• ประเทศที่ตายไปแล้ว แต่ฟื้นขึ้นมาด้วยทฤษฎีหญ้าหน้าบ้าน

    ในโลกที่ข่าวร้ายเดินทางเร็วเฉียดแสง เราอาจไม่ทันได้ยินข่าวดีของประเทศเล็กๆ ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเถ้าถ่านด้วยความเงียบและสง่างามอย่าง“รวันดา“ ชาติที่เคยถูกสาปจากโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี ค.ศ.1994 แต่วันนี้กลับกลายเป็นประเทศสะอาด สงบ โปร่งใส และก้าวหน้าเร็วที่สุดแห่งหนึ่ง

    และที่น่าทึ่งคือ พวกเขาไม่ได้เริ่มจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เริ่มจาก “ใจ”

    ใจที่ไม่ยอมฝากความหวังไว้กับการล้างแค้น แต่เลือกจะรักษาความเป็นมนุษย์ให้กันและกัน

    ในวันที่สงครามจบลง รวันดามีผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กว่าครึ่งล้านคน ซึ่งถ้าใช้ระบบศาลแบบตะวันตกที่ต้องพิจารณาคดีทีละคน รวันดาคงต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี

    แล้วพวกเขาทำยังไง

    พวกเขาหยิบความยุติธรรมแบบดั้งเดิมกลับมาใช้ ที่เรียกกันว่า“กาชาชา” (Gacaca) ถ้าแปลแบบตรงตัวก็แปลว่าหญ้าหน้าบ้าน

    ในอดีต เวลาคนในหมู่บ้านมีข้อขัดแย้งกัน เขาจะไม่ไปฟ้องศาล ไม่จ้างทนาย แต่จะนั่งล้อมวงกลางแจ้งบนหญ้าเตียนๆ คุยกันตรง ๆ ด้วยคำพูดของคนธรรมดา เพื่อหาทางคืนดี

    ฟังดูเรียบง่าย แต่อาจได้ผลงดงามยิ่งกว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ

    กาชาชา ไม่ได้เน้น “พิพากษา” แต่มุ่ง “เยียวยา” ผู้กระทำผิดที่สารภาพจะได้รับโอกาสขอขมา เปิดใจฟังผู้เสียหาย และร่วมฟื้นฟูชุมชนด้วยมือของตนเอง เช่น ปลูกต้นไม้ ซ่อมบ้านเหยื่อ หรือช่วยงานสาธารณะ ส่วนผู้เสียหายก็ได้รับโอกาสพูดสิ่งที่อยู่ในใจท่ามกลางชุมชน

    มันไม่ใช่การล้างแค้น แต่มันคือล้างใจ

    วันนี้รวันดาถูกนับได้ว่าเป็นประเทศที่สะอาดมากประเทศหนึ่ง ที่ไม่ใช่เพราะงบ แต่เพราะผู้คนลุกขึ้นมากวาด

    รวันดาแบนพลาสติกแบบไม่มีข้อยกเว้นตั้งแต่ปี 2008 ถุงพลาสติกเข้าประเทศไม่ได้ แม้แต่ในกระเป๋าเดินทาง

    และในวันเสาร์สุดท้ายของทุกเดือน จะเป็นวันอูมูกันดา ที่คนทั้งประเทศออกมาทำความสะอาดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนทำสวนหรือประธานาธิบดี ทุกคนลงมือร่วมกัน (Umuganda แปลว่า การร่วมแรงร่วมใจ)

    ผลลัพธ์คือ “คิกาลี”เมืองหลวงของรวันดากำลังจะกลายเป็นเมืองที่สะอาดที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ทั้งที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำกว่าประเทศร่ำรวยหลายสิบเท่า

    นอกจากนี้ รวันดายังสร้างปรัชญาใหม่ให้กับสังคมขึ้นมาว่า “ค่าความอดทนต่อคอร์รัปชันคือศูนย์”

    พวกเขาทำจริงจัง ใครโกงถูกปลดทันที และดำเนินคดีไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับไหน ไม่ใช่แค่กฎหมายที่เข้มงวด แต่คือ “บรรยากาศของความเชื่อมั่น” ที่ผู้คนรู้สึกว่า กฎหมายไม่ได้มีไว้ลงโทษเฉพาะคนจน แต่เอื้อมถึงคนมีอำนาจด้วย

    หลังสงครามจบ รวันดาลงทุนกับการศึกษาแบบสุดทาง เด็กทุกคนได้เรียนฟรีจนถึงมัธยม และมีทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย พวกเขารู้ว่าโลกจากนี้ไปต้องเน้นไปด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    แต่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ เขาเพิ่มวิชาสันติภาพ วิชาการอยู่ร่วมกัน และวิชาการคิดวิเคราะห์เข้าไปในหลักสูตร เพื่อสร้างพลเมืองใหม่ที่ไม่ถูกหลอกด้วย“วาทกรรมชิงชัง”ซ้ำอีก

    ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ผ่านมาของรวันดา ฝ่ายหนึ่งจะเรียกอีกฝ่ายหนึ่งว่าแมลงสาบ นั่นคือเมื่อคำพูดแปะฉลากคนอื่นว่าไม่ใช่มนุษย์ ความโหดร้ายก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา

    รวันดาในวันนี้ จึงไม่เพียงแค่ควบคุมสื่อให้รับผิดชอบ แต่ยังสอนเด็กให้รู้จักพลังของภาษาว่า “คำพูดสามารถสร้างคนได้ และคำพูดก็สามารถฆ่าคนได้ในเวลาเดียวกัน“

    แน่นอน รวันดายังไม่ใช่ประเทศที่เพียบพร้อม ประเทศนี้ยังต้องการการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาอีกมาก แต่บทเรียนของเขาสำคัญตรงนี้

    บางครั้ง ทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่การยกระบบของใครมาทั้งดุ้น แต่เป็นการกลับมาดู“หญ้าหน้าบ้าน”ของตัวเอง


    cr:fw.line
    ประเทศที่ตายไปแล้ว แต่ฟื้นขึ้นมาด้วยทฤษฎีหญ้าหน้าบ้าน ในโลกที่ข่าวร้ายเดินทางเร็วเฉียดแสง เราอาจไม่ทันได้ยินข่าวดีของประเทศเล็กๆ ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเถ้าถ่านด้วยความเงียบและสง่างามอย่าง“รวันดา“ ชาติที่เคยถูกสาปจากโศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี ค.ศ.1994 แต่วันนี้กลับกลายเป็นประเทศสะอาด สงบ โปร่งใส และก้าวหน้าเร็วที่สุดแห่งหนึ่ง และที่น่าทึ่งคือ พวกเขาไม่ได้เริ่มจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เริ่มจาก “ใจ” ใจที่ไม่ยอมฝากความหวังไว้กับการล้างแค้น แต่เลือกจะรักษาความเป็นมนุษย์ให้กันและกัน ในวันที่สงครามจบลง รวันดามีผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กว่าครึ่งล้านคน ซึ่งถ้าใช้ระบบศาลแบบตะวันตกที่ต้องพิจารณาคดีทีละคน รวันดาคงต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี แล้วพวกเขาทำยังไง พวกเขาหยิบความยุติธรรมแบบดั้งเดิมกลับมาใช้ ที่เรียกกันว่า“กาชาชา” (Gacaca) ถ้าแปลแบบตรงตัวก็แปลว่าหญ้าหน้าบ้าน ในอดีต เวลาคนในหมู่บ้านมีข้อขัดแย้งกัน เขาจะไม่ไปฟ้องศาล ไม่จ้างทนาย แต่จะนั่งล้อมวงกลางแจ้งบนหญ้าเตียนๆ คุยกันตรง ๆ ด้วยคำพูดของคนธรรมดา เพื่อหาทางคืนดี ฟังดูเรียบง่าย แต่อาจได้ผลงดงามยิ่งกว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ กาชาชา ไม่ได้เน้น “พิพากษา” แต่มุ่ง “เยียวยา” ผู้กระทำผิดที่สารภาพจะได้รับโอกาสขอขมา เปิดใจฟังผู้เสียหาย และร่วมฟื้นฟูชุมชนด้วยมือของตนเอง เช่น ปลูกต้นไม้ ซ่อมบ้านเหยื่อ หรือช่วยงานสาธารณะ ส่วนผู้เสียหายก็ได้รับโอกาสพูดสิ่งที่อยู่ในใจท่ามกลางชุมชน มันไม่ใช่การล้างแค้น แต่มันคือล้างใจ วันนี้รวันดาถูกนับได้ว่าเป็นประเทศที่สะอาดมากประเทศหนึ่ง ที่ไม่ใช่เพราะงบ แต่เพราะผู้คนลุกขึ้นมากวาด รวันดาแบนพลาสติกแบบไม่มีข้อยกเว้นตั้งแต่ปี 2008 ถุงพลาสติกเข้าประเทศไม่ได้ แม้แต่ในกระเป๋าเดินทาง และในวันเสาร์สุดท้ายของทุกเดือน จะเป็นวันอูมูกันดา ที่คนทั้งประเทศออกมาทำความสะอาดร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนทำสวนหรือประธานาธิบดี ทุกคนลงมือร่วมกัน (Umuganda แปลว่า การร่วมแรงร่วมใจ) ผลลัพธ์คือ “คิกาลี”เมืองหลวงของรวันดากำลังจะกลายเป็นเมืองที่สะอาดที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ทั้งที่รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่ำกว่าประเทศร่ำรวยหลายสิบเท่า นอกจากนี้ รวันดายังสร้างปรัชญาใหม่ให้กับสังคมขึ้นมาว่า “ค่าความอดทนต่อคอร์รัปชันคือศูนย์” พวกเขาทำจริงจัง ใครโกงถูกปลดทันที และดำเนินคดีไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับไหน ไม่ใช่แค่กฎหมายที่เข้มงวด แต่คือ “บรรยากาศของความเชื่อมั่น” ที่ผู้คนรู้สึกว่า กฎหมายไม่ได้มีไว้ลงโทษเฉพาะคนจน แต่เอื้อมถึงคนมีอำนาจด้วย หลังสงครามจบ รวันดาลงทุนกับการศึกษาแบบสุดทาง เด็กทุกคนได้เรียนฟรีจนถึงมัธยม และมีทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย พวกเขารู้ว่าโลกจากนี้ไปต้องเน้นไปด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แต่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ เขาเพิ่มวิชาสันติภาพ วิชาการอยู่ร่วมกัน และวิชาการคิดวิเคราะห์เข้าไปในหลักสูตร เพื่อสร้างพลเมืองใหม่ที่ไม่ถูกหลอกด้วย“วาทกรรมชิงชัง”ซ้ำอีก ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ผ่านมาของรวันดา ฝ่ายหนึ่งจะเรียกอีกฝ่ายหนึ่งว่าแมลงสาบ นั่นคือเมื่อคำพูดแปะฉลากคนอื่นว่าไม่ใช่มนุษย์ ความโหดร้ายก็กลายเป็นเรื่องธรรมดา รวันดาในวันนี้ จึงไม่เพียงแค่ควบคุมสื่อให้รับผิดชอบ แต่ยังสอนเด็กให้รู้จักพลังของภาษาว่า “คำพูดสามารถสร้างคนได้ และคำพูดก็สามารถฆ่าคนได้ในเวลาเดียวกัน“ แน่นอน รวันดายังไม่ใช่ประเทศที่เพียบพร้อม ประเทศนี้ยังต้องการการแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาอีกมาก แต่บทเรียนของเขาสำคัญตรงนี้ บางครั้ง ทางออกที่ดีที่สุด ไม่ใช่การยกระบบของใครมาทั้งดุ้น แต่เป็นการกลับมาดู“หญ้าหน้าบ้าน”ของตัวเอง … cr:fw.line
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • Google ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อเสริมสร้างการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ โดยในปี 2024 ผู้เสียหายจากการหลอกลวงในภูมิภาคนี้สูญเสียเงินรวมกว่า 688 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสองในสามของการสูญเสียทั่วโลก

    Google ได้จัดงาน Online Safety Dialogue ในไต้หวัน โดยร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลของไต้หวันเพื่อพัฒนาการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการหลอกลวง การประสานงานระหว่างประเทศ การพัฒนาเครื่องมือตรวจจับขั้นสูง และการลงทุนในแคมเปญการศึกษาเพื่อป้องกันการหลอกลวง

    นอกจากนี้ Google.org ยังได้จัดสรรเงินทุน 5 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการป้องกันการหลอกลวงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2025 โดยก่อนหน้านี้ได้มอบเงินทุน 2 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรในสิงคโปร์ และ 1 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในไต้หวัน

    Google ยังได้ขยายแพลตฟอร์ม Global Signals Exchange (GSE) ซึ่งเปิดตัวในปี 2024 เพื่อแบ่งปันสัญญาณและการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการหลอกลวงแบบเรียลไทม์ โดยมีพันธมิตร 20 รายที่ร่วมแบ่งปันสัญญาณกว่า 180 ล้านรายการ

    สุดท้าย Google เตรียมเปิดตัวเกม ShieldUp! ในออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทยในปี 2025 ซึ่งเป็นเกมที่ช่วยให้ผู้เล่นเรียนรู้วิธีป้องกันการหลอกลวงผ่านการจำลองสถานการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ

    ✅ ความร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาค
    - Google ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลของไต้หวันเพื่อแบ่งปันข้อมูลและพัฒนาเครื่องมือตรวจจับ
    - การลงทุนในแคมเปญการศึกษาเพื่อป้องกันการหลอกลวง

    ✅ การจัดสรรเงินทุน
    - Google.org จัดสรรเงินทุน 5 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการป้องกันการหลอกลวงในปี 2025
    - เงินทุนก่อนหน้านี้รวมถึง 2 ล้านดอลลาร์ในสิงคโปร์ และ 1 ล้านดอลลาร์ในไต้หวัน

    ✅ การขยายแพลตฟอร์ม Global Signals Exchange (GSE)
    - แพลตฟอร์ม GSE มีพันธมิตร 20 รายที่แบ่งปันสัญญาณกว่า 180 ล้านรายการ
    - การขยายแพลตฟอร์มช่วยเพิ่มการแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์

    ✅ การเปิดตัวเกม ShieldUp!
    - เกม ShieldUp! จะเปิดตัวในออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทยในปี 2025

    https://www.neowin.net/news/google-bolsters-its-anti-scam-efforts-across-asia-pacific/
    Google ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อเสริมสร้างการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ โดยในปี 2024 ผู้เสียหายจากการหลอกลวงในภูมิภาคนี้สูญเสียเงินรวมกว่า 688 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสองในสามของการสูญเสียทั่วโลก Google ได้จัดงาน Online Safety Dialogue ในไต้หวัน โดยร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลของไต้หวันเพื่อพัฒนาการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการหลอกลวง การประสานงานระหว่างประเทศ การพัฒนาเครื่องมือตรวจจับขั้นสูง และการลงทุนในแคมเปญการศึกษาเพื่อป้องกันการหลอกลวง นอกจากนี้ Google.org ยังได้จัดสรรเงินทุน 5 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการป้องกันการหลอกลวงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2025 โดยก่อนหน้านี้ได้มอบเงินทุน 2 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรในสิงคโปร์ และ 1 ล้านดอลลาร์ ให้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในไต้หวัน Google ยังได้ขยายแพลตฟอร์ม Global Signals Exchange (GSE) ซึ่งเปิดตัวในปี 2024 เพื่อแบ่งปันสัญญาณและการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการหลอกลวงแบบเรียลไทม์ โดยมีพันธมิตร 20 รายที่ร่วมแบ่งปันสัญญาณกว่า 180 ล้านรายการ สุดท้าย Google เตรียมเปิดตัวเกม ShieldUp! ในออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทยในปี 2025 ซึ่งเป็นเกมที่ช่วยให้ผู้เล่นเรียนรู้วิธีป้องกันการหลอกลวงผ่านการจำลองสถานการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟ ✅ ความร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาค - Google ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลของไต้หวันเพื่อแบ่งปันข้อมูลและพัฒนาเครื่องมือตรวจจับ - การลงทุนในแคมเปญการศึกษาเพื่อป้องกันการหลอกลวง ✅ การจัดสรรเงินทุน - Google.org จัดสรรเงินทุน 5 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการป้องกันการหลอกลวงในปี 2025 - เงินทุนก่อนหน้านี้รวมถึง 2 ล้านดอลลาร์ในสิงคโปร์ และ 1 ล้านดอลลาร์ในไต้หวัน ✅ การขยายแพลตฟอร์ม Global Signals Exchange (GSE) - แพลตฟอร์ม GSE มีพันธมิตร 20 รายที่แบ่งปันสัญญาณกว่า 180 ล้านรายการ - การขยายแพลตฟอร์มช่วยเพิ่มการแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์ ✅ การเปิดตัวเกม ShieldUp! - เกม ShieldUp! จะเปิดตัวในออสเตรเลีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทยในปี 2025 https://www.neowin.net/news/google-bolsters-its-anti-scam-efforts-across-asia-pacific/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google bolsters its anti-scam efforts across Asia-Pacific
    In 2024, customers across Asia-Pacific lost 688 billion USD to scams. At Taiwan's Online Safety Dialogue, Google unveiled new partnerships, grants, and real-time tools to fight back.
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • กลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่รู้จักในชื่อ Slow Pisces ได้เปิดตัวแคมเปญโจมตีที่ซับซ้อน โดยมุ่งเป้าไปที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์ม LinkedIn โดยแฮกเกอร์เหล่านี้ปลอมตัวเป็นผู้สรรหางานและเสนอการทดสอบการเขียนโค้ดที่ดูเหมือนจริง แต่แท้จริงแล้วมีมัลแวร์ซ่อนอยู่ในโค้ด Python และ JavaScript ที่ใช้ในการโจมตี

    ✅ แฮกเกอร์ใช้ LinkedIn เพื่อหลอกลวงนักพัฒนา
    - แฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้สรรหางานและส่งเอกสาร PDF ที่มีคำอธิบายงาน
    - การโจมตีเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เสียหายทำการทดสอบเขียนโค้ดผ่าน GitHub

    ✅ มัลแวร์ที่ใช้ในการโจมตีมีความซับซ้อน
    - ใช้มัลแวร์ RN Loader และ RN Stealer ที่ซ่อนอยู่ในโค้ด Python และ JavaScript
    - มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น credentials, cloud configuration files และ SSH keys

    ✅ การโจมตีมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี
    - ในปี 2023 กลุ่มนี้ถูกเชื่อมโยงกับการโจรกรรมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์
    - การโจมตีรวมถึงการขโมยเงินจากบริษัทในดูไบและญี่ปุ่น

    ✅ การตอบสนองจาก GitHub และ LinkedIn
    - ทั้งสองแพลตฟอร์มได้ลบบัญชีและ repository ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี

    https://www.techradar.com/pro/north-korean-hackers-are-using-linkedin-to-entice-developers-to-coding-challenges-heres-what-you-need-to-know
    กลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือที่รู้จักในชื่อ Slow Pisces ได้เปิดตัวแคมเปญโจมตีที่ซับซ้อน โดยมุ่งเป้าไปที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ในอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซีผ่านแพลตฟอร์ม LinkedIn โดยแฮกเกอร์เหล่านี้ปลอมตัวเป็นผู้สรรหางานและเสนอการทดสอบการเขียนโค้ดที่ดูเหมือนจริง แต่แท้จริงแล้วมีมัลแวร์ซ่อนอยู่ในโค้ด Python และ JavaScript ที่ใช้ในการโจมตี ✅ แฮกเกอร์ใช้ LinkedIn เพื่อหลอกลวงนักพัฒนา - แฮกเกอร์ปลอมตัวเป็นผู้สรรหางานและส่งเอกสาร PDF ที่มีคำอธิบายงาน - การโจมตีเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เสียหายทำการทดสอบเขียนโค้ดผ่าน GitHub ✅ มัลแวร์ที่ใช้ในการโจมตีมีความซับซ้อน - ใช้มัลแวร์ RN Loader และ RN Stealer ที่ซ่อนอยู่ในโค้ด Python และ JavaScript - มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น credentials, cloud configuration files และ SSH keys ✅ การโจมตีมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี - ในปี 2023 กลุ่มนี้ถูกเชื่อมโยงกับการโจรกรรมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ - การโจมตีรวมถึงการขโมยเงินจากบริษัทในดูไบและญี่ปุ่น ✅ การตอบสนองจาก GitHub และ LinkedIn - ทั้งสองแพลตฟอร์มได้ลบบัญชีและ repository ที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี https://www.techradar.com/pro/north-korean-hackers-are-using-linkedin-to-entice-developers-to-coding-challenges-heres-what-you-need-to-know
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • บทความนี้รายงานเกี่ยวกับคดีการล่วงละเมิดทางอีเมลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้กระทำผิดชื่อ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน หลังจากที่เขาได้ส่งอีเมลล่วงละเมิดผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้หญิง และการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย

    ✅ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน
    - ผู้กระทำผิดถูกตัดสินจำคุกหลังจากล่วงละเมิดผู้หญิงผ่านอีเมลเป็นเวลานานกว่า 3 ปี
    - การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เสียหาย

    ✅ การล่วงละเมิดเริ่มต้นในปี 2018 และสิ้นสุดในปี 2021
    - Merkle ใช้อีเมลที่ไม่ระบุตัวตนในการติดต่อผู้เสียหายและโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์

    ✅ ผู้เสียหายได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง
    - เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความสงสัยในทุกคนรอบตัว

    ✅ Merkle ถูกจับกุมในปี 2023
    - FBI ได้จับกุมเขาและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/email-stalkers-039monstrous039-harassment-of-woman-in-the-us-leads-judge-to-nearly-double-sentence
    บทความนี้รายงานเกี่ยวกับคดีการล่วงละเมิดทางอีเมลที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ โดยผู้กระทำผิดชื่อ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน หลังจากที่เขาได้ส่งอีเมลล่วงละเมิดผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่า 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2018 ถึง 2021 การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้หญิง และการโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ซึ่งสร้างความเสียหายทางจิตใจและความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้กับผู้เสียหาย ✅ Douglas Arthur Merkle II ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี 3 เดือน - ผู้กระทำผิดถูกตัดสินจำคุกหลังจากล่วงละเมิดผู้หญิงผ่านอีเมลเป็นเวลานานกว่า 3 ปี - การกระทำของเขารวมถึงการส่งภาพที่ไม่เหมาะสมไปยังที่ปรึกษาด้านการศึกษาของผู้เสียหาย ✅ การล่วงละเมิดเริ่มต้นในปี 2018 และสิ้นสุดในปี 2021 - Merkle ใช้อีเมลที่ไม่ระบุตัวตนในการติดต่อผู้เสียหายและโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของเธอบนเว็บไซต์ ✅ ผู้เสียหายได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง - เธอรู้สึกไม่ปลอดภัยและมีความสงสัยในทุกคนรอบตัว ✅ Merkle ถูกจับกุมในปี 2023 - FBI ได้จับกุมเขาและยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/19/email-stalkers-039monstrous039-harassment-of-woman-in-the-us-leads-judge-to-nearly-double-sentence
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Email stalker’s 'monstrous' harassment of woman in the US leads judge to nearly double sentence
    The victim was worried that the stalker would disrupt her marriage, her education, her job and friendships.
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • "อ.ปานเทพ" พร้อมผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.เร่งเอาผิดอาญา บริษัท SCT หลังซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ยอดความเสียหายรวมกว่า 400 ล้านบาท

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000036581

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "อ.ปานเทพ" พร้อมผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.เร่งเอาผิดอาญา บริษัท SCT หลังซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ยอดความเสียหายรวมกว่า 400 ล้านบาท อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000036581 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    3
    0 Comments 0 Shares 543 Views 0 Reviews
  • อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมผู้เสียหายยื่นหนังสือให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินคดีความอาญากับผู้เกี่ยวข้องในคดีที่ผู้เสียหาย ซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ลงทุนไม่ได้อะไร กับบริษัท SCT วันนึ้ และจะประชุมคดีเพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
    18 เมษายน 2568

    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1202527974574234&id=100044511276276
    อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมผู้เสียหายยื่นหนังสือให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินคดีความอาญากับผู้เกี่ยวข้องในคดีที่ผู้เสียหาย ซื้อทองไม่ได้ทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน ลงทุนไม่ได้อะไร กับบริษัท SCT วันนึ้ และจะประชุมคดีเพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป จึงเรียนมาเพื่อทราบ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน 18 เมษายน 2568 https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1202527974574234&id=100044511276276
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เผยกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ควบคุมตัว น.ส.กชพร สุวรรณกูฎ โบรกเกอร์ผู้ต้องหาคดีนพ.บุญ วนาสินธ์ ผู้ต้องหาร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งหลบหนีไปต่างประเทศ คดีนี้มีมูลค่าความเสียหาย 16,000 ล้านบาท มีผู้ต้องหาหลายคน ซึ่งมีพฤติกรรมชักชวน โดยในผู้ต้องหา 16 คน มีผู้เสียหาย 605 คน ซึ่งคดีนี้จะมีภาค 2 แน่นอน โดยได้พิจารณาผู้เข้าข่ายกระทำความผิดอีกหลายราย ที่สำคัญเราอยากนำผู้กระทำผิดทั้งหมดมาลงโทษให้ได้

    -ปรับแผนกู้ซากตึก สตง.
    -เตือน 23 จว.น้ำท่วมฉับพลัน
    -ส.อ.ท.หนุนเกษตรอัจฉริยะ
    -นำเข้าเพิ่มตอบโต้สหรัฐ
    พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เผยกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ควบคุมตัว น.ส.กชพร สุวรรณกูฎ โบรกเกอร์ผู้ต้องหาคดีนพ.บุญ วนาสินธ์ ผู้ต้องหาร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งหลบหนีไปต่างประเทศ คดีนี้มีมูลค่าความเสียหาย 16,000 ล้านบาท มีผู้ต้องหาหลายคน ซึ่งมีพฤติกรรมชักชวน โดยในผู้ต้องหา 16 คน มีผู้เสียหาย 605 คน ซึ่งคดีนี้จะมีภาค 2 แน่นอน โดยได้พิจารณาผู้เข้าข่ายกระทำความผิดอีกหลายราย ที่สำคัญเราอยากนำผู้กระทำผิดทั้งหมดมาลงโทษให้ได้ -ปรับแผนกู้ซากตึก สตง. -เตือน 23 จว.น้ำท่วมฉับพลัน -ส.อ.ท.หนุนเกษตรอัจฉริยะ -นำเข้าเพิ่มตอบโต้สหรัฐ
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 726 Views 23 0 Reviews
  • พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันแรก เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้ครอบคลุม ลดขั้นตอนคืนเงินผู้เสียหาย รวมทั้งธนาคารและค่ายมือถือรับผิดชอบร่วมกัน

    วันนี้ (13 เม.ย.) เป็นวันแรกที่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สรุปสาระสำคัญ คือ เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ครอบคลุมการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ และบัญชีสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการแก้ไข

    ขณะเดียวกัน ได้ลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อสามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้โดยตรงในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาล อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสร้างความร่วมมือ กำหนดความรับผิดชอบให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดหากไม่ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรการหรือมาตรฐานของหน่วยงานกำกับ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035214

    #MGROnline #พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #พรก #มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
    #DE #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) บังคับใช้วันแรก เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้ครอบคลุม ลดขั้นตอนคืนเงินผู้เสียหาย รวมทั้งธนาคารและค่ายมือถือรับผิดชอบร่วมกัน • วันนี้ (13 เม.ย.) เป็นวันแรกที่พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้สรุปสาระสำคัญ คือ เพิ่มเติมนิยามที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ให้ครอบคลุมการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บ และบัญชีสินทรัพย์ ที่เกี่ยวข้องการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีการแก้ไข • ขณะเดียวกัน ได้ลดขั้นตอนกระบวนการเพื่อสามารถคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายได้โดยตรงในชั้นเจ้าหน้าที่ โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาศาล อีกด้านหนึ่ง ยังมีการสร้างความร่วมมือ กำหนดความรับผิดชอบให้สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง ร่วมรับผิดหากไม่ปฎิบัติตามมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามมาตรการหรือมาตรฐานของหน่วยงานกำกับ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000035214 • #MGROnline #พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #พรก #มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี #DE #ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 300 Views 0 Reviews
  • 7 เมษายน 2568 เวลา 22.00 น. DSI แถลงข่าวหลังจากรวบตัว"โบรกเกอร์" คนสนิทของหมอบุญ วนาสิน ที่หนีกบดานอยู่ประเทศจีน คดีร่วมกันฉ้อโกงเสียหาย 1.4 หมื่นล้านบาท กระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาททั้งนี้วันนี้มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท https://www.youtube.com/live/4JOmIY3cmYY?si=7NZSfJvhF4VqErlt
    7 เมษายน 2568 เวลา 22.00 น. DSI แถลงข่าวหลังจากรวบตัว"โบรกเกอร์" คนสนิทของหมอบุญ วนาสิน ที่หนีกบดานอยู่ประเทศจีน คดีร่วมกันฉ้อโกงเสียหาย 1.4 หมื่นล้านบาท กระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาททั้งนี้วันนี้มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาท https://www.youtube.com/live/4JOmIY3cmYY?si=7NZSfJvhF4VqErlt
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 Comments 0 Shares 420 Views 0 Reviews
  • DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หนีกบดานประเทศจีน ร่วมฉ้อโกง เสียหาย 1.4 หมื่นล้านเตรียมแถลงคืนนี้ 4 ทุ่มข่าวที่เกี่ยวข้องความคืบหน้ากรณี นายแพทย์บุญ วนาสิน กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นล่าสุด วันที่ 7 เมษายน 2568 มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาทhttps://www.amarintv.com/news/crime/511086#
    DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หนีกบดานประเทศจีน ร่วมฉ้อโกง เสียหาย 1.4 หมื่นล้านเตรียมแถลงคืนนี้ 4 ทุ่มข่าวที่เกี่ยวข้องความคืบหน้ากรณี นายแพทย์บุญ วนาสิน กับพวก ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิด ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และความผิดอื่น ที่เกี่ยวข้อง เป็นคดีพิเศษที่ 136/2567 เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2567 ที่ผ่านมาต่อมา ดีเอสไอได้ส่งสำนวนอัยการสั่งฟ้อง หมอบุญ กับพวกรวม 16 ราย ฐานฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหาย 14,246,048,033 บาท ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้นล่าสุด วันที่ 7 เมษายน 2568 มีรายงานว่า ร้อยตำรวจเอก วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พลตำรวจโท สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษกองกิจการอำนวยความยุติธรรม เตรียมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดี "หมอบุญ วนาสิน" ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ชั้น 2 ประตู 8 ในเวลา 22.00 น. ของวันนี้ทั้งนี้ จากรายงาน คือ น.ส.ฐิติพร เฉลิมรัตนประทีป ทำหน้าที่เป็น โบรกเกอร์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 4 ธ.ค. 67 โดยจับกุมได้ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังเหลือผู้ต้องหาอีก 2 ราย คือ นพ.บุญ และ น.ส.กชพร ที่อยู่ระหว่างหลบหนีในต่างประเทศโดยคดีดังกล่าว นพ.บุญ พร้อมพวก ได้หลอกชักชวนผู้เสียหายลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 16,000 ล้านบาทhttps://www.amarintv.com/news/crime/511086#
    WWW.AMARINTV.COM
    DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หลังหนีกบดานประเทศจีน
    DSI รวบ "โบรกเกอร์" คนสนิท หมอบุญ หนีกบดานประเทศจีน ร่วมฉ้อโกง เสียหาย 1.4 หมื่นล้านเตรียมแถลงคืนนี้ 4 ทุ่ม
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews
  • PoisonSeed เป็นกลุ่มผู้โจมตีที่ใช้กลยุทธ์ฟิชชิ่งซับซ้อนโดยเล็งเป้าหมายไปยังผู้ใช้งานของ Mailchimp และบริษัทคริปโต เช่น Coinbase เพื่อขโมยข้อมูลผ่านหน้าล็อกอินหลอกลวงและ Seed Phrase องค์กรและผู้ใช้งานควรเพิ่มการตระหนักรู้และใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อป้องกันภัยฟิชชิ่งที่พัฒนาขึ้นทุกวัน

    == กลยุทธ์โจมตีที่ PoisonSeed ใช้ ==
    ✅ การสร้างหน้าฟิชชิ่งที่เหมือนจริง:
    - PoisonSeed สร้างหน้าเว็บฟิชชิ่งที่มีความคล้ายคลึงกับหน้าล็อกอินของผู้ให้บริการอีเมล เช่น Mailchimp โดยใช้โดเมนหลอกลวง เช่น mail-chimpservices[.]com
    - หลังจากที่ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลล็อกอิน ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลและตั้งค่า API Key ใหม่เพื่อรักษาการเข้าถึง แม้ผู้เสียหายจะเปลี่ยนรหัสผ่าน

    ✅ ฟิชชิ่งและการหลอกลวงด้วย Seed Phrases:
    - ในบางกรณี ผู้โจมตีใช้วิธีหลอกลวงผู้ใช้งานคริปโตให้ตั้ง Seed Phrase ใหม่ โดยมอบ Seed Phrase ที่ตั้งไว้เพื่อให้ผู้ใช้ใช้ซ้ำ ซึ่งช่วยให้ผู้โจมตีเข้าถึงทรัพย์สินในภายหลัง

    ✅ การพัฒนากลยุทธ์:
    - PoisonSeed มีการใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ขั้นสูง เช่น CryptoChameleon ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในปี 2024 ในการโจมตีเป้าหมายใหญ่ เช่น Coinbase

    == ผลกระทบและความท้าทายในการป้องกัน ==
    ✅ การเข้าถึงข้อมูลอีเมลจำนวนมาก:
    - กรณีศึกษาของ Troy Hunt แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีสามารถดาวน์โหลดรายการอีเมลและใช้ข้อมูลเพื่อหลอกลวงในวงกว้าง

    ✅ ความเสี่ยงต่อบริษัทใหญ่:
    - นอกจาก Mailchimp และ Zoho บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านข้อมูลและคริปโตอย่าง Coinbase และ Ledger เป็นเป้าหมายของการโจมตีที่ซับซ้อน

    ✅ การเตรียมตัวของผู้ใช้งานและองค์กร:
    - นักวิเคราะห์จาก Silent Push ย้ำว่าการป้องกันฟิชชิ่งต้องมุ่งเน้นที่ความรู้และการใช้เครื่องมือความปลอดภัยในการตรวจจับโดเมนที่หลอกลวง

    https://www.csoonline.com/article/3956008/poisonseed-targets-mailchimp-mailgun-and-zoho-to-phish-high-value-accounts.html
    PoisonSeed เป็นกลุ่มผู้โจมตีที่ใช้กลยุทธ์ฟิชชิ่งซับซ้อนโดยเล็งเป้าหมายไปยังผู้ใช้งานของ Mailchimp และบริษัทคริปโต เช่น Coinbase เพื่อขโมยข้อมูลผ่านหน้าล็อกอินหลอกลวงและ Seed Phrase องค์กรและผู้ใช้งานควรเพิ่มการตระหนักรู้และใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อป้องกันภัยฟิชชิ่งที่พัฒนาขึ้นทุกวัน == กลยุทธ์โจมตีที่ PoisonSeed ใช้ == ✅ การสร้างหน้าฟิชชิ่งที่เหมือนจริง: - PoisonSeed สร้างหน้าเว็บฟิชชิ่งที่มีความคล้ายคลึงกับหน้าล็อกอินของผู้ให้บริการอีเมล เช่น Mailchimp โดยใช้โดเมนหลอกลวง เช่น mail-chimpservices[.]com - หลังจากที่ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลล็อกอิน ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลและตั้งค่า API Key ใหม่เพื่อรักษาการเข้าถึง แม้ผู้เสียหายจะเปลี่ยนรหัสผ่าน ✅ ฟิชชิ่งและการหลอกลวงด้วย Seed Phrases: - ในบางกรณี ผู้โจมตีใช้วิธีหลอกลวงผู้ใช้งานคริปโตให้ตั้ง Seed Phrase ใหม่ โดยมอบ Seed Phrase ที่ตั้งไว้เพื่อให้ผู้ใช้ใช้ซ้ำ ซึ่งช่วยให้ผู้โจมตีเข้าถึงทรัพย์สินในภายหลัง ✅ การพัฒนากลยุทธ์: - PoisonSeed มีการใช้เครื่องมือและกลยุทธ์ขั้นสูง เช่น CryptoChameleon ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในปี 2024 ในการโจมตีเป้าหมายใหญ่ เช่น Coinbase == ผลกระทบและความท้าทายในการป้องกัน == ✅ การเข้าถึงข้อมูลอีเมลจำนวนมาก: - กรณีศึกษาของ Troy Hunt แสดงให้เห็นว่าผู้โจมตีสามารถดาวน์โหลดรายการอีเมลและใช้ข้อมูลเพื่อหลอกลวงในวงกว้าง ✅ ความเสี่ยงต่อบริษัทใหญ่: - นอกจาก Mailchimp และ Zoho บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านข้อมูลและคริปโตอย่าง Coinbase และ Ledger เป็นเป้าหมายของการโจมตีที่ซับซ้อน ✅ การเตรียมตัวของผู้ใช้งานและองค์กร: - นักวิเคราะห์จาก Silent Push ย้ำว่าการป้องกันฟิชชิ่งต้องมุ่งเน้นที่ความรู้และการใช้เครื่องมือความปลอดภัยในการตรวจจับโดเมนที่หลอกลวง https://www.csoonline.com/article/3956008/poisonseed-targets-mailchimp-mailgun-and-zoho-to-phish-high-value-accounts.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    PoisonSeed targets Mailchimp, Mailgun, and Zoho to phish high-value accounts
    Researchers identified PoisonSeed as the same threat actors behind Troy Hunt’s Mailchimp and Akamai’s SendGrid phishing.
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า “กรณีนี้ลูกค้าหลายรายกลายเป็นผู้เสียหายไปแจ้งความ ปคบ. บริษัทดังกล่าวมีหน้าร้านจริง และเป็นสมาชิกขอสมาคมค้าทองคำด้วย ไม่ใช่ร้านค้าทองหน้าใหม่ เปิดค้าทองคำมานับสิบปีแล้ว เข้าใจว่าอาจจะบริหารงานผิดพลาด เนื่องจากราคาทองคำในช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้นมากและผันผวนโดยทางสมาคมฯ กำลังหาข้อมูลอยู่และจะติดต่อสอบถามรายละเอียดเขาดู คงจะบริหารงานผิดพลาด พวกออนไลน์ถ้าบริหารงานผิดพลาด แล้วไปจองไว้เยอะๆ มันก็อาจจะขาดทุนนะ ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ราคาทองขึ้นมาแล้วมากพอสมควร ยืนยันว่า บริษัทฯ เขาเป็นสมาชิกอยู่ในสมาคมค้าทอง เป็นสมาชิกมา 10 กว่าปีแล้ว สมัยก่อนยังไม่ค่อยเข้มงวด
    นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยทางโทรศัพท์ว่า “กรณีนี้ลูกค้าหลายรายกลายเป็นผู้เสียหายไปแจ้งความ ปคบ. บริษัทดังกล่าวมีหน้าร้านจริง และเป็นสมาชิกขอสมาคมค้าทองคำด้วย ไม่ใช่ร้านค้าทองหน้าใหม่ เปิดค้าทองคำมานับสิบปีแล้ว เข้าใจว่าอาจจะบริหารงานผิดพลาด เนื่องจากราคาทองคำในช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้นมากและผันผวนโดยทางสมาคมฯ กำลังหาข้อมูลอยู่และจะติดต่อสอบถามรายละเอียดเขาดู คงจะบริหารงานผิดพลาด พวกออนไลน์ถ้าบริหารงานผิดพลาด แล้วไปจองไว้เยอะๆ มันก็อาจจะขาดทุนนะ ตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ราคาทองขึ้นมาแล้วมากพอสมควร ยืนยันว่า บริษัทฯ เขาเป็นสมาชิกอยู่ในสมาคมค้าทอง เป็นสมาชิกมา 10 กว่าปีแล้ว สมัยก่อนยังไม่ค่อยเข้มงวด
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • ผู้เสียหายสาวแจ้งความดำเนินคดี "ลุงสมนิจ" แอบอ้างเป็นภรรยาท้อง 4 เดือน ติดอยู่ในซากตึก สตง.พังถล่ม จนมีประชาชนสงสารโอนเงินให้จำนวนมาก ยอมรับตกใจไม่รู้เอาบัตรไปได้อย่างไร ชื่อเสียงตนเองและครอบครัวเสียหายหนัก

    วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ สน.บางซื่อ น.ส.กรวิภา (สงวนนามสกุล) หรือมายด์ อายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กรณี นายสมนิจ ดวงเนตร อายุ 50 ปี นำชื่อไปอ้างว่า ภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียนโซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้ เนื่องจากติดอยู่ใต้ซากตึก ต่อมาพบว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    น.ส.กรวิภา กล่าวว่า บัตรดังกล่าวคือบัตรที่ตนเคยเป็นพนักงาน ภายในห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อปี 2019 หลังจากนั้นได้นำบัตรคืนกับทางห้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าบัตรตนไปอยู่กับ ลุงสมนิจ รู้สึกตกใจและช็อกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าลุงเอาบัตรของตนไปได้อย่างไร เมื่อครอบครัวทราบข่าวตกใจมากนึกว่าลูกสาวเสียชีวิต

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030753

    #MGROnline #ลุงสมนิจ #แผ่นดินไหว #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.
    ผู้เสียหายสาวแจ้งความดำเนินคดี "ลุงสมนิจ" แอบอ้างเป็นภรรยาท้อง 4 เดือน ติดอยู่ในซากตึก สตง.พังถล่ม จนมีประชาชนสงสารโอนเงินให้จำนวนมาก ยอมรับตกใจไม่รู้เอาบัตรไปได้อย่างไร ชื่อเสียงตนเองและครอบครัวเสียหายหนัก • วันนี้ (31 มี.ค.) ที่ สน.บางซื่อ น.ส.กรวิภา (สงวนนามสกุล) หรือมายด์ อายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กรณี นายสมนิจ ดวงเนตร อายุ 50 ปี นำชื่อไปอ้างว่า ภรรยาที่กำลังท้องลูกสาว 4 เดือน ทำงานเป็นเสมียนโซนออฟฟิศชั้น 4 ของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่กำลังก่อสร้างพังถล่ม ขณะนี้ไม่สามารถติดต่อภรรยาได้ เนื่องจากติดอยู่ใต้ซากตึก ต่อมาพบว่าเรื่องราวดังกล่าวไม่เป็นความจริง • น.ส.กรวิภา กล่าวว่า บัตรดังกล่าวคือบัตรที่ตนเคยเป็นพนักงาน ภายในห้างแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 เมื่อปี 2019 หลังจากนั้นได้นำบัตรคืนกับทางห้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอเห็นว่าบัตรตนไปอยู่กับ ลุงสมนิจ รู้สึกตกใจและช็อกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าลุงเอาบัตรของตนไปได้อย่างไร เมื่อครอบครัวทราบข่าวตกใจมากนึกว่าลูกสาวเสียชีวิต • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000030753 • #MGROnline #ลุงสมนิจ #แผ่นดินไหว #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า

    ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร

    ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้

    ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา

    ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร

    ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป

    #Newskit
    ระบบสแกนจ่ายไม่ดี ระวังจะเสียลูกค้า ในช่วงนี้บรรดาผู้ใช้งานแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือ (Mobile Banking) กำลังวิตกกังวลเรื่องอี-สลิปปลอม ที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) ซึ่งมีคนออกมาเตือนว่า สามารถปลอมได้ค่อนข้างแนบเนียน ไม่ต้องใช้โปรแกรมตัดต่อภาพอย่าง Photoshop อีกต่อไป แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีเห็นว่า สลิปที่สร้างโดยเอไอไม่แนบเนียน ลายเส้นมักไม่คม แนะนำว่าให้ผู้ค้าตรวจสอบโดยการนำ QR Code บนอี-สลิปไปสแกนผ่านแอปฯ ธนาคาร ขณะที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แนะนำแก่ลูกค้าว่า หลังรับโอนเงินควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสลิปโอนเงินนั้นของแท้ หรือของปลอม ด้วยการสแกน QR Code บนสลิป แต่จะมีอายุจำกัด ตั้งเเต่ 7 วัน ถึง 60 วัน แต่หากสลิปโอนเงินนั้นไม่มี QR Code ให้เข้าไปเช็กยอดเงินในโมบายแบงกิ้ง เพื่อตรวจสอบธุรกรรมที่แท้จริงได้ ปัจจุบันการชำระเงินด้วยการสแกนจ่าย ยังคงใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเป็นระยะ เช่น แอปฯ ธนาคารล่ม หรือไม่แจ้งเตือนเงินเข้าในบางเวลา เมื่อสัปดาห์ก่อนที่จังหวัดแห่งหนึ่งติดกับกรุงเทพมหานคร เจ้าของร้านกาแฟแห่งหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความลงในกลุ่มเฟซบุ๊กข่าวสารของจังหวัดดังกล่าว เรียกร้องให้ลูกค้ารายหนึ่งจ่ายเงินค่ากาแฟ 160 บาท อ้างว่าลูกค้าสแกนจ่ายแล้วเงินไม่เข้า มีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดพร้อมใบหน้าลูกค้าเสมือนประจาน ทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากต่างแชร์และประณามลูกค้าจำนวนมาก เพื่อกดดันให้กลับมาจ่ายเงินตามที่เจ้าของร้านกล่าวหา ปรากฎว่าในเวลาต่อมาคดีพลิก เพราะเจ้าของร้านโพสต์ข้อความขอโทษลูกค้าที่ถูกพาดพิง หลังพบว่ามีเงินเข้าแต่ระบบไม่ได้แจ้ง และยอมรับว่าทางร้านดูสลิปโอนเงินไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนาที่จะประจานลูกค้าแต่อย่างใด ผลก็คือทัวร์ที่เคยลงลูกค้ากลับมาลงที่เจ้าของร้านแทน เรียกร้องให้ชดเชยเยียวยา บางคนแนะให้ลูกค้าแจ้งความเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เพราะเป็นผู้เสียหาย บางคนกล่าวว่าจะไม่อุดหนุนร้านนี้อีก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนตัวเองจะโดนเช่นนั้น เมื่อดูสลิปที่เจ้าของร้านกาแฟโพสต์ ปรากฎว่าปลายทางเป็นแอปฯ รับเงินของลูกค้าจากค่ายอี-วอลเล็ต ซึ่งไม่ใช่ธนาคาร ปัจจุบันโมบายแบงกิ้งแต่ละธนาคารมักแจ้งเตือนเงินเข้าล่าช้าในบางเวลา ขณะที่บางธนาคารมีแอปฯ สำหรับให้ร้านค้ารับเงินจากลูกค้าโดยเฉพาะ และยังแจ้งเตือนเงินเข้าทั้งแบบข้อความแจ้งเตือน และเสียงแจ้งเตือนเงินเข้าที่ระบุจำนวนเงินชัดเจน อีกด้านหนึ่ง มีบางร้านค้าขอความร่วมมือให้พนักงานถ่ายภาพอี-สลิปจากลูกค้าเพื่อใช้ตรวจสอบภายหลังกรณีเงินไม่เข้าบัญชีและอื่นๆ ต่อไป #Newskit
    Like
    Love
    4
    0 Comments 0 Shares 527 Views 0 Reviews
  • ลำพูน – ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว สั่งจำคุก 15 ปี อดีตสาวโรงงานนิคมฯลำพูน หลอกหมอฟันสาวเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน ลงทุนสูญ 68 ล้านบาท พ่วงคดีฟอกเงินกับพวกอีก 2 ราย พร้อมคืนเงินให้กับโจทย์ 38 ล้าน พบจำเลยนั่งรถหรูราคาหลายล้านมาฟังมาคำตัดสิน

    นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน
    นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน

    ความคืบหน้ากรณีนางสาวกบ (นามสมมุติ) อดีตพนักงานโรงงานนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน ถูกฟ้องร้องฐานฉ้อโกงนางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน โดยอ้างว่าได้เปิดบริษัทรับซื้อกากอุตสาหกรรมตามโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000029230

    #MGROnline #หมอฟัน #เจ้าของคลินิกทำฟัน #ลำพูน
    ลำพูน – ศาลชั้นต้นตัดสินแล้ว สั่งจำคุก 15 ปี อดีตสาวโรงงานนิคมฯลำพูน หลอกหมอฟันสาวเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียน ลงทุนสูญ 68 ล้านบาท พ่วงคดีฟอกเงินกับพวกอีก 2 ราย พร้อมคืนเงินให้กับโจทย์ 38 ล้าน พบจำเลยนั่งรถหรูราคาหลายล้านมาฟังมาคำตัดสิน • นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน นางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ผู้เสียหาย พร้อมญาติที่เดินทางมาฟังคำตัดสินคดีที่ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนหลอกลงทุน • ความคืบหน้ากรณีนางสาวกบ (นามสมมุติ) อดีตพนักงานโรงงานนิคมอุตสาหกรรมจังหวัดลำพูน ถูกฟ้องร้องฐานฉ้อโกงนางสาวจิตรลดา กัลยาธง หรือหมอนก เจ้าของคลินิกทำฟันชื่อดังในตัวเมืองลำพูน ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียน โดยอ้างว่าได้เปิดบริษัทรับซื้อกากอุตสาหกรรมตามโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/local/detail/9680000029230 • #MGROnline #หมอฟัน #เจ้าของคลินิกทำฟัน #ลำพูน
    0 Comments 0 Shares 427 Views 0 Reviews
  • 58 ปี "คดีตุ๊กตา" ขืนใจสาวรับใช้ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “หญิงข่มขืนหญิง” ได้หรือไม่? 📚⚖️

    ✨ย้อนรอย “คดีตุ๊กตา” ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เปิดประเด็นการข่มขืนโดย “ผู้หญิงต่อผู้หญิง” ครั้งแรกของไทย ศึกษาเหตุการณ์รายละเอียดคดี บทสรุปทางกฎหมาย ที่ยังสะเทือนวงการกฎหมายถึงปัจจุบัน ✨

    เมื่อ “หญิงข่มขืนหญิง” ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป หากเอ่ยถึงคดีข่มขืน หลายคนอาจนึกถึงภาพของชายกระทำต่อหญิง แต่ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กลับมีคำพิพากษาหนึ่ง ที่เปิดโลกความเข้าใจในมุมมองใหม่ ⚖️

    โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2510 กับ “คดีตุ๊กตา” ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาอันลือลั่นว่า “หญิงก็เป็นตัวการร่วม ในการข่มขืนหญิงได้” คำวินิจฉัยครั้งนั้น ไม่เพียงเขย่าระบบยุติธรรมไทย แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ให้สังคมไทยในเวลานั้น

    “คดีตุ๊กตา” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในยุคนั้นตั้งขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ "พิมล กาฬสีห์" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในนามปากกา “ตุ๊กตา” ถูกอัยการยื่นฟ้อง ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราร่วมกับภรรยา "นภาพันธ์ กาฬสีห์" ต่อ "เพ็ชร ทัวิพัฒน์" หญิงสาวคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ที่บ้านพักในตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร

    แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 58 ปี แต่คำพิพากษาในคดีนี้ยั งคงได้รับการกล่าวขานในวงการกฎหมาย และสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกรณีแรกที่ “ศาลฎีกา” ของไทยยืนยันว่า หญิงสามารถร่วมเป็นตัวการข่มขืนหญิงได้

    📌 ทำไมคดีนี้จึงสำคัญ? ประเด็นที่สั่นคลอนสังคม คดีนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพล ที่บุคคลมีชื่อเสียงอาจมีต่อผู้ด้อยโอกาส เปิดประเด็นว่า “ข่มขืน” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเพศชายเท่านั้น

    ศาลยืนยันว่า ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วม ในการกระทำผิดฐานข่มขืนได้ แม้จะไม่ได้ลงมือข่มขืนเองก็ตาม

    📌 จุดเปลี่ยนด้านกฎหมาย คำพิพากษานี้ทำให้เกิดการตีความ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ว่า “ผู้ใด” หมายรวมถึงบุคคลทุกเพศ ไม่ใช่จำกัดแค่เพศชาย

    ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคดีตุ๊กตา
    🗓️ คืนวันอาทิตย์ที่่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 "เพ็ชร์ ทิวาพัฒน์" หญิงสาวผู้เสียหายวัย 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นสาวรับใช้ ในคืนนั้น เพ็ชรถูกนภาพันธ์เรียกขึ้นไปนวดให้พิมล บนชั้นสองของบ้าน

    นภาพันธ์ช่วยจับมือของเพ็ชร ไปจับอวัยวะเพศของพิมล และร่วมกดร่างเพ็ชรไว้ให้สามีข่มขืน เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ เกิดขึ้นซ้ำถึง 5 ครั้ง ในคืนนั้น

    🗓️ เช้ามืดวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพ็ชรหนีออกจากบ้าน และไปแจ้งความที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมสองสามีภรรยา และส่งเพ็ชรตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลตรวจพิสูจน์พบร่องรอยการข่มขืนอย่างชัดเจน อัยการจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง

    ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของผู้เสียหายมีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับพยานหลักฐาน และผลตรวจทางการแพทย์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2 ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี

    ➡️ แต่... จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์

    ศาลอุทธรณ์:ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า “ยินยอม” กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่า เชื่อว่าผู้เสียหาย สมัครใจร่วมประเวณีเอง เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้หญิง ไม่ควรถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมข่มขืน

    ➡️ อัยการในฐานะโจทก์ ฎีกาต่อ...

    ศาลฎีกา:พลิกคำพิพากษา ตอกย้ำ “หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนได้” ในการพิจารณาครั้งสำคัญ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
    ✅ พิพากษาว่า ผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ
    ✅ การมีส่วนร่วมของจำเลยที่ 2 ในการจับผู้เสียหาย และบังคับให้สามีข่มขืน ถือเป็นการ “ร่วมกันข่มขืน”
    ✅ ศาลฎีกายืนยันว่า ตามกฎหมายไทย หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนหญิงได้

    ➡️ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี 1 เดือน
    ➡️ จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษจำคุก 2 ปี

    การตีความทางกฎหมายที่สำคัญ มาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใด” ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น...
    🔹 คำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้ระบุเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีพฤติการณ์ร่วมกันในการข่มขืน ก็ถือว่ามีความผิดฐาน “ตัวการ” ได้
    🔹 แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนเอง แต่หากช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หรือบังคับเหยื่อ ก็ถือว่า “ร่วมกันกระทำผิด”

    ทำไมศาลฎีกาจึงพิพากษาเช่นนั้น?
    ✅ พฤติกรรมของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่า ร่วมกดขาและจับผู้เสียหาย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืน
    ✅ ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง หรือบอกว่าจะ “เพิ่มเงินเดือน” หากไม่ต่อต้าน
    ✅ บังคับผู้เสียหายให้อมอวัยวะเพศ และสั่งให้กลืนน้ำอสุจิของสามี

    ✨ ผลกระทบต่อสังคม และวงการกฎหมาย เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ก่อนหน้านั้น สังคมมองว่า “ข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่มีแต่เพศชาย เป็นผู้กระทำ

    ✨ คดีตุ๊กตาสร้างการตระหนักใหม่ว่า อาชญากรรมทางเพศ เกิดจากผู้กระทำได้ทุกเพศ อิทธิพลต่อการตีความกฎหมาย ศาลไทยขยายขอบเขตความผิดของมาตรา 276 ให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในคดีอาญาเกี่ยวกับเพศที่ซับซ้อนมากขึ้น

    “คดีตุ๊กตา” กับมรดกทางกฎหมายที่ยั่งยืน ผ่านมา 58 ปี คดีตุ๊กตายังเป็นกรณีศึกษา ในวงการกฎหมายและสังคม ที่สอนให้เข้าใจถึง ความซับซ้อนของความรุนแรงทางเพศ และบทบาทของกฎหมาย ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสังคมไทยอีกต่อไป

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221140 มี.ค. 2568

    🏷️ #คดีตุ๊กตา #ข่มขืนในไทย #หญิงข่มขืนหญิงได้ #พิมลกาฬสีห์ #ศาลฎีกาไทย #กฎหมายอาญา #สิทธิมนุษยชน #ข่มขืนกระทำชำเรา #ข่าวดังในอดีต #คดีอาชญากรรมไทย
    58 ปี "คดีตุ๊กตา" ขืนใจสาวรับใช้ บันทึกแห่งประวัติศาสตร์ “หญิงข่มขืนหญิง” ได้หรือไม่? 📚⚖️ ✨ย้อนรอย “คดีตุ๊กตา” ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กับคำพิพากษาศาลฎีกา ที่เปิดประเด็นการข่มขืนโดย “ผู้หญิงต่อผู้หญิง” ครั้งแรกของไทย ศึกษาเหตุการณ์รายละเอียดคดี บทสรุปทางกฎหมาย ที่ยังสะเทือนวงการกฎหมายถึงปัจจุบัน ✨ เมื่อ “หญิงข่มขืนหญิง” ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป หากเอ่ยถึงคดีข่มขืน หลายคนอาจนึกถึงภาพของชายกระทำต่อหญิง แต่ในประวัติศาสตร์กฎหมายไทย กลับมีคำพิพากษาหนึ่ง ที่เปิดโลกความเข้าใจในมุมมองใหม่ ⚖️ โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2510 กับ “คดีตุ๊กตา” ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาอันลือลั่นว่า “หญิงก็เป็นตัวการร่วม ในการข่มขืนหญิงได้” คำวินิจฉัยครั้งนั้น ไม่เพียงเขย่าระบบยุติธรรมไทย แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ ให้สังคมไทยในเวลานั้น “คดีตุ๊กตา” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในยุคนั้นตั้งขึ้น เนื่องจากจำเลยที่ 1 คือ "พิมล กาฬสีห์" นักเขียนการ์ตูนชื่อดังในนามปากกา “ตุ๊กตา” ถูกอัยการยื่นฟ้อง ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราร่วมกับภรรยา "นภาพันธ์ กาฬสีห์" ต่อ "เพ็ชร ทัวิพัฒน์" หญิงสาวคนรับใช้ในบ้าน ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ที่บ้านพักในตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ปัจจุบันคือ กรุงเทพมหานคร แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 58 ปี แต่คำพิพากษาในคดีนี้ยั งคงได้รับการกล่าวขานในวงการกฎหมาย และสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นกรณีแรกที่ “ศาลฎีกา” ของไทยยืนยันว่า หญิงสามารถร่วมเป็นตัวการข่มขืนหญิงได้ 📌 ทำไมคดีนี้จึงสำคัญ? ประเด็นที่สั่นคลอนสังคม คดีนี้แสดงให้เห็นถึงอำนาจและอิทธิพล ที่บุคคลมีชื่อเสียงอาจมีต่อผู้ด้อยโอกาส เปิดประเด็นว่า “ข่มขืน” ไม่จำเป็นต้องเกิดจากเพศชายเท่านั้น ศาลยืนยันว่า ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วม ในการกระทำผิดฐานข่มขืนได้ แม้จะไม่ได้ลงมือข่มขืนเองก็ตาม 📌 จุดเปลี่ยนด้านกฎหมาย คำพิพากษานี้ทำให้เกิดการตีความ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ว่า “ผู้ใด” หมายรวมถึงบุคคลทุกเพศ ไม่ใช่จำกัดแค่เพศชาย ลำดับเหตุการณ์สำคัญในคดีตุ๊กตา 🗓️ คืนวันอาทิตย์ที่่28 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 "เพ็ชร์ ทิวาพัฒน์" หญิงสาวผู้เสียหายวัย 23 ปี ซึ่งทำงานเป็นสาวรับใช้ ในคืนนั้น เพ็ชรถูกนภาพันธ์เรียกขึ้นไปนวดให้พิมล บนชั้นสองของบ้าน นภาพันธ์ช่วยจับมือของเพ็ชร ไปจับอวัยวะเพศของพิมล และร่วมกดร่างเพ็ชรไว้ให้สามีข่มขืน เหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศ เกิดขึ้นซ้ำถึง 5 ครั้ง ในคืนนั้น 🗓️ เช้ามืดวันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 เพ็ชรหนีออกจากบ้าน และไปแจ้งความที่โรงพัก เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมสองสามีภรรยา และส่งเพ็ชรตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ผลตรวจพิสูจน์พบร่องรอยการข่มขืนอย่างชัดเจน อัยการจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำให้การของผู้เสียหายมีน้ำหนักเพียงพอ ประกอบกับพยานหลักฐาน และผลตรวจทางการแพทย์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี 1 เดือน จำเลยที่ 2 ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี ➡️ แต่... จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์:ยกฟ้องเพราะเชื่อว่า “ยินยอม” กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ด้วยเหตุผลว่า เชื่อว่าผู้เสียหาย สมัครใจร่วมประเวณีเอง เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้หญิง ไม่ควรถูกลงโทษในฐานะตัวการร่วมข่มขืน ➡️ อัยการในฐานะโจทก์ ฎีกาต่อ... ศาลฎีกา:พลิกคำพิพากษา ตอกย้ำ “หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนได้” ในการพิจารณาครั้งสำคัญ ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ✅ พิพากษาว่า ผู้เสียหายไม่ได้สมัครใจ ✅ การมีส่วนร่วมของจำเลยที่ 2 ในการจับผู้เสียหาย และบังคับให้สามีข่มขืน ถือเป็นการ “ร่วมกันข่มขืน” ✅ ศาลฎีกายืนยันว่า ตามกฎหมายไทย หญิงก็เป็นตัวการข่มขืนหญิงได้ ➡️ จำเลยที่ 1 ถูกลงโทษจำคุก 3 ปี 1 เดือน ➡️ จำเลยที่ 2 ถูกลงโทษจำคุก 2 ปี การตีความทางกฎหมายที่สำคัญ มาตรา 276 แห่งประมวลกฎหมายอาญา “ผู้ใด” ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น... 🔹 คำว่า “ผู้ใด” ไม่ได้ระบุเพศ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง หากมีพฤติการณ์ร่วมกันในการข่มขืน ก็ถือว่ามีความผิดฐาน “ตัวการ” ได้ 🔹 แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือข่มขืนเอง แต่หากช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หรือบังคับเหยื่อ ก็ถือว่า “ร่วมกันกระทำผิด” ทำไมศาลฎีกาจึงพิพากษาเช่นนั้น? ✅ พฤติกรรมของจำเลยที่ 2 แสดงชัดว่า ร่วมกดขาและจับผู้เสียหาย เพื่อให้จำเลยที่ 1 ข่มขืน ✅ ข่มขู่ผู้เสียหายไม่ให้ร้อง หรือบอกว่าจะ “เพิ่มเงินเดือน” หากไม่ต่อต้าน ✅ บังคับผู้เสียหายให้อมอวัยวะเพศ และสั่งให้กลืนน้ำอสุจิของสามี ✨ ผลกระทบต่อสังคม และวงการกฎหมาย เปลี่ยนแปลงความเข้าใจ ก่อนหน้านั้น สังคมมองว่า “ข่มขืน” เป็นอาชญากรรมที่มีแต่เพศชาย เป็นผู้กระทำ ✨ คดีตุ๊กตาสร้างการตระหนักใหม่ว่า อาชญากรรมทางเพศ เกิดจากผู้กระทำได้ทุกเพศ อิทธิพลต่อการตีความกฎหมาย ศาลไทยขยายขอบเขตความผิดของมาตรา 276 ให้ครอบคลุมบุคคลทุกเพศ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ในคดีอาญาเกี่ยวกับเพศที่ซับซ้อนมากขึ้น “คดีตุ๊กตา” กับมรดกทางกฎหมายที่ยั่งยืน ผ่านมา 58 ปี คดีตุ๊กตายังเป็นกรณีศึกษา ในวงการกฎหมายและสังคม ที่สอนให้เข้าใจถึง ความซับซ้อนของความรุนแรงทางเพศ และบทบาทของกฎหมาย ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวในอดีต แต่เป็นบทเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ในสังคมไทยอีกต่อไป ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 221140 มี.ค. 2568 🏷️ #คดีตุ๊กตา #ข่มขืนในไทย #หญิงข่มขืนหญิงได้ #พิมลกาฬสีห์ #ศาลฎีกาไทย #กฎหมายอาญา #สิทธิมนุษยชน #ข่มขืนกระทำชำเรา #ข่าวดังในอดีต #คดีอาชญากรรมไทย
    0 Comments 0 Shares 919 Views 0 Reviews
  • “บิ๊กเต่า” นำทีมตำรวจสอบสวนกลาง สนธิกำลัง ป.ป.ช.และ ป.ป.ท. บุกจับคาโต๊ะทำงาน 2 เจ้าหน้าที่สำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ รีดเงิน 2.5 แสนบาท จากชาวบ้านเจ้าของที่ดินแนวโครงการขยายถนนที่เชียงดาว อ้างช่วยวิ่งเต้นให้ได้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายพบเป็นเพียงกลลวง เบื้องต้นยังปากแข็งบอกว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ จนท.ไม่ปักใจเชื่อ และเตรียมสืบสวนขยายผลว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหรือไม่ รวมทั้งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆ อีก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026821
    “บิ๊กเต่า” นำทีมตำรวจสอบสวนกลาง สนธิกำลัง ป.ป.ช.และ ป.ป.ท. บุกจับคาโต๊ะทำงาน 2 เจ้าหน้าที่สำนักงานทางหลวงเชียงใหม่ รีดเงิน 2.5 แสนบาท จากชาวบ้านเจ้าของที่ดินแนวโครงการขยายถนนที่เชียงดาว อ้างช่วยวิ่งเต้นให้ได้รับเงินค่าเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้น แต่สุดท้ายพบเป็นเพียงกลลวง เบื้องต้นยังปากแข็งบอกว่าเป็นการให้โดยเสน่หา แต่ จนท.ไม่ปักใจเชื่อ และเตรียมสืบสวนขยายผลว่ามีผู้ร่วมกระทำผิดอีกหรือไม่ รวมทั้งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆ อีก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000026821
    Like
    Sad
    7
    0 Comments 0 Shares 1229 Views 0 Reviews
  • "ดิว อริสรา" ส่งทนายพบกองปราบแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันดาราสาวบินไปดูแลลูกที่ไต้หวันไม่มีเจตนาหลบหนีคดีพร้อมตั้งโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย เคลียร์ปัญหาให้จบโดยเร็ว

    วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ กองปราบปราม นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือทนายเอี้ยง ทนายความของ "ดิว อริสรา " ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ว่า หลังจากที่เมื่อวานนี้ คุณดิว อริสรา ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในรายการโหนกระแสและรับทราบเมื่อวานนี้ว่าทางฝั่งของ"มาดามเมนี่" วาสนา อินทะแสง ได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามแล้ว จึงได้พูดคุยกับตนและได้ข้อเท็จจริงยืนยันว่า การเดินทางไปไต้หวันไม่ใช่การหลบหนีตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งได้เดินทางไปก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว ทั้งนี้ดิวไม่ทราบมาก่อนว่าถูกแจ้งความเมื่อทราบเรื่องก็ได้รีบประสานให้ตัวเองดำเนินการยื่นหนังสือกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและยืนยันว่า ที่ไปต่างประเทศ เพราะต้องการที่จะไปดูแลลูก ไม่มีเจตนาที่จะหลบหนีคดี รวมทั้งยืนยันว่า หลังจากนี้ยินดีที่จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนและให้ความร่วมมือทุกประการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

    นายนิติศักดิ์ กล่าวต่อว่าส่วนข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากการที่พูดคุยเป็นไปตามที่ได้ชี้แจ้งในรายการคือ ทางดิว ต้องการยืมทรัพย์สิน ตามที่ตกลงกันก็คือให้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้น แต่เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากเจ้าหนี้ของคุณดิวต้องการเงินสด ไม่ได้ต้องการทรัพย์สิน จึงจำเป็นต้องนำทรัพย์สินไปจำนำเพื่อให้ได้เงินสด แต่ยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวอยู่ในเงื่อนไขที่ทางผู้เสียหายให้ทรัพย์สินยืมไป และทางคุณเมย์ก็รับทราบเรื่องที่มีการนำทรัพย์สินไปจำนำแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด แต่จะรับทราบก่อนหรือหลังรับจำนำ เรื่องนี้ส่วนตัวไม่ทราบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000026664

    #MGROnline #โหนกระแส #หนุ่มกรรชัย #เมย์วาสนา #ไฮโซเมย์ #ดิวอริศรา #สร้อยlotus
    "ดิว อริสรา" ส่งทนายพบกองปราบแสดงความบริสุทธิ์ใจ ยืนยันดาราสาวบินไปดูแลลูกที่ไต้หวันไม่มีเจตนาหลบหนีคดีพร้อมตั้งโต๊ะเจรจา 3 ฝ่าย เคลียร์ปัญหาให้จบโดยเร็ว • วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ กองปราบปราม นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือทนายเอี้ยง ทนายความของ "ดิว อริสรา " ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ว่า หลังจากที่เมื่อวานนี้ คุณดิว อริสรา ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในรายการโหนกระแสและรับทราบเมื่อวานนี้ว่าทางฝั่งของ"มาดามเมนี่" วาสนา อินทะแสง ได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามแล้ว จึงได้พูดคุยกับตนและได้ข้อเท็จจริงยืนยันว่า การเดินทางไปไต้หวันไม่ใช่การหลบหนีตามที่มีกระแสข่าว ซึ่งได้เดินทางไปก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว ทั้งนี้ดิวไม่ทราบมาก่อนว่าถูกแจ้งความเมื่อทราบเรื่องก็ได้รีบประสานให้ตัวเองดำเนินการยื่นหนังสือกับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและยืนยันว่า ที่ไปต่างประเทศ เพราะต้องการที่จะไปดูแลลูก ไม่มีเจตนาที่จะหลบหนีคดี รวมทั้งยืนยันว่า หลังจากนี้ยินดีที่จะเข้ามาพบพนักงานสอบสวนและให้ความร่วมมือทุกประการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม • นายนิติศักดิ์ กล่าวต่อว่าส่วนข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากการที่พูดคุยเป็นไปตามที่ได้ชี้แจ้งในรายการคือ ทางดิว ต้องการยืมทรัพย์สิน ตามที่ตกลงกันก็คือให้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้แก้ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้น แต่เกิดข้อผิดพลาดเนื่องจากเจ้าหนี้ของคุณดิวต้องการเงินสด ไม่ได้ต้องการทรัพย์สิน จึงจำเป็นต้องนำทรัพย์สินไปจำนำเพื่อให้ได้เงินสด แต่ยืนยันว่าประเด็นดังกล่าวอยู่ในเงื่อนไขที่ทางผู้เสียหายให้ทรัพย์สินยืมไป และทางคุณเมย์ก็รับทราบเรื่องที่มีการนำทรัพย์สินไปจำนำแล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด แต่จะรับทราบก่อนหรือหลังรับจำนำ เรื่องนี้ส่วนตัวไม่ทราบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000026664 • #MGROnline #โหนกระแส #หนุ่มกรรชัย #เมย์วาสนา #ไฮโซเมย์ #ดิวอริศรา #สร้อยlotus
    0 Comments 0 Shares 703 Views 0 Reviews
  • “ทวี” ตั้ง คกก.สอบปมนักโทษเสียชีวิตในเรือนจำเขาบิน ฝากบอกผู้เสียหายและครอบครัวจะให้ความเป็นธรรมแน่นอน พร้อมทำแบบสำรวจข้อมูลจากผู้ต้องขังทุกเรือนจำ ฟังผู้คุมอย่างเดียวไม่ได้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024641
    “ทวี” ตั้ง คกก.สอบปมนักโทษเสียชีวิตในเรือนจำเขาบิน ฝากบอกผู้เสียหายและครอบครัวจะให้ความเป็นธรรมแน่นอน พร้อมทำแบบสำรวจข้อมูลจากผู้ต้องขังทุกเรือนจำ ฟังผู้คุมอย่างเดียวไม่ได้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000024641
    Like
    6
    0 Comments 0 Shares 1378 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท

    เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน

    บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต

    https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    ข่าวนี้นำเสนอเกี่ยวกับการเจาะระบบความปลอดภัยของ LastPass ผู้ให้บริการจัดการรหัสผ่านชื่อดัง ที่เชื่อมโยงกับการโจรกรรมคริปโทเคอร์เรนซีมูลค่าสูงถึง 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีเป้าหมายไปที่ Chris Larsen ผู้ร่วมก่อตั้ง Ripple และบุคคลอื่น ๆ อีกมากมายในวงการคริปโท เหตุการณ์นี้เริ่มต้นจากการที่ข้อมูลสำคัญถูกขโมยจาก LastPass ในปี 2022 ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้ในส่วน "Secure Notes" ซึ่งรวมถึง seed phrases ที่ใช้ในการเข้าถึงกระเป๋าเงินคริปโท โดยผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้รับการแจ้งเตือนที่ชัดเจนจาก LastPass เกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ ทำให้การขโมยเงินคริปโทเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง จุดที่น่าสนใจคือ แฮกเกอร์ไม่ได้ใช้วิธีการโจมตีที่เราคุ้นเคย เช่น การโจมตีอีเมล หรือการปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ แต่พวกเขาอาศัยข้อมูลที่ได้จาก LastPass โดยตรงเพื่อเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ นอกจากนี้ ยังมีการเคลื่อนย้ายเงินคริปโทไปยังกระเป๋าเงินหลายแห่งเพื่อปกปิดเส้นทางเงิน บทเรียนจากเหตุการณ์นี้คือ การใช้รหัสผ่านที่ซับซ้อนและการจัดเก็บ seed phrases ในที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรเก็บข้อมูลสำคัญเหล่านี้ในอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ออฟไลน์) เช่น ฮาร์ดแวร์วอลเล็ต https://www.techspot.com/news/107092-federal-agents-confirm-lastpass-hack-connection-high-profile.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Federal agents confirm LastPass breach linked to massive cryptocurrency heists
    The $150 million heist, which occurred on January 30, 2024, is believed to have targeted Chris Larsen, co-founder of the cryptocurrency platform Ripple, according to blockchain security...
    0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews
  • ภาพบัตรประชาชนในมือถือท่าน โปรดระวังนะครับ! 📲
    มุกใหม่มิจฉาชีพ สวมบัตรประชาชน เปิดซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิม ขอรหัส otp ล้วงเงินบัตรเครดิต
    .
    ขณะนี้มีมิจฉาชีพปลอมแปลงบัตรประชาชนของผู้เสียหาย โดยตัดต่อใบหน้าของมิจฉาชีพไปใส่แทนภาพถ่ายบัตรประชาชนของผู้เสียหาย แล้วนำไปขอออกซิมการ์ดใหม่แต่ใช้เบอร์เดิม
    .
    เมื่อมิจฉาชีพเข้าใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหายได้แล้ว มิจฉาชีพก็จะเข้าสู่ระบบของบัตรเครดิตผู้เสียหาย เพื่อขอรหัส OTP ในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ก่อนจะนำไปบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปใช้จ่าย สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก
    .
    ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอเตือนภัย ให้ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชนผ่านทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ให้กับหน่วยงานหรือบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพครับ
    .
    ที่มา ตำรวจสอบสวนกลาง CIB
    ภาพบัตรประชาชนในมือถือท่าน โปรดระวังนะครับ! 📲 มุกใหม่มิจฉาชีพ สวมบัตรประชาชน เปิดซิมการ์ดใหม่เบอร์เดิม ขอรหัส otp ล้วงเงินบัตรเครดิต . ขณะนี้มีมิจฉาชีพปลอมแปลงบัตรประชาชนของผู้เสียหาย โดยตัดต่อใบหน้าของมิจฉาชีพไปใส่แทนภาพถ่ายบัตรประชาชนของผู้เสียหาย แล้วนำไปขอออกซิมการ์ดใหม่แต่ใช้เบอร์เดิม . เมื่อมิจฉาชีพเข้าใช้งานหมายเลขโทรศัพท์ของผู้เสียหายได้แล้ว มิจฉาชีพก็จะเข้าสู่ระบบของบัตรเครดิตผู้เสียหาย เพื่อขอรหัส OTP ในการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ก่อนจะนำไปบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปใช้จ่าย สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก . ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงขอเตือนภัย ให้ระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล หรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัตรประชาชนผ่านทางโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์ม ให้กับหน่วยงานหรือบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหน่วยงานที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพครับ . ที่มา ตำรวจสอบสวนกลาง CIB
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • รวบแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร ตร.ไซเบอร์รับคนไทยกลับแยกคนผิด ตั้งข้อหาหนัก
    .
    เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาจากทางกัมพูชาว่าจะมีการทยอยส่งตัวคนไทยที่เข้าไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์กลับประเทศไทย ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกลไกที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ / ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) โดยพบว่ามีผู้ที่เข้าข่าย กระทำความผิดในข้อหาการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและข้อหาอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แบ่งเป็น คนไทยกว่า 100 ราย ต่างชาติ 2 รายที่เรียกกันว่าบอสชาวจีน
    .
    ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการดำเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1.จากการซักถามปากคำและคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานใน ประเทศกัมพูชา สามารถจัดกลุ่มได้ จำนวน 8 กลุ่ม
    .
    ได้แก่ (1) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 2 จำนวน 23 คน มีพฤติการณ์หลอกให้ลงทุนในหุ้น
    (2) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 15 จำนวน 14 คน มีพฤติการณ์เป็นโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (3) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 18 จำนวน 18 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ M98
    .
    (4) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ B9 จำนวน 4 คน มีพฤติการณ์หลอกลวงด้วยการโทร หรือ call center โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน
    (5) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ออฟฟิศ 6 จำนวน 27 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 1 คน) มีพฤติการณ์หลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การไฟฟ้า/กรมบัญชีกลาง)
    .
    (6) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ห้อง 9 จำนวน 6 คน (7) ยังระบุสถานที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งอยู่ในบริเวณตึกภูมิตาสวน จำนวน 12 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 6 คน) คงเหลือเป็นบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการ NRM จำนวน 6 คน (😎 อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการชักชวนเล่นการพนันไฮโลออนไลน์
    .
    ในจำนวนทั้งหมด 112 คน ที่ได้ดำเนินการซักถาม ก่อนกระบวนการคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์ NRM พบว่าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน ซึ่งผลการคัดกรองทั้งหมดจำนวน 112 คน ปรากฏว่า ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์แต่อย่างใด
    .
    จากการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานพบว่าคนไทยตามข้อ 1. ที่ทำงานในตึกภูมิตาสวนรวมจำนวน 100 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และพบว่ามีหัวหน้า และคนติดตามซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คนร่วมกระทำผิดด้วย ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน รวม 19 คน ยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด
    .
    ข่าวแจ้งว่า วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลตามข้อ 2. ต่อศาลอาญา รวมจำนวน 102 คน ในข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ทั้งหมดรวม 102 คน แยกเป็นคนไทย จำนวน 100 คน และชาวจีน 2 คน
    .
    เวลาประมาณ 16.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และ ภ.จว.สระแก้ว ได้นำหมายจับดังกล่าวมาแสดง และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นคนไทย รวม 93 คน (ที่เหลืออีก 7 คน ได้มีการจับกุมตามหมายจับคดีอื่นไปก่อนแล้ว) และได้ทำบันทึกจับกุม รวมทั้งดำเนินการแจ้งการควบคุมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
    .
    และเวลาประมาณ 23.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้นำผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งหมด 93 คน ออกจากสโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ไปยัง บช.สอท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
    .
    ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน ซึ่งยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด และไม่ได้ถูกออกหมายจับ ได้ส่งกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว
    .
    สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระแก้ว ได้รับตัวไป เพื่อคุ้มครอง และส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป
    .
    จากนั้น วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้ปิดศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM ณ สโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ทั่วไปปกติ
    ..............
    Sondhi X
    รวบแก๊งคอลเซนเตอร์เขมร ตร.ไซเบอร์รับคนไทยกลับแยกคนผิด ตั้งข้อหาหนัก . เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาจากทางกัมพูชาว่าจะมีการทยอยส่งตัวคนไทยที่เข้าไปทำงานกับแก๊งคอลเซนเตอร์กลับประเทศไทย ในเรื่องนี้ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังอยู่ในกลไกที่ต้องดำเนินการตามข้อสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ / ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) โดยพบว่ามีผู้ที่เข้าข่าย กระทำความผิดในข้อหาการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและข้อหาอื่นๆที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานและเตรียมขออนุมัติหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ แบ่งเป็น คนไทยกว่า 100 ราย ต่างชาติ 2 รายที่เรียกกันว่าบอสชาวจีน . ทั้งนี้ มีรายงานว่าสำหรับการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการดำเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1.จากการซักถามปากคำและคัดแยกกลุ่มตามสถานที่ที่บุคคลเหล่านี้ไปทำงานใน ประเทศกัมพูชา สามารถจัดกลุ่มได้ จำนวน 8 กลุ่ม . ได้แก่ (1) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 2 จำนวน 23 คน มีพฤติการณ์หลอกให้ลงทุนในหุ้น (2) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 15 จำนวน 14 คน มีพฤติการณ์เป็นโรแมนซ์สแกม หลอกให้รักแล้วชวนลงทุน (3) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ 18 จำนวน 18 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์ M98 . (4) ตึกภูมิตาสวน ออฟฟิศ B9 จำนวน 4 คน มีพฤติการณ์หลอกลวงด้วยการโทร หรือ call center โดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน (5) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ออฟฟิศ 6 จำนวน 27 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 1 คน) มีพฤติการณ์หลอกลวงโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การไฟฟ้า/กรมบัญชีกลาง) . (6) ตึกภูมิตาสวน อาคาร 1 ชั้น ห้อง 9 จำนวน 6 คน (7) ยังระบุสถานที่ทำงานไม่ได้ ซึ่งอยู่ในบริเวณตึกภูมิตาสวน จำนวน 12 คน (เป็นบุคคลตามหมายจับ 6 คน) คงเหลือเป็นบุคคลที่เข้าสู่กระบวนการ NRM จำนวน 6 คน (😎 อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน มีพฤติการณ์เกี่ยวกับการชักชวนเล่นการพนันไฮโลออนไลน์ . ในจำนวนทั้งหมด 112 คน ที่ได้ดำเนินการซักถาม ก่อนกระบวนการคัดกรองตามกระบวนการคัดกรองผู้เสียหายตามคดีค้ามนุษย์ NRM พบว่าเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน ซึ่งผลการคัดกรองทั้งหมดจำนวน 112 คน ปรากฏว่า ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์แต่อย่างใด . จากการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานพบว่าคนไทยตามข้อ 1. ที่ทำงานในตึกภูมิตาสวนรวมจำนวน 100 คน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐาน ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และพบว่ามีหัวหน้า และคนติดตามซึ่งเป็นชาวจีน จำนวน 2 คนร่วมกระทำผิดด้วย ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน รวม 19 คน ยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด . ข่าวแจ้งว่า วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. พนักงานสอบสวนของ บช.สอท. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับบุคคลตามข้อ 2. ต่อศาลอาญา รวมจำนวน 102 คน ในข้อหาร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันเป็นอั้งยี่,ซ่องโจร,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับบุคคลดังกล่าว ทั้งหมดรวม 102 คน แยกเป็นคนไทย จำนวน 100 คน และชาวจีน 2 คน . เวลาประมาณ 16.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. และ ภ.จว.สระแก้ว ได้นำหมายจับดังกล่าวมาแสดง และแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาตามหมายจับซึ่งเป็นคนไทย รวม 93 คน (ที่เหลืออีก 7 คน ได้มีการจับกุมตามหมายจับคดีอื่นไปก่อนแล้ว) และได้ทำบันทึกจับกุม รวมทั้งดำเนินการแจ้งการควบคุมตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ . และเวลาประมาณ 23.25 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.สอท. ได้นำผู้ต้องหาตามหมายจับ ทั้งหมด 93 คน ออกจากสโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว ไปยัง บช.สอท. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป . ส่วนคนไทยที่ทำงาน อาคาร K2 ชั้น 9 จำนวน 15 คน ซึ่งยังไม่พบหลักฐานในการกระทำผิด และไม่ได้ถูกออกหมายจับ ได้ส่งกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว . สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 4 คน บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสระแก้ว ได้รับตัวไป เพื่อคุ้มครอง และส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป . จากนั้น วันที่ 3 มี.ค.2568 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้ปิดศูนย์คัดกรองตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ NRM ณ สโมสรค่ายสุรสิงหนาท อ.อรัญประเทศ จว.สระแก้ว เรียบร้อยแล้ว เหตุการณ์ทั่วไปปกติ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    1 Comments 0 Shares 2458 Views 0 Reviews
  • เคสแรกของอุดร! ตำรวจอุดรฯ ตามอายัดบัญชีคืนเงินให้ผู้เสียหายเหยื่อคอลเซ็นเตอร์วัย 18 ปึ ได้เกือบ 2 แสนจากที่ถูกหลอกให้โอนเงินออกไปกว่า 2.6 ล้านบาท เผยชาวอุดรธานีเสียท่าแก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงินมีประมาณ 10,000 กว่าราย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019868

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    เคสแรกของอุดร! ตำรวจอุดรฯ ตามอายัดบัญชีคืนเงินให้ผู้เสียหายเหยื่อคอลเซ็นเตอร์วัย 18 ปึ ได้เกือบ 2 แสนจากที่ถูกหลอกให้โอนเงินออกไปกว่า 2.6 ล้านบาท เผยชาวอุดรธานีเสียท่าแก๊งมิจฉาชีพหลอกโอนเงินมีประมาณ 10,000 กว่าราย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000019868 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Wow
    3
    0 Comments 0 Shares 1168 Views 0 Reviews
  • รวบมาดามบอสเต๋ ปิดตำนานซิมเคโฟร์

    การจับกุม น.ส.เริงฤดี ลักษณะหุต หรือบอสเต๋ อายุ 45 ปี กรรมการบริษัท ปันสุข 555 จำกัด และ น.ส.พรพิมล สีลาดเลา อายุ 30 ปี กรรมการบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หลานสาว น.ส.เริงฤดี ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 24 ก.พ. 2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 413 รายการ มีทั้งตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข 258 ตู้ รถยนต์ 11 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ที่ดินปราจีนบุรี 4 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ถือเป็นการปิดฉากอีกหนึ่งธุรกิจเครือข่ายต่อจากดิไอคอนกรุ๊ป

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ และนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร นำผู้เสียหาย 8 คน แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปคบ. ว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนซิมการ์ดและตู้เติมเงิน 5,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 3 เท่าภายใน 500 วัน และอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ปรากฎว่าไม่ได้รับผลตอบแทนมา 2 เดือน เมื่อทวงถามก็ถูกข่มขู่ว่าจะแจ้งความกลับ ต่อมามีผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. รวม 61 ราย มูลค่าความเสียหาย 27,557,701 บาท

    สืบสวนพบว่าผู้ต้องหาชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซิมเคโฟร์ ซึ่งเช่าโครงข่ายเสมือน (MVNO) จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข เสนอแพ็คเกจลงทุน 50,000 บาท รับผลตอบแทนสูงสุด 150,000 บาท ภายใน 500 วัน และขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังจังหวัดต่างๆ จัดการอบรมสัมมนาชักชวนร่วมลงทุน โดยจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร อีกทั้งธุรกิจตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทกว่า 400 ล้านบาท และมีการยักย้ายถ่ายโอนแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    ด้านสำนักงาน กสทช. เตรียมนำเรื่องนี้ไปหารือเพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมหารือกับ NT ให้ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานซิมเคโฟร์ 40,000 รายอีกด้วย

    สำหรับซิมเคโฟร์เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ก่อนเปิดตัวตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขเมื่อต้นปี 2567 ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนว่ามีการชักชวนลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อ้างว่าได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. จึงสั่งยุติการขายหรือแจกซิมมือถือ นอกจากนี้ยังพบว่าได้รับการจัดสรรเลขหมาย 331,000 เลขหมาย แต่ใช้งานจริงเพียง 46,000 เลขหมาย เติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาท สอดคล้องกับที่แจ้งว่ามีรายได้ประมาณปีละ 5 ล้านบาท และจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปีละ 7,000 บาท

    #Newskit
    รวบมาดามบอสเต๋ ปิดตำนานซิมเคโฟร์ การจับกุม น.ส.เริงฤดี ลักษณะหุต หรือบอสเต๋ อายุ 45 ปี กรรมการบริษัท ปันสุข 555 จำกัด และ น.ส.พรพิมล สีลาดเลา อายุ 30 ปี กรรมการบริษัท เคโฟร์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด หลานสาว น.ส.เริงฤดี ของตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตามหมายจับของศาลอาญา ลงวันที่ 24 ก.พ. 2568 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พร้อมตรวจยึดของกลางจำนวน 413 รายการ มีทั้งตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข 258 ตู้ รถยนต์ 11 คัน กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ ที่ดินปราจีนบุรี 4 แปลง รวมมูลค่าประมาณ 50 ล้านบาท ถือเป็นการปิดฉากอีกหนึ่งธุรกิจเครือข่ายต่อจากดิไอคอนกรุ๊ป ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2567 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ และนายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร นำผู้เสียหาย 8 คน แจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ บก.ปคบ. ว่าถูกชักชวนหลอกลงทุนซิมการ์ดและตู้เติมเงิน 5,000 บาท จะได้ผลตอบแทน 3 เท่าภายใน 500 วัน และอ้างว่าได้รับอนุญาตจาก กสทช. ปรากฎว่าไม่ได้รับผลตอบแทนมา 2 เดือน เมื่อทวงถามก็ถูกข่มขู่ว่าจะแจ้งความกลับ ต่อมามีผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปอศ. รวม 61 ราย มูลค่าความเสียหาย 27,557,701 บาท สืบสวนพบว่าผู้ต้องหาชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซิมเคโฟร์ ซึ่งเช่าโครงข่ายเสมือน (MVNO) จากบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และตู้เติมเงินเคธี่ปันสุข เสนอแพ็คเกจลงทุน 50,000 บาท รับผลตอบแทนสูงสุด 150,000 บาท ภายใน 500 วัน และขยายตัวแทนจำหน่ายไปยังจังหวัดต่างๆ จัดการอบรมสัมมนาชักชวนร่วมลงทุน โดยจะได้รับส่วนแบ่งสูงสุดถึง 50% ของค่าสมัคร อีกทั้งธุรกิจตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ตรวจสอบเส้นทางการเงินพบเงินหมุนเวียนในบัญชีบริษัทกว่า 400 ล้านบาท และมีการยักย้ายถ่ายโอนแปรสภาพเงินเป็นทรัพย์สินต่างๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ ด้านสำนักงาน กสทช. เตรียมนำเรื่องนี้ไปหารือเพื่อพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ พร้อมหารือกับ NT ให้ออกมาตรการเยียวยาผู้ใช้งานซิมเคโฟร์ 40,000 รายอีกด้วย สำหรับซิมเคโฟร์เปิดตัวเมื่อเดือน เม.ย. 2566 ก่อนเปิดตัวตู้เติมเงินเคธี่ปันสุขเมื่อต้นปี 2567 ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้รับการร้องเรียนว่ามีการชักชวนลงทุนให้ผลตอบแทนสูง อ้างว่าได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน กสทช. จึงสั่งยุติการขายหรือแจกซิมมือถือ นอกจากนี้ยังพบว่าได้รับการจัดสรรเลขหมาย 331,000 เลขหมาย แต่ใช้งานจริงเพียง 46,000 เลขหมาย เติมเงินเฉลี่ยเพียงเลขหมายละ 38 บาท สอดคล้องกับที่แจ้งว่ามีรายได้ประมาณปีละ 5 ล้านบาท และจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตปีละ 7,000 บาท #Newskit
    0 Comments 0 Shares 936 Views 0 Reviews
  • ผกก.เผยเหตุไฟไหม้บ้านพักย่านท่าทราย เจ้าของบ้านแจ้งความอ้างนำเงินเจ้านายมาเก็บไว้ 10 ล้าน ถูกไหม้เสียหายหมด แต่พบพิรุธเพียบ

    จากกรณีเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ รับแจ้งเหตุเพลิงลุกไหม้บ้านพักภายในชุมชนฝั่งลาว เลขที่ 116/444 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี จึงประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครนนทบุรี นำรถน้ำ 3 คัน มาสกัดเพลิงที่กำลังลุกไหม้

    ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพัก 2 ชั้น ซึ่งเพลิงลุกไหม้ห้องนอนชั้นล่างได้รับความเสียหาย ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงช่วยกันทุบประตูดับเพลิงก่อนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะมาถึง ซึ่งขณะนั้นเพลิงกำลังลุกไหม้ควันดำเต็มพื้นที่ ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้สงบลง เจ้าของบ้านได้เข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน อ้างว่าได้นำเงินสด จำนวน 500,000 กว่าบาท ซึ่งเป็นเงินของเจ้านาย เก็บไว้ในห้องนอน ก็ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด

    จากการสอบถาม พ.ต.อ.พิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ผู้เสียหายแจ้งความว่าเกิดเหตุไฟไหม้ห้องนอน เพลิงลุกไหม้บริเวณเตียงนอน ซึ่งเก็บเงินไว้ที่หัวเตียง จำนวน 10 ล้านบาท และเมื่อเกิดเพลิงไหม้เงินจำนวนดังกล่าวได้หายไป ซึ่งผู้เสียหายแจ้งว่าเป็นเงินสดทั้งหมด ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังได้รับแจ้งได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุว่าลักษณะของที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร มีการเก็บร่องรอยหลักฐานเบื้องต้น และได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ อีกส่วนคือเรื่องของเงินจำนวน 10 ล้าน บาท ที่ผู้เสียหายอ้างว่าได้เก็บเงินไว้ในห้องแล้วเกิดไฟไหม้ ต้องตรวจสอบว่ามีเงินจริงหรือไม่ ถ้ามีแล้วหายไปได้อย่างไร

    ซึ่งลักษณะที่เกิดเหตุไม่ได้ถูกเพลิงไหม้หนักจนทุกอย่างหมดสิ้น น่าจะต้องมีเงินหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จากการดูที่เกิดเหตุไม่มีหลงเหลืออยู่เลย อีกส่วนคือเงินที่มีจำนวนเยอะขนาดนี้ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเงินมาอยู่กับผู้เสียหายได้อย่างไร คดีนี้มีความผิดสังเกตหลายเรื่อง และมีข้อพิรุธ ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อสรุป ความยากทางคดีคิดว่าไม่ยาก เราใช้หลักการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริง คิดว่าใช้เวลาไม่นานความจริงจะปรากฎ

    #MGROnline #ไฟไหม้บ้านพัก #ย่านท่าทราย #เงินสด10ล้านบาท
    ผกก.เผยเหตุไฟไหม้บ้านพักย่านท่าทราย เจ้าของบ้านแจ้งความอ้างนำเงินเจ้านายมาเก็บไว้ 10 ล้าน ถูกไหม้เสียหายหมด แต่พบพิรุธเพียบ • จากกรณีเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ รับแจ้งเหตุเพลิงลุกไหม้บ้านพักภายในชุมชนฝั่งลาว เลขที่ 116/444 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี จึงประสานเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครนนทบุรี นำรถน้ำ 3 คัน มาสกัดเพลิงที่กำลังลุกไหม้ • ที่เกิดเหตุเป็นบ้านพัก 2 ชั้น ซึ่งเพลิงลุกไหม้ห้องนอนชั้นล่างได้รับความเสียหาย ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงช่วยกันทุบประตูดับเพลิงก่อนเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจะมาถึง ซึ่งขณะนั้นเพลิงกำลังลุกไหม้ควันดำเต็มพื้นที่ ภายหลังจากเหตุเพลิงไหม้สงบลง เจ้าของบ้านได้เข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน อ้างว่าได้นำเงินสด จำนวน 500,000 กว่าบาท ซึ่งเป็นเงินของเจ้านาย เก็บไว้ในห้องนอน ก็ถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด • จากการสอบถาม พ.ต.อ.พิสุทธิ์ จันทรสุวรรณ ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ผู้เสียหายแจ้งความว่าเกิดเหตุไฟไหม้ห้องนอน เพลิงลุกไหม้บริเวณเตียงนอน ซึ่งเก็บเงินไว้ที่หัวเตียง จำนวน 10 ล้านบาท และเมื่อเกิดเพลิงไหม้เงินจำนวนดังกล่าวได้หายไป ซึ่งผู้เสียหายแจ้งว่าเป็นเงินสดทั้งหมด ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังได้รับแจ้งได้ให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุว่าลักษณะของที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร มีการเก็บร่องรอยหลักฐานเบื้องต้น และได้ประสานเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ว่าเกิดจากอะไรกันแน่ อีกส่วนคือเรื่องของเงินจำนวน 10 ล้าน บาท ที่ผู้เสียหายอ้างว่าได้เก็บเงินไว้ในห้องแล้วเกิดไฟไหม้ ต้องตรวจสอบว่ามีเงินจริงหรือไม่ ถ้ามีแล้วหายไปได้อย่างไร • ซึ่งลักษณะที่เกิดเหตุไม่ได้ถูกเพลิงไหม้หนักจนทุกอย่างหมดสิ้น น่าจะต้องมีเงินหลงเหลืออยู่บ้าง แต่จากการดูที่เกิดเหตุไม่มีหลงเหลืออยู่เลย อีกส่วนคือเงินที่มีจำนวนเยอะขนาดนี้ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปว่าเงินมาอยู่กับผู้เสียหายได้อย่างไร คดีนี้มีความผิดสังเกตหลายเรื่อง และมีข้อพิรุธ ที่จะต้องสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อสรุป ความยากทางคดีคิดว่าไม่ยาก เราใช้หลักการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานตามข้อเท็จจริง คิดว่าใช้เวลาไม่นานความจริงจะปรากฎ • #MGROnline #ไฟไหม้บ้านพัก #ย่านท่าทราย #เงินสด10ล้านบาท
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 555 Views 0 Reviews
More Results