• (7 ม.ค. 68) รายงานข่าวCh7.com ระบุว่าศาลเกาหลีใต้อนุมัติหมายจับฉบับใหม่ต่อนายยุน ซอกยอล อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หลังหมายจับฉบับเดิมหมดอายุลงเมื่อวานนี้ทั้งนี้ สำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ของเกาหลีใต้, สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ (NOI) และสำนักงานสอบสวนของกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ระบุว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับดังกล่าวในบ่ายวันนี้ หลังจากที่การจับกุมนายยุนประสบความล้มเหลวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากถูกขัดขวางจากหน่วยอารักขาประธานาธิบดี ซึ่งอ้างว่าการจับกุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐสภาเกาหลีใต้มีมติถอดถอนนายยุนออกจากตำแหน่งในเดือนที่แล้ว โดยระบุว่าการประกาศกฎอัยการศึกของนายยุนเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. เป็นการกระทำที่ลุแก่อำนาจ และขัดต่อรัฐธรรมนูญต่อมารัฐสภาได้ยื่นเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกระบวนการตัดสินของศาลอาจต้องใช้เวลานานถึง 180 วัน ซึ่งหากศาลมีคำพิพากษาให้นายยุนพ้นจากตำแหน่ง รัฐบาลก็จะต้องประกาศจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ภายใน 60 วัน ที่มาhttps://news.ch7.com/detail/777282 :
    (7 ม.ค. 68) รายงานข่าวCh7.com ระบุว่าศาลเกาหลีใต้อนุมัติหมายจับฉบับใหม่ต่อนายยุน ซอกยอล อดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หลังหมายจับฉบับเดิมหมดอายุลงเมื่อวานนี้ทั้งนี้ สำนักงานสอบสวนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ระดับสูง (CIO) ของเกาหลีใต้, สำนักงานสอบสวนแห่งชาติ (NOI) และสำนักงานสอบสวนของกระทรวงกลาโหม ออกแถลงการณ์ระบุว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับดังกล่าวในบ่ายวันนี้ หลังจากที่การจับกุมนายยุนประสบความล้มเหลวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากถูกขัดขวางจากหน่วยอารักขาประธานาธิบดี ซึ่งอ้างว่าการจับกุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐสภาเกาหลีใต้มีมติถอดถอนนายยุนออกจากตำแหน่งในเดือนที่แล้ว โดยระบุว่าการประกาศกฎอัยการศึกของนายยุนเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. เป็นการกระทำที่ลุแก่อำนาจ และขัดต่อรัฐธรรมนูญต่อมารัฐสภาได้ยื่นเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งกระบวนการตัดสินของศาลอาจต้องใช้เวลานานถึง 180 วัน ซึ่งหากศาลมีคำพิพากษาให้นายยุนพ้นจากตำแหน่ง รัฐบาลก็จะต้องประกาศจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่ภายใน 60 วัน ที่มาhttps://news.ch7.com/detail/777282 :
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตบปาก 'ทักษิณ' พูดพล่อยเหยียดคน หวังนายกฯเตือนพ่อบ้าง
    .
    ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครปากแซ่บเท่ากับ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังตระเวนปราศรัยช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกท้องถิ่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงราย ถึงกับมีการพูดพาดพิงถึงคนแอฟริกันในลักษณะเหยียดเชื้อชาติ ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ถึงความเหมาะสม
    .
    นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความคิดเห็นว่า นายทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือสนับสนุนพรรคใหญ่ และมีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี การที่พูดในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ สีผิว ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่
    .
    “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในทางสิทธิมนุษยชน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสีผิว หรือเชื้อชาติ ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญมาก อยากให้คุณทักษิณออกมาขอโทษ ในสิ่งที่ได้พูดไป ในบ้านเราเองก็ไม่ได้มีคนที่มีสีผิวเหมือนกันหมด ตรงนี้เป็นหลักการขั้นพื้นฐานมากๆ หวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก เพราะรัฐบาลไทยไปสมัครเป็นสมาชิกมนตรีสิทธิมนุษชนแห่งสหชาติ ได้ให้คำมั่นไว้เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของธรรมาภิบาลของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการขจัดการเลือกปฏิบัติ" อังคณรา ระบุ
    .
    ด้าน ท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อเรื่องนี้ยังมองว่าการกระทำของนายทักษิณที่ผ่านมายังไม่มีลักษณะใดที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ระบุว่า ส่วนตัว ไม่ได้ฟังว่าท่านทักษิณปราศรัยว่าอย่างไร แต่คิดว่าสามารถทำได้ในขอบเขตที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติให้ทำในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เป็นสิทธิของท่านที่จะไปพูดอะไร ไปทั้งทีก็ไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ. หาเสียงอยู่แล้ว
    .
    “ไปแล้วไม่พูดหาเสียงแล้วจะไปทำไมครับ เป็นผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องไปหาเสียงครับ ไม่มีอะไรแปลกหรอก ท่านไปมาหลายจังหวัดแล้ว ผมไม่ได้ฟังแต่เชื่อว่าจากที่ท่านไม่ได้เยี่ยมพี่น้องประชาชนมานาน ท่านอาจจะดีใจ พี่น้องประชาชนก็ไปต้อนรับท่าน ก็เป็นเรื่องปกติ คนไทยทั้งประเทศรอพบท่านอยู่ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ไปพบกัน ได้เจรจา ได้พูดให้ความหวังกับพี่น้องประชาชนเห็นว่าอนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” นายวิสุทธิ์ ระบุ
    .
    นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีระเบียบอะไรบอกว่าพูดอะไรได้แค่ไหน หาเสียงก็ต้องแจ้งว่าพรรคจะทำอะไร ผู้สมัครจะทำอะไร อันไหนที่เป็นประโยชน์ก็ต้องพูดกัน
    .
    ผู้สื่อข่าวถามว่า รอบนี้นายทักษิณดุดันขึ้น นายชูศักดิ์ ยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ดุดันอะไรครับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการหาเสียง”
    ...........
    Sondhi X
    ตบปาก 'ทักษิณ' พูดพล่อยเหยียดคน หวังนายกฯเตือนพ่อบ้าง . ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครปากแซ่บเท่ากับ 'ทักษิณ ชินวัตร' อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังตระเวนปราศรัยช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงเลือกท้องถิ่นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดเชียงราย ถึงกับมีการพูดพาดพิงถึงคนแอฟริกันในลักษณะเหยียดเชื้อชาติ ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ถึงความเหมาะสม . นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความคิดเห็นว่า นายทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง หรือสนับสนุนพรรคใหญ่ และมีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี การที่พูดในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ สีผิว ถือเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ . “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ในทางสิทธิมนุษยชน การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสีผิว หรือเชื้อชาติ ถือเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องสำคัญมาก อยากให้คุณทักษิณออกมาขอโทษ ในสิ่งที่ได้พูดไป ในบ้านเราเองก็ไม่ได้มีคนที่มีสีผิวเหมือนกันหมด ตรงนี้เป็นหลักการขั้นพื้นฐานมากๆ หวังว่าท่านนายกรัฐมนตรีจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก เพราะรัฐบาลไทยไปสมัครเป็นสมาชิกมนตรีสิทธิมนุษชนแห่งสหชาติ ได้ให้คำมั่นไว้เยอะมากโดยเฉพาะเรื่องของธรรมาภิบาลของสิทธิมนุษยชน เรื่องของการขจัดการเลือกปฏิบัติ" อังคณรา ระบุ . ด้าน ท่าทีของพรรคเพื่อไทยต่อเรื่องนี้ยังมองว่าการกระทำของนายทักษิณที่ผ่านมายังไม่มีลักษณะใดที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ระบุว่า ส่วนตัว ไม่ได้ฟังว่าท่านทักษิณปราศรัยว่าอย่างไร แต่คิดว่าสามารถทำได้ในขอบเขตที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อนุมัติให้ทำในฐานะผู้ช่วยหาเสียง เป็นสิทธิของท่านที่จะไปพูดอะไร ไปทั้งทีก็ไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ. หาเสียงอยู่แล้ว . “ไปแล้วไม่พูดหาเสียงแล้วจะไปทำไมครับ เป็นผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องไปหาเสียงครับ ไม่มีอะไรแปลกหรอก ท่านไปมาหลายจังหวัดแล้ว ผมไม่ได้ฟังแต่เชื่อว่าจากที่ท่านไม่ได้เยี่ยมพี่น้องประชาชนมานาน ท่านอาจจะดีใจ พี่น้องประชาชนก็ไปต้อนรับท่าน ก็เป็นเรื่องปกติ คนไทยทั้งประเทศรอพบท่านอยู่ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ไปพบกัน ได้เจรจา ได้พูดให้ความหวังกับพี่น้องประชาชนเห็นว่าอนาคตของประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี” นายวิสุทธิ์ ระบุ . นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่มีระเบียบอะไรบอกว่าพูดอะไรได้แค่ไหน หาเสียงก็ต้องแจ้งว่าพรรคจะทำอะไร ผู้สมัครจะทำอะไร อันไหนที่เป็นประโยชน์ก็ต้องพูดกัน . ผู้สื่อข่าวถามว่า รอบนี้นายทักษิณดุดันขึ้น นายชูศักดิ์ ยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ไม่ได้ดุดันอะไรครับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการหาเสียง” ........... Sondhi X
    Like
    Angry
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1088 มุมมอง 0 รีวิว
  • “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    ณ บ้านพระอาทิตย์
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ

    ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ

    ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 

    ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา

    ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?

     ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา

    ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า

    “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย

    สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้ 

    ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด

    การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา

    อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง”

    ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน?

    ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

      แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”

    จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ?

    จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

     “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

      “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต



    “นพดล ปัทมะ” คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ณ บ้านพระอาทิตย์ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประเด็นที่  นายนพดล ปัทมะ อ้างว่า ปราสาทพระวิหารได้เป็นของกัมพูชาตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2505 แล้ว แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่กระทบต่อประเทศไทยใดๆเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเป็นความจริงที่พูดไม่ครบเพราะ ประการแรก นายนพดลอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวนที่จะทวงคืนปราสาทพระวิหารในวันข้างหน้า” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เอาไว้ด้วย โดยผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติก็ไม่มีข้อปฏิเสธใดๆ ข้อสงวนดังกล่าวเป็นการแสดงออกของรัฐบาลไทย ถึงความอยุติธรรมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  ข้อสงวนดังกล่าวไม่ได้อ้างข้อบทบัญญัติในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ แต่เมื่อฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีนี้ ฝ่ายไทยก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกจนถึงปัจจุบัน และข้อสงวนของฝ่ายไทยนั้นก็ไม่ได้อ้างอิงข้อบทในกฎหมายของศาลยุติธรรมต่างประเทศในเวลานั้น หากแต่วันหนึ่งในวันข้างหน้าที่กฎหมายพัฒนา หรือเกิดสิทธิที่ถูกต้องเป็นธรรมขึ้น ก็พร้อมที่จะทวงคืนประสาทพระวิหารกลับคืนมาด้วย จึงเป็นการสงวนสิทธิ์ในอนาคตแบบไม่ได้กำหนดระยะเวลา ดังนั้น การอ้างว่าไทยได้แพ้ในคดีปราสาทพระวิหารไปแล้ว การลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ได้เป็นการยกปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวนั้น จึงต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลไทยได้ละทิ้งข้อสงวนของไทยที่นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ในเวลานั้นได้ยื่นหนังสือ “ข้อสงวน” ถึงผู้รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 จริงหรือไม่?  ประการที่สอง ประเด็นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกของตัวปราสาทวิหารนั้นจะไม่สามารถทำได้ หากไม่มีพื้นที่พัฒนา พื้นที่กันชน ซึ่งเป็นเรื่อง “แผ่นดิน” นอกเหนือจาก “ตัวปราสาทพระวิหาร” ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2505 จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนว่า มีการยินยอมจากฝ่ายไทยในแผนผัง(N1, N2, N3) ให้ตัวปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชาฝ่ายเดียวในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาได้อย่างไร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ความจริงเรื่องนี้ไม่ควรจะถกเถียงใดๆ อีกแล้ว เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 6-7/2511 เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2551 ได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดสิ้นสุดไปแล้ว ในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2551 เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ โดยปรากฏคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในหน้าที่ 23-24 ความตอนหนึ่งว่า “ส่วนเรื่องอาณาเขตของประเทศนั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ การดำเนินการและการพิจารณาวินิจฉัยในเรื่องนี้จึงต้องกระทำอย่างรอบคอบ หากเป็นกรณีที่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศแล้ว ย่อมจะต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสองด้วย สำหรับคำแถลงการณ์ร่วม-กัมพูชา ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏสาระสำคัญอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่อันเป็นอาณาเขตของประเทศไทยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาข้อบททั้งหมดในคำแถลงการณ์ร่วมประกอบกับแผนที่หรือแผนผังแนบท้ายซึ่งจัดทำขึ้นโดยประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียว อันประกอบเป็นส่วนหนึ่งของคำแถลงการณ์ร่วมแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าวได้กล่าวอ้างถึงพื้นที่ N.1 N.2 และ N.3 ได้ชัดเจนว่ามีบริเวณครอบคลุมส่วนใดของประเทศใดเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อนและอาจก่อให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศตอบไปภายหน้าได้  ประกอบกับการที่ประเทศกัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่เป็นประเด็นโต้เถียงกันในเรื่องของเส้นเขตแดนและขอบเขตที่ปราสาทตั้งอยู่ ทั้งเป็นประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างกันทั้งทางด้านสังคมและการเมืองมาโดยตลอด การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเจรจากับประเทศกัมพูชาก่อนที่จะได้มีการลงนามคำแถลงการร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า การลงนามคำแถลงการณ์ร่วมไป ก็อาจก่อให้เกิดการแตกแยกกันทางด้านความคิดเห็นของคนในสังคมทั้งสองประเทศ อีกทั้งอาจก่อให้เกิดวิกฤติแก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมอย่างกว้างขวาง คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย จึงเป็นหนังสือสัญญาที่รัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง กำหนดให้ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqe’ ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามประมวลมาตรา 190 วรรคสอง” ดังนั้น การโพสต์ว่านายนพดล ปัทมะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ในกรณีให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น เป็นการใส่ร้ายตรงไหน และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกในประเทศไทยที่ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญนั้นผิดตรงไหน? ต่อมาคำพิพากษาศาลฎีกาสำนวนคดีหมายเลขดำ ที่ อม.3/2556 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558 ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 นั้น ในประเด็นแห่งคดีที่ว่านายนพดล ปัทมะ ไม่ได้นำเรื่องแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภานั้น ศาลฟังไม่ได้ว่า “จำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ”   แปลว่าเราต้องเคารพคำวินิจฉันของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งสรุปสั้นๆ ได้คือ นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกพร้อมแผนผังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทยที่กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพียงแต่ในอีกคดีหนึ่งที่ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพราะไม่ได้มี “เจตนาหลีกเลี่ยงไม่นำร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ให้รัฐสภาพิจารณาเห็นชอบ” จึงต้องตั้งคำถามต่อจากนายนพดล ปัทมะ ที่ตั้งประเด็นในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะให้เชื่อใครระหว่างนายสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะ กับกรมสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ของประเทศไทยนั้น ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากกระทรวงการต่างประเทศที่ได้มีการกระทำแบบที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แพ้คำตัดสินตัวปราสาทพระวิหารในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2505 แพ้การตีความพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2556 ดังนั้นการที่มาตั้งคำถามเพื่อด้อยค่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนในทำนองว่าอาจจะมีความรู้น้อยกว่า กรมสนธิสัญญากระทรวงการต่างประเทศจึงไม่น่าเชื่อถือ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน ถูกต้องแล้วหรือ? จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงต้องตั้งคำถามว่าข้อความต่อไปนี้ ไม่ใช่ความเท็จ และไม่ใช่การใส่ร้ายป้ายดีใดๆ จริงหรือไม่ ดังจะได้บันทึกให้อ่านกันเป็นข้อความซ้ำกัน 3 ครั้ง ความว่า  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”  “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”   “นายนพดล ปัทมะ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของประเทศไทย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ” ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 479 มุมมอง 0 รีวิว
  • โจลานีให้สัมภาษณ์กับสื่อ - ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตะวันตกอีกครั้ง

    โดยเรียกร้องให้ยกเลิกการคว่ำบาตรซีเรีย เพราะซีเรียยุคใหม่ที่นำโดยเขาไม่เป็นภัยต่อยุโรป และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอิสราเอล และพร้อมเปิดรับฟังแนวนโยบายของตะวันตกหากไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของซีเรียที่กำลังจะมีการร่างขึ้นมาใหม่โดยคณะทำงานของเขา

    นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ถอด HTS ออกจากบัญชีรายชื่อกลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งตัวเขาด้วย เพราะต่อไปนี้ซีเรียจะเป็นพันธมิตรที่ดีของยุโรป
    โจลานีให้สัมภาษณ์กับสื่อ - ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตะวันตกอีกครั้ง โดยเรียกร้องให้ยกเลิกการคว่ำบาตรซีเรีย เพราะซีเรียยุคใหม่ที่นำโดยเขาไม่เป็นภัยต่อยุโรป และประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอิสราเอล และพร้อมเปิดรับฟังแนวนโยบายของตะวันตกหากไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของซีเรียที่กำลังจะมีการร่างขึ้นมาใหม่โดยคณะทำงานของเขา นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้ถอด HTS ออกจากบัญชีรายชื่อกลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งตัวเขาด้วย เพราะต่อไปนี้ซีเรียจะเป็นพันธมิตรที่ดีของยุโรป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกียว​โด​นิวส์​ (13​ ธ.ค.)​ ศาลฎีกาญี่ปุ่นตัดสินเมื่อวันศุกร์ว่า การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องการเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์

    ศาลฎีกาฟุกุโอกะเป็นศาลฎีกาแห่งที่ 3 ที่ตัดสินว่าการห้ามสิทธิ​ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลชั้นต้นกล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า​ การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันอยู่ใน "สถานะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ" ซึ่งถือเป็นการเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

    คู่รักเพศเดียวกัน 3 คู่จากฟุกุโอกะ และคุมาโมโตะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นเรียกร้องเงิน 1 ล้านเยน (6,540 ดอลลาร์) ต่อคน โดยพวกเขาโต้แย้งว่าบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งที่ห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นละเมิดสิทธิความเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ และการรับรองเสรีภาพในการสมรส

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/japan/detail/9670000119677

    #MGROnline #ศาลฎีกาญี่ปุ่น #การห้ามการแต่งงาน #เพศเดียวกัน #ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    เกียว​โด​นิวส์​ (13​ ธ.ค.)​ ศาลฎีกาญี่ปุ่นตัดสินเมื่อวันศุกร์ว่า การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องการเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์ • ศาลฎีกาฟุกุโอกะเป็นศาลฎีกาแห่งที่ 3 ที่ตัดสินว่าการห้ามสิทธิ​ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลชั้นต้นกล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า​ การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันอยู่ใน "สถานะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ" ซึ่งถือเป็นการเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ • คู่รักเพศเดียวกัน 3 คู่จากฟุกุโอกะ และคุมาโมโตะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นเรียกร้องเงิน 1 ล้านเยน (6,540 ดอลลาร์) ต่อคน โดยพวกเขาโต้แย้งว่าบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งที่ห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นละเมิดสิทธิความเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ และการรับรองเสรีภาพในการสมรส • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/japan/detail/9670000119677 • #MGROnline #ศาลฎีกาญี่ปุ่น #การห้ามการแต่งงาน #เพศเดียวกัน #ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 320 มุมมอง 0 รีวิว
  • 4/12/67

    MOU 2544 นั้นทำให้ประเทศไทย ”ไม่ปฏิเสธ“ เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะ

    1.เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชารุกล้ำ ”ทะเลภายใน“ คือพื้นที่ทิศเหนือเส้นฐานตรงจากหลักเขตที่ 73 ถึงทิศใต้สุดของเกาะกูด จึงเท่ากับรุกล้ำดินแดนของราชอาณาจักรไทย ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล
    2.รุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล รอบเกาะกูด จึงเท่ากับรุกล้ำอธิปไตยไทย ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล
    3.รุกล้ำเขตต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด จึงเท่ากับรุกล้ำอธิปไตยไทย ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล
    4.รุกล้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย ไม่สนใจเส้นมัธยะฐานแบ่งเกาะกูดกับเกาะกง จึงไม่เป็นปตามกฎหมายทะเลสากล

    การเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ภายใต้ MOU2544 จึงขัดต่อพระบรมราชโองการ พ.ศ. 2516 ในสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งกำหนดวิธีการเจรจาให้อยู่บนมูลฐานของกฎหมายทะเลสากลเท่านั้น การเจรจาภายใต้ MOU2544 จึงขัดต่อพระบรมราชโองการ และเมื่อไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงย่อมเป็นโมฆะ หากยังฝืนเจรจาต่อไปย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    28 พฤศจิกายน 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1103720854454947/?
    4/12/67 MOU 2544 นั้นทำให้ประเทศไทย ”ไม่ปฏิเสธ“ เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเส้นเขตไหล่ทวีปที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล เพราะ 1.เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชารุกล้ำ ”ทะเลภายใน“ คือพื้นที่ทิศเหนือเส้นฐานตรงจากหลักเขตที่ 73 ถึงทิศใต้สุดของเกาะกูด จึงเท่ากับรุกล้ำดินแดนของราชอาณาจักรไทย ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล 2.รุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล รอบเกาะกูด จึงเท่ากับรุกล้ำอธิปไตยไทย ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล 3.รุกล้ำเขตต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด จึงเท่ากับรุกล้ำอธิปไตยไทย ไม่เป็นไปตามกฎหมายทะเลสากล 4.รุกล้ำเขตเศรษฐกิจจำเพาะของไทย ไม่สนใจเส้นมัธยะฐานแบ่งเกาะกูดกับเกาะกง จึงไม่เป็นปตามกฎหมายทะเลสากล การเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ภายใต้ MOU2544 จึงขัดต่อพระบรมราชโองการ พ.ศ. 2516 ในสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งกำหนดวิธีการเจรจาให้อยู่บนมูลฐานของกฎหมายทะเลสากลเท่านั้น การเจรจาภายใต้ MOU2544 จึงขัดต่อพระบรมราชโองการ และเมื่อไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงย่อมเป็นโมฆะ หากยังฝืนเจรจาต่อไปย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 28 พฤศจิกายน 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1103720854454947/?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 384 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วนที่สุด! เกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึก

    ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอก ยอล ประกาศกฎอัยการศึกจากการรัฐประหารตัวเอง โดยอ้างเหตุผลว่า พรรคฝ่ายค้านที่กุมอำนาจในรัฐสภาของประเทศแสดงออกอย่างเปิดเผยในการเห็นอกเห็นใจเกาหลีเหนือ และพยายามทำกิจกรรมต่อต้านรัฐ

    ประธานาธิบดีเกาหลีใต้อ้างถึงมติของพรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา กำลังยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนอัยการสูงสุดและไม่เห็นชอบเกี่ยวกับร่างกฎหมทายงบประมาณของรัฐบาล

    “เพื่อปกป้องเกาหลีใต้เสรีนิยมจากภัยคุกคามจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือ และเพื่อกำจัดกลุ่มต่อต้านรัฐ… ข้าพเจ้าขอประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉิน” ยูน กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์

    ยังไม่มีความชัดเจนว่าการประกาศกฎอัยการศึกของยุนในครั้งนี้ จะส่งผลต่อการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยอย่างไร

    การกระทำของยุนมีกระแสต่อต้านทันทีจากนักการเมือง รวมถึงฮัน ดงฮุน หัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมของเขาเอง ซึ่งกล่าวว่าการตัดสินใจครั้งนี้ “ผิดมหันต์” และสัญญาว่าจะหาทางยุติมัน

    ทางด้าน อี แจ-มยอง หัวหน้าฝ่ายค้าน ซึ่งแพ้ให้ยุนอย่างหวุดหวิดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2022 เรียกการประกาศของยุนว่า “ผิดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ”
    ด่วนที่สุด! เกาหลีใต้ประกาศกฎอัยการศึก ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ยุน ซอก ยอล ประกาศกฎอัยการศึกจากการรัฐประหารตัวเอง โดยอ้างเหตุผลว่า พรรคฝ่ายค้านที่กุมอำนาจในรัฐสภาของประเทศแสดงออกอย่างเปิดเผยในการเห็นอกเห็นใจเกาหลีเหนือ และพยายามทำกิจกรรมต่อต้านรัฐ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้อ้างถึงมติของพรรคประชาธิปไตยซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา กำลังยื่นเรื่องเพื่อถอดถอนอัยการสูงสุดและไม่เห็นชอบเกี่ยวกับร่างกฎหมทายงบประมาณของรัฐบาล “เพื่อปกป้องเกาหลีใต้เสรีนิยมจากภัยคุกคามจากกองกำลังคอมมิวนิสต์ของเกาหลีเหนือ และเพื่อกำจัดกลุ่มต่อต้านรัฐ… ข้าพเจ้าขอประกาศกฎอัยการศึกฉุกเฉิน” ยูน กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์ ยังไม่มีความชัดเจนว่าการประกาศกฎอัยการศึกของยุนในครั้งนี้ จะส่งผลต่อการบริหารประเทศในระบอบประชาธิปไตยอย่างไร การกระทำของยุนมีกระแสต่อต้านทันทีจากนักการเมือง รวมถึงฮัน ดงฮุน หัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมของเขาเอง ซึ่งกล่าวว่าการตัดสินใจครั้งนี้ “ผิดมหันต์” และสัญญาว่าจะหาทางยุติมัน ทางด้าน อี แจ-มยอง หัวหน้าฝ่ายค้าน ซึ่งแพ้ให้ยุนอย่างหวุดหวิดในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2022 เรียกการประกาศของยุนว่า “ผิดกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🇺🇸🇷🇺 ส.ส. โทมัส แมสซี ของสหรัฐฯ โจมตีประธานาธิบดีไบเดนที่อนุญาตให้ยูเครนโจมตีภายในรัสเซีย

    "การอนุญาตให้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีภายในรัสเซีย, ไบเดนกำลังกระทำการสงครามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตของพลเมืองสหรัฐทุกคน

    การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดที่สามารถถอดถอนได้, แต่ความจริงก็คือ 🤣เขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกตอนของรัฐลึก🤣"
    .
    JUST IN: 🇺🇸🇷🇺 US Congressman Thomas Massie slams President Biden for authorizing Ukraine to attack inside Russia.

    "By authorizing long range missiles to strike inside Russia, Biden is committing an unconstitutional Act of War that endangers the lives of all U.S. citizens.

    This is an impeachable offense, but the reality is he's an emasculated puppet of a deep state."
    .
    10:49 PM · Nov 18, 2024 · 403.3K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1858538120754389430
    🇺🇸🇷🇺 ส.ส. โทมัส แมสซี ของสหรัฐฯ โจมตีประธานาธิบดีไบเดนที่อนุญาตให้ยูเครนโจมตีภายในรัสเซีย "การอนุญาตให้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีภายในรัสเซีย, ไบเดนกำลังกระทำการสงครามที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตของพลเมืองสหรัฐทุกคน การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดที่สามารถถอดถอนได้, แต่ความจริงก็คือ 🤣เขาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกตอนของรัฐลึก🤣" . JUST IN: 🇺🇸🇷🇺 US Congressman Thomas Massie slams President Biden for authorizing Ukraine to attack inside Russia. "By authorizing long range missiles to strike inside Russia, Biden is committing an unconstitutional Act of War that endangers the lives of all U.S. citizens. This is an impeachable offense, but the reality is he's an emasculated puppet of a deep state." . 10:49 PM · Nov 18, 2024 · 403.3K Views ฮhttps://x.com/BRICSinfo/status/1858538120754389430
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 267 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่ม ปภส.ร้อง ปธ.ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเพิกถอนมติ ครม.ให้สัญชาติคนต่างชาติ อ้างเป็นการกระทำของคณะรัฐมนตรีที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สร้างผลกระทบต่อคนไทย

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105401

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    กลุ่ม ปภส.ร้อง ปธ.ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเพิกถอนมติ ครม.ให้สัญชาติคนต่างชาติ อ้างเป็นการกระทำของคณะรัฐมนตรีที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สร้างผลกระทบต่อคนไทย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000105401 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    35
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2591 มุมมอง 2 รีวิว
  • นี่คือประเทศเอลซัลวาดอร์ เมืองที่เคยเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากจำนวนอาชญากรรมมากมาย
    แต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด สำหรับการอยู่อาศัย และท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในโลกไปแล้ว ภายใต้การบริหารประเทศของ "นายิบ บูเคเล" (Nayib Bukele) ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์

    เมื่อความปลอดภัยหวนคืนสู่ประเทศ ชาวเอลซัลวาดอร์บอกว่า พวกเขาสามารถเดินบนถนนได้อย่างอิสระ ขณะที่ร้านรวงต่าง ๆ ไม่บ่นเรื่องถูกกรรโชกทรัพย์อีกต่อไป

    “ที่นี่ไม่เคยปลอดภัย จนกระทั่งประธานาธิบดีคนนี้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ฉันคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด และเขาเป็นประธานาธิบดีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” หญิงสาวรายหนึ่งกล่าวถึงในย่านหนึ่งที่เคยเป็นแหล่งอันตรายที่สุดของเมืองหลวง

    บูเคเล ชนะการเลือกตั้งทั่วไปสมัยแรกในปี 2019 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศด้วยอายุเพียง 37 ปี จากการชูนโยบายต่อต้านการทุจริตและสัญญาว่าจะปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยมากขึ้น (นโยบายใกล้เคียงยูเครนในสมัยที่เซเลนสกีลงสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ซึ่งก็คือปราบปรามการทุจริต)

    บูเคเล ถูกมองจากยุโรปและสหรัฐว่าเป็นเผด็จการ รวบอำนาจการปกครองไว้ที่ตนเอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญอันดีงามของประเทศ เนื่องจากเขาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศมาเกือบ 2 ปี เพื่อปราบปรามแก๊งอาชญากรต่าง ๆ ส่งผลให้จำนวนนักโทษในเรือนจำเพิ่มขึ้นกว่ามากกว่า 75,000 คน หรือ 3 เท่า “สมาชิกแก๊งมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น” “คุกหรือตาย ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น” บูเคเล กล่าว

    แน่นอนว่ายุโรปและสหรัฐต่อต้านนโยบายเหล่านี้ของบูเคเล ผ่านทางองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอย่างฮิวแมนไรท์วอทช์และองค์กรพัฒนาเอกชนกล่าวหาว่า บูเคเลละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน และชักชวนให้ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านเขา โดยให้ข้อมูลว่ารัฐบาลควบคุมและระงับสิทธิต่างๆที่ประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยควรมี

    หลังจากลดความรุนแรงจากอาชญากรรมได้ บูเคเลนำอีเวนต์ที่มีชื่อเสียงมาจัดในเอลซัลวาดอร์อีกครั้ง เช่น การประกวดนางงามจักรวาลครั้งที่ 72 หรือ มิสยูนิเวิร์ส เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศในระดับสากล และนักท่องเที่ยวก็เริ่มแสดงความสนใจ

    องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2019 หลายคนเป็นนักกระดานโต้คลื่น
    นี่คือประเทศเอลซัลวาดอร์ เมืองที่เคยเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จากจำนวนอาชญากรรมมากมาย แต่ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด สำหรับการอยู่อาศัย และท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในโลกไปแล้ว ภายใต้การบริหารประเทศของ "นายิบ บูเคเล" (Nayib Bukele) ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ เมื่อความปลอดภัยหวนคืนสู่ประเทศ ชาวเอลซัลวาดอร์บอกว่า พวกเขาสามารถเดินบนถนนได้อย่างอิสระ ขณะที่ร้านรวงต่าง ๆ ไม่บ่นเรื่องถูกกรรโชกทรัพย์อีกต่อไป “ที่นี่ไม่เคยปลอดภัย จนกระทั่งประธานาธิบดีคนนี้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ฉันคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด และเขาเป็นประธานาธิบดีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา” หญิงสาวรายหนึ่งกล่าวถึงในย่านหนึ่งที่เคยเป็นแหล่งอันตรายที่สุดของเมืองหลวง บูเคเล ชนะการเลือกตั้งทั่วไปสมัยแรกในปี 2019 ส่งผลให้เขาเป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศด้วยอายุเพียง 37 ปี จากการชูนโยบายต่อต้านการทุจริตและสัญญาว่าจะปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยมากขึ้น (นโยบายใกล้เคียงยูเครนในสมัยที่เซเลนสกีลงสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ซึ่งก็คือปราบปรามการทุจริต) บูเคเล ถูกมองจากยุโรปและสหรัฐว่าเป็นเผด็จการ รวบอำนาจการปกครองไว้ที่ตนเอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญอันดีงามของประเทศ เนื่องจากเขาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินภายในประเทศมาเกือบ 2 ปี เพื่อปราบปรามแก๊งอาชญากรต่าง ๆ ส่งผลให้จำนวนนักโทษในเรือนจำเพิ่มขึ้นกว่ามากกว่า 75,000 คน หรือ 3 เท่า “สมาชิกแก๊งมีเพียงสองทางเลือกเท่านั้น” “คุกหรือตาย ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น” บูเคเล กล่าว แน่นอนว่ายุโรปและสหรัฐต่อต้านนโยบายเหล่านี้ของบูเคเล ผ่านทางองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนอย่างฮิวแมนไรท์วอทช์และองค์กรพัฒนาเอกชนกล่าวหาว่า บูเคเลละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชน และชักชวนให้ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านเขา โดยให้ข้อมูลว่ารัฐบาลควบคุมและระงับสิทธิต่างๆที่ประชาชนที่เป็นประชาธิปไตยควรมี หลังจากลดความรุนแรงจากอาชญากรรมได้ บูเคเลนำอีเวนต์ที่มีชื่อเสียงมาจัดในเอลซัลวาดอร์อีกครั้ง เช่น การประกวดนางงามจักรวาลครั้งที่ 72 หรือ มิสยูนิเวิร์ส เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ใหม่ของประเทศในระดับสากล และนักท่องเที่ยวก็เริ่มแสดงความสนใจ องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2019 หลายคนเป็นนักกระดานโต้คลื่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 298 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีหุ่นเชิดของจอร์เจียปฏิเสธที่จะยอมรับการเลือกตั้งและขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วยการเรียกร้องให้ก่อรัฐประหาร วิธีปฏิบัติมาตรฐานในกรณีเช่นนี้คือการปลดออกจากตำแหน่งและจับกุม

    Dmitry Medvedev
    .
    The puppet president of Georgia refused to accept the election and went against the Constitution by calling for a coup. The standard practice in such cases is removal from office and arrest.
    .
    12:41 AM · Oct 29, 2024 · 259.4K Views
    https://x.com/MedvedevRussiaE/status/1850955959192936888
    ประธานาธิบดีหุ่นเชิดของจอร์เจียปฏิเสธที่จะยอมรับการเลือกตั้งและขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วยการเรียกร้องให้ก่อรัฐประหาร วิธีปฏิบัติมาตรฐานในกรณีเช่นนี้คือการปลดออกจากตำแหน่งและจับกุม Dmitry Medvedev . The puppet president of Georgia refused to accept the election and went against the Constitution by calling for a coup. The standard practice in such cases is removal from office and arrest. . 12:41 AM · Oct 29, 2024 · 259.4K Views https://x.com/MedvedevRussiaE/status/1850955959192936888
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว