• ศีลธรรมเป็นคุณ
    หนุนนำกรรมดี
    ชำนาญยิ่งมี
    ดีอยู่ยาวนาน

    กิเลสกรรมชั่ว
    มัวเอาสืบสาน
    ก่อโทษการงาน
    พาลพาทุกข์ภัย

    จิตนี้เป็นใหญ่
    ไม่รู้ชั่วร้าย
    นำมาครองไว้
    ไม่พ้นทุกข์ได้

    ความเลวสิงคน
    ปนเปรอเอาไว้
    คนจึ่งเลวได้
    ก่อโทษเวรภัย

    หนทางกิเลส
    เหตุมัวหมองได้
    พาเสื่อมเสียหาย
    ดั่งไฟลามทุ่ง

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ศีลธรรมเป็นคุณ หนุนนำกรรมดี ชำนาญยิ่งมี ดีอยู่ยาวนาน กิเลสกรรมชั่ว มัวเอาสืบสาน ก่อโทษการงาน พาลพาทุกข์ภัย จิตนี้เป็นใหญ่ ไม่รู้ชั่วร้าย นำมาครองไว้ ไม่พ้นทุกข์ได้ ความเลวสิงคน ปนเปรอเอาไว้ คนจึ่งเลวได้ ก่อโทษเวรภัย หนทางกิเลส เหตุมัวหมองได้ พาเสื่อมเสียหาย ดั่งไฟลามทุ่ง ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • สัจธรรมพาเห็นจริง
    ยิ่งได้รู้ยิ่งซาบซึ้ง
    ไตรรัตน์คุณบุญที่พึ่ง
    จึ่งนอบน้อมมอบราบคาบ

    ปริยัติหัดเรียนทาง
    กลางเพียรได้ให้ซึมซาบ
    ปฏิเวธเหตุขวนขวาย

    ทำบ่อยบ่อยพลอยชำนาญ
    งานนอกในได้เสร็จง่าย
    ชำนาญเข้าออกก็ได้
    วางได้พลันนั่นทุกข์หาย

    ทั้งสติจิตตั้งมั่น
    ปัญญาญาณชำนาญใช้
    เจริญธรรมนำเชื่อใจ
    ให้เพียรหนุนคุณสมาน

    อิทังเม ญาตินังโหนตุ สุขิตาโหตุ ญาตะโย

    ขอบุญนี้จงสำเร็จ ขอบุญนี้จงสำเร็จ ขอบุญนี้จงสำเร็จ

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    สัจธรรมพาเห็นจริง ยิ่งได้รู้ยิ่งซาบซึ้ง ไตรรัตน์คุณบุญที่พึ่ง จึ่งนอบน้อมมอบราบคาบ ปริยัติหัดเรียนทาง กลางเพียรได้ให้ซึมซาบ ปฏิเวธเหตุขวนขวาย ทำบ่อยบ่อยพลอยชำนาญ งานนอกในได้เสร็จง่าย ชำนาญเข้าออกก็ได้ วางได้พลันนั่นทุกข์หาย ทั้งสติจิตตั้งมั่น ปัญญาญาณชำนาญใช้ เจริญธรรมนำเชื่อใจ ให้เพียรหนุนคุณสมาน อิทังเม ญาตินังโหนตุ สุขิตาโหตุ ญาตะโย ขอบุญนี้จงสำเร็จ ขอบุญนี้จงสำเร็จ ขอบุญนี้จงสำเร็จ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศ อีกทั้งยังเป็นวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
    วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศ อีกทั้งยังเป็นวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
    0 Comments 0 Shares 65 Views 0 Reviews
  • ดีชั่วมีจริง
    ยิ่งค้นยิ่งเจอ
    สติไม่เผลอ
    เจอแต่ความจริง

    หนทางกิเลส
    เหตุร้อนทุกข์ยิ่ง
    นำมาสุงสิง
    ยิ่งได้บรรลัย

    มีความเห็นผิด
    เหตุจิตเป็นใหญ่
    จึงพาเหลวไหล
    ให้กิเลสครอง

    ไม่สำนึกผิด
    ปล่อยจิตมัวหมอง
    ไร้ศีลธรรมครอง
    ต้องวิบากกรรม

    กรรมคิดพูดทำ
    นำพาศีลธรรม
    สร้างกุศลกรรม
    นำดับกิเลส

    เหตุร้ายดับไป
    ไกลทุกข์ดับเหตุ
    ดับกรรมทุเรศ
    เหตุดีแทนได้

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ดีชั่วมีจริง ยิ่งค้นยิ่งเจอ สติไม่เผลอ เจอแต่ความจริง หนทางกิเลส เหตุร้อนทุกข์ยิ่ง นำมาสุงสิง ยิ่งได้บรรลัย มีความเห็นผิด เหตุจิตเป็นใหญ่ จึงพาเหลวไหล ให้กิเลสครอง ไม่สำนึกผิด ปล่อยจิตมัวหมอง ไร้ศีลธรรมครอง ต้องวิบากกรรม กรรมคิดพูดทำ นำพาศีลธรรม สร้างกุศลกรรม นำดับกิเลส เหตุร้ายดับไป ไกลทุกข์ดับเหตุ ดับกรรมทุเรศ เหตุดีแทนได้ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • ความดีทำได้
    ได้ละความชั่ว
    กิเลสหมองมัว
    พัวพันด้วยธรรม

    ความจริงธรรมแท้
    แค่พาดื่มด่ำ
    สติตอกย้ำ
    นำธรรมวิจัย

    เพียรเห็นความจริง
    ยิ่งพาเข้าใจ
    ปีติก็ได้
    กายใจสงบ

    สติไม่หลุด
    อุเบกขาพบ
    งานนอกในครบ
    จบลงที่ใจ

    ธรรมจริงประเสริฐ
    เลิศคุณได้ไว้
    เข้ากับใจได้
    ให้เจริญธรรม

    อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขตาโหนตุ ญาตะโย
    ขอบุญนี้จงสำเร็จ

    ขอพบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ความดีทำได้ ได้ละความชั่ว กิเลสหมองมัว พัวพันด้วยธรรม ความจริงธรรมแท้ แค่พาดื่มด่ำ สติตอกย้ำ นำธรรมวิจัย เพียรเห็นความจริง ยิ่งพาเข้าใจ ปีติก็ได้ กายใจสงบ สติไม่หลุด อุเบกขาพบ งานนอกในครบ จบลงที่ใจ ธรรมจริงประเสริฐ เลิศคุณได้ไว้ เข้ากับใจได้ ให้เจริญธรรม อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขตาโหนตุ ญาตะโย ขอบุญนี้จงสำเร็จ ขอพบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด
    สัทธรรมลำดับที่ : 609
    ชื่อบทธรรม :- อาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=609
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --อาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด
    ...
    --ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุ
    เกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีตัณหาเป็นต้นเหตุมีตัณหาเป็นเหตุเกิด
    มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด
    --ภิกษุทั้งหลาย
    ตัณหานี้เล่ามีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุ เกิดมีอะไรเป็นกำเนิด
    มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    ตัณหามีเวทนาเป็นต้นเหตุ มีเวทนาเป็นเหตุเกิด
    มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิน
    --ภิกษุทั้งหลายเวทนานี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
    มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    เวทนามีผัสสะเป็นต้นเหตุ มีผัสสะเป็นเหตุเกิด
    มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด
    --ภิกษุทั้งหลาย ผัสสะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
    มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็นแดนเกิด?
    ผัสสะมีสฬายตนะเป็นต้นเหตุ มีสฬายตนะเป็นเหตุเกิด
    มีสฬายตนะเป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด
    --ภิกษุทั้งหลาย สฬายตนะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
    มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    สฬายตนะมีนามรูปเป็นต้นเหตุ มีนามรูปเป็นเหตุเกิด
    มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูปเป็นแดนเกิด
    --ภิกษุทั้งหลาย นามรูปนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
    มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    นามรูปมีวิญญาณเป็นต้นเหตุ มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด
    มีวิญญาณเป็นกำเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิด
    --ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
    มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    วิญญาณมีสังขารเป็นต้นเหตุ มีสังขารเป็นเหตุเกิด
    มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด
    --ภิกษุทั้งหลาย สังขารนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด
    มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
    #สังขารมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ มีอวิชชาเป็นเหตุเกิด
    มีอวิชชาเป็นกำเนิด มีอวิชชาเป็นแดนเกิด
    http://etipitaka.com/read/pali/12/135/?keywords=อวิชฺชา
    ...
    --ภิกษุ ท. ! ในกาลใด
    อวิชชาเป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว วิชชาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ;
    ในกาลนั้น ภิกษุนั้น
    ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งกามุปาทาน,
    ย่อมไม่ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐุปาทาน,
    ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งสีลัพพัตตุปาทาน,
    ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งอัตตวาทุปาทาน ;
    (ทั้งนี้)
    เพราะการสำรอกเสียได้หมดซึ่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา.
    เมื่อไม่ยึดมั่นอยู่, ย่อมไม่สะดุ้ง ;
    เมื่อไม่สะดุ้ง, #ย่อมปรินิพพานเฉพาะตนนั่นเทียว.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/135/?keywords=ปรินิพฺพายติ
    เธอนั้นย่อมรู้ชัดว่า
    “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว
    กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นผู้หลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก”
    ดังนี้.-

    #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม.12/134/158.
    http://etipitaka.com/read/thai/12/93/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม.๑๒/๑๓๔/๑๕๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/12/134/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=609
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42&id=609
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42
    ลำดับสาธยายธรรม : 42 ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_42.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าอาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด สัทธรรมลำดับที่ : 609 ชื่อบทธรรม :- อาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=609 เนื้อความทั้งหมด :- --อาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด ... --ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุ เกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? อุปาทาน ๔ เหล่านี้ มีตัณหาเป็นต้นเหตุมีตัณหาเป็นเหตุเกิด มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด --ภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้เล่ามีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุ เกิดมีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? ตัณหามีเวทนาเป็นต้นเหตุ มีเวทนาเป็นเหตุเกิด มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิน --ภิกษุทั้งหลายเวทนานี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? เวทนามีผัสสะเป็นต้นเหตุ มีผัสสะเป็นเหตุเกิด มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด --ภิกษุทั้งหลาย ผัสสะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็นแดนเกิด? ผัสสะมีสฬายตนะเป็นต้นเหตุ มีสฬายตนะเป็นเหตุเกิด มีสฬายตนะเป็นกำเนิด มีสฬายตนะเป็นแดนเกิด --ภิกษุทั้งหลาย สฬายตนะนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? สฬายตนะมีนามรูปเป็นต้นเหตุ มีนามรูปเป็นเหตุเกิด มีนามรูปเป็นกำเนิด มีนามรูปเป็นแดนเกิด --ภิกษุทั้งหลาย นามรูปนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? นามรูปมีวิญญาณเป็นต้นเหตุ มีวิญญาณเป็นเหตุเกิด มีวิญญาณเป็นกำเนิด มีวิญญาณเป็นแดนเกิด --ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? วิญญาณมีสังขารเป็นต้นเหตุ มีสังขารเป็นเหตุเกิด มีสังขารเป็นกำเนิด มีสังขารเป็นแดนเกิด --ภิกษุทั้งหลาย สังขารนี้เล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? #สังขารมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ มีอวิชชาเป็นเหตุเกิด มีอวิชชาเป็นกำเนิด มีอวิชชาเป็นแดนเกิด http://etipitaka.com/read/pali/12/135/?keywords=อวิชฺชา ... --ภิกษุ ท. ! ในกาลใด อวิชชาเป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว วิชชาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ; ในกาลนั้น ภิกษุนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งกามุปาทาน, ย่อมไม่ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐุปาทาน, ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งสีลัพพัตตุปาทาน, ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งอัตตวาทุปาทาน ; (ทั้งนี้) เพราะการสำรอกเสียได้หมดซึ่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา. เมื่อไม่ยึดมั่นอยู่, ย่อมไม่สะดุ้ง ; เมื่อไม่สะดุ้ง, #ย่อมปรินิพพานเฉพาะตนนั่นเทียว. http://etipitaka.com/read/pali/12/135/?keywords=ปรินิพฺพายติ เธอนั้นย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นผู้หลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้.- #ทุกขสมุทัย #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม.ม.12/134/158. http://etipitaka.com/read/thai/12/93/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม.ม.๑๒/๑๓๔/๑๕๘. http://etipitaka.com/read/pali/12/134/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=609 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42&id=609 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42 ลำดับสาธยายธรรม : 42 ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_42.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - อาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด
    -อาการดับแห่งทุกข์โดยสังเขปที่สุด ภิกษุ ท. ! ในกาลใด อวิชชาเป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว วิชชาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ; ในกาลนั้น ภิกษุนั้นย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งกามุปาทาน, ย่อมไม่ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐุปาทาน, ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งสีลัพพัตตุปาทาน, ย่อมไม่ยึดมั่นซึ่งอัตตวาทุปาทาน ; (ทั้งนี้) เพราะการสำรอกเสียได้หมดซึ่งอวิชชา เพราะการเกิดขึ้นแห่งวิชชา. เมื่อไม่ยึดมั่นอยู่, ย่อมไม่สะดุ้ง ; เมื่อไม่สะดุ้ง, ย่อมปรินิพพานเฉพาะตนนั่นเทียว. เธอนั้นย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความเป็นผู้หลุดพ้นอย่างนี้ มิได้มีอีก” ดังนี้.
    0 Comments 0 Shares 150 Views 0 Reviews
  • มรรคผลนิพพาน เราตักตวงเอาจากภาคปฏิบัติ #ธรรมอัศจรรย์เกินคาดเกินสมมุติ
    มรรคผลนิพพาน เราตักตวงเอาจากภาคปฏิบัติ #ธรรมอัศจรรย์เกินคาดเกินสมมุติ
    1 Comments 0 Shares 103 Views 17 0 Reviews
  • จิตธรรมเข้ากัน
    ปัญญามุ่งหมาย
    เชื่อมั่นขวนขวาย
    ให้มีสติ

    อุปสรรคทาง
    ขวางสมาธิ
    สะเทือนกวนจิต
    คิดพูดทำร้าย

    ปัญญานำมา
    พาธรรมแก้ไข
    เชื่อมั่นขวนขวาย
    ให้สติดี

    สมาธิดี
    มีจิตคลุกคลี
    ร่วมกายชีวี
    มีคุณมากมาย

    ตื่นรู้เบิกบาน
    การงานลื่นไหล
    ทำดีบุญได้
    ให้ร้ายบาปกรรม

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    จิตธรรมเข้ากัน ปัญญามุ่งหมาย เชื่อมั่นขวนขวาย ให้มีสติ อุปสรรคทาง ขวางสมาธิ สะเทือนกวนจิต คิดพูดทำร้าย ปัญญานำมา พาธรรมแก้ไข เชื่อมั่นขวนขวาย ให้สติดี สมาธิดี มีจิตคลุกคลี ร่วมกายชีวี มีคุณมากมาย ตื่นรู้เบิกบาน การงานลื่นไหล ทำดีบุญได้ ให้ร้ายบาปกรรม ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • อยู่ดีมีสุข
    ทุกข์มีไม่ดี
    กิเลสอัปรีย์
    ศีลธรรมช่วยได้

    สตินำพา
    สมาธิไว้
    การงานใช้ได้
    ให้ใช้ปัญญา

    โลกเกลื่อนทุกข์ภัย
    ทำใจรักษา
    มีธรรมศรัทธา
    พาเพียรเข้าไว้

    ระงับกิเลส
    เหตุชั่วละได้
    วางถูกที่หมาย
    ให้ทางประเสริฐ

    หนทางสายกลาง
    ทางธรรมนำเถิด
    ให้จิตประเสริฐ
    เกิดกำลังใจ

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก มงคลสวัสดี

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    อยู่ดีมีสุข ทุกข์มีไม่ดี กิเลสอัปรีย์ ศีลธรรมช่วยได้ สตินำพา สมาธิไว้ การงานใช้ได้ ให้ใช้ปัญญา โลกเกลื่อนทุกข์ภัย ทำใจรักษา มีธรรมศรัทธา พาเพียรเข้าไว้ ระงับกิเลส เหตุชั่วละได้ วางถูกที่หมาย ให้ทางประเสริฐ หนทางสายกลาง ทางธรรมนำเถิด ให้จิตประเสริฐ เกิดกำลังใจ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก มงคลสวัสดี นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 84 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงศึกษาฐานะระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์
    สัทธรรมลำดับที่ : 606
    ชื่อบทธรรม :- ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=606
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก เหล่านี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.
    เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ?
    --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ :-
    (๑) บุคคลบางคน จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลย ;
    (๒) บุคคลบางคน ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย ;
    (๓) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ยืนอยู่ ;
    (๔) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ;
    (๕) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ;
    (๖) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ;
    (๗) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่.

    --ภิกษุ ท. ! (๑) บุคคล จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียว.
    อย่างนี้แล เรียกว่า จมคราวเดียว แล้วจมเลย.

    --ภิกษุ ท. ! (๒) บุคคล ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
    มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
    แต่ว่า สัทธา เป็นต้น ของเขา ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไป.
    อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย.

    --ภิกษุ ท. ! (๓) บุคคล ผุดขึ้นแล้วยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
    มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรม ทั้งหลาย
    และ สัทธา เป็นต้น ของเขาไม่เสื่อม ไม่เจริญ แต่ทรงตัวอยู่.
    อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วลอยยืนอยู่.

    --ภิกษุ ท. ! (๔) บุคคล ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
    มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม
    เป็น #โสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
    http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=โสตาปนฺโน
    เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า.
    อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่.

    --ภิกษุ ท. ! (๕) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้าหาฝั่ง เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
    มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบางแห่งราคะโทสะโมหะ
    เป็น #สกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
    อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้าหาฝั่ง.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=สกทาคามี

    --ภิกษุ ท. ! (๖) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
    มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า
    เป็น #โอปปาติกะ(อนาคามี)​ มีการปรินิพพานในภพนั้น
    ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.
    อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=โอปปาติโก

    --ภิกษุ ท. ! (๗) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ?
    +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ
    มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย
    มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    บุคคลนั้น ได้ กระทำให้แจ้งซึ่ง #เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
    http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=เจโตวิมุตฺตึ+ปญฺญาวิมุตฺตึ
    อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วอยู่.
    อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่.
    --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล #บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก
    ซึ่งมีอยู่หาได้อยู่ ในโลก.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/11/15.
    http://etipitaka.com/read/thai/23/11/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐/๑๕.
    http://etipitaka.com/read/pali/23/10/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=606
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42&id=606
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42
    ลำดับสาธยายธรรม : 42 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_42.mp3
    อริยสาวกพึงศึกษาฐานะระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์ สัทธรรมลำดับที่ : 606 ชื่อบทธรรม :- ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=606 เนื้อความทั้งหมด :- --ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์ --ภิกษุ ท. ! บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก เหล่านี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ? --ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ :- (๑) บุคคลบางคน จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลย ; (๒) บุคคลบางคน ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย ; (๓) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ยืนอยู่ ; (๔) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ; (๕) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ; (๖) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ; (๗) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่. --ภิกษุ ท. ! (๑) บุคคล จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียว. อย่างนี้แล เรียกว่า จมคราวเดียว แล้วจมเลย. --ภิกษุ ท. ! (๒) บุคคล ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ว่า สัทธา เป็นต้น ของเขา ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไป. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย. --ภิกษุ ท. ! (๓) บุคคล ผุดขึ้นแล้วยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรม ทั้งหลาย และ สัทธา เป็นต้น ของเขาไม่เสื่อม ไม่เจริญ แต่ทรงตัวอยู่. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วลอยยืนอยู่. --ภิกษุ ท. ! (๔) บุคคล ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็น #โสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=โสตาปนฺโน เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่. --ภิกษุ ท. ! (๕) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้าหาฝั่ง เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบางแห่งราคะโทสะโมหะ เป็น #สกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้าหาฝั่ง. http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=สกทาคามี --ภิกษุ ท. ! (๖) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดี ในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า เป็น #โอปปาติกะ(อนาคามี)​ มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว. http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=โอปปาติโก --ภิกษุ ท. ! (๗) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? +--ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น ได้ กระทำให้แจ้งซึ่ง #เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ http://etipitaka.com/read/pali/23/12/?keywords=เจโตวิมุตฺตึ+ปญฺญาวิมุตฺตึ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วอยู่. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่. --ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล #บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก ซึ่งมีอยู่หาได้อยู่ ในโลก.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. 23/11/15. http://etipitaka.com/read/thai/23/11/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๐/๑๕. http://etipitaka.com/read/pali/23/10/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%95 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=606 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42&id=606 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=42 ลำดับสาธยายธรรม : 42 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_42.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์
    -(ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อบุรุษนั้นกำลังปรุงแต่งเหตุแห่งความทุกข์อยู่ วิราคะก็เกิดขึ้นได้ เมื่อเขาเพ่งดูเหตุแห่งความทุกข์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป วิราคะก็ยิ่งเกิดขึ้น จนกระทั่งว่าเขาสามารถละราคะ ในหญิงคือทุกข์นั้นเสียได้. ผู้ที่ยังไม่มีความทุกข์ ก็อย่าไปปรุงแต่งเหตุแห่งความทุกข์ขึ้นมาเลย มีความสุขโดยชอบธรรมอยู่แล้วเพียงใด ก็ไม่มัวเมาในความสุขนั้น ก็จะชื่อว่า ไม่เอาความทุกข์มาทับถมตนซึ่งไม่มีความทุกข์อยู่แล้ว และมีวิราคะในความทุกข์ได้ นี้ย่อมเป็นสิ่งที่กระทำได้). ระดับต่าง ๆ แห่งบุคคลผู้ถอนตัวขึ้นจากทุกข์ ภิกษุ ท. ! บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก เหล่านี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. เจ็ดจำพวกเหล่าไหนเล่า ? ภิกษุ ท. ! ในกรณีนี้ : (๑) บุคคลบางคน จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลย ; (๒) บุคคลบางคน ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย ; (๓) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ยืนอยู่ ; (๔) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่ ; (๕) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ว่ายเข้าหาฝั่ง ; (๖) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว ; (๗) บุคคลบางคน ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่. ภิกษุ ท. ! (๑) บุคคล จมน้ำคราวเดียวแล้วก็จมเลย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียว. อย่างนี้แล เรียกว่า จมคราวเดียว แล้วจมเลย. ภิกษุ ท. ! (๒) บุคคล ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. แต่ว่าสัทธาเป็นต้นของเขา ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไป. อย่างนี้แลเรียกว่า ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย. ภิกษุ ท. ! (๓) บุคคล ผุดขึ้นแล้วยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรม ทั้งหลาย. และ สัทธาเป็นต้นของเขา ไม่เสื่อม ไม่เจริญ แต่ทรงตัวอยู่. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วลอยยืนอยู่. ภิกษุ ท. ! (๔) บุคคล ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ อยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็น โสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เหลียวดูรอบ ๆ อยู่. ภิกษุ ท. ! (๕) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้าหาฝั่ง เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบางแห่งราคะโทสะโมหะ เป็น สกทาคามี มาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้าหาฝั่ง. ภิกษุ ท. ! (๖) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า เป็น โอปปาติกะ มีการปรินิพ- พานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้ว เดินเข้ามาถึงที่ตื้นแล้ว. ภิกษุ ท. ! (๗) บุคคล ผุดขึ้นแล้ว ถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุ ท. ! บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือ มีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี-มีโอตตัปปะดี-มีวิริยะดี-มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย. บุคคลนั้น ได้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วอยู่. อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นแล้วถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่. ภิกษุ ท. ! เหล่านี้แล บุคคลเปรียบด้วยบุคคลตกน้ำเจ็ดจำพวก ซึ่งมีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก.
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • เดินจงกรมดี
    มีกำลังกาย
    สติก็ได้
    ให้สมาธิ

    จะนั่งก็ได้
    ให้รู้ทันจิต
    เป็นสมาธิ
    สติตั้งมั่น

    กิเลสระงับ
    ดับทุกข์เสกสรรค์
    เจริญทุกวัน
    ปัญญาธรรมได้

    สวดมนต์ก็ดี
    มีสติใช้
    จดจ่อมนต์ได้
    ให้สมาธิ

    สมาธิดี
    มีหลักแนบชิด
    บุญดีจริต
    จิตตั้งมั่นพร้อม

    สมาธิฐาน
    การงานห้อมล้อม
    มีหลักเตรียมพร้อม
    น้อมปัญญาทำ

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    เดินจงกรมดี มีกำลังกาย สติก็ได้ ให้สมาธิ จะนั่งก็ได้ ให้รู้ทันจิต เป็นสมาธิ สติตั้งมั่น กิเลสระงับ ดับทุกข์เสกสรรค์ เจริญทุกวัน ปัญญาธรรมได้ สวดมนต์ก็ดี มีสติใช้ จดจ่อมนต์ได้ ให้สมาธิ สมาธิดี มีหลักแนบชิด บุญดีจริต จิตตั้งมั่นพร้อม สมาธิฐาน การงานห้อมล้อม มีหลักเตรียมพร้อม น้อมปัญญาทำ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 72 Views 0 Reviews
  • “ท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์”
    • ความจริงเรื่องของท่านไม่หาย แต่ไม่มีใครเขียนต่อ เมื่อเขาเผาศพพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็เสียใจ ความจริงท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ใช่ไหม เกิดทันใช่ไหม เกิดพร้อมกัน (หัวเราะ) ต่อนะ ท่านโกมารภัจจ์ในเมื่อเขาเผาพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านก็ไม่เข้าบ้าน บอกเราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้ามานิพพานก่อนเราเราก็หมดที่พึ่งไม่มีใครสอน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อนแล้ว ก็เหมือนกับเราคนไม่มีอะไรเลย ท่านคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เลยไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงลูก ไม่คิดถึงเมีย ไม่คิดถึงทรัพย์สิน ไม่คิดถึงชีวิต เข้าไปนอนในถ้ำเข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปท่านบอกว่าเข้าป่าหวังจะให้มันตายไปเลย ยังมีคนตามไปขอยาอีก ใช่ไหม หมอซะอย่าง ในเมื่อมีคนตามมาขอยา ท่านก็รำคาญ เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องการทำอะไรทั้งหมด เข้าป่าลึก
    • พอเข้าป่าลึกไปนอนในถ้ำ นอนอย่างเดียวเราจะไม่ลุกจากที่นี้ จะเป็นไงก็ช่างมัน หมายความว่าจะตายก็ตายไปเสียนะ พอตัดสินใจว่ามันจะตายก็ตายตรงนี้ เราจะไม่ลุกไปอีกแล้ว ก็มีเสียงเหมือนแสงฟ้าแลบ แลบแป๊บเดียวก็มีเสียงเหมือนคล้ายฟ้าผ่าเปรี้ยง แล้วก็มีเสียงบอก โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านก็บอกว่าใช่แล้วก็นอน เดี๋ยวมาเป็นแบบนั้นอยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามท่านหลับ ท่านบอกก็เลยหลับสนิทไปเลย ไม่ตื่นต่อไปอีก
    • “อาการตัดสินใจแบบนั้นไม่อาลัยในชีวิตนะ เป็นอารมณ์อรหันต์ นั่นท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วนะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์นิพพานทันที” แต่ว่าหนังสือแบบเรียนเราไม่มีนะ ต้องหาที่อื่น นี่พูดเรื่องท่านโกมารภัจจ์ให้ฟัง ว่าเรื่องมันหายไปนะ ความจริงท่านไม่หาย ท่านโกมารภัจจ์ทำให้เรามีประโยชน์มากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร และตระกูลพระพุทธเจ้าเราจะสังเกตได้ว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่รังเกียจคนเผ่าอื่น คือไม่ยอมแต่งงานกับคนเมืองอื่นเลย จะต้องแต่งงานเฉพาะชาวกรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นนะ เราก็อ่านหนังสือแล้วเราคิดว่าคนพวกนี้มีมานะถือตัวมาก แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นแขกด้วยกัน แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แขก ท่านเป็นคนไทย เป็นลูกชาวไทยอาหม ไทยในแขกมีอยู่สองไทย คือ หนึ่ง ไทยอาหม สอง ไทยมะลิวัลย์
    • ไทยอาหมนั่นเขามาถึงอินเดียก่อนไทยมะลิวัลย์ ๑๐๐ ปี ในเมื่อไทยกับแขกมันกินข้าวด้วยกันไม่ไหวแล้ว ไหวไหม ไม่ไหวนะ ทีนี้มาตอนหนึ่งท่านโกมารภัจจ์ท่านลาพระพุทธเจ้ามาที่ทวาราวดี ลามาเที่ยว ๒ ปี แต่ว่าฎีกาจารย์ล่อสิบสองปี นี่มันจะมากไปหน่อย ตอนนั้นก็มาทางเรือนะ อินเดียมาประเทศไทยก็ไม่ไกลนักใช่ไหม เวลากลับไปก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าให้ทราบว่าชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด และพูดเพราะมาก คำว่าโดดหมายถึงเดี่ยว
    • อย่างเรากิน เราเรียกว่า ‘กิน’ นะ ของเขา ‘ภุญชะติ’ เรา ‘ไป’ เขา ‘คันตะวา’ นะ ของเราโดดกว่านะ นี่เทียบให้ฟังนะ พระพุทธเจ้าเลยถามว่าชาวทวาราวดีเขาพูดยังไง ลองพูดให้ฟังสักคำสิ พอท่านโกมารกัจจ์พูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน ก็คุยไปคุยมาคุยสนุกสนาน ต่อมาระหว่างที่คุยท่านโกมารภัจจ์ท่านนึกขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมรู้ภาษาทุกภาษา หรือว่าท่านรู้มาจากไหน เลยถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระองค์รู้ภาษาทวาราวดี อาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง ใช่ไหม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนไทย ไทยอาหม

    ================

    จากหนังสือ : ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๕ หน้า ๖๐-๖๒
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
    ภาพถ่ายสถานที่ : วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    “ท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์” • ความจริงเรื่องของท่านไม่หาย แต่ไม่มีใครเขียนต่อ เมื่อเขาเผาศพพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็เสียใจ ความจริงท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ใช่ไหม เกิดทันใช่ไหม เกิดพร้อมกัน (หัวเราะ) ต่อนะ ท่านโกมารภัจจ์ในเมื่อเขาเผาพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านก็ไม่เข้าบ้าน บอกเราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้ามานิพพานก่อนเราเราก็หมดที่พึ่งไม่มีใครสอน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อนแล้ว ก็เหมือนกับเราคนไม่มีอะไรเลย ท่านคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เลยไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงลูก ไม่คิดถึงเมีย ไม่คิดถึงทรัพย์สิน ไม่คิดถึงชีวิต เข้าไปนอนในถ้ำเข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปท่านบอกว่าเข้าป่าหวังจะให้มันตายไปเลย ยังมีคนตามไปขอยาอีก ใช่ไหม หมอซะอย่าง ในเมื่อมีคนตามมาขอยา ท่านก็รำคาญ เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องการทำอะไรทั้งหมด เข้าป่าลึก • พอเข้าป่าลึกไปนอนในถ้ำ นอนอย่างเดียวเราจะไม่ลุกจากที่นี้ จะเป็นไงก็ช่างมัน หมายความว่าจะตายก็ตายไปเสียนะ พอตัดสินใจว่ามันจะตายก็ตายตรงนี้ เราจะไม่ลุกไปอีกแล้ว ก็มีเสียงเหมือนแสงฟ้าแลบ แลบแป๊บเดียวก็มีเสียงเหมือนคล้ายฟ้าผ่าเปรี้ยง แล้วก็มีเสียงบอก โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านก็บอกว่าใช่แล้วก็นอน เดี๋ยวมาเป็นแบบนั้นอยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามท่านหลับ ท่านบอกก็เลยหลับสนิทไปเลย ไม่ตื่นต่อไปอีก • “อาการตัดสินใจแบบนั้นไม่อาลัยในชีวิตนะ เป็นอารมณ์อรหันต์ นั่นท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วนะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์นิพพานทันที” แต่ว่าหนังสือแบบเรียนเราไม่มีนะ ต้องหาที่อื่น นี่พูดเรื่องท่านโกมารภัจจ์ให้ฟัง ว่าเรื่องมันหายไปนะ ความจริงท่านไม่หาย ท่านโกมารภัจจ์ทำให้เรามีประโยชน์มากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร และตระกูลพระพุทธเจ้าเราจะสังเกตได้ว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่รังเกียจคนเผ่าอื่น คือไม่ยอมแต่งงานกับคนเมืองอื่นเลย จะต้องแต่งงานเฉพาะชาวกรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นนะ เราก็อ่านหนังสือแล้วเราคิดว่าคนพวกนี้มีมานะถือตัวมาก แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นแขกด้วยกัน แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แขก ท่านเป็นคนไทย เป็นลูกชาวไทยอาหม ไทยในแขกมีอยู่สองไทย คือ หนึ่ง ไทยอาหม สอง ไทยมะลิวัลย์ • ไทยอาหมนั่นเขามาถึงอินเดียก่อนไทยมะลิวัลย์ ๑๐๐ ปี ในเมื่อไทยกับแขกมันกินข้าวด้วยกันไม่ไหวแล้ว ไหวไหม ไม่ไหวนะ ทีนี้มาตอนหนึ่งท่านโกมารภัจจ์ท่านลาพระพุทธเจ้ามาที่ทวาราวดี ลามาเที่ยว ๒ ปี แต่ว่าฎีกาจารย์ล่อสิบสองปี นี่มันจะมากไปหน่อย ตอนนั้นก็มาทางเรือนะ อินเดียมาประเทศไทยก็ไม่ไกลนักใช่ไหม เวลากลับไปก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าให้ทราบว่าชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด และพูดเพราะมาก คำว่าโดดหมายถึงเดี่ยว • อย่างเรากิน เราเรียกว่า ‘กิน’ นะ ของเขา ‘ภุญชะติ’ เรา ‘ไป’ เขา ‘คันตะวา’ นะ ของเราโดดกว่านะ นี่เทียบให้ฟังนะ พระพุทธเจ้าเลยถามว่าชาวทวาราวดีเขาพูดยังไง ลองพูดให้ฟังสักคำสิ พอท่านโกมารกัจจ์พูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน ก็คุยไปคุยมาคุยสนุกสนาน ต่อมาระหว่างที่คุยท่านโกมารภัจจ์ท่านนึกขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมรู้ภาษาทุกภาษา หรือว่าท่านรู้มาจากไหน เลยถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระองค์รู้ภาษาทวาราวดี อาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง ใช่ไหม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนไทย ไทยอาหม ================ จากหนังสือ : ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๕ หน้า ๖๐-๖๒ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) ภาพถ่ายสถานที่ : วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    0 Comments 0 Shares 195 Views 0 Reviews
  • ทานศีลบำเพ็ญ
    เนกขัมมะดี
    ปัญญาคลุกคลี
    มีความเพียรอยู่

    อดทนอดกลั้น
    ฟันฝ่าต่อสู้
    สัจจะมีอยู่
    รู้ตื่นเบิกบาน

    ปรารถนามี
    ดีอธิษฐาน
    เมตตาพบพาน
    ฐานอุเบกขา

    บุญวาสนา
    บารมีมา
    คุ้มครองรักษา
    พาอยู่หลักได้

    หนทางชีวิต
    สถิตอาศัย
    รู้ธรรมครองใจ
    ให้งานถึงฝั่ง

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ทานศีลบำเพ็ญ เนกขัมมะดี ปัญญาคลุกคลี มีความเพียรอยู่ อดทนอดกลั้น ฟันฝ่าต่อสู้ สัจจะมีอยู่ รู้ตื่นเบิกบาน ปรารถนามี ดีอธิษฐาน เมตตาพบพาน ฐานอุเบกขา บุญวาสนา บารมีมา คุ้มครองรักษา พาอยู่หลักได้ หนทางชีวิต สถิตอาศัย รู้ธรรมครองใจ ให้งานถึงฝั่ง ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • ตายไปแล้ว..ท่านก็ว่าไปโลกหน้ามีอะไรบ้างละ มีนรก มีเมืองผี มีเมืองสวรรค์ มีเมืองนิพพาน
    ตายไปแล้ว..ท่านก็ว่าไปโลกหน้ามีอะไรบ้างละ มีนรก มีเมืองผี มีเมืองสวรรค์ มีเมืองนิพพาน
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ
    สัทธรรมลำดับที่ : 604
    ชื่อบทธรรม :- ผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=604
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ

    --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีถ้อยคำอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ ว่า
    “ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี” ;
    แต่มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีถ้อยคำเป็นข้าศึกอย่างตรงกันข้ามจากสมณพราหมณ์เหล่านั้น
    โดยกล่าวว่า-
    “ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่”
    ดังนี้.
    --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร
    : สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกอย่างตรงกันข้ามต่อกันและกันมิใช่หรือ ?
    “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
    --คหบดี ท. ! บุรุษวิญญูชน (คนกลาง) มาใคร่ครวญอยู่ในข้อนี้ ว่า
    “สมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า
    ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี’
    ดังนี้
    นี้เราก็ไม่ได้เห็น ;
    แม้สมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า
    ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’
    ดังนี้
    นี้เราก็ไม่รู้จัก.
    ก็เมื่อเราไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่ จะกล่าวโดยโวหารข้างเดียว
    ว่าฝ่ายนี้เท่านั้นจริง ฝ่ายอื่นเปล่า ดังนี้
    : นั้นก็ไม่เป็นการสมควรแก่เรา.

    สำหรับสมณพราหมณ์ พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า
    ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี’
    ดังนี้
    ถ้าคำของเขาเป็นความจริง,
    เรื่องก็จะเป็นไปได้ว่า เราจักมีการอุบัติในหมู่เทพ ที่ไม่มีรูป
    #มีอัตภาพสำเร็จด้วยสัญญา เป็นแน่นอน ;
    แต่ถ้าถ้อยคำของสมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า
    ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’
    ดังนี้
    เป็นความจริง,
    เรื่องก็จะเป็นไปได้ว่า เราจักปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้เอง.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/118/?keywords=ปรินิพฺพายิสฺสามิ

    สำหรับสมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า
    ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง ไม่มี’
    ดังนี้,
    ทิฏฐิของเขาก็
    กระเดียดไปในทางกำหนัดย้อมใจ
    กระเดียดไปในทางประกอบอยู่ในภพ
    กระเดียดไปในทางเพลิดเพลิน ในทางสยบมัวเมา ในทางยึดมั่นด้วยอุปาทาน ;
    ฝ่ายสมณพราหมณ์ พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า
    ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’
    ดังนี้ นั้นเล่า,
    ทิฏฐิของเขาก็
    กระเดียดไปในทางไม่กำหนัดย้อมใจ
    กระเดียดไปในทางไม่ประกอบอยู่ในภพ
    กระเดียดไปในทางไม่เพลิดเพลิน ในทางไม่สยบมัวเมา ในทางไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน”
    ดังนี้.
    +--บุรุษวิญญูชนนั้น ครั้นใคร่ครวญเห็นอย่างนี้แล้ว
    ก็ เลือกเอาการปฏิบัติ
    ฝ่ายที่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับไม่เหลือ แห่งภพทั้งหลาย
    นั่นเทียว.-

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/93-94/121.
    http://etipitaka.com/read/thai/13/93/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๑๗-๑๑๘/๑๒๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=604
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=604
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41
    ลำดับสาธยายธรรม : 41 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ สัทธรรมลำดับที่ : 604 ชื่อบทธรรม :- ผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=604 เนื้อความทั้งหมด :- --ผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ --คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีถ้อยคำอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ ว่า “ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี” ; แต่มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีถ้อยคำเป็นข้าศึกอย่างตรงกันข้ามจากสมณพราหมณ์เหล่านั้น โดยกล่าวว่า- “ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่” ดังนี้. --คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร : สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกอย่างตรงกันข้ามต่อกันและกันมิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” --คหบดี ท. ! บุรุษวิญญูชน (คนกลาง) มาใคร่ครวญอยู่ในข้อนี้ ว่า “สมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี’ ดังนี้ นี้เราก็ไม่ได้เห็น ; แม้สมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’ ดังนี้ นี้เราก็ไม่รู้จัก. ก็เมื่อเราไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่ จะกล่าวโดยโวหารข้างเดียว ว่าฝ่ายนี้เท่านั้นจริง ฝ่ายอื่นเปล่า ดังนี้ : นั้นก็ไม่เป็นการสมควรแก่เรา. สำหรับสมณพราหมณ์ พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี’ ดังนี้ ถ้าคำของเขาเป็นความจริง, เรื่องก็จะเป็นไปได้ว่า เราจักมีการอุบัติในหมู่เทพ ที่ไม่มีรูป #มีอัตภาพสำเร็จด้วยสัญญา เป็นแน่นอน ; แต่ถ้าถ้อยคำของสมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’ ดังนี้ เป็นความจริง, เรื่องก็จะเป็นไปได้ว่า เราจักปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้เอง. http://etipitaka.com/read/pali/13/118/?keywords=ปรินิพฺพายิสฺสามิ สำหรับสมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง ไม่มี’ ดังนี้, ทิฏฐิของเขาก็ กระเดียดไปในทางกำหนัดย้อมใจ กระเดียดไปในทางประกอบอยู่ในภพ กระเดียดไปในทางเพลิดเพลิน ในทางสยบมัวเมา ในทางยึดมั่นด้วยอุปาทาน ; ฝ่ายสมณพราหมณ์ พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’ ดังนี้ นั้นเล่า, ทิฏฐิของเขาก็ กระเดียดไปในทางไม่กำหนัดย้อมใจ กระเดียดไปในทางไม่ประกอบอยู่ในภพ กระเดียดไปในทางไม่เพลิดเพลิน ในทางไม่สยบมัวเมา ในทางไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน” ดังนี้. +--บุรุษวิญญูชนนั้น ครั้นใคร่ครวญเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ เลือกเอาการปฏิบัติ ฝ่ายที่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับไม่เหลือ แห่งภพทั้งหลาย นั่นเทียว.- #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/93-94/121. http://etipitaka.com/read/thai/13/93/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๑๗-๑๑๘/๑๒๑. http://etipitaka.com/read/pali/13/117/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%92%E0%B9%91 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=604 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=604 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41 ลำดับสาธยายธรรม : 41 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - [ในสูตรถัดไป (จตุกฺก.อํ. ๒๑/๓๓๘/๒๖๐) ทรงแสดงลักษณะแห่ง ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยชวะ ว่า ได้แก่ภิกษุผู้กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะเพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่. คำว่า “ชวะ” ในที่นี้ หมายถึงความเร็วของการบรรลุธรรม ก้าวล่วงความทุกข์ เหมือนความเร็วแห่งม้ามีฝีเท้าดีฉะนั้น.
    -[ในสูตรถัดไป (จตุกฺก.อํ. ๒๑/๓๓๘/๒๖๐) ทรงแสดงลักษณะแห่ง ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยชวะ ว่า ได้แก่ภิกษุผู้กระทำให้แจ้ง ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะเพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่. คำว่า “ชวะ” ในที่นี้ หมายถึงความเร็วของการบรรลุธรรม ก้าวล่วงความทุกข์ เหมือนความเร็วแห่งม้ามีฝีเท้าดีฉะนั้น. และในสูตรอื่น (๒๐/๓๑๖/๕๓๗) ทรงแสดงลักษณะภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยเชาว์ (ชวะ) ว่า ได้แก่ภิกษุผู้เป็นโอปปาติกอนาคามี มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่มีการเวียนกลับจากโลกนั้น เป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า]. ผู้รู้จักเลือกเอาฝ่ายดับไม่เหลือแห่งภพ คหบดี ท. ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีถ้อยคำอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ ว่า “ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี” ; แต่มีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง มีถ้อยคำเป็นข้าศึกอย่างตรงกันข้ามจากสมณพราหมณ์เหล่านั้น โดยกล่าวว่า “ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงมีอยู่” ดังนี้. คหบดี ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนั้นว่าอย่างไร : สมณพราหมณ์เหล่านี้ มีถ้อยคำเป็นข้าศึกอย่างตรงกันข้ามต่อกันและกันมิใช่หรือ ? “อย่างนั้น พระเจ้าข้า !” คหบดี ท. ! บุรุษวิญญูชน (คนกลาง) มาใคร่ครวญอยู่ในข้อนี้ ว่า “สมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี’ ดังนี้ นี้เราก็ไม่ได้เห็น ; แม้สมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’ ดังนี้ นี้เราก็ไม่รู้จัก. ก็เมื่อเราไม่รู้อยู่ ไม่เห็นอยู่ จะกล่าวโดยโวหารข้างเดียว ว่าฝ่ายนี้เท่านั้นจริง ฝ่ายอื่นเปล่า ดังนี้ : นั้นก็ไม่เป็นการสมควรแก่เรา. สำหรับสมณพราหมณ์ พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวงไม่มี’ ดังนี้ ถ้าคำของเขาเป็นความจริง, เรื่องก็จะเป็นไปได้ว่า เราจักมีการอุบัติในหมู่เทพ ที่ไม่มีรูป มีอัตภาพสำเร็จด้วยสัญญา เป็นแน่นอน ; แต่ถ้าถ้อยคำของสมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’ ดังนี้ เป็นความจริง, เรื่องก็จะเป็นไปได้ว่า เราจักปรินิพพานในทิฏฐธรรมนี้เอง. สำหรับสมณพราหมณ์พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง ไม่มี’ ดังนี้, ทิฏฐิของเขาก็กระเดียดไปในทางกำหนัดย้อมใจ กระเดียดไปในทางประกอบอยู่ในภพ กระเดียดไปในทางเพลิดเพลิน ในทางสยบมัวเมา ในทางยึดมั่นด้วยอุปาทาน ; ฝ่ายสมณพราหมณ์ พวกที่มีถ้อยคำมีความเห็นอย่างนี้ว่า ‘ความดับแห่งภพโดยประการทั้งปวง มีอยู่’ ดังนี้ นั้นเล่า, ทิฏฐิของเขาก็กระเดียดไปในทางไม่กำหนัดย้อมใจ กระเดียดไปในทางไม่ประกอบอยู่ในภพ กระเดียดไปในทางไม่เพลิดเพลิน ในทางไม่สยบมัวเมา ในทางไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน” ดังนี้. บุรุษวิญญูชนนั้น ครั้นใคร่ครวญเห็นอย่างนี้แล้ว ก็ เลือกเอาการปฏิบัติ ฝ่ายที่เป็นไปเพื่อเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับไม่เหลือ แห่งภพทั้งหลาย นั่นเทียว.
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • มีธรรมเป็นกลาง
    วางอยู่ทั่วไป
    มีคุณอาศัย
    ใช้ได้หลากหลาย

    บ้างปรุงแต่งธรรม
    กรรมกุศลได้
    บ้างก็เหลวไหล
    หมายอกุศล

    ธรรมนั้นถูกตรง
    ทรงคุณเหตุผล
    ดีร้ายกรรมตน
    หนทางเลือกใช้

    พระธรรมยืนยง
    คงอยู่รู้ไหม
    อยู่นอกอยู่ใน
    กายจิตรูปนาม

    หนทางสายกลาง
    ทางธรรมติดตาม
    ไม่มีแบกหาม
    รู้ความตามจริง

    ขอพบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    มีธรรมเป็นกลาง วางอยู่ทั่วไป มีคุณอาศัย ใช้ได้หลากหลาย บ้างปรุงแต่งธรรม กรรมกุศลได้ บ้างก็เหลวไหล หมายอกุศล ธรรมนั้นถูกตรง ทรงคุณเหตุผล ดีร้ายกรรมตน หนทางเลือกใช้ พระธรรมยืนยง คงอยู่รู้ไหม อยู่นอกอยู่ใน กายจิตรูปนาม หนทางสายกลาง ทางธรรมติดตาม ไม่มีแบกหาม รู้ความตามจริง ขอพบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าบุคคลที่ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ
    สัทธรรมลำดับที่ : 603
    ชื่อบทธรรม :- ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=603
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ
    --ภิกษุ ท. ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วยองค์สี่
    ย่อมเป็นม้าที่คู่ควรแก่พระราชา เป็นราชูปโภค
    ถึงซึ่งการนับว่าเป็นอังคาพยพของพระราชา.
    องค์ ๔ อะไรกันเล่า ? องค์สี่คือ
    ๑.สมบูรณ์ด้วยวรรณะ
    ๒.ด้วยพละ
    ๓.ด้วยชวะ
    ๔.ด้วยอาโรหปริณาหะ (ทรวดทรง).
    --ภิกษุ ท. ! ฉันเดียวกันกับที่ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ
    ย่อมเป็นบุคคลอาหุเนยย ปาหุเนยย ทักขิเณยย อัญชลิกรณีย
    และเป็นนาบุญแห่งโลกอันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.
    ธรรม ๔ ประการ อย่างไรเล่า ?
    สี่ประการคือ สมบูรณ์
    ๑.ด้วยวรรณะ
    ๒.ด้วยพละ
    ๓.ด้วยชวะ
    ๔.ด้วยอาโรหปริณาหะ.

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ &​ด้วยวรรณะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/21/337/?keywords=วณฺณสมฺปนฺโน
    ภิกษุใน กรณีนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมรรยาทและโคจร
    มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้ที่ถือกันว่าเป็นโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย.

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ์ &​ด้วยพละ เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/21/338/?keywords=พลสมฺปนฺโน
    ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ปรารภความเพียร
    เพื่อละธรรมอันเป็นอกุศล เพื่อความถึงพร้อมแห่งธรรมอันเป็นกุศล
    มีกำลัง (จิต) ทำความเพียรก้าวไปหน้าอย่างมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ &​ด้วยชวะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/21/338/?keywords=ชวสมฺปนฺโน
    ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง(อริยสัจสี่)​ว่า
    “ทุกข์ เป็นอย่างนี้,
    เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้,
    ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้,
    ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้”,
    ดังนี้.

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ &​ด้วยอาโรหปริณาหะ เป็นอย่างไรเล่า ?
    http://etipitaka.com/read/pali/21/339/?keywords=อาโรหปริณาหสมฺปนฺโน
    ภิกษุในกรณีนี้
    เป็นผู้มีการได้จีวร
    บิณฑบาต
    เสนาสนะ และ
    คิลานปัจจยเภสัชชบริขารเป็นปกติ.

    --ภิกษุ ท. ! ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล
    ย่อมเป็นบุคคลอาหุเนย ปาหุเนย ทักขิเณย อัญชลิกรณีย และเป็นนาบุญแห่งโลก
    อันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า,
    ดังนี้แล.-

    [ในสูตรถัดไป (จตุกฺก.อํ. ๒๑/๓๓๘/๒๖๐)
    http://etipitaka.com/read/pali/21/338/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%90
    ทรงแสดงลักษณะแห่ง ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วย ชวะ ว่า
    ได้แก่ภิกษุผู้กระทำให้แจ้ง #ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
    อันไม่มีอาสวะเพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
    ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่.
    คำว่า “ชวะ” ในที่นี้ หมายถึงความเร็วของการบรรลุธรรม
    ก้าวล่วงความทุกข์ เหมือนความเร็วแห่งม้ามีฝีเท้าดีฉะนั้น.
    --และ
    ในสูตรอื่น (๒๐/๓๑๖/๕๓๗)
    http://etipitaka.com/read/pali/20/316/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%93%E0%B9%97
    ทรงแสดงลักษณะภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยเชาว์ (ชวะ) ว่า
    ได้แก่ภิกษุผู้เป็น #โอปปาติกอนาคามี มีการปรินิพพานในภพนั้น
    ไม่มีการเวียนกลับจากโลกนั้น เป็นธรรมดา
    เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า
    ].

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/235/259.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/235/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๗/๒๕๙.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/337/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=603
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=603
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41
    ลำดับสาธยายธรรม : 41 ฟังเสียง..
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าบุคคลที่ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ สัทธรรมลำดับที่ : 603 ชื่อบทธรรม :- ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=603 เนื้อความทั้งหมด :- --ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ --ภิกษุ ท. ! ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วยองค์สี่ ย่อมเป็นม้าที่คู่ควรแก่พระราชา เป็นราชูปโภค ถึงซึ่งการนับว่าเป็นอังคาพยพของพระราชา. องค์ ๔ อะไรกันเล่า ? องค์สี่คือ ๑.สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ๒.ด้วยพละ ๓.ด้วยชวะ ๔.ด้วยอาโรหปริณาหะ (ทรวดทรง). --ภิกษุ ท. ! ฉันเดียวกันกับที่ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นบุคคลอาหุเนยย ปาหุเนยย ทักขิเณยย อัญชลิกรณีย และเป็นนาบุญแห่งโลกอันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า. ธรรม ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการคือ สมบูรณ์ ๑.ด้วยวรรณะ ๒.ด้วยพละ ๓.ด้วยชวะ ๔.ด้วยอาโรหปริณาหะ. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ &​ด้วยวรรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/21/337/?keywords=วณฺณสมฺปนฺโน ภิกษุใน กรณีนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้ที่ถือกันว่าเป็นโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ์ &​ด้วยพละ เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/21/338/?keywords=พลสมฺปนฺโน ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละธรรมอันเป็นอกุศล เพื่อความถึงพร้อมแห่งธรรมอันเป็นกุศล มีกำลัง (จิต) ทำความเพียรก้าวไปหน้าอย่างมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ &​ด้วยชวะ เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/21/338/?keywords=ชวสมฺปนฺโน ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง(อริยสัจสี่)​ว่า “ทุกข์ เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้”, ดังนี้. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ &​ด้วยอาโรหปริณาหะ เป็นอย่างไรเล่า ? http://etipitaka.com/read/pali/21/339/?keywords=อาโรหปริณาหสมฺปนฺโน ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีการได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจยเภสัชชบริขารเป็นปกติ. --ภิกษุ ท. ! ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นบุคคลอาหุเนย ปาหุเนย ทักขิเณย อัญชลิกรณีย และเป็นนาบุญแห่งโลก อันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า, ดังนี้แล.- [ในสูตรถัดไป (จตุกฺก.อํ. ๒๑/๓๓๘/๒๖๐) http://etipitaka.com/read/pali/21/338/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%96%E0%B9%90 ทรงแสดงลักษณะแห่ง ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วย ชวะ ว่า ได้แก่ภิกษุผู้กระทำให้แจ้ง #ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันไม่มีอาสวะเพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วแลอยู่. คำว่า “ชวะ” ในที่นี้ หมายถึงความเร็วของการบรรลุธรรม ก้าวล่วงความทุกข์ เหมือนความเร็วแห่งม้ามีฝีเท้าดีฉะนั้น. --และ ในสูตรอื่น (๒๐/๓๑๖/๕๓๗) http://etipitaka.com/read/pali/20/316/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%93%E0%B9%97 ทรงแสดงลักษณะภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยเชาว์ (ชวะ) ว่า ได้แก่ภิกษุผู้เป็น #โอปปาติกอนาคามี มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่มีการเวียนกลับจากโลกนั้น เป็นธรรมดา เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า ]. #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/235/259. http://etipitaka.com/read/thai/21/235/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๗/๒๕๙. http://etipitaka.com/read/pali/21/337/?keywords=%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%99 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=603 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=603 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41 ลำดับสาธยายธรรม : 41 ฟังเสียง.. http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ
    -ฝีเท้าไววัดด้วยการรู้อริยสัจ ภิกษุ ท. !ม้าอาชาไนยตัวเจริญของพระราชา ประกอบด้วยองค์สี่ ย่อมเป็นม้าที่คู่ควรแก่พระราชา เป็นราชูปโภค ถึงซึ่งการนับว่าเป็นอังคาพยพของพระราชา. องค์ ๔ อะไรกันเล่า ? องค์สี่คือ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ด้วยพละ ด้วยชวะ ด้วยอาโรหปริณาหะ (ทรวดทรง). ภิกษุ ท. ! ฉันเดียวกันกับที่ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ย่อมเป็นบุคคลอาหุเนยย ปาหุเนยย ทักขิเณยย อัญชลิกรณีย และเป็นนาบุญแห่งโลกอันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า. ธรรม ๔ ประการ อย่างไรเล่า ? สี่ประการคือ สมบูรณ์ด้วยวรรณะ ด้วยพละ ด้วยชวะ ด้วยอาโรหปริณาหะ. ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ์ด้วยวรรณะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุใน กรณีนี้ เป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร สมบูรณ์ด้วยมรรยาทและโคจร มีปกติเห็นเป็นภัยในโทษทั้งหลายแม้ที่ถือกันว่าเป็นโทษเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ์ด้วยพละ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละธรรมอันเป็นอกุศล เพื่อความถึงพร้อมแห่งธรรมอันเป็นกุศล มีกำลัง (จิต) ทำความเพียรก้าวไปหน้าอย่างมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ์ด้วยชวะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า “ทุกข์ เป็นอย่างนี้, เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือ แห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้”, ดังนี้. ภิกษุ ท. ! ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอาโรหปริณาหะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีการได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชช บริขารเป็นปกติ. ภิกษุ ท. ! ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๔ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นบุคคลอาหุเนย ปาหุเนย ทักขิเณย อัญชลิกรณีย และเป็นนาบุญแห่งโลก อันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า, ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • บาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลกนิพพานมีมาดั้งเดิม ใครจะไปลบล้างไม่ได้ เพราะเป็นหลักความจริง #หลวงตาบัวเทศน์
    บาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลกนิพพานมีมาดั้งเดิม ใครจะไปลบล้างไม่ได้ เพราะเป็นหลักความจริง #หลวงตาบัวเทศน์
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 99 Views 11 0 Reviews
  • อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะและทางไปสู่สัมมัติตตนิยาม
    สัทธรรมลำดับที่ : 970
    ชื่อบทธรรม :- ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=970
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ
    --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย.
    เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น.
    --ภิกษุ ท. ! ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ?
    (ต่อไปนี้ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า นิพพานคามิมรรค โดยสูตรหลายสูตรเป็นลำดับไป
    http://etipitaka.com/read/pali/18/452/?keywords=นิพฺพานคามิญฺจ
    ในที่นี้จะยกมาเฉพาะชื่อธรรมที่ทรงแสดงเท่านั้น :-​ )
    --กายคตาสติ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สมถะและวิปัสสนา
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สวิตักกสวิจารสมาธิ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สติปัฏฐานสี่
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --สัมมัปปธานสี่
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --อิทธิบาทสี่
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --อินทรีย์ห้า
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --พละห้า
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --โพชฌงค์เจ็ด
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --อริยอัฏฐังคิกมรรค
    : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค.
    --ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว.
    --ภิกษุ ท. ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว
    จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! นั้น โคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย.
    +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท.
    พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย.
    นี้แล #เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/453/?keywords=อนุสาสนีติ
    --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑ - ๔๔๒/๖๗๔ - ๖๘๔.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/441/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%97%E0%B9%94
    --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐ - ๔๕๓/๗๒๐ - ๗๕๑.
    http://etipitaka.com/read/pali/18/450/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92%E0%B9%90

    --ทางโล่งอันแน่นอนไปสู่สัมมัติตตนิยาม
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ
    แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม (บทสรุปอันแน่นอน)
    อันเป็นสัมมัตตะ (ภาวะแห่งความถูกต้อง) ในกุศลธรรมทั้งหลาย.*--๑
    หกประการ อย่างไรเล่า ? หกประการ คือ เป็นผู้ : -
    ๑--ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ (มีกรรมเป็นเครื่องกั้น) ;
    ๒--ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ (มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น);
    ๓--ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ (มีวิบากเป็นเครื่องกั้น);
    ๔--ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ;
    ๕--ไม่ประกอบด้วยฉันทะ ; และ
    ๖--เป็นผู้มีปัญญาทราม(ทุปฺปญฺโญ)​.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ทุปฺปญฺโญ

    *--๑. ภาวะแห่งความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปดประการหรือจะขยายออกไปถึงสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ อีก ๒ ประการ รวมเป็น ๑๐ ประการ ด้วยก็ได้.

    กล่าวโดยย่อว่า ธรรม ๖ ประการแห่งสูตรนี้ เป็นทางโล่งเปิดตรงไปสู่หัวใจอัฎฐังคิกมรรค.
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล
    แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการ
    ฟังสัทธรรมอยู่ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    หกประการอย่างไรเล่า ? หกประการคือ เป็นผู้ :-
    ๑--ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ ;
    ๒--ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ;
    ๓--ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ;
    ๔--ประกอบด้วยศรัทธา;
    ๕--ประกอบด้วยฉันทะ; และ
    ๖--เป็นผู้ที่มีปัญญา.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ปญฺญวา
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.-

    (กัมมาวรณภาวะ - มีกรรมเป็นเครื่องกั้น หมายถึง วิปฏิสารแห่งจิต เพราะได้ทำกรรมชั่วไว้,
    กิเลสาวรณภาวะ - มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น หมายถึง กิเลสโดยเฉพาะคือ มิจฉาทิฏฐิที่เป็นพื้นฐานแห่งจิต,
    วิปากาวรณภาวะ - หมายถึง วิบากที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะเข้าใจธรรมได้).

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/388/357.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/388/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๖/๓๕๗.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97
    ศึกษา​เพิ่มเติม..
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=970
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83
    ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    อริย​สาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ว่า​ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะและทางไปสู่สัมมัติตตนิยาม สัทธรรมลำดับที่ : 970 ชื่อบทธรรม :- ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=970 เนื้อความทั้งหมด :- --ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ --ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย. เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น. --ภิกษุ ท. ! ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า นิพพานคามิมรรค โดยสูตรหลายสูตรเป็นลำดับไป http://etipitaka.com/read/pali/18/452/?keywords=นิพฺพานคามิญฺจ ในที่นี้จะยกมาเฉพาะชื่อธรรมที่ทรงแสดงเท่านั้น :-​ ) --กายคตาสติ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สมถะและวิปัสสนา : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สวิตักกสวิจารสมาธิ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สติปัฏฐานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --สัมมัปปธานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --อิทธิบาทสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --อินทรีย์ห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --พละห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --โพชฌงค์เจ็ด : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --อริยอัฏฐังคิกมรรค : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. --ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว. --ภิกษุ ท. ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! นั้น โคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. +--ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี้แล #เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. http://etipitaka.com/read/pali/18/453/?keywords=อนุสาสนีติ --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑ - ๔๔๒/๖๗๔ - ๖๘๔. http://etipitaka.com/read/pali/18/441/?keywords=%E0%B9%96%E0%B9%97%E0%B9%94 --- สฬา. สํ. ๑๘/๔๕๐ - ๔๕๓/๗๒๐ - ๗๕๑. http://etipitaka.com/read/pali/18/450/?keywords=%E0%B9%97%E0%B9%92%E0%B9%90 --ทางโล่งอันแน่นอนไปสู่สัมมัติตตนิยาม --ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม (บทสรุปอันแน่นอน) อันเป็นสัมมัตตะ (ภาวะแห่งความถูกต้อง) ในกุศลธรรมทั้งหลาย.*--๑ หกประการ อย่างไรเล่า ? หกประการ คือ เป็นผู้ : - ๑--ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ (มีกรรมเป็นเครื่องกั้น) ; ๒--ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ (มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น); ๓--ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ (มีวิบากเป็นเครื่องกั้น); ๔--ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ; ๕--ไม่ประกอบด้วยฉันทะ ; และ ๖--เป็นผู้มีปัญญาทราม(ทุปฺปญฺโญ)​. http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ทุปฺปญฺโญ *--๑. ภาวะแห่งความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปดประการหรือจะขยายออกไปถึงสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ อีก ๒ ประการ รวมเป็น ๑๐ ประการ ด้วยก็ได้. กล่าวโดยย่อว่า ธรรม ๖ ประการแห่งสูตรนี้ เป็นทางโล่งเปิดตรงไปสู่หัวใจอัฎฐังคิกมรรค. --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการ ฟังสัทธรรมอยู่ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. หกประการอย่างไรเล่า ? หกประการคือ เป็นผู้ :- ๑--ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ ; ๒--ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ; ๓--ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ; ๔--ประกอบด้วยศรัทธา; ๕--ประกอบด้วยฉันทะ; และ ๖--เป็นผู้ที่มีปัญญา. http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=ปญฺญวา --ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.- (กัมมาวรณภาวะ - มีกรรมเป็นเครื่องกั้น หมายถึง วิปฏิสารแห่งจิต เพราะได้ทำกรรมชั่วไว้, กิเลสาวรณภาวะ - มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น หมายถึง กิเลสโดยเฉพาะคือ มิจฉาทิฏฐิที่เป็นพื้นฐานแห่งจิต, วิปากาวรณภาวะ - หมายถึง วิบากที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ที่ไม่อาจจะเข้าใจธรรมได้). #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. 22/388/357. http://etipitaka.com/read/thai/22/388/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ฉกฺก. อํ. ๒๒/๔๘๖/๓๕๗. http://etipitaka.com/read/pali/22/486/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%95%E0%B9%97 ศึกษา​เพิ่มเติม.. https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=970 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83 ลำดับสาธยายธรรม : 83 ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ
    -(ในพระบาลีข้างบนนี้ ทรงแสดง สัมมัตตะสิบและมิจฉัตตะสิบ ว่าเป็นอริยมรรคและ อนริยมรรค. ในบาลีแห่งอื่นๆ แสดงเป็นคู่ ๆ แปลกออกไปอีก คือในสูตรอื่น ๆ ทรงเรียกชื่อของธรรมหมวดนี้ว่า สุกกมรรค - กัณหมรรค ก็มี, เป็นสาธุธรรม - อสาธุธรรม, อริยมรรค - อนริยมรรค, กุศลธรรม - อกุศลธรรม, ธรรมมีประโยชน์ - ธรรมไม่มีประโยชน์, เป็นธรรม - เป็นอธรรม, ไม่เป็นไปเพื่ออาสวะ - เป็นไปเพื่ออาสวะ, เป็นธรรมไม่มีโทษ - เป็นธรรมมีโทษ, เป็นธรรมไม่แผดเผา - เป็นธรรมแผดเผา, ไม่เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส - เป็นเครื่องสั่งสมกิเลส, มีสุขเป็นกำไร - มีทุกข์เป็นกำไร, มีสุขเป็นผลตอบแทน - มีทุกข์เป็นผลตอบแทน, เป็นธรรมทำความสงบ - ไม่เป็นธรรมทำความสงบ, เป็นธรรมของสัตบุรุษ ไม่เป็นธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมที่ควรทำให้เกิดขึ้น - ธรรมที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น, ธรรมที่ควรเสพ - ธรรมที่ไม่ควรเสพ, ธรรมที่ควรเจริญ - ธรรมที่ไม่ควรเจริญ, ธรรมที่ควรทำให้มาก - ธรรมที่ไม่ควรทำให้มาก, ธรรมที่ควรระลึกถึง - ธรรมที่ไม่ควรระลึกถึง, ธรรมที่ควรทำให้แจ้ง - ธรรมที่ไม่ควรทำให้แจ้ง, ดังนี้ก็มี. - ๒๔/๒๕๘ - ๒๖๕/๑๓๔ - ๑๕๔). ธรรมที่เป็นนิพพานคามิมัคคะ ภิกษุ ท. ! เราจักแสดงซึ่งนิพพานคามิมรรค แก่เธอทั้งหลาย. เธอทั้งหลายจงฟังความข้อนั้น. ภิกษุ ท. ! ก็ นิพพานคามิมรรค เป็นอย่างไรเล่า ? (ต่อไปนี้ทรงแสดงสิ่งที่เรียกว่า นิพพานคามิมรรค โดยสูตรหลายสูตรเป็นลำดับไป ในที่นี้จะยกมาเฉพาะชื่อธรรมที่ทรงแสดงเท่านั้น :-) กายคตาสติ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สมถะและวิปัสสนา : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สวิตักกสวิจารสมาธิ อวิตักกวิจารมัตตสมาธิ อวิตักกอวิจารสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิหิตสมาธิ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สติปัฏฐานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. สัมมัปปธานสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. อิทธิบาทสี่ : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. อินทรีย์ห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. พละห้า : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. โพชฌงค์เจ็ด : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. อริยอัฏฐังคิกมรรค : ภิกษุ ท. ! นี้เราเรียกว่า นิพพานคามิมรรค. ภิกษุ ท. ! ด้วยอาการอย่างนี้ นิพพานคามิมรรค เป็นอันว่าเราแสดงแล้ว. ภิกษุ ท. ! กิจอันใด ที่ศาสดาผู้เอ็นดู แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลอาศัยความเอ็นดูแล้ว จะพึงทำแก่สาวกทั้งหลาย, กิจอันนั้น เราได้ทำแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! นั้น โคนไม้ทั้งหลาย, นั่น เรือนว่างทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส, อย่าได้ประมาท. พวกเธอทั้งหลาย อย่าได้เป็นที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย. นี้แล เป็นวจาเครื่องพร่ำสอนพวกเธอทั้งหลายของเรา. สฬา. สํ. ๑๘/๔๔๑ - ๔๔๒, ๔๕๐ - ๔๕๓/๖๗๔ - ๖๘๔, ๗๒๐ – ๗๕๑. ทางโล่งอันแน่นอนไปสู่สัมมัติตตนิยาม ภิกษุ ท. ! บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม (บทสรุปอันแน่นอน) อันเป็นสัมมัตตะ (ภาวะแห่งความถูกต้อง) ในกุศลธรรมทั้งหลาย.๑ หกประการ อย่างไรเล่า ? หกประการ คือ เป็นผู้ : ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ (มีกรรมเป็นเครื่องกั้น) ; ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ (มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น); ๑. ภาวะแห่งความถูกต้องในกุศลธรรมทั้งหลาย ในที่นี้หมายถึงอัฏฐังคิกมรรคมีองค์แปดประการหรือจะขยายออกไปถึงสัมมาญาณะและสัมมาวิมุตติ อีก ๒ ประการ รวมเป็น ๑๐ ประการ ด้วยก็ได้. กล่าวโดยย่อว่า ธรรม ๖ ประการแห่งสูตรนี้ เป็นทางโล่งเปิดตรงไปสู่หัวใจอัฎฐังคิกมรรค. ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ (มีวิบากเป็นเครื่องกั้น); ไม่ประกอบด้วยศรัทธา ; ไม่ประกอบด้วยฉันทะ ; และ เป็นผู้มีปัญญาทราม. ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ก็ไม่อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการ ฟังสัทธรรมอยู่ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย. หกประการอย่างไรเล่า ? หกประการคือ เป็นผู้ : ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณภาวะ ; ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณภาวะ; ไม่ประกอบด้วยวิปากาวรณภาวะ; ประกอบด้วยศรัทธา; ประกอบด้วยฉันทะ; และ เป็นผู้ที่มีปัญญา. ภิกษุ ท. ! บุคคลที่ประกอบด้วยหลักธรรม ๖ ประการเหล่านี้แล แม้ฟังสัทธรรมอยู่ ก็อาจก้าวลงสู่นิยามธรรม อันเป็นสัมมัตตะ ในกุศลธรรมทั้งหลาย.
    0 Comments 0 Shares 176 Views 0 Reviews
  • ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ก้าวเดินตามทางของศาสดา จะถึงนิพพานในวันใดวันหนึ่งแน่นอน
    ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ก้าวเดินตามทางของศาสดา จะถึงนิพพานในวันใดวันหนึ่งแน่นอน
    0 Comments 0 Shares 111 Views 11 0 Reviews
  • ธรรมแท้เหมาะสม
    ตรมทุกข์เหตุหาย
    ศีลธรรมอาศัย
    ให้ทุกข์ห่างไกล

    เมตตานำมา
    พาธรรมสู่ใจ
    ปรารถนาไว้
    ให้ธรรมนำหน้า

    พระธรรมความจริง
    ยิ่งทำยิ่งพา
    สติยิ่งมา
    พาให้โดดเด่น

    มีสมาธิ
    จิตสำนึกเป็น
    ปัญญารู้เห็น
    ร่มเย็นชีวี

    กายเวทนา
    อารมณ์จิตมี
    ไหลรวมคลุกคลี
    นี้เป็นธรรมล้วน

    อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย

    ขอบุญนี้จงสำเร็จ! ขอบุญนี้จงสำเร็จ! ขอบุญนี้จงสำเร็จ!

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    ธรรมแท้เหมาะสม ตรมทุกข์เหตุหาย ศีลธรรมอาศัย ให้ทุกข์ห่างไกล เมตตานำมา พาธรรมสู่ใจ ปรารถนาไว้ ให้ธรรมนำหน้า พระธรรมความจริง ยิ่งทำยิ่งพา สติยิ่งมา พาให้โดดเด่น มีสมาธิ จิตสำนึกเป็น ปัญญารู้เห็น ร่มเย็นชีวี กายเวทนา อารมณ์จิตมี ไหลรวมคลุกคลี นี้เป็นธรรมล้วน อิทังเม ญาตินังโหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย ขอบุญนี้จงสำเร็จ! ขอบุญนี้จงสำเร็จ! ขอบุญนี้จงสำเร็จ! ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 132 Views 0 Reviews

  • เจริญธรรมเถิด
    ประเสริฐทางดี
    รู้ทุกข์เหตุมี
    ราวีไม่ได้

    ความจริงประเสริฐ
    เปิดดูเห็นไหม
    ทุกข์สมุทัย
    ดับไปจึ่งหาย

    หนทางสายกลาง
    ทางธรรมให้ไว้
    ตั้งใจมั่นใจ
    ไปตามครรลอง

    กายใจดูแล
    แก้ไขประคอง
    มีบุญเกี่ยวข้อง
    ครองธรรมอาศัย

    กรรมมีแน่นอน
    พรดีขวนขวาย
    ตั้งอยู่ดับไป
    ได้สุขวิมุติ

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    เจริญธรรมเถิด ประเสริฐทางดี รู้ทุกข์เหตุมี ราวีไม่ได้ ความจริงประเสริฐ เปิดดูเห็นไหม ทุกข์สมุทัย ดับไปจึ่งหาย หนทางสายกลาง ทางธรรมให้ไว้ ตั้งใจมั่นใจ ไปตามครรลอง กายใจดูแล แก้ไขประคอง มีบุญเกี่ยวข้อง ครองธรรมอาศัย กรรมมีแน่นอน พรดีขวนขวาย ตั้งอยู่ดับไป ได้สุขวิมุติ ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • พรหมวิหารสี่ครรลอง
    ครองเมตตากรุณา
    มุทิตาอุเบกขา
    พาร่วมหลักธรรมความจริง

    ทุกข์สัจจะอนิจจัง
    สั่งสอนอบรมพึ่งพิง
    อนัตตาพาสุงสิง
    ยิ่งทำยิ่งเจริญธรรม

    อารมณ์ธรรมหนึ่งเดียวล้วน
    ชวนจิตหนึ่งได้ดื่มด่ำ
    หนึ่งธรรมเดียวตรงถูกย้ำ
    นำพาไปให้โดดเด่น

    สติสมาธิมี
    มีปัญญาศรัทธาเห็น
    พร้อมเพียรเป็นคุณบำเพ็ญ
    เป็นคุณเป็นธรรมทองแท้

    พรหมวิหารธรรมหนุนส่ง
    สงเคราะห์พามาดูแล
    ทั้งเบาบางกลางหนักแก้
    แน่วแน่พึ่งหนึ่งธรรมทาง

    ธรรมจริงซึ้งพึ่งอาศัย
    หมายสว่างทางสายกลาง
    สติครองประคองทาง
    วางถึงใจได้ธรรมจริง

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    พรหมวิหารสี่ครรลอง ครองเมตตากรุณา มุทิตาอุเบกขา พาร่วมหลักธรรมความจริง ทุกข์สัจจะอนิจจัง สั่งสอนอบรมพึ่งพิง อนัตตาพาสุงสิง ยิ่งทำยิ่งเจริญธรรม อารมณ์ธรรมหนึ่งเดียวล้วน ชวนจิตหนึ่งได้ดื่มด่ำ หนึ่งธรรมเดียวตรงถูกย้ำ นำพาไปให้โดดเด่น สติสมาธิมี มีปัญญาศรัทธาเห็น พร้อมเพียรเป็นคุณบำเพ็ญ เป็นคุณเป็นธรรมทองแท้ พรหมวิหารธรรมหนุนส่ง สงเคราะห์พามาดูแล ทั้งเบาบางกลางหนักแก้ แน่วแน่พึ่งหนึ่งธรรมทาง ธรรมจริงซึ้งพึ่งอาศัย หมายสว่างทางสายกลาง สติครองประคองทาง วางถึงใจได้ธรรมจริง ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์ในนอก นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • คุณศีลคุณธรรม
    กรรมดีอาศัย
    ความจริงวิจัย
    ให้รู้แก่นแท้

    ความจริงสมมุติ
    ผุดโฉมโลดแล่น
    บังมิดธรรมแท้
    กระแสจิตหลง

    หลงยึดหลงติด
    หลงจิตไม่ปลง
    จิตหลอกจิตหลง
    คงทุกข์เหตุมี

    จิตนี้สำคัญ
    หมั่นเพียรคลุกคลี
    รักษาให้ดี
    มีมารหมายครอง

    จิตมารไม่ดับ
    กลับพายกย่อง
    ไกลธรรมครรลอง
    ครองทุกข์ร่ำไป

    เกิดมาทุกข์หยั่ง
    ยังอยู่ทุกข์ได้
    เสื่อมดับไปไหน
    ไม่รู้หวั่นไหว

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    คุณศีลคุณธรรม กรรมดีอาศัย ความจริงวิจัย ให้รู้แก่นแท้ ความจริงสมมุติ ผุดโฉมโลดแล่น บังมิดธรรมแท้ กระแสจิตหลง หลงยึดหลงติด หลงจิตไม่ปลง จิตหลอกจิตหลง คงทุกข์เหตุมี จิตนี้สำคัญ หมั่นเพียรคลุกคลี รักษาให้ดี มีมารหมายครอง จิตมารไม่ดับ กลับพายกย่อง ไกลธรรมครรลอง ครองทุกข์ร่ำไป เกิดมาทุกข์หยั่ง ยังอยู่ทุกข์ได้ เสื่อมดับไปไหน ไม่รู้หวั่นไหว ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
  • อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาสมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง)
    สัทธรรมลำดับที่ : 596
    ชื่อบทธรรม :- สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง)
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=596
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง)
    --ภิกษุ ท. ! บุคคลสี่ประเภทนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. สี่ประเภทเหล่าไหนเล่า ?
    สี่ประเภทคือ สมณมจละ สมณปุณฑรีกะ สมณปทุมะ สมณะสุขุมาลในหมู่สมณะ.

    --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่าบุคคลผู้ สมณอจละ (ผู้ไม่หวั่นไหว) ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม เป็นโสดาบัน
    มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า.
    +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า &​บุคคลผู้สมณมจละ.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=โสตาปนฺโน

    --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า บุคคลผู้ สมณปุณฑรีกะ (ผู้เสมือนบัวบุณฑริก) ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม
    และเพราะความมีราคะโทสะโมหะเบาบาง เป็นสกทาคามี
    มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้นก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.
    +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่าบุคคลผู้ &​สมณปุณฑรีกะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=สกทาคามี

    --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่าบุคคลผู้ สมณปทุมะ (ผู้เสมือนบัวปทุม) ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์เบื้องต่ำ ห้าอย่าง
    เป็นโอปปาติกะ มีการปรินิพพานในภพนั้นไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.
    +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า &​บุคคลผู้สมณปทุมะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=โอปปาติโก

    --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า บุคคลผู้ สมณสุขุมาล (ผู้ละเอียดอ่อน) ในหมู่สมณะ ?
    +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ กระทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
    อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
    ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เจ้าถึงแล้วแลอยู่.
    +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า &​สมณผู้สุขุมาลในหมู่สมณะ.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=สุขุมาโล

    --ภิกษุ ท. ! บุคคลสี่ประเภทเหล่านี้แล มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก, ดังนี้แล.-

    #ทุกขมรรค ​#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/89/88.
    http://etipitaka.com/read/thai/21/89/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๑๖/๘๘.
    http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98
    ศึกษาเพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=596
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=596
    หรือ
    http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41
    ลำดับสาธยายธรรม : 41​ ฟังเสียง...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาสมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) สัทธรรมลำดับที่ : 596 ชื่อบทธรรม :- สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=596 เนื้อความทั้งหมด :- --สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) --ภิกษุ ท. ! บุคคลสี่ประเภทนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. สี่ประเภทเหล่าไหนเล่า ? สี่ประเภทคือ สมณมจละ สมณปุณฑรีกะ สมณปทุมะ สมณะสุขุมาลในหมู่สมณะ. --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่าบุคคลผู้ สมณอจละ (ผู้ไม่หวั่นไหว) ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า &​บุคคลผู้สมณมจละ. http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=โสตาปนฺโน --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า บุคคลผู้ สมณปุณฑรีกะ (ผู้เสมือนบัวบุณฑริก) ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม และเพราะความมีราคะโทสะโมหะเบาบาง เป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้นก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่าบุคคลผู้ &​สมณปุณฑรีกะ. http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=สกทาคามี --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่าบุคคลผู้ สมณปทุมะ (ผู้เสมือนบัวปทุม) ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์เบื้องต่ำ ห้าอย่าง เป็นโอปปาติกะ มีการปรินิพพานในภพนั้นไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า &​บุคคลผู้สมณปทุมะ. http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=โอปปาติโก --ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า บุคคลผู้ สมณสุขุมาล (ผู้ละเอียดอ่อน) ในหมู่สมณะ ? +--ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ กระทำให้แจ้งซึ่ง เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เจ้าถึงแล้วแลอยู่. +--ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า &​สมณผู้สุขุมาลในหมู่สมณะ. http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=สุขุมาโล --ภิกษุ ท. ! บุคคลสี่ประเภทเหล่านี้แล มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก, ดังนี้แล.- #ทุกขมรรค ​#อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. 21/89/88. http://etipitaka.com/read/thai/21/89/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๑๖/๘๘. http://etipitaka.com/read/pali/21/116/?keywords=%E0%B9%98%E0%B9%98 ศึกษาเพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=596 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41&id=596 หรือ http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=41 ลำดับสาธยายธรรม : 41​ ฟังเสียง... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_41.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง)
    -สมณะสี่ประเภท (อีกนัยหนึ่ง) ภิกษุ ท. ! บุคคลสี่ประเภทนี้ มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก. สี่ประเภทเหล่าไหนเล่า ? สี่ประเภทคือ สมณอจละ สมณปุณฑรีกะ สมณปทุมะ สมณะสุขุมาลในหมู่สมณะ. ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่าบุคคลผู้ สมณอจละ (ผู้ไม่หวั่นไหว) ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม เป็น โสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน มีการตรัสรู้พร้อมในเบื้องหน้า. ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า บุคคลผู้สมณอจละ. ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า บุคคลผู้ สมณปุณฑรีกะ (ผู้เสมือนบัวบุณฑริก) ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์สาม และเพราะความมีราคะโทสะโมหะเบาบาง เป็น สกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้นก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้. ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่าบุคคลผู้ สมณปุณฑรีกะ. ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่าบุคคลผู้ สมณปทุมะ (ผู้เสมือนบัวปทุม) ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ เพราะสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์เบื้องต่ำ ห้าอย่าง เป็น โอปปาติกะ มีการปรินิพพานในภพนั้นไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา. ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า บุคคลผู้สมณปทุมะ. ภิกษุ ท. ! อย่างไรเล่า เรียกว่า บุคคลผู้ สมณสุขุมาล (ผู้ละเอียดอ่อน) ในหมู่สมณะ ? ภิกษุ ท. ! ภิกษุในกรณีนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรมนี้ เจ้าถึงแล้วแลอยู่. ภิกษุ ท. ! อย่างนี้แล เรียกว่า สมณผู้สุขุมาลในหมู่สมณะ. ภิกษุ ท. ! บุคคลสี่ประเภทเหล่านี้แล มีอยู่ หาได้อยู่ ในโลก, ดังนี้แล.
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
More Results