• 'ณัฐพงษ์' เรียกร้องนายกฯ ตอบให้ชัด ปมคลิปผีชายแดน จะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อพลเรือนฝั่งตรงข้ามหรือไม่ หวั่นไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/21889/
    .
    #ไทยไท #ณัฐพงษ์ #ผู้นำฝ่ายค้าน #คลิปผีชายแดน #กฎอัยการศึก #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง

    'ณัฐพงษ์' เรียกร้องนายกฯ ตอบให้ชัด ปมคลิปผีชายแดน จะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อพลเรือนฝั่งตรงข้ามหรือไม่ หวั่นไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก https://www.thai-tai.tv/news/21889/ . #ไทยไท #ณัฐพงษ์ #ผู้นำฝ่ายค้าน #คลิปผีชายแดน #กฎอัยการศึก #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://maps.app.goo.gl/EGbZ7XJuGp7oZ6D26
    https://maps.app.goo.gl/EGbZ7XJuGp7oZ6D26
    MAPS.APP.GOO.GL
    Rent V38 #420 friendly hotel Bangkok · เขตจตุจักร, กรุงเทพมหานคร
    ค้นหาธุรกิจในท้องถิ่น ดูแผนที่ และขอเส้นทางการขับขี่ได้ใน Google Maps
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 0 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อ AI สร้างพอดแคสต์ได้เป็นพันรายการ – อุตสาหกรรมเสียงกำลังสั่นคลอน”

    ลองจินตนาการว่าโลกของพอดแคสต์ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจริงจากคนจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงสังเคราะห์จาก AI ที่สามารถผลิตรายการได้เป็นร้อยเป็นพันในเวลาไม่กี่นาที

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 เมื่อ Google เปิดตัว “Audio Overview” ระบบสร้างพอดแคสต์จากเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้มนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว และตามมาด้วยคลื่นของสตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft ที่กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว

    ผลลัพธ์คือการผลิตพอดแคสต์แบบ “mass-produced” ที่มีโฮสต์เสมือนจริง พูดได้หลายภาษา ปรับอารมณ์เสียงได้ และสามารถสร้างเนื้อหาตามความต้องการของผู้ฟังได้ทันที

    แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้น มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ที่ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ฟังและโฆษณาแบบดั้งเดิม หลายรายการกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วและต้นทุนต่ำของ AI ได้

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้รสนิยมของผู้ฟังอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การหลั่งไหลของพอดแคสต์จาก AI จะส่งผลกระทบต่อ “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ในมุมที่กว้างขึ้น นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับคำถามว่า “อะไรคือความจริง” และ “ใครคือผู้เล่าเรื่องที่แท้จริง”

    การเกิดขึ้นของพอดแคสต์จาก AI
    Google เปิดตัว Audio Overview สร้างพอดแคสต์จากเอกสารโดยไม่ใช้มนุษย์
    สตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft เข้าร่วมตลาดอย่างรวดเร็ว
    พอดแคสต์สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาสั้น ด้วยต้นทุนต่ำ

    ความสามารถของพอดแคสต์ AI
    ใช้โฮสต์เสมือนจริงที่ปรับอารมณ์เสียงได้
    รองรับหลายภาษาและสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้ฟัง
    สร้างเนื้อหาแบบออนดีมานด์จากข้อมูลที่มีอยู่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ
    รายการอิสระที่พึ่งพาผู้ฟังและโฆษณากำลังถูกแย่งพื้นที่
    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอาจลดลง
    ความหลากหลายของเนื้อหาอาจถูกแทนที่ด้วยสูตรสำเร็จจาก AI

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การผลิตจำนวนมากอาจทำลาย “ศิลปะของการเล่าเรื่อง”
    ความจริงและความเป็นมนุษย์ในเนื้อหาอาจถูกลดทอน
    อุตสาหกรรมสื่อกำลังเผชิญกับคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ

    คำเตือนต่ออนาคตของพอดแคสต์
    พอดแคสต์จาก AI อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีความจริงจากเนื้อหาสังเคราะห์
    ผู้สร้างเนื้อหาจริงอาจถูกลดบทบาทหรือหายไปจากตลาด
    ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองอาจถูกกลืนด้วยอัลกอริธึม
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาขาดความลึกและความรู้สึก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/mass-produced-ai-podcasts-disrupt-a-fragile-industry
    🎙️ “เมื่อ AI สร้างพอดแคสต์ได้เป็นพันรายการ – อุตสาหกรรมเสียงกำลังสั่นคลอน” ลองจินตนาการว่าโลกของพอดแคสต์ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจริงจากคนจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงสังเคราะห์จาก AI ที่สามารถผลิตรายการได้เป็นร้อยเป็นพันในเวลาไม่กี่นาที นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 เมื่อ Google เปิดตัว “Audio Overview” ระบบสร้างพอดแคสต์จากเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้มนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว และตามมาด้วยคลื่นของสตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft ที่กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือการผลิตพอดแคสต์แบบ “mass-produced” ที่มีโฮสต์เสมือนจริง พูดได้หลายภาษา ปรับอารมณ์เสียงได้ และสามารถสร้างเนื้อหาตามความต้องการของผู้ฟังได้ทันที แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้น มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ที่ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ฟังและโฆษณาแบบดั้งเดิม หลายรายการกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วและต้นทุนต่ำของ AI ได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้รสนิยมของผู้ฟังอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การหลั่งไหลของพอดแคสต์จาก AI จะส่งผลกระทบต่อ “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในมุมที่กว้างขึ้น นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับคำถามว่า “อะไรคือความจริง” และ “ใครคือผู้เล่าเรื่องที่แท้จริง” ✅ การเกิดขึ้นของพอดแคสต์จาก AI ➡️ Google เปิดตัว Audio Overview สร้างพอดแคสต์จากเอกสารโดยไม่ใช้มนุษย์ ➡️ สตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft เข้าร่วมตลาดอย่างรวดเร็ว ➡️ พอดแคสต์สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาสั้น ด้วยต้นทุนต่ำ ✅ ความสามารถของพอดแคสต์ AI ➡️ ใช้โฮสต์เสมือนจริงที่ปรับอารมณ์เสียงได้ ➡️ รองรับหลายภาษาและสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้ฟัง ➡️ สร้างเนื้อหาแบบออนดีมานด์จากข้อมูลที่มีอยู่ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ➡️ รายการอิสระที่พึ่งพาผู้ฟังและโฆษณากำลังถูกแย่งพื้นที่ ➡️ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอาจลดลง ➡️ ความหลากหลายของเนื้อหาอาจถูกแทนที่ด้วยสูตรสำเร็จจาก AI ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การผลิตจำนวนมากอาจทำลาย “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” ➡️ ความจริงและความเป็นมนุษย์ในเนื้อหาอาจถูกลดทอน ➡️ อุตสาหกรรมสื่อกำลังเผชิญกับคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของพอดแคสต์ ⛔ พอดแคสต์จาก AI อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีความจริงจากเนื้อหาสังเคราะห์ ⛔ ผู้สร้างเนื้อหาจริงอาจถูกลดบทบาทหรือหายไปจากตลาด ⛔ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองอาจถูกกลืนด้วยอัลกอริธึม ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาขาดความลึกและความรู้สึก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/mass-produced-ai-podcasts-disrupt-a-fragile-industry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Mass-produced AI podcasts disrupt a fragile industry
    Artificial intelligence now makes it possible to mass-produce podcasts with completely virtual hosts, a development that is disrupting an industry still finding its footing and operating on a fragile business model.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เกษตรทุเรียนอัจฉริยะ – เมื่อ 5G และเซนเซอร์เปลี่ยนสวนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ”

    ใครจะคิดว่า “ทุเรียน” ผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นแรงและรสชาติเฉพาะตัว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกษตรในมาเลเซีย?

    Tan Han Wei อดีตวิศวกร R&D ผู้หลงใหลในทุเรียน ได้ก่อตั้งบริษัท Sustainable Hrvest เพื่อพัฒนาโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เช่น ทำไมบางจุดในสวนให้ผลผลิตมากกว่าจุดอื่น และจะปรับปรุงพื้นที่ด้อยผลผลิตได้อย่างไร

    คำตอบคือ “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” โดยเขาเริ่มติดตั้งเซนเซอร์ลงดินลึก 30–40 ซม. เพื่อวัดความชื้น, pH, และค่าการนำไฟฟ้าในดิน (EC) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของดิน ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์

    ผลลัพธ์คือการค้นพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น จุดที่มีน้ำขังมากเกินไปซึ่งส่งผลให้รากเน่าและดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลดการรดน้ำและปรับปรุงการระบายน้ำ

    นอกจากนี้ยังมีการตั้งระบบอัตโนมัติให้สปริงเกิลทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C เพื่อป้องกันต้นไม้จากความเครียดจากความร้อน

    แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์หากไม่มี “5G” เพราะการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์คือหัวใจของการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน Tan จึงพัฒนาโซลูชันที่รองรับทั้ง 4G และ LoRaWAN พร้อมอัปเกรดเป็น 5G เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม

    เขายังพัฒนา AI ตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า พร้อมคำแนะนำในการรับมือ ซึ่งตอนนี้มีความแม่นยำราว 70%

    ในอนาคต เขาเสนอแนวคิด “Digital Agronomist” ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล และ “หุ่นยนต์สุนัขลาดตระเวน” ที่สามารถเดินตรวจสวนและนับผลทุเรียนแบบเรียลไทม์

    ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกร Tan เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะพร้อมเปิดรับและปรับตัว

    การใช้เซนเซอร์ในสวนทุเรียน
    วัดค่าความชื้น, pH, และ EC เพื่อประเมินสุขภาพดิน
    ตรวจพบปัญหาน้ำขังที่ส่งผลต่อรากและการดูดซึมสารอาหาร
    ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำ

    ระบบอัตโนมัติและการจัดการอุณหภูมิ
    สปริงเกิลทำงานอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C
    หยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงระดับที่เหมาะสม
    ช่วยลดความเครียดจากความร้อนในต้นทุเรียน

    การใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
    ระบบตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ
    แจ้งเตือนพร้อมคำแนะนำในการรับมือ
    แนวคิด “Digital Agronomist” วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล

    บทบาทของ 5G ในเกษตรอัจฉริยะ
    ช่วยให้การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์เป็นไปได้
    รองรับการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน
    เปิดทางสู่การใช้หุ่นยนต์และการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง

    การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเกษตรกร
    เมื่อเห็นผลลัพธ์จริง เกษตรกรจะเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น
    ปัญหาค่าครองชีพ, สภาพอากาศ, และแรงงานผลักดันให้ต้องปรับตัว
    การใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    อุปสรรคในการนำ 5G มาใช้จริง
    พื้นที่ห่างไกลยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G และแม้แต่ 4G
    ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์เป็น 5G ยังสูงสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก
    เกษตรกรบางส่วนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ 5G นอกเหนือจากอินเทอร์เน็ตเร็ว
    การขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีอาจทำให้ใช้งานระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/how-smart-sensors-and-5g-are-changing-the-game-for-msian-durian-farmers
    🌱 “เกษตรทุเรียนอัจฉริยะ – เมื่อ 5G และเซนเซอร์เปลี่ยนสวนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ” ใครจะคิดว่า “ทุเรียน” ผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นแรงและรสชาติเฉพาะตัว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกษตรในมาเลเซีย? Tan Han Wei อดีตวิศวกร R&D ผู้หลงใหลในทุเรียน ได้ก่อตั้งบริษัท Sustainable Hrvest เพื่อพัฒนาโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เช่น ทำไมบางจุดในสวนให้ผลผลิตมากกว่าจุดอื่น และจะปรับปรุงพื้นที่ด้อยผลผลิตได้อย่างไร คำตอบคือ “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” โดยเขาเริ่มติดตั้งเซนเซอร์ลงดินลึก 30–40 ซม. เพื่อวัดความชื้น, pH, และค่าการนำไฟฟ้าในดิน (EC) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของดิน ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์ ผลลัพธ์คือการค้นพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น จุดที่มีน้ำขังมากเกินไปซึ่งส่งผลให้รากเน่าและดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลดการรดน้ำและปรับปรุงการระบายน้ำ นอกจากนี้ยังมีการตั้งระบบอัตโนมัติให้สปริงเกิลทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C เพื่อป้องกันต้นไม้จากความเครียดจากความร้อน แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์หากไม่มี “5G” เพราะการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์คือหัวใจของการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน Tan จึงพัฒนาโซลูชันที่รองรับทั้ง 4G และ LoRaWAN พร้อมอัปเกรดเป็น 5G เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม เขายังพัฒนา AI ตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า พร้อมคำแนะนำในการรับมือ ซึ่งตอนนี้มีความแม่นยำราว 70% ในอนาคต เขาเสนอแนวคิด “Digital Agronomist” ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล และ “หุ่นยนต์สุนัขลาดตระเวน” ที่สามารถเดินตรวจสวนและนับผลทุเรียนแบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกร Tan เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะพร้อมเปิดรับและปรับตัว ✅ การใช้เซนเซอร์ในสวนทุเรียน ➡️ วัดค่าความชื้น, pH, และ EC เพื่อประเมินสุขภาพดิน ➡️ ตรวจพบปัญหาน้ำขังที่ส่งผลต่อรากและการดูดซึมสารอาหาร ➡️ ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำ ✅ ระบบอัตโนมัติและการจัดการอุณหภูมิ ➡️ สปริงเกิลทำงานอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C ➡️ หยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงระดับที่เหมาะสม ➡️ ช่วยลดความเครียดจากความร้อนในต้นทุเรียน ✅ การใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ➡️ ระบบตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ ➡️ แจ้งเตือนพร้อมคำแนะนำในการรับมือ ➡️ แนวคิด “Digital Agronomist” วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล ✅ บทบาทของ 5G ในเกษตรอัจฉริยะ ➡️ ช่วยให้การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์เป็นไปได้ ➡️ รองรับการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน ➡️ เปิดทางสู่การใช้หุ่นยนต์และการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง ✅ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเกษตรกร ➡️ เมื่อเห็นผลลัพธ์จริง เกษตรกรจะเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น ➡️ ปัญหาค่าครองชีพ, สภาพอากาศ, และแรงงานผลักดันให้ต้องปรับตัว ➡️ การใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ อุปสรรคในการนำ 5G มาใช้จริง ⛔ พื้นที่ห่างไกลยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G และแม้แต่ 4G ⛔ ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์เป็น 5G ยังสูงสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก ⛔ เกษตรกรบางส่วนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ 5G นอกเหนือจากอินเทอร์เน็ตเร็ว ⛔ การขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีอาจทำให้ใช้งานระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/how-smart-sensors-and-5g-are-changing-the-game-for-msian-durian-farmers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How smart sensors and 5G are changing the game for M’sian durian farmers
    Trees can't speak, so durian farmers in Malaysia are turning to digital tools to better understand their needs and boost their yields.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Delta Force ปลุกกระแสเกมยิงในจีน – Tencent ปรับกลยุทธ์สู่เวทีโลก”

    ใครจะคิดว่าเกมยิงจากจีนจะกลายเป็นกระแสระดับโลก? Tencent ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเกมจีน กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่หลังจาก “Delta Force” เกมยิงแนว extraction shooter กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2024 ด้วยยอดผู้เล่นแตะ 30 ล้านคนต่อวัน

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Leo Yao นักพัฒนาเกมที่เคยทำงานกับ Electronic Arts และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีม J3 Studio ของ Tencent เขาใช้ประสบการณ์จากการพัฒนา Call of Duty เวอร์ชันมือถือ มาผสมผสานแนวเกมต่าง ๆ จนเกิดเป็น Delta Force ที่มีทั้งโหมด extraction, battleground และเนื้อเรื่องแบบแคมเปญ

    ความสำเร็จในจีนทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแนวเกมยิงที่เคยถูกครองโดยผู้พัฒนาจากตะวันตก เช่น Valve, Activision และ Ubisoft

    Tencent ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเกม แต่ยังลงทุนในกลยุทธ์การตลาดแบบ localized เช่น การจับมือกับแบรนด์โจ๊กแปดเซียน เพื่อสื่อถึงความหลากหลายของเกม และกำลังจ้างทีมงานใหม่เพื่อเข้าใจผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้น

    ในภาพรวม นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ Tencent จากผู้จัดจำหน่าย ไปสู่ผู้สร้างเกมต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

    ความสำเร็จของ Delta Force
    เกมยิงแนว extraction shooter ที่ผสมโหมด battleground และแคมเปญ
    มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคนต่อวันในจีน
    ได้รับความนิยมจากการออกแบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย

    การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Tencent
    มุ่งเน้นการสร้างเกมต้นฉบับแทนการซื้อกิจการ
    ต้องการเป็นผู้สร้างเกมที่มีเอกลักษณ์แบบ Valve
    ลงทุนในทีมงานใหม่เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ
    ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ localized เพื่อเข้าถึงผู้เล่นในแต่ละภูมิภาค

    ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเกมจีน
    ผู้เล่นจีนเริ่มหันมาเล่นเกม PC และเกมยิงมากขึ้น
    ตลาดเกมยิงมีมูลค่าราว 9% ของอุตสาหกรรมเกมโลก
    Tencent มีหุ้นในเกมดังอย่าง Fortnite, PUBG และ Far Cry

    ความท้าทายในการเจาะตลาดโลก
    ทีมงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนจีน ทำให้เข้าใจผู้เล่นต่างชาติได้ยาก
    ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ในการสื่อสารและออกแบบเกม
    ใช้การฟังเสียงผู้เล่นผ่าน influencer และการวิเคราะห์ข้อมูล

    คำเตือนสำหรับ Tencent และผู้พัฒนาเกมจีน
    การขาดความเข้าใจวัฒนธรรมผู้เล่นต่างประเทศ อาจทำให้เกมไม่ถูกใจตลาด
    ความเชื่อเดิมว่า “เกมยิงคือของตะวันตก” อาจเป็นอุปสรรคทางจิตวิทยา
    การพึ่งพาความสำเร็จในจีนมากเกินไป อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดโลก
    ความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ “ลอกเลียนแบบ” ที่ยังติดอยู่ในสายตาผู้เล่นบางกลุ่ม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/tencents-delta-force-success-shifts-focus-to-shooting-games
    🎮 “Delta Force ปลุกกระแสเกมยิงในจีน – Tencent ปรับกลยุทธ์สู่เวทีโลก” ใครจะคิดว่าเกมยิงจากจีนจะกลายเป็นกระแสระดับโลก? Tencent ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเกมจีน กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่หลังจาก “Delta Force” เกมยิงแนว extraction shooter กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2024 ด้วยยอดผู้เล่นแตะ 30 ล้านคนต่อวัน เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Leo Yao นักพัฒนาเกมที่เคยทำงานกับ Electronic Arts และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีม J3 Studio ของ Tencent เขาใช้ประสบการณ์จากการพัฒนา Call of Duty เวอร์ชันมือถือ มาผสมผสานแนวเกมต่าง ๆ จนเกิดเป็น Delta Force ที่มีทั้งโหมด extraction, battleground และเนื้อเรื่องแบบแคมเปญ ความสำเร็จในจีนทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแนวเกมยิงที่เคยถูกครองโดยผู้พัฒนาจากตะวันตก เช่น Valve, Activision และ Ubisoft Tencent ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเกม แต่ยังลงทุนในกลยุทธ์การตลาดแบบ localized เช่น การจับมือกับแบรนด์โจ๊กแปดเซียน เพื่อสื่อถึงความหลากหลายของเกม และกำลังจ้างทีมงานใหม่เพื่อเข้าใจผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้น ในภาพรวม นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ Tencent จากผู้จัดจำหน่าย ไปสู่ผู้สร้างเกมต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ✅ ความสำเร็จของ Delta Force ➡️ เกมยิงแนว extraction shooter ที่ผสมโหมด battleground และแคมเปญ ➡️ มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคนต่อวันในจีน ➡️ ได้รับความนิยมจากการออกแบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย ✅ การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Tencent ➡️ มุ่งเน้นการสร้างเกมต้นฉบับแทนการซื้อกิจการ ➡️ ต้องการเป็นผู้สร้างเกมที่มีเอกลักษณ์แบบ Valve ➡️ ลงทุนในทีมงานใหม่เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ ➡️ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ localized เพื่อเข้าถึงผู้เล่นในแต่ละภูมิภาค ✅ ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเกมจีน ➡️ ผู้เล่นจีนเริ่มหันมาเล่นเกม PC และเกมยิงมากขึ้น ➡️ ตลาดเกมยิงมีมูลค่าราว 9% ของอุตสาหกรรมเกมโลก ➡️ Tencent มีหุ้นในเกมดังอย่าง Fortnite, PUBG และ Far Cry ✅ ความท้าทายในการเจาะตลาดโลก ➡️ ทีมงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนจีน ทำให้เข้าใจผู้เล่นต่างชาติได้ยาก ➡️ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ในการสื่อสารและออกแบบเกม ➡️ ใช้การฟังเสียงผู้เล่นผ่าน influencer และการวิเคราะห์ข้อมูล ‼️ คำเตือนสำหรับ Tencent และผู้พัฒนาเกมจีน ⛔ การขาดความเข้าใจวัฒนธรรมผู้เล่นต่างประเทศ อาจทำให้เกมไม่ถูกใจตลาด ⛔ ความเชื่อเดิมว่า “เกมยิงคือของตะวันตก” อาจเป็นอุปสรรคทางจิตวิทยา ⛔ การพึ่งพาความสำเร็จในจีนมากเกินไป อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดโลก ⛔ ความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ “ลอกเลียนแบบ” ที่ยังติดอยู่ในสายตาผู้เล่นบางกลุ่ม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/tencents-delta-force-success-shifts-focus-to-shooting-games
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tencent's 'Delta Force' success shifts focus to shooting games
    For more than a decade, Tencent Holdings Ltd developer Leo Yao toiled in relative anonymity, churning out one shooting game after another. Then he scored one of the biggest Chinese hits of 2024 with Delta Force, a game that continues to attract 30 million players daily.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน)

    บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust

    ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง

    จุดอ่อนของ CIA Triad
    โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล
    ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI
    ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว”

    ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว
    Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience”
    Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
    การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์

    โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model
    Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience
    Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance
    Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้
    โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์

    ประโยชน์ของ 3C Model
    ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR
    ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน
    เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad
    ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้
    เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน
    อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง
    การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม

    https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    🧠 “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน” ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน) บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง ✅ จุดอ่อนของ CIA Triad ➡️ โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล ➡️ ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI ➡️ ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว” ✅ ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว ➡️ Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience” ➡️ Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ➡️ การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ ✅ โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model ➡️ Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience ➡️ Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance ➡️ Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ➡️ โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์ ✅ ประโยชน์ของ 3C Model ➡️ ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR ➡️ ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน ➡️ เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad ⛔ ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน ⛔ อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง ⛔ การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CIA triad is dead — stop using a Cold War relic to fight 21st century threats
    CISOs stuck on CIA must accept reality: The world has shifted, and our cybersecurity models must shift, too. We need a model that is layered, contextual, and built for survival.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ปกป้องข้อมูลในยุคคลาวด์ผสม – เลือกแพลตฟอร์มให้มั่นใจว่าไม่พังตอนวิกฤต”

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีข้อมูลกระจายอยู่ทั่วทุกที่—จากอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงคลาวด์หลายเจ้า ทั้ง AWS, Azure และ Google Cloud แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ransomware โจมตี หรือไฟดับจากภัยธรรมชาติ… ข้อมูลสำคัญจะยังปลอดภัยหรือไม่?

    นั่นคือเหตุผลที่ “แพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล” (Data Protection Platform) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ hybrid cloud ซึ่งผสมผสานระหว่างคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร

    บทความนี้จาก CSO Online ได้เจาะลึกว่าองค์กรควรมองหาอะไรในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล พร้อมแนวโน้มล่าสุดในตลาด และคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนตัดสินใจซื้อ

    นอกจากนี้ ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ตลาด Data Protection ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 136 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตถึง 610 พันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบริการแบบ DPaaS (Data Protection as a Service) ที่มาแรงสุด ๆ เพราะองค์กรไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความจำเป็นของการปกป้องข้อมูลใน hybrid cloud
    ข้อมูลองค์กรกระจายอยู่ในหลายระบบ ทั้ง IoT, edge, endpoint และคลาวด์
    60% ของข้อมูลองค์กรอยู่ในคลาวด์ และ 80% ใช้ hybrid cloud
    ความเสี่ยงจาก ransomware, ภัยธรรมชาติ, กฎหมายความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าผิดพลาด

    ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมีในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล
    การค้นหาและจัดประเภทข้อมูล (Data Discovery & Classification)
    การประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment)
    การเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลสูญหาย (Encryption, DLP, CASB)
    การตรวจสอบและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Monitoring & Analytics)
    การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control)
    การตรวจสอบและรายงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย (Audit & Compliance)
    ความสามารถในการขยายระบบและรองรับการทำงานหนัก (Scalability & Performance)
    ระบบอัตโนมัติที่ลดงานคนและเพิ่มความเร็วในการกู้คืน (Automation)

    แนวโน้มตลาดและผู้ให้บริการชั้นนำ
    DPaaS เติบโตเร็วที่สุดในตลาด เพราะองค์กรต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องดูแลเอง
    ผู้เล่นหลัก ได้แก่ AWS, Cisco, Dell, HPE, IBM
    ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล เช่น Cohesity, Commvault, Druva, Veritas

    คำถามที่ควรถามก่อนเลือกแพลตฟอร์ม
    ข้อมูลของเรามีอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน และสำคัญแค่ไหน
    ระบบสามารถป้องกัน ransomware ได้หรือไม่
    รองรับการกู้คืนได้เร็วแค่ไหน
    มีระบบอัตโนมัติและการทดสอบ disaster recovery หรือไม่
    มีการรายงานและวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหรือไม่
    ราคาและ ROI คุ้มค่าหรือเปล่า

    https://www.csoonline.com/article/4071098/what-to-look-for-in-a-data-protection-platform-for-hybrid-clouds.html
    🛡️ “ปกป้องข้อมูลในยุคคลาวด์ผสม – เลือกแพลตฟอร์มให้มั่นใจว่าไม่พังตอนวิกฤต” ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีข้อมูลกระจายอยู่ทั่วทุกที่—จากอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงคลาวด์หลายเจ้า ทั้ง AWS, Azure และ Google Cloud แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ransomware โจมตี หรือไฟดับจากภัยธรรมชาติ… ข้อมูลสำคัญจะยังปลอดภัยหรือไม่? นั่นคือเหตุผลที่ “แพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล” (Data Protection Platform) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ hybrid cloud ซึ่งผสมผสานระหว่างคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร บทความนี้จาก CSO Online ได้เจาะลึกว่าองค์กรควรมองหาอะไรในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล พร้อมแนวโน้มล่าสุดในตลาด และคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ตลาด Data Protection ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 136 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตถึง 610 พันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบริการแบบ DPaaS (Data Protection as a Service) ที่มาแรงสุด ๆ เพราะองค์กรไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด 🔍 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความจำเป็นของการปกป้องข้อมูลใน hybrid cloud ➡️ ข้อมูลองค์กรกระจายอยู่ในหลายระบบ ทั้ง IoT, edge, endpoint และคลาวด์ ➡️ 60% ของข้อมูลองค์กรอยู่ในคลาวด์ และ 80% ใช้ hybrid cloud ➡️ ความเสี่ยงจาก ransomware, ภัยธรรมชาติ, กฎหมายความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าผิดพลาด ✅ ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมีในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล ➡️ การค้นหาและจัดประเภทข้อมูล (Data Discovery & Classification) ➡️ การประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment) ➡️ การเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลสูญหาย (Encryption, DLP, CASB) ➡️ การตรวจสอบและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Monitoring & Analytics) ➡️ การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control) ➡️ การตรวจสอบและรายงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย (Audit & Compliance) ➡️ ความสามารถในการขยายระบบและรองรับการทำงานหนัก (Scalability & Performance) ➡️ ระบบอัตโนมัติที่ลดงานคนและเพิ่มความเร็วในการกู้คืน (Automation) ✅ แนวโน้มตลาดและผู้ให้บริการชั้นนำ ➡️ DPaaS เติบโตเร็วที่สุดในตลาด เพราะองค์กรต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องดูแลเอง ➡️ ผู้เล่นหลัก ได้แก่ AWS, Cisco, Dell, HPE, IBM ➡️ ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล เช่น Cohesity, Commvault, Druva, Veritas ✅ คำถามที่ควรถามก่อนเลือกแพลตฟอร์ม ➡️ ข้อมูลของเรามีอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน และสำคัญแค่ไหน ➡️ ระบบสามารถป้องกัน ransomware ได้หรือไม่ ➡️ รองรับการกู้คืนได้เร็วแค่ไหน ➡️ มีระบบอัตโนมัติและการทดสอบ disaster recovery หรือไม่ ➡️ มีการรายงานและวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหรือไม่ ➡️ ราคาและ ROI คุ้มค่าหรือเปล่า https://www.csoonline.com/article/4071098/what-to-look-for-in-a-data-protection-platform-for-hybrid-clouds.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What to look for in a data protection platform for hybrid clouds
    To safeguard enterprise data in hybrid cloud environments, organizations need to apply basic data security techniques such as encryption, data-loss prevention (DLP), secure web gateways (SWGs), and cloud-access security brokers (CASBs). But such security is just the start; they also need data protection beyond security.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก”

    ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน

    Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak”

    แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน

    พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน

    ระบบ Guardrails ของ OpenAI
    เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI
    ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา
    มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย

    ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ
    นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก
    เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน
    มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัย
    ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย
    องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี

    คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI
    ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง
    ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก
    ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    ความเสี่ยงในอนาคต
    หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร

    https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    📰 “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก” ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak” แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน ✅ ระบบ Guardrails ของ OpenAI ➡️ เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI ➡️ ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา ➡️ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย ✅ ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ ➡️ นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก ➡️ เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน ➡️ มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ ✅ ผลกระทบต่อความปลอดภัย ➡️ ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย ➡️ องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI ⛔ ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง ⛔ ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก ⛔ ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงในอนาคต ⛔ หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    HACKREAD.COM
    OpenAI’s Guardrails Can Be Bypassed by Simple Prompt Injection Attack
    Follow us on Blue Sky, Mastodon Twitter, Facebook and LinkedIn @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • วัส ติงสมิตร ตั้งคำถาม นักการเมือง-นักสิทธิฯ เผยแพร่ข้อกล่าวหากัมพูชา หวั่น "ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร"
    https://www.thai-tai.tv/news/21888/
    .
    #ไทยไท #วัสติงสมิตร #การทรมานทางจิตใจ #เสียงผีชายแดน #อนุสัญญาCAT #กฎหมายสิทธิมนุษยชน

    วัส ติงสมิตร ตั้งคำถาม นักการเมือง-นักสิทธิฯ เผยแพร่ข้อกล่าวหากัมพูชา หวั่น "ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร" https://www.thai-tai.tv/news/21888/ . #ไทยไท #วัสติงสมิตร #การทรมานทางจิตใจ #เสียงผีชายแดน #อนุสัญญาCAT #กฎหมายสิทธิมนุษยชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิธีทำความสะอาดหลอดไฟอย่างปลอดภัย — เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญที่คุณอาจมองข้าม”

    แม้หลอดไฟจะดูเหมือนไม่ใช่จุดที่สกปรกนัก แต่ความจริงแล้วมันเป็นหนึ่งในจุดที่ฝุ่นชอบเกาะมากที่สุดในบ้าน เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟสามารถดึงดูดฝุ่นได้เหมือนแม่เหล็ก และเนื่องจากเราไม่ค่อยสังเกตหลอดไฟจนกว่ามันจะเสีย จึงทำให้ฝุ่นสะสมโดยไม่รู้ตัว

    การทำความสะอาดหลอดไฟอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยให้แสงสว่างชัดเจนขึ้น แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงจากความร้อนสะสมอีกด้วย

    วิธีทำความสะอาดหลอดไฟ
    เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม
    ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้ง, ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ, บันได (ถ้าหลอดอยู่สูง)

    ปิดไฟและถอดปลั๊กก่อนเสมอ
    หากถอดปลั๊กไม่ได้ ให้ปิดเบรกเกอร์

    ถอดหลอดไฟออกจากโคมก่อนทำความสะอาด
    รอให้หลอดเย็นก่อนจับ

    เช็ดด้วยผ้าแห้งก่อน
    หากฝุ่นบาง ๆ จะหลุดออกง่าย

    หากยังสกปรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดเบา ๆ
    หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนส่วนโลหะของหลอด

    รอให้หลอดแห้งสนิทก่อนใส่กลับ
    เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร

    หากไม่สามารถถอดหลอดได้
    ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดขณะอยู่กับที่ โดยต้องแน่ใจว่าไฟถูกตัดแล้ว

    กรณีหลอดไฟ LED
    ทำความสะอาดภายนอกเหมือนหลอดแก้ว
    ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้งเช็ดเบา ๆ

    หากฝุ่นเข้าไปด้านใน
    ถอดฝาครอบออก (ถ้าเป็นไปได้) แล้วเช็ดภายใน

    หลีกเลี่ยงไม่ให้วงจรภายในเปียก
    หากเปียกอาจทำให้วงจรเสียหายถาวร

    หากฝาครอบปิดถาวรและมีฝุ่นภายใน
    อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนหลอดใหม่

    https://www.slashgear.com/1992170/how-to-clean-light-bulb/
    “วิธีทำความสะอาดหลอดไฟอย่างปลอดภัย — เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญที่คุณอาจมองข้าม” แม้หลอดไฟจะดูเหมือนไม่ใช่จุดที่สกปรกนัก แต่ความจริงแล้วมันเป็นหนึ่งในจุดที่ฝุ่นชอบเกาะมากที่สุดในบ้าน เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านหลอดไฟสามารถดึงดูดฝุ่นได้เหมือนแม่เหล็ก และเนื่องจากเราไม่ค่อยสังเกตหลอดไฟจนกว่ามันจะเสีย จึงทำให้ฝุ่นสะสมโดยไม่รู้ตัว การทำความสะอาดหลอดไฟอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยให้แสงสว่างชัดเจนขึ้น แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงจากความร้อนสะสมอีกด้วย 💡 วิธีทำความสะอาดหลอดไฟ ✅ เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ➡️ ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้ง, ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ, บันได (ถ้าหลอดอยู่สูง) ✅ ปิดไฟและถอดปลั๊กก่อนเสมอ ➡️ หากถอดปลั๊กไม่ได้ ให้ปิดเบรกเกอร์ ✅ ถอดหลอดไฟออกจากโคมก่อนทำความสะอาด ➡️ รอให้หลอดเย็นก่อนจับ ✅ เช็ดด้วยผ้าแห้งก่อน ➡️ หากฝุ่นบาง ๆ จะหลุดออกง่าย ✅ หากยังสกปรก ให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดเบา ๆ ➡️ หลีกเลี่ยงไม่ให้โดนส่วนโลหะของหลอด ✅ รอให้หลอดแห้งสนิทก่อนใส่กลับ ➡️ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ✅ หากไม่สามารถถอดหลอดได้ ➡️ ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดขณะอยู่กับที่ โดยต้องแน่ใจว่าไฟถูกตัดแล้ว 💡 กรณีหลอดไฟ LED ✅ ทำความสะอาดภายนอกเหมือนหลอดแก้ว ➡️ ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์แห้งเช็ดเบา ๆ ✅ หากฝุ่นเข้าไปด้านใน ➡️ ถอดฝาครอบออก (ถ้าเป็นไปได้) แล้วเช็ดภายใน ✅ หลีกเลี่ยงไม่ให้วงจรภายในเปียก ➡️ หากเปียกอาจทำให้วงจรเสียหายถาวร ✅ หากฝาครอบปิดถาวรและมีฝุ่นภายใน ➡️ อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนหลอดใหม่ https://www.slashgear.com/1992170/how-to-clean-light-bulb/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    How To Clean A Light Bulb, According To The Experts - SlashGear
    Sometimes even lightbulbs need a good cleaning. Here's everything you need to know about cleaning both filament bulbs and LED bulbs around your home.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรานซิสเตอร์ — สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”

    เมื่อพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ผลิตมากที่สุด หลายคนอาจนึกถึงล้อเกวียน, ตะปู, หรือแม้แต่ถุงเท้า แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลกคือ “ทรานซิสเตอร์” — อุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นหัวใจของอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่

    ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1947 โดย Bell Labs และมีขนาดใหญ่พอจะวางบนโต๊ะได้ แต่ปัจจุบันทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กกว่าเศษฝุ่น และถูกผลิตไปแล้วมากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัว (13 ตามด้วยศูนย์อีก 21 ตัว) ระหว่างปี 1947 ถึง 2018 ซึ่งจำนวนนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี

    ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ — เปิดหรือปิด — ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลทั้งหมด โดยทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS (Metal-Oxide Semiconductor) ที่ใช้ซิลิคอนเป็นวัสดุหลัก และมีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร เช่น 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm ในบางกรณี

    ในคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องอาจมีทรานซิสเตอร์หลายพันล้านตัว เช่น CPU รุ่นใหม่ของ Intel มีมากถึง 40 พันล้านตัว ขณะที่ชิปในปี 1971 มีเพียง 2,300 ตัวเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการผลิต

    แม้ขนาดของทรานซิสเตอร์จะใกล้เคียงกับอะตอมของซิลิคอน (0.2 nm) ซึ่งเป็นขีดจำกัดทางฟิสิกส์ แต่ยังมีความหวังในการใช้วัสดุใหม่ เช่น ทรานซิสเตอร์แบบ 2D หรือวัสดุเหนือธรรมดาอื่น ๆ เพื่อผลักดันขีดจำกัดนี้ให้ไกลออกไป

    อย่างไรก็ตาม หากโลกเปลี่ยนไปใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งอย่างเต็มรูปแบบ ทรานซิสเตอร์อาจถูกแทนที่ด้วย “คิวบิต” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกันได้ — และนั่นอาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทรานซิสเตอร์ที่ครองโลกมายาวนานกว่า 75 ปี

    ทรานซิสเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลก
    มากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัวระหว่างปี 1947–2018

    ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างโดย Bell Labs ในปี 1947
    เป็นแบบ point-contact transistor ขนาดใหญ่

    ทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS ที่ใช้ซิลิคอน
    มีขนาดเล็กระดับ 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm

    CPU รุ่นใหม่มีทรานซิสเตอร์มากถึง 40 พันล้านตัว
    เทียบกับชิป Intel ปี 1971 ที่มีเพียง 2,300 ตัว

    ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ
    เป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองในคอมพิวเตอร์

    มีความพยายามพัฒนา 2D transistors และวัสดุใหม่
    เพื่อผลักดันขีดจำกัดของขนาดและประสิทธิภาพ

    คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดใช้ทรานซิสเตอร์
    เช่น CPU, RAM, GPU, SSD

    https://www.slashgear.com/1992406/about-most-produced-invention-in-the-world-transistors/
    🔌 “ทรานซิสเตอร์ — สิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” เมื่อพูดถึงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์ผลิตมากที่สุด หลายคนอาจนึกถึงล้อเกวียน, ตะปู, หรือแม้แต่ถุงเท้า แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลกคือ “ทรานซิสเตอร์” — อุปกรณ์ขนาดเล็กที่เป็นหัวใจของอิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1947 โดย Bell Labs และมีขนาดใหญ่พอจะวางบนโต๊ะได้ แต่ปัจจุบันทรานซิสเตอร์มีขนาดเล็กกว่าเศษฝุ่น และถูกผลิตไปแล้วมากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัว (13 ตามด้วยศูนย์อีก 21 ตัว) ระหว่างปี 1947 ถึง 2018 ซึ่งจำนวนนี้ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกปี ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ — เปิดหรือปิด — ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ดิจิทัลทั้งหมด โดยทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS (Metal-Oxide Semiconductor) ที่ใช้ซิลิคอนเป็นวัสดุหลัก และมีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร เช่น 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm ในบางกรณี ในคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องอาจมีทรานซิสเตอร์หลายพันล้านตัว เช่น CPU รุ่นใหม่ของ Intel มีมากถึง 40 พันล้านตัว ขณะที่ชิปในปี 1971 มีเพียง 2,300 ตัวเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีการผลิต แม้ขนาดของทรานซิสเตอร์จะใกล้เคียงกับอะตอมของซิลิคอน (0.2 nm) ซึ่งเป็นขีดจำกัดทางฟิสิกส์ แต่ยังมีความหวังในการใช้วัสดุใหม่ เช่น ทรานซิสเตอร์แบบ 2D หรือวัสดุเหนือธรรมดาอื่น ๆ เพื่อผลักดันขีดจำกัดนี้ให้ไกลออกไป อย่างไรก็ตาม หากโลกเปลี่ยนไปใช้ควอนตัมคอมพิวติ้งอย่างเต็มรูปแบบ ทรานซิสเตอร์อาจถูกแทนที่ด้วย “คิวบิต” ซึ่งเป็นหน่วยข้อมูลที่สามารถอยู่ในหลายสถานะพร้อมกันได้ — และนั่นอาจเป็นจุดสิ้นสุดของยุคทรานซิสเตอร์ที่ครองโลกมายาวนานกว่า 75 ปี ✅ ทรานซิสเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกผลิตมากที่สุดในโลก ➡️ มากกว่า 13 เซ็กทิลเลียนตัวระหว่างปี 1947–2018 ✅ ทรานซิสเตอร์ตัวแรกถูกสร้างโดย Bell Labs ในปี 1947 ➡️ เป็นแบบ point-contact transistor ขนาดใหญ่ ✅ ทรานซิสเตอร์สมัยใหม่เป็นแบบ MOS ที่ใช้ซิลิคอน ➡️ มีขนาดเล็กระดับ 3–5 nm หรือแม้แต่ 1 nm ✅ CPU รุ่นใหม่มีทรานซิสเตอร์มากถึง 40 พันล้านตัว ➡️ เทียบกับชิป Intel ปี 1971 ที่มีเพียง 2,300 ตัว ✅ ทรานซิสเตอร์ทำหน้าที่เป็นสวิตช์สองสถานะ ➡️ เป็นพื้นฐานของระบบเลขฐานสองในคอมพิวเตอร์ ✅ มีความพยายามพัฒนา 2D transistors และวัสดุใหม่ ➡️ เพื่อผลักดันขีดจำกัดของขนาดและประสิทธิภาพ ✅ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิดใช้ทรานซิสเตอร์ ➡️ เช่น CPU, RAM, GPU, SSD https://www.slashgear.com/1992406/about-most-produced-invention-in-the-world-transistors/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Most Mass-Produced Invention In The World Isn't What You Think - SlashGear
    The humble transistor - smaller than a speck of dust — has been made more than any other invention in history, powering nearly all modern electronics.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Firefox 144 มาแล้ว! ปรับปรุง PiP, เสริมความปลอดภัย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพียบทั้งบนเว็บและมือถือ”

    Mozilla ได้ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจทั้งด้านความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย และการสนับสนุนนักพัฒนาเว็บ โดยเฉพาะการปรับปรุงฟีเจอร์ Picture-in-Picture (PiP) ที่ให้ผู้ใช้สามารถปิดหน้าต่างวิดีโอแบบลอยได้โดยไม่หยุดเล่นวิดีโอ ด้วยการกด Shift + Click หรือ Shift + Esc

    นอกจากนี้ Firefox 144 ยังอัปเดตปุ่ม Firefox Account บนแถบเครื่องมือให้แสดงคำว่า “Sign In” ชัดเจนขึ้น และปรับปรุงระบบเข้ารหัสรหัสผ่านใน Password Manager จาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC เพื่อความปลอดภัยที่ทันสมัยยิ่งขึ้น

    สำหรับผู้ใช้ Android จะเห็นแบนเนอร์แปลภาษาใหม่ และมีการลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing” ออกไป ส่วนผู้ใช้ Windows จะเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของการเปิดลิงก์จากแอปอื่นให้เปิดใน virtual desktop เดียวกัน

    ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อ 13 ตุลาคม 2025
    พร้อม Firefox 140.4 และ 115.29.0 ESR

    ปรับปรุง Picture-in-Picture (PiP)
    ปิดหน้าต่าง PiP โดยไม่หยุดวิดีโอด้วย Shift + Click หรือ Shift + Esc

    ปรับปรุงปุ่ม Firefox Account บน toolbar
    แสดงคำว่า “Sign In” ถัดจากไอคอน

    เสริมความปลอดภัยใน Password Manager
    เปลี่ยนการเข้ารหัสจาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC

    สำหรับ Android:
    เพิ่มแบนเนอร์แปลภาษา
    ลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing”

    สำหรับ Windows:
    เปิดลิงก์จากแอปอื่นใน virtual desktop เดียวกัน

    สำหรับนักพัฒนาเว็บ:
    รองรับ Element.moveBefore API
    รองรับ math-shift compact
    รองรับ PerformanceEventTiming.interactionId
    รองรับ command และ commandfor attributes
    รองรับ View Transition API Level 1
    รองรับ resizeMode ใน getUserMedia
    รองรับ worker transfer สำหรับ RTCDataChannel
    รองรับ upsert proposal (getOrInsert, getOrInsertComputed)
    รองรับ WebGPU GPUDevice.importExternalTexture (Windows)
    รองรับ lock() และ unlock() ของ ScreenOrientation (Windows/Android)
    รองรับ dithering สำหรับ gradients บน WebRender
    เพิ่ม batch-encoding path ให้ VideoEncoder ใน WebCodecs (Windows)
    ปรับปรุง tooltip ใน Inspector ให้แสดง badge สำหรับ custom events

    https://9to5linux.com/firefox-144-is-now-available-for-download-this-is-whats-new
    🦊 “Firefox 144 มาแล้ว! ปรับปรุง PiP, เสริมความปลอดภัย และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพียบทั้งบนเว็บและมือถือ” Mozilla ได้ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจทั้งด้านความสะดวกในการใช้งาน ความปลอดภัย และการสนับสนุนนักพัฒนาเว็บ โดยเฉพาะการปรับปรุงฟีเจอร์ Picture-in-Picture (PiP) ที่ให้ผู้ใช้สามารถปิดหน้าต่างวิดีโอแบบลอยได้โดยไม่หยุดเล่นวิดีโอ ด้วยการกด Shift + Click หรือ Shift + Esc นอกจากนี้ Firefox 144 ยังอัปเดตปุ่ม Firefox Account บนแถบเครื่องมือให้แสดงคำว่า “Sign In” ชัดเจนขึ้น และปรับปรุงระบบเข้ารหัสรหัสผ่านใน Password Manager จาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC เพื่อความปลอดภัยที่ทันสมัยยิ่งขึ้น สำหรับผู้ใช้ Android จะเห็นแบนเนอร์แปลภาษาใหม่ และมีการลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing” ออกไป ส่วนผู้ใช้ Windows จะเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของการเปิดลิงก์จากแอปอื่นให้เปิดใน virtual desktop เดียวกัน ✅ ปล่อย Firefox 144 อย่างเป็นทางการเมื่อ 13 ตุลาคม 2025 ➡️ พร้อม Firefox 140.4 และ 115.29.0 ESR ✅ ปรับปรุง Picture-in-Picture (PiP) ➡️ ปิดหน้าต่าง PiP โดยไม่หยุดวิดีโอด้วย Shift + Click หรือ Shift + Esc ✅ ปรับปรุงปุ่ม Firefox Account บน toolbar ➡️ แสดงคำว่า “Sign In” ถัดจากไอคอน ✅ เสริมความปลอดภัยใน Password Manager ➡️ เปลี่ยนการเข้ารหัสจาก 3DES-CBC เป็น AES-256-CBC ✅ สำหรับ Android: ➡️ เพิ่มแบนเนอร์แปลภาษา ➡️ ลบตัวเลือก “Allow screenshots in private browsing” ✅ สำหรับ Windows: ➡️ เปิดลิงก์จากแอปอื่นใน virtual desktop เดียวกัน ✅ สำหรับนักพัฒนาเว็บ: ➡️ รองรับ Element.moveBefore API ➡️ รองรับ math-shift compact ➡️ รองรับ PerformanceEventTiming.interactionId ➡️ รองรับ command และ commandfor attributes ➡️ รองรับ View Transition API Level 1 ➡️ รองรับ resizeMode ใน getUserMedia ➡️ รองรับ worker transfer สำหรับ RTCDataChannel ➡️ รองรับ upsert proposal (getOrInsert, getOrInsertComputed) ➡️ รองรับ WebGPU GPUDevice.importExternalTexture (Windows) ➡️ รองรับ lock() และ unlock() ของ ScreenOrientation (Windows/Android) ➡️ รองรับ dithering สำหรับ gradients บน WebRender ➡️ เพิ่ม batch-encoding path ให้ VideoEncoder ใน WebCodecs (Windows) ➡️ ปรับปรุง tooltip ใน Inspector ให้แสดง badge สำหรับ custom events https://9to5linux.com/firefox-144-is-now-available-for-download-this-is-whats-new
    9TO5LINUX.COM
    Firefox 144 Is Now Available for Download, This Is What’s New - 9to5Linux
    Firefox 144 open-source web browser is now available for download with various new features and improvements. Here's what's new!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเกรด LMDE 6 เป็น LMDE 7 ง่าย ๆ ไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ — พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Debian 13 และ Cinnamon 6.4”

    Linux Mint Debian Edition (LMDE) 7 “Gigi” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยอิงจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อม Linux kernel 6.12 LTS รวมถึง Cinnamon 6.4.13 ที่มีฟีเจอร์ใหม่อย่างการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ, ธีมใหม่ และการปรับปรุงการใช้งาน Wayland

    ผู้ใช้ LMDE 6 “Faye” ซึ่งอิงจาก Debian 12 “Bookworm” สามารถอัปเกรดเป็น LMDE 7 ได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่ใช้เครื่องมือ mintupgrade ที่มีอยู่ในระบบ

    ขั้นตอนการอัปเกรดมีดังนี้:

    1️⃣ อัปเดตระบบให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วยคำสั่ง: sudo apt update && sudo apt full-upgrade
    2️⃣ ติดตั้งเครื่องมือ mintupgrade: sudo apt install mintupgrade -y
    3️⃣ เริ่มกระบวนการอัปเกรด: sudo mintupgrade

    เครื่องมือจะตรวจสอบระบบ, ตั้งค่าคลังซอฟต์แวร์ใหม่, ดาวน์โหลดแพ็กเกจ, จำลองการอัปเกรด และติดตั้งแพ็กเกจใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นจะลบแพ็กเกจที่ไม่ได้ใช้งาน และขอให้ผู้ใช้รีบูตเครื่องเพื่อใช้งาน LMDE 7 ได้ทันที

    ควรอัปเดตระบบให้สมบูรณ์ก่อนเริ่มอัปเกรด
    หากไม่อัปเดต อาจเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการอัปเกรด

    ควรมี snapshot ระบบก่อนเริ่มอัปเกรด
    เพื่อย้อนกลับได้หากเกิดปัญหา

    กระบวนการอัปเกรดอาจใช้เวลานาน
    ควรเตรียมเวลาและไม่ใช้เครื่องระหว่างอัปเกรด

    อย่าปิดเครื่องหรือขัดจังหวะระหว่างการอัปเกรด
    อาจทำให้ระบบเสียหายหรือบูตไม่ขึ้น

    https://9to5linux.com/how-to-upgrade-lmde-6-to-lmde-7
    🧭 “อัปเกรด LMDE 6 เป็น LMDE 7 ง่าย ๆ ไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ — พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Debian 13 และ Cinnamon 6.4” Linux Mint Debian Edition (LMDE) 7 “Gigi” ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยอิงจาก Debian 13 “Trixie” และมาพร้อม Linux kernel 6.12 LTS รวมถึง Cinnamon 6.4.13 ที่มีฟีเจอร์ใหม่อย่างการยืนยันตัวตนด้วยลายนิ้วมือ, ธีมใหม่ และการปรับปรุงการใช้งาน Wayland ผู้ใช้ LMDE 6 “Faye” ซึ่งอิงจาก Debian 12 “Bookworm” สามารถอัปเกรดเป็น LMDE 7 ได้ทันทีโดยไม่ต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ เพียงแค่ใช้เครื่องมือ mintupgrade ที่มีอยู่ในระบบ ขั้นตอนการอัปเกรดมีดังนี้: 1️⃣ อัปเดตระบบให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดด้วยคำสั่ง: sudo apt update && sudo apt full-upgrade 2️⃣ ติดตั้งเครื่องมือ mintupgrade: sudo apt install mintupgrade -y 3️⃣ เริ่มกระบวนการอัปเกรด: sudo mintupgrade เครื่องมือจะตรวจสอบระบบ, ตั้งค่าคลังซอฟต์แวร์ใหม่, ดาวน์โหลดแพ็กเกจ, จำลองการอัปเกรด และติดตั้งแพ็กเกจใหม่ทั้งหมด หลังจากนั้นจะลบแพ็กเกจที่ไม่ได้ใช้งาน และขอให้ผู้ใช้รีบูตเครื่องเพื่อใช้งาน LMDE 7 ได้ทันที ‼️ ควรอัปเดตระบบให้สมบูรณ์ก่อนเริ่มอัปเกรด ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเกิดข้อผิดพลาดระหว่างการอัปเกรด ‼️ ควรมี snapshot ระบบก่อนเริ่มอัปเกรด ⛔ เพื่อย้อนกลับได้หากเกิดปัญหา ‼️ กระบวนการอัปเกรดอาจใช้เวลานาน ⛔ ควรเตรียมเวลาและไม่ใช้เครื่องระหว่างอัปเกรด ‼️ อย่าปิดเครื่องหรือขัดจังหวะระหว่างการอัปเกรด ⛔ อาจทำให้ระบบเสียหายหรือบูตไม่ขึ้น https://9to5linux.com/how-to-upgrade-lmde-6-to-lmde-7
    9TO5LINUX.COM
    How to Upgrade LMDE 6 to LMDE 7 - 9to5Linux
    A quick and painless tutorial on how to upgrade your Linux Mint Debian Edition (LMDE) 6 installations to Linux Mint Debian Edition (LMDE) 7.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ส่งต่อความห่วงใย มอบสิ่งของจำเป็นแก่ทหารแนวชายแดนสุรินทร์
    https://www.thai-tai.tv/news/21887/
    .
    #ไทยไท #มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ #สนับสนุนทหาร #ชายแดนไทยกัมพูชา #พนมดงรัก #ความมั่นคง

    มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ส่งต่อความห่วงใย มอบสิ่งของจำเป็นแก่ทหารแนวชายแดนสุรินทร์ https://www.thai-tai.tv/news/21887/ . #ไทยไท #มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ #สนับสนุนทหาร #ชายแดนไทยกัมพูชา #พนมดงรัก #ความมั่นคง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว”

    บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม

    Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้

    Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino

    Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์
    โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด

    ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด
    ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย

    เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด
    เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card

    Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้
    ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้

    ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง
    ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง

    การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง
    เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino

    Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด
    ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี

    Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน
    ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง
    เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้

    อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว
    เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร

    ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้

    การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์
    แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด

    การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้
    เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต

    https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    🧠 “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว” บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้ Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino ✅ Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์ ➡️ โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด ✅ ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด ➡️ ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย ✅ เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด ➡️ เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card ✅ Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้ ✅ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง ➡️ ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง ✅ การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง ➡️ เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino ✅ Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด ➡️ ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี ✅ Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน ➡️ ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง ⛔ เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้ ‼️ อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว ⛔ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร ‼️ ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้ ‼️ การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์ ⛔ แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด ‼️ การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้ ⛔ เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • “pdfly: เครื่องมือสารพัดประโยชน์สำหรับจัดการไฟล์ PDF — จาก CLI สู่การเซ็นเอกสารและสร้าง booklet ได้ในคำสั่งเดียว”

    pdfly คือโปรเจกต์ใหม่ล่าสุดจากองค์กร py-pdf ที่เปิดตัวในปี 2022 โดย Martin Thoma เป็นเครื่องมือแบบ CLI (Command Line Interface) ที่เขียนด้วยภาษา Python โดยอิงจากไลบรารี fpdf2 และ pypdf จุดเด่นของ pdfly คือความสามารถในการจัดการไฟล์ PDF ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การดู metadata ไปจนถึงการเซ็นเอกสารและสร้าง booklet

    ในเวอร์ชันล่าสุด 0.5.0 ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 มีฟีเจอร์ใหม่หลายอย่างที่เกิดจากการร่วมพัฒนาของนักพัฒนาผ่านกิจกรรม Hacktoberfest เช่น:

    pdfly sign สำหรับเซ็นเอกสาร PDF
    pdfly check-sign สำหรับตรวจสอบลายเซ็น
    pdfly extract-annotated-pages สำหรับดึงเฉพาะหน้าที่มี annotation
    pdfly rotate สำหรับหมุนหน้าต่าง ๆ ในเอกสาร

    นอกจากนี้ pdfly ยังสามารถรวมไฟล์ PDF (pdfly cat), ลบหน้า (pdfly rm), แปลงภาพเป็น PDF (pdfly x2pdf), บีบอัดไฟล์ (pdfly compress), สร้าง booklet (pdfly booklet) และแก้ไข xref table ที่เสียหายจากการแก้ไขด้วย text editor (pdfly update-offsets) ได้อีกด้วย

    https://chezsoi.org/lucas/blog/spotlight-on-pdfly.html
    📄 “pdfly: เครื่องมือสารพัดประโยชน์สำหรับจัดการไฟล์ PDF — จาก CLI สู่การเซ็นเอกสารและสร้าง booklet ได้ในคำสั่งเดียว” pdfly คือโปรเจกต์ใหม่ล่าสุดจากองค์กร py-pdf ที่เปิดตัวในปี 2022 โดย Martin Thoma เป็นเครื่องมือแบบ CLI (Command Line Interface) ที่เขียนด้วยภาษา Python โดยอิงจากไลบรารี fpdf2 และ pypdf จุดเด่นของ pdfly คือความสามารถในการจัดการไฟล์ PDF ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การดู metadata ไปจนถึงการเซ็นเอกสารและสร้าง booklet ในเวอร์ชันล่าสุด 0.5.0 ซึ่งเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 มีฟีเจอร์ใหม่หลายอย่างที่เกิดจากการร่วมพัฒนาของนักพัฒนาผ่านกิจกรรม Hacktoberfest เช่น: ✒️ pdfly sign สำหรับเซ็นเอกสาร PDF ✒️ pdfly check-sign สำหรับตรวจสอบลายเซ็น ✒️ pdfly extract-annotated-pages สำหรับดึงเฉพาะหน้าที่มี annotation ✒️ pdfly rotate สำหรับหมุนหน้าต่าง ๆ ในเอกสาร นอกจากนี้ pdfly ยังสามารถรวมไฟล์ PDF (pdfly cat), ลบหน้า (pdfly rm), แปลงภาพเป็น PDF (pdfly x2pdf), บีบอัดไฟล์ (pdfly compress), สร้าง booklet (pdfly booklet) และแก้ไข xref table ที่เสียหายจากการแก้ไขด้วย text editor (pdfly update-offsets) ได้อีกด้วย https://chezsoi.org/lucas/blog/spotlight-on-pdfly.html
    CHEZSOI.ORG
    Spotlight on pdfly, the Swiss Army knife for PDF files
    Project documentation: pdfly.readthedocs.io pdfly is the youngest project of the py-pdf organization. It has been created by Martin Thoma in 2022. It's simply a CLI tool to manipulate PDF files, written in Python and based on the fpdf2 & pypdf libraries. I'm a maintainer of the project 🙂 What can …
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia — ปกป้องเทคโนโลยีชิปจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์”

    เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยการเข้าควบคุมกิจการของ Nexperia บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่มีฐานอยู่ในประเทศ แต่เป็นบริษัทลูกของ Wingtech Technology จากจีน โดยอ้างอำนาจตามกฎหมาย Goods Availability Act เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจำเป็น เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์ ขาดแคลนในกรณีฉุกเฉิน

    การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยระดับชาติ

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่ามี “สัญญาณล่าสุดและเฉียบพลัน” เกี่ยวกับปัญหาการกำกับดูแลภายใน Nexperia ที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของเทคโนโลยีสำคัญในยุโรป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งพึ่งพาชิปจาก Nexperia อย่างมาก

    หลังคำสั่งรัฐมนตรี Wingtech ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่าผู้บริหารระดับสูงของ Nexperia ถูกสั่งพักงาน และบริษัทจะอยู่ภายใต้การบริหารภายนอกชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี พร้อมระงับการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินและบุคลากร

    แม้ Nexperia จะยืนยันว่าบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ แต่โพสต์ที่ถูกลบของ Wingtech ใน WeChat ระบุว่าการยึดกิจการครั้งนี้เป็น “การแทรกแซงเกินขอบเขตโดยอคติทางภูมิรัฐศาสตร์” ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของจีนอย่างชัดเจน

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมาย Goods Availability Act ควบคุม Nexperia
    เพื่อป้องกันการขาดแคลนชิปในกรณีฉุกเฉิน

    Nexperia เป็นบริษัทลูกของ Wingtech Technology จากจีน
    มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

    มีสัญญาณปัญหาการกำกับดูแลภายใน Nexperia
    อาจกระทบต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของยุโรป

    Wingtech รายงานว่าผู้บริหาร Nexperia ถูกสั่งพักงาน
    บริษัทอยู่ภายใต้การบริหารภายนอกชั่วคราว 1 ปี

    รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่าเป็น “การดำเนินการที่พิเศษมาก”
    สะท้อนความสำคัญของเทคโนโลยีชิปต่อเศรษฐกิจ

    Wingtech แสดงความไม่พอใจผ่านโพสต์ใน WeChat
    มองว่าเป็นการแทรกแซงด้วยอคติทางภูมิรัฐศาสตร์

    Nexperia ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมายทุกประเทศ
    ยังไม่มีแถลงการณ์เพิ่มเติมจากบริษัท

    https://www.cnbc.com/2025/10/13/dutch-government-takes-control-of-chinese-owned-chipmaker-nexperia.html
    🇳🇱 “รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดกิจการ Nexperia — ปกป้องเทคโนโลยีชิปจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์” เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2025 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้วยการเข้าควบคุมกิจการของ Nexperia บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่มีฐานอยู่ในประเทศ แต่เป็นบริษัทลูกของ Wingtech Technology จากจีน โดยอ้างอำนาจตามกฎหมาย Goods Availability Act เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าจำเป็น เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์ ขาดแคลนในกรณีฉุกเฉิน การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับชาติตะวันตก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความปลอดภัยระดับชาติ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่ามี “สัญญาณล่าสุดและเฉียบพลัน” เกี่ยวกับปัญหาการกำกับดูแลภายใน Nexperia ที่อาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของเทคโนโลยีสำคัญในยุโรป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งพึ่งพาชิปจาก Nexperia อย่างมาก หลังคำสั่งรัฐมนตรี Wingtech ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่าผู้บริหารระดับสูงของ Nexperia ถูกสั่งพักงาน และบริษัทจะอยู่ภายใต้การบริหารภายนอกชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี พร้อมระงับการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินและบุคลากร แม้ Nexperia จะยืนยันว่าบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายทุกประเทศที่ดำเนินธุรกิจ แต่โพสต์ที่ถูกลบของ Wingtech ใน WeChat ระบุว่าการยึดกิจการครั้งนี้เป็น “การแทรกแซงเกินขอบเขตโดยอคติทางภูมิรัฐศาสตร์” ซึ่งสะท้อนความไม่พอใจของจีนอย่างชัดเจน ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมาย Goods Availability Act ควบคุม Nexperia ➡️ เพื่อป้องกันการขาดแคลนชิปในกรณีฉุกเฉิน ✅ Nexperia เป็นบริษัทลูกของ Wingtech Technology จากจีน ➡️ มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ✅ มีสัญญาณปัญหาการกำกับดูแลภายใน Nexperia ➡️ อาจกระทบต่อความมั่นคงทางเทคโนโลยีของยุโรป ✅ Wingtech รายงานว่าผู้บริหาร Nexperia ถูกสั่งพักงาน ➡️ บริษัทอยู่ภายใต้การบริหารภายนอกชั่วคราว 1 ปี ✅ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ระบุว่าเป็น “การดำเนินการที่พิเศษมาก” ➡️ สะท้อนความสำคัญของเทคโนโลยีชิปต่อเศรษฐกิจ ✅ Wingtech แสดงความไม่พอใจผ่านโพสต์ใน WeChat ➡️ มองว่าเป็นการแทรกแซงด้วยอคติทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ Nexperia ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมายทุกประเทศ ➡️ ยังไม่มีแถลงการณ์เพิ่มเติมจากบริษัท https://www.cnbc.com/2025/10/13/dutch-government-takes-control-of-chinese-owned-chipmaker-nexperia.html
    WWW.CNBC.COM
    Dutch government takes control of Chinese-owned chipmaker Nexperia in 'highly exceptional' move
    The Dutch government has invoked the Goods Availability Act to take control of Nexperia, a Chinese-owned semiconductor maker based in the Netherlands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “อัปเดตซอฟต์แวร์ทำ Jeep 4xe บางคันดับกลางทาง — Stellantis เร่งแก้ไขหลังเกิดปัญหา”

    ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าของรถ Jeep Wrangler 4xe hybrid หลายรายพบว่ารถของตนไม่สามารถใช้งานได้หลังจากติดตั้งอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA (Over-the-Air) สำหรับระบบ Uconnect infotainment ซึ่งถูกปล่อยออกมาโดย Stellantis แต่ยังไม่พร้อมใช้งานเต็มที่ ส่งผลให้รถสูญเสียพลังงานขณะขับขี่และกลายเป็นรถเสียกลางทาง.

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดทันทีหลังการอัปเดต แต่จะเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ ซึ่งอันตรายมาก โดยบางรายพบปัญหาใกล้บ้านที่ความเร็วต่ำ ขณะที่บางรายเจอการดับเครื่องยนต์ขณะขับบนทางหลวง

    หลังจากมีรายงานปัญหา Stellantis ได้ถอนการอัปเดตออกทันที แต่หลายคันได้ดาวน์โหลดไว้แล้วก่อนหน้านั้น ทีมงานของ Stellantis ได้แจ้งในฟอรัม Jeep ว่า หากยังไม่ได้ติดตั้งอัปเดต ให้ “เพิกเฉยต่อป๊อปอัป” และหากติดตั้งไปแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid หรือ electric เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม

    เมื่อวานนี้ Stellantis ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยบทเรียนสำคัญคือ “อย่าปล่อยอัปเดตในวันศุกร์” ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมสนับสนุนอาจไม่พร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปัญหาเกิดจากอัปเดต OTA สำหรับระบบ Uconnect
    รถดับกลางทางหลังติดตั้งอัปเดต โดยเฉพาะในโหมด hybrid/electric
    Stellantis ถอนอัปเดตและแนะนำให้หลีกเลี่ยงการติดตั้ง
    แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid/electric หากติดตั้งไปแล้ว
    แพตช์แก้ไขถูกปล่อยออกในวันถัดมา
    ผู้ใช้รายงานปัญหาผ่าน Reddit, ฟอรัม และ YouTube

    https://arstechnica.com/cars/2025/10/software-update-bricks-some-jeep-4xe-hybrids-over-the-weekend/
    🛠️ “อัปเดตซอฟต์แวร์ทำ Jeep 4xe บางคันดับกลางทาง — Stellantis เร่งแก้ไขหลังเกิดปัญหา” ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าของรถ Jeep Wrangler 4xe hybrid หลายรายพบว่ารถของตนไม่สามารถใช้งานได้หลังจากติดตั้งอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ OTA (Over-the-Air) สำหรับระบบ Uconnect infotainment ซึ่งถูกปล่อยออกมาโดย Stellantis แต่ยังไม่พร้อมใช้งานเต็มที่ ส่งผลให้รถสูญเสียพลังงานขณะขับขี่และกลายเป็นรถเสียกลางทาง. ปัญหานี้ไม่ได้เกิดทันทีหลังการอัปเดต แต่จะเกิดขึ้นระหว่างการขับขี่ ซึ่งอันตรายมาก โดยบางรายพบปัญหาใกล้บ้านที่ความเร็วต่ำ ขณะที่บางรายเจอการดับเครื่องยนต์ขณะขับบนทางหลวง หลังจากมีรายงานปัญหา Stellantis ได้ถอนการอัปเดตออกทันที แต่หลายคันได้ดาวน์โหลดไว้แล้วก่อนหน้านั้น ทีมงานของ Stellantis ได้แจ้งในฟอรัม Jeep ว่า หากยังไม่ได้ติดตั้งอัปเดต ให้ “เพิกเฉยต่อป๊อปอัป” และหากติดตั้งไปแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid หรือ electric เพื่อป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ Stellantis ได้ปล่อยแพตช์แก้ไขเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยบทเรียนสำคัญคือ “อย่าปล่อยอัปเดตในวันศุกร์” ซึ่งเป็นช่วงที่ทีมสนับสนุนอาจไม่พร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปัญหาเกิดจากอัปเดต OTA สำหรับระบบ Uconnect ➡️ รถดับกลางทางหลังติดตั้งอัปเดต โดยเฉพาะในโหมด hybrid/electric ➡️ Stellantis ถอนอัปเดตและแนะนำให้หลีกเลี่ยงการติดตั้ง ➡️ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้โหมด hybrid/electric หากติดตั้งไปแล้ว ➡️ แพตช์แก้ไขถูกปล่อยออกในวันถัดมา ➡️ ผู้ใช้รายงานปัญหาผ่าน Reddit, ฟอรัม และ YouTube https://arstechnica.com/cars/2025/10/software-update-bricks-some-jeep-4xe-hybrids-over-the-weekend/
    ARSTECHNICA.COM
    Software update bricks some Jeep 4xe hybrids over the weekend
    Jeep has pulled the update; owners are advised to ignore it if it already downloaded.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Framework สปอนเซอร์ Hyprland จุดชนวนดราม่า — ชุมชนลินุกซ์ถกเดือดเรื่องอุดมการณ์และการเมือง”

    Framework ผู้ผลิตแล็ปท็อปแบบโมดูลาร์ชื่อดัง ประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ว่าได้เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland ซึ่งเป็น Wayland compositor ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ลินุกซ์สายปรับแต่งหน้าตา โดยข่าวนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับการเข้าร่วม Linux Foundation และการเป็นผู้สนับสนุนรายแรกของ Linux Vendor Firmware Service (LVFS)

    อย่างไรก็ตาม การสนับสนุน Hyprland กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนโอเพ่นซอร์ส เนื่องจาก Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการจัดการ moderation ใน Discord ของโครงการ ซึ่งทำให้หลายคนมองว่า Hyprland มีแนวโน้มสนับสนุนแนวคิดฝ่ายขวา และไม่เป็นมิตรกับผู้มีแนวคิดเสรีนิยม

    กระแสยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อ Framework โพสต์บน X (Twitter) เปรียบเทียบ Omarchy Linux ซึ่งสร้างโดย David Heinemeier Hansson (DHH) กับ Windows XP ในเชิงขำขัน โดย DHH เป็นบุคคลที่มีแนวคิดขวาชัดเจนและเคยวิจารณ์แนวคิดเสรีนิยมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ใช้บางส่วนมองว่า Framework กำลังสนับสนุนบุคคลและโครงการที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด

    ผลคือเกิดกระทู้ในฟอรัมของ Framework ชื่อ “Framework supporting far-right racists?” ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดกว่า 1,300 ความเห็น โดย CEO ของ Framework, Nirav Patel ได้ออกมาตอบว่า บริษัทมีแนวทาง “big tent” ที่เปิดรับทุกโครงการโอเพ่นซอร์สโดยไม่พิจารณาแนวคิดทางการเมืองของผู้พัฒนา เพราะเป้าหมายคือการผลักดันโอเพ่นซอร์สให้เติบโต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Framework เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland
    Hyprland เป็น Wayland compositor ที่เน้นความสวยงามและปรับแต่งได้
    Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org
    Framework เข้าร่วม Linux Foundation และสนับสนุน LVFS
    Framework โพสต์สนับสนุน Omarchy Linux ของ DHH
    DHH มีแนวคิดการเมืองขวาชัดเจน
    เกิดกระทู้ “Framework supporting far-right racists?” ในฟอรัม
    CEO Framework ตอบว่าแนวทางบริษัทคือ “big tent” ไม่เลือกข้างการเมือง
    ฟอรัมมีการถกเถียงกว่า 1,300 ความเห็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Big tent” เป็นแนวคิดที่เปิดรับความหลากหลายเพื่อสร้างความร่วมมือ
    LVFS เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ปล่อย firmware ผ่านระบบลินุกซ์
    Hyprland ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Arch และผู้ชอบปรับแต่ง UI
    DHH เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ruby on Rails และมีบทบาทในวงการซอฟต์แวร์
    การเมืองในวงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลัง

    https://news.itsfoss.com/framework-hyprland-sponsorship/
    💻 “Framework สปอนเซอร์ Hyprland จุดชนวนดราม่า — ชุมชนลินุกซ์ถกเดือดเรื่องอุดมการณ์และการเมือง” Framework ผู้ผลิตแล็ปท็อปแบบโมดูลาร์ชื่อดัง ประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ว่าได้เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland ซึ่งเป็น Wayland compositor ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ลินุกซ์สายปรับแต่งหน้าตา โดยข่าวนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับการเข้าร่วม Linux Foundation และการเป็นผู้สนับสนุนรายแรกของ Linux Vendor Firmware Service (LVFS) อย่างไรก็ตาม การสนับสนุน Hyprland กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนโอเพ่นซอร์ส เนื่องจาก Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการจัดการ moderation ใน Discord ของโครงการ ซึ่งทำให้หลายคนมองว่า Hyprland มีแนวโน้มสนับสนุนแนวคิดฝ่ายขวา และไม่เป็นมิตรกับผู้มีแนวคิดเสรีนิยม กระแสยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อ Framework โพสต์บน X (Twitter) เปรียบเทียบ Omarchy Linux ซึ่งสร้างโดย David Heinemeier Hansson (DHH) กับ Windows XP ในเชิงขำขัน โดย DHH เป็นบุคคลที่มีแนวคิดขวาชัดเจนและเคยวิจารณ์แนวคิดเสรีนิยมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ใช้บางส่วนมองว่า Framework กำลังสนับสนุนบุคคลและโครงการที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด ผลคือเกิดกระทู้ในฟอรัมของ Framework ชื่อ “Framework supporting far-right racists?” ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดกว่า 1,300 ความเห็น โดย CEO ของ Framework, Nirav Patel ได้ออกมาตอบว่า บริษัทมีแนวทาง “big tent” ที่เปิดรับทุกโครงการโอเพ่นซอร์สโดยไม่พิจารณาแนวคิดทางการเมืองของผู้พัฒนา เพราะเป้าหมายคือการผลักดันโอเพ่นซอร์สให้เติบโต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Framework เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland ➡️ Hyprland เป็น Wayland compositor ที่เน้นความสวยงามและปรับแต่งได้ ➡️ Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org ➡️ Framework เข้าร่วม Linux Foundation และสนับสนุน LVFS ➡️ Framework โพสต์สนับสนุน Omarchy Linux ของ DHH ➡️ DHH มีแนวคิดการเมืองขวาชัดเจน ➡️ เกิดกระทู้ “Framework supporting far-right racists?” ในฟอรัม ➡️ CEO Framework ตอบว่าแนวทางบริษัทคือ “big tent” ไม่เลือกข้างการเมือง ➡️ ฟอรัมมีการถกเถียงกว่า 1,300 ความเห็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Big tent” เป็นแนวคิดที่เปิดรับความหลากหลายเพื่อสร้างความร่วมมือ ➡️ LVFS เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ปล่อย firmware ผ่านระบบลินุกซ์ ➡️ Hyprland ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Arch และผู้ชอบปรับแต่ง UI ➡️ DHH เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ruby on Rails และมีบทบาทในวงการซอฟต์แวร์ ➡️ การเมืองในวงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลัง https://news.itsfoss.com/framework-hyprland-sponsorship/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Framework is Accused of Supporting the Far-right, Apparently for Sponsoring the Hyprland Project
    The announcement has generated quite some buzz but for all the wrong reasons.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ช่องโหว่ร้ายแรงใน Elastic Cloud (CVE-2025-37729) เปิดทาง RCE ผ่าน Jinjava Template Injection — คะแนนความรุนแรง 9.1 เต็ม 10”

    Elastic ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ความปลอดภัยระดับวิกฤตใน Elastic Cloud Enterprise (ECE) ซึ่งได้รับรหัส CVE-2025-37729 และมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.1 โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการอินพุตที่ไม่ปลอดภัยในเครื่องมือ template engine ที่ชื่อว่า Jinjava ซึ่งถูกใช้ในระบบการตั้งค่าของ ECE

    ปัญหานี้เกิดจากการที่ Jinjava ไม่สามารถ neutralize อักขระพิเศษได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ (Admin) สามารถส่งสตริงที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ Jinjava ประมวลผลเป็นคำสั่ง และนำไปสู่การรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ (Remote Code Execution - RCE) หรือการขโมยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ ECE เวอร์ชัน 2.5.0 ถึง 3.8.1 และ 4.0.0 ถึง 4.0.1 โดยเฉพาะระบบที่เปิดใช้งานฟีเจอร์ Logging+Metrics ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้โจมตีสามารถฝัง payload และอ่านผลลัพธ์ผ่าน log ได้

    Elastic ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 3.8.2 และ 4.0.2 ซึ่งมีการปรับปรุงการประเมินตัวแปรของ Jinjava และป้องกันการใช้โครงสร้างที่ไม่ปลอดภัย พร้อมแนะนำให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบ log ด้วย query พิเศษ เช่น (payload.name : int3rpr3t3r or payload.name : forPath) เพื่อหาสัญญาณของการโจมตี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-37729 มีคะแนน CVSS 9.1
    เกิดจากการจัดการอินพุตไม่ปลอดภัยใน Jinjava template engine
    ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ Admin สามารถรันโค้ดหรือขโมยข้อมูลได้
    ส่งผลกระทบต่อ ECE เวอร์ชัน 2.5.0–3.8.1 และ 4.0.0–4.0.1
    ระบบที่เปิดใช้ Logging+Metrics เสี่ยงมากเป็นพิเศษ
    Elastic ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 3.8.2 และ 4.0.2
    มี query สำหรับตรวจสอบ log: (payload.name : int3rpr3t3r or payload.name : forPath)
    แนะนำให้จำกัดสิทธิ์ Admin และปิด Logging+Metrics บน deployment ที่ไม่เชื่อถือ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Jinjava เป็น template engine ที่ใช้ syntax คล้าย Jinja2 ของ Python
    Template Injection เป็นเทคนิคที่ใช้ฝังคำสั่งในระบบที่ประมวลผล template โดยตรง
    RCE เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะเปิดทางให้ควบคุมระบบจากระยะไกล
    Logging+Metrics เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยตรวจสอบระบบ แต่หากไม่ป้องกันดีอาจกลายเป็นช่องโหว่
    การอัปเดตแพตช์ทันทีเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

    https://securityonline.info/critical-elastic-cloud-flaw-cve-2025-37729-cvss-9-1-allows-rce-via-jinjava-template-injection/
    🚨 “ช่องโหว่ร้ายแรงใน Elastic Cloud (CVE-2025-37729) เปิดทาง RCE ผ่าน Jinjava Template Injection — คะแนนความรุนแรง 9.1 เต็ม 10” Elastic ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ความปลอดภัยระดับวิกฤตใน Elastic Cloud Enterprise (ECE) ซึ่งได้รับรหัส CVE-2025-37729 และมีคะแนน CVSS สูงถึง 9.1 โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการอินพุตที่ไม่ปลอดภัยในเครื่องมือ template engine ที่ชื่อว่า Jinjava ซึ่งถูกใช้ในระบบการตั้งค่าของ ECE ปัญหานี้เกิดจากการที่ Jinjava ไม่สามารถ neutralize อักขระพิเศษได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ระดับผู้ดูแลระบบ (Admin) สามารถส่งสตริงที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้ Jinjava ประมวลผลเป็นคำสั่ง และนำไปสู่การรันโค้ดบนเซิร์ฟเวอร์ (Remote Code Execution - RCE) หรือการขโมยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ ECE เวอร์ชัน 2.5.0 ถึง 3.8.1 และ 4.0.0 ถึง 4.0.1 โดยเฉพาะระบบที่เปิดใช้งานฟีเจอร์ Logging+Metrics ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้โจมตีสามารถฝัง payload และอ่านผลลัพธ์ผ่าน log ได้ Elastic ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 3.8.2 และ 4.0.2 ซึ่งมีการปรับปรุงการประเมินตัวแปรของ Jinjava และป้องกันการใช้โครงสร้างที่ไม่ปลอดภัย พร้อมแนะนำให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบ log ด้วย query พิเศษ เช่น (payload.name : int3rpr3t3r or payload.name : forPath) เพื่อหาสัญญาณของการโจมตี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-37729 มีคะแนน CVSS 9.1 ➡️ เกิดจากการจัดการอินพุตไม่ปลอดภัยใน Jinjava template engine ➡️ ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์ Admin สามารถรันโค้ดหรือขโมยข้อมูลได้ ➡️ ส่งผลกระทบต่อ ECE เวอร์ชัน 2.5.0–3.8.1 และ 4.0.0–4.0.1 ➡️ ระบบที่เปิดใช้ Logging+Metrics เสี่ยงมากเป็นพิเศษ ➡️ Elastic ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 3.8.2 และ 4.0.2 ➡️ มี query สำหรับตรวจสอบ log: (payload.name : int3rpr3t3r or payload.name : forPath) ➡️ แนะนำให้จำกัดสิทธิ์ Admin และปิด Logging+Metrics บน deployment ที่ไม่เชื่อถือ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Jinjava เป็น template engine ที่ใช้ syntax คล้าย Jinja2 ของ Python ➡️ Template Injection เป็นเทคนิคที่ใช้ฝังคำสั่งในระบบที่ประมวลผล template โดยตรง ➡️ RCE เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะเปิดทางให้ควบคุมระบบจากระยะไกล ➡️ Logging+Metrics เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยตรวจสอบระบบ แต่หากไม่ป้องกันดีอาจกลายเป็นช่องโหว่ ➡️ การอัปเดตแพตช์ทันทีเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด https://securityonline.info/critical-elastic-cloud-flaw-cve-2025-37729-cvss-9-1-allows-rce-via-jinjava-template-injection/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Elastic Cloud Flaw: CVE-2025-37729 (CVSS 9.1) Allows RCE via Jinjava Template Injection
    A Critical (CVSS 9.1) flaw (CVE-2025-37729) in Elastic Cloud Enterprise allows authenticated Admin RCE. Attackers exploit Jinjava template injection to exfiltrate data and execute commands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • “SVG Smuggling กลับมาอีกครั้ง — ล่อเหยื่อด้วยเอกสารปลอมจากศาลโคลอมเบีย ติดตั้ง AsyncRAT ผ่าน HTA file”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ตรวจพบแคมเปญโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค “SVG Smuggling” ร่วมกับไฟล์ HTA (HTML Application) เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ควบคุมระยะไกลชื่อ AsyncRAT โดยแฮ็กเกอร์ใช้เอกสารปลอมที่ดูเหมือนเป็นหมายเรียกจากศาลโคลอมเบียเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดไฟล์ SVG ที่ฝังโค้ดอันตรายไว้

    เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ SVG ที่แนบมาในอีเมล ฟังก์ชัน JavaScript ภายในจะถูกเรียกใช้เพื่อสร้างไฟล์ HTA ที่มีโค้ด PowerShell ซึ่งจะดาวน์โหลดและติดตั้ง AsyncRAT โดยไม่ต้องใช้ไฟล์แนบแบบ .exe หรือ .zip ที่มักถูกระบบอีเมลบล็อกไว้

    AsyncRAT เป็นมัลแวร์ที่สามารถควบคุมเครื่องของเหยื่อจากระยะไกลได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การบันทึกคีย์ การเปิดกล้อง การขโมยข้อมูล และการติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติม โดยมีการเข้ารหัสการสื่อสารเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    การใช้ SVG Smuggling ถือเป็นเทคนิคที่ซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับ เพราะไฟล์ SVG มักถูกมองว่าเป็นไฟล์ภาพธรรมดา และสามารถฝัง JavaScript ได้โดยไม่ถูกสแกนจากระบบป้องกันทั่วไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แฮ็กเกอร์ใช้เอกสารปลอมจากศาลโคลอมเบียเพื่อหลอกเหยื่อ
    ใช้เทคนิค SVG Smuggling เพื่อฝังโค้ด JavaScript
    JavaScript สร้างไฟล์ HTA ที่มี PowerShell สำหรับติดตั้ง AsyncRAT
    AsyncRAT สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อจากระยะไกล
    การสื่อสารของ AsyncRAT ถูกเข้ารหัสเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
    SVG Smuggling เป็นเทคนิคที่ยากต่อการตรวจจับโดยระบบทั่วไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HTA file เป็นไฟล์ที่สามารถรันสคริปต์ได้โดยตรงใน Windows
    PowerShell เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้บ่อยในการโจมตีแบบ fileless
    AsyncRAT เป็น open-source RAT ที่ถูกใช้ในหลายแคมเปญโจมตี
    SVG Smuggling เคยถูกใช้ในแคมเปญโจมตี Microsoft 365 และ Google Workspace
    การฝัง JavaScript ใน SVG สามารถหลบการสแกนของระบบอีเมลและ endpoint

    https://securityonline.info/svg-smuggling-fake-colombian-judicial-lure-deploys-asyncrat-via-malicious-hta-file/
    🎯 “SVG Smuggling กลับมาอีกครั้ง — ล่อเหยื่อด้วยเอกสารปลอมจากศาลโคลอมเบีย ติดตั้ง AsyncRAT ผ่าน HTA file” นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ได้ตรวจพบแคมเปญโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค “SVG Smuggling” ร่วมกับไฟล์ HTA (HTML Application) เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์ควบคุมระยะไกลชื่อ AsyncRAT โดยแฮ็กเกอร์ใช้เอกสารปลอมที่ดูเหมือนเป็นหมายเรียกจากศาลโคลอมเบียเพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดไฟล์ SVG ที่ฝังโค้ดอันตรายไว้ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ SVG ที่แนบมาในอีเมล ฟังก์ชัน JavaScript ภายในจะถูกเรียกใช้เพื่อสร้างไฟล์ HTA ที่มีโค้ด PowerShell ซึ่งจะดาวน์โหลดและติดตั้ง AsyncRAT โดยไม่ต้องใช้ไฟล์แนบแบบ .exe หรือ .zip ที่มักถูกระบบอีเมลบล็อกไว้ AsyncRAT เป็นมัลแวร์ที่สามารถควบคุมเครื่องของเหยื่อจากระยะไกลได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การบันทึกคีย์ การเปิดกล้อง การขโมยข้อมูล และการติดตั้งมัลแวร์เพิ่มเติม โดยมีการเข้ารหัสการสื่อสารเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ การใช้ SVG Smuggling ถือเป็นเทคนิคที่ซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับ เพราะไฟล์ SVG มักถูกมองว่าเป็นไฟล์ภาพธรรมดา และสามารถฝัง JavaScript ได้โดยไม่ถูกสแกนจากระบบป้องกันทั่วไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แฮ็กเกอร์ใช้เอกสารปลอมจากศาลโคลอมเบียเพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ใช้เทคนิค SVG Smuggling เพื่อฝังโค้ด JavaScript ➡️ JavaScript สร้างไฟล์ HTA ที่มี PowerShell สำหรับติดตั้ง AsyncRAT ➡️ AsyncRAT สามารถควบคุมเครื่องเหยื่อจากระยะไกล ➡️ การสื่อสารของ AsyncRAT ถูกเข้ารหัสเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ SVG Smuggling เป็นเทคนิคที่ยากต่อการตรวจจับโดยระบบทั่วไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HTA file เป็นไฟล์ที่สามารถรันสคริปต์ได้โดยตรงใน Windows ➡️ PowerShell เป็นเครื่องมือที่ถูกใช้บ่อยในการโจมตีแบบ fileless ➡️ AsyncRAT เป็น open-source RAT ที่ถูกใช้ในหลายแคมเปญโจมตี ➡️ SVG Smuggling เคยถูกใช้ในแคมเปญโจมตี Microsoft 365 และ Google Workspace ➡️ การฝัง JavaScript ใน SVG สามารถหลบการสแกนของระบบอีเมลและ endpoint https://securityonline.info/svg-smuggling-fake-colombian-judicial-lure-deploys-asyncrat-via-malicious-hta-file/
    SECURITYONLINE.INFO
    SVG Smuggling: Fake Colombian Judicial Lure Deploys AsyncRAT via Malicious HTA File
    Seqrite discovered a campaign using SVG smuggling and a fake Colombian court lure to deploy AsyncRAT. The SVG executes JS to stage a malicious HTA file, evading detection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Scattered LAPSUS$ Hunters อ้างขโมยข้อมูล 1 พันล้านเรคคอร์ดจาก Salesforce — เปิดฉากเรียกค่าไถ่ระดับโลก”

    กลุ่มแฮ็กเกอร์พันธมิตรใหม่ในชื่อ “Scattered LAPSUS$ Hunters” หรือ SLSH ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ชื่อดังอย่าง LAPSUS$, Scattered Spider (Muddled Libra) และ ShinyHunters (Bling Libra) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบในการเจาะระบบของลูกค้า Salesforce กว่า 39 รายทั่วโลก และขโมยข้อมูลลูกค้ารวมกว่า 1 พันล้านเรคคอร์ด

    จากรายงานของ Unit 42 (Palo Alto Networks) กลุ่มนี้ไม่ได้ใช้วิธี ransomware แบบเดิมที่เข้ารหัสไฟล์ แต่ใช้โมเดล “Extortion-as-a-Service” (EaaS) ที่เน้นการขโมยข้อมูลและข่มขู่เรียกค่าไถ่โดยไม่ทิ้งร่องรอยของมัลแวร์ ซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจจับและหลีกเลี่ยงการถูกบล็อกโดยระบบรักษาความปลอดภัย

    กลุ่ม SLSH ยังเปิดเผยรายชื่อเหยื่อและตั้งเส้นตายให้จ่ายค่าไถ่ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2025 พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่ปฏิบัติตาม พวกเขายังเปิดรับสมัครแฮ็กเกอร์เพิ่มเติมผ่าน Telegram เพื่อช่วยส่งจดหมายข่มขู่ไปยังผู้บริหารขององค์กรเป้าหมาย

    Salesforce ออกแถลงการณ์ปฏิเสธการเจรจาและยืนยันว่าจะไม่จ่ายค่าไถ่ใด ๆ ขณะที่ FBI ได้เข้ายึดโดเมนของ BreachForums ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กลุ่มใช้เผยแพร่ข้อมูลที่ขโมยมา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กลุ่ม Scattered LAPSUS$ Hunters (SLSH) อ้างขโมยข้อมูลจากลูกค้า Salesforce
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมกว่า 1 พันล้านเรคคอร์ดจาก 39 องค์กร
    ใช้โมเดล EaaS (Extortion-as-a-Service) แทน ransomware
    ไม่ใช้มัลแวร์เข้ารหัส แต่เน้นข่มขู่ด้วยข้อมูลที่ขโมยมา
    ตั้งเส้นตายเรียกค่าไถ่ภายใน 10 ตุลาคม 2025
    รับสมัครแฮ็กเกอร์ผ่าน Telegram เพื่อช่วยส่งจดหมายข่มขู่
    Salesforce ปฏิเสธการเจรจาและไม่จ่ายค่าไถ่
    FBI ยึดโดเมนของ BreachForums ที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LAPSUS$ เคยโจมตี Microsoft, NVIDIA และ Uber ในอดีต
    Scattered Spider มีความเชี่ยวชาญด้าน social engineering
    ShinyHunters เคยขายข้อมูลผู้ใช้จากหลายแพลตฟอร์มใหญ่
    EaaS กำลังเป็นแนวโน้มใหม่ในโลกไซเบอร์ เพราะหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้ง่าย
    การยึดโดเมนของ BreachForums เป็นความพยายามของ FBI ในการตัดช่องทางเผยแพร่

    https://securityonline.info/hacker-alliance-demands-ransom-scattered-lapsus-hunters-claim-1-billion-records-stolen-from-salesforce/
    🕵️‍♂️ “Scattered LAPSUS$ Hunters อ้างขโมยข้อมูล 1 พันล้านเรคคอร์ดจาก Salesforce — เปิดฉากเรียกค่าไถ่ระดับโลก” กลุ่มแฮ็กเกอร์พันธมิตรใหม่ในชื่อ “Scattered LAPSUS$ Hunters” หรือ SLSH ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มอาชญากรไซเบอร์ชื่อดังอย่าง LAPSUS$, Scattered Spider (Muddled Libra) และ ShinyHunters (Bling Libra) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบในการเจาะระบบของลูกค้า Salesforce กว่า 39 รายทั่วโลก และขโมยข้อมูลลูกค้ารวมกว่า 1 พันล้านเรคคอร์ด จากรายงานของ Unit 42 (Palo Alto Networks) กลุ่มนี้ไม่ได้ใช้วิธี ransomware แบบเดิมที่เข้ารหัสไฟล์ แต่ใช้โมเดล “Extortion-as-a-Service” (EaaS) ที่เน้นการขโมยข้อมูลและข่มขู่เรียกค่าไถ่โดยไม่ทิ้งร่องรอยของมัลแวร์ ซึ่งทำให้ยากต่อการตรวจจับและหลีกเลี่ยงการถูกบล็อกโดยระบบรักษาความปลอดภัย กลุ่ม SLSH ยังเปิดเผยรายชื่อเหยื่อและตั้งเส้นตายให้จ่ายค่าไถ่ภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2025 พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่ปฏิบัติตาม พวกเขายังเปิดรับสมัครแฮ็กเกอร์เพิ่มเติมผ่าน Telegram เพื่อช่วยส่งจดหมายข่มขู่ไปยังผู้บริหารขององค์กรเป้าหมาย Salesforce ออกแถลงการณ์ปฏิเสธการเจรจาและยืนยันว่าจะไม่จ่ายค่าไถ่ใด ๆ ขณะที่ FBI ได้เข้ายึดโดเมนของ BreachForums ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กลุ่มใช้เผยแพร่ข้อมูลที่ขโมยมา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กลุ่ม Scattered LAPSUS$ Hunters (SLSH) อ้างขโมยข้อมูลจากลูกค้า Salesforce ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมกว่า 1 พันล้านเรคคอร์ดจาก 39 องค์กร ➡️ ใช้โมเดล EaaS (Extortion-as-a-Service) แทน ransomware ➡️ ไม่ใช้มัลแวร์เข้ารหัส แต่เน้นข่มขู่ด้วยข้อมูลที่ขโมยมา ➡️ ตั้งเส้นตายเรียกค่าไถ่ภายใน 10 ตุลาคม 2025 ➡️ รับสมัครแฮ็กเกอร์ผ่าน Telegram เพื่อช่วยส่งจดหมายข่มขู่ ➡️ Salesforce ปฏิเสธการเจรจาและไม่จ่ายค่าไถ่ ➡️ FBI ยึดโดเมนของ BreachForums ที่ใช้เผยแพร่ข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LAPSUS$ เคยโจมตี Microsoft, NVIDIA และ Uber ในอดีต ➡️ Scattered Spider มีความเชี่ยวชาญด้าน social engineering ➡️ ShinyHunters เคยขายข้อมูลผู้ใช้จากหลายแพลตฟอร์มใหญ่ ➡️ EaaS กำลังเป็นแนวโน้มใหม่ในโลกไซเบอร์ เพราะหลีกเลี่ยงการตรวจจับได้ง่าย ➡️ การยึดโดเมนของ BreachForums เป็นความพยายามของ FBI ในการตัดช่องทางเผยแพร่ https://securityonline.info/hacker-alliance-demands-ransom-scattered-lapsus-hunters-claim-1-billion-records-stolen-from-salesforce/
    SECURITYONLINE.INFO
    Hacker Alliance Demands Ransom: Scattered LAPSUS$ Hunters Claim 1 Billion Records Stolen from Salesforce
    A consortium of LAPSUS$/ShinyHunters hackers launched an EaaS campaign, claiming 1 billion records stolen from 39 Salesforce customers, and demanded a ransom before an October 10 deadline.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังไว้เตือนสติ คณะรัฐมนตรีทุกคน ประชาธิปไตย มันคือจอมปลอม ที่ชาติตะวันตก ใส่สมองมา อยู่ดี กินดี มีสุข คือ ของจริง

    ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นไหม นักการเมืองทั้งโลก นายและนาง ล้วนแสบทั้งสิ้น ของไทยก็หายใจเข้าออก จะแก้แต่กติกา ถ้าพวก .. ดีจริง ไม่มีกติกา ก็สงบสุขได้ เพราะทุกชาติมีประเพณี วัฒนธรรม

    https://youtu.be/qgQlFr6Kc2o?si=Iky0LVEiMKLKgNYF
    ฟังไว้เตือนสติ คณะรัฐมนตรีทุกคน ประชาธิปไตย มันคือจอมปลอม ที่ชาติตะวันตก ใส่สมองมา อยู่ดี กินดี มีสุข คือ ของจริง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นไหม นักการเมืองทั้งโลก นายและนาง ล้วนแสบทั้งสิ้น ของไทยก็หายใจเข้าออก จะแก้แต่กติกา ถ้าพวก .. ดีจริง ไม่มีกติกา ก็สงบสุขได้ เพราะทุกชาติมีประเพณี วัฒนธรรม https://youtu.be/qgQlFr6Kc2o?si=Iky0LVEiMKLKgNYF
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/6yBHHj1Z4co?si=cuz1s_mEooQLPu8K
    https://youtu.be/6yBHHj1Z4co?si=cuz1s_mEooQLPu8K
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/6MEMM3Jl8FU?si=Er7N5Oiya_s3S_14
    https://youtu.be/6MEMM3Jl8FU?si=Er7N5Oiya_s3S_14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts