• เดือด! ชาวกำแพงเพชรบุกร้อง "พรรคประชาชน" จี้สอบ "รักชนก" โพสต์ปมงบน้ำ ถามทำไมต้องเอาความเดือดร้อนปชช.เกี่ยว!
    https://www.thai-tai.tv/news/20235/
    .
    #รักชนกศรีนอก #ไผ่ลิกค์ #กำแพงเพชร #งบประมาณ69 #พรรคประชาชน #เกษตรกรเดือดร้อน #การเมือง #ตรวจสอบงบ
    เดือด! ชาวกำแพงเพชรบุกร้อง "พรรคประชาชน" จี้สอบ "รักชนก" โพสต์ปมงบน้ำ ถามทำไมต้องเอาความเดือดร้อนปชช.เกี่ยว! https://www.thai-tai.tv/news/20235/ . #รักชนกศรีนอก #ไผ่ลิกค์ #กำแพงเพชร #งบประมาณ69 #พรรคประชาชน #เกษตรกรเดือดร้อน #การเมือง #ตรวจสอบงบ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • การใช้ AI ปราบคอร์รัปชันในวงการเมืองเป็นแนวทางที่น่าสนใจและหลายประเทศกำลังทดลองใช้ โดยมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ดังนี้

    ### ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ต้านคอร์รัปชัน:
    1. **วิเคราะห์ข้อมูลการเงิน (Financial Forensics)**
    - AI ตรวจสอบบัญชีธนาคาร ภาษี และรายงานทรัพย์สินของนักการเมืองเพื่อหา "รายได้ไม่สมทรัพย์สิน"
    - ตัวอย่าง: ยูเครนใช้ระบบ **ProZorro** + AI วิเคราะห์การจัดซื้อจัดจ้างรัฐ ส่งผลให้ประหยัดงบประมาณได้ 6 พันล้านดอลลาร์ใน 5 ปี

    2. **ตรวจจับการทุจริตโครงการรัฐ (Public Procurement Monitoring)**
    - ระบบ Machine Learning วิเคราะห์ราคากลาง/ผู้ชนะประมูลซ้ำๆ เช่น หากพบบริษัทเดียวกันชนะประมูลเกิน 70% ในเขตเลือกตั้งหนึ่ง อาจส่อพฤติกรรมเอื้อประโยชน์
    - อินโดนีเซียใช้ **e-LPSE** + AI ตรวจจับความผิดปกติในโครงการก่อสร้าง

    3. **เฝ้าระวังเครือข่ายทุจริต (Network Analysis)**
    - AI แมปความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง-ธุรกิจ-ข้าราชการผ่านข้อมูลธุรกรรม การโอนหุ้น หรือการประชุมลับ
    - เกาหลีใต้ใช้วิธีนี้สืบสวนคดีทุจริตระดับสูง

    4. **แพลตฟอร์มรายงานแบบเปิด (Whistleblower Platforms)**
    - Chatbot ช่วยประชาชนรายงานการทุจริตแบบไม่เปิดเผยตัวตน พร้อม AI คัดกรองข้อมูล
    - ตัวอย่าง: **DoNotPay** (สหรัฐฯ) และ **I Paid a Bribe** (อินเดีย)

    ### ความท้าทายสำคัญ:
    - **ความแม่นยำของข้อมูล**: AI ต้องการข้อมูลเปิด (Open Data) ที่ครบถ้วน ในขณะที่หลายประเทศยังปิดบังข้อมูลสาธารณะ
    - **อคติของระบบ (Bias)**: หากข้อมูลฝึกสอนมาจากหน่วยงานทุจริต AI อาจถูกบิดเบือน
    - **การโจมตีทางไซเบอร์**: กลุ่มผลประโยชน์อาจแฮ็กระบบเพื่อทำลายหลักฐาน
    - **อุปสรรคทางกฎหมาย**: บางประเทศขาดกฎหมายรองรับการใช้ AI ในการสืบสวน

    ### กรณีศึกษาประเทศไทย:
    - **โครงการ "ไทยติดตาม" (Thai Open Data)**: ใช้ Data Visualization ตรวจสอบงบประมาณรัฐ
    - **สำนักงาน ป.ป.ช.**: ทดลอง AI วิเคราะห์รายงานทรัพย์สินส่อพิรุธ
    - **ความก้าวหน้า**: ยังต้องการการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และปรับกฎหมายให้สอดคล้อง

    ### แนวทางเสริมประสิทธิภาพ:
    1. **ออกกฎหมายบังคับเปิดข้อมูลภาครัฐ** (Open Data Law)
    2. **สร้างระบบตรวจสอบอิสระ** เพื่อป้องกันการแทรกแซง AI
    3. **พัฒนาความรู้ AI ให้ประชาชน** เพื่อร่วมเป็น "ตาทิพย์" ตรวจสอบ
    4. **ผสานกับกลไกดั้งเดิม** เช่น สื่อมวลชน และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน

    > สรุป: AI ไม่ใช่ "ไม้เท้าวิเศษ" ที่แก้คอร์รัปชันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ต้องใช้ควบคู่กับ **ความโปร่งใสทางการเมือง (Political Will)** และ **การมีส่วนร่วมของประชาชน** เท่านั้นจึงจะได้ผลยั่งยืน

    ประเทศที่ประสบความสำเร็จเช่น **จอร์เจีย** และ **เอสโตเนีย** พิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีช่วยลดคอร์รัปชันได้จริง หากมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน!
    การใช้ AI ปราบคอร์รัปชันในวงการเมืองเป็นแนวทางที่น่าสนใจและหลายประเทศกำลังทดลองใช้ โดยมีทั้งโอกาสและความท้าทาย ดังนี้ ### ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI ต้านคอร์รัปชัน: 1. **วิเคราะห์ข้อมูลการเงิน (Financial Forensics)** - AI ตรวจสอบบัญชีธนาคาร ภาษี และรายงานทรัพย์สินของนักการเมืองเพื่อหา "รายได้ไม่สมทรัพย์สิน" - ตัวอย่าง: ยูเครนใช้ระบบ **ProZorro** + AI วิเคราะห์การจัดซื้อจัดจ้างรัฐ ส่งผลให้ประหยัดงบประมาณได้ 6 พันล้านดอลลาร์ใน 5 ปี 2. **ตรวจจับการทุจริตโครงการรัฐ (Public Procurement Monitoring)** - ระบบ Machine Learning วิเคราะห์ราคากลาง/ผู้ชนะประมูลซ้ำๆ เช่น หากพบบริษัทเดียวกันชนะประมูลเกิน 70% ในเขตเลือกตั้งหนึ่ง อาจส่อพฤติกรรมเอื้อประโยชน์ - อินโดนีเซียใช้ **e-LPSE** + AI ตรวจจับความผิดปกติในโครงการก่อสร้าง 3. **เฝ้าระวังเครือข่ายทุจริต (Network Analysis)** - AI แมปความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมือง-ธุรกิจ-ข้าราชการผ่านข้อมูลธุรกรรม การโอนหุ้น หรือการประชุมลับ - เกาหลีใต้ใช้วิธีนี้สืบสวนคดีทุจริตระดับสูง 4. **แพลตฟอร์มรายงานแบบเปิด (Whistleblower Platforms)** - Chatbot ช่วยประชาชนรายงานการทุจริตแบบไม่เปิดเผยตัวตน พร้อม AI คัดกรองข้อมูล - ตัวอย่าง: **DoNotPay** (สหรัฐฯ) และ **I Paid a Bribe** (อินเดีย) ### ความท้าทายสำคัญ: - **ความแม่นยำของข้อมูล**: AI ต้องการข้อมูลเปิด (Open Data) ที่ครบถ้วน ในขณะที่หลายประเทศยังปิดบังข้อมูลสาธารณะ - **อคติของระบบ (Bias)**: หากข้อมูลฝึกสอนมาจากหน่วยงานทุจริต AI อาจถูกบิดเบือน - **การโจมตีทางไซเบอร์**: กลุ่มผลประโยชน์อาจแฮ็กระบบเพื่อทำลายหลักฐาน - **อุปสรรคทางกฎหมาย**: บางประเทศขาดกฎหมายรองรับการใช้ AI ในการสืบสวน ### กรณีศึกษาประเทศไทย: - **โครงการ "ไทยติดตาม" (Thai Open Data)**: ใช้ Data Visualization ตรวจสอบงบประมาณรัฐ - **สำนักงาน ป.ป.ช.**: ทดลอง AI วิเคราะห์รายงานทรัพย์สินส่อพิรุธ - **ความก้าวหน้า**: ยังต้องการการบูรณาการฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และปรับกฎหมายให้สอดคล้อง ### แนวทางเสริมประสิทธิภาพ: 1. **ออกกฎหมายบังคับเปิดข้อมูลภาครัฐ** (Open Data Law) 2. **สร้างระบบตรวจสอบอิสระ** เพื่อป้องกันการแทรกแซง AI 3. **พัฒนาความรู้ AI ให้ประชาชน** เพื่อร่วมเป็น "ตาทิพย์" ตรวจสอบ 4. **ผสานกับกลไกดั้งเดิม** เช่น สื่อมวลชน และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน > สรุป: AI ไม่ใช่ "ไม้เท้าวิเศษ" ที่แก้คอร์รัปชันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ต้องใช้ควบคู่กับ **ความโปร่งใสทางการเมือง (Political Will)** และ **การมีส่วนร่วมของประชาชน** เท่านั้นจึงจะได้ผลยั่งยืน ประเทศที่ประสบความสำเร็จเช่น **จอร์เจีย** และ **เอสโตเนีย** พิสูจน์แล้วว่าเทคโนโลยีช่วยลดคอร์รัปชันได้จริง หากมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ มีข่าวหลุดมาว่า สตง.ส่งหนังสือขอตรวจสอบงบประมาณการใช้จ่าย ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งที่อยู่ในช่วงของการสอบสวนคดีตึกสตง.ถล่ม หวังจะกดดันข่มขู่ต่อรอง แต่รอง ผบช.น.กลับไม่หวั่นเกรง ประกาศเอาผิดให้หมด ไม่เว้นแม้สตง.
    #7ดอกจิก
    ♣ มีข่าวหลุดมาว่า สตง.ส่งหนังสือขอตรวจสอบงบประมาณการใช้จ่าย ของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งที่อยู่ในช่วงของการสอบสวนคดีตึกสตง.ถล่ม หวังจะกดดันข่มขู่ต่อรอง แต่รอง ผบช.น.กลับไม่หวั่นเกรง ประกาศเอาผิดให้หมด ไม่เว้นแม้สตง. #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 196 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเสียงสมน้ำหน้า เคล้าก่นด่า ดังกว่า... ตึก สตง. ถล่ม! วิกฤตศรัทธาหน่วยตรวจ ลืมสำรวจตัวเอง? ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง แต่ความเชื่อมั่น ในกระบวนการของภาครัฐเอง ก็สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ

    เหตุการณ์ถล่ม ของตึกเดียวในประเทศไทย จากแผ่นดินไหว จุดชนวนคำถามถึงความโปร่งใส ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และทำให้หน่วยงาน “ผู้ตรวจ” กลายเป็น “ผู้ถูกตรวจสอบ” เสียเอง

    เมื่อคำถามไม่ได้มีแค่ “ทำไมตึกถล่ม” แต่เป็น “ใครจะรับผิดชอบ?” 28 มีนาคม 2568 เวลา 14.37 น. กรุงเทพฯ สะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ศูนย์กลางที่เมียนมา ในขณะที่อาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ แกว่งไกวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ แต่กลับมีตึกหนึ่งที่ “พังลงทั้งหลัง” ตึกแห่งนั้นคือ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    เสียงระเบิดของโครงสร้างถล่มลงมา เสียงผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ... และเสียง “ประชาชน” ที่เริ่มตั้งคำถามดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ

    ทำไมตึกเดียวในไทยถึงถล่มทั้งหลัง?

    สตง. ไม่ตรวจสอบโครงการของตนเองหรือ?

    หรือระบบรัฐไทยล้มเหลวในระดับโครงสร้าง... ทั้งจริง ๆ และเชิงเปรียบเทียบ?

    สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ Office of the Auditor General of Thailand คือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีภารกิจสำคัญในการตรวจสอบ การใช้เงินของภาครัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

    ภารกิจหลักของ สตง.
    1. ตรวจสอบงบประมาณหน่วยงานรัฐ (Financial Audit)
    2. ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit)
    3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Performance Audit)

    นอกจากบทบาทในการตรวจสอบ สตง. ยังเสนอแนะการบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมจัดทำรายงานประจำปีต่อรัฐสภา และประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.audit.go.th เพื่อให้เกิด “ธรรมาภิบาล” ที่แท้จริง

    สตง. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ” แต่เมื่อสำนักงานของตัวเองถล่ม... ใครจะตรวจสอบ “ผู้ตรวจสอบ”?

    โครงการตึกใหม่ สตง. ต้นทุน 2,560 ล้านบาท แลกกับภาพลักษณ์องค์กร

    ข้อมูลโครงการ
    สร้างที่:ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร

    ขนาดอาคาร 30 ชั้น บนพื้นที่ 11 ไร่

    งบประมาณรวม 2,560 ล้านบาท

    ผู้รับเหมาคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด

    บริษัทควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู (PKW) ที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทพี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด

    การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 โดยตั้งเป้าเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคต

    แต่ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากสร้างมาได้เพียง 30%... ตึกก็ถล่มทั้งหลัง

    สาเหตุ? อุบัติเหตุ? หรือสะท้อนปัญหาลึกของระบบ?

    แรงแผ่นดินไหว หรือโครงสร้างอ่อนแอ? แม้แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จะถือว่ารุนแรง แต่บริเวณกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจตุจักร ได้รับแรงสั่นสะเทือนประมาณ 5.1 เท่านั้น ซึ่งถือว่า ไม่แรงพอที่จะทำให้อาคารพังราบทั้งหลัง ตามมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง

    แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารพัง?

    วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน?

    โครงสร้างไม่รองรับแรงสั่น?

    ขั้นตอนตรวจสอบขาดความรัดกุม?

    จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในอาคารส่วนใหญ่ มาจากบริษัทต่างชาติ ที่ถูกสั่งปิดโรงงานในปลายปี 2567 เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย

    ตรวจสอบวัสดุจริง กับข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นใจ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สวทช. และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบเหล็กเส้น จากสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เหล็ก 5 จาก 6 ประเภท มาจากโรงงานเดียวกัน โรงงานนี้เคยมีประวัติการระเบิด และเครนหล่น อีกทั้งยังเคยถูกสั่งปิดชั่วคราว จากเหตุผลด้านความปลอดภัย

    คำถามคือ เหล็กจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ ผ่านการอนุมัติเข้าโครงการระดับพันล้าน ได้อย่างไร?

    เมื่อ “ผู้ตรวจ” ลืม “ตรวจสอบตัวเอง”? กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบที่รัดกุม แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า…

    การประมูลมักให้น้ำหนักกับ “ราคาถูก” มากกว่าคุณภาพ ผู้รับเหมาจึงใช้วัสดุราคาต่ำกว่ามาตรฐาน การกำกับดูแลไม่ทั่วถึง เพราะผู้ควบคุมโครงการ ก็อยู่ภายใต้งบจำกัด

    น่าเจ็บปวดที่เหตุการณ์นี้เกิดกับ “สตง.” ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบของความโปร่งใส

    การเมืองในองค์กรอิสระ: อิสระจริง หรือเลือกกันเอง? โครงสร้าง คตง. และการสรรหา คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดย ส.ว. ปัจจุบันผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งโดย ส.ว. ชุดพิเศษ การแต่งตั้งกรรมการหลายคน มีข้อครหาว่าไม่โปร่งใส และถูกฟ้องต่อศาลปกครอง

    จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึง “อิสรภาพ” ขององค์กรที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง

    กระแสโซเชียล & ประชาชน “เสียงสมน้ำหน้า” ดังยิ่งกว่าความเศร้า ในขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังรอการกู้ร่างในซากตึก โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยเสียงแดกดัน เช่น

    “ผู้ตรวจ ลืมตรวจตึกตัวเอง”

    “สมน้ำหน้าที่พังเพราะไม่โปร่งใส”

    “เงินภาษีคนไทยพังลงต่อหน้า”

    คำพูดเหล่านี้อาจดูโหดร้าย แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่า “แม้แต่หน่วยงานตรวจสอบ ก็ยังไม่รอดจากระบบที่พัง”

    วิกฤตศรัทธา & บทเรียนราคาแพง สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือชีวิต… แต่คือ ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐ

    บทเรียนสำคัญที่รัฐต้องรับให้ได้ การคัดเลือกผู้รับเหมา ควรมีระบบที่ยึด “คุณภาพ” เป็นหลัก ต้องมีการตรวจสอบหลายชั้น โดยอิสระจริง ๆ ปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพิ่มบทลงโทษกรณีวัสดุหรือผู้รับเหมาไม่ได้มาตรฐาน

    จากตึกถล่ม สู่การตรวจสอบศรัทธาประชาชน เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดของประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกัน... นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนระบบราชการ และการบริหารงบประมาณของรัฐอย่างแท้จริง

    อย่าให้เสียง “สมน้ำหน้า” ดังกลบเสียงของผู้เสียชีวิต อย่าให้ตึกที่พัง เป็นเพียงข่าวแค่ไม่กี่วัน แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สร้าง “การเปลี่ยนแปลง”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021119 เม.ย. 2568

    #ตึกสตงถล่ม #ผู้ตรวจถูกตรวจ #แผ่นดินไหว2568 #ข่าวด่วน #เหล็กไม่ได้มาตรฐาน #สตงคือใคร #ความโปร่งใสภาครัฐ #อาคารถล่มกรุงเทพ #ITDCREC #ข่าวไทย
    เมื่อเสียงสมน้ำหน้า เคล้าก่นด่า ดังกว่า... ตึก สตง. ถล่ม! วิกฤตศรัทธาหน่วยตรวจ ลืมสำรวจตัวเอง? ไม่ใช่แค่ตึกที่พัง แต่ความเชื่อมั่น ในกระบวนการของภาครัฐเอง ก็สั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ 😓 🏢 เหตุการณ์ถล่ม ของตึกเดียวในประเทศไทย จากแผ่นดินไหว จุดชนวนคำถามถึงความโปร่งใส ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ และทำให้หน่วยงาน “ผู้ตรวจ” กลายเป็น “ผู้ถูกตรวจสอบ” เสียเอง 🔎 เมื่อคำถามไม่ได้มีแค่ “ทำไมตึกถล่ม” แต่เป็น “ใครจะรับผิดชอบ?” 28 มีนาคม 2568 เวลา 14.37 น. กรุงเทพฯ สะเทือนจากแรงแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ศูนย์กลางที่เมียนมา 🌏 ในขณะที่อาคารสูงทั่วกรุงเทพฯ แกว่งไกวเล็กน้อยเพียงชั่วครู่ แต่กลับมีตึกหนึ่งที่ “พังลงทั้งหลัง” 😱 ตึกแห่งนั้นคือ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ของ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เสียงระเบิดของโครงสร้างถล่มลงมา เสียงผู้รอดชีวิตร้องขอความช่วยเหลือ... และเสียง “ประชาชน” ที่เริ่มตั้งคำถามดังยิ่งกว่าเสียงไหน ๆ ทำไมตึกเดียวในไทยถึงถล่มทั้งหลัง? สตง. ไม่ตรวจสอบโครงการของตนเองหรือ? หรือระบบรัฐไทยล้มเหลวในระดับโครงสร้าง... ทั้งจริง ๆ และเชิงเปรียบเทียบ? 📘 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือ Office of the Auditor General of Thailand คือหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ 🇹🇭 มีภารกิจสำคัญในการตรวจสอบ การใช้เงินของภาครัฐให้ถูกต้อง โปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน 📌 ภารกิจหลักของ สตง. 1. ตรวจสอบงบประมาณหน่วยงานรัฐ (Financial Audit) 2. ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Audit) 3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการดำเนินงาน (Performance Audit) นอกจากบทบาทในการตรวจสอบ สตง. ยังเสนอแนะการบริหาร และใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมจัดทำรายงานประจำปีต่อรัฐสภา และประชาชนผ่านเว็บไซต์ www.audit.go.th เพื่อให้เกิด “ธรรมาภิบาล” ที่แท้จริง สตง. ทำหน้าที่เป็น “ผู้ตรวจสอบความโปร่งใสของรัฐ” แต่เมื่อสำนักงานของตัวเองถล่ม... ใครจะตรวจสอบ “ผู้ตรวจสอบ”? 🧱 โครงการตึกใหม่ สตง. ต้นทุน 2,560 ล้านบาท แลกกับภาพลักษณ์องค์กร 🏗️ ข้อมูลโครงการ สร้างที่:ถนนกำแพงเพชร 2 เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ขนาดอาคาร 30 ชั้น บนพื้นที่ 11 ไร่ งบประมาณรวม 2,560 ล้านบาท ผู้รับเหมาคือ กิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทควบคุมงานคือ กิจการร่วมค้าพีเคดับเบิลยู (PKW) ที่ร่วมทุนระหว่างบริษัทพี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด, บริษัท ว.และ สหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด การก่อสร้างเริ่มตั้งแต่ปี 2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2569 โดยตั้งเป้าเป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รองรับการขยายตัวขององค์กรในอนาคต 🌱 แต่ในวันที่ 28 มีนาคม 2568 หลังจากสร้างมาได้เพียง 30%... ตึกก็ถล่มทั้งหลัง 😰 💣 สาเหตุ? อุบัติเหตุ? หรือสะท้อนปัญหาลึกของระบบ? 📍 แรงแผ่นดินไหว หรือโครงสร้างอ่อนแอ? แม้แผ่นดินไหวขนาด 8.2 จะถือว่ารุนแรง แต่บริเวณกรุงเทพฯ โดยเฉพาะจตุจักร ได้รับแรงสั่นสะเทือนประมาณ 5.1 เท่านั้น ซึ่งถือว่า ไม่แรงพอที่จะทำให้อาคารพังราบทั้งหลัง ตามมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง แล้วอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาคารพัง? วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน? 🧱 โครงสร้างไม่รองรับแรงสั่น? ขั้นตอนตรวจสอบขาดความรัดกุม? จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เหล็กเส้นที่ใช้ในอาคารส่วนใหญ่ มาจากบริษัทต่างชาติ ที่ถูกสั่งปิดโรงงานในปลายปี 2567 เนื่องจากไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ‼️ 🧪 ตรวจสอบวัสดุจริง กับข้อเท็จจริงที่น่าหวั่นใจ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สวทช. และวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้เข้าตรวจสอบเหล็กเส้น จากสถานที่เกิดเหตุ พบว่า เหล็ก 5 จาก 6 ประเภท มาจากโรงงานเดียวกัน โรงงานนี้เคยมีประวัติการระเบิด และเครนหล่น อีกทั้งยังเคยถูกสั่งปิดชั่วคราว จากเหตุผลด้านความปลอดภัย ❗ คำถามคือ เหล็กจากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้ ผ่านการอนุมัติเข้าโครงการระดับพันล้าน ได้อย่างไร? 🧠 เมื่อ “ผู้ตรวจ” ลืม “ตรวจสอบตัวเอง”? กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐไทย แม้จะมีกฎหมายและระเบียบที่รัดกุม แต่ในทางปฏิบัติ กลับพบว่า… การประมูลมักให้น้ำหนักกับ “ราคาถูก” มากกว่าคุณภาพ ผู้รับเหมาจึงใช้วัสดุราคาต่ำกว่ามาตรฐาน การกำกับดูแลไม่ทั่วถึง เพราะผู้ควบคุมโครงการ ก็อยู่ภายใต้งบจำกัด น่าเจ็บปวดที่เหตุการณ์นี้เกิดกับ “สตง.” ผู้ที่ควรจะเป็นต้นแบบของความโปร่งใส ⚖️ การเมืองในองค์กรอิสระ: อิสระจริง หรือเลือกกันเอง? โครงสร้าง คตง. และการสรรหา คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) มาจากการสรรหาโดย ส.ว. ปัจจุบันผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการแต่งตั้งโดย ส.ว. ชุดพิเศษ การแต่งตั้งกรรมการหลายคน มีข้อครหาว่าไม่โปร่งใส และถูกฟ้องต่อศาลปกครอง ⛔ จุดนี้เองที่ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึง “อิสรภาพ” ขององค์กรที่ควรเป็นอิสระจากการเมือง 📣 กระแสโซเชียล & ประชาชน “เสียงสมน้ำหน้า” ดังยิ่งกว่าความเศร้า ในขณะที่ครอบครัวผู้เสียชีวิต ยังรอการกู้ร่างในซากตึก โลกออนไลน์กลับเต็มไปด้วยเสียงแดกดัน เช่น “ผู้ตรวจ ลืมตรวจตึกตัวเอง” “สมน้ำหน้าที่พังเพราะไม่โปร่งใส” “เงินภาษีคนไทยพังลงต่อหน้า” คำพูดเหล่านี้อาจดูโหดร้าย แต่ก็สะท้อนความรู้สึกของคนจำนวนมาก ที่รู้สึกว่า “แม้แต่หน่วยงานตรวจสอบ ก็ยังไม่รอดจากระบบที่พัง” 📉 วิกฤตศรัทธา & บทเรียนราคาแพง สิ่งที่สูญเสียไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือชีวิต… แต่คือ ความเชื่อมั่นต่อระบบรัฐ 🚨 บทเรียนสำคัญที่รัฐต้องรับให้ได้ การคัดเลือกผู้รับเหมา ควรมีระบบที่ยึด “คุณภาพ” เป็นหลัก ต้องมีการตรวจสอบหลายชั้น โดยอิสระจริง ๆ ปฏิรูประบบจัดซื้อจัดจ้าง ให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพิ่มบทลงโทษกรณีวัสดุหรือผู้รับเหมาไม่ได้มาตรฐาน 📌 จากตึกถล่ม สู่การตรวจสอบศรัทธาประชาชน เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่เจ็บปวดของประเทศไทย 🕯️ แต่ในขณะเดียวกัน... นี่อาจเป็นโอกาสในการทบทวนระบบราชการ และการบริหารงบประมาณของรัฐอย่างแท้จริง อย่าให้เสียง “สมน้ำหน้า” ดังกลบเสียงของผู้เสียชีวิต อย่าให้ตึกที่พัง เป็นเพียงข่าวแค่ไม่กี่วัน แต่ให้มันเป็นบทเรียนที่สร้าง “การเปลี่ยนแปลง” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 021119 เม.ย. 2568 📢#ตึกสตงถล่ม #ผู้ตรวจถูกตรวจ #แผ่นดินไหว2568 #ข่าวด่วน #เหล็กไม่ได้มาตรฐาน #สตงคือใคร #ความโปร่งใสภาครัฐ #อาคารถล่มกรุงเทพ #ITDCREC #ข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1148 มุมมอง 0 รีวิว
  • มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กล่าวโจมตีสำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) เรียกหน่วยงานแห่งนี้ว่าเป็น "องค์กรก่อการร้าย" หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนไหวระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศของวอชิงตันเป็นเวลา 3 เดือน
    .
    หลังจากระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นรัฐบาลของทรัมป์ ได้ออกประกาศมอบข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือด้านอาการและมนุษยธรรมอื่นๆ แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือบอกว่าคำสั่งดังกล่าวยังคงนำพามาซึ่งความไม่แน่นอน และกลุ่มคนอ่อนแอที่สุดในโลกบางส่วนเริ่มสัมผัสได้ถึงผลกระทบของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    ทรัมป์ มอบหมายให้ มัสก์ รับผิดชอบด้านการตัดลดคนงานรัฐบาลและปรับลดในสิ่งที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้เรียกว่าเป็นการใช้จ่ายที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น ภายใต้หน้ากากของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งเวลานี้กำลังเล่นงาน USAID ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    .
    "USAID คือองค์กรอาชญากรรม" มัสก์ เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเอง ตอบกลับวิดีโอหนึ่งที่กล่าวอ้างว่า USAID เกี่ยวข้องกับ "งานเกเรของ CIA" และ "เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต"
    .
    ข้อความในโพสต์ต่อมา มัสก์เน้นย้ำในคำกล่าวหานี้ แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาถามผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ 215 ล้านคน "คุณรู้หรือไม่ว่า USAID ใช้ภาษีเงินดอลลาร์ของคุณเป็นทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 ที่เข่นฆ่าผู้คนหลายล้านคน"
    .
    มีรายงานว่า ทรัมป์ ต้องการดึง USAID ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานอิสระ เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการต่างประเทศ แต่พอสำนักข่าวเอเอฟพีติดต่อสอบถามในเรื่องนี้ ทางคณะทำงานของทรัมป์ ยังไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
    .
    เอเอฟพียืนยันว่าเวลานี้เว็บไซต์ของ USAID หยุดให้บริการแล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งระงับการช่วยเหลือต่างประเทศและองค์การพัฒนาทั่วโลก ทำให้ต้องมีการพักงาน เลิกจ้าง และปิดโครงการต่างๆ หลายพันโครงการ
    .
    USAID เป็นองค์กรอิสระที่ถูกจัดตั้งขึ้นในนามของสภาคองเกรส ทำหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณกว่า 42,800 ล้านดอลลาร์ ที่มีเจตนาบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมและมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ทั่วโลก
    .
    คริส เมอร์ฟีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากเดโมแครต วิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของทรัมป์ ว่าเทียบเท่ากับเป็นการทำลายล้างองค์กรแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
    .
    ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของ USAID จำนวน 2 ราย ถูกบังคับให้ลางาน หลังจากพวกเขาห้ามเจ้าหน้าที่จากกระทรวง DOGE ของมัสก์ เข้าถึงเอกสารลับ ส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างกว้างขวางในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010780
    ..................
    Sondhi X
    มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กล่าวโจมตีสำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) เรียกหน่วยงานแห่งนี้ว่าเป็น "องค์กรก่อการร้าย" หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนไหวระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศของวอชิงตันเป็นเวลา 3 เดือน . หลังจากระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นรัฐบาลของทรัมป์ ได้ออกประกาศมอบข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือด้านอาการและมนุษยธรรมอื่นๆ แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือบอกว่าคำสั่งดังกล่าวยังคงนำพามาซึ่งความไม่แน่นอน และกลุ่มคนอ่อนแอที่สุดในโลกบางส่วนเริ่มสัมผัสได้ถึงผลกระทบของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . ทรัมป์ มอบหมายให้ มัสก์ รับผิดชอบด้านการตัดลดคนงานรัฐบาลและปรับลดในสิ่งที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้เรียกว่าเป็นการใช้จ่ายที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น ภายใต้หน้ากากของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งเวลานี้กำลังเล่นงาน USAID ซ้ำแล้วซ้ำเล่า . "USAID คือองค์กรอาชญากรรม" มัสก์ เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเอง ตอบกลับวิดีโอหนึ่งที่กล่าวอ้างว่า USAID เกี่ยวข้องกับ "งานเกเรของ CIA" และ "เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต" . ข้อความในโพสต์ต่อมา มัสก์เน้นย้ำในคำกล่าวหานี้ แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาถามผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ 215 ล้านคน "คุณรู้หรือไม่ว่า USAID ใช้ภาษีเงินดอลลาร์ของคุณเป็นทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 ที่เข่นฆ่าผู้คนหลายล้านคน" . มีรายงานว่า ทรัมป์ ต้องการดึง USAID ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานอิสระ เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการต่างประเทศ แต่พอสำนักข่าวเอเอฟพีติดต่อสอบถามในเรื่องนี้ ทางคณะทำงานของทรัมป์ ยังไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว . เอเอฟพียืนยันว่าเวลานี้เว็บไซต์ของ USAID หยุดให้บริการแล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งระงับการช่วยเหลือต่างประเทศและองค์การพัฒนาทั่วโลก ทำให้ต้องมีการพักงาน เลิกจ้าง และปิดโครงการต่างๆ หลายพันโครงการ . USAID เป็นองค์กรอิสระที่ถูกจัดตั้งขึ้นในนามของสภาคองเกรส ทำหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณกว่า 42,800 ล้านดอลลาร์ ที่มีเจตนาบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมและมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ทั่วโลก . คริส เมอร์ฟีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากเดโมแครต วิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของทรัมป์ ว่าเทียบเท่ากับเป็นการทำลายล้างองค์กรแห่งนี้โดยสิ้นเชิง . ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของ USAID จำนวน 2 ราย ถูกบังคับให้ลางาน หลังจากพวกเขาห้ามเจ้าหน้าที่จากกระทรวง DOGE ของมัสก์ เข้าถึงเอกสารลับ ส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างกว้างขวางในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010780 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1816 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ
    มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม
    จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme)

    ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
    และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ
    และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต
    อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

    1. การรับประกันผลตอบแทนสูง
    ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน
    ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง
    ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ
    ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้
    มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่

    2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน
    นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่
    ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า
    ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา
    สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ

    3. การขาดความโปร่งใส
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ
    ในการดำเนินะธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้
    ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ
    และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย
    จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้
    รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน
    และผลการดำเนินงานได้

    4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า
    คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน
    ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้

    5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด
    ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ
    เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน
    โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่
    หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ
    เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว
    สมาชิกใหม่ได้ง่าย

    ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่
    เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ
    ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ
    และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน
    เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา
    ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน
    #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ 🚩1. การรับประกันผลตอบแทนสูง ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้ มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ 🚩2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่ ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่ ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ 🚩3. การขาดความโปร่งใส ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ ในการดำเนินะธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้ รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน และผลการดำเนินงานได้ 🚩4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้ 🚩5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่ หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว สมาชิกใหม่ได้ง่าย 💥ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1026 มุมมอง 160 0 รีวิว
  • วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ
    มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม
    จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme)

    ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
    และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ
    และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต
    อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

    1. การรับประกันผลตอบแทนสูง
    ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน
    ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง
    ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ
    ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้
    มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่

    2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน
    นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่
    ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า
    ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา
    สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ

    3. การขาดความโปร่งใส
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ
    ในการดำเนินธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้
    ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ
    และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย
    จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้
    รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน
    และผลการดำเนินงานได้

    4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า
    คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน
    ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้

    5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด
    ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ
    เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน
    โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่
    หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ
    เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว
    สมาชิกใหม่ได้ง่าย

    ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่
    เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ
    ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ
    และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน
    เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา
    ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน
    #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ 🚩1. การรับประกันผลตอบแทนสูง ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้ มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ 🚩2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่ ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่ ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ 🚩3. การขาดความโปร่งใส ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ ในการดำเนินธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้ รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน และผลการดำเนินงานได้ 🚩4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้ 🚩5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่ หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว สมาชิกใหม่ได้ง่าย 💥ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 962 มุมมอง 0 รีวิว