทราบว่า Babel Finance และ Celsius มีปัญหาขาดสภาพคล่อง แต่ยังโฆษณาชักชวนให้ไปลงทุน ในที่สุด ก.ล.ต.ได้มีคำสั่งเปรียบเทียบปรับนายเอกลาภ 7 ข้อหา และบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ 6 ข้อหา ตาม พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล รวมเป็นเงิน 10.97 ล้านบาท ไม่นับรวมกลุ่มผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งตำรวจได้ให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษไปแล้ว

    ซิปเม็กซ์ถูกเพิกถอนการอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.2567 ขณะที่กลุ่มผู้เสียหายในนาม “กลุ่มร่วมสู้ Zipmex” ประกอบด้วยสมาชิก 741 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 2,667.29 ล้านบาท ได้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ต่อบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ นายเอกลาภ และผู้เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศรวม 23 ราย เรียกค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งคดีล่าสุดที่นายเอกลาภติดคุก ถือเป็นการจุดความหวังให้ผู้เสียหายฟ้องคดีเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลคดีแรกของประเทศไทย

    #Newskit
    เอกลาภ ยิ้มวิไล คุก 5 ปี คดี Zipmex ฉ้อโกงพันล้าน ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2568 จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา นายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยไม่รอลงอาญา และลงโทษปรับบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นเงิน 100,000 บาท ในคดีที่ผู้เสียหายรายหนึ่งยื่นฟ้องฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แม้นายเอกลาภยื่นขอประกันตนเองในชั้นอุทธรณ์ โดยยื่นหลักทรัพย์ 15 ล้านบาท แต่ทำเรื่องไม่ทัน จึงต้องไปคุมขังในเรือนจำ ถือเป็นคดีที่สั่นสะเทือนวงการคริปโตเคอเรนซี่ เพราะซิปเม็กซ์เป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลชื่อดัง ที่มีส่วนแบ่งการตลาดอันดับสองของไทย รองจากบิทคับ (Bitkub) ของนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2565 ซิปเม็กซ์ประกาศระงับการเพิกถอนเงินบาทและสินทรัพย์ดิจิทัลทุกกรณีเป็นการชั่วคราว ก่อนที่นายเอกลาภจะยอมรับว่าเกิดปัญหากับบริการ Zip-up ที่ลูกค้าในประเทศไทยฝากไปที่ Zipmex Global ในในสิงคโปร์ โดยคู่ค้าคือ Bebel Finance และ Celsius ประสบปัญหาสภาพคล่อง ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอยู่ใน Zip-up ทั้ง Bitcoin Etherium USDT และ USDC มีปัญหา แต่กลุ่มผู้เสียหายจากการลงทุนในซิปเม็กซ์พบว่า มีการโอนเหรียญไปที่ Celsius ตั้งแต่ปี 2564 แต่เพิ่งมีการออก Term & Condition ให้ผู้ใช้งานกดยอมรับเมื่อเดือน เม.ย.2565 ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต. แม้รับทราบว่า Babel Finance และ Celsius มีปัญหาขาดสภาพคล่อง แต่ยังโฆษณาชักชวนให้ไปลงทุน ในที่สุด ก.ล.ต.ได้มีคำสั่งเปรียบเทียบปรับนายเอกลาภ 7 ข้อหา และบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ 6 ข้อหา ตาม พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล รวมเป็นเงิน 10.97 ล้านบาท ไม่นับรวมกลุ่มผู้เสียหายแจ้งความเอาผิดในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งตำรวจได้ให้ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษไปแล้ว ซิปเม็กซ์ถูกเพิกถอนการอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.2567 ขณะที่กลุ่มผู้เสียหายในนาม “กลุ่มร่วมสู้ Zipmex” ประกอบด้วยสมาชิก 741 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 2,667.29 ล้านบาท ได้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ต่อบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ นายเอกลาภ และผู้เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศรวม 23 ราย เรียกค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งคดีล่าสุดที่นายเอกลาภติดคุก ถือเป็นการจุดความหวังให้ผู้เสียหายฟ้องคดีเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลคดีแรกของประเทศไทย #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา เอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ก่อตั้ง Zipmex ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ฐานฉ้อโกงประชาชน พร้อมปรับบริษัทฯ 1 แสนบาท หลังผู้เสียหายรายหนึ่งฟ้องคดีอาญา ยังมีคดีกลุ่มผู้เสียหายยื่นฟ้องแบบกลุ่ม เรียกค่าเสียหายกว่า 5 พันล้าน กำลังไต่สวนคดี
    .
    วันนี้ (17 ก.พ.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาคดีที่มีผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล จำเลยที่ 1 และนายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ จำเลยที่ 2 ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิด พิพากษาลงโทษปรับบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นเงิน 100,000 บาท และลงโทษจำคุกนายเอกลาภ ยิ้มวิไล เวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
    .
    คดีนี้สืบเนื่องจาก Zipmex ซึ่งเคยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทการเป็น ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลตามพระราชกำหนด การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้ก่อความเสียหายต่อประชาชนผู้ลงทุน ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้พบการกระทำความผิดกฎหมายหลายกรณีและได้กล่าวโทษจำเลยไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีอาญา อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลของ Zipmex ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2567
    .
    คดีดังกล่าวผู้เสียหายรายหนึ่งได้ฟ้องดำเนินคดีอาญา และมีคำพิพากษาในวันนี้ แต่ยังมีกลุ่มผู้เสียหายที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มร่วมสู้ Zipmex ร่วมมือกันยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคแบบกลุ่ม (Consumer Class Action) ซึ่งมีผู้เสียหายรวมตัวกัน 741 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,667.29 ล้านบาท โดยฟ้องจำเลย 23 ราย ทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งได้มอบหมายให้นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ผู้ก่อตั้งสำนักกฎหมาย VLA รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีแพ่งแบบกลุ่ม ปัจจุบันศาลแพ่งกรุงเทพใต้ นัดไต่สวคดีเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000015807
    ......
    Sondhi X
    ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา เอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ก่อตั้ง Zipmex ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ฐานฉ้อโกงประชาชน พร้อมปรับบริษัทฯ 1 แสนบาท หลังผู้เสียหายรายหนึ่งฟ้องคดีอาญา ยังมีคดีกลุ่มผู้เสียหายยื่นฟ้องแบบกลุ่ม เรียกค่าเสียหายกว่า 5 พันล้าน กำลังไต่สวนคดี . วันนี้ (17 ก.พ.) ศาลอาญากรุงเทพใต้ อ่านคำพิพากษาคดีที่มีผู้เสียหายเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล จำเลยที่ 1 และนายเอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นอดีตกรรมการและผู้บริหารบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ จำเลยที่ 2 ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิด พิพากษาลงโทษปรับบริษัท ซิปเม็กซ์ฯ เป็นเงิน 100,000 บาท และลงโทษจำคุกนายเอกลาภ ยิ้มวิไล เวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง . คดีนี้สืบเนื่องจาก Zipmex ซึ่งเคยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทการเป็น ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลและนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลตามพระราชกำหนด การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้ก่อความเสียหายต่อประชาชนผู้ลงทุน ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้พบการกระทำความผิดกฎหมายหลายกรณีและได้กล่าวโทษจำเลยไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีอาญา อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ได้มีคำสั่งเพิกถอนการอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลของ Zipmex ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค. 2567 . คดีดังกล่าวผู้เสียหายรายหนึ่งได้ฟ้องดำเนินคดีอาญา และมีคำพิพากษาในวันนี้ แต่ยังมีกลุ่มผู้เสียหายที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มร่วมสู้ Zipmex ร่วมมือกันยื่นฟ้องคดีผู้บริโภคแบบกลุ่ม (Consumer Class Action) ซึ่งมีผู้เสียหายรวมตัวกัน 741 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,667.29 ล้านบาท โดยฟ้องจำเลย 23 ราย ทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อเรียกค่าเสียหายเพื่อการลงโทษรวมไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งได้มอบหมายให้นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ผู้ก่อตั้งสำนักกฎหมาย VLA รับมอบอำนาจยื่นฟ้องคดีแพ่งแบบกลุ่ม ปัจจุบันศาลแพ่งกรุงเทพใต้ นัดไต่สวคดีเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000015807 ...... Sondhi X
    SONDHITALK.COM
    คุก 5 ปี เอกลาภ ยิ้มวิไล อดีตผู้บริหาร Zipmex ฐานฉ้อโกงประชาชน
    ศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา เอกลาภ ยิ้มวิไล ผู้ก่อตั้ง Zipmex ผู้ให้บริการด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ฐานฉ้อโกงประชาชน พร้อมปรับบริษัทฯ 1 แสนบาท หลังผู้เสียหายรายหนึ่งฟ้องคดีอาญา ยังมีคดีกลุ่มผู้เสียหายยื่นฟ้องแบบกลุ่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 536 มุมมอง 0 รีวิว
  • อัยการยังไม่เห็นชอบให้ขอศาลอนุมัติหมายจับ “หม่อง ชิตตู่” ผู้นำกองทัพกะเหรี่ยง ในเมืองเมียวดี ข้อหาค้ามนุษย์ ชี้พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ให้ดีเอสไอไปสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้แน่นหนาก่อน

    จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นำหลักฐานยื่นต่อพนักงานอัยการ สำนักคดีค้ามนุษย์ เพื่อหารือในประเด็นข้อกฎหมายในการออกหมายจับ พันเอก ซอชิตตู่ (Colonel Saw Chit Thu) หรือหม่อง ชิตตู่, พันโท โมเต โธน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และพันตรี ทิน วิน (Major Tin Win) ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) หรือกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNA) ที่ปกครองพื้นที่เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ในคดีค้ามนุษย์ชาวอินเดีย โดยกล่าวหาทั้ง 3 คนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องผู้เสียหายเป็นชาวอินเดีย 8 คน ถูกหลอกโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปเมียวดี คล้ายกรณีนายหวังซิง หรือ ซิงซิง นักแสดงชาวจีนนั้น

    ล่าสุดวันนี้(12 ก.พ.) มีรายงานว่า จากการตรวจสอบของพนักงานอัยการ มีความเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ยังไม่ควรเสนอขออนุมัติจากศาลเพื่อออกหมายจับ และให้ดีเอสไอไปสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร อัยการจึงร่วมทีมสอบสวนกับดีเอสไอด้วยด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000014251

    #MGROnline #หม่องชิตตู่ #ผู้นำกองทัพกะเหรี่ยง
    อัยการยังไม่เห็นชอบให้ขอศาลอนุมัติหมายจับ “หม่อง ชิตตู่” ผู้นำกองทัพกะเหรี่ยง ในเมืองเมียวดี ข้อหาค้ามนุษย์ ชี้พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ให้ดีเอสไอไปสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้แน่นหนาก่อน • จากกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นำหลักฐานยื่นต่อพนักงานอัยการ สำนักคดีค้ามนุษย์ เพื่อหารือในประเด็นข้อกฎหมายในการออกหมายจับ พันเอก ซอชิตตู่ (Colonel Saw Chit Thu) หรือหม่อง ชิตตู่, พันโท โมเต โธน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และพันตรี ทิน วิน (Major Tin Win) ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) หรือกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNA) ที่ปกครองพื้นที่เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ในคดีค้ามนุษย์ชาวอินเดีย โดยกล่าวหาทั้ง 3 คนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องผู้เสียหายเป็นชาวอินเดีย 8 คน ถูกหลอกโดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปเมียวดี คล้ายกรณีนายหวังซิง หรือ ซิงซิง นักแสดงชาวจีนนั้น • ล่าสุดวันนี้(12 ก.พ.) มีรายงานว่า จากการตรวจสอบของพนักงานอัยการ มีความเห็นว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ ยังไม่ควรเสนอขออนุมัติจากศาลเพื่อออกหมายจับ และให้ดีเอสไอไปสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร อัยการจึงร่วมทีมสอบสวนกับดีเอสไอด้วยด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000014251 • #MGROnline #หม่องชิตตู่ #ผู้นำกองทัพกะเหรี่ยง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลสั่งขังยกแก๊ง ขบวนการสาดน้ำซุป อว.ล้างมาเฟียมหาลัย
    .
    ความคืบหน้ากรณีอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังสาดน้ำร้อนใส่ผู้เสียหายนั้น เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินขยายผลต่อเนื่อง ภายหลังตำรวจ สภ.คลอง จ.ปทุมธานี สามารถจับกุมตัว นายรษิภา หรือ เจ๊พรีม อายุ 22 ปี และ นายชคัทพล หรือ โอชิ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ในข้อหา 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 2 ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ 3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆ ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ 4.ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย
    .
    ทั้งนี้ ล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุได้อีกรวมทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นาย ดลลธี หรือ พอล อายุ 21 ปี น.ส.วรัญญา หรือ แบม อายุ 21 น.ส.กันยาพัชร หรือ พิมเจล อายุ 21 ปี นักแสดงซีรี่ย์ น.ส.อุ้มบุญ หรือ อุ้มบุญ อายุ 21 ปี นาย นพคุณ หรือ เจ๊จั๊ก อายุ 21 ปี นาย ภราดร หรือ ไอซ์ อายุ 21 ปี พร้อมนำตัวไปฝากขังยังศาลจังหวัดธัญบุรี โดยศาลจังหวัดธัญบุรี ไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน
    .
    ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ร่วมหารือแนวทางการดูแลป้องกันความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา กับนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ที่เดินทางมาพร้อมกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่เป็นผู้เสียหาย จากกรณีโดนรุ่นพี่ LGBTQ มหาวิทยาลัยเดียวกันทำร้ายและข่มขู่
    .
    น.ส.ศุภมาส ได้พูดคุยสอบถามและให้กำลังใจผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นกรณีศึกษาว่ามีกลุ่มมาเฟียในมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดเรื่องทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดโดยให้พ้นสภาพนักศึกษาทันที พร้อมเข้าไปดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้เห็นว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษ และทุกภาคส่วนพร้อมอ้าแขนปกป้องน้องๆ ให้กลับเข้าไปเรียนได้อย่างมีความสุข
    .
    “ขณะนี้ยังดำเนินการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าคนที่ทำผิดกฎมหาวิทยาลัยต้องโดนไล่ออก คนที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย สถานศึกษาต้องเป็นที่ที่ปลอดภัย ต้องไม่มีมาเฟียหรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย เรามี พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่เอาไว้กำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน”
    .
    น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า ถ้ามหาวิทยาลัยทำผิดเราสามารถเข้าไปควบคุมหรือปิดมหาวิทยาลัยได้ ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งเราเคยทำมาแล้ว จากนี้กระทรวง อว. จะกำชับไปยังทุกมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ต้องไม่ปล่อยผ่าน หน้าที่ของเราคือต้องดูแลนักศึกษาให้เรียนได้อย่างมีความสุข และต้องรู้สึกปลอดภัย
    .............
    Sondhi X
    ศาลสั่งขังยกแก๊ง ขบวนการสาดน้ำซุป อว.ล้างมาเฟียมหาลัย . ความคืบหน้ากรณีอดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังสาดน้ำร้อนใส่ผู้เสียหายนั้น เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินขยายผลต่อเนื่อง ภายหลังตำรวจ สภ.คลอง จ.ปทุมธานี สามารถจับกุมตัว นายรษิภา หรือ เจ๊พรีม อายุ 22 ปี และ นายชคัทพล หรือ โอชิ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ในข้อหา 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 2 ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ 3.ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆ ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพ 4.ร่วมกันข่มขืนใจให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยใช้กำลังประทุษร้าย . ทั้งนี้ ล่าสุดตำรวจสามารถจับกุมกลุ่มเพื่อนที่ร่วมก่อเหตุได้อีกรวมทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นาย ดลลธี หรือ พอล อายุ 21 ปี น.ส.วรัญญา หรือ แบม อายุ 21 น.ส.กันยาพัชร หรือ พิมเจล อายุ 21 ปี นักแสดงซีรี่ย์ น.ส.อุ้มบุญ หรือ อุ้มบุญ อายุ 21 ปี นาย นพคุณ หรือ เจ๊จั๊ก อายุ 21 ปี นาย ภราดร หรือ ไอซ์ อายุ 21 ปี พร้อมนำตัวไปฝากขังยังศาลจังหวัดธัญบุรี โดยศาลจังหวัดธัญบุรี ไม่อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คน . ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วย ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. ร่วมหารือแนวทางการดูแลป้องกันความปลอดภัยในสถาบันอุดมศึกษา กับนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ที่เดินทางมาพร้อมกับนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่เป็นผู้เสียหาย จากกรณีโดนรุ่นพี่ LGBTQ มหาวิทยาลัยเดียวกันทำร้ายและข่มขู่ . น.ส.ศุภมาส ได้พูดคุยสอบถามและให้กำลังใจผู้เสียหาย พร้อมกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นกรณีศึกษาว่ามีกลุ่มมาเฟียในมหาวิทยาลัย หลังจากเกิดเรื่องทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดโดยให้พ้นสภาพนักศึกษาทันที พร้อมเข้าไปดูแลผู้เสียหายให้ได้รับความเป็นธรรม แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้เห็นว่าคนทำผิดต้องได้รับโทษ และทุกภาคส่วนพร้อมอ้าแขนปกป้องน้องๆ ให้กลับเข้าไปเรียนได้อย่างมีความสุข . “ขณะนี้ยังดำเนินการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าคนที่ทำผิดกฎมหาวิทยาลัยต้องโดนไล่ออก คนที่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย สถานศึกษาต้องเป็นที่ที่ปลอดภัย ต้องไม่มีมาเฟียหรือการกระทำที่ผิดกฎหมาย เรามี พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ที่เอาไว้กำกับดูแลมหาวิทยาลัยเอกชน” . น.ส.ศุภมาส กล่าวอีกว่า ถ้ามหาวิทยาลัยทำผิดเราสามารถเข้าไปควบคุมหรือปิดมหาวิทยาลัยได้ ถ้ามหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งเราเคยทำมาแล้ว จากนี้กระทรวง อว. จะกำชับไปยังทุกมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ต้องไม่ปล่อยผ่าน หน้าที่ของเราคือต้องดูแลนักศึกษาให้เรียนได้อย่างมีความสุข และต้องรู้สึกปลอดภัย ............. Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2451 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ๊พรีมมือสาดน้ำซุปร้อน พร้อมคู่หู ยังนอนในห้องขัง สภ.คลองหลวง ตร.เผยมีเจ้าทุกข์ เดินทางเข้าแจ้งความเพิ่มแล้ว 5 ราย คุมตัวฝากขังพร้อมแก๊งโอรีโอ้พรุ่งนี้

    เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 10 ก.พ.68 พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายรษิภา หรือพรีม สัจวรรณ์ อายุ 22 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรีเลขที่ 132/2568 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ต้องหาว่าความผิดฐาน ”ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่นนั้น” โดยจับกุมได้ที่คอนโดแห่งหนึ่ง ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และนายชคัทพล หรือโอชิ วชิรวรรณ อายุ 19 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรีเลขที่133/2568 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ต้องหาว่าความผิดฐาน ”ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่นนั้น”

    โดยกล่าวว่าเกี่ยวกับเรื่องเคสแก็งโอริโอ้และเคส LGBTQ และได้ประชุมกันว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังในวันพรุ่งนี้พราะค่ำคืนที่ผ่านมาก็ยังมีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความอีก เราจึงประชุมกันว่าจะมีการฝากขังพรุ่งนี้เวลา 09.00 น.ได้มีการเตรียมพนักงานสอบสวนในการสอบปากคำเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา สำหรับเคส LGBTQ มีผู้เข้าแจ้งความแล้ว 4 คดีและค่ำคืนที่ผ่านมาอีก 1 คดี ในวันนี้คาดว่าจะมีมาเพิ่มอีก สำหรับผู้ต้องหาเรามีแจ้งข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ส่วนข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรตอนนี้ยังไม่เข้าข้อกฎหมายองค์กรอาชญากรรม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000013364

    #MGROnline #LGBTQ #สาดน้ำร้อน #เจ๊พรีม
    เจ๊พรีมมือสาดน้ำซุปร้อน พร้อมคู่หู ยังนอนในห้องขัง สภ.คลองหลวง ตร.เผยมีเจ้าทุกข์ เดินทางเข้าแจ้งความเพิ่มแล้ว 5 ราย คุมตัวฝากขังพร้อมแก๊งโอรีโอ้พรุ่งนี้ • เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 10 ก.พ.68 พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายรษิภา หรือพรีม สัจวรรณ์ อายุ 22 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรีเลขที่ 132/2568 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ต้องหาว่าความผิดฐาน ”ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่นนั้น” โดยจับกุมได้ที่คอนโดแห่งหนึ่ง ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และนายชคัทพล หรือโอชิ วชิรวรรณ อายุ 19 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรีเลขที่133/2568 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ต้องหาว่าความผิดฐาน ”ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่นนั้น” • โดยกล่าวว่าเกี่ยวกับเรื่องเคสแก็งโอริโอ้และเคส LGBTQ และได้ประชุมกันว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังในวันพรุ่งนี้พราะค่ำคืนที่ผ่านมาก็ยังมีผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความอีก เราจึงประชุมกันว่าจะมีการฝากขังพรุ่งนี้เวลา 09.00 น.ได้มีการเตรียมพนักงานสอบสวนในการสอบปากคำเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา สำหรับเคส LGBTQ มีผู้เข้าแจ้งความแล้ว 4 คดีและค่ำคืนที่ผ่านมาอีก 1 คดี ในวันนี้คาดว่าจะมีมาเพิ่มอีก สำหรับผู้ต้องหาเรามีแจ้งข้อหาร่วมกันกรรโชกทรัพย์และร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ ส่วนข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรตอนนี้ยังไม่เข้าข้อกฎหมายองค์กรอาชญากรรม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000013364 • #MGROnline #LGBTQ #สาดน้ำร้อน #เจ๊พรีม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 549 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘เจ๊พรีม-โอชิ’ หมดสภาพ โดน 2 ข้อหาหนัก สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง
    .
    คอตกไปตามระเบียบสำหรับ นายรษิภา หรือพรีม สัจวรรณ์ อายุ 22 ปีและนายชคัทพล หรือโอชิ วชิรวรรณ อายุ 19 ปี ภายหลังถูกตำรวจจับกุมตัวตามหมายจับศาลธัญบุรี จากกรณีที่ใช้สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง จนกลายเกิดเสียงวิจารณ์ตามมาเป็นจำนวนมาก ถึงพฤติกรรมที่ได้กระทำลงไป
    .
    ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาในความผิดฐาน”ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่น โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายรษิภา หรือพรีม สัจวรรณ์ (ผู้ต้องหา) ลงจากรถเข้าไปที่โรงพักก็ได้มีแม่ของน้องที่ถูกผู้เสียหายเข้ามาถามว่าทำลูกแม่ทำไม แต่เจ๊พรีมก็ไม่ได้ตอบอะไร และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวขึ้นไปสอบสวนบนชั้นสามของโรงพัก
    .
    พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง กล่าวว่า พรีมได้รับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา ส่วนโอชิรับสารภาพว่าร่วมกันทำร้ายร่างกาย ส่วนกรรโชกทรัพย์นั้นเขาให้การปฏิเสธ ส่วนการตั้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรนั้น จากการสอบสวนพยานและผู้เสียหายแล้วยังไม่เข้าข่าย ส่วนจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้านั้นเราดูจากภาพถ่าย และเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไปที่ห้องและควบคุมตัวได้นั้น และจากการค้นห้องก็ไม่เจอเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า
    .
    "เคสของพรีม พนักงานสอบสวนรับไว้ 4 เคสแล้ว ส่วนที่ข่มขู่จะทำให้หายไปนั้น เป็นเพียงแค่เหตุลหุโทษ แต่ก็ดีที่เขาพูดแบบนี้ เพื่อที่จะใช้ในการคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน เพราะเป็นการข่มขู่หรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน ซึ่งขณะนี้ผู้ต้องหามีอาการเครียด"
    .............
    Sondhi X
    ‘เจ๊พรีม-โอชิ’ หมดสภาพ โดน 2 ข้อหาหนัก สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง . คอตกไปตามระเบียบสำหรับ นายรษิภา หรือพรีม สัจวรรณ์ อายุ 22 ปีและนายชคัทพล หรือโอชิ วชิรวรรณ อายุ 19 ปี ภายหลังถูกตำรวจจับกุมตัวตามหมายจับศาลธัญบุรี จากกรณีที่ใช้สาดน้ำร้อนใส่รุ่นน้อง จนกลายเกิดเสียงวิจารณ์ตามมาเป็นจำนวนมาก ถึงพฤติกรรมที่ได้กระทำลงไป . ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาในความผิดฐาน”ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ และร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจของผู้อื่น โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายรษิภา หรือพรีม สัจวรรณ์ (ผู้ต้องหา) ลงจากรถเข้าไปที่โรงพักก็ได้มีแม่ของน้องที่ถูกผู้เสียหายเข้ามาถามว่าทำลูกแม่ทำไม แต่เจ๊พรีมก็ไม่ได้ตอบอะไร และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวขึ้นไปสอบสวนบนชั้นสามของโรงพัก . พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ มิตรปราสาท ผกก.สภ.คลองหลวง กล่าวว่า พรีมได้รับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา ส่วนโอชิรับสารภาพว่าร่วมกันทำร้ายร่างกาย ส่วนกรรโชกทรัพย์นั้นเขาให้การปฏิเสธ ส่วนการตั้งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจรนั้น จากการสอบสวนพยานและผู้เสียหายแล้วยังไม่เข้าข่าย ส่วนจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้านั้นเราดูจากภาพถ่าย และเมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไปที่ห้องและควบคุมตัวได้นั้น และจากการค้นห้องก็ไม่เจอเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า . "เคสของพรีม พนักงานสอบสวนรับไว้ 4 เคสแล้ว ส่วนที่ข่มขู่จะทำให้หายไปนั้น เป็นเพียงแค่เหตุลหุโทษ แต่ก็ดีที่เขาพูดแบบนี้ เพื่อที่จะใช้ในการคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน เพราะเป็นการข่มขู่หรือไปยุ่งกับพยานหลักฐาน ซึ่งขณะนี้ผู้ต้องหามีอาการเครียด" ............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1745 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือที่รู้จักในนาม "Lazarus" กำลังใช้ LinkedIn เพื่อหลอกลวงผู้หางานด้วยมัลแวร์ใหม่ๆ กลุ่มนี้มีความชำนาญในการใช้งานแอป LinkedIn เพื่อแสวงหาผู้เสียหายที่เป็นผู้หางานในอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง เช่น กลาโหม อวกาศ หรือวิศวกรรม และสร้างโปรไฟล์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ พวกเขาจะส่งข้อความเสนอการงานที่ดูดีกับผู้หางาน และขอประวัติย่อหรือข้อมูลส่วนบุคคลจาก GitHub

    หลังจากนั้น แฮ็กเกอร์จะส่งเอกสาร "ความคิดเห็น" ปลอม ซึ่งเมื่อเปิดแล้วจะติดตั้งมัลแวร์ในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ เพื่อขโมยข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลของบริษัท หรือข้อมูลการเข้าสู่ระบบ

    สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การโจมตีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ "Contagious Interview" ซึ่ง Lazarus ได้สร้างวิธีการใหม่ๆ ในการหลอกลวงผู้หางาน เช่น การทดสอบการเขียนโค้ดปลอม การติดตั้งมัลแวร์ในซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์ และการโจมตีลักษณะอื่นๆ

    นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 Apple ได้ออกแพทช์ใหม่ใน Xprotect ซึ่งเป็นเครื่องมือกำจัดมัลแวร์ในอุปกรณ์ เพื่อบล็อกมัลแวร์แบบใหม่ที่เรียกว่า "FerretFamily" ที่ถูกพบว่าปลอมเป็นตัวติดตั้ง Chrome หรือ Zoom เพื่อโจมตีผู้หางาน

    https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-hackers-targeting-linkedin-jobseekers-with-new-malware
    มีรายงานว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์ชาวเกาหลีเหนือที่รู้จักในนาม "Lazarus" กำลังใช้ LinkedIn เพื่อหลอกลวงผู้หางานด้วยมัลแวร์ใหม่ๆ กลุ่มนี้มีความชำนาญในการใช้งานแอป LinkedIn เพื่อแสวงหาผู้เสียหายที่เป็นผู้หางานในอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียง เช่น กลาโหม อวกาศ หรือวิศวกรรม และสร้างโปรไฟล์ปลอมที่ดูน่าเชื่อถือ พวกเขาจะส่งข้อความเสนอการงานที่ดูดีกับผู้หางาน และขอประวัติย่อหรือข้อมูลส่วนบุคคลจาก GitHub หลังจากนั้น แฮ็กเกอร์จะส่งเอกสาร "ความคิดเห็น" ปลอม ซึ่งเมื่อเปิดแล้วจะติดตั้งมัลแวร์ในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ เพื่อขโมยข้อมูลที่เป็นความลับหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลของบริษัท หรือข้อมูลการเข้าสู่ระบบ สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ การโจมตีครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ "Contagious Interview" ซึ่ง Lazarus ได้สร้างวิธีการใหม่ๆ ในการหลอกลวงผู้หางาน เช่น การทดสอบการเขียนโค้ดปลอม การติดตั้งมัลแวร์ในซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์ และการโจมตีลักษณะอื่นๆ นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 Apple ได้ออกแพทช์ใหม่ใน Xprotect ซึ่งเป็นเครื่องมือกำจัดมัลแวร์ในอุปกรณ์ เพื่อบล็อกมัลแวร์แบบใหม่ที่เรียกว่า "FerretFamily" ที่ถูกพบว่าปลอมเป็นตัวติดตั้ง Chrome หรือ Zoom เพื่อโจมตีผู้หางาน https://www.techradar.com/pro/security/north-korean-hackers-targeting-linkedin-jobseekers-with-new-malware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจเชียงใหม่เผยศาลเชียงใหม่ออกหมายจับ "ส.ส.ปูอัด"คดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน ดำเนินการตามพยานหลักฐาน และทำการประสานทางสภาผู้แทนราษฎรให้ทราบแล้ว ยืนยันทำคดีอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ส่วนผู้เสียหายเดินทางกลับประเทศไปแล้วและยืนยันว่าไม่เคยรู้จักสนิทสนมกับผู้ก่อเหตุมาก่อน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000012626

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจเชียงใหม่เผยศาลเชียงใหม่ออกหมายจับ "ส.ส.ปูอัด"คดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน ดำเนินการตามพยานหลักฐาน และทำการประสานทางสภาผู้แทนราษฎรให้ทราบแล้ว ยืนยันทำคดีอย่างตรงไปตรงมาและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ส่วนผู้เสียหายเดินทางกลับประเทศไปแล้วและยืนยันว่าไม่เคยรู้จักสนิทสนมกับผู้ก่อเหตุมาก่อน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000012626 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1186 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts