• ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 5

    J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง

    นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย

    นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว

    คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย
    เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company

    นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London

    ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 6

    ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ
    John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London
    ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company

    หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร

    ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ :

    J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ

    ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร

    ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ
    ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร

    เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ

    แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี

    Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น

    แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

    ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

    ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี
    ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว

    แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้

    Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 5 J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 6 ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ : J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้ Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 45 มุมมอง 0 รีวิว
  • GHC รันในเบราว์เซอร์ได้แล้ว! จุดเปลี่ยนใหม่ของการเรียนรู้และเล่น Haskell

    ตอนนี้คุณสามารถเขียนและรันโค้ด Haskell ได้โดยตรงจากเบราว์เซอร์ของคุณ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเลย! นี่คือความสำเร็จล่าสุดของโปรเจกต์ GHC WebAssembly backend ที่ทำให้ GHC (Glasgow Haskell Compiler) สามารถทำงานแบบ client-side ได้เต็มรูปแบบผ่านเว็บเดโมที่ชื่อว่า Haskell Playground.

    โพสต์โดยผู้ใช้ชื่อ TerrorJack ในฟอรั่ม Haskell Community ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักพัฒนาและผู้สนใจ Haskell หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการนำไปใช้เพื่อการเรียนการสอน และการทดลองโค้ดแบบ interactive โดยไม่ต้องตั้งค่าเครื่องมือใดๆ เพิ่มเติม

    นี่คือก้าวสำคัญของ Haskell ที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าถึงภาษาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของการเรียนรู้แบบออนไลน์และการทดลองโค้ดอย่างรวดเร็วผ่านเว็บเบราว์เซอร์

    GHC สามารถรันในเบราว์เซอร์ได้แบบ client-side
    ใช้เทคโนโลยี WebAssembly (WASM) ทำให้ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์

    มีเดโมให้ทดลองใช้งานแล้วที่ Haskell Playground
    เขียนและรันโค้ด Haskell ได้ทันทีผ่านเว็บ

    เหมาะสำหรับการเรียนการสอนและคอร์สออนไลน์
    ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้ง GHC หรือเครื่องมืออื่นๆ

    ชุมชนให้ความเห็นเชิงบวก
    หลายคนมองว่าเป็นก้าวสำคัญของ Haskell ในการเข้าถึงผู้ใช้ใหม่

    พบปัญหาบางอย่างในการใช้งาน
    ตัวเลือก GHC บางอย่างยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนค่าแล้ว และ -with-rtsopts=-s ยังไม่ทำงาน

    การทำงานในบางเบราว์เซอร์ยังไม่สมบูรณ์
    เช่น Brave และ Safari แสดงข้อความเตือนเกี่ยวกับ Web Worker และปุ่ม Run อาจไม่ทำงาน

    https://discourse.haskell.org/t/ghc-now-runs-in-your-browser/13169
    🎉 GHC รันในเบราว์เซอร์ได้แล้ว! จุดเปลี่ยนใหม่ของการเรียนรู้และเล่น Haskell ตอนนี้คุณสามารถเขียนและรันโค้ด Haskell ได้โดยตรงจากเบราว์เซอร์ของคุณ โดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเลย! นี่คือความสำเร็จล่าสุดของโปรเจกต์ GHC WebAssembly backend ที่ทำให้ GHC (Glasgow Haskell Compiler) สามารถทำงานแบบ client-side ได้เต็มรูปแบบผ่านเว็บเดโมที่ชื่อว่า Haskell Playground. โพสต์โดยผู้ใช้ชื่อ TerrorJack ในฟอรั่ม Haskell Community ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักพัฒนาและผู้สนใจ Haskell หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการนำไปใช้เพื่อการเรียนการสอน และการทดลองโค้ดแบบ interactive โดยไม่ต้องตั้งค่าเครื่องมือใดๆ เพิ่มเติม นี่คือก้าวสำคัญของ Haskell ที่จะช่วยให้ผู้คนเข้าถึงภาษาได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในบริบทของการเรียนรู้แบบออนไลน์และการทดลองโค้ดอย่างรวดเร็วผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ✅ GHC สามารถรันในเบราว์เซอร์ได้แบบ client-side ➡️ ใช้เทคโนโลยี WebAssembly (WASM) ทำให้ไม่ต้องพึ่งเซิร์ฟเวอร์ ✅ มีเดโมให้ทดลองใช้งานแล้วที่ Haskell Playground ➡️ เขียนและรันโค้ด Haskell ได้ทันทีผ่านเว็บ ✅ เหมาะสำหรับการเรียนการสอนและคอร์สออนไลน์ ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องติดตั้ง GHC หรือเครื่องมืออื่นๆ ✅ ชุมชนให้ความเห็นเชิงบวก ➡️ หลายคนมองว่าเป็นก้าวสำคัญของ Haskell ในการเข้าถึงผู้ใช้ใหม่ ‼️ พบปัญหาบางอย่างในการใช้งาน ⛔ ตัวเลือก GHC บางอย่างยังคงอยู่แม้จะเปลี่ยนค่าแล้ว และ -with-rtsopts=-s ยังไม่ทำงาน ‼️ การทำงานในบางเบราว์เซอร์ยังไม่สมบูรณ์ ⛔ เช่น Brave และ Safari แสดงข้อความเตือนเกี่ยวกับ Web Worker และปุ่ม Run อาจไม่ทำงาน https://discourse.haskell.org/t/ghc-now-runs-in-your-browser/13169
    DISCOURSE.HASKELL.ORG
    Ghc now runs in your browser
    ghc itself can now run purely client-side in the browser, here’s a haskell playground demo. terms and conditions apply, and i’ll write up more detailed explanation some time later, but i thought this is a cool thing to show off how far the ghc wasm backend has advanced 🙂
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อว่านหลวงปู่ทวดหลังพระนอน พระประจำวันอังคาร วัดพะโคะ จ.สงขลา
    เนื้อว่านหลวงปู่ทวดหลังพระนอน พระประจำวันอังคาร วัดพะโคะ จ.สงขลา // // พระดีพิธีขลัง !! // พระสถาพสวย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เสนียดจัญไร อุดมด้วยโภคทรัพย์ ค้าขายดีและเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง เพื่อเพิ่มพูน เมตตามหานิยม เสริมดวง สเดาะเคราะห์ ป้องกันสิ่งรบกวน สร้างความสำเร็จในการงาน การเรียนได้เป็นอย่างดียิ่ง **

    ** สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเล พระเกจิอาจารย์ที่ประชาชนให้ความนับถือมากมาย วัดแห่งนี้คือที่จำพรรษาของสมเด็จพะโคะ หรือหลวงพ่อทวด ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อวัดราชประดิษฐาน แต่ชาวบ้านก็ยังคงนิยมเรียกกันติดปากว่าวัดพะโคะอยู่อย่างนั้น **

    ** พระสถาพสวย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เนื้อว่านหลวงปู่ทวดหลังพระนอน พระประจำวันอังคาร วัดพะโคะ จ.สงขลา เนื้อว่านหลวงปู่ทวดหลังพระนอน พระประจำวันอังคาร วัดพะโคะ จ.สงขลา // // พระดีพิธีขลัง !! // พระสถาพสวย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง เสนียดจัญไร อุดมด้วยโภคทรัพย์ ค้าขายดีและเสริมสิริมงคลให้กับตัวเอง เพื่อเพิ่มพูน เมตตามหานิยม เสริมดวง สเดาะเคราะห์ ป้องกันสิ่งรบกวน สร้างความสำเร็จในการงาน การเรียนได้เป็นอย่างดียิ่ง ** ** สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเล พระเกจิอาจารย์ที่ประชาชนให้ความนับถือมากมาย วัดแห่งนี้คือที่จำพรรษาของสมเด็จพะโคะ หรือหลวงพ่อทวด ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อวัดราชประดิษฐาน แต่ชาวบ้านก็ยังคงนิยมเรียกกันติดปากว่าวัดพะโคะอยู่อย่างนั้น ** ** พระสถาพสวย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Collate” คืออะไร? ทำไมปุ่มเล็กๆ บนเครื่องพิมพ์ถึงช่วยชีวิตคุณได้มากกว่าที่คิด!

    ลองนึกภาพว่าคุณต้องพิมพ์รายงาน 10 ชุด ชุดละ 20 หน้า ถ้าไม่เปิดฟังก์ชัน “Collate” คุณจะได้กระดาษหน้า 1 ทั้งหมด 10 แผ่นก่อน แล้วตามด้วยหน้า 2 อีก 10 แผ่น... จนถึงหน้า 20 แล้วต้องมานั่งเรียงเองทีละชุด — ฟังดูเหนื่อยใช่ไหม? ฟังก์ชัน Collate จึงเกิดมาเพื่อช่วยให้ทุกชุดพิมพ์ออกมาเรียงหน้าอย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ

    Collate คือฟังก์ชันในเครื่องพิมพ์ที่ช่วยให้เอกสารหลายหน้า ถูกพิมพ์ออกมาเป็นชุดๆ อย่างถูกลำดับ เช่น ถ้าคุณพิมพ์รายงาน 3 ชุด ชุดละ 5 หน้า เมื่อเปิด Collate เครื่องจะพิมพ์หน้า 1-5 แล้วเริ่มชุดใหม่ทันที ต่างจากการปิด Collate ที่จะพิมพ์หน้า 1 ทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิมพ์หน้า 2 ทั้งหมด

    เดิมทีการเรียงเอกสารแบบนี้ต้องทำด้วยมือ แต่ปัจจุบันเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะใช้หมึกหรือโทนเนอร์ ช่วยลดเวลา ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการจัดชุดเอกสาร

    ในสำนักงานที่ต้องพิมพ์เอกสารจำนวนมาก เช่น คู่มือ ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่างๆ Collate คือผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องพิมพ์เอกสารการเรียนการสอนจำนวนมาก

    เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มักมีปุ่ม “Collate” ให้กดได้ง่ายๆ บางรุ่นอาจอยู่บนหน้าจอสัมผัส หรือในซอฟต์แวร์พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องรุ่นเก่าอาจต้องตั้งค่าผ่านปุ่มกด

    แต่ถ้าคุณพิมพ์แค่ชุดเดียว ฟังก์ชันนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะเครื่องจะพิมพ์เรียงหน้าให้อยู่แล้ว

    ความหมายของ Collate
    คือการพิมพ์เอกสารหลายหน้าให้ออกมาเป็นชุดเรียงลำดับ
    ช่วยให้แต่ละชุดเอกสารสมบูรณ์โดยไม่ต้องเรียงเอง

    ประโยชน์ของการใช้ Collate
    ลดความผิดพลาดจากการเรียงหน้าเอกสารผิด
    ประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดชุดเอกสาร
    เหมาะกับสำนักงานและสถาบันการศึกษาที่พิมพ์เอกสารจำนวนมาก

    วิธีเปิดใช้งาน Collate
    เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มีปุ่มหรือเมนูให้เลือกง่าย
    บางรุ่นต้องตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์พิมพ์ในคอมพิวเตอร์

    https://www.slashgear.com/2004796/what-does-collate-mean-when-printing-overview-what-need-know/
    🖨️ “Collate” คืออะไร? ทำไมปุ่มเล็กๆ บนเครื่องพิมพ์ถึงช่วยชีวิตคุณได้มากกว่าที่คิด! ลองนึกภาพว่าคุณต้องพิมพ์รายงาน 10 ชุด ชุดละ 20 หน้า ถ้าไม่เปิดฟังก์ชัน “Collate” คุณจะได้กระดาษหน้า 1 ทั้งหมด 10 แผ่นก่อน แล้วตามด้วยหน้า 2 อีก 10 แผ่น... จนถึงหน้า 20 แล้วต้องมานั่งเรียงเองทีละชุด — ฟังดูเหนื่อยใช่ไหม? ฟังก์ชัน Collate จึงเกิดมาเพื่อช่วยให้ทุกชุดพิมพ์ออกมาเรียงหน้าอย่างถูกต้องโดยอัตโนมัติ Collate คือฟังก์ชันในเครื่องพิมพ์ที่ช่วยให้เอกสารหลายหน้า ถูกพิมพ์ออกมาเป็นชุดๆ อย่างถูกลำดับ เช่น ถ้าคุณพิมพ์รายงาน 3 ชุด ชุดละ 5 หน้า เมื่อเปิด Collate เครื่องจะพิมพ์หน้า 1-5 แล้วเริ่มชุดใหม่ทันที ต่างจากการปิด Collate ที่จะพิมพ์หน้า 1 ทั้งหมดก่อน แล้วค่อยพิมพ์หน้า 2 ทั้งหมด เดิมทีการเรียงเอกสารแบบนี้ต้องทำด้วยมือ แต่ปัจจุบันเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารสามารถทำได้เอง ไม่ว่าจะใช้หมึกหรือโทนเนอร์ ช่วยลดเวลา ลดความผิดพลาด และเพิ่มความแม่นยำในการจัดชุดเอกสาร ในสำนักงานที่ต้องพิมพ์เอกสารจำนวนมาก เช่น คู่มือ ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่างๆ Collate คือผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ที่ต้องพิมพ์เอกสารการเรียนการสอนจำนวนมาก เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มักมีปุ่ม “Collate” ให้กดได้ง่ายๆ บางรุ่นอาจอยู่บนหน้าจอสัมผัส หรือในซอฟต์แวร์พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ ส่วนเครื่องรุ่นเก่าอาจต้องตั้งค่าผ่านปุ่มกด แต่ถ้าคุณพิมพ์แค่ชุดเดียว ฟังก์ชันนี้ก็ไม่จำเป็น เพราะเครื่องจะพิมพ์เรียงหน้าให้อยู่แล้ว ✅ ความหมายของ Collate ➡️ คือการพิมพ์เอกสารหลายหน้าให้ออกมาเป็นชุดเรียงลำดับ ➡️ ช่วยให้แต่ละชุดเอกสารสมบูรณ์โดยไม่ต้องเรียงเอง ✅ ประโยชน์ของการใช้ Collate ➡️ ลดความผิดพลาดจากการเรียงหน้าเอกสารผิด ➡️ ประหยัดเวลาและแรงงานในการจัดชุดเอกสาร ➡️ เหมาะกับสำนักงานและสถาบันการศึกษาที่พิมพ์เอกสารจำนวนมาก ✅ วิธีเปิดใช้งาน Collate ➡️ เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่มีปุ่มหรือเมนูให้เลือกง่าย ➡️ บางรุ่นต้องตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์พิมพ์ในคอมพิวเตอร์ https://www.slashgear.com/2004796/what-does-collate-mean-when-printing-overview-what-need-know/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does Collate Mean When Printing? - SlashGear
    Most printers have an option to "collate," but what does the function do? It's really handy if you're printing multiple copies of multi-page documents.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กวัยรุ่นอเมริกันถูกฟ้องในคดีอาชญากรรมไซเบอร์เครือข่าย 764 — รวมข้อหาหนักทั้งการฉ้อโกง, ขโมยข้อมูล และการฟอกเงิน

    บทความจาก HackRead รายงานว่า วัยรุ่นชายชาวอเมริกันถูกตั้งข้อหาในคดีอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย 764 ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงในด้านการโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลการเงิน และการขายข้อมูลในตลาดมืด โดยคดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีที่ใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนในสหรัฐฯ

    วัยรุ่นถูกตั้งข้อหาหลายกระทงรวมถึงการฉ้อโกงและการฟอกเงิน
    ใช้เทคนิค phishing และ social engineering เพื่อเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ
    ขโมยข้อมูลบัตรเครดิต, ข้อมูลบัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนตัว

    เครือข่าย 764 มีการจัดการแบบองค์กร
    มีการแบ่งหน้าที่ เช่น ผู้สร้างมัลแวร์, ผู้จัดการบัญชี, และผู้ขายข้อมูล
    ใช้แพลตฟอร์ม Discord และ Telegram เป็นช่องทางสื่อสารและขายข้อมูล

    วัยรุ่นรายนี้มีบทบาทสำคัญในเครือข่าย
    เป็นผู้พัฒนาเครื่องมือโจมตีและจัดการการเงินของกลุ่ม
    มีการใช้ cryptocurrency เพื่อฟอกเงินและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ

    เจ้าหน้าที่สืบสวนพบหลักฐานจากการตรวจสอบอุปกรณ์และบัญชีออนไลน์
    รวมถึงไฟล์มัลแวร์, รายชื่อเหยื่อ, และบันทึกการโอนเงิน
    มีการเชื่อมโยงกับการโจมตีหลายครั้งในสหรัฐฯ และยุโรป

    เยาวชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือแฮกได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส
    เครื่องมือบางตัวถูกแชร์ใน GitHub หรือฟอรัมโดยไม่มีการควบคุม
    การเรียนรู้ด้านเทคนิคโดยไม่มีจริยธรรมอาจนำไปสู่การกระทำผิด

    การใช้ cryptocurrency ไม่ได้ทำให้การฟอกเงินปลอดภัยจากการตรวจสอบ
    หน่วยงานด้านการเงินสามารถติดตามธุรกรรมผ่าน blockchain
    การใช้ crypto เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอาจเพิ่มโทษทางอาญา

    การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเช่น Discord ไม่ปลอดภัยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
    แม้จะใช้ชื่อปลอมหรือ VPN ก็ยังสามารถถูกติดตามได้
    เจ้าหน้าที่สามารถขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มผ่านหมายศาล

    https://hackread.com/us-teen-indicted-764-network-case-crimes/
    ⚖️ เด็กวัยรุ่นอเมริกันถูกฟ้องในคดีอาชญากรรมไซเบอร์เครือข่าย 764 — รวมข้อหาหนักทั้งการฉ้อโกง, ขโมยข้อมูล และการฟอกเงิน บทความจาก HackRead รายงานว่า วัยรุ่นชายชาวอเมริกันถูกตั้งข้อหาในคดีอาชญากรรมไซเบอร์ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่าย 764 ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียงในด้านการโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลการเงิน และการขายข้อมูลในตลาดมืด โดยคดีนี้ถือเป็นหนึ่งในคดีที่ใหญ่ที่สุดที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนในสหรัฐฯ ✅ วัยรุ่นถูกตั้งข้อหาหลายกระทงรวมถึงการฉ้อโกงและการฟอกเงิน ➡️ ใช้เทคนิค phishing และ social engineering เพื่อเข้าถึงบัญชีของเหยื่อ ➡️ ขโมยข้อมูลบัตรเครดิต, ข้อมูลบัญชีธนาคาร และข้อมูลส่วนตัว ✅ เครือข่าย 764 มีการจัดการแบบองค์กร ➡️ มีการแบ่งหน้าที่ เช่น ผู้สร้างมัลแวร์, ผู้จัดการบัญชี, และผู้ขายข้อมูล ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Discord และ Telegram เป็นช่องทางสื่อสารและขายข้อมูล ✅ วัยรุ่นรายนี้มีบทบาทสำคัญในเครือข่าย ➡️ เป็นผู้พัฒนาเครื่องมือโจมตีและจัดการการเงินของกลุ่ม ➡️ มีการใช้ cryptocurrency เพื่อฟอกเงินและหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ✅ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบหลักฐานจากการตรวจสอบอุปกรณ์และบัญชีออนไลน์ ➡️ รวมถึงไฟล์มัลแวร์, รายชื่อเหยื่อ, และบันทึกการโอนเงิน ➡️ มีการเชื่อมโยงกับการโจมตีหลายครั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ‼️ เยาวชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือแฮกได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส ⛔ เครื่องมือบางตัวถูกแชร์ใน GitHub หรือฟอรัมโดยไม่มีการควบคุม ⛔ การเรียนรู้ด้านเทคนิคโดยไม่มีจริยธรรมอาจนำไปสู่การกระทำผิด ‼️ การใช้ cryptocurrency ไม่ได้ทำให้การฟอกเงินปลอดภัยจากการตรวจสอบ ⛔ หน่วยงานด้านการเงินสามารถติดตามธุรกรรมผ่าน blockchain ⛔ การใช้ crypto เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอาจเพิ่มโทษทางอาญา ‼️ การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มเช่น Discord ไม่ปลอดภัยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ⛔ แม้จะใช้ชื่อปลอมหรือ VPN ก็ยังสามารถถูกติดตามได้ ⛔ เจ้าหน้าที่สามารถขอข้อมูลจากแพลตฟอร์มผ่านหมายศาล https://hackread.com/us-teen-indicted-764-network-case-crimes/
    HACKREAD.COM
    US Teen Indicted in 764 Network Case Involving Exploitation Crimes
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.12

    กฎหมายเป็นมากกว่าชุดข้อบังคับ เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนสังคมให้ดำรงอยู่ได้อย่างสงบและเป็นธรรม หลักเกณฑ์และบรรทัดฐานเหล่านี้ได้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดทิศทางของพฤติกรรมทั้งของปัจเจกบุคคลและกลุ่มองค์กรในสังคม การมีอยู่ของกฎหมายมิได้มีเพียงเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ แต่เพื่อสร้างขอบเขตที่ชัดเจนให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความคาดหวังร่วมกันว่าความประพฤติใดคือสิ่งที่ยอมรับได้ และพฤติกรรมใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นหรือความสงบเรียบร้อยถูกคุกคาม กฎหมายจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกลไกในการตัดสินและแก้ไขข้อพิพาท เพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอันเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันในฐานะพลเมือง

    กลไกอันทรงพลังที่ขับเคลื่อนกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ได้อย่างแท้จริงคืออำนาจของรัฐ รัฐในฐานะผู้มีอำนาจอธิปไตยจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นอย่างเคร่งครัดและเป็นกลาง การบังคับใช้มิได้จำกัดอยู่แค่การลงโทษผู้กระทำผิด แต่รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิของพลเมือง การจัดระเบียบโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ การที่กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยรัฐทำให้หลักเกณฑ์ต่างๆ มีน้ำหนักและมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อเสนอแนะที่ใครจะเลือกปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ ความแน่นอนและเด็ดขาดในการบังคับใช้นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าทุกการกระทำย่อมมีผลตามมาและไม่มีใครอยู่เหนือกฎเกณฑ์

    ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพของบุคคลกับผลประโยชน์ของส่วนรวม เป็นเกราะป้องกันความวุ่นวายและเป็นเส้นทางสู่ความเป็นธรรม กฎหมายสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและความมุ่งหวังของสังคมในแต่ละยุคสมัย ในฐานะพลเมือง การเรียนรู้และเคารพในกฎหมายจึงไม่ใช่เพียงหน้าที่ แต่คือการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และรักษาสังคมที่เราต้องการให้อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายจะนำมาซึ่งการยอมรับและปฏิบัติตามด้วยความสมัครใจ อันเป็นรากฐานที่มั่นคงของรัฐที่สงบสุขและยุติธรรมอย่างแท้จริง
    บทความกฎหมาย EP.12 กฎหมายเป็นมากกว่าชุดข้อบังคับ เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนสังคมให้ดำรงอยู่ได้อย่างสงบและเป็นธรรม หลักเกณฑ์และบรรทัดฐานเหล่านี้ได้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อกำหนดทิศทางของพฤติกรรมทั้งของปัจเจกบุคคลและกลุ่มองค์กรในสังคม การมีอยู่ของกฎหมายมิได้มีเพียงเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพ แต่เพื่อสร้างขอบเขตที่ชัดเจนให้ทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความคาดหวังร่วมกันว่าความประพฤติใดคือสิ่งที่ยอมรับได้ และพฤติกรรมใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นหรือความสงบเรียบร้อยถูกคุกคาม กฎหมายจะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกลไกในการตัดสินและแก้ไขข้อพิพาท เพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอันเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันในฐานะพลเมือง กลไกอันทรงพลังที่ขับเคลื่อนกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ได้อย่างแท้จริงคืออำนาจของรัฐ รัฐในฐานะผู้มีอำนาจอธิปไตยจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นอย่างเคร่งครัดและเป็นกลาง การบังคับใช้มิได้จำกัดอยู่แค่การลงโทษผู้กระทำผิด แต่รวมถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิของพลเมือง การจัดระเบียบโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ การที่กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยรัฐทำให้หลักเกณฑ์ต่างๆ มีน้ำหนักและมีความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ข้อเสนอแนะที่ใครจะเลือกปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้ ความแน่นอนและเด็ดขาดในการบังคับใช้นี่เองที่เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าทุกการกระทำย่อมมีผลตามมาและไม่มีใครอยู่เหนือกฎเกณฑ์ ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างเสรีภาพของบุคคลกับผลประโยชน์ของส่วนรวม เป็นเกราะป้องกันความวุ่นวายและเป็นเส้นทางสู่ความเป็นธรรม กฎหมายสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมและความมุ่งหวังของสังคมในแต่ละยุคสมัย ในฐานะพลเมือง การเรียนรู้และเคารพในกฎหมายจึงไม่ใช่เพียงหน้าที่ แต่คือการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และรักษาสังคมที่เราต้องการให้อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน การทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมายจะนำมาซึ่งการยอมรับและปฏิบัติตามด้วยความสมัครใจ อันเป็นรากฐานที่มั่นคงของรัฐที่สงบสุขและยุติธรรมอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Vibecoding” คือแนวทางใหม่ที่ใช้ AI สร้างแอปได้ง่ายขึ้น — แม้ไม่รู้โค้ด ก็สร้างเว็บไซต์หรือโปรเจกต์ได้ด้วยภาษาพูด

    บทความจาก The Star อธิบายปรากฏการณ์ “vibecoding” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาธรรมชาติพูดคุยกับ AI เพื่อให้ช่วยเขียนโค้ดหรือสร้างแอป โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาก่อน แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนา นักเรียน และผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเรียนภาษา Java หรือ C++

    “Vibecoding” เป็นคำที่ใช้เรียกการเขียนโค้ดร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาพูดหรือคำสั่งง่าย ๆ เช่น “ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ฉัน” แล้ว AI จะสร้างโครงสร้าง HTML, CSS หรือแม้แต่ backend ให้ทันที

    แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น vibe marketing, vibe analytics และ vibe designing โดย Microsoft ก็ใช้แนวทางนี้ใน Copilot เพื่อช่วยสร้างสไลด์และสเปรดชีต

    Kyle Jensen จาก Yale School of Management กล่าวว่า “AI-assisted software development” ฟังดูเป็นทางการเกินไป แต่ “vibecoding” ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากกว่า

    แม้จะดูง่าย แต่การใช้ AI สร้างแอปก็ยังมีข้อจำกัด เช่น AI อาจสร้างโค้ดผิดพลาด หรือหลุดจากบริบทที่ผู้ใช้ต้องการได้ ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งจะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีกว่า

    นักพัฒนาอย่าง Simon Last จาก Notion เปรียบเทียบว่า การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือน “ดูแลเด็กฝึกงาน” ที่ต้องคอยตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง

    ความหมายของ “vibecoding”
    ใช้ภาษาธรรมชาติสั่ง AI ให้สร้างโค้ดหรือแอป
    ไม่ต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งก็เริ่มต้นได้

    จุดเด่นของแนวทางนี้
    เข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น
    ใช้ในหลายวงการ เช่น marketing, analytics, design
    Microsoft ใช้ใน Copilot เพื่อสร้างงานนำเสนอและเอกสาร

    ข้อจำกัดของ vibecoding
    AI อาจสร้างโค้ดผิดหรือหลุดบริบท
    ผู้ใช้ที่เข้าใจโค้ดจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า
    ต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขจากมนุษย์

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    เปรียบเทียบ AI coding tools กับเด็กฝึกงาน
    เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ยังไม่แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด
    ช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและลดความยากในการเริ่มต้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ AI สร้างโค้ด
    อย่าพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์
    ควรเรียนรู้พื้นฐานโค้ดเพื่อควบคุมและแก้ไขได้
    อย่าใช้ AI สร้างระบบที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/with-vibecoding-ai-can-help-anyone-build-an-app
    🧠 “Vibecoding” คือแนวทางใหม่ที่ใช้ AI สร้างแอปได้ง่ายขึ้น — แม้ไม่รู้โค้ด ก็สร้างเว็บไซต์หรือโปรเจกต์ได้ด้วยภาษาพูด บทความจาก The Star อธิบายปรากฏการณ์ “vibecoding” ซึ่งเป็นการใช้ภาษาธรรมชาติพูดคุยกับ AI เพื่อให้ช่วยเขียนโค้ดหรือสร้างแอป โดยไม่ต้องมีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งมาก่อน แนวคิดนี้กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักพัฒนา นักเรียน และผู้ใช้ทั่วไปที่อยากสร้างสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่ต้องเรียนภาษา Java หรือ C++ “Vibecoding” เป็นคำที่ใช้เรียกการเขียนโค้ดร่วมกับ AI โดยใช้ภาษาพูดหรือคำสั่งง่าย ๆ เช่น “ช่วยสร้างเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าให้ฉัน” แล้ว AI จะสร้างโครงสร้าง HTML, CSS หรือแม้แต่ backend ให้ทันที แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจาก Andrej Karpathy ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI และถูกนำไปใช้ในหลายวงการ เช่น vibe marketing, vibe analytics และ vibe designing โดย Microsoft ก็ใช้แนวทางนี้ใน Copilot เพื่อช่วยสร้างสไลด์และสเปรดชีต Kyle Jensen จาก Yale School of Management กล่าวว่า “AI-assisted software development” ฟังดูเป็นทางการเกินไป แต่ “vibecoding” ให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายและเป็นกันเองมากกว่า แม้จะดูง่าย แต่การใช้ AI สร้างแอปก็ยังมีข้อจำกัด เช่น AI อาจสร้างโค้ดผิดพลาด หรือหลุดจากบริบทที่ผู้ใช้ต้องการได้ ดังนั้นผู้ที่มีพื้นฐานด้านโปรแกรมมิ่งจะสามารถควบคุมและแก้ไขได้ดีกว่า นักพัฒนาอย่าง Simon Last จาก Notion เปรียบเทียบว่า การใช้ AI เขียนโค้ดก็เหมือน “ดูแลเด็กฝึกงาน” ที่ต้องคอยตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้อง ✅ ความหมายของ “vibecoding” ➡️ ใช้ภาษาธรรมชาติสั่ง AI ให้สร้างโค้ดหรือแอป ➡️ ไม่ต้องมีพื้นฐานโปรแกรมมิ่งก็เริ่มต้นได้ ✅ จุดเด่นของแนวทางนี้ ➡️ เข้าถึงง่าย เหมาะกับผู้เริ่มต้น ➡️ ใช้ในหลายวงการ เช่น marketing, analytics, design ➡️ Microsoft ใช้ใน Copilot เพื่อสร้างงานนำเสนอและเอกสาร ✅ ข้อจำกัดของ vibecoding ➡️ AI อาจสร้างโค้ดผิดหรือหลุดบริบท ➡️ ผู้ใช้ที่เข้าใจโค้ดจะสามารถควบคุมได้ดีกว่า ➡️ ต้องมีการตรวจสอบและแก้ไขจากมนุษย์ ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ เปรียบเทียบ AI coding tools กับเด็กฝึกงาน ➡️ เป็นผู้ช่วยที่ดี แต่ยังไม่แทนมนุษย์ได้ทั้งหมด ➡️ ช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้นและลดความยากในการเริ่มต้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ AI สร้างโค้ด ⛔ อย่าพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบผลลัพธ์ ⛔ ควรเรียนรู้พื้นฐานโค้ดเพื่อควบคุมและแก้ไขได้ ⛔ อย่าใช้ AI สร้างระบบที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่มีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/27/with-vibecoding-ai-can-help-anyone-build-an-app
    WWW.THESTAR.COM.MY
    With 'vibecoding', AI can help anyone build an app
    Bringing on artificial intelligence as a collaborator can make coding feel more accessible to those with little training in it, but there are trade-offs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น

    บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root

    ประเด็นหลักของบทความ

    การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader

    การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย

    ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย

    การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้

    ข้อคิดจากบทความ

    คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง
    การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม
    การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก
    การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย

    https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    🖥️ บทความนี้ตั้งคำถามถึงเสรีภาพของผู้ใช้ในการควบคุมเครื่องของตัวเองในยุคที่ซอฟต์แวร์ถูกล็อกและควบคุมมากขึ้น บทความจาก Hackaday ชื่อ “What Happened to Running What You Wanted on Your Own Machine?” วิจารณ์แนวโน้มที่ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ของตนเองได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป โดยเฉพาะในยุคที่ระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบให้จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้มากขึ้น เช่น การบังคับใช้ Secure Boot, การล็อก BIOS, และการควบคุมสิทธิ์ root 🔍 ประเด็นหลักของบทความ ⚖️ การควบคุมของผู้ผลิต: ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รายใหญ่ เช่น Apple, Microsoft และผู้ผลิตชิปบางราย เริ่มออกแบบระบบให้ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้งหรือรันซอฟต์แวร์ที่ตนเองต้องการได้อย่างอิสระ เช่น การบังคับใช้ Secure Boot ที่ไม่สามารถปิดได้ หรือการจำกัดการเข้าถึง bootloader ⚖️ การลดเสรีภาพของผู้ใช้: แม้ผู้ใช้จะเป็นเจ้าของเครื่อง แต่กลับไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ เช่น ไม่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการทางเลือก หรือซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สได้โดยง่าย ⚖️ ผลกระทบต่อการศึกษาและนวัตกรรม: การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ทำให้ยากต่อการเรียนรู้ การทดลอง และการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในแวดวงนักพัฒนาและนักวิจัย ⚖️ การเรียกร้องให้คืนสิทธิ์: ผู้เขียนเรียกร้องให้ผู้ใช้ตระหนักถึงสิทธิ์ของตนเอง และสนับสนุนฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่เปิดให้ควบคุมได้อย่างแท้จริง เช่น โครงการโอเพ่นซอร์ส หรืออุปกรณ์ที่สามารถปลดล็อก bootloader ได้ 📌 ข้อคิดจากบทความ ✅ คุณควรมีสิทธิ์เต็มที่ในการควบคุมเครื่องของคุณเอง ✅ การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ไม่ควรเป็นมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรม ✅ การสนับสนุนโอเพ่นซอร์สและฮาร์ดแวร์ที่เปิดกว้างคือทางออก ✅ การศึกษาและนวัตกรรมต้องการพื้นที่ที่เปิดกว้าง ไม่ใช่ระบบที่ปิดตาย https://hackaday.com/2025/10/22/what-happened-to-running-what-you-wanted-on-your-own-machine/
    HACKADAY.COM
    What Happened To Running What You Wanted On Your Own Machine?
    When the microcomputer first landed in homes some forty years ago, it came with a simple freedom—you could run whatever software you could get your hands on. Floppy disk from a friend? Pop it in. S…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ”

    บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก

    คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง
    การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง
    ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
    การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์

    ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ
    ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี

    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน
    ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ
    การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล

    สิ่งที่ไม่ควรทำตาม
    ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง
    หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ
    ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์

    ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด

    https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    📝 “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ” บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก ✅ คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง ➡️ การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง ➡️ ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ➡️ การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์ ✅ ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ ➡️ ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ➡️ การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ➡️ ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ ➡️ การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ‼️ สิ่งที่ไม่ควรทำตาม ⛔ ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง ⛔ หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ ⛔ ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์ 💡 ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    BLOG.PABLOECORTEZ.COM
    It's insulting to read your AI-generated blog post
    It seems so rude and careless to make me, a person with thoughts, ideas, humor, contradictions and life experience to read something spit out by the equivale...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2 ปีผ่านไป
    “เอม อยากทำงานอะไรเหรอลูก?”
    ผมถามลูกสาวเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้
    เอมไม่เคยตอบตรง ๆ สักครั้ง แต่จะยิ้มแล้วพูดคำเดิมทุกทีว่า “หนูอยากรวย!”
    โอเค... จุดหมายชัด แต่เส้นทางยังเบลอมาก ตอนไปเรียนอังกฤษใหม่ ๆ เอมเริ่มจากงานง่าย ๆ ช่วยป้าแจ๊คกี้ทำสวน เก็บใบไม้ ตัดกิ่ง ขุดดิน จนเล็บดำกลับบ้านทุกเย็น โทรมาบอกพ่อว่า “ป๊า หนูได้งานแล้วนะ!” ผมดีใจสุดขีด คิดว่าได้ทำงานในออฟฟิศหรู ๆ สุดท้าย... “งานขุดหลุมปลูกต้นไม้ค่ะป๊า!”
    จากนั้นก็รับจ๊อบเป็นติวเตอร์ สอน online กับรุ่นน้องๆ ที่เมืองไทย มีรายได้พออวดพ่อแม่ได้บ้างแถมยังภูมิใจสุด ๆ ตอนบอกว่า“หนูมีนักเรียนแล้วนะป๊า ทั้งหมด 4 คน! (รวมไอ้อิ๊งน้องสาวคนเดียวที่หนูหลอกมาฝึกฟรีด้วย)
    ไม่นานก็ได้เป็น Student Ambassador ของมหาวิทยาลัย คอยต้อนรับ ดูแลนักศึกษาใหม่ และช่วยงานในวัน Open House ตามที่มหาวิทยาลัยมอบหมาย
    ตอนนั้นผมเริ่มเห็นแล้วว่า “หนูอยากรวย” ของเอม ไม่ได้หมายถึงอยากได้เงิน แต่มันแปลว่า “หนูอยากเก่ง อยากลอง อยากโต”
    จนวันหนึ่ง เอมบอกว่าได้งานที่ Pfizer “อู้หู ยิ่งใหญ่เลยนะลูก!” ผมพูดด้วยความภูมิใจ เอมยักไหล่ “ก็แค่เด็กฝึกงานธรรมดาเองป๊า”
    แต่ความไม่ธรรมดาก็คือ...เอมกล้า “ให้คะแนนหัวหน้า” ในระบบ feedback ของบริษัท ผมถาม “ทำไมถึงทำอย่างน้้นละลูก เดี๋ยวหัวหน้าไม่ปลื้มเอานะ”
    เอมตอบอย่างมั่นใจ “ก็อยากให้เขาเห็นว่าเรากล้า feedback ไงป๊า เผื่อเขาจะให้คะแนนกลับมาบ้าง 555” คะแนนเอาไปแลกของได้ แต่เรื่องมันไม่จบสวย เพราะหัวหน้าไม่เคยให้คะแนนกลับเลยครับ เรียกว่าให้ไปข้างเดียว เหมือนรักข้างเดียวแต่เป็นแบบในที่ทำงาน
    จนสัปดาห์ที่แล้ว หัวหน้าคนนั้นส่งอีเมลมาบอกเอมว่า “เอม เราอยากให้เธอมาช่วยสัมภาษณ์และคัดเลือกพนักงานใหม่กับทีมเรา”
    เอมอึ้ง “หนูเหรอคะ?! หรือจะให้หนูเป็นตัวอย่างว่าคนแบบนี้ไม่ควรรับ?”
    แต่หัวหน้าหัวเราะแล้วตอบว่า
    “ใช่สิ ปีนี้เรารับสองตำแหน่งเท่าเดิม มีคนสมัคร 550 คน (ปีที่แล้วมีคนสมัครมากกว่านี้อีก หัวหน้าบอก) เราอยากให้เธอเห็นว่าการคัดคน มันไม่ใช่เลือกคนเก่งที่สุด แต่เลือกคนที่อยากทำงานจริง ๆ”
    เอมเล่าให้ฟังถึงการสมัครงานที่ Pfizer ว่า
    “การสมัครงานที่ Pfizer เขาไม่ได้มองแค่คนที่เก่งหรือมีผลการเรียนดีเท่านั้นนะป๊า”
    “จริงเหรอลูก?” ผมถามด้วยความสนใจ
    “ใช่ค่ะ เขาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ผลการเรียนดีสุด ๆ ก็ได้” เอมพูดด้วยความมั่นใจ
    “วันนั้นอาจจะมีคนที่ผลการเรียนไม่ดี แต่เขาอาจจะเก่งก็ได้ หรืออาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผลการเรียนไม่ดี ตอนที่เขาเลือกคนเข้ามาทำงาน เขาไม่ได้ตัดสินแค่ผลการเรียน แต่เลือกคนที่มีทัศนคติที่ดี และมีความอยากทำงานจริง ๆ”
    “ถ้าเราแค่เลือกคนที่ผลการเรียนดีสุด ๆ โดยไม่สนใจคนที่อาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ผลการเรียนไม่ดี เราก็อาจจะพลาดคนที่มีศักยภาพมาก ๆ ที่เราอยากได้ก็ได้นะ”
    ผมฟังแล้วก็รู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวขึ้นมาอีกนิด
    “Pfizer เขาเปิดกว้างจริง ๆ เลยนะลูก” ผมพูดด้วยความชื่นชม
    เอมยิ้มตอบ “ใช่ค่ะ ป๊า แล้วการให้โอกาสกับทุกคนก็ทำให้เราเจอคนที่หลากหลาย และทุกคนก็มีโอกาสเติบโตในทางของตัวเอง”
    วันนั้นเอม video call มาด้วยความภูมิใจที่ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่รอยยิ้มของ “คนอยากรวย” แต่เป็นรอยยิ้มของ “คนที่เริ่มเข้าใจว่า ความรวยจริง ๆ มันอยู่ตรงไหน”
    หนูน้อยผู้มากประสบการณ์ของปะป๊า
    (ตอนนี้ยังไม่รวย...แต่ท่าทางจะไปได้ไกลแน่นอน )
    2 ปีผ่านไป 📆⏳👣 “เอม อยากทำงานอะไรเหรอลูก?” ผมถามลูกสาวเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เอมไม่เคยตอบตรง ๆ สักครั้ง แต่จะยิ้มแล้วพูดคำเดิมทุกทีว่า “หนูอยากรวย!” โอเค... จุดหมายชัด แต่เส้นทางยังเบลอมาก ตอนไปเรียนอังกฤษใหม่ ๆ เอมเริ่มจากงานง่าย ๆ ช่วยป้าแจ๊คกี้ทำสวน เก็บใบไม้ ตัดกิ่ง ขุดดิน จนเล็บดำกลับบ้านทุกเย็น โทรมาบอกพ่อว่า “ป๊า หนูได้งานแล้วนะ!” ผมดีใจสุดขีด คิดว่าได้ทำงานในออฟฟิศหรู ๆ สุดท้าย... “งานขุดหลุมปลูกต้นไม้ค่ะป๊า!” จากนั้นก็รับจ๊อบเป็นติวเตอร์ สอน online กับรุ่นน้องๆ ที่เมืองไทย มีรายได้พออวดพ่อแม่ได้บ้างแถมยังภูมิใจสุด ๆ ตอนบอกว่า“หนูมีนักเรียนแล้วนะป๊า ทั้งหมด 4 คน! (รวมไอ้อิ๊งน้องสาวคนเดียวที่หนูหลอกมาฝึกฟรีด้วย) ไม่นานก็ได้เป็น Student Ambassador ของมหาวิทยาลัย คอยต้อนรับ ดูแลนักศึกษาใหม่ และช่วยงานในวัน Open House ตามที่มหาวิทยาลัยมอบหมาย ตอนนั้นผมเริ่มเห็นแล้วว่า “หนูอยากรวย” ของเอม ไม่ได้หมายถึงอยากได้เงิน แต่มันแปลว่า “หนูอยากเก่ง อยากลอง อยากโต” จนวันหนึ่ง เอมบอกว่าได้งานที่ Pfizer “อู้หู ยิ่งใหญ่เลยนะลูก!” ผมพูดด้วยความภูมิใจ เอมยักไหล่ “ก็แค่เด็กฝึกงานธรรมดาเองป๊า” แต่ความไม่ธรรมดาก็คือ...เอมกล้า “ให้คะแนนหัวหน้า” ในระบบ feedback ของบริษัท ผมถาม “ทำไมถึงทำอย่างน้้นละลูก เดี๋ยวหัวหน้าไม่ปลื้มเอานะ” เอมตอบอย่างมั่นใจ “ก็อยากให้เขาเห็นว่าเรากล้า feedback ไงป๊า เผื่อเขาจะให้คะแนนกลับมาบ้าง 555” คะแนนเอาไปแลกของได้ แต่เรื่องมันไม่จบสวย เพราะหัวหน้าไม่เคยให้คะแนนกลับเลยครับ เรียกว่าให้ไปข้างเดียว เหมือนรักข้างเดียวแต่เป็นแบบในที่ทำงาน จนสัปดาห์ที่แล้ว หัวหน้าคนนั้นส่งอีเมลมาบอกเอมว่า “เอม เราอยากให้เธอมาช่วยสัมภาษณ์และคัดเลือกพนักงานใหม่กับทีมเรา” เอมอึ้ง “หนูเหรอคะ?! หรือจะให้หนูเป็นตัวอย่างว่าคนแบบนี้ไม่ควรรับ?” แต่หัวหน้าหัวเราะแล้วตอบว่า “ใช่สิ ปีนี้เรารับสองตำแหน่งเท่าเดิม มีคนสมัคร 550 คน (ปีที่แล้วมีคนสมัครมากกว่านี้อีก หัวหน้าบอก) เราอยากให้เธอเห็นว่าการคัดคน มันไม่ใช่เลือกคนเก่งที่สุด แต่เลือกคนที่อยากทำงานจริง ๆ” เอมเล่าให้ฟังถึงการสมัครงานที่ Pfizer ว่า “การสมัครงานที่ Pfizer เขาไม่ได้มองแค่คนที่เก่งหรือมีผลการเรียนดีเท่านั้นนะป๊า” “จริงเหรอลูก?” ผมถามด้วยความสนใจ “ใช่ค่ะ เขาเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ผลการเรียนดีสุด ๆ ก็ได้” เอมพูดด้วยความมั่นใจ “วันนั้นอาจจะมีคนที่ผลการเรียนไม่ดี แต่เขาอาจจะเก่งก็ได้ หรืออาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ผลการเรียนไม่ดี ตอนที่เขาเลือกคนเข้ามาทำงาน เขาไม่ได้ตัดสินแค่ผลการเรียน แต่เลือกคนที่มีทัศนคติที่ดี และมีความอยากทำงานจริง ๆ” “ถ้าเราแค่เลือกคนที่ผลการเรียนดีสุด ๆ โดยไม่สนใจคนที่อาจจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้ผลการเรียนไม่ดี เราก็อาจจะพลาดคนที่มีศักยภาพมาก ๆ ที่เราอยากได้ก็ได้นะ” ผมฟังแล้วก็รู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวขึ้นมาอีกนิด “Pfizer เขาเปิดกว้างจริง ๆ เลยนะลูก” ผมพูดด้วยความชื่นชม เอมยิ้มตอบ “ใช่ค่ะ ป๊า แล้วการให้โอกาสกับทุกคนก็ทำให้เราเจอคนที่หลากหลาย และทุกคนก็มีโอกาสเติบโตในทางของตัวเอง” วันนั้นเอม video call มาด้วยความภูมิใจที่ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่รอยยิ้มของ “คนอยากรวย” แต่เป็นรอยยิ้มของ “คนที่เริ่มเข้าใจว่า ความรวยจริง ๆ มันอยู่ตรงไหน” หนูน้อยผู้มากประสบการณ์ของปะป๊า ❤️ (ตอนนี้ยังไม่รวย...แต่ท่าทางจะไปได้ไกลแน่นอน 😆)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ”

    ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน

    โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

    แนวคิดหลักของ Montessori
    การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก
    ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม
    รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom)
    ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ
    ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน

    งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ

    ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า

    ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน

    ผลการศึกษาระดับชาติ
    ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori
    ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ

    ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้
    เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม
    ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น

    ความคุ้มค่าทางงบประมาณ
    ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน
    โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน
    ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง

    ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม
    เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
    เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori

    ความหมายเชิงนโยบาย
    โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น
    เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย

    https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    📰 “งานวิจัยระดับชาติชี้ชัด – โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐช่วยพัฒนาเด็กเล็กได้ดีกว่า แถมประหยัดงบประมาณ” ในยุคที่การศึกษาปฐมวัยถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและผลลัพธ์ระยะยาว งานวิจัยระดับชาติที่เพิ่งเผยแพร่โดยทีมจาก University of Virginia, University of Pennsylvania และ American Institutes for Research ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการการศึกษา ด้วยการพิสูจน์ว่า “โปรแกรม Montessori ในโรงเรียนรัฐ” ไม่เพียงช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่เหนือกว่า แต่ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติอย่างชัดเจน โปรแกรม Montessori คือแนวทางการศึกษาที่เน้นให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านการลงมือทำ โดยมีครูเป็นผู้แนะนำมากกว่าการสอนแบบตรง ๆ ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดย Dr. Maria Montessori แพทย์และนักการศึกษาชาวอิตาลีในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 🧠 แนวคิดหลักของ Montessori 🎗️ การเรียนรู้ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของเด็ก 🎗️ ครูเป็น “ผู้นำทาง” ไม่ใช่ “ผู้สอน” ครูจะสังเกตพฤติกรรมและความสนใจของเด็ก แล้วจัดกิจกรรมให้เหมาะสม 🎗️ รวมห้องเรียนแบบหลายวัย (Mixed-age classroom) 🎗️ ใช้สื่อการเรียนรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กเข้าใจแนวคิดผ่านการสัมผัสและลงมือทำ 🎗️ ช่วงเวลาเรียนรู้ต่อเนื่อง (Uninterrupted Work Period) เด็กมีเวลา 2–3 ชั่วโมงในการทำกิจกรรมที่เลือกเองโดยไม่ถูกรบกวน งานวิจัยนี้เป็นการทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) ครั้งแรกในระดับประเทศ โดยติดตามเด็ก 588 คนจากโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ทั่วสหรัฐฯ พบว่าเด็กที่ได้เข้าเรียนในโปรแกรม Montessori มีผลการเรียนรู้ที่ดีกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม เมื่อเทียบกับเด็กที่เรียนในระบบปกติ ที่น่าทึ่งคือ โปรแกรม Montessori ใช้งบประมาณน้อยกว่าถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคนในช่วงอายุ 3–6 ปี โดยอาศัยโครงสร้างห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การเรียนรู้แบบหลายวัย (mixed-age) ที่เด็กช่วยสอนกันเอง และการใช้ครูอย่างคุ้มค่า ผลลัพธ์ยังชี้ว่า เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบนี้ ซึ่งสะท้อนถึงรากเหง้าของ Montessori ที่เริ่มต้นในชุมชนแออัดของกรุงโรมเมื่อกว่า 100 ปีก่อน ✅ ผลการศึกษาระดับชาติ ➡️ ติดตามเด็ก 588 คนในโรงเรียนรัฐที่ใช้ระบบ Montessori ➡️ ใช้การทดลองแบบสุ่ม (randomized controlled trial) เป็นครั้งแรกในระดับประเทศ ✅ ผลลัพธ์ด้านการเรียนรู้ ➡️ เด็ก Montessori มีคะแนนสูงกว่าในด้านการอ่าน ความจำ การควบคุมตนเอง และความเข้าใจทางสังคม ➡️ ผลลัพธ์ยังคงอยู่จนถึงปลายชั้นอนุบาล ไม่หายไปเหมือนโปรแกรมอื่น ✅ ความคุ้มค่าทางงบประมาณ ➡️ ใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบปกติถึง 13,000 ดอลลาร์ต่อคน ➡️ โครงสร้างห้องเรียนแบบหลายวัยช่วยให้เด็กเรียนรู้จากกันและกัน ➡️ ครูมีความพึงพอใจในงานสูงขึ้น และมีอัตราการลาออกต่ำลง ✅ ผลกระทบต่อเด็กทุกกลุ่ม ➡️ เด็กจากครอบครัวรายได้น้อยได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ➡️ เด็กทุกกลุ่มได้รับประโยชน์จากระบบ Montessori ✅ ความหมายเชิงนโยบาย ➡️ โปรแกรม Montessori ควรได้รับการสนับสนุนในโรงเรียนรัฐมากขึ้น ➡️ เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและประหยัดสำหรับการศึกษาปฐมวัย https://phys.org/news/2025-10-national-montessori-early-outcomes-sharply.html
    PHYS.ORG
    National study finds public Montessori programs strengthen early learning outcomes—at sharply lower costs
    The first national randomized trial of public Montessori preschool students showed stronger long-term outcomes by kindergarten, including elevated reading, memory, and executive function as compared to non-Montessori preschoolers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Canonical เปิดตัว ‘Ubuntu Academy’ – เส้นทางใหม่สู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ Linux อย่างเป็นทางการ”

    คุณเคยอยากได้ใบรับรองความสามารถด้าน Linux ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่สะท้อนถึงทักษะจริงที่ใช้ในงานหรือไม่? ตอนนี้ Canonical บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Ubuntu ได้เปิดตัว “Canonical Academy” แพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อให้คุณได้พิสูจน์ความสามารถผ่านการสอบที่เน้นการปฏิบัติจริง

    Canonical Academy ไม่ใช่แค่คอร์สเรียนออนไลน์ทั่วไป แต่เป็นระบบการรับรองที่ใช้การสอบแบบ modular และ self-paced ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเรียนและสอบในเวลาที่คุณสะดวก โดยไม่ต้องรอรอบหรือเข้าเรียนตามตาราง

    หลักสูตรแรกที่เปิดให้ใช้งานคือ “System Administrator Track” ซึ่งประกอบด้วย 3 การสอบหลัก และอีก 1 วิชาที่กำลังพัฒนา โดยทุกการสอบจะใช้สภาพแวดล้อมจำลองบนคลาวด์ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงในที่ทำงาน

    นอกจากนี้ Canonical ยังเปิดรับอาสาสมัครจากชุมชนให้เข้าร่วมเป็นผู้ทดสอบเบต้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อช่วยพัฒนาเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมจริง

    Canonical เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Canonical Academy”
    เป็นระบบรับรองความสามารถด้าน Linux และ Ubuntu
    เน้นการสอบแบบปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี

    ระบบการเรียนรู้แบบ Self-paced และ Modular
    เรียนและสอบได้ตามเวลาที่สะดวก
    สอบแต่ละวิชาแยกกันได้ พร้อมรับ badge สำหรับแต่ละหัวข้อ
    เมื่อสอบครบทุกวิชา จะได้รับใบรับรอง System Administrator

    รายละเอียดของหลักสูตร System Administrator Track
    Using Linux Terminal 2024 (เปิดให้สอบแล้ว)
    Using Ubuntu Desktop 2024 (อยู่ในช่วงเบต้า)
    Using Ubuntu Server 2024 (อยู่ในช่วงเบต้า)
    Managing Complex Systems 2024 (กำลังพัฒนา)
    ทุกวิชาพัฒนาบน Ubuntu 24.04 LTS

    การอัปเดตในอนาคต
    เตรียมอัปเดตเนื้อหาสำหรับ Ubuntu 26.04 LTS ในเดือนกันยายน 2026

    การมีส่วนร่วมของชุมชน
    เปิดรับผู้ทดสอบเบต้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (SME)
    ช่วยออกแบบข้อสอบและตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหา

    คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจสอบรับรอง
    การสอบมีการจับเวลา แม้จะเรียนแบบ self-paced
    ต้องมีความเข้าใจจริงในสถานการณ์การทำงาน ไม่ใช่แค่จำทฤษฎี
    การสอบใช้สภาพแวดล้อมจำลองบนคลาวด์ อาจต้องใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพพอสมควร

    https://news.itsfoss.com/canonical-academy/
    📰 “Canonical เปิดตัว ‘Ubuntu Academy’ – เส้นทางใหม่สู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ Linux อย่างเป็นทางการ” คุณเคยอยากได้ใบรับรองความสามารถด้าน Linux ที่ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่สะท้อนถึงทักษะจริงที่ใช้ในงานหรือไม่? ตอนนี้ Canonical บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Ubuntu ได้เปิดตัว “Canonical Academy” แพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อให้คุณได้พิสูจน์ความสามารถผ่านการสอบที่เน้นการปฏิบัติจริง Canonical Academy ไม่ใช่แค่คอร์สเรียนออนไลน์ทั่วไป แต่เป็นระบบการรับรองที่ใช้การสอบแบบ modular และ self-paced ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเรียนและสอบในเวลาที่คุณสะดวก โดยไม่ต้องรอรอบหรือเข้าเรียนตามตาราง หลักสูตรแรกที่เปิดให้ใช้งานคือ “System Administrator Track” ซึ่งประกอบด้วย 3 การสอบหลัก และอีก 1 วิชาที่กำลังพัฒนา โดยทุกการสอบจะใช้สภาพแวดล้อมจำลองบนคลาวด์ที่ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงในที่ทำงาน นอกจากนี้ Canonical ยังเปิดรับอาสาสมัครจากชุมชนให้เข้าร่วมเป็นผู้ทดสอบเบต้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อช่วยพัฒนาเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมจริง ✅ Canonical เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Canonical Academy” ➡️ เป็นระบบรับรองความสามารถด้าน Linux และ Ubuntu ➡️ เน้นการสอบแบบปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ✅ ระบบการเรียนรู้แบบ Self-paced และ Modular ➡️ เรียนและสอบได้ตามเวลาที่สะดวก ➡️ สอบแต่ละวิชาแยกกันได้ พร้อมรับ badge สำหรับแต่ละหัวข้อ ➡️ เมื่อสอบครบทุกวิชา จะได้รับใบรับรอง System Administrator ✅ รายละเอียดของหลักสูตร System Administrator Track ➡️ Using Linux Terminal 2024 (เปิดให้สอบแล้ว) ➡️ Using Ubuntu Desktop 2024 (อยู่ในช่วงเบต้า) ➡️ Using Ubuntu Server 2024 (อยู่ในช่วงเบต้า) ➡️ Managing Complex Systems 2024 (กำลังพัฒนา) ➡️ ทุกวิชาพัฒนาบน Ubuntu 24.04 LTS ✅ การอัปเดตในอนาคต ➡️ เตรียมอัปเดตเนื้อหาสำหรับ Ubuntu 26.04 LTS ในเดือนกันยายน 2026 ✅ การมีส่วนร่วมของชุมชน ➡️ เปิดรับผู้ทดสอบเบต้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (SME) ➡️ ช่วยออกแบบข้อสอบและตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหา ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่สนใจสอบรับรอง ⛔ การสอบมีการจับเวลา แม้จะเรียนแบบ self-paced ⛔ ต้องมีความเข้าใจจริงในสถานการณ์การทำงาน ไม่ใช่แค่จำทฤษฎี ⛔ การสอบใช้สภาพแวดล้อมจำลองบนคลาวด์ อาจต้องใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพพอสมควร https://news.itsfoss.com/canonical-academy/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Finally, You Can Now be Ubuntu Certified Linux User
    New platform offers self-paced, modular exams designed by Ubuntu's engineering team.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • นฤมล แจงงดจัดแค่ "งานสังสรรค์ไม่เป็นทางการ" ไม่กระทบกิจกรรมการเรียนการสอนของเด็กนักเรียน
    https://www.thai-tai.tv/news/22057/
    .
    #ไทยไท #นฤมลภิญโญสินวัฒน์ #กระทรวงศึกษาธิการ #งดกิจกรรมรื่นเริง #กีฬาสี #จตุรมิตร

    นฤมล แจงงดจัดแค่ "งานสังสรรค์ไม่เป็นทางการ" ไม่กระทบกิจกรรมการเรียนการสอนของเด็กนักเรียน https://www.thai-tai.tv/news/22057/ . #ไทยไท #นฤมลภิญโญสินวัฒน์ #กระทรวงศึกษาธิการ #งดกิจกรรมรื่นเริง #กีฬาสี #จตุรมิตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • การได้เรียนรู้ Ai เป็นความยากลำบากของ gen y เนื่องจากโลกที่เปลี่ยนแปลงไปไวมากเราเริ่มใช้AI เข้ามามีส่วนในการเรียนและธุรกิจแล้วก็เป็นอีกหนึ่งคนที่พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับ AI ขอบคุณมหาวิทยาลัยรังสิต
    การได้เรียนรู้ Ai เป็นความยากลำบากของ gen y เนื่องจากโลกที่เปลี่ยนแปลงไปไวมากเราเริ่มใช้AI เข้ามามีส่วนในการเรียนและธุรกิจแล้วก็เป็นอีกหนึ่งคนที่พยายามเรียนรู้เกี่ยวกับ AI ขอบคุณมหาวิทยาลัยรังสิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตคือการเรียนรู้
    Cr.Wiwan Boonya
    ชีวิตคือการเรียนรู้ Cr.Wiwan Boonya
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์

    Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ

    A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7

    จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า

    Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026
    เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk

    หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10
    ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity

    ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB
    รองรับงานทั่วไปได้ดี

    มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card
    รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ

    รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง
    เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม
    ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ

    https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    💽 “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์ Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7 จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า ✅ Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026 ➡️ เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk ✅ หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ➡️ ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity ✅ ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB ➡️ รองรับงานทั่วไปได้ดี ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card ➡️ รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ ✅ รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ✅ คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก ✅ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ➡️ ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fujitsu just launched a 16-inch laptop that sports an optical drive
    Optical drive usage may be dropping, yet Fujitsu refuses to let them die
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Neural Engine คืออะไร? ต่างจาก GPU อย่างไร?” — เมื่อชิป AI กลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์ยุคใหม่ และ NPU คือผู้เล่นตัวจริง

    บทความจาก SlashGear อธิบายว่า Neural Engine หรือ NPU (Neural Processing Unit) คือชิปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI และ machine learning โดยเฉพาะ ต่างจาก CPU ที่เน้นงานเชิงตรรกะ และ GPU ที่เน้นงานกราฟิกและการคำนวณแบบขนาน

    Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ Neural Engine มาใช้ใน iPhone X ปี 2017 เพื่อช่วยงาน Face ID และการเรียนรู้ของ Siri ปัจจุบัน NPU ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และแม้แต่ IoT

    NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบมาเพื่อการคำนวณซ้ำ ๆ เช่น matrix multiplication ซึ่งเป็นหัวใจของ neural networks นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัว (on-chip memory) เพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ

    GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในระดับ data center เช่นที่ OpenAI ใช้ GPU จาก NVIDIA และ AMD แต่ GPU ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง จึงใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง

    ในอุปกรณ์พกพา เช่น iPhone 16 หรือ Pixel 10 NPU ถูกใช้เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local เช่น live translation, image generation และ call transcribing โดยไม่ต้องพึ่ง cloud

    Neural Engine หรือ NPU คือชิปเฉพาะทางสำหรับงาน AI
    เช่น Face ID, Siri, live translation, image generation

    NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบเพื่อ matrix multiplication
    เหมาะกับงาน neural networks และ machine learning

    มีหน่วยความจำในตัวเพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ
    ทำให้เร็วและประหยัดพลังงานกว่า GPU

    GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้
    โดยเฉพาะในระดับ data center เช่น OpenAI ใช้ GPU cluster

    GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง
    ใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง

    อุปกรณ์พกพาใช้ NPU เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local
    ไม่ต้องพึ่ง cloud เช่น iPhone 16 และ Pixel 10

    https://www.slashgear.com/1997513/what-is-a-neural-engine-how-npu-different-than-gpu/
    🧠 “Neural Engine คืออะไร? ต่างจาก GPU อย่างไร?” — เมื่อชิป AI กลายเป็นหัวใจของอุปกรณ์ยุคใหม่ และ NPU คือผู้เล่นตัวจริง บทความจาก SlashGear อธิบายว่า Neural Engine หรือ NPU (Neural Processing Unit) คือชิปเฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI และ machine learning โดยเฉพาะ ต่างจาก CPU ที่เน้นงานเชิงตรรกะ และ GPU ที่เน้นงานกราฟิกและการคำนวณแบบขนาน Apple เป็นหนึ่งในบริษัทแรกที่นำ Neural Engine มาใช้ใน iPhone X ปี 2017 เพื่อช่วยงาน Face ID และการเรียนรู้ของ Siri ปัจจุบัน NPU ถูกฝังอยู่ในอุปกรณ์หลากหลาย เช่น สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์ และแม้แต่ IoT NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบมาเพื่อการคำนวณซ้ำ ๆ เช่น matrix multiplication ซึ่งเป็นหัวใจของ neural networks นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำในตัว (on-chip memory) เพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้เช่นกัน โดยเฉพาะในระดับ data center เช่นที่ OpenAI ใช้ GPU จาก NVIDIA และ AMD แต่ GPU ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง จึงใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง ในอุปกรณ์พกพา เช่น iPhone 16 หรือ Pixel 10 NPU ถูกใช้เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local เช่น live translation, image generation และ call transcribing โดยไม่ต้องพึ่ง cloud ✅ Neural Engine หรือ NPU คือชิปเฉพาะทางสำหรับงาน AI ➡️ เช่น Face ID, Siri, live translation, image generation ✅ NPU มีจำนวนคอร์มากกว่า CPU และออกแบบเพื่อ matrix multiplication ➡️ เหมาะกับงาน neural networks และ machine learning ✅ มีหน่วยความจำในตัวเพื่อลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ทำให้เร็วและประหยัดพลังงานกว่า GPU ✅ GPU ก็สามารถใช้ประมวลผล AI ได้ ➡️ โดยเฉพาะในระดับ data center เช่น OpenAI ใช้ GPU cluster ✅ GPU ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ AI โดยตรง ➡️ ใช้พลังงานมากกว่าและมีประสิทธิภาพต่ำกว่า NPU ในงานเฉพาะทาง ✅ อุปกรณ์พกพาใช้ NPU เพื่อรันฟีเจอร์ AI แบบ local ➡️ ไม่ต้องพึ่ง cloud เช่น iPhone 16 และ Pixel 10 https://www.slashgear.com/1997513/what-is-a-neural-engine-how-npu-different-than-gpu/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is A Neural Engine & How Do NPUs Differ From GPUs? - SlashGear
    When it comes to tech, most don't think too much about how things like NPUs and GPUs work. But the differences between them is more important than you think.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เครือข่ายนาโนท่อในสมอง: ช่องทางสื่อสารใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท?” — เมื่อสมองอาจมีระบบส่งข้อมูลที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ

    บทความจากวารสาร Science ฉบับล่าสุดนำเสนอการค้นพบที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทในสมองมนุษย์ โดยนักวิจัยพบโครงสร้างคล้าย “นาโนท่อ” ที่เชื่อมโยงระหว่างเดนไดรต์ของเซลล์ประสาท ซึ่งอาจเป็นช่องทางใหม่ในการส่งข้อมูลแบบตรงระหว่างเซลล์

    โครงสร้างเหล่านี้มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร และสามารถเชื่อมโยงเซลล์ประสาทที่อยู่ห่างกันได้โดยไม่ผ่านไซแนปส์แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่เรารู้จักในการส่งสัญญาณไฟฟ้าและเคมีในสมอง

    การค้นพบนี้เกิดจากการใช้เทคนิคภาพถ่ายระดับนาโนและการติดตามการเคลื่อนไหวของโมเลกุลภายในเซลล์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเลกุลบางชนิดสามารถเคลื่อนที่ผ่านท่อเหล่านี้ได้จริง

    หากโครงสร้างนี้มีบทบาทในการสื่อสารจริง อาจหมายความว่าสมองมีระบบ “เครือข่ายภายใน” ที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ และอาจเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลระดับสูง เช่น ความจำ, การเรียนรู้ หรือแม้แต่สติ

    พบโครงสร้างคล้ายนาโนท่อเชื่อมระหว่างเดนไดรต์ของเซลล์ประสาท
    อาจเป็นช่องทางใหม่ในการส่งข้อมูลแบบตรง

    โครงสร้างมีขนาดระดับนาโนเมตรและเชื่อมเซลล์ที่อยู่ห่างกัน
    ไม่ผ่านไซแนปส์แบบดั้งเดิม

    การทดลองใช้เทคนิคภาพถ่ายระดับนาโนและติดตามโมเลกุล
    พบว่าโมเลกุลสามารถเคลื่อนผ่านท่อได้จริง

    อาจมีบทบาทในการประมวลผลข้อมูลระดับสูงในสมอง
    เช่น ความจำ, การเรียนรู้, หรือสติ

    https://www.science.org/doi/10.1126/science.adr7403
    🧠 “เครือข่ายนาโนท่อในสมอง: ช่องทางสื่อสารใหม่ระหว่างเซลล์ประสาท?” — เมื่อสมองอาจมีระบบส่งข้อมูลที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ บทความจากวารสาร Science ฉบับล่าสุดนำเสนอการค้นพบที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทในสมองมนุษย์ โดยนักวิจัยพบโครงสร้างคล้าย “นาโนท่อ” ที่เชื่อมโยงระหว่างเดนไดรต์ของเซลล์ประสาท ซึ่งอาจเป็นช่องทางใหม่ในการส่งข้อมูลแบบตรงระหว่างเซลล์ โครงสร้างเหล่านี้มีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร และสามารถเชื่อมโยงเซลล์ประสาทที่อยู่ห่างกันได้โดยไม่ผ่านไซแนปส์แบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่เรารู้จักในการส่งสัญญาณไฟฟ้าและเคมีในสมอง การค้นพบนี้เกิดจากการใช้เทคนิคภาพถ่ายระดับนาโนและการติดตามการเคลื่อนไหวของโมเลกุลภายในเซลล์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโมเลกุลบางชนิดสามารถเคลื่อนที่ผ่านท่อเหล่านี้ได้จริง หากโครงสร้างนี้มีบทบาทในการสื่อสารจริง อาจหมายความว่าสมองมีระบบ “เครือข่ายภายใน” ที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเข้าใจ และอาจเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลระดับสูง เช่น ความจำ, การเรียนรู้ หรือแม้แต่สติ ✅ พบโครงสร้างคล้ายนาโนท่อเชื่อมระหว่างเดนไดรต์ของเซลล์ประสาท ➡️ อาจเป็นช่องทางใหม่ในการส่งข้อมูลแบบตรง ✅ โครงสร้างมีขนาดระดับนาโนเมตรและเชื่อมเซลล์ที่อยู่ห่างกัน ➡️ ไม่ผ่านไซแนปส์แบบดั้งเดิม ✅ การทดลองใช้เทคนิคภาพถ่ายระดับนาโนและติดตามโมเลกุล ➡️ พบว่าโมเลกุลสามารถเคลื่อนผ่านท่อได้จริง ✅ อาจมีบทบาทในการประมวลผลข้อมูลระดับสูงในสมอง ➡️ เช่น ความจำ, การเรียนรู้, หรือสติ https://www.science.org/doi/10.1126/science.adr7403
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • “DeepMind จับมือ CFS ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC” — เมื่อ AI ไม่ได้แค่เล่นหมากรุก แต่ช่วยเร่งอนาคตพลังงานสะอาดให้ใกล้ขึ้น

    Google DeepMind ประกาศความร่วมมือกับบริษัทฟิวชันพลังงานจากสหรัฐฯ อย่าง Commonwealth Fusion Systems (CFS) เพื่อใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานสะอาดแบบ “เกินดุล” (net energy gain) ให้ได้ภายในปี 2027

    CFS เพิ่งระดมทุนได้ถึง 863 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น NVIDIA, Google, Breakthrough Energy Ventures (ของ Bill Gates), Morgan Stanley, และบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Mitsui & Co. และ Mitsubishi Corporation สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระดับโลกในพลังงานฟิวชัน

    DeepMind จะนำเทคโนโลยี AI ที่เคยใช้ควบคุมพลาสมาใน tokamak (เตาปฏิกรณ์ฟิวชันแบบแม่เหล็ก) มาพัฒนา 3 ระบบหลักให้กับ SPARC ได้แก่:

    1️⃣ TORAX — ซอฟต์แวร์จำลองพลาสมาแบบ open-source ที่สามารถรันการทดลองจำลองนับล้านครั้งเพื่อปรับแต่งพารามิเตอร์ของเตาปฏิกรณ์

    2️⃣ AlphaEvolve — ระบบ AI ที่ใช้ reinforcement learning เพื่อค้นหาวิธีการควบคุมพลาสมาให้ได้พลังงานสูงสุด

    3️⃣ AI Navigator — ระบบควบคุมพลาสมาแบบเรียลไทม์ ที่สามารถปรับสมดุลความร้อนและแรงดันในเตาได้อย่างแม่นยำ

    เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบควบคุมอัตโนมัติที่ “ฉลาดกว่าวิศวกรมนุษย์” ในการจัดการเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งจะเป็นรากฐานของโรงไฟฟ้าฟิวชันในอนาคต

    DeepMind ร่วมมือกับ CFS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเตาฟิวชัน SPARC
    ใช้ AI ควบคุมพลาสมาและจำลองการทำงานของเตา

    CFS ได้รับเงินลงทุน 863 ล้านดอลลาร์จากบริษัทชั้นนำ
    เช่น Google, NVIDIA, Breakthrough Energy, Morgan Stanley ฯลฯ

    เป้าหมายคือการผลิตพลังงานฟิวชันแบบ net energy gain ภายในปี 2027
    หมายถึงผลิตพลังงานได้มากกว่าที่ใช้ในการจุดพลาสมา

    DeepMind พัฒนา 3 ระบบ AI ได้แก่ TORAX, AlphaEvolve และ AI Navigator
    ครอบคลุมทั้งการจำลอง, การเรียนรู้, และการควบคุมแบบเรียลไทม์

    ระบบ AI จะช่วยควบคุมความร้อนและแรงดันในเตา
    ป้องกันความเสียหายและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน

    https://securityonline.info/google-deepmind-partners-with-cfs-to-use-ai-for-optimizing-sparc-fusion-reactor-efficiency/
    ⚛️ “DeepMind จับมือ CFS ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC” — เมื่อ AI ไม่ได้แค่เล่นหมากรุก แต่ช่วยเร่งอนาคตพลังงานสะอาดให้ใกล้ขึ้น Google DeepMind ประกาศความร่วมมือกับบริษัทฟิวชันพลังงานจากสหรัฐฯ อย่าง Commonwealth Fusion Systems (CFS) เพื่อใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน SPARC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่มีเป้าหมายเพื่อผลิตพลังงานสะอาดแบบ “เกินดุล” (net energy gain) ให้ได้ภายในปี 2027 CFS เพิ่งระดมทุนได้ถึง 863 ล้านดอลลาร์จากนักลงทุนรายใหญ่ เช่น NVIDIA, Google, Breakthrough Energy Ventures (ของ Bill Gates), Morgan Stanley, และบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Mitsui & Co. และ Mitsubishi Corporation สะท้อนถึงความเชื่อมั่นระดับโลกในพลังงานฟิวชัน DeepMind จะนำเทคโนโลยี AI ที่เคยใช้ควบคุมพลาสมาใน tokamak (เตาปฏิกรณ์ฟิวชันแบบแม่เหล็ก) มาพัฒนา 3 ระบบหลักให้กับ SPARC ได้แก่: 1️⃣ TORAX — ซอฟต์แวร์จำลองพลาสมาแบบ open-source ที่สามารถรันการทดลองจำลองนับล้านครั้งเพื่อปรับแต่งพารามิเตอร์ของเตาปฏิกรณ์ 2️⃣ AlphaEvolve — ระบบ AI ที่ใช้ reinforcement learning เพื่อค้นหาวิธีการควบคุมพลาสมาให้ได้พลังงานสูงสุด 3️⃣ AI Navigator — ระบบควบคุมพลาสมาแบบเรียลไทม์ ที่สามารถปรับสมดุลความร้อนและแรงดันในเตาได้อย่างแม่นยำ เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบควบคุมอัตโนมัติที่ “ฉลาดกว่าวิศวกรมนุษย์” ในการจัดการเตาปฏิกรณ์ฟิวชัน ซึ่งจะเป็นรากฐานของโรงไฟฟ้าฟิวชันในอนาคต ✅ DeepMind ร่วมมือกับ CFS เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเตาฟิวชัน SPARC ➡️ ใช้ AI ควบคุมพลาสมาและจำลองการทำงานของเตา ✅ CFS ได้รับเงินลงทุน 863 ล้านดอลลาร์จากบริษัทชั้นนำ ➡️ เช่น Google, NVIDIA, Breakthrough Energy, Morgan Stanley ฯลฯ ✅ เป้าหมายคือการผลิตพลังงานฟิวชันแบบ net energy gain ภายในปี 2027 ➡️ หมายถึงผลิตพลังงานได้มากกว่าที่ใช้ในการจุดพลาสมา ✅ DeepMind พัฒนา 3 ระบบ AI ได้แก่ TORAX, AlphaEvolve และ AI Navigator ➡️ ครอบคลุมทั้งการจำลอง, การเรียนรู้, และการควบคุมแบบเรียลไทม์ ✅ ระบบ AI จะช่วยควบคุมความร้อนและแรงดันในเตา ➡️ ป้องกันความเสียหายและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน https://securityonline.info/google-deepmind-partners-with-cfs-to-use-ai-for-optimizing-sparc-fusion-reactor-efficiency/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google DeepMind Partners with CFS to Use AI for Optimizing SPARC Fusion Reactor Efficiency
    DeepMind is partnering with CFS to optimize its SPARC fusion reactor for net energy gain (Q>1) by 2027. The AI uses TORAX simulations and AlphaEvolve agents to control extreme plasma heat.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง”

    Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์

    เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง

    อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า

    ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก

    Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้

    ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง
    ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง

    แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง
    แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง

    ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง
    ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง

    เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด
    ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น

    โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้
    เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970

    จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน
    เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    🔊 “ครูเคมีใช้เลเซอร์และแผงโซลาร์ส่งเสียงไร้สาย — โปรเจกต์บ้าน ๆ ที่เข้าใจฟิสิกส์ลึกซึ้ง” Phil ครูสอนเคมีระดับมัธยมและยูทูบเบอร์สายวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่าแผงโซลาร์เซลล์เล็ก ๆ ที่เขาเชื่อมต่อกับลำโพงจะส่งเสียงออกมาเบา ๆ เมื่อโดนแสง เขาจึงเกิดไอเดียสร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง โดยใช้เพียง iPad, ลำโพงราคาถูก, แผงโซลาร์ และเลเซอร์ เขาเริ่มจากการต่อ iPad เข้ากับแอมป์ขนาดเล็ก แล้วเชื่อมต่อกับหลอด LED ที่จะกระพริบตามสัญญาณเสียง เมื่อเปิดเพลงจาก iPad แสงจาก LED จะกระพริบตามจังหวะเพลง ซึ่งแผงโซลาร์สามารถ “รับรู้” การเปลี่ยนแปลงของแสงนี้และแปลงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งต่อไปยังลำโพงให้เกิดเสียง อย่างไรก็ตาม ระยะส่งสัญญาณของ LED มีจำกัด เพราะความเข้มของแสงลดลงตามกฎกำลังสองผกผัน (inverse square law) เมื่ออยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดแสง เขาจึงเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ไดโอดราคาถูกแทน ซึ่งสามารถส่งแสงได้ไกลและเข้มกว่า ผลลัพธ์คือเสียงเพลงจาก iPad ถูกส่งผ่านลำแสงเลเซอร์ไปยังแผงโซลาร์ที่อยู่อีกฟากของห้อง และเล่นออกลำโพงได้อย่างชัดเจน แม้คุณภาพเสียงจะไม่ถึงระดับ Hi-Fi แต่ก็ฟังรู้เรื่องและน่าทึ่งมาก Phil ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ — กองทัพใช้เลเซอร์สื่อสารมาตั้งแต่ยุค 1970 แล้ว — แต่การนำมาทำเป็นโปรเจกต์ DIY แบบนี้ช่วยให้คนทั่วไป โดยเฉพาะนักเรียน ได้เข้าใจฟิสิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อย่างสนุกและจับต้องได้ ✅ ครูเคมีชื่อ Phil สร้างระบบส่งเสียงไร้สายผ่านแสง ➡️ ใช้ iPad, แอมป์, LED/เลเซอร์, แผงโซลาร์ และลำโพง ✅ แสงจาก LED หรือเลเซอร์กระพริบตามสัญญาณเสียง ➡️ แผงโซลาร์รับแสงและแปลงกลับเป็นเสียงผ่านลำโพง ✅ ใช้กฎ inverse square law อธิบายการลดลงของความเข้มแสง ➡️ ระยะทางส่งสัญญาณมีผลต่อคุณภาพเสียง ✅ เปลี่ยนจาก LED เป็นเลเซอร์เพื่อเพิ่มระยะและความชัด ➡️ ส่งเสียงได้ไกลขึ้นและชัดเจนขึ้น ✅ โปรเจกต์นี้เป็นการสาธิตเทคโนโลยีที่กองทัพเคยใช้ ➡️ เช่น การสื่อสารด้วยเลเซอร์ในยุค 1970 ✅ จุดประสงค์คือการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียน ➡️ เข้าใจฟิสิกส์, อิเล็กทรอนิกส์ และการทดลอง https://www.tomshardware.com/maker-stem/teacher-uses-cheap-laser-and-solar-panel-to-transmit-wireless-sound-ipad-powers-home-project-that-was-inspired-by-solar-panel-making-noise-when-attached-to-speaker
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Live Stream จากทะเลทรายนามิบ — หน้าต่างสู่ธรรมชาติที่คุณเปิดได้ทุกเช้า” — เมื่อกล้องตัวเดียวเปลี่ยนมุมมองของวันใหม่ให้เต็มไปด้วยชีวิต

    บล็อกเกอร์จาก Book of Joe แชร์ประสบการณ์ที่เขา “ตกหลุมรัก” กล้องถ่ายทอดสดจากแอ่งน้ำกลางทะเลทรายนามิบในนามิเบีย ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรยามเช้าของเขาทุกวัน

    กล้องตัวนี้ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่สัตว์ป่าหลายชนิดมาใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นม้าลาย, นกกระจอกเทศ (ที่มักรอเป็นครอบครัวอยู่ห่าง ๆ อย่างระวัง), ออริกซ์, หมูป่า, วิลเดอบีสต์, หมาจิ้งจอกหูค้างคาว, ไฮยีนา, กระต่าย, ฮาร์ทบีสต์แดง, ยีราฟ, สปริงบ็อก และแม้แต่ช้าง

    เขาเล่าว่าเวลาที่เขาเปิดกล้อง (ซึ่งมักเป็นช่วงเช้าของเขาในสหรัฐฯ) ตรงกับช่วงบ่ายที่ร้อนจัดในนามิเบีย ทำให้มีสัตว์จำนวนมากมา “เติมน้ำ” กันอย่างคึกคัก

    กล้องถ่ายทอดสดตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำในทะเลทรายนามิบ ประเทศนามิเบีย
    เป็นจุดที่สัตว์ป่าหลายชนิดมาใช้ชีวิตตามธรรมชาติ

    สัตว์ที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ ม้าลาย, นกกระจอกเทศ, ออริกซ์, หมูป่า, ยีราฟ, ช้าง ฯลฯ
    สัตว์บางชนิดมีพฤติกรรมระวังภัย เช่น นกกระจอกเทศที่รอเป็นกลุ่ม

    เวลาที่กล้องแสดงภาพตรงกับช่วงร้อนจัดในนามิเบีย
    ทำให้มีสัตว์มาใช้แหล่งน้ำมากเป็นพิเศษ

    ผู้เขียนใช้กล้องนี้เป็นกิจวัตรยามเช้า
    เป็น “จุดเริ่มต้นวันใหม่” ที่เต็มไปด้วยชีวิต

    แนะนำให้ใช้กล้องนี้ในห้องเรียนเพื่อการศึกษา
    เป็นสื่อการเรียนรู้ธรรมชาติแบบ real-time

    https://bookofjoe2.blogspot.com/2025/10/live-stream-from-namib-desert.html
    📺 “Live Stream จากทะเลทรายนามิบ — หน้าต่างสู่ธรรมชาติที่คุณเปิดได้ทุกเช้า” — เมื่อกล้องตัวเดียวเปลี่ยนมุมมองของวันใหม่ให้เต็มไปด้วยชีวิต บล็อกเกอร์จาก Book of Joe แชร์ประสบการณ์ที่เขา “ตกหลุมรัก” กล้องถ่ายทอดสดจากแอ่งน้ำกลางทะเลทรายนามิบในนามิเบีย ซึ่งกลายเป็นกิจวัตรยามเช้าของเขาทุกวัน กล้องตัวนี้ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำที่สัตว์ป่าหลายชนิดมาใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นม้าลาย, นกกระจอกเทศ (ที่มักรอเป็นครอบครัวอยู่ห่าง ๆ อย่างระวัง), ออริกซ์, หมูป่า, วิลเดอบีสต์, หมาจิ้งจอกหูค้างคาว, ไฮยีนา, กระต่าย, ฮาร์ทบีสต์แดง, ยีราฟ, สปริงบ็อก และแม้แต่ช้าง เขาเล่าว่าเวลาที่เขาเปิดกล้อง (ซึ่งมักเป็นช่วงเช้าของเขาในสหรัฐฯ) ตรงกับช่วงบ่ายที่ร้อนจัดในนามิเบีย ทำให้มีสัตว์จำนวนมากมา “เติมน้ำ” กันอย่างคึกคัก ✅ กล้องถ่ายทอดสดตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำในทะเลทรายนามิบ ประเทศนามิเบีย ➡️ เป็นจุดที่สัตว์ป่าหลายชนิดมาใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ✅ สัตว์ที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ ม้าลาย, นกกระจอกเทศ, ออริกซ์, หมูป่า, ยีราฟ, ช้าง ฯลฯ ➡️ สัตว์บางชนิดมีพฤติกรรมระวังภัย เช่น นกกระจอกเทศที่รอเป็นกลุ่ม ✅ เวลาที่กล้องแสดงภาพตรงกับช่วงร้อนจัดในนามิเบีย ➡️ ทำให้มีสัตว์มาใช้แหล่งน้ำมากเป็นพิเศษ ✅ ผู้เขียนใช้กล้องนี้เป็นกิจวัตรยามเช้า ➡️ เป็น “จุดเริ่มต้นวันใหม่” ที่เต็มไปด้วยชีวิต ✅ แนะนำให้ใช้กล้องนี้ในห้องเรียนเพื่อการศึกษา ➡️ เป็นสื่อการเรียนรู้ธรรมชาติแบบ real-time https://bookofjoe2.blogspot.com/2025/10/live-stream-from-namib-desert.html
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Andrej Karpathy: AGI ยังห่างอีกทศวรรษ” — เมื่ออดีตหัวหน้าทีม AI ของ Tesla มองอนาคตของปัญญาประดิษฐ์แบบไม่มโน

    ในบทสัมภาษณ์กับ Dwarkesh Patel นักวิจัยและวิศวกร AI ชื่อดัง Andrej Karpathy ได้อธิบายอย่างลึกซึ้งว่าทำไมเขาจึงเชื่อว่า AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ระดับมนุษย์จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน และเหตุใดเขาจึงเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์” อย่างที่หลายคนคาดหวัง

    Karpathy มองว่าแม้ LLM อย่าง Claude หรือ Codex จะน่าประทับใจ แต่ยังขาดความสามารถสำคัญ เช่น ความเข้าใจหลายรูปแบบ (multimodality), การเรียนรู้ต่อเนื่อง (continual learning), การใช้คอมพิวเตอร์, และความสามารถในการจดจำหรือวางแผนระยะยาว เขาเปรียบเทียบว่า LLM วันนี้ยังไม่สามารถทำหน้าที่เหมือน “อินเทอร์น” ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้จริง

    เขายังวิจารณ์แนวทาง reinforcement learning (RL) ว่า “แย่ แต่ทางเลือกอื่นแย่ยิ่งกว่า” และยกตัวอย่างว่าการพัฒนา AGI ผ่านเกม (เช่น Atari หรือ Universe project ของ OpenAI) เป็น “ทางเบี่ยง” ที่ไม่ตอบโจทย์ เพราะโลกจริงซับซ้อนกว่าเกมมาก

    Karpathy เสนอแนวคิดว่าเราควรสร้าง “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากเอกสารบนอินเทอร์เน็ต แทนที่จะพยายามเลียนแบบสัตว์หรือสมองมนุษย์โดยตรง เพราะวิวัฒนาการและสมองมีความซับซ้อนที่เราไม่สามารถจำลองได้ง่าย ๆ

    Karpathy เชื่อว่า AGI ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี
    เพราะยังมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจ, ความจำ, และการเรียนรู้

    เขาเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์”
    เพราะการพัฒนาเอเจนต์ที่ใช้งานได้จริงยังต้องใช้เวลา

    LLM ปัจจุบันยังไม่สามารถทำงานเหมือนอินเทอร์นได้
    ขาดความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์, เรียนรู้ต่อเนื่อง, และจดจำ

    เขาวิพากษ์ reinforcement learning ว่าไม่เหมาะกับการสร้าง AGI
    โดยเฉพาะแนวทางที่เน้นการเล่นเกม

    เสนอแนวคิด “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต
    เป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากกว่าการเลียนแบบสมองสัตว์

    เปรียบเทียบ pre-training กับ “วิวัฒนาการแบบหยาบ ๆ”
    เป็นวิธีที่เราสามารถใช้ได้จริงในปัจจุบัน

    https://www.dwarkesh.com/p/andrej-karpathy
    🧠 “Andrej Karpathy: AGI ยังห่างอีกทศวรรษ” — เมื่ออดีตหัวหน้าทีม AI ของ Tesla มองอนาคตของปัญญาประดิษฐ์แบบไม่มโน ในบทสัมภาษณ์กับ Dwarkesh Patel นักวิจัยและวิศวกร AI ชื่อดัง Andrej Karpathy ได้อธิบายอย่างลึกซึ้งว่าทำไมเขาจึงเชื่อว่า AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ระดับมนุษย์จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน และเหตุใดเขาจึงเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์” อย่างที่หลายคนคาดหวัง Karpathy มองว่าแม้ LLM อย่าง Claude หรือ Codex จะน่าประทับใจ แต่ยังขาดความสามารถสำคัญ เช่น ความเข้าใจหลายรูปแบบ (multimodality), การเรียนรู้ต่อเนื่อง (continual learning), การใช้คอมพิวเตอร์, และความสามารถในการจดจำหรือวางแผนระยะยาว เขาเปรียบเทียบว่า LLM วันนี้ยังไม่สามารถทำหน้าที่เหมือน “อินเทอร์น” ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้จริง เขายังวิจารณ์แนวทาง reinforcement learning (RL) ว่า “แย่ แต่ทางเลือกอื่นแย่ยิ่งกว่า” และยกตัวอย่างว่าการพัฒนา AGI ผ่านเกม (เช่น Atari หรือ Universe project ของ OpenAI) เป็น “ทางเบี่ยง” ที่ไม่ตอบโจทย์ เพราะโลกจริงซับซ้อนกว่าเกมมาก Karpathy เสนอแนวคิดว่าเราควรสร้าง “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากเอกสารบนอินเทอร์เน็ต แทนที่จะพยายามเลียนแบบสัตว์หรือสมองมนุษย์โดยตรง เพราะวิวัฒนาการและสมองมีความซับซ้อนที่เราไม่สามารถจำลองได้ง่าย ๆ ✅ Karpathy เชื่อว่า AGI ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี ➡️ เพราะยังมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจ, ความจำ, และการเรียนรู้ ✅ เขาเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์” ➡️ เพราะการพัฒนาเอเจนต์ที่ใช้งานได้จริงยังต้องใช้เวลา ✅ LLM ปัจจุบันยังไม่สามารถทำงานเหมือนอินเทอร์นได้ ➡️ ขาดความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์, เรียนรู้ต่อเนื่อง, และจดจำ ✅ เขาวิพากษ์ reinforcement learning ว่าไม่เหมาะกับการสร้าง AGI ➡️ โดยเฉพาะแนวทางที่เน้นการเล่นเกม ✅ เสนอแนวคิด “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต ➡️ เป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากกว่าการเลียนแบบสมองสัตว์ ✅ เปรียบเทียบ pre-training กับ “วิวัฒนาการแบบหยาบ ๆ” ➡️ เป็นวิธีที่เราสามารถใช้ได้จริงในปัจจุบัน https://www.dwarkesh.com/p/andrej-karpathy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Zorin OS 18 — ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้ Windows 10 ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”

    ในวันที่ Windows 10 ถูกยุติการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ยาก: ซื้อเครื่องใหม่เพื่อใช้ Windows 11 หรือหาทางออกที่ไม่ต้องพึ่งฮาร์ดแวร์ใหม่ และ Zorin OS 18 กำลังเสนอคำตอบนั้น

    Zorin OS 18 เป็นดิสโทร Linux ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ “Windows 10 expats” หรือผู้ใช้ที่ต้องการย้ายจาก Windows 10 ไปยังระบบที่ทันสมัยแต่ไม่ซับซ้อน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมกับหน้าตาใหม่ที่สวยงาม, ระบบจัดการหน้าต่างแบบใหม่, การรองรับแอป Windows ที่ดีขึ้น และฟีเจอร์ที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น

    ระบบนี้ยังมาพร้อมกับ PipeWire สำหรับเสียงคุณภาพสูง, การเชื่อมต่อ OneDrive, และเครื่องมือใหม่สำหรับการติดตั้งแอป Windows กว่า 170 ตัวแบบมีคำแนะนำเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกลัวว่าจะ “หลงทาง” เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Linux

    Zorin OS 18 พัฒนาบน Ubuntu 24.04.3 LTS และ Linux kernel 6.14
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และมีความเสถียรสูง

    หน้าตาใหม่: แถบลอย, สีอ่อน, ตัวบ่งชี้ workspace ใหม่
    ให้ความรู้สึกทันสมัยและใช้งานง่าย

    ระบบจัดการหน้าต่างใหม่ช่วยเพิ่ม productivity
    รองรับการจัดวางหน้าต่างแบบอัตโนมัติ

    มี Web Apps tool สำหรับติดตั้งแอปโปรดได้ง่ายขึ้น
    โดยเฉพาะแอป Windows ที่คุ้นเคย

    รองรับ OneDrive ผ่าน Online Accounts
    เชื่อมต่อกับบัญชี Microsoft 365 ได้ทันที

    มีคำแนะนำเฉพาะสำหรับการติดตั้งแอป Windows กว่า 170 ตัว
    ช่วยให้ผู้ใช้ใหม่ไม่ต้องเดาเอง

    ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับเสียง
    ให้เสียงคุณภาพสูงและ latency ต่ำ

    Zorin OS Pro มีแอปใหม่ 11 ตัว เช่น Deskflow, Warpinator, Valot
    รองรับการแชร์อุปกรณ์, ส่งไฟล์, และติดตามเวลา

    Zorin OS Education มีแอปใหม่ เช่น Gradebook, Spedread, TurboWarp
    เหมาะสำหรับนักเรียนและการเรียนรู้แบบ interactive

    มีให้ดาวน์โหลดทั้งรุ่น Core และ Education
    รุ่น Pro จำหน่ายในราคา €47.99 (~$55.6 USD) พร้อมฟีเจอร์พรีเมียม

    https://9to5linux.com/zorin-os-18-officially-released-specifically-tailored-for-windows-10-expats
    🧭 “Zorin OS 18 — ทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้ Windows 10 ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” ในวันที่ Windows 10 ถูกยุติการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้หลายร้อยล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญกับทางเลือกที่ยาก: ซื้อเครื่องใหม่เพื่อใช้ Windows 11 หรือหาทางออกที่ไม่ต้องพึ่งฮาร์ดแวร์ใหม่ และ Zorin OS 18 กำลังเสนอคำตอบนั้น Zorin OS 18 เป็นดิสโทร Linux ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับ “Windows 10 expats” หรือผู้ใช้ที่ต้องการย้ายจาก Windows 10 ไปยังระบบที่ทันสมัยแต่ไม่ซับซ้อน โดยเวอร์ชันใหม่นี้มาพร้อมกับหน้าตาใหม่ที่สวยงาม, ระบบจัดการหน้าต่างแบบใหม่, การรองรับแอป Windows ที่ดีขึ้น และฟีเจอร์ที่ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น ระบบนี้ยังมาพร้อมกับ PipeWire สำหรับเสียงคุณภาพสูง, การเชื่อมต่อ OneDrive, และเครื่องมือใหม่สำหรับการติดตั้งแอป Windows กว่า 170 ตัวแบบมีคำแนะนำเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องกลัวว่าจะ “หลงทาง” เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Linux ✅ Zorin OS 18 พัฒนาบน Ubuntu 24.04.3 LTS และ Linux kernel 6.14 ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่และมีความเสถียรสูง ✅ หน้าตาใหม่: แถบลอย, สีอ่อน, ตัวบ่งชี้ workspace ใหม่ ➡️ ให้ความรู้สึกทันสมัยและใช้งานง่าย ✅ ระบบจัดการหน้าต่างใหม่ช่วยเพิ่ม productivity ➡️ รองรับการจัดวางหน้าต่างแบบอัตโนมัติ ✅ มี Web Apps tool สำหรับติดตั้งแอปโปรดได้ง่ายขึ้น ➡️ โดยเฉพาะแอป Windows ที่คุ้นเคย ✅ รองรับ OneDrive ผ่าน Online Accounts ➡️ เชื่อมต่อกับบัญชี Microsoft 365 ได้ทันที ✅ มีคำแนะนำเฉพาะสำหรับการติดตั้งแอป Windows กว่า 170 ตัว ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้ใหม่ไม่ต้องเดาเอง ✅ ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับเสียง ➡️ ให้เสียงคุณภาพสูงและ latency ต่ำ ✅ Zorin OS Pro มีแอปใหม่ 11 ตัว เช่น Deskflow, Warpinator, Valot ➡️ รองรับการแชร์อุปกรณ์, ส่งไฟล์, และติดตามเวลา ✅ Zorin OS Education มีแอปใหม่ เช่น Gradebook, Spedread, TurboWarp ➡️ เหมาะสำหรับนักเรียนและการเรียนรู้แบบ interactive ✅ มีให้ดาวน์โหลดทั้งรุ่น Core และ Education ➡️ รุ่น Pro จำหน่ายในราคา €47.99 (~$55.6 USD) พร้อมฟีเจอร์พรีเมียม https://9to5linux.com/zorin-os-18-officially-released-specifically-tailored-for-windows-10-expats
    9TO5LINUX.COM
    Zorin OS 18 Officially Released, Specifically Tailored for Windows 10 Expats - 9to5Linux
    Zorin OS 18 distribution is now available for download based on Ubuntu 24.04.3 LTS and powered by Linux kernel 6.14.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TDK เปิดตัวชิป AI แบบแอนะล็อก – เรียนรู้แบบเรียลไทม์ ท้าทายมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบ!”

    จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์เทปเสียงในยุค 80s วันนี้ TDK กลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ด้วยการเปิดตัว “ชิป AI แบบแอนะล็อก” ที่สามารถเรียนรู้แบบเรียลไทม์ และถึงขั้นสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบได้อย่างแม่นยำ

    ชิปนี้ถูกพัฒนาโดย TDK ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยใช้แนวคิด “reservoir computing” ซึ่งเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองส่วน cerebellum ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบต่อเนื่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

    แตกต่างจากโมเดล deep learning ทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้วงจรแอนะล็อกในการประมวลผลสัญญาณแบบธรรมชาติ เช่น การแพร่กระจายของคลื่น ทำให้สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้ทันทีด้วยพลังงานต่ำมาก

    TDK เตรียมนำชิปนี้ไปโชว์ในงาน CEATEC 2025 ที่ญี่ปุ่น โดยจะมีอุปกรณ์สาธิตที่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว และใช้ชิป AI ในการทำนายว่าผู้เล่นจะออก “ค้อน กรรไกร หรือกระดาษ” ก่อนที่เขาจะทันได้ออกมือจริง ๆ

    จุดเด่นของชิป AI แบบแอนะล็อกจาก TDK
    ใช้แนวคิด reservoir computing ที่เลียนแบบสมองส่วน cerebellum
    ประมวลผลข้อมูลแบบ time-series ด้วยความเร็วสูงและพลังงานต่ำ
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่
    เหมาะกับงาน edge computing เช่น อุปกรณ์สวมใส่, IoT, ระบบอัตโนมัติ

    การสาธิตในงาน CEATEC 2025
    อุปกรณ์ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว
    ใช้ชิป AI ทำนายการออกมือในเกมเป่ายิ้งฉุบแบบเรียลไทม์
    แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และตอบสนองทันที

    ความร่วมมือและเป้าหมายของ TDK
    พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด
    ต้องการผลักดัน reservoir computing สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์
    เตรียมนำไปใช้ในแบรนด์ SensEI และธุรกิจระบบเซนเซอร์ของ TDK

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    reservoir computing ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์ในระดับอุตสาหกรรม
    การประยุกต์ใช้งานจริงอาจต้องปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์
    ความแม่นยำในการทำนายยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซนเซอร์และการเรียนรู้
    การแข่งขันจากเทคโนโลยี AI แบบดิจิทัลที่มี ecosystem แข็งแรงกว่า

    https://www.techradar.com/pro/remember-audio-tapes-from-tdk-they-just-developed-an-analog-reservoir-ai-chip-that-does-real-time-learning-and-will-even-challenge-humans-at-a-game-of-rock-paper-scissors
    💾 “TDK เปิดตัวชิป AI แบบแอนะล็อก – เรียนรู้แบบเรียลไทม์ ท้าทายมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบ!” จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์เทปเสียงในยุค 80s วันนี้ TDK กลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ด้วยการเปิดตัว “ชิป AI แบบแอนะล็อก” ที่สามารถเรียนรู้แบบเรียลไทม์ และถึงขั้นสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบได้อย่างแม่นยำ ชิปนี้ถูกพัฒนาโดย TDK ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยใช้แนวคิด “reservoir computing” ซึ่งเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองส่วน cerebellum ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบต่อเนื่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากโมเดล deep learning ทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้วงจรแอนะล็อกในการประมวลผลสัญญาณแบบธรรมชาติ เช่น การแพร่กระจายของคลื่น ทำให้สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้ทันทีด้วยพลังงานต่ำมาก TDK เตรียมนำชิปนี้ไปโชว์ในงาน CEATEC 2025 ที่ญี่ปุ่น โดยจะมีอุปกรณ์สาธิตที่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว และใช้ชิป AI ในการทำนายว่าผู้เล่นจะออก “ค้อน กรรไกร หรือกระดาษ” ก่อนที่เขาจะทันได้ออกมือจริง ๆ ✅ จุดเด่นของชิป AI แบบแอนะล็อกจาก TDK ➡️ ใช้แนวคิด reservoir computing ที่เลียนแบบสมองส่วน cerebellum ➡️ ประมวลผลข้อมูลแบบ time-series ด้วยความเร็วสูงและพลังงานต่ำ ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ เหมาะกับงาน edge computing เช่น อุปกรณ์สวมใส่, IoT, ระบบอัตโนมัติ ✅ การสาธิตในงาน CEATEC 2025 ➡️ อุปกรณ์ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว ➡️ ใช้ชิป AI ทำนายการออกมือในเกมเป่ายิ้งฉุบแบบเรียลไทม์ ➡️ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และตอบสนองทันที ✅ ความร่วมมือและเป้าหมายของ TDK ➡️ พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ➡️ ต้องการผลักดัน reservoir computing สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ ➡️ เตรียมนำไปใช้ในแบรนด์ SensEI และธุรกิจระบบเซนเซอร์ของ TDK ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ reservoir computing ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์ในระดับอุตสาหกรรม ⛔ การประยุกต์ใช้งานจริงอาจต้องปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์ ⛔ ความแม่นยำในการทำนายยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซนเซอร์และการเรียนรู้ ⛔ การแข่งขันจากเทคโนโลยี AI แบบดิจิทัลที่มี ecosystem แข็งแรงกว่า https://www.techradar.com/pro/remember-audio-tapes-from-tdk-they-just-developed-an-analog-reservoir-ai-chip-that-does-real-time-learning-and-will-even-challenge-humans-at-a-game-of-rock-paper-scissors
    WWW.TECHRADAR.COM
    TDK unveils analog AI chip that learns fast and predicts moves
    The chip mimics brain function for robotics and human-machine interfaces
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts