• อ.ทรงฤทธิ์ จากนักข่าวสู่ผู้เชี่ยวชาญ? (11/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #อาจารย์ทรงฤทธิ์
    #นักข่าว
    #ผู้เชี่ยวชาญ
    #การเมืองไทย
    #เทรนด์วันนี้
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    อ.ทรงฤทธิ์ จากนักข่าวสู่ผู้เชี่ยวชาญ? (11/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #อาจารย์ทรงฤทธิ์ #นักข่าว #ผู้เชี่ยวชาญ #การเมืองไทย #เทรนด์วันนี้ #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “ไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้ — สูญข้อมูล 858TB เพราะไม่มีระบบสำรอง”

    เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูล National Information Resources Service ในเมืองแทจอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้นเหตุคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ระเบิดระหว่างการบำรุงรักษา ส่งผลให้ระบบ G-Drive ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บเอกสารของรัฐบาลถูกทำลายทั้งหมด พร้อมข้อมูลกว่า 858 เทราไบต์ที่ไม่มีการสำรองไว้เลย

    G-Drive ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน และเป็นศูนย์กลางของบริการสาธารณะกว่า 160 รายการ เช่น ระบบภาษี การติดตามฉุกเฉิน 119 ระบบร้องเรียน และอีเมลราชการ การสูญเสียข้อมูลครั้งนี้ทำให้ระบบหลายส่วนหยุดชะงักทันที และการกู้คืนยังคงดำเนินไปอย่างล่าช้า โดย ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์

    เจ้าหน้าที่อ้างว่า G-Drive ไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปริมาณ 858TB นั้นสามารถสำรองบนคลาวด์ได้ในราคาประมาณ $20,000 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

    เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึกในวันที่ 3 ตุลาคม โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกิดจากความเครียดหรือแรงกดดันจากงานหรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกิดไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025
    ระบบ G-Drive ถูกทำลายพร้อมข้อมูล 858TB โดยไม่มีการสำรอง
    G-Drive ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน
    บริการสาธารณะกว่า 160 รายการได้รับผลกระทบ เช่น ภาษี อีเมล และระบบฉุกเฉิน
    ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์
    เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะขนาดใหญ่เกินไป
    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสำรองข้อมูล 858TB บนคลาวด์มีค่าใช้จ่ายเพียง $20,000 ต่อเดือน
    เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นพลังงานสูงแต่เสี่ยงต่อการระเบิด
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดที่ OVHcloud ในฝรั่งเศสปี 2021 แต่มีระบบสำรองจากผู้ให้บริการภายนอก
    การไม่มีระบบสำรองแบบ geographic redundancy ทำให้ไฟไหม้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติ
    ระบบ G-Drive มี quota 30GB ต่อเจ้าหน้าที่ และเป็นศูนย์กลางเอกสารราชการ
    การกู้คืนข้อมูลบางส่วนต้องใช้วิธี manual recreation ซึ่งใช้เวลานานและไม่สมบูรณ์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การไม่มีระบบสำรองข้อมูลทำให้เกิดการสูญเสียระดับชาติ
    การพึ่งพาศูนย์ข้อมูลเดียวโดยไม่มี geographic redundancy เป็นความเสี่ยงสูง
    การอ้างว่ข้อมูลใหญ่เกินกว่าจะสำรองได้ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน
    การกู้คืนข้อมูลล่าช้าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
    ความเครียดจากการกู้คืนข้อมูลอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/south-korean-government-learns-the-importance-of-backups-the-hard-way-after-catastrophic-fire-858-terabytes-of-data-goes-up-in-magic-smoke
    🔥 “ไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้ — สูญข้อมูล 858TB เพราะไม่มีระบบสำรอง” เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูล National Information Resources Service ในเมืองแทจอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้นเหตุคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ระเบิดระหว่างการบำรุงรักษา ส่งผลให้ระบบ G-Drive ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บเอกสารของรัฐบาลถูกทำลายทั้งหมด พร้อมข้อมูลกว่า 858 เทราไบต์ที่ไม่มีการสำรองไว้เลย G-Drive ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน และเป็นศูนย์กลางของบริการสาธารณะกว่า 160 รายการ เช่น ระบบภาษี การติดตามฉุกเฉิน 119 ระบบร้องเรียน และอีเมลราชการ การสูญเสียข้อมูลครั้งนี้ทำให้ระบบหลายส่วนหยุดชะงักทันที และการกู้คืนยังคงดำเนินไปอย่างล่าช้า โดย ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์ เจ้าหน้าที่อ้างว่า G-Drive ไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปริมาณ 858TB นั้นสามารถสำรองบนคลาวด์ได้ในราคาประมาณ $20,000 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึกในวันที่ 3 ตุลาคม โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกิดจากความเครียดหรือแรงกดดันจากงานหรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกิดไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ ระบบ G-Drive ถูกทำลายพร้อมข้อมูล 858TB โดยไม่มีการสำรอง ➡️ G-Drive ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน ➡️ บริการสาธารณะกว่า 160 รายการได้รับผลกระทบ เช่น ภาษี อีเมล และระบบฉุกเฉิน ➡️ ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์ ➡️ เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะขนาดใหญ่เกินไป ➡️ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสำรองข้อมูล 858TB บนคลาวด์มีค่าใช้จ่ายเพียง $20,000 ต่อเดือน ➡️ เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นพลังงานสูงแต่เสี่ยงต่อการระเบิด ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดที่ OVHcloud ในฝรั่งเศสปี 2021 แต่มีระบบสำรองจากผู้ให้บริการภายนอก ➡️ การไม่มีระบบสำรองแบบ geographic redundancy ทำให้ไฟไหม้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติ ➡️ ระบบ G-Drive มี quota 30GB ต่อเจ้าหน้าที่ และเป็นศูนย์กลางเอกสารราชการ ➡️ การกู้คืนข้อมูลบางส่วนต้องใช้วิธี manual recreation ซึ่งใช้เวลานานและไม่สมบูรณ์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การไม่มีระบบสำรองข้อมูลทำให้เกิดการสูญเสียระดับชาติ ⛔ การพึ่งพาศูนย์ข้อมูลเดียวโดยไม่มี geographic redundancy เป็นความเสี่ยงสูง ⛔ การอ้างว่ข้อมูลใหญ่เกินกว่าจะสำรองได้ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ⛔ การกู้คืนข้อมูลล่าช้าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ⛔ ความเครียดจากการกู้คืนข้อมูลอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/south-korean-government-learns-the-importance-of-backups-the-hard-way-after-catastrophic-fire-858-terabytes-of-data-goes-up-in-magic-smoke
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SonicWall ยืนยัน! แฮกเกอร์เจาะระบบสำรองไฟร์วอลล์ทุกเครื่อง — ข้อมูลเครือข่ายทั่วโลกเสี่ยงถูกวางแผนโจมตี”

    หลังจากรายงานเบื้องต้นในเดือนกันยายนว่า “มีลูกค้าเพียง 5% ได้รับผลกระทบ” ล่าสุด SonicWall และบริษัท Mandiant ได้เปิดเผยผลสอบสวนเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของ “ลูกค้าทุกคน” ที่ใช้บริการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ของ SonicWall24

    การโจมตีเริ่มต้นจากการ brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup ซึ่งเก็บไฟล์การตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ที่เข้ารหัสไว้ ไฟล์เหล่านี้มีข้อมูลสำคัญ เช่น กฎการกรองข้อมูล, การตั้งค่า VPN, routing, credentials, และข้อมูลบัญชีผู้ใช้ แม้รหัสผ่านจะถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) หรือ 3DES (Gen 6) แต่การที่แฮกเกอร์ได้ไฟล์ทั้งหมดไป ทำให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างเครือข่ายของลูกค้าได้อย่างละเอียด

    SonicWall ได้แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์ไว้ในพอร์ทัล MySonicWall เป็น 3 กลุ่ม:

    “Active – High Priority” สำหรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    “Active – Lower Priority” สำหรับอุปกรณ์ภายใน
    “Inactive” สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อมาเกิน 90 วัน

    บริษัทแนะนำให้ลูกค้าเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์กลุ่ม High Priority ก่อน พร้อมใช้เครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์ Essential Credential Reset เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านและ API key ที่อาจถูกเปิดเผย

    ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยคุกคาม Ryan Dewhurst จาก watchTowr ระบุว่า แม้ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส แต่หากรหัสผ่านอ่อนก็สามารถถูกถอดรหัสแบบออฟไลน์ได้ และการได้ไฟล์การตั้งค่าทั้งหมดคือ “ขุมทรัพย์” สำหรับการวางแผนโจมตีแบบเจาะจง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    SonicWall ยืนยันว่าแฮกเกอร์เข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของลูกค้าทุกคน
    การโจมตีเริ่มจาก brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup
    ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูล routing, VPN, firewall rules, credentials และบัญชีผู้ใช้
    รหัสผ่านถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) และ 3DES (Gen 6)
    SonicWall แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์เป็น High, Low และ Inactive
    ลูกค้าสามารถดูรายการอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบใน MySonicWall portal
    มีเครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์รีเซ็ตรหัสผ่านให้ใช้งาน
    SonicWall ทำงานร่วมกับ Mandiant เพื่อเสริมระบบและช่วยเหลือลูกค้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API brute force คือการสุ่มรหัสผ่านหรือ token เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่รับอนุญาต
    การเข้าถึงไฟล์การตั้งค่าไฟร์วอลล์ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าใจโครงสร้างเครือข่ายขององค์กร
    AES-256 เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของรหัสผ่าน
    การใช้ cloud backup โดยไม่มี rate limiting หรือ access control ที่ดี เป็นช่องโหว่สำคัญ
    Mandiant เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงในการสอบสวนเหตุการณ์ระดับโลก

    https://hackread.com/sonicwall-hackers-breached-all-firewall-backups/
    🧨 “SonicWall ยืนยัน! แฮกเกอร์เจาะระบบสำรองไฟร์วอลล์ทุกเครื่อง — ข้อมูลเครือข่ายทั่วโลกเสี่ยงถูกวางแผนโจมตี” หลังจากรายงานเบื้องต้นในเดือนกันยายนว่า “มีลูกค้าเพียง 5% ได้รับผลกระทบ” ล่าสุด SonicWall และบริษัท Mandiant ได้เปิดเผยผลสอบสวนเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 ว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของ “ลูกค้าทุกคน” ที่ใช้บริการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ของ SonicWall24 การโจมตีเริ่มต้นจากการ brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup ซึ่งเก็บไฟล์การตั้งค่าระบบไฟร์วอลล์ที่เข้ารหัสไว้ ไฟล์เหล่านี้มีข้อมูลสำคัญ เช่น กฎการกรองข้อมูล, การตั้งค่า VPN, routing, credentials, และข้อมูลบัญชีผู้ใช้ แม้รหัสผ่านจะถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) หรือ 3DES (Gen 6) แต่การที่แฮกเกอร์ได้ไฟล์ทั้งหมดไป ทำให้สามารถวิเคราะห์โครงสร้างเครือข่ายของลูกค้าได้อย่างละเอียด SonicWall ได้แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์ไว้ในพอร์ทัล MySonicWall เป็น 3 กลุ่ม: 🔰 “Active – High Priority” สำหรับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 🔰 “Active – Lower Priority” สำหรับอุปกรณ์ภายใน 🔰 “Inactive” สำหรับอุปกรณ์ที่ไม่ได้เชื่อมต่อมาเกิน 90 วัน บริษัทแนะนำให้ลูกค้าเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์กลุ่ม High Priority ก่อน พร้อมใช้เครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์ Essential Credential Reset เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านและ API key ที่อาจถูกเปิดเผย ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยคุกคาม Ryan Dewhurst จาก watchTowr ระบุว่า แม้ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส แต่หากรหัสผ่านอ่อนก็สามารถถูกถอดรหัสแบบออฟไลน์ได้ และการได้ไฟล์การตั้งค่าทั้งหมดคือ “ขุมทรัพย์” สำหรับการวางแผนโจมตีแบบเจาะจง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ SonicWall ยืนยันว่าแฮกเกอร์เข้าถึงไฟล์สำรองการตั้งค่าไฟร์วอลล์ของลูกค้าทุกคน ➡️ การโจมตีเริ่มจาก brute force API บนระบบ MySonicWall Cloud Backup ➡️ ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูล routing, VPN, firewall rules, credentials และบัญชีผู้ใช้ ➡️ รหัสผ่านถูกเข้ารหัสด้วย AES-256 (Gen 7) และ 3DES (Gen 6) ➡️ SonicWall แบ่งระดับความเสี่ยงของอุปกรณ์เป็น High, Low และ Inactive ➡️ ลูกค้าสามารถดูรายการอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบใน MySonicWall portal ➡️ มีเครื่องมือ Firewall Config Analysis Tool และสคริปต์รีเซ็ตรหัสผ่านให้ใช้งาน ➡️ SonicWall ทำงานร่วมกับ Mandiant เพื่อเสริมระบบและช่วยเหลือลูกค้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API brute force คือการสุ่มรหัสผ่านหรือ token เพื่อเข้าถึงระบบโดยไม่รับอนุญาต ➡️ การเข้าถึงไฟล์การตั้งค่าไฟร์วอลล์ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าใจโครงสร้างเครือข่ายขององค์กร ➡️ AES-256 เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของรหัสผ่าน ➡️ การใช้ cloud backup โดยไม่มี rate limiting หรือ access control ที่ดี เป็นช่องโหว่สำคัญ ➡️ Mandiant เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงในการสอบสวนเหตุการณ์ระดับโลก https://hackread.com/sonicwall-hackers-breached-all-firewall-backups/
    HACKREAD.COM
    SonicWall Says All Firewall Backups Were Accessed by Hackers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนร้ายแต่งชุดดำบุกห้าง กวาดทองกว่า 600 บาทหนีลอยนวล ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นสัญญาณ “อาชญากรรมเชิงเศรษฐกิจ” ท่ามกลางราคาทองนิวไฮ หนี้ครัวเรือนพุ่ง แนะรัฐเร่งปรับยุทธศาสตร์ความปลอดภัยเชิงลึก ป้องกันเหตุเลียนแบบทั่วประเทศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000096480

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    คนร้ายแต่งชุดดำบุกห้าง กวาดทองกว่า 600 บาทหนีลอยนวล ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นสัญญาณ “อาชญากรรมเชิงเศรษฐกิจ” ท่ามกลางราคาทองนิวไฮ หนี้ครัวเรือนพุ่ง แนะรัฐเร่งปรับยุทธศาสตร์ความปลอดภัยเชิงลึก ป้องกันเหตุเลียนแบบทั่วประเทศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000096480 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Refurbished vs Used — มือถือมือสองแบบไหนคุ้มกว่า ปลอดภัยกว่า และเหมาะกับคุณที่สุด?”

    ในยุคที่สมาร์ตโฟนใหม่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาเลือกซื้อโทรศัพท์มือสองเพื่อประหยัดงบ ซึ่งมีสองทางเลือกหลักคือ “Refurbished” และ “Used” แม้ทั้งสองแบบจะเป็นเครื่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้มีผลต่อคุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในระยะยาว

    มือถือแบบ Refurbished คือเครื่องที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ผลิตโดยตรง เช่น Apple หรือ Samsung โดยมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด บางแบรนด์มีการตรวจสอบถึง 64 จุดก่อนนำกลับมาขายใหม่ พร้อมรับประกัน 90 วันถึง 1 ปี

    ในทางกลับกัน มือถือแบบ Used คือเครื่องที่เจ้าของเดิมขายต่อโดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซมใด ๆ สภาพของเครื่องขึ้นอยู่กับการใช้งานของเจ้าของเดิม ซึ่งอาจมีปัญหาซ่อนอยู่ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม หน้าจอมีรอย หรือระบบภายในไม่สมบูรณ์ และมักไม่มีการรับประกัน

    แม้มือถือ Used จะมีราคาถูกกว่ามาก บางครั้งลดจากราคาปกติถึง 40–60% แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะหากซื้อจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ เช่น Facebook Marketplace หรือ Craigslist

    ในแง่ของสิ่งแวดล้อม ทั้งสองแบบช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตเครื่องใหม่ โดยเฉพาะ Refurbished ที่ผ่านการฟื้นฟูอย่างมืออาชีพ ทำให้สามารถใช้งานได้อีกหลายปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Refurbished คือมือถือที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญ
    มีการเปลี่ยนชิ้นส่วน อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด
    มักมีการรับประกัน 90 วันถึง 1 ปีจากผู้ผลิตหรือร้านค้า
    Used คือมือถือที่ขายต่อโดยเจ้าของเดิม โดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซม
    ราคาของ Used ถูกกว่ามาก แต่มีความเสี่ยงสูง
    Refurbished มีมาตรฐานแบตเตอรี่ เช่น ต้องมีความจุเกิน 85% หรือเปลี่ยนใหม่
    Refurbished ใช้ระบบ grading เพื่อบอกสภาพเครื่อง เช่น Fair, Good, Premium
    Refurbished ลดการปล่อยคาร์บอนถึง 92% เมื่อเทียบกับการผลิตเครื่องใหม่
    ผู้บริโภคในแคนาดานิยมซื้อ Refurbished มากขึ้น โดยตลาดรวมแตะ $69 พันล้านในปี 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple, Samsung, และ Google มีโปรแกรม Refurbished ที่รับประกันคุณภาพ
    Amazon Renewed ใช้ระบบตรวจสอบโดยช่างเทคนิค พร้อมอุปกรณ์เสริมที่เทียบเท่าเครื่องใหม่
    Refurbished iPhone สามารถตรวจสอบแบตเตอรี่ได้ผ่านเมนู Battery Health
    ร้านที่น่าเชื่อถือมักให้การรับประกันอย่างน้อย 90 วันสำหรับเครื่อง Refurbished
    Refurbished บางรุ่นมีการเปลี่ยนฝาหลังหรือหน้าจอใหม่เพื่อให้ดูเหมือนเครื่องใหม่

    https://securityonline.info/refurbished-vs-used-phones-whats-the-real-difference/
    📱 “Refurbished vs Used — มือถือมือสองแบบไหนคุ้มกว่า ปลอดภัยกว่า และเหมาะกับคุณที่สุด?” ในยุคที่สมาร์ตโฟนใหม่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผู้บริโภคจำนวนมากหันมาเลือกซื้อโทรศัพท์มือสองเพื่อประหยัดงบ ซึ่งมีสองทางเลือกหลักคือ “Refurbished” และ “Used” แม้ทั้งสองแบบจะเป็นเครื่องที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แต่ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้มีผลต่อคุณภาพ ความปลอดภัย และความคุ้มค่าในระยะยาว มือถือแบบ Refurbished คือเครื่องที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยช่างผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ผลิตโดยตรง เช่น Apple หรือ Samsung โดยมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอ อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด บางแบรนด์มีการตรวจสอบถึง 64 จุดก่อนนำกลับมาขายใหม่ พร้อมรับประกัน 90 วันถึง 1 ปี ในทางกลับกัน มือถือแบบ Used คือเครื่องที่เจ้าของเดิมขายต่อโดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซมใด ๆ สภาพของเครื่องขึ้นอยู่กับการใช้งานของเจ้าของเดิม ซึ่งอาจมีปัญหาซ่อนอยู่ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม หน้าจอมีรอย หรือระบบภายในไม่สมบูรณ์ และมักไม่มีการรับประกัน แม้มือถือ Used จะมีราคาถูกกว่ามาก บางครั้งลดจากราคาปกติถึง 40–60% แต่ความเสี่ยงก็สูงตามไปด้วย โดยเฉพาะหากซื้อจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีระบบคุ้มครองผู้ซื้อ เช่น Facebook Marketplace หรือ Craigslist ในแง่ของสิ่งแวดล้อม ทั้งสองแบบช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิตเครื่องใหม่ โดยเฉพาะ Refurbished ที่ผ่านการฟื้นฟูอย่างมืออาชีพ ทำให้สามารถใช้งานได้อีกหลายปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Refurbished คือมือถือที่ผ่านการตรวจสอบ ซ่อมแซม และปรับปรุงโดยผู้เชี่ยวชาญ ➡️ มีการเปลี่ยนชิ้นส่วน อัปเดตซอฟต์แวร์ และทดสอบการทำงานทุกจุด ➡️ มักมีการรับประกัน 90 วันถึง 1 ปีจากผู้ผลิตหรือร้านค้า ➡️ Used คือมือถือที่ขายต่อโดยเจ้าของเดิม โดยไม่มีการตรวจสอบหรือซ่อมแซม ➡️ ราคาของ Used ถูกกว่ามาก แต่มีความเสี่ยงสูง ➡️ Refurbished มีมาตรฐานแบตเตอรี่ เช่น ต้องมีความจุเกิน 85% หรือเปลี่ยนใหม่ ➡️ Refurbished ใช้ระบบ grading เพื่อบอกสภาพเครื่อง เช่น Fair, Good, Premium ➡️ Refurbished ลดการปล่อยคาร์บอนถึง 92% เมื่อเทียบกับการผลิตเครื่องใหม่ ➡️ ผู้บริโภคในแคนาดานิยมซื้อ Refurbished มากขึ้น โดยตลาดรวมแตะ $69 พันล้านในปี 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple, Samsung, และ Google มีโปรแกรม Refurbished ที่รับประกันคุณภาพ ➡️ Amazon Renewed ใช้ระบบตรวจสอบโดยช่างเทคนิค พร้อมอุปกรณ์เสริมที่เทียบเท่าเครื่องใหม่ ➡️ Refurbished iPhone สามารถตรวจสอบแบตเตอรี่ได้ผ่านเมนู Battery Health ➡️ ร้านที่น่าเชื่อถือมักให้การรับประกันอย่างน้อย 90 วันสำหรับเครื่อง Refurbished ➡️ Refurbished บางรุ่นมีการเปลี่ยนฝาหลังหรือหน้าจอใหม่เพื่อให้ดูเหมือนเครื่องใหม่ https://securityonline.info/refurbished-vs-used-phones-whats-the-real-difference/
    SECURITYONLINE.INFO
    Refurbished vs used phones: what's the real difference?
    Shopping for a smartphone on a budget presents two main options: refurbished devices and used phones. While both
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลต้องกล้าหาญยกเลิก MOU หัวใจเขมร : คนเคาะข่าว 07-10-68
    : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ
    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    คลิก https://m.youtube.com/watch?v=qIGKE-BJJM0&pp=0gcJCfwJAYcqIYzv
    รัฐบาลต้องกล้าหาญยกเลิก MOU หัวใจเขมร : คนเคาะข่าว 07-10-68 : ดร.ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ • คลิก https://m.youtube.com/watch?v=qIGKE-BJJM0&pp=0gcJCfwJAYcqIYzv
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • “QNX ระบบปฏิบัติการที่ไม่เคยล้ม — จากไมโครเคอร์เนลสู่หัวใจของรถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด”

    QNX คือระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ (RTOS) ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1980 โดยสองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ประเทศแคนาดา ซึ่งมองเห็นช่องว่างในตลาดสำหรับระบบที่มีความแม่นยำสูงและไม่ล้มง่าย โดยเริ่มต้นจากชื่อ QUNIX ก่อนจะเปลี่ยนเป็น QNX เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางเครื่องหมายการค้า

    จุดเด่นของ QNX คือการออกแบบแบบ “ไมโครเคอร์เนล” ซึ่งหมายถึงการแยกบริการต่าง ๆ เช่น ไดรเวอร์ ระบบไฟล์ และโปรโตคอลเครือข่ายออกจากเคอร์เนลหลัก ทำให้ระบบมีความเสถียรสูง หากส่วนใดส่วนหนึ่งล้ม ก็ไม่กระทบกับระบบทั้งหมด

    ในช่วงปี 2000 QNX ได้พัฒนาเวอร์ชันใหม่ชื่อ “Neutrino” ที่รองรับการทำงานแบบ symmetric multiprocessing (SMP) และเข้ากับมาตรฐาน POSIX ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ระบบควบคุมรถยนต์ หุ่นยนต์ผ่าตัด และระบบอุตสาหกรรม

    ล่าสุดในงาน CES 2025 QNX ได้เปิดตัวโฉมใหม่ภายใต้การรีแบรนด์จาก BlackBerry โดยเน้น 3 แนวทางหลัก:

    การสร้างชุมชนนักพัฒนา (QNX Everywhere)
    การออกแบบเพื่อระบบคลาวด์
    การลดความซับซ้อนของระบบที่มีความสำคัญระดับชีวิต

    QNX ยังประกาศเปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้และการทดลองแบบไม่เชิงพาณิชย์ พร้อมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปมีส่วนร่วมใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาโดยตรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    QNX เป็นระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ที่พัฒนาโดย Quantum Software Systems ในปี 1980
    ใช้สถาปัตยกรรมไมโครเคอร์เนลเพื่อเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัย
    เวอร์ชัน Neutrino รองรับ SMP และ POSIX API อย่างสมบูรณ์
    ใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น รถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด
    CES 2025 เปิดตัวรีแบรนด์ QNX ภายใต้ BlackBerry
    เน้นการสร้างชุมชน QNX Everywhere และการสนับสนุนระบบคลาวด์
    เปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เชิงพาณิชย์
    ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปสนับสนุนใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    QNX เคยออกเดโมที่รัน GUI, TCP/IP, และเว็บเบราว์เซอร์บนแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB
    ใช้ในระบบควบคุมรถไฟ, เครื่องมือแพทย์, และระบบอัตโนมัติในโรงงาน
    เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Eclipse IDE Consortium
    มี GUI ชื่อ Photon microGUI ที่ออกแบบมาให้ฝังในระบบได้ง่าย
    QNX ได้รับการยอมรับในวงการอุตสาหกรรมว่า “ไม่ล้ม” แม้ในสภาพแวดล้อมที่โหดที่สุด

    https://www.abortretry.fail/p/the-qnx-operating-system
    🧩 “QNX ระบบปฏิบัติการที่ไม่เคยล้ม — จากไมโครเคอร์เนลสู่หัวใจของรถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด” QNX คือระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ (RTOS) ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1980 โดยสองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ประเทศแคนาดา ซึ่งมองเห็นช่องว่างในตลาดสำหรับระบบที่มีความแม่นยำสูงและไม่ล้มง่าย โดยเริ่มต้นจากชื่อ QUNIX ก่อนจะเปลี่ยนเป็น QNX เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางเครื่องหมายการค้า จุดเด่นของ QNX คือการออกแบบแบบ “ไมโครเคอร์เนล” ซึ่งหมายถึงการแยกบริการต่าง ๆ เช่น ไดรเวอร์ ระบบไฟล์ และโปรโตคอลเครือข่ายออกจากเคอร์เนลหลัก ทำให้ระบบมีความเสถียรสูง หากส่วนใดส่วนหนึ่งล้ม ก็ไม่กระทบกับระบบทั้งหมด ในช่วงปี 2000 QNX ได้พัฒนาเวอร์ชันใหม่ชื่อ “Neutrino” ที่รองรับการทำงานแบบ symmetric multiprocessing (SMP) และเข้ากับมาตรฐาน POSIX ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ระบบควบคุมรถยนต์ หุ่นยนต์ผ่าตัด และระบบอุตสาหกรรม ล่าสุดในงาน CES 2025 QNX ได้เปิดตัวโฉมใหม่ภายใต้การรีแบรนด์จาก BlackBerry โดยเน้น 3 แนวทางหลัก: 🔰 การสร้างชุมชนนักพัฒนา (QNX Everywhere) 🔰 การออกแบบเพื่อระบบคลาวด์ 🔰 การลดความซับซ้อนของระบบที่มีความสำคัญระดับชีวิต QNX ยังประกาศเปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้และการทดลองแบบไม่เชิงพาณิชย์ พร้อมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปมีส่วนร่วมใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาโดยตรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ QNX เป็นระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ที่พัฒนาโดย Quantum Software Systems ในปี 1980 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมไมโครเคอร์เนลเพื่อเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัย ➡️ เวอร์ชัน Neutrino รองรับ SMP และ POSIX API อย่างสมบูรณ์ ➡️ ใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น รถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด ➡️ CES 2025 เปิดตัวรีแบรนด์ QNX ภายใต้ BlackBerry ➡️ เน้นการสร้างชุมชน QNX Everywhere และการสนับสนุนระบบคลาวด์ ➡️ เปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เชิงพาณิชย์ ➡️ ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปสนับสนุนใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ QNX เคยออกเดโมที่รัน GUI, TCP/IP, และเว็บเบราว์เซอร์บนแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB ➡️ ใช้ในระบบควบคุมรถไฟ, เครื่องมือแพทย์, และระบบอัตโนมัติในโรงงาน ➡️ เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Eclipse IDE Consortium ➡️ มี GUI ชื่อ Photon microGUI ที่ออกแบบมาให้ฝังในระบบได้ง่าย ➡️ QNX ได้รับการยอมรับในวงการอุตสาหกรรมว่า “ไม่ล้ม” แม้ในสภาพแวดล้อมที่โหดที่สุด https://www.abortretry.fail/p/the-qnx-operating-system
    WWW.ABORTRETRY.FAIL
    The QNX Operating System
    Quantum Software and the microkernel UNIX
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มหาวิทยาลัยอังกฤษโดนแฮก 91% ธุรกิจ 43% — ภัยไซเบอร์ระบาดหนักทั่วสหราชอาณาจักรในปี 2025”

    ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรุนแรง โดยผลสำรวจจากรัฐบาลเผยว่า 91% ของมหาวิทยาลัย และ 43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจ ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ การเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยข้อมูล

    กรณีที่โดดเด่นคือการโจมตี Jaguar Land Rover (JLR) ที่ทำให้บริษัทต้องหยุดดำเนินงานหลายสัปดาห์ และขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อซัพพลายเออร์หลายพันรายที่พึ่งพา JLR เป็นลูกค้าหลัก

    แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่สถาบันการศึกษากลับเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ โดย 85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม และ 44% ของโรงเรียนประถมก็ถูกโจมตีเช่นกัน รวมถึงกรณีล่าสุดที่เครือโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์

    ที่น่าตกใจคือการโจมตีจำนวนมากไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่เกิดจากแฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเอง ซึ่งเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย แล้วใช้โจมตีเป้าหมายที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการใต้ดิน

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Royal United Services Institute ระบุว่า แฮกเกอร์กลุ่มนี้ไม่ได้หวังผลทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการ “แสดงฝีมือ” และได้รับการยอมรับในชุมชนแฮกเกอร์ ซึ่งทำให้เป้าหมายกลายเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงมากกว่าระบบที่อ่อนแอ

    รัฐบาลอังกฤษหวังว่าการเผยแพร่ผลสำรวจนี้จะกระตุ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะหลายแห่งยังไม่มีระบบป้องกันที่ทันสมัย และกลายเป็น “ผลไม้ที่ห้อยต่ำ” ที่แฮกเกอร์เลือกโจมตีก่อน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    91% ของมหาวิทยาลัยในอังกฤษถูกโจมตีทางไซเบอร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
    43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจได้รับผลกระทบจากการโจมตี
    JLR ถูกโจมตีจนต้องหยุดดำเนินงานและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
    85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม, 44% ของโรงเรียนประถมถูกโจมตี
    มีกรณีโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้แบล็กเมล์
    แฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย
    เป้าหมายหลักคือองค์กรที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อในวงการแฮกเกอร์
    รัฐบาลหวังผลสำรวจจะกระตุ้นให้ปรับปรุงระบบความปลอดภัย
    หลายองค์กรยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ทันสมัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการศึกษา
    Ransomware เป็นภัยที่ทำให้ระบบหยุดชะงักและเรียกค่าไถ่สูง
    การโจมตีแบบ supply chain ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
    การใช้ AI ในการสร้าง phishing email ทำให้การหลอกลวงมีความสมจริงมากขึ้น
    การขาดบุคลากรด้าน cybersecurity เป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรขนาดเล็ก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/cyberattacks-hit-91-percent-of-universities-and-43-percent-of-businesses-in-last-12-months-in-the-uk-survey-suggests-more-than-600-000-businesses-61-000-charities-affected
    🛡️ “มหาวิทยาลัยอังกฤษโดนแฮก 91% ธุรกิจ 43% — ภัยไซเบอร์ระบาดหนักทั่วสหราชอาณาจักรในปี 2025” ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรุนแรง โดยผลสำรวจจากรัฐบาลเผยว่า 91% ของมหาวิทยาลัย และ 43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจ ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ การเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยข้อมูล กรณีที่โดดเด่นคือการโจมตี Jaguar Land Rover (JLR) ที่ทำให้บริษัทต้องหยุดดำเนินงานหลายสัปดาห์ และขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อซัพพลายเออร์หลายพันรายที่พึ่งพา JLR เป็นลูกค้าหลัก แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่สถาบันการศึกษากลับเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ โดย 85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม และ 44% ของโรงเรียนประถมก็ถูกโจมตีเช่นกัน รวมถึงกรณีล่าสุดที่เครือโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ ที่น่าตกใจคือการโจมตีจำนวนมากไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่เกิดจากแฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเอง ซึ่งเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย แล้วใช้โจมตีเป้าหมายที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการใต้ดิน ผู้เชี่ยวชาญจาก Royal United Services Institute ระบุว่า แฮกเกอร์กลุ่มนี้ไม่ได้หวังผลทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการ “แสดงฝีมือ” และได้รับการยอมรับในชุมชนแฮกเกอร์ ซึ่งทำให้เป้าหมายกลายเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงมากกว่าระบบที่อ่อนแอ รัฐบาลอังกฤษหวังว่าการเผยแพร่ผลสำรวจนี้จะกระตุ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะหลายแห่งยังไม่มีระบบป้องกันที่ทันสมัย และกลายเป็น “ผลไม้ที่ห้อยต่ำ” ที่แฮกเกอร์เลือกโจมตีก่อน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 91% ของมหาวิทยาลัยในอังกฤษถูกโจมตีทางไซเบอร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ➡️ 43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจได้รับผลกระทบจากการโจมตี ➡️ JLR ถูกโจมตีจนต้องหยุดดำเนินงานและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ➡️ 85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม, 44% ของโรงเรียนประถมถูกโจมตี ➡️ มีกรณีโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้แบล็กเมล์ ➡️ แฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย ➡️ เป้าหมายหลักคือองค์กรที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อในวงการแฮกเกอร์ ➡️ รัฐบาลหวังผลสำรวจจะกระตุ้นให้ปรับปรุงระบบความปลอดภัย ➡️ หลายองค์กรยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ทันสมัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการศึกษา ➡️ Ransomware เป็นภัยที่ทำให้ระบบหยุดชะงักและเรียกค่าไถ่สูง ➡️ การโจมตีแบบ supply chain ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ➡️ การใช้ AI ในการสร้าง phishing email ทำให้การหลอกลวงมีความสมจริงมากขึ้น ➡️ การขาดบุคลากรด้าน cybersecurity เป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรขนาดเล็ก https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/cyberattacks-hit-91-percent-of-universities-and-43-percent-of-businesses-in-last-12-months-in-the-uk-survey-suggests-more-than-600-000-businesses-61-000-charities-affected
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภาคองเกรสทำให้ทองคำยิ่งใหญ่อีกครั้ง : คนเคาะข่าว 06-10-68

    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ

    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    คลิก https://m.youtube.com/watch?v=yZc4tZicLtg
    สภาคองเกรสทำให้ทองคำยิ่งใหญ่อีกครั้ง : คนเคาะข่าว 06-10-68 • : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ • ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ • คลิก https://m.youtube.com/watch?v=yZc4tZicLtg
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์”

    ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000

    ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน

    ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น

    ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง

    การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย
    เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน
    ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading
    CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง
    ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ
    Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป
    ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน
    Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
    Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
    Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด
    ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    🧠 “พบซีพียู Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย — หลักฐานสุดท้ายของยุค NetBurst ก่อน Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์” ในโลกของนักสะสมฮาร์ดแวร์ มีการค้นพบซีพียูหายากที่ไม่เคยถูกวางขายจริง — Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ซึ่งเป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) จากยุคสุดท้ายของสถาปัตยกรรม NetBurst ที่เคยเป็นความหวังของ Intel ในช่วงต้นยุค 2000 ผู้ใช้ Reddit ชื่อ diegunguyman ได้โพสต์ภาพซีพียูตัวนี้ พร้อมข้อมูลจาก CPU-Z ซึ่งระบุว่าเป็นชิปแบบ dual-core พร้อม Hyper-Threading ใช้โค้ดเนม “Presler” และมีความเร็วสูงถึง 4.0 GHz แม้ CPU-Z จะไม่สามารถ validate ได้อย่างสมบูรณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญในชุมชนต่างยืนยันว่าเป็นของจริง และน่าจะเป็น “loaner chip” ที่เคยถูกให้พนักงานยืมใช้งานภายใน ชิปนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นรุ่นสุดท้ายของ NetBurst ซึ่งถูกยกเลิกก่อนวางขายจริง เนื่องจากปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพต่อวัตต์ที่ต่ำ ทำให้ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปสู่สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้นประสิทธิภาพต่อพลังงาน และสามารถหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ได้ในเวลานั้น ความหายากของชิปนี้ไม่ใช่แค่เพราะไม่วางขาย แต่ยังเป็นเพราะระบบการควบคุม loaner chip ของ Intel ที่เคยเข้มงวด แต่เริ่มหลวมลงหลังจากมีการปลดพนักงานจำนวนมากในช่วงหลัง ทำให้ชิปบางตัวหลุดออกสู่ตลาดมือสอง การค้นพบนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของฮาร์ดแวร์ — แต่มันคือ “หลักฐานทางประวัติศาสตร์” ที่บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของ Intel จากยุคที่เน้นความเร็ว GHz สู่ยุคที่เน้นประสิทธิภาพและการออกแบบที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบซีพียู Intel Pentium 4 Extreme Edition 980 ความเร็ว 4.0 GHz ที่ไม่เคยวางขาย ➡️ เป็นตัวอย่างวิศวกรรม (engineering sample) ที่น่าจะเป็น loaner chip สำหรับพนักงาน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม NetBurst โค้ดเนม “Presler” พร้อม Hyper-Threading ➡️ CPU-Z ไม่สามารถ validate ได้เต็มรูปแบบ แต่ข้อมูลตรงกับชิปจริง ➡️ ความเร็ว 4.0 GHz ถือว่าสูงมากในยุคนั้น แต่มีปัญหาด้านความร้อนและประสิทธิภาพ ➡️ Intel เปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปใช้สถาปัตยกรรม Core 2 ที่เน้น performance-per-watt ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยหยุดการเติบโตของ AMD Athlon 64 ในตลาดเดสก์ท็อป ➡️ ระบบควบคุม loaner chip ของ Intel เริ่มหลวมลงหลังการปลดพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NetBurst เป็นสถาปัตยกรรมที่เน้นความเร็วสัญญาณนาฬิกา แต่มีข้อเสียด้านพลังงาน ➡️ Core 2 ถูกพัฒนาโดยทีม Haifa ของ Intel และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ➡️ Engineering sample มักมีพฤติกรรมไม่เสถียร และไม่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ➡️ Loaner chip มีข้อจำกัดด้านการใช้งานและไม่ควรหลุดออกสู่ตลาด ➡️ ชิปนี้มี cache L2 ขนาด 2MB และ FSB 1066 MHz ซึ่งถือว่าล้ำหน้าในยุคนั้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/ultra-rare-unreleased-pentium-4-with-4-0-ghz-clock-speed-discovered-cpu-z-confirms-it-is-an-intel-pentium-extreme-edition-980
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไมโครโฟนตรวจจับเสียงปืนของ Flock จะเริ่มฟังเสียงมนุษย์ — เทคโนโลยีความปลอดภัยหรือการละเมิดสิทธิพลเมือง?”

    Flock Safety บริษัทเทคโนโลยีตำรวจที่มีชื่อเสียงจากระบบอ่านป้ายทะเบียนอัตโนมัติทั่วสหรัฐฯ กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในผลิตภัณฑ์ Raven ซึ่งเดิมใช้ตรวจจับเสียงปืนในพื้นที่สาธารณะ แต่ตอนนี้จะสามารถ “ฟังเสียงมนุษย์” โดยเฉพาะเสียงที่แสดงถึงความทุกข์ เช่น การกรีดร้องหรือร้องขอความช่วยเหลือ

    แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ แต่ Electronic Frontier Foundation (EFF) เตือนว่าการเปลี่ยนไมโครโฟนให้ฟังเสียงมนุษย์ในพื้นที่สาธารณะอาจละเมิดกฎหมายการดักฟังของรัฐ และเปิดช่องให้เกิดการเฝ้าระวังที่เกินขอบเขต

    ระบบ Raven ใช้ AI วิเคราะห์เสียงแบบเรียลไทม์ โดยอ้างว่าไม่เก็บเสียงไว้หากไม่มีการตรวจพบเหตุการณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเทคโนโลยีนี้อาจเกิด false positive ได้ง่าย เช่น เข้าใจเสียงเด็กเล่นเป็นเสียงกรีดร้อง หรือเสียงพลุเป็นเสียงปืน ซึ่งเคยเกิดกรณีตำรวจยิงเด็กในชิคาโกเพราะเข้าใจผิดจากระบบ ShotSpotter

    นอกจากนี้ Flock ยังมีประวัติปัญหาทางกฎหมาย เช่น การให้ ICE เข้าถึงข้อมูลในรัฐอิลลินอยส์โดยไม่ได้รับอนุญาต และการติดตั้งกล้องใหม่ในเมือง Evanston หลังถูกสั่งให้ถอดออก ซึ่งทำให้หลายเมืองเริ่มยกเลิกสัญญากับบริษัท

    การเพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียงมนุษย์จึงอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เมืองต่าง ๆ ต้องทบทวนว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงเป็นเครื่องมือเพื่อความปลอดภัย หรือกลายเป็นภัยต่อสิทธิพลเมืองโดยไม่รู้ตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Flock Safety เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Raven ให้ตรวจจับเสียงมนุษย์ที่แสดงความทุกข์ เช่น กรีดร้อง
    ระบบใช้ AI วิเคราะห์เสียงแบบเรียลไทม์ และอ้างว่าไม่เก็บเสียงหากไม่มีเหตุการณ์
    Raven เดิมใช้ตรวจจับเสียงปืน แต่ตอนนี้ขยายไปสู่เสียงมนุษย์
    EFF เตือนว่าอาจละเมิดกฎหมายการดักฟังของรัฐ
    มีกรณีตำรวจยิงเด็กในชิคาโกจากการเข้าใจผิดว่าเสียงพลุคือเสียงปืน
    Flock เคยให้ ICE เข้าถึงข้อมูลในรัฐอิลลินอยส์โดยไม่ได้รับอนุญาต
    เมือง Evanston สั่งให้ถอดกล้อง แต่ Flock กลับติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต
    หลายเมืองเริ่มยกเลิกสัญญากับ Flock เพราะปัญหาทางกฎหมายและความเชื่อมั่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Raven ใช้เทคโนโลยีคล้าย ShotSpotter ที่ตรวจจับเสียงปืนและเสียงกระจกแตก
    AI voice detection เริ่มมีความแม่นยำใกล้เสียงมนุษย์จริง ทำให้แยกแยะยากขึ้น
    การตรวจจับเสียง distress อาจช่วยเพิ่มความเร็วในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ
    เทคโนโลยีนี้สามารถเชื่อมกับกล้องและระบบอื่นเพื่อให้ข้อมูลแบบครบวงจร
    การใช้ไมโครโฟนในพื้นที่สาธารณะอาจส่งผลต่อเสรีภาพในการพูดและความเป็นส่วนตัว

    https://www.eff.org/deeplinks/2025/10/flocks-gunshot-detection-microphones-will-start-listening-human-voices
    🎙️ “ไมโครโฟนตรวจจับเสียงปืนของ Flock จะเริ่มฟังเสียงมนุษย์ — เทคโนโลยีความปลอดภัยหรือการละเมิดสิทธิพลเมือง?” Flock Safety บริษัทเทคโนโลยีตำรวจที่มีชื่อเสียงจากระบบอ่านป้ายทะเบียนอัตโนมัติทั่วสหรัฐฯ กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ในผลิตภัณฑ์ Raven ซึ่งเดิมใช้ตรวจจับเสียงปืนในพื้นที่สาธารณะ แต่ตอนนี้จะสามารถ “ฟังเสียงมนุษย์” โดยเฉพาะเสียงที่แสดงถึงความทุกข์ เช่น การกรีดร้องหรือร้องขอความช่วยเหลือ แม้จะถูกนำเสนอว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ แต่ Electronic Frontier Foundation (EFF) เตือนว่าการเปลี่ยนไมโครโฟนให้ฟังเสียงมนุษย์ในพื้นที่สาธารณะอาจละเมิดกฎหมายการดักฟังของรัฐ และเปิดช่องให้เกิดการเฝ้าระวังที่เกินขอบเขต ระบบ Raven ใช้ AI วิเคราะห์เสียงแบบเรียลไทม์ โดยอ้างว่าไม่เก็บเสียงไว้หากไม่มีการตรวจพบเหตุการณ์ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเทคโนโลยีนี้อาจเกิด false positive ได้ง่าย เช่น เข้าใจเสียงเด็กเล่นเป็นเสียงกรีดร้อง หรือเสียงพลุเป็นเสียงปืน ซึ่งเคยเกิดกรณีตำรวจยิงเด็กในชิคาโกเพราะเข้าใจผิดจากระบบ ShotSpotter นอกจากนี้ Flock ยังมีประวัติปัญหาทางกฎหมาย เช่น การให้ ICE เข้าถึงข้อมูลในรัฐอิลลินอยส์โดยไม่ได้รับอนุญาต และการติดตั้งกล้องใหม่ในเมือง Evanston หลังถูกสั่งให้ถอดออก ซึ่งทำให้หลายเมืองเริ่มยกเลิกสัญญากับบริษัท การเพิ่มฟีเจอร์ตรวจจับเสียงมนุษย์จึงอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เมืองต่าง ๆ ต้องทบทวนว่าเทคโนโลยีนี้ยังคงเป็นเครื่องมือเพื่อความปลอดภัย หรือกลายเป็นภัยต่อสิทธิพลเมืองโดยไม่รู้ตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Flock Safety เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Raven ให้ตรวจจับเสียงมนุษย์ที่แสดงความทุกข์ เช่น กรีดร้อง ➡️ ระบบใช้ AI วิเคราะห์เสียงแบบเรียลไทม์ และอ้างว่าไม่เก็บเสียงหากไม่มีเหตุการณ์ ➡️ Raven เดิมใช้ตรวจจับเสียงปืน แต่ตอนนี้ขยายไปสู่เสียงมนุษย์ ➡️ EFF เตือนว่าอาจละเมิดกฎหมายการดักฟังของรัฐ ➡️ มีกรณีตำรวจยิงเด็กในชิคาโกจากการเข้าใจผิดว่าเสียงพลุคือเสียงปืน ➡️ Flock เคยให้ ICE เข้าถึงข้อมูลในรัฐอิลลินอยส์โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ เมือง Evanston สั่งให้ถอดกล้อง แต่ Flock กลับติดตั้งใหม่โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ หลายเมืองเริ่มยกเลิกสัญญากับ Flock เพราะปัญหาทางกฎหมายและความเชื่อมั่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Raven ใช้เทคโนโลยีคล้าย ShotSpotter ที่ตรวจจับเสียงปืนและเสียงกระจกแตก ➡️ AI voice detection เริ่มมีความแม่นยำใกล้เสียงมนุษย์จริง ทำให้แยกแยะยากขึ้น ➡️ การตรวจจับเสียง distress อาจช่วยเพิ่มความเร็วในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ➡️ เทคโนโลยีนี้สามารถเชื่อมกับกล้องและระบบอื่นเพื่อให้ข้อมูลแบบครบวงจร ➡️ การใช้ไมโครโฟนในพื้นที่สาธารณะอาจส่งผลต่อเสรีภาพในการพูดและความเป็นส่วนตัว https://www.eff.org/deeplinks/2025/10/flocks-gunshot-detection-microphones-will-start-listening-human-voices
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2”
    อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย
    ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม
    ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง
    แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ
    ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน
    แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein
    อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ !
    แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน !
    Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย
    อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ
    อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด
    เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง
    ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ
    นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด
    Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 2 – อิรัก 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 2” อิรัก 1
ระหว่างที่ฝรั่งตะวันตกผู้ชนะสงคราม กำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งสมบัติที่ไปได้ มาจากการหลอกต้มเหยื่อ เหยื่อก็นั่งเหม่อ มึนงง สับสน ตกลงพวกเราจะได้เป็นเจ้าของดินแดนไหมหนอ อย่าว่าจะเป็นเจ้าของเลย จะมีที่ให้หย่อนก้น ปักหลักตั้งกระโจม ตรงไหนก็ยังไม่รู้เล้ย ข้อตกลงที่ปารีส Paris Conference และโดยสันนิบาตชาติ ที่ตกลงจะแบ่งดินแดนของเหยื่อ ระหว่างผู้ล่า ทำท่าจะล่ม ข้อตกลงที่ตุรกี จะยอมตัดทิ้งดินแดนหลายส่วน ซึ่งลงนามโดยซากของรัฐบาลออตโตมาน ในที่สุด ก็ไม่ได้รับการยินยอมจากพวกยังเตอร์ก ที่เริ่มก่อการและปฏิวัติแยกตุรกีออกมาเป็นรัฐอิสระหลังจากสงครามโลกจบลง แต่อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ยังเดินหน้าแบ่งสมบัติกันต่อ อย่างไม่ลงตัว ฝรั่งเศสบอก อังกฤษตกลงอะไรแล้วเบี้ยวตลอด ก็คงจะจริง นาน ๆ ผมจะเห็นด้วยกับฝรั่งเศสเสียที เห็นด้วย แต่ไม่ได้เห็นใจนะครับ ในที่สุดอังกฤษก็ตัดใจ บอกให้ฝรั่งเศสเอาซีเรียกับเลบานอนไปก็แล้วกัน แต่ขณะนั้น Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ยังปักหลักผู้ที่เมืองดามัสกัส หลังจากอุตส่าห์ไปยึดเมืองมาให้เขาเบี้ยว อังกฤษบอกอยู่ไปเถอะ พวกท่านออกแรงนี่หนา เป็นรางวัลปลอบใจอย่างจอมปลอม หลังจากโกหกตอแหล ไม่หาอาณาจักรอาหรับให้ Sharif Hussein อังกฤษปล่อยให้ Faisal ตั้งกระโจม อยู่กลางเมืองดามัสกัส เหมือนอังกฤษจะรู้ว่า ต่อไปดามัสกัสจะเป็นของใคร ยืมมือคนอื่นฆ่ามิตร เป็นอีกสันดานที่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ถนัดทำ ! แล้วมันก็เป็นไปตามแผนของชาวเกาะ เมื่อฝรั่งเศสเข้าไปในดามัสกัส สิ่งแรกที่ฝรั่งเศสทำคือ บอกไม่รับรู้ เรื่องการตั้งกระโจมอยู่กลางดามัสกัสของ Faisal นั่นมันเป็นเรื่องของอังกฤษ เราไม่เคยไปตกลงอะไรกับท่านฝรั่งเศสไม่เคยเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจงรีบขนของขึ้นอูฐย้ายออกไป ด่วน ! Faisal หน้าตก อพยพหอบลูกจูงหลาน บริวารอีกหลายร้อย แถวยาวไปตามเนินทราย มุ่งหน้าไปปาเลสไตน์ที่อังกฤษดูแลอยู่ หวังจะให้อังกฤษช่วย อึ่ม ! เข้าทาง ! อิรัก กำลังวุ่นวาย อังกฤษจะออกหน้าก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่ามาล่าอาณานิคมอีก แค่เอาบ่อน้ำมันเขาไป ชาวบ้านก็นินทาจมหูแล้ว อังกฤษบอก Faisal เอางี้ เดี๋ยวเราจะจัดการให้ท่านเป็นกษัตริย์ ปกครองอิรักแล้วกัน โอ้ ! ในที่สุดเพื่อนก็ไม่ทิ้งเรา Faisal รำพึงเสียงเครือ อิรักต้องมีคนปกครอง แต่ถ้าเป็นชาวอิรัก อำนาจอังกฤษในอิรักอาจจะน้อยล ง จะไว้ใจได้แค่ไหน สู้เอาคนต่างถิ่น ต่างเผ่ามาปกครองดีกว่า Faisal น่าจะเหมาะสม แม้จะเป็นอาหรับด้วยกัน แต่ต่างเผ่าพันธ์กัน ชาวอิรักก็มอง Faisal เหมือนคนต่างชาติ ที่แย่กว่านั้น ชาวอิรักมอง Faisal ว่าเป็นหุ่น เป็นขี้ข้าฝรั่ง ยิ่งรังเกียจ Faisal หนักขึ้น และนั่นแหละ Faisal จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในสายตาของอังกฤษ เพราะ Faisal จะปกครองอิรักโดยลำพังไม่ได้ ต้องพึ่งอังกฤษตลอดไป คนอิรักก็ไม่รับ Faisal และ Faisal ก็ใช้คนอิรักไม่ได้เต็มที่ ที่ปรึกษาชาวอังกฤษจึงเต็มอิรักไปหมด เมื่อทุกอย่างเข้าทางตามแผน อังกฤษก็อพยพเหมือนกัน แต่เป็นการอพยพ เอากลุ่มที่ปรึกษาชาวอังกฤษ เข้าไปเต็มเมืองอิรัก จริง ๆ ก็คือการเข้าไปปกครองอิรัก เหมือนอิรักเป็นอาณานิคม รูปแบบใหม่นั่นแหละ แต่คราวนี้ แม้อิรักจะไม่ได้เป็นกล่องดวง ใจ แบบอินเดีย แต่ก็มีของมีค่ามหาศาล ยังไม่รู้ว่า มหาศาลขนาดไหน ฝั่งตัวอยู่ใต้ดิน เผลอๆ อาจจะมีค่ามากกว่า อินเดีย กล่องดวงใจเสียอีก อังกฤษจำเป็นต้องอยู่ในอิรักให้นานที่สุด และมั่นคงที่สุด กว่ายักษ์ใต้ดินจะเติบโตใช้สอยดังใจหวัง ราชวงศ์ Hashemite ของ Faisal จึงเป็นเหมือนหุ่นเชิดของอังกฤษ แม้จะบอกว่าเป็นประเทศเอกราช แต่ผู้เชี่ยวชาญอังกฤษ ที่ปรึกษาอังกฤษ เป็นผู้ปกครองอิรักโดยพฤตินัย คนอังกฤษไปอยู่อิรัก ขนทั้งคนและระบบอังกฤษติดตัวตามไปหมด ตั้งแต่ตั้งโรงเรียนแบบอังกฤษ บ้านช่องการเป็นอยู่อย่างอังกฤษ เด็ก ๆ ลูกที่ปรึกษา ก็ต้องมีพี่เลี้ยง (nanny) แบบลูกผู้ดีที่เกาะอังกฤษเขาทำกัน nanny ชาวพื้นเมืองหน้าดำ ใส่เอี้ยม คลุมหัว คอยเดินตามเช็ดมือเช็ดเท้าให้คุณหนูผมทอง ฯลฯ นอกเหนือจากการบริหารประเทศแล้ว อังกฤษยังตั้งฐานทัพ และสนามบินไว้ที่อิรัก ทั้งหมดเป็นการอำนวยความสดวก และการป้องกัน ให้การขุดเจาะน้ำมันของ The Turkish Petroleum Company ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company ซึ่งถือหุ้นโดย Anglo – Persian Oil Company ที่อังกฤษมอบหมายให้หน้าที่เสมือนเป็นข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษประจำอิรักอีกด้วย เดินไปอย่างราบรื่นไม่มีสดุด ไม่มีติดขัด Turkish Petroleum ทำเงินให้อังกฤษมากมาย รวมทั้งรัฐบาลอิรักด้วย แต่แทนที่รัฐบาลอิรัก จะนำไปปรับปรุงประเทศ กลับนำไปใช้ในการซื้ออาวุธให้กองทัพของอิรัก ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทหารอังกฤษ ประชาชนชาวอิรักก็หน้าแห้ง ท้องกิ่ว เหมือนเดิม สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Samsung เปิดตัว TRUEBench — เครื่องมือวัดประสิทธิภาพ AI ในงานออฟฟิศจริง พร้อมเปิดให้เปรียบเทียบโมเดลบน Hugging Face”

    ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ในหลายองค์กร คำถามสำคัญคือ “AI ทำงานได้ดีแค่ไหนเมื่อเจอกับงานจริง?” ล่าสุด Samsung ได้เปิดตัว TRUEBench (Trustworthy Real-world Usage Evaluation Benchmark) ซึ่งเป็นระบบทดสอบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อวัดความสามารถของ AI chatbot และโมเดลภาษาในบริบทการทำงานจริง ไม่ใช่แค่การตอบคำถามแบบห้องเรียน

    TRUEBench ประกอบด้วยชุดทดสอบกว่า 2,485 รายการ ครอบคลุม 10 หมวดงาน เช่น การสรุปเอกสาร, การแปลหลายภาษา, การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างเนื้อหา โดยรองรับถึง 12 ภาษา และมีความยาวอินพุตตั้งแต่ 8 ตัวอักษรไปจนถึงมากกว่า 20,000 ตัวอักษร เพื่อจำลองทั้งคำสั่งสั้น ๆ และรายงานยาว ๆ ที่พบในชีวิตจริง

    สิ่งที่ทำให้ TRUEBench แตกต่างคือ “ความเข้มงวด” ในการให้คะแนน — หากโมเดลไม่สามารถทำตามเงื่อนไขทั้งหมดได้ จะถือว่า “สอบตก” ไม่มีคะแนนบางส่วนเหมือนระบบอื่น ๆ และเพื่อความแม่นยำ Samsung ใช้ระบบร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ในการออกแบบเกณฑ์การประเมิน โดยให้ AI ตรวจสอบความขัดแย้งหรือข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น ก่อนที่มนุษย์จะปรับแก้และนำไปใช้จริง

    TRUEBench ยังเปิดให้ใช้งานบางส่วนบนแพลตฟอร์ม Hugging Face โดยมี leaderboard สำหรับเปรียบเทียบโมเดลได้สูงสุด 5 ตัว พร้อมเปิดเผยค่าเฉลี่ยความยาวของคำตอบ เพื่อวัดทั้งความแม่นยำและประสิทธิภาพในการตอบสนอง

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า benchmark ยังเป็นการวัดแบบสังเคราะห์ ไม่สามารถสะท้อนความซับซ้อนของการสื่อสารในที่ทำงานได้ทั้งหมด และอาจยิ่งทำให้ผู้บริหารใช้มันเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจแทนมนุษย์มากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Samsung เปิดตัว TRUEBench เพื่อวัดประสิทธิภาพ AI ในงานออฟฟิศจริง
    ประกอบด้วย 2,485 ชุดทดสอบ ครอบคลุม 10 หมวดงาน และ 12 ภาษา
    อินพุตมีความยาวตั้งแต่ 8 ถึง 20,000 ตัวอักษร เพื่อจำลองงานจริง
    ใช้ระบบร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ในการออกแบบเกณฑ์การประเมิน
    หากโมเดลไม่ผ่านเงื่อนไขทั้งหมด จะถือว่าสอบตก ไม่มีคะแนนบางส่วน
    เปิดให้ใช้งานบางส่วนบน Hugging Face พร้อม leaderboard เปรียบเทียบโมเดล
    เปิดเผยค่าเฉลี่ยความยาวของคำตอบ เพื่อวัดประสิทธิภาพควบคู่กับความแม่นยำ
    TRUEBench มุ่งสร้างมาตรฐานใหม่ในการวัด productivity ของ AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่นิยมใช้เปรียบเทียบโมเดล AI
    MLPerf เป็น benchmark ที่ใช้วัดประสิทธิภาพ AI ในงาน inference และ training
    การวัด productivity ของ AI ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีมาตรฐานกลาง
    การใช้ AI ในงานออฟฟิศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น การสรุปอีเมล, จัดประชุม, วิเคราะห์ข้อมูล
    การออกแบบเกณฑ์ร่วมระหว่างมนุษย์และ AI ช่วยลดอคติและเพิ่มความแม่นยำในการประเมิน

    https://www.techradar.com/pro/security/worried-about-ai-taking-your-job-samsungs-new-tool-will-let-your-boss-track-just-how-well-its-doing
    📊 “Samsung เปิดตัว TRUEBench — เครื่องมือวัดประสิทธิภาพ AI ในงานออฟฟิศจริง พร้อมเปิดให้เปรียบเทียบโมเดลบน Hugging Face” ในยุคที่ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ในหลายองค์กร คำถามสำคัญคือ “AI ทำงานได้ดีแค่ไหนเมื่อเจอกับงานจริง?” ล่าสุด Samsung ได้เปิดตัว TRUEBench (Trustworthy Real-world Usage Evaluation Benchmark) ซึ่งเป็นระบบทดสอบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อวัดความสามารถของ AI chatbot และโมเดลภาษาในบริบทการทำงานจริง ไม่ใช่แค่การตอบคำถามแบบห้องเรียน TRUEBench ประกอบด้วยชุดทดสอบกว่า 2,485 รายการ ครอบคลุม 10 หมวดงาน เช่น การสรุปเอกสาร, การแปลหลายภาษา, การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างเนื้อหา โดยรองรับถึง 12 ภาษา และมีความยาวอินพุตตั้งแต่ 8 ตัวอักษรไปจนถึงมากกว่า 20,000 ตัวอักษร เพื่อจำลองทั้งคำสั่งสั้น ๆ และรายงานยาว ๆ ที่พบในชีวิตจริง สิ่งที่ทำให้ TRUEBench แตกต่างคือ “ความเข้มงวด” ในการให้คะแนน — หากโมเดลไม่สามารถทำตามเงื่อนไขทั้งหมดได้ จะถือว่า “สอบตก” ไม่มีคะแนนบางส่วนเหมือนระบบอื่น ๆ และเพื่อความแม่นยำ Samsung ใช้ระบบร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ในการออกแบบเกณฑ์การประเมิน โดยให้ AI ตรวจสอบความขัดแย้งหรือข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น ก่อนที่มนุษย์จะปรับแก้และนำไปใช้จริง TRUEBench ยังเปิดให้ใช้งานบางส่วนบนแพลตฟอร์ม Hugging Face โดยมี leaderboard สำหรับเปรียบเทียบโมเดลได้สูงสุด 5 ตัว พร้อมเปิดเผยค่าเฉลี่ยความยาวของคำตอบ เพื่อวัดทั้งความแม่นยำและประสิทธิภาพในการตอบสนอง แม้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า benchmark ยังเป็นการวัดแบบสังเคราะห์ ไม่สามารถสะท้อนความซับซ้อนของการสื่อสารในที่ทำงานได้ทั้งหมด และอาจยิ่งทำให้ผู้บริหารใช้มันเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจแทนมนุษย์มากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Samsung เปิดตัว TRUEBench เพื่อวัดประสิทธิภาพ AI ในงานออฟฟิศจริง ➡️ ประกอบด้วย 2,485 ชุดทดสอบ ครอบคลุม 10 หมวดงาน และ 12 ภาษา ➡️ อินพุตมีความยาวตั้งแต่ 8 ถึง 20,000 ตัวอักษร เพื่อจำลองงานจริง ➡️ ใช้ระบบร่วมกันระหว่างมนุษย์และ AI ในการออกแบบเกณฑ์การประเมิน ➡️ หากโมเดลไม่ผ่านเงื่อนไขทั้งหมด จะถือว่าสอบตก ไม่มีคะแนนบางส่วน ➡️ เปิดให้ใช้งานบางส่วนบน Hugging Face พร้อม leaderboard เปรียบเทียบโมเดล ➡️ เปิดเผยค่าเฉลี่ยความยาวของคำตอบ เพื่อวัดประสิทธิภาพควบคู่กับความแม่นยำ ➡️ TRUEBench มุ่งสร้างมาตรฐานใหม่ในการวัด productivity ของ AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่นิยมใช้เปรียบเทียบโมเดล AI ➡️ MLPerf เป็น benchmark ที่ใช้วัดประสิทธิภาพ AI ในงาน inference และ training ➡️ การวัด productivity ของ AI ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีมาตรฐานกลาง ➡️ การใช้ AI ในงานออฟฟิศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น การสรุปอีเมล, จัดประชุม, วิเคราะห์ข้อมูล ➡️ การออกแบบเกณฑ์ร่วมระหว่างมนุษย์และ AI ช่วยลดอคติและเพิ่มความแม่นยำในการประเมิน https://www.techradar.com/pro/security/worried-about-ai-taking-your-job-samsungs-new-tool-will-let-your-boss-track-just-how-well-its-doing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เพนตากอนลดการฝึกอบรมไซเบอร์ — ให้ทหาร ‘โฟกัสภารกิจหลัก’ ท่ามกลางภัยคุกคามดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น”

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่ถูกรีแบรนด์ใหม่ว่า “Department of War” ได้ออกบันทึกภายในที่สร้างความตกตะลึงในวงการความมั่นคงไซเบอร์ โดยมีคำสั่งให้ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล พร้อมยกเลิกการฝึกอบรมบางรายการ เช่น Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึกเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่จัดเป็นความลับ (CUI)

    รัฐมนตรีกลาโหม Pete Hegseth ระบุว่า การฝึกอบรมที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “การรบและชัยชนะ” ควรถูกลดทอนหรือยกเลิก เพื่อให้ทหารสามารถโฟกัสกับภารกิจหลักได้เต็มที่ โดยมีการเสนอให้ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรมบุคลากร

    แม้จะมีเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพ แต่การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์อย่างหนัก เช่น กรณีการรั่วไหลของข้อมูลจากกองทัพอากาศที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์จากจีน และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023

    ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ กระทรวงกลาโหมเพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ โดยกำหนดระดับความเข้มงวดในการจัดการข้อมูลตามความอ่อนไหวของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูขัดแย้งกับการลดการฝึกอบรมภายในของกำลังพล

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การลดการฝึกอบรมในช่วงที่ภัยคุกคามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นการตัดสินใจที่สั้นเกินไป และอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายในหรือความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัยในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล
    ยกเลิก Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึก CUI
    ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรม
    เหตุผลคือเพื่อให้ทหารโฟกัสกับภารกิจหลักด้านการรบ
    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังสอบสวนเหตุรั่วไหลของข้อมูลที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของจีน
    โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ถูกโจมตีเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023
    ก่อนหน้านี้เพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ที่เน้นความเข้มงวด
    การลดการฝึกอบรมขัดแย้งกับแนวโน้มการเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Controlled Unclassified Information (CUI) คือข้อมูลที่ไม่จัดเป็นลับแต่ยังต้องมีการควบคุม
    Privacy Act Training ช่วยให้ทหารเข้าใจการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    การฝึกอบรมไซเบอร์ช่วยให้บุคลากรสามารถรับมือกับ phishing, malware และ insider threat ได้ดีขึ้น
    ระบบอัตโนมัติอาจช่วยลดภาระงาน แต่ไม่สามารถแทนความเข้าใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด
    การโจมตีไซเบอร์ในสงครามสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญ เช่นในกรณีรัสเซีย–ยูเครน และอิสราเอล–อิหร่าน

    https://www.techradar.com/pro/security/us-department-of-war-reduces-cybersecurity-training-tells-soldiers-to-focus-on-their-mission
    🛡️ “เพนตากอนลดการฝึกอบรมไซเบอร์ — ให้ทหาร ‘โฟกัสภารกิจหลัก’ ท่ามกลางภัยคุกคามดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น” ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่ถูกรีแบรนด์ใหม่ว่า “Department of War” ได้ออกบันทึกภายในที่สร้างความตกตะลึงในวงการความมั่นคงไซเบอร์ โดยมีคำสั่งให้ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล พร้อมยกเลิกการฝึกอบรมบางรายการ เช่น Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึกเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่จัดเป็นความลับ (CUI) รัฐมนตรีกลาโหม Pete Hegseth ระบุว่า การฝึกอบรมที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “การรบและชัยชนะ” ควรถูกลดทอนหรือยกเลิก เพื่อให้ทหารสามารถโฟกัสกับภารกิจหลักได้เต็มที่ โดยมีการเสนอให้ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรมบุคลากร แม้จะมีเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพ แต่การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์อย่างหนัก เช่น กรณีการรั่วไหลของข้อมูลจากกองทัพอากาศที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์จากจีน และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023 ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ กระทรวงกลาโหมเพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ โดยกำหนดระดับความเข้มงวดในการจัดการข้อมูลตามความอ่อนไหวของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูขัดแย้งกับการลดการฝึกอบรมภายในของกำลังพล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การลดการฝึกอบรมในช่วงที่ภัยคุกคามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นการตัดสินใจที่สั้นเกินไป และอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายในหรือความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัยในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล ➡️ ยกเลิก Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึก CUI ➡️ ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรม ➡️ เหตุผลคือเพื่อให้ทหารโฟกัสกับภารกิจหลักด้านการรบ ➡️ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้น ➡️ กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังสอบสวนเหตุรั่วไหลของข้อมูลที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของจีน ➡️ โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ถูกโจมตีเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023 ➡️ ก่อนหน้านี้เพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ที่เน้นความเข้มงวด ➡️ การลดการฝึกอบรมขัดแย้งกับแนวโน้มการเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Controlled Unclassified Information (CUI) คือข้อมูลที่ไม่จัดเป็นลับแต่ยังต้องมีการควบคุม ➡️ Privacy Act Training ช่วยให้ทหารเข้าใจการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ การฝึกอบรมไซเบอร์ช่วยให้บุคลากรสามารถรับมือกับ phishing, malware และ insider threat ได้ดีขึ้น ➡️ ระบบอัตโนมัติอาจช่วยลดภาระงาน แต่ไม่สามารถแทนความเข้าใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด ➡️ การโจมตีไซเบอร์ในสงครามสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญ เช่นในกรณีรัสเซีย–ยูเครน และอิสราเอล–อิหร่าน https://www.techradar.com/pro/security/us-department-of-war-reduces-cybersecurity-training-tells-soldiers-to-focus-on-their-mission
    WWW.TECHRADAR.COM
    US Department of War reduces cybersecurity training, tells soldiers to focus on their mission
    Cybersecurity training is apparently no longer a priority for the US armed forces
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว


  • ..จริงๆสส.สมควรมีแค่เงินเดือนก็พอนะ.ฤ
    ..ข้าราชการทั่วประเทศก็สมควรมีแค่เงินเดือนแค่นั้นเช่นกัน.
    ..การรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องเข้าใช้สิทธิ30บาทรักษาทุกๆโรค ทุกๆที่เสมอกัน,ชัตดาวน์และปิดสวิตช์ไปเลยในสวัสดิการต่างๆสิ้นเปลืองมากเช่นเบี้ยนั้นเบี้ยนี้ เบี้ยประชุมสส.ซึ่งต้องประชุมนั้นมันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว.
    ..สิทธิประโยชน์สส.ทั้งหมดจึงสมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนข้าราชการทั่วไทยที่ฝ่ายนักการเมืองเองต้องบริหารคนข้าราชการในนามรัฐบาลอยู่แล้วด้วยจึงสมควรยุบทิ้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้หมด ทำตนเองมาหัดใช้แบบประชาชนตนที่ขันอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย,ไปสร้างสมดุลที่เงินเดือนฝ่ายเดียวดีกว่า เช่น สส.คาดว่าใช้วันละ1,000ก็คงเพียงพอ 30วันก็30,000บาทต่อเดือนอาจคูณ3เท่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนเกินอื่นๆที่จำเป็นและเลอะเทอะบ้างก็90,000บาทต่อเดือน,ตีให้เป็นตัวเลขกลมๆให้แก่เกียรติสส.ก็100,000บาทต่อคนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว,เลิกคนรับใช้ลูกน้องสส.ทั้งหมด

    ..

    #สวัสดิการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)
    ..ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การเดินทาง การศึกษาบุตร และเบี้ยประชุม โดย สส. สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนดไว้ในด้านการรักษาพยาบาล การเดินทาง และมีผู้ช่วยในการทำงานพร้อมค่าตอบแทน นอกจากนี้ สส. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิตตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และมีเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ. นอกจากสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท
    เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง


    ทีมงาน: สส. สามารถแต่งตั้งทีมงานได้ 8 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คน (เงินเดือน 24,000 บาท), ผู้ชำนาญการ 2 คน (เงินเดือน 15,000 บาท), และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน (เงินเดือน 15,000 บาท).

    ค่าเดินทาง: เบิกค่าเดินทางไปประชุมรัฐสภาตามระยะทางและค่าพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ, รถยนต์ประจำทาง, เครื่องบิน ได้ตามจริง.

    เบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก: ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับเดินทางไปราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเบิกค่าเช่าที่พักตามจริงหรืออัตราเหมาจ่าย.

    เบี้ยประชุม: ได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการ.
    สวัสดิการหลังพ้นจากตำแหน่ง

    เงินทุนเลี้ยงชีพ: ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิต ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง.

    เงินช่วยเหลือ: กรณีถึงแก่กรรม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท และค่าพวงหรีด 1,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท

    ...........................................................................

    เป็น ส.ส.ได้เงินเดือน-สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
    การเมือง
    20 มิ.ย. 66

    หลัง กกต. ประกาศรับรอง ส.ส. ให้ทั้ง 500 คนเรียบร้อยแล้ว กำหนดการเปิดประชุมสภาฯ คาดการณ์จะมีขึ้นกลางเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ส.ส.แต่ละคนจะเริ่มปฏิบัติงานกันตามที่เคยหาเสียงไว้ เปิดรายได้ ส.ส. ได้เงินเดือนและสวัสดิการคุ้มค่ากับเสียงที่เลือกมาหรือไม่
    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติการจ่ายเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา ดังนี้
    เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีซึ่งต้องกำหนดให้จ่ายได้ไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ (มาตรา 196)
    ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 123)
    ต่อมาในปี 2555 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือนนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ดังนี้


    ประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 50,000 บาท รวมเป็นเดือนละ 125,590 บาท

    รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,250 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท

    ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,240 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท
    เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง

    ...........................................................................


    ตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่สำคัญ
    นายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท
    รองนายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 119,920 บาท
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รายรับรวมเดือนละ 115,740 บาท
    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง รายรับรวมเดือนละ 113,560 บาท

    หมายเหตุ : ส.ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย เมื่อได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ส.ส. อีก

    ...........................................................................

    คณะทำงานทางการเมือง
    คณะทำงานทางการเมืองจะประกอบด้วย ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ตามความประสงค์ของปธ.สภาฯ, รอง ปธ.สภาฯ และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วแต่กรณี โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนบุคคลในคณะทำงานทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ดังนี้

    ปธ.สภาฯ มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    รอง ปธ.สภาฯ 1 คน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 7 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    ผู้นำฝ่ายค้าน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    ...........................................................................


    ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
    ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา จะได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่ มายังจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา เฉพาะการเดินทางครั้งแรกเพื่อมาเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา ได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภากลับไปยังจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่เดิม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกระทรวง
    จ่ายให้เมื่อเข้ารัฐสภาในวันแรกของการรับตำแหน่ง ส.ส.
    และจ่ายให้อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดสภาพความเป็น ส.ส.
    ซึ่งการเดินทางนั้นครอบคลุม รถไฟ รถยนต์ประจำทาง และเครื่องบิน โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดใบเบิกทางโดยสารตามจริงให้ และอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้ 1 คน ในชั้นเดียวกัน


    เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของ ส.ส.
    พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2550 กำหนดให้ ส.ส. ได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงและต้องไม่เกินอัตราที่กำหนด

    ผู้ป่วยใน
    ค่าห้องและค่าอาหาร (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 4,000 บาท/วัน
    ค่าห้อง ICU/CCU (สูงสุดไม่เกิน 7 วัน/ครั้ง) 10,000 บาท/วัน
    ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 100,000 บาท/ครั้ง
    ค่ารถพยาบาล 1,000 บาท/ครั้ง
    ค่าแพทย์ผ่าตัด 120,000 บาท/ครั้ง
    ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 1,000 บาท/วัน
    ค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค 4,000 บาท/ครั้ง
    การรักษาทันตกรรม 5,000 บาท/ปี
    การคลอดบุตร :
    คลอดธรรมชาติ 20,000 บาท
    คลอดโดยการผ่าตัด 40,000 บาท
    สวัสดิการอื่น ๆ

    ...........................................................................

    ผู้ป่วยนอก
    ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 90,000 บาท/ปี
    อุบัติเหตุฉุกเฉิน 20,000 บาท/ครั้ง
    การตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท/ปี
    เบี้ยประชุมกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ
    ...........................................................................

    เบี้ยประชุมกรรมาธิการ
    ให้กรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท กรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่กรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง

    เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการ
    ให้อนุกรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 800 บาท อนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่อนุกรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะอนุกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง

    ที่มา : สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2556

    ...........................................................................


    https://youtube.com/shorts/2qe_HnXNIOU?si=ZquKZfAl3RBSL_Wo



    ..จริงๆสส.สมควรมีแค่เงินเดือนก็พอนะ.ฤ ..ข้าราชการทั่วประเทศก็สมควรมีแค่เงินเดือนแค่นั้นเช่นกัน. ..การรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องเข้าใช้สิทธิ30บาทรักษาทุกๆโรค ทุกๆที่เสมอกัน,ชัตดาวน์และปิดสวิตช์ไปเลยในสวัสดิการต่างๆสิ้นเปลืองมากเช่นเบี้ยนั้นเบี้ยนี้ เบี้ยประชุมสส.ซึ่งต้องประชุมนั้นมันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว. ..สิทธิประโยชน์สส.ทั้งหมดจึงสมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนข้าราชการทั่วไทยที่ฝ่ายนักการเมืองเองต้องบริหารคนข้าราชการในนามรัฐบาลอยู่แล้วด้วยจึงสมควรยุบทิ้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้หมด ทำตนเองมาหัดใช้แบบประชาชนตนที่ขันอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย,ไปสร้างสมดุลที่เงินเดือนฝ่ายเดียวดีกว่า เช่น สส.คาดว่าใช้วันละ1,000ก็คงเพียงพอ 30วันก็30,000บาทต่อเดือนอาจคูณ3เท่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนเกินอื่นๆที่จำเป็นและเลอะเทอะบ้างก็90,000บาทต่อเดือน,ตีให้เป็นตัวเลขกลมๆให้แก่เกียรติสส.ก็100,000บาทต่อคนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว,เลิกคนรับใช้ลูกน้องสส.ทั้งหมด .. #สวัสดิการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ..ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การเดินทาง การศึกษาบุตร และเบี้ยประชุม โดย สส. สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนดไว้ในด้านการรักษาพยาบาล การเดินทาง และมีผู้ช่วยในการทำงานพร้อมค่าตอบแทน นอกจากนี้ สส. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิตตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และมีเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ. นอกจากสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ทีมงาน: สส. สามารถแต่งตั้งทีมงานได้ 8 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คน (เงินเดือน 24,000 บาท), ผู้ชำนาญการ 2 คน (เงินเดือน 15,000 บาท), และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน (เงินเดือน 15,000 บาท). ค่าเดินทาง: เบิกค่าเดินทางไปประชุมรัฐสภาตามระยะทางและค่าพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ, รถยนต์ประจำทาง, เครื่องบิน ได้ตามจริง. เบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก: ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับเดินทางไปราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเบิกค่าเช่าที่พักตามจริงหรืออัตราเหมาจ่าย. เบี้ยประชุม: ได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการ. สวัสดิการหลังพ้นจากตำแหน่ง เงินทุนเลี้ยงชีพ: ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิต ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง. เงินช่วยเหลือ: กรณีถึงแก่กรรม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท และค่าพวงหรีด 1,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท ........................................................................... เป็น ส.ส.ได้เงินเดือน-สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง การเมือง 20 มิ.ย. 66 หลัง กกต. ประกาศรับรอง ส.ส. ให้ทั้ง 500 คนเรียบร้อยแล้ว กำหนดการเปิดประชุมสภาฯ คาดการณ์จะมีขึ้นกลางเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ส.ส.แต่ละคนจะเริ่มปฏิบัติงานกันตามที่เคยหาเสียงไว้ เปิดรายได้ ส.ส. ได้เงินเดือนและสวัสดิการคุ้มค่ากับเสียงที่เลือกมาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติการจ่ายเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา ดังนี้ เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีซึ่งต้องกำหนดให้จ่ายได้ไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ (มาตรา 196) ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 123) ต่อมาในปี 2555 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือนนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ดังนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 50,000 บาท รวมเป็นเดือนละ 125,590 บาท รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,250 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,240 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ........................................................................... ตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่สำคัญ นายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท รองนายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 119,920 บาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รายรับรวมเดือนละ 115,740 บาท รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง รายรับรวมเดือนละ 113,560 บาท หมายเหตุ : ส.ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย เมื่อได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ส.ส. อีก ........................................................................... คณะทำงานทางการเมือง คณะทำงานทางการเมืองจะประกอบด้วย ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ตามความประสงค์ของปธ.สภาฯ, รอง ปธ.สภาฯ และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วแต่กรณี โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนบุคคลในคณะทำงานทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ดังนี้ ปธ.สภาฯ มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท รอง ปธ.สภาฯ 1 คน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 7 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท ผู้นำฝ่ายค้าน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท ........................................................................... ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา จะได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่ มายังจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา เฉพาะการเดินทางครั้งแรกเพื่อมาเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา ได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภากลับไปยังจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่เดิม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกระทรวง จ่ายให้เมื่อเข้ารัฐสภาในวันแรกของการรับตำแหน่ง ส.ส. และจ่ายให้อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดสภาพความเป็น ส.ส. ซึ่งการเดินทางนั้นครอบคลุม รถไฟ รถยนต์ประจำทาง และเครื่องบิน โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดใบเบิกทางโดยสารตามจริงให้ และอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้ 1 คน ในชั้นเดียวกัน เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของ ส.ส. พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2550 กำหนดให้ ส.ส. ได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงและต้องไม่เกินอัตราที่กำหนด ผู้ป่วยใน ค่าห้องและค่าอาหาร (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 4,000 บาท/วัน ค่าห้อง ICU/CCU (สูงสุดไม่เกิน 7 วัน/ครั้ง) 10,000 บาท/วัน ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 100,000 บาท/ครั้ง ค่ารถพยาบาล 1,000 บาท/ครั้ง ค่าแพทย์ผ่าตัด 120,000 บาท/ครั้ง ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 1,000 บาท/วัน ค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค 4,000 บาท/ครั้ง การรักษาทันตกรรม 5,000 บาท/ปี การคลอดบุตร : คลอดธรรมชาติ 20,000 บาท คลอดโดยการผ่าตัด 40,000 บาท สวัสดิการอื่น ๆ ........................................................................... ผู้ป่วยนอก ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 90,000 บาท/ปี อุบัติเหตุฉุกเฉิน 20,000 บาท/ครั้ง การตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท/ปี เบี้ยประชุมกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ........................................................................... เบี้ยประชุมกรรมาธิการ ให้กรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท กรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่กรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการ ให้อนุกรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 800 บาท อนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่อนุกรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะอนุกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง ที่มา : สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2556 ........................................................................... https://youtube.com/shorts/2qe_HnXNIOU?si=ZquKZfAl3RBSL_Wo
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Oracle ถูกขู่เรียกค่าไถ่จากแฮกเกอร์ — ข้อมูลลูกค้า E-Business Suite อาจถูกเจาะผ่านช่องโหว่เดิม”

    Oracle กำลังเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับ Cl0p ransomware ได้ส่งอีเมลขู่เรียกค่าไถ่ไปยังผู้บริหารขององค์กรต่าง ๆ ที่ใช้ระบบ Oracle E-Business Suite โดยอ้างว่าขโมยข้อมูลสำคัญไปแล้ว และเรียกร้องเงินสูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น

    การโจมตีเริ่มต้นเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้บัญชีอีเมลที่ถูกเจาะจำนวนมาก ส่งอีเมลไปยังผู้บริหารระดับสูง พร้อมแนบหลักฐาน เช่น ภาพหน้าจอและโครงสร้างไฟล์ เพื่อแสดงว่าพวกเขาเข้าถึงระบบได้จริง แม้ว่า Google และ Mandiant จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลถูกขโมยจริงหรือไม่ แต่ก็พบว่ามีการใช้บัญชีที่เคยเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Cl0p และ FIN11 ซึ่งเป็นกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีประวัติการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก

    ช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้คือการเจาะบัญชีผู้ใช้และใช้ฟีเจอร์รีเซ็ตรหัสผ่านในหน้า AppsLocalLogin.jsp ซึ่งมักไม่อยู่ภายใต้ระบบ SSO และไม่มีการเปิดใช้ MFA ทำให้สามารถเข้าถึงระบบได้โดยง่าย โดย Oracle ยอมรับว่าการโจมตีอาจใช้ช่องโหว่ที่เคยถูกระบุไว้ก่อนหน้านี้ และแนะนำให้ลูกค้าอัปเดตแพตช์ล่าสุดทันที

    แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าข้อมูลถูกขโมยจริง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแค่อีเมลขู่ก็สามารถสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กรได้แล้ว และแนะนำให้ทุกองค์กรที่ใช้ Oracle EBS ตรวจสอบระบบอย่างละเอียดเพื่อหาหลักฐานการเจาะระบบหรือการเข้าถึงที่ผิดปกติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Oracle ยืนยันว่าลูกค้าได้รับอีเมลขู่เรียกค่าไถ่จากแฮกเกอร์
    กลุ่มที่เกี่ยวข้องคือ Cl0p และ FIN11 ซึ่งมีประวัติการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่
    อีเมลขู่มีหลักฐาน เช่น ภาพหน้าจอและโครงสร้างไฟล์ เพื่อเพิ่มแรงกดดัน
    เริ่มต้นเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 และยังดำเนินอยู่
    ใช้ช่องทางรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านหน้า AppsLocalLogin.jsp ที่ไม่มี MFA
    Oracle แนะนำให้ลูกค้าอัปเดตแพตช์ล่าสุดเพื่อปิดช่องโหว่
    มีการเรียกร้องเงินสูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์ในบางกรณี
    อีเมลถูกส่งจากบัญชีที่เคยเกี่ยวข้องกับ Cl0p และปรากฏบนเว็บ data leak ของกลุ่ม
    Google และ Mandiant ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลถูกขโมยจริง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Oracle E-Business Suite เป็นระบบ ERP ที่ใช้จัดการการเงิน, HR, CRM และซัพพลายเชน
    Cl0p เคยโจมตี MOVEit Transfer ในปี 2023 ทำให้ข้อมูลรั่วไหลจากองค์กรกว่า 2,700 แห่ง
    FIN11 เป็นกลุ่มที่ใช้ Cl0p ransomware และมีประวัติการโจมตีแบบ phishing และ credential abuse
    การไม่มี MFA ในระบบ login ภายในองค์กรเป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อย
    การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านหน้าเว็บที่เปิดสาธารณะเป็นจุดเสี่ยงสูง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/03/oracle-says-hackers-are-trying-to-extort-its-customers
    🕵️‍♂️ “Oracle ถูกขู่เรียกค่าไถ่จากแฮกเกอร์ — ข้อมูลลูกค้า E-Business Suite อาจถูกเจาะผ่านช่องโหว่เดิม” Oracle กำลังเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ เมื่อกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อมโยงกับ Cl0p ransomware ได้ส่งอีเมลขู่เรียกค่าไถ่ไปยังผู้บริหารขององค์กรต่าง ๆ ที่ใช้ระบบ Oracle E-Business Suite โดยอ้างว่าขโมยข้อมูลสำคัญไปแล้ว และเรียกร้องเงินสูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์เพื่อไม่ให้เปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น การโจมตีเริ่มต้นเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยแฮกเกอร์ใช้บัญชีอีเมลที่ถูกเจาะจำนวนมาก ส่งอีเมลไปยังผู้บริหารระดับสูง พร้อมแนบหลักฐาน เช่น ภาพหน้าจอและโครงสร้างไฟล์ เพื่อแสดงว่าพวกเขาเข้าถึงระบบได้จริง แม้ว่า Google และ Mandiant จะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลถูกขโมยจริงหรือไม่ แต่ก็พบว่ามีการใช้บัญชีที่เคยเกี่ยวข้องกับกลุ่ม Cl0p และ FIN11 ซึ่งเป็นกลุ่มอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีประวัติการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก ช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้คือการเจาะบัญชีผู้ใช้และใช้ฟีเจอร์รีเซ็ตรหัสผ่านในหน้า AppsLocalLogin.jsp ซึ่งมักไม่อยู่ภายใต้ระบบ SSO และไม่มีการเปิดใช้ MFA ทำให้สามารถเข้าถึงระบบได้โดยง่าย โดย Oracle ยอมรับว่าการโจมตีอาจใช้ช่องโหว่ที่เคยถูกระบุไว้ก่อนหน้านี้ และแนะนำให้ลูกค้าอัปเดตแพตช์ล่าสุดทันที แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าข้อมูลถูกขโมยจริง แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าแค่อีเมลขู่ก็สามารถสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นขององค์กรได้แล้ว และแนะนำให้ทุกองค์กรที่ใช้ Oracle EBS ตรวจสอบระบบอย่างละเอียดเพื่อหาหลักฐานการเจาะระบบหรือการเข้าถึงที่ผิดปกติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Oracle ยืนยันว่าลูกค้าได้รับอีเมลขู่เรียกค่าไถ่จากแฮกเกอร์ ➡️ กลุ่มที่เกี่ยวข้องคือ Cl0p และ FIN11 ซึ่งมีประวัติการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ อีเมลขู่มีหลักฐาน เช่น ภาพหน้าจอและโครงสร้างไฟล์ เพื่อเพิ่มแรงกดดัน ➡️ เริ่มต้นเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 และยังดำเนินอยู่ ➡️ ใช้ช่องทางรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านหน้า AppsLocalLogin.jsp ที่ไม่มี MFA ➡️ Oracle แนะนำให้ลูกค้าอัปเดตแพตช์ล่าสุดเพื่อปิดช่องโหว่ ➡️ มีการเรียกร้องเงินสูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์ในบางกรณี ➡️ อีเมลถูกส่งจากบัญชีที่เคยเกี่ยวข้องกับ Cl0p และปรากฏบนเว็บ data leak ของกลุ่ม ➡️ Google และ Mandiant ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลถูกขโมยจริง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Oracle E-Business Suite เป็นระบบ ERP ที่ใช้จัดการการเงิน, HR, CRM และซัพพลายเชน ➡️ Cl0p เคยโจมตี MOVEit Transfer ในปี 2023 ทำให้ข้อมูลรั่วไหลจากองค์กรกว่า 2,700 แห่ง ➡️ FIN11 เป็นกลุ่มที่ใช้ Cl0p ransomware และมีประวัติการโจมตีแบบ phishing และ credential abuse ➡️ การไม่มี MFA ในระบบ login ภายในองค์กรเป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อย ➡️ การรีเซ็ตรหัสผ่านผ่านหน้าเว็บที่เปิดสาธารณะเป็นจุดเสี่ยงสูง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/03/oracle-says-hackers-are-trying-to-extort-its-customers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Oracle says hackers are trying to extort its customers
    WASHINGTON (Reuters) -Oracle said on Thursday that customers of its E-Business Suite of products "have received extortion emails," confirming a warning first issued on Wednesday by Alphabet's Google.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิกฤตความอดอยากในกาซา: เมื่อความหิวกลายเป็นอาวุธ และมนุษยธรรมถูกบดขยี้ด้วยระบบ”

    กว่า 700 วันของสงครามระหว่างอิสราเอลและกาซา ได้ผลักประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ภาวะอดอยากอย่างรุนแรง รายงานจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารของสหประชาชาติ (IPC) ระบุว่า ภาวะอดอยากในกาซาเป็น “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น” โดยมีประชาชนกว่า 500,000 คนในเขตกาซาเพียงแห่งเดียวที่ต้องเผชิญกับความหิวโหย ความยากไร้ และความตาย

    IPC คาดการณ์ว่าภายในเดือนกันยายน 2025 ประชากรเกือบหนึ่งในสามของกาซาจะเข้าสู่ภาวะอดอยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ Deir Al-Balah และ Khan Younis ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมากกว่า 132,000 คนถูกคาดว่าจะมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และกว่า 41,000 คนอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

    แม้อิสราเอลจะปฏิเสธรายงานของ IPC โดยกล่าวว่าเป็นข้อมูลที่ “ลำเอียงและไม่ครบถ้วน” แต่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมกลับชี้ว่าอิสราเอลได้ใช้ระบบราชการที่ซับซ้อน การตรวจสอบชายแดนที่เข้มงวด และการปฏิเสธสิ่งของโดยพลการ เพื่อจำกัดการเข้าถึงอาหารและความช่วยเหลือ ทำให้ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าความต้องการขั้นต่ำของร่างกายที่ 2,300 แคลอรี

    นอกจากนี้ การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การห้ามการประมง และการทำลายพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้แหล่งอาหารในท้องถิ่นแทบไม่เหลืออยู่เลย ขณะที่การแจกจ่ายอาหารผ่านองค์กรเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิสราเอล เช่น GHF ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ไร้มนุษยธรรม” และ “อันตราย” โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการพยายามเข้าถึงจุดแจกจ่ายอาหาร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IPC ประกาศภาวะอดอยากในกาซา โดยเฉพาะในเขตกาซา, Deir Al-Balah และ Khan Younis
    เด็กกว่า 132,000 คนมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และ 41,000 คนเสี่ยงเสียชีวิต
    อิสราเอลควบคุมการเข้าถึงอาหาร “ถึงระดับแคลอรี” ต่อคนต่อวัน
    ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน จากที่ควรได้รับ 2,300 แคลอรี
    โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและเกษตรกรรมถูกทำลายอย่างหนัก
    จุดแจกจ่ายอาหารของ GHF มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการเข้าถึง
    UN และ WHO เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดทางให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบ
    IPC ใช้เกณฑ์ MUAC ในการประเมินภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IPC Phase 5 คือระดับ “Catastrophe” ซึ่งหมายถึงภาวะอดอยากขั้นรุนแรง
    MUAC (Mid-Upper Arm Circumference) เป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต
    การใช้ความหิวเป็นอาวุธถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
    การปิดกั้นความช่วยเหลือในพื้นที่สงครามอาจเข้าข่าย “การลงโทษแบบรวมหมู่”
    การฟื้นฟูระบบอาหารต้องอาศัยการหยุดยิง, การเข้าถึงแบบไม่ถูกขัดขวาง และการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน

    https://edition.cnn.com/2025/10/02/middleeast/gaza-famine-causes-vis-intl
    🕊️ “วิกฤตความอดอยากในกาซา: เมื่อความหิวกลายเป็นอาวุธ และมนุษยธรรมถูกบดขยี้ด้วยระบบ” กว่า 700 วันของสงครามระหว่างอิสราเอลและกาซา ได้ผลักประชาชนในพื้นที่เข้าสู่ภาวะอดอยากอย่างรุนแรง รายงานจากคณะผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารของสหประชาชาติ (IPC) ระบุว่า ภาวะอดอยากในกาซาเป็น “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น” โดยมีประชาชนกว่า 500,000 คนในเขตกาซาเพียงแห่งเดียวที่ต้องเผชิญกับความหิวโหย ความยากไร้ และความตาย IPC คาดการณ์ว่าภายในเดือนกันยายน 2025 ประชากรเกือบหนึ่งในสามของกาซาจะเข้าสู่ภาวะอดอยาก โดยเฉพาะในพื้นที่ Deir Al-Balah และ Khan Younis ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีมากกว่า 132,000 คนถูกคาดว่าจะมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และกว่า 41,000 คนอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเสียชีวิต แม้อิสราเอลจะปฏิเสธรายงานของ IPC โดยกล่าวว่าเป็นข้อมูลที่ “ลำเอียงและไม่ครบถ้วน” แต่หน่วยงานด้านมนุษยธรรมกลับชี้ว่าอิสราเอลได้ใช้ระบบราชการที่ซับซ้อน การตรวจสอบชายแดนที่เข้มงวด และการปฏิเสธสิ่งของโดยพลการ เพื่อจำกัดการเข้าถึงอาหารและความช่วยเหลือ ทำให้ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าความต้องการขั้นต่ำของร่างกายที่ 2,300 แคลอรี นอกจากนี้ การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การห้ามการประมง และการทำลายพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้แหล่งอาหารในท้องถิ่นแทบไม่เหลืออยู่เลย ขณะที่การแจกจ่ายอาหารผ่านองค์กรเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากอิสราเอล เช่น GHF ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ไร้มนุษยธรรม” และ “อันตราย” โดยมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการพยายามเข้าถึงจุดแจกจ่ายอาหาร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IPC ประกาศภาวะอดอยากในกาซา โดยเฉพาะในเขตกาซา, Deir Al-Balah และ Khan Younis ➡️ เด็กกว่า 132,000 คนมีภาวะทุพโภชนาการเฉียบพลัน และ 41,000 คนเสี่ยงเสียชีวิต ➡️ อิสราเอลควบคุมการเข้าถึงอาหาร “ถึงระดับแคลอรี” ต่อคนต่อวัน ➡️ ประชาชนในกาซาได้รับพลังงานเพียง 1,400 แคลอรีต่อวัน จากที่ควรได้รับ 2,300 แคลอรี ➡️ โครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพและเกษตรกรรมถูกทำลายอย่างหนัก ➡️ จุดแจกจ่ายอาหารของ GHF มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คนจากการเข้าถึง ➡️ UN และ WHO เรียกร้องให้มีการหยุดยิงและเปิดทางให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มรูปแบบ ➡️ IPC ใช้เกณฑ์ MUAC ในการประเมินภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในหลายประเทศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IPC Phase 5 คือระดับ “Catastrophe” ซึ่งหมายถึงภาวะอดอยากขั้นรุนแรง ➡️ MUAC (Mid-Upper Arm Circumference) เป็นตัวชี้วัดที่สัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิต ➡️ การใช้ความหิวเป็นอาวุธถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ➡️ การปิดกั้นความช่วยเหลือในพื้นที่สงครามอาจเข้าข่าย “การลงโทษแบบรวมหมู่” ➡️ การฟื้นฟูระบบอาหารต้องอาศัยการหยุดยิง, การเข้าถึงแบบไม่ถูกขัดขวาง และการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน https://edition.cnn.com/2025/10/02/middleeast/gaza-famine-causes-vis-intl
    EDITION.CNN.COM
    How Israeli actions caused famine in Gaza, visualized | CNN
    Israel’s war in Gaza led to more than half a million Palestinians being stuck in a cycle of ‘starvation, destitution and death,’ a UN-backed initiative said. Five charts explain how.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 187 มุมมอง 0 รีวิว
  • “UPnP บน Xbox: ทางลัดสู่การเล่นออนไลน์ลื่นไหล หรือช่องโหว่ที่เปิดบ้านให้แฮกเกอร์?”

    ในยุคที่เกมออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้เล่น Xbox หลายคน การตั้งค่าเครือข่ายให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งค่า NAT (Network Address Translation) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่ง UPnP หรือ Universal Plug and Play คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Xbox สามารถเปิดพอร์ตที่จำเป็นสำหรับการเล่นเกมและแชทเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าด้วยตัวเอง

    UPnP ทำงานโดยให้ Xbox ส่งคำขอไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตที่จำเป็น เช่น สำหรับเกม Call of Duty หรือ Fortnite ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเกมไหลผ่านเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และทำให้ NAT type ของ Xbox เป็นแบบ “Open” ซึ่งเป็นสถานะที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นออนไลน์

    แต่ความสะดวกนี้ก็มีด้านมืด เพราะ UPnP ไม่มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เลย — มันเชื่อทุกคำขอจากอุปกรณ์ในเครือข่ายทันที ซึ่งหมายความว่า หากมีอุปกรณ์ที่ถูกแฮกอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน มันสามารถส่งคำขอปลอมไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในบ้านได้

    ช่องโหว่นี้เคยถูกใช้ในการโจมตีครั้งใหญ่ เช่น Mirai botnet ที่เจาะอุปกรณ์ IoT ผ่าน UPnP โดยไม่ต้องผ่าน firewall เลย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจึงแนะนำว่า หากคุณต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรปิด UPnP และตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเอง แม้จะยุ่งยากกว่า แต่คุณจะควบคุมได้เต็มที่ว่า “ประตูไหนเปิดให้ใคร”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    UPnP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ Xbox เปิดพอร์ตเครือข่ายโดยอัตโนมัติ
    ช่วยให้ NAT type เป็นแบบ “Open” ซึ่งดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมออนไลน์
    Xbox ใช้ UPnP เพื่อเชื่อมต่อกับเกมและแชทเสียงโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง
    หาก UPnP ไม่ทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาด “UPnP Not Successful” บน Xbox
    NAT แบบ Moderate หรือ Strict จะจำกัดการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น
    การตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
    UPnP เป็นฟีเจอร์ที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้นในเราเตอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xbox ใช้พอร์ต UDP: 88, 500, 3544, 4500 และ TCP/UDP: 3074 สำหรับการเชื่อมต่อ
    การตั้งค่า static IP บน Xbox ช่วยให้ port forwarding มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    บางเราเตอร์ต้องตั้งค่า DMZ หรือปรับ firewall เพื่อให้ Xbox เชื่อมต่อได้ดี
    Carrier-Grade NAT (CGNAT) จาก ISP บางรายอาจทำให้ NAT type เป็นแบบ Strict โดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง
    การตั้งค่า port forwarding ต้องใช้ข้อมูล IP, MAC address และ gateway ของ Xbox

    https://www.slashgear.com/1981414/xbox-upnp-router-feature-purpose-what-for-how-enable/
    🎮 “UPnP บน Xbox: ทางลัดสู่การเล่นออนไลน์ลื่นไหล หรือช่องโหว่ที่เปิดบ้านให้แฮกเกอร์?” ในยุคที่เกมออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้เล่น Xbox หลายคน การตั้งค่าเครือข่ายให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งค่า NAT (Network Address Translation) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่ง UPnP หรือ Universal Plug and Play คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Xbox สามารถเปิดพอร์ตที่จำเป็นสำหรับการเล่นเกมและแชทเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าด้วยตัวเอง UPnP ทำงานโดยให้ Xbox ส่งคำขอไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตที่จำเป็น เช่น สำหรับเกม Call of Duty หรือ Fortnite ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเกมไหลผ่านเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และทำให้ NAT type ของ Xbox เป็นแบบ “Open” ซึ่งเป็นสถานะที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นออนไลน์ แต่ความสะดวกนี้ก็มีด้านมืด เพราะ UPnP ไม่มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เลย — มันเชื่อทุกคำขอจากอุปกรณ์ในเครือข่ายทันที ซึ่งหมายความว่า หากมีอุปกรณ์ที่ถูกแฮกอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน มันสามารถส่งคำขอปลอมไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในบ้านได้ ช่องโหว่นี้เคยถูกใช้ในการโจมตีครั้งใหญ่ เช่น Mirai botnet ที่เจาะอุปกรณ์ IoT ผ่าน UPnP โดยไม่ต้องผ่าน firewall เลย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจึงแนะนำว่า หากคุณต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรปิด UPnP และตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเอง แม้จะยุ่งยากกว่า แต่คุณจะควบคุมได้เต็มที่ว่า “ประตูไหนเปิดให้ใคร” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ UPnP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ Xbox เปิดพอร์ตเครือข่ายโดยอัตโนมัติ ➡️ ช่วยให้ NAT type เป็นแบบ “Open” ซึ่งดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมออนไลน์ ➡️ Xbox ใช้ UPnP เพื่อเชื่อมต่อกับเกมและแชทเสียงโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง ➡️ หาก UPnP ไม่ทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาด “UPnP Not Successful” บน Xbox ➡️ NAT แบบ Moderate หรือ Strict จะจำกัดการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ➡️ การตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ➡️ UPnP เป็นฟีเจอร์ที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้นในเราเตอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xbox ใช้พอร์ต UDP: 88, 500, 3544, 4500 และ TCP/UDP: 3074 สำหรับการเชื่อมต่อ ➡️ การตั้งค่า static IP บน Xbox ช่วยให้ port forwarding มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ บางเราเตอร์ต้องตั้งค่า DMZ หรือปรับ firewall เพื่อให้ Xbox เชื่อมต่อได้ดี ➡️ Carrier-Grade NAT (CGNAT) จาก ISP บางรายอาจทำให้ NAT type เป็นแบบ Strict โดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง ➡️ การตั้งค่า port forwarding ต้องใช้ข้อมูล IP, MAC address และ gateway ของ Xbox https://www.slashgear.com/1981414/xbox-upnp-router-feature-purpose-what-for-how-enable/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is UPnP On Xbox, And Should You Have It Enabled? - SlashGear
    The wrong NAT type can ruin your planned night of gaming on an Xbox Series X or S, but it's an easy enough fix if you're getting a UPnP error.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • เวทีโลก เวทีมาเฟีย วัดฝีมือรัฐบาล : คนเคาะข่าว 1-10-68

    ร่วมสนทนา
    รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง
    ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์

    https://www.youtube.com/watch?v=0lucJe7G-xw
    เวทีโลก เวทีมาเฟีย วัดฝีมือรัฐบาล : คนเคาะข่าว 1-10-68 ร่วมสนทนา รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศและความมั่นคง ดำเนินรายการโดย กรองทอง เศรษฐสุทธิ์ https://www.youtube.com/watch?v=0lucJe7G-xw
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม”
    (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้
    ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago
    นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
    น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้
    นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein
    กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว
    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller
    ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910
    น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น
    เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง
    ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน
    Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ
    แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน
    ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน
    อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557
    (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    เหยื่อ – เสี้ยม ตอนที่ 6 บทขยาย 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
บทขยาย ท้ายตอน “เสี้ยม” (2)

นาย Charles Richard Crane (1850-1939) เป็นเศรษฐีอเมริกัน ครอบครัวอยู่ในธุรกิจอุตสาหกรรมทำระบบท่อใน Chicago ยุค ค.ศ. 1900 เขาเป็นคนนิยมชมชอบวัฒนธรรมของตะวันออกกลาง และเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับบริเวณนั้น ด้วยธุรกิจของครอบครัว ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลางเป็นว่าเล่น จนทำให้รู้จักและคุ้นเคยกับผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองเกือบทุกระดับใน 2 ภูมิภาคนี้ ประมาณปี ค.ศ 1900 กว่า เขาได้นำผู้ทรงคุณวุฒิจากรัสเซียมาบรรยายที่มหาวิทยาลัย Chicago และในที่สุดก็เป็นผู้ดำเนินการก่อตั้ง Russian Studies ขึ้นที่มหาวิทยาลัย Chicago นาย Crane รู้จักและคุ้นเคยดีกับนาย Woodlow Wilson เขาเป็นนายทุนสนับสนุนเมื่อนาย Wilson หาเสียงในปี ค.ศ. 1912 เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี เมื่อนาย Wilson ได้เป็นประธานาธิบดี จึงตกรางวัลตั้งนาย Crane ให้เป็นผู้แทนพิเศษทางการฑูตระ หว่างอเมริกากับรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 เรียกว่า Root Commission และมอบหมายให้นาย Crane ร่วมกับนาย King นักเทววิทยา ทำการสำรวจประชามติของชาวอาหรับ เกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 น่าสนใจว่าใน รายงานของ Kingและ Crane มีระบุไว้ตอนหนึ่ง ว่านาย Crane ได้เตือนประธานาธิบดี Wilson ให้ระวังในการจะไปตกปากรับคำ สร้างรัฐปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว มันจะเป็นการบังคับให้อเมริกาต้องใช้กำลังในการควบคุมดูแลอาณาบริเวณนั้น เพราะด้วยกำลังเท่านั้น จึงจะควบคุมชาวยิวให้อยู่ในแถวได้ นาย Crane อยู่ฝ่ายที่คัดค้านให้ชาวยิวมาตั้งรกรากอยู่ที่ตะวันออกกลาง เขาสนับสนุนให้มีรัฐอาหรับ ปกครองโดยอาหรับ ตามฝันของ Sharif Hussein กว่า การสำรวจนี้จะทำเสร็จ การประชุมกับอังกฤษและฝรั่งเศสที่ปารีส ในปี ค.ศ. 1919 ก็เดินหน้าไปจวนจะจบการประชุม คณะสำรวจ รีบส่งรายงานไปให้ประธานาธิบดี Wilson เพื่อพิจารณา ก็แต่ประธานาธิบดีเกิดป่วยกระทันหัน ไม่รู้ได้อ่านรายงานนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายงานนี้ได้ถูกมือดี หรือ มือร้าย นำไปซ่อน สูญหายไปจากระบบงานกระทรวง ถึง 3 ปี กว่าจะหาเจอ อังกฤษและฝรั่งเศส ก็แบ่งเค้กอาหรับระหว่างกันเอง เรียบร้อยไปแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Crane จะดูไม่ครบ ถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นก๊วนเดียวกับตระกูล Rockefeller ท่าน ผู้อ่านนิทาน ที่ติดตามอ่านกันมานานเห็นชื่อม หาวิทยาลัย Chicago ก็คงพอเดาออกแล้ว ยิ่งเห็นว่าเป็นผู้ก่อตั้ง Russian Studies ที่มหาวิทยาลัยนี้ ก็คงไม่ต้องเล่าต่อกันมาก นอกจากนี้ นาย Crane ยังเป็นสมาชิกสมาคม Jekyll Island Club ที่โด่งดัง และมีสมาชิกที่เป็นพวกโคตรรวยและมีอิทธิพลทางการเมือง การเงิน เช่น Rockefeller และ Morgan รวมทั้ง พวกอีลิต นักการเงินและสื่อใหญ่เท่านั้น และที่ คลับนี้เอง ที่พวกมีอิทธิพล ได้ประชุมสุมหัวกันต้ัง US Federal Reserve ธนาคารกลางของอเมริกา เมื่อ คศ 1910 น่าจะต้องจารึกไว้ ด้วยว่า ค.ศ. 1931 นาย Crane เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ในการสำรวจน้ำมันครั้งแรกของอเมริกาที่ Saudi Arabia และ Yemen เขาเป็นส่วนสำคัญ ที่ทำให้อเมริกาได้สัมปทานน้ำมันที่นั่น เขียนยืดยาวเกี่ยวกับนาย Crane ถึงสิ่งที่เขาคิดและทำ เพื่อให้ท่านผู้อ่านนิทาน ลองต่อจิกซอว์กันดูเองบ้าง ท่าน ที่เคยอ่านนิทานเรื่องมายากลยุทธ คงจำได้ว่า อังกฤษจัดการให้ยิวไปอยู่ปาเลสไตน์ ไม่ใช่เพราะมีมนุษยธรรมสูงส่ง อย่าเข้าใจผิดขนาดนั้นเลย เหตุผลแรกที่อังกฤษส่งยิวไป เพราะช่วงนั้น Rothschild คนโคตรรวยผู้คุมตลาดการเงินของอังกฤษ อยากจะค้าขายกับ Russia แต่ทางรัสเซียวางเงื่อนไขว่า ถ้าจะค้าขายกันก็รีบจัดการ เอาพวกยิวออกไปจากรัสเซียเสียก่อน เพราะรัสเซียแสนจะรังเกียจยิว Rothschild ซึ่งจำเป็นต้องช่วยอพยพชาวยิวมาอยู่ที่อังกฤษ ทางอังกฤษก็ใช่ว่าจะรักยิวไปทั้งหมด รวมทั้งยิวที่อยู่ในอังกฤษเอง ก็ไม่อยากให้เพิ่มจำนวนยิวมาแย่งกันปล่อยเงินกู้ Rothchild จึงหาทางส่งออกยิวที่อพยพมาใหม่ออกไปอย่างรีบด่วน Rothschlid ใช้อิทธิพลบีบรัฐบาลอังกฤษ แล้วที่ไหนจะเหมาะเท่าปาเลสไตน์ ใช้กระสุนนัดเดียว ยิวก็พ้นภาระไปจากอังกฤษ และไปอยู่ที่ตะวันออกกลางเป็นก้างเสียบไม้เสี้ยมและขวางทางเจริญ และความสามัคคีปรองดองของชาวอาหรับ ตลอดกาล…เหี้ยมถึงใจ ตามที่อังกฤษต้องการ แต่ฝ่ายอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่ม Rockefeller และ CFR ก็น่าจะรู้ทันเกม จึงมีการส่งให้นาย Crane ไปประกบประธานาธิบดีและไปทำประชามติ จริง ๆ ก็คือไปเดินกล่อมอาหรับ ให้รับอเมริกา แทน อังกฤษ ฝรั่งเศส นอกจากนั้น นาย Crane ยังพยายามกระตุกอเมริกาว่าอย่าติดปีกให้ยิว ดีที่สุดเอาอาหรับที่ตัวเองไปกล่อมไว้แล้ว มาปกครองอาหรับเองดีกว่า เป็นการถีบอังกฤษให้ออกไปจากตะวันออกกลางเสียก่อน แล้วอเมริกาจะได้มาเป็นตาอยู่ กินรวบตะวันออกกลางต่อไป แผนผิดไปหน่อย 100 ปี ต่อมา ก็ดูเหมือนยังไม่สายเกินต้มแกงกิน ประธานาธิบดี Wilson คงไม่ได้บังเอิญป่วย และรายงานของ King Crane คงไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็หายตัวไป 3 ปี เกมชิงอำนาจ เกมล่าเหยื่อ เผ็ดมันทุกขั้นตอน อ่าน เรื่องนาย Crane อย่างย่อ ๆ แล้ว นึกถึงนาย Kenneth Landon ของผม ในนิทานเรื่องแกะรอยเก่า กันบ้างไหมครับ จำไม่ได้กลับไปอ่านอีกรอบนะครับ จะได้เห็นป่ากว้างและลึกขึ้น สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
20 ส.ค. 2557 (หมายเหตุ: ตอน 1 “เสี้ยม” จบแล้วครับ ตอน 2 กำลังจะมา ช้าหน่อย แต่มาแน่!)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ถ้าเป็นจริง ผู้นำประเทศไทยเราต้องระดับคนเหนือมนุษย์เข้ามาปกครองจริงๆนะ,มีพลังเวทย์ยิ่งสุดยอดแบบหนังจักรๆวงศ์ๆเรานั้นล่ะ,กากๆต้องหลบลงจากผู้ปกครองประเทศไทย,ปีศาจจำแลงแปลงร่างกายมาต้องดูออก,มองเห็นแบบมีระบบออโต้ตาทิพย์หูทิพย์ใจทิพย์ อ่านจิตอ่านใจคนฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย,ประเทศไทยเราต้องอัพเลเวลกันจริงจังตามนี้นะจึงจะรอดหรือเกรียวdna12-13เกรียวเราต้องได้คืนมา,มิใช่มี1-2เกรียวdnaแบบมนุษย์ปัจจุบัน,โลกก่อนล้านล้านปีของเรามีเช่นนั้นมาแล้ว,เราคนยุคปัจจุบันต้องทำได้ด้วย,มิเช่นนั้นพวกชั่วเลวสาระพัดจากต่างดาวอวกาศหรือใต้โลกใต้มหาสมุทรเราควบคุมเราสิ้นซากแบบปัจจุบันนี้ที่deep stateไซออนิสต์ต้องการปกครองควบคุมเรา.,ไทยเราต้องเป็นต้นแบบนะ.
    ระบบการกักขังและการเฝ้าระวังที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดใช้งานโดย Silicon Valley เอกสารภายในแสดง | Associated Press (AP)

    ap ได้รับเอกสารที่จำแนกและภายในหลายหมื่นหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ในสหรัฐอเมริกา (Microsoft, Intel, Oracle, IBM, Dell Amazon Web Services และระบบอื่น ๆ ) ออกแบบและทำการตลาดระบบที่กลายเป็นรากฐานสำหรับกรงดิจิตอลของจีน

    ในระดับสูงสุดไม่มี "US vs พวกเขา" ประเทศนี้เทียบกับประเทศนั้นหรือซ้ายเทียบกับด้านขวามันคือ "Satanic รักร่วมเพศเฒ่าหัวงูคลับ Freemasons Club" ทำงานร่วมกันเพื่อกดขี่มนุษยชาติ

    ลิงค์ข่าวap

    Silicon Valley เปิดใช้งานรัฐตำรวจดิจิตอลในประเทศจีนได้อย่างไร
    https://youtube.com/watch?v=uo_-d0lShxo&si=1EF92ko7zzGXmIhk

    ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง:

    ❇พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ได้รับเลือกจากผู้ควบคุมให้เป็นศูนย์ควบคุมของออสเตรเลีย


    ❇โดนัลด์ทรัมป์เสนอการใช้จ่ายเงิน 5500 พันล้านพันล้านเหรียญสหรัฐใน AI นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและทุกคนควรกลัว! | Ryan Villie (ผู้เชี่ยวชาญ AI)
    ..ถ้าเป็นจริง ผู้นำประเทศไทยเราต้องระดับคนเหนือมนุษย์เข้ามาปกครองจริงๆนะ,มีพลังเวทย์ยิ่งสุดยอดแบบหนังจักรๆวงศ์ๆเรานั้นล่ะ,กากๆต้องหลบลงจากผู้ปกครองประเทศไทย,ปีศาจจำแลงแปลงร่างกายมาต้องดูออก,มองเห็นแบบมีระบบออโต้ตาทิพย์หูทิพย์ใจทิพย์ อ่านจิตอ่านใจคนฝ่ายตรงข้ามได้ด้วย,ประเทศไทยเราต้องอัพเลเวลกันจริงจังตามนี้นะจึงจะรอดหรือเกรียวdna12-13เกรียวเราต้องได้คืนมา,มิใช่มี1-2เกรียวdnaแบบมนุษย์ปัจจุบัน,โลกก่อนล้านล้านปีของเรามีเช่นนั้นมาแล้ว,เราคนยุคปัจจุบันต้องทำได้ด้วย,มิเช่นนั้นพวกชั่วเลวสาระพัดจากต่างดาวอวกาศหรือใต้โลกใต้มหาสมุทรเราควบคุมเราสิ้นซากแบบปัจจุบันนี้ที่deep stateไซออนิสต์ต้องการปกครองควบคุมเรา.,ไทยเราต้องเป็นต้นแบบนะ. 🇨🇳ระบบการกักขังและการเฝ้าระวังที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดใช้งานโดย Silicon Valley เอกสารภายในแสดง | Associated Press (AP) ap ได้รับเอกสารที่จำแนกและภายในหลายหมื่นหน้าซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ในสหรัฐอเมริกา (Microsoft, Intel, Oracle, IBM, Dell Amazon Web Services และระบบอื่น ๆ ) ออกแบบและทำการตลาดระบบที่กลายเป็นรากฐานสำหรับกรงดิจิตอลของจีน ⚡ในระดับสูงสุดไม่มี "US vs พวกเขา" ประเทศนี้เทียบกับประเทศนั้นหรือซ้ายเทียบกับด้านขวามันคือ "Satanic รักร่วมเพศเฒ่าหัวงูคลับ Freemasons Club" ทำงานร่วมกันเพื่อกดขี่มนุษยชาติ ลิงค์ข่าว👉ap Silicon Valley เปิดใช้งานรัฐตำรวจดิจิตอลในประเทศจีนได้อย่างไร https://youtube.com/watch?v=uo_-d0lShxo&si=1EF92ko7zzGXmIhk 🎓ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมด้านล่าง: ❇พรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) ได้รับเลือกจากผู้ควบคุมให้เป็นศูนย์ควบคุมของออสเตรเลีย ❇โดนัลด์ทรัมป์เสนอการใช้จ่ายเงิน 5500 พันล้านพันล้านเหรียญสหรัฐใน AI นั้นน่ากลัวอย่างยิ่งและทุกคนควรกลัว! | Ryan Villie (ผู้เชี่ยวชาญ AI)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รีเซ็ตระบบความปลอดภัยองค์กร — บทเรียนจาก Marriott และแนวทางใหม่สำหรับ CISO ยุค AI”

    หลังจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับ Marriott ซึ่งส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของแขกกว่า 344 ล้านรายตั้งแต่ปี 2014 จนถึง 2020 หน่วยงาน FTC ของสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งให้บริษัทปรับโครงสร้างระบบความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด โดยเน้นการควบคุมสิทธิ์เข้าถึง การตรวจสอบผู้ให้บริการ และการทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง

    บทเรียนสำคัญคือ: อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือคำสั่งจากภาครัฐก่อนจะปรับปรุงระบบความปลอดภัย เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจเกินเยียวยา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำว่า CISO ควรตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า “ระบบความปลอดภัยของเรามีประสิทธิภาพจริงหรือไม่” และคำตอบที่ว่า “ยังไม่เคยโดนเจาะ” ไม่ใช่คำตอบที่ดีพอ

    สัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ควรจับตา ได้แก่ การโจมตีที่สำเร็จมากขึ้น, ความเหนื่อยล้าจากเครื่องมือที่มากเกินไป, ความล้มเหลวด้านกฎระเบียบ และความรู้สึกในองค์กรว่าทีมความปลอดภัยเป็น “ตัวขัดขวาง” มากกว่าพันธมิตร

    เมื่อองค์กรต้องเปลี่ยน CISO หลังเหตุการณ์ร้ายแรง สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูความไว้วางใจ การรีวิวระบบแบบครบวงจรโดยบุคคลที่สาม และการประเมินว่าผู้นำระดับสูงเคยสนับสนุนทีมความปลอดภัยจริงหรือไม่ เพราะปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่คน แต่ที่วัฒนธรรมองค์กร

    CISO ใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการ “ฟัง” — ไม่ใช่แค่ทีมความปลอดภัย แต่รวมถึง IT, ฝ่ายพัฒนา, และผู้บริหาร เพื่อเข้าใจว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะสร้างความร่วมมือได้อย่างไร จากนั้นจึงค่อยหาชัยชนะเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็ว เพื่อสร้างแรงผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้นได้จริง

    การปรับโครงสร้างควรทำเป็นระยะ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม การลดจำนวนเครื่องมือที่ซ้ำซ้อน และการลงทุนในทีมงานที่มีความสามารถในการปรับตัว คือหัวใจของระบบความปลอดภัยที่ยั่งยืน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Marriott ถูก FTC สั่งปรับโครงสร้างระบบความปลอดภัยหลังข้อมูลรั่วไหลหลายครั้ง
    ข้อมูลส่วนตัวของแขกกว่า 344 ล้านรายถูกเปิดเผยระหว่างปี 2014–2020
    การรอให้เกิดเหตุการณ์หรือคำสั่งจากภาครัฐก่อนปรับปรุงระบบเป็นความเสี่ยงสูง
    สัญญาณเตือนล่วงหน้าคือการโจมตีที่เพิ่มขึ้น, ความเหนื่อยล้าจากเครื่องมือ, และความรู้สึกว่า “ความปลอดภัยคืออุปสรรค”
    CISO ใหม่ควรรีวิวระบบแบบครบวงจร และประเมินการสนับสนุนจากผู้บริหาร
    การฟังทีมงานทุกฝ่ายช่วยสร้างความไว้วางใจและเปิดเผยปัญหาเชิงระบบ
    ควรเริ่มจากชัยชนะเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็วเพื่อสร้างแรงผลักดัน
    การปรับโครงสร้างควรทำเป็นระยะตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
    การลดจำนวนเครื่องมือและใช้ AI อย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    การลงทุนในทีมงานและการฝึกอบรมคือหัวใจของระบบที่ปรับตัวได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FTC สั่งให้ Marriott ลบข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น และปรับปรุงระบบรีวิวบัญชีลูกค้า
    การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 10 เท่า
    Soft skills เช่น การเจรจาและการสร้างความร่วมมือ เป็นทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่
    การจ้างคนจากหลากหลายพื้นหลัง เช่น startup หรือภาครัฐ ช่วยเพิ่มมุมมองใหม่
    การใช้ cloud-native infrastructure และการ outsource บางส่วนช่วยลดภาระทีมงาน

    https://www.csoonline.com/article/4063708/how-to-restructure-a-security-program.html
    🛡️ “รีเซ็ตระบบความปลอดภัยองค์กร — บทเรียนจาก Marriott และแนวทางใหม่สำหรับ CISO ยุค AI” หลังจากเหตุการณ์ข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับ Marriott ซึ่งส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวของแขกกว่า 344 ล้านรายตั้งแต่ปี 2014 จนถึง 2020 หน่วยงาน FTC ของสหรัฐฯ ได้ออกคำสั่งให้บริษัทปรับโครงสร้างระบบความปลอดภัยใหม่ทั้งหมด โดยเน้นการควบคุมสิทธิ์เข้าถึง การตรวจสอบผู้ให้บริการ และการทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง บทเรียนสำคัญคือ: อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงหรือคำสั่งจากภาครัฐก่อนจะปรับปรุงระบบความปลอดภัย เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจเกินเยียวยา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยแนะนำว่า CISO ควรตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า “ระบบความปลอดภัยของเรามีประสิทธิภาพจริงหรือไม่” และคำตอบที่ว่า “ยังไม่เคยโดนเจาะ” ไม่ใช่คำตอบที่ดีพอ สัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ควรจับตา ได้แก่ การโจมตีที่สำเร็จมากขึ้น, ความเหนื่อยล้าจากเครื่องมือที่มากเกินไป, ความล้มเหลวด้านกฎระเบียบ และความรู้สึกในองค์กรว่าทีมความปลอดภัยเป็น “ตัวขัดขวาง” มากกว่าพันธมิตร เมื่อองค์กรต้องเปลี่ยน CISO หลังเหตุการณ์ร้ายแรง สิ่งสำคัญคือการฟื้นฟูความไว้วางใจ การรีวิวระบบแบบครบวงจรโดยบุคคลที่สาม และการประเมินว่าผู้นำระดับสูงเคยสนับสนุนทีมความปลอดภัยจริงหรือไม่ เพราะปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่คน แต่ที่วัฒนธรรมองค์กร CISO ใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการ “ฟัง” — ไม่ใช่แค่ทีมความปลอดภัย แต่รวมถึง IT, ฝ่ายพัฒนา, และผู้บริหาร เพื่อเข้าใจว่าปัญหาอยู่ตรงไหน และจะสร้างความร่วมมือได้อย่างไร จากนั้นจึงค่อยหาชัยชนะเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็ว เพื่อสร้างแรงผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงใหญ่เกิดขึ้นได้จริง การปรับโครงสร้างควรทำเป็นระยะ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การใช้เครื่องมือที่เหมาะสม การลดจำนวนเครื่องมือที่ซ้ำซ้อน และการลงทุนในทีมงานที่มีความสามารถในการปรับตัว คือหัวใจของระบบความปลอดภัยที่ยั่งยืน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Marriott ถูก FTC สั่งปรับโครงสร้างระบบความปลอดภัยหลังข้อมูลรั่วไหลหลายครั้ง ➡️ ข้อมูลส่วนตัวของแขกกว่า 344 ล้านรายถูกเปิดเผยระหว่างปี 2014–2020 ➡️ การรอให้เกิดเหตุการณ์หรือคำสั่งจากภาครัฐก่อนปรับปรุงระบบเป็นความเสี่ยงสูง ➡️ สัญญาณเตือนล่วงหน้าคือการโจมตีที่เพิ่มขึ้น, ความเหนื่อยล้าจากเครื่องมือ, และความรู้สึกว่า “ความปลอดภัยคืออุปสรรค” ➡️ CISO ใหม่ควรรีวิวระบบแบบครบวงจร และประเมินการสนับสนุนจากผู้บริหาร ➡️ การฟังทีมงานทุกฝ่ายช่วยสร้างความไว้วางใจและเปิดเผยปัญหาเชิงระบบ ➡️ ควรเริ่มจากชัยชนะเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็วเพื่อสร้างแรงผลักดัน ➡️ การปรับโครงสร้างควรทำเป็นระยะตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ➡️ การลดจำนวนเครื่องมือและใช้ AI อย่างเหมาะสมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ การลงทุนในทีมงานและการฝึกอบรมคือหัวใจของระบบที่ปรับตัวได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FTC สั่งให้ Marriott ลบข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็น และปรับปรุงระบบรีวิวบัญชีลูกค้า ➡️ การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 10 เท่า ➡️ Soft skills เช่น การเจรจาและการสร้างความร่วมมือ เป็นทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่ ➡️ การจ้างคนจากหลากหลายพื้นหลัง เช่น startup หรือภาครัฐ ช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ ➡️ การใช้ cloud-native infrastructure และการ outsource บางส่วนช่วยลดภาระทีมงาน https://www.csoonline.com/article/4063708/how-to-restructure-a-security-program.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How to restructure your security program to modernize defense
    Every so often, the security program needs a revamp. Success hinges on establishing clear priorities, avoiding common mistakes, and keeping the personal toll in check.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft เปิดตัว ‘Vibe Working’ พร้อม Agent Mode ใน Word และ Excel — ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกับ AI ที่ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย แต่คือเพื่อนร่วมทีม”

    Microsoft กำลังพลิกโฉมการทำงานในออฟฟิศด้วยแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “Vibe Working” ซึ่งเป็นการนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานอย่างลึกซึ้ง โดยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ได้แก่ “Agent Mode” สำหรับ Word และ Excel และ “Office Agent” ใน Copilot Chat เพื่อสร้างเอกสารและงานนำเสนอจากคำสั่งสนทนา

    Agent Mode ใน Excel ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกด้าน Excel โดย AI จะทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวางแผนงานหลายขั้นตอน ตรวจสอบผลลัพธ์ และปรับปรุงจนได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง

    ใน Word ฟีเจอร์นี้เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้กลายเป็น “การสนทนา” ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Copilot สรุป แก้ไข หรือเขียนใหม่ตามสไตล์ที่ต้องการ พร้อมถามตอบเพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงใจมากขึ้น

    ส่วน Office Agent ใน Copilot Chat จะช่วยสร้างงานนำเสนอ PowerPoint หรือเอกสาร Word จากคำสั่งสนทนา โดยใช้โมเดล AI จาก Anthropic ซึ่งสามารถค้นคว้าข้อมูลจากเว็บและจัดเรียงเนื้อหาอย่างมีโครงสร้าง

    ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน และจะขยายไปยังเวอร์ชันเดสก์ท็อปในอนาคต โดย Microsoft ตั้งเป้าให้การทำงานร่วมกับ AI กลายเป็นรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์งานในยุคดิจิทัล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เปิดตัวแนวคิด “Vibe Working” พร้อมฟีเจอร์ Agent Mode และ Office Agent
    Agent Mode ใน Excel ช่วยสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟจากคำสั่งธรรมดา
    Agent Mode ใน Word เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้เป็นการสนทนาแบบโต้ตอบ
    Office Agent ใน Copilot Chat สร้าง PowerPoint และ Word จากคำสั่งสนทนา
    ใช้โมเดล AI จาก OpenAI และ Anthropic เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์
    Agent Mode ทำงานแบบหลายขั้นตอน พร้อมตรวจสอบและปรับปรุงผลลัพธ์
    เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน
    Desktop support จะตามมาในอัปเดตถัดไป
    Agent Mode ใน Excel ทำคะแนนได้ 57.2% ในการทดสอบ SpreadsheetBench เทียบกับมนุษย์ที่ได้ 71.3%

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Vibe Working” เป็นแนวคิดต่อยอดจาก “Vibe Coding” ที่ใช้ AI สร้างโค้ดจากคำสั่งสนทนา
    SpreadsheetBench เป็นชุดทดสอบความสามารถของ AI ในการจัดการข้อมูล Excel
    Anthropic เป็นบริษัท AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเข้าใจเชิงบริบท
    Microsoft 365 Copilot ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการทำงานแบบ AI-first
    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงความสามารถระดับผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น

    https://securityonline.info/vibe-working-is-here-microsoft-introduces-ai-agent-mode-for-word-and-excel/
    🧠 “Microsoft เปิดตัว ‘Vibe Working’ พร้อม Agent Mode ใน Word และ Excel — ยุคใหม่ของการทำงานร่วมกับ AI ที่ไม่ใช่แค่ผู้ช่วย แต่คือเพื่อนร่วมทีม” Microsoft กำลังพลิกโฉมการทำงานในออฟฟิศด้วยแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า “Vibe Working” ซึ่งเป็นการนำ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทำงานอย่างลึกซึ้ง โดยเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Microsoft 365 Copilot ได้แก่ “Agent Mode” สำหรับ Word และ Excel และ “Office Agent” ใน Copilot Chat เพื่อสร้างเอกสารและงานนำเสนอจากคำสั่งสนทนา Agent Mode ใน Excel ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟได้โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึกด้าน Excel โดย AI จะทำหน้าที่เหมือนผู้เชี่ยวชาญที่สามารถวางแผนงานหลายขั้นตอน ตรวจสอบผลลัพธ์ และปรับปรุงจนได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ใน Word ฟีเจอร์นี้เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้กลายเป็น “การสนทนา” ผู้ใช้สามารถสั่งให้ Copilot สรุป แก้ไข หรือเขียนใหม่ตามสไตล์ที่ต้องการ พร้อมถามตอบเพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงใจมากขึ้น ส่วน Office Agent ใน Copilot Chat จะช่วยสร้างงานนำเสนอ PowerPoint หรือเอกสาร Word จากคำสั่งสนทนา โดยใช้โมเดล AI จาก Anthropic ซึ่งสามารถค้นคว้าข้อมูลจากเว็บและจัดเรียงเนื้อหาอย่างมีโครงสร้าง ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน และจะขยายไปยังเวอร์ชันเดสก์ท็อปในอนาคต โดย Microsoft ตั้งเป้าให้การทำงานร่วมกับ AI กลายเป็นรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์งานในยุคดิจิทัล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เปิดตัวแนวคิด “Vibe Working” พร้อมฟีเจอร์ Agent Mode และ Office Agent ➡️ Agent Mode ใน Excel ช่วยสร้างสูตร วิเคราะห์ข้อมูล และสร้างกราฟจากคำสั่งธรรมดา ➡️ Agent Mode ใน Word เปลี่ยนการเขียนเอกสารให้เป็นการสนทนาแบบโต้ตอบ ➡️ Office Agent ใน Copilot Chat สร้าง PowerPoint และ Word จากคำสั่งสนทนา ➡️ ใช้โมเดล AI จาก OpenAI และ Anthropic เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลลัพธ์ ➡️ Agent Mode ทำงานแบบหลายขั้นตอน พร้อมตรวจสอบและปรับปรุงผลลัพธ์ ➡️ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรม Frontier บนเวอร์ชันเว็บก่อน ➡️ Desktop support จะตามมาในอัปเดตถัดไป ➡️ Agent Mode ใน Excel ทำคะแนนได้ 57.2% ในการทดสอบ SpreadsheetBench เทียบกับมนุษย์ที่ได้ 71.3% ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Vibe Working” เป็นแนวคิดต่อยอดจาก “Vibe Coding” ที่ใช้ AI สร้างโค้ดจากคำสั่งสนทนา ➡️ SpreadsheetBench เป็นชุดทดสอบความสามารถของ AI ในการจัดการข้อมูล Excel ➡️ Anthropic เป็นบริษัท AI ที่เน้นความปลอดภัยและความเข้าใจเชิงบริบท ➡️ Microsoft 365 Copilot ได้รับการอัปเดตอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการทำงานแบบ AI-first ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงความสามารถระดับผู้เชี่ยวชาญได้ง่ายขึ้น https://securityonline.info/vibe-working-is-here-microsoft-introduces-ai-agent-mode-for-word-and-excel/
    SECURITYONLINE.INFO
    'Vibe Working' Is Here: Microsoft Introduces AI Agent Mode for Word and Excel
    Microsoft introduces "Vibe Working" with a new AI Agent Mode for Word and Excel. The feature allows users to collaborate with AI to generate and refine documents with simple prompts.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กฎหมายยืนยันอายุออนไลน์ในรัฐโอไฮโอเริ่มใช้แล้ว — ปกป้องเด็กหรือคุกคามสิทธิผู้ใหญ่?”

    ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025 เป็นต้นไป รัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องยืนยันอายุทุกครั้งก่อนเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจัดว่า “ลามกอนาจารหรือเป็นอันตรายต่อเยาวชน” โดยไม่จำกัดเฉพาะเว็บไซต์ลามก แต่รวมถึงแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาสำคัญในด้านสุขภาพหรือการศึกษาเพศด้วย

    กฎหมายนี้ถูกบรรจุไว้ในงบประมาณรัฐกว่า 3,000 หน้า (HB 96) และผ่านการอนุมัติในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องส่งข้อมูลยืนยันอายุ เช่น บัตรประชาชน หรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา ผ่านระบบของบุคคลที่สาม ซึ่งต้องตรวจสอบอายุทุก 2 ปีสำหรับบัญชีที่ใช้งานต่อเนื่อง

    นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังต้องใช้ระบบ “geofence” เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้ หากพบว่าอยู่ในโอไฮโอ จะต้องบล็อกเนื้อหาทันทีจนกว่าจะมีการยืนยันอายุอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่งและรักษาความเป็นส่วนตัว

    แม้ผู้สนับสนุนจะมองว่ากฎหมายนี้ช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิออนไลน์กลับเตือนว่า การบังคับให้ทุกคนต้องส่งข้อมูลส่วนตัวเพื่อเข้าถึงเนื้อหาถูกกฎหมาย อาจเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กฎหมายยืนยันอายุในรัฐโอไฮโอเริ่มบังคับใช้วันที่ 30 กันยายน 2025
    ผู้ใช้ต้องยืนยันอายุด้วยบัตรประชาชนหรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา
    การยืนยันอายุต้องทำผ่านระบบของบุคคลที่สาม และต้องตรวจสอบใหม่ทุก 2 ปี
    เว็บไซต์ต้องใช้ระบบ geofence เพื่อตรวจสอบตำแหน่งผู้ใช้ก่อนให้เข้าถึงเนื้อหา
    หากผู้ใช้ถูกระบุว่าอยู่ในโอไฮโอ จะถูกบล็อกเนื้อหาจนกว่าจะยืนยันอายุ
    VPN ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในโอไฮโอเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่ง
    กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของ HB 96 ซึ่งเป็นงบประมาณรัฐที่ผ่านในเดือนมิถุนายน
    โอไฮโอกลายเป็นรัฐที่ 24 ของสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมายยืนยันอายุออนไลน์

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/mandatory-age-verification-lands-in-ohio-heres-all-you-need-to-know
    🛡️ “กฎหมายยืนยันอายุออนไลน์ในรัฐโอไฮโอเริ่มใช้แล้ว — ปกป้องเด็กหรือคุกคามสิทธิผู้ใหญ่?” ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2025 เป็นต้นไป รัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ ได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต้องยืนยันอายุทุกครั้งก่อนเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจัดว่า “ลามกอนาจารหรือเป็นอันตรายต่อเยาวชน” โดยไม่จำกัดเฉพาะเว็บไซต์ลามก แต่รวมถึงแพลตฟอร์มที่มีเนื้อหาสำคัญในด้านสุขภาพหรือการศึกษาเพศด้วย กฎหมายนี้ถูกบรรจุไว้ในงบประมาณรัฐกว่า 3,000 หน้า (HB 96) และผ่านการอนุมัติในเดือนมิถุนายน 2025 โดยกำหนดให้ผู้ใช้ต้องส่งข้อมูลยืนยันอายุ เช่น บัตรประชาชน หรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา ผ่านระบบของบุคคลที่สาม ซึ่งต้องตรวจสอบอายุทุก 2 ปีสำหรับบัญชีที่ใช้งานต่อเนื่อง นอกจากนี้ เว็บไซต์ยังต้องใช้ระบบ “geofence” เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของผู้ใช้ หากพบว่าอยู่ในโอไฮโอ จะต้องบล็อกเนื้อหาทันทีจนกว่าจะมีการยืนยันอายุอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผู้ใช้จำนวนมากหันไปใช้ VPN เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่งและรักษาความเป็นส่วนตัว แม้ผู้สนับสนุนจะมองว่ากฎหมายนี้ช่วยปกป้องเด็กจากเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิออนไลน์กลับเตือนว่า การบังคับให้ทุกคนต้องส่งข้อมูลส่วนตัวเพื่อเข้าถึงเนื้อหาถูกกฎหมาย อาจเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กฎหมายยืนยันอายุในรัฐโอไฮโอเริ่มบังคับใช้วันที่ 30 กันยายน 2025 ➡️ ผู้ใช้ต้องยืนยันอายุด้วยบัตรประชาชนหรือข้อมูลธุรกรรม เช่น ประวัติการทำงานหรือการศึกษา ➡️ การยืนยันอายุต้องทำผ่านระบบของบุคคลที่สาม และต้องตรวจสอบใหม่ทุก 2 ปี ➡️ เว็บไซต์ต้องใช้ระบบ geofence เพื่อตรวจสอบตำแหน่งผู้ใช้ก่อนให้เข้าถึงเนื้อหา ➡️ หากผู้ใช้ถูกระบุว่าอยู่ในโอไฮโอ จะถูกบล็อกเนื้อหาจนกว่าจะยืนยันอายุ ➡️ VPN ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในโอไฮโอเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบตำแหน่ง ➡️ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของ HB 96 ซึ่งเป็นงบประมาณรัฐที่ผ่านในเดือนมิถุนายน ➡️ โอไฮโอกลายเป็นรัฐที่ 24 ของสหรัฐฯ ที่ออกกฎหมายยืนยันอายุออนไลน์ https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/mandatory-age-verification-lands-in-ohio-heres-all-you-need-to-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    Mandatory age verification lands in Ohio – here’s all you need to know
    From September 30, citizens must prove their age every time they wish to access adult-only content
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 216 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด”

    ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก

    เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน

    แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา

    อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย

    สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36%
    ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง
    ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก
    การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น
    การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้
    แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน
    Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี
    Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน
    Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน
    เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ
    การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น
    บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง

    https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    🌿 “Wi-Fi ช้าเพราะต้นไม้ในบ้าน? งานวิจัยล่าสุดชี้ชัด — ดินชื้นและใบหนาอาจดูดสัญญาณจนเน็ตสะดุด” ใครจะไปคิดว่า “ต้นไม้ในบ้าน” ที่เราปลูกไว้เพื่อความสดชื่น อาจเป็นตัวการที่ทำให้ Wi-Fi ช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ ล่าสุดงานวิจัยจาก Broadband Genie เผยว่า การย้ายเราเตอร์ออกห่างจากต้นไม้ในบ้านสามารถเพิ่มความเร็วอินเทอร์เน็ตได้มากถึง 36% โดยเฉพาะในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก เหตุผลหลักคือ “ดินที่ชื้น” และ “ใบไม้ที่หนาแน่น” สามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุที่ใช้ใน Wi-Fi ได้ ทำให้สัญญาณอ่อนลงหรือกระจายผิดทิศทาง ซึ่งส่งผลให้การเชื่อมต่อไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเราเตอร์ถูกวางไว้ใกล้กระถางต้นไม้หรืออยู่ในเส้นทางที่สัญญาณต้องผ่าน แม้ผลกระทบอาจไม่รุนแรงในบ้านทั่วไป แต่ในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ผลลัพธ์อาจเห็นได้ชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจสอบตำแหน่งของเราเตอร์และพยายามวางไว้ในจุดที่ไม่มีสิ่งกีดขวาง เช่น ต้นไม้ เฟอร์นิเจอร์ หรือผนังหนา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ผนัง เพดาน หรือสัญญาณรบกวนจาก Wi-Fi ของเพื่อนบ้าน ก็มีผลต่อความเร็วมากกว่าต้นไม้ และการย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วได้โดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้เลย สำหรับบ้านที่มีปัญหาสัญญาณไม่ทั่วถึง การใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender ก็เป็นทางเลือกที่ดี รวมถึงการใช้ Powerline Adapter หรือสาย Ethernet ก็สามารถให้ความเสถียรได้มากกว่าการพึ่งพาไร้สายเพียงอย่างเดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ งานวิจัยจาก Broadband Genie พบว่าการย้ายเราเตอร์ออกจากต้นไม้ช่วยเพิ่มความเร็ว Wi-Fi ได้ถึง 36% ➡️ ดินชื้นและใบไม้หนาแน่นสามารถดูดซับหรือสะท้อนคลื่นวิทยุ ทำให้สัญญาณอ่อนลง ➡️ ผลกระทบเห็นได้ชัดในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีต้นไม้จำนวนมาก ➡️ การวางเราเตอร์ในจุดเปิดโล่งและอยู่กลางบ้านช่วยให้สัญญาณครอบคลุมดีขึ้น ➡️ การย้ายเราเตอร์ให้ใกล้อุปกรณ์มากขึ้นก็ช่วยเพิ่มความเร็วโดยไม่เกี่ยวกับต้นไม้ ➡️ แนะนำให้ใช้ Mesh Wi-Fi หรือ Wi-Fi Extender เพื่อกระจายสัญญาณในบ้าน ➡️ Powerline Adapter และสาย Ethernet เป็นทางเลือกที่เสถียรกว่า Wi-Fi ในบางกรณี ➡️ Wi-Fi 8 จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการส่งสัญญาณ แต่ยังไม่พร้อมใช้งานจนถึงปี 2028 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น Wi-Fi เป็นคลื่นวิทยุที่สามารถถูกดูดซับหรือสะท้อนโดยวัตถุที่มีน้ำ เช่น ใบไม้หรือดิน ➡️ Fish tank, ผนังอิฐ และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ก็สามารถลดคุณภาพสัญญาณได้เช่นกัน ➡️ เทคโนโลยี MIMO และ Beamforming ในเราเตอร์รุ่นใหม่ช่วยลดผลกระทบจากการสะท้อนสัญญาณ ➡️ การวางเราเตอร์ในตำแหน่งสูงและเปิดโล่งช่วยให้คลื่นกระจายได้ดีขึ้น ➡️ บ้านที่มีหลายชั้นหรือผนังหนาอาจต้องใช้ระบบ Mesh เพื่อให้สัญญาณทั่วถึง https://www.techradar.com/pro/slow-wi-fi-at-home-believe-it-or-not-your-houseplants-might-be-to-blame-and-yes-were-serious
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts