• ภูมิธรรม ประกาศ พท. "ยกเครื่องพรรคครั้งใหญ่" ย้ำประชาธิปไตยต้องกินได้
    https://www.thai-tai.tv/news/21893/
    .
    #ไทยไท #ภูมิธรรม #เพื่อไทย #ยกเครื่องพรรค #ประชาธิปไตยกินได้ #Moonshot #การเมืองสร้างโอกาส #ไทยรักไทย
    ภูมิธรรม ประกาศ พท. "ยกเครื่องพรรคครั้งใหญ่" ย้ำประชาธิปไตยต้องกินได้ https://www.thai-tai.tv/news/21893/ . #ไทยไท #ภูมิธรรม #เพื่อไทย #ยกเครื่องพรรค #ประชาธิปไตยกินได้ #Moonshot #การเมืองสร้างโอกาส #ไทยรักไทย
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • รมว.กลาโหม ปัดตอบ ปม "กัน จอมพลัง" เปิดเสียงหลอนชายแดน โยนให้ถามแม่ทัพภาคที่ 1
    https://www.thai-tai.tv/news/21892/
    .
    #ไทยไท #ณัฐพลนาคพาณิชย์ #รมวกลาโหม #กันจอมพลัง #เสียงผีชายแดน #IOT #กองทัพ
    รมว.กลาโหม ปัดตอบ ปม "กัน จอมพลัง" เปิดเสียงหลอนชายแดน โยนให้ถามแม่ทัพภาคที่ 1 https://www.thai-tai.tv/news/21892/ . #ไทยไท #ณัฐพลนาคพาณิชย์ #รมวกลาโหม #กันจอมพลัง #เสียงผีชายแดน #IOT #กองทัพ
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “เซิร์ฟเวอร์ AI 10.8kW จาก Sparkle – ทางเลือกใหม่แทน GPU แพงจาก NVIDIA”

    ในยุคที่การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาล แต่ GPU ระดับสูงจาก NVIDIA เช่น H100 หรือ B200 กลับมีราคาสูงจนหลายองค์กรเอื้อมไม่ถึง ล่าสุดบริษัท Sparkle จากไต้หวันได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ “C741-6U-Dual 16P” ที่ใช้ Intel GPU ถึง 32 ตัว พร้อมหน่วยความจำรวม 768GB VRAM และระบบจ่ายไฟ 10,800W เพื่อรองรับงาน AI อย่างต่อเนื่อง

    เซิร์ฟเวอร์นี้ใช้กราฟิกการ์ด Arc Pro B60 Dual ซึ่งแต่ละใบมี GPU สองตัวจากสถาปัตยกรรม Battlemage รวมแล้วให้พลัง GPU core ถึง 81,920 คอร์ พร้อมรองรับ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch เพื่อหลีกเลี่ยงคอขวดในการส่งข้อมูล

    ระบบรองรับ Intel Xeon Scalable Gen 4 หรือ Gen 5 พร้อมแรม DDR5 สูงสุด 8TB และมีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมถึง 15 ตัว เพื่อให้สามารถทำงานหนักได้ต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกินไป

    แม้ยังไม่มีข้อมูลด้านราคาหรือประสิทธิภาพในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ Sparkle ตั้งใจให้เซิร์ฟเวอร์นี้เป็นทางเลือกสำหรับนักวิจัยและองค์กรที่ต้องการพลังประมวลผลแบบขนานในราคาที่เข้าถึงได้

    สเปกเด่นของ Sparkle C741-6U-Dual 16P
    ใช้ Arc Pro B60 Dual จำนวน 16 ใบ รวมเป็น 32 Intel GPUs
    รวม VRAM ได้สูงสุด 768GB
    ใช้ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch
    รองรับ Intel Xeon Gen 4/5 และ DDR5 สูงสุด 8TB

    ระบบพลังงานและระบายความร้อน
    ใช้ power supply แบบ titanium 2,700W จำนวน 5 ตัว รวม 10,800W
    รุ่นเล็กใช้ 2,400W จำนวน 4 ตัว รวม 7,200W
    มีพัดลมระบายความร้อนถึง 15 ตัวในแชสซีขนาด 6U

    การเชื่อมต่อและการขยาย
    รองรับ dual M.2, NVMe และ SATA bays สำหรับ local storage
    GPU เชื่อมต่อกับ CPU ผ่าน PCIe 5.0 x8 โดยตรงหรือผ่าน switch
    ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และการประมวลผลแบบขนาน

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ยังไม่มีข้อมูล benchmark สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่
    ประสิทธิภาพของ Arc Pro B60 ยังไม่เทียบเท่า H100/B200
    Ecosystem ของ Intel GPU ยังไม่แข็งแรงเท่า CUDA ของ NVIDIA
    ราคายังไม่เปิดเผย ต้องสอบถามโดยตรงกับผู้ผลิต

    https://www.techradar.com/pro/cant-afford-nvidias-expensive-ai-accelerators-then-consider-this-10-8kw-server-cluster-with-32-intel-gpus-and-768gb-vram
    🧮 “เซิร์ฟเวอร์ AI 10.8kW จาก Sparkle – ทางเลือกใหม่แทน GPU แพงจาก NVIDIA” ในยุคที่การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องใช้พลังการประมวลผลมหาศาล แต่ GPU ระดับสูงจาก NVIDIA เช่น H100 หรือ B200 กลับมีราคาสูงจนหลายองค์กรเอื้อมไม่ถึง ล่าสุดบริษัท Sparkle จากไต้หวันได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ “C741-6U-Dual 16P” ที่ใช้ Intel GPU ถึง 32 ตัว พร้อมหน่วยความจำรวม 768GB VRAM และระบบจ่ายไฟ 10,800W เพื่อรองรับงาน AI อย่างต่อเนื่อง เซิร์ฟเวอร์นี้ใช้กราฟิกการ์ด Arc Pro B60 Dual ซึ่งแต่ละใบมี GPU สองตัวจากสถาปัตยกรรม Battlemage รวมแล้วให้พลัง GPU core ถึง 81,920 คอร์ พร้อมรองรับ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch เพื่อหลีกเลี่ยงคอขวดในการส่งข้อมูล ระบบรองรับ Intel Xeon Scalable Gen 4 หรือ Gen 5 พร้อมแรม DDR5 สูงสุด 8TB และมีระบบระบายความร้อนด้วยพัดลมถึง 15 ตัว เพื่อให้สามารถทำงานหนักได้ต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกินไป แม้ยังไม่มีข้อมูลด้านราคาหรือประสิทธิภาพในการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ แต่ Sparkle ตั้งใจให้เซิร์ฟเวอร์นี้เป็นทางเลือกสำหรับนักวิจัยและองค์กรที่ต้องการพลังประมวลผลแบบขนานในราคาที่เข้าถึงได้ ✅ สเปกเด่นของ Sparkle C741-6U-Dual 16P ➡️ ใช้ Arc Pro B60 Dual จำนวน 16 ใบ รวมเป็น 32 Intel GPUs ➡️ รวม VRAM ได้สูงสุด 768GB ➡️ ใช้ PCIe 5.0 x8 เต็มทุกช่องผ่าน Microchip switch ➡️ รองรับ Intel Xeon Gen 4/5 และ DDR5 สูงสุด 8TB ✅ ระบบพลังงานและระบายความร้อน ➡️ ใช้ power supply แบบ titanium 2,700W จำนวน 5 ตัว รวม 10,800W ➡️ รุ่นเล็กใช้ 2,400W จำนวน 4 ตัว รวม 7,200W ➡️ มีพัดลมระบายความร้อนถึง 15 ตัวในแชสซีขนาด 6U ✅ การเชื่อมต่อและการขยาย ➡️ รองรับ dual M.2, NVMe และ SATA bays สำหรับ local storage ➡️ GPU เชื่อมต่อกับ CPU ผ่าน PCIe 5.0 x8 โดยตรงหรือผ่าน switch ➡️ ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI และการประมวลผลแบบขนาน ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ยังไม่มีข้อมูล benchmark สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ ⛔ ประสิทธิภาพของ Arc Pro B60 ยังไม่เทียบเท่า H100/B200 ⛔ Ecosystem ของ Intel GPU ยังไม่แข็งแรงเท่า CUDA ของ NVIDIA ⛔ ราคายังไม่เปิดเผย ต้องสอบถามโดยตรงกับผู้ผลิต https://www.techradar.com/pro/cant-afford-nvidias-expensive-ai-accelerators-then-consider-this-10-8kw-server-cluster-with-32-intel-gpus-and-768gb-vram
    WWW.TECHRADAR.COM
    Sparkle’s new server has 16 Arc Pro B60 Dual cards in one chassis
    6U GPU system from Sparkle integrates PCIe 5.0 and dual Xeon CPUs
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • “TDK เปิดตัวชิป AI แบบแอนะล็อก – เรียนรู้แบบเรียลไทม์ ท้าทายมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบ!”

    จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์เทปเสียงในยุค 80s วันนี้ TDK กลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ด้วยการเปิดตัว “ชิป AI แบบแอนะล็อก” ที่สามารถเรียนรู้แบบเรียลไทม์ และถึงขั้นสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบได้อย่างแม่นยำ

    ชิปนี้ถูกพัฒนาโดย TDK ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยใช้แนวคิด “reservoir computing” ซึ่งเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองส่วน cerebellum ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบต่อเนื่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

    แตกต่างจากโมเดล deep learning ทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้วงจรแอนะล็อกในการประมวลผลสัญญาณแบบธรรมชาติ เช่น การแพร่กระจายของคลื่น ทำให้สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้ทันทีด้วยพลังงานต่ำมาก

    TDK เตรียมนำชิปนี้ไปโชว์ในงาน CEATEC 2025 ที่ญี่ปุ่น โดยจะมีอุปกรณ์สาธิตที่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว และใช้ชิป AI ในการทำนายว่าผู้เล่นจะออก “ค้อน กรรไกร หรือกระดาษ” ก่อนที่เขาจะทันได้ออกมือจริง ๆ

    จุดเด่นของชิป AI แบบแอนะล็อกจาก TDK
    ใช้แนวคิด reservoir computing ที่เลียนแบบสมองส่วน cerebellum
    ประมวลผลข้อมูลแบบ time-series ด้วยความเร็วสูงและพลังงานต่ำ
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่
    เหมาะกับงาน edge computing เช่น อุปกรณ์สวมใส่, IoT, ระบบอัตโนมัติ

    การสาธิตในงาน CEATEC 2025
    อุปกรณ์ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว
    ใช้ชิป AI ทำนายการออกมือในเกมเป่ายิ้งฉุบแบบเรียลไทม์
    แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และตอบสนองทันที

    ความร่วมมือและเป้าหมายของ TDK
    พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด
    ต้องการผลักดัน reservoir computing สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์
    เตรียมนำไปใช้ในแบรนด์ SensEI และธุรกิจระบบเซนเซอร์ของ TDK

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    reservoir computing ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์ในระดับอุตสาหกรรม
    การประยุกต์ใช้งานจริงอาจต้องปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์
    ความแม่นยำในการทำนายยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซนเซอร์และการเรียนรู้
    การแข่งขันจากเทคโนโลยี AI แบบดิจิทัลที่มี ecosystem แข็งแรงกว่า

    https://www.techradar.com/pro/remember-audio-tapes-from-tdk-they-just-developed-an-analog-reservoir-ai-chip-that-does-real-time-learning-and-will-even-challenge-humans-at-a-game-of-rock-paper-scissors
    💾 “TDK เปิดตัวชิป AI แบบแอนะล็อก – เรียนรู้แบบเรียลไทม์ ท้าทายมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบ!” จากอดีตที่เคยเป็นแบรนด์เทปเสียงในยุค 80s วันนี้ TDK กลับมาอีกครั้งในบทบาทใหม่ ด้วยการเปิดตัว “ชิป AI แบบแอนะล็อก” ที่สามารถเรียนรู้แบบเรียลไทม์ และถึงขั้นสามารถทำนายการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในเกมเป่ายิ้งฉุบได้อย่างแม่นยำ ชิปนี้ถูกพัฒนาโดย TDK ร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด โดยใช้แนวคิด “reservoir computing” ซึ่งเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ โดยเฉพาะสมองส่วน cerebellum ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลแบบต่อเนื่องและการตอบสนองอย่างรวดเร็ว แตกต่างจากโมเดล deep learning ทั่วไปที่ต้องพึ่งพาการประมวลผลบนคลาวด์และชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ชิปนี้ใช้วงจรแอนะล็อกในการประมวลผลสัญญาณแบบธรรมชาติ เช่น การแพร่กระจายของคลื่น ทำให้สามารถเรียนรู้และตอบสนองได้ทันทีด้วยพลังงานต่ำมาก TDK เตรียมนำชิปนี้ไปโชว์ในงาน CEATEC 2025 ที่ญี่ปุ่น โดยจะมีอุปกรณ์สาธิตที่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว และใช้ชิป AI ในการทำนายว่าผู้เล่นจะออก “ค้อน กรรไกร หรือกระดาษ” ก่อนที่เขาจะทันได้ออกมือจริง ๆ ✅ จุดเด่นของชิป AI แบบแอนะล็อกจาก TDK ➡️ ใช้แนวคิด reservoir computing ที่เลียนแบบสมองส่วน cerebellum ➡️ ประมวลผลข้อมูลแบบ time-series ด้วยความเร็วสูงและพลังงานต่ำ ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์หรือชุดข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ เหมาะกับงาน edge computing เช่น อุปกรณ์สวมใส่, IoT, ระบบอัตโนมัติ ✅ การสาธิตในงาน CEATEC 2025 ➡️ อุปกรณ์ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของนิ้ว ➡️ ใช้ชิป AI ทำนายการออกมือในเกมเป่ายิ้งฉุบแบบเรียลไทม์ ➡️ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเรียนรู้และตอบสนองทันที ✅ ความร่วมมือและเป้าหมายของ TDK ➡️ พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ➡️ ต้องการผลักดัน reservoir computing สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ ➡️ เตรียมนำไปใช้ในแบรนด์ SensEI และธุรกิจระบบเซนเซอร์ของ TDK ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ reservoir computing ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องการการพิสูจน์ในระดับอุตสาหกรรม ⛔ การประยุกต์ใช้งานจริงอาจต้องปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละอุปกรณ์ ⛔ ความแม่นยำในการทำนายยังขึ้นอยู่กับคุณภาพของเซนเซอร์และการเรียนรู้ ⛔ การแข่งขันจากเทคโนโลยี AI แบบดิจิทัลที่มี ecosystem แข็งแรงกว่า https://www.techradar.com/pro/remember-audio-tapes-from-tdk-they-just-developed-an-analog-reservoir-ai-chip-that-does-real-time-learning-and-will-even-challenge-humans-at-a-game-of-rock-paper-scissors
    WWW.TECHRADAR.COM
    TDK unveils analog AI chip that learns fast and predicts moves
    The chip mimics brain function for robotics and human-machine interfaces
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “เริ่มต้นอาชีพสาย Cybersecurity ด้วย TryHackMe – ฝึกจริง เข้าใจจริง พร้อมใบรับรอง”

    ในยุคที่ภัยไซเบอร์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน องค์กรทั่วโลกต่างต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างเร่งด่วน แต่ปัญหาคือ…จะเริ่มต้นยังไงดี?

    TryHackMe คือแพลตฟอร์มฝึกอบรมด้าน cybersecurity ที่ออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นมือโปรที่ต้องการอัปสกิลเพิ่มเติม จุดเด่นของ TryHackMe คือการฝึกแบบ “ลงมือทำจริง” ผ่านระบบจำลองที่เรียกว่า “rooms” ซึ่งมีมากกว่า 900 ห้อง ครอบคลุมทุกระดับความรู้

    คุณสามารถเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐาน เช่น การตั้งค่าความปลอดภัย ไปจนถึงการเจาะระบบ (ethical hacking) และการวิเคราะห์มัลแวร์ โดยไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน และที่สำคัญคือมีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรใหญ่ เช่น Google, CompTIA และ KPMG

    ในรายงานของ World Economic Forum ระบุว่า “Information Security Analyst” จะเป็นหนึ่งในอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกจนถึงปี 2030 และ TryHackMe กำลังช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงโอกาสนี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยค่าบริการเริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน

    จุดเด่นของ TryHackMe
    มีมากกว่า 900 ห้องฝึกอบรมแบบลงมือทำจริง
    ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ
    มีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลก
    เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ on-demand

    ความต้องการในตลาดแรงงาน
    องค์กรทั่วโลกขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน cybersecurity
    4 ใน 10 ธุรกิจ และ 3 ใน 10 องค์กรไม่แสวงกำไรใน UK ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา
    อาชีพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ติดอันดับ Top 15 ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก

    ความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น
    เริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน
    เหมาะสำหรับคนที่ทำงานประจำและต้องการเปลี่ยนอาชีพ
    มีเส้นทางการเรียนรู้ที่ชัดเจน เช่น Red Team, Blue Team, SOC Analyst

    คำเตือนสำหรับผู้เริ่มต้น
    Cybersecurity ไม่ใช่อาชีพที่เรียนรู้แค่ทฤษฎีแล้วทำงานได้ทันที
    ต้องมีทักษะจริงและความเข้าใจในการใช้งานเครื่องมือ
    การเลือกแพลตฟอร์มฝึกอบรมที่ไม่มีใบรับรอง อาจทำให้เสียเวลาโดยไม่เกิดผลลัพธ์
    การเรียนรู้แบบไม่ต่อเนื่องอาจทำให้ทักษะไม่พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.techradar.com/security/kickstart-your-path-towards-a-career-in-cyber-security-with-tryhackme
    🛡️ “เริ่มต้นอาชีพสาย Cybersecurity ด้วย TryHackMe – ฝึกจริง เข้าใจจริง พร้อมใบรับรอง” ในยุคที่ภัยไซเบอร์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน องค์กรทั่วโลกต่างต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์อย่างเร่งด่วน แต่ปัญหาคือ…จะเริ่มต้นยังไงดี? TryHackMe คือแพลตฟอร์มฝึกอบรมด้าน cybersecurity ที่ออกแบบมาเพื่อทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเป็นมือโปรที่ต้องการอัปสกิลเพิ่มเติม จุดเด่นของ TryHackMe คือการฝึกแบบ “ลงมือทำจริง” ผ่านระบบจำลองที่เรียกว่า “rooms” ซึ่งมีมากกว่า 900 ห้อง ครอบคลุมทุกระดับความรู้ คุณสามารถเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐาน เช่น การตั้งค่าความปลอดภัย ไปจนถึงการเจาะระบบ (ethical hacking) และการวิเคราะห์มัลแวร์ โดยไม่ต้องมีพื้นฐานมาก่อน และที่สำคัญคือมีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรใหญ่ เช่น Google, CompTIA และ KPMG ในรายงานของ World Economic Forum ระบุว่า “Information Security Analyst” จะเป็นหนึ่งในอาชีพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกจนถึงปี 2030 และ TryHackMe กำลังช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงโอกาสนี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยค่าบริการเริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน ✅ จุดเด่นของ TryHackMe ➡️ มีมากกว่า 900 ห้องฝึกอบรมแบบลงมือทำจริง ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับมืออาชีพ ➡️ มีใบรับรองที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับโลก ➡️ เรียนได้ทุกที่ทุกเวลาแบบ on-demand ✅ ความต้องการในตลาดแรงงาน ➡️ องค์กรทั่วโลกขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญด้าน cybersecurity ➡️ 4 ใน 10 ธุรกิจ และ 3 ใน 10 องค์กรไม่แสวงกำไรใน UK ถูกโจมตีทางไซเบอร์ในปีที่ผ่านมา ➡️ อาชีพด้านความปลอดภัยไซเบอร์ติดอันดับ Top 15 ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ✅ ความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น ➡️ เริ่มต้นเพียง £9 ต่อเดือน ➡️ เหมาะสำหรับคนที่ทำงานประจำและต้องการเปลี่ยนอาชีพ ➡️ มีเส้นทางการเรียนรู้ที่ชัดเจน เช่น Red Team, Blue Team, SOC Analyst ‼️ คำเตือนสำหรับผู้เริ่มต้น ⛔ Cybersecurity ไม่ใช่อาชีพที่เรียนรู้แค่ทฤษฎีแล้วทำงานได้ทันที ⛔ ต้องมีทักษะจริงและความเข้าใจในการใช้งานเครื่องมือ ⛔ การเลือกแพลตฟอร์มฝึกอบรมที่ไม่มีใบรับรอง อาจทำให้เสียเวลาโดยไม่เกิดผลลัพธ์ ⛔ การเรียนรู้แบบไม่ต่อเนื่องอาจทำให้ทักษะไม่พัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.techradar.com/security/kickstart-your-path-towards-a-career-in-cyber-security-with-tryhackme
    WWW.TECHRADAR.COM
    Kickstart your path towards a career in cyber security with TryHackMe
    Professional cyber security and training for just £9 per month
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “Dell Pro Max Mini AI PC – เล็กแต่แรงด้วย NVIDIA GB10 และหน่วยความจำ 128GB LPDDR5X”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลทุกระดับ ตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเดสก์ท็อป Dell ได้เปิดตัว “Pro Max Mini AI PC” ที่มาพร้อมกับ NVIDIA GB10 Superchip ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในขนาดเล็ก

    Dell Pro Max GB10 สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ถึง 200 พันล้านพารามิเตอร์ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้วยหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 128GB และพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 1000 TOPS

    ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ใช้พลังงานผ่านอะแดปเตอร์ 280W และรองรับการเชื่อมต่อระดับสูง เช่น USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE และ QSFP 200Gbps

    ภายในใช้ NVIDIA GB10 Superchip ที่มี 20 คอร์ ARM v9.2 และ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell เทียบเท่า RTX 5070 พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s และแบนด์วิดท์ระบบรวม 273 GB/s

    นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่อง Pro Max อีกเครื่องผ่าน ConnectX-7 Smart NIC เพื่อรันโมเดลขนาดใหญ่ถึง 400 พันล้านพารามิเตอร์ได้

    สเปกเด่นของ Dell Pro Max GB10
    ใช้ NVIDIA GB10 Superchip: 20 ARM v9.2 cores + Blackwell GPU
    หน่วยความจำ LPDDR5X 128GB ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s
    พลังประมวลผล FP4 สูงสุด 1000 TOPS
    รองรับโมเดล AI ขนาด 200B และสามารถขยายถึง 400B ด้วยการเชื่อมต่อสองเครื่อง

    การออกแบบและการเชื่อมต่อ
    ขนาดเล็ก 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก.
    พอร์ตเชื่อมต่อ: USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE, QSFP 200Gbps
    รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4
    ใช้ DGX OS และ NVIDIA AI software stack เพื่อความเข้ากันได้กับระบบคลาวด์

    การใช้งานและประโยชน์
    รัน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.3 70B ได้แบบ local
    ลดค่าใช้จ่ายจากการไม่ต้องใช้คลาวด์
    เหมาะสำหรับนักพัฒนา AI, นักวิจัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลในพื้นที่

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
    การใช้งานเต็มประสิทธิภาพอาจต้องมีความรู้ด้านระบบ NVIDIA
    การขยายระบบต้องใช้ ConnectX-7 NIC ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
    แม้จะเล็ก แต่ยังต้องใช้พลังงานสูงถึง 280W

    https://wccftech.com/dell-pro-max-nvidia-gb10-now-available-128-gb-lp5x-small-form-factor-mini-ai-pc/
    🖥️ “Dell Pro Max Mini AI PC – เล็กแต่แรงด้วย NVIDIA GB10 และหน่วยความจำ 128GB LPDDR5X” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการประมวลผลทุกระดับ ตั้งแต่คลาวด์ไปจนถึงเดสก์ท็อป Dell ได้เปิดตัว “Pro Max Mini AI PC” ที่มาพร้อมกับ NVIDIA GB10 Superchip ซึ่งถือเป็นหนึ่งในชิป AI ที่ทรงพลังที่สุดในขนาดเล็ก Dell Pro Max GB10 สามารถรันโมเดล AI ขนาดใหญ่ถึง 200 พันล้านพารามิเตอร์ได้แบบ local โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้วยหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 128GB และพลังประมวลผล FP4 สูงถึง 1000 TOPS ตัวเครื่องมีขนาดเพียง 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ใช้พลังงานผ่านอะแดปเตอร์ 280W และรองรับการเชื่อมต่อระดับสูง เช่น USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE และ QSFP 200Gbps ภายในใช้ NVIDIA GB10 Superchip ที่มี 20 คอร์ ARM v9.2 และ GPU สถาปัตยกรรม Blackwell เทียบเท่า RTX 5070 พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s และแบนด์วิดท์ระบบรวม 273 GB/s นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับเครื่อง Pro Max อีกเครื่องผ่าน ConnectX-7 Smart NIC เพื่อรันโมเดลขนาดใหญ่ถึง 400 พันล้านพารามิเตอร์ได้ ✅ สเปกเด่นของ Dell Pro Max GB10 ➡️ ใช้ NVIDIA GB10 Superchip: 20 ARM v9.2 cores + Blackwell GPU ➡️ หน่วยความจำ LPDDR5X 128GB ความเร็วสูงถึง 9400 MT/s ➡️ พลังประมวลผล FP4 สูงสุด 1000 TOPS ➡️ รองรับโมเดล AI ขนาด 200B และสามารถขยายถึง 400B ด้วยการเชื่อมต่อสองเครื่อง ✅ การออกแบบและการเชื่อมต่อ ➡️ ขนาดเล็ก 150×150×51 มม. น้ำหนัก 1.31 กก. ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: USB-C 20Gbps, HDMI 2.1b, LAN 10GbE, QSFP 200Gbps ➡️ รองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 ➡️ ใช้ DGX OS และ NVIDIA AI software stack เพื่อความเข้ากันได้กับระบบคลาวด์ ✅ การใช้งานและประโยชน์ ➡️ รัน LLM ขนาดใหญ่ เช่น Llama 3.3 70B ได้แบบ local ➡️ ลดค่าใช้จ่ายจากการไม่ต้องใช้คลาวด์ ➡️ เหมาะสำหรับนักพัฒนา AI, นักวิจัย และองค์กรที่ต้องการประมวลผลในพื้นที่ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคายังไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ⛔ การใช้งานเต็มประสิทธิภาพอาจต้องมีความรู้ด้านระบบ NVIDIA ⛔ การขยายระบบต้องใช้ ConnectX-7 NIC ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ⛔ แม้จะเล็ก แต่ยังต้องใช้พลังงานสูงถึง 280W https://wccftech.com/dell-pro-max-nvidia-gb10-now-available-128-gb-lp5x-small-form-factor-mini-ai-pc/
    WCCFTECH.COM
    Dell Pro Max With NVIDIA GB10 Now Available: 128 GB LP5X Memory & Small Form Factor Mini AI PC
    The Dell Pro Max Mini AI PC is now available and packs the NVIDIA GB10 Superchip with up to 128 GB of LPDDR5x memory.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • “Intel และ AMD จับมือยกระดับ x86 – เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่ออนาคตของการประมวลผล”

    ในยุคที่ ARM และ RISC-V กำลังรุกคืบเข้าสู่ตลาดพีซีและเซิร์ฟเวอร์อย่างรวดเร็ว สองยักษ์ใหญ่แห่งโลก x86 อย่าง Intel และ AMD ก็ไม่ยอมอยู่เฉย ล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือในการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับสถาปัตยกรรม x86 เพื่อให้ทันกับความต้องการของงานประมวลผลยุคใหม่

    ฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเปิดเผย ได้แก่:

    AVX10: ชุดคำสั่งเวกเตอร์รุ่นใหม่ที่รวมความสามารถของ AVX512 และ AVX2 เข้าด้วยกัน พร้อมรองรับการทำงานแบบ scalable บนทุกระดับของ CPU

    FRED (Flexible Return and Event Delivery): กลไกใหม่สำหรับการจัดการ interrupt และ event ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    CHKTAG: ฟีเจอร์สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของ pointer และ memory tag เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ buffer overflow

    ACE (Architectural Capability Enumeration): ระบบระบุความสามารถของ CPU เพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถปรับตัวได้อย่างแม่นยำ

    การรวมฟีเจอร์เหล่านี้เข้าด้วยกันไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่คือการสร้าง “มาตรฐานร่วม” ระหว่าง Intel และ AMD เพื่อให้ ecosystem ของ x86 มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้นในระยะยาว

    ฟีเจอร์ใหม่ใน x86
    AVX10 รวมความสามารถของ AVX512 และ AVX2 รองรับทุกระดับ CPU
    FRED ช่วยจัดการ interrupt/event ได้ปลอดภัยและเร็วขึ้น
    CHKTAG ป้องกันการโจมตีหน่วยความจำด้วยการตรวจสอบ pointer
    ACE ช่วยให้ซอฟต์แวร์รู้จักความสามารถของ CPU อย่างแม่นยำ

    ความร่วมมือระหว่าง Intel และ AMD
    สร้างมาตรฐานร่วมเพื่อให้ ecosystem ของ x86 มีความเสถียร
    ลดความซับซ้อนในการพัฒนาและปรับแต่งซอฟต์แวร์
    เตรียมรับมือกับการแข่งขันจาก ARM และ RISC-V

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้ดีขึ้นบนทุกแพลตฟอร์ม x86
    เพิ่มความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์
    ลดต้นทุนในการพัฒนาและทดสอบระบบ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    ฟีเจอร์ใหม่อาจใช้เวลานานในการนำไปใช้จริงในผลิตภัณฑ์
    ซอฟต์แวร์เก่าอาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่โดยทันที
    การเปลี่ยนแปลงในระดับสถาปัตยกรรมอาจต้องปรับ ecosystem โดยรวม
    หากไม่สื่อสารกับนักพัฒนาอย่างชัดเจน อาจเกิดความสับสนในการใช้งาน

    https://wccftech.com/intel-amd-strengten-x86-ecosystem-new-standardized-features-avx10-fred-chktag-ace/
    🎁 “Intel และ AMD จับมือยกระดับ x86 – เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่ออนาคตของการประมวลผล” ในยุคที่ ARM และ RISC-V กำลังรุกคืบเข้าสู่ตลาดพีซีและเซิร์ฟเวอร์อย่างรวดเร็ว สองยักษ์ใหญ่แห่งโลก x86 อย่าง Intel และ AMD ก็ไม่ยอมอยู่เฉย ล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือในการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับสถาปัตยกรรม x86 เพื่อให้ทันกับความต้องการของงานประมวลผลยุคใหม่ ฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเปิดเผย ได้แก่: ✨ AVX10: ชุดคำสั่งเวกเตอร์รุ่นใหม่ที่รวมความสามารถของ AVX512 และ AVX2 เข้าด้วยกัน พร้อมรองรับการทำงานแบบ scalable บนทุกระดับของ CPU ✨ FRED (Flexible Return and Event Delivery): กลไกใหม่สำหรับการจัดการ interrupt และ event ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ CHKTAG: ฟีเจอร์สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของ pointer และ memory tag เพื่อป้องกันการโจมตีแบบ buffer overflow ✨ ACE (Architectural Capability Enumeration): ระบบระบุความสามารถของ CPU เพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถปรับตัวได้อย่างแม่นยำ การรวมฟีเจอร์เหล่านี้เข้าด้วยกันไม่ใช่แค่การเพิ่มประสิทธิภาพ แต่คือการสร้าง “มาตรฐานร่วม” ระหว่าง Intel และ AMD เพื่อให้ ecosystem ของ x86 มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้นในระยะยาว ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน x86 ➡️ AVX10 รวมความสามารถของ AVX512 และ AVX2 รองรับทุกระดับ CPU ➡️ FRED ช่วยจัดการ interrupt/event ได้ปลอดภัยและเร็วขึ้น ➡️ CHKTAG ป้องกันการโจมตีหน่วยความจำด้วยการตรวจสอบ pointer ➡️ ACE ช่วยให้ซอฟต์แวร์รู้จักความสามารถของ CPU อย่างแม่นยำ ✅ ความร่วมมือระหว่าง Intel และ AMD ➡️ สร้างมาตรฐานร่วมเพื่อให้ ecosystem ของ x86 มีความเสถียร ➡️ ลดความซับซ้อนในการพัฒนาและปรับแต่งซอฟต์แวร์ ➡️ เตรียมรับมือกับการแข่งขันจาก ARM และ RISC-V ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ➡️ ซอฟต์แวร์สามารถทำงานได้ดีขึ้นบนทุกแพลตฟอร์ม x86 ➡️ เพิ่มความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ ลดต้นทุนในการพัฒนาและทดสอบระบบ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์ใหม่อาจใช้เวลานานในการนำไปใช้จริงในผลิตภัณฑ์ ⛔ ซอฟต์แวร์เก่าอาจไม่รองรับฟีเจอร์ใหม่โดยทันที ⛔ การเปลี่ยนแปลงในระดับสถาปัตยกรรมอาจต้องปรับ ecosystem โดยรวม ⛔ หากไม่สื่อสารกับนักพัฒนาอย่างชัดเจน อาจเกิดความสับสนในการใช้งาน https://wccftech.com/intel-amd-strengten-x86-ecosystem-new-standardized-features-avx10-fred-chktag-ace/
    WCCFTECH.COM
    Intel & AMD Strengten x86 Ecosystem With New Standardized Features: AVX10, FRED, ChkTag & ACE
    Intel & AMD celebrate the first anniversary of the x86 ecosystem advisory group & further strengthen it through new standardized features.
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • "AMD Sound Wave – APU พลัง ARM ที่อาจเปลี่ยนเกมพกพาในอนาคต”

    แม้ AMD เคยยืนยันว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือ x86 โดยตรง แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลจาก shipping manifest ที่เผยว่า AMD กำลังพัฒนา SoC ใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายใต้โค้ดเนม “Sound Wave”

    ชิปนี้มาในแพ็กเกจ BGA 1074 ขนาดเล็กเพียง 32 × 27 มม. เหมาะกับอุปกรณ์พกพาอย่างแล็ปท็อปหรือเกมคอนโซลแบบ handheld โดยใช้ซ็อกเก็ต FF5 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck

    Sound Wave คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ big.LITTLE โดยมี 2 P-Core และ 4 E-Core รวมเป็น 6 คอร์ พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs และทำงานในพลังงานเพียง 10W ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่

    แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะนำชิปนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ใด แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาด ARM ระหว่าง AMD, Qualcomm และ NVIDIA ที่ต่างเตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาและ AI

    AMD พัฒนา APU สถาปัตยกรรม ARM
    โค้ดเนม “Sound Wave” ปรากฏใน shipping manifest ล่าสุด
    ใช้แพ็กเกจ BGA 1074 ขนาด 32 × 27 มม.
    เหมาะกับ embedded systems และอุปกรณ์พกพา

    สเปกเบื้องต้นของ Sound Wave
    ใช้ซ็อกเก็ต FF5 แทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck
    big.LITTLE architecture: 2 P-Core + 4 E-Core
    กราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs
    TDP เพียง 10W พร้อมตัวเลือกปรับแต่งตามลูกค้า

    ความเป็นไปได้ในการใช้งาน
    อาจใช้ใน handheld gaming, Chromebook หรืออุปกรณ์ IoT
    รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่
    อาจเป็นคู่แข่งของ Snapdragon X Elite และ NVIDIA Grace

    แนวโน้มตลาด ARM
    ARM กำลังขยายจากมือถือสู่ PC และเซิร์ฟเวอร์
    Apple M-series เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ ARM บน desktop
    AMD อาจใช้ Sound Wave เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกตลาด ARM

    https://www.techpowerup.com/341848/amd-sound-wave-arm-powered-apu-appears-in-shipping-manifests
    🌀 "AMD Sound Wave – APU พลัง ARM ที่อาจเปลี่ยนเกมพกพาในอนาคต” แม้ AMD เคยยืนยันว่า ARM ไม่ได้มีข้อได้เปรียบด้านประสิทธิภาพเหนือ x86 โดยตรง แต่ล่าสุดกลับมีข้อมูลจาก shipping manifest ที่เผยว่า AMD กำลังพัฒนา SoC ใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ภายใต้โค้ดเนม “Sound Wave” ชิปนี้มาในแพ็กเกจ BGA 1074 ขนาดเล็กเพียง 32 × 27 มม. เหมาะกับอุปกรณ์พกพาอย่างแล็ปท็อปหรือเกมคอนโซลแบบ handheld โดยใช้ซ็อกเก็ต FF5 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck Sound Wave คาดว่าจะใช้สถาปัตยกรรมแบบ big.LITTLE โดยมี 2 P-Core และ 4 E-Core รวมเป็น 6 คอร์ พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs และทำงานในพลังงานเพียง 10W ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ แม้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า AMD จะนำชิปนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ใด แต่การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาด ARM ระหว่าง AMD, Qualcomm และ NVIDIA ที่ต่างเตรียมเปิดตัวชิปใหม่สำหรับอุปกรณ์พกพาและ AI ✅ AMD พัฒนา APU สถาปัตยกรรม ARM ➡️ โค้ดเนม “Sound Wave” ปรากฏใน shipping manifest ล่าสุด ➡️ ใช้แพ็กเกจ BGA 1074 ขนาด 32 × 27 มม. ➡️ เหมาะกับ embedded systems และอุปกรณ์พกพา ✅ สเปกเบื้องต้นของ Sound Wave ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต FF5 แทน FF3 ที่เคยใช้ใน Steam Deck ➡️ big.LITTLE architecture: 2 P-Core + 4 E-Core ➡️ กราฟิก RDNA 3.5 สูงสุด 4 CUs ➡️ TDP เพียง 10W พร้อมตัวเลือกปรับแต่งตามลูกค้า ✅ ความเป็นไปได้ในการใช้งาน ➡️ อาจใช้ใน handheld gaming, Chromebook หรืออุปกรณ์ IoT ➡️ รองรับการเล่นเกมต่อเนื่องบนแบตเตอรี่ ➡️ อาจเป็นคู่แข่งของ Snapdragon X Elite และ NVIDIA Grace ✅ แนวโน้มตลาด ARM ➡️ ARM กำลังขยายจากมือถือสู่ PC และเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Apple M-series เป็นตัวอย่างความสำเร็จของ ARM บน desktop ➡️ AMD อาจใช้ Sound Wave เป็นจุดเริ่มต้นในการบุกตลาด ARM https://www.techpowerup.com/341848/amd-sound-wave-arm-powered-apu-appears-in-shipping-manifests
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD "Sound Wave" Arm-Powered APU Appears in Shipping Manifests
    Despite AMD's assertion that the Arm ISA doesn't provide any inherent efficiency advantage and that power savings are primarily dependent on the package and design, it seems AMD is developing an Arm-based SoC codenamed "Sound Wave." Recent shipping manifests, noted by X user @Olrak29_, indicate that...
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • “OpenAI จับมือ Broadcom สร้างชิป AI 10GW – ก้าวใหม่สู่ยุคฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง”

    ในโลกที่ AI กำลังกลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม OpenAI ไม่หยุดอยู่แค่การพัฒนาโมเดลอัจฉริยะ แต่กำลังเดินหน้าสู่การสร้าง “ฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง” ด้วยตัวเอง โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ Broadcom ในการพัฒนาและติดตั้งระบบเร่งการประมวลผล (accelerators) สำหรับงาน AI ขนาดมหึมา รวมถึงระบบแร็คเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับพลังงานรวมถึง 10 กิกะวัตต์

    ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวของ OpenAI ที่ต้องการลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia และหันมาใช้ชิปที่ออกแบบเอง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเครือข่ายและ IP ฮาร์ดแวร์จาก Broadcom ซึ่งเคยผลิตชิป AI ให้กับ Google TPU มาก่อน

    ระบบใหม่จะใช้โครงสร้างเครือข่ายแบบ Ethernet เพื่อให้สามารถขยายได้ง่าย และไม่ผูกติดกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง โดยการติดตั้งจะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2029

    นอกจากนี้ OpenAI ยังมีดีลกับ AMD และ Nvidia รวมถึง CoreWeave ซึ่งรวมแล้วมีการลงทุนในฮาร์ดแวร์มากกว่า 26 กิกะวัตต์ทั่วโลก ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต

    ข้อตกลงระหว่าง OpenAI และ Broadcom
    ร่วมกันพัฒนาและติดตั้งระบบเร่งการประมวลผล AI ขนาด 10GW
    OpenAI ออกแบบตัวเร่งและระบบ ส่วน Broadcom รับผิดชอบการผลิตและติดตั้ง
    เริ่มใช้งานจริงในครึ่งหลังของปี 2026 และเสร็จสิ้นภายในปี 2029

    เป้าหมายของ OpenAI
    ลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia
    สร้างฮาร์ดแวร์เฉพาะทางที่เหมาะกับงานฝึกและใช้งานโมเดล AI
    ใช้โครงสร้าง Ethernet เพื่อความยืดหยุ่นและขยายง่าย

    ความร่วมมือเพิ่มเติม
    มีดีลกับ Nvidia, AMD และ CoreWeave รวมถึง 26GW ของฮาร์ดแวร์
    Broadcom เคยผลิตชิป AI ให้ Google TPU และมีความเชี่ยวชาญด้าน IP
    OpenAI ได้เปรียบจาก supply chain ที่มั่นคงและทีมออกแบบ ASIC ระดับโลก

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    บริษัทใหญ่หลายราย เช่น Amazon, Google, Meta และ Microsoft กำลังพัฒนาชิป AI เอง
    ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก GPU-centric ไปสู่ระบบเร่งแบบเฉพาะทาง
    ความสามารถในการผลิตและออกแบบชิปจะเป็นตัวชี้วัดความได้เปรียบในยุค AI

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    ยังไม่มีการเปิดเผยผู้ผลิตชิป (foundry), การบรรจุ (packaging) หรือชนิดหน่วยความจำ
    การออกแบบและผลิตชิปใช้เวลานานและต้องการความแม่นยำสูง
    ความสำเร็จของระบบใหม่ยังต้องพิสูจน์ในระดับการใช้งานจริง
    Ecosystem ของ Broadcom ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ Nvidia ในด้านซอฟต์แวร์และเครื่องมือ

    https://www.tomshardware.com/openai-broadcom-to-co-develop-10gw-of-custom-ai-chips
    🤖 “OpenAI จับมือ Broadcom สร้างชิป AI 10GW – ก้าวใหม่สู่ยุคฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง” ในโลกที่ AI กำลังกลายเป็นหัวใจของทุกอุตสาหกรรม OpenAI ไม่หยุดอยู่แค่การพัฒนาโมเดลอัจฉริยะ แต่กำลังเดินหน้าสู่การสร้าง “ฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง” ด้วยตัวเอง โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ Broadcom ในการพัฒนาและติดตั้งระบบเร่งการประมวลผล (accelerators) สำหรับงาน AI ขนาดมหึมา รวมถึงระบบแร็คเซิร์ฟเวอร์ที่รองรับพลังงานรวมถึง 10 กิกะวัตต์ ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวของ OpenAI ที่ต้องการลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia และหันมาใช้ชิปที่ออกแบบเอง โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านเครือข่ายและ IP ฮาร์ดแวร์จาก Broadcom ซึ่งเคยผลิตชิป AI ให้กับ Google TPU มาก่อน ระบบใหม่จะใช้โครงสร้างเครือข่ายแบบ Ethernet เพื่อให้สามารถขยายได้ง่าย และไม่ผูกติดกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง โดยการติดตั้งจะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2029 นอกจากนี้ OpenAI ยังมีดีลกับ AMD และ Nvidia รวมถึง CoreWeave ซึ่งรวมแล้วมีการลงทุนในฮาร์ดแวร์มากกว่า 26 กิกะวัตต์ทั่วโลก ถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI ขนาดใหญ่ในอนาคต ✅ ข้อตกลงระหว่าง OpenAI และ Broadcom ➡️ ร่วมกันพัฒนาและติดตั้งระบบเร่งการประมวลผล AI ขนาด 10GW ➡️ OpenAI ออกแบบตัวเร่งและระบบ ส่วน Broadcom รับผิดชอบการผลิตและติดตั้ง ➡️ เริ่มใช้งานจริงในครึ่งหลังของปี 2026 และเสร็จสิ้นภายในปี 2029 ✅ เป้าหมายของ OpenAI ➡️ ลดการพึ่งพา GPU จาก Nvidia ➡️ สร้างฮาร์ดแวร์เฉพาะทางที่เหมาะกับงานฝึกและใช้งานโมเดล AI ➡️ ใช้โครงสร้าง Ethernet เพื่อความยืดหยุ่นและขยายง่าย ✅ ความร่วมมือเพิ่มเติม ➡️ มีดีลกับ Nvidia, AMD และ CoreWeave รวมถึง 26GW ของฮาร์ดแวร์ ➡️ Broadcom เคยผลิตชิป AI ให้ Google TPU และมีความเชี่ยวชาญด้าน IP ➡️ OpenAI ได้เปรียบจาก supply chain ที่มั่นคงและทีมออกแบบ ASIC ระดับโลก ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ บริษัทใหญ่หลายราย เช่น Amazon, Google, Meta และ Microsoft กำลังพัฒนาชิป AI เอง ➡️ ตลาดกำลังเปลี่ยนจาก GPU-centric ไปสู่ระบบเร่งแบบเฉพาะทาง ➡️ ความสามารถในการผลิตและออกแบบชิปจะเป็นตัวชี้วัดความได้เปรียบในยุค AI ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ ยังไม่มีการเปิดเผยผู้ผลิตชิป (foundry), การบรรจุ (packaging) หรือชนิดหน่วยความจำ ⛔ การออกแบบและผลิตชิปใช้เวลานานและต้องการความแม่นยำสูง ⛔ ความสำเร็จของระบบใหม่ยังต้องพิสูจน์ในระดับการใช้งานจริง ⛔ Ecosystem ของ Broadcom ยังไม่เทียบเท่ากับ CUDA ของ Nvidia ในด้านซอฟต์แวร์และเครื่องมือ https://www.tomshardware.com/openai-broadcom-to-co-develop-10gw-of-custom-ai-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    OpenAI and Broadcom to co-develop 10GW of custom AI chips in yet another blockbuster AI partnership — deployments start in 2026
    The AI firm’s latest hardware deal locks in another 10 gigawatts of capacity as it moves to design its own accelerators.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • “MRAM เจเนอเรชันใหม่ – พลิกวงการหน่วยความจำด้วยชั้นทังสเตน เร็วแรงเทียบ SRAM แต่กินไฟต่ำกว่า”

    ในโลกของหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ เรามักได้ยินชื่อของ DRAM และ SRAM เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ท้าชิงรายใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง “MRAM” หรือ Magnetoresistive RAM ซึ่งล่าสุดนักวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ “ชั้นทังสเตน” (Tungsten Layer) เพื่อเพิ่มความเร็วในการสลับบิต (bit flipping) ให้เทียบเท่ากับ SRAM แต่ใช้พลังงานต่ำกว่ามาก

    MRAM เป็นหน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (non-volatile) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถเก็บข้อมูลได้แม้ไม่มีไฟฟ้า ต่างจาก DRAM ที่ต้องรีเฟรชตลอดเวลา หรือ SRAM ที่เร็วแต่กินไฟสูงและมีขนาดใหญ่

    การใช้ชั้นทังสเตนในโครงสร้างของ MRAM ช่วยให้สามารถควบคุมสนามแม่เหล็กได้แม่นยำขึ้น ทำให้การเขียนข้อมูลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งเป็นก้าวกระโดดสำคัญในการพัฒนา MRAM ให้สามารถใช้งานในระดับเดียวกับหน่วยความจำหลัก (main memory) ได้ในอนาคต

    หากเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จ มันอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ระดับดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะจะได้หน่วยความจำที่เร็วเท่า SRAM แต่ประหยัดพลังงานและไม่ลบเลือนเหมือน SSD

    MRAM คืออะไร
    ย่อมาจาก Magnetoresistive Random Access Memory
    เป็นหน่วยความจำแบบ non-volatile ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล
    รวมข้อดีของ DRAM (เร็ว) และ Flash (ไม่ลบเลือน) เข้าด้วยกัน

    ความก้าวหน้าล่าสุด
    นักวิจัยพัฒนา MRAM ที่ใช้ชั้นทังสเตนเพื่อควบคุมสนามแม่เหล็ก
    ทำให้สามารถสลับบิตได้เร็วเทียบเท่า SRAM
    ใช้พลังงานต่ำกว่าหน่วยความจำแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

    ศักยภาพของ MRAM ในอนาคต
    อาจแทนที่ DRAM และ SRAM ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
    เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ IoT ที่ต้องการประหยัดพลังงาน
    มีความทนทานสูงและอายุการใช้งานยาวนานกว่าหน่วยความจำแบบ Flash

    ความท้าทายในการผลิต
    การผลิต MRAM ยังมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับ DRAM
    การควบคุมสนามแม่เหล็กในระดับนาโนเมตรต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
    การนำไปใช้ในระดับ mass production ยังต้องใช้เวลาและการทดสอบเพิ่มเติม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/next-gen-mram-breakthrough-using-a-tungsten-layer-can-flip-bits-at-sram-rivalling-speeds-with-very-low-power-researchers-claim-true-next-gen-breakthrough
    ⚙️ “MRAM เจเนอเรชันใหม่ – พลิกวงการหน่วยความจำด้วยชั้นทังสเตน เร็วแรงเทียบ SRAM แต่กินไฟต่ำกว่า” ในโลกของหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ เรามักได้ยินชื่อของ DRAM และ SRAM เป็นหลัก แต่ตอนนี้มีผู้ท้าชิงรายใหม่ที่กำลังมาแรงอย่าง “MRAM” หรือ Magnetoresistive RAM ซึ่งล่าสุดนักวิจัยได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ “ชั้นทังสเตน” (Tungsten Layer) เพื่อเพิ่มความเร็วในการสลับบิต (bit flipping) ให้เทียบเท่ากับ SRAM แต่ใช้พลังงานต่ำกว่ามาก MRAM เป็นหน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (non-volatile) ซึ่งหมายความว่ามันสามารถเก็บข้อมูลได้แม้ไม่มีไฟฟ้า ต่างจาก DRAM ที่ต้องรีเฟรชตลอดเวลา หรือ SRAM ที่เร็วแต่กินไฟสูงและมีขนาดใหญ่ การใช้ชั้นทังสเตนในโครงสร้างของ MRAM ช่วยให้สามารถควบคุมสนามแม่เหล็กได้แม่นยำขึ้น ทำให้การเขียนข้อมูลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง ซึ่งเป็นก้าวกระโดดสำคัญในการพัฒนา MRAM ให้สามารถใช้งานในระดับเดียวกับหน่วยความจำหลัก (main memory) ได้ในอนาคต หากเทคโนโลยีนี้ถูกนำไปผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้สำเร็จ มันอาจเปลี่ยนโฉมหน้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่สมาร์ตโฟนไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ระดับดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะจะได้หน่วยความจำที่เร็วเท่า SRAM แต่ประหยัดพลังงานและไม่ลบเลือนเหมือน SSD ✅ MRAM คืออะไร ➡️ ย่อมาจาก Magnetoresistive Random Access Memory ➡️ เป็นหน่วยความจำแบบ non-volatile ที่ใช้สนามแม่เหล็กในการเก็บข้อมูล ➡️ รวมข้อดีของ DRAM (เร็ว) และ Flash (ไม่ลบเลือน) เข้าด้วยกัน ✅ ความก้าวหน้าล่าสุด ➡️ นักวิจัยพัฒนา MRAM ที่ใช้ชั้นทังสเตนเพื่อควบคุมสนามแม่เหล็ก ➡️ ทำให้สามารถสลับบิตได้เร็วเทียบเท่า SRAM ➡️ ใช้พลังงานต่ำกว่าหน่วยความจำแบบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ✅ ศักยภาพของ MRAM ในอนาคต ➡️ อาจแทนที่ DRAM และ SRAM ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ➡️ เหมาะกับอุปกรณ์พกพาและ IoT ที่ต้องการประหยัดพลังงาน ➡️ มีความทนทานสูงและอายุการใช้งานยาวนานกว่าหน่วยความจำแบบ Flash ‼️ ความท้าทายในการผลิต ⛔ การผลิต MRAM ยังมีต้นทุนสูงเมื่อเทียบกับ DRAM ⛔ การควบคุมสนามแม่เหล็กในระดับนาโนเมตรต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ⛔ การนำไปใช้ในระดับ mass production ยังต้องใช้เวลาและการทดสอบเพิ่มเติม https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/next-gen-mram-breakthrough-using-a-tungsten-layer-can-flip-bits-at-sram-rivalling-speeds-with-very-low-power-researchers-claim-true-next-gen-breakthrough
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล

    ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว
    https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989
    แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด

    หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น

    ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    ตลาดบริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล: พลิกโฉมเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยพลังของข้อมูล ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ธุรกิจทั่วโลกต่างมองหาวิธีในการแบ่งปันและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ตลาด บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูล (Data Exchange Platform Services Market) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่ โดยช่วยให้บริษัท หน่วยงานรัฐบาล และสตาร์ทอัพ สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้อย่างโปร่งใส ปลอดภัย และรวดเร็ว https://www.marketresearchfuture.com/reports/data-exchange-platform-services-market-23989 แพลตฟอร์มเหล่านี้ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมข้อมูล” ระหว่างองค์กร โดยมีระบบเข้ารหัสและการควบคุมสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวและการรั่วไหลของข้อมูล ผู้ใช้งานสามารถแชร์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ข้อมูลผู้บริโภค ข้อมูลตลาด และข้อมูลอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมูลค่าทางธุรกิจร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของตลาด หนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักคือ การเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ บิ๊กดาต้า (Big Data) ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลปริมาณมหาศาลจากหลายแหล่งเพื่อการวิเคราะห์เชิงลึก นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกฎระเบียบด้านความปลอดภัยข้อมูล เช่น GDPR และ PDPA ทำให้องค์กรต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ปลอดภัยและโปร่งใสมากขึ้น ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การเงิน การดูแลสุขภาพ และพลังงาน แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อมูลถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการทำธุรกรรม ข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Data Exchange Platform Services Market Size, Industry Share
    Data Exchange Platform Services Market size is expected to reach USD 51.69 billion by 2034, growing at a CAGR of 17.91% during the forecast period 2025-2034.
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • เที่ยวมาเก๊า จูไห่ 5,999

    🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน
    ✈ NX-แอร์มาเก๊า
    พักโรงแรม 3.5 ดาว

    โรงละครหอยไข่มุก
    สาวงามหวีหนี่
    POP MART
    โบสถ์เซนต์ปอล
    The Venetian
    The Parisian
    The Londoner

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์มาเก๊า #มาเก๊า #macau #ทัวร์จูไห่ #จูไห่ #zhuhai #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    เที่ยวมาเก๊า จูไห่ 🎉💥 5,999 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน ✈ NX-แอร์มาเก๊า 🏨 พักโรงแรม 3.5 ดาว 📍 โรงละครหอยไข่มุก 📍 สาวงามหวีหนี่ 📍 POP MART 📍 โบสถ์เซนต์ปอล 📍 The Venetian 📍 The Parisian 📍 The Londoner รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์มาเก๊า #มาเก๊า #macau #ทัวร์จูไห่ #จูไห่ #zhuhai #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 0 Reviews
  • มิ่งขวัญ แจงเหตุลาออก พปชร. ยันไร้ขัดแย้ง แต่ขอแสดงเจตนารมณ์ทำงานเพื่อชาติและประชาชน
    https://www.thai-tai.tv/news/21891/
    .
    #ไทยไท #มิ่งขวัญแสงสุวรรณ์ #ลาออกพปชร #ปัญหาเศรษฐกิจ #ทำงานเพื่อชาติ #การเมือง

    มิ่งขวัญ แจงเหตุลาออก พปชร. ยันไร้ขัดแย้ง แต่ขอแสดงเจตนารมณ์ทำงานเพื่อชาติและประชาชน https://www.thai-tai.tv/news/21891/ . #ไทยไท #มิ่งขวัญแสงสุวรรณ์ #ลาออกพปชร #ปัญหาเศรษฐกิจ #ทำงานเพื่อชาติ #การเมือง
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ปานเทพ-หมอวรงค์ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ใช้สิทธิ์ตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ยกเลิก MOU หลังเกิดเหตุสู้รบ
    https://www.thai-tai.tv/news/21890/
    .
    #ไทยไท #ยกเลิกMOU #MOU4344 #อนุทิน #ปานเทพ #หมอวรงค์ #อธิปไตย #อนุสัญญากรุงเวียนนา



    ปานเทพ-หมอวรงค์ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ ขอให้ใช้สิทธิ์ตามอนุสัญญากรุงเวียนนา ยกเลิก MOU หลังเกิดเหตุสู้รบ https://www.thai-tai.tv/news/21890/ . #ไทยไท #ยกเลิกMOU #MOU4344 #อนุทิน #ปานเทพ #หมอวรงค์ #อธิปไตย #อนุสัญญากรุงเวียนนา
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ถอดรหัสโอกาสทางการตลาด: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากงานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับ

    งานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคาดหวังของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปและการบูรณาการเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่มากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน ผลกระทบทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาของโรคนี้กำลังกระตุ้นให้บริษัทยาและเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าการบำบัดด้วยยาแบบดั้งเดิม การบำบัดพฤติกรรม แพลตฟอร์มดิจิทัล และอุปกรณ์ติดตามแบบสวมใส่ได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวิวัฒนาการนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการรักษาแบบไม่ใช้ยากำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่และสตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้

    อ้างอิง - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545
    อ่านน้อยลง
    ถอดรหัสโอกาสทางการตลาด: ข้อมูลเชิงลึกสำคัญจากงานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับ งานวิจัยตลาดโรคนอนไม่หลับล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคาดหวังของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไปและการบูรณาการเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษา งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโรคนอนไม่หลับส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่มากกว่าหนึ่งในสามทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นและสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน ผลกระทบทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาของโรคนี้กำลังกระตุ้นให้บริษัทยาและเทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมที่ก้าวล้ำกว่าการบำบัดด้วยยาแบบดั้งเดิม การบำบัดพฤติกรรม แพลตฟอร์มดิจิทัล และอุปกรณ์ติดตามแบบสวมใส่ได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในวิวัฒนาการนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการรักษาแบบไม่ใช้ยากำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การแข่งขัน ช่วยให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่และสตาร์ทอัพสามารถเติบโตได้ อ้างอิง - https://www.marketresearchfuture.com/reports/insomnia-market-545 อ่านน้อยลง
    WWW.MARKETRESEARCHFUTURE.COM
    Insomnia Market Size, Trends Analysis, Growth Report 2035
    Insomnia Market growth is projected to reach 8.64 USD billion, at a 5.8% CAGR by driving industry size, share, top company analysis, segments research, trends and forecast report 2024 to 2032.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • 🛳 ล่องเรือชมวิวทะเลกว้างใหญ่แบบ 360°
    ดื่มด่ำกับอาหารนานาชาติ ทั้งไทย และญี่ปุ่น
    เที่ยว 3 เมืองสุดฮิต ครบทั้ง ไต้หวัน – นาฮะ – อิชิกากิ

    แพ็คเกจล่องเรือ Star Navigator

    เส้นทาง จีหลง – นาฮะ – อิชิกากิ – จีหลง

    🗓 เดินทางวันที่ 8 – 13 พฤศจิกายน 2568 (6 วัน 5 คืน)

    ราคาเริ่มต้นเพียง 53,000 บาท
    พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดทริป (เดินทางตั้งแต่ 10 ท่านขึ้นไป)

    รวมพาเที่ยวครบทุกจุดไฮไลต์ในไต้หวัน
    รวมทัวร์บนฝั่ง
    พักบนเรือสำราญสุดหรู 3 คืน
    พักโรงแรมมาตรฐาน 2 คืน

    รวมตั๋วเครื่องบินไป–กลับ กรุงเทพฯ – ไต้หวัน

    รหัสแพคเกจทัวร์ : STCP-JX-6D5N-KEL-KEL-2511081
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/ee9e98

    ดูเรือ Star Cruise ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e20770

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #เรือStarCruise #เรือStarNavigator #StarNavigator #ResortsWorldOne #Asia #Maokong #Naha #Taipei #Japan #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain
    🛳 ล่องเรือชมวิวทะเลกว้างใหญ่แบบ 360° ดื่มด่ำกับอาหารนานาชาติ ทั้งไทย 🍜 และญี่ปุ่น 🍣 เที่ยว 3 เมืองสุดฮิต ครบทั้ง ไต้หวัน – นาฮะ – อิชิกากิ 🌊✨ 📍 แพ็คเกจล่องเรือ Star Navigator เส้นทาง จีหลง – นาฮะ – อิชิกากิ – จีหลง 🗓 เดินทางวันที่ 8 – 13 พฤศจิกายน 2568 (6 วัน 5 คืน) 💥 ราคาเริ่มต้นเพียง 53,000 บาท พร้อมทีมเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดทริป (เดินทางตั้งแต่ 10 ท่านขึ้นไป) ✅ รวมพาเที่ยวครบทุกจุดไฮไลต์ในไต้หวัน ✅ รวมทัวร์บนฝั่ง ✅ พักบนเรือสำราญสุดหรู 3 คืน ✅ พักโรงแรมมาตรฐาน 2 คืน ✈️ รวมตั๋วเครื่องบินไป–กลับ กรุงเทพฯ – ไต้หวัน ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : STCP-JX-6D5N-KEL-KEL-2511081 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/ee9e98 ดูเรือ Star Cruise ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e20770 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #เรือStarCruise #เรือStarNavigator #StarNavigator #ResortsWorldOne #Asia #Maokong #Naha #Taipei #Japan #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • 'ณัฐพงษ์' เรียกร้องนายกฯ ตอบให้ชัด ปมคลิปผีชายแดน จะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อพลเรือนฝั่งตรงข้ามหรือไม่ หวั่นไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก
    https://www.thai-tai.tv/news/21889/
    .
    #ไทยไท #ณัฐพงษ์ #ผู้นำฝ่ายค้าน #คลิปผีชายแดน #กฎอัยการศึก #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง

    'ณัฐพงษ์' เรียกร้องนายกฯ ตอบให้ชัด ปมคลิปผีชายแดน จะส่งผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อพลเรือนฝั่งตรงข้ามหรือไม่ หวั่นไทยเพลี่ยงพล้ำในเวทีโลก https://www.thai-tai.tv/news/21889/ . #ไทยไท #ณัฐพงษ์ #ผู้นำฝ่ายค้าน #คลิปผีชายแดน #กฎอัยการศึก #กฎหมายระหว่างประเทศ #ความมั่นคง
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • https://maps.app.goo.gl/EGbZ7XJuGp7oZ6D26
    https://maps.app.goo.gl/EGbZ7XJuGp7oZ6D26
    MAPS.APP.GOO.GL
    Rent V38 #420 friendly hotel Bangkok · เขตจตุจักร, กรุงเทพมหานคร
    ค้นหาธุรกิจในท้องถิ่น ดูแผนที่ และขอเส้นทางการขับขี่ได้ใน Google Maps
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI สร้างพอดแคสต์ได้เป็นพันรายการ – อุตสาหกรรมเสียงกำลังสั่นคลอน”

    ลองจินตนาการว่าโลกของพอดแคสต์ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจริงจากคนจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงสังเคราะห์จาก AI ที่สามารถผลิตรายการได้เป็นร้อยเป็นพันในเวลาไม่กี่นาที

    นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 เมื่อ Google เปิดตัว “Audio Overview” ระบบสร้างพอดแคสต์จากเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้มนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว และตามมาด้วยคลื่นของสตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft ที่กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว

    ผลลัพธ์คือการผลิตพอดแคสต์แบบ “mass-produced” ที่มีโฮสต์เสมือนจริง พูดได้หลายภาษา ปรับอารมณ์เสียงได้ และสามารถสร้างเนื้อหาตามความต้องการของผู้ฟังได้ทันที

    แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้น มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ที่ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ฟังและโฆษณาแบบดั้งเดิม หลายรายการกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วและต้นทุนต่ำของ AI ได้

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้รสนิยมของผู้ฟังอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การหลั่งไหลของพอดแคสต์จาก AI จะส่งผลกระทบต่อ “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    ในมุมที่กว้างขึ้น นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับคำถามว่า “อะไรคือความจริง” และ “ใครคือผู้เล่าเรื่องที่แท้จริง”

    การเกิดขึ้นของพอดแคสต์จาก AI
    Google เปิดตัว Audio Overview สร้างพอดแคสต์จากเอกสารโดยไม่ใช้มนุษย์
    สตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft เข้าร่วมตลาดอย่างรวดเร็ว
    พอดแคสต์สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาสั้น ด้วยต้นทุนต่ำ

    ความสามารถของพอดแคสต์ AI
    ใช้โฮสต์เสมือนจริงที่ปรับอารมณ์เสียงได้
    รองรับหลายภาษาและสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้ฟัง
    สร้างเนื้อหาแบบออนดีมานด์จากข้อมูลที่มีอยู่

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ
    รายการอิสระที่พึ่งพาผู้ฟังและโฆษณากำลังถูกแย่งพื้นที่
    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอาจลดลง
    ความหลากหลายของเนื้อหาอาจถูกแทนที่ด้วยสูตรสำเร็จจาก AI

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    การผลิตจำนวนมากอาจทำลาย “ศิลปะของการเล่าเรื่อง”
    ความจริงและความเป็นมนุษย์ในเนื้อหาอาจถูกลดทอน
    อุตสาหกรรมสื่อกำลังเผชิญกับคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ

    คำเตือนต่ออนาคตของพอดแคสต์
    พอดแคสต์จาก AI อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีความจริงจากเนื้อหาสังเคราะห์
    ผู้สร้างเนื้อหาจริงอาจถูกลดบทบาทหรือหายไปจากตลาด
    ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองอาจถูกกลืนด้วยอัลกอริธึม
    การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาขาดความลึกและความรู้สึก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/mass-produced-ai-podcasts-disrupt-a-fragile-industry
    🎙️ “เมื่อ AI สร้างพอดแคสต์ได้เป็นพันรายการ – อุตสาหกรรมเสียงกำลังสั่นคลอน” ลองจินตนาการว่าโลกของพอดแคสต์ที่เคยเต็มไปด้วยเสียงจริงจากคนจริง กำลังถูกแทนที่ด้วยเสียงสังเคราะห์จาก AI ที่สามารถผลิตรายการได้เป็นร้อยเป็นพันในเวลาไม่กี่นาที นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 เมื่อ Google เปิดตัว “Audio Overview” ระบบสร้างพอดแคสต์จากเอกสารและข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้มนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว และตามมาด้วยคลื่นของสตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft ที่กระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์คือการผลิตพอดแคสต์แบบ “mass-produced” ที่มีโฮสต์เสมือนจริง พูดได้หลายภาษา ปรับอารมณ์เสียงได้ และสามารถสร้างเนื้อหาตามความต้องการของผู้ฟังได้ทันที แต่ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้น มันกลับสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับอุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ที่ยังคงพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้ฟังและโฆษณาแบบดั้งเดิม หลายรายการกำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพราะไม่สามารถแข่งขันกับความเร็วและต้นทุนต่ำของ AI ได้ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า แม้รสนิยมของผู้ฟังอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่การหลั่งไหลของพอดแคสต์จาก AI จะส่งผลกระทบต่อ “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” และความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในมุมที่กว้างขึ้น นี่คือภาพสะท้อนของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมสื่อทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับคำถามว่า “อะไรคือความจริง” และ “ใครคือผู้เล่าเรื่องที่แท้จริง” ✅ การเกิดขึ้นของพอดแคสต์จาก AI ➡️ Google เปิดตัว Audio Overview สร้างพอดแคสต์จากเอกสารโดยไม่ใช้มนุษย์ ➡️ สตาร์ทอัพอย่าง ElevenLabs และ Wondercraft เข้าร่วมตลาดอย่างรวดเร็ว ➡️ พอดแคสต์สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาสั้น ด้วยต้นทุนต่ำ ✅ ความสามารถของพอดแคสต์ AI ➡️ ใช้โฮสต์เสมือนจริงที่ปรับอารมณ์เสียงได้ ➡️ รองรับหลายภาษาและสามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะกับผู้ฟัง ➡️ สร้างเนื้อหาแบบออนดีมานด์จากข้อมูลที่มีอยู่ ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพอดแคสต์อิสระ ➡️ รายการอิสระที่พึ่งพาผู้ฟังและโฆษณากำลังถูกแย่งพื้นที่ ➡️ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างกับผู้ฟังอาจลดลง ➡️ ความหลากหลายของเนื้อหาอาจถูกแทนที่ด้วยสูตรสำเร็จจาก AI ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ การผลิตจำนวนมากอาจทำลาย “ศิลปะของการเล่าเรื่อง” ➡️ ความจริงและความเป็นมนุษย์ในเนื้อหาอาจถูกลดทอน ➡️ อุตสาหกรรมสื่อกำลังเผชิญกับคำถามเรื่องความน่าเชื่อถือ ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของพอดแคสต์ ⛔ พอดแคสต์จาก AI อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถแยกแยะเนื้อหาที่มีความจริงจากเนื้อหาสังเคราะห์ ⛔ ผู้สร้างเนื้อหาจริงอาจถูกลดบทบาทหรือหายไปจากตลาด ⛔ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองอาจถูกกลืนด้วยอัลกอริธึม ⛔ การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาขาดความลึกและความรู้สึก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/mass-produced-ai-podcasts-disrupt-a-fragile-industry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Mass-produced AI podcasts disrupt a fragile industry
    Artificial intelligence now makes it possible to mass-produce podcasts with completely virtual hosts, a development that is disrupting an industry still finding its footing and operating on a fragile business model.
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • “เกษตรทุเรียนอัจฉริยะ – เมื่อ 5G และเซนเซอร์เปลี่ยนสวนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ”

    ใครจะคิดว่า “ทุเรียน” ผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นแรงและรสชาติเฉพาะตัว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกษตรในมาเลเซีย?

    Tan Han Wei อดีตวิศวกร R&D ผู้หลงใหลในทุเรียน ได้ก่อตั้งบริษัท Sustainable Hrvest เพื่อพัฒนาโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เช่น ทำไมบางจุดในสวนให้ผลผลิตมากกว่าจุดอื่น และจะปรับปรุงพื้นที่ด้อยผลผลิตได้อย่างไร

    คำตอบคือ “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” โดยเขาเริ่มติดตั้งเซนเซอร์ลงดินลึก 30–40 ซม. เพื่อวัดความชื้น, pH, และค่าการนำไฟฟ้าในดิน (EC) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของดิน ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์

    ผลลัพธ์คือการค้นพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น จุดที่มีน้ำขังมากเกินไปซึ่งส่งผลให้รากเน่าและดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลดการรดน้ำและปรับปรุงการระบายน้ำ

    นอกจากนี้ยังมีการตั้งระบบอัตโนมัติให้สปริงเกิลทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C เพื่อป้องกันต้นไม้จากความเครียดจากความร้อน

    แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์หากไม่มี “5G” เพราะการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์คือหัวใจของการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน Tan จึงพัฒนาโซลูชันที่รองรับทั้ง 4G และ LoRaWAN พร้อมอัปเกรดเป็น 5G เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม

    เขายังพัฒนา AI ตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า พร้อมคำแนะนำในการรับมือ ซึ่งตอนนี้มีความแม่นยำราว 70%

    ในอนาคต เขาเสนอแนวคิด “Digital Agronomist” ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล และ “หุ่นยนต์สุนัขลาดตระเวน” ที่สามารถเดินตรวจสวนและนับผลทุเรียนแบบเรียลไทม์

    ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกร Tan เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะพร้อมเปิดรับและปรับตัว

    การใช้เซนเซอร์ในสวนทุเรียน
    วัดค่าความชื้น, pH, และ EC เพื่อประเมินสุขภาพดิน
    ตรวจพบปัญหาน้ำขังที่ส่งผลต่อรากและการดูดซึมสารอาหาร
    ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำ

    ระบบอัตโนมัติและการจัดการอุณหภูมิ
    สปริงเกิลทำงานอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C
    หยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงระดับที่เหมาะสม
    ช่วยลดความเครียดจากความร้อนในต้นทุเรียน

    การใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
    ระบบตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ
    แจ้งเตือนพร้อมคำแนะนำในการรับมือ
    แนวคิด “Digital Agronomist” วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล

    บทบาทของ 5G ในเกษตรอัจฉริยะ
    ช่วยให้การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์เป็นไปได้
    รองรับการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน
    เปิดทางสู่การใช้หุ่นยนต์และการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง

    การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเกษตรกร
    เมื่อเห็นผลลัพธ์จริง เกษตรกรจะเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น
    ปัญหาค่าครองชีพ, สภาพอากาศ, และแรงงานผลักดันให้ต้องปรับตัว
    การใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

    อุปสรรคในการนำ 5G มาใช้จริง
    พื้นที่ห่างไกลยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G และแม้แต่ 4G
    ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์เป็น 5G ยังสูงสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก
    เกษตรกรบางส่วนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ 5G นอกเหนือจากอินเทอร์เน็ตเร็ว
    การขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีอาจทำให้ใช้งานระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/how-smart-sensors-and-5g-are-changing-the-game-for-msian-durian-farmers
    🌱 “เกษตรทุเรียนอัจฉริยะ – เมื่อ 5G และเซนเซอร์เปลี่ยนสวนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติ” ใครจะคิดว่า “ทุเรียน” ผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นแรงและรสชาติเฉพาะตัว จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการเกษตรในมาเลเซีย? Tan Han Wei อดีตวิศวกร R&D ผู้หลงใหลในทุเรียน ได้ก่อตั้งบริษัท Sustainable Hrvest เพื่อพัฒนาโซลูชันเกษตรอัจฉริยะ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรทุเรียนทั่วประเทศ เพื่อเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เช่น ทำไมบางจุดในสวนให้ผลผลิตมากกว่าจุดอื่น และจะปรับปรุงพื้นที่ด้อยผลผลิตได้อย่างไร คำตอบคือ “ข้อมูล” และ “เทคโนโลยี” โดยเขาเริ่มติดตั้งเซนเซอร์ลงดินลึก 30–40 ซม. เพื่อวัดความชื้น, pH, และค่าการนำไฟฟ้าในดิน (EC) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสุขภาพของดิน ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์ ผลลัพธ์คือการค้นพบปัญหาที่ไม่เคยรู้มาก่อน เช่น จุดที่มีน้ำขังมากเกินไปซึ่งส่งผลให้รากเน่าและดูดซึมสารอาหารไม่ได้ เขาจึงแนะนำให้ลดการรดน้ำและปรับปรุงการระบายน้ำ นอกจากนี้ยังมีการตั้งระบบอัตโนมัติให้สปริงเกิลทำงานเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C เพื่อป้องกันต้นไม้จากความเครียดจากความร้อน แต่ทั้งหมดนี้จะไร้ประโยชน์หากไม่มี “5G” เพราะการเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์คือหัวใจของการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน Tan จึงพัฒนาโซลูชันที่รองรับทั้ง 4G และ LoRaWAN พร้อมอัปเกรดเป็น 5G เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อม เขายังพัฒนา AI ตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ เพื่อแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า พร้อมคำแนะนำในการรับมือ ซึ่งตอนนี้มีความแม่นยำราว 70% ในอนาคต เขาเสนอแนวคิด “Digital Agronomist” ที่ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล และ “หุ่นยนต์สุนัขลาดตระเวน” ที่สามารถเดินตรวจสวนและนับผลทุเรียนแบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของเกษตรกร Tan เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเห็นว่าเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาได้จริง พวกเขาจะพร้อมเปิดรับและปรับตัว ✅ การใช้เซนเซอร์ในสวนทุเรียน ➡️ วัดค่าความชื้น, pH, และ EC เพื่อประเมินสุขภาพดิน ➡️ ตรวจพบปัญหาน้ำขังที่ส่งผลต่อรากและการดูดซึมสารอาหาร ➡️ ข้อมูลถูกส่งขึ้นคลาวด์เพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำ ✅ ระบบอัตโนมัติและการจัดการอุณหภูมิ ➡️ สปริงเกิลทำงานอัตโนมัติเมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 35°C ➡️ หยุดทำงานเมื่ออุณหภูมิลดลงถึงระดับที่เหมาะสม ➡️ ช่วยลดความเครียดจากความร้อนในต้นทุเรียน ✅ การใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ➡️ ระบบตรวจจับศัตรูพืชผ่านกล้องและการวิเคราะห์รูปแบบ ➡️ แจ้งเตือนพร้อมคำแนะนำในการรับมือ ➡️ แนวคิด “Digital Agronomist” วิเคราะห์ข้อมูลจากระยะไกล ✅ บทบาทของ 5G ในเกษตรอัจฉริยะ ➡️ ช่วยให้การเชื่อมต่อแบบเรียลไทม์เป็นไปได้ ➡️ รองรับการจัดการฟาร์มขนาดใหญ่และซับซ้อน ➡️ เปิดทางสู่การใช้หุ่นยนต์และการสตรีมวิดีโอความละเอียดสูง ✅ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเกษตรกร ➡️ เมื่อเห็นผลลัพธ์จริง เกษตรกรจะเปิดรับเทคโนโลยีมากขึ้น ➡️ ปัญหาค่าครองชีพ, สภาพอากาศ, และแรงงานผลักดันให้ต้องปรับตัว ➡️ การใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ‼️ อุปสรรคในการนำ 5G มาใช้จริง ⛔ พื้นที่ห่างไกลยังขาดโครงสร้างพื้นฐาน 5G และแม้แต่ 4G ⛔ ค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดอุปกรณ์เป็น 5G ยังสูงสำหรับฟาร์มขนาดเล็ก ⛔ เกษตรกรบางส่วนยังไม่เข้าใจศักยภาพของ 5G นอกเหนือจากอินเทอร์เน็ตเร็ว ⛔ การขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีอาจทำให้ใช้งานระบบได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/how-smart-sensors-and-5g-are-changing-the-game-for-msian-durian-farmers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How smart sensors and 5G are changing the game for M’sian durian farmers
    Trees can't speak, so durian farmers in Malaysia are turning to digital tools to better understand their needs and boost their yields.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “Delta Force ปลุกกระแสเกมยิงในจีน – Tencent ปรับกลยุทธ์สู่เวทีโลก”

    ใครจะคิดว่าเกมยิงจากจีนจะกลายเป็นกระแสระดับโลก? Tencent ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเกมจีน กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่หลังจาก “Delta Force” เกมยิงแนว extraction shooter กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2024 ด้วยยอดผู้เล่นแตะ 30 ล้านคนต่อวัน

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Leo Yao นักพัฒนาเกมที่เคยทำงานกับ Electronic Arts และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีม J3 Studio ของ Tencent เขาใช้ประสบการณ์จากการพัฒนา Call of Duty เวอร์ชันมือถือ มาผสมผสานแนวเกมต่าง ๆ จนเกิดเป็น Delta Force ที่มีทั้งโหมด extraction, battleground และเนื้อเรื่องแบบแคมเปญ

    ความสำเร็จในจีนทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแนวเกมยิงที่เคยถูกครองโดยผู้พัฒนาจากตะวันตก เช่น Valve, Activision และ Ubisoft

    Tencent ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเกม แต่ยังลงทุนในกลยุทธ์การตลาดแบบ localized เช่น การจับมือกับแบรนด์โจ๊กแปดเซียน เพื่อสื่อถึงความหลากหลายของเกม และกำลังจ้างทีมงานใหม่เพื่อเข้าใจผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้น

    ในภาพรวม นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ Tencent จากผู้จัดจำหน่าย ไปสู่ผู้สร้างเกมต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

    ความสำเร็จของ Delta Force
    เกมยิงแนว extraction shooter ที่ผสมโหมด battleground และแคมเปญ
    มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคนต่อวันในจีน
    ได้รับความนิยมจากการออกแบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย

    การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Tencent
    มุ่งเน้นการสร้างเกมต้นฉบับแทนการซื้อกิจการ
    ต้องการเป็นผู้สร้างเกมที่มีเอกลักษณ์แบบ Valve
    ลงทุนในทีมงานใหม่เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ
    ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ localized เพื่อเข้าถึงผู้เล่นในแต่ละภูมิภาค

    ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเกมจีน
    ผู้เล่นจีนเริ่มหันมาเล่นเกม PC และเกมยิงมากขึ้น
    ตลาดเกมยิงมีมูลค่าราว 9% ของอุตสาหกรรมเกมโลก
    Tencent มีหุ้นในเกมดังอย่าง Fortnite, PUBG และ Far Cry

    ความท้าทายในการเจาะตลาดโลก
    ทีมงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนจีน ทำให้เข้าใจผู้เล่นต่างชาติได้ยาก
    ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ในการสื่อสารและออกแบบเกม
    ใช้การฟังเสียงผู้เล่นผ่าน influencer และการวิเคราะห์ข้อมูล

    คำเตือนสำหรับ Tencent และผู้พัฒนาเกมจีน
    การขาดความเข้าใจวัฒนธรรมผู้เล่นต่างประเทศ อาจทำให้เกมไม่ถูกใจตลาด
    ความเชื่อเดิมว่า “เกมยิงคือของตะวันตก” อาจเป็นอุปสรรคทางจิตวิทยา
    การพึ่งพาความสำเร็จในจีนมากเกินไป อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดโลก
    ความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ “ลอกเลียนแบบ” ที่ยังติดอยู่ในสายตาผู้เล่นบางกลุ่ม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/tencents-delta-force-success-shifts-focus-to-shooting-games
    🎮 “Delta Force ปลุกกระแสเกมยิงในจีน – Tencent ปรับกลยุทธ์สู่เวทีโลก” ใครจะคิดว่าเกมยิงจากจีนจะกลายเป็นกระแสระดับโลก? Tencent ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการเกมจีน กำลังเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่หลังจาก “Delta Force” เกมยิงแนว extraction shooter กลายเป็นปรากฏการณ์ในปี 2024 ด้วยยอดผู้เล่นแตะ 30 ล้านคนต่อวัน เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ Leo Yao นักพัฒนาเกมที่เคยทำงานกับ Electronic Arts และปัจจุบันเป็นหัวหน้าทีม J3 Studio ของ Tencent เขาใช้ประสบการณ์จากการพัฒนา Call of Duty เวอร์ชันมือถือ มาผสมผสานแนวเกมต่าง ๆ จนเกิดเป็น Delta Force ที่มีทั้งโหมด extraction, battleground และเนื้อเรื่องแบบแคมเปญ ความสำเร็จในจีนทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสใหม่ในตลาดโลก โดยเฉพาะในแนวเกมยิงที่เคยถูกครองโดยผู้พัฒนาจากตะวันตก เช่น Valve, Activision และ Ubisoft Tencent ไม่ได้หยุดแค่การพัฒนาเกม แต่ยังลงทุนในกลยุทธ์การตลาดแบบ localized เช่น การจับมือกับแบรนด์โจ๊กแปดเซียน เพื่อสื่อถึงความหลากหลายของเกม และกำลังจ้างทีมงานใหม่เพื่อเข้าใจผู้เล่นต่างประเทศมากขึ้น ในภาพรวม นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ของ Tencent จากผู้จัดจำหน่าย ไปสู่ผู้สร้างเกมต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ✅ ความสำเร็จของ Delta Force ➡️ เกมยิงแนว extraction shooter ที่ผสมโหมด battleground และแคมเปญ ➡️ มีผู้เล่นกว่า 30 ล้านคนต่อวันในจีน ➡️ ได้รับความนิยมจากการออกแบบที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย ✅ การเปลี่ยนกลยุทธ์ของ Tencent ➡️ มุ่งเน้นการสร้างเกมต้นฉบับแทนการซื้อกิจการ ➡️ ต้องการเป็นผู้สร้างเกมที่มีเอกลักษณ์แบบ Valve ➡️ ลงทุนในทีมงานใหม่เพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ ➡️ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ localized เพื่อเข้าถึงผู้เล่นในแต่ละภูมิภาค ✅ ความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมเกมจีน ➡️ ผู้เล่นจีนเริ่มหันมาเล่นเกม PC และเกมยิงมากขึ้น ➡️ ตลาดเกมยิงมีมูลค่าราว 9% ของอุตสาหกรรมเกมโลก ➡️ Tencent มีหุ้นในเกมดังอย่าง Fortnite, PUBG และ Far Cry ✅ ความท้าทายในการเจาะตลาดโลก ➡️ ทีมงานส่วนใหญ่ยังเป็นคนจีน ทำให้เข้าใจผู้เล่นต่างชาติได้ยาก ➡️ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ในการสื่อสารและออกแบบเกม ➡️ ใช้การฟังเสียงผู้เล่นผ่าน influencer และการวิเคราะห์ข้อมูล ‼️ คำเตือนสำหรับ Tencent และผู้พัฒนาเกมจีน ⛔ การขาดความเข้าใจวัฒนธรรมผู้เล่นต่างประเทศ อาจทำให้เกมไม่ถูกใจตลาด ⛔ ความเชื่อเดิมว่า “เกมยิงคือของตะวันตก” อาจเป็นอุปสรรคทางจิตวิทยา ⛔ การพึ่งพาความสำเร็จในจีนมากเกินไป อาจไม่เพียงพอสำหรับตลาดโลก ⛔ ความเสี่ยงจากภาพลักษณ์ “ลอกเลียนแบบ” ที่ยังติดอยู่ในสายตาผู้เล่นบางกลุ่ม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/13/tencents-delta-force-success-shifts-focus-to-shooting-games
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Tencent's 'Delta Force' success shifts focus to shooting games
    For more than a decade, Tencent Holdings Ltd developer Leo Yao toiled in relative anonymity, churning out one shooting game after another. Then he scored one of the biggest Chinese hits of 2024 with Delta Force, a game that continues to attract 30 million players daily.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน”

    ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน)

    บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust

    ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง

    จุดอ่อนของ CIA Triad
    โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล
    ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI
    ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว”

    ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว
    Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience”
    Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
    การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์

    โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model
    Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience
    Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance
    Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้
    โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์

    ประโยชน์ของ 3C Model
    ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR
    ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน
    เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

    คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad
    ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้
    เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน
    อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง
    การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม

    https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    🧠 “CIA Triad หมดเวลาแล้ว – ยุคใหม่ของ Cybersecurity ต้องคิดลึกกว่าความลับ ความถูกต้อง และความพร้อมใช้งาน” ลองจินตนาการว่าองค์กรของคุณกำลังเผชิญกับภัยคุกคามจาก ransomware, deepfake, หรือการโจมตีผ่านซัพพลายเชน แต่ระบบความปลอดภัยที่ใช้อยู่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าแก่จากยุคสงครามเย็นที่เรียกว่า “CIA Triad” ซึ่งประกอบด้วย Confidentiality (ความลับ), Integrity (ความถูกต้อง), และ Availability (ความพร้อมใช้งาน) บทความจาก CSO Online โดย Loris Gutic ได้ชี้ให้เห็นว่าโมเดลนี้ไม่สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่ได้อีกต่อไป และเสนอโมเดลใหม่ที่เรียกว่า “3C Model” ซึ่งประกอบด้วย Core, Complementary และ Contextual เพื่อสร้างระบบความปลอดภัยที่มีชั้นเชิงและตอบโจทย์โลกยุค AI และ Zero Trust ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ความเสียหายจาก cybercrime ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ และองค์กรที่ยังยึดติดกับโมเดลเก่าอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทั้งข้อมูล ความเชื่อมั่น และชื่อเสียงอย่างรุนแรง ✅ จุดอ่อนของ CIA Triad ➡️ โมเดลนี้ถูกออกแบบมาในยุค 1970s สำหรับระบบทหารและรัฐบาล ➡️ ไม่สามารถรองรับภัยคุกคามใหม่ เช่น deepfake, ransomware, หรือการโจมตีผ่าน AI ➡️ ขาดภาษาที่ใช้สื่อสารเรื่อง “ความถูกต้องแท้จริง” หรือ “ความยืดหยุ่นในการฟื้นตัว” ✅ ตัวอย่างที่ CIA Triad ล้มเหลว ➡️ Ransomware ไม่ใช่แค่ปัญหาความพร้อมใช้งาน แต่คือการขาด “resilience” ➡️ Deepfake อาจมี integrity ที่สมบูรณ์ แต่ขาด authenticity ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ➡️ การพยายามยัดแนวคิดใหม่เข้าไปในโครงสร้างเก่า ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ประโยชน์ ✅ โมเดลใหม่: 3C Layered Information Security Model ➡️ Core: ความเชื่อมั่นทางเทคนิค เช่น authenticity, accountability, resilience ➡️ Complementary: การกำกับดูแล เช่น privacy by design, data provenance ➡️ Contextual: ผลกระทบต่อสังคม เช่น safety ในโครงสร้างพื้นฐาน, ความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ➡️ โมเดลนี้ช่วยให้ CISO พูดกับบอร์ดได้ในภาษาของธุรกิจ ไม่ใช่แค่ไฟร์วอลล์ ✅ ประโยชน์ของ 3C Model ➡️ ช่วยจัดระเบียบจากความวุ่นวายของ framework ต่าง ๆ เช่น ISO, NIST, GDPR ➡️ ทำให้สามารถ “map once, satisfy many” ลดงานซ้ำซ้อน ➡️ เปลี่ยนบทบาทของ CISO จากช่างเทคนิคเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กรที่ยังใช้ CIA Triad ⛔ ไม่สามารถรับมือกับ Zero Trust หรือกฎหมาย AI ใหม่ ๆ ได้ ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีที่ซับซ้อน เช่น deepfake หรือการเจาะผ่านซัพพลายเชน ⛔ อาจทำให้บอร์ดบริหารเข้าใจผิดว่าระบบปลอดภัย ทั้งที่จริงมีช่องโหว่ร้ายแรง ⛔ การไม่ปรับเปลี่ยนโมเดล อาจทำให้องค์กรสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและสังคม https://www.csoonline.com/article/4070548/the-cia-triad-is-dead-stop-using-a-cold-war-relic-to-fight-21st-century-threats.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CIA triad is dead — stop using a Cold War relic to fight 21st century threats
    CISOs stuck on CIA must accept reality: The world has shifted, and our cybersecurity models must shift, too. We need a model that is layered, contextual, and built for survival.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • “ปกป้องข้อมูลในยุคคลาวด์ผสม – เลือกแพลตฟอร์มให้มั่นใจว่าไม่พังตอนวิกฤต”

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีข้อมูลกระจายอยู่ทั่วทุกที่—จากอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงคลาวด์หลายเจ้า ทั้ง AWS, Azure และ Google Cloud แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ransomware โจมตี หรือไฟดับจากภัยธรรมชาติ… ข้อมูลสำคัญจะยังปลอดภัยหรือไม่?

    นั่นคือเหตุผลที่ “แพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล” (Data Protection Platform) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ hybrid cloud ซึ่งผสมผสานระหว่างคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร

    บทความนี้จาก CSO Online ได้เจาะลึกว่าองค์กรควรมองหาอะไรในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล พร้อมแนวโน้มล่าสุดในตลาด และคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนตัดสินใจซื้อ

    นอกจากนี้ ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ตลาด Data Protection ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 136 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตถึง 610 พันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบริการแบบ DPaaS (Data Protection as a Service) ที่มาแรงสุด ๆ เพราะองค์กรไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความจำเป็นของการปกป้องข้อมูลใน hybrid cloud
    ข้อมูลองค์กรกระจายอยู่ในหลายระบบ ทั้ง IoT, edge, endpoint และคลาวด์
    60% ของข้อมูลองค์กรอยู่ในคลาวด์ และ 80% ใช้ hybrid cloud
    ความเสี่ยงจาก ransomware, ภัยธรรมชาติ, กฎหมายความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าผิดพลาด

    ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมีในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล
    การค้นหาและจัดประเภทข้อมูล (Data Discovery & Classification)
    การประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment)
    การเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลสูญหาย (Encryption, DLP, CASB)
    การตรวจสอบและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Monitoring & Analytics)
    การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control)
    การตรวจสอบและรายงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย (Audit & Compliance)
    ความสามารถในการขยายระบบและรองรับการทำงานหนัก (Scalability & Performance)
    ระบบอัตโนมัติที่ลดงานคนและเพิ่มความเร็วในการกู้คืน (Automation)

    แนวโน้มตลาดและผู้ให้บริการชั้นนำ
    DPaaS เติบโตเร็วที่สุดในตลาด เพราะองค์กรต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องดูแลเอง
    ผู้เล่นหลัก ได้แก่ AWS, Cisco, Dell, HPE, IBM
    ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล เช่น Cohesity, Commvault, Druva, Veritas

    คำถามที่ควรถามก่อนเลือกแพลตฟอร์ม
    ข้อมูลของเรามีอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน และสำคัญแค่ไหน
    ระบบสามารถป้องกัน ransomware ได้หรือไม่
    รองรับการกู้คืนได้เร็วแค่ไหน
    มีระบบอัตโนมัติและการทดสอบ disaster recovery หรือไม่
    มีการรายงานและวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหรือไม่
    ราคาและ ROI คุ้มค่าหรือเปล่า

    https://www.csoonline.com/article/4071098/what-to-look-for-in-a-data-protection-platform-for-hybrid-clouds.html
    🛡️ “ปกป้องข้อมูลในยุคคลาวด์ผสม – เลือกแพลตฟอร์มให้มั่นใจว่าไม่พังตอนวิกฤต” ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณมีข้อมูลกระจายอยู่ทั่วทุกที่—จากอุปกรณ์ IoT ไปจนถึงคลาวด์หลายเจ้า ทั้ง AWS, Azure และ Google Cloud แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุไม่คาดฝัน เช่น ransomware โจมตี หรือไฟดับจากภัยธรรมชาติ… ข้อมูลสำคัญจะยังปลอดภัยหรือไม่? นั่นคือเหตุผลที่ “แพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล” (Data Protection Platform) กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบ hybrid cloud ซึ่งผสมผสานระหว่างคลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร บทความนี้จาก CSO Online ได้เจาะลึกว่าองค์กรควรมองหาอะไรในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล พร้อมแนวโน้มล่าสุดในตลาด และคำถามสำคัญที่ควรถามก่อนตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ ผมขอเสริมว่าในปี 2025 ตลาด Data Protection ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 136 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเติบโตถึง 610 พันล้านในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉพาะบริการแบบ DPaaS (Data Protection as a Service) ที่มาแรงสุด ๆ เพราะองค์กรไม่ต้องดูแลเองทั้งหมด 🔍 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความจำเป็นของการปกป้องข้อมูลใน hybrid cloud ➡️ ข้อมูลองค์กรกระจายอยู่ในหลายระบบ ทั้ง IoT, edge, endpoint และคลาวด์ ➡️ 60% ของข้อมูลองค์กรอยู่ในคลาวด์ และ 80% ใช้ hybrid cloud ➡️ ความเสี่ยงจาก ransomware, ภัยธรรมชาติ, กฎหมายความเป็นส่วนตัว และการตั้งค่าผิดพลาด ✅ ฟีเจอร์สำคัญที่ควรมีในแพลตฟอร์มปกป้องข้อมูล ➡️ การค้นหาและจัดประเภทข้อมูล (Data Discovery & Classification) ➡️ การประเมินช่องโหว่ (Vulnerability Assessment) ➡️ การเข้ารหัสและป้องกันข้อมูลสูญหาย (Encryption, DLP, CASB) ➡️ การตรวจสอบและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ (Monitoring & Analytics) ➡️ การควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง (Access Control) ➡️ การตรวจสอบและรายงานเพื่อความสอดคล้องกับกฎหมาย (Audit & Compliance) ➡️ ความสามารถในการขยายระบบและรองรับการทำงานหนัก (Scalability & Performance) ➡️ ระบบอัตโนมัติที่ลดงานคนและเพิ่มความเร็วในการกู้คืน (Automation) ✅ แนวโน้มตลาดและผู้ให้บริการชั้นนำ ➡️ DPaaS เติบโตเร็วที่สุดในตลาด เพราะองค์กรต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องดูแลเอง ➡️ ผู้เล่นหลัก ได้แก่ AWS, Cisco, Dell, HPE, IBM ➡️ ผู้ให้บริการที่ครอบคลุมทั้งความปลอดภัยและการสำรองข้อมูล เช่น Cohesity, Commvault, Druva, Veritas ✅ คำถามที่ควรถามก่อนเลือกแพลตฟอร์ม ➡️ ข้อมูลของเรามีอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน และสำคัญแค่ไหน ➡️ ระบบสามารถป้องกัน ransomware ได้หรือไม่ ➡️ รองรับการกู้คืนได้เร็วแค่ไหน ➡️ มีระบบอัตโนมัติและการทดสอบ disaster recovery หรือไม่ ➡️ มีการรายงานและวิเคราะห์ที่ครอบคลุมหรือไม่ ➡️ ราคาและ ROI คุ้มค่าหรือเปล่า https://www.csoonline.com/article/4071098/what-to-look-for-in-a-data-protection-platform-for-hybrid-clouds.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What to look for in a data protection platform for hybrid clouds
    To safeguard enterprise data in hybrid cloud environments, organizations need to apply basic data security techniques such as encryption, data-loss prevention (DLP), secure web gateways (SWGs), and cloud-access security brokers (CASBs). But such security is just the start; they also need data protection beyond security.
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก”

    ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน

    Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak”

    แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน

    พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน

    ระบบ Guardrails ของ OpenAI
    เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI
    ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา
    มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย

    ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ
    นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก
    เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน
    มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ

    ผลกระทบต่อความปลอดภัย
    ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย
    องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี

    คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI
    ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง
    ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก
    ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย

    ความเสี่ยงในอนาคต
    หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร

    https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    📰 “เมื่อ AI ป้องกันตัวเองไม่ได้ – ช่องโหว่ Guardrails ของ OpenAI ถูกเจาะด้วยคำสั่งหลอก” ลองจินตนาการว่าเราสร้างระบบรักษาความปลอดภัยให้บ้าน แล้วใช้คนออกแบบบ้านเป็นคนตรวจสอบความปลอดภัยเอง… นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับระบบ Guardrails ของ OpenAI ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน Guardrails เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ AI ทำสิ่งที่เป็นอันตราย เช่น การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว หรือการตอบสนองต่อคำสั่งที่พยายาม “หลอก” ให้ AI ละเมิดกฎของตัวเอง ซึ่งเรียกว่า “Prompt Injection” หรือ “Jailbreak” แต่สิ่งที่นักวิจัยจากบริษัท HiddenLayer พบคือ ระบบนี้สามารถถูกหลอกได้ง่ายอย่างน่าตกใจ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Same Model, Different Hat” คือใช้โมเดลเดียวกันทั้งในการตอบคำถามและในการตรวจสอบความปลอดภัย ซึ่งทำให้สามารถหลอกได้ทั้งสองส่วนพร้อมกัน พวกเขาสามารถทำให้ระบบตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก และยังสามารถหลอกให้ระบบเชื่อว่าคำสั่งนั้นปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วเป็นการเจาะระบบอย่างแนบเนียน ✅ ระบบ Guardrails ของ OpenAI ➡️ เป็นเครื่องมือใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการละเมิดกฎโดย AI ➡️ ใช้โมเดล AI เป็น “ผู้พิพากษา” เพื่อตรวจสอบคำสั่งที่เข้ามา ➡️ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและการตอบสนองต่อคำสั่งอันตราย ✅ ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบ ➡️ นักวิจัยสามารถหลอกระบบให้ตอบสนองต่อคำสั่งที่ควรถูกบล็อก ➡️ เทคนิค “Same Model, Different Hat” ทำให้ระบบตรวจสอบและตอบคำสั่งถูกหลอกพร้อมกัน ➡️ มีการเจาะผ่าน “Indirect Prompt Injection” ที่ซ่อนอยู่ในคำสั่งหรือการเรียกใช้เครื่องมือ ✅ ผลกระทบต่อความปลอดภัย ➡️ ระบบให้ความมั่นใจผิด ๆ ว่าปลอดภัย ➡️ องค์กรที่ใช้ AI อาจเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลหรือการถูกโจมตี ‼️ คำเตือนสำหรับผู้พัฒนาและผู้ใช้งาน AI ⛔ ไม่ควรใช้โมเดลเดียวกันในการตรวจสอบและตอบสนองคำสั่ง ⛔ ต้องมีระบบตรวจสอบภายนอกที่เป็นอิสระจากตัวโมเดลหลัก ⛔ ควรทดสอบระบบอย่างต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงในอนาคต ⛔ หากไม่แก้ไข ช่องโหว่เหล่านี้อาจถูกใช้ในการโจมตีจริง ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบป้องกันที่แข็งแรง อาจนำไปสู่ความเสียหายระดับองค์กร https://hackread.com/openai-guardrails-bypass-prompt-injection-attack/
    HACKREAD.COM
    OpenAI’s Guardrails Can Be Bypassed by Simple Prompt Injection Attack
    Follow us on Blue Sky, Mastodon Twitter, Facebook and LinkedIn @Hackread
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • วัส ติงสมิตร ตั้งคำถาม นักการเมือง-นักสิทธิฯ เผยแพร่ข้อกล่าวหากัมพูชา หวั่น "ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร"
    https://www.thai-tai.tv/news/21888/
    .
    #ไทยไท #วัสติงสมิตร #การทรมานทางจิตใจ #เสียงผีชายแดน #อนุสัญญาCAT #กฎหมายสิทธิมนุษยชน

    วัส ติงสมิตร ตั้งคำถาม นักการเมือง-นักสิทธิฯ เผยแพร่ข้อกล่าวหากัมพูชา หวั่น "ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร" https://www.thai-tai.tv/news/21888/ . #ไทยไท #วัสติงสมิตร #การทรมานทางจิตใจ #เสียงผีชายแดน #อนุสัญญาCAT #กฎหมายสิทธิมนุษยชน
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
More Results