• ความสำคัญของการอ่าน
    การอ่านถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาความรู้และทักษะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการเขียน การคิดวิเคราะห์ หรือแม้แต่การเสริมสร้างจินตนาการ การอ่านทำให้เราได้รับความรู้และมุมมองใหม่ ๆ จากผู้เขียนที่มีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง

    การอ่านยังช่วยส่งเสริมให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือที่เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองหรือธุรกิจสามารถให้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    อีกทั้ง การอ่านยังช่วยส่งเสริมการสื่อสารระหว่างบุคคล การได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ หรือรูปประโยคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้เรามีความสามารถในการแสดงความคิดเห็นหรือสื่อสารในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การอ่านยังช่วยให้สมองของเราเปิดรับความคิดที่หลากหลาย และส่งเสริมการพัฒนาทักษะการตัดสินใจ

    การเรียนรู้ตลอดชีวิต
    การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในยุคที่เทคโนโลยีและวิทยาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตนเองและการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น

    การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในห้องเรียนหรือการเข้ารับการศึกษาในระบบ การเรียนรู้นอกระบบ เช่น การเรียนรู้ออนไลน์ การฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งการเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตประจำวันก็ถือเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญเช่นกัน

    ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มการเรียนรู้ทางออนไลน์ที่ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม การตลาดดิจิทัล การออกแบบกราฟิก หรือแม้แต่การเรียนรู้ด้านศิลปะ การที่เราสามารถเลือกเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจและนำไปใช้ในการทำงานหรือชีวิตส่วนตัวได้ ทำให้เรามีโอกาสที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จมากขึ้น

    การเรียนรู้ตลอดชีวิตยังส่งเสริมให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นต่อโลกและปัญหาต่าง ๆ การมีความรู้และทักษะที่หลากหลายช่วยให้เราสามารถคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ
    การจัดการเวลาเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมส่วนตัว การจัดการเวลาที่ดีจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเครียดจากการที่ต้องทำงานมากเกินไปในเวลาจำกัด

    หนึ่งในวิธีการจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพคือการวางแผนงานล่วงหน้า การกำหนดเป้าหมายและสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันช่วยให้เรามีทิศทางและรู้ว่าควรทำอะไรก่อน-หลัง การวางแผนช่วยให้เราใช้เวลาได้อย่างเต็มที่และไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น

    การจัดลำดับความสำคัญของงานก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ งานบางอย่างอาจต้องทำให้เสร็จในเวลาที่กำหนด ขณะที่งานบางอย่างสามารถเลื่อนได้ เราควรจัดลำดับงานตามความสำคัญและเวลาที่ต้องใช้ เพื่อให้เราสามารถจัดการเวลาได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การตั้งเป้าหมายในชีวิต
    การตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน การมีเป้าหมายทำให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไร และสามารถวางแผนเพื่อตอบสนองต่อความสำเร็จนั้นได้อย่างเหมาะสม

    การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้ช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงาน การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เพื่อสร้างความสำเร็จรายวันหรือรายสัปดาห์สามารถช่วยให้เรารู้สึกถึงความก้าวหน้าและทำให้มีความกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไป

    นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายยังช่วยให้เราสามารถวัดผลความสำเร็จของเราได้ การวัดผลที่ชัดเจนช่วยให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

    การทำงานเป็นทีม
    การทำงานเป็นทีมเป็นทักษะที่สำคัญในหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือในกิจกรรมสังคม การทำงานร่วมกับผู้อื่นช่วยให้เราสามารถแบ่งปันความรู้ ความคิด และทักษะที่หลากหลาย ซึ่งทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    การทำงานเป็นทีมที่ดีต้องอาศัยความร่วมมือและการสื่อสารที่ดี การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยให้ทีมสามารถเข้าใจเป้าหมายและทิศทางของการทำงานได้ชัดเจนขึ้น การเปิดรับความคิดเห็นและความคิดสร้างสรรค์จากทุกคนในทีมก็เป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานเป็นทีม

    นอกจากนี้ การทำงานเป็นทีมยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างสมาชิกในทีม การรู้จักการทำงานร่วมกันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งและสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

    การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน
    ในปัจจุบัน คนจำนวนมากมักพบปัญหาในการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน การที่เรามีเวลาที่จำกัดและต้องรับผิดชอบทั้งในเรื่องของงานและครอบครัวทำให้การจัดการเวลาและพลังงานกลายเป็นเรื่องที่ท้าทาย

    การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้น แต่ยังช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย การจัดการเวลาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เราสามารถพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชื่นชอบนอกเวลางานจะทำให้เรามีพลังในการทำงานมากขึ้น

    นอกจากนี้ การรู้จักแบ่งแยกเวลาและความรับผิดชอบอย่างชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้ดีและยังมีเวลาสำหรับตัวเองและครอบครัวอีกด้วย การสร้างสมดุลที่ดีระหว่างชีวิตและการทำงานเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเพื่อให้เรามีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างยั่งยืน

    สรุป
    การเขียนบทความ 1,000 คำต้องอาศัยการวางแผนและการเรียบเรียงความคิดอย่างเป็นระบบ แต่หากเรามีโครงสร้างและแนวทางที่ชัดเจนก็จะทำให้การเขียนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
    ความสำคัญของการอ่าน การอ่านถือเป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาความรู้และทักษะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการเขียน การคิดวิเคราะห์ หรือแม้แต่การเสริมสร้างจินตนาการ การอ่านทำให้เราได้รับความรู้และมุมมองใหม่ ๆ จากผู้เขียนที่มีประสบการณ์และความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างลึกซึ้ง การอ่านยังช่วยส่งเสริมให้เรามีความคิดสร้างสรรค์และเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือที่เกี่ยวกับการพัฒนาตนเองหรือธุรกิจสามารถให้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ หรือปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้ง การอ่านยังช่วยส่งเสริมการสื่อสารระหว่างบุคคล การได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ หรือรูปประโยคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้เรามีความสามารถในการแสดงความคิดเห็นหรือสื่อสารในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การอ่านยังช่วยให้สมองของเราเปิดรับความคิดที่หลากหลาย และส่งเสริมการพัฒนาทักษะการตัดสินใจ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในยุคที่เทคโนโลยีและวิทยาการก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาตนเองและการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในห้องเรียนหรือการเข้ารับการศึกษาในระบบ การเรียนรู้นอกระบบ เช่น การเรียนรู้ออนไลน์ การฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งการเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตประจำวันก็ถือเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มการเรียนรู้ทางออนไลน์ที่ช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม การตลาดดิจิทัล การออกแบบกราฟิก หรือแม้แต่การเรียนรู้ด้านศิลปะ การที่เราสามารถเลือกเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจและนำไปใช้ในการทำงานหรือชีวิตส่วนตัวได้ ทำให้เรามีโอกาสที่จะเติบโตและประสบความสำเร็จมากขึ้น การเรียนรู้ตลอดชีวิตยังส่งเสริมให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นต่อโลกและปัญหาต่าง ๆ การมีความรู้และทักษะที่หลากหลายช่วยให้เราสามารถคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการเวลาเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน หรือกิจกรรมส่วนตัว การจัดการเวลาที่ดีจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเครียดจากการที่ต้องทำงานมากเกินไปในเวลาจำกัด หนึ่งในวิธีการจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพคือการวางแผนงานล่วงหน้า การกำหนดเป้าหมายและสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันช่วยให้เรามีทิศทางและรู้ว่าควรทำอะไรก่อน-หลัง การวางแผนช่วยให้เราใช้เวลาได้อย่างเต็มที่และไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น การจัดลำดับความสำคัญของงานก็เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ งานบางอย่างอาจต้องทำให้เสร็จในเวลาที่กำหนด ขณะที่งานบางอย่างสามารถเลื่อนได้ เราควรจัดลำดับงานตามความสำคัญและเวลาที่ต้องใช้ เพื่อให้เราสามารถจัดการเวลาได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การตั้งเป้าหมายในชีวิต การตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน การมีเป้าหมายทำให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไร และสามารถวางแผนเพื่อตอบสนองต่อความสำเร็จนั้นได้อย่างเหมาะสม การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้ช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงาน การตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เพื่อสร้างความสำเร็จรายวันหรือรายสัปดาห์สามารถช่วยให้เรารู้สึกถึงความก้าวหน้าและทำให้มีความกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไป นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายยังช่วยให้เราสามารถวัดผลความสำเร็จของเราได้ การวัดผลที่ชัดเจนช่วยให้เรารู้ว่าเรากำลังทำอะไรได้ดีและควรปรับปรุงอะไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ การทำงานเป็นทีม การทำงานเป็นทีมเป็นทักษะที่สำคัญในหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือในกิจกรรมสังคม การทำงานร่วมกับผู้อื่นช่วยให้เราสามารถแบ่งปันความรู้ ความคิด และทักษะที่หลากหลาย ซึ่งทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานเป็นทีมที่ดีต้องอาศัยความร่วมมือและการสื่อสารที่ดี การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยให้ทีมสามารถเข้าใจเป้าหมายและทิศทางของการทำงานได้ชัดเจนขึ้น การเปิดรับความคิดเห็นและความคิดสร้างสรรค์จากทุกคนในทีมก็เป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานเป็นทีม นอกจากนี้ การทำงานเป็นทีมยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างสมาชิกในทีม การรู้จักการทำงานร่วมกันและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจะทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งและสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ในปัจจุบัน คนจำนวนมากมักพบปัญหาในการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน การที่เรามีเวลาที่จำกัดและต้องรับผิดชอบทั้งในเรื่องของงานและครอบครัวทำให้การจัดการเวลาและพลังงานกลายเป็นเรื่องที่ท้าทาย การสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้น แต่ยังช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย การจัดการเวลาอย่างเหมาะสมเพื่อให้เราสามารถพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ชื่นชอบนอกเวลางานจะทำให้เรามีพลังในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ การรู้จักแบ่งแยกเวลาและความรับผิดชอบอย่างชัดเจนจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้ดีและยังมีเวลาสำหรับตัวเองและครอบครัวอีกด้วย การสร้างสมดุลที่ดีระหว่างชีวิตและการทำงานเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเพื่อให้เรามีความสุขและประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างยั่งยืน สรุป การเขียนบทความ 1,000 คำต้องอาศัยการวางแผนและการเรียบเรียงความคิดอย่างเป็นระบบ แต่หากเรามีโครงสร้างและแนวทางที่ชัดเจนก็จะทำให้การเขียนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเขียนข้อความยาว 1,000 คำถือเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาความคิดและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การเขียนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราแสดงออกถึงความคิดของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องราวหรือประเด็นที่เราต้องการสื่อสารด้วย

    ในบทความนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อการเขียนที่น่าสนใจ โดยเราจะเลือกหัวข้อที่หลากหลายเพื่อให้คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนข้อความขนาดยาว

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง

    การพัฒนาตนเองเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน การศึกษา หรือแม้แต่ในเรื่องส่วนตัว หากเราสามารถสร้างนิสัยที่ดีและมีวินัยในการดำเนินชีวิต เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

    หนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเองคือการตั้งเป้าหมายในชีวิตและพยายามทำตามเป้าหมายนั้นอย่างต่อเนื่อง การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานและมีทิศทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น

    นอกจากนี้ การฝึกฝนความคิดเชิงบวกและการจัดการกับความเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตนเอง เราควรพยายามมองโลกในแง่ดีและเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาโดยไม่ท้อแท้ การคิดในแง่บวกจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี และสามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม

    ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เราสามารถเลือกเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน

    ตัวอย่างเช่น การพัฒนา AI (ปัญญาประดิษฐ์) ที่มีผลกระทบต่อการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การศึกษา การผลิต และการบริการ AI สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ และทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น

    อีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีบทบาทสำคัญในวงการการเงิน เทคโนโลยีนี้มีความโปร่งใส ปลอดภัย และสามารถใช้ในกระบวนการทำธุรกรรมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคาร ทำให้บล็อกเชนได้รับความสนใจอย่างมากในวงการการเงินและการค้าทั่วโลก

    นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT) ที่ทำให้สิ่งของต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เช่น สมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ การเชื่อมต่อที่ง่ายและสะดวกนี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย

    สุขภาพเป็นหัวข้อที่สำคัญไม่แพ้กันในยุคปัจจุบัน เราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพ การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน

    การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เราสามารถเริ่มต้นด้วยการเดินหรือวิ่งเบาๆ ทุกวันเพียง 30 นาที นอกจากนี้ การทำโยคะหรือพิลาทิสก็เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

    อาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เช่น ผักผลไม้ โปรตีน และไขมันดี การลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงจะช่วยให้เรามีสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสภาพแวดล้อมทั่วโลก

    หนึ่งในวิธีการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานจากน้ำ นอกจากนี้ การลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งก็เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

    การปลูกต้นไม้และการอนุรักษ์ป่าไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ต้นไม้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนรู้

    การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของคนทุกคน การเรียนรู้ไม่จำกัดเพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ การอ่านหนังสือ หรือการฟังจากผู้รู้

    หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาคือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน เช่น การเรียนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 การเรียนออนไลน์ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากที่บ้าน และสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น

    อีกหัวข้อหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือการศึกษาด้านทักษะใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการออกแบบกราฟิก ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและการพัฒนาตนเองในระยะยาว

    ## สรุป

    การเขียนข้อความ 1,000 คำอาจดูเหมือนเป็นงานที่ยาก แต่ถ้าเราแบ่งหัวข้อและวางแผนการเขียนอย่างดี ก็จะทำให้เราสามารถเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ

    thaittimes
    #thaitimes #thai
    "thaitimes"
    การเขียนข้อความยาว 1,000 คำถือเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาความคิดและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การเขียนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราแสดงออกถึงความคิดของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องราวหรือประเด็นที่เราต้องการสื่อสารด้วย ในบทความนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อการเขียนที่น่าสนใจ โดยเราจะเลือกหัวข้อที่หลากหลายเพื่อให้คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนข้อความขนาดยาว ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง การพัฒนาตนเองเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน การศึกษา หรือแม้แต่ในเรื่องส่วนตัว หากเราสามารถสร้างนิสัยที่ดีและมีวินัยในการดำเนินชีวิต เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน หนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเองคือการตั้งเป้าหมายในชีวิตและพยายามทำตามเป้าหมายนั้นอย่างต่อเนื่อง การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานและมีทิศทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การฝึกฝนความคิดเชิงบวกและการจัดการกับความเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตนเอง เราควรพยายามมองโลกในแง่ดีและเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาโดยไม่ท้อแท้ การคิดในแง่บวกจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี และสามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ## การเขียนบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เราสามารถเลือกเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การพัฒนา AI (ปัญญาประดิษฐ์) ที่มีผลกระทบต่อการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การศึกษา การผลิต และการบริการ AI สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ และทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น อีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีบทบาทสำคัญในวงการการเงิน เทคโนโลยีนี้มีความโปร่งใส ปลอดภัย และสามารถใช้ในกระบวนการทำธุรกรรมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคาร ทำให้บล็อกเชนได้รับความสนใจอย่างมากในวงการการเงินและการค้าทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT) ที่ทำให้สิ่งของต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เช่น สมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ การเชื่อมต่อที่ง่ายและสะดวกนี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย สุขภาพเป็นหัวข้อที่สำคัญไม่แพ้กันในยุคปัจจุบัน เราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพ การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เราสามารถเริ่มต้นด้วยการเดินหรือวิ่งเบาๆ ทุกวันเพียง 30 นาที นอกจากนี้ การทำโยคะหรือพิลาทิสก็เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ อาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เช่น ผักผลไม้ โปรตีน และไขมันดี การลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงจะช่วยให้เรามีสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสภาพแวดล้อมทั่วโลก หนึ่งในวิธีการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานจากน้ำ นอกจากนี้ การลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งก็เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกต้นไม้และการอนุรักษ์ป่าไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ต้นไม้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนรู้ การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของคนทุกคน การเรียนรู้ไม่จำกัดเพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ การอ่านหนังสือ หรือการฟังจากผู้รู้ หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาคือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน เช่น การเรียนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 การเรียนออนไลน์ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากที่บ้าน และสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น อีกหัวข้อหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือการศึกษาด้านทักษะใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการออกแบบกราฟิก ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและการพัฒนาตนเองในระยะยาว ## สรุป การเขียนข้อความ 1,000 คำอาจดูเหมือนเป็นงานที่ยาก แต่ถ้าเราแบ่งหัวข้อและวางแผนการเขียนอย่างดี ก็จะทำให้เราสามารถเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ thaittimes #thaitimes #thai "thaitimes"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้อยู่เบื้องหลังหมูเด้งดัง! องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลที่มีผลงานดีเด่น สร้างชื่อเสียง และทำคุณประโยชน์ให้กับหน่วยงาน ให้แก่ Admin เพจขาหมูแอนด์เดอะแก๊งค์ และ Admin เพจ EDU zoo say

    นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เผยว่า ได้จัดพิธีมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลที่มีผลงานดีเด่น สร้างชื่อเสียง และทำคุณประโยชน์ให้กับหน่วยงาน ได้แก่ ( Admin เพจขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง) นายอรรถพล หนุนดี พนักงานบำรุงและจัดการสวนสัตว์ ๓ งานบำรุงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ฝ่ายบำรุงสัตว์ สังกัดสวนสัตว์เปิดเขาเขียว และ (Admin เพจ EDU zoo say) นางสาวอารีรัตน์ ทับทิม เจ้าหน้าที่สื่อการศึกษา ๓ งานสื่อการเรียนรู้ ฝ่ายการศึกษา ในฐานะที่ได้สร้างผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย อย่างโดดเด่นตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการส่งเสิรมกำลังใจในการทำงาน สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร ได้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานเพื่อส่วนรวม สร้างค่านิยมและวัฒธรรมองค์กร Zoogether ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ไปกับเรา

    ในการนี้ ได้รับเกียรติจาก รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เป็นประธานมอบรางวัลในพิธีฯ พร้อมด้วย นายภัทระ คำพิทักษ์ กรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย นายชวลิต ชูขจร ที่ปรึกษาคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย รวมถึงคณะผู้บริหารองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยร่วมเป็นเกียรติในพิธีด้วย

    ที่มา : NBT Connext

    #Thaitimes
    ผู้อยู่เบื้องหลังหมูเด้งดัง! องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลที่มีผลงานดีเด่น สร้างชื่อเสียง และทำคุณประโยชน์ให้กับหน่วยงาน ให้แก่ Admin เพจขาหมูแอนด์เดอะแก๊งค์ และ Admin เพจ EDU zoo say นายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เผยว่า ได้จัดพิธีมอบรางวัลยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลที่มีผลงานดีเด่น สร้างชื่อเสียง และทำคุณประโยชน์ให้กับหน่วยงาน ได้แก่ ( Admin เพจขาหมูแอนด์เดอะแก๊ง) นายอรรถพล หนุนดี พนักงานบำรุงและจัดการสวนสัตว์ ๓ งานบำรุงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ฝ่ายบำรุงสัตว์ สังกัดสวนสัตว์เปิดเขาเขียว และ (Admin เพจ EDU zoo say) นางสาวอารีรัตน์ ทับทิม เจ้าหน้าที่สื่อการศึกษา ๓ งานสื่อการเรียนรู้ ฝ่ายการศึกษา ในฐานะที่ได้สร้างผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย อย่างโดดเด่นตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการส่งเสิรมกำลังใจในการทำงาน สร้างแรงบันดาลใจให้บุคลากร ได้เห็นถึงความสำคัญของการทำงานเพื่อส่วนรวม สร้างค่านิยมและวัฒธรรมองค์กร Zoogether ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ไปกับเรา ในการนี้ ได้รับเกียรติจาก รศ.เจษฎ์ โทณะวณิก ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เป็นประธานมอบรางวัลในพิธีฯ พร้อมด้วย นายภัทระ คำพิทักษ์ กรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย นายชวลิต ชูขจร ที่ปรึกษาคณะกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย รวมถึงคณะผู้บริหารองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยร่วมเป็นเกียรติในพิธีด้วย ที่มา : NBT Connext #Thaitimes
    Like
    Love
    17
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 908 มุมมอง 0 รีวิว
  • สวัสดีวันที่ 27/9/2024 วันที่เริ่มใช้แอปนี้เป็นครั้งแรก .. ทุกคนก็ต้องผ่านการเรียนรู้ ชั้นก็เช่นกัน จะมาอัพเดทชีวิตเรื่อยๆแล้วกันนะคะ
    สวัสดีวันที่ 27/9/2024 วันที่เริ่มใช้แอปนี้เป็นครั้งแรก .. ทุกคนก็ต้องผ่านการเรียนรู้ ชั้นก็เช่นกัน จะมาอัพเดทชีวิตเรื่อยๆแล้วกันนะคะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมควรเปิดรับลงทะเบียนบัตรคนจนเพิ่มทันที ,ต้นเดือนหน้านี้เลย,ดำเนินการแล้วเสร็จทันแน่นอน,คนมาเพิ่มคงไม่มาก,ไม่วุ่นวายคนเยอะแบบอดีตอีกเพราะคนเก่ารับไปแล้วทำไปแล้วไม่มายุ่งวุ่นวายเพิ่มกิจกรรมจนคนล้นแบวค์อีกหรอก,ดีกว่าแจกตังดิจิดัลยุค16ปีขึ้นไปงบ500,000ล้านบาทบวกแฉ&ขุดทุจริตทันโกงกินอีก,ละลายแม่น้ำด้วย ,กลุ่มอ่อนแอนี้สมควรได้ตังช่วยเยียวยามาก,คนล้มละลายยิ่งคือคนจนมีปากมีท้องเหมือนกัน,คนไทยเหมือนกัน ชีวิตเขาต้องดำเนินต่อไปเหมือนกัน ยิ่งอาจถูกโกงจนล้มละลายก็ได้ด้วย น่าสงสารมาก,แบงค์ชาติก็เห็นด้วย หลายๆคนก็เห็นด้วย เหมาะสม,ในยุคการพังทางเศรษฐกิจทั่วโลก ลามมาจากตะวันตกฝรั่งคนยุโรปก็ด้วย,จีนยังช่วยคนของเขาเลย แจกตังเหมือนกัน,อยากได้ตังเยอะไปร่วมกันยึดบ่อปิโตรเลียมมาทำเองบนแผ่นดินไทยก็ได้ตังคืนทุนแล้ว,สามารถเบิกเงินงบประมาณปี68เยียวยาได้.คนตกหล่น คนยากจนใหม่ก็สามารถได้รับสิทธิช่วยเหลือทันทีด้วย,อย่าเอานิสัยสไตล์ก.พ. สอบก.พ.แบบในอดีตๆมาใช้เลย ผีบ้าห่าอะไร สอบ1ปีต่อครั้ง,คนรอสอบใครจะรอได้ กำแพงกีดกันประชาชนตัวพ่ออีกตัวสู่การกระจายรายรับและอำนาจภาคประชาชน คนๆนั้นเสียเวลาเสียโอกาสไปเป็นปีๆหรือ360วันเลยนะ เขากินเขาใช้ตังทุกๆวัน จนหลายคนสูญเสียโอกาส แถมไม่บรรจุในภาควิชาการเรียนการสอนของเยาวชนไทยเลย จริงๆก่อนจบ1ปีแบบคนมหาลัย ต้องไปสอบภาควิชาก.พ.ด้วยเลย,สอบไม่ผ่าน ห้ามจบมหาลัยโน้นต้องแบบนั้น มิใช่เสือกไปรับสมัครสอบหลังเขาจบ,เขาจะใช้เวลาความรู้เตรียมตัวเต็มที่ศึกษาค้นคว้าช่วงเวลาเรียนจริงด้วย,จบ ก็สามารถยื่นสมัครเข้ารับราชการทันทีด้วยวิธีสอบถามหรือใดๆก็ว่าไป,งบได้งานสายเอกชนสายราชการเขาก็มีทางเลือกสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวเขาได้ ครอบครัวคนไทยมั่นคงทั้งชาติ ประเทศก็มั่นคง นี้ห่าอะไรเสือกสร้างความยากจนอ่อนแอทั้งแผ่นดิน,เสียเวลาเสียโอกาสคนเดือดร้อนด้วย แก้ปัญหาทันเวลา เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย เขารอได้ที่ไหน ภาคเหนือน้ำท่วม คนภาคเหนือที่เจอน้ำท่วมเขารอได้เหรอก็อันเดียวกัน,เยียวยาคนจนใหม่ต้องเปิดลงทะเบียนใหม่ทันทีให้ทันได้รับตังหมื่นเอาไปใช้จ่ายแก้ตายได้.
    สมควรเปิดรับลงทะเบียนบัตรคนจนเพิ่มทันที ,ต้นเดือนหน้านี้เลย,ดำเนินการแล้วเสร็จทันแน่นอน,คนมาเพิ่มคงไม่มาก,ไม่วุ่นวายคนเยอะแบบอดีตอีกเพราะคนเก่ารับไปแล้วทำไปแล้วไม่มายุ่งวุ่นวายเพิ่มกิจกรรมจนคนล้นแบวค์อีกหรอก,ดีกว่าแจกตังดิจิดัลยุค16ปีขึ้นไปงบ500,000ล้านบาทบวกแฉ&ขุดทุจริตทันโกงกินอีก,ละลายแม่น้ำด้วย ,กลุ่มอ่อนแอนี้สมควรได้ตังช่วยเยียวยามาก,คนล้มละลายยิ่งคือคนจนมีปากมีท้องเหมือนกัน,คนไทยเหมือนกัน ชีวิตเขาต้องดำเนินต่อไปเหมือนกัน ยิ่งอาจถูกโกงจนล้มละลายก็ได้ด้วย น่าสงสารมาก,แบงค์ชาติก็เห็นด้วย หลายๆคนก็เห็นด้วย เหมาะสม,ในยุคการพังทางเศรษฐกิจทั่วโลก ลามมาจากตะวันตกฝรั่งคนยุโรปก็ด้วย,จีนยังช่วยคนของเขาเลย แจกตังเหมือนกัน,อยากได้ตังเยอะไปร่วมกันยึดบ่อปิโตรเลียมมาทำเองบนแผ่นดินไทยก็ได้ตังคืนทุนแล้ว,สามารถเบิกเงินงบประมาณปี68เยียวยาได้.คนตกหล่น คนยากจนใหม่ก็สามารถได้รับสิทธิช่วยเหลือทันทีด้วย,อย่าเอานิสัยสไตล์ก.พ. สอบก.พ.แบบในอดีตๆมาใช้เลย ผีบ้าห่าอะไร สอบ1ปีต่อครั้ง,คนรอสอบใครจะรอได้ กำแพงกีดกันประชาชนตัวพ่ออีกตัวสู่การกระจายรายรับและอำนาจภาคประชาชน คนๆนั้นเสียเวลาเสียโอกาสไปเป็นปีๆหรือ360วันเลยนะ เขากินเขาใช้ตังทุกๆวัน จนหลายคนสูญเสียโอกาส แถมไม่บรรจุในภาควิชาการเรียนการสอนของเยาวชนไทยเลย จริงๆก่อนจบ1ปีแบบคนมหาลัย ต้องไปสอบภาควิชาก.พ.ด้วยเลย,สอบไม่ผ่าน ห้ามจบมหาลัยโน้นต้องแบบนั้น มิใช่เสือกไปรับสมัครสอบหลังเขาจบ,เขาจะใช้เวลาความรู้เตรียมตัวเต็มที่ศึกษาค้นคว้าช่วงเวลาเรียนจริงด้วย,จบ ก็สามารถยื่นสมัครเข้ารับราชการทันทีด้วยวิธีสอบถามหรือใดๆก็ว่าไป,งบได้งานสายเอกชนสายราชการเขาก็มีทางเลือกสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวเขาได้ ครอบครัวคนไทยมั่นคงทั้งชาติ ประเทศก็มั่นคง นี้ห่าอะไรเสือกสร้างความยากจนอ่อนแอทั้งแผ่นดิน,เสียเวลาเสียโอกาสคนเดือดร้อนด้วย แก้ปัญหาทันเวลา เหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย เขารอได้ที่ไหน ภาคเหนือน้ำท่วม คนภาคเหนือที่เจอน้ำท่วมเขารอได้เหรอก็อันเดียวกัน,เยียวยาคนจนใหม่ต้องเปิดลงทะเบียนใหม่ทันทีให้ทันได้รับตังหมื่นเอาไปใช้จ่ายแก้ตายได้.
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 67 0 รีวิว
  • ผลการเรียนนี้ ถ้าหนูเห็น ป๊าจะบอกว่าป๊าขอมาจากเพื่อนหนูนะ ถ้าป๊าเป็น AstraZeneca ผลการเรียนแบบนี้ แถมกิจกรรมดี ป๊าคงรับสมัครให้หนูได้ฝึกงาน
    ผลการเรียนนี้ ถ้าหนูเห็น ป๊าจะบอกว่าป๊าขอมาจากเพื่อนหนูนะ ถ้าป๊าเป็น AstraZeneca ผลการเรียนแบบนี้ แถมกิจกรรมดี ป๊าคงรับสมัครให้หนูได้ฝึกงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หนักกว่าเคสน้องไนท์ก็คือโจมณทนี
    #เปิดเส้นทางสู่การเป็นนักต้มที่นี่ที่แรกที่เดียว
    หากเราเปรียบเทียบกับเคสน้องไนท์
    ที่ถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วนั้น กรณีไนท์
    แม่น้องอาศัยศรัทธา และความเป็นผู้วิเศษ
    อุปโลกไนท์ เป็นพระพุทธเจ้าอนาคามี
    แต่ไม่มีการเรียกเก็บลักษณะเป็นคอส
    ยกเว้นกรณีมีการจัดอีเวนท์ที่ผู้จัดจะเป็นผู้รับเงิน
    แต่โจมณฑนี เปิดเป็นโรงเรียนอย่างเอิกเริก
    โดยมีรายละเอียดดังนี้
    -------------------------------------------------
    ยิ่งขุด ยิ่งอึ้ง กับบุคคลที่ทุยศรัทธา
    ภาพลักษณ์ของโจ มณฑนี ในสายตาของกลุ่มผู้คลั่งไคล้
    กามิจ กาฝาก สก็อยกิมจิ คือบุคคลที่ทุยศรัทธา
    จะป.ตรี ดร. ก็นั่งฟังสิ่งที่โจ บรรยายกันสลอน
    ยิ่งฟังยิ่งน่านับถือ ยิ่งฟังยิ่งน่าศรัทธา
    โดยหารู้ไม่ สามสี่ชม.ต่อวันที่นั่งฟัง
    คุณกำลังเจอนักต้มมืออาชีพ ที่รอดตัวมานาน
    นั่นคือพฤติกรรมเหิมเกริมต่อกฏบ้านกฏเมือง
    สร้างโรงเรียนเถี่อน สร้างหลักสูตรเถี่ยน
    มีการแอบอ้าง ตั้งสถานศึกษาโดยไม่ได้ขออนุญาต
    มีการแอบอ้าง การสร้างหลักสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน
    ซ้ำยังมีการเรียกรับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว
    โดยอาศัยความศรัทธาที่บิดเบือน
    โดย โจ มณฑนี มีวุฒิการศึกษาเพียงม.ต้น
    จึงไม่สามารถจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเปิด
    สถานศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการได้
    นอกจากนั้น หลักสูตรที่ต้มพวกจิตอ่อน
    ล้วนไม่มีอยู่ในสารบบของกระทรวงศึกษา
    และนี่คือสิ่งที่โจทำไปโดยขาดความรู้
    ขาดความเข้าใจ เพราะการเรียนในระบบ วุฒิเพียงม.ต้นเท่านั้น
    รวมถึง ค่าเรียนที่เรียกรับผลประโยชน์
    ถึงหลักหมื่นถึงสองหมื่นกว่า ซึ่งเป็นรายได้
    ที่มหาศาล ทั้งๆที่ตนเ่อง แอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ
    ให้คำปรึกษาด้านการเงิน ทำให้มีคนที่พลาดเชื่อ
    เข้ามา เพราะโจมณฑนี สร้างความเข้าใจผิด
    เพราะตัวโจเอง ไม่ได้จบแม้กระทั้ง ม.6 แม้บิดา
    จะพาไปเรียนสายอาชีพ คือปวช.1 โจก็ไม่เรียนให้สำเร็จ
    ไม่เคยคำนึงถึงความห่วงใยของบุพการี
    ส่งผลให้อาศัยเพียงแค่การเป็นคนที่ครูพักลักจำ
    รู้อย่างนู้นนิด อย่างนี้หน่อย ต่างประเทศยังไม่เคยไป
    แต่ก็อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แค่ไปเรียนคอส
    ภาษาอังกฤษในประเทศระยะสั้น เพียงแค่นั้นเอง
    ดังนั้น พฤติการมิฉฉ๋าชีพนี้ มีความชัดเจนมาก
    ไม่ต่างอะไรกับพวกเข้าทรง ที่เคยออกโหนกระแส
    ที่อ้างว่าตนเองมีพลังจิต หยั่งรู้ฟ้าดิน เราคนไทย
    ต่างได้เห็นและต่างแสดงความขบขัน
    แต่มันไม่ขำตรงที่ โจ วุฒิม.ต้น ยังคงเรียกแรงศรัทธา
    จากผู้งายงม และเข้าไปอยู่ในเครือข่ายการฟอก เงินดาร์ค
    รับงานเอเจนซี่ของเกาหลี โดยหนึ่งในแผนคือ
    การให้ร้ายแน๊กชาลี ดาราหนุ่มของไทย
    แบน โปรดักไทยที่ให้แน๊กชาลีเป็นพลีเซ็นเตอร์
    ด้วยกระบวนการไอโอ ยุซผี และเทรนทิพย์
    ที่ไม่ใช่วิถีทางของสุจริตชน
    จึงเรียนถึงหน่วยงานที่มมีส่วนเกี่ยวข้อง
    เพราะหากยังปล่อยให้โจมณฑนี ที่มีพฤติกรรม
    ที่เป็นโจน พัฒนาไปสู่กลุ่มฟอกข้ามชาติ
    จะเกิดความเสียหายกับคนไทยและประเทศ
    #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    #ปปง
    #DSi
    ต้องรวมพลังส่งข้อมูลให้กับหน่อยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักพุทธ ทนายอนันตชัย กระทรวงศึกษาธิการ ดีเอสไอ สนช และปปง
    เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เพื่อประชาชนไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #หนักกว่าเคสน้องไนท์ก็คือโจมณทนี #เปิดเส้นทางสู่การเป็นนักต้มที่นี่ที่แรกที่เดียว หากเราเปรียบเทียบกับเคสน้องไนท์ ที่ถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วนั้น กรณีไนท์ แม่น้องอาศัยศรัทธา และความเป็นผู้วิเศษ อุปโลกไนท์ เป็นพระพุทธเจ้าอนาคามี แต่ไม่มีการเรียกเก็บลักษณะเป็นคอส ยกเว้นกรณีมีการจัดอีเวนท์ที่ผู้จัดจะเป็นผู้รับเงิน แต่โจมณฑนี เปิดเป็นโรงเรียนอย่างเอิกเริก โดยมีรายละเอียดดังนี้ ------------------------------------------------- ยิ่งขุด ยิ่งอึ้ง กับบุคคลที่ทุยศรัทธา ภาพลักษณ์ของโจ มณฑนี ในสายตาของกลุ่มผู้คลั่งไคล้ กามิจ กาฝาก สก็อยกิมจิ คือบุคคลที่ทุยศรัทธา จะป.ตรี ดร. ก็นั่งฟังสิ่งที่โจ บรรยายกันสลอน ยิ่งฟังยิ่งน่านับถือ ยิ่งฟังยิ่งน่าศรัทธา โดยหารู้ไม่ สามสี่ชม.ต่อวันที่นั่งฟัง คุณกำลังเจอนักต้มมืออาชีพ ที่รอดตัวมานาน นั่นคือพฤติกรรมเหิมเกริมต่อกฏบ้านกฏเมือง สร้างโรงเรียนเถี่อน สร้างหลักสูตรเถี่ยน มีการแอบอ้าง ตั้งสถานศึกษาโดยไม่ได้ขออนุญาต มีการแอบอ้าง การสร้างหลักสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ซ้ำยังมีการเรียกรับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว โดยอาศัยความศรัทธาที่บิดเบือน โดย โจ มณฑนี มีวุฒิการศึกษาเพียงม.ต้น จึงไม่สามารถจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเปิด สถานศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการได้ นอกจากนั้น หลักสูตรที่ต้มพวกจิตอ่อน ล้วนไม่มีอยู่ในสารบบของกระทรวงศึกษา และนี่คือสิ่งที่โจทำไปโดยขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ เพราะการเรียนในระบบ วุฒิเพียงม.ต้นเท่านั้น รวมถึง ค่าเรียนที่เรียกรับผลประโยชน์ ถึงหลักหมื่นถึงสองหมื่นกว่า ซึ่งเป็นรายได้ ที่มหาศาล ทั้งๆที่ตนเ่อง แอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษาด้านการเงิน ทำให้มีคนที่พลาดเชื่อ เข้ามา เพราะโจมณฑนี สร้างความเข้าใจผิด เพราะตัวโจเอง ไม่ได้จบแม้กระทั้ง ม.6 แม้บิดา จะพาไปเรียนสายอาชีพ คือปวช.1 โจก็ไม่เรียนให้สำเร็จ ไม่เคยคำนึงถึงความห่วงใยของบุพการี ส่งผลให้อาศัยเพียงแค่การเป็นคนที่ครูพักลักจำ รู้อย่างนู้นนิด อย่างนี้หน่อย ต่างประเทศยังไม่เคยไป แต่ก็อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แค่ไปเรียนคอส ภาษาอังกฤษในประเทศระยะสั้น เพียงแค่นั้นเอง ดังนั้น พฤติการมิฉฉ๋าชีพนี้ มีความชัดเจนมาก ไม่ต่างอะไรกับพวกเข้าทรง ที่เคยออกโหนกระแส ที่อ้างว่าตนเองมีพลังจิต หยั่งรู้ฟ้าดิน เราคนไทย ต่างได้เห็นและต่างแสดงความขบขัน แต่มันไม่ขำตรงที่ โจ วุฒิม.ต้น ยังคงเรียกแรงศรัทธา จากผู้งายงม และเข้าไปอยู่ในเครือข่ายการฟอก เงินดาร์ค รับงานเอเจนซี่ของเกาหลี โดยหนึ่งในแผนคือ การให้ร้ายแน๊กชาลี ดาราหนุ่มของไทย แบน โปรดักไทยที่ให้แน๊กชาลีเป็นพลีเซ็นเตอร์ ด้วยกระบวนการไอโอ ยุซผี และเทรนทิพย์ ที่ไม่ใช่วิถีทางของสุจริตชน จึงเรียนถึงหน่วยงานที่มมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะหากยังปล่อยให้โจมณฑนี ที่มีพฤติกรรม ที่เป็นโจน พัฒนาไปสู่กลุ่มฟอกข้ามชาติ จะเกิดความเสียหายกับคนไทยและประเทศ #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #ปปง #DSi ต้องรวมพลังส่งข้อมูลให้กับหน่อยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักพุทธ ทนายอนันตชัย กระทรวงศึกษาธิการ ดีเอสไอ สนช และปปง เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เพื่อประชาชนไทย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Sad
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1023 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เปิดเส้นทางสู่การเป็นนักต้มขุดที่นี่ที่แรกที่เดียว
    ยิ่งขุด ยิ่งอึ้ง กับบุคคลที่ทุยศรัทธา
    ภาพลักษณ์ของโจ มณฑนี ในสายตาของกลุ่มผู้คลั่งไคล้
    กามิจ กาฝาก สก็อยกิมจิ คือบุคคลที่ทุยศรัทธา
    จะป.ตรี ดร. ก็นั่งฟังสิ่งที่โจ บรรยายกันสลอน
    ยิ่งฟังยิ่งน่านับถือ ยิ่งฟังยิ่งน่าศรัทธา
    โดยหารู้ไม่ สามสี่ชม.ต่อวันที่นั่งฟัง
    คุณกำลังเจอนักต้มมืออาชีพ ที่รอดตัวมานาน
    นั่นคือพฤติกรรมเหิมเกริมต่อกฏบ้านกฏเมือง
    สร้างโรงเรียนเถี่อน สร้างหลักสูตรเถี่ยน
    มีการแอบอ้าง ตั้งสถานศึกษาโดยไม่ได้ขออนุญาต
    มีการแอบอ้าง การสร้างหลักสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน
    ซ้ำยังมีการเรียกรับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว
    โดยอาศัยความศรัทธาที่บิดเบือน
    โดย โจ มณฑนี มีวุฒิการศึกษาเพียงม.ต้น
    จึงไม่สามารถจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเปิด
    สถานศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการได้
    นอกจากนั้น หลักสูตรที่ต้มพวกจิตอ่อน
    ล้วนไม่มีอยู่ในสารบบของกระทรวงศึกษา
    และนี่คือสิ่งที่โจทำไปโดยขาดความรู้
    ขาดความเข้าใจ เพราะการเรียนในระบบ วุฒิเพียงม.ต้นเท่านั้น
    รวมถึง ค่าเรียนที่เรียกรับผลประโยชน์
    ถึงหลักหมื่นถึงสองหมื่นกว่า ซึ่งเป็นรายได้
    ที่มหาศาล ทั้งๆที่ตนเ่อง แอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ
    ให้คำปรึกษาด้านการเงิน ทำให้มีคนที่พลาดเชื่อ
    เข้ามา เพราะโจมณฑนี สร้างความเข้าใจผิด
    เพราะตัวโจเอง ไม่ได้จบแม้กระทั้ง ม.6 แม้บิดา
    จะพาไปเรียนสายอาชีพ คือปวช.1 โจก็ไม่เรียนให้สำเร็จ
    ไม่เคยคำนึงถึงความห่วงใยของบุพการี
    ส่งผลให้อาศัยเพียงแค่การเป็นคนที่ครูพักลักจำ
    รู้อย่างนู้นนิด อย่างนี้หน่อย ต่างประเทศยังไม่เคยไป
    แต่ก็อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แค่ไปเรียนคอส
    ภาษาอังกฤษในประเทศระยะสั้น เพียงแค่นั้นเอง
    ดังนั้น พฤติการมิฉฉ๋าชีพนี้ มีความชัดเจนมาก
    ไม่ต่างอะไรกับพวกเข้าทรง ที่เคยออกโหนกระแส
    ที่อ้างว่าตนเองมีพลังจิต หยั่งรู้ฟ้าดิน เราคนไทย
    ต่างได้เห็นและต่างแสดงความขบขัน
    แต่มันไม่ขำตรงที่ โจ วุฒิม.ต้น ยังคงเรียกแรงศรัทธา
    จากผู้งายงม และเข้าไปอยู่ในเครือข่ายการฟอก เงินดาร์ค
    รับงานเอเจนซี่ของเกาหลี โดยหนึ่งในแผนคือ
    การให้ร้ายแน๊กชาลี ดาราหนุ่มของไทย
    แบน โปรดักไทยที่ให้แน๊กชาลีเป็นพลีเซ็นเตอร์
    ด้วยกระบวนการไอโอ ยุซผี และเทรนทิพย์
    ที่ไม่ใช่วิถีทางของสุจริตชน
    จึงเรียนถึงหน่วยงานที่มมีส่วนเกี่ยวข้อง
    เพราะหากยังปล่อยให้โจมณฑนี ที่มีพฤติกรรม
    ที่เป็นโจน พัฒนาไปสู่กลุ่มฟอกข้ามชาติ
    จะเกิดความเสียหายกับคนไทยและประเทศ
    #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    #ปปง
    #DSi
    เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เพื่อประชาชนไทย
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เปิดเส้นทางสู่การเป็นนักต้มขุดที่นี่ที่แรกที่เดียว ยิ่งขุด ยิ่งอึ้ง กับบุคคลที่ทุยศรัทธา ภาพลักษณ์ของโจ มณฑนี ในสายตาของกลุ่มผู้คลั่งไคล้ กามิจ กาฝาก สก็อยกิมจิ คือบุคคลที่ทุยศรัทธา จะป.ตรี ดร. ก็นั่งฟังสิ่งที่โจ บรรยายกันสลอน ยิ่งฟังยิ่งน่านับถือ ยิ่งฟังยิ่งน่าศรัทธา โดยหารู้ไม่ สามสี่ชม.ต่อวันที่นั่งฟัง คุณกำลังเจอนักต้มมืออาชีพ ที่รอดตัวมานาน นั่นคือพฤติกรรมเหิมเกริมต่อกฏบ้านกฏเมือง สร้างโรงเรียนเถี่อน สร้างหลักสูตรเถี่ยน มีการแอบอ้าง ตั้งสถานศึกษาโดยไม่ได้ขออนุญาต มีการแอบอ้าง การสร้างหลักสูตรโดยไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน ซ้ำยังมีการเรียกรับค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว โดยอาศัยความศรัทธาที่บิดเบือน โดย โจ มณฑนี มีวุฒิการศึกษาเพียงม.ต้น จึงไม่สามารถจะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเปิด สถานศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการได้ นอกจากนั้น หลักสูตรที่ต้มพวกจิตอ่อน ล้วนไม่มีอยู่ในสารบบของกระทรวงศึกษา และนี่คือสิ่งที่โจทำไปโดยขาดความรู้ ขาดความเข้าใจ เพราะการเรียนในระบบ วุฒิเพียงม.ต้นเท่านั้น รวมถึง ค่าเรียนที่เรียกรับผลประโยชน์ ถึงหลักหมื่นถึงสองหมื่นกว่า ซึ่งเป็นรายได้ ที่มหาศาล ทั้งๆที่ตนเ่อง แอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ ให้คำปรึกษาด้านการเงิน ทำให้มีคนที่พลาดเชื่อ เข้ามา เพราะโจมณฑนี สร้างความเข้าใจผิด เพราะตัวโจเอง ไม่ได้จบแม้กระทั้ง ม.6 แม้บิดา จะพาไปเรียนสายอาชีพ คือปวช.1 โจก็ไม่เรียนให้สำเร็จ ไม่เคยคำนึงถึงความห่วงใยของบุพการี ส่งผลให้อาศัยเพียงแค่การเป็นคนที่ครูพักลักจำ รู้อย่างนู้นนิด อย่างนี้หน่อย ต่างประเทศยังไม่เคยไป แต่ก็อ้างตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา แค่ไปเรียนคอส ภาษาอังกฤษในประเทศระยะสั้น เพียงแค่นั้นเอง ดังนั้น พฤติการมิฉฉ๋าชีพนี้ มีความชัดเจนมาก ไม่ต่างอะไรกับพวกเข้าทรง ที่เคยออกโหนกระแส ที่อ้างว่าตนเองมีพลังจิต หยั่งรู้ฟ้าดิน เราคนไทย ต่างได้เห็นและต่างแสดงความขบขัน แต่มันไม่ขำตรงที่ โจ วุฒิม.ต้น ยังคงเรียกแรงศรัทธา จากผู้งายงม และเข้าไปอยู่ในเครือข่ายการฟอก เงินดาร์ค รับงานเอเจนซี่ของเกาหลี โดยหนึ่งในแผนคือ การให้ร้ายแน๊กชาลี ดาราหนุ่มของไทย แบน โปรดักไทยที่ให้แน๊กชาลีเป็นพลีเซ็นเตอร์ ด้วยกระบวนการไอโอ ยุซผี และเทรนทิพย์ ที่ไม่ใช่วิถีทางของสุจริตชน จึงเรียนถึงหน่วยงานที่มมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะหากยังปล่อยให้โจมณฑนี ที่มีพฤติกรรม ที่เป็นโจน พัฒนาไปสู่กลุ่มฟอกข้ามชาติ จะเกิดความเสียหายกับคนไทยและประเทศ #สำนักงานตำรวจแห่งชาติ #ปปง #DSi เพื่อชาติ เพื่อความถูกต้อง เพื่อประชาชนไทย #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1025 มุมมอง 0 รีวิว
  • #โจรับไอ่ลุงเป็นศิษย์อาจารย์
    เตี๊ยมกันเป็นชม. ถ่ายทอดวิชากันหนักมาก
    แล้วผลการเรียนจากโจ ดร.ม.ต้น
    ก็ออกมาประมาณนี้
    1. ไอ่นุ เมิงสำคัญตัวอะไรขนาดนั้นที่พี่หนุ่มเค้าจะต้องสนใจเอาไปออก
    2. คุณสมบัติเมิงคืออะไร คิด ไตร่ตรองดีๆ
    - แก่
    -คลั่งรักนักแสดงตต.เกาหลี รุ่นลูกรุ่นหลาน
    -เล่นงานให้ร้ายแน๊กชาลี
    -เป็นหนึ่งในหลายๆคนที่เล่นงานแน๊กแล้วได้ของขวัญชะโลมใจจากอิเหม็นเป็นสติ๊กเกอร์
    -แปะรูปอิเหวิงหลังประตูห้องน้ำเหมือนไอ้เปร็ต แล้วสำเร็จโทษตัวเอง
    ไอ่ลุง คุณสมบัติแค่นี้ไม่พอที่จะไปออกรายการเค้านะเว้ย
    ถ้าเค้าจะเอาลุงไปออก ก็เอาทุยตัวไหนไปออกก็ได้
    หรือจะใช้บารมี อิโจ ดร.มโน วุฒม.ต้น ว่าเป็นศิษย์อาจารย์กัน
    เมิงก็ไปเอง กรรูไม่ไป กรรรูไม่ว่าง
    คิดได้ไงยกไอ่โจเป็นอาจารย์
    ตัวอาจารย์วุฒ.ม.ต้นยังเอาตัวเองไม่รอดอยู่เนี่ย ไม่แหกตากดูเลย
    ไหนกรูต้องขุดอาจารย์เมิง ต้องขุดขบกเครือข่าย เอเจนซี่ และกลุ่มเงินดาร์ค พวกฟอก ข้ามชาติ กรรูไม่ได้มีเวลาว่างมากเหมือนเมิงนะวันๆไม่ทำห่านอะไร เอาแต่ให้ร้ายแน๊ก แล้วลิ้นห้อยรอคอยสติ๊กเกอร์ของขวัญจากอิเหวิงมาเป็นรางวัล
    เฮ้อ..พวกเมิงนี่นะ..ฮานาก้าาาาาาาาา
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #โจรับไอ่ลุงเป็นศิษย์อาจารย์ เตี๊ยมกันเป็นชม. ถ่ายทอดวิชากันหนักมาก แล้วผลการเรียนจากโจ ดร.ม.ต้น ก็ออกมาประมาณนี้ 1. ไอ่นุ เมิงสำคัญตัวอะไรขนาดนั้นที่พี่หนุ่มเค้าจะต้องสนใจเอาไปออก 2. คุณสมบัติเมิงคืออะไร คิด ไตร่ตรองดีๆ - แก่ -คลั่งรักนักแสดงตต.เกาหลี รุ่นลูกรุ่นหลาน -เล่นงานให้ร้ายแน๊กชาลี -เป็นหนึ่งในหลายๆคนที่เล่นงานแน๊กแล้วได้ของขวัญชะโลมใจจากอิเหม็นเป็นสติ๊กเกอร์ -แปะรูปอิเหวิงหลังประตูห้องน้ำเหมือนไอ้เปร็ต แล้วสำเร็จโทษตัวเอง ไอ่ลุง คุณสมบัติแค่นี้ไม่พอที่จะไปออกรายการเค้านะเว้ย ถ้าเค้าจะเอาลุงไปออก ก็เอาทุยตัวไหนไปออกก็ได้ หรือจะใช้บารมี อิโจ ดร.มโน วุฒม.ต้น ว่าเป็นศิษย์อาจารย์กัน เมิงก็ไปเอง กรรูไม่ไป กรรรูไม่ว่าง คิดได้ไงยกไอ่โจเป็นอาจารย์ ตัวอาจารย์วุฒ.ม.ต้นยังเอาตัวเองไม่รอดอยู่เนี่ย ไม่แหกตากดูเลย ไหนกรูต้องขุดอาจารย์เมิง ต้องขุดขบกเครือข่าย เอเจนซี่ และกลุ่มเงินดาร์ค พวกฟอก ข้ามชาติ กรรูไม่ได้มีเวลาว่างมากเหมือนเมิงนะวันๆไม่ทำห่านอะไร เอาแต่ให้ร้ายแน๊ก แล้วลิ้นห้อยรอคอยสติ๊กเกอร์ของขวัญจากอิเหวิงมาเป็นรางวัล เฮ้อ..พวกเมิงนี่นะ..ฮานาก้าาาาาาาาา #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1016 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทุยหน้ากระนูยแปลว่าทุยน่ารัก
    จากการหาข้อมูลถึงกระบวนการฟอกให้ขาวกับกลุ่มทุนดาร์คในประเทศ
    ต้องยอมรับในกลอุบายของกลุ่มนี้จริงๆ
    ปั้นนางเอกตกงานให้กลายเป็นขวัญใจคนไทย
    จากสตอรี่และการแสดง ที่เข้าถึงบทบาทสุดๆ
    และถึงแม้ว่า จะสร้างวีรกรรม จนดาราชายไทย
    ไม่สามารถให้ไปต่อได้ เพื่อปกป้องคนไทย
    จากกลุ่มเงินดาร์ค ที่อาศัยช่องโหว่ในการพีเคบิ๊กแม๊ต
    ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งฝั่งยุโรป และเอเชียรวมถึงตะวันออกกลาง
    เป็นข่าวโด่งดังที่ทั่วโลกต่างตื่นตัว
    แต่ก็มิวาย ด้วยพลังงบประมาณทุนดาร์ผ่านเอเจนซี่
    และมีคนอย่างโจมณฑนี ที่ยอมแลกทุกอย่างได้
    เพียงเพื่อผลประโยชน์ โดยไม่สนใจชะตากรรมของคนไทย
    และตัวเองต้องไปร่วมสร้างกรรมบาป จากที่มาของเงินดาร์ค
    แต่ข้อมูลส่วนหนึ่ง ที่ต้องพูดถึงก็คือ
    มีคำถามที่พี่คิงส์ตั้งโจทย์ไว้แต่แรก
    ว่าโจ เอเจนซี่ และกามิจ ใช้วิธีการไหน
    ที่ทำให้ทุย ยอมที่จะให้จูงจมูก
    หัวๆทำแบบได้ค่าตอบแทนแบบฉ่ำๆ
    แต่ไอ่พวกทุย008นี่ ไม่ได้ห่านอะไรเลย
    แต่ออกแรงเล่นงานแน๊กได้ทุกวี่วัน
    ไม่ว่าหัวดำหัวหงอก งานการไม่ทำหาแต่เรื่องให้แน๊กชาลี
    ยิ่งขุด ยิ่งพบว่า โจมณฑนี ใช้วิธีการกำหนดเป้า
    โดยจะส่ง 3 สิ่ง ให้ทุยที่ทุ่มเทในการเล่นงานแน๊กชาลี
    1. ให้ข้อมูลที่ผ่านการบิดเบือน และให้ร้าย โดยให้ทุกคนโพส
    เป็นเสียงเดียวกัน
    2. ให้ทีมยูซผี เข้ามาร่วมคอมเม้นซัพพอต เพื่อให้เพจ หรือช่องดูมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งถ้ากดเข้าไปดูโปรไฟล์ จะเห็นชัดเจนว่า ทิพย์
    และข้อที่ 3 คือคำตอบของคำถามว่าทำไม ทุยยอมพลี เพื่อ
    เพียงแค่สก็อยกิมจิไร้ค่า ที่วันนี้รู้นะ ว่าที่ผ่านมาคือการแสดง
    อิเหวิงไปออกทีวีที่เกาหลี ก็พูดชัดเจน เอเจนซี่ก็นั่งข้างๆ
    แต่ที่ยอม มาจากการสร้างทุย ให้น่ากระนูย
    จริงๆแล้ว มันเริ่มเทคนิคนี้จากห้อง DC
    โดย โจจะกำหนดเป้า MVp ที่กระเป๋าหนัก รู้พื้นเพว่าคนนี้ มีศักยภาพในการเปย์หนักๆ เมื่อกำหนดเป้าได้แล้ว และสร้างสถานการณ์จากเชียร์ชาลี และกามิจ มาดูความน่ารักของสองคน แต่เมื่อชาลี เบรคเรื่องบิ๊กแม็ต และไม่อยากให้แฟนคลับของเค้า ต้องเสียเงินมากมาย ให้พอได้สนุกๆกัน
    ซึ่งจุดนี้ ถือเป็นความขุ่นเคืองให้กับทั้งโจ เอเจนซี่ รวมถึงทุนดาร์ค ที่เวลานั้น พีเค อิเหวิงจัดบิ๊กแม็ตบ่อยมาก การฟอกที่สอดแทรกเข้ามาและทำการตกแต่งบัญชี กำลังไปได้สวย
    เมื่อโจ ได้คุยกับเอเจนซี่ จึงจะต้องแก้เกมส์ ด้วยการสร้างสตอรี่ใหม่
    ให้เป็นการบอกเล่าฉีกไปอีกทาง ว่าอิเหวิง เป็นเ..ยื่อ และชาลี เป็นตัวร้าย เป็นโ..คจิต
    หลังจากนั้น โจจะทำการชี้เป้าให้อิเหวิงทักเข้าไปในช่องแชทส่วนตัวของ Mvp คนนั้น แล้วส่งข้อความถึงลักษณะที่อ่อย "ฉันอยู่กับชาลีไม่มีความสุขเลย ฉันขอบคุณคุณมากๆที่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ" แฟนเพจลองคิดดู ทั้งการปั้นแต่งสตอรี่ของโจ ที่ทำให้อิเหวิง หรืออิเหม็น เป็นดังเทพธิดา
    แล้วเธอคนนั้นทักส่วนตัวมาถึงฉัน ซึ่งเปย์ได้แทบไม่อั้น จะเกิดอะไรขึ้น
    นั่นไง ไม่มีการแสดงความรักใดที่ชัดไปกว่าการส่งของขวัญ ความบังลัยจึงเกิดกับหลายครอบครัว
    และวิธีการเดียวกันนี้นี่เอง
    ทั้งๆที่อิเหวิงเอง อ่านภาษาไทยไม่ออก ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่คนเกาหลี หรือคนต่างชาติ มาอยู่ประเทศไทยที่เค้าอยากเรียนรู้ภาษาไทยจริงๆ แค่ไม่เกินสามเดือน ก็พูดได้แล้ว แต่นี่ มาเจ็ดแปดเดือน ภาษาไทยยังไม่ได้เท่าเด็กอนุบาลสามเลย ตอนมารู้แค่ไหน ตอนนี้แม่มรู้เท่าเดิม ไม่มีพัฒนาการห่านอะไรส่วนทางกับที่ซุยว่าเรียนได้เอบวก สรุปเอบวกที่ทุยเป็นซุยขรี้สิงอะ
    มันเกรดการเรียน หรือเป็นผลเลือดไม่แน่ใจ
    มาต่อกันที่ สรุปว่า มันก็ยังอ่านภาษาไทยฟังภาษาไทยไม่ออก
    แต่สามารถรู้เป้าว่า ทุยพลี ที่ไม่ได้สะตุ้งสะตางค์
    แต่เล่นแน๊กแรงๆ แบบไม่กลัวกฏมงกฏหะมายอะไรเลย
    แล้วทำยังไงครับ "ส่งติ๊กเกอร์ ดอกไม้ ของขวัญ" เป็นการส่งกำลังใจ
    อย่างที่ไอ่โจ มันให้สัมภาษณ์ ก็ไม่ผิดหรอกที่บอกว่า
    อิเหวิง ไม่เคยทำอะไรไม่เคยพูดถึงชาลีไม่ดีเลย
    ก็ใช่ ก็ถูก ก็เมิงอยู่เบื้องหลัง ในการเชียร์นี่ไง
    ใช้ปากทุยพลีพูด แล้วทุยพลีที่ไม่ตังค์อะนะ
    พออิเหวิงทักมาเท่านั้นแหละ โอ๊ย โพสโชว์กันใหญ่
    หารู้ไม่ นั่นแหละหลักฐานตัวดีเลย ฟังภาษาไทยไม่ออก
    อ่านภาษาไทยไม่ได้ แล้วเมิงรู้ได้ไง ว่าคนไทยพิมพ์ห่านอะไร
    ถูกเป้าทุยพลีทุกตัว ไม่พลาดแม้แต่ตัวเดียว
    จนบางคน ทนไม่ไหว ควักตังค์เก็บ ที่กำลังร่อยหรอ
    เพราะวันๆไม่ทำงานทำการ ไปเข้าร้านสติ๊กเกอร์
    สั่งปริ๊นไวนิลรูปอิเหวิง 2 พีช ไว้ในห้องน้ำ
    เอาไว้สำเร็จโทษตัวเอง โครตไปกันใหญ่เลย
    เชื่อมั๊ย แม้กระทั่ง วัยรุ่นทรงเอ ที่ออกอาการพูดแบบคลั่งๆอะ
    ยังได้เลย ไอ่สติ๊กเกอร์จากแชทส่วนตัวอิเหวิง
    หรือลุงแก่ๆ ที่ชื่อเพจ ต้องสอนให้คนประดิษฐ์นั่นนี่
    แต่เอามาใช่ให้ร้ายแน๊ก แบบรัวๆ ทุกวันอีกตะหาก
    หรือจะคนหน้าลอยที่เหมือนทางแป้งผิดเบอร์
    คิวขมวดตลอดเวลา ที่พูดวนไปวนมา
    ทำเหมือนมีของ แต่ไม่มีห่านอะไรเลยอะนะ
    ยังได้ติ๊กเกอร์ ได้ของขวัญส่วนตัวจากอิเหวิงเลย
    เป็นไง ถ้าโจมณฑนีไม่ชี้เป้า จะไม่มีทางที่อิเหวิง
    จะส่งแชทส่วนตัวแบบนี้ไปแน่นอน เพราะมันฟังม่ายออก อิฉัด
    อย่างบาปเลย ล้อเล่นกับหัวใจทุย
    พี่คิงส์ จึงต้องไปหาข้อมูลเพื่อปลอบใจทุยทุกคน
    โดยเฉพาะทุยพลี ที่อาลาวาด เสี่ยงซึ่งซังเตอย่างมาก
    แล้วจะมีเดินเข้าคอกเป็นทิวแถวอีกไม่นาน
    คำนั้น เป็นภาษาไทย+ภาษาขแมร์
    ซึ่งตรงกับบุคลิกที่มีความจริงใจต่อน้องกามินอย่างมาก
    เทิดทูนขนาด เรียกนายหญิงกันตลอดว่า
    ทุยหน้ากระนูย ก็เอาไว้เรียกกันทักกันระหว่าง
    ทุยกับทุยครับ มันแปลว่า
    "ทุยน่ารัก" ครับ
    ราตรีสวัสดิ์ ทุยหน้ากระนูย
    ราตรีสวัสดิ์ แฟนเพจที่พี่คิงส์รักสุดใจ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ทุยหน้ากระนูยแปลว่าทุยน่ารัก จากการหาข้อมูลถึงกระบวนการฟอกให้ขาวกับกลุ่มทุนดาร์คในประเทศ ต้องยอมรับในกลอุบายของกลุ่มนี้จริงๆ ปั้นนางเอกตกงานให้กลายเป็นขวัญใจคนไทย จากสตอรี่และการแสดง ที่เข้าถึงบทบาทสุดๆ และถึงแม้ว่า จะสร้างวีรกรรม จนดาราชายไทย ไม่สามารถให้ไปต่อได้ เพื่อปกป้องคนไทย จากกลุ่มเงินดาร์ค ที่อาศัยช่องโหว่ในการพีเคบิ๊กแม๊ต ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งฝั่งยุโรป และเอเชียรวมถึงตะวันออกกลาง เป็นข่าวโด่งดังที่ทั่วโลกต่างตื่นตัว แต่ก็มิวาย ด้วยพลังงบประมาณทุนดาร์ผ่านเอเจนซี่ และมีคนอย่างโจมณฑนี ที่ยอมแลกทุกอย่างได้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ โดยไม่สนใจชะตากรรมของคนไทย และตัวเองต้องไปร่วมสร้างกรรมบาป จากที่มาของเงินดาร์ค แต่ข้อมูลส่วนหนึ่ง ที่ต้องพูดถึงก็คือ มีคำถามที่พี่คิงส์ตั้งโจทย์ไว้แต่แรก ว่าโจ เอเจนซี่ และกามิจ ใช้วิธีการไหน ที่ทำให้ทุย ยอมที่จะให้จูงจมูก หัวๆทำแบบได้ค่าตอบแทนแบบฉ่ำๆ แต่ไอ่พวกทุย008นี่ ไม่ได้ห่านอะไรเลย แต่ออกแรงเล่นงานแน๊กได้ทุกวี่วัน ไม่ว่าหัวดำหัวหงอก งานการไม่ทำหาแต่เรื่องให้แน๊กชาลี ยิ่งขุด ยิ่งพบว่า โจมณฑนี ใช้วิธีการกำหนดเป้า โดยจะส่ง 3 สิ่ง ให้ทุยที่ทุ่มเทในการเล่นงานแน๊กชาลี 1. ให้ข้อมูลที่ผ่านการบิดเบือน และให้ร้าย โดยให้ทุกคนโพส เป็นเสียงเดียวกัน 2. ให้ทีมยูซผี เข้ามาร่วมคอมเม้นซัพพอต เพื่อให้เพจ หรือช่องดูมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งถ้ากดเข้าไปดูโปรไฟล์ จะเห็นชัดเจนว่า ทิพย์ และข้อที่ 3 คือคำตอบของคำถามว่าทำไม ทุยยอมพลี เพื่อ เพียงแค่สก็อยกิมจิไร้ค่า ที่วันนี้รู้นะ ว่าที่ผ่านมาคือการแสดง อิเหวิงไปออกทีวีที่เกาหลี ก็พูดชัดเจน เอเจนซี่ก็นั่งข้างๆ แต่ที่ยอม มาจากการสร้างทุย ให้น่ากระนูย จริงๆแล้ว มันเริ่มเทคนิคนี้จากห้อง DC โดย โจจะกำหนดเป้า MVp ที่กระเป๋าหนัก รู้พื้นเพว่าคนนี้ มีศักยภาพในการเปย์หนักๆ เมื่อกำหนดเป้าได้แล้ว และสร้างสถานการณ์จากเชียร์ชาลี และกามิจ มาดูความน่ารักของสองคน แต่เมื่อชาลี เบรคเรื่องบิ๊กแม็ต และไม่อยากให้แฟนคลับของเค้า ต้องเสียเงินมากมาย ให้พอได้สนุกๆกัน ซึ่งจุดนี้ ถือเป็นความขุ่นเคืองให้กับทั้งโจ เอเจนซี่ รวมถึงทุนดาร์ค ที่เวลานั้น พีเค อิเหวิงจัดบิ๊กแม็ตบ่อยมาก การฟอกที่สอดแทรกเข้ามาและทำการตกแต่งบัญชี กำลังไปได้สวย เมื่อโจ ได้คุยกับเอเจนซี่ จึงจะต้องแก้เกมส์ ด้วยการสร้างสตอรี่ใหม่ ให้เป็นการบอกเล่าฉีกไปอีกทาง ว่าอิเหวิง เป็นเ..ยื่อ และชาลี เป็นตัวร้าย เป็นโ..คจิต หลังจากนั้น โจจะทำการชี้เป้าให้อิเหวิงทักเข้าไปในช่องแชทส่วนตัวของ Mvp คนนั้น แล้วส่งข้อความถึงลักษณะที่อ่อย "ฉันอยู่กับชาลีไม่มีความสุขเลย ฉันขอบคุณคุณมากๆที่อยู่เคียงข้างฉันเสมอ" แฟนเพจลองคิดดู ทั้งการปั้นแต่งสตอรี่ของโจ ที่ทำให้อิเหวิง หรืออิเหม็น เป็นดังเทพธิดา แล้วเธอคนนั้นทักส่วนตัวมาถึงฉัน ซึ่งเปย์ได้แทบไม่อั้น จะเกิดอะไรขึ้น นั่นไง ไม่มีการแสดงความรักใดที่ชัดไปกว่าการส่งของขวัญ ความบังลัยจึงเกิดกับหลายครอบครัว และวิธีการเดียวกันนี้นี่เอง ทั้งๆที่อิเหวิงเอง อ่านภาษาไทยไม่ออก ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งๆที่คนเกาหลี หรือคนต่างชาติ มาอยู่ประเทศไทยที่เค้าอยากเรียนรู้ภาษาไทยจริงๆ แค่ไม่เกินสามเดือน ก็พูดได้แล้ว แต่นี่ มาเจ็ดแปดเดือน ภาษาไทยยังไม่ได้เท่าเด็กอนุบาลสามเลย ตอนมารู้แค่ไหน ตอนนี้แม่มรู้เท่าเดิม ไม่มีพัฒนาการห่านอะไรส่วนทางกับที่ซุยว่าเรียนได้เอบวก สรุปเอบวกที่ทุยเป็นซุยขรี้สิงอะ มันเกรดการเรียน หรือเป็นผลเลือดไม่แน่ใจ มาต่อกันที่ สรุปว่า มันก็ยังอ่านภาษาไทยฟังภาษาไทยไม่ออก แต่สามารถรู้เป้าว่า ทุยพลี ที่ไม่ได้สะตุ้งสะตางค์ แต่เล่นแน๊กแรงๆ แบบไม่กลัวกฏมงกฏหะมายอะไรเลย แล้วทำยังไงครับ "ส่งติ๊กเกอร์ ดอกไม้ ของขวัญ" เป็นการส่งกำลังใจ อย่างที่ไอ่โจ มันให้สัมภาษณ์ ก็ไม่ผิดหรอกที่บอกว่า อิเหวิง ไม่เคยทำอะไรไม่เคยพูดถึงชาลีไม่ดีเลย ก็ใช่ ก็ถูก ก็เมิงอยู่เบื้องหลัง ในการเชียร์นี่ไง ใช้ปากทุยพลีพูด แล้วทุยพลีที่ไม่ตังค์อะนะ พออิเหวิงทักมาเท่านั้นแหละ โอ๊ย โพสโชว์กันใหญ่ หารู้ไม่ นั่นแหละหลักฐานตัวดีเลย ฟังภาษาไทยไม่ออก อ่านภาษาไทยไม่ได้ แล้วเมิงรู้ได้ไง ว่าคนไทยพิมพ์ห่านอะไร ถูกเป้าทุยพลีทุกตัว ไม่พลาดแม้แต่ตัวเดียว จนบางคน ทนไม่ไหว ควักตังค์เก็บ ที่กำลังร่อยหรอ เพราะวันๆไม่ทำงานทำการ ไปเข้าร้านสติ๊กเกอร์ สั่งปริ๊นไวนิลรูปอิเหวิง 2 พีช ไว้ในห้องน้ำ เอาไว้สำเร็จโทษตัวเอง โครตไปกันใหญ่เลย เชื่อมั๊ย แม้กระทั่ง วัยรุ่นทรงเอ ที่ออกอาการพูดแบบคลั่งๆอะ ยังได้เลย ไอ่สติ๊กเกอร์จากแชทส่วนตัวอิเหวิง หรือลุงแก่ๆ ที่ชื่อเพจ ต้องสอนให้คนประดิษฐ์นั่นนี่ แต่เอามาใช่ให้ร้ายแน๊ก แบบรัวๆ ทุกวันอีกตะหาก หรือจะคนหน้าลอยที่เหมือนทางแป้งผิดเบอร์ คิวขมวดตลอดเวลา ที่พูดวนไปวนมา ทำเหมือนมีของ แต่ไม่มีห่านอะไรเลยอะนะ ยังได้ติ๊กเกอร์ ได้ของขวัญส่วนตัวจากอิเหวิงเลย เป็นไง ถ้าโจมณฑนีไม่ชี้เป้า จะไม่มีทางที่อิเหวิง จะส่งแชทส่วนตัวแบบนี้ไปแน่นอน เพราะมันฟังม่ายออก อิฉัด อย่างบาปเลย ล้อเล่นกับหัวใจทุย พี่คิงส์ จึงต้องไปหาข้อมูลเพื่อปลอบใจทุยทุกคน โดยเฉพาะทุยพลี ที่อาลาวาด เสี่ยงซึ่งซังเตอย่างมาก แล้วจะมีเดินเข้าคอกเป็นทิวแถวอีกไม่นาน คำนั้น เป็นภาษาไทย+ภาษาขแมร์ ซึ่งตรงกับบุคลิกที่มีความจริงใจต่อน้องกามินอย่างมาก เทิดทูนขนาด เรียกนายหญิงกันตลอดว่า ทุยหน้ากระนูย ก็เอาไว้เรียกกันทักกันระหว่าง ทุยกับทุยครับ มันแปลว่า "ทุยน่ารัก" ครับ ราตรีสวัสดิ์ ทุยหน้ากระนูย ราตรีสวัสดิ์ แฟนเพจที่พี่คิงส์รักสุดใจ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 571 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ภาพกับเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
    เนื้อหาได้มาจากที่นึง
    ส่วนภาพ เป็นภาพของ ตต.เกอร์ ไอดอล
    ชื่อดับ ชาวเกาหลี เป็นภาพก่อนที่เธอมาทำการแสดง
    ให้คนไทยได้เอ็นดู
    ประวัติ เธอเรียนป.โท การแสดง
    เนื่องจากอายุขึ้นเลข 3 ทำให้ การเป็นตัวประกอบ
    และแดนเซอร์ปลายแถว ไม่สมหวัง
    ภาพนี้อยู่ในไอจีของเธอ เมื่อกพ.ปีที่แล้ว
    ตอนนั้นเธอไปญี่ปุ่นเป็นเดือนๆ
    ค่าเทอมไม่มีจ่าย แต่ไปอยู่ญี่ปุ่นยังไม่ไม่ทราบได้
    เป็นเดือนๆ แถมติด ปาจิงโกะงอมแงม
    จนตัดสินใจว่า จะไม่เป็นละ นักสะดงนักแสดง นักเต้น
    เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ คือการสักสัญลักษณ์
    ของปากจิงโกะลงบนตัว เพื่อโชคลาภ
    แล้วตอนหลัง เห็นช่องทางมาไลฟ์หากินในตต.
    ก็จะคล้ายๆคะหรี่ตกเกรด ที่ต้องหาทางออกของชีวิตให้ได้
    และด้วยการเรียนการแสดง จึงทำให้เข้าถึงบทบาท
    จากสาวสก็อย แปลงร่างเป็น สาวน้อยแบ๊วๆ
    จนบางทีหลุดไปถึงกับ ปญอ.เหมือนฉาบขวบก็มีซีนให้เห็น
    มีเอเจนซี่คอยกำกับการแสดง
    แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพจคิงส์โพธิ์แดง
    มาจากไหนไม่ทราบได้ ออกมาขุดเรื่องของเธอ
    ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ ได้ตื่นรู้
    แต่ก็ยังคงมีทุยไทยจำนวนไม่น้อย
    รู้นะ มีเอเจนซี่ รู้นะว่าเป็นการแสดง
    แต่ก็ยังไม่อยากตื่นมาเผชิญโลกแห่งความจริง
    มีหัวหน้าทุยชื่อ โจมณฑานี
    จบข่าว
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง รายงาน
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ภาพกับเนื้อหาไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด เนื้อหาได้มาจากที่นึง ส่วนภาพ เป็นภาพของ ตต.เกอร์ ไอดอล ชื่อดับ ชาวเกาหลี เป็นภาพก่อนที่เธอมาทำการแสดง ให้คนไทยได้เอ็นดู ประวัติ เธอเรียนป.โท การแสดง เนื่องจากอายุขึ้นเลข 3 ทำให้ การเป็นตัวประกอบ และแดนเซอร์ปลายแถว ไม่สมหวัง ภาพนี้อยู่ในไอจีของเธอ เมื่อกพ.ปีที่แล้ว ตอนนั้นเธอไปญี่ปุ่นเป็นเดือนๆ ค่าเทอมไม่มีจ่าย แต่ไปอยู่ญี่ปุ่นยังไม่ไม่ทราบได้ เป็นเดือนๆ แถมติด ปาจิงโกะงอมแงม จนตัดสินใจว่า จะไม่เป็นละ นักสะดงนักแสดง นักเต้น เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ คือการสักสัญลักษณ์ ของปากจิงโกะลงบนตัว เพื่อโชคลาภ แล้วตอนหลัง เห็นช่องทางมาไลฟ์หากินในตต. ก็จะคล้ายๆคะหรี่ตกเกรด ที่ต้องหาทางออกของชีวิตให้ได้ และด้วยการเรียนการแสดง จึงทำให้เข้าถึงบทบาท จากสาวสก็อย แปลงร่างเป็น สาวน้อยแบ๊วๆ จนบางทีหลุดไปถึงกับ ปญอ.เหมือนฉาบขวบก็มีซีนให้เห็น มีเอเจนซี่คอยกำกับการแสดง แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เพจคิงส์โพธิ์แดง มาจากไหนไม่ทราบได้ ออกมาขุดเรื่องของเธอ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ ได้ตื่นรู้ แต่ก็ยังคงมีทุยไทยจำนวนไม่น้อย รู้นะ มีเอเจนซี่ รู้นะว่าเป็นการแสดง แต่ก็ยังไม่อยากตื่นมาเผชิญโลกแห่งความจริง มีหัวหน้าทุยชื่อ โจมณฑานี จบข่าว #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง รายงาน #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 677 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้….

    ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!!

    ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ
    ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน
    ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน
    ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า……
    “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……”
    ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน
    เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore)
    เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..…

    เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน
    2001 ที่ Ljubljana, Slovenia
    คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น
    ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม)
    แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ
    เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

    ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร?
    เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย”
    ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้
    เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร……

    ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย
    และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ
    ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ

    ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม
    พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง

    หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย
    บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง)
    อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน
    ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ
    ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน
    และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan
    ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง
    เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น
    ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต
    เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000
    ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี
    ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า
    “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ
    และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…”

    การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช)
    ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม
    และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน
    ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน)
    ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ
    ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ…

    รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย)
    แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น
    อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง…
    และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน
    American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า
    “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……”
    “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..”
    “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..”
    แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป

    สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม
    และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน
    ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน
    เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า
    “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “
    และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย

    แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า
    นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ
    ABM (Anti-Ballistic Missile)
    เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี..

    การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น
    จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน
    ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก)
    โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที
    ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง
    แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู
    และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้
    พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา
    ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย
    และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า
    ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!!

    ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์
    เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก)
    เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร
    เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม
    คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์
    ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……”
    เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร

    ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ
    ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก
    เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?”
    คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ……
    ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย
    วิตก……
    กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก
    เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ

    ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา
    ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย
    กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้
    ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!!
    การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย
    แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน
    มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง
    แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี

    ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่
    ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน
    ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ
    ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข
    แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ)
    เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย

    คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..”
    ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น
    ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว
    เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!!
    และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…)
    ว่า……

    “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………”

    **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006

    Wiwanda W. Vichit
    จะบอกติ่งๆทั้งหลายว่า……โหด……มัน……ฮานิดหน่อย ไม่มีใครเกินพี่ปูคนนี้…. ตอนสิบสอง……สู่บัลลังก์อำนาจ ด้วยการผ่านอุปสรรคที่เกิดขึ้นรายวัน……ไม่ว่าบู๊……ว่าบุ๋น……!!! ประธานาธิบดีบุชได้โทรกลับมา ปูตินได้แสดงความเสียใจและเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจริงใจ ความโกรธ ความชังอเมริกันที่นาโต้ไปบอมบ์ที่ Kosovo ก็พักไว้ก่อน ประชาชนชาวรัสเซียได้นำดอกไม้ไปวางเพื่อแสดงความเสียใจที่หน้าสถานทูตอเมริกาเป็นกองพะเนิน ปูตินได้ย้ำกับปธน. บุช ว่า…… “ในช่วงเวลาที่วุ่นวาย โหดร้ายเช่นนี้ ……เราจะยืนหยัดสู้ไปด้วยกัน……” ที่ลึกๆแล้ว……ปูตินมีความประทับใจในประธานาธิบดีบุชอยู่เป็นทุน เนื่องจากตอนที่บุชหาเสียงในปี 1999 (คู่แข่งคือ นาย Al Gore) เขาได้ประกาศนโยบายว่า ……จะไม่ยุ่งกับสงครามเชเชน..… เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่จึงได้พบกันเป็นครั้วแรกใน เดือนมิถุนายน 2001 ที่ Ljubljana, Slovenia คราวนี้ต่างคนต่างเตรียมตัวมาดี ในการ(แอบ) อ่านประวัติส่วนตัวของคู่สนทนากันมา เช่น ปูตินชวนบุชคุยถึงเรื่องรักบี้ (เพราะเป็นกีฬาโปรดสมัยหนุ่ม) แต่บุชมาเหนือกว่า……เขาถามปูตินถึงเรื่อง”กางเขน” ที่ถูกไฟไหม้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนจะทราบ เล่นเอาปูติน…งงไปพักนึง(นับว่าการข่าวของอเมริกันนั้น เชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง ต่อภายหลังเมื่อมีคนถามบุช…ว่า คิดว่าคนอย่างปูตินเป็นอย่างไร? เขาตอบว่า เป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนที่มั่นคงกับการเห็นชาติพัฒนาไปในทางที่ดี ผมชอบเขานะ……ได้เขิญเขามาเที่ยวที่บ้านไร่ในเท็กซัสด้วย” ทั้งๆที่งานนี้……มีแต่คนสงสัยว่า จะเชื่อปูตินได้ยังไง ในเมื่อ KGB เก่าพวกนี้ เขาไม่เคยพูดความจริงอะไรกับใคร…… ในช่วงของการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ปูตินเดินทางไปทั่วรัสเซีย และอีก 18 ประเทศ ที่มีลุดมิลาเคียงคู่ไปด้วย เป็นการประกาศกลายๆ ว่าโลกได้ปลอดจากสงครามเย็นไปแล้ว และตอนนี้รัสเซียพร้อมที่จะเปิดกว้างกับการที่จะก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาอย่างเต็มสูบ ในปี 2001 ปูตินปิดหน่วยงาน(โซเวียต) ที่ คิวบา, เวียดนาม พร้อมทั้งหันมาพัฒนากองทัพเต็มรูปแบบ และเพิ่มประสิทธิภาพทางฝั่งเหนือของคอร์เคซัส ในการที่จะส่ายตาหากลุ่มอิสลามหัวรุนแรง หลังจากวิกฤต 9/11 ปูตินอ่อนข้อให้กับการขยายเขตแดนของนาโต้ ที่ก้าวเข้ามากวาด Lithuania, Latvia, Estonia ที่อยู่ติดกับรัสเซีย บางครั้งปูตินยังเคยบอกว่า……รัสเซียเองก็สนใจที่จะเข้าร่วมในนาโต้ด้วยเช่นกัน (ไม่รู้ว่าประชด หรือ พูดจริง) อเมริกาได้เปิดฉากทำสงครามล้างแค้นกับกลุ่มอัลเคดะห์ และ กลุ่มตาลีบัน ในอาฟกานิสถาน ในเดือนตุลาคม ที่ปูตินได้ช่วยทั้งเงินและอาวุธ ช่วยกองทัพอัฟกันในการต่อต้านกับตาลีบัน และได้โอนอ่อน…ไม่ขัดขวางเมื่อกองทัพอเมริกันมาตั้งฐานที่ Uzbekistan และ Kyrgyzstan ซึ่งนี่คือประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่กองทัพอเมริกันได้เข้ามาเหยียบในแผ่นดินฝั่งนี้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับเรือดำน้ำ Kursk ปูตินได้หันมาจี้เรื่องกองทัพด้วยตัวเอง เขาปลดพวกนายพลเช้าชามเย็นชามออกไปเป็นแผง เพิ่มเงินเดือนให้กับทหารรุ่นใหม่ พร้อมสวัสดิการอัดแน่น ทำเพลงชาติให้มีเนื้อเพลงคำร้อง ให้ทันสมัย ให้พ้นไปจากเงาของโซเวียต เพราะตอนที่นักกีฬารัสเซียไปแข่งในโอลิมปิคที่ซิดนีย์ ในปี 2000 ได้เหรียญมากันทุกชนิด แต่เวลาขึ้นแท่นรับเหรียญ ไม่สามารถร้องเพลงชาติได้ เพราะมีแต่ดนตรี ชาวรัสเชี่ยนเริ่มมีชีวิตชีวากับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และชื่นชมปูตินที่เขาได้พูดถึงก้าวใหม่นี้ว่า “ใครก็ตามที่ไม่รู้สึกรู้สมกับความล่มสลายของโซเวียต คือคนไม่มีหัวใจ และใครก็ตามที่ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า…คือคนไม่มีสมอง…” การปฏิวัติทางด้านกองทัพ เขาได้แต่งตั้ง Sergei Ivanov (KGB เพื่อนเก่าและร่วมมหาวิทยาลัย เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษ และ สวีดิช) ขึ้นมาคุมกำลัง เป็น รัฐมนตรีกลาโหม และฝ่ายงบประมาณกองทัพ คือ Lyubov Kudelina เพื่อมาดูแลเรื่องเงิน ส่วนนายพลที่มีประวัติมือไม่สะอาด เช่นYevgeny Adamov (สมัยเยลซิน) ที่มีส่วนพัวพันกับเปอร์เซ็นต์ในงบสร้างฐานนิวเคลียร์ พร้อมกับคนอื่นๆ ถูกส่งเข้าเก็บกรุนายพลที่ไร้สมรรถภาพ… รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ อิวานอฟ ทำงานเร็วทันใจ เพียงสามวันหลังจากเหตุการณ์ 9/11 เขาได้ส่งสัญญาณให้ปูตินทราบว่า อเมริกากำลังขยายกำลังของนาโต้เข้ามาในส่วนของฝั่งชายขอบเอเซียกลาง (กลุ่มประเทศที่ลงท้ายด้วยคำว่า สถาน ทั้งหลาย) แต่ปูติน……มองเห็นว่า การสร้างสัมพันธภาพอันดีกับบุช คือสิ่งจำเป็น อย่างอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง… และการที่จะสร้างสัมพันธไมตรีอันดี อย่างแรกเลยที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยการเรียนภาษาอังกฤษวันละหนึ่งชั่วโมงที่สถาบัน American Diplomacy and Commerce และเขาได้ใช้เป็นครั้งแรกในการสนทนากับบุช ในภาษาอังกฤษสำเนียงรัสเซียปนเยอรมันว่า “ผมเห็นว่าคุณตั้งชื่อลูกสาวตามชื่อแม่ และ แม่ยายของคุณ……” “นั่นซิ…ก็ผมมันเป็นนักการเมืองชั้นเยี่ยมไงล่ะ..” “เออ……ใช่จริงๆ เพราะของผมก็เหมือนกัน..” แล้วสองคนก็หัวเราะเฮฮากันไป สองคนนี้ได้พบกันอีกครั้งเมื่อการประชุม Asia-Pacific Economic Cooperation Summit ที่เซี่ยงไฮ้ ในเดือนตุลาคม และได้คุยกันถึงเรื่องการสร้าง(จำนวน) ซ้อม(ยิง) นิวเคลียร์ที่ยังไม่ชัดเจน ที่ทำให้ประธานาธิบดีบุช ต้องเชิญปูตินไปยังทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกาในเดือน พฤศจิกายน เขาได้ไปเยี่ยมไร่ของบุชที่เท๊กซัสเป็นการส่วนตัว มีการเลี้ยงปิ้งย่าง บาร์บีคิว ปูตินได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้คนไหนถึงในบ้านเลย…นับว่าเป็นโชคดีที่ได้มาถึงที่นี่ “ และเขาได้ไปดูตึกที่ถล่มทลายและได้แสดงความอาลัย แต่.…เพียงสามอาทิตย์ต่อมา บุชได้โทรศัพท์มาถึงปูติน บอกว่า นโยบายทางเพนตากอนได้มีมติให้อเมริกาถอนตัวไม่เข้าร่วมกับโครงการ ABM (Anti-Ballistic Missile) เท่ากับว่า….ปูตินถูกอเมริกาเทอย่างหน้าตาเฉย…ทั้งๆที่เริ่มต้นทำท่าจะดี.. การก่อกวนในเชเชนหลังจากสงครามยังไม่หยุด กลุ่มหัวรุนแรงได้เริ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ปูตินได้ประกาศว่า ต้องยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น จึงทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำเป็นขบวนการใต้ดิน ที่ทำให้เกิดการจับคนดูเป็นตัวประกันที่ โรงละคร Palace of Culture ในกรุงมอสโคว์ วันที่ 24 ตุลาคม 2002 ที่กำลังแสดงละครย้อนยุคที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล บัตรใบละ 15 ดอลล่าร์ (เทียบเท่า ที่นับว่าแพงมาก) โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายแต่งกายเป็นคนงาน ขึ้นไปบนเวที ท่ามกลางความสับสนของคนดู ที่คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง แต่.…คณะผู้ก่อการร้ายในการนำของ Movsar Barayev** ได้กราดกระสุน AK-47 ขึ้นไปบนเพดาน และประกาศว่า ประตูทุกบานได้มีสลักระเบิดผูกติดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเสื้อคลุมสีดำ ได้ก้าวเข้ามาอยู่กลางกลุ่มคนดู และเปิดเสื้อคลุมให้เห็นว่า ข้างในนั้น ร่างของเธอได้ผูกติดระเบิดเอาไว้ พร้อมที่จะดึงสลัก หากว่า……มีเจ้าหน้าที่จู่โจมเข้ามา ทั้งประกาศก้องว่า….ในนามพระอัลลาห์ พวกเราตายหนึ่ง แต่จะเกิดร้อย และถ้าใครมีโทรศัพท์……ให้โทรไปบอกครอบครัวได้เลยว่า ต้องตายเพราะสงครามเชเชน และถ้าอยากรอด……หนทางเดียวคือรัสเซียต้องถอนทัพออกไป เลิกสงครามทันที…!!! ปูตินอยู่ในสภาพที่หลังชนกำแพง จากที่กองทัพทำสงครามยืดเยื้อในเชเชน……หน่วย FSB ที่ทำงานประสาอะไรปล่อยให้ผู้ก่อการร้ายเข้ามาถึงในมอสโคว์ เขายกเลิกแผนการเดินทางทั้งหมด (ที่จะไป เยอรมัน,โปรตุเกส และ เม๊กซิโก) เรียกหน่วยข่าวกรอง บรรดาสายลับทั้งหลาย และตัวหัวหน้า Nikolai Patrushev เข้ามาพบโดยด่วน เตรียมการบุกโรงละคร เรียกหน่วยคอมมานโดให้เตรียมพร้อม คนค้าน……คือ นายกรัฐมนตรี Mikhaïl Kasyanov ด้วยเกรงว่าการทำอย่างนี้เสี่ยงเกินไป ผู้บริสุทธิ์อาจจะได้รับเคราะห์ ปูตินบอกว่า “ถ้าป๊อด……ก็ออกไปห่างๆเลย……” เขาได้ส่งท่านนายกรัฐมนตรีมิเกล ออกไปประชุมแทนในตามรายชื่อประเทศ…จะได้ไม่ต้องมารับรู้อะไร ข้างในโรงละคร…ในกลุ่มคนดู ก็มีบุคคลสำคัญหลายคนในหลายวงการ ส่วนผู้ที่ได้ถูกปล่อยตัวออกมา คือ กลุ่มเด็กเล็กจำนวน 39 คน ที่ได้ให้การว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น ที่เติบโตมากับสงครามในคอร์เคซัส ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก เมื่อถูกถามว่า “ที่อยากให้เลิกสงคราม หมายความว่าอะไร..เพื่อ..?” คนกลุ่มนั้น ตอบไม่ได้ ลังเล ไม่แน่ใจ…… ในวันที่สองของการจับตัวประกัน ที่ทุกคนเริ่มอ่อนล้า หิวโหย กระหาย วิตก…… กลุ่มก่อการร้ายได้สังหารคนไปหลายคน ที่พยายามหาทางออก เจ้าหน้าที่ได้เจรจาขอให้มีการส่งอาหารและน้ำได้สำเร็จ ตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่ทุกคนกำลังหลับ อ่อนแรง เตรียมพร้อมกับการที่จะเจรจาในตอนสิบโมงเช้า ตามที่เครมลินได้ส่งข่าวมา ทางหน่วยคอมมานโดที่ได้เจาะอุโมงค์ใต้ดินเข้าไปจากอาคารข้างๆ และได้ติดไมโครโฟนดักฟังจนรู้ตำแหน่งของผู้ก่อการร้าย กังวลที่สุด คือ อาคารทั้งหลังอาจจะระเบิดขึ้นมาได้ ปูตินได้สั่งการเด็ดขาดว่า……จับตายทั้งหมดเท่านั้น……!! การใช้ ยาสลบ fentanyl ที่เป็นอาวุธชนิดหนึ่งของ FSB ได้ทำการแสดงฝีมือ คือ ฉีดส่งเข้าไปในท่อระบายอากาศ ที่ทำให้ทุกคนหลับแบบร่วงผล็อย แต่กลุ่มที่ระวังอยู่ด้านนอก มีการปะทะดุเดือด กลุ่มผู้ก่อการร้าย 41 คน มีกระสุนเจาะที่สมอง…… ตัวหัวหน้า Barayev ได้ถูกสังหารในวันคล้ายวันเกิดของตัวเอง แต่ตัวประกันได้เสียชีวิตไปกว่าร้อยคน จากการโดนสังหารของผู้ก่อการร้าย และ บางคนเสียชีวิตเพราะสารยาสลบ เพราะมีอายุ และสุขภาพที่ไม่ดี ปูตินได้ออกโทรทัศน์ เพื่อทำการขอโทษประชาชนที่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตได้ทุกคน ……แต่รัสเซียจะไม่ยอมให้หน้าไหนมาหยาม..!! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันได้บอกกับปูตินว่าสงครามได้มาในรูปแบบใหม่ ที่ได้ก้าวล่วงเข้ามาก่อกวนในประเทศ และที่นอกประเทศในขอบชายแดน ก็ขยายวงขึ้นเพราะการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกแผ่นดิน ปูตินไม่มีทางอื่น นอกจากต้องหักเท่านั้น……ไม่มีงอ ข่าวนี้……ทำให้ Aslan Maskhadov หัวหน้ากบฎเชเชนที่ได้ใช้ตัวแทนในโคเปนเฮเกน มาเสนอการเจรจาสันติภาพแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ทางเครมลิน……ปฏิเสธ ไม่เจรจา แถมยังประกาศจับตัวแทนเจรจา Ahmed Zakayev(อดีตรองนายกรัฐมนตรีเชเชน และ เป็นฝ่ายโปรกบฏ) เดนมาร์ก……จับตัวให้ แต่ไม่ส่งให้รัสเซีย เพราะข้อกล่าวหาทางรัสเซียที่พัวพันไปในเรื่องโรงละครด้วย คนที่ออกมารับหน้าในเรื่องโรงละคร คือ Shamil Basayev**(หัวหน้าใหญ่กลุ่มกบฏเชเชน) ที่ออกมาประกาศกร้าวว่า “นี่คือบทเรียนที่รัสเซียสมควรได้รับ..” ปูตินรับคำขู่ด้วยการขานรับ เล่นงานเชเชนหนักขึ้น ฝ่ายโลกเสรีได้ยิงคำถามในเรื่องการใช้อาวุธด้วยการฝังทุ่นระเบิดไปทั่ว เขาตอบว่า “ ในวินาทีนี้ ใครก็ตามที่นับถือศาสนาคริสต์ ล้วนแต่ตกอยู่ในอันตราย แต่ถ้าจะเปลี่ยนเป็นมุสลิม……ก็ไม่รอด เพราะเขาเชื่อว่าการตายคือการไปพบพระเจ้า…ไม่ใช่หรือ……?!! และต่อด้วยภาษานักเลงสุดๆ กับนักข่าวที่ถาม (จนบางคนไม่กล้าแปล…) ว่า…… “ ถ้าคุณตัดสินใจอยากจะเป็นมุสลิมอย่างที่พวกเขาเป็น และพร้อมที่จะไปพบกับพระเจ้า…ขอเชิญไปที่มอสโคว์ เพราะพวกเราไม่ใช่ประชาธิปไตยเต็มตัว และรับรองได้ว่า เรามีสารพัดวิธีที่คุณจะไม่เติบโตต่อไปอีก………” **Shamil Basayev ผู้ก่อการร้ายตัวยง ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายที่ทั้งโลกต้องการตัว เขาเป็นคนวางแผนเรื่องโรงละคร และการวางระเบิดเครื่องบินรัสเซีย เขาได้ถูกสังหารด้วยระเบิดกับดักที่มากับรถบรรทุก ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2006 Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 490 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้องๆจาก วงดนตรีไทย โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ รุ่นมัธยมศึกษา ตอนต้น
    ขึ้นโชว์ความสามารถบนเวทีการประกวดเดี่ยวเครื่องดนตรีไทย "ไทยโหมโรง ปี ๒" (ระดับชาติ)
    ฝึกซ้อมโดย นายตะวัน โตเอี่ยม ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ
    #ดนตรีไทยสร้างสรรค์ #สยามเด็กเล่น #ไทยโหมโรง #รับรางวัล #โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ #siamplayground #วงสิงหราช #thaitimes #ศรีวัฒนธรรม #วัฒนธรรม
    น้องๆจาก วงดนตรีไทย โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ รุ่นมัธยมศึกษา ตอนต้น ขึ้นโชว์ความสามารถบนเวทีการประกวดเดี่ยวเครื่องดนตรีไทย "ไทยโหมโรง ปี ๒" (ระดับชาติ) ฝึกซ้อมโดย นายตะวัน โตเอี่ยม ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ #ดนตรีไทยสร้างสรรค์ #สยามเด็กเล่น #ไทยโหมโรง #รับรางวัล #โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ #siamplayground #วงสิงหราช #thaitimes #ศรีวัฒนธรรม #วัฒนธรรม
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 302 0 รีวิว
  • #คนไทยโดยต้มตั้งแต่ซีนแรก
    #สติมาปัญญาจะเกิด
    ห้วงเวลา ตอนดร็อปเรียน งานไม่มี จากเดิมที่เป็นแดนเซอร์บ้าง เป็นตัวประกอบบ้างแบบปลายแถว ชนิดที่ คนญี่ปุ่นไปเดินถามกี่คนก็ไม่มีชื่อจีกามินในความทรงจำ จนสุดท้าย อายุที่มากขึ้น
    งานหาย แต่บินไปญี่ปุ่น ติดปาจิงโกะ ไม่มีงานไม่มีเงิน น่าสงสารดราม่า แต่อยู่ที่นั่นได้เป็นเดือนๆ ติดปาจิงโกะหรือสล็อตญี่ปุ่นหนักมาก ถึงขนาดสักตัว นั่นแปลว่า มันไม่คิดจะไปเป็นนักแสดงในวงการแล้ว เกาหลีทีวีเค้าแบน เค้าไม่ชอบ เค้าถือว่าสกปรก เป็นลักษณะสก็อยกิมจิ
    ถ้าคนที่ติดตามตั้งสติได้ จะเอ๊ะทันที
    แล้วเขียนสตอรี่ ว่าหาทุนเรียนการแสดง อยากจบโท ไอ้การแสดงนี่ เรียนก็เพื่อเป็นนักแสดง เพราะในวงการไม่สำเร็จ การเรียนโทการแสดงเหมือนใบเบิกทางในเกาหลี
    ดังนั้นสรุปได้เลยว่า กามิจล้มเลิกอาชีพนักแสดงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และไม่ได้คิดจะเรียนต่อ และตั้งใจเป็นนักพนันเต็มตัว เหมือนรอยสักที่มีอยู่ในตำแหน่งทั่วตัว แต่พอมีช่องทางที่ ตต. ได้พีเค มีเอเจนซี่ดูแล การสร้างสตอรี่เพื่อเรียกสติ๊กเกอร์จึงเกิดขึ้น
    แบบนี้ ทุยไหนจะเถียว ว่ามาได้เลย
    ตอบสิว่า เกาหลีช่องไหน ให้สาวกิมจิที่มีรอยสักแบบนี้แสดงซี่รี่
    หรือเป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งเป็นแดนเซอร์
    แบบที่เคยทำมาหากินก่อนไปญี่ปุ่น ตอนตัวเกลี้ยงๆ ถ้าตอนนี้เค้าจะรับมั๊ย
    ดังนั้น สภาพแบ๊วๆที่เห็น คือการแสดงอย่างชัดเจน
    สิ่งที่กามินได้เรียนมา ได้ใช้ประโยชน์จริงๆ
    ก็คือ นำมาใช้ให้คนไทยได้หลง
    จนป่านนี้ ยังมีทุยไทยอีกจำนวนพอสมควร
    ที่ยังไม่ได้ตื่นจากความฝัน จริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คนไทยโดยต้มตั้งแต่ซีนแรก #สติมาปัญญาจะเกิด ห้วงเวลา ตอนดร็อปเรียน งานไม่มี จากเดิมที่เป็นแดนเซอร์บ้าง เป็นตัวประกอบบ้างแบบปลายแถว ชนิดที่ คนญี่ปุ่นไปเดินถามกี่คนก็ไม่มีชื่อจีกามินในความทรงจำ จนสุดท้าย อายุที่มากขึ้น งานหาย แต่บินไปญี่ปุ่น ติดปาจิงโกะ ไม่มีงานไม่มีเงิน น่าสงสารดราม่า แต่อยู่ที่นั่นได้เป็นเดือนๆ ติดปาจิงโกะหรือสล็อตญี่ปุ่นหนักมาก ถึงขนาดสักตัว นั่นแปลว่า มันไม่คิดจะไปเป็นนักแสดงในวงการแล้ว เกาหลีทีวีเค้าแบน เค้าไม่ชอบ เค้าถือว่าสกปรก เป็นลักษณะสก็อยกิมจิ ถ้าคนที่ติดตามตั้งสติได้ จะเอ๊ะทันที แล้วเขียนสตอรี่ ว่าหาทุนเรียนการแสดง อยากจบโท ไอ้การแสดงนี่ เรียนก็เพื่อเป็นนักแสดง เพราะในวงการไม่สำเร็จ การเรียนโทการแสดงเหมือนใบเบิกทางในเกาหลี ดังนั้นสรุปได้เลยว่า กามิจล้มเลิกอาชีพนักแสดงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และไม่ได้คิดจะเรียนต่อ และตั้งใจเป็นนักพนันเต็มตัว เหมือนรอยสักที่มีอยู่ในตำแหน่งทั่วตัว แต่พอมีช่องทางที่ ตต. ได้พีเค มีเอเจนซี่ดูแล การสร้างสตอรี่เพื่อเรียกสติ๊กเกอร์จึงเกิดขึ้น แบบนี้ ทุยไหนจะเถียว ว่ามาได้เลย ตอบสิว่า เกาหลีช่องไหน ให้สาวกิมจิที่มีรอยสักแบบนี้แสดงซี่รี่ หรือเป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งเป็นแดนเซอร์ แบบที่เคยทำมาหากินก่อนไปญี่ปุ่น ตอนตัวเกลี้ยงๆ ถ้าตอนนี้เค้าจะรับมั๊ย ดังนั้น สภาพแบ๊วๆที่เห็น คือการแสดงอย่างชัดเจน สิ่งที่กามินได้เรียนมา ได้ใช้ประโยชน์จริงๆ ก็คือ นำมาใช้ให้คนไทยได้หลง จนป่านนี้ ยังมีทุยไทยอีกจำนวนพอสมควร ที่ยังไม่ได้ตื่นจากความฝัน จริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 976 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔥🔥มีท่านนึงอินบอกซ์เข้ามาถามแอดมินว่า
    ตอนนี้กำลังศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้น และ
    มีวิธีการไหน ที่จะทำให้เราได้กำไรเร็วๆ หรือรวยเร็วๆมั้ย?

    🚩แอดมิน : กำลังคิดถึงตัวเองช่วงเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ
    และ ใจเราอยากจะได้เงินเร็วๆ รวยเร็วๆ โดยลืมนึก
    ถึงจุดสำคัญจุดนึงไป คือ การสร้างภูมิต้านทาน
    ของเราในตลาดหุ้นให้แข็งแรงเสียก่อน
    การสร้างภูมิต้านทานในที่นี้หมายถึง การเรียนรู้ และสะสม
    ประสบการณ์ให้มากๆ เรียนรู้ทุกจุด โดยเฉพาะความผิดพลาด
    เพื่อไม่ให้ทำซ้ำ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จากวันเป็นสัปดาห์
    เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปี ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าหยุดเรียนรู้
    และพัฒนาตัวเอง

    🚩แอดมินเชื่อว่า ถ้าเราสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงดีแล้ว
    รวมทั้งการพัฒนาตัวเองไปตลอด และไม่หยุดนิ่ง
    สะสมองค์ความรู้ จนเกิดเป็น ทักษะ และความเชี่ยวชาญ
    เมื่อนั้นเราจะยืนระยะในตลาดหุ้นได้นานขึ้น และมีผลตอบแทน
    คือ Passive income หรือ กระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง
    หรือ ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่มากขึ้นได้

    🚩ดังนั้น อดทน เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ
    อย่าใจร้อน รีบรวย มากไป โดยเฉพาะลงทุนกับสิ่ง
    ที่เราไม่รู้จริง เพราะจะทำให้เรา ยืนระยะในตลาด
    ได้ไม่นาน และขาดทุนมากครับ

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้น #SET
    #thaitimes

    🔥🔥มีท่านนึงอินบอกซ์เข้ามาถามแอดมินว่า ตอนนี้กำลังศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้น และ มีวิธีการไหน ที่จะทำให้เราได้กำไรเร็วๆ หรือรวยเร็วๆมั้ย? 🚩แอดมิน : กำลังคิดถึงตัวเองช่วงเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ และ ใจเราอยากจะได้เงินเร็วๆ รวยเร็วๆ โดยลืมนึก ถึงจุดสำคัญจุดนึงไป คือ การสร้างภูมิต้านทาน ของเราในตลาดหุ้นให้แข็งแรงเสียก่อน การสร้างภูมิต้านทานในที่นี้หมายถึง การเรียนรู้ และสะสม ประสบการณ์ให้มากๆ เรียนรู้ทุกจุด โดยเฉพาะความผิดพลาด เพื่อไม่ให้ทำซ้ำ และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ จากวันเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี เป็นหลายปี ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ อย่าหยุดเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง 🚩แอดมินเชื่อว่า ถ้าเราสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงดีแล้ว รวมทั้งการพัฒนาตัวเองไปตลอด และไม่หยุดนิ่ง สะสมองค์ความรู้ จนเกิดเป็น ทักษะ และความเชี่ยวชาญ เมื่อนั้นเราจะยืนระยะในตลาดหุ้นได้นานขึ้น และมีผลตอบแทน คือ Passive income หรือ กระแสเงินสดเข้ามาต่อเนื่อง หรือ ได้กำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่มากขึ้นได้ 🚩ดังนั้น อดทน เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอ อย่าใจร้อน รีบรวย มากไป โดยเฉพาะลงทุนกับสิ่ง ที่เราไม่รู้จริง เพราะจะทำให้เรา ยืนระยะในตลาด ได้ไม่นาน และขาดทุนมากครับ #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ตลาดหุ้น #SET #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1207 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่มีใครเข้าใจผมเลย ผมไม่ได้เล่นเกมส์อย่างเดียวนะ พอดีผู้ว่าจ้างเขา Meet มาแต่ไม่มีอารมณ์ในการทำงาน Burnout ในการทำงาน และมีการวีนเล็กน้อย บ่นอุบใส่ผู้ว่าจ้าง
    ส่วนตัวผมมองว่าสิ่งที่ผมทำมันถูกทางแล้ว แต่ต้องเข้าใจว่ารอให้เขาตรวจสอบให้เสร็จก่อน ถ้ามีให้แก้ก็แก้เลย ไม่ต้องมาแก้ตอนใกล้ถึงเวลา เพราะกระทบเยอะครับ
    ผมหงุดหงิดง่ายเพราะเงินช็อต เขาไม่ค่อยอัดฉีด ให้แก้แต่งานเดิมๆและกลายเป็น ยิ่งแก้ยิ่งบั๊ก สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ งานใหม่ยังไม่ได้ทำ งานเก่าก็มีแต่ต้ามแก้ คือยิ่งแก้ ยิ่งมีให้แก้อีก แต่สุดท้ายก็แก้ตามที่เขาบอกหมด แรกๆจะไม่เข้าใจแต่หลังๆเริ่มเข้าใจ คือเบลมผมไปก็ไม่ช่วยอะไร ไม่ได้อะไร ได้แค่ทำให้คนๆนึงตกต่ำ ถูกด้อยค่า ถูกลดทอนความเป็นผู้มีฝีมือแต่ไม่มากพอ คนมันต้องการเรียนรู้ ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างเงินน้อย ทุ่มทำหนักแค่ไหนก็ได้เท่าเดิมจนแก่ ผมไม่ชอบทางนั้น
    ไม่มีใครเข้าใจผมเลย ผมไม่ได้เล่นเกมส์อย่างเดียวนะ พอดีผู้ว่าจ้างเขา Meet มาแต่ไม่มีอารมณ์ในการทำงาน Burnout ในการทำงาน และมีการวีนเล็กน้อย บ่นอุบใส่ผู้ว่าจ้าง ส่วนตัวผมมองว่าสิ่งที่ผมทำมันถูกทางแล้ว แต่ต้องเข้าใจว่ารอให้เขาตรวจสอบให้เสร็จก่อน ถ้ามีให้แก้ก็แก้เลย ไม่ต้องมาแก้ตอนใกล้ถึงเวลา เพราะกระทบเยอะครับ ผมหงุดหงิดง่ายเพราะเงินช็อต เขาไม่ค่อยอัดฉีด ให้แก้แต่งานเดิมๆและกลายเป็น ยิ่งแก้ยิ่งบั๊ก สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ งานใหม่ยังไม่ได้ทำ งานเก่าก็มีแต่ต้ามแก้ คือยิ่งแก้ ยิ่งมีให้แก้อีก แต่สุดท้ายก็แก้ตามที่เขาบอกหมด แรกๆจะไม่เข้าใจแต่หลังๆเริ่มเข้าใจ คือเบลมผมไปก็ไม่ช่วยอะไร ไม่ได้อะไร ได้แค่ทำให้คนๆนึงตกต่ำ ถูกด้อยค่า ถูกลดทอนความเป็นผู้มีฝีมือแต่ไม่มากพอ คนมันต้องการเรียนรู้ ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างเงินน้อย ทุ่มทำหนักแค่ไหนก็ได้เท่าเดิมจนแก่ ผมไม่ชอบทางนั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kenji Fukaya นักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเจ้าของรางวัล ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยStony Brookอันดับหนึ่งของนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อไปร่วมงานกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ Tsinghua ของจีนในตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำ

    19 กันยายน2567-รายงานข่าว SMCP ระบุว่า Kenji Fukaya นักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงและเจ้าของรางวัล Fujihara Awardในปี 2012 ล่าสุดได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย Stony Brook( SBU)ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยรัอัดฐอัน 1 ของนิวยอร์ก เพื่อไปร่วมงานกับมหาวิทยาลัย Tsinghua ของจีนในตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน

    Fukaya เคยเป็นสมาชิกถาวรของ Simons Centre for Geometry and Physics ที่ Stony Brook เป็นที่รู้จักจากผลงานด้านเรขาคณิตซิมเพล็กติกและ เรขาคณิตรีมันเนียน ผลงานพื้นฐานมากมายของเขาต่อคณิตศาสตร์รวมถึงการค้นพบหมวดหมู่ฟูกายะตามชื่อของเขา

    ล่าสุดศาสตราจารย์Fukaya ได้ไปบรรยายครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยจีน Tsinghua เมื่อวันที่ 11 กันยายน ตามข้อมูลจาก Yau Mathematical Sciences Centre ของมหาวิทยาลัย

    หลักสูตรเปิดเกี่ยวกับเรขาคณิตซิมเพล็กติกของเขา ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่ที่วัตถุ เช่น ดาวเคราะห์และอนุภาคเคลื่อนที่และโต้ตอบกัน ดึงดูดนักศึกษาและครูจำนวนมาก โดยศูนย์ดังกล่าวได้รายงานเรื่องนี้ในบัญชี WeChat อย่างเป็นทางการ

    ในวิดีโอที่ศูนย์Yau Mathematical Science แชร์เผยแพร่ ฟูกายะกล่าวว่านักเรียนจีนทำให้เขานึกถึงนักเรียนญี่ปุ่นสมัยยังเด็ก ที่มีความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างมากในการเรียนคณิตศาสตร์

    เขาแสดงความหวังว่าเมื่อมีนักวิจัยที่เกิดในจีนกลับมาสอนที่นั่นมากขึ้น ชุมชนนักคณิตศาสตร์ที่มีทักษะสูงและได้รับการศึกษาในประเทศก็จะเติบโตต่อไป

    ทั้งนี้นโยบายและวิสัยทัศน์ของจีนที่ ตั้งเป้าดึงดูดคนเก่งด้าน STEM (Science-Technology-Engineering-Mathematic) ให้มากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพึ่งพาตนเองด้านวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศ

    ที่มา https://www.scmp.com/news/china/science/article/3279101/respected-mathematician-kenji-fukaya-leaves-us-teach-chinas-tsinghua-university

    #Thaitimes
    Kenji Fukaya นักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเจ้าของรางวัล ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยStony Brookอันดับหนึ่งของนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อไปร่วมงานกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ Tsinghua ของจีนในตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำ 19 กันยายน2567-รายงานข่าว SMCP ระบุว่า Kenji Fukaya นักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงและเจ้าของรางวัล Fujihara Awardในปี 2012 ล่าสุดได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย Stony Brook( SBU)ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยรัอัดฐอัน 1 ของนิวยอร์ก เพื่อไปร่วมงานกับมหาวิทยาลัย Tsinghua ของจีนในตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน Fukaya เคยเป็นสมาชิกถาวรของ Simons Centre for Geometry and Physics ที่ Stony Brook เป็นที่รู้จักจากผลงานด้านเรขาคณิตซิมเพล็กติกและ เรขาคณิตรีมันเนียน ผลงานพื้นฐานมากมายของเขาต่อคณิตศาสตร์รวมถึงการค้นพบหมวดหมู่ฟูกายะตามชื่อของเขา ล่าสุดศาสตราจารย์Fukaya ได้ไปบรรยายครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยจีน Tsinghua เมื่อวันที่ 11 กันยายน ตามข้อมูลจาก Yau Mathematical Sciences Centre ของมหาวิทยาลัย หลักสูตรเปิดเกี่ยวกับเรขาคณิตซิมเพล็กติกของเขา ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับพื้นที่ที่วัตถุ เช่น ดาวเคราะห์และอนุภาคเคลื่อนที่และโต้ตอบกัน ดึงดูดนักศึกษาและครูจำนวนมาก โดยศูนย์ดังกล่าวได้รายงานเรื่องนี้ในบัญชี WeChat อย่างเป็นทางการ ในวิดีโอที่ศูนย์Yau Mathematical Science แชร์เผยแพร่ ฟูกายะกล่าวว่านักเรียนจีนทำให้เขานึกถึงนักเรียนญี่ปุ่นสมัยยังเด็ก ที่มีความมุ่งมั่นและทุ่มเทอย่างมากในการเรียนคณิตศาสตร์ เขาแสดงความหวังว่าเมื่อมีนักวิจัยที่เกิดในจีนกลับมาสอนที่นั่นมากขึ้น ชุมชนนักคณิตศาสตร์ที่มีทักษะสูงและได้รับการศึกษาในประเทศก็จะเติบโตต่อไป ทั้งนี้นโยบายและวิสัยทัศน์ของจีนที่ ตั้งเป้าดึงดูดคนเก่งด้าน STEM (Science-Technology-Engineering-Mathematic) ให้มากขึ้นเพื่อบรรลุเป้าหมายในการพึ่งพาตนเองด้านวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสู่ความเป็นเลิศ ที่มา https://www.scmp.com/news/china/science/article/3279101/respected-mathematician-kenji-fukaya-leaves-us-teach-chinas-tsinghua-university #Thaitimes
    WWW.SCMP.COM
    Respected mathematician Kenji Fukaya leaves US for China’s Tsinghua University
    In a video, Fukaya said Chinese students reminded him of Japanese students’ strong focus and dedication to studying mathematics.
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1590 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

    เดือนนี้ หากรับราชการเป็นข้าราชการข้าของแผ่นดินจะได้ปูนบำเน็จบำนาญอย่างสมฐานะตำแหน่งเกียรติยศ งานวิชาการ งานสวยงาม จะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับความสำเร็จนานัปการไหลหลั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะมีดาวรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง และความรู้จรมาสู่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคิดริเริ่มธุรกิจใหม่ๆมีแนวคิดสร้างสรรค์กิจการงานก้าวหน้า ส่งผลทำให้จะคิดอ่านประการใดก็จะเสร็จกิจลุล่วงได้อย่างดี งานที่ติดต่อก็จะประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมาร่ำรวยอย่างไม่รู้ตัว อีกทั้งสมาชิกลูกหลานจะขยันขันแข็ง ฉลาด สติปัญญาดี ส่งผลในเรื่องของการเรียนการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวจะมีความสุขสงบ จะได้คนดีๆไปมาหาสู่ โชคดีมีโอกาสถูกหวยรวยหุ้น
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เดือนนี้ หากรับราชการเป็นข้าราชการข้าของแผ่นดินจะได้ปูนบำเน็จบำนาญอย่างสมฐานะตำแหน่งเกียรติยศ งานวิชาการ งานสวยงาม จะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับความสำเร็จนานัปการไหลหลั่งอย่างต่อเนื่อง เพราะมีดาวรุ่งโรจน์ ชื่อเสียง และความรู้จรมาสู่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความคิดริเริ่มธุรกิจใหม่ๆมีแนวคิดสร้างสรรค์กิจการงานก้าวหน้า ส่งผลทำให้จะคิดอ่านประการใดก็จะเสร็จกิจลุล่วงได้อย่างดี งานที่ติดต่อก็จะประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมาร่ำรวยอย่างไม่รู้ตัว อีกทั้งสมาชิกลูกหลานจะขยันขันแข็ง ฉลาด สติปัญญาดี ส่งผลในเรื่องของการเรียนการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัวจะมีความสุขสงบ จะได้คนดีๆไปมาหาสู่ โชคดีมีโอกาสถูกหวยรวยหุ้น ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!!

    ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!!

    เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้….

    หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย…
    แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า
    Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี
    ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน
    ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน

    เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า
    ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว
    ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่?
    ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา……
    ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา
    ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร

    ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?”

    แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา……
    และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว
    ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก……
    ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ
    เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ
    ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University …

    ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน
    ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด
    แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม
    ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น
    ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด

    เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย
    มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!!

    ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้)
    หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า
    เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา…
    เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า
    เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข
    และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง

    ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า
    “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?”
    “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ”
    “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ”
    พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม
    มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน
    คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow

    สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่
    Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน
    ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา
    ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว
    เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข

    แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow
    ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล
    ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ
    ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม
    The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี
    ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด
    ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ
    ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน
    ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ

    ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน)
    เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า
    “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?”
    ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ
    ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ
    ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!!

    ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย
    ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน
    คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด
    และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ…

    แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden,
    East Germany
    และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี

    ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี

    ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน
    แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ,
    ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่

    ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว
    ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน ……

    ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี
    เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ
    ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม
    เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง
    เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต
    เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล…

    เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี
    เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น…

    อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา ……

    Wiwanda W. Vichit
    ขอเชิญเหล่า FC ทั้งหลาย มาร่วมในงานมงคลสมรสของพี่ปูค่าาาา……!!!! ตอนสาม เริ่มชีวิตครอบครัว เพื่อเดินออกสู่โลกกว้าง ไปตามหาความฝัน………!!! เริ่มอารัมภบท คือ……ไม่ต้องกระจองอแงกันนะ เพราะคราวนี้จะต้องเล่าละเอียดในเนื้อหาของการสละโสดหน่อย เพราะทุกบททุกตอนในดีเทล คือ ความเป็นตัวตนของปูตินในวันนี้…. หลังจากการที่ล้มเลิกการแต่งงานในคราวนั้น ปูตินยังทำตัวเหมือนเดิม ยังอยู่กับพ่อแม่ที่ยังเห็นเขาเป็นลูกแหง่ จนตัวเขาเองก็คิดว่า อาจจะอยู่เป็นโสดไปจนตาย… แต่ในเดือน มีนาคม 1980 ที่เขาได้รู้จักสาวอีกนางหนึ่ง นามว่า Ludmila Shkrebneva แอร์โฮสเตสสาวของสายการบินแห่งชาติ Aeroflot ที่ต้องประจำอยู่ที่ Kaliningrad (พื้นที่เก่าของของปรัสเซีย ที่โซเวียตยึดไว้หลังจากที่ชนะสงครามกับนาซี ลุดมิลา สาวงามวัย 22 ที่เผอิญ Galina เพื่อนสาวของเธอที่เป็นแอร์ด้วยกัน เป็นแฟนของ Andrei เพื่อนของปูติน ทีนี้ สองสาว ได้มาที่เลนินกราด เพื่อที่จะเข้าชมละคร Andrei จึงชวนปูตินไปด้วย จะได้ครบคู่ไม่เขิน เมื่อพบกันครั้งแรก ลุดมิลาไม่ได้สนใจในตัวของปูตินเลย เพราะเขาเป็นคนเงียบๆ เหมือนไม่ค่อยมีสังคม เธอเคยเล่าว่า ผู้ชายแบบนี้ถ้าไปเจอตามถนน…ก็จะมองผ่านทะลุไปเลยเชียว ในระหว่างพักครึ่งของการแสดง ลุดมิลาได้ถามเขาถึงการแสดงดนตรีในคืนต่อไป ว่า เขามีทางที่จะหาบัตรชมมาให้ได้หรือไม่? ปูตินรับปาก และหามาให้ได้จริงๆ และทั้งสี่คนได้ไปร่วมทีมกันอีกในคืนต่อมา…… ก่อนจากกัน……ปูตินได้เขียนเบอร์โทรศัพท์ให้กับลุดมิลา ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของอังเดร ส่งสองสาวเสร็จแล้ว ระหว่างทางกลับบ้าน อังเดร ได้ถามขึ้นว่า “นึกยังไงถึงเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ล่ะ ปรกตินายไม่เคยให้เบอร์ใครนี่..?” แต่ก็ได้ผล เพราะเมื่อลุดมิลาบินกลับไปแล้ว เธอโทรหาเขา…… และได้บินมาที่เลนินกราดอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม คราวนี้ทั้งคู่เริ่มออกเดทกันเป็นเรื่องเป็นราว ลุดมิลาเริ่มคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่ในเลนินกราด เพื่ออยู่ใกล้กับคนรัก…… ปูตินขอข้อแลกเปลี่ยน……นั่นคือ ขอให้เธอกลับไปเรียนหนังสือ เนื่องจากเธอได้พักการเรียนไว้ครึ่งๆกลางๆเพื่อที่จะไปทำงานกับสายการบิน เขาต้องการให้เธอกลับไปสานต่อ ซึ่งลุดมิลาได้ทำตามความประสงค์ของคนรัก เธอไปลงเรียนในวิชาปรัชญาที่สถาบันเดียวกันกับปูติน Leningrad State University … ความสัมพันธ์เป็นไปเหมือนกับคู่รักอื่นๆ มีการทะเลาะกัน ที่หนักสุด คือ ลุดมิลาบินกลับไปที่คาลินินกราด แต่ปูตินตามไปง้องอน จนกลับมาดังเดิม ปูตินทำตัวเป็นผู้นำในทุกเรื่อง เขาขี้หึง เขาสั่ง สั่ง และสั่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาชนะใจลุดมิลาเพราะความที่เขาเป็นคนโรแมนติก ไม่ขี้เหนียว พาเธอไปเที่ยวทุกที่ที่อยากไป เช่นไปเล่นสกี ไปเที่ยวชนบท แต่มีข้อแลกเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆ เช่น ลุดมิลาต้องไปเรียนพิมพ์ดีด เขาพาเธอไปพบกับมาเรีย ผู้มารดา แต่เหมือนเคมีจะไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจาก มาเรียยังปักใจชอบลุดมิลาแฟนเก่าของปูติน เพราะเธออ่อนหวาน เรียบร้อย มาเรียรีบเล่าให้ลุดมิลาฟังถึงเรื่องปูตินเคยมีแฟนที่มีชื่อลุดมิลาเหมือนกัน แต่คนนั้นน่ะ……เขาเรียบร้อยยยย !!! ลุดมิลาไม่เคยรู้ในเรื่องงานที่แท้จริงของปูติน เพราะเท่าที่เธอทราบเหมือนคนอื่นๆ คือ เป็นการทำงานกับหน่วยมั่นคง ป้องกันอาชญากรรม ที่อยู่ในสายงานของกลาโหม (สายลับส่วนใหญ่จะใช้แบบนี้) หลายครั้งที่เธอถามเขาเรื่องงาน เขามักตอบติดตลกว่า เช้าไปตกปลา……บ่ายกินปลา… เมื่อถึงปี 1981 ที่เป็นแฟนกันมาร่วมปีครึ่ง เธอถึงได้ทราบว่า เขาคือ KGB ที่ทำให้เธอรู้สึกภูมิใจในตัวเขาขึ้นมาอีกอักโข และพลอยเข้าใจในความเป็นเผด็จการของเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ในที่สุด เดือนเมษายน 1983 วันสำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิงก็ได้มาถึง ที่ปูตินได้เริ่มต้นด้วยประโยคว่า “นี่ก็สามปีครึ่งที่เราคบหากัน……คุณตัดสินใจได้หรือยัง…?” “ได้แล้วค่ะ คือ ตกลงค่ะ” “ดีเลย……ผมรักคุณ เราจะแต่งงานกันนะ” พิธีสมรสได้จัดขึ้นในสามเดือนต่อมา ที่ภัตราคารลอยน้ำใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ในวันที่ 28 กรกฎาคม มีเพื่อนๆมาร่วมประมาณยี่สิบคน คืนต่อมา……ได้จัดขึ้นที่ห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม Moscow สามีภรรยาคู่ใหม่ไปดื่มน้ำผึ่งพระจันทร์ที่ยูเครน เริ่มจากขับรถไปที่ Kyiv, Moldova, Lviv, western Ukraine, Nikolayev และ Crimea ที่เขาทั้งสองใช้เวลาอยู่ที่ Yalta ถึงสิบสองวัน ปูตินมีความสุขมาก เพราะ ไครเมียเปรียบเสมือนสวรรค์บนดินสำหรับเขาเสมอมา ขากลับ เขาทั้งสองผ่านเข้าทางมอสโคว์ เพราะปูตินจะต้องแวะไปรายงานตัว เขาทั้งสอง ชายวัย 30 หญิง 25 ได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวในอพาร์ตเมนต์สองห้องนอน บนถนน Stachek Lane อย่างมีความสุข แต่……Igor Antonov (เพื่อนคนหนึ่งของปูติน) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแต่งงานในครั้งนี้ว่า เพราะปูตินไม่มีทางเลือกอื่นๆแล้ว นอกจากจะต้องสร้างครอบครัว เพราะหน้าที่การงานกำลังจะถึงทางตัน ถ้าสายลับ KGB ที่จะต้องออกไปรับหน้าที่ในต่างประเทศ หรือเลื่อนตำแหน่ง จะต้องมีวุฒิภาวะตามที่ KGB กำหนด เพราะหลังจากที่ปูตินแต่งงาน เขาได้เลื่อนยศเป็นพันตรี และได้ถูกส่งไปเรียนเพิ่มเติมในหน่วยปฏิบัติงานต่างประเทศที่ The Red Banner Institute, Moscow ที่เป็นสถาบันที่จัดว่าสำหรับชนชั้นปกครอง ผู้อบรมต้องเป็นรัสเชี่ยนชั้นธรรมดา (ลูกผู้ดีไม่รับ) เท่านั้น ไม่มียิว ไม่มีตาร์ต้าร์ หรือ เชเชน หรือ มองโกล ห้ามพิธีทางศาสนาทุกชนิด และ…ไม่มีการใช้เส้นใดๆ ปูตินเป็นคนเดียว จากเลนินกราดที่ได้รับเลือกให้เข้าไปรับการอบรม The Red Banner Institute (หรือปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อว่า The Academy of Foreign Intelligence) นี้ ตั้งอยู่ในกลางป่าที่ค่อนข้างลึกลับในชายกรุงมอสโคว์ หลักสูตรมีตั้งแต่ หนึ่งถึงสามปี ลุดมิลาได้เริ่มตั้งครรภ์แรก จึงยังอยู่ในเลนินกราด ส่วนปูติน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างในศาสตร์ของการเป็นสายลับ ในชื่อใหม่ว่า “Platov” ที่แม้แต่เพื่อนผู้รับการอบรมด้วยคน ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของกันและกัน ทุกคนจะได้รับชื่อเฉพาะกิจ ปูติน ก้าวเข้าไปในชั้นเรียนวันแรก ด้วยเครื่องแต่งกายที่เป็นสูทสามชิ้น (คือมีเสื้อกั๊กเพิ่มข้างใน) เรียกเสียงฮาได้จากครูผู้ฝึก ที่ถามว่า “คอมราดพลานอฟ นายจะมาเดินแบบหรือไง…?” ผู้ที่ให้อบรมทั้งหมด ต่างล้วนเป็นชั้นกระทิสุดยอดของสายลับ ที่มีผลงานที่น่าประทับใจ ทุกคนที่จะเดินออกจากสถาบันนี้ คือพร้อมที่จะไปเป็นสายลับข้ามชาติได้ทุกแห่งหนในโลก………!!! ในขณะนั้นลุดมิลาได้คลอดทารกเพศหญิง ที่ปูตินตั้งชื่อให้ว่า มาเรีย (ไว้ล่วงหน้า เพราะให้เหมือนกับชื่อย่า) Sergei Roldugin เพื่อนรัก ได้ช่วยรับเป็นภาระดูแลให้ รวมทั้งเป็นพ่อทูนหัวให้กับมาเรีย ปูตินจึงขอลากลับไปเลนินกราดเพื่อเยี่ยมเยียนเมียและลูกในช่วงวันหยุด ครั้งหนึ่งในการเดินทาง เขาได้เกิดการชกต่อยกับแก๊งอันธพาลในสถานีรถใต้ดิน คราวนี้เรียกว่าลุยกันเละ เพราะปูตินถึงกับแขนหัก อีกฝ่ายหนึ่งแทบเอาชีวิตไม่รอด และนี่คือ “ความเสี่ยง” ต่ออนาคตการงานของเขาโดยตรง เพราะหากว่าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา ทุกอย่างคือจบ… แต่โชคยังเป็นของเขา เพราะเขาได้รับมอบหมายหน้าที่ทันทีที่เสร็จสิ้นจากการอบรม ให้ไปประจำการอยู่ที่เมือง Dresden, East Germany และนี่คือการเดินทางทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก ของ ปูตินในวัย 33 ปี ขออธิบายเพิ่มเติมค่ะ ว่า ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเอาวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 หลังจากนั้นในฐานะของผู้แพ้สงครามให้กับกองทัพสัมพันธมิตร คือ อเมริกา, อังกฤษและ โซเวียต รัสเซีย (ฝรั่งเศส เขาไม่นับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในการมีส่วนร่วม) ที่ได้ทำการตกลงกันไว้ล่วงหน้าระหว่างผู้นำทั้งสามประเทศ ที่ Yalta ที่ตกลงกันในการแบ่งสันปันส่วนในแผ่นดินของเยอรมันนี ขั้นตอนในการแบ่งได้มาย่อยยิบกันอีกในการประชุมที่ Potsdam Conference ว่าจะเฉือนเยอรมันออกเป็นสี่ส่วน แบ่งกันคนละส่วน อังกฤษได้ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, ฝรั่งเศส ได้ทางตะวันตกเฉียงใต้, อเมริกา ได้ตะวันออกเฉียงใต้ และโซเวียตไัด้ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเบอร์ลินเมืองหลวงก็เช่นกัน ตามที่แบ่งกันนั้น เบอร์ลินตกอยู่ในส่วนของโซเวียต และเพื่อความเป็นธรรมจึง แบ่งออกมาเป็นสี่ส่วน แบ่งกันไปคนละส่วน แต่สภาพของเหมือนกับเบอร์ลินเป็นไข่แดง ที่อยู่กลางโซเวียตที่เป็นไข่ขาว ส่วนที่เป็นของโซเวียต คือ เบอร์ลินตะวันออกก็จะมีกำแพงกั้นอาณาเขต ที่เราเรียกว่า กำแพงเบอร์ลิน …… ดังนั้น โซเวียตจึงมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยอยู่ประจำในเขตต่างๆ ที่แม้ว่าจะเป็นคอมมิวนิสต์แต่ก็มีการเตรียมตัวที่ดี เพราะเขาได้ทำการปั้นเด็กๆรุ่นที่เกิดหลังสงคราม ให้เติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมรับมือ เช่นการให้เรียนภาษาต่างๆ ปูตินสามารถพูดภาษาเยอรมันได้เข้าขั้นระดับการทูต เพราะเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถม เด็กอื่นๆที่มีแวว ก็ต้องเรียนภาษาอื่นๆอย่างเอาจริงเอาจัง เรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญมากในครอบครัวของชาวโซเวียต เพราะผู้ปกครองเด็กที่แท้จริง คือ รัฐบาล… เช่นปูตินได้ผลักดันให้ลุดมิลากลับไปเรียนจนจบ และ เรียนสารพัดเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้เตรียมตัวมาเป็น หลังบ้านของข้าราชการ, นักการเมือง หรือ ผู้นำได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะปูติน……ไม่ได้มีความหวังว่าจะหยุดอนาคตไว้ที่การเป็นสายลับเท่านั้น… อาจมีอธิบายนอกเรื่องเยอะหน่อยนะคะ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้อ่านอีกมากที่ไม่ใช่ baby boomer อย่างผู้เขียน เก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่าาาา …… Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 1 #

    ตัวเลขต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตสามารถบ่งบอกอะไรได้บ้าง

    ตัวเลขเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย และให้พลังในแบบรุนแรงด้วย ไม่ว่าจะเป็น วันเดือนปีเกิด, เลขบัตรประชาชน, เลขที่บ้าน, ทะเบียนรถ, รหัสเอทีเอ็ม หรือกระทั่งเบอร์มือถือ นอกจากตัวเลขจะสามารถอธิบายเชื่อมโยงกับบุคลิกนิสัยใจคอ และพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ยังบ่งบอกถึงกรรมเก่าที่ติดตัวเรามาด้วย โดยอิทธิพลของตัวเลขที่เห็นชัดที่สุดคือ “ตัวเลขเบอร์มือถือ” เพราะอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ในตัวเลข 0-9 มีรหัสลับสำหรับวิเคราะห์ที่บ่งบอกตัวตนนิสัยของเจ้าของเบอร์, และสิ่งที่ไม่น่าเขื่อกว่านั้น คือ สามารถส่งพลังงาน ที่ให้คุณ หรือให้โทษได้
    👉แรงดึงดูดของพลังของตัวเลข

    พลังงานที่ดีย่อมดึงดูดสิ่งดีๆเข้าหาตัว ตรงข้ามกับพลังงานที่เสียจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้าหาตัวเรา เช่น ความลุ่มหลง มัวเมา ถ้ามากไป ชีวิตอาจพังได้ ผู้เขียน เช่น ผู้เขียนชอบเลข 6 เลยใช้ 081-62x 6666 ในช่วงนั้นไม่มีความรู้ใช้แต่ความชอบ หาเงินได้มาก แต่ลุ่มหลง มัวเมา ในหลากหลายสิ่ง จนชีวิตพัง ก็ไม่เคยนึกถึงสิ่งนี้ จนมาศึกษาย้อน เทียบเคียงไปแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ช่วงเริ่มต้น ช่วงรุ่งเรือง ล้วนเป็นเลขดี ผลรวมดี ทั้งหมด ..ตัวเลขดี ย่อมเหนี่ยวนำพลังงานที่ดีเข้ามาหาเรา สามารถดึงดูดทั้งความสุข, ความสำเร็จ, เงินทอง, ดึงดูดคนรอบข้างที่ดี, ดึงดูดผู้ใหญ่ที่เมตตาและให้การสนับสนุน, ดึงดูดให้มีโชคดี หรือแม้กระทั่งดึงดูดความรัก
    ความสำเร็จ การเรียนรู้
    อีกตัวอย่างนึง ยุคที่ใช้ Pack link ยุคก่อนมีมือถือ เบอร์ 571444 ส่วนตัวไม่ชอบเลข 4 เลย แต่เห็นมันเป็นเลข ตอง ก็เลยเอา... มันให้พลังเปลี่ยนตัวตนไปเลย จากเป็นคนขี้อาย พูดน้อย สมัยเรียนมหา'ลัย วิชา การพูดตกทุกเทอม ..เพราะพอออกไปพูดแล้วอาย สั่น ...จนไม่กล้าพูด กลายมาเป็นนักขายในระดับยอดฝีมือ พูดแล้วคนเชื่อ กลายเป็นผู้บรรยายให้คนฟัง อบรมสั่งสอนคน.....พอมาศึกษาถึง พลังของเลข 4 ก็เข้าใจเลย เพราะมันคือเลขแห่งการเจรจา
    __ต่อ EP2
    EP 1 # ตัวเลขต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตสามารถบ่งบอกอะไรได้บ้าง ตัวเลขเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย และให้พลังในแบบรุนแรงด้วย ไม่ว่าจะเป็น วันเดือนปีเกิด, เลขบัตรประชาชน, เลขที่บ้าน, ทะเบียนรถ, รหัสเอทีเอ็ม หรือกระทั่งเบอร์มือถือ นอกจากตัวเลขจะสามารถอธิบายเชื่อมโยงกับบุคลิกนิสัยใจคอ และพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ยังบ่งบอกถึงกรรมเก่าที่ติดตัวเรามาด้วย โดยอิทธิพลของตัวเลขที่เห็นชัดที่สุดคือ “ตัวเลขเบอร์มือถือ” เพราะอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด ในตัวเลข 0-9 มีรหัสลับสำหรับวิเคราะห์ที่บ่งบอกตัวตนนิสัยของเจ้าของเบอร์, และสิ่งที่ไม่น่าเขื่อกว่านั้น คือ สามารถส่งพลังงาน ที่ให้คุณ หรือให้โทษได้ 👉แรงดึงดูดของพลังของตัวเลข พลังงานที่ดีย่อมดึงดูดสิ่งดีๆเข้าหาตัว ตรงข้ามกับพลังงานที่เสียจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้าหาตัวเรา เช่น ความลุ่มหลง มัวเมา ถ้ามากไป ชีวิตอาจพังได้ ผู้เขียน เช่น ผู้เขียนชอบเลข 6 เลยใช้ 081-62x 6666 ในช่วงนั้นไม่มีความรู้ใช้แต่ความชอบ หาเงินได้มาก แต่ลุ่มหลง มัวเมา ในหลากหลายสิ่ง จนชีวิตพัง ก็ไม่เคยนึกถึงสิ่งนี้ จนมาศึกษาย้อน เทียบเคียงไปแต่ละช่วงเวลาของชีวิต ช่วงเริ่มต้น ช่วงรุ่งเรือง ล้วนเป็นเลขดี ผลรวมดี ทั้งหมด ..ตัวเลขดี ย่อมเหนี่ยวนำพลังงานที่ดีเข้ามาหาเรา สามารถดึงดูดทั้งความสุข, ความสำเร็จ, เงินทอง, ดึงดูดคนรอบข้างที่ดี, ดึงดูดผู้ใหญ่ที่เมตตาและให้การสนับสนุน, ดึงดูดให้มีโชคดี หรือแม้กระทั่งดึงดูดความรัก ความสำเร็จ การเรียนรู้ อีกตัวอย่างนึง ยุคที่ใช้ Pack link ยุคก่อนมีมือถือ เบอร์ 571444 ส่วนตัวไม่ชอบเลข 4 เลย แต่เห็นมันเป็นเลข ตอง ก็เลยเอา... มันให้พลังเปลี่ยนตัวตนไปเลย จากเป็นคนขี้อาย พูดน้อย สมัยเรียนมหา'ลัย วิชา การพูดตกทุกเทอม ..เพราะพอออกไปพูดแล้วอาย สั่น ...จนไม่กล้าพูด กลายมาเป็นนักขายในระดับยอดฝีมือ พูดแล้วคนเชื่อ กลายเป็นผู้บรรยายให้คนฟัง อบรมสั่งสอนคน.....พอมาศึกษาถึง พลังของเลข 4 ก็เข้าใจเลย เพราะมันคือเลขแห่งการเจรจา __ต่อ EP2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

    เดือนนี้ หากเป็นนักคิด นักกลยุทธ์จะชาญฉลาด ไหวพริบดี ผลงานที่สร้างไว้จะเสร็จสำเร็จลุล่วงได้รับข่าวดี ธุรกิจการงานจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะธุรกิจนวดแผนโบราณ สปา จะได้รับผลประโยชน์กำไรงาม จะโชคดีด้านการเงิน การงานเจริญก้าวหน้า ตำแหน่งที่คาดหวังไว้จะได้รับการพิจารณา รับราชการจะได้ปรับเลื่อนขั้นมีชื่อมีเสียงเป็นที่ยอมรับส่งผลให้ประสบความสำเร็จ ด้านงานการศึกษา ด้านงานวิชาการ ด้านงานการทหาร ด้านงานกีฬา นักเรียน นักศึกษา มีสมาธินิ่งได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้การเรียนขยันขันแข็งตั้งใจเรียนดี ครอบครัวพบแต่ความสุขสงบราบรื่นรักใคร่ปรองดอง มีโอกาสได้เดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างแดน
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เดือนนี้ หากเป็นนักคิด นักกลยุทธ์จะชาญฉลาด ไหวพริบดี ผลงานที่สร้างไว้จะเสร็จสำเร็จลุล่วงได้รับข่าวดี ธุรกิจการงานจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะธุรกิจนวดแผนโบราณ สปา จะได้รับผลประโยชน์กำไรงาม จะโชคดีด้านการเงิน การงานเจริญก้าวหน้า ตำแหน่งที่คาดหวังไว้จะได้รับการพิจารณา รับราชการจะได้ปรับเลื่อนขั้นมีชื่อมีเสียงเป็นที่ยอมรับส่งผลให้ประสบความสำเร็จ ด้านงานการศึกษา ด้านงานวิชาการ ด้านงานการทหาร ด้านงานกีฬา นักเรียน นักศึกษา มีสมาธินิ่งได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้การเรียนขยันขันแข็งตั้งใจเรียนดี ครอบครัวพบแต่ความสุขสงบราบรื่นรักใคร่ปรองดอง มีโอกาสได้เดินทางไกลไปท่องเที่ยวต่างแดน ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลี่ เฉียง : จีนยกสัมพันธ์ 'ซาอุดีอาระเบีย'
    พันธกิจการทูตสำคัญในตะวันออกกลาง
    .
    ซินหัว - หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อวันพุธ (11 ก.ย.) กล่าวว่าการพัฒนาความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียเป็นพันธกิจสำคัญในการทูตโดยรวมของจีน โดยเฉพาะการทูตในตะวันออกกลาง
    .
    นายหลี่กล่าวคำข้างต้นขณะพบปะหารือกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 โดยหลี่ส่งสารทักทายอันอบอุ่นจากสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แก่ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัล ซาอุด กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และมกุฎราชกุมาร เป็นลำดับแรก
    .
    นายหลี่เน้นย้ำว่าจีนและซาอุดีอาระเบียได้รักษาไว้ซึ่งความเคารพ ความไว้วางใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภายใต้การชี้นำเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำสองประเทศ โดยความสัมพันธ์ทวิภาคีได้พัฒนาอย่างรอบด้าน รวดเร็ว และลึกซึ้ง ส่งผลลัพธ์ความร่วมมือด้านต่างๆ
    .
    จีนยินดีจะสนับสนุนซาอุดีอาระเบียและทำงานเพื่อบรรลุผลสำเร็จร่วมกัน มองการพัฒนาของอีกฝ่ายเป็นโอกาสสำคัญ และเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ด้วยเป้าหมายเดินหน้าความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ระดับสูงครั้งใหม่ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
    .
    จีนและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ มีผลประโยชน์ร่วมกันในวงกว้าง โดยจีนพร้อมทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบียอย่างใกล้ชิดและเดินหน้าบนวิถีทางการพัฒนาไปด้วยกัน
    .
    นายหลี่เรียกร้องทั้งสองฝ่ายขยับขยายการค้าทวิภาคี กระชับความร่วมมือดั้งเดิมในด้านน้ำมันและก๊าซ ปิโตรเคมีและโครงสร้างพื้นฐาน สำรวจความร่วมมือใหม่ในด้านพลังงานใหม่ สารสนเทศและการสื่อสาร เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว พร้อมกระตุ้นบริษัทลงทุนในอีกประเทศและทำงานร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    .
    นอกจากนั้น นายหลี่ส่งเสริมทั้งสองฝ่ายจัดงานปีแห่งวัฒนธรรมจีน-ซาอุดีอาระเบีย ในปี 2025 ให้ประสบผลสำเร็จ เดินหน้าความร่วมมือด้านวัฒนธรรม คลังสมอง การศึกษา สื่อมวลชน การแลกเปลี่ยนนอกภาครัฐและระหว่างประชาชน และยกระดับความเข้าใจซึ่งกันและกันและมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
    .
    จีนสนับสนุนซาอุดีอาระเบียในการมีบทบาทในกิจการระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น และพร้อมยกระดับการประสานงานพหุภาคีกับซาอุดีอาระเบีย บ่มเพาะความสามัคคีและความร่วมมือในกลุ่มประเทศเอเชีย ร่วมยึดมั่นความยุติธรรมและความเป็นธรรมสากล และส่งเสริมธรรมาภิบาลโลกในทิศทางที่เที่ยงธรรมและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น
    .
    ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเอกสารความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการฝึกอบรมทางเทคนิคและอาชีวศึกษา อุตุนิยมวิทยา และอื่นๆ จำนวนหลายฉบับระหว่างการเยือนของหลี่ด้วย
    .
    แฟ้มภาพซินหัว : นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 ณ พระราชวังอัลยามามะฮ์ ในกรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย วันที่ 11 ก.ย. 2567)
    หลี่ เฉียง : จีนยกสัมพันธ์ 'ซาอุดีอาระเบีย' พันธกิจการทูตสำคัญในตะวันออกกลาง . ซินหัว - หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียเมื่อวันพุธ (11 ก.ย.) กล่าวว่าการพัฒนาความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียเป็นพันธกิจสำคัญในการทูตโดยรวมของจีน โดยเฉพาะการทูตในตะวันออกกลาง . นายหลี่กล่าวคำข้างต้นขณะพบปะหารือกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 โดยหลี่ส่งสารทักทายอันอบอุ่นจากสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน แก่ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัล ซาอุด กษัตริย์ซาอุดีอาระเบีย และมกุฎราชกุมาร เป็นลำดับแรก . นายหลี่เน้นย้ำว่าจีนและซาอุดีอาระเบียได้รักษาไว้ซึ่งความเคารพ ความไว้วางใจ และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ภายใต้การชี้นำเชิงยุทธศาสตร์ของผู้นำสองประเทศ โดยความสัมพันธ์ทวิภาคีได้พัฒนาอย่างรอบด้าน รวดเร็ว และลึกซึ้ง ส่งผลลัพธ์ความร่วมมือด้านต่างๆ . จีนยินดีจะสนับสนุนซาอุดีอาระเบียและทำงานเพื่อบรรลุผลสำเร็จร่วมกัน มองการพัฒนาของอีกฝ่ายเป็นโอกาสสำคัญ และเสริมสร้างบทบาทของคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ด้วยเป้าหมายเดินหน้าความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ระดับสูงครั้งใหม่ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง . จีนและซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญ มีผลประโยชน์ร่วมกันในวงกว้าง โดยจีนพร้อมทำงานร่วมกับซาอุดีอาระเบียอย่างใกล้ชิดและเดินหน้าบนวิถีทางการพัฒนาไปด้วยกัน . นายหลี่เรียกร้องทั้งสองฝ่ายขยับขยายการค้าทวิภาคี กระชับความร่วมมือดั้งเดิมในด้านน้ำมันและก๊าซ ปิโตรเคมีและโครงสร้างพื้นฐาน สำรวจความร่วมมือใหม่ในด้านพลังงานใหม่ สารสนเทศและการสื่อสาร เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว พร้อมกระตุ้นบริษัทลงทุนในอีกประเทศและทำงานร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก . นอกจากนั้น นายหลี่ส่งเสริมทั้งสองฝ่ายจัดงานปีแห่งวัฒนธรรมจีน-ซาอุดีอาระเบีย ในปี 2025 ให้ประสบผลสำเร็จ เดินหน้าความร่วมมือด้านวัฒนธรรม คลังสมอง การศึกษา สื่อมวลชน การแลกเปลี่ยนนอกภาครัฐและระหว่างประชาชน และยกระดับความเข้าใจซึ่งกันและกันและมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศอย่างต่อเนื่อง . จีนสนับสนุนซาอุดีอาระเบียในการมีบทบาทในกิจการระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น และพร้อมยกระดับการประสานงานพหุภาคีกับซาอุดีอาระเบีย บ่มเพาะความสามัคคีและความร่วมมือในกลุ่มประเทศเอเชีย ร่วมยึดมั่นความยุติธรรมและความเป็นธรรมสากล และส่งเสริมธรรมาภิบาลโลกในทิศทางที่เที่ยงธรรมและสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น . ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเอกสารความร่วมมือทวิภาคีเกี่ยวกับการฝึกอบรมทางเทคนิคและอาชีวศึกษา อุตุนิยมวิทยา และอื่นๆ จำนวนหลายฉบับระหว่างการเยือนของหลี่ด้วย . แฟ้มภาพซินหัว : นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน พบปะกับโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน อัล ซาอุด มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย และร่วมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงจีน-ซาอุดีอาระเบีย ครั้งที่ 4 ณ พระราชวังอัลยามามะฮ์ ในกรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย วันที่ 11 ก.ย. 2567)
    Like
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 582 มุมมอง 0 รีวิว


  • ตอนหนึ่ง………จากเด็กหลังห้อง……สู่นักศึกษากฏหมายยูโดสายดำ……!!

    ก็จะเล่าเรื่องของท่านผู้นำ Vladimir Vladimirovich Putin ตามที่เคยเกริ่นไว้นานมาแล้วนะคะ

    วลาดิเมียร์ ปูติน ถือกำเนิดในวันที่ 7 ตุลาคม 1952
    ที่เลนินกราด (เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก) สหภาพโซเวียต


    เขาเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ทั้งบิดา มารดา (Vladimir และ Maria) ที่ค่อนข้างทนุถนอมปูตินน้อย ที่มีชื่อเล่นๆว่า Volodya
    (โวโลเดียร์)
    เพราะบุตรชายคนนี้ คือผู้ที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลเพียงคนเดียว
    หลังจากที่ได้สูญเสียบุตรชายไปสองคนก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง
    วลาดิเมียร์ผู้พ่อเคยรับราชการทหารเรือ ในหน่วยเรือดำน้ำ เมื่อถูกปลดประจำการ เขาและมาเรียก็ปักหลักลงฐานอยู่ในเลนินกราดเช่นเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน
    ทางรัฐบาลได้จัดที่อยู่อาศัยให้ในอาคารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เลขที่ 12 ถนน Baskov ที่เป็นอาคารเก่าๆ มีสี่ห้องนอน แต่เขาต้องแบ่งกันอยู่กันอีกครอบครัวหนึ่ง
    ทั้งหมดยังต้องใช้เตาผิงฟืนเพื่อความอบอุ่น
    มาเรีย……ไม่ได้มีความรู้มากมาย ทำงานสารพัด ตั้งแต่รับล้างหลอดแก้วในแล็บ……ส่งขนมปัง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ คือ ต้องมีเวลาดูแลบุตรชายให้ดีที่สุด
    คู่สามีภรรยาที่เป็นเพื่อนร่วมแฟลต เป็นชาวยิว (เคร่งปฏิบัติ)
    ปูตินน้อย จึงเป็นละอ่อนคนเดียวในหมู่เพื่อนบ้าน
    เมื่อเขามีอายุได้เจ็ดอาทิตย์ มาเรีย และ บาบาอันยา (เพื่อนบ้าน) ได้พากันแอบเอาเขาไปทำพิธีล้างบาปในพิธีของออโธดอกซ์ ซึ่งเป็นความลับ (เพราะในยุคของคอมมิวนิสต์ พิธีทางศาสนาต่างๆต้องแอบซ่อน)
    เรื่องนี้ แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่รู้ เป็นความลับดำมืด จนเมื่อสี่สิบปีต่อมา มาเรียได้นำกางเขนเล็กๆมาให้กับปูติน และเล่าเรื่องราวให้ฟัง ย้ำกับเขาว่า ถ้ามีโอกาสไปที่เยรูซาเล็ม ช่วยเอากางเขนนี้ ไปสวดที่ Church of the Holy Sepulcher ด้วย
    เลยพอเดาได้……ว่า มาเรียมีเชื้อสายเป็นยิวออโธดอกซ์ ที่ลบเลือนหายไปตามวิถีการเมืองและกาลเวลา
    นามสกุลเดิมของเธอ คือ Shelomova (ที่รากมาจาก Solomon
    ที่เป็นนามสกุลของยิว)

    ปูตินน้อยเป็นเด็กเฮี้ยวพอสมควร อายุเพียงเก้าขวบ เขาและเพื่อนพากันขึ้นรถไฟไปเที่ยวในชนบท กลับมาก็เจอกับพ่อที่ถือเข็มขัดรอไว้ในมือ……
    จากนั้นมา แม้แต่จะเดินไปหัวมุมถนน เขายังต้องขออนุญาต
    ความสัมพันธ์ในบ้าน ค่อนข้างที่จะเคร่งครัด ไม่มีการกอดจูบ
    หรือป้อนคำหวานใส่กัน
    วันเปิดเรียน……นักเรียนอื่นๆเขาจะนำช่อดอกไม้ไปให้ครู
    แต่ปูตินยกไปให้ครูทั้งกระถาง
    เขาเป็นที่ขำขันของเหล่าเพื่อนๆ เพราะตัวเล็ก แข้งขาลีบ
    เดินเป๋ๆ การเรียนไม่ค่อยดี
    จนครูต้องไปพบกับผู้ปกครอง เพื่อแนะนำว่า เด็กคนนี้หัวดีมาก แต่ไม่เอาใจใส่การเรียนเท่าที่ควร
    วลาดิเมียร์ผู้พ่อ ย้อนถามครูไปว่า
    “แล้วจะให้ผมทำยังไง……ฆ่ามันทิ้งงั้นเหรอ?”
    แต่ทั้งคู่ก็รับปากว่า จะเอาใจใส่ให้มากกว่านี้

    สิ่งแรกเลยที่ปูตินต้องพบ……คือ พ่อพาเขาไปเรียนชกมวย
    ที่ปูตินไม่สนใจในเรื่องชกๆต่อยๆ เขาไปสนใจใน sambo มากกว่า (แซมโบ คือ การผสมผสานระหว่างยูโด กับมวยปล้ำ)
    ซึ่งเขามาได้ถูกทาง เพราะโค้ชได้เข้าไปพบกับ วลาดิเมียร์ และ มาเรีย เพื่อรับรองว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ปูตินน้อยมีความสามารถพิเศษในศาสตร์ด้านนี้

    ปูตินน้อยเข้าสู่วัยสิบสาม อยู่ชั้นมัธยมที่หนึ่ง
    เขาเริ่มมีทีมกลุ่มนักกีฬายูโดที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน จากที่เดินติ๋มๆในละแวกที่อาศัยล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยอบายมุข เหล้า บุหรี่
    ปูตินน้อย……สามารถเดินสบตาได้ทุกคน
    การเรียนเขาดีขึ้นมาก เขาได้รับเลือกขึ้นเป็นหัวหน้านักเรียนในชั้นมัธยมปีที่สอง
    พอมัธยมแปด เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปเข้าในสมาคมยุวคอมมิวนิสต์ และนี่คือบันไดขั้นแรกสำหรับการก้าวเข้าสู่สังคมโลกภายนอกโรงเรียน

    สิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของปูตินน้อย คือ ภาพยนตร์เรื่อง “The Sword and the Shield “ ที่เป็นเริ่องเกี่ยวกับ Major Aleksandr Belov ที่เป็น KGB ที่ไปทำงานสืบราชการลับในหน่วย SS ของนาซี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นขาวดำ ยาวถึงห้าชั่วโมง แต่ปูตินน้อยสามารถดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย

    เขาบอกกับตัวเองว่า……สักวันหนึ่ง……เขาจะเป็นสายลับ KGB ให้ได้…!!!!

    เขาเริ่มดำเนินการตามฝัน เพราะ สำนักงานใหญ่ KGB ก็อยู่ในเลนินกราด ในตอนนั้นใครๆเรียกว่า The Big House
    เขาไปที่นั่น…ต้องใช้ความพยายามถึงสามครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ เพื่อที่จะขอใบสมัคร…
    เจ้าหน้าที่ที่มาคุยด้วย มองเขาด้วยความสมเพช ได้บอกกับเขาว่า……ที่นี่….ไม่รับหน่วยอาสา ถ้าจะมาสมัคร ต้องไปเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ เพราะเรารับคนที่เคยเป็นทหาร หรือจบจากมหาวิทยาลัย ……
    ปูตินน้อยไม่ละความพยายาม เขาถามไปว่า ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย ต้องเรียนสาขาไหน ถึงจะมีสิทธิ
    คนตอบตอบอย่างเสียไปที…ว่า……กฎหมายมั้ง……!!!

    กฎหมาย……คำนั้นคำเดียว…ที่เขาจำได้แม่น……ที่เหลือคือเขาต้องไปหว่านล้อมพ่อแม่ ที่ตั้งเป้าหมายให้เขาเรียนพวกการบิน หรือเทคนิคต่างๆ หรือแต่โค้ชยูโดที่พยายามหว่านล้อมให้ไปเป็นตำรวจ……ที่เขาไม่ชอบเลย……!!

    ตั้งแต่เขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็น KGB ให้ได้นั้น ปูตินน้อยเปลี่ยนไป เขาเริ่มสนใจข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง ฟังเพลง The Beatles ข้างเตียง
    แขวนภาพของ Jan Karlovich Berzin (ผอ. KGB คนแรกในยุคบอลเชวิค)

    ส่วนเรื่องสาวๆในวัยทีนก็ต้องมีบ้าง เขาและ Vera Brileva
    เพื่อนนักเรียนเคยมีการจูบกันตามเกมส์ที่เล่นหมุนปากขวด
    (แบบเด็กๆ) Vera เคยไปหาเขาที่บ้าน ในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือ ……เธอเริ่มต้นด้วยคำทักทายว่า…
    “เธอจำไม่ได้เหรอ…ว่า…..???
    แต่ปูตินลุกขึ้นยืน และตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใยว่า……
    “ชั้นจะจำในสิ่งที่ควรจำเท่านั้น………”

    ปูตินเรียนจบภาคการศึกษาที่เขาทำเกรดได้ดี ในวิชาภาษาเยอรมัน ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    จนได้รับเลือกเข้าไปเป็นนักศึกษาใน Leningrad State University ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโซเวียต ยูเนี่ยน
    เพราะการรับนักศึกษานั้น โอกาสคือ สี่สิบต่อหนึ่ง

    และ……สาขาที่เขาเลือก คือ นิติศาสตร์…………!!!

    Wiwanda W. Vichit
    ตอนหนึ่ง………จากเด็กหลังห้อง……สู่นักศึกษากฏหมายยูโดสายดำ……!! ก็จะเล่าเรื่องของท่านผู้นำ Vladimir Vladimirovich Putin ตามที่เคยเกริ่นไว้นานมาแล้วนะคะ วลาดิเมียร์ ปูติน ถือกำเนิดในวันที่ 7 ตุลาคม 1952 ที่เลนินกราด (เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก) สหภาพโซเวียต เขาเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ทั้งบิดา มารดา (Vladimir และ Maria) ที่ค่อนข้างทนุถนอมปูตินน้อย ที่มีชื่อเล่นๆว่า Volodya (โวโลเดียร์) เพราะบุตรชายคนนี้ คือผู้ที่จะสืบทอดวงศ์ตระกูลเพียงคนเดียว หลังจากที่ได้สูญเสียบุตรชายไปสองคนก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง วลาดิเมียร์ผู้พ่อเคยรับราชการทหารเรือ ในหน่วยเรือดำน้ำ เมื่อถูกปลดประจำการ เขาและมาเรียก็ปักหลักลงฐานอยู่ในเลนินกราดเช่นเดิม ไม่ได้ย้ายไปไหน ทางรัฐบาลได้จัดที่อยู่อาศัยให้ในอาคารสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เลขที่ 12 ถนน Baskov ที่เป็นอาคารเก่าๆ มีสี่ห้องนอน แต่เขาต้องแบ่งกันอยู่กันอีกครอบครัวหนึ่ง ทั้งหมดยังต้องใช้เตาผิงฟืนเพื่อความอบอุ่น มาเรีย……ไม่ได้มีความรู้มากมาย ทำงานสารพัด ตั้งแต่รับล้างหลอดแก้วในแล็บ……ส่งขนมปัง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ คือ ต้องมีเวลาดูแลบุตรชายให้ดีที่สุด คู่สามีภรรยาที่เป็นเพื่อนร่วมแฟลต เป็นชาวยิว (เคร่งปฏิบัติ) ปูตินน้อย จึงเป็นละอ่อนคนเดียวในหมู่เพื่อนบ้าน เมื่อเขามีอายุได้เจ็ดอาทิตย์ มาเรีย และ บาบาอันยา (เพื่อนบ้าน) ได้พากันแอบเอาเขาไปทำพิธีล้างบาปในพิธีของออโธดอกซ์ ซึ่งเป็นความลับ (เพราะในยุคของคอมมิวนิสต์ พิธีทางศาสนาต่างๆต้องแอบซ่อน) เรื่องนี้ แม้แต่บิดาของเขาก็ไม่รู้ เป็นความลับดำมืด จนเมื่อสี่สิบปีต่อมา มาเรียได้นำกางเขนเล็กๆมาให้กับปูติน และเล่าเรื่องราวให้ฟัง ย้ำกับเขาว่า ถ้ามีโอกาสไปที่เยรูซาเล็ม ช่วยเอากางเขนนี้ ไปสวดที่ Church of the Holy Sepulcher ด้วย เลยพอเดาได้……ว่า มาเรียมีเชื้อสายเป็นยิวออโธดอกซ์ ที่ลบเลือนหายไปตามวิถีการเมืองและกาลเวลา นามสกุลเดิมของเธอ คือ Shelomova (ที่รากมาจาก Solomon ที่เป็นนามสกุลของยิว) ปูตินน้อยเป็นเด็กเฮี้ยวพอสมควร อายุเพียงเก้าขวบ เขาและเพื่อนพากันขึ้นรถไฟไปเที่ยวในชนบท กลับมาก็เจอกับพ่อที่ถือเข็มขัดรอไว้ในมือ…… จากนั้นมา แม้แต่จะเดินไปหัวมุมถนน เขายังต้องขออนุญาต ความสัมพันธ์ในบ้าน ค่อนข้างที่จะเคร่งครัด ไม่มีการกอดจูบ หรือป้อนคำหวานใส่กัน วันเปิดเรียน……นักเรียนอื่นๆเขาจะนำช่อดอกไม้ไปให้ครู แต่ปูตินยกไปให้ครูทั้งกระถาง เขาเป็นที่ขำขันของเหล่าเพื่อนๆ เพราะตัวเล็ก แข้งขาลีบ เดินเป๋ๆ การเรียนไม่ค่อยดี จนครูต้องไปพบกับผู้ปกครอง เพื่อแนะนำว่า เด็กคนนี้หัวดีมาก แต่ไม่เอาใจใส่การเรียนเท่าที่ควร วลาดิเมียร์ผู้พ่อ ย้อนถามครูไปว่า “แล้วจะให้ผมทำยังไง……ฆ่ามันทิ้งงั้นเหรอ?” แต่ทั้งคู่ก็รับปากว่า จะเอาใจใส่ให้มากกว่านี้ สิ่งแรกเลยที่ปูตินต้องพบ……คือ พ่อพาเขาไปเรียนชกมวย ที่ปูตินไม่สนใจในเรื่องชกๆต่อยๆ เขาไปสนใจใน sambo มากกว่า (แซมโบ คือ การผสมผสานระหว่างยูโด กับมวยปล้ำ) ซึ่งเขามาได้ถูกทาง เพราะโค้ชได้เข้าไปพบกับ วลาดิเมียร์ และ มาเรีย เพื่อรับรองว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ปูตินน้อยมีความสามารถพิเศษในศาสตร์ด้านนี้ ปูตินน้อยเข้าสู่วัยสิบสาม อยู่ชั้นมัธยมที่หนึ่ง เขาเริ่มมีทีมกลุ่มนักกีฬายูโดที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน จากที่เดินติ๋มๆในละแวกที่อาศัยล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยอบายมุข เหล้า บุหรี่ ปูตินน้อย……สามารถเดินสบตาได้ทุกคน การเรียนเขาดีขึ้นมาก เขาได้รับเลือกขึ้นเป็นหัวหน้านักเรียนในชั้นมัธยมปีที่สอง พอมัธยมแปด เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปเข้าในสมาคมยุวคอมมิวนิสต์ และนี่คือบันไดขั้นแรกสำหรับการก้าวเข้าสู่สังคมโลกภายนอกโรงเรียน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของปูตินน้อย คือ ภาพยนตร์เรื่อง “The Sword and the Shield “ ที่เป็นเริ่องเกี่ยวกับ Major Aleksandr Belov ที่เป็น KGB ที่ไปทำงานสืบราชการลับในหน่วย SS ของนาซี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นขาวดำ ยาวถึงห้าชั่วโมง แต่ปูตินน้อยสามารถดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่มีวันเบื่อหน่าย เขาบอกกับตัวเองว่า……สักวันหนึ่ง……เขาจะเป็นสายลับ KGB ให้ได้…!!!! เขาเริ่มดำเนินการตามฝัน เพราะ สำนักงานใหญ่ KGB ก็อยู่ในเลนินกราด ในตอนนั้นใครๆเรียกว่า The Big House เขาไปที่นั่น…ต้องใช้ความพยายามถึงสามครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ เพื่อที่จะขอใบสมัคร… เจ้าหน้าที่ที่มาคุยด้วย มองเขาด้วยความสมเพช ได้บอกกับเขาว่า……ที่นี่….ไม่รับหน่วยอาสา ถ้าจะมาสมัคร ต้องไปเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ เพราะเรารับคนที่เคยเป็นทหาร หรือจบจากมหาวิทยาลัย …… ปูตินน้อยไม่ละความพยายาม เขาถามไปว่า ถ้าเรียนมหาวิทยาลัย ต้องเรียนสาขาไหน ถึงจะมีสิทธิ คนตอบตอบอย่างเสียไปที…ว่า……กฎหมายมั้ง……!!! กฎหมาย……คำนั้นคำเดียว…ที่เขาจำได้แม่น……ที่เหลือคือเขาต้องไปหว่านล้อมพ่อแม่ ที่ตั้งเป้าหมายให้เขาเรียนพวกการบิน หรือเทคนิคต่างๆ หรือแต่โค้ชยูโดที่พยายามหว่านล้อมให้ไปเป็นตำรวจ……ที่เขาไม่ชอบเลย……!! ตั้งแต่เขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็น KGB ให้ได้นั้น ปูตินน้อยเปลี่ยนไป เขาเริ่มสนใจข่าวต่างประเทศ ข่าวการเมือง ฟังเพลง The Beatles ข้างเตียง แขวนภาพของ Jan Karlovich Berzin (ผอ. KGB คนแรกในยุคบอลเชวิค) ส่วนเรื่องสาวๆในวัยทีนก็ต้องมีบ้าง เขาและ Vera Brileva เพื่อนนักเรียนเคยมีการจูบกันตามเกมส์ที่เล่นหมุนปากขวด (แบบเด็กๆ) Vera เคยไปหาเขาที่บ้าน ในขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือ ……เธอเริ่มต้นด้วยคำทักทายว่า… “เธอจำไม่ได้เหรอ…ว่า…..??? แต่ปูตินลุกขึ้นยืน และตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใยว่า…… “ชั้นจะจำในสิ่งที่ควรจำเท่านั้น………” ปูตินเรียนจบภาคการศึกษาที่เขาทำเกรดได้ดี ในวิชาภาษาเยอรมัน ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จนได้รับเลือกเข้าไปเป็นนักศึกษาใน Leningrad State University ที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโซเวียต ยูเนี่ยน เพราะการรับนักศึกษานั้น โอกาสคือ สี่สิบต่อหนึ่ง และ……สาขาที่เขาเลือก คือ นิติศาสตร์…………!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา📝
    .
    🗓️วันที่ 11 ก.ย. 67 เวลา 10.00 น.
    นายศุภรัศมิ์ ตัณฑเศรณีวัฒน์ ประธานสภาเทศบาลนครนครราชสีมา เปิดประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา สมัยสามัญ สมัยที่หนึ่งประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ตามที่ เทศบาลนครนครราชสีมาได้ประกาศใช้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เทศบาลนครนครราชสีมามีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายรับบางประเภทเพิ่มขึ้น ทำให้มีรายรับเกินยอดรวมทั้งสิ้นของประมาณการรายรับ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จำนวน 124,551,000 บาท โดยแบ่งเป็น รายได้จัดเก็บเอง จำนวน 35,839,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 28.77 และรายได้ที่รัฐบาลอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 88,712,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 71.23 จึงมีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นเงินทั้งสิ้น 124,551,000 บาท โดยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่นในหลายด้าน เพื่อยกระดับการเป็นมหานครที่น่าอยู่ในระดับสากลด้วยพลังสังคม เพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน ที่มีประสิทธิภาพและ
    ยั่งยืน ดังนี้
    1. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ: การเป็นเมืองอัจฉริยะ ( Smart city) ด้วยการพัฒนาระบบศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อบริหารจัดการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ
    เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน และติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน
    2. ด้านการศึกษา: ก่อสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาล รวมถึงการสนับสนุนเทคโนโลยีการศึกษาด้วยการจัดหาคอมพิวเตอร์ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน
    3. ด้านการพัฒนาชุมชน: ก่อสร้างและปรับปรุงศาลาประชาคมให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมของชุมชน และการจัดหาเครื่องออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชน
    4. ด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอย: จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมกาญจนาภิเษก ชั้น 5 เทศบาลนครนครราชสีมา

    #เทศบาลนครนครราชสีมา
    #งานประชาสัมพันธ์เทศบาลนครนครราชสีมา
    #Appkoratcity #สายด่วน1132
    📲 ไลน์OAเทศบาลฯแอดเลย 👉🏻 https://lin.ee/tEoZH6e
    #ประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา📝 . 🗓️วันที่ 11 ก.ย. 67 เวลา 10.00 น. นายศุภรัศมิ์ ตัณฑเศรณีวัฒน์ ประธานสภาเทศบาลนครนครราชสีมา เปิดประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา สมัยสามัญ สมัยที่หนึ่งประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ตามที่ เทศบาลนครนครราชสีมาได้ประกาศใช้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เทศบาลนครนครราชสีมามีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายรับบางประเภทเพิ่มขึ้น ทำให้มีรายรับเกินยอดรวมทั้งสิ้นของประมาณการรายรับ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จำนวน 124,551,000 บาท โดยแบ่งเป็น รายได้จัดเก็บเอง จำนวน 35,839,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 28.77 และรายได้ที่รัฐบาลอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 88,712,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 71.23 จึงมีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นเงินทั้งสิ้น 124,551,000 บาท โดยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่นในหลายด้าน เพื่อยกระดับการเป็นมหานครที่น่าอยู่ในระดับสากลด้วยพลังสังคม เพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน ที่มีประสิทธิภาพและ ยั่งยืน ดังนี้ 1. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ: การเป็นเมืองอัจฉริยะ ( Smart city) ด้วยการพัฒนาระบบศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อบริหารจัดการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน และติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน 2. ด้านการศึกษา: ก่อสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาล รวมถึงการสนับสนุนเทคโนโลยีการศึกษาด้วยการจัดหาคอมพิวเตอร์ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน 3. ด้านการพัฒนาชุมชน: ก่อสร้างและปรับปรุงศาลาประชาคมให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมของชุมชน และการจัดหาเครื่องออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชน 4. ด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอย: จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมกาญจนาภิเษก ชั้น 5 เทศบาลนครนครราชสีมา #เทศบาลนครนครราชสีมา #งานประชาสัมพันธ์เทศบาลนครนครราชสีมา #Appkoratcity #สายด่วน1132 📲 ไลน์OAเทศบาลฯแอดเลย 👉🏻 https://lin.ee/tEoZH6e
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนุ่มทัณฑสถานสิงคโปร์ ที่หลงรักมวยไทย

    เมื่อวันก่อน เฟซบุ๊ก Singapore Prison Service ขององค์กรทัณฑสถานสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์ (Ministry of Home Affairs หรือ MHA) ได้เผยแพร่วีดีโอคลิปรายการที่ชื่อว่า Captain of lives, Outside of work สัมภาษณ์พันตำรวจตรี อาหมัด เนาฟัล (ASP Ahmad Naufal) เจ้าหน้าที่กองฟื้นฟูความร่วมมือชุมชนและการกลับคืนสู่สังคม ที่อีกด้านหนึ่งของชีวิตเป็นผู้ที่หลงรักมวยไทย

    อาหมัดเล่าว่า ทำงานที่นี่มาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนพันธมิตร ช่วยเหลือด้านการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนด้านระบบความสัมพันธ์ สำหรับผู้ต้องขัง อดีตผู้กระทำความผิด และครอบครัวของพวกเขา แต่ละวันเกี่ยวข้องกับการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนพันธมิตร ทำอย่างไรที่จะทำให้อดีตผู้กระทำความผิด มีส่วนร่วมกับกิจกรรมเพื่อสังคม และเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมของพวกเขา

    แต่นอกเวลางาน อาหมัดใช้เวลาจำนวนมากไปกับการเข้ายิมเพื่อฝึกซ้อมมวยไทย

    เขากล่าวว่า เมื่อ 7 ปีก่อนไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ กับกลุ่มเพื่อนเมื่อปี 2560 สิ่งสำคัญที่ได้ทำในประเทศไทย คือการเยี่ยมชมเวทีมวยราชดำเนิน ทำให้ได้จุดประกายบางอย่างในตัวขึ้นมา เมื่อกลับมายังสิงคโปร์ก็เริ่มฝึกมวยไทย ผ่านมาแล้ว 7 ปี ก็ยังคงฝึกซ้อมมวยไทย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

    "มวยไทยช่วยให้ผมคลายเครียด คลายความกดดันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวันทำงานอันยาวนาน ดังนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตะและต่อยกระสอบทรายอีกแล้ว มันเป็นทางออกที่ดีจริงๆ สำหรับการคลายเครียด"

    อาหมัดฝึกซ้อมมวยไทยกับยิมท้องถิ่นในศูนย์การค้าคิเนกซ์ (Kinex) สนิทกับผู้ฝึกสอนจากประเทศไทยที่ชื่อว่า "ครูตุ๊ก" เป็นพิเศษ ซึ่งได้เรียนรู้จากเขาทุกครั้งที่ทำการฝึกเข้าเป้า เขาจะลงมือลงแรงกับตนเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับผู้เข้ารับการฝึกคนอื่นๆ จำไม่ได้ว่าเคยมีช่วงเวลาไหนที่ไม่หมดแรง เมื่อต้องฝึกซ้อมร่วมกับเขา ดังนั้นพวกเราจึงเติบโตขึ้นอย่างใกล้ชิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และรู้สึกยินดีที่ได้พบกับเขาดังครูฝึกของตน

    "ผมคิดว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ คือไม่เพียงแต่คุณจะสามารถรักษาความฟิตได้เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจเฉียบแหลมขึ้น และมีสมาธิในการทำงานที่ดีขึ้นด้วย"

    #Newskit #SingaporePrisonService #CaptainOfLives
    หนุ่มทัณฑสถานสิงคโปร์ ที่หลงรักมวยไทย เมื่อวันก่อน เฟซบุ๊ก Singapore Prison Service ขององค์กรทัณฑสถานสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงมหาดไทยของสิงคโปร์ (Ministry of Home Affairs หรือ MHA) ได้เผยแพร่วีดีโอคลิปรายการที่ชื่อว่า Captain of lives, Outside of work สัมภาษณ์พันตำรวจตรี อาหมัด เนาฟัล (ASP Ahmad Naufal) เจ้าหน้าที่กองฟื้นฟูความร่วมมือชุมชนและการกลับคืนสู่สังคม ที่อีกด้านหนึ่งของชีวิตเป็นผู้ที่หลงรักมวยไทย อาหมัดเล่าว่า ทำงานที่นี่มาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนพันธมิตร ช่วยเหลือด้านการวางแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนด้านระบบความสัมพันธ์ สำหรับผู้ต้องขัง อดีตผู้กระทำความผิด และครอบครัวของพวกเขา แต่ละวันเกี่ยวข้องกับการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนพันธมิตร ทำอย่างไรที่จะทำให้อดีตผู้กระทำความผิด มีส่วนร่วมกับกิจกรรมเพื่อสังคม และเสริมสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมของพวกเขา แต่นอกเวลางาน อาหมัดใช้เวลาจำนวนมากไปกับการเข้ายิมเพื่อฝึกซ้อมมวยไทย เขากล่าวว่า เมื่อ 7 ปีก่อนไปเที่ยวที่กรุงเทพฯ กับกลุ่มเพื่อนเมื่อปี 2560 สิ่งสำคัญที่ได้ทำในประเทศไทย คือการเยี่ยมชมเวทีมวยราชดำเนิน ทำให้ได้จุดประกายบางอย่างในตัวขึ้นมา เมื่อกลับมายังสิงคโปร์ก็เริ่มฝึกมวยไทย ผ่านมาแล้ว 7 ปี ก็ยังคงฝึกซ้อมมวยไทย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ "มวยไทยช่วยให้ผมคลายเครียด คลายความกดดันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากวันทำงานอันยาวนาน ดังนั้นไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตะและต่อยกระสอบทรายอีกแล้ว มันเป็นทางออกที่ดีจริงๆ สำหรับการคลายเครียด" อาหมัดฝึกซ้อมมวยไทยกับยิมท้องถิ่นในศูนย์การค้าคิเนกซ์ (Kinex) สนิทกับผู้ฝึกสอนจากประเทศไทยที่ชื่อว่า "ครูตุ๊ก" เป็นพิเศษ ซึ่งได้เรียนรู้จากเขาทุกครั้งที่ทำการฝึกเข้าเป้า เขาจะลงมือลงแรงกับตนเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับผู้เข้ารับการฝึกคนอื่นๆ จำไม่ได้ว่าเคยมีช่วงเวลาไหนที่ไม่หมดแรง เมื่อต้องฝึกซ้อมร่วมกับเขา ดังนั้นพวกเราจึงเติบโตขึ้นอย่างใกล้ชิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา และรู้สึกยินดีที่ได้พบกับเขาดังครูฝึกของตน "ผมคิดว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งในการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ คือไม่เพียงแต่คุณจะสามารถรักษาความฟิตได้เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจเฉียบแหลมขึ้น และมีสมาธิในการทำงานที่ดีขึ้นด้วย" #Newskit #SingaporePrisonService #CaptainOfLives
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 611 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเชิญชมนิทรรศการ แผนที่ประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ จัดขึ้น ณ ห้องสมุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน ถึงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๗ นี้

    กรุงเทพฯ ๒๕๑๕
    นิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
    เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

    ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ เจริญพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เฉลิมพระราชอิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ตามโบราณขัตติยราชประเพณี เป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่สาม ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ดำรงพระราชอิสริยยศจวบจนปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ จึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

    ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา อันเป็นมหามงคลสมัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงจัดนิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติ เรื่อง กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ ขึ้น เพื่อฉายให้เห็นภูมิลักษณ์ สถาปัตยกรรมและผังเมืองกรุงเทพฯ เมื่อครึ่งศตวรรษที่ล่วงมา จัดแสดงแผนที่ประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ มาตราส่วน ๑ : ๑๐๐๐ จำนวน ๗๒ ระวาง

    แผนที่ประวัติศาสตร์ ชุดนี้ กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช และเงินทุนเฉลิมฉลองสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สนับสนุนให้ หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์ฯ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ดำเนินการคัดลอกจากแผนที่เก่า ของหน่วยแผนที่ กองตำรวจจราจร กรมตำรวจ ที่จัดทำขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อให้เป็นฐานข้อมูล สำหรับการเรียนการสอนและวิจัย ที่จะนำไปสู่ การสืบสาน รักษา และต่อยอด องค์ความรู้สถาปัตยกรรม และเมือง กรุงเทพฯ ตามแนวพระราชดำริสืบไป

    นิทรรศการ แผนที่ประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ จัดขึ้น ณ ห้องสมุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน ถึงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๗

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/dcjWxZz8CoV3Y2qq/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ขอเชิญชมนิทรรศการ แผนที่ประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ จัดขึ้น ณ ห้องสมุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน ถึงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๗ นี้ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ นิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๕ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ เจริญพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เฉลิมพระราชอิสริยยศขึ้นเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ตามโบราณขัตติยราชประเพณี เป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ที่สาม ในพระบรมราชจักรีวงศ์ ดำรงพระราชอิสริยยศจวบจนปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ จึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมายุครบ ๖ รอบ ๗๒ พรรษา อันเป็นมหามงคลสมัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงจัดนิทรรศการ เฉลิมพระเกียรติ เรื่อง กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ ขึ้น เพื่อฉายให้เห็นภูมิลักษณ์ สถาปัตยกรรมและผังเมืองกรุงเทพฯ เมื่อครึ่งศตวรรษที่ล่วงมา จัดแสดงแผนที่ประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ มาตราส่วน ๑ : ๑๐๐๐ จำนวน ๗๒ ระวาง แผนที่ประวัติศาสตร์ ชุดนี้ กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช และเงินทุนเฉลิมฉลองสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สนับสนุนให้ หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์ฯ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ดำเนินการคัดลอกจากแผนที่เก่า ของหน่วยแผนที่ กองตำรวจจราจร กรมตำรวจ ที่จัดทำขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อให้เป็นฐานข้อมูล สำหรับการเรียนการสอนและวิจัย ที่จะนำไปสู่ การสืบสาน รักษา และต่อยอด องค์ความรู้สถาปัตยกรรม และเมือง กรุงเทพฯ ตามแนวพระราชดำริสืบไป นิทรรศการ แผนที่ประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ ๒๕๑๕ จัดขึ้น ณ ห้องสมุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระหว่างวันที่ ๒๓ กันยายน ถึงวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/dcjWxZz8CoV3Y2qq/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 423 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/9lxQoXKAMgc
    AH 4566 บรรยายที่ 3/10 หัวข้อ “การเรียนรู้” โดย อาจารย์อับดุลฮากีม มังเดชะ
    งาน 10 ปี กลุ่มอัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ
    03.08.67 @ ณ มัสยิดดารุสสลาม (บาหยัน) หนองจอก
    https://youtu.be/9lxQoXKAMgc AH 4566 บรรยายที่ 3/10 หัวข้อ “การเรียนรู้” โดย อาจารย์อับดุลฮากีม มังเดชะ งาน 10 ปี กลุ่มอัลฮัมดุลิ้ลลาฮฺ 03.08.67 @ ณ มัสยิดดารุสสลาม (บาหยัน) หนองจอก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรับยารักษา “โรคฝีดาษ” จากศิลาจารึก/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    สำหรับตำรับยาโรคระบาดในประเทศไทยนั้น ได้ยึดถึอเอาพระคัมภีร์ตักกะศิลาเป็นกระบวนการรักษาโรค โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน กล่าวคือ

    ขั้นตอนแรก ตำรับยาสำหรับกระทุ้งพิษไข้ โดยใช้ตำรับยาห้าราก

    ขั้นตอนที่สอง ตำรับยาสำหรับแปรไข้ภายในและรักษาผิวภายนอก มีตำรับยา 5 ขนาน คือ ตำรับยาประสระผิว ตำรับยาพ่นผิวภายนอก ตำรับยาพ่นและยากิน และตำรับยาแปรไข้จากร้ายให้เป็นดี และตำรับยาพ่นแปรผิวภายนอก

    ขั้นตอนสุดท้าย ตำรับยาครอบไข้[1]

    ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตำรายาหลวง ชื่อตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยในตำราดังกล่าวได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังเป็นตำราสำหรับการเรียนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์มาจนถึงปัจจุบัน

    ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีพระบรมราโชบายให้มีตำรายาจารึกเอาไว้ในแผ่นศิลาประดับอยู่ตามผนังและเสาของวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระราชทานเป็นมรดกให้กับประชาชนชาวสยามสืบไปตราบนานเท่านาน รวมถึงวิวัฒนาการที่ลดทอนยา 7 ขนาน 3 ขั้นตอน มาเหลือ “ตำรับยาเดียว” ในการรับมือโรคระบาดหลายชนิดด้วย ซึ่งปัจจุบันคนในวงการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ยาขาว”

    ตำรับยาขาวของวัดโพธิ์นี้ได้ระบุเอาไว้ในตำราว่าแผ่นศิลาแผ่นนี้ได้ถูกรื้อออกมาจากศาลาต่างๆ แต่โชคดีได้บันทึกตำรับยาสำคัญนี้เอาไว้ในตำรายาของวัดโพธิ์ จึงทำให้สามารถตกทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยตำรายาวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ฉบับเก่า 51 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2516 ได้บันทึกตำรับยานี้เอาไว้อยู่ที่หน้า 62-64[2]

    ตำรับยาขนานนี้ได้บรรยายสรรพคุณว่า เพียงตำรับยาเดียวสามารถ “แก้สรรพไข้จากโรคระบาด” โดยตำรายาศิลาจารึกบันทึกว่าตำรับยานี้ใช้สมุนไพร 15 ตัวและมีสรรพคุณแก้สรรพไข้จากโรคระบาดหลายชนิด โดยระบุในบันทึกของแผ่นศิลาความตอนนี้ว่า

    “ขนาน 1 เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากฟักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเปน มหาวิเศษนัก“[2]

    แม้ในความจริงแล้วจะมีขั้นตอนและวิวัฒนาการในการรักษาโรคระบาดหลายชนิดในภาพรวม แต่ภายใต้พระคัมภีร์ตักกะศิลา ได้วางหลักถึง “รสยา” สำหรับรับมือโรคระบาดว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรจะลองดูในเวลาติดเชื้ออันจากเกิดโรคระบาดเอาไว้ความว่า

    ห้ามใช้ยาหรือการกระทำที่มีรสกระตุ้นธาตุไฟหรือระบบความร้อน (ปิตตะ) แต่ให้ยาที่มีลดธาตุไฟหรือระบบความร้อน หากไม่ฟังตามนี้อาจจะถึงแก่ความตายได้ ความว่า

    “ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อนเผ็ดเปรี้ยว อย่าให้ประคบนวด อย่าปล่อยปลิง อย่าให้กอกเอาโลหิตออก อย่าให้ถูกน้ำมัน เหล้าก็อย่าให้ถูก น้ำร้อนก็อย่าให้อาบ อย่าให้กิน ส้มมีควันมีผิวกะทิน้ำมันห้ามิให้กิน ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”[3]

    ต่อมาเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ได้เรียบเรียงเอาไว้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเรื่อง “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ว่าช่วงเวลาที่มีกำเดาหรือเปลวแห่งความร้อนนี้ ไม่ว่าจะวัดว่ามีไข้จากภายนอก หรือรู้สึกครั่นเนื้อตัวอยู่ภายใน ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีผื่นขึ้น จะไม่ใช้ยารสร้อน ห้ามเหล้า น้ำมัน กอกเลือด นวด หรือปล่อยปลิงเพื่อเอาเลือดออก หากไม่ฟังให้ยาหรือการดำเนินการเช่นดังกล่าวนี้ อาจแก้กันไม่ทัน ความว่า

    “ถ้าแรกล้มไข้ ท่านมากล่าวไว้ ให้พิจารณา ภายนอกภายใน ให้ร้อนหนักหนา เมื่อยขบกายา ตาแดงเป็นสาย บ้างเย็นบ้างร้อน เปนบั้นเป็นท่อน ไปทั่วทั้งกาย ขึ้นมาให้เห็น เปนวงเปนสาย เปนริ้วยาวรี ลางบางไม่ขึ้น เปนวงฟกลื่น กายหมดดิบดี หมอมักว่าเปนสันนิบาติก็มี ให้ยาผิดที แก้กันไม่ทัน อย่าเพ่อกินยา ร้อนแรงแขงกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน เอาโลหิตออก กอกเลือดนวดฟั้น ปล่อยปลิงมิทัน แก้กันเลยนา” [4]

    ด้วยประสบการณ์ของเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบยอดสรุปถ่ายทอดมาเป็นความรู้ว่า ในยามที่ยังต้องถกเถียงกันว่าโรคระบาดที่ทำให้เกิดคนตายมากเป็นโรคประเภทใดกันแน่ ในยามที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จึงให้ใช้รสยาแรกไปในทางรสขม เย็นอย่างยิ่ง หรือฝาดจืด ซึ่งเป็นรสยาที่ไม่มีธาตุไฟมาปน ดังความว่า

    “ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน”[4]

    แต่ถึงแม้จะมีหลักการและขั้นตอนต่างๆในการวางรสยาเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่เนื่องจากโรคฝีดาษและไข้ทรพิษนั้น อาจมีลักษณะจำเพาะที่มีการระบาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกว่าจะได้หมดสิ้นจากประเทศไทยได้นั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2523

    การเอาชนะโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ นอกจากการรับมือกับโรคระบาดในเรื่องตำรับยาต่างๆแล้ว ความรู้เรื่องการปลูกฝีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง เพราะได้เป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคฝีดาษได้ด้วย

    โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีไข้ทรพิษ และพระราชบัญญัติระงับโรคระบาทว์ พ.ศ.​2456 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคแก่ประชาชน

    ต่อมาในปี 2504 กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกำจัดไข้ทรพิษครั้งแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ.2504-2506) คือคนไทยอย่างน้อย 80% ต้องได้รับการปลูกฝี ภายหลังขยายเวลาเป็น 5 ปี (พ.ศ.2504-2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาระดมการปลูกฝีทั่วประเทศไทย

    โดยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคฝีดาษรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2505 เป็นแขกชื่อ ยาริดาเนา ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร

    เมื่อสิ้นสุดโครงการการระดมปลูกฝี ถึงปี พ.ศ. 2508 ก็เป็นผลทำให้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษหายไปจากประเทศไทยติดต่อกันถึง 3 ปีติดต่อกันแล้ว จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรองว่าฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว[5]

    นี่คือเหตุผลว่าผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 หรืออายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่น่าจะได้รับการปลูกฝีแล้ว(โดยดูได้จากแผลเป็นบนหัวไหล่) แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 44 ปีติดโรคฝีดาษลิงได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เช่นผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นต้น

    อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝีดาษที่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2523 หรือเป็นเวลา 44 ปี ทำให้ภูมิปัญญาที่เคยรับมือในการรักษาโรคฝีดาษขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการรับมือด้วยสมุนไพร ตำรับยาไทย และกรรมวิธีต่างๆในการรักษา

    ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนไทยควรจะรับมือในการรักษาโรคฝีดาษลิงอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงไปตามพระคัมภีร์ตักกะศิลาในการใช้ยา 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน หรือยาขาวตามตำรับยาของวัดศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงโรคฝีดาษ หรือฝีดาษลิงเป็นการเฉพาะ

    ทำให้หลายคนสงสัยว่าในเมื่อโรคฝีดาษ เป็นโรคที่ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ในการเกิดโรคระบาดมาหลายร้อยปี ควรจะต้องมี “ตำรับยา“ สำหรับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะหรือไม่

    เมื่อทบทวนข้อมูลตามตำราและคัมภีร์ทั้งหมดพบ ”การรักษาโรคฝีดาษ“ เป็นการเฉพาะจารึกเป็นตำรายาที่ปรากฏในแผ่นศิลาของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร

    โดย ศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญาของแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ที่จารึกยาขนานต่างๆ ลักษณะของแผ่นศิลาจารึกเป็นหินอ่อนสีเทา สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดในมุมแหลม จำนวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ 42 แผ่น และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร 8 แผ่น เชื่อว่าในอดีตมีแผ่นศิลาจารึก 92 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50 แผ่น

    และนับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะแผ่นศิลาที่กล่าวถึงการรักษาโรคฝีดาษ ยังไม่สูญหายและข้อความที่ปรากฏก็ยังไม่เลือนหายไปด้วย จึงนับว่าเป็นบุญของประเทศที่มีภูมิปัญญาและมีคุณค่ายิ่งในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาเริ่มระบาดในบางประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทย

    โดยแผ่นศิลาที่กล่าวถึงฝีดาษนั้น เป็นแผนที่ 18 ของศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ปรากฏข้อความดังนี้

    “๏ สิทธิการิยะ จะกล่าวฝีดาษเกิดในเดือน 11 เดือน 12 เดือน 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ เกิดเพื่ออาโปธาตุ มักให้เย็นในอกแลมักตกมูกตกเลือด ให้เสียแม่แสลงพ่อแสลง นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำบัตรไปส่งทิศอุดรแลอีสาร จึ่งจะดี๚

    ถ้าจะแก้ให้เอาใบมะอึก ใบผักบุ้งร้วม ใบผักบุ้งขัน ใบก้างปลาทั้งสอง ใบพุงดา ใบผักขวง ใบหมาก ใบทองพันชั่ง เอาเสมอภาคตำเอาน้ำพ่น ดับฝี เพื่อเสมหะหาย ๚

    ขนานหนึ่ง เอากะทิมะพร้าว น้ำคาวปลาไหล ไข่เป็ดลูกหนึ่ง มูลโคดำ แก่นประดู่ เอาเสมอภาคบด พ่นฝีเพื่อเสมหะที่ด้านอยู่นั้นขึ้นแลแปรฝีร้ายให้เป็นดี ๚

    ขนานหนึ่ง เอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำรากถั่วพู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสมหะให้ยอดขึ้น หนองงามดีนัก๚

    ขนานหนึ่ง เอาเห็ดมูลโค ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง สังกรณี ชะเอม ลูกประคำดีควาย หวายตะค้า เขากวางเผา กระดูกเสือเผา มะกล่ำเครือ ขันฑสกร มะขามเปียก เอาเสมอภาคบดทคำเป็นจุณ บดด้วยน้ำมะนาวทำแท่งไว้ละลายสุรา ดีงูเหลือม รำหัด กินแก้คอแหบแห้ง แก้คอเครือ หายดีนัก๚

    ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚[6]

    ในตำรับยาขนานต่างๆข้างต้นนั้น เป็นยาพ่นภายนอกเสียส่วนใหญ่ ตำรับยาเพื่อการรับประทานที่พอาจะหาได้โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์วัตถุคือตำรับยาขนานสุดท้ายที่น่าจะนำไปวิจัยต่อที่ว่า

    ”ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚“ [6]

    นอกจากนั้นจากจารึกวัดราชโอรสราชวรมหาวิหารยังปรากฏในแผ่นที่ 46 ทำให้เห็นว่ายังมีตำรับยาอีกขนานหนึ่งสำหรับโรคฝีดาษที่เป็นไข้หนักเข้าขั้นไข้สันนิบาตแล้วโดยใช้ ”ยาผายเลือด“ ความว่า

    “๏ สิทธิการิยะ ยาผายเลือดเอารากขี้กาแดง 1 เบญจาขี้เหล็ก ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไซ ลูกคัดเค้า ต้มให้งวดแล้วกรอง เอาน้ำขยำใส่ลงอีกเคี่ยวให้ข้น ปรุงยาดำ 1 สลึง 1 เฟื้อง ดีเกลือ 1 บาท กินประจุเลือดร้ายทั้งปวง แก้ไขสันนิบาตฝีดาษด้วย๚“[7]

    แต่สำหรับศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้กล่าวถึงโรคฝีดาษที่มีรายละเอียดในบางอาการเพิ่มเติมอีก เช่น อาการฝีดาษขึ้นตา ปรากฏในศิลาจารึกว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวงแผ่นที่ 22 ความว่า

    “ยาชื่อ สังขรัศมี เอาชะมดสด พิมเสน สิ่งละส่วน ลิ้นทะเลแช่น้ำมะนาวไว้ยังรุ่งแล้วล้างเสีย จึงเอามาแช่น้ำท่าไว้แต่เช้าถึงเที่ยง แล้วเอาตากให้แห้ง 3 ส่วน รากช้าแป้น ดินถนำสุทธิ สังข์สุทธิ สิ่งละ 4 ส่วน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ฝนป้ายจักษุแก้สรรพต้อให้ปวดเคืองต่างๆ แก้ฝีดาษขึ้นจักษุก็ได้หายวิเศษนักฯ”[8]

    อย่างไรก็ตามการบันทึกในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังให้เบาะแสเกี่ยวกับ “สมุนไพรเดี่ยว” ที่เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีสรรพคุณในการลดฝีดาษได้ ได้แก่ ข่าลิง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ฯลฯ[8]

    ดังปรากฏตัวอย่างในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศและสมุนไพรแผ่นที่ 7 ที่กล่าวถึง “ต้นข่าลิง”แก้พิษฝีดาษ ความว่า

    “อันว่าคุณแห่งข่าลิงนั้น ต้นรู้แก้พิษฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดเพื่อโลหิต รู้แก้ฝีกาฬ อันบังเกิดเพื่อฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษไข้เหนือสันนิบาตฯ”[9]

    นอกจากนั้นยังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 ซึ่งกล่าวถึง “บอระเพ็ด” และ “ชิงช้าชาลี” ความว่า

    “อันว่าคุณแห่งบอระเพ็ดและชิงช้าชาลีนั้นคุณดุจกัน ต้นรู้แก้ฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดโลหิต รู้แก้ฝีกาฬอันบังเกิดฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและในฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษเพื่อไข้สันนิบาตฯ”[10]

    นอกจากนั้นสมุนไพรที่มีการวิจัยที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ก็ควรจะนำมาสู่การวิจัยกับฝีดาษลิงต่อไป เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ใบสะเดา กัญชา กัญชง ฝีหมอบ เสลดพังพอนตัวเมีย ฯลฯ

    ดังนั้นการกลับมาของโรคฝีดาษลิง จึงควรให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาในการรักษาที่มีมาแต่ในอดีตรวมถึงความรู้จากการวิจัยในสมุนไพรต่างๆที่มีมากขึ้น ซึ่งควรจะนำมาวิจัยกับไวรัสฝีดาษลิงเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมประยุกต์ให้เหมาะสมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันและต่อไปในกาลข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท

    ด้วยความปรารถนาดี
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    5 กันยายน 2567
    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1045825823577784/?

    อ้างอิง
    [1] พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์ และ รัชฎาพร พิสัยพันธุ์, การวิเคราะห์องค์ความรู้ไข้ตามคัมภีร์ตักศิลา: คัมภีร์ว่าด้วยโรคระบาด, วารสารหมอยาไทยวิจัย, ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2566), หน้า 131-152
    https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/258845/180094

    [2] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔

    [3] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 694

    [4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 37

    [5] เว็บไซต์กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค, การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จุดเริ่มงานควบคุมโรคติดต่อในประเทศไทย
    https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ.pdf

    [6] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567)
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/14798

    [7] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/16335

    [8] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560
    https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf

    [9] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564
    https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf

    [10] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
    https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723
    ตำรับยารักษา “โรคฝีดาษ” จากศิลาจารึก/ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ สำหรับตำรับยาโรคระบาดในประเทศไทยนั้น ได้ยึดถึอเอาพระคัมภีร์ตักกะศิลาเป็นกระบวนการรักษาโรค โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน กล่าวคือ ขั้นตอนแรก ตำรับยาสำหรับกระทุ้งพิษไข้ โดยใช้ตำรับยาห้าราก ขั้นตอนที่สอง ตำรับยาสำหรับแปรไข้ภายในและรักษาผิวภายนอก มีตำรับยา 5 ขนาน คือ ตำรับยาประสระผิว ตำรับยาพ่นผิวภายนอก ตำรับยาพ่นและยากิน และตำรับยาแปรไข้จากร้ายให้เป็นดี และตำรับยาพ่นแปรผิวภายนอก ขั้นตอนสุดท้าย ตำรับยาครอบไข้[1] ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นอยู่ในตำรายาหลวง ชื่อตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ สมัยรัชกาลที่ 5 โดยในตำราดังกล่าวได้กล่าวถึงพระคัมภีร์ฉันทศาสตร์ ซึ่งประพันธ์โดยเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ตั้งแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังเป็นตำราสำหรับการเรียนการแพทย์แผนไทยและการแพทย์แผนไทยประยุกต์มาจนถึงปัจจุบัน ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงมีพระบรมราโชบายให้มีตำรายาจารึกเอาไว้ในแผ่นศิลาประดับอยู่ตามผนังและเสาของวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) พระราชทานเป็นมรดกให้กับประชาชนชาวสยามสืบไปตราบนานเท่านาน รวมถึงวิวัฒนาการที่ลดทอนยา 7 ขนาน 3 ขั้นตอน มาเหลือ “ตำรับยาเดียว” ในการรับมือโรคระบาดหลายชนิดด้วย ซึ่งปัจจุบันคนในวงการแพทย์แผนไทยเรียกว่า “ยาขาว” ตำรับยาขาวของวัดโพธิ์นี้ได้ระบุเอาไว้ในตำราว่าแผ่นศิลาแผ่นนี้ได้ถูกรื้อออกมาจากศาลาต่างๆ แต่โชคดีได้บันทึกตำรับยาสำคัญนี้เอาไว้ในตำรายาของวัดโพธิ์ จึงทำให้สามารถตกทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ โดยตำรายาวัดเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ฉบับเก่า 51 ปีที่แล้ว คือ พ.ศ. 2516 ได้บันทึกตำรับยานี้เอาไว้อยู่ที่หน้า 62-64[2] ตำรับยาขนานนี้ได้บรรยายสรรพคุณว่า เพียงตำรับยาเดียวสามารถ “แก้สรรพไข้จากโรคระบาด” โดยตำรายาศิลาจารึกบันทึกว่าตำรับยานี้ใช้สมุนไพร 15 ตัวและมีสรรพคุณแก้สรรพไข้จากโรคระบาดหลายชนิด โดยระบุในบันทึกของแผ่นศิลาความตอนนี้ว่า “ขนาน 1 เอา กระเช้าผีมด หัวคล้า รากทองพันชั่ง รากชา รากง้วนหมู รากส้มเส็ด รากข้าวไหม้ รากจิงจ้อ รากสวาด รากสะแก รากมะนาว รากหญ้านาง รากฟักข้าว รากผักสาบ รากผักหวานบ้าน เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่ง ไว้ละลายน้ำซาวข้าวกินแก้ไข้รากสาด ออกดำ แดง ขาว และแก้ไข้ประกายดาษ ไข้หงษ์ระทด และแก้ไข้ไฟเดือนห้า ไข้ละอองไฟฟ้า และแก้ไข้มหาเมฆ มหานิล ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น และยาขนานนี้แก้ได้ทุกประการ ตามอาจารย์กล่าวไว้ ให้แพทย์ทั้งหลายรู้ว่าเปน มหาวิเศษนัก“[2] แม้ในความจริงแล้วจะมีขั้นตอนและวิวัฒนาการในการรักษาโรคระบาดหลายชนิดในภาพรวม แต่ภายใต้พระคัมภีร์ตักกะศิลา ได้วางหลักถึง “รสยา” สำหรับรับมือโรคระบาดว่ามีข้อห้ามและสิ่งที่ควรจะลองดูในเวลาติดเชื้ออันจากเกิดโรคระบาดเอาไว้ความว่า ห้ามใช้ยาหรือการกระทำที่มีรสกระตุ้นธาตุไฟหรือระบบความร้อน (ปิตตะ) แต่ให้ยาที่มีลดธาตุไฟหรือระบบความร้อน หากไม่ฟังตามนี้อาจจะถึงแก่ความตายได้ ความว่า “ไข้จำพวกนี้ย่อมห้ามมิให้วางยาร้อนเผ็ดเปรี้ยว อย่าให้ประคบนวด อย่าปล่อยปลิง อย่าให้กอกเอาโลหิตออก อย่าให้ถูกน้ำมัน เหล้าก็อย่าให้ถูก น้ำร้อนก็อย่าให้อาบ อย่าให้กิน ส้มมีควันมีผิวกะทิน้ำมันห้ามิให้กิน ถ้าใครไม่รู้ทำผิดดังกล่าวมานี้ ก็ถึงความตายดังนี้แล”[3] ต่อมาเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ได้เรียบเรียงเอาไว้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในเรื่อง “ว่าด้วยคัมภีร์ตักกะศิลา” ว่าช่วงเวลาที่มีกำเดาหรือเปลวแห่งความร้อนนี้ ไม่ว่าจะวัดว่ามีไข้จากภายนอก หรือรู้สึกครั่นเนื้อตัวอยู่ภายใน ปวดเมื่อยเนื้อตัว หรือมีผื่นขึ้น จะไม่ใช้ยารสร้อน ห้ามเหล้า น้ำมัน กอกเลือด นวด หรือปล่อยปลิงเพื่อเอาเลือดออก หากไม่ฟังให้ยาหรือการดำเนินการเช่นดังกล่าวนี้ อาจแก้กันไม่ทัน ความว่า “ถ้าแรกล้มไข้ ท่านมากล่าวไว้ ให้พิจารณา ภายนอกภายใน ให้ร้อนหนักหนา เมื่อยขบกายา ตาแดงเป็นสาย บ้างเย็นบ้างร้อน เปนบั้นเป็นท่อน ไปทั่วทั้งกาย ขึ้นมาให้เห็น เปนวงเปนสาย เปนริ้วยาวรี ลางบางไม่ขึ้น เปนวงฟกลื่น กายหมดดิบดี หมอมักว่าเปนสันนิบาติก็มี ให้ยาผิดที แก้กันไม่ทัน อย่าเพ่อกินยา ร้อนแรงแขงกล้า ส้มเหล้าน้ำมัน เอาโลหิตออก กอกเลือดนวดฟั้น ปล่อยปลิงมิทัน แก้กันเลยนา” [4] ด้วยประสบการณ์ของเจ้าพระยาวิชยาธิบดี (กล่อม) เจ้าเมืองจันทบูร ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้รวบยอดสรุปถ่ายทอดมาเป็นความรู้ว่า ในยามที่ยังต้องถกเถียงกันว่าโรคระบาดที่ทำให้เกิดคนตายมากเป็นโรคประเภทใดกันแน่ ในยามที่ยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จึงให้ใช้รสยาแรกไปในทางรสขม เย็นอย่างยิ่ง หรือฝาดจืด ซึ่งเป็นรสยาที่ไม่มีธาตุไฟมาปน ดังความว่า “ถ้ายังไม่รู้ให้แก้กันดู แต่พรรณฝูงยา เย็นเปนอย่างยิ่ง ขมจริงโอชา ฝาดจืดพืชน์ยา ตามอาจารย์สอน”[4] แต่ถึงแม้จะมีหลักการและขั้นตอนต่างๆในการวางรสยาเพื่อรับมือกับโรคระบาด แต่เนื่องจากโรคฝีดาษและไข้ทรพิษนั้น อาจมีลักษณะจำเพาะที่มีการระบาดมาตั้งแต่สมัยอยุธยาจนกว่าจะได้หมดสิ้นจากประเทศไทยได้นั้นต้องใช้เวลาหลายร้อยปีจนมาถึงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. 2523 การเอาชนะโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ นอกจากการรับมือกับโรคระบาดในเรื่องตำรับยาต่างๆแล้ว ความรู้เรื่องการปลูกฝีตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่ง เพราะได้เป็นรากฐานที่ทำให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคฝีดาษได้ด้วย โดยในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดการปลูกฝีไข้ทรพิษ และพระราชบัญญัติระงับโรคระบาทว์ พ.ศ.​2456 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมโรคแก่ประชาชน ต่อมาในปี 2504 กระทรวงสาธารณสุขเริ่มโครงการกำจัดไข้ทรพิษครั้งแรกในประเทศไทย โดยตั้งเป้า 3 ปี (พ.ศ.2504-2506) คือคนไทยอย่างน้อย 80% ต้องได้รับการปลูกฝี ภายหลังขยายเวลาเป็น 5 ปี (พ.ศ.2504-2508) ซึ่งเป็นช่วงเวลาระดมการปลูกฝีทั่วประเทศไทย โดยประเทศไทยได้พบผู้ป่วยโรคฝีดาษรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2505 เป็นแขกชื่อ ยาริดาเนา ได้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลบำราศนราดูร เมื่อสิ้นสุดโครงการการระดมปลูกฝี ถึงปี พ.ศ. 2508 ก็เป็นผลทำให้ฝีดาษหรือไข้ทรพิษหายไปจากประเทศไทยติดต่อกันถึง 3 ปีติดต่อกันแล้ว จนกระทั่งวันที่ 8 พฤษภาคม 2523 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศรับรองว่าฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว[5] นี่คือเหตุผลว่าผู้ที่เกิดก่อนปี 2523 หรืออายุมากกว่า 44 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่น่าจะได้รับการปลูกฝีแล้ว(โดยดูได้จากแผลเป็นบนหัวไหล่) แต่ถึงกระนั้นก็ยังพบผู้ที่มีอายุมากกว่า 44 ปีติดโรคฝีดาษลิงได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง เช่นผู้ป่วยโรคเอดส์เป็นต้น อย่างไรก็ตามเนื่องจากฝีดาษที่ได้สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี 2523 หรือเป็นเวลา 44 ปี ทำให้ภูมิปัญญาที่เคยรับมือในการรักษาโรคฝีดาษขาดความต่อเนื่อง โดยเฉพาะขั้นตอนการรับมือด้วยสมุนไพร ตำรับยาไทย และกรรมวิธีต่างๆในการรักษา ดังนั้นความรู้ที่ว่าคนไทยควรจะรับมือในการรักษาโรคฝีดาษลิงอย่างไร ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงไปตามพระคัมภีร์ตักกะศิลาในการใช้ยา 3 ขั้นตอนด้วยยา 7 ขนาน หรือยาขาวตามตำรับยาของวัดศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) บ้าง แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงโรคฝีดาษ หรือฝีดาษลิงเป็นการเฉพาะ ทำให้หลายคนสงสัยว่าในเมื่อโรคฝีดาษ เป็นโรคที่ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ในการเกิดโรคระบาดมาหลายร้อยปี ควรจะต้องมี “ตำรับยา“ สำหรับโรคฝีดาษเป็นการเฉพาะหรือไม่ เมื่อทบทวนข้อมูลตามตำราและคัมภีร์ทั้งหมดพบ ”การรักษาโรคฝีดาษ“ เป็นการเฉพาะจารึกเป็นตำรายาที่ปรากฏในแผ่นศิลาของวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร โดย ศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญาของแพทย์แผนโบราณในสมัยรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 3 ที่จารึกยาขนานต่างๆ ลักษณะของแผ่นศิลาจารึกเป็นหินอ่อนสีเทา สี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้างด้านละ 33 เซนติเมตร จัดเรียงบรรทัดในมุมแหลม จำนวน 17 บรรทัด เหมือนกันทุกแผ่น ติดตามผนังด้านนอกของระเบียงพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ 42 แผ่น และผนังศาลารายหน้าพระอุโบสถวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร 8 แผ่น เชื่อว่าในอดีตมีแผ่นศิลาจารึก 92 แผ่น แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 50 แผ่น และนับว่าเป็นความโชคดีของคนไทย เพราะแผ่นศิลาที่กล่าวถึงการรักษาโรคฝีดาษ ยังไม่สูญหายและข้อความที่ปรากฏก็ยังไม่เลือนหายไปด้วย จึงนับว่าเป็นบุญของประเทศที่มีภูมิปัญญาและมีคุณค่ายิ่งในสถานการณ์ที่โรคฝีดาษลิงกลับมาเริ่มระบาดในบางประเทศ และเริ่มเข้ามาในประเทศไทย โดยแผ่นศิลาที่กล่าวถึงฝีดาษนั้น เป็นแผนที่ 18 ของศิลาจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ปรากฏข้อความดังนี้ “๏ สิทธิการิยะ จะกล่าวฝีดาษเกิดในเดือน 11 เดือน 12 เดือน 1 ทั้ง 3 เดือนนี้ เกิดเพื่ออาโปธาตุ มักให้เย็นในอกแลมักตกมูกตกเลือด ให้เสียแม่แสลงพ่อแสลง นุ่งขาวห่มขาว แล้วทำบัตรไปส่งทิศอุดรแลอีสาร จึ่งจะดี๚ ถ้าจะแก้ให้เอาใบมะอึก ใบผักบุ้งร้วม ใบผักบุ้งขัน ใบก้างปลาทั้งสอง ใบพุงดา ใบผักขวง ใบหมาก ใบทองพันชั่ง เอาเสมอภาคตำเอาน้ำพ่น ดับฝี เพื่อเสมหะหาย ๚ ขนานหนึ่ง เอากะทิมะพร้าว น้ำคาวปลาไหล ไข่เป็ดลูกหนึ่ง มูลโคดำ แก่นประดู่ เอาเสมอภาคบด พ่นฝีเพื่อเสมหะที่ด้านอยู่นั้นขึ้นแลแปรฝีร้ายให้เป็นดี ๚ ขนานหนึ่ง เอาน้ำลูกตำลึง น้ำมันงา น้ำมันหัวกุ้ง น้ำรากถั่วพู เอาเสมอภาค พ่นฝีเพื่อเสมหะให้ยอดขึ้น หนองงามดีนัก๚ ขนานหนึ่ง เอาเห็ดมูลโค ว่านกีบแรด ว่านร่อนทอง สังกรณี ชะเอม ลูกประคำดีควาย หวายตะค้า เขากวางเผา กระดูกเสือเผา มะกล่ำเครือ ขันฑสกร มะขามเปียก เอาเสมอภาคบดทคำเป็นจุณ บดด้วยน้ำมะนาวทำแท่งไว้ละลายสุรา ดีงูเหลือม รำหัด กินแก้คอแหบแห้ง แก้คอเครือ หายดีนัก๚ ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚[6] ในตำรับยาขนานต่างๆข้างต้นนั้น เป็นยาพ่นภายนอกเสียส่วนใหญ่ ตำรับยาเพื่อการรับประทานที่พอาจะหาได้โดยไม่ต้องอาศัยสัตว์วัตถุคือตำรับยาขนานสุดท้ายที่น่าจะนำไปวิจัยต่อที่ว่า ”ขนานหนึ่ง เอาใบหิ่งหาย ใบโหระพา ใบผักคราด ใบมะนาว พันงูแดง เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้พิษฝี เพื่อเสมหะให้คลั่งให้สลบไปก็ดี หายวิเศษแล๚“ [6] นอกจากนั้นจากจารึกวัดราชโอรสราชวรมหาวิหารยังปรากฏในแผ่นที่ 46 ทำให้เห็นว่ายังมีตำรับยาอีกขนานหนึ่งสำหรับโรคฝีดาษที่เป็นไข้หนักเข้าขั้นไข้สันนิบาตแล้วโดยใช้ ”ยาผายเลือด“ ความว่า “๏ สิทธิการิยะ ยาผายเลือดเอารากขี้กาแดง 1 เบญจาขี้เหล็ก ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย หญ้าไซ ลูกคัดเค้า ต้มให้งวดแล้วกรอง เอาน้ำขยำใส่ลงอีกเคี่ยวให้ข้น ปรุงยาดำ 1 สลึง 1 เฟื้อง ดีเกลือ 1 บาท กินประจุเลือดร้ายทั้งปวง แก้ไขสันนิบาตฝีดาษด้วย๚“[7] แต่สำหรับศิลาจารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ก็ได้กล่าวถึงโรคฝีดาษที่มีรายละเอียดในบางอาการเพิ่มเติมอีก เช่น อาการฝีดาษขึ้นตา ปรากฏในศิลาจารึกว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวงแผ่นที่ 22 ความว่า “ยาชื่อ สังขรัศมี เอาชะมดสด พิมเสน สิ่งละส่วน ลิ้นทะเลแช่น้ำมะนาวไว้ยังรุ่งแล้วล้างเสีย จึงเอามาแช่น้ำท่าไว้แต่เช้าถึงเที่ยง แล้วเอาตากให้แห้ง 3 ส่วน รากช้าแป้น ดินถนำสุทธิ สังข์สุทธิ สิ่งละ 4 ส่วน ทำเป็นจุณบดทำแท่งไว้ ฝนป้ายจักษุแก้สรรพต้อให้ปวดเคืองต่างๆ แก้ฝีดาษขึ้นจักษุก็ได้หายวิเศษนักฯ”[8] อย่างไรก็ตามการบันทึกในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ยังให้เบาะแสเกี่ยวกับ “สมุนไพรเดี่ยว” ที่เป็นเบาะแสว่าอาจจะมีสรรพคุณในการลดฝีดาษได้ ได้แก่ ข่าลิง บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี ฯลฯ[8] ดังปรากฏตัวอย่างในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศและสมุนไพรแผ่นที่ 7 ที่กล่าวถึง “ต้นข่าลิง”แก้พิษฝีดาษ ความว่า “อันว่าคุณแห่งข่าลิงนั้น ต้นรู้แก้พิษฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดเพื่อโลหิต รู้แก้ฝีกาฬ อันบังเกิดเพื่อฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษไข้เหนือสันนิบาตฯ”[9] นอกจากนั้นยังปรากฏในศิลาจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 ซึ่งกล่าวถึง “บอระเพ็ด” และ “ชิงช้าชาลี” ความว่า “อันว่าคุณแห่งบอระเพ็ดและชิงช้าชาลีนั้นคุณดุจกัน ต้นรู้แก้ฝีดาษ และรู้แก้ไข้เหนืออันบังเกิดโลหิต รู้แก้ฝีกาฬอันบังเกิดฝีดาษ รู้แก้ไข้ตรีโทษ รู้กระทำให้เกิดกำลัง รู้กระทำเพลิงธาตุให้บริบูรณ์ รู้แก้กระหายน้ำ อันเป็นเพื่อโลหิตและลม รู้แก้สะอึก แก้สมุฏฐานกำเริบ ใบรู้ฆ่าพยาธิ์คือมะเร็ง ดอกรู้ฆ่าพยาธิ์ในอุทรและในฟันในหูให้ตก ผลรู้แก้เสมหะอันเป็นพิษ รากรู้แก้โลหิตอันเป็นพิษเพื่อไข้สันนิบาตฯ”[10] นอกจากนั้นสมุนไพรที่มีการวิจัยที่ออกฤทธิ์ต้านไวรัสหลายชนิดในยุคปัจจุบัน ก็ควรจะนำมาสู่การวิจัยกับฝีดาษลิงต่อไป เช่น ขมิ้นชัน ฟ้าทะลายโจร ใบสะเดา กัญชา กัญชง ฝีหมอบ เสลดพังพอนตัวเมีย ฯลฯ ดังนั้นการกลับมาของโรคฝีดาษลิง จึงควรให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาในการรักษาที่มีมาแต่ในอดีตรวมถึงความรู้จากการวิจัยในสมุนไพรต่างๆที่มีมากขึ้น ซึ่งควรจะนำมาวิจัยกับไวรัสฝีดาษลิงเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมประยุกต์ให้เหมาะสมใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันและต่อไปในกาลข้างหน้าด้วยความไม่ประมาท ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 5 กันยายน 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1045825823577784/? อ้างอิง [1] พิชชานันท์ เธียรทองอินทร์ และ รัชฎาพร พิสัยพันธุ์, การวิเคราะห์องค์ความรู้ไข้ตามคัมภีร์ตักศิลา: คัมภีร์ว่าด้วยโรคระบาด, วารสารหมอยาไทยวิจัย, ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2566), หน้า 131-152 https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ttm/article/view/258845/180094 [2] โรงเรียนแพทย์แผนโบราณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์), ตำรายา ศิลาจารึกในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) พระนคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ ฉบับสมบูรณ์ ฉบับ พ.ศ.​๒๕๑๖ หน้า ๖๒ - ๖๔ [3] สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรมหายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ :ภูมิปัญญาการแพทย์และมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, องค์การการค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ 4, พ.ศ. 2554 จำนวน 3,000 เล่ม ISBN 978-947-01-9742-3 หน้า 694 [4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 37 [5] เว็บไซต์กองนวัตกรรมและวิจัย กรมควบคุมโรค, การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ จุดเริ่มงานควบคุมโรคติดต่อในประเทศไทย https://ddc.moph.go.th/uploads/ckeditor2//files/การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ.pdf [6] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 18 ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2557( อัพเดทเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567) https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/14798 [7] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน,จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร แผ่นที่ 46 (ยาผายเลือด) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อ โพสต์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/image_detail/16335 [8] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(ว่าด้วยตำรายาวิเศษสรรพคุณสำเร็จแก้สรรพโรคทั้งปวง แผ่นที่ 22 ยาแก้จักษุโรคคือต้อ(5), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2560 https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/22-chaksurok-to5-tr2.pdf [9] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 7 ท้าวยายม่อม ข่าใหญ่ ข่าลิง กระทือ ไพล กระชาย หอม และกระเทียม) ด้านที่ 1, จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2564 https://db.sac.or.th/inscriptions/uploads/file/7-thaoyaimom-khayai-khaling-tr1.pdf [10] เว็บไซต์ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน), จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, จารึกตำรายาวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (ว่าด้วยสรรพคุณยา เครื่องเทศ และสมุนไพร แผ่นที่ 14 แตงหนู ชิงชี่ บอระเพ็ด ชิงช้าชาลี บอระเพ็ดพุงช้าง ผักปอดตัวเมีย ผักปอดตัวผู้ และพลูแก), จารึกในประเทศไทย, โพสต์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567 https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/17723
    Like
    Love
    Yay
    43
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1772 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธุระ ๒ อย่างในพระพุทธศาสนา
    พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลวง
    ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ เท่านั้น"

    ที่ชื่อว่า คันถธุระ ได้แก่ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี เรียนพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วจึงทรงไว้ กล่าวบอก พุทธวจนะนั้น
    ที่ชื่อว่า วิปัสสนาธุระ ได้แก่ การเริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมไว้ในอัตภาพ ทำวิปัสสนาให้เจริญ ด้วยอำนาจแห่งการติดต่อแล้วจึงถือเอาพระอรหัตของภิกษุผู้มีความประพฤติแคล่วคล่อง ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะที่สงัด

    …ที่มา : ธ.บ. 1 / 7 เรื่อง พระจักขุปาลเถระ….

    ขยายความเพิ่มเติม

    ความหมายของคันถธุระ คือ การศึกษาเล่าเรียน พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกให้แตกฉานชำนาญในพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วจึงกล่าวสอนอุบาสก อุบาสิกา ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระพุทธองค์ คันถธุระ เปรียบเหมือน แผนที่นำพาไปหา ขุมสมบัติ ฉะนั้น .

    ส่วนวิปัสสนาธุระ คือ การลงมือปฏิบัติพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษในอัตภาพ แล้วจึงทำวิปัสสนาญาณให้บังเกิดเจริญด้วยการทำติดต่อพากเพียรปฏิบัติจนหมดกิเลสคือความเป็นพระอรหันต์(ถึงพระนิพพาน) วิปัสสนาธุระ เปรียบเหมือน
    การลงมือเดินทางไปตามแผนที่(คันถธุระ) ให้ถึงขุมสมบัติ คือ พระนิพพาน ๆ ประเสริฐกว่าสมบัติทั้งหมด ฉะนั้น .
    นักบวชไม่ควรทิ้งเรื่องของคันถธุระและวิปัสสนาธุระ เป็นเรื่องสำคัญในพระพุทธศานา จำเป็นต้องทำให้ได้ไม่ว่าจะทางโลกและทางธรรมจะต้องมีความคล่องตัวเสมอ .

    นักบวชทุกวันนี้บางพวก ไม่สนใจในธุระของพระพุทธศาสนา คือ ” คันถธุระและวิปัสสนาธุระ “
    มุ่งหมายเอาแต่ ลาภ ยศ สักการะ จากศรัทธาญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ยึดติดในยศถาบรรดาศักดิ์ดุจคฤหัสถ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาแล้วจึงควรจะนำมาใช้ในงานด้านพระพุทธศาสนา
    ส่งเสริมคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ให้บังเกิดผล ปฏิบัติจนหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ คือ เข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้น
    นักบวชควรพิจารณายึดถือธุระ ๒ อย่างในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ทำให้เจริญตามสมควรแก่ปัญญาของตน

    เขียนโดย : พระมหาวรสถิตย์ นาถธมฺโม

    #พุทธโอวาท
    ธุระ ๒ อย่างในพระพุทธศาสนา พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลวง ธุระมี ๒ อย่าง คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ เท่านั้น" ที่ชื่อว่า คันถธุระ ได้แก่ การเรียนนิกายหนึ่งก็ดี สองนิกายก็ดี เรียนพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกก็ดี ตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วจึงทรงไว้ กล่าวบอก พุทธวจนะนั้น ที่ชื่อว่า วิปัสสนาธุระ ได้แก่ การเริ่มตั้งความสิ้นและความเสื่อมไว้ในอัตภาพ ทำวิปัสสนาให้เจริญ ด้วยอำนาจแห่งการติดต่อแล้วจึงถือเอาพระอรหัตของภิกษุผู้มีความประพฤติแคล่วคล่อง ยินดียิ่งแล้วในเสนาสนะที่สงัด …ที่มา : ธ.บ. 1 / 7 เรื่อง พระจักขุปาลเถระ…. ขยายความเพิ่มเติม ความหมายของคันถธุระ คือ การศึกษาเล่าเรียน พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกให้แตกฉานชำนาญในพระพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามสมควรแก่ปัญญาของตนแล้วจึงกล่าวสอนอุบาสก อุบาสิกา ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามพระพุทธองค์ คันถธุระ เปรียบเหมือน แผนที่นำพาไปหา ขุมสมบัติ ฉะนั้น . ส่วนวิปัสสนาธุระ คือ การลงมือปฏิบัติพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษในอัตภาพ แล้วจึงทำวิปัสสนาญาณให้บังเกิดเจริญด้วยการทำติดต่อพากเพียรปฏิบัติจนหมดกิเลสคือความเป็นพระอรหันต์(ถึงพระนิพพาน) วิปัสสนาธุระ เปรียบเหมือน การลงมือเดินทางไปตามแผนที่(คันถธุระ) ให้ถึงขุมสมบัติ คือ พระนิพพาน ๆ ประเสริฐกว่าสมบัติทั้งหมด ฉะนั้น . นักบวชไม่ควรทิ้งเรื่องของคันถธุระและวิปัสสนาธุระ เป็นเรื่องสำคัญในพระพุทธศานา จำเป็นต้องทำให้ได้ไม่ว่าจะทางโลกและทางธรรมจะต้องมีความคล่องตัวเสมอ . นักบวชทุกวันนี้บางพวก ไม่สนใจในธุระของพระพุทธศาสนา คือ ” คันถธุระและวิปัสสนาธุระ “ มุ่งหมายเอาแต่ ลาภ ยศ สักการะ จากศรัทธาญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ยึดติดในยศถาบรรดาศักดิ์ดุจคฤหัสถ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้มาแล้วจึงควรจะนำมาใช้ในงานด้านพระพุทธศาสนา ส่งเสริมคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ให้บังเกิดผล ปฏิบัติจนหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ คือ เข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้น นักบวชควรพิจารณายึดถือธุระ ๒ อย่างในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ทำให้เจริญตามสมควรแก่ปัญญาของตน เขียนโดย : พระมหาวรสถิตย์ นาถธมฺโม #พุทธโอวาท
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าของ "ลาสซโล พอลการ์"

    ลาสซโล พอลการ์ คือนักจิตวิทยาและครูสอนหมากรุกชาวฮังการี
    เขามีความเชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง"
    และเขาได้ทดลองทฤษฎีนี้กับลูกสาวทั้ง 3 คนของตนเอง

    ลาสซโลเลี้ยงลูกสาวทั้ง 3 คน ให้เติบโตขึ้นโดยการฝึกให้เล่นหมากรุกทุกวัน
    ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กทั่วไป
    แต่ใช้การเรียนแบบ Home School ซึ่งค่อนข้างแปลกมากในยุคนั้น

    จากการฝึกฝนอย่างหนัก ผลลัพธ์ก็ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็ว
    -ซูซาน ลูกสาวคนโตฝึกหมากรุกตั้งแต่ 4 ขวบ แค่เพียง 6 เดือน
    เธอสามารถเอาชนะผู้ใหญ่รุ่นเก๋าในชมรมหมากรุกได้

    -ในขณะที่จูดิตน้องคนสุดท้องสามารถเอาชนะพ่อของเธอได้
    ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ

    ลูกสาวตระกูลพอลการ์ทั้ง 3 คนกลายเป็นอัจฉริยะด้านหมากรุก โซเฟีย ลูกสาวคนกลางประสบความสำเร็จน้อยที่สุด
    เธอเป็นผู้เล่นหญิงอันดับ 6 ของโลก ก่อนที่จะเลิกเล่นไปศึกษาการวาดภาพและออกแบบภายใน

    ในขณะที่ซูซานพี่สาวคนโต กลายเป็นนักหมากรุกหญิงอันดับ 2 ของโลก เมื่อตอนอายุ 17 ปี
    และอันดับ 1 ของโลกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จูดิต น้องสาวคนสุดท้องที่เป็นแชมป์โลก
    แกรนด์มาสเตอร์ตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอคือแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักหมากรุกหญิงที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
    ----------------------------------------------------
    จากเรื่องราวนี้ทำให้เราได้รู้ว่า แค่เราเชื่อว่าเราทำได้ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจ
    ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้อะไรๆก็ตามที่เราต้องการทำ
    ก็จะเพิ่มโอกาสในการเป็นไปได้ ให้เกิดขึ้นจริง

    #หนอนแว่นคลับ #thaitimes #รีวิวหนังสือ #จิตวิทยา
    #อัจฉริยะสร้างได้ #หมากรุก
    เรื่องเล่าของ "ลาสซโล พอลการ์" ลาสซโล พอลการ์ คือนักจิตวิทยาและครูสอนหมากรุกชาวฮังการี เขามีความเชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้ ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง" และเขาได้ทดลองทฤษฎีนี้กับลูกสาวทั้ง 3 คนของตนเอง ลาสซโลเลี้ยงลูกสาวทั้ง 3 คน ให้เติบโตขึ้นโดยการฝึกให้เล่นหมากรุกทุกวัน ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่ใช้การเรียนแบบ Home School ซึ่งค่อนข้างแปลกมากในยุคนั้น จากการฝึกฝนอย่างหนัก ผลลัพธ์ก็ผลิดอกออกผลอย่างรวดเร็ว -ซูซาน ลูกสาวคนโตฝึกหมากรุกตั้งแต่ 4 ขวบ แค่เพียง 6 เดือน เธอสามารถเอาชนะผู้ใหญ่รุ่นเก๋าในชมรมหมากรุกได้ -ในขณะที่จูดิตน้องคนสุดท้องสามารถเอาชนะพ่อของเธอได้ ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ลูกสาวตระกูลพอลการ์ทั้ง 3 คนกลายเป็นอัจฉริยะด้านหมากรุก โซเฟีย ลูกสาวคนกลางประสบความสำเร็จน้อยที่สุด เธอเป็นผู้เล่นหญิงอันดับ 6 ของโลก ก่อนที่จะเลิกเล่นไปศึกษาการวาดภาพและออกแบบภายใน ในขณะที่ซูซานพี่สาวคนโต กลายเป็นนักหมากรุกหญิงอันดับ 2 ของโลก เมื่อตอนอายุ 17 ปี และอันดับ 1 ของโลกก็ไม่ใช่ใครที่ไหน จูดิต น้องสาวคนสุดท้องที่เป็นแชมป์โลก แกรนด์มาสเตอร์ตั้งแต่อายุ 15 ปี เธอคือแชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักหมากรุกหญิงที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา ---------------------------------------------------- จากเรื่องราวนี้ทำให้เราได้รู้ว่า แค่เราเชื่อว่าเราทำได้ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้อะไรๆก็ตามที่เราต้องการทำ ก็จะเพิ่มโอกาสในการเป็นไปได้ ให้เกิดขึ้นจริง #หนอนแว่นคลับ #thaitimes #รีวิวหนังสือ #จิตวิทยา #อัจฉริยะสร้างได้ #หมากรุก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 662 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยเห็นคนชอบซีรีย์นี้เนื่องจากหลาย ๆ อย่าง ตัวคุณหมอเฮ้าเอง มุขตลกในเรื่อง ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก ความซับซ้อนของตัวละครรอง ซึ่งผมเองก็สนุกกับสิ่งเหล่านั้น

    ผมรู้จัก ซีรีย์นี้ช่วงเรียนแพทย์ซึ่งมันสร้างแรงบันดานใจให้ผมอย่างมากในการเรียน เนื่องจากรู้สึกว่าเคสซับซ้อนมาก อาจจะเพราะเรายังเรียนไม่จบด้วย เลยเกิดอาการทึ่ง อึ้งหลายช๊อต ก็ต้องยอมรับว่าซีรีย์นี้เขียนได้ ทันสมัยช่วงนั้นมาก หลาย ๆ อย่างก็ยังคงใช้การรักษาแบบนั้นจนถึงวันนี้

    ช่วงนั้นหาเรื่องนี้มาดูได้แค่ 4 ซีซันเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ดูอีกเลย

    ตอนนี้เห็นนำมาฉายใหม่ใน เน็ตฟลิก ผมดูอีกครั้ง ก็ยังทึ่ง และจำเคสไม่ได้จริง ๆ บางโรคทำให้เราเห็นว่า การแสดงของโรคเป็นอย่างไร ซีรีย์ทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเก่าแล้วการถ่ายทำก็สมจริงกว่าซีรีย์ในปัจจุบันหลายเรื่อง

    ผมตั้งใจว่าจะเขียนอธิบายเคสในแต่ละตอน โดยอ่านข้อมูลใน reference มาเขียนในเพจนี้ ถ้าน้องหมอคนไหน สนใจติดตามอ่านได้นะครับ

    ท้าวความก่อนว่า คุณหมอเฮ้าของเรานั้น เขามีปมในจิตใจหลายเรื่อง เคยบาดเจ็บเส้นประสาทขา มีอาการปวดเส้นประสาทเรื้อรัง จำเป็นต้องทานยาแก้ปวดบ่อยครั้งจนสามารถนับได้ว่าติดยาเลยทีเดียว ดังนั้น ท่าเดินถือไม้เท้า เดินกระแผลก พกยาแก้ปวดกินเป็นระยะ ๆ เรียกว่าเป็น iconic ของเขาเลยก็ว่าได้

    คุณหมอเฮ้า เป็นแพทย์สาขาไหนเหรอครับ?

    น่านสิ ไม่เคยเห็นเหมือนกัน คิดว่าน่าจะแต่งขึ้นนะครับ

    DIAGNOSTIC MEDICINE
    อายุรแพทย์การวินิจฉัย

    แค่ชื่อสาขาก็ว้าวแล้วครับ
    ครั้งหน้าผมจะมาบรรยาย SERIES 1 CHAPTER 1 นะครับ ฝากติดตามกันด้วยครับ
    เคยเห็นคนชอบซีรีย์นี้เนื่องจากหลาย ๆ อย่าง ตัวคุณหมอเฮ้าเอง มุขตลกในเรื่อง ความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก ความซับซ้อนของตัวละครรอง ซึ่งผมเองก็สนุกกับสิ่งเหล่านั้น ผมรู้จัก ซีรีย์นี้ช่วงเรียนแพทย์ซึ่งมันสร้างแรงบันดานใจให้ผมอย่างมากในการเรียน เนื่องจากรู้สึกว่าเคสซับซ้อนมาก อาจจะเพราะเรายังเรียนไม่จบด้วย เลยเกิดอาการทึ่ง อึ้งหลายช๊อต ก็ต้องยอมรับว่าซีรีย์นี้เขียนได้ ทันสมัยช่วงนั้นมาก หลาย ๆ อย่างก็ยังคงใช้การรักษาแบบนั้นจนถึงวันนี้ ช่วงนั้นหาเรื่องนี้มาดูได้แค่ 4 ซีซันเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ดูอีกเลย ตอนนี้เห็นนำมาฉายใหม่ใน เน็ตฟลิก ผมดูอีกครั้ง ก็ยังทึ่ง และจำเคสไม่ได้จริง ๆ บางโรคทำให้เราเห็นว่า การแสดงของโรคเป็นอย่างไร ซีรีย์ทำได้ดีมาก ถึงแม้จะเก่าแล้วการถ่ายทำก็สมจริงกว่าซีรีย์ในปัจจุบันหลายเรื่อง ผมตั้งใจว่าจะเขียนอธิบายเคสในแต่ละตอน โดยอ่านข้อมูลใน reference มาเขียนในเพจนี้ ถ้าน้องหมอคนไหน สนใจติดตามอ่านได้นะครับ ท้าวความก่อนว่า คุณหมอเฮ้าของเรานั้น เขามีปมในจิตใจหลายเรื่อง เคยบาดเจ็บเส้นประสาทขา มีอาการปวดเส้นประสาทเรื้อรัง จำเป็นต้องทานยาแก้ปวดบ่อยครั้งจนสามารถนับได้ว่าติดยาเลยทีเดียว ดังนั้น ท่าเดินถือไม้เท้า เดินกระแผลก พกยาแก้ปวดกินเป็นระยะ ๆ เรียกว่าเป็น iconic ของเขาเลยก็ว่าได้ คุณหมอเฮ้า เป็นแพทย์สาขาไหนเหรอครับ? น่านสิ ไม่เคยเห็นเหมือนกัน คิดว่าน่าจะแต่งขึ้นนะครับ DIAGNOSTIC MEDICINE อายุรแพทย์การวินิจฉัย แค่ชื่อสาขาก็ว้าวแล้วครับ ครั้งหน้าผมจะมาบรรยาย SERIES 1 CHAPTER 1 นะครับ ฝากติดตามกันด้วยครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 270 มุมมอง 0 รีวิว
  • Viktor Axelsen ยอดยุทธ์ลูกขนไก่จาก "มณฑลตานไม่" ?
    [丹麦 คือเสียงภาษาจีนของชื่อ "ประเทศเดนมาร์ก"] 😆
    .
    เมื่อได้ฟังอัน ไซ่หลง (安賽龍) หรือ วิกเตอร์ อเซลเซน (Viktor Axelsen) แชมป์แบดมินตันชายเดี่ยวเหรียญทองโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส พูดภาษาจีนกลางแบบลื่นปรื๊ด ๆ >> https://www.facebook.com/watch/?v=498307282745228
    .
    หลายคนคงสงสัยว่าเขาไปเรียนภาษาจีนมาจากไหน?
    .
    อัน ไซ่หลง ผู้พกความสูงถึง 194 เซนติเมตร นอกจากจะพูดภาษาเดนมาร์กได้แล้ว ยังสามารถพูดภาษาอังกฤษ และจีนได้อย่างคล่องแคล่วด้วย โดยสาเหตุที่ยอดฝีมือลูกขนไก่จากมณฑลตานไม่หันมาเรียนภาษาจีนนั้นเริ่มมาจากเมื่อ 10 ปีก่อน ในปี 2557 (ค.ศ.2014) เจ้าตัวเชื่อว่าการเรียนภาษาจีนจะช่วยเอื้อให้ตัวเขาเป็นนักแบดมินตันที่เก่งขึ้น ทำให้เขาเริ่มเรียนภาษาจีนอย่างจริงจัง
    .
    "ผมไม่รู้หรอกว่าการพูดภาษาจีนกลางจะช่วยพัฒนาผลงานของผมในสนามแบดได้ไหม แต่ผลได้ที่มากที่สุดก็คือ ผมสามารถสื่อสารกับนักแบดได้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะกับนักแบดชาวจีน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าพวกเขาฝึกซ้อมกันอย่างไร ... นั่นจะทำให้คุณเรียนรู้ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ คือการเรียนรู้จากนักแบดมินตันชาวจีน"
    .
    วิกเตอร์ทุ่มเทให้กับการเรียนภาษาจีนอย่างมาก โดยมักจะใช้เวลาว่างในการฝึกฝนการพูดภาษาอังกฤษ โดยทุกสัปดาห์เขาจะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และฝึกพูดประโยคภาษาจีนยาก ๆ (ชมคลิปในคอมเมนต์)
    .
    ทั้งนี้นอกจากจะได้ภาษา ได้เรียนรู้เคล็ดลับจากยอดฝีมือลูกขนไก่ชาวจีนแล้ว "วิกเตอร์" นักแบดจากมณฑลตานไม่ยังมีโอกาสเปิดรับสปอนเซอร์จากแผ่นดินใหญ่ได้อีกด้วย เพราะนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาหลังจากโอลิมปิกที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ที่เขาคว้าเหรียญทองแดงมาได้ และให้สัมภาษณ์กับช่อง CCTV ของจีนเป็นภาษาจีน เขาก็กลายเป็นขวัญใจของแฟนแบดชาวจีนไปโดยปริยาย
    .
    Cr:บูรพาไม่แพ้
    Viktor Axelsen ยอดยุทธ์ลูกขนไก่จาก "มณฑลตานไม่" ? [丹麦 คือเสียงภาษาจีนของชื่อ "ประเทศเดนมาร์ก"] 😆 . เมื่อได้ฟังอัน ไซ่หลง (安賽龍) หรือ วิกเตอร์ อเซลเซน (Viktor Axelsen) แชมป์แบดมินตันชายเดี่ยวเหรียญทองโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส พูดภาษาจีนกลางแบบลื่นปรื๊ด ๆ >> https://www.facebook.com/watch/?v=498307282745228 . หลายคนคงสงสัยว่าเขาไปเรียนภาษาจีนมาจากไหน? . อัน ไซ่หลง ผู้พกความสูงถึง 194 เซนติเมตร นอกจากจะพูดภาษาเดนมาร์กได้แล้ว ยังสามารถพูดภาษาอังกฤษ และจีนได้อย่างคล่องแคล่วด้วย โดยสาเหตุที่ยอดฝีมือลูกขนไก่จากมณฑลตานไม่หันมาเรียนภาษาจีนนั้นเริ่มมาจากเมื่อ 10 ปีก่อน ในปี 2557 (ค.ศ.2014) เจ้าตัวเชื่อว่าการเรียนภาษาจีนจะช่วยเอื้อให้ตัวเขาเป็นนักแบดมินตันที่เก่งขึ้น ทำให้เขาเริ่มเรียนภาษาจีนอย่างจริงจัง . "ผมไม่รู้หรอกว่าการพูดภาษาจีนกลางจะช่วยพัฒนาผลงานของผมในสนามแบดได้ไหม แต่ผลได้ที่มากที่สุดก็คือ ผมสามารถสื่อสารกับนักแบดได้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะกับนักแบดชาวจีน เพื่อที่จะได้เรียนรู้ว่าพวกเขาฝึกซ้อมกันอย่างไร ... นั่นจะทำให้คุณเรียนรู้ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ คือการเรียนรู้จากนักแบดมินตันชาวจีน" . วิกเตอร์ทุ่มเทให้กับการเรียนภาษาจีนอย่างมาก โดยมักจะใช้เวลาว่างในการฝึกฝนการพูดภาษาอังกฤษ โดยทุกสัปดาห์เขาจะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ และฝึกพูดประโยคภาษาจีนยาก ๆ (ชมคลิปในคอมเมนต์) . ทั้งนี้นอกจากจะได้ภาษา ได้เรียนรู้เคล็ดลับจากยอดฝีมือลูกขนไก่ชาวจีนแล้ว "วิกเตอร์" นักแบดจากมณฑลตานไม่ยังมีโอกาสเปิดรับสปอนเซอร์จากแผ่นดินใหญ่ได้อีกด้วย เพราะนับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาหลังจากโอลิมปิกที่กรุงริโอ เดอ จาเนโร ที่เขาคว้าเหรียญทองแดงมาได้ และให้สัมภาษณ์กับช่อง CCTV ของจีนเป็นภาษาจีน เขาก็กลายเป็นขวัญใจของแฟนแบดชาวจีนไปโดยปริยาย . Cr:บูรพาไม่แพ้
    Like
    6
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 477 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประกาศผลเลือก 6 กรรมการนโยบาย ThaiPBS คนใหม่

    3 สิงหาคม 2567-รายงานสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ระบุว่า วันที่ 2 ส.ค.2567 ด้วยกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตามมาตรา 23 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551

    ทำให้ตำแหน่งกรรมการนโยบาย ด้านการบริหารจัดการองค์กร ว่างลง จำนวน 2 คน และด้านส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ว่างลง จำนวน 3 คน รวมทั้งหมด 5 คน

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบาย ดังนี้

    ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

    นายโกมาตร จึงเสถียรทรัพย
    นายบุญเลิศ คชายุทธเดช
    นางวรินรำไพ ปุณย์ธนารีย์

    รายชื่อบุคคลสำรอง ตามลำดับ ดังนี้
    นายพงษ์เทพ สันติกุล
    นายเมธา มาสขาว
    นายอมรวิชช์ นาครทรรพ

    ด้านบริหารจัดการองค์กร
    นายเจษฎา อนุจารี
    นางทัศนีย์ ผลชานิโก

    รายชื่อบุคคลสำรอง ตามลำดับ ดังนี้
    นายอนุสรณ์ ธรรมใจ
    นายพิศาล มาณวพัฒน์

    ด้วยกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ลาออก ตามมาตรา 24(2) แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ทำให้ตำแหน่งกรรมการนโยบาย ด้านส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริม สิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ว่างลง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป จำนวน 1 คน โดยจะมีวาระการดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการนโยบายผู้ซึ่งตนแทน (ครบวาระวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2570)

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบาย ดังนี้

    ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

    นายสมโภชน์ โตรักษา

    รายชื่อบุคคลสำรอง ดังนี้
    นายคำนูณ สิทธิสมาน

    กรณีผู้ได้รับการคัดเลือกสละสิทธิ์ ให้ถือว่าบุคคลสำรองเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกแทน

    ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย ส.ส.ท. จะแจ้งรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก พร้อมหลักฐานแสดงคุณสมบัติ และการไม่มีลักษณะต้องห้าม ตลอดจนความยินยอมของบุคคลดังกล่าว ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ให้นายกรัฐมนตรีประกาศชื่อในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

    ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-other-news/130648-isra-110.html

    #Thaitimes
    ประกาศผลเลือก 6 กรรมการนโยบาย ThaiPBS คนใหม่ 3 สิงหาคม 2567-รายงานสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ระบุว่า วันที่ 2 ส.ค.2567 ด้วยกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ตามมาตรา 23 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ทำให้ตำแหน่งกรรมการนโยบาย ด้านการบริหารจัดการองค์กร ว่างลง จำนวน 2 คน และด้านส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ว่างลง จำนวน 3 คน รวมทั้งหมด 5 คน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบาย ดังนี้ ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม นายโกมาตร จึงเสถียรทรัพย นายบุญเลิศ คชายุทธเดช นางวรินรำไพ ปุณย์ธนารีย์ รายชื่อบุคคลสำรอง ตามลำดับ ดังนี้ นายพงษ์เทพ สันติกุล นายเมธา มาสขาว นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ด้านบริหารจัดการองค์กร นายเจษฎา อนุจารี นางทัศนีย์ ผลชานิโก รายชื่อบุคคลสำรอง ตามลำดับ ดังนี้ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ นายพิศาล มาณวพัฒน์ ด้วยกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ลาออก ตามมาตรา 24(2) แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 ทำให้ตำแหน่งกรรมการนโยบาย ด้านส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริม สิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ว่างลง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป จำนวน 1 คน โดยจะมีวาระการดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการนโยบายผู้ซึ่งตนแทน (ครบวาระวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2570) อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบาย ดังนี้ ด้านการส่งเสริมประชาธิปไตย การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่น การเรียนรู้และศึกษา การคุ้มครองและพัฒนาเด็ก เยาวชนหรือครอบครัว หรือการส่งเสริมสิทธิของผู้ด้อยโอกาสทางสังคม นายสมโภชน์ โตรักษา รายชื่อบุคคลสำรอง ดังนี้ นายคำนูณ สิทธิสมาน กรณีผู้ได้รับการคัดเลือกสละสิทธิ์ ให้ถือว่าบุคคลสำรองเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกแทน ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหากรรมการนโยบาย ส.ส.ท. จะแจ้งรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก พร้อมหลักฐานแสดงคุณสมบัติ และการไม่มีลักษณะต้องห้าม ตลอดจนความยินยอมของบุคคลดังกล่าว ต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการนโยบาย องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ให้นายกรัฐมนตรีประกาศชื่อในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews-other-news/130648-isra-110.html #Thaitimes
    WWW.ISRANEWS.ORG
    ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นกรรมการนโยบาย ThaiPBS จำนวน 6 คน
    ThaiPBS ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกเป็นกรรมการนโยบาย ส.ส.ท. จำนวน 6 คน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่าด้วยเรื่องการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา...
    ถ้าได้มีลูกน้องในหลายๆระดับก็จะมีทั้งความสนุก มันส์ ฮา ความเออ ออ ความทุกข์ที่ลูกน้องเราก่อ หรือความเอากลับมาคิดหลังเราตำหนิเขา ว่าแรงไปไหม เขาจะคิดได้ไหม เขาจะมองว่ายังงัย บลาๆๆ
    มีหลายหลายตำราที่ได้ฟังได้อ่านมาในเรื่องการวิเคราะห์ดูลูกน้อง และให้งานแต่ละคนตามความเหมาะสม จากที่เจอมากับการปกครองลูกน้องร้อยกว่าชีวิตตั้งแต่ระดับต้นๆยันระดับจัดการก็จะมี....
    1. ขยัน แต่ไม่ฉลาด เติบโตมาจากความขยัน มาแต่เช้าตรู่ แม้จะทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง แต่ก็ไม่เคยขาด ลา มาสาย ข้อเสียคือมักจะตัดสินใจผิดเสมอ ไปจนถึงสถานการณ์จริงแก้ปัญหาไม่ได้ เน้นใช้งานลูกน้องเป็นหลัก (แม้แต่งานตัวเอง) กลุ่มนี้ต้องมอบหมายงานที่เป็นประจำๆเป็นหลัก หลีกเลี่ยงงานที่ต้องให้วิเคราะห์ ตัดสินใจ หรือโปรเจ็กใหม่ๆ
    2. ฉลาด แต่ขี้เกียจ กลุ่มนี้นี่แค่เกริ่นคร่าวๆให้ฟัง ก็คิดต่อ คิดตามได้เลย พวกเขาจะประยุกต์ และคิดวิธีใหม่ๆได้เสมอ และมักที่จะ get the job done แต่ข้อเสียคือ ไม่ค่อยเล่นเป็นทีม (ต่อให้เป็นระดับหัวหน้าทีมเล้วตาม ก็จะมองที่งานของตัวเองให้รอดก่อน) ขี้เกียจ ขี้เบื่อ ลาบ่อย ถ้าเบื่อมากๆก็จะหรอยไปโน่นนี่นั่น รวมไปถึงมีทัศนคติที่สูง ถ้าจะให้เขาเคารพคุณแบบหัวหน้า คุณก็ต้องพิสูจน์ฝีมือให้เขาดูก่อน ปกป้องสิทธิของตัวเองเป็นหลักก่อนเสมอ กลุ่มนี้จะต้องมอบงานที่ท้าทาย หรือไม่เคยทำมาก่อนในแผนก ไม่ต้องจูงมือให้เขาทำ หรือให้เขาเดินตามทางเรา เขาจะหาทางทำ และไปถึงจุดหมายด้วยตัวเอง แต่พองานเสร็จแล้วคุณจำเป็นต้องมานั่งคุยกับเขาด้วย ว่างานนี้อะไรดีไม่ดี อะไรต้องปรับปรุง เพราะไม่งั้นเขาจะมองว่างานเขาดีเลิศที่หนึ่ง และอย่าไปมอบงานประจำน่าเบื่อๆให้ล่ะ รับรองหรอยไปเดินเล่น หรือนั่งดูซีรีย์ตั้งแต่สามวันแรกแน่นอน
    3. กลุ่มน้ำเต็มแก้วที่จมปลักอยู่กับสิ่งตัวเองคิดว่าเป็น achievement กลุ่มนี้จะมีทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ เป็นกลุ่มที่มักจะพูดให้คนอื่นฟังว่าเคยทำอะไรมาก่อน งานเก่าประสบความสำเร็จยังไง เคยผ่านงานลำบากขนาดไหน เคยเข้าประชุมประสานงานกับผู้บริหารหรือเจ้าของมาแล้ว บลาๆๆๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีซะทั้งหมด ผมมองว่ากลุ่มนี้เหมือนเตียวหุย มีฝีมือ แต่ประมาท และไม่ค่อยชอบเรียนรู้เพิ่ม สกิลหลักของกลุ่มนี้คือการพูด การเข้าหา และการพรีเซนต์ ถ้าคุณใช้เขาให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ เขาจะช่วยประหยัดเวลาคุณในการที่ต้องเข้าไปประชุม หรือจัดการด้วยตัวเองเยอะ แต่ข้อเสียกลุ่มนี้คือ ไม่ชอบ หรือไม่ถนัดการทำ full report หรือ analysis report เลย และอย่าไปยัดเยียดอะไรใหม่ๆให้เขาเรียนรู้ เพราะเขาจะมองว่าสกิลเขามีเพียงพอแล้ว
    4. กลุ่มเพชรในตม คนที่เรามองข้าม อาจจะด้วยความที่เขาเป็นระดับเล็ก ไม่มีโอกาสได้คุยกับเรามากนัก หรือเรามองเลยไป กลุ่มนี้มี potential สูง หรือมี skill ที่ดี แต่อาจไม่ไดโอกาสในการแสดง ซึ่งถ้าขัดเกลา หรือเพิ่มการเรียนรู้ให้เขา เขาจะเป็นหัวหน้าที่ดีในอนาคตเลย การที่เราหยุดคุยกับลูกน้องเราสัก 2-3 นาที และให้ระดับหัวหน้า หรือผู้จัดการ พูดคุยถึงลูกน้องตัวเองก็ทำให้เราได้เพชรในตมเหมือนกันนะครับ

    ขยันและฉลาด หายากมาก
    โง่และขี้เกียจ มีนะแต่ไม่ค่อยปล่อยให้อยู่นาน
    น้ำไม่เต็มแก้ว พูดเก่ง มี achievement ไม่ค่อยเจอ ถ้าเจอมักจะเป็นเพชรในตม เพราะมีความถ่อมตนมากกว่า
    วันนี้นึกออกแค่นี้แหละ ขอบคุณครับ
    ว่าด้วยเรื่องการดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา... ถ้าได้มีลูกน้องในหลายๆระดับก็จะมีทั้งความสนุก มันส์ ฮา ความเออ ออ ความทุกข์ที่ลูกน้องเราก่อ หรือความเอากลับมาคิดหลังเราตำหนิเขา ว่าแรงไปไหม เขาจะคิดได้ไหม เขาจะมองว่ายังงัย บลาๆๆ มีหลายหลายตำราที่ได้ฟังได้อ่านมาในเรื่องการวิเคราะห์ดูลูกน้อง และให้งานแต่ละคนตามความเหมาะสม จากที่เจอมากับการปกครองลูกน้องร้อยกว่าชีวิตตั้งแต่ระดับต้นๆยันระดับจัดการก็จะมี.... 1. ขยัน แต่ไม่ฉลาด เติบโตมาจากความขยัน มาแต่เช้าตรู่ แม้จะทำงานบ้างไม่ทำงานบ้าง แต่ก็ไม่เคยขาด ลา มาสาย ข้อเสียคือมักจะตัดสินใจผิดเสมอ ไปจนถึงสถานการณ์จริงแก้ปัญหาไม่ได้ เน้นใช้งานลูกน้องเป็นหลัก (แม้แต่งานตัวเอง) กลุ่มนี้ต้องมอบหมายงานที่เป็นประจำๆเป็นหลัก หลีกเลี่ยงงานที่ต้องให้วิเคราะห์ ตัดสินใจ หรือโปรเจ็กใหม่ๆ 2. ฉลาด แต่ขี้เกียจ กลุ่มนี้นี่แค่เกริ่นคร่าวๆให้ฟัง ก็คิดต่อ คิดตามได้เลย พวกเขาจะประยุกต์ และคิดวิธีใหม่ๆได้เสมอ และมักที่จะ get the job done แต่ข้อเสียคือ ไม่ค่อยเล่นเป็นทีม (ต่อให้เป็นระดับหัวหน้าทีมเล้วตาม ก็จะมองที่งานของตัวเองให้รอดก่อน) ขี้เกียจ ขี้เบื่อ ลาบ่อย ถ้าเบื่อมากๆก็จะหรอยไปโน่นนี่นั่น รวมไปถึงมีทัศนคติที่สูง ถ้าจะให้เขาเคารพคุณแบบหัวหน้า คุณก็ต้องพิสูจน์ฝีมือให้เขาดูก่อน ปกป้องสิทธิของตัวเองเป็นหลักก่อนเสมอ กลุ่มนี้จะต้องมอบงานที่ท้าทาย หรือไม่เคยทำมาก่อนในแผนก ไม่ต้องจูงมือให้เขาทำ หรือให้เขาเดินตามทางเรา เขาจะหาทางทำ และไปถึงจุดหมายด้วยตัวเอง แต่พองานเสร็จแล้วคุณจำเป็นต้องมานั่งคุยกับเขาด้วย ว่างานนี้อะไรดีไม่ดี อะไรต้องปรับปรุง เพราะไม่งั้นเขาจะมองว่างานเขาดีเลิศที่หนึ่ง และอย่าไปมอบงานประจำน่าเบื่อๆให้ล่ะ รับรองหรอยไปเดินเล่น หรือนั่งดูซีรีย์ตั้งแต่สามวันแรกแน่นอน 3. กลุ่มน้ำเต็มแก้วที่จมปลักอยู่กับสิ่งตัวเองคิดว่าเป็น achievement กลุ่มนี้จะมีทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ เป็นกลุ่มที่มักจะพูดให้คนอื่นฟังว่าเคยทำอะไรมาก่อน งานเก่าประสบความสำเร็จยังไง เคยผ่านงานลำบากขนาดไหน เคยเข้าประชุมประสานงานกับผู้บริหารหรือเจ้าของมาแล้ว บลาๆๆๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ดีซะทั้งหมด ผมมองว่ากลุ่มนี้เหมือนเตียวหุย มีฝีมือ แต่ประมาท และไม่ค่อยชอบเรียนรู้เพิ่ม สกิลหลักของกลุ่มนี้คือการพูด การเข้าหา และการพรีเซนต์ ถ้าคุณใช้เขาให้ถูกที่ ถูกเวลา ถูกสถานการณ์ เขาจะช่วยประหยัดเวลาคุณในการที่ต้องเข้าไปประชุม หรือจัดการด้วยตัวเองเยอะ แต่ข้อเสียกลุ่มนี้คือ ไม่ชอบ หรือไม่ถนัดการทำ full report หรือ analysis report เลย และอย่าไปยัดเยียดอะไรใหม่ๆให้เขาเรียนรู้ เพราะเขาจะมองว่าสกิลเขามีเพียงพอแล้ว 4. กลุ่มเพชรในตม คนที่เรามองข้าม อาจจะด้วยความที่เขาเป็นระดับเล็ก ไม่มีโอกาสได้คุยกับเรามากนัก หรือเรามองเลยไป กลุ่มนี้มี potential สูง หรือมี skill ที่ดี แต่อาจไม่ไดโอกาสในการแสดง ซึ่งถ้าขัดเกลา หรือเพิ่มการเรียนรู้ให้เขา เขาจะเป็นหัวหน้าที่ดีในอนาคตเลย การที่เราหยุดคุยกับลูกน้องเราสัก 2-3 นาที และให้ระดับหัวหน้า หรือผู้จัดการ พูดคุยถึงลูกน้องตัวเองก็ทำให้เราได้เพชรในตมเหมือนกันนะครับ ขยันและฉลาด หายากมาก โง่และขี้เกียจ มีนะแต่ไม่ค่อยปล่อยให้อยู่นาน น้ำไม่เต็มแก้ว พูดเก่ง มี achievement ไม่ค่อยเจอ ถ้าเจอมักจะเป็นเพชรในตม เพราะมีความถ่อมตนมากกว่า วันนี้นึกออกแค่นี้แหละ ขอบคุณครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ไต้หวันสั่งปิดตลาดหลักทรัพย์ ยกเลิกเที่ยวบิน และให้สถานศึกษาทั่วประเทศปิดการเรียนการสอนในวันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเตรียมรับมือกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นแคมี (Gaemi) ซึ่งคาดว่าจะเป็นพายุที่มีความรุนแรงที่สุดที่ซัดถล่มไต้หวันในรอบ 8 ปี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062672 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Sad
    Yay
    16
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 952 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ที่หลายๆคนได้ข่าววุฒิปลอมต่างประเทศ
    จากการติดตามข่าวนี้ โดยเฉพาะจากการขยี้ของสรย้วย
    ทำให้คนไทยได้เห็นหน้า Boss ตัวจริง
    ที่ใช้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศ
    และมีความชำนาญด้านการทำงานวิจัย
    ทำเป็นขบวนการโดยดิลธุรกิจกับต่างประเทศ
    โดยแฝงเข้าไปตามมหาวิทยาลัย พร้อมเผยแบบแอบๆ
    ให้ลูกศิษย์ได้รู้ว่า มันมีวิธีการในการได้มาซึ่งป.เอก
    หรือวิทยฐานะที่ง่ายกว่าการเรียนตามระบบในประเทศไทย
    โดยมีเครือข่ายคล้ายเซล ที่ผันตัวจากนักศึกษากลายเป็นนายหน้า
    ในการติดต่อประสานงาน เพื่อว่าหากมีอะไรฉุกเฉิน
    จะได้โยนให้เซลเป็นหนังหน้าไฟในการพามา
    เพื่ออ้างว่ามิได้เป็นการเชื้อเชิญจากปากสุขุมพงศ์เอง
    รอดตัวในทุกๆเรื่อง เพราะวางเกมส์ไว้อย่างดี
    จนในที่สุด ก็ได้เห็นลีลาการตอบคำถามที่เหมือนปลาไหล
    แต่เจอสรย้วยต้อนจนยอมรับเองว่าตนเองอยู่ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง
    ปัญหาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ออกตัวสลัดหมอเกศ อ้างว่าไม่ได้ปกป้อง ตัวเองไม่รู้อะไรเลย มุ้งมิ้ง ใสๆ
    โดนต้อนว่า รับรองมั๊ยว่า ที่แคลิฟอร์เนียยูนิเวอร์ซิตี้ มีมาตรฐาน
    ก็สลัดทิ้งอีก บอกไม่รับรอง
    ทั้งๆที่ตัวเองรับเงินในฐานะประธานสอบงานวิจัยสาขาประเทศไทย
    วกไปวนมา ทำให้คนไทยได้รู้ว่า น่าจะไม่ใช่เฉพาะธรรมนัส หรือหมอเกศ
    ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนต้มจนเปื่อย น่าจะมีคนรวยๆอีกจำนวนมากที่ตอนนี้ได้แต่ใจสั่นระรัว
    ว่าเรื่องมันจะโป๊ะมาถึงตัวเองวันไหน
    คิงส์โพธิ์แดงขอแนะนำว่า สุขุมพงศ์ อย่าให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าอาจารย์อีกเลยนะ เรียกว่า บอสแห่งการทำวุฒิปลอม หรือไม่ก็ผู้จัดการทำวุฒิปลอมสาขาประเทศไทยก็ได้
    คนเป็นอาจารย์ ไม่หากินกับลูกศิษย์หรอก
    แต่ขอชมนะ ต้มธรรมนัสได้นี่ โครตเก่ง
    เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #หมอเกศ
    #สุขุมพงศ์
    #เยี่ยมจริงๆเยี่ยมจริงๆเยี่ยมจริงๆ
    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ที่หลายๆคนได้ข่าววุฒิปลอมต่างประเทศ จากการติดตามข่าวนี้ โดยเฉพาะจากการขยี้ของสรย้วย ทำให้คนไทยได้เห็นหน้า Boss ตัวจริง ที่ใช้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศ และมีความชำนาญด้านการทำงานวิจัย ทำเป็นขบวนการโดยดิลธุรกิจกับต่างประเทศ โดยแฝงเข้าไปตามมหาวิทยาลัย พร้อมเผยแบบแอบๆ ให้ลูกศิษย์ได้รู้ว่า มันมีวิธีการในการได้มาซึ่งป.เอก หรือวิทยฐานะที่ง่ายกว่าการเรียนตามระบบในประเทศไทย โดยมีเครือข่ายคล้ายเซล ที่ผันตัวจากนักศึกษากลายเป็นนายหน้า ในการติดต่อประสานงาน เพื่อว่าหากมีอะไรฉุกเฉิน จะได้โยนให้เซลเป็นหนังหน้าไฟในการพามา เพื่ออ้างว่ามิได้เป็นการเชื้อเชิญจากปากสุขุมพงศ์เอง รอดตัวในทุกๆเรื่อง เพราะวางเกมส์ไว้อย่างดี จนในที่สุด ก็ได้เห็นลีลาการตอบคำถามที่เหมือนปลาไหล แต่เจอสรย้วยต้อนจนยอมรับเองว่าตนเองอยู่ตั้งแต่ต้นทางยันปลายทาง ปัญหาเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ออกตัวสลัดหมอเกศ อ้างว่าไม่ได้ปกป้อง ตัวเองไม่รู้อะไรเลย มุ้งมิ้ง ใสๆ โดนต้อนว่า รับรองมั๊ยว่า ที่แคลิฟอร์เนียยูนิเวอร์ซิตี้ มีมาตรฐาน ก็สลัดทิ้งอีก บอกไม่รับรอง ทั้งๆที่ตัวเองรับเงินในฐานะประธานสอบงานวิจัยสาขาประเทศไทย วกไปวนมา ทำให้คนไทยได้รู้ว่า น่าจะไม่ใช่เฉพาะธรรมนัส หรือหมอเกศ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนต้มจนเปื่อย น่าจะมีคนรวยๆอีกจำนวนมากที่ตอนนี้ได้แต่ใจสั่นระรัว ว่าเรื่องมันจะโป๊ะมาถึงตัวเองวันไหน คิงส์โพธิ์แดงขอแนะนำว่า สุขุมพงศ์ อย่าให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าอาจารย์อีกเลยนะ เรียกว่า บอสแห่งการทำวุฒิปลอม หรือไม่ก็ผู้จัดการทำวุฒิปลอมสาขาประเทศไทยก็ได้ คนเป็นอาจารย์ ไม่หากินกับลูกศิษย์หรอก แต่ขอชมนะ ต้มธรรมนัสได้นี่ โครตเก่ง เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ #คิงส์โพธิ์แดง #หมอเกศ #สุขุมพงศ์ #เยี่ยมจริงๆเยี่ยมจริงๆเยี่ยมจริงๆ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 494 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันท้ายๆของการเรียนหลักสูตรนยปส.แล้ว ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย
    วันท้ายๆของการเรียนหลักสูตรนยปส.แล้ว ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย
    Like
    1
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 576 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kidzooona เป็นศูนย์การเรียนรู้และเล่นในร่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต เป็นที่ยอดนิยมสำหรับครอบครัวที่มองหากิจกรรมสนุกๆ สำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุ 2-12 ปี ที่นี่มีการออกแบบโซนการเล่นต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจของเด็กๆ ผ่านการเล่นแบบโต้ตอบ เช่น มินิมาร์เก็ต ห้องครัว สระลูกบอล สนามเด็กเล่นในร่ม และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ

    จุดเด่นของ Kidzooona:
    - โซนการเล่นหลากหลาย: มีการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนต่างๆ เช่น โซนการเล่นสมมุติ โซนกีฬา โซนสร้างสรรค์ เช่น การระบายสี และการประดิษฐ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆ ให้กับเด็ก
    - ความปลอดภัยสูง: มีเจ้าหน้าที่ดูแลและตรวจสอบความปลอดภัยของเด็กๆ ตลอดเวลา ทำให้ผู้ปกครองสามารถปล่อยให้ลูกเล่นได้อย่างสบายใจ
    - กิจกรรมเสริมสร้างทักษะ: นอกจากการเล่นสนุกแล้ว Kidzooona ยังมีส่วนเสริมทักษะทางการสื่อสารและการเข้าสังคมผ่านการเล่นเป็นทีมกับเพื่อนๆ

    ค่าบริการและข้อกำหนด:
    - ค่าบริการ: ราคาบัตรเข้า Kidzooona อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและวัน เช่น วันธรรมดาหรือวันหยุด โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อเด็กหนึ่งคน
    - ข้อกำหนดการเข้าใช้บริการ: ทุกคนที่เข้าใช้บริการต้องใส่ถุงเท้าเพื่อความสะอาดและความปลอดภัย

    Kidzooona เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน โดยมีทั้งความสนุกและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่เล่นที่ปลอดภัยและมีความสร้างสรรค์สำหรับลูกน้อย Kidzooona เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด!

    #thaitimes #พาไปเที่ยว
    Kidzooona เป็นศูนย์การเรียนรู้และเล่นในร่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในประเทศไทย เช่น กรุงเทพฯ และภูเก็ต เป็นที่ยอดนิยมสำหรับครอบครัวที่มองหากิจกรรมสนุกๆ สำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุ 2-12 ปี ที่นี่มีการออกแบบโซนการเล่นต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมทักษะการเรียนรู้และพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจของเด็กๆ ผ่านการเล่นแบบโต้ตอบ เช่น มินิมาร์เก็ต ห้องครัว สระลูกบอล สนามเด็กเล่นในร่ม และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ จุดเด่นของ Kidzooona: - โซนการเล่นหลากหลาย: มีการจัดสรรพื้นที่เป็นโซนต่างๆ เช่น โซนการเล่นสมมุติ โซนกีฬา โซนสร้างสรรค์ เช่น การระบายสี และการประดิษฐ์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างทักษะต่างๆ ให้กับเด็ก - ความปลอดภัยสูง: มีเจ้าหน้าที่ดูแลและตรวจสอบความปลอดภัยของเด็กๆ ตลอดเวลา ทำให้ผู้ปกครองสามารถปล่อยให้ลูกเล่นได้อย่างสบายใจ - กิจกรรมเสริมสร้างทักษะ: นอกจากการเล่นสนุกแล้ว Kidzooona ยังมีส่วนเสริมทักษะทางการสื่อสารและการเข้าสังคมผ่านการเล่นเป็นทีมกับเพื่อนๆ ค่าบริการและข้อกำหนด: - ค่าบริการ: ราคาบัตรเข้า Kidzooona อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาและวัน เช่น วันธรรมดาหรือวันหยุด โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อเด็กหนึ่งคน - ข้อกำหนดการเข้าใช้บริการ: ทุกคนที่เข้าใช้บริการต้องใส่ถุงเท้าเพื่อความสะอาดและความปลอดภัย Kidzooona เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการพาเด็กๆ ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน โดยมีทั้งความสนุกและการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับวัยของเด็ก ถ้าคุณกำลังมองหาสถานที่เล่นที่ปลอดภัยและมีความสร้างสรรค์สำหรับลูกน้อย Kidzooona เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด! #thaitimes #พาไปเที่ยว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 545 มุมมอง 0 รีวิว