• การงานราบรื่น
    รู้ตื่นเบิกบาน
    กรรมดีประสาน
    ฐานใจมั่นคง

    อำนาจศีลธรรม
    กรรมดีดำรง
    ความจริงถูกตรง
    ทรงคุณยิ่งใหญ่

    รักษาใจไว้
    ให้รวมใจได้
    ธรรมประทับใจ
    ให้ทุกข์ห่างไกล

    ดีชั่วใคร่ครวญ
    รู้ควรอย่างไร
    ตอแยหรือไม่
    ให้สติอยู่

    ตั้งสมาธิ
    วิเคราะห์ให้รู้
    กิเลสมีอยู่
    สู้ให้ห่างไกล

    ขอพบธรรมความดีมีสุขยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    การงานราบรื่น รู้ตื่นเบิกบาน กรรมดีประสาน ฐานใจมั่นคง อำนาจศีลธรรม กรรมดีดำรง ความจริงถูกตรง ทรงคุณยิ่งใหญ่ รักษาใจไว้ ให้รวมใจได้ ธรรมประทับใจ ให้ทุกข์ห่างไกล ดีชั่วใคร่ครวญ รู้ควรอย่างไร ตอแยหรือไม่ ให้สติอยู่ ตั้งสมาธิ วิเคราะห์ให้รู้ กิเลสมีอยู่ สู้ให้ห่างไกล ขอพบธรรมความดีมีสุขยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรือง รวยทรัพย์นอกใน นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)**
    หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้

    ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา
    1. **กรรม (Karma)**
    - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่
    - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์)
    - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์)

    2. **ไตรลักษณ์**
    - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    - เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    - ไม่มีตัวตน (อนัตตา)
    การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

    3. **มรรคมีองค์ 8**
    ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส)

    ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ
    1. เทวดา (สวรรค์)
    2. มนุษย์
    3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย)
    4. เปรต (วิญญาณอดอยาก)
    5. สัตว์
    6. นรก

    ### การหลุดพ้น
    - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่

    ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
    - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ
    - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน

    การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)** หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้ ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา 1. **กรรม (Karma)** - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่ - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์) - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์) 2. **ไตรลักษณ์** - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง) - เป็นทุกข์ (ทุกขัง) - ไม่มีตัวตน (อนัตตา) การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ 3. **มรรคมีองค์ 8** ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส) ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ 1. เทวดา (สวรรค์) 2. มนุษย์ 3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย) 4. เปรต (วิญญาณอดอยาก) 5. สัตว์ 6. นรก ### การหลุดพ้น - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่ ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)**
    หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้

    ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา
    1. **กรรม (Karma)**
    - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่
    - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์)
    - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์)

    2. **ไตรลักษณ์**
    - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง)
    - เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
    - ไม่มีตัวตน (อนัตตา)
    การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ

    3. **มรรคมีองค์ 8**
    ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส)

    ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ
    1. เทวดา (สวรรค์)
    2. มนุษย์
    3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย)
    4. เปรต (วิญญาณอดอยาก)
    5. สัตว์
    6. นรก

    ### การหลุดพ้น
    - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่

    ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
    - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ
    - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน

    การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    **การเวียนว่ายตายเกิด (Samsara)** หมายถึง วงจรการเกิด-ตายที่ไม่มีจุดสิ้นสุดของสรรพชีวิตตามความเชื่อในศาสนาพุทธและศาสนาอินเดียบางศาสนา (เช่น ฮินดู เชน) สาเหตุของการเวียนว่ายนี้คือ **"กิเลส"** (โลภะ โทสะ โมหะ) และ **"กรรม"** (การกระทำที่ส่งผลต่อการเกิดใหม่) โดยเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตจะเวียนว่ายอยู่ในภูมิทั้ง 6 (สวรรค์ มนุษย์ อสุรกาย เปรต สัตว์ นรก) ตามผลกรรมที่สร้างไว้ ### หลักสำคัญในพุทธศาสนา 1. **กรรม (Karma)** - การกระทำดี-ชั่วส่งผลต่อการเกิดใหม่ - กรรมดี → เกิดในสุคติ (เช่น มนุษย์ สวรรค์) - กรรมชั่ว → เกิดในทุคติ (เช่น นรก สัตว์) 2. **ไตรลักษณ์** - สิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง (อนิจจัง) - เป็นทุกข์ (ทุกขัง) - ไม่มีตัวตน (อนัตตา) การยึดถือในสังขารทำให้ติดอยู่ในสังสารวัฏ 3. **มรรคมีองค์ 8** ทางดับทุกข์เพื่อหลุดพ้นจากสังสารวัฏ สู่ **นิพพาน** (ภาวะสงบสิ้นกิเลส) ### ภูมิทั้ง 6 ในสังสารวัฏ 1. เทวดา (สวรรค์) 2. มนุษย์ 3. อสูร (อมนุษย์ที่หิวโหย) 4. เปรต (วิญญาณอดอยาก) 5. สัตว์ 6. นรก ### การหลุดพ้น - **นิพพาน** คือจุดหมายสูงสุด โดยการปฏิบัติธรรมจนสิ้นกิเลส ไม่อาลัยในรูป-นาม ไม่สร้างกรรมใหม่ ### ความเชื่อที่เกี่ยวข้อง - **เวทนา** (ความอยาก) ตามหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นเชื้อเพลิงให้สังสาระ - ในศาสนาฮินดูเชื่อมโยงกับ **อาตมัน** (วิญญาณ) และการรวมกับพรหมัน การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นแนวคิดที่สะท้อนหลักความไม่เที่ยง และการแสวงหาการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณในปรัชญาตะวันออก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระวังของร้อน
    สอนใจตนเอง
    บาปกรรมข่มเหง
    เก่งไม่พ้นกรรม

    กิเลสตัณหา
    พาให้ถลำ
    เดือดร้อนยังทำ
    นำเกิดตามกรรม

    เกิดแล้วตั้งอยู่
    สู่ทางมืดดำ
    ได้แต่หลงคลำ
    กรรมอำเภอใจ

    กิเลสแก้ไข
    ให้ทุกข์กระจาย
    ศีลธรรมอาศัย
    แก้ไขทุกข์หาย

    ความจริงมีอยู่
    รู้เกิดแก่ตาย
    ดับเหตุทุกข์หาย
    ให้เจริญธรรม

    อิทังเม ญาตินัง โหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย

    ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรืองรวยทรัพย์นอกใน

    นิพพานะปัจจะโยโหตุ
    ระวังของร้อน สอนใจตนเอง บาปกรรมข่มเหง เก่งไม่พ้นกรรม กิเลสตัณหา พาให้ถลำ เดือดร้อนยังทำ นำเกิดตามกรรม เกิดแล้วตั้งอยู่ สู่ทางมืดดำ ได้แต่หลงคลำ กรรมอำเภอใจ กิเลสแก้ไข ให้ทุกข์กระจาย ศีลธรรมอาศัย แก้ไขทุกข์หาย ความจริงมีอยู่ รู้เกิดแก่ตาย ดับเหตุทุกข์หาย ให้เจริญธรรม อิทังเม ญาตินัง โหตุ สุขิตาโหนตุ ญาตะโย ขอให้พบธรรมความดีมีสุข ยิ่งทำยิ่งเจริญรุ่งเรืองรวยทรัพย์นอกใน นิพพานะปัจจะโยโหตุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit : ชนะศึก จุลกะ

    ... 12 กุมภาพันธ์ 2568 ตรงกับ วันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันนี้เป็น
    #วันมาฆบูชา
    เป็นวันที่ พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์
    พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
    พระสงฆ์ที่มาประชุมกันเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น
    พระอรหันต์ทั้งหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุ คือ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมด
    ในวันนี้ พระพุทธองค์ ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา กล่าวโดยย่อ มี 3 ประการ คือ
    ทำความดีในที่ทั้งปวง
    ละเว้นความชั่วในที่ทั้งปวง
    ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมลทินเครื่องเศร้าหมอง
    เราทั้งหลายได้อยู่มาถึงกาลสมัย มาฆปุรณมี พึงสร้างบุญกุศล ด้วย ทาน ศีล ภาวนา สร้างสมบุญบารมีให้เกิดขึ้นมีขึ้นแก่ตัว จะได้มีความสุขทั้งในภพนี้ และ ในภพเบื้องหน้าต่อไป
    เวลา 20.54 น. ปุรณมี จันทร์เพ็ญเต็มที่ ในราศีกรกฏ

    ขอบพระคุณเจ้าของภาพ : คุณ โอ๋ ชัยวุฒิ
    ขอบพระคุณเจ้าของบทความ : ชนะศึก จุลกะ
    Credit : ชนะศึก จุลกะ ... 12 กุมภาพันธ์ 2568 ตรงกับ วันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันนี้เป็น #วันมาฆบูชา เป็นวันที่ พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ พระสงฆ์ 1250 รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระสงฆ์ที่มาประชุมกันเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น พระอรหันต์ทั้งหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุ คือ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ทั้งหมด ในวันนี้ พระพุทธองค์ ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หัวใจของพระพุทธศาสนา กล่าวโดยย่อ มี 3 ประการ คือ ทำความดีในที่ทั้งปวง ละเว้นความชั่วในที่ทั้งปวง ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสมลทินเครื่องเศร้าหมอง เราทั้งหลายได้อยู่มาถึงกาลสมัย มาฆปุรณมี พึงสร้างบุญกุศล ด้วย ทาน ศีล ภาวนา สร้างสมบุญบารมีให้เกิดขึ้นมีขึ้นแก่ตัว จะได้มีความสุขทั้งในภพนี้ และ ในภพเบื้องหน้าต่อไป เวลา 20.54 น. ปุรณมี จันทร์เพ็ญเต็มที่ ในราศีกรกฏ ขอบพระคุณเจ้าของภาพ : คุณ โอ๋ ชัยวุฒิ ขอบพระคุณเจ้าของบทความ : ชนะศึก จุลกะ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดำรงขีวี
    มีทุกข์ของร้อน
    ต่างพาโคจร
    ร้อนด้วยกิเลส

    ตัณหาถ้าโถม
    โหมจนก่อเหตุ
    ผสมกิเลส
    เหตุโหมลามไหม้

    เพียรสติยั้ง
    ยังธรรมดับได้
    เหตุได้ดับหาย
    ไกลกิเลสได้

    ธรรมล้างของร้อน
    ถอนพิษดับหาย
    ก่อคุณได้ใช้
    กลายเป็นของดี
    ดำรงขีวี มีทุกข์ของร้อน ต่างพาโคจร ร้อนด้วยกิเลส ตัณหาถ้าโถม โหมจนก่อเหตุ ผสมกิเลส เหตุโหมลามไหม้ เพียรสติยั้ง ยังธรรมดับได้ เหตุได้ดับหาย ไกลกิเลสได้ ธรรมล้างของร้อน ถอนพิษดับหาย ก่อคุณได้ใช้ กลายเป็นของดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกเกลื่อนทุกข์มี
    มีแต่ของร้อน
    ยึดติดยอกย้อน
    ถอนออกลำบาก

    ปทปรมะ
    ปฏิบัติยาก
    มีแต่วิบาก
    ลากสู่เวรภัย

    ชีวียังอยู่
    ดูแลกายใจ
    ระวังกรรมไว้
    ให้เตือนตนเอง

    ประมาททำมั่ว
    ชั่วใม่กลัวเกรง
    เอาแต่ข่มเหง
    เก่งไม่เกินกรรม

    กรรมทำร้ายเขา
    เอากิเลสนำ
    ก่อกรรมริยำ
    ช้ำนอกช้ำใน

    ธรรมมีเมตตา
    พาเข้าจิตใจ
    ร่มเย็นสบาย
    ไม่เป็นของร้อน
    โลกเกลื่อนทุกข์มี มีแต่ของร้อน ยึดติดยอกย้อน ถอนออกลำบาก ปทปรมะ ปฏิบัติยาก มีแต่วิบาก ลากสู่เวรภัย ชีวียังอยู่ ดูแลกายใจ ระวังกรรมไว้ ให้เตือนตนเอง ประมาททำมั่ว ชั่วใม่กลัวเกรง เอาแต่ข่มเหง เก่งไม่เกินกรรม กรรมทำร้ายเขา เอากิเลสนำ ก่อกรรมริยำ ช้ำนอกช้ำใน ธรรมมีเมตตา พาเข้าจิตใจ ร่มเย็นสบาย ไม่เป็นของร้อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • กิเลสตัณหา
    พาให้บรรลัย
    ก่อความเลวร้าย
    ได้ทุกข์เดือดร้อน

    มีธรรมเมตตา
    พาร้ายขาดตอน
    ดับพ้นทุกข์ร้อน
    พรดีสุขได้

    สัจธรรมความจริง
    ยิ่งเห็นเข้าใจ
    หนึ่งเดียวที่หมาย
    ให้กระจ่างแจ้ง

    รู้เช่นเห็นชาติ
    ธาตุแท้สำแดง
    ทางธรรมส่องแสง
    แจ้งกระจ่างใจ

    รุกยืนนั่งนอน
    จรเดินไปไหน
    สติติดไป
    ไม่ประมาทกรรม
    กิเลสตัณหา พาให้บรรลัย ก่อความเลวร้าย ได้ทุกข์เดือดร้อน มีธรรมเมตตา พาร้ายขาดตอน ดับพ้นทุกข์ร้อน พรดีสุขได้ สัจธรรมความจริง ยิ่งเห็นเข้าใจ หนึ่งเดียวที่หมาย ให้กระจ่างแจ้ง รู้เช่นเห็นชาติ ธาตุแท้สำแดง ทางธรรมส่องแสง แจ้งกระจ่างใจ รุกยืนนั่งนอน จรเดินไปไหน สติติดไป ไม่ประมาทกรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระอุปัชฌาย์กรัก รุ่นแรก วัดอัมพวัน จ.ลพบุรี ปี2469

    เหรียญพระอุปัชฌาย์กรัก รุ่นแรก วัดอัมพวัน จ.ลพบุรี ปี2469 //เหรียญเก่า พศ.ลึก เหรียญหายากที่ไม่ค่อยพบเจอ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณครอบจักรวาล มีทั้งเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยม คนชมชอบ เป็นที่รักใคร่แก่เทพเทวดา และคนทั่วไป ใครเห็นใครรัก ใครเห็นเมตตา เป็นมงคลมีความเย็นอยู่ในตัว หนุนดวงชะตา เน้นเสริมโภคทรัพย์ การงานธุรกิจค้าขายเจริญรุ่งเรือง สำเร็จสมปราถนา >>

    ** พระอุปัชฌาย์กรัก พระเกจิเชื้อสายรามัญผู้ขมังเวทย์แนวหน้าแห่งเมืองละโว้ ท่านจะเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ทางด้านวิทยาคมนั้นนับว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าของลพบุรีทีเดียว ท่านมีความขลังในด้านลงกระหม่อมด้วยขมิ้นชัน ขนาดถูกตีจนหัวน่วมก็ไม่แตก พระอุปัชฌาย์กรัก มรณภาพในปี พ.ศ. 2483 สิริอายุได้ 85 ปี พรรษาที่ 65 เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อสร้างในปีพ.ศ. 2469 เป็นเหรียญรูปท่านนั่งเต็มองค์ มีทั้งเหรียญกลมพร้อมด้วยเหรียญรูปไข่ ด้านหลังท่านจะลงด้วยคาถา ทุ สะ นิ มะ คือย่อมาจาก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อให้มีความหมายถึงการสั่งสอนศิษย์ให้รู้ว่าทุกข์คือการไม่สบายใจและกาย สมุทัยคือ ต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ได้แก่กิเลสตัณหาต่างๆ นิโรธคือ แนว ทางที่จะปฏิบัติให้ดับทุกข์ มรรคคือ วัตรปฏิบัติเพื่อจะมุ่งพระนิพพานอย่างแท้จริง คาถาล้อมรอบในกลีบดอกบัวก็คือ มะอะอุ อะอุมะ อุมะอะ สลับกลับไปกลับมา ส่วนที่ด้านหน้า ระบุปี พ.ศ. 2469 >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระอุปัชฌาย์กรัก รุ่นแรก วัดอัมพวัน จ.ลพบุรี ปี2469 เหรียญพระอุปัชฌาย์กรัก รุ่นแรก วัดอัมพวัน จ.ลพบุรี ปี2469 //เหรียญเก่า พศ.ลึก เหรียญหายากที่ไม่ค่อยพบเจอ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณครอบจักรวาล มีทั้งเมตตา มหาเสน่ห์ มหานิยม คนชมชอบ เป็นที่รักใคร่แก่เทพเทวดา และคนทั่วไป ใครเห็นใครรัก ใครเห็นเมตตา เป็นมงคลมีความเย็นอยู่ในตัว หนุนดวงชะตา เน้นเสริมโภคทรัพย์ การงานธุรกิจค้าขายเจริญรุ่งเรือง สำเร็จสมปราถนา >> ** พระอุปัชฌาย์กรัก พระเกจิเชื้อสายรามัญผู้ขมังเวทย์แนวหน้าแห่งเมืองละโว้ ท่านจะเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ทางด้านวิทยาคมนั้นนับว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าของลพบุรีทีเดียว ท่านมีความขลังในด้านลงกระหม่อมด้วยขมิ้นชัน ขนาดถูกตีจนหัวน่วมก็ไม่แตก พระอุปัชฌาย์กรัก มรณภาพในปี พ.ศ. 2483 สิริอายุได้ 85 ปี พรรษาที่ 65 เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อสร้างในปีพ.ศ. 2469 เป็นเหรียญรูปท่านนั่งเต็มองค์ มีทั้งเหรียญกลมพร้อมด้วยเหรียญรูปไข่ ด้านหลังท่านจะลงด้วยคาถา ทุ สะ นิ มะ คือย่อมาจาก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อให้มีความหมายถึงการสั่งสอนศิษย์ให้รู้ว่าทุกข์คือการไม่สบายใจและกาย สมุทัยคือ ต้นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ได้แก่กิเลสตัณหาต่างๆ นิโรธคือ แนว ทางที่จะปฏิบัติให้ดับทุกข์ มรรคคือ วัตรปฏิบัติเพื่อจะมุ่งพระนิพพานอย่างแท้จริง คาถาล้อมรอบในกลีบดอกบัวก็คือ มะอะอุ อะอุมะ อุมะอะ สลับกลับไปกลับมา ส่วนที่ด้านหน้า ระบุปี พ.ศ. 2469 >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัจจะธรรม
    นำมาสอนตน
    มารพาสับสน
    ค้นหาวิจัย

    กิเลสตัณหา
    ราคะยังหมาย
    หาพ้นทุกข์ไม่
    ไม่สว่างใจ

    เพียรพาขวนขวาย
    ให้สติใช้
    สมาธิได้
    อาศัยปัญญา

    ธรรมนี้เป็นกลาง
    ทางดีนำมา
    ใจได้รักษา
    พาดับทุกข์ได้

    ความดีมีสุข
    รุกพาขวนขวาย
    ยิ่งทำยิ่งได้
    ให้เจริญธรรม

    กราบคุณพระพุทธ กราบคุณพระธรรม กราบพระสงฆ์

    ปีติบังเกิด ความสงบบังเกิด อุเบกขาบังเกิด
    สัจจะธรรม นำมาสอนตน มารพาสับสน ค้นหาวิจัย กิเลสตัณหา ราคะยังหมาย หาพ้นทุกข์ไม่ ไม่สว่างใจ เพียรพาขวนขวาย ให้สติใช้ สมาธิได้ อาศัยปัญญา ธรรมนี้เป็นกลาง ทางดีนำมา ใจได้รักษา พาดับทุกข์ได้ ความดีมีสุข รุกพาขวนขวาย ยิ่งทำยิ่งได้ ให้เจริญธรรม กราบคุณพระพุทธ กราบคุณพระธรรม กราบพระสงฆ์ ปีติบังเกิด ความสงบบังเกิด อุเบกขาบังเกิด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ออร่าของคน มาจากอะไร?

    คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น

    ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน


    ---

    ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น

    1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น

    คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส

    จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย

    ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ



    2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น

    คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส

    รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง

    คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ



    3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล

    คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ

    ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส

    คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ



    4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ

    คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส

    ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้

    ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง





    ---

    ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน

    ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง

    คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี

    คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว

    ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน


    ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม
    แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล
    ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!

    ออร่าของคน มาจากอะไร? คำว่า "ออร่า" ที่เราพูดถึงในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของแสงสีที่ออกมาจากตัวบุคคล แต่หมายถึง "รัศมีแห่งความรู้สึก" ที่แผ่ออกมาโดยที่คนรอบข้างสามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเสน่ห์ ความอบอุ่น หรือพลังงานเชิงบวกที่ทำให้ดูน่าดึงดูดขึ้น ออร่าเป็นสิ่งที่สามารถ "เปลี่ยนแปลง" ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมหรือโครงสร้างร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก "พฤติกรรม อารมณ์ และพลังภายใน" ของแต่ละคน --- ปัจจัยที่ทำให้คนดูมีออร่ามากขึ้น 1. ทำกิจกรรมเพื่อคนอื่น คนที่มี น้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จะมีออร่าที่สดใส จิตใจที่ขยายออกไปเพื่อคนอื่น ทำให้พลังชีวิตเปล่งประกาย ออร่าของความเมตตา สร้างเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ 2. มีความขวนขวาย กระตือรือร้น คนที่ มีเป้าหมาย มีพลังชีวิต มีไฟในการทำงาน จะดูสดใส รัศมีของความกระตือรือร้นทำให้ใบหน้าและแววตาดูมีพลัง คนเหล่านี้ดูน่าสนใจ เพราะพลังของพวกเขาส่งผลให้คนรอบข้างรู้สึกมีแรงบันดาลใจ 3. รักษาจิตให้สะอาด ด้วยศีล คนที่ มีศีล มีความสุจริตใจ จะมีออร่าแห่งความสงบและน่าเชื่อถือ ใบหน้าจะดูอ่อนโยนขึ้น เพราะจิตใจไม่เร่าร้อนด้วยกิเลส คนที่โกหก หรือทำผิดศีลบ่อยๆ จะมีออร่าขุ่นมัว ดูไม่น่าไว้ใจ 4. มีจิตโปร่งใส ด้วยการเจริญสติ คนที่ ฝึกเจริญสติอยู่เสมอ จะมีแววตาที่สงบและแจ่มใส ออร่าของความสงบ จะทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจเมื่อต้องอยู่ใกล้ ความสว่างจากภายใน ทำให้คนเหล่านี้ดูมีเสน่ห์แบบลึกซึ้ง --- ออร่า ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่เป็นผลของกรรมในปัจจุบัน ออร่า ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากวิถีชีวิตของเราเอง คนที่ คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมมีออร่าที่ดี คนที่ คิดลบ อิจฉา โกรธง่าย จะมีออร่าที่ขุ่นมัว ออร่า เปลี่ยนได้ตลอดเวลา ตามสภาวะจิตของแต่ละคน ดังนั้น ถ้าอยากดูดีขึ้น ไม่ใช่แค่เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า หรือศัลยกรรม แต่ต้อง ปรับจิตใจให้สะอาด ปรับพฤติกรรมให้เป็นกุศล ออร่าที่แท้จริงจะค่อยๆ เปล่งออกมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศีลธรรมกรรมดี
    มีอยู่อาศัย
    กิเลสเลวร้าย
    ไม่พาอาศัย

    กิเลสซ่อนแอบ
    แว๊บมาแว๊บไป
    เป็นแขกโจรร้าย
    หมายฉกชิงชัย

    มักมากมูมมาม
    หามทุกข์มาให้
    เวรกรรมมากมาย
    ไม่รู้หลงเชื่อ

    สติหวั่นไหว
    ได้ตกเป็นเหยื่อ
    กิเลสพาเชื่อ
    เพื่อก่อเวรภัย

    รู้ตื่นตื่นรู้
    ดูตามจริงได้
    ธรรมล้วนทั้งหลาย
    ไม่ใช่ตัวตน

    หากเห็นว่าใช่
    หมายยึดดั้นด้น
    ก่อเกิดตัวตน
    พ้นทุกข์ไม่ได้

    ยิ่งยึดยิ่งทุกข์
    รุกโหมดั่งไฟ
    ระบายกระจาย
    ไหม้ลามไปทั่ว

    ศีลพาล้อมกรอบ
    รอบคอบพันพัว
    น้ำธรรมรดทั่ว
    พัวพันดับไฟ

    ตื่นรู้ฉลาด
    สาดธรรมกระจาย
    กิเลสสิ้นลาย
    ไกลทุกข์เบิกบาน
    ศีลธรรมกรรมดี มีอยู่อาศัย กิเลสเลวร้าย ไม่พาอาศัย กิเลสซ่อนแอบ แว๊บมาแว๊บไป เป็นแขกโจรร้าย หมายฉกชิงชัย มักมากมูมมาม หามทุกข์มาให้ เวรกรรมมากมาย ไม่รู้หลงเชื่อ สติหวั่นไหว ได้ตกเป็นเหยื่อ กิเลสพาเชื่อ เพื่อก่อเวรภัย รู้ตื่นตื่นรู้ ดูตามจริงได้ ธรรมล้วนทั้งหลาย ไม่ใช่ตัวตน หากเห็นว่าใช่ หมายยึดดั้นด้น ก่อเกิดตัวตน พ้นทุกข์ไม่ได้ ยิ่งยึดยิ่งทุกข์ รุกโหมดั่งไฟ ระบายกระจาย ไหม้ลามไปทั่ว ศีลพาล้อมกรอบ รอบคอบพันพัว น้ำธรรมรดทั่ว พัวพันดับไฟ ตื่นรู้ฉลาด สาดธรรมกระจาย กิเลสสิ้นลาย ไกลทุกข์เบิกบาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสำเร็จของชีวิตเริ่มต้นที่จิตใจ

    สิ่งที่คุณกล่าวมานี้สะท้อนหลักการสำคัญของการพัฒนาชีวิต นั่นคือ ทุกสิ่งเริ่มต้นที่จิตใจ เพราะใจเป็นตัวกำหนดการกระทำ ความคิด และเส้นทางที่ชีวิตจะก้าวไป หากเราปล่อยจิตใจให้ล่องลอย หรือตามใจกิเลสอย่างไร้ขอบเขต ผลที่ตามมาคือการวนเวียนในวงกลมเดิมๆ แต่หากเราฝึกห้ามใจ และเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในระยะยาว นั่นคือการสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคง


    ---

    หัวใจสำคัญที่ต้องจดจำ

    1. ทุกเรื่องโยงกัน

    ความคิด การกระทำ และผลลัพธ์ของชีวิตล้วนเชื่อมต่อกัน

    เมื่อเราจมในเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกท้อแท้หรือย่อหย่อนในเรื่องนั้นจะส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ในชีวิต



    2. การฝึกห้ามใจ คือการออกกำลังจิต

    ห้ามใจได้ 1 ครั้ง คือการชนะ 1 ขั้น

    ทุกครั้งที่เราหยุดตัวเองจากการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรากำลังสร้างกำลังใจให้แข็งแกร่งขึ้น

    เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ เช่น หยุดคิดฟุ้งซ่าน หยุดโต้ตอบอารมณ์ร้าย



    3. การเลือกชีวิตที่ดี ต้องเริ่มจากจิตใจที่ดี

    หากจิตใจสงบ สุขุม และมั่นคง ชีวิตย่อมดำเนินไปในทางที่สงบสุข

    ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้วัดจากความร่ำรวยหรือชื่อเสียง แต่วัดจากความสงบและความสุขในจิตใจ





    ---

    แบบฝึกหัดเพื่อสร้างจิตใจที่แข็งแกร่ง

    1. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ แต่ทำให้ได้จริง

    ตื่นเช้ามาทำสิ่งง่ายๆ เช่น สวดมนต์วันละ 3 บท หรือฝึกนั่งสมาธิ 5 นาที

    ทำต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย



    2. ฝึกห้ามใจในสิ่งเล็กน้อย

    เช่น ห้ามใจไม่โต้ตอบคำพูดที่กระทบอารมณ์

    ฝึกอดทนต่อสิ่งยั่วยวน เช่น การซื้อของที่ไม่จำเป็น



    3. ชื่นชมตัวเองในความสำเร็จเล็กๆ

    ทุกครั้งที่ห้ามใจสำเร็จ ให้รู้สึกภูมิใจและบันทึกไว้ในใจว่า "ฉันทำได้"

    ความรู้สึกปลื้มในความสำเร็จจะเป็นพลังให้ก้าวต่อไป



    4. ระลึกถึงเป้าหมายใหญ่

    ทุกครั้งที่ลังเล ให้ถามตัวเองว่า "สิ่งที่ทำอยู่นี้พาฉันไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่?"

    ใช้เป้าหมายชีวิตเป็นเข็มทิศในการตัดสินใจ





    ---

    ชีวิตที่สมบูรณ์แบบเริ่มจากจิตที่สมบูรณ์แบบ

    อย่ากลัวความล้มเหลว เพราะทุกครั้งที่ล้มคือโอกาสในการเรียนรู้

    อย่าคิดว่าฝืนใจ แต่ให้คิดว่ากำลังปรับตัวเองเพื่อสิ่งที่ดีกว่า

    ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการตามใจตัวเอง แต่มาจากการเห็นตัวเองก้าวข้ามข้อจำกัดได้


    จิตดี ชีวิตดี ทุกอย่างเริ่มจากการเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ครับ!

    ความสำเร็จของชีวิตเริ่มต้นที่จิตใจ สิ่งที่คุณกล่าวมานี้สะท้อนหลักการสำคัญของการพัฒนาชีวิต นั่นคือ ทุกสิ่งเริ่มต้นที่จิตใจ เพราะใจเป็นตัวกำหนดการกระทำ ความคิด และเส้นทางที่ชีวิตจะก้าวไป หากเราปล่อยจิตใจให้ล่องลอย หรือตามใจกิเลสอย่างไร้ขอบเขต ผลที่ตามมาคือการวนเวียนในวงกลมเดิมๆ แต่หากเราฝึกห้ามใจ และเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในระยะยาว นั่นคือการสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคง --- หัวใจสำคัญที่ต้องจดจำ 1. ทุกเรื่องโยงกัน ความคิด การกระทำ และผลลัพธ์ของชีวิตล้วนเชื่อมต่อกัน เมื่อเราจมในเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกท้อแท้หรือย่อหย่อนในเรื่องนั้นจะส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ ในชีวิต 2. การฝึกห้ามใจ คือการออกกำลังจิต ห้ามใจได้ 1 ครั้ง คือการชนะ 1 ขั้น ทุกครั้งที่เราหยุดตัวเองจากการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เรากำลังสร้างกำลังใจให้แข็งแกร่งขึ้น เริ่มต้นจากเรื่องเล็กๆ เช่น หยุดคิดฟุ้งซ่าน หยุดโต้ตอบอารมณ์ร้าย 3. การเลือกชีวิตที่ดี ต้องเริ่มจากจิตใจที่ดี หากจิตใจสงบ สุขุม และมั่นคง ชีวิตย่อมดำเนินไปในทางที่สงบสุข ความสำเร็จในชีวิตไม่ได้วัดจากความร่ำรวยหรือชื่อเสียง แต่วัดจากความสงบและความสุขในจิตใจ --- แบบฝึกหัดเพื่อสร้างจิตใจที่แข็งแกร่ง 1. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ แต่ทำให้ได้จริง ตื่นเช้ามาทำสิ่งง่ายๆ เช่น สวดมนต์วันละ 3 บท หรือฝึกนั่งสมาธิ 5 นาที ทำต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัย 2. ฝึกห้ามใจในสิ่งเล็กน้อย เช่น ห้ามใจไม่โต้ตอบคำพูดที่กระทบอารมณ์ ฝึกอดทนต่อสิ่งยั่วยวน เช่น การซื้อของที่ไม่จำเป็น 3. ชื่นชมตัวเองในความสำเร็จเล็กๆ ทุกครั้งที่ห้ามใจสำเร็จ ให้รู้สึกภูมิใจและบันทึกไว้ในใจว่า "ฉันทำได้" ความรู้สึกปลื้มในความสำเร็จจะเป็นพลังให้ก้าวต่อไป 4. ระลึกถึงเป้าหมายใหญ่ ทุกครั้งที่ลังเล ให้ถามตัวเองว่า "สิ่งที่ทำอยู่นี้พาฉันไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นหรือไม่?" ใช้เป้าหมายชีวิตเป็นเข็มทิศในการตัดสินใจ --- ชีวิตที่สมบูรณ์แบบเริ่มจากจิตที่สมบูรณ์แบบ อย่ากลัวความล้มเหลว เพราะทุกครั้งที่ล้มคือโอกาสในการเรียนรู้ อย่าคิดว่าฝืนใจ แต่ให้คิดว่ากำลังปรับตัวเองเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการตามใจตัวเอง แต่มาจากการเห็นตัวเองก้าวข้ามข้อจำกัดได้ จิตดี ชีวิตดี ทุกอย่างเริ่มจากการเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ครับ!
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทกลอนเฮฮา(ที่เฮฮาไม่ลง)
    คนเก่งมีมากมาย คนดีหายากยิ่ง
    คนเก่งมีทุกสิ่ง แต่คนดีไม่มีใคร
    คนชั่วคนจัญไร เอาไปไม่เกรงใจ
    คนดีมีแต่ให้ ได้มาให้ต่อไป
    ไม่เหมือนคนชาติชั่ว ชอบกลัวที่จะให้
    มอดไหม้ชีวาวาย ไม่เคยคิดให้ใคร
    ชีวิตแสนหดหู่ อยู่ไปไม่ได้ใช้
    ผลบุญก็ไม่มี ตกนรกชีพวาย
    คนดีอยู่ที่ไหน ไม่มีรึสูญหาย
    ก่อนดับชีวาวาย ปลายฟ้าจักคว้ามา
    ให้โลกสงบสุข ลูกนั้นจะตามหา
    คว้าคนดีมาช่วย อำนวยสันติสุข
    ผู้ซึ่งมีธรรมะ ละเว้นซึ่งกิเลส
    เจตนาใฝ่ดี มีศีลอยู่ในใจ
    ให้สร้างสันติสุข ทุกที่ชุ่มฉ่ำใจ
    ด้วยคนดีปกครอง ผองไทยศิวิไล
    บทกลอนเฮฮา(ที่เฮฮาไม่ลง) คนเก่งมีมากมาย คนดีหายากยิ่ง คนเก่งมีทุกสิ่ง แต่คนดีไม่มีใคร คนชั่วคนจัญไร เอาไปไม่เกรงใจ คนดีมีแต่ให้ ได้มาให้ต่อไป ไม่เหมือนคนชาติชั่ว ชอบกลัวที่จะให้ มอดไหม้ชีวาวาย ไม่เคยคิดให้ใคร ชีวิตแสนหดหู่ อยู่ไปไม่ได้ใช้ ผลบุญก็ไม่มี ตกนรกชีพวาย คนดีอยู่ที่ไหน ไม่มีรึสูญหาย ก่อนดับชีวาวาย ปลายฟ้าจักคว้ามา ให้โลกสงบสุข ลูกนั้นจะตามหา คว้าคนดีมาช่วย อำนวยสันติสุข ผู้ซึ่งมีธรรมะ ละเว้นซึ่งกิเลส เจตนาใฝ่ดี มีศีลอยู่ในใจ ให้สร้างสันติสุข ทุกที่ชุ่มฉ่ำใจ ด้วยคนดีปกครอง ผองไทยศิวิไล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกบทความจากความรู้สึก 1
    ความรักเท่านั้น ที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ เพราะรักเท่านั้น ที่ทำให้ไม่มีสงครามเกิดขึ้นมาอีกต่อไป และตลอดไป
    ทำไมถึงต้องทำสงครามกันนัก อยู่กันดีๆไม่ได้กันเลยหรือ ทำไมต้องช่วงชิงกัน แก่งแย่งชิงดีกัน แข่งขันกันไปทำไม แล้วมันได้อะไรขึ้นมากันเล่า
    คนดีตายกันหมด ก็เพราะถูกทำร้าย ถูกทำลาย ถูกฆ่าให้ตาย
    เพียงเพื่อที่จะสนองกิเลสของตนเองและพวกพ้อง
    ใครที่มันเป็นผู้ที่ก่อสงครามก่อนนั้น ขอให้มันจงพินาศย่อยยับพังทลายดับสลายไป
    ทุกๆวันนี้ โลกไม่เคยจะสงบสุขเลย เพื่อนๆธรรมชาติต่างก็เดือดร้อนกัน เหล่าผองสรรพสัตว์ต่างก็เดือดร้อนกัน
    ก็เพราะว่ามนุษย์นั้น มันทำร้ายทำลายพวกเค้า พวกเค้าจึงโกรธเกรี้ยวกราด หันมาทำร้ายทำลายมนุษย์บ้าง
    แล้วมันเป็นยังไง มนุษย์และสัตว์โลกต่างก็ต้องได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อนนี้กันถ้วนหน้ากัน
    เพียงแค่เพราะมนุษย์นั้นมันเห็นแก่ตัวกัน อยู่กับธรรมชาติและผองเหล่าสรรพสัตว์กันดีๆไม่ได้
    มันต้องทำลายกัน มันต้องทำร้ายกัน ผลสุดท้ายมนุษย์ก็เลยถูกทำลายบ้าง
    ก็เนื่องมาจากเหตุและผลที่สมควรและคู่ควรกันนั่นเอง
    ที่ทุกวันนี้โลกนี้มันไม่น่าอยู่ ก็เพราะมนุษย์มันขาดศีลขาดธรรมกัน ขาดความดี มีแต่ความชั่ว และผลสุดท้ายนี้โลกเราจะอยู่กันอย่างไร
    สักวันมนุษย์คงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเข้าสักวันหนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ก่อความเดือดร้อนให้กับโลก
    มันจะมีมั้ยสักวัน สักวันที่เราเหล่ามนุษย์นั้นจะกลับเนื้อกลับตัวกลับใจ แล้วหันมาทำความดีต่อกัน อย่างน้อยก็กับมนุษย์ด้วยกันเอง
    ฉันนัั้นก็ได้แต่หวังภวนาให้โลกนี้จักสงบสุข และน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมเหมือนดังในแต่ก่อนเก่านี้
    มันจะมีมั้ยวันนั้น วันที่โลกสงบสุข และเกิดสันติสุขขึ้นมาบนโลกใบนี้น่ะ
    ขอให้มันมีวันนั้นเร็วๆไวๆเถิด
    อย่างน้อยก็ขอให้สักวันมันต้องเป็นไปตามที่ทุกเหล่าสรรพสัตว์และทุกสรรพสิ่งได้คาดหวังเอาบ้างเถิดนะ
    มันมีเพียงวิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้นเอง คือ "รัก" เท่านั้น
    เพราะ "ความรัก" เท่านั้นเอง ที่จะสามารถทำให้โลกนี้เกิดความสงบสุขและมีสันติสุขเกิดขึ้นมาได้
    เพียงแค่เพราะ "รัก" เท่านั้นเอง
    เพียงแค่เพราะเราเข้าใจกัน เลิกจองเวรกัน ให้อภัยกัน และช่วยเหลือกัน เท่านี้โลกก็จะเกิดความสงบสุข และสันติสุขก็จักได้บังเกิดขึ้นมากับโลกใบนี้ ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น แม้สักเพียงเล็กน้อยก็ยังดี สาธุ...
    บันทึกบทความจากความรู้สึก 1 ความรักเท่านั้น ที่ทำให้โลกนี้น่าอยู่ เพราะรักเท่านั้น ที่ทำให้ไม่มีสงครามเกิดขึ้นมาอีกต่อไป และตลอดไป ทำไมถึงต้องทำสงครามกันนัก อยู่กันดีๆไม่ได้กันเลยหรือ ทำไมต้องช่วงชิงกัน แก่งแย่งชิงดีกัน แข่งขันกันไปทำไม แล้วมันได้อะไรขึ้นมากันเล่า คนดีตายกันหมด ก็เพราะถูกทำร้าย ถูกทำลาย ถูกฆ่าให้ตาย เพียงเพื่อที่จะสนองกิเลสของตนเองและพวกพ้อง ใครที่มันเป็นผู้ที่ก่อสงครามก่อนนั้น ขอให้มันจงพินาศย่อยยับพังทลายดับสลายไป ทุกๆวันนี้ โลกไม่เคยจะสงบสุขเลย เพื่อนๆธรรมชาติต่างก็เดือดร้อนกัน เหล่าผองสรรพสัตว์ต่างก็เดือดร้อนกัน ก็เพราะว่ามนุษย์นั้น มันทำร้ายทำลายพวกเค้า พวกเค้าจึงโกรธเกรี้ยวกราด หันมาทำร้ายทำลายมนุษย์บ้าง แล้วมันเป็นยังไง มนุษย์และสัตว์โลกต่างก็ต้องได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อนนี้กันถ้วนหน้ากัน เพียงแค่เพราะมนุษย์นั้นมันเห็นแก่ตัวกัน อยู่กับธรรมชาติและผองเหล่าสรรพสัตว์กันดีๆไม่ได้ มันต้องทำลายกัน มันต้องทำร้ายกัน ผลสุดท้ายมนุษย์ก็เลยถูกทำลายบ้าง ก็เนื่องมาจากเหตุและผลที่สมควรและคู่ควรกันนั่นเอง ที่ทุกวันนี้โลกนี้มันไม่น่าอยู่ ก็เพราะมนุษย์มันขาดศีลขาดธรรมกัน ขาดความดี มีแต่ความชั่ว และผลสุดท้ายนี้โลกเราจะอยู่กันอย่างไร สักวันมนุษย์คงต้องสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ไปเข้าสักวันหนึ่ง ในฐานะที่เป็นผู้ก่อความเดือดร้อนให้กับโลก มันจะมีมั้ยสักวัน สักวันที่เราเหล่ามนุษย์นั้นจะกลับเนื้อกลับตัวกลับใจ แล้วหันมาทำความดีต่อกัน อย่างน้อยก็กับมนุษย์ด้วยกันเอง ฉันนัั้นก็ได้แต่หวังภวนาให้โลกนี้จักสงบสุข และน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิมเหมือนดังในแต่ก่อนเก่านี้ มันจะมีมั้ยวันนั้น วันที่โลกสงบสุข และเกิดสันติสุขขึ้นมาบนโลกใบนี้น่ะ ขอให้มันมีวันนั้นเร็วๆไวๆเถิด อย่างน้อยก็ขอให้สักวันมันต้องเป็นไปตามที่ทุกเหล่าสรรพสัตว์และทุกสรรพสิ่งได้คาดหวังเอาบ้างเถิดนะ มันมีเพียงวิธีนี้ วิธีเดียวเท่านั้นเอง คือ "รัก" เท่านั้น เพราะ "ความรัก" เท่านั้นเอง ที่จะสามารถทำให้โลกนี้เกิดความสงบสุขและมีสันติสุขเกิดขึ้นมาได้ เพียงแค่เพราะ "รัก" เท่านั้นเอง เพียงแค่เพราะเราเข้าใจกัน เลิกจองเวรกัน ให้อภัยกัน และช่วยเหลือกัน เท่านี้โลกก็จะเกิดความสงบสุข และสันติสุขก็จักได้บังเกิดขึ้นมากับโลกใบนี้ ทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น แม้สักเพียงเล็กน้อยก็ยังดี สาธุ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความปรารถนาโดยแท้ของเหล่าสรรพสัตว์
    ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนดี มิได้ปรารถนาที่จะเป็นคนชั่ว และล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะได้ดี มิได้ปรารถนาที่จะได้ชั่วกันทั้งนั้น
    แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะได้ดีนั้น ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่างด้วยกัน คือ
    1. จะต้องมีสติปัญญา คือ ความรอบรู้
    2. จะต้องมีหลักกำหนดบังคับตนเอง คือ ศีลธรรม
    3. จะต้องไม่หลงตัวตน คือ กิเลส
    4. จะต้องมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย คือ ศรัทธา
    ก็เพราะว่าเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้นขาดหลักธรรมทั้ง 3 อย่างนี้ไปนั่นเอง จึงทำให้เหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น จึงได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปนั่นเอง
    ความปรารถนาโดยแท้ของเหล่าสรรพสัตว์ ทุกสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่ปรารถนาที่จะเป็นคนดี มิได้ปรารถนาที่จะเป็นคนชั่ว และล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะได้ดี มิได้ปรารถนาที่จะได้ชั่วกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าต้องการที่จะได้ดีนั้น ก็จะต้องมีองค์ประกอบหลักทั้ง 3 อย่างด้วยกัน คือ 1. จะต้องมีสติปัญญา คือ ความรอบรู้ 2. จะต้องมีหลักกำหนดบังคับตนเอง คือ ศีลธรรม 3. จะต้องไม่หลงตัวตน คือ กิเลส 4. จะต้องมีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย คือ ศรัทธา ก็เพราะว่าเหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้นขาดหลักธรรมทั้ง 3 อย่างนี้ไปนั่นเอง จึงทำให้เหล่าสรรพสัตว์เหล่านั้น จึงได้กลับกลายเป็นคนชั่วไปนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 55
    ควรมีในสิ่งที่ควรมี(ธรรมะ)
    และไม่ควรมีในสิ่งที่ไม่ควรมี(กิเลส)
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 55 ควรมีในสิ่งที่ควรมี(ธรรมะ) และไม่ควรมีในสิ่งที่ไม่ควรมี(กิเลส)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ
    นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
    เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
    คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง
    แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง
    สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิญญูชนกับปุถุชน
    คำว่าวิญญูชนกับปุถุชนอาจจะเป็นคำที่เข้าใจได้ยาก แต่มันหมายถึงคนที่ดีกับคนธรรมดาทั่วๆไป นั่นล่ะคือความหมายที่ผมจะกล่าวถึง
    น้อยคนนักที่จะประพฤติตนในแบบวิญญูชนได้ และส่วนมากก็มักจะเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นกันได้ยากมากมายกันนักนั่นเอง
    วิญญูชนในความหมายของผมคือ บุคคลผู้ที่มีศีลธรรมและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยวัตรอันงดงามนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั้น ในความหมายของผมนั้นหมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีซึ่งกิเลสตัณหา มีซึ่งความรัก,โลภ,โกรธ,หลง อยู่มากมายเต็มเปี่ยมในหัวใจตนนั่นเอง
    คนเราถ้าว่าด้วยการขาดซึ่งศีลธรรมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานดีๆตัวหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้นเราถึงควรคิดตระหนักให้มั่นให้อยู่ในใจเราว่า เราจะเลือกซึ่งเส้นทางใดระหว่างวิญญูชนกับปุถุชน และถ้าโลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่ไร้ซึ่งศีลธรรมประจำใจตนแล้ว โลกเรามันคงวุ่นวายสับสนปั่นป่วนอลหม่านว้าวุ่นโว้งเว้งเคว้งคว้างมากๆเลย และเพราะผู้คนในโลกนี้ขาดซึ่งศีลธรรมกันมาก มันจึงทำให้โลกนี้เน่าเฟะไม่น่าอาศัยอยู่เอาเสียเลย สักวันมันคงจะไม่ต่างไปจากโลกแห่งสัตว์ดุร้ายสุดดุป่าเถื่อนกันถ้วนหน้า ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยมาร,ภูติ,ผี,ปีศาจ,อสูร,สัตว์นรก,อมนุษย์ และตัวประหลาดเต็มเกลื่อนกลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดไปทั่วกรุงทั่วนครกันเป็นแน่แท้จริงทีเดียวเชียว
    ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในสังคมโลกใบนี้กันนะ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงปานนั้นขั้นที่เราจะอาศัยอยู่ในที่ไหนแห่งหนใดไม่ได้อีกต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ดีที่ถูกต้องดีงามกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้กันนะครับ
    วิญญูชนกับปุถุชน คำว่าวิญญูชนกับปุถุชนอาจจะเป็นคำที่เข้าใจได้ยาก แต่มันหมายถึงคนที่ดีกับคนธรรมดาทั่วๆไป นั่นล่ะคือความหมายที่ผมจะกล่าวถึง น้อยคนนักที่จะประพฤติตนในแบบวิญญูชนได้ และส่วนมากก็มักจะเป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้น เพราะว่ามันไม่ได้เป็นกันได้ยากมากมายกันนักนั่นเอง วิญญูชนในความหมายของผมคือ บุคคลผู้ที่มีศีลธรรมและเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมและจริยวัตรอันงดงามนั่นเอง ส่วนปุถุชนนั้น ในความหมายของผมนั้นหมายถึง บุคคลผู้ที่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีซึ่งกิเลสตัณหา มีซึ่งความรัก,โลภ,โกรธ,หลง อยู่มากมายเต็มเปี่ยมในหัวใจตนนั่นเอง คนเราถ้าว่าด้วยการขาดซึ่งศีลธรรมแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานดีๆตัวหนึ่งนั่นเอง ฉะนั้นเราถึงควรคิดตระหนักให้มั่นให้อยู่ในใจเราว่า เราจะเลือกซึ่งเส้นทางใดระหว่างวิญญูชนกับปุถุชน และถ้าโลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยคนที่ไร้ซึ่งศีลธรรมประจำใจตนแล้ว โลกเรามันคงวุ่นวายสับสนปั่นป่วนอลหม่านว้าวุ่นโว้งเว้งเคว้งคว้างมากๆเลย และเพราะผู้คนในโลกนี้ขาดซึ่งศีลธรรมกันมาก มันจึงทำให้โลกนี้เน่าเฟะไม่น่าอาศัยอยู่เอาเสียเลย สักวันมันคงจะไม่ต่างไปจากโลกแห่งสัตว์ดุร้ายสุดดุป่าเถื่อนกันถ้วนหน้า ซึ่งมันจะเต็มไปด้วยมาร,ภูติ,ผี,ปีศาจ,อสูร,สัตว์นรก,อมนุษย์ และตัวประหลาดเต็มเกลื่อนกลาดเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมดไปทั่วกรุงทั่วนครกันเป็นแน่แท้จริงทีเดียวเชียว ท้ายที่สุดแล้วพวกเราจะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไรในสังคมโลกใบนี้กันนะ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงปานนั้นขั้นที่เราจะอาศัยอยู่ในที่ไหนแห่งหนใดไม่ได้อีกต่อไป และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกคนคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ดีที่ถูกต้องดีงามกันมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้กันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีครับทุกท่าน ผมมีชื่อเล่นว่า "แดนเจอร์" นะครับ
    ผมเป็นผู้พิทักษ์แห่งความมืด 1 ใน 6 เสาหลักผู้พิทักษ์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในองค์กรเพื่อนแท้ ดิ เอลเลเม้นท์(ใครอยากรู้ว่ามันคืออะไรให้ไปที่บันทึกของผมก็แล้วกัน ผมขี้เกียจนั่งอธิบายทีละคนนะครับ ซึ่งในบันทึกของผมนั้นจะมีคำตอบและตัวตนทั้งหมดของผมอยู่นั่นเอง)
    อุดมการณ์ของผม คือ พิทักษ์ชาติ,ศาสน์,กษัตริย์ สานต่อเจตจำนงบรรพชน ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ผืนแผ่นดินของในหลวง(รัชกาลที่๙)กับราชินี(ในรัชกาลที่๙) และบรรพชนของเรา ให้เป็นเอกราชสืบต่อไปจวบจนรุ่นลูกรุ่นหลานในภายภาคหน้า
    ป.ล.1 ผมรับเฉพาะเพื่อนคนพันธุ์พิเศษเท่านั้นนะครับ คนธรรมดาทั่วไปนั้นผมไม่รับเป็นเพื่อนด้วย(เพื่อนคนพันธุ์พิเศษ คือ พวกที่มีอะไรที่พิเศษในตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร และมีจุดยืนของตัวเองที่มั่นคงชัดเจน ซึ่งก็คือมีอุดมการณ์ มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่พวกหลักลอย หรือพวกผีดิบ)
    ซึ่งใครจะหาว่าผมว่าเป็นพวกหยิ่ง,ชั่วช้า,เลวทรามอย่างไรก็ช่าง เรื่องของพวกคุณ ผมไม่สนใจ เพราะผมไม่มีเวลามานั่งสนใจความรู้สึกของคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ สังคมเน่าๆอย่างนี้ผมไม่ขออยู่ร่วมด้วย ถ้ามีเพื่อนที่มันไม่เข้าใจเรา,ไม่รักเรา,ไม่รู้จักเราอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ สู้เราอดทนอยู่แม่งมันตัวคนเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเกลือกกลั้วกลิ้งกับคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ
    ถ้าหากคุณอยากจะเป็นเพื่อนแท้กันก็เอาใจมาแลกใจ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรซื้อผมได้นอกจากจิตใจที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น
    ป.ล.2 ผมยินดีที่จะเป็นมิตรกับทุกคนที่รักความถูกต้องโดยชอบธรรม โดยมีธรรมะอยู่ในจิตใจ และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีความเป็นธรรม โดยมีความเป็นกลางและไม่มีอวิชชาหรืออคติใดๆที่ไม่ชอบธรรม และพร้อมที่จะรับความผิดชอบเมื่อได้กระทำความผิดพลาด หรือพลั้งเผลอไปด้วยความยินดี ซึ่งทุกคนก็ล้วนเคยได้ทำผิดพลาดกันมาในชีวิตมาด้วยกันได้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเลย เพียงแค่คุณยอมรับมันได้และเปิดใจของคุณเอง มันก็เป็นแค่เพียงเท่านั้นเอง
    ป.ล.3 ผมยินดีและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เป็นพันธมิตรฯที่แท้จริง ที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันทุกท่าน เพียงแค่คุณกล้าพอที่จะเป็นเพื่อนกับผม และรองรับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยว พลังความมืดในด้านมืดของผมได้ และเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของผมอย่างลึกซึ้ง โดยไม่มีอารมณ์และอคติใดๆที่เป็นอารมณ์ด้านลบติดอยู่กับตัว เพราะนั่นคือ กิเลส หรือ มาร ที่จะมาคอยฉุดรั้งคุณเพื่อไม่ให้คุณได้กระทำความดีได้อย่างเต็มที่นั่นเอง(ซึ่งผมเองก็เคยเป็น และได้ประสบพบเจอมากับตัวผมเองมาแล้ว ผมจึงปรารถนาที่จะไม่ให้คุณต้องตกเป็นแบบเดียวกันกับผมเหมือนเมื่อก่อนอย่างในอดีตของผมนั่นเอง)
    ป.ล.4 ผมขออธิบายความหมายของคำว่าคนธรรมดากับคนพิเศษไว้ในที่นี้นะครับ เผื่อบางท่านอาจจะงง,สงสัย,เข้าใจผิดกันได้ คนธรรมดาสำหรับผมนั้นหมายถึง คนชั่ว ส่วนคนพิเศษสำหรับผมนั้นหมายถึง คนดี นั่นเองครับ(ผมขออภัยทุกท่านด้วยจริงๆนะครับ ที่ทำให้ทุกท่านเข้าใจในตัวผมผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปนะครับ)
    ป.ล.5 ผมไม่สนใจในคู่ชีวิต หรือ ผู้หญิงที่ดีแต่สวยที่รูปร่างหน้าตา เก่ง,สวย,รวย,ดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง แต่ไร้ซึ่งคุณงามความดีหรอกนะ
    มันก็เป็นแค่เพียงภายนอกสำหรับผม ลองคิดดู อีกสัก 20 ปี หรือหลายปี เพียงแค่เวลาไม่นานมันก็ต้องหมดวัย พอแก่ตัวลงไปแล้วนั้นต่อให้ตายกลายเป็นผีก็ไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะ
    เพราะฉะนั้นคนเราควรที่จะคบดูกันที่นิสัยใจคอ ซึ่งก็คือคุณงามความดีที่ได้เคยกระทำมา ต่อให้เค้าเป็นตัวประหลาดในสังคม แต่ถ้าเค้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ผมก็ยังคิดว่าเค้าก็ยังจะดีกว่าผู้หญิงที่ดีแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่จิตใจชั่วช้าเลวทรามยิ่งกว่าสัตว์นรกเสียอีก
    ทุกวันนี้คนเรามันชอบเอาหน้ากากใส่หน้ากากเอาหน้าด้านชั่วเข้าหากันและกัน ไม่เคยคิดที่จะจริงใจต่อกันและกันเลย ดีแต่จะคบดูคนกันที่ภายนอก แต่ไม่รู้จักภายในจิตใจนิสัยใจคอที่แท้จริงกันเสียเลย เมื่อพอตายไปกลายเป็นผีลงโลงไปแล้วก็ลงนรกกันแม่งทุกราย
    ถ้าอยากได้รักแท้ก็ควรที่จะกระทำตัวเป็นคนดีกันเอาไว้เสียบ้าง ไม่ใช่วันๆดีแต่ทำตัวเหมือน แรด,ชะนี ร้องเรียกหาผัว อยากกระสันที่จะมีคู่ครองจนตัวสั่น โดยที่ไม่นึกคิดที่จะทำตัวของตนเองให้มันดูดีมีคุณค่าในตัวเองกันบ้างเสียเลย โลกนี้มันก็คงจะไม่น่าอยู่กันอีกต่อไปแล้ว
    พูดแล้วก็ สาธุ ถ้าหากว่าต้องการอยากที่จะได้คนแบบไหนก็ควรที่จะทำตัวของตนเองให้ได้เหมือนกันกับคนที่เราอยากได้มาครอบครองแบบนั้นมาเป็นคู่ชีวิตของเราอย่างนั้นเช่นนั้นแล
    ป.ล.6 ทุกวันนี้คนเราในในสังคมเรานั้นมักจะชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นกันง่ายดายเสียเหลือเกินกันจริงๆ ซึ่งตนเองนั้นก็มักจะชอบที่จะมองดูคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกกันเสียก่อนอื่น(ซึ่งผมเองก็เข้าใจ)เช่นดูที่รูปลักษณ์รูปร่างหน้าตา,ท่าทางกิริยามารยาท,วาจาคำพูด,การกระทำ หรือแม้แต่เงินทองข้าวของ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆนาๆ แต่ไม่เคยคิดที่จะมองลงไปให้ลึกให้ถึงรายละเอียดภายในจิตใจกันเสียบ้างเสียเลย เปรียบเสมือนกับการที่เราดูหนังสือที่ดีมีความรู้มากมายแค่ที่ปกหนังสือเท่านั้น ซึ่งไม่เคยเลยแม้แต่จะคิดที่จะลองเปิดอ่านดูในเนื้อหาสาระข้างในหนังสือนั้นเลยแม้แต่น้อยเดียวว่า มันมีคุณค่าและสาระมากมายแค่ไหนเพียงไร ในทุกวันนี้คนเราในสังคมมันก็เป็นเสียซะอย่างนี้แหล่ะ ซึ่งผมเองก็คงจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ในทุกวันนี้คนในสังคมของเรามันถึงได้วุ่นวายสับสนอลม่านน่าละอายแก่ใจเหนื่อยหน่ายใจกันสิ้นดีเลยจริงๆ
    ป.ล.7 คนเราทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเองกันทั้งนั้น แม้แต่กระทั่งกับคนที่ชั่วช้าเลวทรามสามานย์ที่สุด ก็ยังมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเอง อย่างน้อยก็กับครอบครัวของตนเอง เพียงแต่แค่มีสตินึกรู้ได้ ไตร่ตรองเป็น และไม่กระทำตัวของตนเองให้กลับกลายเป็นคนชั่วที่ไร้คุณค่าไป คุณก็ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นคนที่ดีมีคุณค่าในตัวของตนเองแล้วล่ะนะ เพียงแค่ตัวคุณไม่ทำตัวของตนเองให้เป็นคนที่ไร้คุณค่าเองก็เท่านั้นเองนั่นแหล่ะ

    จบแล้วครับทุกท่าน ขอบคุณที่กรุณาอ่านมาจนจบนะครับ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งยวดว่าคุณคงจะเข้าใจในตัวตนของผมบ้างไม่มากก็น้อยเนาะ

    โย่ แม้น โย่ โย่ โย่ โย่
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมมีชื่อเล่นว่า "แดนเจอร์" นะครับ ผมเป็นผู้พิทักษ์แห่งความมืด 1 ใน 6 เสาหลักผู้พิทักษ์แห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ในองค์กรเพื่อนแท้ ดิ เอลเลเม้นท์(ใครอยากรู้ว่ามันคืออะไรให้ไปที่บันทึกของผมก็แล้วกัน ผมขี้เกียจนั่งอธิบายทีละคนนะครับ ซึ่งในบันทึกของผมนั้นจะมีคำตอบและตัวตนทั้งหมดของผมอยู่นั่นเอง) อุดมการณ์ของผม คือ พิทักษ์ชาติ,ศาสน์,กษัตริย์ สานต่อเจตจำนงบรรพชน ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข บนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ ผืนแผ่นดินของในหลวง(รัชกาลที่๙)กับราชินี(ในรัชกาลที่๙) และบรรพชนของเรา ให้เป็นเอกราชสืบต่อไปจวบจนรุ่นลูกรุ่นหลานในภายภาคหน้า ป.ล.1 ผมรับเฉพาะเพื่อนคนพันธุ์พิเศษเท่านั้นนะครับ คนธรรมดาทั่วไปนั้นผมไม่รับเป็นเพื่อนด้วย(เพื่อนคนพันธุ์พิเศษ คือ พวกที่มีอะไรที่พิเศษในตัวเองที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร และมีจุดยืนของตัวเองที่มั่นคงชัดเจน ซึ่งก็คือมีอุดมการณ์ มีจิตวิญญาณ ไม่ใช่พวกหลักลอย หรือพวกผีดิบ) ซึ่งใครจะหาว่าผมว่าเป็นพวกหยิ่ง,ชั่วช้า,เลวทรามอย่างไรก็ช่าง เรื่องของพวกคุณ ผมไม่สนใจ เพราะผมไม่มีเวลามานั่งสนใจความรู้สึกของคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ สังคมเน่าๆอย่างนี้ผมไม่ขออยู่ร่วมด้วย ถ้ามีเพื่อนที่มันไม่เข้าใจเรา,ไม่รักเรา,ไม่รู้จักเราอย่างแท้จริงแล้วล่ะก็ สู้เราอดทนอยู่แม่งมันตัวคนเดียวเสียยังจะดีกว่าไปเกลือกกลั้วกลิ้งกับคนธรรมดาที่แสนชั่วช้าเลวทรามอย่างพวกคุณ ถ้าหากคุณอยากจะเป็นเพื่อนแท้กันก็เอาใจมาแลกใจ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีอะไรซื้อผมได้นอกจากจิตใจที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ป.ล.2 ผมยินดีที่จะเป็นมิตรกับทุกคนที่รักความถูกต้องโดยชอบธรรม โดยมีธรรมะอยู่ในจิตใจ และรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีความเป็นธรรม โดยมีความเป็นกลางและไม่มีอวิชชาหรืออคติใดๆที่ไม่ชอบธรรม และพร้อมที่จะรับความผิดชอบเมื่อได้กระทำความผิดพลาด หรือพลั้งเผลอไปด้วยความยินดี ซึ่งทุกคนก็ล้วนเคยได้ทำผิดพลาดกันมาในชีวิตมาด้วยกันได้ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอะไรเลย เพียงแค่คุณยอมรับมันได้และเปิดใจของคุณเอง มันก็เป็นแค่เพียงเท่านั้นเอง ป.ล.3 ผมยินดีและพร้อมที่จะเป็นเพื่อนกับทุกท่านที่เป็นพันธมิตรฯที่แท้จริง ที่เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันทุกท่าน เพียงแค่คุณกล้าพอที่จะเป็นเพื่อนกับผม และรองรับอารมณ์ความโกรธเกรี้ยว พลังความมืดในด้านมืดของผมได้ และเข้าใจในตัวตนที่แท้จริงของผมอย่างลึกซึ้ง โดยไม่มีอารมณ์และอคติใดๆที่เป็นอารมณ์ด้านลบติดอยู่กับตัว เพราะนั่นคือ กิเลส หรือ มาร ที่จะมาคอยฉุดรั้งคุณเพื่อไม่ให้คุณได้กระทำความดีได้อย่างเต็มที่นั่นเอง(ซึ่งผมเองก็เคยเป็น และได้ประสบพบเจอมากับตัวผมเองมาแล้ว ผมจึงปรารถนาที่จะไม่ให้คุณต้องตกเป็นแบบเดียวกันกับผมเหมือนเมื่อก่อนอย่างในอดีตของผมนั่นเอง) ป.ล.4 ผมขออธิบายความหมายของคำว่าคนธรรมดากับคนพิเศษไว้ในที่นี้นะครับ เผื่อบางท่านอาจจะงง,สงสัย,เข้าใจผิดกันได้ คนธรรมดาสำหรับผมนั้นหมายถึง คนชั่ว ส่วนคนพิเศษสำหรับผมนั้นหมายถึง คนดี นั่นเองครับ(ผมขออภัยทุกท่านด้วยจริงๆนะครับ ที่ทำให้ทุกท่านเข้าใจในตัวผมผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปนะครับ) ป.ล.5 ผมไม่สนใจในคู่ชีวิต หรือ ผู้หญิงที่ดีแต่สวยที่รูปร่างหน้าตา เก่ง,สวย,รวย,ดีพร้อมไปหมดทุกอย่าง แต่ไร้ซึ่งคุณงามความดีหรอกนะ มันก็เป็นแค่เพียงภายนอกสำหรับผม ลองคิดดู อีกสัก 20 ปี หรือหลายปี เพียงแค่เวลาไม่นานมันก็ต้องหมดวัย พอแก่ตัวลงไปแล้วนั้นต่อให้ตายกลายเป็นผีก็ไม่มีวันที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะ เพราะฉะนั้นคนเราควรที่จะคบดูกันที่นิสัยใจคอ ซึ่งก็คือคุณงามความดีที่ได้เคยกระทำมา ต่อให้เค้าเป็นตัวประหลาดในสังคม แต่ถ้าเค้าเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม ผมก็ยังคิดว่าเค้าก็ยังจะดีกว่าผู้หญิงที่ดีแต่รูปลักษณ์ภายนอก แต่จิตใจชั่วช้าเลวทรามยิ่งกว่าสัตว์นรกเสียอีก ทุกวันนี้คนเรามันชอบเอาหน้ากากใส่หน้ากากเอาหน้าด้านชั่วเข้าหากันและกัน ไม่เคยคิดที่จะจริงใจต่อกันและกันเลย ดีแต่จะคบดูคนกันที่ภายนอก แต่ไม่รู้จักภายในจิตใจนิสัยใจคอที่แท้จริงกันเสียเลย เมื่อพอตายไปกลายเป็นผีลงโลงไปแล้วก็ลงนรกกันแม่งทุกราย ถ้าอยากได้รักแท้ก็ควรที่จะกระทำตัวเป็นคนดีกันเอาไว้เสียบ้าง ไม่ใช่วันๆดีแต่ทำตัวเหมือน แรด,ชะนี ร้องเรียกหาผัว อยากกระสันที่จะมีคู่ครองจนตัวสั่น โดยที่ไม่นึกคิดที่จะทำตัวของตนเองให้มันดูดีมีคุณค่าในตัวเองกันบ้างเสียเลย โลกนี้มันก็คงจะไม่น่าอยู่กันอีกต่อไปแล้ว พูดแล้วก็ สาธุ ถ้าหากว่าต้องการอยากที่จะได้คนแบบไหนก็ควรที่จะทำตัวของตนเองให้ได้เหมือนกันกับคนที่เราอยากได้มาครอบครองแบบนั้นมาเป็นคู่ชีวิตของเราอย่างนั้นเช่นนั้นแล ป.ล.6 ทุกวันนี้คนเราในในสังคมเรานั้นมักจะชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นกันง่ายดายเสียเหลือเกินกันจริงๆ ซึ่งตนเองนั้นก็มักจะชอบที่จะมองดูคนอื่นจากรูปลักษณ์ภายนอกกันเสียก่อนอื่น(ซึ่งผมเองก็เข้าใจ)เช่นดูที่รูปลักษณ์รูปร่างหน้าตา,ท่าทางกิริยามารยาท,วาจาคำพูด,การกระทำ หรือแม้แต่เงินทองข้าวของ เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆนาๆ แต่ไม่เคยคิดที่จะมองลงไปให้ลึกให้ถึงรายละเอียดภายในจิตใจกันเสียบ้างเสียเลย เปรียบเสมือนกับการที่เราดูหนังสือที่ดีมีความรู้มากมายแค่ที่ปกหนังสือเท่านั้น ซึ่งไม่เคยเลยแม้แต่จะคิดที่จะลองเปิดอ่านดูในเนื้อหาสาระข้างในหนังสือนั้นเลยแม้แต่น้อยเดียวว่า มันมีคุณค่าและสาระมากมายแค่ไหนเพียงไร ในทุกวันนี้คนเราในสังคมมันก็เป็นเสียซะอย่างนี้แหล่ะ ซึ่งผมเองก็คงจะไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่ในทุกวันนี้คนในสังคมของเรามันถึงได้วุ่นวายสับสนอลม่านน่าละอายแก่ใจเหนื่อยหน่ายใจกันสิ้นดีเลยจริงๆ ป.ล.7 คนเราทุกคนล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเองกันทั้งนั้น แม้แต่กระทั่งกับคนที่ชั่วช้าเลวทรามสามานย์ที่สุด ก็ยังมีคุณค่าอยู่ในตัวของตนเอง อย่างน้อยก็กับครอบครัวของตนเอง เพียงแต่แค่มีสตินึกรู้ได้ ไตร่ตรองเป็น และไม่กระทำตัวของตนเองให้กลับกลายเป็นคนชั่วที่ไร้คุณค่าไป คุณก็ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมาเป็นคนที่ดีมีคุณค่าในตัวของตนเองแล้วล่ะนะ เพียงแค่ตัวคุณไม่ทำตัวของตนเองให้เป็นคนที่ไร้คุณค่าเองก็เท่านั้นเองนั่นแหล่ะ จบแล้วครับทุกท่าน ขอบคุณที่กรุณาอ่านมาจนจบนะครับ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งยวดว่าคุณคงจะเข้าใจในตัวตนของผมบ้างไม่มากก็น้อยเนาะ โย่ แม้น โย่ โย่ โย่ โย่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางโลกมีเรื่องวุ่นวายตลอด..หาที่สิ้นสุดยาก กิเลส มหากิเลส ราคะ มหาราคะ เต็มในจิตในใจ เผาพลาญใจคนไม่เลิก
    ทางโลกมีเรื่องวุ่นวายตลอด..หาที่สิ้นสุดยาก กิเลส มหากิเลส ราคะ มหาราคะ เต็มในจิตในใจ เผาพลาญใจคนไม่เลิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 614 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวอย่างโลกวุ่นวายเพราะกิเลสที่เกินพอดีของนักการเมือง

    อันนี้เรื่องตำรวจโลกกับเศรษฐกิจ
    https://www.youtube.com/live/3QVDAkpNXQ8?si=qIdzz4Rwm_ppQR8_

    อันนี้เรื่องผลประโยชน์เรื่องแร่หายาก
    https://youtu.be/NPHGF6hadLI?si=9d46ocOHlsv-SeAJ
    ตัวอย่างโลกวุ่นวายเพราะกิเลสที่เกินพอดีของนักการเมือง อันนี้เรื่องตำรวจโลกกับเศรษฐกิจ https://www.youtube.com/live/3QVDAkpNXQ8?si=qIdzz4Rwm_ppQR8_ อันนี้เรื่องผลประโยชน์เรื่องแร่หายาก https://youtu.be/NPHGF6hadLI?si=9d46ocOHlsv-SeAJ
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานบันเทิงคอมเพล็ก(คาสิโน)
    คือศุนย์รวมอบายมุขกิเลสตัณหา
    การพนันยาเสพติดโสเภณี
    และฟอกเงินแหล่งรวมสายเทา

    นักการเมืองรัฐบาลที่สนับสนุนคือ
    นักการเมืองและรัฐบาลชั่วครับ

    ขอคัดค้านสถาบันเทิงอโคจรมอมเมาสิ่งชั่วครับฮะ
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    สถานบันเทิงคอมเพล็ก(คาสิโน) คือศุนย์รวมอบายมุขกิเลสตัณหา การพนันยาเสพติดโสเภณี และฟอกเงินแหล่งรวมสายเทา นักการเมืองรัฐบาลที่สนับสนุนคือ นักการเมืองและรัฐบาลชั่วครับ ขอคัดค้านสถาบันเทิงอโคจรมอมเมาสิ่งชั่วครับฮะ มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    Yay
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts