• ข่าวนี้พูดถึงการเปิดตัวหน่วยประมวลผลฝังตัวรุ่นใหม่ของ AMD ในตระกูล EPYC Embedded 9005 "Turin" ซึ่งออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์และการใช้งานในระดับองค์กร โดยโปรเซสเซอร์เหล่านี้ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และ Zen 5c ซึ่งเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดของ AMD ในขณะนี้

    ความน่าสนใจของรุ่นนี้คือ การที่มันมาในรูปแบบ BGA (Ball Grid Array) ที่ไม่สามารถเปลี่ยนหรืออัปเกรดได้ ทำให้เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงโดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Non-Transparent Bridging (NTB) ซึ่งช่วยถ่ายโอนข้อมูลระหว่างโปรเซสเซอร์สองตัวได้อย่างรวดเร็วผ่าน PCI-Express 5.0 x16 อีกทั้งยังมีระบบ DRAM flush สำหรับลดผลกระทบจากการสูญเสียพลังงาน โดยสามารถบันทึกข้อมูลจาก DRAM ลงใน NVMe SSD เพื่อกู้คืนข้อมูลได้ในภายหลัง

    ตัวโปรเซสเซอร์ในซีรีส์นี้มีให้เลือกตั้งแต่ 8 คอร์ไปจนถึง 192 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาดสูงสุดถึง 512 MB และช่องหน่วยความจำ DDR5 ถึง 12 ช่อง ทำให้สามารถรองรับแบนด์วิดท์ได้สูงถึง 614 GB/s นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งานผ่านการฝังระบบปฏิบัติการแบบเบาไว้ในแฟลช ROM ขนาด 64 MB เพื่อช่วยในกระบวนการบูตระบบได้อย่างรวดเร็ว

    ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ AMD นำเสนอเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องการการประมวลผลสูง แต่ยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากระบบขัดข้องหรือพลังงานหมดในกระบวนการทำงาน

    https://www.techpowerup.com/333913/amd-launches-the-epyc-embedded-9005-turin-family-of-server-processors
    ข่าวนี้พูดถึงการเปิดตัวหน่วยประมวลผลฝังตัวรุ่นใหม่ของ AMD ในตระกูล EPYC Embedded 9005 "Turin" ซึ่งออกแบบมาสำหรับเซิร์ฟเวอร์และการใช้งานในระดับองค์กร โดยโปรเซสเซอร์เหล่านี้ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และ Zen 5c ซึ่งเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดของ AMD ในขณะนี้ ความน่าสนใจของรุ่นนี้คือ การที่มันมาในรูปแบบ BGA (Ball Grid Array) ที่ไม่สามารถเปลี่ยนหรืออัปเกรดได้ ทำให้เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงโดยไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ นอกจากนี้ ยังรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่าง Non-Transparent Bridging (NTB) ซึ่งช่วยถ่ายโอนข้อมูลระหว่างโปรเซสเซอร์สองตัวได้อย่างรวดเร็วผ่าน PCI-Express 5.0 x16 อีกทั้งยังมีระบบ DRAM flush สำหรับลดผลกระทบจากการสูญเสียพลังงาน โดยสามารถบันทึกข้อมูลจาก DRAM ลงใน NVMe SSD เพื่อกู้คืนข้อมูลได้ในภายหลัง ตัวโปรเซสเซอร์ในซีรีส์นี้มีให้เลือกตั้งแต่ 8 คอร์ไปจนถึง 192 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาดสูงสุดถึง 512 MB และช่องหน่วยความจำ DDR5 ถึง 12 ช่อง ทำให้สามารถรองรับแบนด์วิดท์ได้สูงถึง 614 GB/s นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่นในการใช้งานผ่านการฝังระบบปฏิบัติการแบบเบาไว้ในแฟลช ROM ขนาด 64 MB เพื่อช่วยในกระบวนการบูตระบบได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ AMD นำเสนอเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมเซิร์ฟเวอร์และองค์กร เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องการการประมวลผลสูง แต่ยังลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากระบบขัดข้องหรือพลังงานหมดในกระบวนการทำงาน https://www.techpowerup.com/333913/amd-launches-the-epyc-embedded-9005-turin-family-of-server-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Launches the EPYC Embedded 9005 "Turin" Family of Server Processors
    AMD today launched the EPYC Embedded 9005 line of server processors in the embedded form-factor. These are non-socketed variants of the EPYC 9005 "Turin" server processors. The chips are intended for servers and other enterprise applications where processor replacements or upgradability are not a co...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทนี้พูดถึงการเปรียบเทียบสองระบบปฏิบัติการ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu และ Debian ที่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย Ubuntu พัฒนาต่อมาจาก Debian แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในหลายด้านที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถช่วยผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกใช้งานระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับความต้องการได้

    จุดเด่นและข้อแตกต่างสำคัญ
    1) ปรัชญาการพัฒนา Debian เน้นความมั่นคงและหลักการของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในความเสถียร ขณะที่ Ubuntu มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและรองรับซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย รวมถึงซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์

    2) รอบการออกเวอร์ชัน Debian ใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อการอัพเดตแต่ละครั้งเพื่อความมั่นคง ส่วน Ubuntu มีการอัพเดตทุก 6 เดือน และมี Long-Term Support (LTS) ทุก 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัย

    3) การใช้งานที่ง่าย Ubuntu ได้รับการยกย่องว่าใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการ Linux เหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ Debian อาจต้องการความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยก่อนใช้งาน

    4) การจัดการแพ็คเกจซอฟต์แวร์ Debian ให้ความสำคัญกับความเสถียรของซอฟต์แวร์ แต่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากกว่า เนื่องจากสนับสนุน Snap ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้สะดวก

    5) การสนับสนุน Debian อาศัยการสนับสนุนจากชุมชน ส่วน Ubuntu มีทั้งการสนับสนุนแบบมืออาชีพจาก Canonical และชุมชน

    6) ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับระบบ Debian มีซอฟต์แวร์น้อยและเป็นระบบเบา ในขณะที่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์หลากหลาย พร้อมด้วยไดรเวอร์และโค้ดสำหรับใช้งานทันที

    7) การจัดการสิทธิ์ Root Debian ต้องเพิ่มผู้ใช้งานในกลุ่ม sudo เอง แต่ Ubuntu ตั้งค่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

    Debian ถูกเรียกว่า "ต้นน้ำของ Linux" เพราะมีระบบปฏิบัติการอื่น ๆ พัฒนาต่อจากมันจำนวนมาก รวมถึง Ubuntu และสายพันธุ์ย่อยของ Ubuntu เช่น Ubuntu Budgie

    สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้งาน หากคุณเป็นมือใหม่ Ubuntu อาจเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงและมีความรู้ด้านเทคนิคเล็กน้อย Debian ก็น่าสนใจมาก

    https://www.zdnet.com/article/ubuntu-vs-debian-7-key-differences-help-determine-which-distro-is-right-for-you/
    บทนี้พูดถึงการเปรียบเทียบสองระบบปฏิบัติการ Linux ยอดนิยมอย่าง Ubuntu และ Debian ที่ถึงแม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน โดย Ubuntu พัฒนาต่อมาจาก Debian แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างในหลายด้านที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถช่วยผู้ใช้งานตัดสินใจเลือกใช้งานระบบปฏิบัติการที่เหมาะสมกับความต้องการได้ จุดเด่นและข้อแตกต่างสำคัญ 1) ปรัชญาการพัฒนา Debian เน้นความมั่นคงและหลักการของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ในความเสถียร ขณะที่ Ubuntu มุ่งเน้นการใช้งานที่ง่ายและรองรับซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย รวมถึงซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์ 2) รอบการออกเวอร์ชัน Debian ใช้เวลาประมาณ 2 ปีต่อการอัพเดตแต่ละครั้งเพื่อความมั่นคง ส่วน Ubuntu มีการอัพเดตทุก 6 เดือน และมี Long-Term Support (LTS) ทุก 2 ปี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความทันสมัย 3) การใช้งานที่ง่าย Ubuntu ได้รับการยกย่องว่าใช้งานง่ายที่สุดในบรรดาระบบปฏิบัติการ Linux เหมาะสำหรับมือใหม่ ในขณะที่ Debian อาจต้องการความเข้าใจพื้นฐานเล็กน้อยก่อนใช้งาน 4) การจัดการแพ็คเกจซอฟต์แวร์ Debian ให้ความสำคัญกับความเสถียรของซอฟต์แวร์ แต่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์ให้เลือกใช้งานมากกว่า เนื่องจากสนับสนุน Snap ทำให้ติดตั้งซอฟต์แวร์ได้สะดวก 5) การสนับสนุน Debian อาศัยการสนับสนุนจากชุมชน ส่วน Ubuntu มีทั้งการสนับสนุนแบบมืออาชีพจาก Canonical และชุมชน 6) ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมากับระบบ Debian มีซอฟต์แวร์น้อยและเป็นระบบเบา ในขณะที่ Ubuntu มีซอฟต์แวร์หลากหลาย พร้อมด้วยไดรเวอร์และโค้ดสำหรับใช้งานทันที 7) การจัดการสิทธิ์ Root Debian ต้องเพิ่มผู้ใช้งานในกลุ่ม sudo เอง แต่ Ubuntu ตั้งค่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้อัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน Debian ถูกเรียกว่า "ต้นน้ำของ Linux" เพราะมีระบบปฏิบัติการอื่น ๆ พัฒนาต่อจากมันจำนวนมาก รวมถึง Ubuntu และสายพันธุ์ย่อยของ Ubuntu เช่น Ubuntu Budgie สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกใช้งาน หากคุณเป็นมือใหม่ Ubuntu อาจเหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงและมีความรู้ด้านเทคนิคเล็กน้อย Debian ก็น่าสนใจมาก https://www.zdnet.com/article/ubuntu-vs-debian-7-key-differences-help-determine-which-distro-is-right-for-you/
    WWW.ZDNET.COM
    Ubuntu vs. Debian: 7 key differences help determine which distro is right for you
    Ubuntu is based on Debian, but they're not the same. To help you choose which to install, we compare support, pre-installed software, release cycle, user-friendliness, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่สอง กำลังดำเนินการทางกฎหมายกับ Google โดยมุ่งหวังที่จะให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome ออกไป เนื่องจากมองว่า Google มีการผูกขาดตลาดค้นหาออนไลน์และการโฆษณา โดยการควบคุมผ่าน Chrome ส่งผลให้คู่แข่งไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่

    DoJ ชี้ว่าพฤติกรรมที่ผูกขาดของ Google ไม่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในตลาด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของอเมริกา การควบรวมกันระหว่าง Chrome และระบบค้นหาของ Google ทำให้เกิดการครอบงำตลาดค้นหาและเพิ่มต้นทุนโฆษณาให้สูงขึ้น

    นอกจากนี้ หาก Chrome ถูกบังคับให้ขายออกไป อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดเบราว์เซอร์ปัจจุบันที่ Chrome ครองตลาดเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่เบราว์เซอร์อื่น เช่น Microsoft Edge ก็ยังต้องพึ่งพาระบบ Chromium ที่มาจาก Google มีเพียง Mozilla Firefox ที่ไม่ใช้ระบบเดียวกัน แต่ก็ยังต้องพึ่งพารายได้จาก Google ทำให้การครอบงำยังคงอยู่

    ขณะเดียวกัน Google ได้ยืนยันว่าจะอุทธรณ์คำตัดสินและเสนอมาตรการอื่นเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้พันธมิตร โดยไม่ต้องขาย Chrome ออกไป

    ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ DoJ กดดันให้ Google ขาย Chrome ทางฝ่ายเดียวกันก็ได้ลดความเข้มงวดต่อการลงทุนใน AI ของ Google โดยเพียงกำหนดให้แจ้งล่วงหน้าก่อนทำการลงทุน เพื่อยังคงควบคุมได้

    สุดท้าย เหตุการณ์นี้จะมีการตัดสินชี้ขาดในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ซึ่งหากเกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต

    https://www.zdnet.com/article/trumps-doj-keeps-pushing-for-google-to-get-rid-of-chrome/
    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DoJ) ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในสมัยที่สอง กำลังดำเนินการทางกฎหมายกับ Google โดยมุ่งหวังที่จะให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome ออกไป เนื่องจากมองว่า Google มีการผูกขาดตลาดค้นหาออนไลน์และการโฆษณา โดยการควบคุมผ่าน Chrome ส่งผลให้คู่แข่งไม่สามารถแข่งขันได้เต็มที่ DoJ ชี้ว่าพฤติกรรมที่ผูกขาดของ Google ไม่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในตลาด ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของอเมริกา การควบรวมกันระหว่าง Chrome และระบบค้นหาของ Google ทำให้เกิดการครอบงำตลาดค้นหาและเพิ่มต้นทุนโฆษณาให้สูงขึ้น นอกจากนี้ หาก Chrome ถูกบังคับให้ขายออกไป อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดเบราว์เซอร์ปัจจุบันที่ Chrome ครองตลาดเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่เบราว์เซอร์อื่น เช่น Microsoft Edge ก็ยังต้องพึ่งพาระบบ Chromium ที่มาจาก Google มีเพียง Mozilla Firefox ที่ไม่ใช้ระบบเดียวกัน แต่ก็ยังต้องพึ่งพารายได้จาก Google ทำให้การครอบงำยังคงอยู่ ขณะเดียวกัน Google ได้ยืนยันว่าจะอุทธรณ์คำตัดสินและเสนอมาตรการอื่นเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้พันธมิตร โดยไม่ต้องขาย Chrome ออกไป ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ DoJ กดดันให้ Google ขาย Chrome ทางฝ่ายเดียวกันก็ได้ลดความเข้มงวดต่อการลงทุนใน AI ของ Google โดยเพียงกำหนดให้แจ้งล่วงหน้าก่อนทำการลงทุน เพื่อยังคงควบคุมได้ สุดท้าย เหตุการณ์นี้จะมีการตัดสินชี้ขาดในช่วงฤดูร้อนปีนี้ ซึ่งหากเกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคต https://www.zdnet.com/article/trumps-doj-keeps-pushing-for-google-to-get-rid-of-chrome/
    WWW.ZDNET.COM
    Trump's DoJ keeps pushing for Google to get rid of Chrome
    Some companies - SpaceX, Starlink, Meta - are doing well under the current administration. Google, not so much.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูงมาก แต่ปัญหาคือเป็นสมุนไพรที่ละลายน้ำยาก ผลที่ตามมาคือเมื่อเข้าไปสู่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้น้อย
    🏆ขมิ้นชัน dG นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีละลายน้ำได้ถึง 40,000 เท่า งานวิจัยเหรียญทองจากยุโรป คือคำตอบ
    https://youtu.be/moSyA9rgqIw
    Line: @t1herb
    #ขมิ้นชันdg #ขมิ้นชันดรออย
    ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายสูงมาก แต่ปัญหาคือเป็นสมุนไพรที่ละลายน้ำยาก ผลที่ตามมาคือเมื่อเข้าไปสู่ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้น้อย 🏆ขมิ้นชัน dG นวัตกรรมนาโนเทคโนโลยีละลายน้ำได้ถึง 40,000 เท่า งานวิจัยเหรียญทองจากยุโรป คือคำตอบ https://youtu.be/moSyA9rgqIw Line: @t1herb #ขมิ้นชันdg #ขมิ้นชันดรออย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • IBM's Red Hat ได้จับมือกับ Axiom Space เพื่อพัฒนาและส่งศูนย์ข้อมูลต้นแบบ AxDCU-1 ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในฤดูใบไม้ผลิปี 2025 โดยโปรเจกต์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีขยายออกไปนอกโลก โดยเฉพาะด้าน การประมวลผลข้อมูลในอวกาศ

    AxDCU-1 ใช้พลังจาก Red Hat Device Edge และ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นระบบจัดการ Kubernetes แบบน้ำหนักเบา พร้อมด้วย Red Hat Enterprise Linux และ Ansible Automation Platform อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สำคัญ:
    - ทดสอบการประมวลผลด้วย AI/ML (Artificial Intelligence/Machine Learning)
    - พัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับการใช้งานในอวกาศ
    - ทดลองระบบประมวลผลคลาวด์สำหรับข้อมูลจากดาวเทียมและยานอวกาศ

    โดยข้อมูลจะถูกประมวลผลใกล้กับแหล่งกำเนิดในอวกาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความรวดเร็วและความปลอดภัยสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญในแบบเรียลไทม์

    คุณ Tony James หัวหน้าสถาปนิกจาก Red Hat ได้กล่าวว่า “การประมวลผลข้อมูลในอวกาศเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าตื่นเต้น” โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้พันธมิตรภาคพื้นโลกสามารถทำงานร่วมกันในอวกาศได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ Jason Aspiotis ผู้อำนวยการของ Axiom Space ยังกล่าวเสริมว่า Orbital Data Centers (ODC) จะสามารถช่วยปฏิวัติการทำงานในอวกาศ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลอากาศในอวกาศ การฝึกฝน AI ในอวกาศ และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกจากนอกโลก

    โครงการนี้นอกจากจะช่วยผลักดันความเป็นไปได้ในการใช้งานคลาวด์และ AI ในอวกาศ ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของมนุษย์ที่จะขยายขอบเขตการสำรวจและประมวลผลข้อมูลไปในที่ที่ไม่เคยมีใครทำได้ ความสำเร็จนี้อาจเป็นก้าวแรกสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับความต้องการในอนาคตทั้งในอวกาศและบนโลก

    https://www.techradar.com/pro/is-the-moon-too-far-for-your-data-ibms-red-hat-is-teaming-up-with-axiom-space-to-send-a-data-center-into-space
    IBM's Red Hat ได้จับมือกับ Axiom Space เพื่อพัฒนาและส่งศูนย์ข้อมูลต้นแบบ AxDCU-1 ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในฤดูใบไม้ผลิปี 2025 โดยโปรเจกต์นี้ถือเป็นก้าวสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีขยายออกไปนอกโลก โดยเฉพาะด้าน การประมวลผลข้อมูลในอวกาศ AxDCU-1 ใช้พลังจาก Red Hat Device Edge และ Red Hat OpenShift ซึ่งเป็นระบบจัดการ Kubernetes แบบน้ำหนักเบา พร้อมด้วย Red Hat Enterprise Linux และ Ansible Automation Platform อุปกรณ์นี้จะทำหน้าที่สำคัญ: - ทดสอบการประมวลผลด้วย AI/ML (Artificial Intelligence/Machine Learning) - พัฒนาความปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับการใช้งานในอวกาศ - ทดลองระบบประมวลผลคลาวด์สำหรับข้อมูลจากดาวเทียมและยานอวกาศ โดยข้อมูลจะถูกประมวลผลใกล้กับแหล่งกำเนิดในอวกาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความรวดเร็วและความปลอดภัยสำหรับการตัดสินใจที่สำคัญในแบบเรียลไทม์ คุณ Tony James หัวหน้าสถาปนิกจาก Red Hat ได้กล่าวว่า “การประมวลผลข้อมูลในอวกาศเป็นพรมแดนใหม่ที่น่าตื่นเต้น” โดยความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยให้พันธมิตรภาคพื้นโลกสามารถทำงานร่วมกันในอวกาศได้อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Jason Aspiotis ผู้อำนวยการของ Axiom Space ยังกล่าวเสริมว่า Orbital Data Centers (ODC) จะสามารถช่วยปฏิวัติการทำงานในอวกาศ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลอากาศในอวกาศ การฝึกฝน AI ในอวกาศ และการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลกจากนอกโลก โครงการนี้นอกจากจะช่วยผลักดันความเป็นไปได้ในการใช้งานคลาวด์และ AI ในอวกาศ ยังสะท้อนถึงความตั้งใจของมนุษย์ที่จะขยายขอบเขตการสำรวจและประมวลผลข้อมูลไปในที่ที่ไม่เคยมีใครทำได้ ความสำเร็จนี้อาจเป็นก้าวแรกสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับความต้องการในอนาคตทั้งในอวกาศและบนโลก https://www.techradar.com/pro/is-the-moon-too-far-for-your-data-ibms-red-hat-is-teaming-up-with-axiom-space-to-send-a-data-center-into-space
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Zen 6 โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ AMD ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวอย่าง ChipHell และ Moore's Law Is Dead ชี้ให้เห็นว่า Zen 6 จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมทั้งตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป

    ความโดดเด่นที่คุณต้องจับตามอง
    1) จำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น:
    - Zen 6 จะนำเสนอ Core Chiplet Die (CCD) ที่มีถึง 12 คอร์ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ เช่น Zen 3, 4 และ 5 ที่มี 8 คอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปในแพลตฟอร์ม AM5 สามารถรองรับได้ถึง 24 คอร์
    - สำหรับแล็ปท็อป Advanced Processing Units (APUs) จะพัฒนาจากโครงสร้าง 8+4 คอร์ใน Zen 5 มาเป็นโครงสร้าง 12 คอร์เต็มรูปแบบ

    2) เทคโนโลยี 3D V-Cache:
    - รุ่นพรีเมียมของ Zen 6 จะมาพร้อมกับ 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล โดยมี L3 Cache ขนาด 96 MB หรือประมาณ 4 MB ต่อคอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ Zen 5

    3) การใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง:
    - Zen 6 คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตจาก TSMC ที่ขนาด 3 นาโนเมตร (N3P) หรืออาจไปถึง 2 นาโนเมตรในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน

    Zen 6 จะถูกนำมาใช้ใน APU รุ่นใหม่ในชื่อ Medusa Point สำหรับแล็ปท็อป โดยประกอบด้วย:
    - CCD ขนาด 12 คอร์
    - I/O Die (IOD) ขนาด 200 mm² ที่มี 8 RDNA Work Groups
    - ตัวควบคุมหน่วยความจำขนาด 128 บิต และอาจมี Infinity Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU

    ส่วนเดสก์ท็อป APU ที่เรียกว่า Medusa Ridge จะมี IOD ขนาด 155 mm² และอาจไม่รวม GPU ในตัว แต่มุ่งเน้นการใช้งาน NPU ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย

    Zen 6 น่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อประดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นเกมและผู้ใช้ที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสุด การเพิ่มจำนวนคอร์และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 3D V-Cache และ Infinity Cache เป็นสิ่งที่ทำให้ AMD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Intel ได้อย่างเข้มข้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-zen-6-based-desktop-processors-may-feature-up-to-24-cores
    มีข่าวลือที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ Zen 6 โปรเซสเซอร์รุ่นต่อไปของ AMD ที่คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 โดยข้อมูลจากแหล่งข่าวอย่าง ChipHell และ Moore's Law Is Dead ชี้ให้เห็นว่า Zen 6 จะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมทั้งตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป ความโดดเด่นที่คุณต้องจับตามอง 1) จำนวนคอร์ที่เพิ่มขึ้น: - Zen 6 จะนำเสนอ Core Chiplet Die (CCD) ที่มีถึง 12 คอร์ ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ เช่น Zen 3, 4 และ 5 ที่มี 8 คอร์ ทำให้โปรเซสเซอร์เดสก์ท็อปในแพลตฟอร์ม AM5 สามารถรองรับได้ถึง 24 คอร์ - สำหรับแล็ปท็อป Advanced Processing Units (APUs) จะพัฒนาจากโครงสร้าง 8+4 คอร์ใน Zen 5 มาเป็นโครงสร้าง 12 คอร์เต็มรูปแบบ 2) เทคโนโลยี 3D V-Cache: - รุ่นพรีเมียมของ Zen 6 จะมาพร้อมกับ 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมหาศาล โดยมี L3 Cache ขนาด 96 MB หรือประมาณ 4 MB ต่อคอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับ Zen 5 3) การใช้กระบวนการผลิตขั้นสูง: - Zen 6 คาดว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตจาก TSMC ที่ขนาด 3 นาโนเมตร (N3P) หรืออาจไปถึง 2 นาโนเมตรในอนาคต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน Zen 6 จะถูกนำมาใช้ใน APU รุ่นใหม่ในชื่อ Medusa Point สำหรับแล็ปท็อป โดยประกอบด้วย: - CCD ขนาด 12 คอร์ - I/O Die (IOD) ขนาด 200 mm² ที่มี 8 RDNA Work Groups - ตัวควบคุมหน่วยความจำขนาด 128 บิต และอาจมี Infinity Cache เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ส่วนเดสก์ท็อป APU ที่เรียกว่า Medusa Ridge จะมี IOD ขนาด 155 mm² และอาจไม่รวม GPU ในตัว แต่มุ่งเน้นการใช้งาน NPU ขนาดใหญ่ที่ทันสมัย Zen 6 น่าจะเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อประดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักเล่นเกมและผู้ใช้ที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสุด การเพิ่มจำนวนคอร์และการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น 3D V-Cache และ Infinity Cache เป็นสิ่งที่ทำให้ AMD สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอย่าง Intel ได้อย่างเข้มข้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amds-zen-6-based-desktop-processors-may-feature-up-to-24-cores
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดี Donald Trump เปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพูดคุยกับกลุ่ม 4 กลุ่มที่สนใจซื้อกิจการของ TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงและมีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ByteDance โดยการเจรจานี้เกิดขึ้นจากกฎหมายด้านความมั่นคงแห่งชาติที่บังคับให้ ByteDance ต้องขาย TikTok หรือเผชิญหน้ากับการแบนในสหรัฐฯ

    กฎหมายดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2025 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกังวลเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลผู้ใช้งานและปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ เนื่องจาก TikTok มีผู้ใช้จำนวนมากในสหรัฐฯ รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าข้อมูลผู้ใช้อาจตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลจีนผ่าน ByteDance

    หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 Trump ได้ออกคำสั่งผู้บริหารเพื่อขยายเวลาให้ ByteDance จัดการปัญหานี้ออกไปอีก 75 วัน ซึ่งสร้างโอกาสให้การเจรจาขายกิจการดำเนินไปได้

    แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด แต่หนึ่งในผู้สนใจที่น่าสนใจคือ Frank McCourt อดีตเจ้าของทีมเบสบอล Los Angeles Dodgers ซึ่งได้แสดงความสนใจอย่างชัดเจน โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามูลค่าของ TikTok อาจสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์

    TikTok ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อหลายกลุ่มเพราะเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมดิจิทัลในปัจจุบัน การขายกิจการนี้จึงอาจเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจและวิธีแก้ไขปัญหาทางการเมืองในเวลาเดียวกัน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/10/trump-says-us-talking-to-four-different-groups-on-sale-of-tiktok
    ประธานาธิบดี Donald Trump เปิดเผยว่าขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพูดคุยกับกลุ่ม 4 กลุ่มที่สนใจซื้อกิจการของ TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงและมีเจ้าของเป็นบริษัทจีน ByteDance โดยการเจรจานี้เกิดขึ้นจากกฎหมายด้านความมั่นคงแห่งชาติที่บังคับให้ ByteDance ต้องขาย TikTok หรือเผชิญหน้ากับการแบนในสหรัฐฯ กฎหมายดังกล่าวเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2025 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกังวลเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลผู้ใช้งานและปัญหาด้านความมั่นคงของชาติ เนื่องจาก TikTok มีผู้ใช้จำนวนมากในสหรัฐฯ รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าข้อมูลผู้ใช้อาจตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลจีนผ่าน ByteDance หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2025 Trump ได้ออกคำสั่งผู้บริหารเพื่อขยายเวลาให้ ByteDance จัดการปัญหานี้ออกไปอีก 75 วัน ซึ่งสร้างโอกาสให้การเจรจาขายกิจการดำเนินไปได้ แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทั้งหมด แต่หนึ่งในผู้สนใจที่น่าสนใจคือ Frank McCourt อดีตเจ้าของทีมเบสบอล Los Angeles Dodgers ซึ่งได้แสดงความสนใจอย่างชัดเจน โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่ามูลค่าของ TikTok อาจสูงถึง 50 พันล้านดอลลาร์ TikTok ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อหลายกลุ่มเพราะเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมดิจิทัลในปัจจุบัน การขายกิจการนี้จึงอาจเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจและวิธีแก้ไขปัญหาทางการเมืองในเวลาเดียวกัน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/10/trump-says-us-talking-to-four-different-groups-on-sale-of-tiktok
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump says US talking to four different groups on sale of TikTok
    ABOARD AIR FORCE ONE (Reuters) - U.S. President Donald Trump said on Sunday that his administration was in touch with four different groups about the sale of Chinese-owned social media platform TikTok, and that all options were good.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด
    ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่คาดคิด
    แต่ถ้าสำนึกผิดแก้ไขปรับปรุง
    ทุกอย่างย่อมมีหนทางที่ดีได้เสมอ
    ไม่ว่าด้วยเรื่องใดๆ ความรักก็เช่นกัน
    อธิษฐานให้มีปาฎิหาริย์ - SHAW SHERRY DUCK
    https://youtu.be/6s-UcpkPxJ0?si=p_dGF6lYzDdHRzGr
    มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    ไม่เคยมีใครไม่เคยผิดพลาด ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่คาดคิด แต่ถ้าสำนึกผิดแก้ไขปรับปรุง ทุกอย่างย่อมมีหนทางที่ดีได้เสมอ ไม่ว่าด้วยเรื่องใดๆ ความรักก็เช่นกัน อธิษฐานให้มีปาฎิหาริย์ - SHAW SHERRY DUCK https://youtu.be/6s-UcpkPxJ0?si=p_dGF6lYzDdHRzGr มุมิมุมิ.. จุฟๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • McDonald's ได้ประกาศใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ร้านอาหารกว่า 43,000 แห่งทั่วโลก Brian Rice ผู้บริหารด้านข้อมูลของ McDonald's ระบุว่า ความสามารถในการใช้ AI นี้จะช่วยลดความเครียดที่เกิดจากการทำงานประจำวัน เช่น การจัดการกับลูกค้าและผู้ขาย รวมถึงการดูแลรักษาอุปกรณ์ที่เสียบ่อยๆ

    แพลตฟอร์ม Edge Computing: McDonald's ได้เริ่มใช้งานแพลตฟอร์ม Edge Computing ในร้านอาหารบางแห่งในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีแผนที่จะขยายการใช้งานในปี 2025 เทคโนโลยีนี้จะช่วยทำให้กระบวนการต่างๆ ในครัวรวดเร็วขึ้น เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งซื้อโดยใช้กล้องคงที่ในครัวก่อนส่งคำสั่งซื้อต่อให้ลูกค้า

    เทคโนโลยีใหม่ที่ McDonald's ใช้
    - AI อัตโนมัติสำหรับการสั่งอาหาร: McDonald's ได้ทดสอบระบบ AI ที่สามารถรับคำสั่งซื้อผ่านไดรฟ์ทรูเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำ
    - การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์: เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในอุปกรณ์ครัวสามารถเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อตรวจสอบและทำนายว่าเครื่องทอดหรือเครื่องทำไอศกรีมจะเสียเมื่อใด
    - ผู้จัดการ AI เสมือนจริง: เทคโนโลยี Edge Computing ยังช่วยผู้จัดการร้านในงานด้านบริหารจัดการ เช่น การจัดตารางกะทำงานให้พนักงาน ระบบ AI เสมือนจริงนี้คล้ายกับที่ Taco Bell และ Pizza Hut กำลังทดสอบ

    อย่างไรก็ตาม McDonald's ต้องเผชิญกับความท้าทายในการติดตั้งเทคโนโลยีในร้านอาหารที่เป็นแฟรนไชส์และที่บริหารงานโดยบริษัท การติดตั้งเทคโนโลยีนี้มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้มีบางคนเสนอว่าเงินที่ใช้ลงทุนในเทคโนโลยี AI ควรใช้ไปในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแทน

    https://www.techspot.com/news/107065-mcdonald-turns-ai-boost-order-accuracy-stay-ahead.html
    McDonald's ได้ประกาศใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ร้านอาหารกว่า 43,000 แห่งทั่วโลก Brian Rice ผู้บริหารด้านข้อมูลของ McDonald's ระบุว่า ความสามารถในการใช้ AI นี้จะช่วยลดความเครียดที่เกิดจากการทำงานประจำวัน เช่น การจัดการกับลูกค้าและผู้ขาย รวมถึงการดูแลรักษาอุปกรณ์ที่เสียบ่อยๆ แพลตฟอร์ม Edge Computing: McDonald's ได้เริ่มใช้งานแพลตฟอร์ม Edge Computing ในร้านอาหารบางแห่งในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีแผนที่จะขยายการใช้งานในปี 2025 เทคโนโลยีนี้จะช่วยทำให้กระบวนการต่างๆ ในครัวรวดเร็วขึ้น เช่น การตรวจสอบความถูกต้องของคำสั่งซื้อโดยใช้กล้องคงที่ในครัวก่อนส่งคำสั่งซื้อต่อให้ลูกค้า เทคโนโลยีใหม่ที่ McDonald's ใช้ - AI อัตโนมัติสำหรับการสั่งอาหาร: McDonald's ได้ทดสอบระบบ AI ที่สามารถรับคำสั่งซื้อผ่านไดรฟ์ทรูเพื่อเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำ - การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์: เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งในอุปกรณ์ครัวสามารถเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อตรวจสอบและทำนายว่าเครื่องทอดหรือเครื่องทำไอศกรีมจะเสียเมื่อใด - ผู้จัดการ AI เสมือนจริง: เทคโนโลยี Edge Computing ยังช่วยผู้จัดการร้านในงานด้านบริหารจัดการ เช่น การจัดตารางกะทำงานให้พนักงาน ระบบ AI เสมือนจริงนี้คล้ายกับที่ Taco Bell และ Pizza Hut กำลังทดสอบ อย่างไรก็ตาม McDonald's ต้องเผชิญกับความท้าทายในการติดตั้งเทคโนโลยีในร้านอาหารที่เป็นแฟรนไชส์และที่บริหารงานโดยบริษัท การติดตั้งเทคโนโลยีนี้มีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้มีบางคนเสนอว่าเงินที่ใช้ลงทุนในเทคโนโลยี AI ควรใช้ไปในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแทน https://www.techspot.com/news/107065-mcdonald-turns-ai-boost-order-accuracy-stay-ahead.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    McDonald's bets on AI to boost order accuracy, streamline operations at 43,000 restaurants
    The Wall Street Journal notes that McDonald's starting rolling out edge computing platforms at some of its US restaurants last year, and plans to add more to...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อเดือนธันวาคมปี 2024 ที่ผ่านมา ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามของ Microsoft ได้ตรวจพบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์เกือบ 1 ล้านเครื่องทั่วโลก การโจมตีครั้งนี้มาจากเว็บไซต์สตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายสองแห่ง คือ movies7 และ 0123movie ที่มีการฝังมัลแวร์ลงในโฆษณาของวิดีโอที่โฮสต์อยู่บนเว็บไซต์เหล่านี้

    แฮกเกอร์ได้ทำการแทรกโฆษณาเข้าไปในวิดีโอ ซึ่งสร้างรายได้จากการจ่ายต่อการดูหรือคลิกโฆษณา โดยมีการเปลี่ยนเส้นทางทราฟฟิกผ่านตัวเปลี่ยนเส้นทางที่เป็นอันตรายเพิ่มเติม ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะถูกนำไปยังเว็บไซต์อื่น เช่น เว็บไซต์สนับสนุนทางเทคนิคปลอม ซึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางไปยัง GitHub ที่มีการจัดเก็บมัลแวร์

    เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ มัลแวร์จะเก็บข้อมูลระบบและติดตั้งไฟล์และสคริปต์ที่เป็นอันตรายเพิ่มเติม มัลแวร์ยังสามารถสอดแนมกิจกรรมการท่องเว็บและโต้ตอบกับเบราว์เซอร์ที่ใช้งานอยู่ เช่น Firefox, Chrome และ Edge ได้

    การโจมตีนี้ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ของผู้บริโภค แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ขององค์กรธุรกิจด้วย โชคดีที่ซอฟต์แวร์ Microsoft Defender บน Windows สามารถตรวจจับและทำเครื่องหมายมัลแวร์ที่ใช้ในการโจมตีครั้งนี้ได้

    การประกาศครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการเข้าชมเว็บไซต์สตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายและความสำคัญของการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่มีประสิทธิภาพ

    เรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการระมัดระวังเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และการป้องกันตนเองด้วยซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่มีความสามารถ หวังว่าการเล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมและความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ได้นะครับ

    https://www.techspot.com/news/107059-microsoft-nearly-one-million-devices-hit-malware-spread.html
    เมื่อเดือนธันวาคมปี 2024 ที่ผ่านมา ทีมวิเคราะห์ภัยคุกคามของ Microsoft ได้ตรวจพบแคมเปญมัลแวร์ขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์เกือบ 1 ล้านเครื่องทั่วโลก การโจมตีครั้งนี้มาจากเว็บไซต์สตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายสองแห่ง คือ movies7 และ 0123movie ที่มีการฝังมัลแวร์ลงในโฆษณาของวิดีโอที่โฮสต์อยู่บนเว็บไซต์เหล่านี้ แฮกเกอร์ได้ทำการแทรกโฆษณาเข้าไปในวิดีโอ ซึ่งสร้างรายได้จากการจ่ายต่อการดูหรือคลิกโฆษณา โดยมีการเปลี่ยนเส้นทางทราฟฟิกผ่านตัวเปลี่ยนเส้นทางที่เป็นอันตรายเพิ่มเติม ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะถูกนำไปยังเว็บไซต์อื่น เช่น เว็บไซต์สนับสนุนทางเทคนิคปลอม ซึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางไปยัง GitHub ที่มีการจัดเก็บมัลแวร์ เมื่อผู้ใช้ดาวน์โหลดมัลแวร์ มัลแวร์จะเก็บข้อมูลระบบและติดตั้งไฟล์และสคริปต์ที่เป็นอันตรายเพิ่มเติม มัลแวร์ยังสามารถสอดแนมกิจกรรมการท่องเว็บและโต้ตอบกับเบราว์เซอร์ที่ใช้งานอยู่ เช่น Firefox, Chrome และ Edge ได้ การโจมตีนี้ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ของผู้บริโภค แต่ยังรวมถึงอุปกรณ์ขององค์กรธุรกิจด้วย โชคดีที่ซอฟต์แวร์ Microsoft Defender บน Windows สามารถตรวจจับและทำเครื่องหมายมัลแวร์ที่ใช้ในการโจมตีครั้งนี้ได้ การประกาศครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงของการเข้าชมเว็บไซต์สตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายและความสำคัญของการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์ที่มีประสิทธิภาพ เรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการระมัดระวังเมื่อเข้าชมเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ และการป้องกันตนเองด้วยซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยที่มีความสามารถ หวังว่าการเล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมและความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ได้นะครับ https://www.techspot.com/news/107059-microsoft-nearly-one-million-devices-hit-malware-spread.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft: nearly one million devices hit by malware spread through ads on illegal streaming websites
    Microsoft writes that its threat analysis team detected a large-scale malvertising campaign that impacted nearly one million devices globally in December 2024.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักตรวจการธนาคารสหรัฐฯ (OCC) ประกาศว่า ธนาคารในสหรัฐฯ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตบางประเภทได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากผู้กำกับดูแล การประกาศนี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและช่วยให้การดำเนินการธนาคารมีความชัดเจนและมั่นคง

    ธนาคารสามารถเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตได้ เช่น การเก็บรักษาทรัพย์สินคริปโต (crypto-asset custody) การทำกิจกรรมกับ stablecoin และการเข้าร่วมในเครือข่ายบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (distributed ledger networks) นอกจากนี้ การประกาศนี้ยกเลิกแนวทางที่เคยกำหนดให้ธนาคารต้องแสดงความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงก่อนเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต

    Rodney Hood ผู้ตรวจการธนาคารสหรัฐฯ กล่าวว่า แนวทางใหม่นี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต และทำให้การดำเนินงานของธนาคารมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย

    การประกาศในครั้งนี้มีการยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลที่ออกในยุคประธานาธิบดี Joe Biden ที่กำหนดให้ธนาคารต้องรายงานการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและแสดงวิธีการจัดการความเสี่ยงก่อน โดยทาง OCC ยังได้ถอนตัวจากแถลงการณ์ร่วมกับผู้กำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่เคยเตือนธนาคารเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต เช่น ความผันผวนที่สูงของตลาดคริปโต

    การประกาศนี้มีผลให้ธนาคารมีความคล่องตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตมากขึ้น และลดความยุ่งยากในการดำเนินการ แต่ยังคงต้องมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้ธนาคารสามารถนำนวัตกรรมทางการเงินเข้ามาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น

    การประกาศนี้เกิดขึ้นในวันที่ทำเนียบขาวจัดการประชุมสุดยอดคริปโต และประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามในคำสั่งบริหารสร้างทุนสำรองเชิงกลยุทธ์สำหรับบิตคอยน์และคริปโตอื่น ๆ การยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลเก่าช่วยเพิ่มความมั่นใจในตลาดคริปโต ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในสหรัฐฯ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/08/us-bank-regulator-reaffirms-banks-can-engage-in-some-crypto-activities
    สำนักตรวจการธนาคารสหรัฐฯ (OCC) ประกาศว่า ธนาคารในสหรัฐฯ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโตบางประเภทได้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากผู้กำกับดูแล การประกาศนี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและช่วยให้การดำเนินการธนาคารมีความชัดเจนและมั่นคง ธนาคารสามารถเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตได้ เช่น การเก็บรักษาทรัพย์สินคริปโต (crypto-asset custody) การทำกิจกรรมกับ stablecoin และการเข้าร่วมในเครือข่ายบัญชีแยกประเภทแบบกระจาย (distributed ledger networks) นอกจากนี้ การประกาศนี้ยกเลิกแนวทางที่เคยกำหนดให้ธนาคารต้องแสดงความพร้อมในการจัดการความเสี่ยงก่อนเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต Rodney Hood ผู้ตรวจการธนาคารสหรัฐฯ กล่าวว่า แนวทางใหม่นี้ช่วยลดภาระของธนาคารในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต และทำให้การดำเนินงานของธนาคารมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย การประกาศในครั้งนี้มีการยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลที่ออกในยุคประธานาธิบดี Joe Biden ที่กำหนดให้ธนาคารต้องรายงานการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตและแสดงวิธีการจัดการความเสี่ยงก่อน โดยทาง OCC ยังได้ถอนตัวจากแถลงการณ์ร่วมกับผู้กำกับดูแลของสหรัฐฯ ที่เคยเตือนธนาคารเกี่ยวกับความเสี่ยงของการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโต เช่น ความผันผวนที่สูงของตลาดคริปโต การประกาศนี้มีผลให้ธนาคารมีความคล่องตัวในการเข้าร่วมกิจกรรมคริปโตมากขึ้น และลดความยุ่งยากในการดำเนินการ แต่ยังคงต้องมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้ธนาคารสามารถนำนวัตกรรมทางการเงินเข้ามาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น การประกาศนี้เกิดขึ้นในวันที่ทำเนียบขาวจัดการประชุมสุดยอดคริปโต และประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามในคำสั่งบริหารสร้างทุนสำรองเชิงกลยุทธ์สำหรับบิตคอยน์และคริปโตอื่น ๆ การยกเลิกแนวทางการกำกับดูแลเก่าช่วยเพิ่มความมั่นใจในตลาดคริปโต ซึ่งเป็นผลดีต่อนักลงทุนและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคริปโตในสหรัฐฯ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/08/us-bank-regulator-reaffirms-banks-can-engage-in-some-crypto-activities
    WWW.THESTAR.COM.MY
    US regulator clears path for banks to engage in some crypto activities
    WASHINGTON (Reuters) -The U.S. regulator overseeing national banks clarified Friday that banks can engage in some crypto activities, and removed expectations firms should receive advance permission from regulators before doing so.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/fOvdgTYjxDw?si=lqdNuQ2oF9yen1hq
    https://youtu.be/fOvdgTYjxDw?si=lqdNuQ2oF9yen1hq
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    บทความเอ็ดดี้ อัษฎางค์นี้มีความหมายที่ควรค่าการอ่านเกี่ยวกับอคติของวัฒนธรรมของฝรั่งเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น กรณีนาย Jimmy Kimmel พิธีกรรายการดังสัมภาษณ์ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล เมื่อรายการ Jimmy Kimmel Live บอกกับลิซ่าว่า ชื่อ มุก ของเธอใน #TheWhiteLotus แปลว่า โง่งี่เง่า#อัษฎางค์ยมนาค“Ethnocentrism“แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น ลิซ่า ไปออกรายการ Jimmy Kimmel Live แล้วพิธีกร Jimmy ถามถึงการสวมบทเป็น “มุก” ใน #TheWhiteLotus ว่าตัวละครที่้ที่ชื่อ “มุก” ในภาษาไทยมุก (Mook) แปลว่าอะไร?ลิซ่า ตอบว่า Pearl (ไข่มุก) แต่ Jimmy สวนกลับว่า Mook มันเป็นแสลงประมาณว่า Dumb นะ ไม่มีใครบอกเธอหรอ ลิซ่า บอกไม่มีนะ แต่มันเป็นชื่อคนไทยไง Jimmy พูดต่อว่าคงไม่มีปัญหาที่ไทย แต่ที่นี่อ่ะมีแน่ ลิซ่าตอบกลับว่า ถ้าอย่างนั้นอย่าเรียกว่ามุกที่นี่แล้วกัน ในภาษาไทย “มุก” หมายถึง ไข่มุก ซึ่งเป็นของมีค่า สวยงาม และมีความหมายดี ในขณะที่ มุก เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย แต่เสียงของคำนี้ไปพ้องกับคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายแย่ คำว่า “Mook” เป็นแสลงที่ใช้ดูถูกคน แปลประมาณว่า “คนโง่, ไร้ค่า”การที่ Jimmy Kimmel แซวชื่อว่า “Mook” แปลว่า Dumb (โง่) ในภาษาอังกฤษ อาจดูเหมือนเป็นมุกตลกของเขา แต่จริง ๆ แล้วเป็น การแสดงออกถึง Ethnocentrism (แนวคิดที่เอาวัฒนธรรมของตัวเองเป็นศูนย์กลาง) หรือไม่? Jimmy Kimmel มีสิทธิ์บอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อไทยเพื่อให้เข้ากับภาษาอังกฤษ หรือไม่ชื่อเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ไม่ควรถูกลดค่าหรือถูกทำให้เป็นเรื่องตลก คนไทย ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อ เพียงเพราะมันไปพ้องเสียงกับคำที่ไม่ดีในภาษาอื่น จริงมั้ย?Ethnocentrism หรือ แนวคิดที่มองว่าวัฒนธรรมของตนเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น เป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมตะวันตกและมักปรากฏในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และชีวิตประจำวันของผู้คนที่ไม่ตระหนักถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมกรณีของ Jimmy Kimmel และชื่อ “มุก” (Mook) เป็นตัวอย่างที่ดีของ ethnocentric bias หรืออคติทางวัฒนธรรมที่ตะวันตกเป็นศูนย์กลาง Jimmy ตั้งคำถามถึงชื่อไทยโดยไม่ได้พยายามทำความเข้าใจวัฒนธรรมไทยก่อน เมื่อ Lisa อธิบายว่า “Mook” แปลว่า Pearl (ไข่มุก) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายดี Jimmy กลับ ตอบโต้โดยอ้างถึงความหมายในภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ตระหนักเลยว่าชื่อนี้เป็นเรื่องปกติในประเทศไทย และไม่มีเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนชื่อ “มุก” เป็นชื่อที่ดีในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงเพราะมันไปพ้องกับคำที่ไม่ดีในภาษาอังกฤษ และ Jimmy Kimmel ไม่ควรใช้มุกตลกที่อาจเป็นการลดค่าชื่อของคนไทย คนไทยควรภาคภูมิใจในชื่อของตัวเอง และมีสิทธิ์ใช้ชื่อตามวัฒนธรรมของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อให้ใครพอใจทำไม Ethnocentrism เป็นปัญหา?Ethnocentrism ทำให้เกิดแนวคิดว่าคนจากวัฒนธรรมอื่นต้องปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานของตะวันตก แทนที่จะเคารพความแตกต่างสร้างอคติทางภาษา เช่น “ชื่อของคุณฟังดูแปลกในภาษาเรา ดังนั้นมันต้องผิด”ลดทอนคุณค่าทางวัฒนธรรม แทนที่จะเรียนรู้จากวัฒนธรรมอื่น และส่งเสริมแนวคิด “อารยธรรมของฉันสูงกว่า วัฒนธรรมของคุณต้องเปลี่ยน” ซึ่งเคยถูกใช้เป็นข้ออ้างในยุคล่าอาณานิคมสื่อมวลชนตะวันตกควรรับผิดชอบอย่างไร?Jimmy Kimmel เป็นพิธีกรระดับโลก ควรมีตระหนักถึงอิทธิพลของตนเอง คำพูดของเขามีผลกระทบต่อความคิดของผู้ชม ซึ่งควรให้เคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม การถามคำถามที่สะท้อนอคติทางวัฒนธรรมทำให้ผู้คนจากวัฒนธรรมอื่นรู้สึกถูกลดค่า Jimmy ควรเรียนรู้และให้เกียรติชื่อและอัตลักษณ์ของผู้อื่น ไม่ใช่ทุกอย่างต้องเข้ากับมาตรฐานของตะวันตกหาก Jimmy Kimmel เรียนรู้ที่จะเคารพวัฒนธรรมอื่นเพียงพอ เขาอาจเปลี่ยนมุกตลกที่เหยียดคนอื่นของเขานี้เป็นโอกาสอธิบายให้ผู้ชมรู้ว่า "มุก" คือไข่มุกอันทรงคุณค่าในภาษาไทย แทนที่จะลดทอนมันให้เป็นคำหยาบคาย ซึ่งนั่นคือบทบาทของสื่อที่ควรเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมมากกว่าสร้างกำแพงในขณะที่ น้องลิซ่าถูกอบรมสั่งสอนมาดีทั้งจากเมืองไทยและเกาหลี ไม่งั้นเธอคงพูดสวนกับคุณว่า ชื่อ Jimmy ของคุณก็ฟังพ้องเสียงกับคำว่า “จิมิ” ซึ่งเป็นคำแสลงในภาษาไทย ซึ่งหมายถึง……จุดซ่อนเร้นของคุณผู้หญิง คุณจะรู้สึกอย่างไร? จิมิโชว์?รายการจิมิโชว์?https://youtu.be/ga7NkYeqh_A?si=C5yYwJEBKo-0Gvuh………………………………………………………………………………….“Ethnocentrism”Lisa appeared on Jimmy Kimmel Live, and the host, Jimmy, asked about her role as “Mook” in The White Lotus, specifically what the name “Mook” means in Thai.Lisa answered that it means “Pearl”, but Jimmy responded that “Mook” is slang for something like “Dumb.” “No one told you?” he asked.Lisa replied, “No, they didn’t, but it’s a Thai name.” Jimmy then said, “Maybe it’s not a problem in Thailand, but here, it definitely is.” Lisa responded, “Then don’t call me Mook here.”In Thai, “Mook” means pearl, which is valuable, beautiful, and meaningful. While “Mook” is a good name in Thai, the pronunciation of this word coincidentally resembles an English slang term with a negative meaning. In American English, “Mook” is slang used to insult someone, meaning something like “a fool” or “a worthless person.”When Jimmy Kimmel joked that “Mook” means “Dumb” in English, it might have seemed like a joke to him. But is it actually an expression of ethnocentrism—the belief that one’s own culture is the center of everything?Does Jimmy Kimmel have the right to say that a Thai name should be changed to fit the English language?A name is a part of cultural identity. It should not be devalued or turned into a joke. Thai people do not need to change their names just because they sound similar to an undesirable word in another language. Isn’t that true?Ethnocentrism, or the belief that one’s culture is superior to others, is a deeply rooted issue in Western society. It often appears in entertainment, media, and daily life among people who are unaware of cultural differences.The case of Jimmy Kimmel and the name “Mook” is a prime example of ethnocentric bias, where Western perspectives are centered, ignoring non-Western cultures.Jimmy questioned a Thai name without trying to understand Thai culture first. When Lisa explained that “Mook” means Pearl, a meaningful and positive name, Jimmy instead argued based on the English slang meaning. He did not recognize that this name is completely normal in Thailand and that there is no reason to change it.The name “Mook” is a good Thai name. There is no need to change it just because it coincidentally matches an English word with a bad meaning. And Jimmy Kimmel should not make jokes that diminish the value of Thai names.Thai people should be proud of their names and have the right to use them according to their culture without needing to change them for anyone else’s comfort.Why is Ethnocentrism a Problem?Ethnocentrism creates the belief that people from other cultures must adjust to Western standards instead of respecting diversity. • It creates linguistic bias, implying that “Your name sounds strange in our language, so it must be wrong.” • It devalues cultural identity, instead of encouraging learning from other cultures. • It promotes the idea that “My civilization is superior; your culture must change,” which was historically used as a justification for colonialism.How Should Western Media Be More Responsible?Jimmy Kimmel is a globally recognized host. He should be aware of his influence. His words impact public perception.Asking a question that reflects cultural bias makes people from other cultures feel devalued.Jimmy Kimmel should learn and respect other people’s names and identities. Not everything has to fit into Western standards.If Jimmy Kimmel had learned to respect other cultures more, he might have turned his joke into an opportunity to educate his audience that ‘Mook’ means a precious pearl in Thai, rather than reducing it to a vulgar term. That is the true role of the media—to serve as a bridge for cross-cultural understanding rather than building walls.On the other hand, Lisa has been well-raised and well-trained, both in Thailand and Korea. Otherwise, she might have responded to you by saying, ‘Your name, Jimmy, also sounds like ‘Jimi’ in Thai slang, which refers to… a woman’s private part. How would you feel? Jimi show!”"https://www.facebook.com/share/v/16CtwRaMG4/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/W9wUsYC6BpM?si=oPtfOkZVZGwDGqd4
    https://youtu.be/W9wUsYC6BpM?si=oPtfOkZVZGwDGqd4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • Acclaim ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยเป็นที่รู้จักในวงการเกมในอดีต ได้ประกาศกลับมาอีกครั้งพร้อมภารกิจใหม่ในการสนับสนุนสตูดิโอเกมอินดี้และการสร้างสรรค์ IP ใหม่ๆ Acclaim ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 และมีชื่อเสียงจากการเปิดตัวเกมดังอย่าง Mortal Kombat, Turok และ NBA Jam

    การกลับมาครั้งนี้ Acclaim มีเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุนสตูดิโออินดี้ที่ต้องการทรัพยากรในการพัฒนาเกม โดยให้การสนับสนุนด้านการเงิน การตลาด และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สตูดิโอเหล่านี้สามารถนำเสนอเกมของตนเองในตลาดที่ซับซ้อนและคึกคัก

    หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Acclaim คือการฟื้นฟู IP คลาสสิกที่มีผู้คนรักใคร่มากมายมาตลอดหลายปี สำหรับการทำให้แผนการนี้เป็นจริง Acclaim ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาซึ่งประกอบไปด้วยผู้นำในวงการเกมที่ได้รับความนับถือ เช่น Russell Binder จาก Striker Entertainment, Mark Caplan จาก Ridge Partners และ Jeff Jarrett จาก Global Force Entertainment

    เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน Acclaim ได้มีการร่วมมือกับหุ้นส่วนสำคัญอย่าง Phil Toronto จาก VaynerFund และ Eric Vogel จาก JET Management ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่แข็งแรงสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง

    Jeff Jarrett นักมวยปล้ำที่ได้รับการยกย่องใน Hall of Fame กล่าวว่าการกลับมาของ Acclaim เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการนำความรักและความหลงใหลในเกมให้แก่คนรุ่นใหม่ และเขาตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบริษัทนี้

    Alex Josef CEO ของ Acclaim กล่าวถึงความภาคภูมิใจในการนำทีมงานที่มีความสามารถเพื่อฟื้นฟู Acclaim ขึ้นมาใหม่ และกล่าวว่าได้เซ็นสัญญากับเกมอินดี้ที่น่าทึ่งบางเกมที่จะเปิดเผยในไม่ช้า

    Acclaim กลับมาในวงการเกมด้วยภารกิจที่น่าตื่นเต้นในการสนับสนุนนักพัฒนาอินดี้และฟื้นฟู IP คลาสสิก โดยมีการร่วมมือกับผู้นำในวงการและหุ้นส่วนที่มีความสำคัญเพื่อให้การฟื้นฟูนี้เป็นไปอย่างยั่งยืน

    https://wccftech.com/acclaim-returns-from-the-dead-with-a-focus-on-supporting-indie-studios-and-original-ip/
    Acclaim ซึ่งเป็นบริษัทที่เคยเป็นที่รู้จักในวงการเกมในอดีต ได้ประกาศกลับมาอีกครั้งพร้อมภารกิจใหม่ในการสนับสนุนสตูดิโอเกมอินดี้และการสร้างสรรค์ IP ใหม่ๆ Acclaim ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 และมีชื่อเสียงจากการเปิดตัวเกมดังอย่าง Mortal Kombat, Turok และ NBA Jam การกลับมาครั้งนี้ Acclaim มีเป้าหมายที่จะให้การสนับสนุนสตูดิโออินดี้ที่ต้องการทรัพยากรในการพัฒนาเกม โดยให้การสนับสนุนด้านการเงิน การตลาด และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สตูดิโอเหล่านี้สามารถนำเสนอเกมของตนเองในตลาดที่ซับซ้อนและคึกคัก หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Acclaim คือการฟื้นฟู IP คลาสสิกที่มีผู้คนรักใคร่มากมายมาตลอดหลายปี สำหรับการทำให้แผนการนี้เป็นจริง Acclaim ได้จัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาซึ่งประกอบไปด้วยผู้นำในวงการเกมที่ได้รับความนับถือ เช่น Russell Binder จาก Striker Entertainment, Mark Caplan จาก Ridge Partners และ Jeff Jarrett จาก Global Force Entertainment เพื่อให้บริษัทสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน Acclaim ได้มีการร่วมมือกับหุ้นส่วนสำคัญอย่าง Phil Toronto จาก VaynerFund และ Eric Vogel จาก JET Management ซึ่งจะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่แข็งแรงสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง Jeff Jarrett นักมวยปล้ำที่ได้รับการยกย่องใน Hall of Fame กล่าวว่าการกลับมาของ Acclaim เป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการนำความรักและความหลงใหลในเกมให้แก่คนรุ่นใหม่ และเขาตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบริษัทนี้ Alex Josef CEO ของ Acclaim กล่าวถึงความภาคภูมิใจในการนำทีมงานที่มีความสามารถเพื่อฟื้นฟู Acclaim ขึ้นมาใหม่ และกล่าวว่าได้เซ็นสัญญากับเกมอินดี้ที่น่าทึ่งบางเกมที่จะเปิดเผยในไม่ช้า Acclaim กลับมาในวงการเกมด้วยภารกิจที่น่าตื่นเต้นในการสนับสนุนนักพัฒนาอินดี้และฟื้นฟู IP คลาสสิก โดยมีการร่วมมือกับผู้นำในวงการและหุ้นส่วนที่มีความสำคัญเพื่อให้การฟื้นฟูนี้เป็นไปอย่างยั่งยืน https://wccftech.com/acclaim-returns-from-the-dead-with-a-focus-on-supporting-indie-studios-and-original-ip/
    WCCFTECH.COM
    Acclaim Returns From the Dead With a Focus On Supporting Indie Studios and Original IP
    Acclaim has been resurrected after two decades, and is coming with a focus on supporting Indie studios and original IP.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัญญาณวิกฤต! "เรย์ ดาลิโอ" เตือนสหรัฐเสี่ยงหนี้ล้นภายใน 3 ปี 📌ขณะที่ทรัมป์เดินหน้าลดภาษี-ขาดดุลงบประมาณทะลุ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ชี้ต้องลดการขาดดุลจาก 7.5% เหลือ 3% ของจีดีพีก่อน "หัวใจวาย" ทางเศรษฐกิจ👉"เรย์ ดาลิโอ" ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates เผย ชี้สหรัฐฯ เสี่ยงเจอวิกฤตหนี้ภายใน 3 ปี หากไม่ลดการใช้จ่ายที่เกินตัว "มันเหมือนกับอาการหัวใจวาย" หลังพบการขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณล่าสุด ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์อเมริกาด้านหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทะลุ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ทรัมป์เดินหน้านโยบายลดภาษีครั้งใหญ่ จากล่าสุดที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านกรอบงบประมาณให้: ตัดการใช้จ่าย 2 ล้านล้านดอลลาร์ อนุญาตลดภาษี 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้าเพิ่มเพดานหนี้อีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ดาลิโอคาดการณ์ว่าการขาดดุลจะพุ่งถึง 7.5% ของจีดีพี แต่ควรลดให้เหลือ 3% เพื่อรักษาเสถียรภาพการเงิน #imctnews รายงาน
    สัญญาณวิกฤต! "เรย์ ดาลิโอ" เตือนสหรัฐเสี่ยงหนี้ล้นภายใน 3 ปี 📌ขณะที่ทรัมป์เดินหน้าลดภาษี-ขาดดุลงบประมาณทะลุ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ชี้ต้องลดการขาดดุลจาก 7.5% เหลือ 3% ของจีดีพีก่อน "หัวใจวาย" ทางเศรษฐกิจ👉"เรย์ ดาลิโอ" ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates เผย ชี้สหรัฐฯ เสี่ยงเจอวิกฤตหนี้ภายใน 3 ปี หากไม่ลดการใช้จ่ายที่เกินตัว "มันเหมือนกับอาการหัวใจวาย" หลังพบการขาดดุลงบประมาณพุ่งสูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณล่าสุด ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์อเมริกาด้านหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทะลุ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ทรัมป์เดินหน้านโยบายลดภาษีครั้งใหญ่ จากล่าสุดที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านกรอบงบประมาณให้: ตัดการใช้จ่าย 2 ล้านล้านดอลลาร์ อนุญาตลดภาษี 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ใน 10 ปีข้างหน้าเพิ่มเพดานหนี้อีก 4 ล้านล้านดอลลาร์ดาลิโอคาดการณ์ว่าการขาดดุลจะพุ่งถึง 7.5% ของจีดีพี แต่ควรลดให้เหลือ 3% เพื่อรักษาเสถียรภาพการเงิน #imctnews รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/JKUJMuvTpMU?si=WQmVYe0br5dgMJkB
    https://www.youtube.com/live/JKUJMuvTpMU?si=WQmVYe0br5dgMJkB
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในข่าวจาก TechPowerUp นี้ มีการกล่าวถึงการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Dragonwing Fixed Wireless Access Gen 4 Elite ของ Qualcomm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม FWA (Fixed Wireless Access) ที่รองรับ 5G Advanced แพลตฟอร์มนี้ใช้โมเด็ม Qualcomm X85 5G Modem-RF ที่สามารถให้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 12.5 Gbps

    แพลตฟอร์ม Dragonwing FWA Gen 4 Elite มีการปรับปรุงด้วย AI ที่ครอบคลุมและมีการรวมโคโปรเซสเซอร์ Edge AI ที่มีพลังการประมวลผล NPU สูงถึง 40 TOPS ทำให้การเชื่อมต่อไร้สายผ่าน 5G และ Wi-Fi มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถใช้พลังของ Generative AI ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทำให้ประสบการณ์การใช้งานมีความเสถียรและเป็นเอกภาพมากขึ้น

    แพลตฟอร์มนี้ยังมีความสามารถในการสื่อสารผ่านดาวเทียม NTN และรองรับการใช้งาน Dual SIM Dual Active (DSDA) เพื่อเพิ่มความเสถียรและการจัดการระยะไกล นอกจากนี้ยังมีโปรเซสเซอร์แบบควอดคอร์ที่มีการเร่งความเร็วเครือข่ายเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการเชื่อมต่อ 5G, Ethernet และ Wi-Fi

    แพลตฟอร์ม Dragonwing Fixed Wireless Access Gen 4 Elite นี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพมาก เช่น:

    1) อุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและสำนักงาน - เพื่อให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายที่เร็วและเสถียร ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ 5G ทำให้ผู้ใช้สามารถมีประสบการณ์การใช้งานที่มีคุณภาพสูง
    2) อุปกรณ์ IoT และอุตสาหกรรม - เช่น เซ็นเซอร์อัจฉริยะ กล้องวงจรปิด และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่มั่นคงและเสถียร ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การเกษตร การแพทย์ และการผลิต
    3) เครือข่ายสาธารณะและการสื่อสารทางไกล - รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายยาก เช่น พื้นที่ห่างไกล หรือพื้นที่ที่มีความต้องการการเชื่อมต่อที่มากขึ้น เช่น สนามบิน โรงพยาบาล และโรงเรียน
    4) ยานพาหนะและระบบขนส่ง - เพื่อให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนยานพาหนะ เช่น รถบัส รถไฟ และเรือ โดยใช้การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม NTN และ 5G เพื่อให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียร

    การเปิดตัว Dragonwing FWA Gen 4 Elite นี้เป็นการก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี FWA ที่สามารถให้ความเร็วสูงและความเสถียรในการเชื่อมต่อในระยะทางไกลถึง 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียรในราคาที่ต่ำกว่าการใช้บรอดแบนด์แบบมีสาย

    https://www.techpowerup.com/333528/qualcomm-launches-the-dragonwing-fixed-wireless-access-gen-4-elite-platform
    ในข่าวจาก TechPowerUp นี้ มีการกล่าวถึงการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Dragonwing Fixed Wireless Access Gen 4 Elite ของ Qualcomm ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม FWA (Fixed Wireless Access) ที่รองรับ 5G Advanced แพลตฟอร์มนี้ใช้โมเด็ม Qualcomm X85 5G Modem-RF ที่สามารถให้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 12.5 Gbps แพลตฟอร์ม Dragonwing FWA Gen 4 Elite มีการปรับปรุงด้วย AI ที่ครอบคลุมและมีการรวมโคโปรเซสเซอร์ Edge AI ที่มีพลังการประมวลผล NPU สูงถึง 40 TOPS ทำให้การเชื่อมต่อไร้สายผ่าน 5G และ Wi-Fi มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังสามารถใช้พลังของ Generative AI ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทำให้ประสบการณ์การใช้งานมีความเสถียรและเป็นเอกภาพมากขึ้น แพลตฟอร์มนี้ยังมีความสามารถในการสื่อสารผ่านดาวเทียม NTN และรองรับการใช้งาน Dual SIM Dual Active (DSDA) เพื่อเพิ่มความเสถียรและการจัดการระยะไกล นอกจากนี้ยังมีโปรเซสเซอร์แบบควอดคอร์ที่มีการเร่งความเร็วเครือข่ายเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในการเชื่อมต่อ 5G, Ethernet และ Wi-Fi แพลตฟอร์ม Dragonwing Fixed Wireless Access Gen 4 Elite นี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับอุปกรณ์ที่ต้องการการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความเร็วสูงและมีประสิทธิภาพมาก เช่น: 1) อุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านและสำนักงาน - เพื่อให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายที่เร็วและเสถียร ด้วยความสามารถในการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ 5G ทำให้ผู้ใช้สามารถมีประสบการณ์การใช้งานที่มีคุณภาพสูง 2) อุปกรณ์ IoT และอุตสาหกรรม - เช่น เซ็นเซอร์อัจฉริยะ กล้องวงจรปิด และอุปกรณ์อัจฉริยะอื่น ๆ ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่มั่นคงและเสถียร ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การเกษตร การแพทย์ และการผลิต 3) เครือข่ายสาธารณะและการสื่อสารทางไกล - รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายยาก เช่น พื้นที่ห่างไกล หรือพื้นที่ที่มีความต้องการการเชื่อมต่อที่มากขึ้น เช่น สนามบิน โรงพยาบาล และโรงเรียน 4) ยานพาหนะและระบบขนส่ง - เพื่อให้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตบนยานพาหนะ เช่น รถบัส รถไฟ และเรือ โดยใช้การเชื่อมต่อผ่านดาวเทียม NTN และ 5G เพื่อให้การเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียร การเปิดตัว Dragonwing FWA Gen 4 Elite นี้เป็นการก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี FWA ที่สามารถให้ความเร็วสูงและความเสถียรในการเชื่อมต่อในระยะทางไกลถึง 14 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่รวดเร็วและเสถียรในราคาที่ต่ำกว่าการใช้บรอดแบนด์แบบมีสาย https://www.techpowerup.com/333528/qualcomm-launches-the-dragonwing-fixed-wireless-access-gen-4-elite-platform
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Qualcomm Launches the Dragonwing Fixed Wireless Access Gen 4 Elite Platform
    Qualcomm Technologies, Inc. today announced the Dragonwing FWA Gen 4 Elite, the world's first 5G Advanced-capable FWA platform. Powered by the Qualcomm X85 5G Modem-RF, the platform sets a new benchmark for 5G broadband performance with downlink speeds up to 12.5 Gbps. The Dragonwing FWA Gen 4 Elite...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า "Taara chip" ซึ่งเป็นชิปที่สามารถใช้แสงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากร ชิป Taara นี้เป็นการย่อส่วนของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วยแสงที่ช่วยให้มีความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น

    โปรเจค Taara ของ Google เป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย Loon LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alphabet มาใช้ในการสร้างต้นแบบของ "moonshot technologies" หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงแต่สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้

    เทคโนโลยี Taara ใช้ชุด Taara Lightbridge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้กระจก เซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เพื่อทำการส่องแสงและสร้างการเชื่อมต่อ เมื่อชุด Lightbridge สองชุดสามารถเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถส่งข้อมูลดิจิทัลได้อย่างเสถียร

    อย่างไรก็ตาม ชิป Taara ใหม่ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนกลไกมากเท่ารุ่นก่อน ๆ โดยใช้เทคโนโลยี optical phased array ที่มีความแม่นยำสูงในการควบคุมการส่งแสง ทำให้สามารถติดตั้งชิปได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ชิป Taara สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10 Gbps ในระยะทาง 1 กิโลเมตรในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับการส่งข้อมูลด้วยชิปโฟโตนิกส์

    โปรเจคนี้ของ Google มีแผนที่จะนำชิป Taara ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายเมชทั่วโลกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ในศูนย์ข้อมูล ยานพาหนะอัตโนมัติ และอื่น ๆ

    การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ยังเปิดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีแสงในการสื่อสารอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    https://www.techspot.com/news/106987-google-taara-chip-miniaturizes-light-based-connectivity-faster.html
    Google ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า "Taara chip" ซึ่งเป็นชิปที่สามารถใช้แสงในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนแหล่งทรัพยากร ชิป Taara นี้เป็นการย่อส่วนของเทคโนโลยีการเชื่อมต่อด้วยแสงที่ช่วยให้มีความเร็วอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น โปรเจค Taara ของ Google เป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นโดย Loon LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Alphabet มาใช้ในการสร้างต้นแบบของ "moonshot technologies" หรือเทคโนโลยีที่มีความเสี่ยงสูงแต่สามารถนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ เทคโนโลยี Taara ใช้ชุด Taara Lightbridge ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ใช้กระจก เซนเซอร์ และฮาร์ดแวร์อื่น ๆ เพื่อทำการส่องแสงและสร้างการเชื่อมต่อ เมื่อชุด Lightbridge สองชุดสามารถเชื่อมต่อกันได้ จะสามารถส่งข้อมูลดิจิทัลได้อย่างเสถียร อย่างไรก็ตาม ชิป Taara ใหม่ได้ย่อส่วนให้เล็กลง และไม่ต้องใช้ชิ้นส่วนกลไกมากเท่ารุ่นก่อน ๆ โดยใช้เทคโนโลยี optical phased array ที่มีความแม่นยำสูงในการควบคุมการส่งแสง ทำให้สามารถติดตั้งชิปได้ง่ายขึ้นและใช้งานได้ดีขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ ชิป Taara สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วถึง 10 Gbps ในระยะทาง 1 กิโลเมตรในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งสำหรับการส่งข้อมูลด้วยชิปโฟโตนิกส์ โปรเจคนี้ของ Google มีแผนที่จะนำชิป Taara ไปใช้ในการสร้างเครือข่ายเมชทั่วโลกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในพื้นที่ที่ขาดแคลนได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ในศูนย์ข้อมูล ยานพาหนะอัตโนมัติ และอื่น ๆ การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่จะลดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แต่ยังเปิดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีแสงในการสื่อสารอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น https://www.techspot.com/news/106987-google-taara-chip-miniaturizes-light-based-connectivity-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google's Taara chip miniaturizes light-based connectivity for faster internet in underserved areas
    Google's X company is working on the next generation of Taara, a silicon photonics technology designed to bring fast broadband speeds to some underdeveloped areas of the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขมิ้นชันเป็นสุดยอดสมุนไพรที่ดีมาก
    ถ้าเราได้กินขมิ้นชัน DG ที่มีการละลายน้ำได้มากถึง 40,000 เท่าจะดีขนาดไหน
    https://www.youtube.com/watch?v=ROsI_VDmeYc
    #ขมิ้นชันdg #ขมิ้นชันดรออย
    ขมิ้นชันเป็นสุดยอดสมุนไพรที่ดีมาก ถ้าเราได้กินขมิ้นชัน DG ที่มีการละลายน้ำได้มากถึง 40,000 เท่าจะดีขนาดไหน https://www.youtube.com/watch?v=ROsI_VDmeYc #ขมิ้นชันdg #ขมิ้นชันดรออย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน...
    ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้”
    หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน...
    ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที...
    ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา...
    และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น...
    คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
    ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS”
    อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล...
    ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!!
    และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน... ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน... ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที... ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา... และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น... คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS” อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล... ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!! และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 393 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวจาก Tom's Hardware นี้เกี่ยวกับการที่ DeepSeek บริษัท AI ชั้นนำจากจีน ได้ปล่อยระบบไฟล์แบบขนาน Fire-Flyer (3FS) ให้เป็นโอเพนซอร์สอย่างเต็มที่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสัปดาห์โอเพนซอร์สของบริษัท

    3FS เป็นระบบไฟล์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ AI-HPC (High-Performance Computing) ซึ่งเน้นที่การอ่านข้อมูลแบบสุ่มเป็นหลัก โดยมีความสามารถในการอ่านข้อมูลได้ถึง 7.3 TB/s ในคลัสเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของ DeepSeek ซึ่งใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มี 180 โหนดเก็บข้อมูล แต่ละโหนดมี SSD ขนาด 16 TB และเครือข่าย 200 Gbps ทำงานร่วมกับ GPU Nvidia A100 ที่ราคาถูกกว่าเซิร์ฟเวอร์ DGX-A100 ของ Nvidia ประสิทธิภาพของ 3FS อยู่ที่ 80% ของเซิร์ฟเวอร์ DGX-A100 แต่ใช้พลังงานเพียง 60% และมีราคาถูกกว่า 50%

    หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของ 3FS คือการไม่ใช้แคชการอ่าน เนื่องจากการฝึกอบรมโมเดล AI จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มอยู่เสมอ และการอ่านข้อมูลซ้ำ ๆ อาจเป็นอันตรายต่อการฝึกอบรม LLMs (Large Language Models) เนื่องจากอาจทำให้โมเดลเรียนรู้ข้อมูลที่ผิดพลาดได้

    การเปิดให้เป็นโอเพนซอร์สของ 3FS คาดว่าจะได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ใช้งาน AI-HPC ระดับองค์กร แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีจากจีนก็ตาม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/deepseek-releases-powerful-new-parallel-file-system-fire-flyer-fire-system-made-open-source
    ข่าวจาก Tom's Hardware นี้เกี่ยวกับการที่ DeepSeek บริษัท AI ชั้นนำจากจีน ได้ปล่อยระบบไฟล์แบบขนาน Fire-Flyer (3FS) ให้เป็นโอเพนซอร์สอย่างเต็มที่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสัปดาห์โอเพนซอร์สของบริษัท 3FS เป็นระบบไฟล์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเซิร์ฟเวอร์ AI-HPC (High-Performance Computing) ซึ่งเน้นที่การอ่านข้อมูลแบบสุ่มเป็นหลัก โดยมีความสามารถในการอ่านข้อมูลได้ถึง 7.3 TB/s ในคลัสเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของ DeepSeek ซึ่งใช้เซิร์ฟเวอร์ที่มี 180 โหนดเก็บข้อมูล แต่ละโหนดมี SSD ขนาด 16 TB และเครือข่าย 200 Gbps ทำงานร่วมกับ GPU Nvidia A100 ที่ราคาถูกกว่าเซิร์ฟเวอร์ DGX-A100 ของ Nvidia ประสิทธิภาพของ 3FS อยู่ที่ 80% ของเซิร์ฟเวอร์ DGX-A100 แต่ใช้พลังงานเพียง 60% และมีราคาถูกกว่า 50% หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญของ 3FS คือการไม่ใช้แคชการอ่าน เนื่องจากการฝึกอบรมโมเดล AI จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่มอยู่เสมอ และการอ่านข้อมูลซ้ำ ๆ อาจเป็นอันตรายต่อการฝึกอบรม LLMs (Large Language Models) เนื่องจากอาจทำให้โมเดลเรียนรู้ข้อมูลที่ผิดพลาดได้ การเปิดให้เป็นโอเพนซอร์สของ 3FS คาดว่าจะได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วไปและผู้ใช้งาน AI-HPC ระดับองค์กร แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับเทคโนโลยีจากจีนก็ตาม https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/deepseek-releases-powerful-new-parallel-file-system-fire-flyer-fire-system-made-open-source
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    DeepSeek brings disruption to AI-optimized parallel file systems, releases powerful new open-source Fire-Flyer File System
    3FS brings a new paradigm for AI-HPC training servers, prioritizing random reads above all else
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
    #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
    #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    พืชน้ำสุดยอดโปรตีนของเมืองไทย ไข่ผำ หรือไข่น้ำ พืชน้ำขนาดเล็กฉายาคาเวียร์เขียวเมืองไทย ไข่น้ำมีชื่อภาษาไทยอีกหลายชื่อ โดยเรียกแตกต่างกันไปตามภูมิภาคเช่น ไข่ผำ ไข่น้ำ ไข่แหน หรือ ลูกผำ ไข่น้ำมีลักษณะเป็นเม็ดกลมรี ขนาดประมาณ 0.1-0.2 มม. ถือเป็นพืชน้ำที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก #ผำ #ไข่น้ำ #dgreen
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’
    Written by Drago Bosnic

    ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ

    ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง
    เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น
    https://t.me/rtnews/81104

    อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่

    งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์
    https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024
    สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา
    https://t.me/rtnews/81071

    คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด)

    เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว
    https://t.me/Slavyangrad/114746
    USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน
    https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/
    โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://t.me/IntelRepublic/43800
    รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ

    อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID
    https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html
    ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

    เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง
    https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/
    รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี
    https://t.me/Slavyangrad/118280?single

    ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง)

    เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้
    https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department
    ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์
    https://www.usaid.gov/
    แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม

    อ่านต่อตอนที่.2
    https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    ตอนที่.1 #USAID สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หน้ากากของ ‘มนุษยธรรม’ Written by Drago Bosnic ยุทธศาสตร์ครอบงำโลกของสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เมื่อพยายามนึกภาพอำนาจของสหรัฐอเมริกาเรามักจะนึกถึงเรือบรรทุกเครื่องบิน เครื่องบินขับไล่ รถถัง นาวิกโยธิน ฯลฯ ในความเป็นจริงระบบราชการขนาดใหญ่ของอเมริกาแทบจะทำลายล้างประเทศเป้าหมายเสมอก่อนที่จะมีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการดำเนินการทางทหารโดยตรง เพื่อจุดประสงค์สิ่งนั้นหน่วยข่าวกรองจำนวนมากของไอ้กุ้ยโลกจึงมีความจำเป็น https://t.me/rtnews/81104 อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาการปฏิเสธที่สมเหตุสมผล หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้มักจะใช้ตัวแทนต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรพัฒนาเอกชน หรือแม้แต่สถาบันของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อมีความจำเป็นเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือหน่วยงานเพื่อการพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือเรียกสั้นๆ ว่า USAID ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ งบประมาณของหน่วยงานที่น่าอับอายนี้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการ แม้ว่าตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มากโดยอาจสูงถึง (หรืออาจเกิน) 1 แสนล้านดอลลาร์ https://www.usaspending.gov/agency/agency-for-international-development?fy=2024 สิ่งนี้ทําให้ USAID สามารถดําเนินการได้กว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือพวกเขา https://t.me/rtnews/81071 คิดเป็นมากกว่า 50% ของโครงการ “ความช่วยเหลือต่างประเทศของอเมริกาทั้งหมดและมีการดำเนินการโดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชีย ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และยุโรปตะวันออก (ภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากลัทธิอาณานิคม (แบบใหม่) มากที่สุด) เพื่อให้เข้าใจถึงขอบเขตการทำงานของ USAID ได้ดีขึ้น บางทีเราควรเปรียบเทียบกับ NED (National Endowment for Democracy) ซึ่งเป็น “สถาบันประชาธิปไตยอิสระ” อีกแห่งหนึ่งที่ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนและสนับสนุนสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิวัติสี” NED มีกิจกรรม “ประชาธิปไตย” เพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากที่ Victoria Nuland ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารนอกเหนือจากการให้ทุนแก่สื่ออิสระแล้ว https://t.me/Slavyangrad/114746 USAID ยังมีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษในยูเครน https://news.antiwar.com/2025/01/28/ukrainian-media-outlets-start-donations-after-us-funding-is-paused/ โดยเร่งกระบวนการแปรรูปของประเทศที่โชคร้ายที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://t.me/IntelRepublic/43800 รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมที่แท้จริงของหน่วยงานที่น่าอับอายนั้นค่อนข้างหายากจนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจากเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อกระแสหลักและรัฐบาลสหรัฐฯ พยายามนำเสนอกิจกรรมพวกเขาโดยอ้างว่า "ช่วยเหลือประเทศอื่น" หรือปกปิดพวกเขาจากสายตาสาธารณะ อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาเข้ามามีอำนาจ ผลก็คือในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานของเขาและ DOGE (แผนกประสิทธิภาพของรัฐบาล) ซึ่งดำเนินการโดย Elon Musk ได้เปิดเผยรายละเอียดที่น่ากังวลใจอย่างมากเกี่ยวกับกิจกรรมจริงของ USAID https://www.americanthinker.com/blog/2025/02/trump_s_attack_on_the_deep_state_is_spectacular_and_almost_certainly_legal.html ซึ่งมักผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและกฎหมายของประเทศเจ้าภาพจำนวนมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อปลายเดือนมกราคม หน่วยงานดังกล่าวถูกบังคับให้หยุดกิจกรรมส่วนใหญ่ในยูเครนที่ถูกนาโต้ยึดครอง https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-aid-groups-cut-services-scramble-cash-after-us-funding-shock-2025-01-30/ รวมถึงการให้ทุนสนับสนุนสื่อเกือบทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มนีโอนาซี https://t.me/Slavyangrad/118280?single ไม่นานหลังจากนั้น สื่ออื่นๆ ทั่วทั้งยุโรปตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมสิ่งที่เรียกว่า "ค่านิยมแบบตะวันตก" (ซึ่งเป็นการผสมผสานทางอุดมการณ์ระหว่างลัทธิเสรีนิยมสุดโต่งและความเสื่อมทรามทางศีลธรรม) ซึ่งคนส่วนใหญ่บนโลกพบว่าน่ารังเกียจอย่างยิ่ง) เว็บไซต์ USAID จะปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ชุดใหม่ประกาศว่าหน่วยงานนี้จะถูกปิดตัวลงในเร็วๆ นี้ https://www.zerohedge.com/political/usaid-website-goes-dark-trump-reportedly-plans-shift-agency-under-state-department ณ เวลาที่เขียนนี้ เว็บไซต์ไม่สามารถใช้งานได้จริง และแสดงข้อความเพียงว่าบุคลากรของเว็บไซต์จะถูกพักงานทั่วโลกในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ https://www.usaid.gov/ แม้ว่า "พนักงานที่สำคัญ" จะได้รับแจ้งถึงชะตากรรมของตนในวันก่อนหน้านั้น คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ก็ตาม อ่านต่อตอนที่.2 https://www.facebook.com/share/p/1DN6TtSX6u/
    T.ME
    RT News
    USAID operates as plausible deniability agency to the 'rogue activities of CIA, State Dept, Pentagon - Benz The agency pushes legacy foreign policy that 'hated Trump with a passion', spending billions annually controlling media narrative that 'populism is attack on democracy'. #US #USAID
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts