• ภาพการ์ตูนล้อการเมืองไทยที่สิงคโปร์
    วาดช้างสยามตัวพ่อเดินนำหน้า มีลูกช้างซึ่งมีผู้หญิงขี่ลูกช้างอยู่บนหลังช้าง เอางวงช้างเกี่ยวหางเดินตามช้างพ่ออยู่

    ห้าม TV ทุกช่องออกข่าว งั้นเราช่วยแชร์ทุกวันทางโซเชี่ยลก็แล้วกัน

    ความจริงบนตัวช้างเป็นภาษาจีน แต่กลัวว่าความหมายจะไม่ตรงกัน เลยเอาภาษาไทยมาแทน

    Wirat
    ภาพการ์ตูนล้อการเมืองไทยที่สิงคโปร์ วาดช้างสยามตัวพ่อเดินนำหน้า มีลูกช้างซึ่งมีผู้หญิงขี่ลูกช้างอยู่บนหลังช้าง เอางวงช้างเกี่ยวหางเดินตามช้างพ่ออยู่ ห้าม TV ทุกช่องออกข่าว งั้นเราช่วยแชร์ทุกวันทางโซเชี่ยลก็แล้วกัน ความจริงบนตัวช้างเป็นภาษาจีน แต่กลัวว่าความหมายจะไม่ตรงกัน เลยเอาภาษาไทยมาแทน Wirat
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • #วิมานลอย

    วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง

    เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง

    และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก

    เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น

    เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์

    ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน

    ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน

    เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน

    ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง

    ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน

    จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป

    ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้

    การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม

    สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม

    ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ

    นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน

    ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย
    สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า

    ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ

    #นิยายแปล
    #วรรณกรรมคลาสสิก
    #วิมานลอย
    #gonewiththewind
    #หนังสือน่าอ่าน
    #สงครามกลางเมือง
    #สหรัฐอเมริกา
    #ชนชั้น
    #แรงงาน
    #บริวาร
    #ทาส
    #คนผิวดำ
    #thaitimes
    #นิยาย
    #หนังสือ
    #วิมานลอย วันนี้ขออนุญาตแนะนำหนังสือที่เคยอ่าน เป็นวรรณกรรมคลาสสิกฝั่งอเมริกา และคิดว่าอย่างน้อยผู้ที่สามารถอ่านหนังสือได้ และมีโอกาส ควรหามาอ่านให้ได้สักครั้งในชีวิต แม้ส่วนตัวจะตอบได้ไม่เต็มปากนักว่าชื่นชอบเล่มนี้ แต่ยืนยันได้ว่าคือหนังสือดีมีค่าที่คู่ควรกับการสละเวลาจริง เชื่อว่าคุ้นหูทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่ทุกคนที่จะได้อ่าน เพราะด้วยความยาวของแถวอักษรยาวเหยียด ความหนาของจำนวนหน้า พาให้รู้สึกท้อต่อการที่จะหยิบมาอ่านอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเล่มที่ผมอ่านนั้น เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 7 ในไทย ของ สนพ.แพรว ปี พ.ศ. 2550 หนา 1,184 หน้า แปลโดย รอย โรจนานนท์ ซึ่งทำสวยงามเลอค่าน่าสะสมมาก ปกแข็งมีปกนอกหุ้ม เย็บกี่ ซึ่งเรื่องนี้ยืมจากห้องสมุดประชาชนมาอ่าน เพราะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น จึงจะกระตุ้นตัวเองให้มีความเพียรพอที่จะตั้งใจอ่านจนจบเรื่องได้ ไม่อย่างนั้นคงซื้อมาแล้วก็วางไว้ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการอ่านและยืมต่ออยู่หลายครั้ง ถ้าจำไม่ผิดก็ 3-4 หนต่อเนื่อง และขอยืนยันว่าฉบับพิมพ์นี้ไม่เหมาะกับการถืออ่านขณะนอนหงาย เพราะอาจหน้าแหก ดั้งยุบ หรือสลบเหมือดคาที่ได้ ขนาดนั่งอ่านยังต้องวางหนังสือกับโต๊ะ ยกอ่านได้ไม่นานเกิดอาการล้ามาก เรื่องที่กล่าวถึงนี้คือ Gone With The Wind หรือชื่อไทย วิมานลอย โดยผู้เขียนนาม มาร์กาเร็ต มิตเชลล์ รู้สึกชอบชื่อเรื่องมากทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทย ที่ให้ความหมายชัดเจนดีมาก ยิ่งอ่านจบแล้วยิ่งย้ำยืนยันว่าเป็นชื่อเรื่องที่เหมาะสมที่สุด ความจริงได้ยินเสียงล่ำลือถึงเรื่องนี้มานานมากตั้งแต่เด็ก แต่ได้สัมผัสครั้งแรกจากภาพยนตร์ก่อน เมื่อช่วงเรียนจบใหม่ๆ พอได้ชมแล้วชอบจึงเริ่มอยากอ่านฉบับหนังสือว่าจะแตกต่างอย่างไรบ้าง นั่นคือจุดเริ่มต้น เนื้อหาของเรื่องนี้ ถูกวางฉากหลังไว้ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ในยุคที่มีการใช้แรงงานทาสผิวดำ การทำกสิกรรมปลูกไร่ฝ้าย ไปจนถึงความขัดแย้งของคนชาติเดียวกัน แต่ต่างที่มา ซึ่งแบ่งเป็นฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงเริ่มสงคราม และสงครามสิ้นสุด รวมถึงพิษภัยจากไฟสงครามที่ลามเลียต่อเนื่อง ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ของฝ่ายผู้ชนะที่กระทำต่อผู้แพ้ ที่แม้คือชาติเดียวกันอย่างโหดร้าย แล้งน้ำใจ การเลิกทาส ความชุลมุน จราจลทั่วทุกหย่อมหญ้า ผ่านความคิด มุมมองและการเลือกกระทำของตัวเอกที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลักอย่างนางเอก คือ สการ์เลตต์ โอฮารา และตัวเดินเรื่องเสริมคือพระเอก หรือ เรตต์ บัตเลอร์ ความจริงผมไม่ชอบสการ์เลตต์ และยิ่งไม่ชอบเรตต์ บัตเลอร์เลยจากใจจริง ออกจะเหม็นเบื่อ หมั่นไส้ และรู้สึกทุเรศทุรังกับอุปนิสัยของตัวละครทั้งสอง โดยเฉพาะช่วงแรกเริ่มได้ทำความรู้จักกันผ่านหน้าหนังสือ ด้วยเหตุที่นางเอกนั้น ช่วงต้นเป็นหญิงที่ใช้ชีวิตอย่างลูกคุณหนู สมองกลวงไปวันๆ ไม่คิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คำนึงถึงแต่เรื่องผู้ชาย การได้แต่งงานกับลูกชายบ้านโน้นบ้านนี้ การแวดล้อมไปด้วยเพื่อนสาวที่มีค่านิยม แนวคิด ฝักใฝ่ความหรูหรา ติดสบาย ต้องมีคนคอยรับใช้ เกียรติยศ ความหลงใหลยึดติดกับศักดินา ข้าทาส บริวาร ชื่อเสียงตระกูล ความฟุ่มเฟือย สารพัดที่ผู้หญิงใฝ่สุขนิยมมักเป็นกัน ส่วนฝ่ายชายนั้นเล่าก็แบดบอย ยโสโอหัง กวนบาทา พูดจายียวน ชอบยั่วโมโห หน้าเลือด นิสัยพ่อค้าที่ทำอย่างไรตนจึงจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าได้เยอะสุดในภาวะสงคราม ที่คนจำนวนมากเดือดร้อนอดอยาก อายุมากกว่านางเอกหลายปี อยู่ในวัยหนุ่มใหญ่ผู้มีสายตาและประสบการณ์ที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน เริ่มต้นนางเอกนั้นเกลียดขี้หน้าพระเอก และก็รู้สึกอย่างนั้นในแทบทุกครั้งที่ได้พบเจอ แต่ก็แปลกที่ในยามวิกฤตกลับนึกถึงเขา เพราะใจลึกๆนั้นรู้ดีว่าชายคนนี้เชื่อถือได้ว่าสามารถนำพาเธอให้พ้นจากสถานการณ์ร้ายต่างๆอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เวลาเจอหน้ากัน มักจะเป็นการสนทนาวิวาทะ ประคารมอย่างถึงพริกถึงขิง แม้นภายในใจจะรู้สึกต่างชอบกันอยู่บ้าง แต่โชคชะตานำพาให้พลาดกันไปพลาดกันมา กว่าจะได้มาเป็นคู่ชีวิตกัน นางเอกต้องผ่านการแต่งงานมาแล้วถึง 2ครั้ง ผู้อ่านจะได้เห็นถึงความเติบโตของสการ์เลตต์ผ่านประสบการณ์ชีวิตซึ่ง การศึกสงครามจากด่านหน้าที่สู้รบกันของฝ่ายสมาพันธรัฐชาวใต้ที่หยิ่งผยองในเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และต้องการความเป็นอิสระในการถือครองทาส กับฝ่ายเหนือที่เป็นสหภาพซี่งยึดรัฐธรรมนูญเหนืออื่นใด ได้ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อแนวหลังที่รอคอยด้วยใจกระวนกระวายอยู่กับบ้าน ผลการแพ้ชนะแต่ละครั้ง ได้สร้างรอยแผลไว้ในใจอย่างฝังลึกยากถอดถอน จนถึงวันที่รู้ว่าฝ่ายของตน ดินแดนอันเป็นที่รัก เชิดชูและศรัทธา ได้แพ้พ่ายอย่างราบคาบ คนรักและรู้จัก พลเมืองจำนวนมากต่างตายไปในสงคราม ที่เหลือรอดกลับมาก็สภาพน่าอเนจอนาถ รวมถึงผลพวงหลังจากรัฐบาลกลางเข้ามากุมอำนาจ มีบทบาทตั้งกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นการขูดรีด เอาเปรียบ เหยียบย่ำ ฉีกทึ้ง เกียรติยศ ศักดิ์ศรีความเป็นคน การฉ้อฉลคดโกง ใช้อำนาจโดยมิชอบ รีดนาทาเล้น ปล้นฆ่า โกงสมบัติชาติเป็นของตน ของผู้มีอำนาจที่ได้รับเลือกจากรัฐบาลกลางมาปกครองดูแลชาวใต้ สมาพันธรัฐล่มสลาย ประชาชนเดือดร้อน อดอยาก แร้นแค้น เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริม และเปลี่ยนแปลงให้นางเอกต้องกลายสภาพจากคุณหนูผู้ไร้เดียงสา ไปเป็นผู้ทำทุกทางเพื่อจะอยู่รอดให้ได้ในยามวิกฤต เพื่อประคับประคองข้าทาสผิวดำที่ซื่อสัตย์ เพื่อรักษาบ้านและที่ดินของพ่อเอาไว้ เพราะเธอต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนหลังสูญเสียพ่อไป ยอมกระทั่งให้คนใต้ด้วยกันหยามเหยียด รังเกียจเดียดฉันท์ เพราะเธอตัดสินใจเลือกคบค้าสมาคม ทำธุรกิจกับพวกพ่อค้า ผู้มีอำนาจ ที่มาปกครองบ้านเมืองของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเธอรังเกียจและเจ็บแค้น เพื่อจะดำรงสถานะของครอบครัวให้ไปต่อได้ การเติบโตทางอารมณ์ และความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องชั่งใจเลือก ในสิ่งซึ่งขัดแย้งกับอุดมการณ์ ความศรัทธา ภาคภูมิที่ตนเชื่อมั่นมาตลอด กับความจริงตรงหน้าที่บีบคั้นให้กระทำสวนทางก็ตาม สการ์เลตต์ โอฮารา รวมถึง เรตต์ บัตเลอร์ จึงเป็นตัวละครที่มีความเรียลริสติก มีบุคลิกที่ใกล้เคียงความเป็นมนุษย์ปุถุชน ที่มีทั้งดีชั่วปะปน และดิ้นรนเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวละครที่พาฝัน ภาพลักษณ์สวยงาม เป็นคนดีพร้อม ทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ที่มักพบได้ในตัวพระนางทั่วไป หากกล่าวอย่างตรงๆแล้ว ทั้งสองออกจะมีด้านที่เป็นสีเทาดำ มากกว่าสีขาวด้วยซ้ำ แต่นี่อาจเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เรื่องนี้ยังคงอยู่ในใจของนักอ่านทั่วโลกมาอย่างยาวนานจนปัจจุบัน ถึงกับได้รับการยกย่องมากมายจากหลายสถาบัน ให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิกชิ้นเยี่ยม ทว่าสำหรับส่วนตัวแล้ว ไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นเลย ยังคงยืนยันเช่นเดิมว่าไม่ชอบนางเอก และพระเอก รวมถึงไม่อาจบอกได้ว่านี่คือเรื่องที่รักชอบหลังอ่านจบ แต่สิ่งหนึ่งที่กล้ายืนยันอย่างมั่นใจอีกครั้งคือ นี่คือหนังสือที่ดี มีค่าเพียงพอต่อเวลาที่ต้องสละไปในการอ่าน ใครอ่านเรื่องนี้จบเกินกว่า 1 รอบ ขอยอมรับนับถือเลย สุดท้ายที่จะบอกคือ นี่เป็นหนังสือที่ดูดพลังอย่างมาก เหนื่อยที่สุดในชีวิตการเป็นนักอ่าน แม้นอ่านนิยายไทยยาวๆอย่างเพชรพระอุมา หรือนิยายจีนกำลังภายในที่ยาว 20-30 เล่ม ก็ยังไม่เคยเหนื่อยเท่า ป.ล. เนื่องจากไม่มีหนังสือเป็นของตน จึงขอใช้ภาพจากอินเตอร์เน็ตมาประกอบครับ #นิยายแปล #วรรณกรรมคลาสสิก #วิมานลอย #gonewiththewind #หนังสือน่าอ่าน #สงครามกลางเมือง #สหรัฐอเมริกา #ชนชั้น #แรงงาน #บริวาร #ทาส #คนผิวดำ #thaitimes #นิยาย #หนังสือ
    0 Comments 0 Shares 157 Views 0 Reviews
  • ผู้นำที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในทรรศนะของซีไอเอ:

    ตอนนี้ เซเลนสกีสุดเศร้าครับ อเมริกาไม่อนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลยิงใส่รัสเซีย เพราะอเมริกากลัวรัสเซียจะอัดคืนมาก แต่อเมริกาก็ไม่อยากให้เซเลนสกีไปยอมแพ้และสวามิภักดิ์ต่อรัสเซีย เพราะเซเลนสกีอาจแฉความสกปรกของนาโต้ออกมาก็ได้

    เครือข่ายสื่อซีไอเอจึงมีการจัดเรตติ้งเอาใจเซเลนสกีสักหน่อย โดยระบุว่าเซเลนสกีคือผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนภายในประเทศมากที่สุดในขณะนี้...โกหกทั้งนั้นครับ

    ดีไม่ดี เขาอาจได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพด้วยซ้ำ
    ความจริงแล้ว อันดับ ๑ คือรัสเซีย แต่นั่นแหละ จักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเต็มไปด้วยผู้คนที่อิจฉาริษยาวลาดิเมียร์ ปูติน จึงจัดปูตินไว้อันดับ ๒ แทน อีกสักพัก อาจมีสื่อสากกะเบือไม่ออกดอกของไทยเอาข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ตามสื่อของตนก็ได้

    จำเอาไว้ครับ เวลามีการจัดอันดับผู้นำการเมืองในประเทศต่างๆ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝงทั้งนั้น

    World’s most popular leader (approval rating):

    Volodymyr Zelensky: 91%
    Vladimir Putin: 77.4%
    Narendra Modi: 76%
    Alain Berset: 66%
    Andrés López: 61%
    Anthony Albanese: 54%
    Lula da Silva: 52%
    Giorgia Meloni: 45%
    Pedro Sánchez: 43%
    Justin Trudeau: 41%
    Joe Biden: 40%


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    ผู้นำที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในทรรศนะของซีไอเอ: ตอนนี้ เซเลนสกีสุดเศร้าครับ อเมริกาไม่อนุญาตให้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลยิงใส่รัสเซีย เพราะอเมริกากลัวรัสเซียจะอัดคืนมาก แต่อเมริกาก็ไม่อยากให้เซเลนสกีไปยอมแพ้และสวามิภักดิ์ต่อรัสเซีย เพราะเซเลนสกีอาจแฉความสกปรกของนาโต้ออกมาก็ได้ เครือข่ายสื่อซีไอเอจึงมีการจัดเรตติ้งเอาใจเซเลนสกีสักหน่อย โดยระบุว่าเซเลนสกีคือผู้นำที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนภายในประเทศมากที่สุดในขณะนี้...โกหกทั้งนั้นครับ ดีไม่ดี เขาอาจได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพด้วยซ้ำ ความจริงแล้ว อันดับ ๑ คือรัสเซีย แต่นั่นแหละ จักรวรรดิ์นิยมอเมริกาเต็มไปด้วยผู้คนที่อิจฉาริษยาวลาดิเมียร์ ปูติน จึงจัดปูตินไว้อันดับ ๒ แทน อีกสักพัก อาจมีสื่อสากกะเบือไม่ออกดอกของไทยเอาข้อมูลนี้ไปเผยแพร่ตามสื่อของตนก็ได้ จำเอาไว้ครับ เวลามีการจัดอันดับผู้นำการเมืองในประเทศต่างๆ มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองแอบแฝงทั้งนั้น World’s most popular leader (approval rating): 🇺🇦 Volodymyr Zelensky: 91% 🇷🇺 Vladimir Putin: 77.4% 🇮🇳 Narendra Modi: 76% 🇨🇭 Alain Berset: 66% 🇲🇽 Andrés López: 61% 🇦🇺 Anthony Albanese: 54% 🇧🇷 Lula da Silva: 52% 🇮🇹 Giorgia Meloni: 45% 🇪🇸 Pedro Sánchez: 43% 🇨🇦 Justin Trudeau: 41% 🇺🇸 Joe Biden: 40% ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • #แฟนคลับพี่คิงส์ก็เหลือเกินวิ่งไปหางานมาให้
    กล้าไปเม้นได้ไง ในฝูงยุซผี
    นึกถึงหนังเรื่อง "วอร์คกิ้งเด๊ด" เลย
    ในนั้นมีแต่ผีอิเหวิง
    โจ ปั๊มยูซผี ทั้งวันทั้งคืน
    หวังเปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนดำเป็นขาว
    เออๆๆ มีทุยคนนึงเฟร้ย
    มันโดนจับได้ว่าเป็นยูซผี มันบอกว่า
    "แล้วยังไง ก็อยากพูดความจริง แต่ไม่อยากพูดเอง"
    55555555555
    เหตุผลของคนซั่วๆ มันจะตรรกะพังแบบนี้เลย
    อ้างว่าเป็นคนดี แต่ใช้วิธีของโจน แล้วไม่รู้สึกว่า
    สิ่งที่ทำมันผิด
    นี่แหละ เหมาะแล้ว ที่เป็นทุยแท้ของโจ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #แฟนคลับพี่คิงส์ก็เหลือเกินวิ่งไปหางานมาให้ กล้าไปเม้นได้ไง ในฝูงยุซผี นึกถึงหนังเรื่อง "วอร์คกิ้งเด๊ด" เลย ในนั้นมีแต่ผีอิเหวิง โจ ปั๊มยูซผี ทั้งวันทั้งคืน หวังเปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยนดำเป็นขาว เออๆๆ มีทุยคนนึงเฟร้ย มันโดนจับได้ว่าเป็นยูซผี มันบอกว่า "แล้วยังไง ก็อยากพูดความจริง แต่ไม่อยากพูดเอง" 55555555555 เหตุผลของคนซั่วๆ มันจะตรรกะพังแบบนี้เลย อ้างว่าเป็นคนดี แต่ใช้วิธีของโจน แล้วไม่รู้สึกว่า สิ่งที่ทำมันผิด นี่แหละ เหมาะแล้ว ที่เป็นทุยแท้ของโจ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    6
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • #ยอดฟอลแท้ถูกทดแทนด้วยยูซผี
    ทำยังไงก็ไม่ทัน ปิดเป็นส่วนตัวซะเลย
    น่ารักอะ
    เรื่องนี้ ทำให้คนไทยได้รู้ว่า
    เราได้ร่วมใช้ชีวิตกับคนไทย
    ที่เป็นทุย จำนวนไม่น้อย
    และพร้อมใช้ทุกวิธีในการเอาชนะความจริง
    แม้เป็นการสร้างยูซผีมาต้มสื่อและคนไทยที่ยังทุย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ยอดฟอลแท้ถูกทดแทนด้วยยูซผี ทำยังไงก็ไม่ทัน ปิดเป็นส่วนตัวซะเลย น่ารักอะ เรื่องนี้ ทำให้คนไทยได้รู้ว่า เราได้ร่วมใช้ชีวิตกับคนไทย ที่เป็นทุย จำนวนไม่น้อย และพร้อมใช้ทุกวิธีในการเอาชนะความจริง แม้เป็นการสร้างยูซผีมาต้มสื่อและคนไทยที่ยังทุย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • #บทพิสูจน์ให้ความจริงได้ทำงาน
    นี่ PK แม๊ตเดียวนะ คิดดู
    ผลประโยชน์มหาศาล
    บนการแสดง
    ทุยเปย์ จนหมดตรูด
    ก็ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของยอดนี้เลย
    แล้วที่ใส่อัดติ๊กเกอร์รัวๆมาจากไหน
    แค่นี้สังเกตุกันไม่ได้จริงเหรอ
    ยังยืนยันว่า นี่คือโมเดล ของการซักอบรีดเงินดาร์ค
    ผ่านจังหวะการพีเค
    เวลานี้ อิเหวิง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
    มาแต่ตัว หอบขนขึ้นเรือ บินบิสเนสคลาสกับ
    ขึ้นใช้ยูซผี ทำเทรนทวิช เซฟกามิน
    เซฟอะไรมันก่อน ตอนนี้ เงินที่ได้จากการแสดงแค่แปดเดือน
    แดรกได้ตลอดชีวิต
    เซฟ กามิจ พวกเมิง
    เซฟครอบครัว เซฟชีวิตจริงพวกเมิงก่อนไอ่ฉัด
    ว่าจะเริ่มทำข่าวอื่นแล้วนะ อดไม่ได้จริงๆ
    ง่าวแล้ว ง่าวอยู่ ง่าวต่อไป
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #บทพิสูจน์ให้ความจริงได้ทำงาน นี่ PK แม๊ตเดียวนะ คิดดู ผลประโยชน์มหาศาล บนการแสดง ทุยเปย์ จนหมดตรูด ก็ยังไม่ได้เศษเสี้ยวของยอดนี้เลย แล้วที่ใส่อัดติ๊กเกอร์รัวๆมาจากไหน แค่นี้สังเกตุกันไม่ได้จริงเหรอ ยังยืนยันว่า นี่คือโมเดล ของการซักอบรีดเงินดาร์ค ผ่านจังหวะการพีเค เวลานี้ อิเหวิง ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มาแต่ตัว หอบขนขึ้นเรือ บินบิสเนสคลาสกับ ขึ้นใช้ยูซผี ทำเทรนทวิช เซฟกามิน เซฟอะไรมันก่อน ตอนนี้ เงินที่ได้จากการแสดงแค่แปดเดือน แดรกได้ตลอดชีวิต เซฟ กามิจ พวกเมิง เซฟครอบครัว เซฟชีวิตจริงพวกเมิงก่อนไอ่ฉัด ว่าจะเริ่มทำข่าวอื่นแล้วนะ อดไม่ได้จริงๆ ง่าวแล้ว ง่าวอยู่ ง่าวต่อไป ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
  • #ยืนยันความจริงเรื่อง #Saveอิเหวิงกามิจ
    แอดมินเพจดัง ยอมใช้เวลาไปเช็คด้วยตัวเอง
    ปรากฏว่า ในแอพนกฟ้า
    ยูซผีเกิน 90% โดยโพสข้อความดังนี้
    "เห็นขึ้นเซฟน้องในทวิสเตอร์ แอดเข้าไปสำรวจดูละ 90% ผีทั้งนั้น เอาจริงๆนะ คนที่ตั้งประเด็นแบบนี้ แล้วใช้ผีมาคอมเม้น คือทำให้น้องดูแย่กว่าเดิมอีก ที่แอดพูดเพราะมันดูตลก มันไม่มีความจริงใจ แม่แต่ใน ตต เองก็เหมือนกัน สู้กันหนักมากๆๆ ยิ่งทำก็ยิ่งแย่เด้อ"
    #ความจริงก็คือความจริง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ยืนยันความจริงเรื่อง #Saveอิเหวิงกามิจ แอดมินเพจดัง ยอมใช้เวลาไปเช็คด้วยตัวเอง ปรากฏว่า ในแอพนกฟ้า ยูซผีเกิน 90% โดยโพสข้อความดังนี้ "เห็นขึ้นเซฟน้องในทวิสเตอร์ แอดเข้าไปสำรวจดูละ 90% ผีทั้งนั้น เอาจริงๆนะ คนที่ตั้งประเด็นแบบนี้ แล้วใช้ผีมาคอมเม้น คือทำให้น้องดูแย่กว่าเดิมอีก ที่แอดพูดเพราะมันดูตลก มันไม่มีความจริงใจ แม่แต่ใน ตต เองก็เหมือนกัน สู้กันหนักมากๆๆ ยิ่งทำก็ยิ่งแย่เด้อ" #ความจริงก็คือความจริง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 263 Views 0 Reviews

  • ในระหว่างที่นั่งจิบชาช่วงบ่ายระหว่างทำงาน work from home ได้มีโอกาสครุ่นคิดถึงศาสนาในประเทศไทยซึ่งประชากรกว่า 90% จดทะเบียนว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ความจริงนั้นอาจยากที่จะตอบได้ว่า คนเหล่านี้เป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงหรือไม่

    จากประสบการณ์ที่อยู่ในสังคมคนทำงานรุ่น Gen X, Y, และ Z มานานเกือบทศวรรษ ทำให้เข้าใจว่าในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักไม่มีศาสนาแบบชัดเจน แต่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Atheist (คนไม่เชื่อในพระเจ้า) หรือ Agnostic (คนที่ไม่เชื่อหรือปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ)ได้เช่นกัน

    เพราะแม้ว่าจะไม่ได้เชื่อในชีวิตหลังความตาย หรือนรกสวรรค์ แต่ผู้คนยังคงหันไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อ "โชคลาภ" หรือทำบุญบริจาคเมื่อ "รู้สึกดวงตก" นั่นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความเชื่อกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของคนในปัจจุบัน

    ระหว่างที่กลืนขนมสโคนกับจิบชาเปปเปอร์มิ้นท์ คำถามที่ฉงนใจผุดขึ้นว่า "หากคนที่ไม่เชื่อในศาสนาต้องเผชิญสถานการณ์คับขัน เช่น อยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะตกและเหลือเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะขิต"พวกเขาเหล่านี้จะหันไปภาวนาหรือสวดกับอะไร?

    ถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะสวดหาไอดอลหรือ Life coach ที่ตามอยู่?
    อ้อนวอนขอชีวิตกับยมบาล?
    หรือพวกเขาจะจมอยู่ในความรู้สึกกลัวตายจนไม่มีเวลาคิดถึงอะไรเลย?

    มันไม่ผิดหรอกที่ใครบางคนจะไม่เชื่อในศาสนา แต่คำถามที่น่าสงสัยคือ ณ วินาทีที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เราจะยึดเหนี่ยวสิ่งใด? มนุษย์เมื่อเผชิญความไม่แน่นอนและความตาย มักจะโหยหาสิ่งที่ให้ความหวังเพื่อความสงบใจแห่งจิตใจ

    ไม่ต่างอะไรจากเถาวัลย์โน้มหาต้นไม้ใหญ่หาที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นศาสนา ความเชื่อทางจิตวิญญาณ หรือแม้กระทั่งความหวังที่เกิดจากการนึกถึงคนที่เรารักและศรัทธา มนุษย์ทุกคนย่อมต้องการ "หลัก" ยึดเหนี่ยว ในการใช้ชีวิต ไปจนถึงช่วงเวลาลมหายใจสุดท้าย #ศาสนาสำคัญไฉน

    While sipping afternoon tea during a work-from-home break, I found myself reflecting on religion in Thailand, where more than 90% of the population is registered as Buddhist. However, it’s difficult to say for certain whether these individuals are truly practicing Buddhists.

    From my experience in the working society of Gen X, Y, and Z for nearly a decade, it’s become clear that many people today don’t strictly follow a particular religion. Yet, we can’t exactly call them Atheists (those who don’t believe in a god) or Agnostics (those who neither believe nor deny the existence of the supernatural) either.

    Even though they may not believe in an afterlife or heaven and hell, people still turn to sacred entities to pray for "luck" or make merit donations when they "feel unlucky." This shows the complex relationship between belief and daily practices in today’s world.

    While I was munching on a scone and sipping my peppermint tea, a curious question popped into my mind: "If someone who doesn’t believe in religion were in a dire situation, like being on a plane about to crash with only a few minutes left to live," who or what would they turn to in prayer?

    If not a sacred being, would they pray to their idol or the life coach they follow? Would they plead for their life with the Grim Reaper? Or would they be so consumed by the fear of death that they wouldn’t have time to think of anything at all?

    It’s not wrong for someone not to believe in religion, but the intriguing question is, in the moment when life hangs by a thread, what would we cling to? When humans face uncertainty and death, they often yearn for something that gives them hope and peace of mind.

    Just like vines reaching out to a large tree for support, whether it’s religion, spiritual beliefs, or even the hope that comes from thinking of the ones we love and cherish, every human seeks a “pillar” to hold onto—both in life and in their final moments. #WhyIsReligionImportant
    ในระหว่างที่นั่งจิบชาช่วงบ่ายระหว่างทำงาน work from home ได้มีโอกาสครุ่นคิดถึงศาสนาในประเทศไทยซึ่งประชากรกว่า 90% จดทะเบียนว่าเป็นศาสนาพุทธ แต่ความจริงนั้นอาจยากที่จะตอบได้ว่า คนเหล่านี้เป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงหรือไม่🧐 จากประสบการณ์ที่อยู่ในสังคมคนทำงานรุ่น Gen X, Y, และ Z มานานเกือบทศวรรษ ทำให้เข้าใจว่าในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่มักไม่มีศาสนาแบบชัดเจน แต่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Atheist (คนไม่เชื่อในพระเจ้า) หรือ Agnostic (คนที่ไม่เชื่อหรือปฏิเสธการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติ)ได้เช่นกัน เพราะแม้ว่าจะไม่ได้เชื่อในชีวิตหลังความตาย หรือนรกสวรรค์ แต่ผู้คนยังคงหันไปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อ "โชคลาภ" หรือทำบุญบริจาคเมื่อ "รู้สึกดวงตก" นั่นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างความเชื่อกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของคนในปัจจุบัน😯 ระหว่างที่กลืนขนมสโคนกับจิบชาเปปเปอร์มิ้นท์ คำถามที่ฉงนใจผุดขึ้นว่า "หากคนที่ไม่เชื่อในศาสนาต้องเผชิญสถานการณ์คับขัน เช่น อยู่บนเครื่องบินที่กำลังจะตกและเหลือเวลาไม่กี่นาทีก่อนจะขิต"พวกเขาเหล่านี้จะหันไปภาวนาหรือสวดกับอะไร? ☠️ ถ้าไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะสวดหาไอดอลหรือ Life coach ที่ตามอยู่? อ้อนวอนขอชีวิตกับยมบาล? หรือพวกเขาจะจมอยู่ในความรู้สึกกลัวตายจนไม่มีเวลาคิดถึงอะไรเลย?👿 มันไม่ผิดหรอกที่ใครบางคนจะไม่เชื่อในศาสนา แต่คำถามที่น่าสงสัยคือ ณ วินาทีที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย เราจะยึดเหนี่ยวสิ่งใด? มนุษย์เมื่อเผชิญความไม่แน่นอนและความตาย มักจะโหยหาสิ่งที่ให้ความหวังเพื่อความสงบใจแห่งจิตใจ🤍 ไม่ต่างอะไรจากเถาวัลย์โน้มหาต้นไม้ใหญ่หาที่พึ่ง ไม่ว่าจะเป็นศาสนา ความเชื่อทางจิตวิญญาณ หรือแม้กระทั่งความหวังที่เกิดจากการนึกถึงคนที่เรารักและศรัทธา มนุษย์ทุกคนย่อมต้องการ "หลัก" ยึดเหนี่ยว ในการใช้ชีวิต ไปจนถึงช่วงเวลาลมหายใจสุดท้าย #ศาสนาสำคัญไฉน While sipping afternoon tea during a work-from-home break, I found myself reflecting on religion in Thailand, where more than 90% of the population is registered as Buddhist. However, it’s difficult to say for certain whether these individuals are truly practicing Buddhists. 🧐 From my experience in the working society of Gen X, Y, and Z for nearly a decade, it’s become clear that many people today don’t strictly follow a particular religion. Yet, we can’t exactly call them Atheists (those who don’t believe in a god) or Agnostics (those who neither believe nor deny the existence of the supernatural) either. Even though they may not believe in an afterlife or heaven and hell, people still turn to sacred entities to pray for "luck" or make merit donations when they "feel unlucky." This shows the complex relationship between belief and daily practices in today’s world. 😯 While I was munching on a scone and sipping my peppermint tea, a curious question popped into my mind: "If someone who doesn’t believe in religion were in a dire situation, like being on a plane about to crash with only a few minutes left to live," who or what would they turn to in prayer? ☠️ If not a sacred being, would they pray to their idol or the life coach they follow? Would they plead for their life with the Grim Reaper? Or would they be so consumed by the fear of death that they wouldn’t have time to think of anything at all? 👿 It’s not wrong for someone not to believe in religion, but the intriguing question is, in the moment when life hangs by a thread, what would we cling to? When humans face uncertainty and death, they often yearn for something that gives them hope and peace of mind. 🤍 Just like vines reaching out to a large tree for support, whether it’s religion, spiritual beliefs, or even the hope that comes from thinking of the ones we love and cherish, every human seeks a “pillar” to hold onto—both in life and in their final moments. #WhyIsReligionImportant
    0 Comments 0 Shares 74 Views 0 Reviews
  • สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027

    Martin Armstrong นักการเงิน และนักวิเคราะห์ชื่อดังให้สัมภาษณ์กับFinancial Senseว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 ซึ่งจะเป็นช่วงไซเกิ้ลของสงครามโลกคร้ังที่ 3ที่จะเกิดขึ้นพอดี

    การผิดนัดชำระหนี้หมายถึงการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกพันธะบัตรแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะว่าไม่มั่นใจกับปริมาณหนี้มหาศาลที่สหรัฐแบกรับอยู่ และนโยบายแซงชั่นของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอกเบี้ยจะพุ่งสูง ค่าเงินดอลล่าร์จะด้อยค่า จนท้ายที่สุดไม่มีใครต้องการถือครองทรัพย์สินดอลล่าร์อีกต่อไป

    หรืออีกวิธีหนึ่งของการผิดนัดชำระหนี้คือการก่อสงคราม แล้วหยุดจ่ายหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย

    อาร์มสตรองบอกว่า ความจริงพันธะบัตรสหรัฐมีปัญหาอยู่แล้ว อันเห็นได้จากการที่เจเน็ต เยลเลน รมว คลังสหรัฐบินไปปักกิ่งหลายคร้ังในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขอร้องให้รัฐบาลจีนไม่ให้ขายพันธบัตรสหรัฐ หรือให้ซื้อพันธบัตรล็อตใหม่ แต่ถูกทางจีนปฏิเสธ

    ตัวเลขหนี้สาธารณะล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่$35.2ล้านล้าน เทียบกับขนาดของจีดีพีที่$28ล้านล้าน ในขณะที่มีหนี้นอกงบประมาณที่$70ล้านล้าน ซึ่งเป็นพันธะด้านสวัสดิการสังคมต่างๆที่ต้องจ่ายในอนาคต ลำพังแค่ต้องจ่ายเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยด้วยการออกพัน
    ธะบัตรมารีไฟแนนซ์ รัฐบาลสหรัฐมีภาระต้องจ่าย$1ล้านล้านต่อปี ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่สูงสุดในงบประมาณ สูงกว่างบของกระทรวงกลาโหมที่800,000กว่าล้านเสียอีก หนี้ส่วนที่เป็นเงินต้นสหรัฐไม่คิดที่จะจ่ายคืนอยู่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณปีละ2ล้านล้าน

    หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 55% ของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยส่วนใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี หนี้สินที่ไม่ได้รับการจัดสรร (unfunded liabilities)ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 300% ของ GDP ซึ่งอาจดูสูงเกินไปจนกว่าจะหันไปดูสเปนที่มีหนี้ต่อ GDPที่ 500% ฝรั่งเศสที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 400% หรือเยอรมนีที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 350%

    งบดุลของประเทศแบบนี้ถือว่าล้มละลายแล้ว หนี้ของประเทศในยุโรปท้ังในงบดุลและนอกงบดุลก็ประสบวิกฤตคล้ายๆกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐและยุโรปจับมือกันก่อสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครนเพื่อหาทางเบี้ยวหนี้ หรือรีเซ็ตระบบการเงินใหม่เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางอำนาจทางการเงิน

    การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียโดยสหรัฐและยุโรปทำให้หลายประเทศทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ และหันไปถือครองทองคำแทน เพราะเกรงว่าจะถูกยึดเหมือนรัสเซียถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจวอชิงตัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดราคาทองคำ2,574เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว

    ธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาตุนทองคำ โดยขายพันธะบัตรสหรัฐออกไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำของธนาคารกลาง1,136ตันในปี 2022 และ1,037ตันในปี 2023 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปี2024น่าจะเป็นอีกปีของการสร้างสถิติการซื้อทองคำของธนาคารกลาง

    กลุ่มBRICSมีนโยบายออกจากดอลล่าร์ (de-dollarization) ด้วยการค้าการกันเองผ่านเงินสกุลประจำชาติ และไม่ใช้ดอลล่าร์ รวมท้ังการวางโครงการที่จะเอาทองคำมาหนุนหลังค่าเงินของเงินสกุลร่วมBRICS ที่เรียกกันว่า the Unit โดยใช้ทองคำ40%หนุนหลัง และอีก60%หนุนหลังค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง

    อย่างไรก็ดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษี100%สำหรับประเทศใดก็ตามที่หันหลังให้กับดอลล่าร์ เพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป ท่าทีของทรัมป์แม้ว่าจะเป็นการพูดหาเสียงแต่ก็สะท้อนความเข้าใจของทรัมป์ว่าเงินดอลล่าร์กำลังหมดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิ อาราเบียได้ออกมาให้ข่าวว่าจะขายน้ำมันแลกเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นการออกจากเปโตรดอลล่าร์ที่ซาอุฯเป็นผู้ค้ำประกันมาตั้งแต่ปี1974

    สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 Martin Armstrong นักการเงิน และนักวิเคราะห์ชื่อดังให้สัมภาษณ์กับFinancial Senseว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 ซึ่งจะเป็นช่วงไซเกิ้ลของสงครามโลกคร้ังที่ 3ที่จะเกิดขึ้นพอดี การผิดนัดชำระหนี้หมายถึงการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกพันธะบัตรแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะว่าไม่มั่นใจกับปริมาณหนี้มหาศาลที่สหรัฐแบกรับอยู่ และนโยบายแซงชั่นของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอกเบี้ยจะพุ่งสูง ค่าเงินดอลล่าร์จะด้อยค่า จนท้ายที่สุดไม่มีใครต้องการถือครองทรัพย์สินดอลล่าร์อีกต่อไป หรืออีกวิธีหนึ่งของการผิดนัดชำระหนี้คือการก่อสงคราม แล้วหยุดจ่ายหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย อาร์มสตรองบอกว่า ความจริงพันธะบัตรสหรัฐมีปัญหาอยู่แล้ว อันเห็นได้จากการที่เจเน็ต เยลเลน รมว คลังสหรัฐบินไปปักกิ่งหลายคร้ังในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขอร้องให้รัฐบาลจีนไม่ให้ขายพันธบัตรสหรัฐ หรือให้ซื้อพันธบัตรล็อตใหม่ แต่ถูกทางจีนปฏิเสธ ตัวเลขหนี้สาธารณะล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่$35.2ล้านล้าน เทียบกับขนาดของจีดีพีที่$28ล้านล้าน ในขณะที่มีหนี้นอกงบประมาณที่$70ล้านล้าน ซึ่งเป็นพันธะด้านสวัสดิการสังคมต่างๆที่ต้องจ่ายในอนาคต ลำพังแค่ต้องจ่ายเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยด้วยการออกพัน ธะบัตรมารีไฟแนนซ์ รัฐบาลสหรัฐมีภาระต้องจ่าย$1ล้านล้านต่อปี ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่สูงสุดในงบประมาณ สูงกว่างบของกระทรวงกลาโหมที่800,000กว่าล้านเสียอีก หนี้ส่วนที่เป็นเงินต้นสหรัฐไม่คิดที่จะจ่ายคืนอยู่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณปีละ2ล้านล้าน หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 55% ของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยส่วนใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี หนี้สินที่ไม่ได้รับการจัดสรร (unfunded liabilities)ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 300% ของ GDP ซึ่งอาจดูสูงเกินไปจนกว่าจะหันไปดูสเปนที่มีหนี้ต่อ GDPที่ 500% ฝรั่งเศสที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 400% หรือเยอรมนีที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 350% งบดุลของประเทศแบบนี้ถือว่าล้มละลายแล้ว หนี้ของประเทศในยุโรปท้ังในงบดุลและนอกงบดุลก็ประสบวิกฤตคล้ายๆกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐและยุโรปจับมือกันก่อสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครนเพื่อหาทางเบี้ยวหนี้ หรือรีเซ็ตระบบการเงินใหม่เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางอำนาจทางการเงิน การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียโดยสหรัฐและยุโรปทำให้หลายประเทศทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ และหันไปถือครองทองคำแทน เพราะเกรงว่าจะถูกยึดเหมือนรัสเซียถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจวอชิงตัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดราคาทองคำ2,574เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาตุนทองคำ โดยขายพันธะบัตรสหรัฐออกไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำของธนาคารกลาง1,136ตันในปี 2022 และ1,037ตันในปี 2023 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปี2024น่าจะเป็นอีกปีของการสร้างสถิติการซื้อทองคำของธนาคารกลาง กลุ่มBRICSมีนโยบายออกจากดอลล่าร์ (de-dollarization) ด้วยการค้าการกันเองผ่านเงินสกุลประจำชาติ และไม่ใช้ดอลล่าร์ รวมท้ังการวางโครงการที่จะเอาทองคำมาหนุนหลังค่าเงินของเงินสกุลร่วมBRICS ที่เรียกกันว่า the Unit โดยใช้ทองคำ40%หนุนหลัง และอีก60%หนุนหลังค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง อย่างไรก็ดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษี100%สำหรับประเทศใดก็ตามที่หันหลังให้กับดอลล่าร์ เพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป ท่าทีของทรัมป์แม้ว่าจะเป็นการพูดหาเสียงแต่ก็สะท้อนความเข้าใจของทรัมป์ว่าเงินดอลล่าร์กำลังหมดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิ อาราเบียได้ออกมาให้ข่าวว่าจะขายน้ำมันแลกเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นการออกจากเปโตรดอลล่าร์ที่ซาอุฯเป็นผู้ค้ำประกันมาตั้งแต่ปี1974
    Like
    14
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • #เพื่อน

    เพื่อนที่ควรจะรักษามิตรภาพไว้ให้ยาวนานที่สุด คือเพื่อนประเภทที่เมื่อคุณอยู่กับเขาแล้ว เขาคนนั้นทำให้คุณรู้สึกได้ถึงพลังแห่งความกล้าหาญ ที่กระตุ้นอยากให้เราทำความดีให้ได้อย่างเขาบ้าง แม้อดีตเราอาจเคยชั่วมาแล้วมากกว่าดี เพื่อนที่สามารถทำให้คุณรู้สึกมีพลังที่จะสู้ชีวิตต่อไป เพื่อนที่ทำให้คุณได้รู้ว่าในโลกใบนี้ ยังเหลือคนพันธุ์หายากที่ควรอนุรักษ์ไว้อยู่อีก แม้นจะน้อยนิดก็ตามที เพื่อนที่เลือกจะพูดตามความจริงกับคุณโดยตรง แม้นความจริงนั้นอาจจะฟังไม่เข้าหูคุณในตอนแรก แต่จะส่งผลดีกับคุณในบั้นปลาย เพื่อนที่ไม่กลัวว่าคุณจะโกรธ หรือเกลียด และเข้าใจเขาผิด ขอเพียงแค่ได้ช่วยคุณให้ตื่นจากความหลงผิด. เพื่อนที่จะทำให้คุณรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่งนั้น เราช่างโชคดีนักที่ได้คนอย่างเขามาเป็นเพื่อน

    อย่ามัวมองหาว่าคุณมีเพื่อนเช่นว่ามานี้สักคนหรือไม่ แต่ให้ลองสำรวจตนเองว่าเรามีคุณสมบัติเหล่านี้บ้างไหมจะดีกว่า

    การหาเพื่อนสักคนให้ได้ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นทั้งหมดว่ายากมากแล้ว แต่การพยายามทำตนเองให้มีคุณสมบัติของเพื่อนที่ดียังยากยิ่งกว่า

    เพราะเพื่อนแท้ มีค่ากว่าอัญมณีใดๆในโลกา

    สำหรับคนที่พบแล้ว ขอให้รักษาของมีค่าไว้ให้ดี ส่วนคนที่ยังหาไม่พบก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำตนเองให้มีค่าพอที่จะเป็นเพื่อนแท้ของคนอื่นแล้วกัน สักวันเมื่อคุณทำสำเร็จ เท่ากับว่าคุณไม่ต้องไปค้นหาอัญมณีหายากที่อื่นอีก เพราะคุณเองที่กลายเป็นอัญมณีไป

    #ข้อคิด
    #บทความ
    #สหาย
    #เพื่อนยาก
    #มิตรแท้
    #thaitimes
    #เพื่อน เพื่อนที่ควรจะรักษามิตรภาพไว้ให้ยาวนานที่สุด คือเพื่อนประเภทที่เมื่อคุณอยู่กับเขาแล้ว เขาคนนั้นทำให้คุณรู้สึกได้ถึงพลังแห่งความกล้าหาญ ที่กระตุ้นอยากให้เราทำความดีให้ได้อย่างเขาบ้าง แม้อดีตเราอาจเคยชั่วมาแล้วมากกว่าดี เพื่อนที่สามารถทำให้คุณรู้สึกมีพลังที่จะสู้ชีวิตต่อไป เพื่อนที่ทำให้คุณได้รู้ว่าในโลกใบนี้ ยังเหลือคนพันธุ์หายากที่ควรอนุรักษ์ไว้อยู่อีก แม้นจะน้อยนิดก็ตามที เพื่อนที่เลือกจะพูดตามความจริงกับคุณโดยตรง แม้นความจริงนั้นอาจจะฟังไม่เข้าหูคุณในตอนแรก แต่จะส่งผลดีกับคุณในบั้นปลาย เพื่อนที่ไม่กลัวว่าคุณจะโกรธ หรือเกลียด และเข้าใจเขาผิด ขอเพียงแค่ได้ช่วยคุณให้ตื่นจากความหลงผิด. เพื่อนที่จะทำให้คุณรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่งนั้น เราช่างโชคดีนักที่ได้คนอย่างเขามาเป็นเพื่อน อย่ามัวมองหาว่าคุณมีเพื่อนเช่นว่ามานี้สักคนหรือไม่ แต่ให้ลองสำรวจตนเองว่าเรามีคุณสมบัติเหล่านี้บ้างไหมจะดีกว่า การหาเพื่อนสักคนให้ได้ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวมาข้างต้นทั้งหมดว่ายากมากแล้ว แต่การพยายามทำตนเองให้มีคุณสมบัติของเพื่อนที่ดียังยากยิ่งกว่า เพราะเพื่อนแท้ มีค่ากว่าอัญมณีใดๆในโลกา สำหรับคนที่พบแล้ว ขอให้รักษาของมีค่าไว้ให้ดี ส่วนคนที่ยังหาไม่พบก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำตนเองให้มีค่าพอที่จะเป็นเพื่อนแท้ของคนอื่นแล้วกัน สักวันเมื่อคุณทำสำเร็จ เท่ากับว่าคุณไม่ต้องไปค้นหาอัญมณีหายากที่อื่นอีก เพราะคุณเองที่กลายเป็นอัญมณีไป #ข้อคิด #บทความ #สหาย #เพื่อนยาก #มิตรแท้ #thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 489 Views 0 Reviews
  • หลังจากมีข่าวว่ากองทัพเรือส่งยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก AAV ของนาวิกโยธินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ก็มีหลายคนให้ความสนใจยานเกราะชนิดนี้ว่าปัจจุบันไทยเรามีใช้งานอยู่กี่คัน ควรจัดหาเพิ่มหรือไม่ ฯลฯ

    ปัจจุบันไทยเรามี AAV หรือที่สมัยก่อนเรียกว่า LVPT-7 ผลิตในสหรัฐฯ ประมาณ 30 คันเศษๆ ครับ ตัวเลขเป๊ะๆ ถ้าผมจำไม่ผิดคือ 36 คัน แต่ปัจจุบันจะอยู่ในสภาพพร้อมรบกี่คันอันนี้ไม่สามารถบอกได้

    สำหรับ AAV ภารกิจหลักของมันก็คือลำเลียงนาวิกโยธินขึ้นบกครับ ซึ่ง AAV ปัจจุบันถือว่ามีอายุพอสมควรแล้วครับ รุ่นแรกสุดเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงต้นยุค 70 ปลายๆ สงครามเวียดนามนู่นเลย ตอนนี้แม้นาวิกโยธินสหรัฐฯ จะยังมีประจำการอยู่ประมาณ 1,000 คันเศษๆ แต่ก็กำลังทยอยปลดประจำการแล้ว ที่น่าสนใจคือยานเกราะสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นใหม่ที่สหรัฐฯ จะจัดหามาทดแทน AAV กลับไม่ใช่รถสายพาน แต่เป็นรถหุ้มเกราะล้อยาง ACV ซึ่งปัจจุบันเข้าประจำการแล้วประมาณ 200 คัน (ความจริงสหรัฐฯ เคยพยายามพัฒนารถสายพาน EFV มาทดแทน AAV แต่โครงการล้มเหลว ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นรถหุ้มเกราะล้อยางแทน)

    เมื่อสหรัฐฯ กำลังทยอยปลดประจำการ AAV ทดแทนด้วยรถหุ้มเกราะล้อยาง ACV ถ้าไทยเราจะจัดหา AAV เพิ่ม สหรัฐฯ ก็น่าจะมีของมือสองพร้อมขายแหละครับ ปัญหาอยู่ที่ความคุ้มค่ามากกว่า ในเมื่อสหรัฐฯ เองก็จะเปลี่ยนหลักนิยมให้นาวิกโยธินหันไปใช้รถหุ้มเกราะล้อยางแทนอยู่แล้ว ผมคิดว่าเราก็ไม่ควรย่ำอยู่กับ AAV ครับ ยานเกราะใหม่สำหรับนาวิกโยธินก็เน้นจัดหาเป็นรถหุ้มเกราะล้อยางไปเลยดีกว่า

    สวัสดี

    13.09.2024

    ภาพ AAV ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ ระหว่างการฝึก Cobra Gold 2020 ที่ประเทศไทย (U.S. Marine Corps photo by Lance Cpl. Hannah Hall)


    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy
    หลังจากมีข่าวว่ากองทัพเรือส่งยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก AAV ของนาวิกโยธินไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ก็มีหลายคนให้ความสนใจยานเกราะชนิดนี้ว่าปัจจุบันไทยเรามีใช้งานอยู่กี่คัน ควรจัดหาเพิ่มหรือไม่ ฯลฯ ปัจจุบันไทยเรามี AAV หรือที่สมัยก่อนเรียกว่า LVPT-7 ผลิตในสหรัฐฯ ประมาณ 30 คันเศษๆ ครับ ตัวเลขเป๊ะๆ ถ้าผมจำไม่ผิดคือ 36 คัน แต่ปัจจุบันจะอยู่ในสภาพพร้อมรบกี่คันอันนี้ไม่สามารถบอกได้ สำหรับ AAV ภารกิจหลักของมันก็คือลำเลียงนาวิกโยธินขึ้นบกครับ ซึ่ง AAV ปัจจุบันถือว่ามีอายุพอสมควรแล้วครับ รุ่นแรกสุดเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯ ตั้งแต่ช่วงต้นยุค 70 ปลายๆ สงครามเวียดนามนู่นเลย ตอนนี้แม้นาวิกโยธินสหรัฐฯ จะยังมีประจำการอยู่ประมาณ 1,000 คันเศษๆ แต่ก็กำลังทยอยปลดประจำการแล้ว ที่น่าสนใจคือยานเกราะสะเทินน้ำสะเทินบกรุ่นใหม่ที่สหรัฐฯ จะจัดหามาทดแทน AAV กลับไม่ใช่รถสายพาน แต่เป็นรถหุ้มเกราะล้อยาง ACV ซึ่งปัจจุบันเข้าประจำการแล้วประมาณ 200 คัน (ความจริงสหรัฐฯ เคยพยายามพัฒนารถสายพาน EFV มาทดแทน AAV แต่โครงการล้มเหลว ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นรถหุ้มเกราะล้อยางแทน) เมื่อสหรัฐฯ กำลังทยอยปลดประจำการ AAV ทดแทนด้วยรถหุ้มเกราะล้อยาง ACV ถ้าไทยเราจะจัดหา AAV เพิ่ม สหรัฐฯ ก็น่าจะมีของมือสองพร้อมขายแหละครับ ปัญหาอยู่ที่ความคุ้มค่ามากกว่า ในเมื่อสหรัฐฯ เองก็จะเปลี่ยนหลักนิยมให้นาวิกโยธินหันไปใช้รถหุ้มเกราะล้อยางแทนอยู่แล้ว ผมคิดว่าเราก็ไม่ควรย่ำอยู่กับ AAV ครับ ยานเกราะใหม่สำหรับนาวิกโยธินก็เน้นจัดหาเป็นรถหุ้มเกราะล้อยางไปเลยดีกว่า สวัสดี 13.09.2024 ภาพ AAV ของนาวิกโยธินสหรัฐฯ ระหว่างการฝึก Cobra Gold 2020 ที่ประเทศไทย (U.S. Marine Corps photo by Lance Cpl. Hannah Hall) การทูตและการทหาร Military and Diplomacy
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
  • #เมื่อไหร่สื่อไทยจะตามทันซักที
    จริงๆเรื่องสร้างยูซที่ไม่จริงเอามาปั่นเทรนทวิช
    มันก็มีมาหลายปีแล้วนะ คือเช็คไม่ยาก
    ก็แค่ไปส่องดูว่า ยูซที่ติดแฮชแทกอะ มันมีตัวตนมั๊ย
    บอกนะ ตอนนี้ที่เข้าไปปั่นยอดฟอลให้สวนกับความจริง
    มีราวๆ 5 หมื่นยูซโบ๋เบ๋ ที่ดูยังไงก็ป-ล-อ-ม
    ผลิตยุซไม่แท้ไม่ทันกับจำนวนที่หาย เลยเบรคปิดเป็นส่วนตัว
    ขอเวลาปั๊มต่อ โครตกากอะ ระบบนี้
    นับประสาอะไร สั่งบอททำแฮชแทกแค่สองหมื่นกว่ายุซไม่แท้
    เอามาปั่นให้ขึ้นเทรน
    ดีละ จะได้สอนสื่อไทย ให้ดูว่าเทรนไหนจริงเทรนไหนไม่จริง
    ดูดิ ขำมั๊ย เซฟอิเหวิง ขึ้นเทรนนำโหนกระแส
    ป-ล-อ-ม ฉัด ฉัด
    ตื่นเถิดชาวไทย
    โจ มณฑนี นั่งวางแผนสุมหัวแก้เกมส์
    ได้แค่นี้จริงๆเหรอฟร๊ะ มีกันเป็นฝูง
    แค่คิงส์โพธิ์แดง ก็มองออกยังไส้ อิฉัด
    ใครอยากรู้เรื่องที่ลึก เดี๋ยวแปะไว้ข้างล่างละกัน
    ว่าที่มาที่ไป พวกปั่น และปั๊มยูซไม่แท้ มันมายังไง
    จะได้รู้ทัน
    คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เมื่อไหร่สื่อไทยจะตามทันซักที จริงๆเรื่องสร้างยูซที่ไม่จริงเอามาปั่นเทรนทวิช มันก็มีมาหลายปีแล้วนะ คือเช็คไม่ยาก ก็แค่ไปส่องดูว่า ยูซที่ติดแฮชแทกอะ มันมีตัวตนมั๊ย บอกนะ ตอนนี้ที่เข้าไปปั่นยอดฟอลให้สวนกับความจริง มีราวๆ 5 หมื่นยูซโบ๋เบ๋ ที่ดูยังไงก็ป-ล-อ-ม ผลิตยุซไม่แท้ไม่ทันกับจำนวนที่หาย เลยเบรคปิดเป็นส่วนตัว ขอเวลาปั๊มต่อ โครตกากอะ ระบบนี้ นับประสาอะไร สั่งบอททำแฮชแทกแค่สองหมื่นกว่ายุซไม่แท้ เอามาปั่นให้ขึ้นเทรน ดีละ จะได้สอนสื่อไทย ให้ดูว่าเทรนไหนจริงเทรนไหนไม่จริง ดูดิ ขำมั๊ย เซฟอิเหวิง ขึ้นเทรนนำโหนกระแส ป-ล-อ-ม ฉัด ฉัด ตื่นเถิดชาวไทย โจ มณฑนี นั่งวางแผนสุมหัวแก้เกมส์ ได้แค่นี้จริงๆเหรอฟร๊ะ มีกันเป็นฝูง แค่คิงส์โพธิ์แดง ก็มองออกยังไส้ อิฉัด ใครอยากรู้เรื่องที่ลึก เดี๋ยวแปะไว้ข้างล่างละกัน ว่าที่มาที่ไป พวกปั่น และปั๊มยูซไม่แท้ มันมายังไง จะได้รู้ทัน คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 427 Views 0 Reviews
  • #ยิ่งล้วงยิ่งลึกยิ่งขุดยิ่งไม่ธรรมดา
    อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดงที่เคารพรัก
    เมื่อคืนพี่คิงส์ได้ตรวจสอบข้อมูล ยิ่งลึกยิ่งตกใจ
    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง ญ ช สองคนรักและเลิกอย่างที่
    มีกลุ่มปฏิบัติการโซเชียลปั้นแต่ง แต่มันเลยเถิดไปไกล
    ที่มีความเกี่ยวข้อง เชิง อ-า-ช-ญ-า-ก-รร-ม-ข้-า-ม-ช-า-ติ
    พี่คิงส์จะค่อยๆอธิบายสำหรับคนที่ติดตามข้อมูลจากคิงส์โพธิ์แดง
    และที่เพิ่งเข้ามาเห็นโพสนี้ครั้งแรก ให้กระจ่ายกันไปเลย
    มาทวนสิ่งที่พี่คิงส์ให้ข้อมูลไปก่อนหน้าโดยสังเขป
    ชุดข้อมูลแรก
    - แพลตฟอร์ม ตต. เปิดให้คนทั่วไป มีกิจกรรมที่เรียกว่า PK เพื่อให้มีการใช้เงินจริง เปลี่ยนเป็นเหรียญเข้าสู่ระบบของแพลตฟอร์ม และส่งเป็นติ๊กเกอร์ และสมารถนำออกเป็นเงินจริงได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อยให้แพลตฟอร์ม ส่วน ตต.เกอร์ เมื่อได้อิมคัมก็มีหน้าที่เสียแวทของแต่ละประเทศ ตังค์นั้นก็สามารถนำมาใช้ได้
    - ด้วยรูปแบบดังกล่าว กลุ่มเงินดาร์ค ที่ได้มาโดยไม่ถูกก-ฏ-ห-ม-า-ย จากทั่วโลก ได้มองเห็นช่องทาง จึงเริ่มมีคนคิดโมเดลขึ้นมา
    -กลุ่มเงินดาร์ค ได้จัดตั้งบ.เอเจน เพื่อเฝ้ามอง ตต.เกอร์ที่มีโอกาสดัง แต่ตอนนี้เริ่มช้อน ตต.เกอร์ที่ดังแล้ว เพื่อเข้าสู่โมงเดล การซักอบรีดเงินดาร์ค
    -โดยเบื้องหน้า บ.เจน ก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็น จากการได้ติ๊กเกอร์ จากการ PK ซึ่งก็ดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ
    -แต่ กลุ่มเงินดาร์ค จะอาศัยจังหวะ ในการ PK ในการเติมเงินดาร์คเข้าระบบตต. โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ยุซที่ส่งติ๊กเกอร์นั้น คือใคร เงินดาร์คถูกเปลี่ยนเป็นเหรียญและทำการส่งติ๊กเกอร์ ที่มีเรทสูง ให้ตต.เกอร์ แต่บชนั้น อยู่ในมือ บ.เอเจน ก็จะตัดให้เฉพาะเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากการรับตต.จริง ส่วนที่เป็นเงินดาร์ค อาจได้บางส่วนเป็นอินเทนซีฟไป ซึ่่งก็มหาศาล เพราะจำนวนเงินดาร์คที่ปั่นเข้าระบบจำนวนมันมหาศาล
    -แต่ประเด็นคือ การปั้นให้ตต.ดังและมีชื่อเสียง เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นจะมีความผิดปกติ ที่ตต.เกอร์โนเนม จะมีคนมายิงติ๊กเกอร์เรทสูงรัวๆ และนี่คือที่มาที่แฟนเพจต้องเข้าใจเป็นอันดับแรก
    -เมื่อกลุ่มเงินดาร์ค ต้องการให้เงินดาร์คกลายเป็นเงินขาว ก็เพียงแค่ เอาเหรียญเปลี่ยนเป็นเงินจริงผ่านบ.เอเจน และเสียภาษีให้ถูกต้อง ก็สะอาดกริ๊บ
    -โมงเดลนี้เริ่มสร้างประมาณ เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แพลตฟอร์มตต.เริ่มมีการ PK ให้ตต.เกอร์ได้ลองใช้งาน
    ----------------------------------------------
    -กามิน ได้ออกทีวีเกาหลี และไปพร้อมกับเอเจน ได้พูดถึงการทำงาน ว่าต้องอาศัยความอดทน ต้องทนกับความเบื่อให้ได้ และทำทุกวัน ก็จะสำเร็จแบบเธอได้
    -ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่กามินออกกล้อง สตอรี่ทั้งหมดนั้น คือส่วนหนึ่งของงาน ซึ่ง กามิน ได้รายได้เฉลี่ย ก่อนที่แน๊กเข้าไป ตกเฉลี่ยเดือนละ 8 หมื่น หรือวันละเฉลี่ย 2 พันกว่าบาท ซึ่งนั่นมาจากการทดสอบ ค่อยๆปล่อยติ๊กเกอร์ แบบที่ไม่ให้คนเกิดความสงสัย เพราะต้องไม่ลืมว่า แปดหมื่นที่ว่า ได้ถูกหักจากเอเจนไปแล้ว แล้วคนโนแนม แบบกามิน ที่ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ มีเพียงสตอรี่ที่สร้างความสงสารเห็นใจ ทำไมถึงมีคนเปย์ให้หลักแสนได้ ก่อนหักของเอเจน
    -แน๊กชาลี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็ได้เข้ามาเรียนรู้ เรื่องการ PK ด้วยความสนุกๆ ได้คุยกับแฟนคลับ เพราะแน๊กปกติ เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว อย่างที่แฟนคลับเข้าใจ ทำให้การ PK เป็นโลกใหม่ ที่ทำให้แน๊กได้พูด ได้คุย ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง จึงเป็นที่รักของแฟนคลับ และเข้าไปซัพพอตอยู่มากมายอยู่แล้ว
    -แน๊กชาลี พลาดที่ไปอินกับสตอรี่ ที่กามินและเอเจน สร้างสตอรี่เข้าใจว่าลำบากจริง จึงพาคนไทยไปติดตาม ด้วยเจตนาที่แท้จริง แว๊บแรกแน๊กเองก็ไม่ได้มองเรื่องรักๆใคร่ๆ คือตั้งใจช่วยด้วยความจริงใจ ให้ผู้หญิงที่ขาดโอกาส ได้รับโอกาส
    -แต่กามิน ก็แสดงท่าที ที่เราเห็นๆกัน การทอดสะพาน การตก และแสดงตัวถึงความเป็นเจ้าของ นั่นก็เพราะ ติ๊กเกอร์ที่เข้ามาอย่างมหาศาล ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปโมเดล ที่เงินดาร์ค และเอเจนวางไว้
    -เราจะเริ่มเห็น ยูนิ และติ๊กเกอร์ตัวแรงๆ ยิงให้กามิน รัวๆ อย่างไม่รู้ที่มา ว่าคนที่ยิงนั้น คือใคร นั่นคือการสอดแทรงติ๊กเกอร์จากกลุ่มเงินดาร์คเข้าระบบ ทำกัน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
    -เราจะเห็น เอเยนเกาหลี ไปกลับไทยเกาหลี และแน๊กเองก็แสดงท่าทีที่ไม่โอเคนัก ซึ่งคิงส์เองก็ไม่มั่นใจว่า แน๊ก เริ่มรู้เรื่องลึกๆอะไรหรือยัง
    -เมื่อกิจกรรมโมเดลซักอบรีดเงินดาร์คดำเนินไปอยู่ดีๆ แน๊กเริ่มมีการออกอาการขัดขา ออกมาเตือนลอยๆ อย่าอิน อย่าเปย์มาก อย่าตามใจ ซึ่งถือว่าเป็นการขัดลาภ ทั้งกามิน และเอเจน และลามไปถึงกลุ่มเงินดาร์คด้วย เพราะถ้ายอดคนเข้าไป PK ลดลง กามินจะไม่ใช่ตัวแสดงที่เหมาะสม ในการแทรกเงินดาร์คเข้าระบบ และแน๊ก ได้ออกตัวพูดรอบสุดท้ายว่า เรื่องนี้ มันน่ากลัวนะ ทำให้กลุ่มเงินดาร์คเอง เริ่มระแวงว่า เรื่องโมเดลนี้จะถูกเปิดเผย
    -จึงเกิดปฏิบัติการ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลิกรา ด้วยการหาคนไทย ที่แสดงตัวเป็นผู้นำทางความคิดของกลุ่มที่เป็นด้อม กามินและชาลี และเล็งเห็นแล้วว่า โจ มณฑานี คือผู้ที่เหมาะสม เพราะมีวาทะกรรม ที่ทำให้ด้อมเคลิบเคลิ้ม ความภักดีของสาวก ก็ถือว่ามีความจงรักภักดี เพราะบรรยากาศการพูดคุยของโจ มณฑานี ที่สร้างเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก ที่มีเจ้าหญิง เจ้าชาย การข้ามภพข้ามชาติมารักกัน ที่อิงส่วนหนึ่งมาจากนิยายที่ โจ มณฑานี เคยเขียนและตีพิมพ์
    -และโจ ก็ได้รับคำสั่ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันที่ชาลีขวางปฏิบัติการเงินดาร์คมากไปกว่านี้ ด้วยปฏิบัติการ "เล่นงานชาลี"
    -โดย ปฏิบัติการนี้ โจ ได้งบมาจัดการดูแล จัดตั้งทีมงาน ทั้งการคอมเม้น การสร้างตัวตน อ-ว-ต-า-ร ซึ่งก็ไม่ต่างจากการทำงานของมิจทางออนไลน์เลย และโจก็ไม่ติดเรื่องนี้ เพราะโจมี 3 ปัจจัยในการขับเคลื่อน
    1. โจ เปื่อยจิต มานาน การที่ตนเองได้หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการ ในตต. ในห้อง DC ทำให้โจรู้สึกตัวเองมีความสำคัญ ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ซึ่งเป็นการเยียยวยยาอาการของเธอเอง ซึ่งวิชาการ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง แต่มันจะยิ่งกลับทำให้อาการหนักจนหลุดไปเลยก็เป็นได้
    2. โจ อาศัยความภักดีของด้อมกามิน ในการแทรกอาชีพส่วนตัว ที่ก็ไม่ขาวนัก นั่นคือ การเปิดโรงเรียนที่ไม่ถูกต้อง สร้างหลักสูตรที่ม-อ-ม-เ-ม-ากับความเชื่อ และใส่จินตาการตามนิยายที่โจ มณฑนี ที่เคยเขียน เรื่องข้ามภพข้ามชาติมารักกัน อะไรแบบนี้ แฟนเพจสามารถสืบหาอ้างอิงได้ไม่ยาก
    3. คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่กลุ่มเงินดาร์คได้ส่งผ่านเอเจนมาให้
    -ตอนนี้ โจ มณฑานี มีกอง กำล-ัง ทางโซเชียลจำนวนหลายสิบคน โดยให้ค่าจ้าง เดือนละไม่ถึงหมื่น มาดำเนินการ
    1. มาสร้างยูซเทียม ทุกแพลตฟอร์ม
    2. สร้างเพจ เทียม หรือ ช็อปเพจที่พอมีคนติดตามแล้ว เช่น DiY v2 แฟนเพจสังเกตุได้ เพจที่ชื่อกับสิ่งที่โพสไปคนละเรื่อง พวกนี้เจ้าของปล่อย และคนที่มาช้อน ก็หวังแค่ผู้ติดตาม แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์ในการทำเพจในเนื้อหาเดิมของเจ้าของที่ตั้งใจ ตอนนี้ Diy v2 แทบไม่มีเรื่องการ Diy สิ่งของเลย มีแต่การพุ่งเป้าไปที่แน๊กชาลี จนล่าสุด ออกมาโพส ต้องการปิดหูปิดตาสมาชิกในเพจด้วยการ "ไม่ให้เข้ามาเพจคิงส์โพธิ์แดง" หรือหากไม่ได้ถูกช็อป ก็คือทุยที่ทำไปได้ความง่าววววว ก็เป็นได้ แต่เพจที่ถูกช็อป มีหลายเพจจริง
    3. ปั๊มยูซ จำนวนมากๆ ของทุกแพลตฟอร์ม เพื่อ
    3.1 กดไลค์ สร้างแอชเท็คสร้างเทรนทวิช หรือกดติ-ดต-า-ม หรือฟอลโล่วในทุกแพลตฟอร์ม
    (อันนี้มีหลักฐานชัด จากยอดฟอล ที่ขึ้นมาแบบผิดปกติ และเข้าไปตรวจสอบพบว่าไม่มีข้อมูลใดๆเรียกว่า สร้างมาสดๆ เอามาใช้สดๆ,และเทรนทวิตที่หลายคนไม่รู้ว่า เซฟกามิน ขึ้นอันดับหนึ่ง ทั้งๆที่คนไทยส่วนใหญ่ก็เลิกติดตามกันรัวๆ มันคือความผิดปกติ และเมื่อเข้าไปกดดูคนที่ใส่แอชเท็ค กลับเป็นยูซโบ๋ล้วนๆ เพื่อให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าใจว่า กามินสำคัญมากตามแผนที่โจวางไว้)
    3.2 หยิบแอค หรือยุซนั้นๆ มาเพื่อให้ลูกจ้างที่กล่าวไปแล้วนั้น ทำการพุ่งเป้าไปที่แน๊ก สร้างข่าวที่ให้ร้ายต่างๆ ในทุกแพลตฟอร์มอย่างเป็นระบบ สังเกตุไม่ยาก แทบทุกแพลตฟอร์ม จะมีตัวที่เข้ามาป่วนเพจ หรือช่องที่ตื่นรู้ จะเข้ามากดติดตาม และวางแปะข้อความซ้ำๆ เหมือนๆกัน บางทีแปะผิดแปะถูก พี่คิงส์ก็แซวจนเขินไปหลายรอบว่า "เอ้ย น้อง โพสนี้ไม่ได้พูดถึงกามินนะ แปะผิดโพสแล้ว" และพวกนี้ก็เช่นกัน มาเพื่อป่วน และเพื่อปล่อย ปล่อยคือ ปล่อยสิ่งที่โจอยากสื่อสาร ตามแผนที่สุมหัวไว้ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่โจพูด ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่คิงส์ได้เปิดลึกตั้งแต่แรกๆ สิ่งที่โจทำคือ การขู่ววว มีทั้งในคอมเม้น มีทั้งแชตเข้ามา ส่งเป็นคลิปบ้าง ส่งเป็นข้อความบ้าง มาแนวๆ ห่วงพี่คิงส์งั้นงี้ ส่งกำลังใจงั้นงี้ แต่ส่งข้อความขู่ววว จากโจ มณฑานี ล้วนๆ ซึ่งพวกนี้หงายกันไปหมด คงเดากันได้นะ ว่าพี่คิงส์ปากจัดแค่ไหน
    ผลพวงจากปฏิบัติการนี้ มันมีผลแย่ทางตรงและทางอ้อมเยอะมาก
    เพราะประเทศไทย มีทุยเยอะมาก ถึงแม้ว่าหลังจากคิงส์ฯได้เปิดเผยข้อเท็จจริง จนมีทุยเปลี่ยนกลับมาเป็นคนมหาศาลก็ตาม แต่ก็ยังมีคนกลุ่มเดียวที่มีชีวิตคล้ายโจ คือคนที่โลกแห่งความเป็นจริงเหงามาก รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า กลุ่มนี้ ดึงออกยากมาก เพราะเต็มไปด้วยอัตตา บางคนหลงกามินขนาดประกาศยอมตุยเพื่อกามิน ซึ่งมันเลยเถิด ไปกันใหญ่ และพวกนี้ไม่ต้องจ้าง ทำด้วยความค-ลั่-ง-ไ-ค-ล้ และสมานความเจ็บในชีวิตจริงในรูปแบบส่วนตัวก็พอ
    ตอนนี้ จากที่โจ มณฑานี ได้เริ่มปฏิบัติการมา จากการสนับสนุนของกลุ่มเงินดาร์ค มันเยอะมาก มาแบบไม่อั้น และวิธีการนั้นมันเริ่มแรงขึ้นหลังจากที่ชาลี ประกาศ เชิญกามินกลับประเทศ
    -โจ มณฑานี เริ่มคุยในกลุ่ม DC และไลฟ์ตามเพจที่ตัวเองจูงจมูกได้ แบบชัดมาก เริ่มหลุดเสียง หลุดภาพออกมา ว่าโจ ให้ร้ายน้องแน๊ก พูดสามสี่ชั่วโมง เพียงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า แน๊ก เปื่อยจิต ซึ่งความเชื่อนี้ได้ฝังหัวกลุ่มทุยทุกตัว
    -ความเลยเถิดคือ กลุ่มทุยจิตอ่อน เริ่มอิน และเริ่มมีการคุ-กคาม น้อง มีการแฮชเทคโพสห-ย-า-บ ถึงบ้านคู้บอน เริ่มมีการบริภาษหลานตัวน้อยของชาลี และที่สำคัญ ทุกคนฟังให้ดี กลุ่มทุยนี้ โจกล่อมสำเร็จถึงขนาด เป็นลัตติ๊ล่า แม่ -มด
    พี่คิงส์ฯจึงจำเป็นที่ต้องออกมาเปิดเผยความจริง และทุกข้อที่พิมพ์ไว้นี้ ทุกท่านสามารถสืบต่อได้ ว่าจริงหรือไม่ สังเกตุของปัจจุบันเลย พวกทุยที่มาป่วน ยูซแท้ไม่มีซักราย และข้อความก็เป็นข้อความที่ก็อปวางทั้งนั้น ยอดฟอล และเทรนทวิช แล้วท่านจะตาสว่าง
    น้องชาลี คือน้องชายที่เป็นคนไทย ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่กลับต้อนโดนคนไทยด้วยกัน จากการซัพพอตของกลุ่มทุนเงินดาร์คที่ต้องกอาศัยช่องทาง PK ในการซักอบรีดเงินให้ขาว มามุ่งเล่นงาน
    รวมถึงคนไทยที่จิตอ่อน ตามการจูงจมูกโดย โจมณฑานี ที่มาตรร้ายเหมือนคนเป็นจิตปsะสาด โดนสากดจิกทุกวัน นานหลายๆเดือน คิดว่า
    พวกนี้ คิดจะทำอะไรกับน้องแน๊ก และครอบครัวที่ไม่มีความผิดอะไรเลย
    จึงของให้พี่น้องชาวไทยผูัรักชาติทุกคน ร่วมกันปกป้องน้อง ให้พ้นจากปฏิบัติการเหล่านี้ด้วย น้องยอมตัดกามิน เพียงเพื่อปกป้องคนไทยไม่ให้โดนต้ม น้องไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้จริงๆ
    เดี๋ยวมีต่อ รอติดตาม
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ยิ่งล้วงยิ่งลึกยิ่งขุดยิ่งไม่ธรรมดา อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดงที่เคารพรัก เมื่อคืนพี่คิงส์ได้ตรวจสอบข้อมูล ยิ่งลึกยิ่งตกใจ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง ญ ช สองคนรักและเลิกอย่างที่ มีกลุ่มปฏิบัติการโซเชียลปั้นแต่ง แต่มันเลยเถิดไปไกล ที่มีความเกี่ยวข้อง เชิง อ-า-ช-ญ-า-ก-รร-ม-ข้-า-ม-ช-า-ติ พี่คิงส์จะค่อยๆอธิบายสำหรับคนที่ติดตามข้อมูลจากคิงส์โพธิ์แดง และที่เพิ่งเข้ามาเห็นโพสนี้ครั้งแรก ให้กระจ่ายกันไปเลย มาทวนสิ่งที่พี่คิงส์ให้ข้อมูลไปก่อนหน้าโดยสังเขป ชุดข้อมูลแรก - แพลตฟอร์ม ตต. เปิดให้คนทั่วไป มีกิจกรรมที่เรียกว่า PK เพื่อให้มีการใช้เงินจริง เปลี่ยนเป็นเหรียญเข้าสู่ระบบของแพลตฟอร์ม และส่งเป็นติ๊กเกอร์ และสมารถนำออกเป็นเงินจริงได้ โดยเสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อยให้แพลตฟอร์ม ส่วน ตต.เกอร์ เมื่อได้อิมคัมก็มีหน้าที่เสียแวทของแต่ละประเทศ ตังค์นั้นก็สามารถนำมาใช้ได้ - ด้วยรูปแบบดังกล่าว กลุ่มเงินดาร์ค ที่ได้มาโดยไม่ถูกก-ฏ-ห-ม-า-ย จากทั่วโลก ได้มองเห็นช่องทาง จึงเริ่มมีคนคิดโมเดลขึ้นมา -กลุ่มเงินดาร์ค ได้จัดตั้งบ.เอเจน เพื่อเฝ้ามอง ตต.เกอร์ที่มีโอกาสดัง แต่ตอนนี้เริ่มช้อน ตต.เกอร์ที่ดังแล้ว เพื่อเข้าสู่โมงเดล การซักอบรีดเงินดาร์ค -โดยเบื้องหน้า บ.เจน ก็จะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็น จากการได้ติ๊กเกอร์ จากการ PK ซึ่งก็ดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ -แต่ กลุ่มเงินดาร์ค จะอาศัยจังหวะ ในการ PK ในการเติมเงินดาร์คเข้าระบบตต. โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า ยุซที่ส่งติ๊กเกอร์นั้น คือใคร เงินดาร์คถูกเปลี่ยนเป็นเหรียญและทำการส่งติ๊กเกอร์ ที่มีเรทสูง ให้ตต.เกอร์ แต่บชนั้น อยู่ในมือ บ.เอเจน ก็จะตัดให้เฉพาะเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากการรับตต.จริง ส่วนที่เป็นเงินดาร์ค อาจได้บางส่วนเป็นอินเทนซีฟไป ซึ่่งก็มหาศาล เพราะจำนวนเงินดาร์คที่ปั่นเข้าระบบจำนวนมันมหาศาล -แต่ประเด็นคือ การปั้นให้ตต.ดังและมีชื่อเสียง เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นจะมีความผิดปกติ ที่ตต.เกอร์โนเนม จะมีคนมายิงติ๊กเกอร์เรทสูงรัวๆ และนี่คือที่มาที่แฟนเพจต้องเข้าใจเป็นอันดับแรก -เมื่อกลุ่มเงินดาร์ค ต้องการให้เงินดาร์คกลายเป็นเงินขาว ก็เพียงแค่ เอาเหรียญเปลี่ยนเป็นเงินจริงผ่านบ.เอเจน และเสียภาษีให้ถูกต้อง ก็สะอาดกริ๊บ -โมงเดลนี้เริ่มสร้างประมาณ เกือบ 1 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่แพลตฟอร์มตต.เริ่มมีการ PK ให้ตต.เกอร์ได้ลองใช้งาน ---------------------------------------------- -กามิน ได้ออกทีวีเกาหลี และไปพร้อมกับเอเจน ได้พูดถึงการทำงาน ว่าต้องอาศัยความอดทน ต้องทนกับความเบื่อให้ได้ และทำทุกวัน ก็จะสำเร็จแบบเธอได้ -ได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่กามินออกกล้อง สตอรี่ทั้งหมดนั้น คือส่วนหนึ่งของงาน ซึ่ง กามิน ได้รายได้เฉลี่ย ก่อนที่แน๊กเข้าไป ตกเฉลี่ยเดือนละ 8 หมื่น หรือวันละเฉลี่ย 2 พันกว่าบาท ซึ่งนั่นมาจากการทดสอบ ค่อยๆปล่อยติ๊กเกอร์ แบบที่ไม่ให้คนเกิดความสงสัย เพราะต้องไม่ลืมว่า แปดหมื่นที่ว่า ได้ถูกหักจากเอเจนไปแล้ว แล้วคนโนแนม แบบกามิน ที่ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ มีเพียงสตอรี่ที่สร้างความสงสารเห็นใจ ทำไมถึงมีคนเปย์ให้หลักแสนได้ ก่อนหักของเอเจน -แน๊กชาลี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ก็ได้เข้ามาเรียนรู้ เรื่องการ PK ด้วยความสนุกๆ ได้คุยกับแฟนคลับ เพราะแน๊กปกติ เป็นคนที่มีโลกส่วนตัว อย่างที่แฟนคลับเข้าใจ ทำให้การ PK เป็นโลกใหม่ ที่ทำให้แน๊กได้พูด ได้คุย ในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง จึงเป็นที่รักของแฟนคลับ และเข้าไปซัพพอตอยู่มากมายอยู่แล้ว -แน๊กชาลี พลาดที่ไปอินกับสตอรี่ ที่กามินและเอเจน สร้างสตอรี่เข้าใจว่าลำบากจริง จึงพาคนไทยไปติดตาม ด้วยเจตนาที่แท้จริง แว๊บแรกแน๊กเองก็ไม่ได้มองเรื่องรักๆใคร่ๆ คือตั้งใจช่วยด้วยความจริงใจ ให้ผู้หญิงที่ขาดโอกาส ได้รับโอกาส -แต่กามิน ก็แสดงท่าที ที่เราเห็นๆกัน การทอดสะพาน การตก และแสดงตัวถึงความเป็นเจ้าของ นั่นก็เพราะ ติ๊กเกอร์ที่เข้ามาอย่างมหาศาล ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปโมเดล ที่เงินดาร์ค และเอเจนวางไว้ -เราจะเริ่มเห็น ยูนิ และติ๊กเกอร์ตัวแรงๆ ยิงให้กามิน รัวๆ อย่างไม่รู้ที่มา ว่าคนที่ยิงนั้น คือใคร นั่นคือการสอดแทรงติ๊กเกอร์จากกลุ่มเงินดาร์คเข้าระบบ ทำกัน อย่างเป็นล่ำเป็นสัน -เราจะเห็น เอเยนเกาหลี ไปกลับไทยเกาหลี และแน๊กเองก็แสดงท่าทีที่ไม่โอเคนัก ซึ่งคิงส์เองก็ไม่มั่นใจว่า แน๊ก เริ่มรู้เรื่องลึกๆอะไรหรือยัง -เมื่อกิจกรรมโมเดลซักอบรีดเงินดาร์คดำเนินไปอยู่ดีๆ แน๊กเริ่มมีการออกอาการขัดขา ออกมาเตือนลอยๆ อย่าอิน อย่าเปย์มาก อย่าตามใจ ซึ่งถือว่าเป็นการขัดลาภ ทั้งกามิน และเอเจน และลามไปถึงกลุ่มเงินดาร์คด้วย เพราะถ้ายอดคนเข้าไป PK ลดลง กามินจะไม่ใช่ตัวแสดงที่เหมาะสม ในการแทรกเงินดาร์คเข้าระบบ และแน๊ก ได้ออกตัวพูดรอบสุดท้ายว่า เรื่องนี้ มันน่ากลัวนะ ทำให้กลุ่มเงินดาร์คเอง เริ่มระแวงว่า เรื่องโมเดลนี้จะถูกเปิดเผย -จึงเกิดปฏิบัติการ ที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการเลิกรา ด้วยการหาคนไทย ที่แสดงตัวเป็นผู้นำทางความคิดของกลุ่มที่เป็นด้อม กามินและชาลี และเล็งเห็นแล้วว่า โจ มณฑานี คือผู้ที่เหมาะสม เพราะมีวาทะกรรม ที่ทำให้ด้อมเคลิบเคลิ้ม ความภักดีของสาวก ก็ถือว่ามีความจงรักภักดี เพราะบรรยากาศการพูดคุยของโจ มณฑานี ที่สร้างเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก ที่มีเจ้าหญิง เจ้าชาย การข้ามภพข้ามชาติมารักกัน ที่อิงส่วนหนึ่งมาจากนิยายที่ โจ มณฑานี เคยเขียนและตีพิมพ์ -และโจ ก็ได้รับคำสั่ง เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันที่ชาลีขวางปฏิบัติการเงินดาร์คมากไปกว่านี้ ด้วยปฏิบัติการ "เล่นงานชาลี" -โดย ปฏิบัติการนี้ โจ ได้งบมาจัดการดูแล จัดตั้งทีมงาน ทั้งการคอมเม้น การสร้างตัวตน อ-ว-ต-า-ร ซึ่งก็ไม่ต่างจากการทำงานของมิจทางออนไลน์เลย และโจก็ไม่ติดเรื่องนี้ เพราะโจมี 3 ปัจจัยในการขับเคลื่อน 1. โจ เปื่อยจิต มานาน การที่ตนเองได้หลุดเข้าไปในโลกจินตนาการ ในตต. ในห้อง DC ทำให้โจรู้สึกตัวเองมีความสำคัญ ทำให้ชีวิตมีคุณค่า ซึ่งเป็นการเยียยวยยาอาการของเธอเอง ซึ่งวิชาการ ถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง แต่มันจะยิ่งกลับทำให้อาการหนักจนหลุดไปเลยก็เป็นได้ 2. โจ อาศัยความภักดีของด้อมกามิน ในการแทรกอาชีพส่วนตัว ที่ก็ไม่ขาวนัก นั่นคือ การเปิดโรงเรียนที่ไม่ถูกต้อง สร้างหลักสูตรที่ม-อ-ม-เ-ม-ากับความเชื่อ และใส่จินตาการตามนิยายที่โจ มณฑนี ที่เคยเขียน เรื่องข้ามภพข้ามชาติมารักกัน อะไรแบบนี้ แฟนเพจสามารถสืบหาอ้างอิงได้ไม่ยาก 3. คือ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่กลุ่มเงินดาร์คได้ส่งผ่านเอเจนมาให้ -ตอนนี้ โจ มณฑานี มีกอง กำล-ัง ทางโซเชียลจำนวนหลายสิบคน โดยให้ค่าจ้าง เดือนละไม่ถึงหมื่น มาดำเนินการ 1. มาสร้างยูซเทียม ทุกแพลตฟอร์ม 2. สร้างเพจ เทียม หรือ ช็อปเพจที่พอมีคนติดตามแล้ว เช่น DiY v2 แฟนเพจสังเกตุได้ เพจที่ชื่อกับสิ่งที่โพสไปคนละเรื่อง พวกนี้เจ้าของปล่อย และคนที่มาช้อน ก็หวังแค่ผู้ติดตาม แต่ไม่ได้มีอุดมการณ์ในการทำเพจในเนื้อหาเดิมของเจ้าของที่ตั้งใจ ตอนนี้ Diy v2 แทบไม่มีเรื่องการ Diy สิ่งของเลย มีแต่การพุ่งเป้าไปที่แน๊กชาลี จนล่าสุด ออกมาโพส ต้องการปิดหูปิดตาสมาชิกในเพจด้วยการ "ไม่ให้เข้ามาเพจคิงส์โพธิ์แดง" หรือหากไม่ได้ถูกช็อป ก็คือทุยที่ทำไปได้ความง่าววววว ก็เป็นได้ แต่เพจที่ถูกช็อป มีหลายเพจจริง 3. ปั๊มยูซ จำนวนมากๆ ของทุกแพลตฟอร์ม เพื่อ 3.1 กดไลค์ สร้างแอชเท็คสร้างเทรนทวิช หรือกดติ-ดต-า-ม หรือฟอลโล่วในทุกแพลตฟอร์ม (อันนี้มีหลักฐานชัด จากยอดฟอล ที่ขึ้นมาแบบผิดปกติ และเข้าไปตรวจสอบพบว่าไม่มีข้อมูลใดๆเรียกว่า สร้างมาสดๆ เอามาใช้สดๆ,และเทรนทวิตที่หลายคนไม่รู้ว่า เซฟกามิน ขึ้นอันดับหนึ่ง ทั้งๆที่คนไทยส่วนใหญ่ก็เลิกติดตามกันรัวๆ มันคือความผิดปกติ และเมื่อเข้าไปกดดูคนที่ใส่แอชเท็ค กลับเป็นยูซโบ๋ล้วนๆ เพื่อให้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เข้าใจว่า กามินสำคัญมากตามแผนที่โจวางไว้) 3.2 หยิบแอค หรือยุซนั้นๆ มาเพื่อให้ลูกจ้างที่กล่าวไปแล้วนั้น ทำการพุ่งเป้าไปที่แน๊ก สร้างข่าวที่ให้ร้ายต่างๆ ในทุกแพลตฟอร์มอย่างเป็นระบบ สังเกตุไม่ยาก แทบทุกแพลตฟอร์ม จะมีตัวที่เข้ามาป่วนเพจ หรือช่องที่ตื่นรู้ จะเข้ามากดติดตาม และวางแปะข้อความซ้ำๆ เหมือนๆกัน บางทีแปะผิดแปะถูก พี่คิงส์ก็แซวจนเขินไปหลายรอบว่า "เอ้ย น้อง โพสนี้ไม่ได้พูดถึงกามินนะ แปะผิดโพสแล้ว" และพวกนี้ก็เช่นกัน มาเพื่อป่วน และเพื่อปล่อย ปล่อยคือ ปล่อยสิ่งที่โจอยากสื่อสาร ตามแผนที่สุมหัวไว้ ให้สอดคล้องกับสิ่งที่โจพูด ยกตัวอย่างเช่น หลังจากที่คิงส์ได้เปิดลึกตั้งแต่แรกๆ สิ่งที่โจทำคือ การขู่ววว มีทั้งในคอมเม้น มีทั้งแชตเข้ามา ส่งเป็นคลิปบ้าง ส่งเป็นข้อความบ้าง มาแนวๆ ห่วงพี่คิงส์งั้นงี้ ส่งกำลังใจงั้นงี้ แต่ส่งข้อความขู่ววว จากโจ มณฑานี ล้วนๆ ซึ่งพวกนี้หงายกันไปหมด คงเดากันได้นะ ว่าพี่คิงส์ปากจัดแค่ไหน ผลพวงจากปฏิบัติการนี้ มันมีผลแย่ทางตรงและทางอ้อมเยอะมาก เพราะประเทศไทย มีทุยเยอะมาก ถึงแม้ว่าหลังจากคิงส์ฯได้เปิดเผยข้อเท็จจริง จนมีทุยเปลี่ยนกลับมาเป็นคนมหาศาลก็ตาม แต่ก็ยังมีคนกลุ่มเดียวที่มีชีวิตคล้ายโจ คือคนที่โลกแห่งความเป็นจริงเหงามาก รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า กลุ่มนี้ ดึงออกยากมาก เพราะเต็มไปด้วยอัตตา บางคนหลงกามินขนาดประกาศยอมตุยเพื่อกามิน ซึ่งมันเลยเถิด ไปกันใหญ่ และพวกนี้ไม่ต้องจ้าง ทำด้วยความค-ลั่-ง-ไ-ค-ล้ และสมานความเจ็บในชีวิตจริงในรูปแบบส่วนตัวก็พอ ตอนนี้ จากที่โจ มณฑานี ได้เริ่มปฏิบัติการมา จากการสนับสนุนของกลุ่มเงินดาร์ค มันเยอะมาก มาแบบไม่อั้น และวิธีการนั้นมันเริ่มแรงขึ้นหลังจากที่ชาลี ประกาศ เชิญกามินกลับประเทศ -โจ มณฑานี เริ่มคุยในกลุ่ม DC และไลฟ์ตามเพจที่ตัวเองจูงจมูกได้ แบบชัดมาก เริ่มหลุดเสียง หลุดภาพออกมา ว่าโจ ให้ร้ายน้องแน๊ก พูดสามสี่ชั่วโมง เพียงเพื่อให้ทุกคนเข้าใจผิดว่า แน๊ก เปื่อยจิต ซึ่งความเชื่อนี้ได้ฝังหัวกลุ่มทุยทุกตัว -ความเลยเถิดคือ กลุ่มทุยจิตอ่อน เริ่มอิน และเริ่มมีการคุ-กคาม น้อง มีการแฮชเทคโพสห-ย-า-บ ถึงบ้านคู้บอน เริ่มมีการบริภาษหลานตัวน้อยของชาลี และที่สำคัญ ทุกคนฟังให้ดี กลุ่มทุยนี้ โจกล่อมสำเร็จถึงขนาด เป็นลัตติ๊ล่า แม่ -มด พี่คิงส์ฯจึงจำเป็นที่ต้องออกมาเปิดเผยความจริง และทุกข้อที่พิมพ์ไว้นี้ ทุกท่านสามารถสืบต่อได้ ว่าจริงหรือไม่ สังเกตุของปัจจุบันเลย พวกทุยที่มาป่วน ยูซแท้ไม่มีซักราย และข้อความก็เป็นข้อความที่ก็อปวางทั้งนั้น ยอดฟอล และเทรนทวิช แล้วท่านจะตาสว่าง น้องชาลี คือน้องชายที่เป็นคนไทย ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร แต่กลับต้อนโดนคนไทยด้วยกัน จากการซัพพอตของกลุ่มทุนเงินดาร์คที่ต้องกอาศัยช่องทาง PK ในการซักอบรีดเงินให้ขาว มามุ่งเล่นงาน รวมถึงคนไทยที่จิตอ่อน ตามการจูงจมูกโดย โจมณฑานี ที่มาตรร้ายเหมือนคนเป็นจิตปsะสาด โดนสากดจิกทุกวัน นานหลายๆเดือน คิดว่า พวกนี้ คิดจะทำอะไรกับน้องแน๊ก และครอบครัวที่ไม่มีความผิดอะไรเลย จึงของให้พี่น้องชาวไทยผูัรักชาติทุกคน ร่วมกันปกป้องน้อง ให้พ้นจากปฏิบัติการเหล่านี้ด้วย น้องยอมตัดกามิน เพียงเพื่อปกป้องคนไทยไม่ให้โดนต้ม น้องไม่ควรต้องมาเจออะไรแบบนี้จริงๆ เดี๋ยวมีต่อ รอติดตาม #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews
  • บันทึกเปิดผนึก

    กระบวนการทางความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก มากที่สุดที่มีอิทธิพลส่งผลต่อพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาทางกาย วาจา

    คุณเคยสงสัยไหม เหตุใดคนจำนวนมากเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด เช่น ขโมยของในร้านสะดวกซื้อ และก็ถูกจับได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายอ้างความจน ไม่มีเงินบ้างละ มีลูกเล็กต้องเลี้ยงบ้างละ หาค่านมลูกบ้างละ สารพัดข้ออ้างตามแต่จะนึกขึ้นได้ ณ ตอนนั้น จริงหรือเท็จก็เป็นอีกเรื่อง

    แต่..ทำไมก่อนหน้าที่จะลงมือขโมย ถึงคิดไม่ได้เลยเชียวหรือว่า

    ขโมยเนี่ยคือความชั่ว ความเลว ผิดทั้งทางกฎหมายต้องได้รับโทษ ผิดทั้งทางธรรม สะสมเวรกรรมใส่ตัว บาปเกิดขึ้นย่อมได้รับผล ไม่ต้องรอตาย ได้ตอนยังมีชีวิตนี้แหละ

    อย่างไรก็หนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับเป็นคดีติดคุก แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้

    เป็นแม่คนแล้ว ไม่ทำความดีไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แต่กลับเลือกทำความผิด ต่อให้หนีรอดมือกฎหมายได้ ในอนาคต ลูกจะเติบโตมาอย่างไร เพราะเห็นแม่ขโมยมาให้ตนตลอด

    ตัวเองเดือดร้อนย่อมรู้ถึงความทุกข์ที่ตนได้รับ แล้วเจ้าของที่ตนไปขโมยของเขาจะไม่เดือดร้อนจากการกระทำของเราหรือ เขาไม่ทุกข์หรือ

    ทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องทำผิดล่วงละเมิดกับใครย่อมมีอยู่ แต่ไฉนเลือกที่จะทำความไม่ดี เพราะการเลือกทำความไม่ดีง่ายกว่าหรือไร

    คนจนคือพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่คนจนทุกคนที่เลือกทำสิ่งผิดเพื่อให้ตนเองมีอยู่มีกิน ดังนั้นความจนไม่ใช่ข้ออ้าง

    และอีกมากมายหากจะไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใดลงไป

    หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำ ชัดเจนมาก นั่นคือบรรดาคนรักสัตว์ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทั้งหมด ที่ปากก็เอาแต่ท่องวนซ้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าฉันรักสัตว์ จึงทนเห็นหมาแมวหิวโหยไม่ได้ เจอหมาแมวจรจัดที่ไหน ต่อมความเมตตาจะพลุ่งพล่าน หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นพลิ้ว ต้องเอาอาหารอะไรก็ได้ไปให้หมาแมวที่หิวเหล่านั้นให้ได้ โดยไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น

    เขาจะไม่สนว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน

    เขาจะไม่สนว่าการให้อาหารจะนำพาซึ่งความลำบาก ทุกข์ร้อน มาสู่ผู้คน เจ้าของที่ ซึ่งอาศัยในบริเวณนั้นหรือไม่

    เขาจะเข้าใจอยู่มุมเดียวในชุดความคิดที่ไม่เหลือที่พอให้ใส่ความจริงชุดอื่นเข้าไปในกลีบสมองเลยว่า เขาสิที่เมตตาสูง ใครอื่นที่ไม่เห็นด้วย ขัดกับสิ่งที่เขาต้องการ คือคนที่ใจดำ ไร้เมตตา ไม่รักสัตว์ทั้งหมด

    เขาจะมืดบอดมองไม่เห็นว่าตนกำลังเบียดเบียนคนด้วยกันจำนวนมากโดยไม่รู้ตัวเองสักนิด เพราะคิดอยู่เพียงว่า เขากำลังทำบุญช่วยเหลือหมาแมวที่น่าเวทนา

    ทั้งที่เขาสร้างบาปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ให้อาหารหมาแมวจรตามที่สาธารณะ และที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตน แต่เขากลับภาคภูมิใจในความดีที่เขากระทำ ในขณะที่เขาเมตตากับสัตว์ผู้ยาก แต่วันเดียวกันเขากลับเอาแต่หากินอาหารที่ชอบ ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรุงมาจากสัตว์ผู้ยากเช่นกันที่โดนฆ่ามาอย่างโหดเหี้ยม แต่เมตตาของเขามีข้อจำกัดอยู่เพียงกรอบของสัตว์สองชนิด ที่เหลือเขาจะอ้างว่าก็มันอร่อย, เขาไม่ได้ฆ่า, สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนกิน ฯลฯ

    เขาจะให้อาหารเสร็จก็สะบัดก้นจากไป ไม่สนใจว่าถุงพลาสติก ห่อกระดาษ ภาชนะใดก็ตามที่วางไว้ จะมีเศษอาหารเหลือ เป็นความสกปรกเลอะเทอะต่อสถานที่อย่างไร เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือไม่ ใครต้องมาเก็บกวาดหลังจากนั้น

    เขาไม่เคยต้องมาทนทุกข์กับกลิ่นของอึ ฉี่ และกองปฏิกูลมูลสัตว์ที่ปล่อยเรี่ยราดอยู่ในพื้นที่ ซากของเสียเหล่านั้นรบกวนคน สร้างความสกปรก ไม่เจริญตาเจริญใจ ก่อโรค ไหลปนกับน้ำฝนลงแหล่งน้ำสาธารณะ ฟุ้งลอยไปในอากาศอย่างไร เขาไม่ได้คิดไปถึง เสียงเห่าหอนรบกวนคนที่อาจป่วยต้องการพักผ่อน หนูน้อยกำลังหลับเพลิน คนชรากำลังหลับพัก ชาวบ้านเข้านอนยามดึก เขาไม่ใส่ใจ คนผ่านทางถูกไล่กวด ถูกรุมล้อมทำร้าย บาดเจ็บต้องเสียค่ารักษา ตื่นกลัวตกใจ แต่เขาไม่อนาทร เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดนั้น เขาไม่เดือดร้อน เขาสบายใจแล้วที่ได้ถมความต้องการอันบ้าคลั่งจนเต็มเป็นการชั่วคราว

    เขาไม่เคยมาแสดงตนรับผิดชอบ หรือกล้าเสนอหน้าผ่าเผย ยามเมื่อมีคนถูกหมาแมวจรที่เขาให้อาหารทำร้าย หรือทำลายทรัพย์สินเสียหาย เขาจะมุดลงรู หลบเข้าถ้ำ นิ่งสนิท เงียบเหมือนอมสาก ไม่ปากเก่งดังเช่นตอนไม่เกิดเรื่อง หมาแมวถูกทำร้าย ถูกจับออกไป เขาจะรีบโผล่ขึ้นจากหลุมมาอย่างไว เพื่อพิทักษ์สิทธิให้ แต่คนถูกทำร้าย เขาจะดำดินหนีหายไวกว่า ไหนเลยเคยพิทักษ์สิทธิให้ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

    ความเมตตาของเขามันจะทะแม่งประหลาดพิกล มาเป็นพัก ๆ แบบกะปริดกะปรอยในบางช่วง และล้นทะลักในบางคราว ขึ้นกับสภาพอารมณ์อันปรวนแปร แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาจะเมตตาสัตว์เฉพาะชนิดที่เขาชอบ และอำมหิตกับคนที่เห็นต่างจากตน คนที่ไม่สนองในความชอบความใคร่อันตนมีอย่างฝังรากลึก เขาจะผลักให้คนเห็นต่างเป็นคนใจดำ คนไร้เมตตาโดยทันที

    แท้จริงเขาอัตตาใหญ่ยิ่งกว่าแกแลคซีทางช้างเผือก แต่เสือกโปรโมตตนเองว่าคือคนใจบุญที่รักและเห็นใจสัตว์

    ทั้งหมดทั้งมวล เพราะกระบวนการทางความคิดเขาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวมาแต่ต้นทาง จึงมองไม่เห็นเส้นทางสายอื่น แม้นมีคนพยายามอธิบาย แนะนำอย่างไร เขาก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขาคิด

    ถึงบอกแต่ย่อหน้าแรกว่า กระบวนการทางความคิดนี้ สำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคน สำคัญและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคาดไปถึง จึงควรพึงระวังว่าเรานี้ ในทุกการกระทำและตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์ ได้กระทำลงไปอย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากที่สุดแล้วหรือยัง

    หรือสักแต่เชื่อในความเห็นในหัวตัวเอง ว่าที่ฉันเชื่อ ฉันคิด นั้นดีสุด ถูกต้องแน่นอน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับรองรับความจริงที่เราไม่ชอบ ไม่เชื่อ ไม่อยากรับฟัง

    ดังเช่นคนที่อ้างความยากจนไม่มีจะกิน แล้วเอะอะปล้นร้านทอง วิ่งราวชาวบ้าน ยักยอกขโมยของ ปล้นชิงฆ่าเจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงลูก ก็จงอย่าปล่อยตัวให้มีลูก ถ้าหัดฝึกเชื่อมโยงแล้ว ก็จะเห็นต้นตอ แทนที่จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่ามาถมทับตนเอง

    คนเมตตาแท้จริง จะไม่เลือกช่วยชีวิตใดไม่ว่าคนหรือสัตว์ เพียงแค่เอาความชอบหรือชังส่วนตนนำหน้า พวกที่ทำอย่างนั้นคือพวกบ้าที่ทำไปเพื่อสนองความรู้สึกให้ตนพอใจชั่วครั้งคราวไม่ยาวยืน เป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าอยากขอใช้คำว่า "เมตตาอำมหิต" เพราะจิตเขาตั้งไว้ผิดทาง

    เมตตาแบบนี้นี่น่ากลัว
    เพราะเอาแต่ใจตัวคืออัตตา

    #thaitimes
    #ความเมตตา
    #ข้อคิด
    #บทความ

    บันทึกเปิดผนึก 📝 กระบวนการทางความคิดนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก มากที่สุดที่มีอิทธิพลส่งผลต่อพฤติกรรมของคนคนหนึ่ง ซึ่งจะแสดงออกมาทางกาย วาจา คุณเคยสงสัยไหม เหตุใดคนจำนวนมากเขาสามารถทำในสิ่งที่คนปกติโดยทั่วไปมองแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ที่สุด เช่น ขโมยของในร้านสะดวกซื้อ และก็ถูกจับได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายอ้างความจน ไม่มีเงินบ้างละ มีลูกเล็กต้องเลี้ยงบ้างละ หาค่านมลูกบ้างละ สารพัดข้ออ้างตามแต่จะนึกขึ้นได้ ณ ตอนนั้น จริงหรือเท็จก็เป็นอีกเรื่อง แต่..ทำไมก่อนหน้าที่จะลงมือขโมย ถึงคิดไม่ได้เลยเชียวหรือว่า 🟢ขโมยเนี่ยคือความชั่ว ความเลว ผิดทั้งทางกฎหมายต้องได้รับโทษ ผิดทั้งทางธรรม สะสมเวรกรรมใส่ตัว บาปเกิดขึ้นย่อมได้รับผล ไม่ต้องรอตาย ได้ตอนยังมีชีวิตนี้แหละ 🟢อย่างไรก็หนีไม่รอด สุดท้ายถูกจับเป็นคดีติดคุก แล้วใครจะเลี้ยงลูกให้ 🟢เป็นแม่คนแล้ว ไม่ทำความดีไว้ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก แต่กลับเลือกทำความผิด ต่อให้หนีรอดมือกฎหมายได้ ในอนาคต ลูกจะเติบโตมาอย่างไร เพราะเห็นแม่ขโมยมาให้ตนตลอด 🟢ตัวเองเดือดร้อนย่อมรู้ถึงความทุกข์ที่ตนได้รับ แล้วเจ้าของที่ตนไปขโมยของเขาจะไม่เดือดร้อนจากการกระทำของเราหรือ เขาไม่ทุกข์หรือ 🟢ทางเลือกอื่นที่ไม่ต้องทำผิดล่วงละเมิดกับใครย่อมมีอยู่ แต่ไฉนเลือกที่จะทำความไม่ดี เพราะการเลือกทำความไม่ดีง่ายกว่าหรือไร 🟢คนจนคือพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ไม่ใช่คนจนทุกคนที่เลือกทำสิ่งผิดเพื่อให้ตนเองมีอยู่มีกิน ดังนั้นความจนไม่ใช่ข้ออ้าง และอีกมากมายหากจะไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำสิ่งใดลงไป หรือยกอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นประจำ ชัดเจนมาก นั่นคือบรรดาคนรักสัตว์ส่วนใหญ่ เรียกว่าเกือบทั้งหมด ที่ปากก็เอาแต่ท่องวนซ้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ว่าฉันรักสัตว์ จึงทนเห็นหมาแมวหิวโหยไม่ได้ เจอหมาแมวจรจัดที่ไหน ต่อมความเมตตาจะพลุ่งพล่าน หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นพลิ้ว ต้องเอาอาหารอะไรก็ได้ไปให้หมาแมวที่หิวเหล่านั้นให้ได้ โดยไม่สนใจอื่นใดทั้งสิ้น 🟢เขาจะไม่สนว่าสถานที่นั้นคือที่ไหน 🟢เขาจะไม่สนว่าการให้อาหารจะนำพาซึ่งความลำบาก ทุกข์ร้อน มาสู่ผู้คน เจ้าของที่ ซึ่งอาศัยในบริเวณนั้นหรือไม่ 🟢เขาจะเข้าใจอยู่มุมเดียวในชุดความคิดที่ไม่เหลือที่พอให้ใส่ความจริงชุดอื่นเข้าไปในกลีบสมองเลยว่า เขาสิที่เมตตาสูง ใครอื่นที่ไม่เห็นด้วย ขัดกับสิ่งที่เขาต้องการ คือคนที่ใจดำ ไร้เมตตา ไม่รักสัตว์ทั้งหมด 🟢เขาจะมืดบอดมองไม่เห็นว่าตนกำลังเบียดเบียนคนด้วยกันจำนวนมากโดยไม่รู้ตัวเองสักนิด เพราะคิดอยู่เพียงว่า เขากำลังทำบุญช่วยเหลือหมาแมวที่น่าเวทนา 🟢ทั้งที่เขาสร้างบาปอย่างต่อเนื่องทุกครั้งที่ให้อาหารหมาแมวจรตามที่สาธารณะ และที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของตน แต่เขากลับภาคภูมิใจในความดีที่เขากระทำ ในขณะที่เขาเมตตากับสัตว์ผู้ยาก แต่วันเดียวกันเขากลับเอาแต่หากินอาหารที่ชอบ ซึ่งล้วนแล้วแต่ปรุงมาจากสัตว์ผู้ยากเช่นกันที่โดนฆ่ามาอย่างโหดเหี้ยม แต่เมตตาของเขามีข้อจำกัดอยู่เพียงกรอบของสัตว์สองชนิด ที่เหลือเขาจะอ้างว่าก็มันอร่อย, เขาไม่ได้ฆ่า, สัตว์เหล่านั้นเกิดมาเพื่อให้คนกิน ฯลฯ 🟢เขาจะให้อาหารเสร็จก็สะบัดก้นจากไป ไม่สนใจว่าถุงพลาสติก ห่อกระดาษ ภาชนะใดก็ตามที่วางไว้ จะมีเศษอาหารเหลือ เป็นความสกปรกเลอะเทอะต่อสถานที่อย่างไร เป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคหรือไม่ ใครต้องมาเก็บกวาดหลังจากนั้น 🟢เขาไม่เคยต้องมาทนทุกข์กับกลิ่นของอึ ฉี่ และกองปฏิกูลมูลสัตว์ที่ปล่อยเรี่ยราดอยู่ในพื้นที่ ซากของเสียเหล่านั้นรบกวนคน สร้างความสกปรก ไม่เจริญตาเจริญใจ ก่อโรค ไหลปนกับน้ำฝนลงแหล่งน้ำสาธารณะ ฟุ้งลอยไปในอากาศอย่างไร เขาไม่ได้คิดไปถึง เสียงเห่าหอนรบกวนคนที่อาจป่วยต้องการพักผ่อน หนูน้อยกำลังหลับเพลิน คนชรากำลังหลับพัก ชาวบ้านเข้านอนยามดึก เขาไม่ใส่ใจ คนผ่านทางถูกไล่กวด ถูกรุมล้อมทำร้าย บาดเจ็บต้องเสียค่ารักษา ตื่นกลัวตกใจ แต่เขาไม่อนาทร เพราะเขาอยู่ไกลจากจุดนั้น เขาไม่เดือดร้อน เขาสบายใจแล้วที่ได้ถมความต้องการอันบ้าคลั่งจนเต็มเป็นการชั่วคราว 🟢เขาไม่เคยมาแสดงตนรับผิดชอบ หรือกล้าเสนอหน้าผ่าเผย ยามเมื่อมีคนถูกหมาแมวจรที่เขาให้อาหารทำร้าย หรือทำลายทรัพย์สินเสียหาย เขาจะมุดลงรู หลบเข้าถ้ำ นิ่งสนิท เงียบเหมือนอมสาก ไม่ปากเก่งดังเช่นตอนไม่เกิดเรื่อง หมาแมวถูกทำร้าย ถูกจับออกไป เขาจะรีบโผล่ขึ้นจากหลุมมาอย่างไว เพื่อพิทักษ์สิทธิให้ แต่คนถูกทำร้าย เขาจะดำดินหนีหายไวกว่า ไหนเลยเคยพิทักษ์สิทธิให้ผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต 🟢ความเมตตาของเขามันจะทะแม่งประหลาดพิกล มาเป็นพัก ๆ แบบกะปริดกะปรอยในบางช่วง และล้นทะลักในบางคราว ขึ้นกับสภาพอารมณ์อันปรวนแปร แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาจะเมตตาสัตว์เฉพาะชนิดที่เขาชอบ และอำมหิตกับคนที่เห็นต่างจากตน คนที่ไม่สนองในความชอบความใคร่อันตนมีอย่างฝังรากลึก เขาจะผลักให้คนเห็นต่างเป็นคนใจดำ คนไร้เมตตาโดยทันที 🟢แท้จริงเขาอัตตาใหญ่ยิ่งกว่าแกแลคซีทางช้างเผือก แต่เสือกโปรโมตตนเองว่าคือคนใจบุญที่รักและเห็นใจสัตว์ ทั้งหมดทั้งมวล เพราะกระบวนการทางความคิดเขาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวมาแต่ต้นทาง จึงมองไม่เห็นเส้นทางสายอื่น แม้นมีคนพยายามอธิบาย แนะนำอย่างไร เขาก็จะเห็นแค่สิ่งที่เขาคิด ถึงบอกแต่ย่อหน้าแรกว่า กระบวนการทางความคิดนี้ สำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่ง ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนทุกคน สำคัญและน่ากลัวยิ่งกว่าที่เราคาดไปถึง จึงควรพึงระวังว่าเรานี้ ในทุกการกระทำและตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์ ได้กระทำลงไปอย่างรอบคอบถี่ถ้วนมากที่สุดแล้วหรือยัง หรือสักแต่เชื่อในความเห็นในหัวตัวเอง ว่าที่ฉันเชื่อ ฉันคิด นั้นดีสุด ถูกต้องแน่นอน จนไม่เหลือพื้นที่สำหรับรองรับความจริงที่เราไม่ชอบ ไม่เชื่อ ไม่อยากรับฟัง ดังเช่นคนที่อ้างความยากจนไม่มีจะกิน แล้วเอะอะปล้นร้านทอง วิ่งราวชาวบ้าน ยักยอกขโมยของ ปล้นชิงฆ่าเจ้าทรัพย์ ถ้าไม่มีปัญญาหาเงินเลี้ยงลูก ก็จงอย่าปล่อยตัวให้มีลูก ถ้าหัดฝึกเชื่อมโยงแล้ว ก็จะเห็นต้นตอ แทนที่จะไปแก้ปัญหาด้วยการสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเก่ามาถมทับตนเอง คนเมตตาแท้จริง จะไม่เลือกช่วยชีวิตใดไม่ว่าคนหรือสัตว์ เพียงแค่เอาความชอบหรือชังส่วนตนนำหน้า พวกที่ทำอย่างนั้นคือพวกบ้าที่ทำไปเพื่อสนองความรู้สึกให้ตนพอใจชั่วครั้งคราวไม่ยาวยืน เป็นลักษณะที่ข้าพเจ้าอยากขอใช้คำว่า "เมตตาอำมหิต" เพราะจิตเขาตั้งไว้ผิดทาง เมตตาแบบนี้นี่น่ากลัว เพราะเอาแต่ใจตัวคืออัตตา #thaitimes #ความเมตตา #ข้อคิด #บทความ
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • #ความจริงก็คือความจริง
    ในขณะที่ทุยยังคงติดตามอิโจอย่างไม่หยุดยั้ง
    ชี้ไปซ้ายก็ไป ชี้ไปขวาก็ไป
    หารู้ไม่ ว่าคนที่ทุยตาม คือคนเปื่อย
    มีพยานหลายปากที่ยืนยัน
    นี่เป็นเพียงหนึ่งในนั้น เล่าว่า
    คุณคิงส์
    โจ ไม่ได้ปกติ ป่-ว-ย "แต่ไม่รู้ตัว"
    เพราะรู้จักเธอมา 40 ปีก่อน เห็นเธอมาทุกระยะ
    ความเป็นนักเขียน เธอสร้างตัวละครอย่างกามิจให้เป็นนางเอก
    ใช้ประโยค ส่านวนสวยๆ
    พอนางกามิจไม่ใช่อย่างที่เธอฝันใฝ่ เธอหลอกตัวเองว่ากามิจ ญ แสนสวยใครห้ามรังแก เธอต้องปกป้อง
    เธอคือองครักษ์ พิทักษ์ นางกามิจ
    ไม่อยากบอกว่า จริงๆเธอมีชีวิตที่ผิดหวังพอสมควร เคยคิดฆ..่าตั..ต..ย และ"ด่-าแม่" ตัวเองให้ฟังแม่ต้มเธอ
    ผิดหวังกับ โจมากในฐานะเคยรู้จักเธอมาก่อน ว่าเธอไม่น่าเป็นคนเห็นผิดเป็นถูก
    หรือเธอป่วย..!!!!
    เห็นนางมิจ คือนางเอกจากโลกจินตนาการที่เธอสร้างในเรื่องที่เธอเขียน"
    และพี่คิงส์มีอีกข้อมูลนึงนะ อิโจจะถียงไม่ได้ เพราะมีพยาน
    วันที่น้องแน๊ก เชิญหลายคนเข้าไปชี้แจง
    มีจังหวะนึงที่น้องแน๊ก จะเปิดคลิปบางอย่างให้ทุกคนดู
    มีอิโจนี่แหละคนเดียว ที่ไม่ยอมดู
    คือไม่กล้าแม้แต่จะรับรู้ความจริง
    อะไรก็ตามที่สวนทางกับสิ่งที่นางกดจิตตัวเองไว้
    ในจินตนาการ อิโจจะไม่ยอมรับรู้เด็ดขาด
    นี่แหละเป็นหนึ่งในที่มา
    ว่าทำไม ไปกันหลายคน ทุกคนออกมา
    ก็ถอยจากอิเหวิง บางคนเสียน้ำตากับเรื่องที่ชาลีต้องเจอ
    เหลืออินี่ตัวเดียว ที่ยังคงยืนหยัด
    เพียงเพื่อผลประโยชน์ และสนองต่อความต้องการของการเปื่อยจิตของตัวเอง
    ในทางจิตวิทยา คนกลุ่มนี้ ต้องโยนปมของตัวเองให้คนอื่น
    เพื่อเย-ียวยา จิตตัวเอง แต่ทุยก็ยังเชื่อ
    ตามไปได้ ฟังไปได้ คนเ-พี้-ย-น พูดได้เป็นสามสี่ชม.
    อยากแนะนำให้ทุยไป รพ เช็คจิตตัวเองด่วน
    สมงสมองไม่เหลือละพวกเงิง
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ความจริงก็คือความจริง ในขณะที่ทุยยังคงติดตามอิโจอย่างไม่หยุดยั้ง ชี้ไปซ้ายก็ไป ชี้ไปขวาก็ไป หารู้ไม่ ว่าคนที่ทุยตาม คือคนเปื่อย มีพยานหลายปากที่ยืนยัน นี่เป็นเพียงหนึ่งในนั้น เล่าว่า คุณคิงส์ โจ ไม่ได้ปกติ ป่-ว-ย "แต่ไม่รู้ตัว" เพราะรู้จักเธอมา 40 ปีก่อน เห็นเธอมาทุกระยะ ความเป็นนักเขียน เธอสร้างตัวละครอย่างกามิจให้เป็นนางเอก ใช้ประโยค ส่านวนสวยๆ พอนางกามิจไม่ใช่อย่างที่เธอฝันใฝ่ เธอหลอกตัวเองว่ากามิจ ญ แสนสวยใครห้ามรังแก เธอต้องปกป้อง เธอคือองครักษ์ พิทักษ์ นางกามิจ ไม่อยากบอกว่า จริงๆเธอมีชีวิตที่ผิดหวังพอสมควร เคยคิดฆ..่าตั..ต..ย และ"ด่-าแม่" ตัวเองให้ฟังแม่ต้มเธอ ผิดหวังกับ โจมากในฐานะเคยรู้จักเธอมาก่อน ว่าเธอไม่น่าเป็นคนเห็นผิดเป็นถูก หรือเธอป่วย..!!!! เห็นนางมิจ คือนางเอกจากโลกจินตนาการที่เธอสร้างในเรื่องที่เธอเขียน" และพี่คิงส์มีอีกข้อมูลนึงนะ อิโจจะถียงไม่ได้ เพราะมีพยาน วันที่น้องแน๊ก เชิญหลายคนเข้าไปชี้แจง มีจังหวะนึงที่น้องแน๊ก จะเปิดคลิปบางอย่างให้ทุกคนดู มีอิโจนี่แหละคนเดียว ที่ไม่ยอมดู คือไม่กล้าแม้แต่จะรับรู้ความจริง อะไรก็ตามที่สวนทางกับสิ่งที่นางกดจิตตัวเองไว้ ในจินตนาการ อิโจจะไม่ยอมรับรู้เด็ดขาด นี่แหละเป็นหนึ่งในที่มา ว่าทำไม ไปกันหลายคน ทุกคนออกมา ก็ถอยจากอิเหวิง บางคนเสียน้ำตากับเรื่องที่ชาลีต้องเจอ เหลืออินี่ตัวเดียว ที่ยังคงยืนหยัด เพียงเพื่อผลประโยชน์ และสนองต่อความต้องการของการเปื่อยจิตของตัวเอง ในทางจิตวิทยา คนกลุ่มนี้ ต้องโยนปมของตัวเองให้คนอื่น เพื่อเย-ียวยา จิตตัวเอง แต่ทุยก็ยังเชื่อ ตามไปได้ ฟังไปได้ คนเ-พี้-ย-น พูดได้เป็นสามสี่ชม. อยากแนะนำให้ทุยไป รพ เช็คจิตตัวเองด่วน สมงสมองไม่เหลือละพวกเงิง ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 486 Views 0 Reviews
  • #อุตส่าห์ลุ้น
    #นึกว่าโจตกขาวมีอะไรใหม่
    #โหวงเหวงมาก
    #เก่งไงไม่รู้ไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อพาดพิงคิงส์โพธิ์แดง
    อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดง เมื่อคืนพี่คิงส์นี่นอนไวมาก
    มีแฟนเพจทักมาเยอะ พี่คิงส์ๆๆๆๆ
    โจตกขาวจะไลฟ์ ชื่อ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว"
    ไอ่เราก็ ว้าว แล้วก็นอนต่อ
    ถามว่าทำไมเหรอ ก็มันเปื่อยจิต ตอนนี้ก็รู้กันทั้งประเทศ
    ให้พี่คิงส์ไปนั่งฟัง ก็ไม่ต่างกับบังคับพี่คิงส์
    ให้ไปนั่งคุยกับ คงไข้ในโร็งบาลฉีธังญา
    แต่แฟนเพจพี่คิงส์ฯก็อดทนและอึดกันมาก
    นั่งฟังกันยาวๆ
    เช้านี่พี่คิงส์ก็เลยทักถามแฟนเพจไป
    "เป็นไงบ้างโจตกขาวมีไรเด็ด"
    แล้วแฟนเพจก็ส่งติ๊กเกอร์แบบนี้มา
    พร้อมบอกว่า
    ไม่มีอะไรเลยพี่คิงส์พูดวนไปวนมา ดูเพ้อๆ
    อุตส่าห์ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พูดเรื่องเก่าๆวนไปวนมา
    ที่คนเค้ารุ้กันหมดแล้ว
    ฟังโจแล้วเบื่อรอฟังพี่คิงส์นี่
    มีอะไรตื่นเต้นอีกเยอะ
    เมิงไม่จำนนพี่คิงส์ก็จะจัดไปอีกยาวๆ
    แล้วที่เห่าว่าจะฟร้องงงงง
    รอนะ คนในประเทศจะได้รู้ชัดๆ
    ว่าอิโจหาแดรกกับความเชื่อ
    ไม่ต่างจากมิจดีๆนี่เอง
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #อุตส่าห์ลุ้น #นึกว่าโจตกขาวมีอะไรใหม่ #โหวงเหวงมาก #เก่งไงไม่รู้ไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อพาดพิงคิงส์โพธิ์แดง อรุณสวัสดิ์ชาวเพจคิงส์โพธิ์แดง เมื่อคืนพี่คิงส์นี่นอนไวมาก มีแฟนเพจทักมาเยอะ พี่คิงส์ๆๆๆๆ โจตกขาวจะไลฟ์ ชื่อ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" ไอ่เราก็ ว้าว แล้วก็นอนต่อ ถามว่าทำไมเหรอ ก็มันเปื่อยจิต ตอนนี้ก็รู้กันทั้งประเทศ ให้พี่คิงส์ไปนั่งฟัง ก็ไม่ต่างกับบังคับพี่คิงส์ ให้ไปนั่งคุยกับ คงไข้ในโร็งบาลฉีธังญา แต่แฟนเพจพี่คิงส์ฯก็อดทนและอึดกันมาก นั่งฟังกันยาวๆ เช้านี่พี่คิงส์ก็เลยทักถามแฟนเพจไป "เป็นไงบ้างโจตกขาวมีไรเด็ด" แล้วแฟนเพจก็ส่งติ๊กเกอร์แบบนี้มา พร้อมบอกว่า ไม่มีอะไรเลยพี่คิงส์พูดวนไปวนมา ดูเพ้อๆ อุตส่าห์ดูตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พูดเรื่องเก่าๆวนไปวนมา ที่คนเค้ารุ้กันหมดแล้ว ฟังโจแล้วเบื่อรอฟังพี่คิงส์นี่ มีอะไรตื่นเต้นอีกเยอะ เมิงไม่จำนนพี่คิงส์ก็จะจัดไปอีกยาวๆ แล้วที่เห่าว่าจะฟร้องงงงง รอนะ คนในประเทศจะได้รู้ชัดๆ ว่าอิโจหาแดรกกับความเชื่อ ไม่ต่างจากมิจดีๆนี่เอง อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง
    วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์
    ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด
    ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร
    น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู
    1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้
    2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง
    3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย
    4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน
    5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง
    6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง
    7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง
    8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ
    นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน
    จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ
    แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง
    แน๊ก ชาลี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ลองเปิดหัวใจแน๊กชาลีมาถึงวันนี้ต้องอดทนกับอะไรบ้าง วันนี้คิงส์โพธิ์แดงอยากชวนเพื่อนๆมาร่วมประสบการณ์ ย้อนดูความจริงกับน้องชายแห่งชาติกับความผิดพลาด ที่น้องต้องออกมาขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก น้องขอโทษอะไร น้องต้องเจออะไร และต้องอดทนกับอะไร มาลองไล่กันดู 1. #อดทนกับการรับรู้ว่านั่นคือการแสดง การที่แน๊กต้องเจอกับการแสดงและสตอรี่ที่กามินสร้างขึ้น นั่งดูนั่งสงสารมาเป็นเดือน กว่าจะตัดสินใจว่าเอาหละ อยากช่วยผู้หญิงคนนี้จัง ช่างน่าสงสารจริงๆ การแสดงที่เต็มไปด้วยความแบ๊ว แม๊จะอายุปาไปสามสิบกว่าปี แต่สร้างภาพลักษณ์ได้ไม่ต่างกับวัยทีน เมื่อรู้ความจริง นี่คือความอดทนที่พูดไม่ได้ 2. #อดทนกับอิลำยองติดแอล บ้านแน๊ก เห็นน้องดูทะเล้น ดูขี้เล่น แต่จะเห็นภาพชัดเจนว่า ที่บ้านเน็ก เป็นบ้านที่มีการเลี้ยงดูน้องมาอย่างดี ความสะอาด และการไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุก และหลายคนรู้ว่าแน๊ก แพ้กลิ่นแอลอย่างมาก ถึงขนาดไอไม่หยุด แต่อิเหวิงกามิจ มันไม่แคร์ จนแน๊กต้องจำทน เอาแอลเข้าบ้าน ทั้งๆที่บ้านหลังนี้ เคยมีแอลเข้ามา นี่คือความอดทนของแน๊กข้อที่สอง 3. #อดทนกับการแสดง ด้วยความที่แน๊กเชื่อว่า ความรักความจริงใจที่มอบให้อิเหวิง จะสามารถเปลี่ยนให้นางเป็นคนใหม่ได้ โดยไม่รู้ว่า การมาของอิเหวิง หน้าจอมือถือ คือการแสดงที่อิเหวิงเรียกว่า มาทำงาน แต่แน๊กคิดว่านี่คือสิ่งที่จะช่วยให้กามิจมีทุนเรียนต่อ พูดง่ายๆ ยังอินกับภาพเดิม จนทุกอย่างถูกเปิดเผย 4. #อดทนกับความรู้สึกผิดกับครอบครัว ความเสียใจที่เกินกว่าที่ใครจะนึกถึงคือ การที่กามิจ เล่นกับหัวใจของแฟนคลับยังไม่พอ ยังแสดงจนแม่ชาลี ต้องอดทนกับพฤติกรรม เพียงเพื่อ รักคนที่ลูกชายรัก แฟนเพจคิดว่าการที่ต้องรู้ว่า ตัวเองพาอิห่านจิกสก็อยที่ไหนเข้าบ้าน ทำให้แม่ต้องอดทน มันเจ็บขนาดไหน 5. #อดทนกับความซกม๊กสก็อยฉกปก ที่บ้านแน๊ก สังเกตุได้ มีความเป็นระเบียบ ความสะอาด จากภาพที่เห็นการแสดง ใครจะคิด ว่าอิเหวิง เป็นคนซกม๊กตามแบบฉบับสก็อยกิมจิ มันคนละภาพ ถ้าเป็นคิงส์โพธิ์แดง เจอไม่ตรงปกแบบนี้ ยันโครมกลับกิมจิไปนานแล้ว แล้วคนรักสะอาดอยา่งแน๊ก ต้องทนกับการไม่อาบน้ำเป็นสัปดาห์สองสัปดาห์ จะอาบน้ำต้องบังคับ ต้องเข็น กลิ่นตัวที่โชย กลิ่นแอลที่ยังคลุ้ง ตื่นมาไม่แปลงฟัน กินส้มตำได้เลย อะไรแบบนี้ นี่คือความอดทนที่แน๊กต้องพยายามเปลี่ยนนางให้เป็นคนที่แฟนคลับคาดหวัง จนในที่สุดแม้กระทั่งในไลฟ์ แน็กบอกแล้วอย่าแดรกแอล แต่อิเหวิงไม่ฟัง จนเห็นภาพเมาปลิ้นกลางไลฟ์ ชาลีก็ทำหน้าเซ็ง แต่ก็ต้องอดทน กลบเกลื่อนความผิดหวัง 6. #ต้องทนกับการถูกหักหลัง จากคนอย่างโจ จิตเปื่อย ที่เกาะกระแสแน๊กเป็นปลิง ที่ไปสร้างข้อมูลผิดๆ เพียงเพราะแน๊ก ขวางการทำมาหาแดรกของนาง สร้างกลุ่มเพื่อให้ร้าย เลยเถิดไปถึงการทำให้เ-ก-ลี-ย-ด-ชั-ง ไม่ใช่แค่แน๊ก แต่ลามไปถึงหลานตัวน้อยของแน๊ก มาตร้าย พวกทุยสมุน โจ ตกขาว เล่นกันแรงมาก แต่ชาลีอดทน ไม่อยากเอาเรื่อง จนได้ใจ ทำเป็นกิจกรรมการให้ร้ายเป็นล่ำเป็นสัน จนเป็นเหมือนกอง กำลัง ของอิโจ ไว้เล่นงานแน๊ก อันนี้สุดจริง 7. #ต้องอดทนที่คนใกล้ตัวที่จิตอ่อน หลงตามอิโจไป ถึงขนาดต้องเชิญมาที่บ้าน เพื่ออธิบายความจริง แต่ก่อนหน้านั้น จะเจ็บเบอร์ไหน เดาไม่ถูกเลย ที่ให้เกียรติเชิญมาฟัง และให้ซักถามทุกข้อ ปรากฏทุกคนเข้าใจหมด ยกเว้นอิโจ ที่ไม่จบ ก็วนกลับไปให้ร้ายน้องตามห้องตามกลุ่มแบบที่เคยๆ ไปสร้างความเข้าใจผิด จนสาวกเข้าใจแบบฝังหัวว่า น้องแน๊กเปื่อย ทั้งๆที่อิโจนี่แหละ เปื่อยของจริง 8. #ต้องอดทนกับการตัดสินใจที่จะตัดอิเหวิงออกจากชีวิต ไม่ใช่เพราะไม่รัก แต่เพราะทนไม่ได้ที่โจ และอิเหวิง ได้สร้างอิทธิพลทางออนไลน์ ดึงคนไทยจิตอ่อน ไปเปย์กันแบบหมดเนื้อหมดตัว เมื่อห้ามไม่ได้ ต้องจำใจ แยกดีกว่า แต่คำว่าแยก มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด กว่าที่ชาลีจะมูฟออนได้ ก็เพิ่งเมื่อวาน ที่ลั่นออกมาว่า "ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว" นั่นแหละ นี่คือสิ่งที่พี่คิงส์ ประเมิน หัวใจของแน๊กที่ต้องอดทน จนคิดว่า แน๊ก เอ็งพระเอกไปป่าวฟร๊ะ แต่ก็คงเป็นเพราะแบบนี้ คนไทยถึงรักเอ็ง แน๊ก ชาลี #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 469 Views 0 Reviews
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • #เห็นจะเป็นเพราะรัก
    #มนันยา
    #เรื่องสั้น
    #ของขวัญ
    #ของขวัญวันคริสต์มาส
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน

    วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย

    ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ

    เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน

    วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก

    หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน

    ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป

    เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี

    เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร

    ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า

    มันกัดไหมค่ะ

    มันบินได้หรือเปล่าฮะ

    ขอผมดูหน่อย

    ขอหนูจับหน่อยนะคะ

    นุ่มไหมฮะ

    ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

    " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.."

    ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ

    เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน

    ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง

    เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ

    ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่

    เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง

    เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า

    มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    #เห็นจะเป็นเพราะรัก #มนันยา #เรื่องสั้น #ของขวัญ #ของขวัญวันคริสต์มาส #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า มันกัดไหมค่ะ มันบินได้หรือเปล่าฮะ ขอผมดูหน่อย ขอหนูจับหน่อยนะคะ นุ่มไหมฮะ ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.." ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่ เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • เท่าเทียม

    ชอบคำนี้ในภาษาไทยนะ เพราะสื่อความหมายอยู่ในที ที่หลายคนอาจลืมหรือมองข้ามไป

    แท้จริงในโลกนี้ล้วนไม่มีอะไรที่เท่ากัน ดังนั้นศัพท์คำว่า เท่าเทียม จึงเป็นคำไทยที่ซื่อตรงและเรียบง่ายอย่างที่สุด ที่บอกความหมายโดยนัยแล้วว่า

    ความเท่าไม่มีอยู่จริง ที่ว่าเท่ากันนั้น มันเทียมหรือเข้าใจไปเองทั้งนั้น

    ต่อให้จะพยายาม สร้างกฎเกณฑ์ใดๆขึ้น ก็ไม่อาจลบความจริงข้อนี้ให้สูญหายไปได้

    ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฎเดียวที่จริงแท้แน่นอน ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใด นั้นคือกฎแห่งกรรม

    กรรม อันคือการกระทำของเจ้าของชีวิตนั้นแล สร้างเหตุใดไว้ ไม่ว่าจำได้หรือจำไม่ได้ ก็การกระทำนั้นแหละ ที่จะถูกประมวลผล แล้วปรากฏออกมาในไม่ช้า ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปอีกกี่นานเนิ่น
    เท่าเทียม ชอบคำนี้ในภาษาไทยนะ เพราะสื่อความหมายอยู่ในที ที่หลายคนอาจลืมหรือมองข้ามไป แท้จริงในโลกนี้ล้วนไม่มีอะไรที่เท่ากัน ดังนั้นศัพท์คำว่า เท่าเทียม จึงเป็นคำไทยที่ซื่อตรงและเรียบง่ายอย่างที่สุด ที่บอกความหมายโดยนัยแล้วว่า ความเท่าไม่มีอยู่จริง ที่ว่าเท่ากันนั้น มันเทียมหรือเข้าใจไปเองทั้งนั้น ต่อให้จะพยายาม สร้างกฎเกณฑ์ใดๆขึ้น ก็ไม่อาจลบความจริงข้อนี้ให้สูญหายไปได้ ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฎเดียวที่จริงแท้แน่นอน ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดใด นั้นคือกฎแห่งกรรม กรรม อันคือการกระทำของเจ้าของชีวิตนั้นแล สร้างเหตุใดไว้ ไม่ว่าจำได้หรือจำไม่ได้ ก็การกระทำนั้นแหละ ที่จะถูกประมวลผล แล้วปรากฏออกมาในไม่ช้า ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปอีกกี่นานเนิ่น
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ

    #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย

    สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564
    เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ
    แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว
    หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ

    เรื่องย่อ

    ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1

    โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่

    จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก

    แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่

    เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม

    ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร

    นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ

    เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก

    ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้

    ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง

    ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน

    หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร

    ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา

    หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

    บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #จิตวิทยา
    #โตขึ้นจะเป็นอะไร
    #ร้านหนังสือ
    #รักการอ่าน
    #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง
    #หนังสือดีที่ควรอ่าน
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน
    #การพัฒนาตนเอง
    ก่อนหน้านี้หากมีใครถามให้ช่วยแนะนำหนังสือสักเล่มที่เป็นแนวจิตวิทยา หรือแนะนำเรื่องเกี่ยวกับการเสริมสร้างพลังใจ ให้มีไฟในการดำเนินชีวิตที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ หรือหนังสือที่เหมาะมากกับวัยต่อต้านที่กำลังไม่รู้จะเลือกเดินไปในเส้นทางชีวิตแบบใดให้กับตน ผมยังนึกไม่ออกว่าเล่มใดที่จะเหมาะมากที่สุด ทว่าเมื่อได้อ่านเล่มนี้จบลงแล้ว ก็เป็นที่แน่ชัดกับตนเองทันทีว่า ฉันพบเจอหนังสือที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมตรงตามโจทย์แล้วนั่นคือ #หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย สนพ.piccolo พิมพ์ปลายปี 2564 เขียนโดย ยาสึชิ คิตากาวะ แปลโดย หนึ่งฤทัย ปราดเปรียว หนังสือเล่มไม่หนา ขนาดกำลังดีเบามือถือไปไหนง่าย หนาประมาณ 160 หน้า อ่านไม่กี่ชม.ก็จบ เรื่องย่อ ชายหนุ่มวัยกลางคนนามว่าโยสุเกะ กำลังมีผลงานภาพวาดจัดแสดงอยู่ในห้องแสดงภาพ หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่งยืนชมภาพวาดรูปนั้นอยู่นานด้วยอารมณ์ความรู้สึกเปี่ยมล้น เด็กหญิงตัวน้อยวัย 5 ขวบซึ่งเป็นลูกสาวของโยสุเกะ ได้ทำหน้าที่แนะนำภาพวาดของพ่อและชวนเธอสนทนาอย่างน่ารัก จนทราบว่าเธอชื่อฟุจิโกะ เมื่อลูกสาวได้เล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพ่อฟัง เขาถึงกับงุนงงชั่วขณะ ด้วยไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน 20 ปีแล้ว บัดดลภาพความทรงจำในอดีตสมัยที่เขายังอายุแค่ 17 ปี ก็หลั่งไหลเข้ามา นั่นคือบทนำก่อนเข้าเรื่องที่เป็นการเล่าย้อนของตัวละครเอกในเรื่องที่เล่าผ่านมุมมองบุคคลที่1 โยสุเกะในวัย 17 ปีนั้น อยู่ในช่วงที่กำลังต้องตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ แต่เขากลับยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเดินหน้าชีวิตต่อไปในเส้นทางไหน ผู้ใหญ่ชอบถามเด็ก ๆ ว่าโตขึ้นไปอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพอะไร เขารู้สึกลึกลงไปว่าต้องรีบตัดสินใจจริงละหรือ ทำไมจึงไม่สามารถอยู่ไปเรื่อย ๆ โดยถ้ายังไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากเสียเวลาเปล่าไปกับการต้องเลือกเรียนที่ไหน เพื่อจะกลายไปเป็นอะไรที่ตนไม่แน่ใจว่าใช่สิ่งที่ชอบหรืออยากทำจริงหรือไม่ จึงคล้ายกับเขาปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างหมดเปลืองเปล่าดาย ได้แต่นั่งเฝ้าร้านหนังสือเก่าของพ่อ ที่ตนเองก็ไม่มีนิสัยรักการอ่าน และไม่ค่อยแตะหนังสือมาแต่เล็ก แต่แล้ววันหนึ่งซึ่งปรากฏเด็กสาววัยเดียวกับโยสุเกะ ที่สวยเก๋ในความรู้สึกแรกพบสำหรับเขา ณ ร้านหนังสือของพ่อนั้น มันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาครั้งใหญ่ไปตลอดกาล เธอคนนั้นรู้จักและเรียกชื่อของโยสุเกะอย่างถูกต้อง โดยที่เขานึกไม่ออกว่าเคยพบเจอสาวสวยน่ารักคนนี้ที่ไหนมาก่อนหรือไม่ เธอบอกกับเขาว่ามาหาซื้อหนังสือที่ไม่มีขายที่ร้านอื่น จนพบเจอเล่มที่ต้องการ และยังวานให้เขาช่วยหาหนังสือเล่มหนึ่ง อีกสัปดาห์จะมาใหม่แล้วก็จากไป โยสุเกะหงุดหงิดตัวเองที่ไม่ทันได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ เขาเล่าให้พ่อฟัง เมื่อพ่อทราบชื่อหนังสือจึงพูดขึ้นว่า ไม่เป็นไรนี่เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่ง พ่อจะสั่งมาขายและเผื่อไว้สักหลายเล่ม ด้วยความที่โยสุเกะอยากจะคุยและทำคววามรู้จักกับเธอคนนั้น แต่เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ได้แค่คิดวุ่นวายภายในหัว แต่ตัวตนจริงนั้นไร้ซึ่งความกล้า สิ่งที่เขาคิดออกมีเพียงอย่างเดียวคือ ต้องอ่านหนังสือเล่มที่เธอถามหา เพื่ออยากเข้าใจว่าเธอเป็นคนเช่นไร นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวข้ามความไม่ชอบอ่านหนังสือมาได้ และน่าแปลกที่อ่านไปได้สักพัก เขากลับพบว่านี่เป็นหนังสือที่ดีจริง ๆ ต่อมาเขาสามารถอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวจนจบได้ ไม่ใช่แค่เกิดจากความรู้สึกแรก แต่เพราะเนื้อหาในนั้นได้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นแก่โยสุเกะอย่างไม่น่าเชื่อ เขารอวันที่จะได้พบเธอด้วยใจจดจ่อ เพื่อจะเล่าให้ทราบว่าเขาได้อ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้ว จนเกือบหมดหวังว่าเธอจะกลับมา ในวันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์ตามที่เธอเคยระบุ เด็กสาวก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในชุดผ้าสีขาวทั้งตัว เปล่งประกายจนโยสุเกะรับรู้ได้ เขาดีใจมาก จากที่ไม่กล้าจะเอ่ยปากก่อน สุดท้ายสามารถพูดกับเธอ หญิงสาวดีใจที่เขามีหนังสือที่ร้าน แต่เธอไม่ทันได้พกเงินมา จึงบอกวันหลังจะแวะมาใหม่ แต่มันช้าเกินไปสำหรับเขา โยสุเกะจึงเอ่ยปากให้เธอนำหนังสือกลับไปอ่านก่อน เพราะเขาอยากให้เธอได้อ่าน เขาจะออกให้เอง เธอยิ้มอย่างงดงามในน้ำใจของเขา ยินดีรับหนังสือไปแต่บอกว่าจะนำเงินมาคืนให้ภายหลัง จากนั้นก็ขบคิดด้วยความเอียงอายชั่วครู่ ก่อนจะให้ที่อยู่เบอร์โทรติดต่อไว้แล้วบอกว่าเราน่าจะนัดเจอกันอีก ความสดใสของวัยหนุ่มสาวจึงถึงคราวที่ได้โบยบินยังท้องฟ้ากว้าง ทั้งสองใช้เวลากว่าสองเกือบสามสัปดาห์ที่ออกมาพบเจอกันตามที่นัดพบต่าง ๆ เพื่อพูดคุยกันอย่างออกรสเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือ และเรื่องที่พ่อของเธอสอนไว้ ซึ่งโยสุเกะพบว่าเป็นคำสอนอันทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างมากกับตัวเขา จนกระทั่งเกิดแรงบันดาลใจที่จะลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายในให้ต่างไปจากเดิม เหมือนเขาได้ค้นพบขุมทรัพย์มหาศาลที่ประเมินค่าไม่ได้ ในแต่ละวันโยสุเกะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ตนไม่เคยคิดมาก่อน จากคำสอนของพ่อที่ถูกเล่าผ่านตัวเธอและมอบเครื่องบินพับจากกระดาษหลากสีให้ไว้กับโยสุเกะทุกครั้ง แต่เขาไม่เคยถามและไม่รู้จักชื่อของเธอเลย ดูเหมือนเด็กสาวมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถเล่าให้เขาฟัง เขารู้เพียงอีกไม่นานเธออาจจะต้องไปอยู่กับพ่อ แม้ปัจจุบันเธออยู่กับแม่คนเดียวก็ตาม ความสัมพันธ์ของครอบครัวอันคลุมเครือที่เธอไม่ได้พูดถึง กลับปริศนาอีกหลายข้อที่ค้างคาใจเขาซึ่งยังไม่กล้าเอ่ยปากถาม ความจริงจะปรากฏในช่วงท้ายเล่ม ที่คงต้องให้เพื่อน ๆ ไปตามหาอ่านกันต่อ แม้นอยากเล่ามากเพียงใดต้องยั้งใจไว้ รอให้คนอ่านได้พบด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นความแปลกใหม่และความสนุกสนานอาจลดลง ผมเคยอ่านโลกของโซฟีเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้วชื่นชอบมาก แม้หนังสือจะหนากับเนื้อหาแนวสอนเชิงจิตวิทยา ที่มีความแปลกใหม่ในการใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจผ่านรูปแบบนิยายมาแล้ว สำหรับเล่มนี้ทำให้อดนึกถึงโลกของโซฟีไม่ได้ แม้นจะมีความคล้ายบางประการในการนำเสนอ แต่หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งไม่มีวางขาย ก็มีอัตลักษณ์ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะตนที่น่าสนใจ กับความหนาเพียงไม่ถึง 200 หน้า ทำให้การอ่านจนจบไม่ใช่เรื่องลำบากจนเกินไปสำหรับคนที่อาจจะไม่ใช่สายรักการอ่านมาก่อน หนังสือเล่มนี้ดีงามอย่างละเมียดละไม ละมุนละม่อม อ่อนโยนงดงามตลอดเล่ม ไปเรื่อย ๆ ชวนติดตามไปกับการเอาใจช่วยในความสัมพันธ์ของตัวเอกทั้งสอง ว่าเขากับเธอจะมีบทสรุปอย่างไร ผู้เขียนมีความชาญฉลาดในการวางโครงเรื่อง และแก่นที่แน่นหนาน่าสนใจช่วนให้ใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์ กับสิ่งที่ต้องพบเจอทุกผู้คนไม่ว่าชายหรือหญิง ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย ในช่วงหัวเลี้ยวสำคัญอันคือทางเลือกที่ชีวิตสามารถหักเหไปได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับความหมายในความฝันที่เขายังค้นไม่พบ กับการตัดสินใจทั้งจากตนเองและคนรอบข้างโดยเฉพาะคนที่มีความหมายมากในชีวิตของเขา หนังสือเล่มนี้เป็นได้ทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ แม้แต่เป็นเพื่อน หรือพี่ที่อบอุ่น ให้พลังใจไฟฝัน กับวันวานอันเยาว์วัย แม้นใครหลายคนอาจอยู่ในช่วงวัยที่ล่วงเลยจุดนั้นมานานแล้ว แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่แค่เพียงวัยรุ่นที่ควรได้อ่าน หากแต่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้ที่กำลังจะมีลูก หรือมีแล้ว หรือแม้ยังไม่มีครอบครัวก็ไม่ควรพลาด เพราะนี่เปรียบได้กับคัมภีร์ชีวิต ที่บอกเล่าได้อย่างมีอรรถรสครบทั้งด้านให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่าน ทั้งยังมอบคุณค่าสาระอันชวนให้ได้ทบทวนถึงช่วงวันที่แล้วมาในอดีต และวันในปัจจุบัน รวมถึงวันในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง บนความงดงามที่ร้อยเรียงด้วยภาษาเรียบง่าย คล้ายกับจะเป็นหนังสือฮาวทูแต่แปลงกายมาในรูปแบบของนิยายวัยใส แทรกสอนแนวคิดที่เป็นทั้งปรัชญา จิตวิทยา และหลักการทางธรรมะในศาสนาพุทธ ได้อย่างสอดประสานกลมกลืนกับเนื้อหาเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวละคร ที่มีปริศนาชวนให้กระหายใคร่รู้ โดยใช้ฉากและตัวละครน้อยมาก ความดีเด่นในด้านนี้เองที่ทำให้คนอ่านสามารถเข้าใจ เข้าถึง สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และตรงไปตรงมาที่สุด อาจมีจุดจี๊ดในใจบ้างตอนช่วงท้ายของบทสรุป ขึ้นกับว่าผู้อ่านคนนั้นรับสารที่มีการเผยปริศนาของตัวละครไว้ในรายทางเป็นระยะได้มากน้อยแค่ไหน ในย่อหน้าสุดท้ายนี้ ใครที่ยังไม่ได้อ่านมาก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านต่อก็ได้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดไปต่าง ๆ เกี่ยวกับตอนจบของเรื่อง อันจะทำให้สูญเสียความรู้สึกแรกที่พบ ณ ชั่วเวลานั้นไปอย่างน่าเสียดาย . . . . . . . . เพราะถ้ามองเห็นเร็ว ก็พอจะคาดเดาทิศทางของบทบาทตัวละครหลักในตอนท้ายได้ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นไร และจะไม่กระทบกระแทกกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก แต่ถ้าอ่านไป ๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตคำใบ้ที่ถูกเปิดขึ้นทีละน้อย ก็อาจได้พบกับความรู้สึกที่สะกิดสะเกาให้หัวใจได้สะท้อนสะท้าน และอาจถึงขั้นสั่นสะเทือนอย่างที่อดตาแฉะไม่ได้ #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #จิตวิทยา #โตขึ้นจะเป็นอะไร #ร้านหนังสือ #รักการอ่าน #พรุ่งนี้ที่มาไม่ถึง #หนังสือดีที่ควรอ่าน #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน #การพัฒนาตนเอง
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • 16-09-67/01 : หมี CNN / หมี CNN / "ตีแสกหน้า" EP.8

    01. ผวาสัส! ไฮเปอร์โซนิคเยเมน ผ่านฉลุย ล่อเป้าใกล้สนามบินเทลอาวีฟ!
    02. อดีต CIA แฉ อเมริกาตอแหล ปชต.พ่อง? ปลุกอเมริกันฆ่ากันเอง ยิวเผ่น
    03. ชักคะเย่อ มรึงร่วง กูล่อ มรึงถอย กูแหย่ รัสเซียปั่นหัวยูเครน ติดกับดักต่อ ดูดเงินอาวุธ กำลังพล NATO ตายห่าเรียบวุธ เอาจนกว่ายุโรปจะยวบเอง
    04. เฮซบอเลาะห์แรง! ถล่มคลังแสงโกลานเละ รัว 6 ฐานทัพ IOF ดับสนิท
    05. อีสวิงกิ้งขายกริฟเพ่นให้ยูเครน มันจะเอาที่ไหนจ่าย รัสเซียเตรียมสอย! เสี้ยนจัดขนาดนี้ อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง อีลอนดอน เตรียมย้ายบ้านได้เลย เอาจริง
    06. ยอดขายไม่ตอแหล EV ร่วงเหรอ? ยอดทะลุเป้า รถอียุ่นปี่ ร่วงทุกยี่ห้อ?
    07. อีเบียร์วอนส้นตรีนพญามังกร แค่ 3 ฮอ ยังไม่ผ่าน ดีออก อย่าริเสนอหน้า
    08. เสธ.แดง ลาออก ดีลลับซับซ้อน อีเหลี่ยมเยี่ยวแตก หุบปาก เก็บตัว จ้อง
    09. พิษณุโลกสั่งสอนอีส้มเน่าล้มเจ้า หางโผล่ กระแสตีกลับ อีแดงจ่ายเต็ม
    10. จีนสอนมวย ไต้หวัน แค่เหยื่อล่อเหี้ยมะกันมาตายฟรี เป้าหมายวอชิงตัน
    11. อวสาน TV ดิจิตอล กสทช.จะมีไปทำพ่อง? แดร๊กมาเยอะแล้ว เหี้ยจัญไร
    12. WWIII จะมาก่อน หรือเหี้ยจะตายห่าก่อน? หมดตูดทั้งทวีปแล้ว ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเส้นทางการค้า ฆ่าด้วยโลจิสติค ฆ่าด้วยความเที่ยงธรรม
    13. ไอ้สัส! AMAZING THAILAND "หมูเด้ง" ดังไปทั่วจักรวาล ใครไม่รู้ เชย
    14. พลิกล็อค! กระแสอีส้มเน่าล้มเจ้า แพ้ยับทุกจังหวัด เรตติ้งต่ำตม ตบหน้า 14 ล้าน เสียงควายบัดซบ ยิ่งยุบ ยิ่งเจ๊ง ขายไม่ออก แผน CIA แห้วแดร๊ก
    15. เหี้ย CIA จ๋า มรึงพยายามมากปุยมุย? เสี้ยมอีขะแมร์-ไทย เช้าเย็น ควายยังรู้ ไอ้ที่โพสโซเชี่ยลอ่ะ คนไทย-อีขะแมร์ สาย C ทั้งนั้น ชงเอง ตบเอง ฮา
    16. SU-57 ออกโรงที่ยูเครนแล้ว ยับสิจ๊ะ ตั้งใจโชว์ให้ไอ้อี NATO ดูเต็มตา!
    17. ละครไทยเจ๊งยับ! ดูถูกคนดู หรือนายทุนสั่ง เน่ามาเป็นชาติ เหลือใครดู?
    18. ซอยกู พบ JOHN KIM ไม่ธรรมดา? บอกเลยชุดใหญ่จัดเต็ม ยูเครนเละ
    19. เหี้ย เผยธาตุแท้ เลิกสื่อเสรี การค้าเสรี เพราะสู้เค้าไม่ได้ เก่งแต่กฎหมา
    20. ไทยบาทแข็งโป๊ก แหงสิ! ตุนทองคำไว้เต็มท้องพระคลัง ของจริง จะแข็งกว่านี้อีกเยอะ หากไม่เอาอีเศษกระดาษปลอมมาเทียบ ปลดพันธนาการ

    หมายเหตุ : เกมส์สงคราม ขั้วใหม่ยึดหัวหาด แดร๊กเรียบวุธ ไม่ต้องสงสัย เกมส์การเมือง ขั้วใหม่ชนะใสใส หัวใจปูติน BRICS ขย่มโลกซะอยู่หมัด เกมส์การค้า จีนขยายตลาดไปทั่วโลก เดินสายโลจิสติคครอบจักรวาล เส้นทางสายไหมมาเต็มตรีน พ่วงตะวันออกกลาง แอฟริกา ภาพชัดสัส! เกมส์การเงิน เข้าเป้า ทั้งโลกแห่เทดอลล่าร์หมดเกลี้ยง อุ้มทองคำ หยวน รูเบิล แทน เกมส์สื่อ ชาวโลกเลิกดู TV ลงโซเชี่ยลกันหมด ความจริงปรากฎชัด เพราะทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวได้หมด ไม่ต้องมีช่อง ไม่ต้องมีสังกัด ข้อดี และข้อเสีย ของโซเชี่ยลมีเดีย แฉยับ เหี้ยจนตรอก! (หมายเหตุ 2 : ภาพกุลสตรีไทยยุคใหม่ สวยใสฮาแตก เอามาฝาก มือใหม่ หัดเป็นกลุสตรีไทย มันยากน่ะเนี่ย นอกจากต้องเอาผัวให้มันส์แล้ว ยังต้องลีลาเด็ดในครัวต่อ)

    หมี CNN(จับตากรณีเสธ.แดงลาออก อีเหลี่ยมหุบปาก คือเรื่องเดียวกัน เบื้องหลัง กำลังจะมีพายุเฮอริเคนหลังบ้านเหี้ยส่องหมา ใบเสร็จพร้อม รอศาลไคฟงฟันเท่านั้นเอง เลือกตั้งปาหี่ แค่เอาคืนการเมือง อีแดงต้องล้างบางอีส้ม แล้วค่อยถูกอีเขียวเขมือบทั้งคอกอีกที ทุกอย่างอยู่ในเกมส์ทหาร)
    16 กันยายน 67
    10.54 น.

    ------------------------------------------------------------------------— https://linevoom.line.me/post/1172645897261542391
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ :

    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u



    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    16-09-67/01 : หมี CNN / หมี CNN / "ตีแสกหน้า" EP.8 01. ผวาสัส! ไฮเปอร์โซนิคเยเมน ผ่านฉลุย ล่อเป้าใกล้สนามบินเทลอาวีฟ! 02. อดีต CIA แฉ อเมริกาตอแหล ปชต.พ่อง? ปลุกอเมริกันฆ่ากันเอง ยิวเผ่น 03. ชักคะเย่อ มรึงร่วง กูล่อ มรึงถอย กูแหย่ รัสเซียปั่นหัวยูเครน ติดกับดักต่อ ดูดเงินอาวุธ กำลังพล NATO ตายห่าเรียบวุธ เอาจนกว่ายุโรปจะยวบเอง 04. เฮซบอเลาะห์แรง! ถล่มคลังแสงโกลานเละ รัว 6 ฐานทัพ IOF ดับสนิท 05. อีสวิงกิ้งขายกริฟเพ่นให้ยูเครน มันจะเอาที่ไหนจ่าย รัสเซียเตรียมสอย! เสี้ยนจัดขนาดนี้ อีฟินน์ อีสวิงกิ้ง อีลอนดอน เตรียมย้ายบ้านได้เลย เอาจริง 06. ยอดขายไม่ตอแหล EV ร่วงเหรอ? ยอดทะลุเป้า รถอียุ่นปี่ ร่วงทุกยี่ห้อ? 07. อีเบียร์วอนส้นตรีนพญามังกร แค่ 3 ฮอ ยังไม่ผ่าน ดีออก อย่าริเสนอหน้า 08. เสธ.แดง ลาออก ดีลลับซับซ้อน อีเหลี่ยมเยี่ยวแตก หุบปาก เก็บตัว จ้อง 09. พิษณุโลกสั่งสอนอีส้มเน่าล้มเจ้า หางโผล่ กระแสตีกลับ อีแดงจ่ายเต็ม 10. จีนสอนมวย ไต้หวัน แค่เหยื่อล่อเหี้ยมะกันมาตายฟรี เป้าหมายวอชิงตัน 11. อวสาน TV ดิจิตอล กสทช.จะมีไปทำพ่อง? แดร๊กมาเยอะแล้ว เหี้ยจัญไร 12. WWIII จะมาก่อน หรือเหี้ยจะตายห่าก่อน? หมดตูดทั้งทวีปแล้ว ฆ่าด้วยปากท้อง ฆ่าด้วยเส้นทางการค้า ฆ่าด้วยโลจิสติค ฆ่าด้วยความเที่ยงธรรม 13. ไอ้สัส! AMAZING THAILAND "หมูเด้ง" ดังไปทั่วจักรวาล ใครไม่รู้ เชย 14. พลิกล็อค! กระแสอีส้มเน่าล้มเจ้า แพ้ยับทุกจังหวัด เรตติ้งต่ำตม ตบหน้า 14 ล้าน เสียงควายบัดซบ ยิ่งยุบ ยิ่งเจ๊ง ขายไม่ออก แผน CIA แห้วแดร๊ก 15. เหี้ย CIA จ๋า มรึงพยายามมากปุยมุย? เสี้ยมอีขะแมร์-ไทย เช้าเย็น ควายยังรู้ ไอ้ที่โพสโซเชี่ยลอ่ะ คนไทย-อีขะแมร์ สาย C ทั้งนั้น ชงเอง ตบเอง ฮา 16. SU-57 ออกโรงที่ยูเครนแล้ว ยับสิจ๊ะ ตั้งใจโชว์ให้ไอ้อี NATO ดูเต็มตา! 17. ละครไทยเจ๊งยับ! ดูถูกคนดู หรือนายทุนสั่ง เน่ามาเป็นชาติ เหลือใครดู? 18. ซอยกู พบ JOHN KIM ไม่ธรรมดา? บอกเลยชุดใหญ่จัดเต็ม ยูเครนเละ 19. เหี้ย เผยธาตุแท้ เลิกสื่อเสรี การค้าเสรี เพราะสู้เค้าไม่ได้ เก่งแต่กฎหมา 20. ไทยบาทแข็งโป๊ก แหงสิ! ตุนทองคำไว้เต็มท้องพระคลัง ของจริง จะแข็งกว่านี้อีกเยอะ หากไม่เอาอีเศษกระดาษปลอมมาเทียบ ปลดพันธนาการ หมายเหตุ : เกมส์สงคราม ขั้วใหม่ยึดหัวหาด แดร๊กเรียบวุธ ไม่ต้องสงสัย เกมส์การเมือง ขั้วใหม่ชนะใสใส หัวใจปูติน BRICS ขย่มโลกซะอยู่หมัด เกมส์การค้า จีนขยายตลาดไปทั่วโลก เดินสายโลจิสติคครอบจักรวาล เส้นทางสายไหมมาเต็มตรีน พ่วงตะวันออกกลาง แอฟริกา ภาพชัดสัส! เกมส์การเงิน เข้าเป้า ทั้งโลกแห่เทดอลล่าร์หมดเกลี้ยง อุ้มทองคำ หยวน รูเบิล แทน เกมส์สื่อ ชาวโลกเลิกดู TV ลงโซเชี่ยลกันหมด ความจริงปรากฎชัด เพราะทุกคนสามารถเป็นผู้สื่อข่าวได้หมด ไม่ต้องมีช่อง ไม่ต้องมีสังกัด ข้อดี และข้อเสีย ของโซเชี่ยลมีเดีย แฉยับ เหี้ยจนตรอก! (หมายเหตุ 2 : ภาพกุลสตรีไทยยุคใหม่ สวยใสฮาแตก เอามาฝาก มือใหม่ หัดเป็นกลุสตรีไทย มันยากน่ะเนี่ย นอกจากต้องเอาผัวให้มันส์แล้ว ยังต้องลีลาเด็ดในครัวต่อ) หมี CNN(จับตากรณีเสธ.แดงลาออก อีเหลี่ยมหุบปาก คือเรื่องเดียวกัน เบื้องหลัง กำลังจะมีพายุเฮอริเคนหลังบ้านเหี้ยส่องหมา ใบเสร็จพร้อม รอศาลไคฟงฟันเท่านั้นเอง เลือกตั้งปาหี่ แค่เอาคืนการเมือง อีแดงต้องล้างบางอีส้ม แล้วค่อยถูกอีเขียวเขมือบทั้งคอกอีกที ทุกอย่างอยู่ในเกมส์ทหาร) 16 กันยายน 67 10.54 น. ------------------------------------------------------------------------— https://linevoom.line.me/post/1172645897261542391 เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!** https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • โพสนี้
    #อยากให้ทุกคนรู้ว่าแน๊กชาลีต้องเจอกับอะไร
    #อยากให้รู้ว่าสิ่งที่อิโจตกขาวซากดจิตทุยในกลุ่มส่งผลอย่างไร
    นี่คือสาเหตุที่พี่คิงส์ ต้องใช้เวลากับการขุดให้ลึกถึงก้นเหว
    กับคนชื่อ โจ หรืออิโจตกขาว ซึ่งพี่คิงส์เชื่อว่า คนที่ติดตามหลายๆคน
    ที่ไม่ได้อยู่วงใน หรือเป็นพวกติ่ง DC ไม่มีทางรู้เลย
    โจ ใช้เวลาเยอะมากในแต่ละวัน นั่งวางแผน จะใส่ความน้องยังไง
    จะแก้เกมส์ยังไง ให้คนเข้าข้างอิเหวิง คือ มันจิตป่วยจริงๆนะ
    แล้วบรรยายให้ทุยฟังทีนึงสามสี่ชั่วโมง
    คนที่ฟังนานๆเข้า ก็เชื่อเหมือนลัตติ๊อะไรซักอย่าง
    เนี่ย ปลูกความคิดจนเลยเถิด มาตรร้ายน้องแน๊ก ครอบครัวของเขา
    มันกล่อมแบบไหน พูดยังไง ที่สำคัญ เจตนา
    ทั้งหมด เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง
    ทั้งความน่าเชื่อถือในการเป็นหมอดูวว ที่คิดค่าสอนเป็นหมื่นสองหมื่นต่อหัว
    หรือจะเป็นผลประโยชน์อื่นๆที่ได้รับจากอิเหวิง
    ในการคุมเกมส์ใน DC
    แค่เนี๊ย เมิงทำกับแน๊กขนาดนี้เลยเหรอ
    แน๊กถึงขนาดให้เกียรติมัน เชิญเข้าไปชี้แจง
    รู้มั๊ย ทุกคนนะ ที่ได้ฟังคำชี้แจง สี่ห้าคน
    บางคนร้องไห้ สงสารแน๊ก เมื่อรู้ความจริง
    ก็มีอินี่คนเดียว ที่ออกมาพูดไปคนละทาง
    และยังคงซากดจิตหมู่ต่อกับพวกทุย
    บอกตรงๆ อินี่ไม่ใช่แม้แต่มนุษย์
    ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนไข่เปื่อยจิต
    แต่ไปวินิจฉัยน้อง ไอ่คนฟังก็ฟาย ก็คนพูดก็เปื่อย
    ศีลแม่ม โคดเสมอกันเลย
    อิฉัด
    (อ่านข้อความคอมเม้นในภาพนะครับ จะสว่างวาบ)
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    โพสนี้ #อยากให้ทุกคนรู้ว่าแน๊กชาลีต้องเจอกับอะไร #อยากให้รู้ว่าสิ่งที่อิโจตกขาวซากดจิตทุยในกลุ่มส่งผลอย่างไร นี่คือสาเหตุที่พี่คิงส์ ต้องใช้เวลากับการขุดให้ลึกถึงก้นเหว กับคนชื่อ โจ หรืออิโจตกขาว ซึ่งพี่คิงส์เชื่อว่า คนที่ติดตามหลายๆคน ที่ไม่ได้อยู่วงใน หรือเป็นพวกติ่ง DC ไม่มีทางรู้เลย โจ ใช้เวลาเยอะมากในแต่ละวัน นั่งวางแผน จะใส่ความน้องยังไง จะแก้เกมส์ยังไง ให้คนเข้าข้างอิเหวิง คือ มันจิตป่วยจริงๆนะ แล้วบรรยายให้ทุยฟังทีนึงสามสี่ชั่วโมง คนที่ฟังนานๆเข้า ก็เชื่อเหมือนลัตติ๊อะไรซักอย่าง เนี่ย ปลูกความคิดจนเลยเถิด มาตรร้ายน้องแน๊ก ครอบครัวของเขา มันกล่อมแบบไหน พูดยังไง ที่สำคัญ เจตนา ทั้งหมด เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งความน่าเชื่อถือในการเป็นหมอดูวว ที่คิดค่าสอนเป็นหมื่นสองหมื่นต่อหัว หรือจะเป็นผลประโยชน์อื่นๆที่ได้รับจากอิเหวิง ในการคุมเกมส์ใน DC แค่เนี๊ย เมิงทำกับแน๊กขนาดนี้เลยเหรอ แน๊กถึงขนาดให้เกียรติมัน เชิญเข้าไปชี้แจง รู้มั๊ย ทุกคนนะ ที่ได้ฟังคำชี้แจง สี่ห้าคน บางคนร้องไห้ สงสารแน๊ก เมื่อรู้ความจริง ก็มีอินี่คนเดียว ที่ออกมาพูดไปคนละทาง และยังคงซากดจิตหมู่ต่อกับพวกทุย บอกตรงๆ อินี่ไม่ใช่แม้แต่มนุษย์ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนไข่เปื่อยจิต แต่ไปวินิจฉัยน้อง ไอ่คนฟังก็ฟาย ก็คนพูดก็เปื่อย ศีลแม่ม โคดเสมอกันเลย อิฉัด (อ่านข้อความคอมเม้นในภาพนะครับ จะสว่างวาบ) #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    Yay
    6
    0 Comments 1 Shares 445 Views 0 Reviews
  • ขอบคุณปู่ย่าตายาย พ่อแม่พี่ เพื่ิอนสนิท มิตรสหาย ขอบคุณความรักความอบอุ่น รักแท้จากพ่อแม่ ความเอ็นดูและความจริงใจจากพี่ เพื่อนสนิท มิตรสหาย

    เรารวยมากๆอยู่แล้ว มีความสุขทุกเวลาอยู่แล้ว ได้ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่แล้ว มีทรัพย์สมบัติ มีเงินมีทอง อัญมณี และความรักที่ดีอยู่แล้ว และเป็นรักที่บริสุทธิ์ ที่ทำให้ชีวิตเรานั้นดีงาม สวยงาม ประวัติที่ดี การศึกษาที่ดี สุขภาพที่จะต้องดีขึ้นทุกวัน ต้องตอกย้ำสุขภาพดีด้วยการเลือกกินสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

    ขอบคุณปู่ย่าตายาย พ่อแม่พี่ เพื่ิอนสนิท มิตรสหาย ขอบคุณความรักความอบอุ่น รักแท้จากพ่อแม่ ความเอ็นดูและความจริงใจจากพี่ เพื่อนสนิท มิตรสหาย 😍🥰😘 เรารวยมากๆอยู่แล้ว มีความสุขทุกเวลาอยู่แล้ว ได้ทำอะไรตามใจตัวเองอยู่แล้ว มีทรัพย์สมบัติ มีเงินมีทอง อัญมณี และความรักที่ดีอยู่แล้ว และเป็นรักที่บริสุทธิ์ ที่ทำให้ชีวิตเรานั้นดีงาม สวยงาม ประวัติที่ดี การศึกษาที่ดี สุขภาพที่จะต้องดีขึ้นทุกวัน ต้องตอกย้ำสุขภาพดีด้วยการเลือกกินสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 😍😍😍
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • #ไผ่ตาสว่างโพสขอแยกทางกับกามิจ
    #ไผ่ขอแยกทางกับสุมหัวทีม
    หลังจากที่คิงส์โพธิ์แดงให้ขุดลึกถึงก้นเหว
    และจากที่ไผ่ได้ออกมาแก้ตัวให้อิเหวิงกามิจ
    จนเป็นเหตุให้ทีมอิโจเอาคำพูดของไผ่ไปถล่มน้องแน๊ก
    พี่คิงส์ ได้รับการติดต่อจากไผ่และได้พูดคุยกันนานพอสมควร
    ทำให้ได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมพอสมควรว่าตอนนี้ ไผ่ตาสว่างแล้ว
    และเข้าใจทุกอย่าง ว่าตนเอง ถูกนำคำพูดไปเป็นเครื่องมือ
    และอยากให้น้องแน๊กเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกหลายๆตัว
    แต่กลัวน้องแน๊กไม่ให้อภัย
    พี่คิงส์บอกไผ่เลย แน๊ก ใจมันแมน โทรไปอธิบายน้องพร้อมเปิดใจ
    ยังไงก็คนไทยด้วยกัน
    แต่อย่างน้อย ไผ่ก็ชัดเจนแบบไม่เกรงติ่งทุยDC
    คิงส์ชอบคนทำผิดแล้วออกมาแก้ไข ก็ถือว่าไผ่ใจไม่ธรรมดา
    ประกาศทั้งหน้าตต.และเฟส เพื่อยืนยันความจริงใจ
    1. หันหลังไม่ยุ่งกับอิเหวิงอีกแล้ว และเตรียมเปิดพรีเซ็นเตอร์คนใหม่
    2. ไม่ขอเกี่ยวข้องกับอิเหวิงอีกต่อไป
    3. พร้อมซัพพอร์ตชาลี หากชาลีให้โอกาส
    4. ไม่ขอเกี่ยวข้อกับขบวนการสุมหัว
    พี่คิงส์อยากบอกแฟนเพจว่า ถ้าคนยอมรับผิด และพร้อมแก้ไข
    สิ่งที่เราคนไทยควรทำคือการอภัย และไผ่ จะนับ 1 ใหม่
    คิงส์โพธิ์แดง ขอเป็นกำลังใจให้ไผ่ฟื้นความเชื่อมั่นของลค.กลับมาไวๆ
    ส่วนเรื่องปัญหากับลูกค้า ก็ยืนยันว่าเคลียไปหมดแล้ว และจะเก็บไว้เป็นบทเรียน และฝากพี่คิงส์มาขออภัยกับความผิดพลาด
    เอาเป็นว่า ถ้าสำนึกและยอมรับพร้อมแก้ไข ก็ขอให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม
    --------------------------------------------------------
    ส่วนอิป้าโจยังไม่สำนึก คงต้องขยี้ต่อกันยาวๆ
    เอาให้ตรุย อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ไผ่ตาสว่างโพสขอแยกทางกับกามิจ #ไผ่ขอแยกทางกับสุมหัวทีม หลังจากที่คิงส์โพธิ์แดงให้ขุดลึกถึงก้นเหว และจากที่ไผ่ได้ออกมาแก้ตัวให้อิเหวิงกามิจ จนเป็นเหตุให้ทีมอิโจเอาคำพูดของไผ่ไปถล่มน้องแน๊ก พี่คิงส์ ได้รับการติดต่อจากไผ่และได้พูดคุยกันนานพอสมควร ทำให้ได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมพอสมควรว่าตอนนี้ ไผ่ตาสว่างแล้ว และเข้าใจทุกอย่าง ว่าตนเอง ถูกนำคำพูดไปเป็นเครื่องมือ และอยากให้น้องแน๊กเป็นพรีเซ็นเตอร์อีกหลายๆตัว แต่กลัวน้องแน๊กไม่ให้อภัย พี่คิงส์บอกไผ่เลย แน๊ก ใจมันแมน โทรไปอธิบายน้องพร้อมเปิดใจ ยังไงก็คนไทยด้วยกัน แต่อย่างน้อย ไผ่ก็ชัดเจนแบบไม่เกรงติ่งทุยDC คิงส์ชอบคนทำผิดแล้วออกมาแก้ไข ก็ถือว่าไผ่ใจไม่ธรรมดา ประกาศทั้งหน้าตต.และเฟส เพื่อยืนยันความจริงใจ 1. หันหลังไม่ยุ่งกับอิเหวิงอีกแล้ว และเตรียมเปิดพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ 2. ไม่ขอเกี่ยวข้องกับอิเหวิงอีกต่อไป 3. พร้อมซัพพอร์ตชาลี หากชาลีให้โอกาส 4. ไม่ขอเกี่ยวข้อกับขบวนการสุมหัว พี่คิงส์อยากบอกแฟนเพจว่า ถ้าคนยอมรับผิด และพร้อมแก้ไข สิ่งที่เราคนไทยควรทำคือการอภัย และไผ่ จะนับ 1 ใหม่ คิงส์โพธิ์แดง ขอเป็นกำลังใจให้ไผ่ฟื้นความเชื่อมั่นของลค.กลับมาไวๆ ส่วนเรื่องปัญหากับลูกค้า ก็ยืนยันว่าเคลียไปหมดแล้ว และจะเก็บไว้เป็นบทเรียน และฝากพี่คิงส์มาขออภัยกับความผิดพลาด เอาเป็นว่า ถ้าสำนึกและยอมรับพร้อมแก้ไข ก็ขอให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม -------------------------------------------------------- ส่วนอิป้าโจยังไม่สำนึก คงต้องขยี้ต่อกันยาวๆ เอาให้ตรุย อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 444 Views 0 Reviews
  • #ความจริงก็คือความจริงลุงปรีชาได้กล่าวไว้
    บทละครที่อิป้ากล่อมvvip
    ชีวิตโครตรันทดแร้งแค้นแบบสุดๆ
    วาทะกรรม
    ผู้หญิงตัวเล็กๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาคนที่เค้ารัก
    อิฉัด มาโควคอส กลับขอเฟิสคลาสแต่เต็มที่ให้ได้แค่บิสเนสคราส 555
    มาแต่ตัว ตอนกลับหอบไปไม่หมดต้องขนขึ้นเรือ
    แถมมีสมาคมทุยดิสคอตติดไปใช้สอย
    ที่พร้อม เปย์แบบไม่สนลูกเมีย ชีวิตจะต้องบังลัย
    บางราย ยักยอคบริษัท เป็นค-ดีความ
    เพื่อสนองต่อตัญหา ความคลั่งใคร้
    ที่อิโจ นักสร้างวาทะกรรมสร้างสตอรี่
    อุปทานหมู่ จนป่านนี้ยังโงหัวไม่ขึ้น
    อยู่ในโลกคู่ขนานยังไม่หาย
    นี่ก็สุมหัว หวังแก้เกมส์ จะเล่นงานแน๊กยังไง
    คนตามก็ตั้งสติหน่อย
    คนดีๆที่ไหน ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน วางแผน
    เพื่อเล่นงานคนไทยด้วยกัน และยังกล่อมทุย
    ให้ร้ายน้องแน๊กว่าเปื่อยจิต หลักฐานมีเยอะแยะนะเรื่องนี้
    อิโจแถไม่ได้
    แล้วดูสภาพบ้านที่อิป้าโจบอก ลำบากม๊ากกก
    สรุป ละครทั้งเรื่องเพื่อต้มคนไทย
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #ความจริงก็คือความจริงลุงปรีชาได้กล่าวไว้ บทละครที่อิป้ากล่อมvvip ชีวิตโครตรันทดแร้งแค้นแบบสุดๆ วาทะกรรม ผู้หญิงตัวเล็กๆ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาคนที่เค้ารัก อิฉัด มาโควคอส กลับขอเฟิสคลาสแต่เต็มที่ให้ได้แค่บิสเนสคราส 555 มาแต่ตัว ตอนกลับหอบไปไม่หมดต้องขนขึ้นเรือ แถมมีสมาคมทุยดิสคอตติดไปใช้สอย ที่พร้อม เปย์แบบไม่สนลูกเมีย ชีวิตจะต้องบังลัย บางราย ยักยอคบริษัท เป็นค-ดีความ เพื่อสนองต่อตัญหา ความคลั่งใคร้ ที่อิโจ นักสร้างวาทะกรรมสร้างสตอรี่ อุปทานหมู่ จนป่านนี้ยังโงหัวไม่ขึ้น อยู่ในโลกคู่ขนานยังไม่หาย นี่ก็สุมหัว หวังแก้เกมส์ จะเล่นงานแน๊กยังไง คนตามก็ตั้งสติหน่อย คนดีๆที่ไหน ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน วางแผน เพื่อเล่นงานคนไทยด้วยกัน และยังกล่อมทุย ให้ร้ายน้องแน๊กว่าเปื่อยจิต หลักฐานมีเยอะแยะนะเรื่องนี้ อิโจแถไม่ได้ แล้วดูสภาพบ้านที่อิป้าโจบอก ลำบากม๊ากกก สรุป ละครทั้งเรื่องเพื่อต้มคนไทย อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 411 Views 0 Reviews
  • #พร้อมไปกันต่อหรือยังแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #สตอรี่ที่เอเจนซี่สร้างขึ้นเพื่ออิเหวิงดูน่าฉงฉานฉัดๆ
    มาตาสว่างและสว่างคาตาไปด้วยกัน ลุ๊ย!!
    นี่คือปฐมบทที่ทำให้คนไทยรู้จักอิเหวิงในแบบที่ยังมีทุยกลุ่มหนึ่งยังคงเวิ่นเว๊อ
    โดยมีล่ามแพร เป็นผู้แปลความหมายเป็นการไลฟ์สดในช่อง ตต.
    โดยล่างแพรได้แปลมาแบบนี้ อ่านยาวหน่อยเบื่ออิป้าโจตกขาวหาว่าตัดต่อบ้างแหละไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์บ้างแหละ
    มาเริ่มกัน
    “เขาอยากจะเล่าให้ทุกคนฟังว่าเขาเกิดมาข้างๆทางหมายถึงว่าเป็นคนที่เกิดข้างถนน
    จังหวัดนัมวอนอยู่ที่ภาคชอลลันัมโดเป็นภาคใต้ของประเทศเกาหลีนะคะ
    เขาบอกว่าเขาไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาลเพราะว่าวันนึงอ่ะตอนนั้น
    แม่เขาท้องแก่มากๆแล้วแม่พ่อกับแม่เขาก็ออกไปเดินเล่นกันข้างถนน
    เพราะว่าคุณแม่เขาเจ็บท้องมากๆนะคะ แล้วพอเดินเล่นอยู่ดีๆ
    แล้วคุณแม่เขาก็เลยเหมือนกับว่าคลอดคุณกามินออกมาแบบข้างถนนเลย
    จนกระทั่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากๆคุณแม่ของคุณกามิน
    ก็อันตรายคุณกามินเด็กที่ออกมาจากท้องก็อันตรายแล้ว
    ตอนที่คุณกามินคลอดออกมาข้างถนนคุณพ่อก็เหมือน
    เอามือมารองรับเด็กทารกไว้อยู่ในมือโดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้
    เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่าเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะอยู่บ้านนอกรับเบบี๋เด็กทารกอยู่ในมือ
    โดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่า
    ค่อนข้างเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะแบบอยู่บ้านนอกนิดนึงอะไรอย่างนี้ค่ะ
    แท็กซี่จับไม่ได้เลยคุณกามินเด็กทารกที่เกิดออกมา
    ก็คืออยู่ในมือคุณพ่อเกือบ1 ชั่วโมงกว่าจะเรียกแท็กซี่ไโรงพยาบาลได้นะคะ
    นะคะบอกในสถานการณ์ที่อันตรายมากแต่สุดท้ายความล็อคที่ความโชคดีก็
    ทําให้เขาเกิดออกมาเป็นคนที่ปลอดภัยมาได้นะคะอ่ะ”
    #ไอ่ฉัดนี่มันพอตซีรี่เกาหลีดั้งเดิมชัดๆ มา! ไปกันต่อ
    “เค้าก็เลยบอกว่าเค้ามีความฝันที่อยากจะมีชีวิตที่กรุงโซล
    เป็นสาวบ้านนอกแต่มาใช้ชีวิตที่กรุงโซลเหมือนคนอื่นๆ
    จนกระทั่งเค้ามาเจอคุณชาลี คุณชาลีเคยบอกเค้าว่าเพลงที่คุณชาลีชอบมากที่สุดก็คือเพลงลักกี้
    อ่อหัวข้อเพลงชื่อว่าลักกี้อ่ะค่ะ แพรไม่แน่ใจว่าเพลงอะไร เค้าก็เลยรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เหมือนกับมันสื่อกัน มันเชื่อมกัน เพราะว่าเค้าชอบคำว่าลักกี้ ชอบคำว่าโชคดี ชอบคำศัพท์นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    เค้าบอกว่าบ้านเค้าเลี้ยงหมา2ตัวตัวแรกชื่อว่า เฮ็งบ๊กแปลว่าความสุข ตัวที่สองชื่อว่า เฮ็งงุน แปลว่าความโชคดี
    นางบอกว่านางอยากเรียนภาษาไทยด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาสอน ถึงแม้จะใช้เวลานาน แต่ก็อยากจะใช้เวลาในการฝึกฝน”
    กามิน ได้ไลฟ์สด และกล่าวความในใจทั้งน้ำตา หลังจากได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของติ๊กต๊อกเกอร์ชาวเกาหลีว่า "ชาลีเหมือนของขวัญจากคุณย่า พ่อแม่ของกามินป่วย แต่ตอนนี้สบายดีแล้ว ขอบคุณมากๆที่ทำให้เป็นลูกกตัญญู ในช่วงเวลาที่พ่อแม่ยังมีชิวิตอยู่" ชาลีทำให้กามินได้รับความรักมากมาย และหาเงินได้จากการไลฟ์สดในติ๊กต๊อก จนสามารถไปรักษาพ่อแม่ที่ป่วยได้
    นี่คือสตอรี่ที่ต้มคนไทยได้ทั้งประเทศ
    แต่หลังจากชาลีเชิญกลับกิมจิ๊
    อิเหวิงกลับพูดมีใจความสำคัญดังนี้
    - ดังด้วยตัวเอง
    - ทุกคนอย่าอิจฉา อยากเป็นเหมือนฉันก็ไปทำช่องเอง
    -แบบฉันที่ดังเองโดยไม่ต้องมีใครมาซัพพอต
    ซึ่งในไลฟ์นี้ไม่มีชื่อชาลีปรากฏเลย ล่างเตียแปลไปคนละโยช
    สังเกตได้ ไม่มีเกาหลีที่ฟังเกาหลีออก ออกมาป้องซักคน
    มีแต่พวกทุยไทยที่ไม่รู้ภาษเกาหลี เชื่อเตียและปลื้มปลิ่ม
    ล่ามเตียนี่นะ แน็กเป็นคนหามาด้วยแท้ๆ แต่สุดท้ายไปเข้าฝั่งอิป้าโจตกขาวซะงั้น
    คำแปลก็จะแปลกประหลาด จนคนเกาหลีที่มีภรรยาคนไทย
    ต้องออกมาบอกว่า “เช็ด ไม่ใช่นะไอ่ที่ล่ามคนนั้นแปล”
    และในไลฟ์ครั้งนี้ อิเหวิงยังบอกอีกว่า
    “อันนี้คนเกาหลีแท้แปลนะ”
    “ฉันไปประเทศไทยเพราะฉันรักชาลี เพราะฉันอยู่เกาหลี ฉันมีงาน มีรายได้ที่ดีอยู่แล้ว” ซึ่งมีคนเคยถามว่าเท่าไหร่ อิเหวิงบอกประมาณ แปดหมื่น
    คำถามคือ งานอะไร ก็มีแต่ไลฟ์ตต.ทั้งวันทั้งคืน และรอคนส่งติ๊กเกอร์ให้
    ก็เลยมาโป๊ะ ที่ชาลีก็รู้ว่า อินี่บอกว่า ตัวเองมีเอเจนซี่ดูแลก่อนมาไทย
    และเอเจนซี่ก็เป็นคนแต่งบทละครสร้างสตอรี่
    เพื่อเรียกความสงสารจากคนไทยให้มากที่สุด
    แล้วก็พาคนไทยด้อมแท้ เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มหนึ่งของเกาหลีที่ผูกกับตต.
    ต้องเปย์นางทุกเดือน เหมือนค่าสมาชิก เพียงเพื่อ รออิเหวิงไปไลฟ์ส่วนตัวให้พวกมันคุย
    ทุยมั๊ยหละ
    ดังนั้น งานอิเหวิง เริ่มต้นก่อนมาไทย ก่อนเจอแน๊ก
    คือต้มเกาหลี แสดงให้เกาหลีดู และได้สติ๊กเกอร์ของขวัญเป็นการตอบแทน แบ่งรายได้กับเอเจนซี่
    แต่พอแน๊กคนไทยที่ขี้สงสารที่มีฐานแฟนคลับเป็นล้านมา ก็เลยต้องมีบทเพิ่ม
    ไม่งั้น อิเหวิงมันไม่หลุดออกมาแบบนี้หรอก ว่ามันไม่ได้เดือดร้อนเลย มาไทยเพราะชาลีขอมันมันมา
    แถมบอกว่า ยอมเสี่ยงมาไทย ประมาณว่าประเทศนี้ไม่ได้ป-ล-อ-ด-ภั-ย-เลย
    ดังนั้น เอเจนซี่มีจริง อิเหวิงทำงานด้วยการแสดงไลฟ์สดในตต.จริง
    มีการแบ่งรายได้กับเอเจนซี่จริง ซึ่งก็คงจะทำกันไม่น้อยที่เกาหลี
    เพียงแต่ น้องแน๊ก และคนไทย ดันติดกับ หลงไปกับบทซีรี่นี้ที่พวกมันสร้างขึ้น
    เสียดายแค่อย่างเดียว ว่านอกจากอิเหวิงกาฝาก และเอเจนซี่ ที่ได้ประโยชน์
    ก็ยังมีคนไทยกลุ่มหนึ่งระดับหัวๆ ที่ได้ส่วนแบ่งจากห้องพิเศษที่ว่า
    เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วมาเล่นงานคนไทยด้วยกัน
    ใส่ความสารพัด ว่าจิตไม่ปกติ ทำให้เค้าเสียชื่อ
    และรวมกลุ่มกับคนที่เสียผลประโยชน์จากการที่ชาลีไม่เอาอิเหวิงแล้ว
    สุมหัวกันทุกวัน เพียงเพื่อให้มีด้อมฝั่งตัวเอง
    ยังคงเปย์มีส่วนแบ่งผลประโยชน์ให้ตัวเองแค่นั้นพอ
    ดังนั้นการที่เพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    วางข่าวอื่นเพื่อทำเรื่องนี้ คือการออกมาบอกความจริง
    ให้คนไทยได้รับรู้ ว่ามันมีแบบนี้นะ วงจรนี้
    และปกป้องชาลี ที่ไม่ต้องมองว่าเค้าเป็นดารา
    แค่เป็นคนไทยหนึ่งคนที่ต้องอดทนเสียใจกับวงจรกามิจ
    ยังต้องมาเจอคนไทยด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์
    ทั้งทางตรงทางอ้อมจากชาลีทั้งนั้น
    เพียงแค่ชาลีเลือกปกป้องคนไทย แต่พวกมันเสียประโยชน์
    มันก็หาทางกระหน่ำซ้ำน้องมันขนาดนี้
    พี่คิงส์คงยอมไม่ได้อย่างแน่นอน
    อิป้าโจวตกขาว เมิงให้สมุนส่งข้อความผ่านแชทมาอะ
    อย่าช้า ให้รีบ กรรรูรอ
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #พร้อมไปกันต่อหรือยังแฟนเพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #สตอรี่ที่เอเจนซี่สร้างขึ้นเพื่ออิเหวิงดูน่าฉงฉานฉัดๆ มาตาสว่างและสว่างคาตาไปด้วยกัน ลุ๊ย!! นี่คือปฐมบทที่ทำให้คนไทยรู้จักอิเหวิงในแบบที่ยังมีทุยกลุ่มหนึ่งยังคงเวิ่นเว๊อ โดยมีล่ามแพร เป็นผู้แปลความหมายเป็นการไลฟ์สดในช่อง ตต. โดยล่างแพรได้แปลมาแบบนี้ อ่านยาวหน่อยเบื่ออิป้าโจตกขาวหาว่าตัดต่อบ้างแหละไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์บ้างแหละ มาเริ่มกัน “เขาอยากจะเล่าให้ทุกคนฟังว่าเขาเกิดมาข้างๆทางหมายถึงว่าเป็นคนที่เกิดข้างถนน จังหวัดนัมวอนอยู่ที่ภาคชอลลันัมโดเป็นภาคใต้ของประเทศเกาหลีนะคะ เขาบอกว่าเขาไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาลเพราะว่าวันนึงอ่ะตอนนั้น แม่เขาท้องแก่มากๆแล้วแม่พ่อกับแม่เขาก็ออกไปเดินเล่นกันข้างถนน เพราะว่าคุณแม่เขาเจ็บท้องมากๆนะคะ แล้วพอเดินเล่นอยู่ดีๆ แล้วคุณแม่เขาก็เลยเหมือนกับว่าคลอดคุณกามินออกมาแบบข้างถนนเลย จนกระทั่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากๆคุณแม่ของคุณกามิน ก็อันตรายคุณกามินเด็กที่ออกมาจากท้องก็อันตรายแล้ว ตอนที่คุณกามินคลอดออกมาข้างถนนคุณพ่อก็เหมือน เอามือมารองรับเด็กทารกไว้อยู่ในมือโดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้ เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่าเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะอยู่บ้านนอกรับเบบี๋เด็กทารกอยู่ในมือ โดยที่ยังไม่สามารถตัดรกได้เพราะว่ามันเป็นจังหวัดที่แบบว่า ค่อนข้างเขาใช้คําว่าค่อนข้างที่จะแบบอยู่บ้านนอกนิดนึงอะไรอย่างนี้ค่ะ แท็กซี่จับไม่ได้เลยคุณกามินเด็กทารกที่เกิดออกมา ก็คืออยู่ในมือคุณพ่อเกือบ1 ชั่วโมงกว่าจะเรียกแท็กซี่ไโรงพยาบาลได้นะคะ นะคะบอกในสถานการณ์ที่อันตรายมากแต่สุดท้ายความล็อคที่ความโชคดีก็ ทําให้เขาเกิดออกมาเป็นคนที่ปลอดภัยมาได้นะคะอ่ะ” #ไอ่ฉัดนี่มันพอตซีรี่เกาหลีดั้งเดิมชัดๆ มา! ไปกันต่อ “เค้าก็เลยบอกว่าเค้ามีความฝันที่อยากจะมีชีวิตที่กรุงโซล เป็นสาวบ้านนอกแต่มาใช้ชีวิตที่กรุงโซลเหมือนคนอื่นๆ จนกระทั่งเค้ามาเจอคุณชาลี คุณชาลีเคยบอกเค้าว่าเพลงที่คุณชาลีชอบมากที่สุดก็คือเพลงลักกี้ อ่อหัวข้อเพลงชื่อว่าลักกี้อ่ะค่ะ แพรไม่แน่ใจว่าเพลงอะไร เค้าก็เลยรู้สึกว่ามันมีอะไรที่เหมือนกับมันสื่อกัน มันเชื่อมกัน เพราะว่าเค้าชอบคำว่าลักกี้ ชอบคำว่าโชคดี ชอบคำศัพท์นี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เค้าบอกว่าบ้านเค้าเลี้ยงหมา2ตัวตัวแรกชื่อว่า เฮ็งบ๊กแปลว่าความสุข ตัวที่สองชื่อว่า เฮ็งงุน แปลว่าความโชคดี นางบอกว่านางอยากเรียนภาษาไทยด้วยตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาสอน ถึงแม้จะใช้เวลานาน แต่ก็อยากจะใช้เวลาในการฝึกฝน” กามิน ได้ไลฟ์สด และกล่าวความในใจทั้งน้ำตา หลังจากได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของติ๊กต๊อกเกอร์ชาวเกาหลีว่า "ชาลีเหมือนของขวัญจากคุณย่า พ่อแม่ของกามินป่วย แต่ตอนนี้สบายดีแล้ว ขอบคุณมากๆที่ทำให้เป็นลูกกตัญญู ในช่วงเวลาที่พ่อแม่ยังมีชิวิตอยู่" ชาลีทำให้กามินได้รับความรักมากมาย และหาเงินได้จากการไลฟ์สดในติ๊กต๊อก จนสามารถไปรักษาพ่อแม่ที่ป่วยได้ นี่คือสตอรี่ที่ต้มคนไทยได้ทั้งประเทศ แต่หลังจากชาลีเชิญกลับกิมจิ๊ อิเหวิงกลับพูดมีใจความสำคัญดังนี้ - ดังด้วยตัวเอง - ทุกคนอย่าอิจฉา อยากเป็นเหมือนฉันก็ไปทำช่องเอง -แบบฉันที่ดังเองโดยไม่ต้องมีใครมาซัพพอต ซึ่งในไลฟ์นี้ไม่มีชื่อชาลีปรากฏเลย ล่างเตียแปลไปคนละโยช สังเกตได้ ไม่มีเกาหลีที่ฟังเกาหลีออก ออกมาป้องซักคน มีแต่พวกทุยไทยที่ไม่รู้ภาษเกาหลี เชื่อเตียและปลื้มปลิ่ม ล่ามเตียนี่นะ แน็กเป็นคนหามาด้วยแท้ๆ แต่สุดท้ายไปเข้าฝั่งอิป้าโจตกขาวซะงั้น คำแปลก็จะแปลกประหลาด จนคนเกาหลีที่มีภรรยาคนไทย ต้องออกมาบอกว่า “เช็ด ไม่ใช่นะไอ่ที่ล่ามคนนั้นแปล” และในไลฟ์ครั้งนี้ อิเหวิงยังบอกอีกว่า “อันนี้คนเกาหลีแท้แปลนะ” “ฉันไปประเทศไทยเพราะฉันรักชาลี เพราะฉันอยู่เกาหลี ฉันมีงาน มีรายได้ที่ดีอยู่แล้ว” ซึ่งมีคนเคยถามว่าเท่าไหร่ อิเหวิงบอกประมาณ แปดหมื่น คำถามคือ งานอะไร ก็มีแต่ไลฟ์ตต.ทั้งวันทั้งคืน และรอคนส่งติ๊กเกอร์ให้ ก็เลยมาโป๊ะ ที่ชาลีก็รู้ว่า อินี่บอกว่า ตัวเองมีเอเจนซี่ดูแลก่อนมาไทย และเอเจนซี่ก็เป็นคนแต่งบทละครสร้างสตอรี่ เพื่อเรียกความสงสารจากคนไทยให้มากที่สุด แล้วก็พาคนไทยด้อมแท้ เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มหนึ่งของเกาหลีที่ผูกกับตต. ต้องเปย์นางทุกเดือน เหมือนค่าสมาชิก เพียงเพื่อ รออิเหวิงไปไลฟ์ส่วนตัวให้พวกมันคุย ทุยมั๊ยหละ ดังนั้น งานอิเหวิง เริ่มต้นก่อนมาไทย ก่อนเจอแน๊ก คือต้มเกาหลี แสดงให้เกาหลีดู และได้สติ๊กเกอร์ของขวัญเป็นการตอบแทน แบ่งรายได้กับเอเจนซี่ แต่พอแน๊กคนไทยที่ขี้สงสารที่มีฐานแฟนคลับเป็นล้านมา ก็เลยต้องมีบทเพิ่ม ไม่งั้น อิเหวิงมันไม่หลุดออกมาแบบนี้หรอก ว่ามันไม่ได้เดือดร้อนเลย มาไทยเพราะชาลีขอมันมันมา แถมบอกว่า ยอมเสี่ยงมาไทย ประมาณว่าประเทศนี้ไม่ได้ป-ล-อ-ด-ภั-ย-เลย ดังนั้น เอเจนซี่มีจริง อิเหวิงทำงานด้วยการแสดงไลฟ์สดในตต.จริง มีการแบ่งรายได้กับเอเจนซี่จริง ซึ่งก็คงจะทำกันไม่น้อยที่เกาหลี เพียงแต่ น้องแน๊ก และคนไทย ดันติดกับ หลงไปกับบทซีรี่นี้ที่พวกมันสร้างขึ้น เสียดายแค่อย่างเดียว ว่านอกจากอิเหวิงกาฝาก และเอเจนซี่ ที่ได้ประโยชน์ ก็ยังมีคนไทยกลุ่มหนึ่งระดับหัวๆ ที่ได้ส่วนแบ่งจากห้องพิเศษที่ว่า เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว แล้วมาเล่นงานคนไทยด้วยกัน ใส่ความสารพัด ว่าจิตไม่ปกติ ทำให้เค้าเสียชื่อ และรวมกลุ่มกับคนที่เสียผลประโยชน์จากการที่ชาลีไม่เอาอิเหวิงแล้ว สุมหัวกันทุกวัน เพียงเพื่อให้มีด้อมฝั่งตัวเอง ยังคงเปย์มีส่วนแบ่งผลประโยชน์ให้ตัวเองแค่นั้นพอ ดังนั้นการที่เพจคิงส์โพธิ์แดง-สำรอง วางข่าวอื่นเพื่อทำเรื่องนี้ คือการออกมาบอกความจริง ให้คนไทยได้รับรู้ ว่ามันมีแบบนี้นะ วงจรนี้ และปกป้องชาลี ที่ไม่ต้องมองว่าเค้าเป็นดารา แค่เป็นคนไทยหนึ่งคนที่ต้องอดทนเสียใจกับวงจรกามิจ ยังต้องมาเจอคนไทยด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับผลประโยชน์ ทั้งทางตรงทางอ้อมจากชาลีทั้งนั้น เพียงแค่ชาลีเลือกปกป้องคนไทย แต่พวกมันเสียประโยชน์ มันก็หาทางกระหน่ำซ้ำน้องมันขนาดนี้ พี่คิงส์คงยอมไม่ได้อย่างแน่นอน อิป้าโจวตกขาว เมิงให้สมุนส่งข้อความผ่านแชทมาอะ อย่าช้า ให้รีบ กรรรูรอ อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 506 Views 0 Reviews
  • #อุต๊ะมีความน่าอัวพี่คิงส์นี่ขนตั้งชัน
    ป้าโจวตกขาว หรือมณฑนี
    ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนเธอเป็นใคร
    พิธีกรตกยุค ที่เคยแสดงออกถึงความรักชาติ
    แต่หลังจากที่นางมีอาการเปื่อยจิต
    ต้องรับการบำ บัด จังหวะ
    แน๊กเริ่มมีความคิดช่วยเหลืออิเหวิงกามิจ
    นางเลยหลุดเข้าสู่มิติแห่งความเพ้อฝัน
    และเป็นแนวร่วมตั้งกลุ่มลั-บ
    โดยเอเจนซี่กับอิเหวิงทำแพลนรอไว้แล้วตั้งแต่แปดเดือนที่แล้ว
    เพื่อให้สาวกเข้าไปสิงสถิตและได้คุยส่วนตัวกับอิเหวิง
    มีทั้งรายเดือน มีทั้งเรียกไปเปย์ติ๊กเกอร์ตอนพีเค
    เรียกว่า ทุยสาวกบางคน หมดกันเป็นล้าน
    ส่วนป้าโจตกขาวก็ได้ส่วนแบ่ง มีหน้าที่
    สร้างอุปทานหมู่ ด้วยความชำนาญในการเป็นนักพูดตกยุค
    เล่นเอาสาวกเคลิ้มล่องลอยเหมือนจักรวาลนี้สร้างมาเพื่ออิเหวิง
    และเมื่อแน๊กเริ่มรับรู้ว่ามีคนที่เปย์จนเดือดร้อนเพราะหลงอิป้าโจกับอิเหวิง
    ก็เลยต้องหาทางสร้างเรื่องไม่จริง ใส่ไคร้ว่าน้องแน๊ก เปื่อยจิต โดยเอาอาการของตัวเอง ไปยัดเยียดให้น้องแน๊ก กระจายกันในกลุ่ม
    (หลักต๋านส่งมาเพียบบบบ)
    ให้อิเหวิงเป็นผู้ถูกกระทำ
    เมื่อแน๊กรู้สึกว่า อิเหวิงไม่จบกับโลภะ รวมถึงคนที่ได้ประโยชน์ร่วมก็เลยเถิด
    ก็ต้องจบความรักเพื่อปกป้องคนไทยด้วยกัน
    จึงเป็นที่มาที่อิป้าโจตกขาว สร้างกลุ่มสุมหัว โดยดึงคนที่เสียประโยชน์จากการที่แน๊กตัดขาดความสัมพันธ์ มารวมกันเพื่อสหบาทาแน๊ก และอวยอิเหวิง
    จุดนี้แหละ ที่พี่คิงส์รับรู้รับทราบ ทั้งๆที่พี่คิงส์เองเอ็นดูแน๊ก แต่ไม่เคยอินหรือติดตามเป็นลูกทัพน้องแน๊กเลย แต่มันคือเรื่องการที่น้องผู้ชายคนหนึ่ง ถูกอธรรมอย่างไม่ยุติธรรม ด้วยกลุ่มก้อนเฮงชวยพวกนี้ รวมถึงคนที่ถูกเชี่ยมจิตในกลุ่มที่ยังคงเปย์ตามการจูงจมูกของอิป้าโจวตกขาว
    ทำให้พี่คิงส์ต้องหันมาเปิดเผยเรื่องนี้อย่างจริงจัง
    ต่อมา สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้สื่อข่าวระดับตำนาน ได้มองเรื่องนี้ว่าเป็นอตร.กับคนไทย จึงนัดหมายว่าจะนำเสนอข้อมูลในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 67
    อิป้าโจวตกขาว ก็ดิ้น ถึงขนาดข่มด้วยการโพส เบรคสื่อระดับตำนาน สารพัด
    นี่คือที่มา ของการเปิดเผยข้อมูลสำคัญมาตลอดจนถึงตอนนี้
    หลังจากที่ข้อมูลได้เปิดเผยสู่สาธารณะ
    อิป้าโจวตกขาวถึงกับช็อค ไม่กล้าโพสใดๆอีกเลย
    เพราะยิ่งขุด ยิ่งเจอ
    แม้กระทั่ง มีการแอบตั้งโรงเรียนอย่างไม่ถูกต้องตาม-ก-ฏ-ห-ม-าย เพื่อลวงคนในกลุ่มและคนทั่วไปที่เป็นแฟนคลับกามิจ ไปเรียนทำนายทายทัก ฝึกจิตฝึกวิญาณ เอาง่ายๆ หาแดรกกับความเชื่อ คนละเป็นหมื่น ซึ่งไม่นาน กระทรวงคงได้ติดต่อนางไป นี่มันอาชีพต้มคนไทยชัดๆ
    แต่ซักครู่นี้่เอง นางเจอคนเปิดความจริงแบบงานละเอียดยิบอย่างพี่คิงส์ฯ
    กองเชียร์ก็บอกให้มาโต้ แต่จะโต้ได้ไง เพราะมันคือความจริง นางเลยเข้าสายกับช่องสาวกของนาง และพูดเสียงเครือแบบ ขึ้นมาก ทั้งสั่นทั้งกลัว
    "ที่เงียบไป ไม่ได้เงียบไปเฉยๆนะ นี่ก็กำลังไปตร.ไซเบอร์ จะจัดการคนที่มาทำให้นางเสื่อม เพราะที่พูดไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์" ป๊าดดดด
    พี่คิงส์ก็ย้อนกลับไปดู หลักฐานก็มีน้า
    เอางี้ป้า อยากทำอะไรจัดมา
    ส่วนพี่คิงส์ก็รู้สึกกลัวมาก
    จะตอบสนองป้าด้วยการขุดให้ลึกไปอีกแบบรัวๆ
    เอาให้คนไทยทั่วประเทศ สว่างวาบเลย
    ป้าได้ปิดท้ายไว้ว่า
    "เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับป้าโจวตกขาว"
    คือหวังให้เพจคิงส์โพธิ์แดงกลัว ว่างั้น!!
    หึหึ ป้าโจ ไปสืบก่อนก็ดี ว่าคิงส์โพธิ์แดง
    สู้กับใครมาบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    #อุต๊ะมีความน่าอัวพี่คิงส์นี่ขนตั้งชัน ป้าโจวตกขาว หรือมณฑนี ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนเธอเป็นใคร พิธีกรตกยุค ที่เคยแสดงออกถึงความรักชาติ แต่หลังจากที่นางมีอาการเปื่อยจิต ต้องรับการบำ บัด จังหวะ แน๊กเริ่มมีความคิดช่วยเหลืออิเหวิงกามิจ นางเลยหลุดเข้าสู่มิติแห่งความเพ้อฝัน และเป็นแนวร่วมตั้งกลุ่มลั-บ โดยเอเจนซี่กับอิเหวิงทำแพลนรอไว้แล้วตั้งแต่แปดเดือนที่แล้ว เพื่อให้สาวกเข้าไปสิงสถิตและได้คุยส่วนตัวกับอิเหวิง มีทั้งรายเดือน มีทั้งเรียกไปเปย์ติ๊กเกอร์ตอนพีเค เรียกว่า ทุยสาวกบางคน หมดกันเป็นล้าน ส่วนป้าโจตกขาวก็ได้ส่วนแบ่ง มีหน้าที่ สร้างอุปทานหมู่ ด้วยความชำนาญในการเป็นนักพูดตกยุค เล่นเอาสาวกเคลิ้มล่องลอยเหมือนจักรวาลนี้สร้างมาเพื่ออิเหวิง และเมื่อแน๊กเริ่มรับรู้ว่ามีคนที่เปย์จนเดือดร้อนเพราะหลงอิป้าโจกับอิเหวิง ก็เลยต้องหาทางสร้างเรื่องไม่จริง ใส่ไคร้ว่าน้องแน๊ก เปื่อยจิต โดยเอาอาการของตัวเอง ไปยัดเยียดให้น้องแน๊ก กระจายกันในกลุ่ม (หลักต๋านส่งมาเพียบบบบ) ให้อิเหวิงเป็นผู้ถูกกระทำ เมื่อแน๊กรู้สึกว่า อิเหวิงไม่จบกับโลภะ รวมถึงคนที่ได้ประโยชน์ร่วมก็เลยเถิด ก็ต้องจบความรักเพื่อปกป้องคนไทยด้วยกัน จึงเป็นที่มาที่อิป้าโจตกขาว สร้างกลุ่มสุมหัว โดยดึงคนที่เสียประโยชน์จากการที่แน๊กตัดขาดความสัมพันธ์ มารวมกันเพื่อสหบาทาแน๊ก และอวยอิเหวิง จุดนี้แหละ ที่พี่คิงส์รับรู้รับทราบ ทั้งๆที่พี่คิงส์เองเอ็นดูแน๊ก แต่ไม่เคยอินหรือติดตามเป็นลูกทัพน้องแน๊กเลย แต่มันคือเรื่องการที่น้องผู้ชายคนหนึ่ง ถูกอธรรมอย่างไม่ยุติธรรม ด้วยกลุ่มก้อนเฮงชวยพวกนี้ รวมถึงคนที่ถูกเชี่ยมจิตในกลุ่มที่ยังคงเปย์ตามการจูงจมูกของอิป้าโจวตกขาว ทำให้พี่คิงส์ต้องหันมาเปิดเผยเรื่องนี้อย่างจริงจัง ต่อมา สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้สื่อข่าวระดับตำนาน ได้มองเรื่องนี้ว่าเป็นอตร.กับคนไทย จึงนัดหมายว่าจะนำเสนอข้อมูลในวันศุกร์ที่ 13 กันยายน 67 อิป้าโจวตกขาว ก็ดิ้น ถึงขนาดข่มด้วยการโพส เบรคสื่อระดับตำนาน สารพัด นี่คือที่มา ของการเปิดเผยข้อมูลสำคัญมาตลอดจนถึงตอนนี้ หลังจากที่ข้อมูลได้เปิดเผยสู่สาธารณะ อิป้าโจวตกขาวถึงกับช็อค ไม่กล้าโพสใดๆอีกเลย เพราะยิ่งขุด ยิ่งเจอ แม้กระทั่ง มีการแอบตั้งโรงเรียนอย่างไม่ถูกต้องตาม-ก-ฏ-ห-ม-าย เพื่อลวงคนในกลุ่มและคนทั่วไปที่เป็นแฟนคลับกามิจ ไปเรียนทำนายทายทัก ฝึกจิตฝึกวิญาณ เอาง่ายๆ หาแดรกกับความเชื่อ คนละเป็นหมื่น ซึ่งไม่นาน กระทรวงคงได้ติดต่อนางไป นี่มันอาชีพต้มคนไทยชัดๆ แต่ซักครู่นี้่เอง นางเจอคนเปิดความจริงแบบงานละเอียดยิบอย่างพี่คิงส์ฯ กองเชียร์ก็บอกให้มาโต้ แต่จะโต้ได้ไง เพราะมันคือความจริง นางเลยเข้าสายกับช่องสาวกของนาง และพูดเสียงเครือแบบ ขึ้นมาก ทั้งสั่นทั้งกลัว "ที่เงียบไป ไม่ได้เงียบไปเฉยๆนะ นี่ก็กำลังไปตร.ไซเบอร์ จะจัดการคนที่มาทำให้นางเสื่อม เพราะที่พูดไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์" ป๊าดดดด พี่คิงส์ก็ย้อนกลับไปดู หลักฐานก็มีน้า เอางี้ป้า อยากทำอะไรจัดมา ส่วนพี่คิงส์ก็รู้สึกกลัวมาก จะตอบสนองป้าด้วยการขุดให้ลึกไปอีกแบบรัวๆ เอาให้คนไทยทั่วประเทศ สว่างวาบเลย ป้าได้ปิดท้ายไว้ว่า "เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับป้าโจวตกขาว" คือหวังให้เพจคิงส์โพธิ์แดงกลัว ว่างั้น!! หึหึ ป้าโจ ไปสืบก่อนก็ดี ว่าคิงส์โพธิ์แดง สู้กับใครมาบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง2 #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง3
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 614 Views 0 Reviews
  • มิติเรื่องของ"กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย"
    .
    มิติเรื่องของ "กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย" นั้น มันมีมิติหลายๆ อย่างที่ผมจะพูด นอกเหนือจากความกะล่อน การต้มตุ๋น มาหลอกลวงความรัก ความอบอุ่น ความหวังดีของคนไทยที่มองโลกในแง่ดี
    .
    สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์นี้ ไม่มีกระแสใดจะแรงเท่ากระแสอินฟลูเอนเซอร์ของไทยและเกาหลี กระแสดาราไทยลูกเสี้ยวฮอลแลนด์ ชื่อ "ชาลี ปอทเจส" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "แน็ก ชาลี" กับ TikToker ชาวเกาหลี ชื่อ "จี กามิน" หรือที่คนไทยเรียกสั้นๆ ว่า "กามิน" อายุ 31 ปี พอๆ กับแน็ก
    .
    เรื่องนี้ให้บทเรียนกับคนไทยหลายๆ แง่มุมด้วยกัน คือ ข้อแรก อย่าโง่ ถูกเกาหลีปั่น สร้างกระแสโอนเงินหรือแจกสติกเกอร์ใครง่ายๆ คุณอาจจะยากจนกว่าคนที่รับเงินไปแบบเทียบไม่ได้
    .
    ข้อสอง ถ้าให้ผมวิเคราะห์ความเป็นมนุษย์ผู้หญิงในเกาหลีที่ไลฟ์สดหารายได้ กินอยู่อย่างประหยัด สะท้อนให้เห็นว่าความจริงแล้ว กามินเป็นคนปากกัดตีนถีบ เอาแต่ได้ ซึ่งเป็นสันดานของคนเกาหลีส่วนหนึ่ง เมื่อได้เงินมา รวยฉับพลัน จึงเหมือนสามล้อถูกหวยที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่คำนึงถึงบุญคุณของคนอื่นที่ดึงตัวเองขึ้นมาจากความลำบาก และมองโลกในแง่ร้ายว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่เป็นมืออาชีพ คิดจะกอบโกยอย่างเดียว
    .
    ข้อสาม ครูเดวิด วิลเลียม ชาวอเมริกันที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยมา และพูดภาษาไทยชัดมาก ออกมาเตือนสติว่า “ กามิน ไม่มีทางมีวันนี้ถ้าไม่มีคนไทย ถ้าใครรักประเทศใด ต้องลงทุนกับเวลา 2 เรื่อง คือ เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเขาหรือไปเที่ยวทั่วไทย ไม่ใช่มาประเทศไทยทำงานหาเงิน หาเงิน แล้วแยกย้ายกลับบ้าน มันไม่ใช่”
    .
    ข้อสี่ แน็ก ชาลี เป็นศิลปินนักแสดงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กในภาพยนตร์เรื่องแฟนฉันเมื่อปี 2546 และเป็นศิลปินแบบที่พวกเราเรียกกันว่า "พวกติสท์แตก" เป็นผู้ให้ ช่วยและให้โอกาสคนที่ลำบากที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างกามิน แต่การจีบกันในโซเชียลมีเดียไม่สามารถจะรู้นิสัยตัวตนที่แท้จริงได้ ดังนั้น พื้นฐานในเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะว่า "ศีลไม่เสมอกัน" ความเป็นมืออาชีพไม่เสมอกัน
    .
    ข้อสุดท้าย สังคมเกาหลีส่วนใหญ่มีการแข่งขันกันสูงมาก จึงหาความจริงใจหรือการหวังจะมีจิตสำนึกบุญคุณจากคนเกาหลีได้ยากมาก ยกเว้นคนเกาหลีที่ตัดสินใจมาอยู่ในเมืองไทยจริงๆ อย่าง โค้ชเชและพี่เรืองที่ต่างกว่าเกาหลีทั่วไป
    .
    แต่ถ้าในอนาคต แน็ก ชาลี จะติสท์แตกจนหน้ามืดตามัวกลับไปคืนดีคบหากับ จี กามิน อีกครั้ง ด้วยความขี้สงสารหรือขี้ใจบุญ ผมคงไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่ผมจะต้องหันกลับมาด่า แน็ก ชาลี เพิ่มเติมอีกคนหนึ่ง
    .
    ท่านผู้ชมครับ พวกเราคนไทยเป็นคนเปิดกว้าง ไม่เคยเหยียดชนชั้น ชาติ หรือศาสนาใด อย่าให้พวกเกาหลีมาดูถูกพวกเราแบบนี้ ว่าคนไทยโง่และหลอกง่าย จึงงดที่จะสนับสนุนพวกดาราเกาหลี เลิกเที่ยวเกาหลี สถานที่เที่ยวไม่ได้มีอะไร อาหารก็ไม่ได้เรื่อง เรารักคนไทย รักประเทศไทยมากขึ้น หรือว่าไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ดีกว่าครับ

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/iKQhhVuez7szj2is/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    มิติเรื่องของ"กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย" . มิติเรื่องของ "กามิน = เกาหลี แน็ก ชาลี = ประเทศไทย" นั้น มันมีมิติหลายๆ อย่างที่ผมจะพูด นอกเหนือจากความกะล่อน การต้มตุ๋น มาหลอกลวงความรัก ความอบอุ่น ความหวังดีของคนไทยที่มองโลกในแง่ดี . สัปดาห์ที่แล้วจนถึงสัปดาห์นี้ ไม่มีกระแสใดจะแรงเท่ากระแสอินฟลูเอนเซอร์ของไทยและเกาหลี กระแสดาราไทยลูกเสี้ยวฮอลแลนด์ ชื่อ "ชาลี ปอทเจส" หรือที่รู้จักกันในชื่อ "แน็ก ชาลี" กับ TikToker ชาวเกาหลี ชื่อ "จี กามิน" หรือที่คนไทยเรียกสั้นๆ ว่า "กามิน" อายุ 31 ปี พอๆ กับแน็ก . เรื่องนี้ให้บทเรียนกับคนไทยหลายๆ แง่มุมด้วยกัน คือ ข้อแรก อย่าโง่ ถูกเกาหลีปั่น สร้างกระแสโอนเงินหรือแจกสติกเกอร์ใครง่ายๆ คุณอาจจะยากจนกว่าคนที่รับเงินไปแบบเทียบไม่ได้ . ข้อสอง ถ้าให้ผมวิเคราะห์ความเป็นมนุษย์ผู้หญิงในเกาหลีที่ไลฟ์สดหารายได้ กินอยู่อย่างประหยัด สะท้อนให้เห็นว่าความจริงแล้ว กามินเป็นคนปากกัดตีนถีบ เอาแต่ได้ ซึ่งเป็นสันดานของคนเกาหลีส่วนหนึ่ง เมื่อได้เงินมา รวยฉับพลัน จึงเหมือนสามล้อถูกหวยที่ปรับตัวไม่ทัน ไม่คำนึงถึงบุญคุณของคนอื่นที่ดึงตัวเองขึ้นมาจากความลำบาก และมองโลกในแง่ร้ายว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ ไม่เป็นมืออาชีพ คิดจะกอบโกยอย่างเดียว . ข้อสาม ครูเดวิด วิลเลียม ชาวอเมริกันที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยมา และพูดภาษาไทยชัดมาก ออกมาเตือนสติว่า “ กามิน ไม่มีทางมีวันนี้ถ้าไม่มีคนไทย ถ้าใครรักประเทศใด ต้องลงทุนกับเวลา 2 เรื่อง คือ เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเขาหรือไปเที่ยวทั่วไทย ไม่ใช่มาประเทศไทยทำงานหาเงิน หาเงิน แล้วแยกย้ายกลับบ้าน มันไม่ใช่” . ข้อสี่ แน็ก ชาลี เป็นศิลปินนักแสดงที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่เด็กในภาพยนตร์เรื่องแฟนฉันเมื่อปี 2546 และเป็นศิลปินแบบที่พวกเราเรียกกันว่า "พวกติสท์แตก" เป็นผู้ให้ ช่วยและให้โอกาสคนที่ลำบากที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างกามิน แต่การจีบกันในโซเชียลมีเดียไม่สามารถจะรู้นิสัยตัวตนที่แท้จริงได้ ดังนั้น พื้นฐานในเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะว่า "ศีลไม่เสมอกัน" ความเป็นมืออาชีพไม่เสมอกัน . ข้อสุดท้าย สังคมเกาหลีส่วนใหญ่มีการแข่งขันกันสูงมาก จึงหาความจริงใจหรือการหวังจะมีจิตสำนึกบุญคุณจากคนเกาหลีได้ยากมาก ยกเว้นคนเกาหลีที่ตัดสินใจมาอยู่ในเมืองไทยจริงๆ อย่าง โค้ชเชและพี่เรืองที่ต่างกว่าเกาหลีทั่วไป . แต่ถ้าในอนาคต แน็ก ชาลี จะติสท์แตกจนหน้ามืดตามัวกลับไปคืนดีคบหากับ จี กามิน อีกครั้ง ด้วยความขี้สงสารหรือขี้ใจบุญ ผมคงไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่ผมจะต้องหันกลับมาด่า แน็ก ชาลี เพิ่มเติมอีกคนหนึ่ง . ท่านผู้ชมครับ พวกเราคนไทยเป็นคนเปิดกว้าง ไม่เคยเหยียดชนชั้น ชาติ หรือศาสนาใด อย่าให้พวกเกาหลีมาดูถูกพวกเราแบบนี้ ว่าคนไทยโง่และหลอกง่าย จึงงดที่จะสนับสนุนพวกดาราเกาหลี เลิกเที่ยวเกาหลี สถานที่เที่ยวไม่ได้มีอะไร อาหารก็ไม่ได้เรื่อง เรารักคนไทย รักประเทศไทยมากขึ้น หรือว่าไปเที่ยวประเทศอื่นๆ ดีกว่าครับ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/iKQhhVuez7szj2is/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 446 Views 0 Reviews
  • พูดถึงการเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้รถถังเพิ่มเติมจากปืนกลหนัก 12.7 มิลลิเมตรด้านบนป้อมปืน มีกรณีศึกษาน่าสนใจคือกรณีของเกาหลีเหนือที่มีการติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่าหรือ MANPADS บนป้อมปืนรถถังมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีการใช้โดรนแพร่หลายเสียอีก เหตุผลไม่ใช่เพราะเกาหลีเหนือมองการณ์ไกล แต่มาจากดุลทางทหารที่เกาหลีเหนือมีกำลังทางอากาศด้อยกว่าเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มาก กองทัพอากาศเกาหลีเหนือมีเครื่องบินขับไล่ที่พอไปวัดไปวาได้คือ MiG-29 ประมาณ 35 ลำเท่านั้น เครื่องบินรบนอกเหนือจากนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็น MiG-21 และ MiG-23 เทียบไม่ได้เลยกับกองทัพอากาศเกาหลีใต้และสหรัฐฯ กองทัพบกเกาหลีเหนือจึงต้องเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวทั้งติด MANPADS ให้ยานเกราะทั่วไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหวังพึ่งการคุ้มกันทางอากาศจากเครื่องบินขับไล่ได้

    ทีนี้การติด MANPADS บนป้อมปืนรถถัง ข้อดีก็คือช่วยเพิ่มระยะยิงอาวุธต่อสู้อากาศยานของรถถัง จากที่ปกติปืนกลขนาด 12.7 มิลลิเมตรมีระยะยิงหวังผลประมาณ 1 - 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นเป็นระยะยิงของ MANPADS ประมาณ 5 กิโลเมตร นำวิถีด้วย อย่างไรก็ตามข้อเสียของ MANPADS คือพลยิงหรือในกรณีนี้คือพลประจำรถถัง ต้องค้นหาเป้าหมายด้วยสายตา และทัศนวิสัยด้านในของรถถังค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงที่การรบชุลมุน ผบ. รถถังไม่สามารถเปิดฝาป้อมออกมาได้ ก็ยิ่งมีข้อจำกัดมาก ดังนั้นต่อให้รถถังมีอาวุธต่อสู้อากาศยานเพิ่มคือ MANPADS แต่ถ้ามองไม่เห็นเป้าหมาย ก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพครับ

    ในกรณีของโดรน FPV ความจริงโดรนประเภทนี้โดยตัวมันเองไม่ได้แข็งแกร่งทนทานอะไร ใช้แค่ปืนลูกซองก็สามารถสอยลงมาได้ จุดที่ยากคือการหาโดรนให้พบต่างหาก ต้องไม่ลืมว่าภัยคุกคามในสนามรบไม่ได้มีแค่โดรน มีทั้งทหารราบและยานเกราะฝ่ายตรงข้าม ปืนใหญ่ เป็นต้น ส่งผลให้ไม่สามารถแหงนหน้ามองหาโดรนอย่างเดียวได้ ดังนั้นถ้าในอนาคตจะมีการปรับปรุงความสามารถในการต่อต้านโดรนของยานเกราะ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ระบบอาวุธคือระบบตรวจจับครับ จะทำอย่างไรจึงจะให้พลประจำรถที่มีทัศนวิสัยจำกัด สามารถมองเห็นโดรนก่อนที่โดรนจะเข้าโจมตีได้ อย่างที่ผมบอกไปว่าการสอยโดรน FPV ทำได้ไม่ยาก แค่ปืนลูกซองก็สอยลงมาได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญเลยคือต้องเห็นโดรนก่อน

    สวัสดี

    การทูตและการทหาร
    Military and Diplomacy

    14.09.2024
    พูดถึงการเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้รถถังเพิ่มเติมจากปืนกลหนัก 12.7 มิลลิเมตรด้านบนป้อมปืน มีกรณีศึกษาน่าสนใจคือกรณีของเกาหลีเหนือที่มีการติดตั้งจรวดต่อสู้อากาศยานประทับบ่าหรือ MANPADS บนป้อมปืนรถถังมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนจะมีการใช้โดรนแพร่หลายเสียอีก เหตุผลไม่ใช่เพราะเกาหลีเหนือมองการณ์ไกล แต่มาจากดุลทางทหารที่เกาหลีเหนือมีกำลังทางอากาศด้อยกว่าเกาหลีใต้และสหรัฐฯ มาก กองทัพอากาศเกาหลีเหนือมีเครื่องบินขับไล่ที่พอไปวัดไปวาได้คือ MiG-29 ประมาณ 35 ลำเท่านั้น เครื่องบินรบนอกเหนือจากนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็น MiG-21 และ MiG-23 เทียบไม่ได้เลยกับกองทัพอากาศเกาหลีใต้และสหรัฐฯ กองทัพบกเกาหลีเหนือจึงต้องเสริมอาวุธต่อสู้อากาศยานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวทั้งติด MANPADS ให้ยานเกราะทั่วไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหวังพึ่งการคุ้มกันทางอากาศจากเครื่องบินขับไล่ได้ ทีนี้การติด MANPADS บนป้อมปืนรถถัง ข้อดีก็คือช่วยเพิ่มระยะยิงอาวุธต่อสู้อากาศยานของรถถัง จากที่ปกติปืนกลขนาด 12.7 มิลลิเมตรมีระยะยิงหวังผลประมาณ 1 - 2 กิโลเมตร เพิ่มขึ้นเป็นระยะยิงของ MANPADS ประมาณ 5 กิโลเมตร นำวิถีด้วย อย่างไรก็ตามข้อเสียของ MANPADS คือพลยิงหรือในกรณีนี้คือพลประจำรถถัง ต้องค้นหาเป้าหมายด้วยสายตา และทัศนวิสัยด้านในของรถถังค่อนข้างจำกัด ยิ่งถ้าอยู่ในช่วงที่การรบชุลมุน ผบ. รถถังไม่สามารถเปิดฝาป้อมออกมาได้ ก็ยิ่งมีข้อจำกัดมาก ดังนั้นต่อให้รถถังมีอาวุธต่อสู้อากาศยานเพิ่มคือ MANPADS แต่ถ้ามองไม่เห็นเป้าหมาย ก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพครับ ในกรณีของโดรน FPV ความจริงโดรนประเภทนี้โดยตัวมันเองไม่ได้แข็งแกร่งทนทานอะไร ใช้แค่ปืนลูกซองก็สามารถสอยลงมาได้ จุดที่ยากคือการหาโดรนให้พบต่างหาก ต้องไม่ลืมว่าภัยคุกคามในสนามรบไม่ได้มีแค่โดรน มีทั้งทหารราบและยานเกราะฝ่ายตรงข้าม ปืนใหญ่ เป็นต้น ส่งผลให้ไม่สามารถแหงนหน้ามองหาโดรนอย่างเดียวได้ ดังนั้นถ้าในอนาคตจะมีการปรับปรุงความสามารถในการต่อต้านโดรนของยานเกราะ สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ระบบอาวุธคือระบบตรวจจับครับ จะทำอย่างไรจึงจะให้พลประจำรถที่มีทัศนวิสัยจำกัด สามารถมองเห็นโดรนก่อนที่โดรนจะเข้าโจมตีได้ อย่างที่ผมบอกไปว่าการสอยโดรน FPV ทำได้ไม่ยาก แค่ปืนลูกซองก็สอยลงมาได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญเลยคือต้องเห็นโดรนก่อน สวัสดี การทูตและการทหาร Military and Diplomacy 14.09.2024
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 475 Views 0 Reviews
  • ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน

    Eric Weinstein
    .
    I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either.
    .
    11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views
    https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789
    .
    ฉันเข้าใจ

    โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย

    CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ

    เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ"

    จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔

    ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน

    โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน

    หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน

    ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน

    สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง

    Clandestine
    .
    I do.

    Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation.

    The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight.

    It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”.

    Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014.

    Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine.

    Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine.

    If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine.

    Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons.

    The Cold War never truly ended.
    .
    1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views
    https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน Eric Weinstein . I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either. . 11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789 . ฉันเข้าใจ โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ" จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔ ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง Clandestine . I do. Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation. The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight. It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”. Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014. Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine. Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine. If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine. Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons. The Cold War never truly ended. . 1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • 14-09-67/01 : หมี CNN / "หมีตะนอย" EP18 ตอน "BATTLE KILLING FIELDS" ไม่ต้องรอชงนาน ซัดกันไปเลย! "ไม่ต้องอีแอบ ดีออก? NATO คือศัตรูของโลก ชัดพอมุย?" ปูตินสั่งเดินหน้าไล่ฆ่าเหี้ยนาโต้ทุกไอ้อี ประสานจีน ขยี้หัวใจเหี้ยทั้งโลก ทำลายดอลล่าร์แค่ออเดิร์ฟ งานนี้จ้องถึงดินแดนไกล เอาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่สามารถกลับมาทำเหี้ยได้อีกตลอดกาล! ส่งสัญญานชัดเจน "มรึงจะเลือกใคร?" มรึงดู! แผนล่อเหี้ยเข้าถ้ำสำเร็จ ล่อให้เข้ามายึดพื้นที่กันชนรัสเซีย ล่อให้โจมตีมอสโคว์ประปราย เพื่อมอบใบเสร็จเช็คบิลคืน ยึดทั้งแผ่นดินยูเครน แถมพ่วงต่ออีโปล ยาวจนไปถึงสแกนดิเนเวีย อะไรที่มรึงบุกรุกเข้ามา ยึดหมู่บ้านเล็กๆ พื้นที่เท่าเหมี๊ยวดิ้นตาย นั่นรัสเซียไม่กังวลเลย เพราะเค้าเตรียมยึดคืนเมื่อไหร่ก็ได้ สบายตรีน แต่ที่แน่ๆ ชี้เป้าเหตุผลเพราะ NATO คือคู่สงคราม และมีส่วนส่งอาวุธ ทหารนาโต้ เข้าไปบุกรุกดินแดนรัสเซีย ทั้งหมดที่มรึงเห็นคือ "รัสเซียจัดฉากรอเชือด" ถามจริง อียูเครนมันยังจะเหลือเหี้ยอะไรอีก มีปัญญาทำอะไรรัสเซียได้อีก? มันจบไปนานแล้ว แค่ให้เหี้ยต่อลมหายใจดอลล่าร์ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือไปทั้งวอชิงตัน ลอนดอน เกจิ กุนซือระดับโลก เค้าวางแผน 3-4 ชั้น ไม่บ้องตื้นหลงกลตามเกมส์นี้ แต่เหี้ยไม่มีทางเลือก หากไม่สู้ ก็ยกแผ่นดินให้แม่งไปเลยดีกว่า? ปูติน สีจิ้นผิง อ่านเกมส์ขาดมาตั้งแต่ต้น ถึงได้ดัน BRICS ขึ้นมาเพื่อฆ่าดอลล่าร์ บีบให้เหี้ยต้องก่อสงครามใหญ่โดยไม่มีทางเลี่ยง ใครจะเล่นลูกยาวกับรัสเซีย? มรึงคิดให้ดีก่อน ยิงไม่ยาก แต่จะถึงรึเปล่า? แล้วเค้ายิงกลับมา มรึงมีปัญญาสกัดรึเปล่า? พ่วงมินิคุ๊กกี้ของชัวร์ รัสเซียไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เบลารุส ไม่ได้พกนุ๊กเอาไว้ประดับน่ะจ๊ะ? ที่ให้ก็เพื่อเตรียมใช้กับศัตรูรัสเซีย เหมือนที่อิหร่านไม่จำเป็นต้องออกตัวฆ่ายิว และขี้ข้า ส่งอาวุธครบมือ เติมไม่อั้น จ่ายไม่เกี่ยง ที่มาเยเมนจัดเต็ม ประกาศศักดาไงล่ะ? แซมบ้าไม่ยู้น่ะ? เหี้ยช็อค กองเรือรบจีน โผล่หลังบ้านเหี้ย? ซ้อมรบกับบราซิลในนามกลุ่ม BRICS แปลว่าอะไร? รัสเซียยึดคาบสมุทรแคริบเบี้ยน จีนยึดหัวหาดลาติน อิหร่านเดินสายพลังงานเวเนฯ อเมริกาที่เคยปลอดภัย เที่ยวไปไล่เผาบ้านคนอื่นได้ประจำ ตอนนี้ มรึงกำลังจะถูกเผากลับแล้วไงล่ะ? พันธมิตรขั้วใหม่ที่อยู่ในลาติน หลังบ้านเหี้ยทั้งนั้น ล้อมมรึงทุกทิศทาง กางแผนที่ดูสิ เม็กซิโก เวเนฯ คิวบา บราซิล นิการากัว โบลิเวีย หมู่เกาะแคริบเบี้ยน แม้แต่โคลอมเบีย เพื่อนบ้านแสนเหี้ยยังปันใจย้ายขั้ว อีตาเพนบอก ได้ลงหลุมหลบภัยกันทั้งแผ่นดินแน่ อยู่ในหลุมเป็นปีเลยมรึง งวดนี้! ข้ามวิกแป๊บ : กูเคยบอกไปแล้ว เงิน 10000 ใครจะเอาก็เอาไป? รอให้แจกจริง รอให้เซ็นต์จริง เท่านั้นแหละ ทุกอย่างจะจบที่ศาลไคฟงทันที? ใครรอ 25/26/27/30 ขอให้ได้สมใจนึกวังบูรพา? แต่ไอ้คนที่สั่งจ่าย ลงรอนรกได้เลย? เกมส์ลึก ดูให้ชัด ทำไมมันต้องเร่งออกตอนนี้ เพราะอ้างน้ำท่วม? ยิ่งเข้าทางตรีน เงินฉุกเฉินเปิดช่องให้ช่วย แต่ไม่ได้ให้แจกฟรีไปทั่ว ผิดเงื่อนไข และกฎเหล็กคลัง เซ็นต์ไปเลย กูจะรอดูความฉิบหายของมรึง! เพราะบังลังก์ศาลรู้ดีว่าอะไรจะตามมา? ใช้เงินผิดประเภท และวัตถุประสงค์ ครม. รมต. สส. สว. ใครยกผ่าน โดนหมดเกลี้ยง นี่คือ "กับดัก" แผนชงยุบพรรค และยุบสภาตามมา ส่วนชาวบ้านเดือดร้อน ภาครัฐมีหน่วยงานช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่ทำอยู่เนี่ย เค้าเรียก "ซื้อหัวคะแนน" เพราะไอ้อีที่ได้เงินไปก่อน และไม่รู้จะได้ครบตามที่วางแผนโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ทุกอย่างเท่ากับเร่งปฎิกิริยาตายห่าหมู่ทันที แสงทำงานไวอย่างที่กูบอกไงล่ะ? ชี้ชัด เหี้ยมันจนตรอกขั้นสุดแล้ว เหมือนนายใหญ่เยรูซาเล็มมันเป๊ะเด๊ะ อีเหลี่ยมชั่ว หวังใช้เงินแผ่นดินที่ไม่ใช่ของมัน เพื่อซื้อเก้าอี้ต่อเวลา ใครก็มองออก? กูพูดไม่ผิด ควายมันไม่สนเหี้ยอะไรทั้งนั้น มันเอาแต่ "เงิน" เพื่อไปสนองตัณหามันเท่านั้น นี่แหละ เค้าถึงเรียก "กลียุค" ไม่มีส่วนรวม ไม่มีคนอื่น มีแค่ตัวกู ของกู เท่านั้น เชิญลงนรกกันให้เต็มที่น่ะ กูจะแผ่เมตตาไปให้ ฝากกระต่ายที่เจ็บช้ำน้ำใจมาช้านาน เวลามรึงจะดิ้น ต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือแผน อะไรคือหลอก อะไรคือข้อเท็จจริง? กูจะขยายความให้ฟัง ทันที ที่ศาลเขยิบ เงินที่ให้คือผิดกฎหมายทันที ระวัง! อาจถูกเรียกคืนหลังศาลฟัน ประเด็นมันอยู่ที่ "จะรอให้จ่ายให้จบก่อนหรือไม่" นี่แหละ เกมส์ที่กูบอก "เวลา" บีบให้เหี้ยต้องหน้ามืดตามัว เล่นเกมส์เสี่ยงโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เมื่อมรึงไม่สนใจแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจมรึงเช่นกัน ให้ได้ ก็เอาคืนได้ แค่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง? กูพูดไปหมดแล้วน่ะ สุดแต่ปัญญาที่มรึงจะไขว่คว้าได้? ส่วนตัว กูไม่รับจะ 10000 จะ 100000 ให้ฟรี กูก็ไม่เอา ไม่ได้รวย แต่กูรู้ดีว่าเงินนี้ มันคือ "เงินบาป" เงินที่ต้องชดใช้คืนแผ่นดิน กรรมมรึงยังหนักไม่พออีกเหรอ? ควายจ๋า? ต้องไปเกิดต่ำตมอีกกี่ชาติ กว่าจะชดใช้หมด? มรึงหยุดวิบากกรรมได้ หากมีปัญญา! ย้ำว่า หน่วยงานรัฐ มีงบช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับงบแจกเงินหาเสียง เลี้ยงหัวคะแนน ที่มาว่ามันทำไมมันถึงหลอกให้ควายลงทะเบียนทั้งแผ่นดิน สูตรเดียวกับที่อีวอชิงตันมันทำกับประชากรควายอเมริกันไงล่ะ นี่แหละโลกดิจิตอลไร้สติ!

    ปล.พอแล้วจ๋า! 3 ฮอ ถล่ม 2 คืนติด แบบ NON STOP ท่าเรือ ค่ายทหาร คลังแสงย่อย ไปหมดเกลี้ยง อ้าว! ไหนสื่อบอก อียิวไล่ฆ่าคนอยู่ที่เวสต์แบงค์ไง? อะไรที่อียิวมันตายโหงตายห่าเกลื่อน มันจะรายงานมรึงทำพ่องเหรอ? ยังอับอายไม่พออีเหรอ? สภาพเยรูซาเล็มตอนนี้ มันคือล่มสลายไปแล้ว เพราะอะไรที่มรึงควบคุม สั่งการไม่ได้ แปลว่าได้สูญเสียอธิปไตยไปแล้วนั่นเอง กูถึงบอกไงล่ะว่า เสพสื่อเหี้ยก็ได้แต่ขี้ ตาย 6 ตาย 7 เชิญเอาไปตอแหลเหอะ? ระเบิดหนักเป็นกิโล รัศมี 500 เมตร อะไรจะเหลือ? มรึงดูแค่ทหารเหี้ยมะกันพิการไปหลายหมื่น ยังต้องให้แปลอีกเหรอ อาวุธรุ่นใหม่รัสเซีย ทำลายโสตประสาททั้งหมด ทหารรับจ้างเหี้ยถึงได้ขยาดไงล่ะ แค่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงยังไม่รอด? ข้ามวิกต่อ : จับตาดู "ภูมิใจไตย" อาวุธลับล้มรัฐบาลปลอม แผนชงเขี่ยอีส้มเน่า อีแดง ให้ราบคาบก่อน ทหารถึงจะเข้ามาตบๆ ได้ รึว่ามรึงลืมไปแล้วว่า "อีป้อม" มันเคยเป็นทหารมาก่อน แผนสับจาหลอก การหักหลัง อสรพิษ ยังมีอยู่เกลื่อน ละครปาหี่ฉากนี้ จะยังอยู่อีกได้ไม่นาน เมื่อศาลเขยิบ ทุกอย่างจะเปลี่ยนทันที ถึงบอกไงล่ะว่า ยิ่งทำเหี้ยมากเท่าไหร่ ยิ่งดันผลงานชั่วออกสื่อมากเท่าไหร่ ใบเสร็จสะสมแต้มตามมาทันที ศาลยึดคืนได้หมด อะไรที่เป็นของแผ่นดิน ศาลสั่งเรียกคืนมาได้หมดอยู่แล้ว ใครเซ็นต์ ใครสั่งจ่าย ก็รับผิดชอบไปสิ ยึดทรัพย์แม่งให้หมดทั้งแผ่นดิน บางคนอาจจะสงสัย หากควายได้ 10000 ไปแล้ว ยังต้องคืนจริงเหรอ? ดูดอกต่อไปให้ดีดี วังจะเล่นบท "พระเอกเอง" จบแค่นี้ รู้เท่าที่ควรจะรู้พอ? ก็พูดเป็น 100 ครั้งแล้วว่า "โลกคือละคร" ตามไม่ทัน ก็ทุข์ ทรมาน ใครรู้ทัน ก็จะสงบนิ่ง เพราะสุดท้าย เงินมันไปไหนไม่ได้ดอก ต้องกลับคืนสู่แผ่นดินทั้งหมด แค่ไม่ทันใจมรึง ก็เท่านั้นเอง? อียุ่นปี่ เยี่ยวแตก! บินรบรัสเซียโผล่โอกินาว่า เป้านิ่ง มรึงโดนทุกขณะจิต! เชิงศึกก็เล่นสงครามปราสาทแดร๊กต่อไป แต่ในเชิงเศรษฐกิจการค้า อียุ่นปี่แทบกราบตรีนพลังงานรัสเซีย รู้กันวงใน ถึงเวลา มรึงจะยอมตายจริงมั้ย? แผ่นดินหาย สิ้นชาติ สูญพันธุ์ เพื่ออียิวเหี้ย มันคุ้มเหรอ? จีนตบสั่งสอนไปแล้ว 1 ดอก อย่าให้รัสเซียต้องลงมือเองน่ะจ๊ะ? ล่าสุด JOHN KIM ช็อคโลก โชว์โรงงานยูเรเนียมให้เหี้ยดิ้นพล่านเล่น ผลิตพลังงานไม่รู้จบ ส่งจีนสบาย(ทางเลือกจีนอีกช่องทาง) แร่ยูเรเนียมใครส่งให้ ติดรัสเซียจะเอาเท่าไหร่บอก แต่ไม่ให้อีเศษฝรั่งแม้เพียงขีดเดียว มันกำลังขาดแคลนขั้นถังแตกอยู่ตอนนี้! นี่คือสัญญานว่า โสมแดงยังจะพัฒนาพลังงานไปได้อีกไกลมหาศาล แล้วโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน ได้มาจากใครกันล่ะ? ที่มาว่าโดรนพิฆาต ขีปนาวุธ โสมแดงจับมืออิหร่าน นานแล้ว อะไหล่ใช้แทนกันได้ไงล่ะ? สัญญานชัด อิหร่านพกนุ๊กมานานแล้วนั่นเอง อียิวก็รู้อยู่เต็มอก แต่หากพ่วงไฮเปอร์โซนิคเข้าไปอีกชั้น ส่งเรือดำน้ำไปลำ รับรองเหี้ยผวา นอนไม่หลับ ไปหลายคืน จะไปโผล่ที่ไหนดีล่ะ อลาสก้า รัสเซีย-จีน โผล่ถี่เกินปุยมุย? อดีต CIA แฉเอง สหรัฐแบบสื่อรัสเซีย เพราะกลัวควายโลกตื่นรู้ กลัวความจริงจะปรากฎว่า อเมริกา อิสราเอล อังกฤษ ล่มสลายไปแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ยุคปลายกลียุค เหี้ยต่างหนีเอาตัวรอด ตามกมลสันดาน ยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะ เหี้ยกว่านี้ก็กลับใจได้ มันไม่คิดจะทำดีดอกน่ะ แค่อย่าฆ่ากูก็พอ? เฉกเช่นเดียวกับละครศรีธนญชัยฯ 2024 บ้านเรานั่นแหละ ใครว่า "โลกไม่เชื่อมกันล่ะ?"

    หมี CNN(อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนได้ ต้องให้สิ่งโสมมออกมาให้หมดสิ้นก่อน เชื้อชั่ว เชื้อเลวบัดซบทั้งหลาย ต้องออกลายมาให้หมด แสงจะใช้ไฟเผาผลาญจนสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเอง เหี้ยหน้าไหนก็ทนแสงไม่ได้)
    14 กย. 67
    15.00 น.
    https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    14-09-67/01 : หมี CNN / "หมีตะนอย" EP18 ตอน "BATTLE KILLING FIELDS" ไม่ต้องรอชงนาน ซัดกันไปเลย! "ไม่ต้องอีแอบ ดีออก? NATO คือศัตรูของโลก ชัดพอมุย?" ปูตินสั่งเดินหน้าไล่ฆ่าเหี้ยนาโต้ทุกไอ้อี ประสานจีน ขยี้หัวใจเหี้ยทั้งโลก ทำลายดอลล่าร์แค่ออเดิร์ฟ งานนี้จ้องถึงดินแดนไกล เอาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่สามารถกลับมาทำเหี้ยได้อีกตลอดกาล! ส่งสัญญานชัดเจน "มรึงจะเลือกใคร?" มรึงดู! แผนล่อเหี้ยเข้าถ้ำสำเร็จ ล่อให้เข้ามายึดพื้นที่กันชนรัสเซีย ล่อให้โจมตีมอสโคว์ประปราย เพื่อมอบใบเสร็จเช็คบิลคืน ยึดทั้งแผ่นดินยูเครน แถมพ่วงต่ออีโปล ยาวจนไปถึงสแกนดิเนเวีย อะไรที่มรึงบุกรุกเข้ามา ยึดหมู่บ้านเล็กๆ พื้นที่เท่าเหมี๊ยวดิ้นตาย นั่นรัสเซียไม่กังวลเลย เพราะเค้าเตรียมยึดคืนเมื่อไหร่ก็ได้ สบายตรีน แต่ที่แน่ๆ ชี้เป้าเหตุผลเพราะ NATO คือคู่สงคราม และมีส่วนส่งอาวุธ ทหารนาโต้ เข้าไปบุกรุกดินแดนรัสเซีย ทั้งหมดที่มรึงเห็นคือ "รัสเซียจัดฉากรอเชือด" ถามจริง อียูเครนมันยังจะเหลือเหี้ยอะไรอีก มีปัญญาทำอะไรรัสเซียได้อีก? มันจบไปนานแล้ว แค่ให้เหี้ยต่อลมหายใจดอลล่าร์ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือไปทั้งวอชิงตัน ลอนดอน เกจิ กุนซือระดับโลก เค้าวางแผน 3-4 ชั้น ไม่บ้องตื้นหลงกลตามเกมส์นี้ แต่เหี้ยไม่มีทางเลือก หากไม่สู้ ก็ยกแผ่นดินให้แม่งไปเลยดีกว่า? ปูติน สีจิ้นผิง อ่านเกมส์ขาดมาตั้งแต่ต้น ถึงได้ดัน BRICS ขึ้นมาเพื่อฆ่าดอลล่าร์ บีบให้เหี้ยต้องก่อสงครามใหญ่โดยไม่มีทางเลี่ยง ใครจะเล่นลูกยาวกับรัสเซีย? มรึงคิดให้ดีก่อน ยิงไม่ยาก แต่จะถึงรึเปล่า? แล้วเค้ายิงกลับมา มรึงมีปัญญาสกัดรึเปล่า? พ่วงมินิคุ๊กกี้ของชัวร์ รัสเซียไม่จำเป็นต้องลงมือเอง เบลารุส ไม่ได้พกนุ๊กเอาไว้ประดับน่ะจ๊ะ? ที่ให้ก็เพื่อเตรียมใช้กับศัตรูรัสเซีย เหมือนที่อิหร่านไม่จำเป็นต้องออกตัวฆ่ายิว และขี้ข้า ส่งอาวุธครบมือ เติมไม่อั้น จ่ายไม่เกี่ยง ที่มาเยเมนจัดเต็ม ประกาศศักดาไงล่ะ? แซมบ้าไม่ยู้น่ะ? เหี้ยช็อค กองเรือรบจีน โผล่หลังบ้านเหี้ย? ซ้อมรบกับบราซิลในนามกลุ่ม BRICS แปลว่าอะไร? รัสเซียยึดคาบสมุทรแคริบเบี้ยน จีนยึดหัวหาดลาติน อิหร่านเดินสายพลังงานเวเนฯ อเมริกาที่เคยปลอดภัย เที่ยวไปไล่เผาบ้านคนอื่นได้ประจำ ตอนนี้ มรึงกำลังจะถูกเผากลับแล้วไงล่ะ? พันธมิตรขั้วใหม่ที่อยู่ในลาติน หลังบ้านเหี้ยทั้งนั้น ล้อมมรึงทุกทิศทาง กางแผนที่ดูสิ เม็กซิโก เวเนฯ คิวบา บราซิล นิการากัว โบลิเวีย หมู่เกาะแคริบเบี้ยน แม้แต่โคลอมเบีย เพื่อนบ้านแสนเหี้ยยังปันใจย้ายขั้ว อีตาเพนบอก ได้ลงหลุมหลบภัยกันทั้งแผ่นดินแน่ อยู่ในหลุมเป็นปีเลยมรึง งวดนี้! ข้ามวิกแป๊บ : กูเคยบอกไปแล้ว เงิน 10000 ใครจะเอาก็เอาไป? รอให้แจกจริง รอให้เซ็นต์จริง เท่านั้นแหละ ทุกอย่างจะจบที่ศาลไคฟงทันที? ใครรอ 25/26/27/30 ขอให้ได้สมใจนึกวังบูรพา? แต่ไอ้คนที่สั่งจ่าย ลงรอนรกได้เลย? เกมส์ลึก ดูให้ชัด ทำไมมันต้องเร่งออกตอนนี้ เพราะอ้างน้ำท่วม? ยิ่งเข้าทางตรีน เงินฉุกเฉินเปิดช่องให้ช่วย แต่ไม่ได้ให้แจกฟรีไปทั่ว ผิดเงื่อนไข และกฎเหล็กคลัง เซ็นต์ไปเลย กูจะรอดูความฉิบหายของมรึง! เพราะบังลังก์ศาลรู้ดีว่าอะไรจะตามมา? ใช้เงินผิดประเภท และวัตถุประสงค์ ครม. รมต. สส. สว. ใครยกผ่าน โดนหมดเกลี้ยง นี่คือ "กับดัก" แผนชงยุบพรรค และยุบสภาตามมา ส่วนชาวบ้านเดือดร้อน ภาครัฐมีหน่วยงานช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่ทำอยู่เนี่ย เค้าเรียก "ซื้อหัวคะแนน" เพราะไอ้อีที่ได้เงินไปก่อน และไม่รู้จะได้ครบตามที่วางแผนโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ ทุกอย่างเท่ากับเร่งปฎิกิริยาตายห่าหมู่ทันที แสงทำงานไวอย่างที่กูบอกไงล่ะ? ชี้ชัด เหี้ยมันจนตรอกขั้นสุดแล้ว เหมือนนายใหญ่เยรูซาเล็มมันเป๊ะเด๊ะ อีเหลี่ยมชั่ว หวังใช้เงินแผ่นดินที่ไม่ใช่ของมัน เพื่อซื้อเก้าอี้ต่อเวลา ใครก็มองออก? กูพูดไม่ผิด ควายมันไม่สนเหี้ยอะไรทั้งนั้น มันเอาแต่ "เงิน" เพื่อไปสนองตัณหามันเท่านั้น นี่แหละ เค้าถึงเรียก "กลียุค" ไม่มีส่วนรวม ไม่มีคนอื่น มีแค่ตัวกู ของกู เท่านั้น เชิญลงนรกกันให้เต็มที่น่ะ กูจะแผ่เมตตาไปให้ ฝากกระต่ายที่เจ็บช้ำน้ำใจมาช้านาน เวลามรึงจะดิ้น ต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือแผน อะไรคือหลอก อะไรคือข้อเท็จจริง? กูจะขยายความให้ฟัง ทันที ที่ศาลเขยิบ เงินที่ให้คือผิดกฎหมายทันที ระวัง! อาจถูกเรียกคืนหลังศาลฟัน ประเด็นมันอยู่ที่ "จะรอให้จ่ายให้จบก่อนหรือไม่" นี่แหละ เกมส์ที่กูบอก "เวลา" บีบให้เหี้ยต้องหน้ามืดตามัว เล่นเกมส์เสี่ยงโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เมื่อมรึงไม่สนใจแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจมรึงเช่นกัน ให้ได้ ก็เอาคืนได้ แค่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง? กูพูดไปหมดแล้วน่ะ สุดแต่ปัญญาที่มรึงจะไขว่คว้าได้? ส่วนตัว กูไม่รับจะ 10000 จะ 100000 ให้ฟรี กูก็ไม่เอา ไม่ได้รวย แต่กูรู้ดีว่าเงินนี้ มันคือ "เงินบาป" เงินที่ต้องชดใช้คืนแผ่นดิน กรรมมรึงยังหนักไม่พออีกเหรอ? ควายจ๋า? ต้องไปเกิดต่ำตมอีกกี่ชาติ กว่าจะชดใช้หมด? มรึงหยุดวิบากกรรมได้ หากมีปัญญา! ย้ำว่า หน่วยงานรัฐ มีงบช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับงบแจกเงินหาเสียง เลี้ยงหัวคะแนน ที่มาว่ามันทำไมมันถึงหลอกให้ควายลงทะเบียนทั้งแผ่นดิน สูตรเดียวกับที่อีวอชิงตันมันทำกับประชากรควายอเมริกันไงล่ะ นี่แหละโลกดิจิตอลไร้สติ! ปล.พอแล้วจ๋า! 3 ฮอ ถล่ม 2 คืนติด แบบ NON STOP ท่าเรือ ค่ายทหาร คลังแสงย่อย ไปหมดเกลี้ยง อ้าว! ไหนสื่อบอก อียิวไล่ฆ่าคนอยู่ที่เวสต์แบงค์ไง? อะไรที่อียิวมันตายโหงตายห่าเกลื่อน มันจะรายงานมรึงทำพ่องเหรอ? ยังอับอายไม่พออีเหรอ? สภาพเยรูซาเล็มตอนนี้ มันคือล่มสลายไปแล้ว เพราะอะไรที่มรึงควบคุม สั่งการไม่ได้ แปลว่าได้สูญเสียอธิปไตยไปแล้วนั่นเอง กูถึงบอกไงล่ะว่า เสพสื่อเหี้ยก็ได้แต่ขี้ ตาย 6 ตาย 7 เชิญเอาไปตอแหลเหอะ? ระเบิดหนักเป็นกิโล รัศมี 500 เมตร อะไรจะเหลือ? มรึงดูแค่ทหารเหี้ยมะกันพิการไปหลายหมื่น ยังต้องให้แปลอีกเหรอ อาวุธรุ่นใหม่รัสเซีย ทำลายโสตประสาททั้งหมด ทหารรับจ้างเหี้ยถึงได้ขยาดไงล่ะ แค่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงยังไม่รอด? ข้ามวิกต่อ : จับตาดู "ภูมิใจไตย" อาวุธลับล้มรัฐบาลปลอม แผนชงเขี่ยอีส้มเน่า อีแดง ให้ราบคาบก่อน ทหารถึงจะเข้ามาตบๆ ได้ รึว่ามรึงลืมไปแล้วว่า "อีป้อม" มันเคยเป็นทหารมาก่อน แผนสับจาหลอก การหักหลัง อสรพิษ ยังมีอยู่เกลื่อน ละครปาหี่ฉากนี้ จะยังอยู่อีกได้ไม่นาน เมื่อศาลเขยิบ ทุกอย่างจะเปลี่ยนทันที ถึงบอกไงล่ะว่า ยิ่งทำเหี้ยมากเท่าไหร่ ยิ่งดันผลงานชั่วออกสื่อมากเท่าไหร่ ใบเสร็จสะสมแต้มตามมาทันที ศาลยึดคืนได้หมด อะไรที่เป็นของแผ่นดิน ศาลสั่งเรียกคืนมาได้หมดอยู่แล้ว ใครเซ็นต์ ใครสั่งจ่าย ก็รับผิดชอบไปสิ ยึดทรัพย์แม่งให้หมดทั้งแผ่นดิน บางคนอาจจะสงสัย หากควายได้ 10000 ไปแล้ว ยังต้องคืนจริงเหรอ? ดูดอกต่อไปให้ดีดี วังจะเล่นบท "พระเอกเอง" จบแค่นี้ รู้เท่าที่ควรจะรู้พอ? ก็พูดเป็น 100 ครั้งแล้วว่า "โลกคือละคร" ตามไม่ทัน ก็ทุข์ ทรมาน ใครรู้ทัน ก็จะสงบนิ่ง เพราะสุดท้าย เงินมันไปไหนไม่ได้ดอก ต้องกลับคืนสู่แผ่นดินทั้งหมด แค่ไม่ทันใจมรึง ก็เท่านั้นเอง? อียุ่นปี่ เยี่ยวแตก! บินรบรัสเซียโผล่โอกินาว่า เป้านิ่ง มรึงโดนทุกขณะจิต! เชิงศึกก็เล่นสงครามปราสาทแดร๊กต่อไป แต่ในเชิงเศรษฐกิจการค้า อียุ่นปี่แทบกราบตรีนพลังงานรัสเซีย รู้กันวงใน ถึงเวลา มรึงจะยอมตายจริงมั้ย? แผ่นดินหาย สิ้นชาติ สูญพันธุ์ เพื่ออียิวเหี้ย มันคุ้มเหรอ? จีนตบสั่งสอนไปแล้ว 1 ดอก อย่าให้รัสเซียต้องลงมือเองน่ะจ๊ะ? ล่าสุด JOHN KIM ช็อคโลก โชว์โรงงานยูเรเนียมให้เหี้ยดิ้นพล่านเล่น ผลิตพลังงานไม่รู้จบ ส่งจีนสบาย(ทางเลือกจีนอีกช่องทาง) แร่ยูเรเนียมใครส่งให้ ติดรัสเซียจะเอาเท่าไหร่บอก แต่ไม่ให้อีเศษฝรั่งแม้เพียงขีดเดียว มันกำลังขาดแคลนขั้นถังแตกอยู่ตอนนี้! นี่คือสัญญานว่า โสมแดงยังจะพัฒนาพลังงานไปได้อีกไกลมหาศาล แล้วโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน ได้มาจากใครกันล่ะ? ที่มาว่าโดรนพิฆาต ขีปนาวุธ โสมแดงจับมืออิหร่าน นานแล้ว อะไหล่ใช้แทนกันได้ไงล่ะ? สัญญานชัด อิหร่านพกนุ๊กมานานแล้วนั่นเอง อียิวก็รู้อยู่เต็มอก แต่หากพ่วงไฮเปอร์โซนิคเข้าไปอีกชั้น ส่งเรือดำน้ำไปลำ รับรองเหี้ยผวา นอนไม่หลับ ไปหลายคืน จะไปโผล่ที่ไหนดีล่ะ อลาสก้า รัสเซีย-จีน โผล่ถี่เกินปุยมุย? อดีต CIA แฉเอง สหรัฐแบบสื่อรัสเซีย เพราะกลัวควายโลกตื่นรู้ กลัวความจริงจะปรากฎว่า อเมริกา อิสราเอล อังกฤษ ล่มสลายไปแล้วอย่างไม่เป็นทางการ ยุคปลายกลียุค เหี้ยต่างหนีเอาตัวรอด ตามกมลสันดาน ยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะ เหี้ยกว่านี้ก็กลับใจได้ มันไม่คิดจะทำดีดอกน่ะ แค่อย่าฆ่ากูก็พอ? เฉกเช่นเดียวกับละครศรีธนญชัยฯ 2024 บ้านเรานั่นแหละ ใครว่า "โลกไม่เชื่อมกันล่ะ?" หมี CNN(อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนได้ ต้องให้สิ่งโสมมออกมาให้หมดสิ้นก่อน เชื้อชั่ว เชื้อเลวบัดซบทั้งหลาย ต้องออกลายมาให้หมด แสงจะใช้ไฟเผาผลาญจนสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องเอง เหี้ยหน้าไหนก็ทนแสงไม่ได้) 14 กย. 67 15.00 น. https://liff.line.me/1645278921-kWRPP32q/?accountId=hfs0310u
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียมีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริง

    เมื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่มีต่อ RT, รูฮอลลาห์ โมดาบเบอร์, นักวิทยาศาสตร์การเมืองและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวกับสปุตนิกว่า สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียโดยเฉพาะ RT และสปุตนิก, มีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริงและต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อเท็จของตะวันตก

    “ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาหาความจริงจากสื่อรัสเซีย RT และ สปุตนิกดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก แหล่งข้อมูลของตะวันตกล้มเหลวในเวลาเดียวกับที่พยายามแสดงความจริงอีกประการหนึ่งผ่านการเซ็นเซอร์ สื่อรัสเซียได้เอาชนะอำนาจเหนือของสหรัฐฯ และยุโรปในพื้นที่ข้อมูลอีกครั้ง”, โมดาบเบอร์ กล่าว

    สหรัฐฯต้องการที่จะ "เซ็นเซอร์" ข้อมูลต่อต้านรัสเซีย เพราะสหรัฐฯ "ล้มเหลว" ในยูเครน, อิงกริด อูร์เกลเลส, นักรัฐศาสตร์ชาวชิลี กล่าวกับสปุตนิก โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่วอชิงตันแนะนำมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อสื่อรัสเซีย

    นี่เป็นอีกความพยายามหนึ่งของสหรัฐฯ ที่จะเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มที่เผยแพร่มุมมองที่แตกต่างจากวาระจักรวรรดินิยมที่พวกเขาสนับสนุน ในกรณีนี้, คือความขัดแย้งในยูเครน, และเนื่องจากสหรัฐฯพ่ายแพ้, สหรัฐฯจึงสูญเสียการสนับสนุนจากทั่วโลกด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาใช้มาตรการพิเศษดังกล่าว เพื่อโยนความผิดให้สื่อ, ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ, เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของ RT เท่านั้น, แต่ยังเกี่ยวกับรูปแบบที่ผู้คนรับข้อมูลด้วย,” Urgelles กล่าว

    สหรัฐฯจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเต็มรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการกับ RT, ซึ่งเป็นสื่อของรัสเซีย เจมส์ รูบิน, ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศ , กล่าวเมื่อวันศุกร์
    .
    US recognizes Russian media play important role in reporting truth

    Commenting on the US accusations against RT, political scientist and international relations expert Ruhollah Modabber told Sputnik that the US recognizes that Russian media, especially RT and Sputnik, play an important role in reporting the truth and countering false Western propaganda.

    "People around the world turn to Russian media for the truth. RT and Sputnik have attracted a large audience. Western information sources fail at the same time as they try to show another reality through censorship. The Russian media have once again defeated the hegemony of the US and Europe in the information space", Modabber said.

    The US wants to achieve information "censorship" against Russia because it has "failed" in Ukraine, Chilean political scientist Ingrid Urgelles, PhD told Sputnik, commenting on Washington's introduction of new sanctions against Russian media.

    "This is another of the many attempts by the US to censor platforms that broadcast a point of view that differs from the imperialist agenda they promote. In this case, it is the conflict in Ukraine, and because the US lost, it also lost [global] support. That is why they are resorting to such extraordinary measures to blame the media, which is quite absurd, because it is not just about RT, but about the form in which people receive information," Urgelles stated.

    The US will impose full blocking financial sanctions as part of its actions against the Russian media outlet RT, James Rubin, the director of the State Department's Global Engagement Center, said on Friday.
    .
    2:41 PM · Sep 14, 2024 · 1,178 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834859959227503046
    📌สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียมีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริง📌 เมื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่มีต่อ RT, รูฮอลลาห์ โมดาบเบอร์, นักวิทยาศาสตร์การเมืองและผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวกับสปุตนิกว่า สหรัฐฯยอมรับว่า สื่อรัสเซียโดยเฉพาะ RT และสปุตนิก, มีบทบาทสำคัญในการรายงานความจริงและต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อเท็จของตะวันตก “ผู้คนทั่วโลกต่างหันมาหาความจริงจากสื่อรัสเซีย RT และ สปุตนิกดึงดูดผู้ชมได้จำนวนมาก แหล่งข้อมูลของตะวันตกล้มเหลวในเวลาเดียวกับที่พยายามแสดงความจริงอีกประการหนึ่งผ่านการเซ็นเซอร์ สื่อรัสเซียได้เอาชนะอำนาจเหนือของสหรัฐฯ และยุโรปในพื้นที่ข้อมูลอีกครั้ง”, โมดาบเบอร์ กล่าว สหรัฐฯต้องการที่จะ "เซ็นเซอร์" ข้อมูลต่อต้านรัสเซีย เพราะสหรัฐฯ "ล้มเหลว" ในยูเครน, อิงกริด อูร์เกลเลส, นักรัฐศาสตร์ชาวชิลี กล่าวกับสปุตนิก โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการที่วอชิงตันแนะนำมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อสื่อรัสเซีย “🤣นี่เป็นอีกความพยายามหนึ่งของสหรัฐฯ ที่จะเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มที่เผยแพร่มุมมองที่แตกต่างจากวาระจักรวรรดินิยมที่พวกเขาสนับสนุน ในกรณีนี้, คือความขัดแย้งในยูเครน, และเนื่องจากสหรัฐฯพ่ายแพ้, สหรัฐฯจึงสูญเสียการสนับสนุนจากทั่วโลกด้วย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาใช้มาตรการพิเศษดังกล่าว เพื่อโยนความผิดให้สื่อ, ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระ🤣, เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของ RT เท่านั้น, แต่ยังเกี่ยวกับรูปแบบที่ผู้คนรับข้อมูลด้วย,” Urgelles กล่าว 🤣 สหรัฐฯจะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเต็มรูปแบบเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการกับ RT, ซึ่งเป็นสื่อของรัสเซีย เจมส์ รูบิน, ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศ 🤣, กล่าวเมื่อวันศุกร์ . US recognizes Russian media play important role in reporting truth Commenting on the US accusations against RT, political scientist and international relations expert Ruhollah Modabber told Sputnik that the US recognizes that Russian media, especially RT and Sputnik, play an important role in reporting the truth and countering false Western propaganda. "People around the world turn to Russian media for the truth. RT and Sputnik have attracted a large audience. Western information sources fail at the same time as they try to show another reality through censorship. The Russian media have once again defeated the hegemony of the US and Europe in the information space", Modabber said. The US wants to achieve information "censorship" against Russia because it has "failed" in Ukraine, Chilean political scientist Ingrid Urgelles, PhD told Sputnik, commenting on Washington's introduction of new sanctions against Russian media. "This is another of the many attempts by the US to censor platforms that broadcast a point of view that differs from the imperialist agenda they promote. In this case, it is the conflict in Ukraine, and because the US lost, it also lost [global] support. That is why they are resorting to such extraordinary measures to blame the media, which is quite absurd, because it is not just about RT, but about the form in which people receive information," Urgelles stated. The US will impose full blocking financial sanctions as part of its actions against the Russian media outlet RT, James Rubin, the director of the State Department's Global Engagement Center, said on Friday. . 2:41 PM · Sep 14, 2024 · 1,178 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834859959227503046
    Yay
    1
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโธนี บลิงเคน ประกาศเปิดตัวแคมเปญเซ็นเซอร์ระดับโลกเพื่อกดดันประเทศต่างๆให้เซ็นเซอร์สื่อของรัสเซีย

    (กลัวเขาแฉความจริงเกี่ยวกับความชั่วของตัวเองจนขี้ขึ้นสมองไปแล้วล่ะ...ไอ้กุ๊ย)
    .
    US Secretary of State Antony Blinken announces the launching of a global censorship campaign to pressure countries into censoring Russian media
    .
    5:32 AM · Sep 14, 2024 · 53.8K Views
    https://x.com/upholdreality/status/1834721947243995187
    🤣รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโธนี บลิงเคน ประกาศเปิดตัวแคมเปญเซ็นเซอร์ระดับโลกเพื่อกดดันประเทศต่างๆให้เซ็นเซอร์สื่อของรัสเซีย 🤣 (กลัวเขาแฉความจริงเกี่ยวกับความชั่วของตัวเองจนขี้ขึ้นสมองไปแล้วล่ะ...ไอ้กุ๊ย) . US Secretary of State Antony Blinken announces the launching of a global censorship campaign to pressure countries into censoring Russian media . 5:32 AM · Sep 14, 2024 · 53.8K Views https://x.com/upholdreality/status/1834721947243995187
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 241 Views 60 0 Reviews
  • มาร์การิตา ซิโมนยาน เล่าถึงคำพูดอันทรงพลังของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ขณะที่สหรัฐฯประกาศมาตรการลงโทษใหม่ต่อบริษัทสื่อของรัสเซีย

    “เราไม่กลัวที่จะมอบความไว้วางใจให้ชาวอเมริกันรับเอาข้อเท็จจริงที่ไม่น่าพอใจ, แนวคิดจากต่างประเทศ, ปรัชญาที่แปลกใหม่, และค่านิยมที่แข่งขันกัน สำหรับประเทศที่กลัวที่จะปล่อยให้ประชาชนของตนตัดสินความจริงและความเท็จในตลาดเปิด ประเทศนั้นก็คือประเทศที่กลัวประชาชนของตนเอง,” บรรณาธิการบริหารของ Rossiya Segodnya กลุ่มสื่อแม่ของสปุตนิกกล่าว โดยอ้างคำพูดของนักการเมืองที่ถูกสังหาร

    “พวกเขาไม่ได้ฆ่าเขาโดยไม่มีเหตุผล เขากำลังคิดในทางที่ผิด” ซิโมนยาน กล่าว, โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวล่าสุดในการเซ็นเซอร์บริษัทสื่อของรัสเซีย
    .
    Margarita Simonyan recalled the powerful words of former US President John F. Kennedy as the US announced new punitive measures against Russian media companies

    “We are not afraid to entrust the American people with unpleasant facts, foreign ideas, alien philosophies, and competitive values. For a nation that is afraid to let its people judge the truth and falsehood in an open market is a nation that is afraid of its people,” said the editor-in-chief of Rossiya Segodnya, Sputnik's parent media group, quoting the slain politician.

    “They haven’t killed him for nothing. He was thinking the wrong way,” said Simonyan, commenting on the latest move towards censorship of Russian media companies.
    .
    3:45 AM · Sep 14, 2024 · 4,802 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834694981019484594
    มาร์การิตา ซิโมนยาน เล่าถึงคำพูดอันทรงพลังของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ขณะที่สหรัฐฯประกาศมาตรการลงโทษใหม่ต่อบริษัทสื่อของรัสเซีย “เราไม่กลัวที่จะมอบความไว้วางใจให้ชาวอเมริกันรับเอาข้อเท็จจริงที่ไม่น่าพอใจ, แนวคิดจากต่างประเทศ, ปรัชญาที่แปลกใหม่, และค่านิยมที่แข่งขันกัน สำหรับประเทศที่กลัวที่จะปล่อยให้ประชาชนของตนตัดสินความจริงและความเท็จในตลาดเปิด ประเทศนั้นก็คือประเทศที่กลัวประชาชนของตนเอง,” บรรณาธิการบริหารของ Rossiya Segodnya กลุ่มสื่อแม่ของสปุตนิกกล่าว โดยอ้างคำพูดของนักการเมืองที่ถูกสังหาร “พวกเขาไม่ได้ฆ่าเขาโดยไม่มีเหตุผล เขากำลังคิดในทางที่ผิด” ซิโมนยาน กล่าว, โดยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวล่าสุดในการเซ็นเซอร์บริษัทสื่อของรัสเซีย . Margarita Simonyan recalled the powerful words of former US President John F. Kennedy as the US announced new punitive measures against Russian media companies “We are not afraid to entrust the American people with unpleasant facts, foreign ideas, alien philosophies, and competitive values. For a nation that is afraid to let its people judge the truth and falsehood in an open market is a nation that is afraid of its people,” said the editor-in-chief of Rossiya Segodnya, Sputnik's parent media group, quoting the slain politician. “They haven’t killed him for nothing. He was thinking the wrong way,” said Simonyan, commenting on the latest move towards censorship of Russian media companies. . 3:45 AM · Sep 14, 2024 · 4,802 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834694981019484594
    Like
    Wow
    2
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯชื่นชม RT ที่เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับยูเครน

    “เหตุผลประการหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ทั่วโลกไม่สนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่เท่าที่คิด... เป็นเพราะขอบเขตและขอบข่ายของ RT ที่กว้างขวาง,” ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เจมส์ รูบิน กล่าวด้วยความเสียใจ

    (เป็นเพราะ RT ไม่บิดเบือนข้อมูล และ นำเสนอข้อมูลที่เป็นจริงต่างหาก ซึ่งแตกต่างจากสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ นำเสนอแต่ข้อมูลที่บิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อ จึงต้องเสียใจและร้อนตัวเพราะความชั่วร้ายของตัวเองทั้งสิ้น กรรมกำลังทำงานไงล่ะ...ไอ้กุ๊ย)
    .
    State Department praises RT for Ukraine truth telling

    “One of the reasons why so much of the world has been not as fully supportive of Ukraine as you'd think they would be... is because of the broad scope and reach of RT," the US State Department's Global Engagement Center Director James Rubin lamented.
    .
    2:52 AM · Sep 14, 2024 · 7,954 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834681687290077688
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯชื่นชม RT ที่เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับยูเครน 🤣“เหตุผลประการหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ทั่วโลกไม่สนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่เท่าที่คิด... เป็นเพราะขอบเขตและขอบข่ายของ RT ที่กว้างขวาง,” ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เจมส์ รูบิน กล่าวด้วยความเสียใจ🤣 (📌เป็นเพราะ RT ไม่บิดเบือนข้อมูล และ นำเสนอข้อมูลที่เป็นจริงต่างหาก📌 🤣ซึ่งแตกต่างจากสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ นำเสนอแต่ข้อมูลที่บิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อ จึงต้องเสียใจและร้อนตัวเพราะความชั่วร้ายของตัวเองทั้งสิ้น กรรมกำลังทำงานไงล่ะ...ไอ้กุ๊ย🤣) . State Department praises RT for Ukraine truth telling “One of the reasons why so much of the world has been not as fully supportive of Ukraine as you'd think they would be... is because of the broad scope and reach of RT," the US State Department's Global Engagement Center Director James Rubin lamented. . 2:52 AM · Sep 14, 2024 · 7,954 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834681687290077688
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 270 Views 63 0 Reviews
  • มาร์การิตา ซิโมนยาน ตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ของสหรัฐฯต่อ RT, โดยระบุว่า เธอไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์

    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯร้องเรียนว่า “หนึ่งในเหตุผลที่ยูเครนไม่ได้รับการสนับสนุนมากในประเทศอื่นๆก็เพราะ RT” บรรณาธิการบริหารของ Rossiya Segodnya กลุ่มสื่อแม่ของสปุตนิกกล่าว “ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์, จริงๆนะ”

    ก่อนหน้านี้, เจมส์ รูบิน, ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศ, กล่าวว่า “หนึ่งในเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ในโลกไม่สนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่เท่าที่คุณคิด เพราะรัสเซียรุกรานยูเครนและละเมิดกฎข้อแรกของระบบระหว่างประเทศ ก็เพราะ RT มีขอบเขตและขอบข่ายที่กว้างขวาง ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อ ข้อมูลบิดเบือน และคำโกหกแพร่กระจายไปสู่ผู้คนนับล้านหรืออาจถึงพันล้านคนทั่วโลก”

    (ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ทำให้สหรัฐฯจอมบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อร้อนตัวเพราะความชั่วร้ายของตัวเองทั้งสิ้น กรรมกำลังทำงานไงล่ะ...ไอ้กุ๊ย)
    .
    Margarita Simonyan responded to new US sanctions against RT, saying she hasn’t lived in vain.

    The US State department complained that “one of the reasons Ukraine doesn’t have as much support in other countries is because of RT,” said the editor-in-chief of Rossiya Segodnya, Sputnik's parent media group. "I haven’t lived in vain. Seriously."

    Earlier, James Rubin, director of the State Department's Global Engagement Center, said that "one of the reasons why so much of the world has not been as fully supportive of Ukraine as you would think they would be given that Russia's invaded Ukraine and violated rule number one of the international system is because of the broad scope and reach of RT, where propaganda, disinformation, and lies are spread to millions if not billions of people around the world."
    .
    2:06 AM · Sep 14, 2024 · 5,723 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1834670037732618529
    มาร์การิตา ซิโมนยาน ตอบโต้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ของสหรัฐฯต่อ RT, โดยระบุว่า เธอไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์ 🤣กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯร้องเรียนว่า “หนึ่งในเหตุผลที่ยูเครนไม่ได้รับการสนับสนุนมากในประเทศอื่นๆก็เพราะ RT”🤣 บรรณาธิการบริหารของ Rossiya Segodnya กลุ่มสื่อแม่ของสปุตนิกกล่าว “ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์, จริงๆนะ” 🤣ก่อนหน้านี้, เจมส์ รูบิน, ผู้อำนวยการศูนย์การมีส่วนร่วมระดับโลกของกระทรวงการต่างประเทศ, กล่าวว่า “หนึ่งในเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ในโลกไม่สนับสนุนยูเครนอย่างเต็มที่เท่าที่คุณคิด เพราะรัสเซียรุกรานยูเครนและละเมิดกฎข้อแรกของระบบระหว่างประเทศ ก็เพราะ RT มีขอบเขตและขอบข่ายที่กว้างขวาง ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อ ข้อมูลบิดเบือน และคำโกหกแพร่กระจายไปสู่ผู้คนนับล้านหรืออาจถึงพันล้านคนทั่วโลก”🤣 (📌ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย📌 🤣ทำให้สหรัฐฯจอมบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อร้อนตัวเพราะความชั่วร้ายของตัวเองทั้งสิ้น กรรมกำลังทำงานไงล่ะ...ไอ้กุ๊ย🤣) . Margarita Simonyan responded to new US sanctions against RT, saying she hasn’t lived in vain. The US State department complained that “one of the reasons Ukraine doesn’t have as much support in other countries is because of RT,” said the editor-in-chief of Rossiya Segodnya, Sputnik's parent media group. "I haven’t lived in vain. Seriously." Earlier, James Rubin, director of the State Department's Global Engagement Center, said that "one of the reasons why so much of the world has not been as fully supportive of Ukraine as you would think they would be given that Russia's invaded Ukraine and violated rule number one of the international system is because of the broad scope and reach of RT, where propaganda, disinformation, and lies are spread to millions if not billions of people around the world." . 2:06 AM · Sep 14, 2024 · 5,723 Views https://x.com/SputnikInt/status/1834670037732618529
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • ความจริงมีหนึ่งเดียว
    ความจริงมีหนึ่งเดียว
    0 Comments 0 Shares 46 Views 0 Reviews
  • ชอบฟังความจริง
    ชอบฟังความจริง
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

    โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ

    สังโยชน์ ๑๐

    ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้
    เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้
    แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ..

    ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก..

    ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด..

    ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง..

    พระโสดาบัน

    ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ
    จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ..

    ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี..

    ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด..

    ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย..

    ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด
    เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน..

    ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ..

    ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ
    ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ..

    ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์..

    ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน..
    คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน..
    เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน..

    พระสกิทาคามี

    ๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์ ๓ เหมือนกัน แต่ว่า มีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ..

    ~ สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามี นั่น
    ก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป..

    พระอนาคามี

    ๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่พระอนาคามีมรรคได้ มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังใจด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น..

    ~ มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ
    คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ อย่างนี้ท่านเรียกว่า.. พระอนาคามี มรรค..

    ~ ถ้าหากว่า จิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้.. ท่านถือว่า เริ่มเข้าอนาคามี มรรค.. เรียกว่า เดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป..

    ~ ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือ ถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่า เป็น พระอนาคามี ผล..

    ~ และต่อมา ถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ.. "ปฏิฆะ" คือ อารมณ์กระทบกระทั่งใจนิด ๆ หน่อย ๆ

    ~ ความไม่พอใจการแสดงออก น่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดี ต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา
    เป็นการหวังดี..

    ~ แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือ ตัดตัว "ปฏิฆะ" ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล..

    * รวมความว่า.. จากพระสกิทาคามี แล้วจะเป็นพระอนาคามี ก็คือ.. สังเกตว่า ใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้ ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็น พระอนาคามี ผล..

    พระอรหันต์

    ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ.. จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ..

    ~ ฉันทะ .. ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี.. ราคะ .. จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวย ไม่มี.. ไม่พอใจใน ๓ โลก จิตพอใจจุดเดียว คือ นิพพาน.. นี่ เป็นอารมณ์พระอรหันต์..

    * โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์พระอรหันต์ คือ ยอมรับนับถือ กฎของธรรมดา.. ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่า.. ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ
    คนเกิดมาแล้วต้องตาย
    ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน..

    ~ ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ก็จิตคิดว่า..
    ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย..

    ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา.. ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ.. ขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย
    อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์ อยู่ที่นี่..

    อรหัตผล
    นี่ เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะ กับ ราคะ คือ ไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย.. ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้ามันก็สลายตัว
    ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา..

    ~ เราไม่ถือว่า มันเป็นสรณะ
    เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น.. ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่า.. ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา.. ทรัพย์สินในโลก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน..

    ~ มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น
    ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕
    ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา.. ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา
    สิ่งที่เราต้องการ คือ.. นิพพาน..

    * นี่.. แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก.. ถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล..."

    ( จากหนังสือ* ธัมมวิโมกข์* โอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ ของวัดท่าซุง จ. อุทัยธานี )

    สามารถอ่านที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน

    https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    เรื่อง อย่างไร จึงจะเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ โอวาท : หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ~พระราชพรหมยานฯ 🌷 สังโยชน์ ๑๐ 🌷 ๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้ เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้ แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ.. ~ เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่.. บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วัน ก็สามารถกำจัดกิเลส เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้ อันนี้เป็นกำไรมาก.. ๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์ เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ.. เทียบเคียงจิต กับสังโยชน์ ว่า เราตัดอะไรได้เพียงใด.. ~ แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่า.. เราเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง.. ⚜️ พระโสดาบัน ⚜️ ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดี เป็นของไม่ยาก คือ.. ~ ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง.. พระสงฆ์ นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดี แกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี.. ~ ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด.. เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้ รักษาโดยเด็ดขาด.. ~ ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน.. ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย.. ~ ความดีนี้ ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียว ทำเพื่อผลของพระนิพพาน.. เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน.. ~ สอง.. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ.. ~ ปรารภความตายเป็นปรกติ ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ.. ~ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์.. ~ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน.. คิดว่า ผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน.. เท่านี้เอง ความเป็นพระโสดาบัน.. 💛 พระสกิทาคามี 💛 ๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์ ๓ เหมือนกัน แต่ว่า มีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ.. ~ สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามี นั่น ก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป.. 🌹 พระอนาคามี 🌹 ๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่พระอนาคามีมรรคได้ มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังใจด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น.. ~ มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ อย่างนี้ท่านเรียกว่า.. พระอนาคามี มรรค.. ~ ถ้าหากว่า จิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้.. ท่านถือว่า เริ่มเข้าอนาคามี มรรค.. เรียกว่า เดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป.. ~ ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือ ถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่า เป็น พระอนาคามี ผล.. ~ และต่อมา ถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ.. "ปฏิฆะ" คือ อารมณ์กระทบกระทั่งใจนิด ๆ หน่อย ๆ ~ ความไม่พอใจการแสดงออก น่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดี ต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา เป็นการหวังดี.. ~ แต่ว่าเนื้อแท้จริง ๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือ ตัดตัว "ปฏิฆะ" ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล.. * รวมความว่า.. จากพระสกิทาคามี แล้วจะเป็นพระอนาคามี ก็คือ.. สังเกตว่า ใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้ ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็น พระอนาคามี ผล.. 💠 พระอรหันต์ 💠 ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ.. จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌาน และอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ.. ~ ฉันทะ .. ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี.. ราคะ .. จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวย ไม่มี.. ไม่พอใจใน ๓ โลก จิตพอใจจุดเดียว คือ นิพพาน.. นี่ เป็นอารมณ์พระอรหันต์.. * โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์พระอรหันต์ คือ ยอมรับนับถือ กฎของธรรมดา.. ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ว่า.. ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน.. ~ ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ก็จิตคิดว่า.. ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย.. ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา.. ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ.. ขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์ อยู่ที่นี่.. 💎 อรหัตผล 💎 นี่ เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะ กับ ราคะ คือ ไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย.. ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา.. ~ เราไม่ถือว่า มันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น.. ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่า.. ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา.. ทรัพย์สินในโลก ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน.. ~ มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา.. ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการ คือ.. นิพพาน.. * นี่.. แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก.. ถ้าพูดกันแบบง่าย ๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล..." 💐 ( จากหนังสือ* ธัมมวิโมกข์* โอวาท หลวงพ่อพระราชพรหมยานฯ ของวัดท่าซุง จ. อุทัยธานี ) สามารถอ่านที่เว็บบอร์ดพระนิพพาน https://www.thenirvanalive.com/community/postid/112/
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • Hello Thaitims!! #ความจริงมีหนึ่งเดียว 🙏🏻
    Hello Thaitims!! #ความจริงมีหนึ่งเดียว 🙏🏻
    0 Comments 0 Shares 70 Views 0 Reviews
  • #ความจริงมีหนึ่งเดียว #thaitimes #SONDHITALK
    #ความจริงมีหนึ่งเดียว #thaitimes #SONDHITALK
    Like
    Love
    6
    0 Comments 0 Shares 807 Views 0 Reviews
  • ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

    1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox)

    2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1]

    เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก

    ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย

    อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520

    ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2]

    จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4]

    ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่?

    อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3]

    เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3]

    แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3]

    คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่

    ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า

    “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน

    ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง

    ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น

    และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน)

    และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน

    เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก

    จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6]

    ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า

    ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว

    อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3]

    โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ

    ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค

    ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3]

    ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3]

    การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3]

    นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว

    แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่

    โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7]

    ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก

    แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย

    ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7]

    จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย

    อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า

    “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8]

    นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้

    “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย  

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ

    2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน

    และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8]

    เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า

    “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี

    วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่

    1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
    2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน

    ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี
    ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน

    “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9]

    อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์

    จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15]

    นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16]

    หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด

    แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้

    โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ

    อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า

    ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17]

    หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด

    ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    12 กันยายน 2567

    อ้างอิง
    [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0.

    [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017
    https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html

    [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558
    https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977

    [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center
    https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/

    [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024
    https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg

    [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903

    [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567
    https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php

    [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567
    https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577

    [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178

    [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567
    https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615

    [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798

    [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335

    [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723

    [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒

    ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงดีหรือไม่ ในยุคไวรัสฝีมือมนุษย์? / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ “ไข้ทรพิษ” หรือฝีดาษเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มีลักษณะเฉพาะคือมีผื่นขึ้นตามตัว ไข้สูง ปวดศีรษะ ชัก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน มีอัตราการเสียชีวิต 30% เกิดจากเชื้อไวรัส แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ 1.ไข้ทรพิษชนิดร้ายแรง เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา เมเจอร์” (Variola major or classical smallpox) 2.ไข้ทรพิษชนิดอ่อน ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าชนิดแรก เกิดจากเชื้อ “วาริโอลา ไมเนอร์”  (Variola minor or alastrim)[1] เว็บไซต์กรมควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา ได้รายงานหลักฐานแรกสุดของโรคนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตศักราชในอียิปต์[2] และเมื่อเวลาผ่านไปก็ทยอยลุกลามไปทั่วโลก ทั้งนี้เชื้อไวรัสฝีดาษ (Variolar) นี้สามารถแพร่กระจายไปในอากาศ จากละอองสิ่งคัดหลั่งจากคนที่เป็นโรค เช่น น้ำมูก, น้ำลาย หรือจากการสัมผัสกับผิวหนังที่มีแผลฝีดาษ เชื้อนี้มีความคงทนต่อสภาพอากาศ สามารถแพร่ได้ไม่ว่าจะอากาศร้อนหรือหนาว และสามารถติดต่อจากคนไปสู่คนได้โดยง่าย อย่างไรก็ตาม การรณรงค์ฉีดวัคซีนกวาดล้างโรคฝีดาษ ตลอดศตวรรษที่ 19-20 โดยการประสานงานขององค์การอนามัยโลก เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510-2518 ทำให้ผู้ป่วยฝีดาษทั่วโลกลดลงอย่างมาก ตามรายงานขององค์การอนามัยโลกแจ้งว่ามีผู้ป่วยเป็นโรคฝีดาษรายสุดท้าย เกิดขึ้นที่ ประเทศโซมาเลีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2520 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศว่า ฝีดาษถูกกวาดล้าง (eradicate) หมดไปจากโลกในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2523[2] จึงถือว่าเป็นโรคระบาดที่มนุษย์สามารถเอาชนะได้หลังจากใช้เวลานานกว่า 3,000 ปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าโรคจะถูกกวาดล้างไปแล้ว แต่เชื้อไวรัสฝีดาษยังถูกเก็บไว้ในห้องปฏิบัติการและอยู่ในความดูแลอย่างเข้มงวดที่ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งชาติ (CDC) เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกาและที่ State Research Centre of Virology and Biotechnology สหพันธ์สาธารณรัฐ รัสเซีย ซึ่งหน่วยงานทั้ง 2 แห่งในประเทศนี้ได้รับอนุญาตจาก WHA ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ให้เป็นที่เก็บไวรัส Variola ที่มีชีวิตเพื่อนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยในกรณีที่อาจมีโรคฝีดาษอุบัติใหม่ขึ้นมา[3],[4] ซึ่งแปลว่าคนในโลกนี้ควรจะปลอดจากเชื้อฝีดาษไปตลอดกาลแล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ.​2523 หากไม่มีการรั่วไหล หรือมีวาระซ่อนเร้นในการทำธุรกิจกับชีวิตของมนุษยชาติ จริงหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ได้มีเหตุการณ์พบขวดทดลองที่มีลักษณะแห้งและแช่แข็งบรรจุเชื้อไข้ทรพิษจำนวน 6 ขวด เก็บอยู่ในกล่องในห้องเก็บของที่มีการควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 5 องศาเซลเซียส ของสถาบันเพื่อสุขภาพแห่งชาติอเมริกา (National Institutes of Health: NIH) ในสังกัดองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในเบเธสดา รัฐแมรีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา[3] เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตระหนกแก่ประชาชนที่ทราบข่าว เนื่องจากความกลัวว่าจะมีการนำเชื้อไข้ทรพิษเป็นอาวุธชีวภาพ ทำให้มีการกำหนดมาตรฐานการเก็บรักษาเชื้อไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ ว่าจะต้องถูกเก็บรักษาไว้ใน BSL-4 หรือแล็บความปลอดภัยด้านชีวภาพระดับ 4[3] แต่ห้องเก็บของที่พบกล่องบรรจุขวดเชื้อไวรัสฝีดาษไม่เข้ามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ทำให้มีการสอบสวนที่มาที่ไปของขวดตัวอย่างที่พบและนำเข้าสู่ระบบการทำลายเชื้อ เพื่อให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีการนำไปใช้ในทางที่ผิด อันเนื่องมาจากความรุนแรงของโรคที่เคยปรากฏในอดีตที่ผ่านมา[3] คำถามที่ตามมามีอยู่ว่าในเมื่อเชื้อฝีดาษหายไปจากโลกกว่า 40 ปี และเชื้อตัวอย่างยังคงหลงเหลืออยู่เพียงแค่ห้องปฏิบัติการ 2 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย หากฝีดาษจะมีการกลับมาระบาดอีกครั้งในโลก ย่อมต้องถูกตั้งข้อสงสัยว่ามาจากสหรัฐอเมริกา หรือ รัสเซียกันแน่ ปรากฏในรายงานผลการสอบสวนของกรรมาธิการของวุฒิสภาในสหรัฐอเมริกาฉบับเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2567[5] พบว่าฝีดาษลิงที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567[6] นำรายงานผลการสอบสวนดังกล่าว และโพสต์ข้อความว่า “ไวรัสฝีดาษตัวใหม่ที่่ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนก จากการประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับองค์กรของสหรัฐฯ และพยายามจะให้มีการสะสมวัคซีนตลอดจนให้มีการใช้ทั่วโลก เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติหรือมีการประดิษฐ์มีการตรวจสอบโดยกรรมาธิการเฉพาะของวุฒิสภาสหรัฐฯ โดยกรรมาธิการดังกล่าวออกรายงาน 73 หน้า ในวันที่ 11 มิถุนายน 2024 เป็นการสอบสวนการทำวิจัยไวรัสฝีดาษลิง ที่มีความเสี่ยงสูงโดยทำให้มีความรุนแรงมากขึ้นและติดต่อได้ง่ายขึ้นระหว่างคนสู่คน ขั้นตอนติดต่อส่วนของไวรัสในกลุ่มที่สอง ไปยังกลุ่มที่หนึ่งปรากฏว่าความรุนแรงลดลง ดังนั้นเลยมีกระบวนการที่ทำโดยเอาส่วนที่หนึ่งเสียบไปยังกลุ่มที่สองจนได้ผลสำเร็จ มีความรุนแรงมากขึ้นและแพร่ได้เร็ว เกิดการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สืบจนพบว่าเป็นการอนุมัติทุนในองค์กร NIH NIAID ของสหรัฐฯ ในปี 2015 และรายงานความสำเร็จในปี 2022 ซึ่งในขณะนั้นเอง ก่อให้เกิดความวิตกกังวลของนักวิทยาศาสตร์ทั่วไปถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น และนำไปสู่การสืบสวนจนกระทั่งถึงผู้อนุมัติสนับสนุนงานสร้างไวรัสใหม่ คือ ดร.เฟาซี (ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ และหัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดี โจ ไบเดน) และเหตุการณ์ที่คล้องจอง คือการฝึกซ้อมรับมือผู้ก่อการร้าย โดยสมมุติว่ามีการใช้อาวุธชีวภาพ คือไวรัสฝีดาษลิงที่ตัดต่อพันธุกรรม ชื่อ Akhmeta ทั้งในปี 2021 และในปี 2022 โดยสร้างฉากทัศน์ เริ่มจากการปล่อยไวรัสจนกระทั่งมีการระบาดทั่วโลกและล้มตายไปหลายร้อยล้านคนและในขณะเดียวกันมีการตระเตรียมยาและวัคซีน เหตุการณ์ที่เกิดในปัจจุบันที่มีการติดเชื้อฝีดาษลิงในมนุษย์ที่ง่ายขึ้น เริ่มเกิดขึ้นในปี 2021 และ 2022 และทยอยแพร่ไปทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลก[6] ส่วนประเทศไทยได้ปรากฏข้อมูลที่รวมรวมโดยเว็บไซต์ Hfocus รายงานว่าการเกิดโรคฝีดาษในไทยพบหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฎในพระราชพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า ถึงขนาดว่ามีพระมหากษัตริย์ไทยสวรรคตด้วยฝีดาษ 2 พระองค์  ได้แก่ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หน่อพุทธางกูร พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ 11 ของกรุงศรีอยุธยา ทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ทรพิษ และเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2076 หรือประมาณ 491 ปีที่แล้ว อีก 72 ปีต่อมา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้ประชวรที่เมืองหาง (เมืองห้างหลวง ในรัฐฉาน) เป็นฝีละลอกขึ้นที่พระพักตร์ กลายเป็นพิษ และสวรรคต เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2148 ซึ่งตรงกับช่วงศตวรรษที่ 16 มีการระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลก และยังมีการระบาดในพ.ศ. 2292 สมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ทำให้มีคนตายมาก[3] โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ในอดีตนั้นมีความร้ายแรง เพราะยังถึงขั้นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ได้ จึงมีความแตกต่างจากโรคระบาดชนิดอื่นๆ ดังนั้นในเวลาต่อๆมา โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ จึงเป็นโรคระบาดที่สำคัญที่ต้องมีการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ทั้งการป้องกันการเกิดโรคระบาด จนถึงขั้นการรักษาโรค ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการระบาดของฝีดาษเช่นกัน จากบันทึกของหมอบรัดเลย์ ที่ระบุว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการระบาดของฝีดาษอย่างหนัก ทำให้หมอบรัดเลย์ริเริ่มการปลูกฝีบำบัดโรคฝีดาษเป็นครั้งแรกในไทยในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2379 โดยใช้เชื้อหนองฝีโคที่นำเข้ามาจากอเมริกา และได้เขียนตำราชื่อ “ตำราปลูกฝีให้กันโรคธระพิศม์ไม่ให้ขึ้นได้” ปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้[3] ในระยะ พ.ศ. 2460 – 2504 ยังมีการระบาดของฝีดาษเกิดขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2488 – 2489 ช่วงการเกิดสงครามมีการระบาดของฝีดาษครั้งใหญ่สุดเริ่มต้นจากเชลยพม่าที่ทหารญี่ปุ่นจับมาสร้างทางรถไฟสายมรณะข้ามแม่นํ้าแควป่วยเป็นไข้ทรพิษและแพร่ไปยังกลุ่มกรรมกรไทยจากภาคต่างๆที่มารับจ้างทํางานในแถบนั้น เมื่อแยกย้ายกันกลับบ้าน ได้นําโรคกลับไปแพร่ระบาดใหญ่ทั่วประเทศ มีผู้ป่วยมากถึง 62,837 คน และเสียชีวิต 15,621 คน[3] การระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2502 ทำให้มีผู้ป่วย 1,548 คน ตาย 272 คน และการระบาดครั้งสุดท้ายมีการบันทึกไว้ว่าเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2504 ที่อําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีผู้ป่วย 34 ราย ตาย 5 ราย โดยรับเชื้อมาจากรัฐเชียงตุงของพม่า ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกวาดล้างไข้ทรพิษหรือฝีดาษในประเทศไทย รณรงค์ปลูกฝีป้องกันโรค จนปีพ.ศ. 2523 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าฝีดาษได้ถูกกวาดล้างแล้วจึงหยุดการปลูกฝีป้องกันโรค   และนับแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏว่ามีฝีดาษเกิดขึ้นในประเทศไทย[3] นี่คือเหตุผลว่าประเทศไทยได้ทำการปลูกฝี เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษในปี พ.ศ. 2532 เป็นปีสุดท้าย หรือเมื่อประมาณ 44 ปีที่แล้ว ดังนั้นประชาชนไทยที่อายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไป ก็น่าจะได้รับการปลูกฝีไปเกือบทั้งหมดแล้ว แต่เมื่อฝีดาษลิงกลับมาระบาดอีกครั้ง ก็ทำให้เกิดคำถามว่าประเทศไทยจะรับมืออย่างไร และเราควรจะฉีดวัคซีนหรือไม่? และคนที่มีอายุเกิน 44 ปี (ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกฝีไข้ทรพิษมาแล้ว)จะมีคนติดเชื้อโรคฝีดาษลิงหรือไม่ โดยวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2567 เว็บไซต์ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานสถานการณ์ฝีดาษวานร (ฝีดาษลิง)จนถึงปัจจุบันว่า มีผู้ป่วยฝีดาษลิงในประเทศไทย จำนวน 835 ราย เป็นเพศชายเกือบทั้งหมดมากถึง 814 ราย คิดเป็นร้อยละ 97.49 ในขณะที่เป็นเพศหญิง 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.51 เท่านั้น[7] ซึ่งถือว่าโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงในผู้หญิงน้อยมาก แต่ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนวัยหนุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เอชไอวี อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคยปลูกฝีไข้ทรพิษแล้วยังสามารถติดเชื้อฝีดาษลิงได้อยู่ดีแต่น้อยกว่าคนที่ไม่ได้ปลูกฝี ดังนี้ ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 0-14 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 2 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.36 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมด ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 15-19 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 3 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.24 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 20-24 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 81 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 25-29 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 172 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.59 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 30-39 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 347 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41.56 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40-49 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 174 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.83 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ในกลุ่มนี้หากพิจารณาแยกแยะผู้ที่มีอายุ 40-44 ปี ซึ่งไม่เคยได้รับการปลูกฝีมาก่อนมีจำนวน 130 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.65 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากกว่า 45-49 ที่เชื่อว่าน่าจะได้รับการปลูกฝีแล้วติดเชื้อฝีดาษลิงแล้ว 44 ราย คิดเป็นเพียงร้อยละ 5.27 เท่านั้น ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 50-59 ปี ติดเชื้อฝีดาษลิง 29 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 3.47 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ติดเชื้อฝีดาษลิง 8 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.95 ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งหมดในประเทศไทย[7] จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในประเทศไทยผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปซึ่งน่าจะมีการปลูกฝีไข้ทรพิษไปแล้วก็ยังมีโอกาสติดเชื้อฝีดาษลิงได้ เพียงแต่มีสัดส่วนน้อยกว่าประชากรที่ยังไม่เคยได้รับการปลูกฝี คือ ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 44 ปีลงมา มีผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจำนวน 754 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 90.30 ในขณะที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดได้รับการปลูกฝีไปแล้ว)มีผู้ป่วยติดเชื้อฝีดาษลิงทั้งสิ้น 81 รายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 9.70 ราย อย่างไรก็ตามในภาวะดังกล่าว มีคำแถลงจากนายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความเห็นเอาไว้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2567 ความว่า “โดยจริงๆ วัคซีนไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ไม่มีการระบาดทั่วไป เพราะอัตราการระบาดต่ำ แต่จะพบในผู้ป่วยเฉพาะ เช่น ผู้ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้ง ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวี และไม่ทานยาทั้งหมด 13 รายที่ผ่านมา (เชื้อเคลด2)”[8] นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ยังได้ “คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ทางกรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510  จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส  เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง  3 กลุ่ม ประกอบด้วย   1. บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือ สัมผัสคนติดเชื้อ 2. กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน และ3. มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ซึ่ง 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ กรมควบคุมโรคจะดูแลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย“[8] เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิตให้ความเห็น เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2567 ในเรื่องความพยายามกระพือข่าวให้กลัวเพื่อให้เกิดการระดมฉีดวัคซีน ความว่า “กรมควบคุมโรคประกาศแล้ว ฝีดาษลิงอัตราการระบาดต่ำ ทั้งประเทศมีประมาณ 800 ราย และที่เสียชีวิตนั้น เพราะมีติดเชื้อไวรัสเอดส์ และโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น การติดตามของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ติดเชื้อปลอดภัยดี วัคซีนขณะนี้ “ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน” และกระทรวงสาธารณสุข จะจัดการให้ฉีดฟรีใน “กลุ่มเสี่ยง” เท่านั้น ได้แก่ 1. บุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อ 2. คนที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโดยต้องฉีดภายใน 4 วัน ทั้งสองกลุ่มนี้ฟรี ส่วนกลุ่มที่ต้องเดินทางในพื้นที่เสี่ยงนั้น การฉีดนั้นต้องจ่ายเงิน “กลุ่มที่กระพือข่าวให้น่ากลัว โดยไม่ยึดความจริง และอาจทำให้นำไปสู่การค้าวัคซีน ควรต้องจับตามองอย่างเข้มข้น””[9] อย่างไรก็ตามแม้ว่าฝีดาษลิงจะเป็นเชื้อที่ยังติดได้ยาก ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยเฉพาะคือ ขายบริการทางเพศ และชายรักชาย อีกทั้งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากผู้ป่วยเอชไอวีที่ไม่ทานยาทั้งหมด ส่วนการติดนั้นต้องอาศัยการสัมผัสผิวใกล้ชิด อัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำ คนส่วนใหญ่จึงยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนแต่ประการใด อย่างไรก็ตามเนื่องจากโรคฝีดาษที่กลับมาระบาดอีกครั้งในรอบ 44 ปี ทำให้ความรู้ในการรักษาผู้ป่วยขาดตอนไป คงเหลือแต่การค้นคว้ากรรมวิธีการรักษาในประวัติศาสตร์ของคนไทยว่าใช้วิธีการรักษาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “โรคฝีดาษ” เป็นโรคที่มีความจำเพาะ ถึงขนาดทำให้พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาเสด็จสวรรคตถึง 2 พระองค์ จึงปรากฏเรื่องของตำรับยาและสมุนไพรที่เกี่ยวกับการรักษา “โรคฝีดาษ” แยกออกมาต่างหากจากโรคระบาดอื่นๆ บันทึกปรากฏอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 2 ของจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร[10]-[12] และอยู่ในแผ่นศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม[10],[13]-[15] นอกจากนั้น โรคฝีดาษไม่ใช่เป็นโรคระบาดอื่นๆที่ใช้ “ยาขาว”ที่ใช้กับโรคระบาดหลายชนิดในตำรับยาเดียว ที่ปรากฏในศิลาจารึกในสมัยรัชกาลที่ 3 ในแผ่นศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามอีกด้วย[16] หลักฐานที่ว่า “โรคฝีดาษ” ไม่ใช่โรคระบาดทั่วไปนั้น จะเห็นได้จากพระคัมภีร์ตักกะศิลาที่บันทึกภูมิปัญญามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และบันทึกมาโดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่ตกทอดมาถึงตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่พบการกล่าวถึงคำว่า “ฝีดาษ” แต่ประการใด แต่ในที่สุดก็ได้พบตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุคัมภีร์ชื่อ “พระตำหรับแผนฝีดาษ” บันทึกในสมุดไทย มีรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะ และมีจำนวนมากถึง 3 เล่ม จนไม่สามารถที่จะถ่ายทอดมาให้อ่านในหมดในบทความนี้ โดย “พระตำหรับแผนฝีดาษ” ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น มีการกล่าวถึงลักษณะของฝีแต่ละชนิด และจุดที่เกิดฝีว่าบริเวณใดเป็นแล้วไม่เสียชีวิต รวมถึงบริเวณใดจะทำให้เสียชีวิตภายในกี่วัน จึงได้มีการแบ่งแยกวิธีการรักษาอย่างละเอียดยิบ อย่างไรก็ตามก็มีวาง “หลักการ“ ถึงวิธีการรักษาโรคฝีดาษปรากฏอยู่ใน ”พระตำหรับแผนฝีดาษ เล่ม 2“ ที่ระบุความตอนหนึ่งว่า ”๏ สิทธิการิยะ พระตำราประสะฝีดาษทั้งปวง ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาฝีดาษ ถ้าเห็นศีศะรู้ว่าเปนฝีดาษแน่แล้ว ให้กินยาล้อมตับดับพิศม์และให้กินยารุเสีย แลกินยาแปรภายใน พ่นยาแปรภายนอกแลกินยากะทุ้ง…“[17] หลังจากนั้นพอวันเวลาเปลี่ยนไปก็มีตำรับยาเฉพาะที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนรักษาฝีดาษจนหายในที่สุด ซึ่งในโอกาสอันสมควรก็น่าจะมีการรื้อฟื้น ศึกษา พระตำหรับแผนฝีดาษ สมัยรัชกาลที่ 5 แล้วทำการวิจัย พัฒนา เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับโรคฝีดาษในยุคปัจจุบันต่อไป ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 12 กันยายน 2567 อ้างอิง [1] Ryan KJ, Ray CG, บ.ก. (2004). Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 525–28. ISBN 978-0-8385-8529-0. [2] CDC, History of Smallpox, 25 July 2017 https://www.cdc.gov/smallpox/history/history.html [3] Hfocus, โรคระบาดร้ายแรงในอดีต ตอนที่ 3 โรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ), วันที่ 26 สิงหาคม 2558 https://www.hfocus.org/content/2014/08/7977 [4] World Health Organization, Small Pox, Media Center https://web.archive.org/web/20070921235036/http://www.who.int/mediacentre/factsheets/smallpox/en/ [5] U.S. House of Representatives, Interim Staff Report on Investigation into Risky MPXV Experiment at the National Institute of Allergy and Infectious Diseases, June 14 2024 https://d1dth6e84htgma.cloudfront.net/Mpox_Memo_Rpt_correction_18e95e3204.pdf?utm_source=substack&utm_medium=email&fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR0YlqstCXKzOUttRicgqQ6lG00dtMnZ_9pFf4FqtlBbSAyw5uR-tGR6QIM_aem_ZXPXy1XgTiGCTixSJJ-aFg [6] ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, “หมอธีระวัฒน์” เปิดผลสอบสวน “ฝีดาษลิง” ธรรมชาติสร้างหรือมนุษย์ประดิษฐ์, ผู้จัดการออนไลน์, 6 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082903 [7] กรมควบคุมโรค, รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อฝีดาษวานร (Mpox), 12 กันยายน 2567 https://ddc.moph.go.th/monkeypox/dashboard.php [8] Hfocus, กรมควบคุมโรค ทุ่มงบ 21 ล้านบาท จัดหา “วัคซีนฝีดาษวานร” 3 พันโดสให้เฉพาะ 3 กลุ่มเสี่ยง, 6 กันยายน 2567 https://www.hfocus.org/content/2024/09/31577 [9] ผู้จัดการออนไลน์, “หมอธีระวัฒน์” แนะจับตาพวกกระพือข่าวให้ตื่นกลัวฝีดาษลิง หวังค้าวัคซีน หลังกรมควบคุมโรคยืนยันแล้วอัตราระบาดต่ำ, 7 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000083178 [10] ผู้จัดการออนไลน์, “ปานเทพ” เผยตำรับยาแก้ “ฝีดาษ” ในศิลาจารึก แนะวิจัยสมุนไพรไทยต่อยอดไว้สู้ “ฝีดาษลิง”, เผยแพร่: 5 กันยายน 2567 https://mgronline.com/qol/detail/9670000082615 [11] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/14798 [12] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscript.../inscribe/image_detail/16335 [13] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/.../file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [14] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/.../7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [15] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723 [16] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [17] คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒, ตำราเวชศาสตร์ฉบับหลวง รัชกาลที่ ๕ เล่ม ๒
    Like
    Love
    42
    3 Comments 2 Shares 1143 Views 0 Reviews
  • #อรุณสวัสดิ์แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่านคร๊าบบบ
    #ว่าด้วยโพสนี้ของป้าโจววววว
    มีใจความหลักที่ลงไว้คือ
    "ขอเตือนทุกคนตรงนี้นะคะ
    หยุดปั่นกระแสรุมด่าผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาผิดๆได้แล้ว เหมือนสื่อและสังคมกำลังสนุกสนานกับการรุมเหยียบฝ่ายหญิงให้จมธรณี ราวกับฝูงไฮยีน่าฉีกเนื้อเหยื่อ ทั้งที่มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆที่ถูกตีตกไปแล้ว"
    ถูกตีตกอาราย งงงง
    .....................................
    ประเด็นที่หนึ่งงงงง
    การที่ผู้ชายทั้งวงการมารุมเหยียบผู้หญิงที่เคยรักให้มิด เงยหัวขึ้นมาไม่ได้ มันอัปลักษณ์จนเกินไปค่ะ
    #ตอบ ไม่ได้รุมผู้ญ. กำลังเปิดขบวนการกามิจแอนเดอะแก๊vvvvvส์ ที่แต่งสตอรี่ร่วมกับเอเจนซี่กิมจิ สร้างความน่าสงสารเห็นใจ หวังได้ติ๊กเกอร์แล้วแบ่งตังค์กัน ต้มคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก แยกแยะหน่อย อิป้า
    ------------------------
    ประเด็นที่ฉอง
    บทสุดท้ายในคลิปที่พี่โจบอกแบบนั้น เพราะเป็นการคุยจบใหม่ๆ คืนวันที่ 6 กย. พี่โจอยากให้ความทรงจำที่แสนดีปิดฉากลงได้แบบสวยงาม ไม่ทำร้ายใคร จึงเขียนแบบเป็นกลางและเป็นธรรมให้กับทั้งกามินและชาลี
    #ตอบ ถ้าความทรงจำที่แสนดี เน็กจะมานั่งไลฟ์ด้วยความอัดอั้นตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้าหรือ อิป้า ไหนความเป็นธรรม พี่คิงส์เห็นแต่ความลำเอียง แล้วสุดท้าย พวกจิตอ่อนก็พาทัวร์ไปลงแน็ก ตลกมากอิป้า
    ..............................
    ประเด็นที่ฉาม
    แต่ความเป็นจริงที่ตามหลังมา มันโหดร้ายกว่าที่คาดไว้
    และยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งเล่นกันถึงขั้น #ไร้มนุษยธรรม !
    #ตอบ สิ่งที่กามิจเจอ ก็คือสิ่งที่กามิจทำ แค่มีคนมาเปิดเผยความจริง อิป้ารับไม่ได้ ความจริงยังไง อ่านต่อ
    ----------------------------------
    ประเด็นที่ฉี่
    ปล. 1 ขอเพิ่ม “คนไทยหลอกง่าย” กามินไม่เคยพูดนะคะ เพื่อนของผู้ช่วยฝ่ายชายพูด
    #ตอบ ไม่แปลกใจ ไปถามมิจ มิจคงตอบแหละ "ฉานพูดจริง" ก็ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะไม่ได้มีใครอัดเทป บันทึกเสียงเรื่องนี้ไว้
    แต่ๆๆๆๆ
    ป้าโจ ต้องตั้งสติ และทำความเข้าใจกับความจริงที่ป้าหนีไม่ได้แก้ยังไงก็ไม่พ้น
    สิ่งที่กามินพูดในไลฟ์ ตอนยังปากกล้าๆ ได้ถูกแปลออกมาแล้ว
    "ฉันเลิกกับเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม (ไม่เอ่ยชื่อเน็ก) ฉันภูมิใจในตัวเองที่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้ เพราะตัวฉันเอง ที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ และความสามารถของฉันเอง (ไม่ได้กล่าวถึงเน็กชาลีเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนทำให้คนไทยรู้จักเธอ) ฉันพอใจในรายได้จากการ pk ของฉันอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่เกาหลี ฉันยอมเสี่ยง อุตส่าห์มาเมืองไทยเพื่อเรียนรุ้จักชาลี
    ตอนนี้เดินออกมาแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะ
    ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดังและมีชื่อเสียงด้วยตัวฉันเอง ฉันเป็นอินฟูลที่มีความสุข มีรายได้ที่ดีอยู่ที่เกาหลี และที่ไปประเทศไทย ก็ไม่ได้อยากไป แต่เพราะชาลีชวนไป ก็ไป และก็ไม่ต้องมาอิจฉาฉันที่ฉันดังและมีชื่อเสียง อยากดังก็ไปทำช่องเองสิ แบบฉันเนี่ยดังได้โดยไม่ต้องได้รับการซัพพอตจากใคร แล้วถ้าใครดูฉันแล้วไม่ชอบ ก็อันฟอลไปได้เลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร"
    คนเกาหลีแท้ๆแปลเองเลย โดยไม่ได้ผ่านการดัดแปลงของทีมป้าด้วยการแปลภาษาหลงทิศหลงทาง
    เอาแค่นี้ ที่ป้าแถถถไม่ได้ ลบความจริงไม่ได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง
    แม้ป้าและทีมงานเอเจนซี่พยายามมาแก้เกมส์ทีหลัง ให้อิเหวิงให้สัมภาษณ์สื่อมาอวยชาลีรัวๆ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวที่อิเหวิงกาฝากมันพูดด้วยตัวของมันเอง
    ข้อที่สองที่แถถถไม่ได้คือ
    กามินมีเอเจนซี่จริง ตั้งแต่สร้างสตอรี่กินมาม่า ไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน เรียกร้องความเห็นใจ กามินบอกเองว่ามีรายได้เดือนละเจ็ดแปดหมื่นไม่ได้ลำบาก แล้วป้าว่าข้อมูลไม่จริงตรงไหน
    ----------------------------------------
    ประเด็นที่ (เท่าไหรแล้วไม่ได้นับ)
    ปล. 2 ขอเตือนคุณสนธิ ลิ้ม อย่าเล่นประเด็นเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จากข้อมูลที่ได้รับมาแบบเอียงข้างเลยค่ะ
    เช็คข้อเท็จจริงดีๆก่อนค่ะ อย่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับ “เหยื่อ” เลย
    #ตอบ เมิงไปเตือนอะไรเค้า อย่าทาลึ่งเล่นข้ามรุ่น เค้าผู้ใหญ่แล้วข้อมูลเค้าแน่น ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตั้งแต่ป้ายังเล่นปั่นแปะอยู่เลย เรื่องข้อมูลแค่นี้ป้าก็ยังแยกไม่ออกเลย ใครโดนกระทำใครถูกกระทำ หลงจนไม่ลืมหูลืมตา ข้อมูลที่ว่าเอียงข้าง
    1. คลิปที่กามิจออกมาพูดเอง ว่าตัวเองดังเองไม่ต้องมีใครซัพพอต
    หรือ
    2. พฤติกรรมของกามิจที่มีพยานรู้เห็นกันทั่วทั้งเรื่องขอส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ ทั้งเรื่องขอเข้าซีนไลฟ์ชาลี ก็เพื่อติ๊กเกอร์
    3. หรือคลิปที่ถ่ายเต้นแร้งเต้นกา หรือ อ่านบทภาษาไทย ทำท่าแสดงร้องไห้ไปหัวเราะไป
    เรื่องไหนฟร๊ะที่ไม่จริง อิป้า
    อ่านปากให้ดีนะ
    ทุกอย่างที่ทำให้คนไทยชัง มาจากตัวกามิจเอง อย่าโทษใคร
    -----------------------------------------
    ประเด็นสุดท้ายอันนี้ชอบ
    ปล. ใครจะมาท้าชนกับเจ้เรื่องนี้แม่ไขว้แหลก เตรียมทำใจไว้ด้วย
    #ตอบ ป้าโจ ยังไม่รู้จักเพจคิงส์โพธิ์แดงดีพอ
    มาลองกันซักตั้ง
    อยากรู้ว่าป้าจะมีฤทธิ์เดชแค่ไหน เอาทัวร์ไปลงแน๊กรัวๆ หงายการ์ดความเป็นหญิงถูกรุงแก
    เริ่มสงสัยแล้วหละ ว่าที่ป้าทำ ป้าทำด้วยรักกามิจ
    หรือป้าและทีมงาน มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เอเจนซี่กิมจิรึเปล่าน้าาาาา
    ออกตัวแร๊งๆ แน๊กคนถูกกกระทำชัดๆ ไหงเอาเวลามาช่วยอิเหวิง
    และปกป้องการเปิดความจริงที่กิมจิต้มคนไทย สรุปยังไง
    อิป้า เอาความจริง
    อิเหวิงน่าฉงฉานตรงไหน มันยังเต้นเย้ยหนุกหนาน พร้อมหอบตังกลับบ้านเป็นหลายสิบล้าน
    ในขณะที่ชาลี ต้องรับผิดชอบทั้งสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และอดีตมากี่สิบล้านเพราะรักกามิน วงในจริงทำไมไม่รู้ห่านอะไรเลย แล้วชาลียังต้องมานั่งปวดหัวกับพวกด้อมที่ป้าสร้างเอาทั่วร์ไปลงอีกนี่สิ สำนึกหน่อย ต้องยืนข้างใคร
    มนุษป้าชื่อโจ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อรุณสวัสดิ์แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงทุกท่านคร๊าบบบ #ว่าด้วยโพสนี้ของป้าโจววววว มีใจความหลักที่ลงไว้คือ "ขอเตือนทุกคนตรงนี้นะคะ หยุดปั่นกระแสรุมด่าผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาผิดๆได้แล้ว เหมือนสื่อและสังคมกำลังสนุกสนานกับการรุมเหยียบฝ่ายหญิงให้จมธรณี ราวกับฝูงไฮยีน่าฉีกเนื้อเหยื่อ ทั้งที่มันเป็นข้อกล่าวหาผิดๆที่ถูกตีตกไปแล้ว" ถูกตีตกอาราย งงงง ..................................... ประเด็นที่หนึ่งงงงง การที่ผู้ชายทั้งวงการมารุมเหยียบผู้หญิงที่เคยรักให้มิด เงยหัวขึ้นมาไม่ได้ มันอัปลักษณ์จนเกินไปค่ะ #ตอบ ไม่ได้รุมผู้ญ. กำลังเปิดขบวนการกามิจแอนเดอะแก๊vvvvvส์ ที่แต่งสตอรี่ร่วมกับเอเจนซี่กิมจิ สร้างความน่าสงสารเห็นใจ หวังได้ติ๊กเกอร์แล้วแบ่งตังค์กัน ต้มคนไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก แยกแยะหน่อย อิป้า ------------------------ ประเด็นที่ฉอง บทสุดท้ายในคลิปที่พี่โจบอกแบบนั้น เพราะเป็นการคุยจบใหม่ๆ คืนวันที่ 6 กย. พี่โจอยากให้ความทรงจำที่แสนดีปิดฉากลงได้แบบสวยงาม ไม่ทำร้ายใคร จึงเขียนแบบเป็นกลางและเป็นธรรมให้กับทั้งกามินและชาลี #ตอบ ถ้าความทรงจำที่แสนดี เน็กจะมานั่งไลฟ์ด้วยความอัดอั้นตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้าหรือ อิป้า ไหนความเป็นธรรม พี่คิงส์เห็นแต่ความลำเอียง แล้วสุดท้าย พวกจิตอ่อนก็พาทัวร์ไปลงแน็ก ตลกมากอิป้า .............................. ประเด็นที่ฉาม แต่ความเป็นจริงที่ตามหลังมา มันโหดร้ายกว่าที่คาดไว้ และยิ่งมาถึงตอนนี้ยิ่งเล่นกันถึงขั้น #ไร้มนุษยธรรม ! #ตอบ สิ่งที่กามิจเจอ ก็คือสิ่งที่กามิจทำ แค่มีคนมาเปิดเผยความจริง อิป้ารับไม่ได้ ความจริงยังไง อ่านต่อ ---------------------------------- ประเด็นที่ฉี่ ปล. 1 ขอเพิ่ม “คนไทยหลอกง่าย” กามินไม่เคยพูดนะคะ เพื่อนของผู้ช่วยฝ่ายชายพูด #ตอบ ไม่แปลกใจ ไปถามมิจ มิจคงตอบแหละ "ฉานพูดจริง" ก็ต้องออกตัวแบบนี้ เพราะไม่ได้มีใครอัดเทป บันทึกเสียงเรื่องนี้ไว้ แต่ๆๆๆๆ ป้าโจ ต้องตั้งสติ และทำความเข้าใจกับความจริงที่ป้าหนีไม่ได้แก้ยังไงก็ไม่พ้น สิ่งที่กามินพูดในไลฟ์ ตอนยังปากกล้าๆ ได้ถูกแปลออกมาแล้ว "ฉันเลิกกับเขาคนนั้นตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม (ไม่เอ่ยชื่อเน็ก) ฉันภูมิใจในตัวเองที่ยืนอยู่บนจุดนี้ได้ เพราะตัวฉันเอง ที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ และความสามารถของฉันเอง (ไม่ได้กล่าวถึงเน็กชาลีเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นคนทำให้คนไทยรู้จักเธอ) ฉันพอใจในรายได้จากการ pk ของฉันอยู่แล้ว ตอนอยู่ที่เกาหลี ฉันยอมเสี่ยง อุตส่าห์มาเมืองไทยเพื่อเรียนรุ้จักชาลี ตอนนี้เดินออกมาแล้วรู้สึกโล่งขึ้นเยอะ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันดังและมีชื่อเสียงด้วยตัวฉันเอง ฉันเป็นอินฟูลที่มีความสุข มีรายได้ที่ดีอยู่ที่เกาหลี และที่ไปประเทศไทย ก็ไม่ได้อยากไป แต่เพราะชาลีชวนไป ก็ไป และก็ไม่ต้องมาอิจฉาฉันที่ฉันดังและมีชื่อเสียง อยากดังก็ไปทำช่องเองสิ แบบฉันเนี่ยดังได้โดยไม่ต้องได้รับการซัพพอตจากใคร แล้วถ้าใครดูฉันแล้วไม่ชอบ ก็อันฟอลไปได้เลย ฉันไม่ได้รู้สึกอะไร" คนเกาหลีแท้ๆแปลเองเลย โดยไม่ได้ผ่านการดัดแปลงของทีมป้าด้วยการแปลภาษาหลงทิศหลงทาง เอาแค่นี้ ที่ป้าแถถถไม่ได้ ลบความจริงไม่ได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง แม้ป้าและทีมงานเอเจนซี่พยายามมาแก้เกมส์ทีหลัง ให้อิเหวิงให้สัมภาษณ์สื่อมาอวยชาลีรัวๆ แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวที่อิเหวิงกาฝากมันพูดด้วยตัวของมันเอง ข้อที่สองที่แถถถไม่ได้คือ กามินมีเอเจนซี่จริง ตั้งแต่สร้างสตอรี่กินมาม่า ไลฟ์ทั้งวันทั้งคืน เรียกร้องความเห็นใจ กามินบอกเองว่ามีรายได้เดือนละเจ็ดแปดหมื่นไม่ได้ลำบาก แล้วป้าว่าข้อมูลไม่จริงตรงไหน ---------------------------------------- ประเด็นที่ (เท่าไหรแล้วไม่ได้นับ) ปล. 2 ขอเตือนคุณสนธิ ลิ้ม อย่าเล่นประเด็นเหยียบย่ำผู้หญิงด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ จากข้อมูลที่ได้รับมาแบบเอียงข้างเลยค่ะ เช็คข้อเท็จจริงดีๆก่อนค่ะ อย่าสร้างเวรสร้างกรรมให้กับ “เหยื่อ” เลย #ตอบ เมิงไปเตือนอะไรเค้า อย่าทาลึ่งเล่นข้ามรุ่น เค้าผู้ใหญ่แล้วข้อมูลเค้าแน่น ต่อสู้เพื่อความถูกต้องตั้งแต่ป้ายังเล่นปั่นแปะอยู่เลย เรื่องข้อมูลแค่นี้ป้าก็ยังแยกไม่ออกเลย ใครโดนกระทำใครถูกกระทำ หลงจนไม่ลืมหูลืมตา ข้อมูลที่ว่าเอียงข้าง 1. คลิปที่กามิจออกมาพูดเอง ว่าตัวเองดังเองไม่ต้องมีใครซัพพอต หรือ 2. พฤติกรรมของกามิจที่มีพยานรู้เห็นกันทั่วทั้งเรื่องขอส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ ทั้งเรื่องขอเข้าซีนไลฟ์ชาลี ก็เพื่อติ๊กเกอร์ 3. หรือคลิปที่ถ่ายเต้นแร้งเต้นกา หรือ อ่านบทภาษาไทย ทำท่าแสดงร้องไห้ไปหัวเราะไป เรื่องไหนฟร๊ะที่ไม่จริง อิป้า อ่านปากให้ดีนะ ทุกอย่างที่ทำให้คนไทยชัง มาจากตัวกามิจเอง อย่าโทษใคร ----------------------------------------- ประเด็นสุดท้ายอันนี้ชอบ ปล. ใครจะมาท้าชนกับเจ้เรื่องนี้แม่ไขว้แหลก เตรียมทำใจไว้ด้วย #ตอบ ป้าโจ ยังไม่รู้จักเพจคิงส์โพธิ์แดงดีพอ มาลองกันซักตั้ง อยากรู้ว่าป้าจะมีฤทธิ์เดชแค่ไหน เอาทัวร์ไปลงแน๊กรัวๆ หงายการ์ดความเป็นหญิงถูกรุงแก เริ่มสงสัยแล้วหละ ว่าที่ป้าทำ ป้าทำด้วยรักกามิจ หรือป้าและทีมงาน มีเอี่ยวกับผลประโยชน์เอเจนซี่กิมจิรึเปล่าน้าาาาา ออกตัวแร๊งๆ แน๊กคนถูกกกระทำชัดๆ ไหงเอาเวลามาช่วยอิเหวิง และปกป้องการเปิดความจริงที่กิมจิต้มคนไทย สรุปยังไง อิป้า เอาความจริง อิเหวิงน่าฉงฉานตรงไหน มันยังเต้นเย้ยหนุกหนาน พร้อมหอบตังกลับบ้านเป็นหลายสิบล้าน ในขณะที่ชาลี ต้องรับผิดชอบทั้งสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน และอดีตมากี่สิบล้านเพราะรักกามิน วงในจริงทำไมไม่รู้ห่านอะไรเลย แล้วชาลียังต้องมานั่งปวดหัวกับพวกด้อมที่ป้าสร้างเอาทั่วร์ไปลงอีกนี่สิ สำนึกหน่อย ต้องยืนข้างใคร มนุษป้าชื่อโจ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 821 Views 0 Reviews
  • เส้นที่มีชื่อเสียงของ Morpheus ใน The Matrix เกี่ยวกับยาสีน้ําเงินและยาสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของทางเลือกที่ลึกซึ้งและลึกซึ้งกว่าที่แต่ละบุคคลเผชิญในชีวิต - ทางเลือกระหว่างความไม่รู้ที่สะดวกสบายกับความจริงที่ไม่สงบบ่อยครั้ง เมื่อ Morpheus เสนอทางเลือกระหว่างยาสีน้ําเงินและยาสีแดง เขาไม่ได้เป็นเพียงการเสนอวัตถุที่ง่าย ๆ สองอย่าง แต่สองเส้นทางของการดํารงอยู่ที่แตกต่างกันอย่างรุนแรง
    คําของมอร์เฟียสเกี่ยวกับยาสีน้ําเงิน
    Morpheus กล่าวกับ Neo:
    "คุณกินยาสีฟ้า - เรื่องจบลง คุณตื่นขึ้นมาบนเตียงของคุณและเชื่อในสิ่งที่คุณต้องการเชื่อ คุณกินยาสีแดง - คุณอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ และฉันแสดงให้คุณเห็นว่ารูกระต่ายนั้นลึกแค่ไหน "
    ช่วงเวลานี้เป็นสิ่งสําคัญเพราะมันครอบคลุมแก่นแท้ของสภาพมนุษย์: ทางเลือกระหว่างที่เหลืออยู่ภายในขอบเขตของโลกมายา สิ่งหนึ่งที่สะดวกสบาย คุ้นเคย และดูเหมือนปลอดภัย หรือกล้าที่จะร่วมทุนกับสิ่งที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งความจริงไม่ว่ารุนแรงหรือท้าทายรอคอย
    ความสําคัญที่ลึกซึ้งของยาสีน้ําเงิน
    ยาสีน้ําเงินเป็นสัญลักษณ์ของทางเลือกที่จะยังคงอยู่ในเมทริกซ์ของภาพลวงตา — การสร้างการโกหก ความจริงครึ่งหนึ่ง และการหลอกลวงที่สร้างความรู้สึกผิด ๆ ของความปลอดภัย ผู้ที่เลือกยาสีน้ําเงินด้วยความเต็มใจยอมรับความเป็นจริงที่นําเสนอต่อพวกเขา ชอบความสบายของความไม่รู้มากกว่าความไม่สบายที่อาจเกิดขึ้นจากความจริง ยาสีน้ําเงินแสดงถึง:
    ความสบายเหนือความจริง: ยาสีน้ําเงินมอบชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวดจากการตั้งคําถามที่ท้าทายสถานะ มันช่วยให้คนเราอาศัยอยู่ในฟองสบู่ต่อไป ซึ่งความจริงที่ยากลําบากจะถูกหลีกเลี่ยง และความเป็นจริงที่น่าอึดอัดจะถูกยกเลิก มันเป็นเส้นทางที่ง่ายกว่า หนึ่งที่ลดความไม่เข้าใจทางความคิดและบุคคลสามารถอยู่ในสถานะของความไม่รู้ตัวอย่างมีความสุข
    การส่งภาพลวงตา: การกินยาสีน้ําเงินเป็นรูปแบบของการยอมแพ้ เป็นการยอมรับของคําบอกเล่าที่ถูกบังคับโดยกองกําลังภายนอก ไม่ว่าจะเป็นบรรทัดฐานทางสังคม อิทธิพลทางสื่อ หรือวาระทางการเมือง มันหมายถึงการละทิ้งความเป็นอิสระของตนเองและเป็นการส่งไปยังการควบคุมของผู้ที่สร้างภาพลวงตา
    การปฏิเสธการเจริญเติบโต: การเลือกยาสีน้ําเงินเป็นการปฏิเสธการเจริญเติบโตส่วนบุคคลและทางจิตวิญญาณ การเติบโตมักจะผ่านการเผชิญหน้ากับความท้าทาย ผ่านการตั้งคําถามกับโลกรอบตัวเรา และผ่านการกอดสิ่งที่ไม่รู้จัก ยาสีน้ําเงินในทางตรงกันข้ามคือการปฏิเสธการเดินทางนี้ - การปฏิเสธที่จะเติบโตเพื่อพัฒนาและแสวงหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการดํารงอยู่
    ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก: การตัดสินใจที่จะกินยาสีน้ําเงินมักถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว - ความกลัวในสิ่งที่อยู่เหนือม่านแห่งภาพลวงตา ความกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่อาจจะรุนแรง ไม่ให้อภัย หรือแตกต่างอย่างลึกซึ้งกับคําเล่าที่แสนสบายที่ถูกสร้างขึ้น ความกลัวนี้ทําให้คนเป็นอัมพาต ทําให้พวกเขาถูกขังไว้ในสถานะของความพอใจ
    ผู้ที่เลือกยาสีน้ําเงิน
    บุคคลที่เลือกเม็ดสีฟ้ามักจะเป็นคนที่พอใจกับระดับพื้นผิวของชีวิต พวกเขาอาจกลัวการหยุดชะงักของมุมมองโลกของพวกเขาหรือผลกระทบของการท้าทายความเชื่ออย่างลึกซึ้ง บุคคลเหล่านี้อาจ:
    ยึดมั่นกับความคุ้นเคย: พวกเขาถูกดึงดูดไปสู่ความปลอดภัยของสิ่งที่เป็นที่รู้จัก สิ่งที่คาดเดาได้ พวกเขาชอบความสะดวกสบายในการทํากิจวัตรประจําวันและความมั่นใจในการตรวจสอบสังคมมากกว่าความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการตั้งคําถามถึงธรรมชาติของความเป็นจริง
    หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ: ยาสีน้ําเงินแสดงถึงการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับความรู้ การที่จะมองโลกที่แท้จริงนั้นต้องมีการกระทํา มันต้องการการตอบสนอง ผู้ที่เลือกยาสีน้ําเงินมักจะไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบนี้ แต่ชอบที่จะยังคงสังเกตการณ์ชีวิตอย่างต่อเนื่อง
    ใช้ชีวิตภายในขอบเขต: ผู้กินยาสีน้ําเงินอาศัยอยู่ในขอบเขตของระบบ ยอมรับข้อจํากัดที่กําหนดไว้กับพวกเขา พวกเขาไม่พยายามที่จะข้ามขอบเขตเหล่านี้ และพวกเขาไม่ต้องการที่จะสํารวจสิ่งที่อยู่เกินกว่านั้น ชีวิตของพวกเขาเป็นลักษณะที่สอดคล้องและยึดมั่นในคําเล่าที่ถูกกําหนดไว้
    ปฏิเสธการเรียกสู่การตื่นรู้: ทางเลือกของยาสีน้ําเงินคือการปฏิเสธการเรียกให้ตื่นรู้ มันเป็นการปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการเดินทางของการค้นพบตัวเอง เพื่อสํารวจความลึกลับที่ลึกซึ้งของชีวิต และเพื่อแสวงหาความจริงที่สูงขึ้น มันคือการปฏิเสธการแสวงหาทางจิตวิญญาณที่นําไปสู่การตรัสรู้
    ผลกระทบที่ลึกซึ้ง
    ทางเลือกระหว่างยาสีน้ําเงินและยาสีแดงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในนิยาย แต่เป็นคําอุปมาสําหรับทางเลือกที่เราทุกคนต้องเผชิญในชีวิตของเรา เราเลือกที่จะนอนหลับ ยอมรับคําโกหกที่ปลอบโยนที่เราได้รับอาหาร หรือเราตื่นขึ้นมาในบางครั้งที่รุนแรง แต่ยังปลดปล่อยความจริง?
    ในปรัชญา Hermetic ทางเลือกนี้เป็นการตัดสินใจที่จะยังคงผูกพันกับโลกของวัตถุ ด้วยภาพลวงตาและสิ่งรบกวน หรือเพื่อแสวงหาความจริงของพระเจ้าซึ่งอยู่เหนือความคลุมหน้าของรูปลักษณ์ ยาสีน้ําเงินคือหนทางแห่งความไม่รู้ นําไปสู่ชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นผิว ที่ซึ่งคนเราถูกควบคุมโดยพลังภายนอก และไม่เคยรู้จักตัวเองหรือโลกอย่างแท้จริง
    สําหรับคนที่เลือกเม็ดสีฟ้า ชีวิตอาจจะดูง่ายขึ้น แต่มันคือชีวิตที่อยู่ในเงา ชีวิตที่แสงแห่งความเข้าใจที่แท้จริงไม่เคยแทรกซึม มันเป็นชีวิตของการเดินละเมอตลอดกาล ที่ซึ่งความลึกลับที่ลึกซึ้งของการดํารงอยู่ตลอดไป และที่ที่ที่วิญญาณยังคงติดอยู่ในคุกของเมทริกซ์
    สรุปแล้ว ยาสีน้ําเงินแสดงถึงมากกว่าทางเลือกง่าย ๆ — มันเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินใจที่จะยังคงอยู่ในความมืดมิด เพื่อยอมรับภาพลวงตา และปฏิเสธความจริงอันลึกซึ้งที่อยู่เหนือไป เป็นการตัดสินใจที่หลายคนตัดสินใจ ไม่ว่าจะด้วยสติ หรือ ขาดสติ ทุกวัน แต่สําหรับผู้ที่กล้าที่จะกินยาแดง ผู้ที่เลือกที่จะตื่นรู้และมองโลกอย่างแท้จริง เส้นทางแห่งการค้นพบและการปลดปล่อยที่ลึกซึ้งรออยู่ ทางเลือกเป็นของเราเสมอ และในทางเลือกนั้นมีอํานาจที่จะสร้างความเป็นจริงของเรา
    เส้นที่มีชื่อเสียงของ Morpheus ใน The Matrix เกี่ยวกับยาสีน้ําเงินและยาสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของทางเลือกที่ลึกซึ้งและลึกซึ้งกว่าที่แต่ละบุคคลเผชิญในชีวิต - ทางเลือกระหว่างความไม่รู้ที่สะดวกสบายกับความจริงที่ไม่สงบบ่อยครั้ง เมื่อ Morpheus เสนอทางเลือกระหว่างยาสีน้ําเงินและยาสีแดง เขาไม่ได้เป็นเพียงการเสนอวัตถุที่ง่าย ๆ สองอย่าง แต่สองเส้นทางของการดํารงอยู่ที่แตกต่างกันอย่างรุนแรง คําของมอร์เฟียสเกี่ยวกับยาสีน้ําเงิน Morpheus กล่าวกับ Neo: "คุณกินยาสีฟ้า - เรื่องจบลง คุณตื่นขึ้นมาบนเตียงของคุณและเชื่อในสิ่งที่คุณต้องการเชื่อ คุณกินยาสีแดง - คุณอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ และฉันแสดงให้คุณเห็นว่ารูกระต่ายนั้นลึกแค่ไหน " ช่วงเวลานี้เป็นสิ่งสําคัญเพราะมันครอบคลุมแก่นแท้ของสภาพมนุษย์: ทางเลือกระหว่างที่เหลืออยู่ภายในขอบเขตของโลกมายา สิ่งหนึ่งที่สะดวกสบาย คุ้นเคย และดูเหมือนปลอดภัย หรือกล้าที่จะร่วมทุนกับสิ่งที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งความจริงไม่ว่ารุนแรงหรือท้าทายรอคอย ความสําคัญที่ลึกซึ้งของยาสีน้ําเงิน ยาสีน้ําเงินเป็นสัญลักษณ์ของทางเลือกที่จะยังคงอยู่ในเมทริกซ์ของภาพลวงตา — การสร้างการโกหก ความจริงครึ่งหนึ่ง และการหลอกลวงที่สร้างความรู้สึกผิด ๆ ของความปลอดภัย ผู้ที่เลือกยาสีน้ําเงินด้วยความเต็มใจยอมรับความเป็นจริงที่นําเสนอต่อพวกเขา ชอบความสบายของความไม่รู้มากกว่าความไม่สบายที่อาจเกิดขึ้นจากความจริง ยาสีน้ําเงินแสดงถึง: ความสบายเหนือความจริง: ยาสีน้ําเงินมอบชีวิตที่ปราศจากความเจ็บปวดจากการตั้งคําถามที่ท้าทายสถานะ มันช่วยให้คนเราอาศัยอยู่ในฟองสบู่ต่อไป ซึ่งความจริงที่ยากลําบากจะถูกหลีกเลี่ยง และความเป็นจริงที่น่าอึดอัดจะถูกยกเลิก มันเป็นเส้นทางที่ง่ายกว่า หนึ่งที่ลดความไม่เข้าใจทางความคิดและบุคคลสามารถอยู่ในสถานะของความไม่รู้ตัวอย่างมีความสุข การส่งภาพลวงตา: การกินยาสีน้ําเงินเป็นรูปแบบของการยอมแพ้ เป็นการยอมรับของคําบอกเล่าที่ถูกบังคับโดยกองกําลังภายนอก ไม่ว่าจะเป็นบรรทัดฐานทางสังคม อิทธิพลทางสื่อ หรือวาระทางการเมือง มันหมายถึงการละทิ้งความเป็นอิสระของตนเองและเป็นการส่งไปยังการควบคุมของผู้ที่สร้างภาพลวงตา การปฏิเสธการเจริญเติบโต: การเลือกยาสีน้ําเงินเป็นการปฏิเสธการเจริญเติบโตส่วนบุคคลและทางจิตวิญญาณ การเติบโตมักจะผ่านการเผชิญหน้ากับความท้าทาย ผ่านการตั้งคําถามกับโลกรอบตัวเรา และผ่านการกอดสิ่งที่ไม่รู้จัก ยาสีน้ําเงินในทางตรงกันข้ามคือการปฏิเสธการเดินทางนี้ - การปฏิเสธที่จะเติบโตเพื่อพัฒนาและแสวงหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการดํารงอยู่ ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้จัก: การตัดสินใจที่จะกินยาสีน้ําเงินมักถูกขับเคลื่อนด้วยความกลัว - ความกลัวในสิ่งที่อยู่เหนือม่านแห่งภาพลวงตา ความกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่อาจจะรุนแรง ไม่ให้อภัย หรือแตกต่างอย่างลึกซึ้งกับคําเล่าที่แสนสบายที่ถูกสร้างขึ้น ความกลัวนี้ทําให้คนเป็นอัมพาต ทําให้พวกเขาถูกขังไว้ในสถานะของความพอใจ ผู้ที่เลือกยาสีน้ําเงิน บุคคลที่เลือกเม็ดสีฟ้ามักจะเป็นคนที่พอใจกับระดับพื้นผิวของชีวิต พวกเขาอาจกลัวการหยุดชะงักของมุมมองโลกของพวกเขาหรือผลกระทบของการท้าทายความเชื่ออย่างลึกซึ้ง บุคคลเหล่านี้อาจ: ยึดมั่นกับความคุ้นเคย: พวกเขาถูกดึงดูดไปสู่ความปลอดภัยของสิ่งที่เป็นที่รู้จัก สิ่งที่คาดเดาได้ พวกเขาชอบความสะดวกสบายในการทํากิจวัตรประจําวันและความมั่นใจในการตรวจสอบสังคมมากกว่าความไม่แน่นอนที่มาพร้อมกับการตั้งคําถามถึงธรรมชาติของความเป็นจริง หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ: ยาสีน้ําเงินแสดงถึงการหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบที่มาพร้อมกับความรู้ การที่จะมองโลกที่แท้จริงนั้นต้องมีการกระทํา มันต้องการการตอบสนอง ผู้ที่เลือกยาสีน้ําเงินมักจะไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบนี้ แต่ชอบที่จะยังคงสังเกตการณ์ชีวิตอย่างต่อเนื่อง ใช้ชีวิตภายในขอบเขต: ผู้กินยาสีน้ําเงินอาศัยอยู่ในขอบเขตของระบบ ยอมรับข้อจํากัดที่กําหนดไว้กับพวกเขา พวกเขาไม่พยายามที่จะข้ามขอบเขตเหล่านี้ และพวกเขาไม่ต้องการที่จะสํารวจสิ่งที่อยู่เกินกว่านั้น ชีวิตของพวกเขาเป็นลักษณะที่สอดคล้องและยึดมั่นในคําเล่าที่ถูกกําหนดไว้ ปฏิเสธการเรียกสู่การตื่นรู้: ทางเลือกของยาสีน้ําเงินคือการปฏิเสธการเรียกให้ตื่นรู้ มันเป็นการปฏิเสธที่จะมีส่วนร่วมในการเดินทางของการค้นพบตัวเอง เพื่อสํารวจความลึกลับที่ลึกซึ้งของชีวิต และเพื่อแสวงหาความจริงที่สูงขึ้น มันคือการปฏิเสธการแสวงหาทางจิตวิญญาณที่นําไปสู่การตรัสรู้ ผลกระทบที่ลึกซึ้ง ทางเลือกระหว่างยาสีน้ําเงินและยาสีแดงไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในนิยาย แต่เป็นคําอุปมาสําหรับทางเลือกที่เราทุกคนต้องเผชิญในชีวิตของเรา เราเลือกที่จะนอนหลับ ยอมรับคําโกหกที่ปลอบโยนที่เราได้รับอาหาร หรือเราตื่นขึ้นมาในบางครั้งที่รุนแรง แต่ยังปลดปล่อยความจริง? ในปรัชญา Hermetic ทางเลือกนี้เป็นการตัดสินใจที่จะยังคงผูกพันกับโลกของวัตถุ ด้วยภาพลวงตาและสิ่งรบกวน หรือเพื่อแสวงหาความจริงของพระเจ้าซึ่งอยู่เหนือความคลุมหน้าของรูปลักษณ์ ยาสีน้ําเงินคือหนทางแห่งความไม่รู้ นําไปสู่ชีวิตที่อาศัยอยู่บนพื้นผิว ที่ซึ่งคนเราถูกควบคุมโดยพลังภายนอก และไม่เคยรู้จักตัวเองหรือโลกอย่างแท้จริง สําหรับคนที่เลือกเม็ดสีฟ้า ชีวิตอาจจะดูง่ายขึ้น แต่มันคือชีวิตที่อยู่ในเงา ชีวิตที่แสงแห่งความเข้าใจที่แท้จริงไม่เคยแทรกซึม มันเป็นชีวิตของการเดินละเมอตลอดกาล ที่ซึ่งความลึกลับที่ลึกซึ้งของการดํารงอยู่ตลอดไป และที่ที่ที่วิญญาณยังคงติดอยู่ในคุกของเมทริกซ์ สรุปแล้ว ยาสีน้ําเงินแสดงถึงมากกว่าทางเลือกง่าย ๆ — มันเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินใจที่จะยังคงอยู่ในความมืดมิด เพื่อยอมรับภาพลวงตา และปฏิเสธความจริงอันลึกซึ้งที่อยู่เหนือไป เป็นการตัดสินใจที่หลายคนตัดสินใจ ไม่ว่าจะด้วยสติ หรือ ขาดสติ ทุกวัน แต่สําหรับผู้ที่กล้าที่จะกินยาแดง ผู้ที่เลือกที่จะตื่นรู้และมองโลกอย่างแท้จริง เส้นทางแห่งการค้นพบและการปลดปล่อยที่ลึกซึ้งรออยู่ ทางเลือกเป็นของเราเสมอ และในทางเลือกนั้นมีอํานาจที่จะสร้างความเป็นจริงของเรา
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
  • ความจริงจากปูติน
    ความจริงจากปูติน
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ความจริงมีหนึ่งเดียว
    ความชั่วเผย ประจักษ์

    เช้าวันนี้ 11 กันยายน ได้รับอีเมลจากคุณเดวิด วิลแมน (David Willman) นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ที่สัมภาษณ์เรา และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    เรื่องที่เรายุติการรับทุน จาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐ CDC USAID DARPA DTRA ผ่านทาง EcoHealth alliance หาไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่ารวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมดสิ้น

    โดยเช้านี้ ได้ส่งเรื่องของ คุณ Matt Ridley และ Alina Chan ตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงไวรัสโควิดจากห้องแลป การตัดต่อพันธุกรรม ให้ไวรัสธรรมดา รุนแรงขึ้นและจนกระทั่งหลุดออกไประบาดทั่วโลก คนตายหลาย 10,000,000 คน

    และเหตุผลว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐรวมทั้งบรรณาธิการของวารสารดัง อันดับหนึ่งของสหรัฐและอังกฤษ ปิดปากเงียบ และเอนเอียงเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกมาจากห้อง แลป และมีการสร้างตัดต่อไวรัสใหม่

    โยงความเกี่ยวพันไปถึง NIH NIAID Fauci Collins Daszak ที่ถูกสอบสวนไปแล้วในรัฐสภาสหรัฐ และEcoHealth alliance ถูกยุติระงับการให้ทุนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2567

    คนที่ตีแผ่เรื่องนี้ในหนังสือที่เขียน ท้าดีเบต กับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ แต่คนดังๆหลบหมด และเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการเชื่อมโยงการให้ทุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างไวรัสใหม่ปรากฏชัดแจ่มแจ้ง

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าวัคซีนโควิดนั้นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018 ก่อนหน้าการระบาดในปลายปี 2019 และเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบข้างเคียงต่อเนื่องยาวนานซึ่งทั่วโลกดำเนินการฟ้องร้องอยู่

    และเทคโนโลยีนี้ นำมาใช้กับวัคซีนอื่นๆในทุกเชื้อโรค โดยปฏิเสธว่าไม่ต้องทำการประเมินความปลอดภัยอีก เพราะเทคโนโลยีนี้ใช้ไปแล้วกับ วัคซีนโควิด ทั่วโลก และ เป็นที่มา ที่ไม่มีใครยอมรับผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีน

    แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขของไทยประกาศเมื่อ เดือนมกราคม 2567 นี้ว่า วัคซีนโควิดเกิดผลกระทบร้ายแรงเพียงห้ารายเท่านั้นในประเทศไทย

    หมายเหตุ:
    หมอได้ไปบรรยายในที่ต่างๆ เรื่องที่ เราได้รับทุน ทั้งนี้ เราได้รับทราบข้อมูลโดยตรงว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่และมีจุดมุ่งหมายสร้างไวรัสตัวอื่นที่ร้ายแรงขึ้น ทั้งไวรัสในกลุ่มไข้หวัดใหญ่ อีโบลา นิปาห์ โคโรนา

    ทั้งนี้ ไวรัสฝีดาษลิง มีการให้ทุนจาก Fauci แก่ Moss ใน NIH ในปี 2015 ทำให้ฝีดาษลิงรุนแรงและแพร่ได้ดีกว่าเดิมและทำสำเร็จในปี 2021 และการวางแผนจำลองว่ามีการระบาดทั่วโลกในปี 2021 และ 2022 รวมทั้งเริ่มจัดเตรียมวัคซีนฝีดาษลิง และ ถึงกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2024 จาก clade Ib
    ทั้งที่อัตราการระบาดต่ำและไม่ได้สูงมาก อย่างที่หวัง และเกิดจากการสัมผัสต้องใกล้ชิดแนบแน่นนัวเนียและเพศสัมพันธ์ และแน่นอนไม่มีการติดต่อทางอากาศ airborne เหมือนที่พยายามจะให้มีการจำกัดเขตและใส่หน้ากากเว้นระยะห่างกันอีก

    และมีความพยายามที่จะให้ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งถึงสูงวัย โดยประกาศว่าคนในประเทศไทยมีความเสี่ยง และให้ติดต่อขอรับวัคซีนโดยเสียเงินและ จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศว่าฉีดเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ และฉีดคนที่สัมผัสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว และคนจะเดินทางไปยังทวีปที่มีการระบาดต้นตอ
    โดยที่วัคซีนฝีดาษลิงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวใหม่สุดยังมีอัตราหัวใจอักเสบอยู่ที่แปดใน 10,000 รายไม่นับผลแทรกซ้อนอื่น

    ส่วน ไข้หวัดนกมีการให้ทุนเช่นเดียวกันจาก Fauci และทำสำเร็จในปี 2012 และ พัฒนาต่อเรื่อยๆ
    รวมทั้งพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับไข้หวัดนกและมีการประกาศให้เตรียมตัวการระบาดไข้หวัดนกรวมทั้งฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับฝีดาษลิง

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า
    ในประเทศไทย มีรายงานการรับทุนจากต่างประเทศในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    อายุรกรรม และ ระบบสมองและประสาทและโรคติดเชื้อทางสมอง

    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/cr5oyzaPKk9qo29t/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ความจริงมีหนึ่งเดียว ความชั่วเผย ประจักษ์ เช้าวันนี้ 11 กันยายน ได้รับอีเมลจากคุณเดวิด วิลแมน (David Willman) นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ ที่สัมภาษณ์เรา และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เรื่องที่เรายุติการรับทุน จาก กระทรวงกลาโหมสหรัฐ CDC USAID DARPA DTRA ผ่านทาง EcoHealth alliance หาไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่ารวมทั้งทำลายตัวอย่างเหล่านี้หมดสิ้น โดยเช้านี้ ได้ส่งเรื่องของ คุณ Matt Ridley และ Alina Chan ตีพิมพ์หนังสือเปิดโปงไวรัสโควิดจากห้องแลป การตัดต่อพันธุกรรม ให้ไวรัสธรรมดา รุนแรงขึ้นและจนกระทั่งหลุดออกไประบาดทั่วโลก คนตายหลาย 10,000,000 คน และเหตุผลว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐรวมทั้งบรรณาธิการของวารสารดัง อันดับหนึ่งของสหรัฐและอังกฤษ ปิดปากเงียบ และเอนเอียงเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดออกมาจากห้อง แลป และมีการสร้างตัดต่อไวรัสใหม่ โยงความเกี่ยวพันไปถึง NIH NIAID Fauci Collins Daszak ที่ถูกสอบสวนไปแล้วในรัฐสภาสหรัฐ และEcoHealth alliance ถูกยุติระงับการให้ทุนตั้งแต่ 15 พฤษภาคม 2567 คนที่ตีแผ่เรื่องนี้ในหนังสือที่เขียน ท้าดีเบต กับนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ แต่คนดังๆหลบหมด และเผยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการเชื่อมโยงการให้ทุนการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสร้างไวรัสใหม่ปรากฏชัดแจ่มแจ้ง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าวัคซีนโควิดนั้นจดสิทธิบัตรตั้งแต่ปี 2018 ก่อนหน้าการระบาดในปลายปี 2019 และเทคโนโลยีนี้มีผลกระทบข้างเคียงต่อเนื่องยาวนานซึ่งทั่วโลกดำเนินการฟ้องร้องอยู่ และเทคโนโลยีนี้ นำมาใช้กับวัคซีนอื่นๆในทุกเชื้อโรค โดยปฏิเสธว่าไม่ต้องทำการประเมินความปลอดภัยอีก เพราะเทคโนโลยีนี้ใช้ไปแล้วกับ วัคซีนโควิด ทั่วโลก และ เป็นที่มา ที่ไม่มีใครยอมรับผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนของวัคซีน แม้กระทั่งกระทรวงสาธารณสุขของไทยประกาศเมื่อ เดือนมกราคม 2567 นี้ว่า วัคซีนโควิดเกิดผลกระทบร้ายแรงเพียงห้ารายเท่านั้นในประเทศไทย หมายเหตุ: หมอได้ไปบรรยายในที่ต่างๆ เรื่องที่ เราได้รับทุน ทั้งนี้ เราได้รับทราบข้อมูลโดยตรงว่ามีการตัดต่อพันธุกรรมสร้างไวรัสใหม่และมีจุดมุ่งหมายสร้างไวรัสตัวอื่นที่ร้ายแรงขึ้น ทั้งไวรัสในกลุ่มไข้หวัดใหญ่ อีโบลา นิปาห์ โคโรนา ทั้งนี้ ไวรัสฝีดาษลิง มีการให้ทุนจาก Fauci แก่ Moss ใน NIH ในปี 2015 ทำให้ฝีดาษลิงรุนแรงและแพร่ได้ดีกว่าเดิมและทำสำเร็จในปี 2021 และการวางแผนจำลองว่ามีการระบาดทั่วโลกในปี 2021 และ 2022 รวมทั้งเริ่มจัดเตรียมวัคซีนฝีดาษลิง และ ถึงกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2024 จาก clade Ib ทั้งที่อัตราการระบาดต่ำและไม่ได้สูงมาก อย่างที่หวัง และเกิดจากการสัมผัสต้องใกล้ชิดแนบแน่นนัวเนียและเพศสัมพันธ์ และแน่นอนไม่มีการติดต่อทางอากาศ airborne เหมือนที่พยายามจะให้มีการจำกัดเขตและใส่หน้ากากเว้นระยะห่างกันอีก และมีความพยายามที่จะให้ฉีดวัคซีนฝีดาษลิงตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งถึงสูงวัย โดยประกาศว่าคนในประเทศไทยมีความเสี่ยง และให้ติดต่อขอรับวัคซีนโดยเสียเงินและ จนกระทั่งกระทรวงสาธารณสุขออกมาประกาศว่าฉีดเฉพาะบุคลากรสาธารณสุขที่ต้องดูแลผู้ติดเชื้อ และฉีดคนที่สัมผัสอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว และคนจะเดินทางไปยังทวีปที่มีการระบาดต้นตอ โดยที่วัคซีนฝีดาษลิงนั้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวใหม่สุดยังมีอัตราหัวใจอักเสบอยู่ที่แปดใน 10,000 รายไม่นับผลแทรกซ้อนอื่น ส่วน ไข้หวัดนกมีการให้ทุนเช่นเดียวกันจาก Fauci และทำสำเร็จในปี 2012 และ พัฒนาต่อเรื่อยๆ รวมทั้งพัฒนาวัคซีนและยาสำหรับไข้หวัดนกและมีการประกาศให้เตรียมตัวการระบาดไข้หวัดนกรวมทั้งฉีดวัคซีน เช่นเดียวกับฝีดาษลิง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า ในประเทศไทย มีรายงานการรับทุนจากต่างประเทศในเรื่องเหล่านี้อยู่ด้วย ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อายุรกรรม และ ระบบสมองและประสาทและโรคติดเชื้อทางสมอง ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/cr5oyzaPKk9qo29t/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 571 Views 0 Reviews
  • #ความจริงมีหนึ่งเดียว
    #สนธิเล่าเรื่อง #thaitimes
    #ความจริงมีหนึ่งเดียว #สนธิเล่าเรื่อง #thaitimes
    Like
    2
    1 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
  • สวัสดีครับ มาสร้างชุมชน ความจริงกันเถอะ

    สวัสดีครับ มาสร้างชุมชน ความจริงกันเถอะ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 81 Views 0 Reviews
More Results