• เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 3
กษัตริย์ Ibn Saud เป็นอาหรับพวกที่ไม่ได้รวมวงกับ Sharif Hussien ในขบวนการเดินลงหม้อต้มของอังกฤษ แถมมองว่า Sharif Hussein หาเรื่องใส่ตัวเอง เชื่อเข้าไปได้ยังไงกับนักล่าชาวเกาะฯ กษัตริย์ Ibn Saud รังเกียจอังกฤษแบบเข้าไส้ และหาทางที่จะกำจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลาง มีไอ้หน้าขาวผมทอง ละอ่อนหน้าใหม่โผล่เข้ามา Ibn Saud คิดว่าอเมริกาน่าจะเป็นผู้ใช้ไม้กวาดและแปรงถู ขจัดคราบชาวเกาะใหญ่ให้หมดไปจากตะวันออกกลางได้ เสียดายคุณปลา มัวแต่มองหาคลื่นในทะเลทราย แต่เขาว่า เวลาของใครจะมา มันก็มา แล้ว “moment” ของอเมริกาในตะวันออกกลางก็คงจะใกล้มาถึง
    นาย Charles R. Crane เศรษฐีชาว Chicago ผู้ร่วมทำรายงาน King Crane เดินสำรวจความเห็นชาวอาหรับไปทั่วตะวันออกกลางในช่วง ค.ศ.1917 ว่าชาวอาหรับอยากจะฝากไข้ฝากครัวไว้กับใคร เดินไป ถามไป สำรวจไป ฝังหัวไป ชาวอาหรับหลายเผ่า จึงเฝ้าคอยให้อเมริกามาแทนที่อังกฤษและฝรั่งเศสในตะวันออกกลาง
    กษัตริย์ Ibn Saud แม้จะเกลียดอังกฤษนักล่าชาวเกาะเข้าไส้ แต่ก็มีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษ ซื่อนาย St. John Philby ซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แล้วนาย Philby แนะนำกษัตริย์ให้เชิญนาย Crane ซึ่งยังคงขี่อูฐเอ้อระเหย อยู่แถบตะวันออกอยู่มาคุยกัน (แผนนี้วางได้เนียนดี)
    กษัตริย์ Ibn Saud ต้องการถามความเห็นของนาย Crane ถึงความเป็นไปได้ของการสำรวจ ขุดเจาะ แผ่นดินอันแสนยากจนของตนดูว่า มันมีของมีค่าอะไรอยู่ข้างใต้นี้บ้าง เช่น น้ำ เราแห้งแล้งมาก เราอยากรู้ว่าประเทศเรามันจะมีโอกาสโชคดีกับเขาบ้างไหม
    นาย Crane รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำลาย ซับเหงื่อ นี่ก็คงเป็นของขวัญที่เบื้องบนประทานมา เขารีบเรียกตัววิศวกรเหมืองแร่มา Jidda ด่วนที่สุด แล้วการขุดเจาะแผ่นดินของซาอุดิอารเบีย ก็เริ่มดำเนินการ ภายใต้การอำนวยการและทุนอุดหนุนของนาย Charles R. Crane
    ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1933 มีโทรเลขแจ้งไปทางอเมริกาว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของ Standard Oil of California (SOCAL) กับรัฐมนตรีคลังของซาอุดิ สรุปได้แล้วว่า ตกลง กษัตริย์ Ibn Saud มอบสัมปทานการขุดน้ำมันให้แก่ SOCAL เป็นระยะเวลา 60 ปี ครอบคลุมเนื้อที่ 360,000 ตารางไมล์ และมีสิทธิจะขยายไปได้อีก 80,000 ตารางไมล์ โดยต้องใช้สิทธิภายใน ค.ศ.1939 ส่วนนาย Philby ก็รับทั้งค่านายหน้าและเงินเดือนจาก SOCAL กระเป๋าอวบ หน้าอิ่มสบายไปทั้งชาติ เอะ นักล่าชาวเกาะใหญ่ฯหล่นหายไปไหน ทำไมถึงตกรอบ!
    ในปี ค.ศ.1938 Aramco ก็ขุดเจาะน้ำมันรุ่นแรกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากพอที่จะทำการค้าขายได้ และปีต่อมาการส่งออกน้ำมันจากหลุมเจาะนี้ ก็เกิดขึ้น
    SOCAL ใช้บริษัทในเครือเป็นผู้รับสัมปทาน ชื่อ California-Arabian Standard Oil Company (CASOC) ซึงตอนหลังรู้จักกันในชื่อ “Aramco” Aramco จดทะเบียนในอเมริการัฐ Delaware ดังนั้นสมุดบัญชีต่างๆของบริษัท จึงลงรายรับรายจ่ายเป็นเงินเหรียญ สหรัฐ ไม่ใช่เงินปอนด์ของอังกฤษ และดอลล่าร์ จึงกลายเป็นมาตรฐาน ในการซื้อขายน้ำมัน ในตะวันออกกลาง และแสดงถึงอำนาจของอเมริกา กำลังก้าวมาวัดรอยเท้าอังกฤษในตะวันออกกลางอย่างกระชั้นชิด
    SOCAL มองไกล ตั้งแต่เริ่มแรก ถึงปลายทางจะเป็นรางวัลใหญ่ แต่เล่นคนเดียวทั้งหมดอาจจะพัง กลางทาง จึงจับมือกับ Texas Company (TEXACO) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1933 TEXACO ยอมร่วมหัวจมท้ายกับ SOCAL ซื้อหุ้น 50% ใน California-Arabian และอีก 50% ใน Bahrain Petroleum
    ในปี ค.ศ.1934 บริษัทน้ำมันอเมริกาก็ครอบครองแหล่งน้ำมันในส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง
– Near East Development ถือหุ้น 23.75% ใน Turkish Petroleum Company
– Gulf Oil ถือหุ้น 50% ในสัมปทานที่คูเวต
– สัมปทาน Bahrain และ Saudi Arabia อยู่ในมือของ Standard Oil California และ Texas Company
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 3
กษัตริย์ Ibn Saud เป็นอาหรับพวกที่ไม่ได้รวมวงกับ Sharif Hussien ในขบวนการเดินลงหม้อต้มของอังกฤษ แถมมองว่า Sharif Hussein หาเรื่องใส่ตัวเอง เชื่อเข้าไปได้ยังไงกับนักล่าชาวเกาะฯ กษัตริย์ Ibn Saud รังเกียจอังกฤษแบบเข้าไส้ และหาทางที่จะกำจัดอิทธิพลของอังกฤษให้หมดไปจากตะวันออกกลาง มีไอ้หน้าขาวผมทอง ละอ่อนหน้าใหม่โผล่เข้ามา Ibn Saud คิดว่าอเมริกาน่าจะเป็นผู้ใช้ไม้กวาดและแปรงถู ขจัดคราบชาวเกาะใหญ่ให้หมดไปจากตะวันออกกลางได้ เสียดายคุณปลา มัวแต่มองหาคลื่นในทะเลทราย แต่เขาว่า เวลาของใครจะมา มันก็มา แล้ว “moment” ของอเมริกาในตะวันออกกลางก็คงจะใกล้มาถึง นาย Charles R. Crane เศรษฐีชาว Chicago ผู้ร่วมทำรายงาน King Crane เดินสำรวจความเห็นชาวอาหรับไปทั่วตะวันออกกลางในช่วง ค.ศ.1917 ว่าชาวอาหรับอยากจะฝากไข้ฝากครัวไว้กับใคร เดินไป ถามไป สำรวจไป ฝังหัวไป ชาวอาหรับหลายเผ่า จึงเฝ้าคอยให้อเมริกามาแทนที่อังกฤษและฝรั่งเศสในตะวันออกกลาง กษัตริย์ Ibn Saud แม้จะเกลียดอังกฤษนักล่าชาวเกาะเข้าไส้ แต่ก็มีที่ปรึกษาเป็นชาวอังกฤษ ซื่อนาย St. John Philby ซึ่งได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แล้วนาย Philby แนะนำกษัตริย์ให้เชิญนาย Crane ซึ่งยังคงขี่อูฐเอ้อระเหย อยู่แถบตะวันออกอยู่มาคุยกัน (แผนนี้วางได้เนียนดี) กษัตริย์ Ibn Saud ต้องการถามความเห็นของนาย Crane ถึงความเป็นไปได้ของการสำรวจ ขุดเจาะ แผ่นดินอันแสนยากจนของตนดูว่า มันมีของมีค่าอะไรอยู่ข้างใต้นี้บ้าง เช่น น้ำ เราแห้งแล้งมาก เราอยากรู้ว่าประเทศเรามันจะมีโอกาสโชคดีกับเขาบ้างไหม นาย Crane รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำลาย ซับเหงื่อ นี่ก็คงเป็นของขวัญที่เบื้องบนประทานมา เขารีบเรียกตัววิศวกรเหมืองแร่มา Jidda ด่วนที่สุด แล้วการขุดเจาะแผ่นดินของซาอุดิอารเบีย ก็เริ่มดำเนินการ ภายใต้การอำนวยการและทุนอุดหนุนของนาย Charles R. Crane ในเดือน พฤษภาคม ค.ศ.1933 มีโทรเลขแจ้งไปทางอเมริกาว่า การเจรจาระหว่างตัวแทนของ Standard Oil of California (SOCAL) กับรัฐมนตรีคลังของซาอุดิ สรุปได้แล้วว่า ตกลง กษัตริย์ Ibn Saud มอบสัมปทานการขุดน้ำมันให้แก่ SOCAL เป็นระยะเวลา 60 ปี ครอบคลุมเนื้อที่ 360,000 ตารางไมล์ และมีสิทธิจะขยายไปได้อีก 80,000 ตารางไมล์ โดยต้องใช้สิทธิภายใน ค.ศ.1939 ส่วนนาย Philby ก็รับทั้งค่านายหน้าและเงินเดือนจาก SOCAL กระเป๋าอวบ หน้าอิ่มสบายไปทั้งชาติ เอะ นักล่าชาวเกาะใหญ่ฯหล่นหายไปไหน ทำไมถึงตกรอบ! ในปี ค.ศ.1938 Aramco ก็ขุดเจาะน้ำมันรุ่นแรกขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากพอที่จะทำการค้าขายได้ และปีต่อมาการส่งออกน้ำมันจากหลุมเจาะนี้ ก็เกิดขึ้น SOCAL ใช้บริษัทในเครือเป็นผู้รับสัมปทาน ชื่อ California-Arabian Standard Oil Company (CASOC) ซึงตอนหลังรู้จักกันในชื่อ “Aramco” Aramco จดทะเบียนในอเมริการัฐ Delaware ดังนั้นสมุดบัญชีต่างๆของบริษัท จึงลงรายรับรายจ่ายเป็นเงินเหรียญ สหรัฐ ไม่ใช่เงินปอนด์ของอังกฤษ และดอลล่าร์ จึงกลายเป็นมาตรฐาน ในการซื้อขายน้ำมัน ในตะวันออกกลาง และแสดงถึงอำนาจของอเมริกา กำลังก้าวมาวัดรอยเท้าอังกฤษในตะวันออกกลางอย่างกระชั้นชิด SOCAL มองไกล ตั้งแต่เริ่มแรก ถึงปลายทางจะเป็นรางวัลใหญ่ แต่เล่นคนเดียวทั้งหมดอาจจะพัง กลางทาง จึงจับมือกับ Texas Company (TEXACO) ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1933 TEXACO ยอมร่วมหัวจมท้ายกับ SOCAL ซื้อหุ้น 50% ใน California-Arabian และอีก 50% ใน Bahrain Petroleum ในปี ค.ศ.1934 บริษัทน้ำมันอเมริกาก็ครอบครองแหล่งน้ำมันในส่วนใหญ่ในตะวันออกกลาง
– Near East Development ถือหุ้น 23.75% ใน Turkish Petroleum Company
– Gulf Oil ถือหุ้น 50% ในสัมปทานที่คูเวต
– สัมปทาน Bahrain และ Saudi Arabia อยู่ในมือของ Standard Oil California และ Texas Company สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6”
    ซาอุดิ 2
ชาวเกาะใหญ่ฯ ใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company (APOC) และ Turkish Petroleum Company (TPC) เป็นตัวแทนในการควบคุมแหล่งน้ำมันที่ตัวเองฮุบมาในอิหร่านและอิรัก
    ใน ส่วนของ Turkish Petroleum เอง อังกฤษใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company ถือหุ้น 47.5% ที่เหลือเป็นของพวกดัชท์ 22.5% ฝรั่งเศส 25% และอาร์มาเนียน 5% เมื่อแบ่งให้อเมริกาไป 23.75% ส่วนของอังกฤษอย่างเป็นทางการจึงเหลือ 23.75% เท่ากับอเมริกา เหมือนนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯจะใจดีกับอเมริกานักล่ารุ่นใหม่ เกินสันดาน
    อังกฤษ ไม่ได้แบ่งหุ้นให้อเมริกาด้วยความเสน่หา แต่เป็นการล่อให้อเมริกาเดินเข้า ไปติดกับดัก ที่วางเอาล่อไว้ ผู้ถือหุ้นใน Turkish Petroleum Company (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company) ต้องเซ็นสัญญาเรียกว่า Red Line Agreement ห้ามผู้ถือหุ้นแข่งขันกันขุดน้ำมัน ในบริเวณต้องห้าม คือ ตุรกี อิรัก เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และซาอุดิอารเบีย รายหลังนี่สำคัญ แหม! คุณพี่ชาวเกาะฯ แบบนี้มันก็เกือบหมดตะวันออกกลางไปแล้ว ถึงว่า เหมือนจะใจดีกับน้องใหม่ ที่ไหนได้ เขารักกันแบบนี้เอง !
    บังเอิญ Gulf Oil บริษัทน้ำมัน ไม่ใหญ่ไม่เล็กของอเมริกา เกิดไปได้สัมปทานจากบาห์เรน และคูเวต อังกฤษชาวเกาะใหญ่ฯ ก็คัดค้านอีก อ้าว ! ก็ไม่อยู่ในเขตเส้นแดงต้องห้ามนี่หว่า จะมาโวยวายได้ไง Gulf Oil ขอให้กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา เข้ามาช่วยจัดการ
    ในที่สุด Gulf Oil ก็โอนสิทธิสัมปทานที่ได้มาจากบาห์เรน ให้แก่ Standard Oil of California (SOCAL) ที่ไม่อยู่ในสัญญา Red Line อังกฤษถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นี่ถ้ารู้ว่า Gulf Oil ก็คือหน้าม้าของ Standard Oil ที่ตั้งขึ้น เพื่อแอบยื่นเท้าเข้าไปในบาห์เรน ไม่ให้อังกฤษรู้ตัว อังกฤษคงถึงกับช้ำใน SOCAL ใส่เสื้อเกราะหลายชั้น ทั้งปลอมตัว ทั้งเลี่ยงกฏหมาย ตั้งบริษัท ใหม่ ชื่อ Bahrain Petroleum Company ตามกฏหมายของแคนาดา มารับสัมปทานจากบาห์เรนแทน ค.ศ.1932 Bahrain Petroleum Company ก็เริ่มขุดน้ำมันได้
    อเมริกาเร่งเครื่อง รุกต่อที่คูเวต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐที่อยู่ในอาณัติปกครองของอังกฤษ อังกฤษเองกำลังปวดหัว กับการเริ่มลุกขึ้นมาแข็งข้อของ พวกอาหรับ คิดยี่ต๋อกแล้ว มีอเมริกามาเป็นพวก แถมมีโอกาสได้น้ำมันเพิ่ม น่าจะแสดงเดี่ยว ในที่สุด ค.ศ.1934 อเมริกา อังกฤษ ก็จับมือกันตั้ง Kuwait Oil Company ถือหุ้นฝ่ายละ 50 เท่ากัน
    น้ำมันในบาห์เรน ทำให้อเมริกานักล่าหน้าใหม่ถึงกับซูดปาก ฉวยโอกาสขณะที่อังกฤษกำลังโดนศอกจากเหยื่อ เอะ ! หรืออเมริกาช่วยสอนวิธีศอกกลับ ให้พวกเหยื่อของชาวเกาะใหญ่ด้วย Standard Oil of California (SOCAL) ไม่ได้ถูกล็อคคอทำสัญญาเขตเส้นแดง แอบไปคอยดักคำนับ สวัสดีกับ King Ibn Saud ของซาอุดิอารเบีย
    แม้ซาอุดิอารเบียจะตั้งเป็นรัฐเอกราชตั้งแต่ ค.ศ.1931 แต่อเมริกาก็ยังไม่เคยมีสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วย อเมริกาถือว่าเป็นนักล่าหน้าใหม่ กำลังเรียนงาน เรียนวิธีล่าเหยื่อจากลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ การเรียนวิธีการล่าเหยื่อของอเมริกาน่าสนใจ
    ขณะนั้นอเมริกาส่งนาย Bert Fish เข้าเป็นกงสุลอยู่ในอิยิปต์ มีหน้าที่สอดส่องกิจกรรมแถบตะวันออกกลาง คุณ Fish คงเคยอยู่แต่ในน้ำ มาว่ายแถวทะเลทรายเลยไม่คล่องตัว เขาเคยไปเยี่ยมเมือง Jidda ของซาอุดิอารเบีย 1 ครั้ง ได้มีโอกาสพบผู้ก่อตั้งและผู้นำรัฐ คือ กษัตริย์ Alb al-Aziz bin al-Rahman al-Saud หรือเรียกย่อๆว่า Ibn Saud แต่คุณปลามองผ่าน โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปสะดุดเอาเจ้าของแหล่งใหญ่ ของสิ่งมหัศจรรย์มีค่าของโลก คงนั่งรอให้น้ำขึ้นกลางทะเลทรายไปเรื่อยๆ
    แต่กลับกลายเป็น กษัตริย์ Ibn Saud เองที่เล็งเห็นอาวุธที่มองหามานาน
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 6 – ซาอุดิฯ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 6” ซาอุดิ 2
ชาวเกาะใหญ่ฯ ใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company (APOC) และ Turkish Petroleum Company (TPC) เป็นตัวแทนในการควบคุมแหล่งน้ำมันที่ตัวเองฮุบมาในอิหร่านและอิรัก ใน ส่วนของ Turkish Petroleum เอง อังกฤษใช้ชื่อ Anglo – Persian Oil Company ถือหุ้น 47.5% ที่เหลือเป็นของพวกดัชท์ 22.5% ฝรั่งเศส 25% และอาร์มาเนียน 5% เมื่อแบ่งให้อเมริกาไป 23.75% ส่วนของอังกฤษอย่างเป็นทางการจึงเหลือ 23.75% เท่ากับอเมริกา เหมือนนักล่าชาวเกาะใหญ่ฯจะใจดีกับอเมริกานักล่ารุ่นใหม่ เกินสันดาน อังกฤษ ไม่ได้แบ่งหุ้นให้อเมริกาด้วยความเสน่หา แต่เป็นการล่อให้อเมริกาเดินเข้า ไปติดกับดัก ที่วางเอาล่อไว้ ผู้ถือหุ้นใน Turkish Petroleum Company (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Iraqi Petroleum Company) ต้องเซ็นสัญญาเรียกว่า Red Line Agreement ห้ามผู้ถือหุ้นแข่งขันกันขุดน้ำมัน ในบริเวณต้องห้าม คือ ตุรกี อิรัก เลบานอน ซีเรีย จอร์แดน ปาเลสไตน์ และซาอุดิอารเบีย รายหลังนี่สำคัญ แหม! คุณพี่ชาวเกาะฯ แบบนี้มันก็เกือบหมดตะวันออกกลางไปแล้ว ถึงว่า เหมือนจะใจดีกับน้องใหม่ ที่ไหนได้ เขารักกันแบบนี้เอง ! บังเอิญ Gulf Oil บริษัทน้ำมัน ไม่ใหญ่ไม่เล็กของอเมริกา เกิดไปได้สัมปทานจากบาห์เรน และคูเวต อังกฤษชาวเกาะใหญ่ฯ ก็คัดค้านอีก อ้าว ! ก็ไม่อยู่ในเขตเส้นแดงต้องห้ามนี่หว่า จะมาโวยวายได้ไง Gulf Oil ขอให้กระทรวงต่างประเทศของอเมริกา เข้ามาช่วยจัดการ ในที่สุด Gulf Oil ก็โอนสิทธิสัมปทานที่ได้มาจากบาห์เรน ให้แก่ Standard Oil of California (SOCAL) ที่ไม่อยู่ในสัญญา Red Line อังกฤษถึงกับอ้าปากค้าง พูดไม่ออก นี่ถ้ารู้ว่า Gulf Oil ก็คือหน้าม้าของ Standard Oil ที่ตั้งขึ้น เพื่อแอบยื่นเท้าเข้าไปในบาห์เรน ไม่ให้อังกฤษรู้ตัว อังกฤษคงถึงกับช้ำใน SOCAL ใส่เสื้อเกราะหลายชั้น ทั้งปลอมตัว ทั้งเลี่ยงกฏหมาย ตั้งบริษัท ใหม่ ชื่อ Bahrain Petroleum Company ตามกฏหมายของแคนาดา มารับสัมปทานจากบาห์เรนแทน ค.ศ.1932 Bahrain Petroleum Company ก็เริ่มขุดน้ำมันได้ อเมริกาเร่งเครื่อง รุกต่อที่คูเวต ซึ่งขณะนั้นยังเป็นรัฐที่อยู่ในอาณัติปกครองของอังกฤษ อังกฤษเองกำลังปวดหัว กับการเริ่มลุกขึ้นมาแข็งข้อของ พวกอาหรับ คิดยี่ต๋อกแล้ว มีอเมริกามาเป็นพวก แถมมีโอกาสได้น้ำมันเพิ่ม น่าจะแสดงเดี่ยว ในที่สุด ค.ศ.1934 อเมริกา อังกฤษ ก็จับมือกันตั้ง Kuwait Oil Company ถือหุ้นฝ่ายละ 50 เท่ากัน น้ำมันในบาห์เรน ทำให้อเมริกานักล่าหน้าใหม่ถึงกับซูดปาก ฉวยโอกาสขณะที่อังกฤษกำลังโดนศอกจากเหยื่อ เอะ ! หรืออเมริกาช่วยสอนวิธีศอกกลับ ให้พวกเหยื่อของชาวเกาะใหญ่ด้วย Standard Oil of California (SOCAL) ไม่ได้ถูกล็อคคอทำสัญญาเขตเส้นแดง แอบไปคอยดักคำนับ สวัสดีกับ King Ibn Saud ของซาอุดิอารเบีย แม้ซาอุดิอารเบียจะตั้งเป็นรัฐเอกราชตั้งแต่ ค.ศ.1931 แต่อเมริกาก็ยังไม่เคยมีสัมพันธ์อย่างเป็นทางการด้วย อเมริกาถือว่าเป็นนักล่าหน้าใหม่ กำลังเรียนงาน เรียนวิธีล่าเหยื่อจากลูกพี่ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ การเรียนวิธีการล่าเหยื่อของอเมริกาน่าสนใจ ขณะนั้นอเมริกาส่งนาย Bert Fish เข้าเป็นกงสุลอยู่ในอิยิปต์ มีหน้าที่สอดส่องกิจกรรมแถบตะวันออกกลาง คุณ Fish คงเคยอยู่แต่ในน้ำ มาว่ายแถวทะเลทรายเลยไม่คล่องตัว เขาเคยไปเยี่ยมเมือง Jidda ของซาอุดิอารเบีย 1 ครั้ง ได้มีโอกาสพบผู้ก่อตั้งและผู้นำรัฐ คือ กษัตริย์ Alb al-Aziz bin al-Rahman al-Saud หรือเรียกย่อๆว่า Ibn Saud แต่คุณปลามองผ่าน โดยไม่รู้ตัวว่าเดินไปสะดุดเอาเจ้าของแหล่งใหญ่ ของสิ่งมหัศจรรย์มีค่าของโลก คงนั่งรอให้น้ำขึ้นกลางทะเลทรายไปเรื่อยๆ แต่กลับกลายเป็น กษัตริย์ Ibn Saud เองที่เล็งเห็นอาวุธที่มองหามานาน สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
15 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 3 – จอร์แดน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว3”
    จอร์แดน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 Transjordan หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า Jordan ยังไม่เป็นรัฐ เป็นเพียงกลุ่มหมู่บ้าน เรียงรายอยู่บริเวณใกล้เคียง ขึ้นกับอาณาจักรออตโตมาน อังกฤษเริ่มสนใจจอร์แดนด้านการเมืองเมื่อ ค.ศ.1930 เพราะฝรั่งเศสให้ความสนใจ ! มันเป็นสันดานของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ จะต้องคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝรั่งเศส แล้วหยิบไม้เตรียมใช้เสี้ยม หรือขวาง ฯลฯ อะไรทำนองนั้น
    ฝรั่งเศสอ้างว่าเป็นหน้าที่ของฝรั่งเศส ที่จะต้องเข้าไปดูแลพวกชาวคริสต์ที่อยู่ในออตโตมาน บริเวณที่เป็นจอร์แดนปัจจุบัน โดยมีผู้ปกครองอิยิปต์ขณะนั้นคือ Mohammed Ali รู้เห็นเป็นใจด้วย ทำให้อังกฤษและรัสเซียไม่พอใจ มันกำลังตบตาหลอกลวงอะไรเราหรือเปล่า แล้วอังกฤษกับรัสเซียก็จับมือกันมาออกโรงไล่ Mohammed Ali กลับอิยิปต์ไป อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ 3 คนก็ตกลงกันเอง
    ฝรั่งเศสตกลงดูแลแคทอลิก และรัสเซียตกลงดูแลพวกออโทดอกซ์ (Orthodox) ส่วนอังกฤษบอกเราไม่ยุ่งเรื่องศาสนา ขอเรามีสิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือกฏหมายในแถบนั้นก็แล้วกัน (Extraterritotrial Status) แน่จริงๆลูกพี่ นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว อังกฤษบอก เราไม่สนใจอะไรในจอร์แดน
    เมื่อเริ่มต้นศตวรรษที่ 19 และออตโตมานคนป่วยของยุโรป เกิดเนื้อหอม มีคนอยากมาดูแลหลายราย แต่คนดูแลชื่อเยอรมันนี ทำให้อังกฤษต้องเตรียมการหาเหยื่อ และออกโรงแสดงความชำนาญในวิทยา ยุทธแม่ไม้ จัดเต็มชุด เริ่มแรกก็หลอกเหยื่อ Sharif Hussein ให้ไปช่วยยึดเมืองดามัสกัส เพื่อแยกออกมาจากออตโตมาน ส่วนอังกฤษมุ่งหน้าไปยึดปาเลสไตน์และเยรูซาเร็มใน ค.ศ.1917
    ในวันที่ฝ่ายตะวันตก ผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังตัดแบ่งอาณาจักรออตโตมานกันอยู่ที่ปารีส Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ลงทุนไม่ขี่อูฐ แต่ขึ้นรถไฟมาประชุมด้วย เขาตั้งใจจะมาบอกว่าพวกอาหรับไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแบ่งดินแดนตะวันออกกลาง ให้ยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ แต่มารถไฟช้ากว่าขี่อูฐ เมื่อมาถึง อังกฤษตัดสินใจเดินหน้าประกาศเรื่องให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ตามข้อตกลง Balfour Declaration ไปเรียบร้อยแล้ว
    ขณะเดียวกันนั้น พวกอาหรับเองก็จัดชุมนุมกันที่ ดามัสกัส ประกาศให้ซีเรียเป็นเอกราช และแต่งตั้ง Faisal ขึ้นเป็นกษัตริย์ ส่วน Abdullah น้องชายของ Faisal ประกาศตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ของอิรัก
    สันนิบาตชาติ (Leagul of Nation) รู้เรื่องเข้าก็โวย บอกเฮ้ย พวกเจ้าประกาศแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ต้องให้พวกเราเป็นคนเห็นชอบ ถึงจะเป็นเรื่องของตะวันออกกลาง แต่พวกเราชาวตะวันตกต่างหาก เป็นผู้ตัดสินเกี่ยวกับเขตแดน และชะตาชีวิตของพวกเจ้า และในการประชุมที่ San Remo ก็ยืนยันความเห็นของสันนิบาตชาติ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็อัญเชิญท่านกษัตริย์ Faisal ให้ขึ้นอูฐขนย้ายครอบครัวออกจากซีเรียเป็นการด่วน
    Faisal อาจจะว่าง่าย แต่ Abdullah บอกว่าอย่าไปยอมมันพี่เรา ว่าแล้วเขาก็อพยพชาวเผ่าร่อนเร่หลายพันคนมายังดามัสกัสประกาศบุกซีเรีย ท้าทายฝรั่งเศส ทวงถามสิทธิในบัลลังก์ของพี่ชาย คราวนี้อังกฤษนั่งไม่ติด ออกมาห้ามทัพ อังกฤษบอกกันเอง แต่ไม่ได้บอกพวกอาหรับว่า ถึงสัมพันธ์อังกฤษฝรั่งเศสจะลุ่มๆดอนๆ ก็ยังมีค่ากว่าพวกเร่ร่อนเป็นร้อยเท่า
    ก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อ อังกฤษจัดประชุมหัวหน้าเผ่าอาหรับระดับพี่ใหญ่ทั้งหลาย ถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องยิวมาอยู่ในตะวันออกกลาง พวกอาหรับบอก ตะวันตกอยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่พวกเรากำลังจะตั้งกลุ่มศาสนานิกายวาฮาบี ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่าใหญ่ Ibn Saud ซึ่งเริ่มมีอำนาจและอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ อังกฤษคงยังแปลคำตอบแบบตะวันออกกลางไม่ออก หรือแกล้งไม่เข้าใจ หรือเข้าใจดีอย่างชัดเจน
    อังกฤษเดินหน้าจับเข่า หักมือ Abdullah บอกว่าใจเย็นๆ เราจะปล่อยให้ท่านทะเลาะกับฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เราก็ไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอก เราจะจัดการให้ท่านไปเป็นหัวหน้ารัฐ Transjordan ส่วนพี่ชายของท่าน Faisal เราจะจัดการให้เขาได้เป็นกษัตริย์ที่อิรักก็แล้วกันนะ เจอทองเรียกว่าพี่เข้า Abdullah ก็ใจอ่อน ถอยทัพออกไปจากซีเรีย เพียงแต่ต้องเพิ่มอูฐอีกหลายตัวหน่อย เพื่อขนทองของกำนัลปิดปากจากนักล่าชาวเกาะฯ
    ในการประชุม Cairo Conference เกี่ยวกับกิจการตะวันออกกลางของอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1921 ซึ่งอำนวยการโดยท่านหลอด Winston Churchill อังกฤษจัดการตัดแบ่งปาเลสไตน์ยาวตามเส้นทางของแม่น้ำจอร์ แดนไปถึงอ่าวอกาบา (Gulf of Aqaba) โดยเรียกด้านตะวันตกว่า Transjordan ให้พวกอาหรับของ Abdullah ไปอยู่ ภายใต้การดูแลของกงสุลอังกฤษที่ประจำอยู่ปาเลสไตน์ สันนิบาตชาติประทับตราเห็นชอบ (ตามเคย!) แล้วอังกฤษก็มีอิทธิพลใน Transjordan เต็มที่ตั้งแต่นั้นมา
    ชาวจอร์แดนส่วนใหญ่ทำกสิกรรม จอร์แดนเป็นบริเวณเดียวในตะวันออกกลางที่ไม่มีแหล่งน้ำมัน แต่อังกฤษก็ยังสนใจ อุ้มชู ดูแล เหมือนจะตอบแทนบุญคุณของ Sharif Hussein !
    ตลอดเวลานับตั้งแต่อังกฤษตั้ง Transjordan พวกฮาวาบี ซึ่งก่อตั้งใหม่เอี่ยม ก็บุกเข้ามาตีรวนในจอร์แดนตลอดเวลาเหมือนกัน อย่างน้อยปีละครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา ไม่ให้พวก Abdullah นั่งหงอยเหงา อังกฤษก็ทำหน้าที่เป็นผู้ขับไล่ออกไปทุกครั้ง อังกฤษดูแลด้านความมั่นคง การเงิน และการต่างประเทศของจอร์แดนรวมทั้งจ่ายค่าเลี้ยงดูชาวจอร์แดนอีกด้วย นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯใจดีผิดสันดาน
    จอร์แดนเป็นบริเวณกันชนระหว่างปาเลสไตน์กับอิรัก และเป็นเส้นทางบินระหว่างอังกฤษกับอินเดียสมัยนั้น แต่นั่นคงไม่น่ามีค่าพอทำให้อังกฤษลงทุนควักกระเป๋าเลี้ยงดูจอร์แดน
    ด้วยเขตแดนของจอร์แดนที่ติดกับซาอุดิอารเบีย ทำให้พวกวาฮาบีข้ามเขตมารุกรานจอร์แดนเหมือนเป็นกิจกรรมหลัก ในที่สุดอังกฤษก็ขอเจรจากับซา อุดิอารเบีย อังกฤษยึดเมืองอกาบาไป และยอมยก Wadi Sirhan ให้ซาอุดิอารเบียและ ค.ศ.1925 Hadda Agreement ก็ลงนาม Wadi Sirhan ตกลงเป็นส่วนหนึ่งของ Nejd ของซาอุดิและอกาบาเป็นส่วนหนึ่งของTransjordan
    ซาอุดิอารเบียกลืนเบ็ดโดยไม่รู้ตัว Aqaba Gulf เป็นจุดสำคัญในการคุมทางเข้าปาเลสไตน์และอิยิปต์จากพวกวาฮาบี
    Abdullah ยังมีความฝันตามพ่อ ที่จะเห็นรัฐอาหรับ สำหรับ Abdullah เขาอยากจะครองอาณาจักรที่ประกอบไปด้วย Transjordan ซีเรีย เลบานอน รวมไปถึงปาเลสไตน์ เพราะฝันแบบนี้ Abdullah ซึ่งเป็นหัวหน้าอาหรับคนเดียวที่เห็นด้วยกับมติของสหประชาชาติ ที่ยอมรับการจัดสรรดินแดนปาเลสไตน์ในปี ค.ศ.1947
    เกือบทุกรัฐอาหรับไม่ไว้ใจ Abdullah และเห็นว่าเขาหักหลังพรรคพวก และเชื่อว่าเขาสนับสนุนให้มีการตั้งรัฐให้ยิวเสียด้วยซ้ำ
    เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนั้น Abdullah ก็มีพวกน้อยลง และไว้ใจพวกน้อยลง การตัดแบ่ง Transjordan และการให้ Abdullah มาครอง จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์แม่ไม้ของขาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่เหี้ยมโหดสิ้นดี อังกฤษรู้ดีว่าชาวอาหรับส่วนใหญ่คิดอย่างไรเรื่องการให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ ตั้งแต่เมื่อเรียกประชุมพวกอาหรับ แต่เขาเดินหน้าหลอกเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นพวกครอบครัวของ Sharif Hussein !
    วันที่ 20 กรกฏาคม ค.ศ.1951 Abdullah ก็ถูกยิงตายอยู่บนบันไดทางขึ้นของ Al-Aqsa Mosque ในนครเยรูซาเร็ม คนยิงเขาเป็นชาวปาเลสไตน์ ซึ่งต่อต้านจอร์แดนที่ทำตัวเป็นมิตรกับอิสราเอล
    ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน Raid Bay al-Solh อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนถูกฆาตกรรมที่อัมมาน (Amman) หลังจากมีข่าวลือออกไปทั่วว่า เลบานอนและจอร์แดนกำลังเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล
    Abdullah ไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมพิธีสวดให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน และก็ถูกยิงตรงทางขึ้นโบสถ์ที่ กำลังมีพิธีสวด เขาถูกยิง 3 นัด ที่หัวและหน้าอก หลานชายของเขา Hussien bin Talal (กษัตริย์จอร์แดนตั้งแต่ ค.ศ.1953-1999) ยืนอยู่ข้างปู่ของเขาขณะที่ปู่ของเขาถูกยิง
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 3 – จอร์แดน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว3” จอร์แดน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 Transjordan หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า Jordan ยังไม่เป็นรัฐ เป็นเพียงกลุ่มหมู่บ้าน เรียงรายอยู่บริเวณใกล้เคียง ขึ้นกับอาณาจักรออตโตมาน อังกฤษเริ่มสนใจจอร์แดนด้านการเมืองเมื่อ ค.ศ.1930 เพราะฝรั่งเศสให้ความสนใจ ! มันเป็นสันดานของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ จะต้องคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝรั่งเศส แล้วหยิบไม้เตรียมใช้เสี้ยม หรือขวาง ฯลฯ อะไรทำนองนั้น ฝรั่งเศสอ้างว่าเป็นหน้าที่ของฝรั่งเศส ที่จะต้องเข้าไปดูแลพวกชาวคริสต์ที่อยู่ในออตโตมาน บริเวณที่เป็นจอร์แดนปัจจุบัน โดยมีผู้ปกครองอิยิปต์ขณะนั้นคือ Mohammed Ali รู้เห็นเป็นใจด้วย ทำให้อังกฤษและรัสเซียไม่พอใจ มันกำลังตบตาหลอกลวงอะไรเราหรือเปล่า แล้วอังกฤษกับรัสเซียก็จับมือกันมาออกโรงไล่ Mohammed Ali กลับอิยิปต์ไป อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ 3 คนก็ตกลงกันเอง ฝรั่งเศสตกลงดูแลแคทอลิก และรัสเซียตกลงดูแลพวกออโทดอกซ์ (Orthodox) ส่วนอังกฤษบอกเราไม่ยุ่งเรื่องศาสนา ขอเรามีสิทธิภาพนอกอาณาเขต เหนือกฏหมายในแถบนั้นก็แล้วกัน (Extraterritotrial Status) แน่จริงๆลูกพี่ นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว อังกฤษบอก เราไม่สนใจอะไรในจอร์แดน เมื่อเริ่มต้นศตวรรษที่ 19 และออตโตมานคนป่วยของยุโรป เกิดเนื้อหอม มีคนอยากมาดูแลหลายราย แต่คนดูแลชื่อเยอรมันนี ทำให้อังกฤษต้องเตรียมการหาเหยื่อ และออกโรงแสดงความชำนาญในวิทยา ยุทธแม่ไม้ จัดเต็มชุด เริ่มแรกก็หลอกเหยื่อ Sharif Hussein ให้ไปช่วยยึดเมืองดามัสกัส เพื่อแยกออกมาจากออตโตมาน ส่วนอังกฤษมุ่งหน้าไปยึดปาเลสไตน์และเยรูซาเร็มใน ค.ศ.1917 ในวันที่ฝ่ายตะวันตก ผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังตัดแบ่งอาณาจักรออตโตมานกันอยู่ที่ปารีส Faisal ลูกชายของ Sharif Hussein ลงทุนไม่ขี่อูฐ แต่ขึ้นรถไฟมาประชุมด้วย เขาตั้งใจจะมาบอกว่าพวกอาหรับไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแบ่งดินแดนตะวันออกกลาง ให้ยิวมาอยู่ที่ปาเลสไตน์ แต่มารถไฟช้ากว่าขี่อูฐ เมื่อมาถึง อังกฤษตัดสินใจเดินหน้าประกาศเรื่องให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ตามข้อตกลง Balfour Declaration ไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันนั้น พวกอาหรับเองก็จัดชุมนุมกันที่ ดามัสกัส ประกาศให้ซีเรียเป็นเอกราช และแต่งตั้ง Faisal ขึ้นเป็นกษัตริย์ ส่วน Abdullah น้องชายของ Faisal ประกาศตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ของอิรัก สันนิบาตชาติ (Leagul of Nation) รู้เรื่องเข้าก็โวย บอกเฮ้ย พวกเจ้าประกาศแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ต้องให้พวกเราเป็นคนเห็นชอบ ถึงจะเป็นเรื่องของตะวันออกกลาง แต่พวกเราชาวตะวันตกต่างหาก เป็นผู้ตัดสินเกี่ยวกับเขตแดน และชะตาชีวิตของพวกเจ้า และในการประชุมที่ San Remo ก็ยืนยันความเห็นของสันนิบาตชาติ หลังจากนั้นฝรั่งเศสก็อัญเชิญท่านกษัตริย์ Faisal ให้ขึ้นอูฐขนย้ายครอบครัวออกจากซีเรียเป็นการด่วน Faisal อาจจะว่าง่าย แต่ Abdullah บอกว่าอย่าไปยอมมันพี่เรา ว่าแล้วเขาก็อพยพชาวเผ่าร่อนเร่หลายพันคนมายังดามัสกัสประกาศบุกซีเรีย ท้าทายฝรั่งเศส ทวงถามสิทธิในบัลลังก์ของพี่ชาย คราวนี้อังกฤษนั่งไม่ติด ออกมาห้ามทัพ อังกฤษบอกกันเอง แต่ไม่ได้บอกพวกอาหรับว่า ถึงสัมพันธ์อังกฤษฝรั่งเศสจะลุ่มๆดอนๆ ก็ยังมีค่ากว่าพวกเร่ร่อนเป็นร้อยเท่า ก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อ อังกฤษจัดประชุมหัวหน้าเผ่าอาหรับระดับพี่ใหญ่ทั้งหลาย ถามความเห็นเกี่ยวกับเรื่องยิวมาอยู่ในตะวันออกกลาง พวกอาหรับบอก ตะวันตกอยากจะทำอะไรก็เชิญ แต่พวกเรากำลังจะตั้งกลุ่มศาสนานิกายวาฮาบี ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่าใหญ่ Ibn Saud ซึ่งเริ่มมีอำนาจและอิทธิพลขึ้นเรื่อยๆ อังกฤษคงยังแปลคำตอบแบบตะวันออกกลางไม่ออก หรือแกล้งไม่เข้าใจ หรือเข้าใจดีอย่างชัดเจน อังกฤษเดินหน้าจับเข่า หักมือ Abdullah บอกว่าใจเย็นๆ เราจะปล่อยให้ท่านทะเลาะกับฝรั่งเศสไม่ได้ แต่เราก็ไม่ทำให้ท่านผิดหวังหรอก เราจะจัดการให้ท่านไปเป็นหัวหน้ารัฐ Transjordan ส่วนพี่ชายของท่าน Faisal เราจะจัดการให้เขาได้เป็นกษัตริย์ที่อิรักก็แล้วกันนะ เจอทองเรียกว่าพี่เข้า Abdullah ก็ใจอ่อน ถอยทัพออกไปจากซีเรีย เพียงแต่ต้องเพิ่มอูฐอีกหลายตัวหน่อย เพื่อขนทองของกำนัลปิดปากจากนักล่าชาวเกาะฯ ในการประชุม Cairo Conference เกี่ยวกับกิจการตะวันออกกลางของอังกฤษเมื่อ ค.ศ.1921 ซึ่งอำนวยการโดยท่านหลอด Winston Churchill อังกฤษจัดการตัดแบ่งปาเลสไตน์ยาวตามเส้นทางของแม่น้ำจอร์ แดนไปถึงอ่าวอกาบา (Gulf of Aqaba) โดยเรียกด้านตะวันตกว่า Transjordan ให้พวกอาหรับของ Abdullah ไปอยู่ ภายใต้การดูแลของกงสุลอังกฤษที่ประจำอยู่ปาเลสไตน์ สันนิบาตชาติประทับตราเห็นชอบ (ตามเคย!) แล้วอังกฤษก็มีอิทธิพลใน Transjordan เต็มที่ตั้งแต่นั้นมา ชาวจอร์แดนส่วนใหญ่ทำกสิกรรม จอร์แดนเป็นบริเวณเดียวในตะวันออกกลางที่ไม่มีแหล่งน้ำมัน แต่อังกฤษก็ยังสนใจ อุ้มชู ดูแล เหมือนจะตอบแทนบุญคุณของ Sharif Hussein ! ตลอดเวลานับตั้งแต่อังกฤษตั้ง Transjordan พวกฮาวาบี ซึ่งก่อตั้งใหม่เอี่ยม ก็บุกเข้ามาตีรวนในจอร์แดนตลอดเวลาเหมือนกัน อย่างน้อยปีละครั้ง ตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา ไม่ให้พวก Abdullah นั่งหงอยเหงา อังกฤษก็ทำหน้าที่เป็นผู้ขับไล่ออกไปทุกครั้ง อังกฤษดูแลด้านความมั่นคง การเงิน และการต่างประเทศของจอร์แดนรวมทั้งจ่ายค่าเลี้ยงดูชาวจอร์แดนอีกด้วย นักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯใจดีผิดสันดาน จอร์แดนเป็นบริเวณกันชนระหว่างปาเลสไตน์กับอิรัก และเป็นเส้นทางบินระหว่างอังกฤษกับอินเดียสมัยนั้น แต่นั่นคงไม่น่ามีค่าพอทำให้อังกฤษลงทุนควักกระเป๋าเลี้ยงดูจอร์แดน ด้วยเขตแดนของจอร์แดนที่ติดกับซาอุดิอารเบีย ทำให้พวกวาฮาบีข้ามเขตมารุกรานจอร์แดนเหมือนเป็นกิจกรรมหลัก ในที่สุดอังกฤษก็ขอเจรจากับซา อุดิอารเบีย อังกฤษยึดเมืองอกาบาไป และยอมยก Wadi Sirhan ให้ซาอุดิอารเบียและ ค.ศ.1925 Hadda Agreement ก็ลงนาม Wadi Sirhan ตกลงเป็นส่วนหนึ่งของ Nejd ของซาอุดิและอกาบาเป็นส่วนหนึ่งของTransjordan ซาอุดิอารเบียกลืนเบ็ดโดยไม่รู้ตัว Aqaba Gulf เป็นจุดสำคัญในการคุมทางเข้าปาเลสไตน์และอิยิปต์จากพวกวาฮาบี Abdullah ยังมีความฝันตามพ่อ ที่จะเห็นรัฐอาหรับ สำหรับ Abdullah เขาอยากจะครองอาณาจักรที่ประกอบไปด้วย Transjordan ซีเรีย เลบานอน รวมไปถึงปาเลสไตน์ เพราะฝันแบบนี้ Abdullah ซึ่งเป็นหัวหน้าอาหรับคนเดียวที่เห็นด้วยกับมติของสหประชาชาติ ที่ยอมรับการจัดสรรดินแดนปาเลสไตน์ในปี ค.ศ.1947 เกือบทุกรัฐอาหรับไม่ไว้ใจ Abdullah และเห็นว่าเขาหักหลังพรรคพวก และเชื่อว่าเขาสนับสนุนให้มีการตั้งรัฐให้ยิวเสียด้วยซ้ำ เมื่อถูกกล่าวหาเช่นนั้น Abdullah ก็มีพวกน้อยลง และไว้ใจพวกน้อยลง การตัดแบ่ง Transjordan และการให้ Abdullah มาครอง จึงน่าจะเป็นยุทธศาสตร์แม่ไม้ของขาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ที่เหี้ยมโหดสิ้นดี อังกฤษรู้ดีว่าชาวอาหรับส่วนใหญ่คิดอย่างไรเรื่องการให้ยิวมาอยู่ปาเลสไตน์ ตั้งแต่เมื่อเรียกประชุมพวกอาหรับ แต่เขาเดินหน้าหลอกเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นพวกครอบครัวของ Sharif Hussein ! วันที่ 20 กรกฏาคม ค.ศ.1951 Abdullah ก็ถูกยิงตายอยู่บนบันไดทางขึ้นของ Al-Aqsa Mosque ในนครเยรูซาเร็ม คนยิงเขาเป็นชาวปาเลสไตน์ ซึ่งต่อต้านจอร์แดนที่ทำตัวเป็นมิตรกับอิสราเอล ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน Raid Bay al-Solh อดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอนถูกฆาตกรรมที่อัมมาน (Amman) หลังจากมีข่าวลือออกไปทั่วว่า เลบานอนและจอร์แดนกำลังเจรจาสันติภาพกับอิสราเอล Abdullah ไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมพิธีสวดให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีเลบานอน และก็ถูกยิงตรงทางขึ้นโบสถ์ที่ กำลังมีพิธีสวด เขาถูกยิง 3 นัด ที่หัวและหน้าอก หลานชายของเขา Hussien bin Talal (กษัตริย์จอร์แดนตั้งแต่ ค.ศ.1953-1999) ยืนอยู่ข้างปู่ของเขาขณะที่ปู่ของเขาถูกยิง สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
12 ก.ย. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
    ตอนที่ 2 : “ขวาง 3”

    ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก

    แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี

    ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ

    ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส

    ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง !
    ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง

    ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy!

    ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น

    นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !)

    ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก

    ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ !
    นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ

    นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน

    สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น

    ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ !

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    28 ส.ค. 2557
    เหยื่อ – ขวาง ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ” ตอนที่ 2 : “ขวาง 3” ประมาณ ค.ศ. 1882 น้อยคนในโลกจะรู้จักว่า ไอ้ดำ ๆ เหนียว ๆ และที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำมันดิบน่ะ มันมีค่ามหาศาลขนาดไหน ถึงกับเรียกเป็นทองดำกันเลย สมัยนั้นรู้จักกันแต่น้ำมันเติมตะเกียง ซึ่งโรงงานของเยอรมันนั่นแหละ เป็นผู้ผลิตตะเกียง ชื่อ Stohwasser น้ำมันนี้ เรียกว่า “rock oil” เพราะมันไหลออกมาจากหิน ซึ่งมีอยู่มากในแถบ Titusville ของ รัฐPennsylvania และที่ Baku ของรัสเซีย หรือ Galicia ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ ค.ศ. 1870 นาย John D Rockefeller ตั้งบริษัท Standard Oil ขึ้นเพื่อหาน้ำมันมาเติมตะเกียง (ไม่ได้หรูหรา ตั้งแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลกัน อย่างที่คิดหรอกนะ ในสมัยนั้น) และเอามาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำยาในอเมริกา ตอนนั้นยังไม่มีใครคิด เอาน้ำมันมาใช้ในการอุตสาหกรรม ฝรั่งก็ไม่ได้ฉลาดล้ำไปทุกเรื่องหรอก แต่อย่างน้อยก็มีคนเข้าใจ และรู้จักคิด คือ กัปตัน Fisher ทหารเรืออังกฤษ ปี ค.ศ. 1882 กัปตันบอกว่า ถ้ากองทัพเรืออังกฤษเปลี่ยนจากใช้ถ่านหิน มาเป็นใช้น้ำมัน เรือรบอังกฤษจะวิ่งฉิวเลย เพราะไม่ต้องไปเปลืองน้ำหนักกับถ่านหิน ผลของการคิดก้าวไกล คุณกัปตันได้ก้อนอิฐเต็มหัว ใคร ๆ หาว่าเขาบ๊อง (เคยเขียนให้อ่านกันแล้วครับ ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) คุณกัปตันเจ็บใจ ซุ่มทำการบ้านอยู่หลายปี ขณะเดียวกัน ค.ศ. 1885 วิศวกรชาวเยอรมัน นาย Gottlieb Daimler ก็เป็นคนคิดเครื่องยนต์ให้รถวิ่งโดยใช้น้ำมัน แต่ขณะนั้นรถยนต์มันเป็นเครื่องวิ่งแทนเท้าของพวกเศรษฐีเท่านั้น ชาวบ้านทั่วไปคงยังต้องใช้เท้าส่วนตัววิ่งเองตามเดิม ไม่ได้มีโอกาสได้ชื่นชมผลงานอันแสนสุดยอดนี้ในตอนนั้น แต่ถึงอย่างไรข่าวนี้แน่นอน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่อังกฤษ ปี ค.ศ. 1905 อังกฤษเริ่ม “รู้สึก” ว่าน้ำมันนี่ น่าจะเป็นอาวุธสำคัญ แต่ทำอย่างไรล่ะ ทั้งเกาะใหญ่ของอังกฤษมีแต่น้ำมันตะเกียง ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบของตัวเอง ใครรู้อายเขาตาย เป็นตั้งจักรภพอังกฤษ ใหญ่ซะไม่มีละ แต่ดันต้องพึงอเมริกา รัสเซีย หรือเม็กซิโก ให้ส่งน้ำมันให้ เป็นสิ่งที่อังกฤษรังเกียจ และเสียหน้าอันใหญ่โตมาก ตามประสาคนยะโส ย้อนไปในปี ค.ศ. 1904 คุณกัปตัน Fisher มีคนตาแหลมมองเห็นว่า ไอ้หมอนี่นอกจากไม่บ๊องแล้ว มันยังเป็นอัจฉริยะอีกด้วย (2 อย่างนี้เส้นตัดแบ่ง มันบางมากนะครับ) คุณกัปตันเลยได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการทหารเรือ เขารีบตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาว่า จะหาน้ำมันมาจากไหนและทำอย่างไร เพื่อเอามาให้กองทัพเรืออังกฤษใช้ คราวนี้เอาจริง ! ขณะนั้นอังกฤษไปจับจองครองพื้นที่อยู่ที่เปอร์เซีย (Persia) และ Arabia Gulf ที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานแล้ว เปอร์เซียเองไม่ได้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ แต่อังกฤษมีวิธีไปตั้งสถานกงสุลอยู่ที่เมือง Bushier และ Bandar Abbas โดยการเอากองทัพเรือมาจอดขวางกลางอ่าว ก็เท่านั้นเองแหละ เป็นการขวางไม่ให้ใครใช้เส้นทางไปสู่อินเดีย อังกฤษทำแบบนี้มาทุกครั้งที่ต้องการข่มขู่เหยื่อ สมันน้อยก็โดนมาแล้ว ยังจำ ร.ศ. 112 ได้หรือเปล่า หรือต้องให้ลุงนิทานเล่า เกินไปนะ ประวัติศาสตร์สำคัญของบ้านเรานะ หาอ่านกันเองบ้าง ค.ศ. 1905 อังกฤษส่งสายลับมือหนึ่ง ชื่อ นาย Sidney Reilly (ซึ่งจริง ๆ เป็นชาวรัสเซีย ชื่อ Sigmund Georgjevich Rosenblum ชาวเมือง Odessa ในรัสเซีย) ให้เดินทางเข้าไปในเปอร์เซีย ภายใต้คำสั่งลับสุดยอดให้ไปควานหาตัวบุคคลลึกลับ ชื่อ นาย William Knox D’Arcy! ต้องยอมรับว่าการข่าวกรองและการจารกรรมของอังกฤษ นำหน้ามาตลอดเป็นหลายร้อยปี ปัจจุบันก็ยังอยู่แถวหน้า ตัวใหญ่ ๆ ของ CIA ของนักล่ารุ่นใหม่ ก็เรียนงานมาจากรุ่นเก่านี้ทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกและสงครามเย็น นาย D’Arcy เป็นวิศวกรชาวออสเตรเลีย ซึ่งสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์เป็นงานอดิเรก อย่างเอาจริงและลึกซึ้ง ชนิดพูดกับก้อนหินรู้เรื่อง และเป็นคริสเตียนที่เคร่งครัด เขามีความเชื่อแบบฝันเฟื่องว่า เทพเจ้าแห่งไฟของเปอร์เซีย (Ormuzd) จุดน้ำมันตะเกียงถวายพระผู้เป็นเจ้าในสมัยโบราณตลอดเวลา แสดงว่าแถบนั้นน่าจะต้องมีน้ำมัน “rock oil” (พวกเฟื่อง พวกบ๊อง นี่ดูดี ๆ นะครับ บอกแล้วเส้นแบ่ง มันบางมาก !) เขาจึงไปเดินสำรวจแถวนั้นอยู่หลายรอบ และเมื่อเชื่อมากขึ้นว่า น่าจะมี “rock oil” เขาก็ไปติดต่อขอกู้เงินจากนายธนาคารของอังกฤษ เพื่อสนับสนุนความฝันเฟื่องของเขา (ข่าวมันน่าจะหลุดรอด ไปในช่วงนี่แหละ เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความลับอย่าไปยุ่งกับนายธนาคารเชียว !) ประมาณช่วงปลาย ค.ศ. 1890 กว่า ๆ กษัตริย์ Reza Khan Pahlevi เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นอิหร่าน ได้เรียก นาย D’Arcy เข้าไปคุย เพราะนาย D’Arcy เป็นวิศวกรฝรั่งที่เดินทางเข้าออกหาน้ำมันอยู่แถวนั้น จนเป็นที่รู้จักกันดี ท่าน Khan อยากสร้างทางรถไฟ และอยากทำอุตสาหกรรมในเปอร์เซีย เลยอาศัยนาย D’Arcy เป็นที่ปรึกษา ตอนนั้นคงมีฝรั่งให้คุยด้วยไม่มาก ค.ศ. 1901 บุญหล่นใส่นาย D’Arcy โครมใหญ่ ท่าน Khan ให้รางวัลเป็นสินน้ำใจที่นาย D’Arcy มาให้คำแนะนำ เป็นสัมปทานอายุ 60 ปี ที่อนุญาตให้นาย D’Arcy จะค้น จะขุด จะเจาะ อย่างไรก็ได้บนแผ่นดินของเปอร์เซีย และขุดได้อะไรมาก็ให้เป็นสมบัติของนาย D’Arcy โดยไม่มีใครจะมาขวางได้ ! นาย D’Arcy จ่ายเงินไปประมาณเท่ากับ 2 หมื่นปอนด์ และตกลงจะแบ่งให้ ท่าน Khan 16% จากจำนวนรายได้ที่ได้จากขายน้ำมัน ถ้าขุดเจอจากแหล่งนี้ นาย D’Arcy ไม่รู้เลยว่า เขาได้เอกสารมีค่ามหาศาล มันรวมไปถึงให้เป็นสิทธิตกทอดถึงทายาทและผู้รับโอนด้วย แม่เจ้าโว้ย ! สิทธิในการจะขุดน้ำมันไปจนถึง ค.ศ. 1961 เชียวนะ นาย Reilly สมกับเป็นสายลับมือหนึ่ง เขาควานหาตัวนาย D’Arcy จนเจอ ในปี คศ 1905 ขณะที่นาย D’Arcy กำลังจะเซ็นสัญญา เลือกฝรั่งเศสมาเป็นหุ้นส่วน เป็นฝรั่งเศสที่ส่งมาโดยกลุ่มธนาคาร ของ Rothschild ในปารีส (แสดงว่า Rothschild มีการข่าวดี จำเรื่องปั่นหุ้น insider trading ครั้งแรกของโลกโดย Rothschild ฝ่ายอังกฤษได้ไหมครับ ก็มาจากการข่าวพิเศษของพวก Rothschild เล่าอยู่ในนิทานเรื่องมายากลยุทธ) นาย D’Arcy กะว่าจะให้หุ้นส่วนฝรั่งเศสขุดต่อ และตัวเขาจะเดินทางกลับไปออสเตรเลีย แหม เดินกลางแดด หาน้ำมันอยู่นาน ไอ้ที่ยังไม่เพี้ยน ก็เพี้ยนจริงได้เหมือนกัน สายลับ Reilly ลงทุนปลอมตัวเป็นพระ ไปตีสนิทกับนาย D’Arcy นั่งกล่อมนาย D’Arcy ว่า ทั้งหมดนี่น่า คงเป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้า ประทานให้กับสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ คงไม่มีใครที่จะมีบุญขนาดนี้อีกแล้ว แต่จะได้บุญมากขึ้น ถ้าไม่เก็บไว้คนเดียว แต่ให้คนส่วนมากได้ประโยชน์ด้วย พระผู้เป็นเจ้าจะยิ่งดีใจ นาย Reilly คงกล่าวอย่างนั้น ในที่สุด นาย D’Arcy ก็ตกลงโอนสิทธิสัมปทานให้แก่บริษัท ที่มีชื่อว่า Anglo Persian Oil Company ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อ Lord Strathcona นักการเงินชาวสก๊อต ซึ่งรัฐบาลอังกฤษส่งมาให้เป็นนอ มินี (ตกลงนอมินีน้ำมัน รายที่ 1 เท่าที่เรารู้นี่ เริ่มโดยอังกฤษนะครับ สำหรับสมันน้อย ปตท. ใครเป็นนอมินี ให้ใครบ้าง โปรดช่วยกันสืบต่อ อาจจะย้อนกลับไปที่เดิม อย่าแปลกใจก็แล้วกัน) ส่วนสายลับ Reilly ก็คงเกษียณไปพร้อมด้วยเงินรางวัลก้อนโต หรือไม่ก็โดนเก็บลงหีบ ตามธรรมเนียมชะตาชีวิต ของคนที่เป็นสายลับที่รู้ความลับชนิดปิดลึก วงการนี้เขาโหดร้ายอย่างนี้แหละ ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 28 ส.ค. 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP1
    วันนี้ 22-9-2025 เป็นวันที่3 ที่ SET ลงแรง ทำใหมีหุ้นให้มีหุ้นเตรียมเลือกเลือกซื้อมากจนเลือกไม่ถูก เช่น
    กลุ่มธนาคารมี
    SCB
    TTB
    BBL
    KBANK
    กลุ่มสื่อสาร
    TRUE
    ขนส่ง
    BEM
    พลังงาน
    GULF
    อื่นๆ
    MONO
    SISB
    SNNP
    SPRC
    NER
    ยังมีอีกเยอะรอสัญญานแล้วผมจะเลือกซื้อ
    BY.
    EP1 วันนี้ 22-9-2025 เป็นวันที่3 ที่ SET ลงแรง ทำใหมีหุ้นให้มีหุ้นเตรียมเลือกเลือกซื้อมากจนเลือกไม่ถูก เช่น กลุ่มธนาคารมี SCB TTB BBL KBANK กลุ่มสื่อสาร TRUE ขนส่ง BEM พลังงาน GULF อื่นๆ MONO SISB SNNP SPRC NER ยังมีอีกเยอะรอสัญญานแล้วผมจะเลือกซื้อ BY.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก charmap.exe: เมื่อแอปพื้นฐานกลายเป็นหน้ากากของการขุดเหรียญลับ

    ในเดือนกรกฎาคม 2025 ทีมวิจัยจาก Darktrace ตรวจพบการโจมตีแบบ cryptojacking บนเครือข่ายของบริษัทค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ โดยพบว่ามีการใช้ PowerShell user agent ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวนที่นำไปสู่การค้นพบมัลแวร์ NBMiner ที่ถูกฝังอยู่ในกระบวนการของ Windows Character Map (charmap.exe)

    มัลแวร์นี้ถูกโหลดผ่านสคริปต์ infect.ps1 ที่ถูกเข้ารหัสหลายชั้นด้วย Base64 และ XOR เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ โดยใช้ AutoIt loader ที่ถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนเพื่อ inject ตัวเองเข้าไปในโปรเซสที่ดูปลอดภัยและไม่เป็นพิษภัย

    เมื่อเข้าไปใน charmap.exe แล้ว มัลแวร์จะตรวจสอบว่า Task Manager เปิดอยู่หรือไม่, มีแอนตี้ไวรัสตัวอื่นนอกจาก Windows Defender หรือเปล่า และพยายามยกระดับสิทธิ์ผู้ใช้โดยหลบเลี่ยง UAC เพื่อให้สามารถขุดเหรียญ Monero ได้อย่างเงียบ ๆ ผ่าน mining pool ที่ชื่อ gulf.moneroocean.stream

    สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้น่ากังวลคือการใช้เทคนิค zero-click และการฝังตัวในหน่วยความจำโดยไม่แตะไฟล์บนดิสก์เลย ทำให้ระบบตรวจจับแบบ signature-based หรือ sandboxing แทบไม่มีโอกาสเห็นพฤติกรรมผิดปกติ

    Jason Soroko จาก Sectigo เตือนว่า cryptojacking ไม่ใช่แค่เรื่องของค่าไฟแพงหรือเครื่องช้า แต่เป็น “สัญญาณของการบุกรุก” ที่อาจเป็นหน้ากากของแคมเปญใหญ่ เช่น การเก็บ credentials หรือการสอดแนมเครือข่ายในระดับองค์กร

    รูปแบบการโจมตีที่ตรวจพบโดย Darktrace
    เริ่มจาก PowerShell user agent ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
    ใช้ infect.ps1 ที่ถูกเข้ารหัสหลายชั้นด้วย Base64 และ XOR
    โหลด AutoIt executable และ inject เข้าไปใน charmap.exe

    เทคนิคการหลบเลี่ยงและยกระดับสิทธิ์
    ตรวจสอบว่า Task Manager เปิดอยู่หรือไม่
    ตรวจสอบว่า Windows Defender เป็นแอนตี้ไวรัสเดียวที่ติดตั้ง
    พยายาม bypass UAC เพื่อยกระดับสิทธิ์ผู้ใช้

    การฝังตัวและการขุดคริปโต
    ฝังตัวในหน่วยความจำของ charmap.exe โดยไม่แตะไฟล์บนดิสก์
    เชื่อมต่อกับ mining pool gulf.moneroocean.stream เพื่อขุด Monero
    ใช้เทคนิค zero-click และ anti-sandboxing เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย
    Jason Soroko เตือนว่า cryptojacking คือสัญญาณของการบุกรุก
    อาจเป็นหน้ากากของแคมเปญที่ใหญ่กว่าการขุดเหรียญ
    การตรวจจับต้องอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรม ไม่ใช่แค่ signature

    https://hackread.com/new-malware-uses-windows-character-map-cryptomining/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก charmap.exe: เมื่อแอปพื้นฐานกลายเป็นหน้ากากของการขุดเหรียญลับ ในเดือนกรกฎาคม 2025 ทีมวิจัยจาก Darktrace ตรวจพบการโจมตีแบบ cryptojacking บนเครือข่ายของบริษัทค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ โดยพบว่ามีการใช้ PowerShell user agent ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวนที่นำไปสู่การค้นพบมัลแวร์ NBMiner ที่ถูกฝังอยู่ในกระบวนการของ Windows Character Map (charmap.exe) มัลแวร์นี้ถูกโหลดผ่านสคริปต์ infect.ps1 ที่ถูกเข้ารหัสหลายชั้นด้วย Base64 และ XOR เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ โดยใช้ AutoIt loader ที่ถูกออกแบบมาอย่างซับซ้อนเพื่อ inject ตัวเองเข้าไปในโปรเซสที่ดูปลอดภัยและไม่เป็นพิษภัย เมื่อเข้าไปใน charmap.exe แล้ว มัลแวร์จะตรวจสอบว่า Task Manager เปิดอยู่หรือไม่, มีแอนตี้ไวรัสตัวอื่นนอกจาก Windows Defender หรือเปล่า และพยายามยกระดับสิทธิ์ผู้ใช้โดยหลบเลี่ยง UAC เพื่อให้สามารถขุดเหรียญ Monero ได้อย่างเงียบ ๆ ผ่าน mining pool ที่ชื่อ gulf.moneroocean.stream สิ่งที่ทำให้การโจมตีนี้น่ากังวลคือการใช้เทคนิค zero-click และการฝังตัวในหน่วยความจำโดยไม่แตะไฟล์บนดิสก์เลย ทำให้ระบบตรวจจับแบบ signature-based หรือ sandboxing แทบไม่มีโอกาสเห็นพฤติกรรมผิดปกติ Jason Soroko จาก Sectigo เตือนว่า cryptojacking ไม่ใช่แค่เรื่องของค่าไฟแพงหรือเครื่องช้า แต่เป็น “สัญญาณของการบุกรุก” ที่อาจเป็นหน้ากากของแคมเปญใหญ่ เช่น การเก็บ credentials หรือการสอดแนมเครือข่ายในระดับองค์กร ✅ รูปแบบการโจมตีที่ตรวจพบโดย Darktrace ➡️ เริ่มจาก PowerShell user agent ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ➡️ ใช้ infect.ps1 ที่ถูกเข้ารหัสหลายชั้นด้วย Base64 และ XOR ➡️ โหลด AutoIt executable และ inject เข้าไปใน charmap.exe ✅ เทคนิคการหลบเลี่ยงและยกระดับสิทธิ์ ➡️ ตรวจสอบว่า Task Manager เปิดอยู่หรือไม่ ➡️ ตรวจสอบว่า Windows Defender เป็นแอนตี้ไวรัสเดียวที่ติดตั้ง ➡️ พยายาม bypass UAC เพื่อยกระดับสิทธิ์ผู้ใช้ ✅ การฝังตัวและการขุดคริปโต ➡️ ฝังตัวในหน่วยความจำของ charmap.exe โดยไม่แตะไฟล์บนดิสก์ ➡️ เชื่อมต่อกับ mining pool gulf.moneroocean.stream เพื่อขุด Monero ➡️ ใช้เทคนิค zero-click และ anti-sandboxing เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ➡️ Jason Soroko เตือนว่า cryptojacking คือสัญญาณของการบุกรุก ➡️ อาจเป็นหน้ากากของแคมเปญที่ใหญ่กว่าการขุดเหรียญ ➡️ การตรวจจับต้องอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรม ไม่ใช่แค่ signature https://hackread.com/new-malware-uses-windows-character-map-cryptomining/
    HACKREAD.COM
    New Malware Uses Windows Character Map for Cryptomining
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตอน 11
    ท่านผู้อ่านนิทาน อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว คงพอจะรู้จักจิ๊กโก๋๋ นักล่ารุ่นใหม่ หมายเลข 1 กันบ้างแล้ว

    และคิดว่าจิ๊กโก๋๋เขาจะจบแค่เวียตนาม หรือ เปล่าหรอก หมดธุระเรื่องเวียตนาม เขาได้อย่างที่ต้องการ ตามใบสั่งของนายทุนผู้ค้าอาวุธ ซึ่งกุมคอหอยจิ๊กโก๋๋อีกที แล้วเขาก็เปลี่ยนเข็มทิศ มองไปทางไหนหนอ อ้อ ทางไหนก็ได้ที่มีทรัพยากรของคนอื่น ที่เขาอยากได้ไง
    น้ำมัน น้ำมันไง มาถึงแล้ว จิ๊กโก๋๋มันแสนรู้ จมูกไว
    เมื่อทุนนิยมเข้าไปที่ไหน อุตสาหกรรมก็เกิด เมื่อมีอุตสาหกรรม ก็ต้องอาศัยพลังงาน ทั้งไฟฟ้าและ น้ำมัน แหม! แล้วใครล่ะ ที่มีน้ำมันมีมาก ก็พวกคุณอาทั้งหลาย แถวทะเลทรายไงล่ะ
    ดังนั้นแผนของนักล่า ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามเวียตนาม จึงเพ่นพ่าน ถือไม้สามง่ามเล็งหาน้ำมัน นู่นไปนู่นเลย ไปหาประวัติศาสตร์อิหร่านแตก พระเจ้าชาห์หนี ซาอุดิอารเบียจับมือกับอเมริกา สงคราม Gulf War ระหว่างคูเวต อิรัก อเมริกา จนถึงสงครามอิรัก ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะวันนี้จะเขียนที่เกี่ยว กับไทยแลนด์จังๆ ก่อนนะ แต่ถ้าไม่บอกเดี๋ยวท่านผู้อ่านนิทานก็จะงงว่าแล้วไง มันหายไปจากบ้านเรา แล้วมันไปไหน ไปทำอะไร
    ก็อย่างว่า จิ๊กโก๋๋เขาไม่ได้หายไปไหนหรอก มันก็ไปทำมาหากิน ขุดเผือกขุดมันขุดน้ำมันของคนอื่นเขาละซิ เราก็นึกว่าเขาไม่ยุ่งกะเราแล้ว เปล่าหร๊อก มันแค่เปลี่ยนแนว เหมือนหนังฮอลลีวู้ดเปลี่ยนฉากน่ะ ไม่ต้องตื่นเต้น บทเขาเขียนไว้ต่อเนื่อง ตั้งกะปีมะโว้ อีกร้อยปีก็เล่นไม่จบ เว้นแต่มันจะจบกันไปคนละข้างก่อน
    ระหว่างที่จิ๊กโก๋๋ ย้ายซอยไปขุดเผือกขุดน้ำมันที่อื่น บ้านเราก็อ้างว่า เป็นช่วงเวลาพัฒนาประชาธิปไตย ที่จิ๊กโก๋๋หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ ทุกคนก็ร่ำร้องหาแต่ประชาธิปไตย (ตอนนี้ยังหาอยู่เลย ลูกพระยาพหล อยู่ไหมจ๊ะ ป่านนี้แก่หง่อมหรือลาขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็ไม่รู้)
    บ้านเมืองเราก็เลยล้มลุก หกคะเมนตีลังกาตั้งแต่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 จนถึง 6 ตุลาคม พ.ศ.2519
    ถึงจิ๊กโก๋๋จะไปขุดน้ำมัน เขาก็ใช่ว่า จะลืมสมันน้อยนะ จิ๊กโก๋๋ชอบทหาร ก็ของมันคุ้น ของมันเคย รัฐบาลพลเรือน เจอแต่ละคน จิ๊กโก๋๋ก็มึนเหมือนกัน อย่างอาจารย์สัญญาน่ะ เหมือนเป็นพ่อพระ จะสั่งให้พระไปทิ้งระเบิดใคร มันง่ายนักเหรอ แล้วอาจารย์คึกฤทธิ์ล่ะ เล่นด่า Ugly American ใส่ แถมยืนคำขาด กำหนดวันที่พี่เบิ้มต้องถอนทหารอเมริกันให้หมดจากบ้านเราด้วย ส่วนคุณหอยธานินทร์นั้น เกินกว่าจะบรรยาย
    ว่าแล้วการเมืองไทยก็กลับมาอยู่ใน ความครอบงำของทหารเหมือนเดิม แปลกดีไหมคิดสิ เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมีใบสั่ง อย่าให้ต้องเขียนรายละเอียด เหมือนสมัยคุณป๋าสฤษดิ์ คุณน้าหนอมเลยนะ เอาย่อๆว่า ไม่มีอะไรลอดสายตาพญาอินทรีหรอก เพียงแต่เขาจะกางกรงเล็บขยุมเราโดยตรง หรือใช้ “วิธีอื่น” เท่านั้นเอง
    หลังจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ.2519 เราก็เลยได้ทหารกลับมาบริหารประเทศอีก พล.อ. เกรียงศักดิ์ ทำแกงเนื้อใส่บรั่นดี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 – 2523 พล.อ. ป๋า เจ้าของวลีเด็ด เราเป็น Jockey ไม่ใช่เจ้าของคอก ทำหน้าที่ Jockey  ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 – 2531 พล.อ. น้าชาติ ขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์ ปี พ.ศ.2531- 2534 ช่วงทหารมีอำนาจบริหารบ้านเมือง ยุคหลัง 14 ตุลา พ.ศ.2516 ต่างกับ ช่วงก่อน 14 ตุลา พ.ศ.2516 อย่างน่าสนใจ

    อย่างที่เล่ามาตอนแรกก่อน 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เรามีจอมพลคนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ คุณป๋ารักชาติ และเหล่านักวิ่งผลัด การพัฒนาประเทศช่วงนั้น ถูกกำกับโดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและผู้เชี่ยวชาญต่าง ชาติมาดเข้ม เดินประกบหน้าประกบหลังไทยแลนด์ เอาผ้าห่มวัฒนธรรมอเมริกัน ห่อไทยแลนด์เสียมิด ชิด จนไทยแลนด์ลืมสนิทไปเลย ว่า ไทยแท้เป็นยังไง จำได้แต่ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกัน
    แต่ช่วงหลัง 14 ตุลา พ.ศ.2516  ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติถูกอัญเชิญออกไปแยะ จากปัจจัยภายในประเทศเราและประเทศเขา แต่พี่เบิ้มเขาก็ไม่ปล่อยเกียร์ว่าง เขาควบคุมด้วยวิธีแยบยล โดยใช้เหล่าข้าราชการที่เรียกว่า Technocrat มาช่วยคุณทหาร บริหารประเทศ
    Technocrat เหล่านี้เป็นใคร ก็เป็นต้นกล้าที่คุณพ่ออเมริกาหว่านเอาไว้ เขาเหล่านั้นเป็นนักเรียนนอก เติบโตมาภายใต้ระบบการศึกษาและแนวคิดของฝรั่ง เรียนแบบถ่ายสำเนาอัดก็อปบี้ออกมาเลย คุณพ่อฝรั่งว่า ขาวก็ขาวด้วย คุณพ่อว่า ดำก็ดำด้วย นี่สี่เหลี่ยม นี่กลม โอ้ย! ท่องจำกันได้หมด แล้วก็กลับเอาคำท่องจำมาใช้สอนต่อ หรือมาใช้ทำงานในบ้านเรา
    ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอก สมันน้อยไม่ไปไหน คุณพ่อฝรั่งไม่อยู่ คุณพ่อก็ให้พวก good boy technocratเด็กในคาถา มาทำหน้าที่ดูแลแทน นี่ยังไง นักวิชาการ ข้าราชการ สื่อฯลฯ ที่ถูกฟอกย้อมเอาไว้เรียบ ร้อยแบบไม่รู้ตัว… หรือรู้ตัวแต่ชอบ ของย้อมน่ะ… แล้วจะมีอะไรเหลือ …ไทยพันธุ์แท้หายไปไหนหมด เหลือแต่ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกา!
    แต่เรื่องทุกเรื่องมันก็มีหักมุมนะ คุณน้าชาตินี้แกใช่ย่อยที่ไหน ถึงจะเป็นทหาร แกก็ไม่ได้ฟังเทคโนแครตมากนัก แกตั้งที่ปรึกษาบ้านพิษขึ้นมาเอง พวกนี้ก็มีพิษไปอีกแบบ ไทยแลนด์ก็เลยเหมือนหนีเสือปะจระเข้ หนีชะนีไปเจอค่าง อะไรอย่างนั้นแหละ รัฐบาลคุณน้าชาติ เป็นตัวแปรที่สำคัญ ต้องศึกษากันให้ดีๆ
    คุณน้า แกมีนโยบายล้ำเลิศ จะเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามค้า แกคิดโครงการแต่ละอัน เด็ดสะระตี่ทั้ง นั้น จะค้าขาย มันก็ต้องมีท่าเรือมารองรับการขนส่ง นั่นมาแล้ว Eastern Sea Board จะติดต่อค้าขายกัน การสื่อ สารมันก็ต้องทันสมัย จะใช้นกพิราบไปเรื่อยๆ ไม่ไหวมั้ง คุณน้าก็ให้คิดโครงการ 3 ล้านเลขหมาย คิดเรื่องดาว เทียม! คิดโครงการขนส่ง Hopewell ระบบทางด่วน ฯลฯ คุณน้าแกช่างคิดหาตังค์จริงๆ ต้องยอมรับ ไม่งั้นจะได้สมญารัฐบาลฟาสต์ฟูดเหรอ
    โครงการต่างๆ เหล่านี้ มันมูลค่ามหึมา ไอ้ 3 เกลอหัวแข็งที่มัวแต่ไปวุ่นๆ อยู่ทางอื่นของโลก ก็หันขวับจนคอเคล็ดมาดู เออ! เฮ้ย! มันกำลังจะทำอะไร สมันน้อยทำไมไม่บอกไอ นี่มันเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น ไอ้พวกgood boy technocrat เด็กๆ ของเราหายไปไหนหมด ทำไม่มันไม่เตือน เขากำลังจะเข้าฮอร์สกันหมดแล้ว

    คนเล่านิทาน
     ตอน 11 ท่านผู้อ่านนิทาน อ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว คงพอจะรู้จักจิ๊กโก๋๋ นักล่ารุ่นใหม่ หมายเลข 1 กันบ้างแล้ว และคิดว่าจิ๊กโก๋๋เขาจะจบแค่เวียตนาม หรือ เปล่าหรอก หมดธุระเรื่องเวียตนาม เขาได้อย่างที่ต้องการ ตามใบสั่งของนายทุนผู้ค้าอาวุธ ซึ่งกุมคอหอยจิ๊กโก๋๋อีกที แล้วเขาก็เปลี่ยนเข็มทิศ มองไปทางไหนหนอ อ้อ ทางไหนก็ได้ที่มีทรัพยากรของคนอื่น ที่เขาอยากได้ไง น้ำมัน น้ำมันไง มาถึงแล้ว จิ๊กโก๋๋มันแสนรู้ จมูกไว เมื่อทุนนิยมเข้าไปที่ไหน อุตสาหกรรมก็เกิด เมื่อมีอุตสาหกรรม ก็ต้องอาศัยพลังงาน ทั้งไฟฟ้าและ น้ำมัน แหม! แล้วใครล่ะ ที่มีน้ำมันมีมาก ก็พวกคุณอาทั้งหลาย แถวทะเลทรายไงล่ะ ดังนั้นแผนของนักล่า ตั้งแต่ช่วงหลังสงครามเวียตนาม จึงเพ่นพ่าน ถือไม้สามง่ามเล็งหาน้ำมัน นู่นไปนู่นเลย ไปหาประวัติศาสตร์อิหร่านแตก พระเจ้าชาห์หนี ซาอุดิอารเบียจับมือกับอเมริกา สงคราม Gulf War ระหว่างคูเวต อิรัก อเมริกา จนถึงสงครามอิรัก ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะวันนี้จะเขียนที่เกี่ยว กับไทยแลนด์จังๆ ก่อนนะ แต่ถ้าไม่บอกเดี๋ยวท่านผู้อ่านนิทานก็จะงงว่าแล้วไง มันหายไปจากบ้านเรา แล้วมันไปไหน ไปทำอะไร ก็อย่างว่า จิ๊กโก๋๋เขาไม่ได้หายไปไหนหรอก มันก็ไปทำมาหากิน ขุดเผือกขุดมันขุดน้ำมันของคนอื่นเขาละซิ เราก็นึกว่าเขาไม่ยุ่งกะเราแล้ว เปล่าหร๊อก มันแค่เปลี่ยนแนว เหมือนหนังฮอลลีวู้ดเปลี่ยนฉากน่ะ ไม่ต้องตื่นเต้น บทเขาเขียนไว้ต่อเนื่อง ตั้งกะปีมะโว้ อีกร้อยปีก็เล่นไม่จบ เว้นแต่มันจะจบกันไปคนละข้างก่อน ระหว่างที่จิ๊กโก๋๋ ย้ายซอยไปขุดเผือกขุดน้ำมันที่อื่น บ้านเราก็อ้างว่า เป็นช่วงเวลาพัฒนาประชาธิปไตย ที่จิ๊กโก๋๋หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้ ทุกคนก็ร่ำร้องหาแต่ประชาธิปไตย (ตอนนี้ยังหาอยู่เลย ลูกพระยาพหล อยู่ไหมจ๊ะ ป่านนี้แก่หง่อมหรือลาขึ้นสวรรค์ไปแล้วก็ไม่รู้) บ้านเมืองเราก็เลยล้มลุก หกคะเมนตีลังกาตั้งแต่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 จนถึง 6 ตุลาคม พ.ศ.2519 ถึงจิ๊กโก๋๋จะไปขุดน้ำมัน เขาก็ใช่ว่า จะลืมสมันน้อยนะ จิ๊กโก๋๋ชอบทหาร ก็ของมันคุ้น ของมันเคย รัฐบาลพลเรือน เจอแต่ละคน จิ๊กโก๋๋ก็มึนเหมือนกัน อย่างอาจารย์สัญญาน่ะ เหมือนเป็นพ่อพระ จะสั่งให้พระไปทิ้งระเบิดใคร มันง่ายนักเหรอ แล้วอาจารย์คึกฤทธิ์ล่ะ เล่นด่า Ugly American ใส่ แถมยืนคำขาด กำหนดวันที่พี่เบิ้มต้องถอนทหารอเมริกันให้หมดจากบ้านเราด้วย ส่วนคุณหอยธานินทร์นั้น เกินกว่าจะบรรยาย ว่าแล้วการเมืองไทยก็กลับมาอยู่ใน ความครอบงำของทหารเหมือนเดิม แปลกดีไหมคิดสิ เป็นไปตามธรรมชาติ หรือมีใบสั่ง อย่าให้ต้องเขียนรายละเอียด เหมือนสมัยคุณป๋าสฤษดิ์ คุณน้าหนอมเลยนะ เอาย่อๆว่า ไม่มีอะไรลอดสายตาพญาอินทรีหรอก เพียงแต่เขาจะกางกรงเล็บขยุมเราโดยตรง หรือใช้ “วิธีอื่น” เท่านั้นเอง หลังจากเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ.2519 เราก็เลยได้ทหารกลับมาบริหารประเทศอีก พล.อ. เกรียงศักดิ์ ทำแกงเนื้อใส่บรั่นดี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 – 2523 พล.อ. ป๋า เจ้าของวลีเด็ด เราเป็น Jockey ไม่ใช่เจ้าของคอก ทำหน้าที่ Jockey  ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 – 2531 พล.อ. น้าชาติ ขวัญใจนักธุรกิจสาวอินเตอร์ ปี พ.ศ.2531- 2534 ช่วงทหารมีอำนาจบริหารบ้านเมือง ยุคหลัง 14 ตุลา พ.ศ.2516 ต่างกับ ช่วงก่อน 14 ตุลา พ.ศ.2516 อย่างน่าสนใจ อย่างที่เล่ามาตอนแรกก่อน 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เรามีจอมพลคนใส่หมวกแล้วชาติเจริญ คุณป๋ารักชาติ และเหล่านักวิ่งผลัด การพัฒนาประเทศช่วงนั้น ถูกกำกับโดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและผู้เชี่ยวชาญต่าง ชาติมาดเข้ม เดินประกบหน้าประกบหลังไทยแลนด์ เอาผ้าห่มวัฒนธรรมอเมริกัน ห่อไทยแลนด์เสียมิด ชิด จนไทยแลนด์ลืมสนิทไปเลย ว่า ไทยแท้เป็นยังไง จำได้แต่ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกัน แต่ช่วงหลัง 14 ตุลา พ.ศ.2516  ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติถูกอัญเชิญออกไปแยะ จากปัจจัยภายในประเทศเราและประเทศเขา แต่พี่เบิ้มเขาก็ไม่ปล่อยเกียร์ว่าง เขาควบคุมด้วยวิธีแยบยล โดยใช้เหล่าข้าราชการที่เรียกว่า Technocrat มาช่วยคุณทหาร บริหารประเทศ Technocrat เหล่านี้เป็นใคร ก็เป็นต้นกล้าที่คุณพ่ออเมริกาหว่านเอาไว้ เขาเหล่านั้นเป็นนักเรียนนอก เติบโตมาภายใต้ระบบการศึกษาและแนวคิดของฝรั่ง เรียนแบบถ่ายสำเนาอัดก็อปบี้ออกมาเลย คุณพ่อฝรั่งว่า ขาวก็ขาวด้วย คุณพ่อว่า ดำก็ดำด้วย นี่สี่เหลี่ยม นี่กลม โอ้ย! ท่องจำกันได้หมด แล้วก็กลับเอาคำท่องจำมาใช้สอนต่อ หรือมาใช้ทำงานในบ้านเรา ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอก สมันน้อยไม่ไปไหน คุณพ่อฝรั่งไม่อยู่ คุณพ่อก็ให้พวก good boy technocratเด็กในคาถา มาทำหน้าที่ดูแลแทน นี่ยังไง นักวิชาการ ข้าราชการ สื่อฯลฯ ที่ถูกฟอกย้อมเอาไว้เรียบ ร้อยแบบไม่รู้ตัว… หรือรู้ตัวแต่ชอบ ของย้อมน่ะ… แล้วจะมีอะไรเหลือ …ไทยพันธุ์แท้หายไปไหนหมด เหลือแต่ไทยแลนด์แบรนด์อเมริกา! แต่เรื่องทุกเรื่องมันก็มีหักมุมนะ คุณน้าชาตินี้แกใช่ย่อยที่ไหน ถึงจะเป็นทหาร แกก็ไม่ได้ฟังเทคโนแครตมากนัก แกตั้งที่ปรึกษาบ้านพิษขึ้นมาเอง พวกนี้ก็มีพิษไปอีกแบบ ไทยแลนด์ก็เลยเหมือนหนีเสือปะจระเข้ หนีชะนีไปเจอค่าง อะไรอย่างนั้นแหละ รัฐบาลคุณน้าชาติ เป็นตัวแปรที่สำคัญ ต้องศึกษากันให้ดีๆ คุณน้า แกมีนโยบายล้ำเลิศ จะเปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามค้า แกคิดโครงการแต่ละอัน เด็ดสะระตี่ทั้ง นั้น จะค้าขาย มันก็ต้องมีท่าเรือมารองรับการขนส่ง นั่นมาแล้ว Eastern Sea Board จะติดต่อค้าขายกัน การสื่อ สารมันก็ต้องทันสมัย จะใช้นกพิราบไปเรื่อยๆ ไม่ไหวมั้ง คุณน้าก็ให้คิดโครงการ 3 ล้านเลขหมาย คิดเรื่องดาว เทียม! คิดโครงการขนส่ง Hopewell ระบบทางด่วน ฯลฯ คุณน้าแกช่างคิดหาตังค์จริงๆ ต้องยอมรับ ไม่งั้นจะได้สมญารัฐบาลฟาสต์ฟูดเหรอ โครงการต่างๆ เหล่านี้ มันมูลค่ามหึมา ไอ้ 3 เกลอหัวแข็งที่มัวแต่ไปวุ่นๆ อยู่ทางอื่นของโลก ก็หันขวับจนคอเคล็ดมาดู เออ! เฮ้ย! มันกำลังจะทำอะไร สมันน้อยทำไมไม่บอกไอ นี่มันเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น ไอ้พวกgood boy technocrat เด็กๆ ของเราหายไปไหนหมด ทำไม่มันไม่เตือน เขากำลังจะเข้าฮอร์สกันหมดแล้ว คนเล่านิทาน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • GULF ทุ่ม 100 ล้าน! ตั้งกองทุนเยียวยาทหารชายแดนไทย-กัมพูชา...หวังช่วยทุเลาความเดือดร้อน-สร้างขวัญกำลังใจ
    https://www.thai-tai.tv/news/20806/
    .
    #GULF #กองทุนกัลฟ์ #ทหารชายแดน #ไทยกัมพูชา #สารัชถ์รัตนาวะดี #ผบทบ #ความมั่นคง #ไทยไท
    GULF ทุ่ม 100 ล้าน! ตั้งกองทุนเยียวยาทหารชายแดนไทย-กัมพูชา...หวังช่วยทุเลาความเดือดร้อน-สร้างขวัญกำลังใจ https://www.thai-tai.tv/news/20806/ . #GULF #กองทุนกัลฟ์ #ทหารชายแดน #ไทยกัมพูชา #สารัชถ์รัตนาวะดี #ผบทบ #ความมั่นคง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดาวเทียมของนาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามก่อวินาศกรรมฐานทัพอากาศ Olenya ของรัสเซียที่ยูเครนก่อเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามทั่วไปแล้ว ดาวเทียมเหล่านี้ยังส่งข้อมูลช่วยหน่วยข่าวกรองยูเครน (SBU) ในการโจมตี รวมถึงวางแผนเป้าหมายอีกด้วย

    ดาวเทียมทางทหาร TOPAZ ของอเมริกาจับภาพคาบสมุทรโกลาได้ 102 ภาพ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นภาพความละเอียดสูงถึงขนาดระบุตำแหน่งของวัตถุได้ในระยะเพียงไม่กี่เมตร

    ภาพ 24 ภาพกำหนดเป้าหมายไปที่คลังอาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เชิงยุทธศาสตร์ที่ Bolshoye Ramozero

    ภาพ 20 ภาพถูกถ่ายที่ Olenya เอง

    ฐานทัพเรือที่ Nerpichya (17 ภาพ) และ Gadzhiyevo (มี 16 ภาพ) ยังถูกเฝ้าติดตามอย่างเข้มงวดอีกด้วย

    นอกจากนี้ยังมีอีก 11 เที่ยวบินสอดแนมที่มุ่งเป้าไปที่สนามบิน Kilpyavr และอุปกรณ์ใกล้ ภูมิภาค Murmansk

    ขณะที่เครื่องบินลาดตระเวนและเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำของสหรัฐฯ นอร์เวย์ และสวีเดน ได้แก่ เครื่องบิน P-8A และเครื่องบินเจ็ต Gulfstream IV SIGINT ออกบินปฏิบัติภารกิจใกล้พื้นที่ดังกล่าวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม

    แม้ว่าการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ไม่ถึงกับล้มเหลว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ รัสเซียควรใช้บทเรียนที่ได้รับนี้ ซึ่งก็คือการใช้ดาวเทียมและกิจกรรม ISR ที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายตะวันตกเป็นสิ่งที่ต้องเตือนตัวเอง และรัสเซียต้องดำเนินการอะไรบางอย่างก่อนที่ภารกิจ "เฝ้าติดตาม" เหล่านี้จะกลายเป็นการโจมตีโดยตรง
    ดาวเทียมของนาโต้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามก่อวินาศกรรมฐานทัพอากาศ Olenya ของรัสเซียที่ยูเครนก่อเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน นอกเหนือจากการเฝ้าติดตามทั่วไปแล้ว ดาวเทียมเหล่านี้ยังส่งข้อมูลช่วยหน่วยข่าวกรองยูเครน (SBU) ในการโจมตี รวมถึงวางแผนเป้าหมายอีกด้วย ดาวเทียมทางทหาร TOPAZ ของอเมริกาจับภาพคาบสมุทรโกลาได้ 102 ภาพ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นภาพความละเอียดสูงถึงขนาดระบุตำแหน่งของวัตถุได้ในระยะเพียงไม่กี่เมตร 🔸ภาพ 24 ภาพกำหนดเป้าหมายไปที่คลังอาวุธนิวเคลียร์ที่ไม่ใช่เชิงยุทธศาสตร์ที่ Bolshoye Ramozero 🔸ภาพ 20 ภาพถูกถ่ายที่ Olenya เอง 🔸ฐานทัพเรือที่ Nerpichya (17 ภาพ) และ Gadzhiyevo (มี 16 ภาพ) ยังถูกเฝ้าติดตามอย่างเข้มงวดอีกด้วย 🔸นอกจากนี้ยังมีอีก 11 เที่ยวบินสอดแนมที่มุ่งเป้าไปที่สนามบิน Kilpyavr และอุปกรณ์ใกล้ ภูมิภาค Murmansk ✈️ ขณะที่เครื่องบินลาดตระเวนและเครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำของสหรัฐฯ นอร์เวย์ และสวีเดน ได้แก่ เครื่องบิน P-8A และเครื่องบินเจ็ต Gulfstream IV SIGINT ออกบินปฏิบัติภารกิจใกล้พื้นที่ดังกล่าวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 👉แม้ว่าการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ไม่ถึงกับล้มเหลว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดไว้ รัสเซียควรใช้บทเรียนที่ได้รับนี้ ซึ่งก็คือการใช้ดาวเทียมและกิจกรรม ISR ที่เพิ่มขึ้นของฝ่ายตะวันตกเป็นสิ่งที่ต้องเตือนตัวเอง และรัสเซียต้องดำเนินการอะไรบางอย่างก่อนที่ภารกิจ "เฝ้าติดตาม" เหล่านี้จะกลายเป็นการโจมตีโดยตรง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gulf ขาย KBank ทำราคาร่วง (29/05/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้น #ตลาดหุ้น #gulf #kbank
    Gulf ขาย KBank ทำราคาร่วง (29/05/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้น #ตลาดหุ้น #gulf #kbank
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 17 0 รีวิว
  • ทรัมป์กล่าวในงานการประชุมสุดยอดอ่าวเปอร์เซีย-สหรัฐ (Gulf-US Summit) โดยเรียกร้องให้ 'ทุกประเทศอาหรับ' สนับสนุนการคว่ำบาตรที่เขาใช้กับอิหร่าน

    การประชุมมีขึ้นในวันนี้ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพียงหนึ่งวันหลังจากประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรซีเรีย

    ทรัมป์กล่าวในงานการประชุมสุดยอดอ่าวเปอร์เซีย-สหรัฐ (Gulf-US Summit) โดยเรียกร้องให้ 'ทุกประเทศอาหรับ' สนับสนุนการคว่ำบาตรที่เขาใช้กับอิหร่าน การประชุมมีขึ้นในวันนี้ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เพียงหนึ่งวันหลังจากประกาศยกเลิกการคว่ำบาตรซีเรีย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพการพบกันครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กับอาหมัด อัลชารา ผู้นำที่แต่งตั้งตนเองหลังการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย และเป็นอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS (Hay'at Tahrir al-Sham) รวมทั้งเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนุสราฟรอนต์(Nusra Front) หรือ กลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรียอีกด้วย

    การพบกันเกิดขึ้นในวันนี้ที่ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนการประชุมสุดยอดอ่าวเปอร์เซีย-สหรัฐฯ(Gulf_US_Summit) จะเริ่มต้นขึ้น

    สำหรับ "อาบู มูฮัมหมัด อัลโจลานี" อดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS เคยถูกตั้งรางวัลนำจับสูงถึงลิบล้านดอลลาร์ จากสถานทูตสหรัฐในซีเรีย เมื่อปี 2017
    ภาพการพบกันครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา กับอาหมัด อัลชารา ผู้นำที่แต่งตั้งตนเองหลังการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย และเป็นอดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS (Hay'at Tahrir al-Sham) รวมทั้งเคยเป็นหัวหน้ากลุ่มนุสราฟรอนต์(Nusra Front) หรือ กลุ่มอัลกออิดะห์ในซีเรียอีกด้วย การพบกันเกิดขึ้นในวันนี้ที่ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ก่อนการประชุมสุดยอดอ่าวเปอร์เซีย-สหรัฐฯ(Gulf_US_Summit) จะเริ่มต้นขึ้น สำหรับ "อาบู มูฮัมหมัด อัลโจลานี" อดีตผู้นำกลุ่มก่อการร้าย HTS เคยถูกตั้งรางวัลนำจับสูงถึงลิบล้านดอลลาร์ จากสถานทูตสหรัฐในซีเรีย เมื่อปี 2017
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 พฤษภาคม 2568- รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ประเด็นสำคัญว่า ”กำไรของ GULF ต้นทุนของประชาชน?
    โควตา 12 โครงการที่ได้จากรัฐ...อาจจะกลายเป็นภาระค่าไฟที่เราทุกคนต้องจ่ายแพงเกินจริงยาว 25 ปี?
    ________________________________________
    5,395 ล้านบาท — คือกำไรสุทธิของ GULF ในไตรมาสแรกของปี 2568
    เพิ่มขึ้น 54.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
    ตัวเลขที่นักลงทุนอาจปรบมือให้
    แต่ประชาชนควรถาม…
    กำไรที่ได้? คือรายจ่ายของใคร?
    ________________________________________
    สัญญาใหม่ที่มาจากโควตาเก่า?
    เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 GULF เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ.
    รวม 12 โครงการพลังงานแสงอาทิตย์+ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS)
    กำลังการผลิตรวม 649.31 เมกะวัตต์
    ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้ายาว 25 ปี
    แต่เบื้องหลังสัญญานี้คือ “โควตา” เดิมที่ได้โดยไม่ต้องประมูลใหม่
    ย้อนกลับไปเมื่อเมษายน 2566
    กกพ. เปิดโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบแรก 4,852.26 เมกะวัตต์
    และผลที่ออกมาคือ:
    GULF ได้ไปถึง 1,891.89 เมกะวัตต์ (เกือบ 39%) — มากที่สุดในประเทศ
    GUNKUL ตามมาอีก 832.4 MW (17%)
    รวมสองกลุ่มนี้ถือครองโควตาเกิน 56% ของทั้งโครงการ
    ________________________________________
    โควตาเปิดแข่ง...แต่กระจุกในมือทุนใหญ่?
    รัฐใช้คำว่า “เปิดแข่งขัน” แต่ผลลัพธ์กลับเป็นภาพซ้ำซากของการ “กระจุกตัว”
    ทุนใหญ่ได้โควตาหลายรูปแบบ ทั้งโซลาร์พื้นดิน, โซลาร์+BESS, และพลังงานลม
    ขณะที่ทุนกลาง–เล็กได้แค่ 2–4%
    ประชาชนแทบไม่มีที่ยืน
    ชื่อใหม่ของ “พลังงานหมุนเวียน” จึงเหมือนหมุนวนอยู่ในมือคนเดิม
    ________________________________________
    ต้นทุนไฟฟ้า...ใครกำหนด?
    สัญญา 12 โครงการที่เพิ่งเซ็นนั้น
    กำหนดอัตรารับซื้อไว้ที่ 2.8331 บาทต่อหน่วย (กรณีมีระบบกักเก็บ)
    ล็อกราคานี้ไว้ยาว 25 ปี
    แม้ในอนาคตเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกลงกว่านี้มาก
    สภาองค์กรของผู้บริโภค ประเมินว่า
    เพียงโครงการกลุ่มนี้ อาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟสูงถึง
    65,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา
    ทั้งที่ต้นทุนจริงในตลาดโลกต่ำกว่านั้นมาก
    ________________________________________
    สิ่งที่ต้องถามไม่ใช่แค่ “กำไร GULF มาจากไหน?”
    แต่คือ... “ต้นทุนที่ประชาชนจ่าย มันยุติธรรมหรือไม่?”
    ถ้ารัฐเปิดประมูลแบบโปร่งใส
    ปล่อยให้แข่งกันที่ราคาต่ำสุด
    ไม่ใช่แจกโควตาแบบลับ ๆ หรือให้เฉพาะกลุ่ม
    ค่าไฟอาจถูกกว่านี้หลายหมื่นล้านบาท
    ________________________________________
    เราไม่ได้ค้านพลังงานสะอาด...และไม่ได้อิจฉาผลกำไรของเอกชน
    แต่เราทวงถาม... พลังงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม
    เพราะ “หมุนเวียน” ไม่ควรแปลว่า “หมุนจากกระเป๋าประชนชนไปเข้ากระเป๋าทุน”
    และ “อนาคตพลังงาน” ไม่ควรล็อกไว้ในสัญญาที่ประชาชนหมดสิทธิเลือก“
    12 พฤษภาคม 2568- รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ประเด็นสำคัญว่า ”กำไรของ GULF ต้นทุนของประชาชน? โควตา 12 โครงการที่ได้จากรัฐ...อาจจะกลายเป็นภาระค่าไฟที่เราทุกคนต้องจ่ายแพงเกินจริงยาว 25 ปี? ________________________________________ 5,395 ล้านบาท — คือกำไรสุทธิของ GULF ในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 54.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตัวเลขที่นักลงทุนอาจปรบมือให้ แต่ประชาชนควรถาม… กำไรที่ได้? คือรายจ่ายของใคร? ________________________________________ สัญญาใหม่ที่มาจากโควตาเก่า? เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 GULF เพิ่งเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ. รวม 12 โครงการพลังงานแสงอาทิตย์+ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) กำลังการผลิตรวม 649.31 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้ายาว 25 ปี แต่เบื้องหลังสัญญานี้คือ “โควตา” เดิมที่ได้โดยไม่ต้องประมูลใหม่ ย้อนกลับไปเมื่อเมษายน 2566 กกพ. เปิดโครงการพลังงานหมุนเวียนรอบแรก 4,852.26 เมกะวัตต์ และผลที่ออกมาคือ: GULF ได้ไปถึง 1,891.89 เมกะวัตต์ (เกือบ 39%) — มากที่สุดในประเทศ GUNKUL ตามมาอีก 832.4 MW (17%) รวมสองกลุ่มนี้ถือครองโควตาเกิน 56% ของทั้งโครงการ ________________________________________ โควตาเปิดแข่ง...แต่กระจุกในมือทุนใหญ่? รัฐใช้คำว่า “เปิดแข่งขัน” แต่ผลลัพธ์กลับเป็นภาพซ้ำซากของการ “กระจุกตัว” ทุนใหญ่ได้โควตาหลายรูปแบบ ทั้งโซลาร์พื้นดิน, โซลาร์+BESS, และพลังงานลม ขณะที่ทุนกลาง–เล็กได้แค่ 2–4% ประชาชนแทบไม่มีที่ยืน ชื่อใหม่ของ “พลังงานหมุนเวียน” จึงเหมือนหมุนวนอยู่ในมือคนเดิม ________________________________________ ต้นทุนไฟฟ้า...ใครกำหนด? สัญญา 12 โครงการที่เพิ่งเซ็นนั้น กำหนดอัตรารับซื้อไว้ที่ 2.8331 บาทต่อหน่วย (กรณีมีระบบกักเก็บ) ล็อกราคานี้ไว้ยาว 25 ปี แม้ในอนาคตเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์จะถูกลงกว่านี้มาก สภาองค์กรของผู้บริโภค ประเมินว่า เพียงโครงการกลุ่มนี้ อาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟสูงถึง 65,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา ทั้งที่ต้นทุนจริงในตลาดโลกต่ำกว่านั้นมาก ________________________________________ สิ่งที่ต้องถามไม่ใช่แค่ “กำไร GULF มาจากไหน?” แต่คือ... “ต้นทุนที่ประชาชนจ่าย มันยุติธรรมหรือไม่?” ถ้ารัฐเปิดประมูลแบบโปร่งใส ปล่อยให้แข่งกันที่ราคาต่ำสุด ไม่ใช่แจกโควตาแบบลับ ๆ หรือให้เฉพาะกลุ่ม ค่าไฟอาจถูกกว่านี้หลายหมื่นล้านบาท ________________________________________ เราไม่ได้ค้านพลังงานสะอาด...และไม่ได้อิจฉาผลกำไรของเอกชน แต่เราทวงถาม... พลังงานที่โปร่งใสและเป็นธรรม เพราะ “หมุนเวียน” ไม่ควรแปลว่า “หมุนจากกระเป๋าประชนชนไปเข้ากระเป๋าทุน” และ “อนาคตพลังงาน” ไม่ควรล็อกไว้ในสัญญาที่ประชาชนหมดสิทธิเลือก“
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 399 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลเม็กซิโกประกาศยื่นฟ้องดำเนินคดีกับกูเกิล (Google) กรณีเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น "อ่าวอเมริกา" (Gulf of America) สำหรับผู้ใช้ Google Maps ในสหรัฐฯ

    ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบาม แห่งเม็กซิโก ระบุในงานแถลงข่าวเช้าวานนี้ (9 พ.ค.) ว่า "เราได้มีการยื่นฟ้องแล้ว" แต่ไม่ระบุว่าฟ้องที่ไหนและเมื่อไหร่

    เมื่อวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้โหวตสนับสนุนการเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ทำให้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. กลายเป็นกฎหมายส่วนกลางที่มีผลบังคับใช้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/around/detail/9680000043767

    #MGROnline #รัฐบาลเม็กซิโก
    รัฐบาลเม็กซิโกประกาศยื่นฟ้องดำเนินคดีกับกูเกิล (Google) กรณีเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็น "อ่าวอเมริกา" (Gulf of America) สำหรับผู้ใช้ Google Maps ในสหรัฐฯ • ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบาม แห่งเม็กซิโก ระบุในงานแถลงข่าวเช้าวานนี้ (9 พ.ค.) ว่า "เราได้มีการยื่นฟ้องแล้ว" แต่ไม่ระบุว่าฟ้องที่ไหนและเมื่อไหร่ • เมื่อวันพฤหัสบดี (8 พ.ค.) สมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้โหวตสนับสนุนการเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ทำให้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค. กลายเป็นกฎหมายส่วนกลางที่มีผลบังคับใช้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://mgronline.com/around/detail/9680000043767 • #MGROnline #รัฐบาลเม็กซิโก
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • เม็กซิโกซิตี 10 พ.ค.- ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโกเปิดเผยว่า เม็กซิโกกำลังฟ้องร้องกูเกิล เนื่องจากเพิกเฉยต่อคำขอหลายครั้งของเม็กซิโกที่ไม่ให้เปลี่ยนชื่อ “อ่าวเม็กซิโก” เป็น “อ่าวอเมริกา” ในกูเกิลแมปของผู้ใช้งานในสหรัฐประธานาธิบดีเม็กซิโกไม่ได้เปิดเผยว่า เม็กซิโกยื่นฟ้องที่ใด แต่กล่าวว่ารัฐบาลเม็กซิโกต้องการให้คำสั่งของรัฐบาลสหรัฐเป็นไปตามที่เม็กซิโกยืนยันว่า สหรัฐไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนชื่ออ่าวทั้งหมด ผู้นำเม็กซิโกมีหนังสือถึงกูเกิลเมื่อเดือนมกราคม ขอให้ทบทวนการเปลี่ยนชื่ออ่าวสำหรับผู้ใช้งานในสหรัฐ จากนั้นได้ขู่ในเดือนกุมภาพันธ์ว่า จะดำเนินการทางกฎหมายกับกูเกิล ขณะที่กูเกิลอ้างในเวลานั้นว่า ทำตามธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติมานานว่าจะเปลี่ยนชื่อตามที่ทางการมีการปรับปรุงแก้ไข โดยได้เปลี่ยนเฉพาะผู้ใช้งานในสหรัฐเท่านั้น ส่วนผู้ใช้งานในเม็กซิโกจะเป็นชื่ออ่าวเม็กซิโกดังเดิม ขณะที่ผู้ใช้งานอื่น ๆ ทั่วโลกจะเป็นชื่ออ่าวเม็กซิโกวงเล็บอ่าวอเมริกา Gulf of Mexico (Gulf of America)สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่มีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากมีมติเมื่อวันพฤหัสบดี ให้หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งวันแรกเมื่อวันที่ 20 มกราคมให้เปลี่ยนชื่ออ่าวดังกล่าว นายทรัมป์อ้างว่า สหรัฐมีกิจกรรมในอ่าวนี้มากที่สุด จึงสมควรแล้วที่จะเป็นของสหรัฐสำนักข่าวเอพีของสหรัฐยืนกรานไม่เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกในการรายงานข่าว เป็นเหตุให้ถูกทำเนียบขาวจำกัดการเข้าไปรายงานข่าว จนกระทั่งผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งในเดือนเมษายนให้ทำเนียบขาวยุติการกระทำดังกล่าว เอพีรายงานว่า นายทรัมป์มีแผนจะประกาศระหว่างเยือนซาอุดีอาระเบียในกลางเดือนนี้ว่า สหรัฐจะเรียก “อ่าวเปอร์เซีย” ว่า “อ่าวอาหรับ” ด้านนายอับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านกล่าวว่า หวังว่าข่าวลือไร้สาระนี้จะเป็นเพียงข้อมูลบิดเบือนเท่านั้น เพราะการกระทำดังกล่าวจะปลุกความโกรธแค้นของชาวอิหร่านทั้งปวงที่มา : สำนักข่าวไทย
    เม็กซิโกซิตี 10 พ.ค.- ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโกเปิดเผยว่า เม็กซิโกกำลังฟ้องร้องกูเกิล เนื่องจากเพิกเฉยต่อคำขอหลายครั้งของเม็กซิโกที่ไม่ให้เปลี่ยนชื่อ “อ่าวเม็กซิโก” เป็น “อ่าวอเมริกา” ในกูเกิลแมปของผู้ใช้งานในสหรัฐประธานาธิบดีเม็กซิโกไม่ได้เปิดเผยว่า เม็กซิโกยื่นฟ้องที่ใด แต่กล่าวว่ารัฐบาลเม็กซิโกต้องการให้คำสั่งของรัฐบาลสหรัฐเป็นไปตามที่เม็กซิโกยืนยันว่า สหรัฐไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนชื่ออ่าวทั้งหมด ผู้นำเม็กซิโกมีหนังสือถึงกูเกิลเมื่อเดือนมกราคม ขอให้ทบทวนการเปลี่ยนชื่ออ่าวสำหรับผู้ใช้งานในสหรัฐ จากนั้นได้ขู่ในเดือนกุมภาพันธ์ว่า จะดำเนินการทางกฎหมายกับกูเกิล ขณะที่กูเกิลอ้างในเวลานั้นว่า ทำตามธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติมานานว่าจะเปลี่ยนชื่อตามที่ทางการมีการปรับปรุงแก้ไข โดยได้เปลี่ยนเฉพาะผู้ใช้งานในสหรัฐเท่านั้น ส่วนผู้ใช้งานในเม็กซิโกจะเป็นชื่ออ่าวเม็กซิโกดังเดิม ขณะที่ผู้ใช้งานอื่น ๆ ทั่วโลกจะเป็นชื่ออ่าวเม็กซิโกวงเล็บอ่าวอเมริกา Gulf of Mexico (Gulf of America)สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่มีพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากมีมติเมื่อวันพฤหัสบดี ให้หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งวันแรกเมื่อวันที่ 20 มกราคมให้เปลี่ยนชื่ออ่าวดังกล่าว นายทรัมป์อ้างว่า สหรัฐมีกิจกรรมในอ่าวนี้มากที่สุด จึงสมควรแล้วที่จะเป็นของสหรัฐสำนักข่าวเอพีของสหรัฐยืนกรานไม่เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกในการรายงานข่าว เป็นเหตุให้ถูกทำเนียบขาวจำกัดการเข้าไปรายงานข่าว จนกระทั่งผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งในเดือนเมษายนให้ทำเนียบขาวยุติการกระทำดังกล่าว เอพีรายงานว่า นายทรัมป์มีแผนจะประกาศระหว่างเยือนซาอุดีอาระเบียในกลางเดือนนี้ว่า สหรัฐจะเรียก “อ่าวเปอร์เซีย” ว่า “อ่าวอาหรับ” ด้านนายอับบาส อารักชี รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านกล่าวว่า หวังว่าข่าวลือไร้สาระนี้จะเป็นเพียงข้อมูลบิดเบือนเท่านั้น เพราะการกระทำดังกล่าวจะปลุกความโกรธแค้นของชาวอิหร่านทั้งปวงที่มา : สำนักข่าวไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ลงนามในข้อตกลง การกำจัดคาร์บอน ครั้งใหญ่ โดยจะซื้อ เครดิตการกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน จากบริษัท CO280 ภายในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการทำให้บริษัทมี คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030

    Microsoft ลงนามข้อตกลงกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน
    - โครงการจะเริ่มต้นในปี 2028 และดำเนินการเป็นเวลา 12 ปี
    - คาร์บอนจะถูกดักจับจาก โรงงานผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ บริเวณ Gulf Coast
    - คาร์บอนที่ถูกดักจับจะถูก เก็บรักษาอย่างถาวรในชั้นหินเกลือใต้ดิน

    เทคโนโลยีที่ใช้ในการกำจัดคาร์บอน
    - ใช้ เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนแบบอะมีน (Amine-based capture technology)
    - ระบบนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมกระดาษ

    เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของ Microsoft
    - Microsoft ตั้งเป้าหมายเป็น คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030
    - บริษัทต้องการกำจัด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975

    โครงการกำจัดคาร์บอนอื่นๆ ของ Microsoft
    - ซื้อเครดิต 1.5 ล้านตัน ผ่านโครงการปลูกป่าในอินเดีย
    - ซื้อเครดิต 1.6 ล้านตัน ในปานามาภายใน 30 ปี
    - ลงทุนในโครงการ Chestnut Carbon ที่นิวยอร์กเพื่อกำจัดคาร์บอน 7 ล้านตัน ภายใน 25 ปี

    ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - ความต้องการพลังงานของ ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Microsoft เพิ่มขึ้น
    - ในปี 2023 Microsoft ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 17.2 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า

    ความท้าทายในการกำจัดคาร์บอน
    - แม้จะมีโครงการกำจัดคาร์บอน แต่ยังไม่แน่ชัดว่า Microsoft จะสามารถบรรลุเป้าหมาย คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ได้หรือไม่
    - เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    แนวโน้มของอุตสาหกรรมกำจัดคาร์บอน
    - บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Amazon และ Google กำลังลงทุนในโครงการกำจัดคาร์บอนเช่นกัน
    - อาจมีการพัฒนา เทคโนโลยีใหม่ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากศูนย์ข้อมูล

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-signs-a-major-new-carbon-removal-deal-that-might-be-powered-by-paper
    Microsoft ได้ลงนามในข้อตกลง การกำจัดคาร์บอน ครั้งใหญ่ โดยจะซื้อ เครดิตการกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน จากบริษัท CO280 ภายในระยะเวลา 12 ปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการทำให้บริษัทมี คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ✅ Microsoft ลงนามข้อตกลงกำจัดคาร์บอน 3.685 ล้านตัน - โครงการจะเริ่มต้นในปี 2028 และดำเนินการเป็นเวลา 12 ปี - คาร์บอนจะถูกดักจับจาก โรงงานผลิตเยื่อกระดาษและกระดาษ บริเวณ Gulf Coast - คาร์บอนที่ถูกดักจับจะถูก เก็บรักษาอย่างถาวรในชั้นหินเกลือใต้ดิน ✅ เทคโนโลยีที่ใช้ในการกำจัดคาร์บอน - ใช้ เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนแบบอะมีน (Amine-based capture technology) - ระบบนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมกระดาษ ✅ เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของ Microsoft - Microsoft ตั้งเป้าหมายเป็น คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 - บริษัทต้องการกำจัด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1975 ✅ โครงการกำจัดคาร์บอนอื่นๆ ของ Microsoft - ซื้อเครดิต 1.5 ล้านตัน ผ่านโครงการปลูกป่าในอินเดีย - ซื้อเครดิต 1.6 ล้านตัน ในปานามาภายใน 30 ปี - ลงทุนในโครงการ Chestnut Carbon ที่นิวยอร์กเพื่อกำจัดคาร์บอน 7 ล้านตัน ภายใน 25 ปี ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี - ความต้องการพลังงานของ ศูนย์ข้อมูล AI ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ Microsoft เพิ่มขึ้น - ในปี 2023 Microsoft ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 17.2 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ℹ️ ความท้าทายในการกำจัดคาร์บอน - แม้จะมีโครงการกำจัดคาร์บอน แต่ยังไม่แน่ชัดว่า Microsoft จะสามารถบรรลุเป้าหมาย คาร์บอนเป็นลบภายในปี 2030 ได้หรือไม่ - เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ℹ️ แนวโน้มของอุตสาหกรรมกำจัดคาร์บอน - บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Amazon และ Google กำลังลงทุนในโครงการกำจัดคาร์บอนเช่นกัน - อาจมีการพัฒนา เทคโนโลยีใหม่ เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากศูนย์ข้อมูล https://www.techradar.com/pro/microsoft-signs-a-major-new-carbon-removal-deal-that-might-be-powered-by-paper
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 470 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดภาคเช้าพุ่งแรงเกือบ 50 จุดตามตลาดต่างประเทศ ตอบรับความคลายกังวลงครามการค้าชั่วคราว หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐชะลอขึ้นภาษีกับประเทศที่ไม่ได้ตอบโต้ 90 วัน โดยมีแรงซื้อกลับหุ้นใหญ่ อาทิ KBANK , SCB, GULF, ADVANC, AOT เป็นต้น แต่ยังจับตาสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนต่อไป โดยเฉพาะการตอบโต้ของจีน

    โดยเมื่อเวลา 9.57 น. ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,135.79 จุด เพิ่มขึ้น 47.51 จุด (+4.38%)

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000034191

    #MGROnline #ตลาดหุ้นไทย
    ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดภาคเช้าพุ่งแรงเกือบ 50 จุดตามตลาดต่างประเทศ ตอบรับความคลายกังวลงครามการค้าชั่วคราว หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐชะลอขึ้นภาษีกับประเทศที่ไม่ได้ตอบโต้ 90 วัน โดยมีแรงซื้อกลับหุ้นใหญ่ อาทิ KBANK , SCB, GULF, ADVANC, AOT เป็นต้น แต่ยังจับตาสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนต่อไป โดยเฉพาะการตอบโต้ของจีน • โดยเมื่อเวลา 9.57 น. ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,135.79 จุด เพิ่มขึ้น 47.51 จุด (+4.38%) • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000034191 • #MGROnline #ตลาดหุ้นไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
  • BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย

    ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น และนักการตลาดดิจิทัล

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000018253

    #MGROnline #Binance #BinanceTH #GULF #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ #บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล
    BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย • ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น และนักการตลาดดิจิทัล • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/stockmarket/detail/9680000018253 • #MGROnline #Binance #BinanceTH #GULF #มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ #บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 824 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ซาอุดรฯ จะเป็นเจ้าภาพในการประชุม
    #ปติสังขร #ฉนวนกาซา ในวันศุกร์นี้

    Taking the reins: Saudi Arabia will host a summit on rebuilding Gaza on Friday, with leaders from Egypt, Jordan, and the Gulf states
    #ซาอุดรฯ จะเป็นเจ้าภาพในการประชุม #ปติสังขร #ฉนวนกาซา ในวันศุกร์นี้ Taking the reins: Saudi Arabia will host a summit on rebuilding Gaza on Friday, with leaders from Egypt, Jordan, and the Gulf states
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 597 มุมมอง 0 รีวิว
  • INTUCH
    ถึงฟีโบ แนว 61.8% ละ วัดตามภาพ

    แต่ถ้าจะต่อ แนว pe แถว 20x ก็แถว 80

    แต่พิจารณาด้วย
    เดี๋ยวจะควบรวมเป็นตัวใหม่ INTUCH+GULF
    ตัวใหม่จะเล่น pe แบบไหนล่ะ
    แล้วระดับราคาเปิดของตัวใหม่…
    เอาแบบปกติ ก็ไม่ควรจะต่ำกว่าฐานที่พุ่งขึ้นมามั้ง(เทียบดูในกราฟ)

    INTUCH, GULF
    กำหนด วันปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะได้สิทธิ์ ได้จัดสรรหุ้นใหม่ ชื่อ บมจ กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์
    คือ วันที่ 25 มีค 2568

    หุ้นเดิม จะหยุดซื้อขาย ตั้งแต่ 21 มีนาคม - 2 เมษายน 2568

    ตัวใหม่จะเทรดวันไหน ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด
    INTUCH ถึงฟีโบ แนว 61.8% ละ วัดตามภาพ แต่ถ้าจะต่อ แนว pe แถว 20x ก็แถว 80 ☀️แต่พิจารณาด้วย เดี๋ยวจะควบรวมเป็นตัวใหม่ INTUCH+GULF ตัวใหม่จะเล่น pe แบบไหนล่ะ แล้วระดับราคาเปิดของตัวใหม่… เอาแบบปกติ ก็ไม่ควรจะต่ำกว่าฐานที่พุ่งขึ้นมามั้ง(เทียบดูในกราฟ) INTUCH, GULF🪴 กำหนด วันปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะได้สิทธิ์ ได้จัดสรรหุ้นใหม่ ชื่อ บมจ กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ คือ วันที่ 25 มีค 2568 💥หุ้นเดิม จะหยุดซื้อขาย ตั้งแต่ 21 มีนาคม - 2 เมษายน 2568 ตัวใหม่จะเทรดวันไหน ยังไม่ทราบข้อมูลแน่ชัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 343 มุมมอง 0 รีวิว
  • เม็กซิโกอาจดำเนินการทางกฎหมายกับ Google เนื่องจากการเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกให้เป็น "อ่าวอเมริกา" สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา โดยการเปลี่ยนแปลงชื่อดังกล่าวเป็นผลมาจากคำสั่งของรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก คลอเดีย ไชน์เบาม์ แสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้ Google พิจารณาการตัดสินใจนี้ใหม่ โดยเน้นว่า "อ่าวเม็กซิโก" เป็นชื่อที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมานาน

    เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้แผนที่ Google ในเม็กซิโก ชื่ออ่าวนี้ยังคงเป็น "อ่าวเม็กซิโก" แต่ในประเทศอื่น ๆ ผู้ใช้จะเห็นทั้งสองชื่อตามพื้นที่ ประธานาธิบดีไชน์เบาม์กล่าวว่า หาก Google ยังคงยึดมั่นในชื่อใหม่ เม็กซิโกอาจดำเนินการทางกฎหมายโดยยื่นฟ้องพลเรือน

    สิ่งที่น่าสนใจในข่าวนี้คือการที่ชื่ออ่าวถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "อ่าวอเมริกา" เพื่อสะท้อนคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก ทำให้เป็นเรื่องที่น่าติดตามว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอย่างไรต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/13/mexico-could-file-suit-against-google-for-039gulf-of-mexico039-name-change-president-says
    เม็กซิโกอาจดำเนินการทางกฎหมายกับ Google เนื่องจากการเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกให้เป็น "อ่าวอเมริกา" สำหรับผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกา โดยการเปลี่ยนแปลงชื่อดังกล่าวเป็นผลมาจากคำสั่งของรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีเม็กซิโก คลอเดีย ไชน์เบาม์ แสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้ Google พิจารณาการตัดสินใจนี้ใหม่ โดยเน้นว่า "อ่าวเม็กซิโก" เป็นชื่อที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมานาน เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้แผนที่ Google ในเม็กซิโก ชื่ออ่าวนี้ยังคงเป็น "อ่าวเม็กซิโก" แต่ในประเทศอื่น ๆ ผู้ใช้จะเห็นทั้งสองชื่อตามพื้นที่ ประธานาธิบดีไชน์เบาม์กล่าวว่า หาก Google ยังคงยึดมั่นในชื่อใหม่ เม็กซิโกอาจดำเนินการทางกฎหมายโดยยื่นฟ้องพลเรือน สิ่งที่น่าสนใจในข่าวนี้คือการที่ชื่ออ่าวถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "อ่าวอเมริกา" เพื่อสะท้อนคำสั่งจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และเกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก ทำให้เป็นเรื่องที่น่าติดตามว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนอย่างไรต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/13/mexico-could-file-suit-against-google-for-039gulf-of-mexico039-name-change-president-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Mexico could file suit against Google for 'Gulf of Mexico' name change
    MEXICO CITY (Reuters) -Mexican President Claudia Sheinbaum on Thursday urged Google to reconsider its decision to rename the Gulf of Mexico the "Gulf of America" for U.S. users, adding the country could file a civil suit against the firm if necessary.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Gulf of America"

    วันที่ 9 กุมภาพันธ์เป็นวันอ่าวอเมริกาแล้ว

    "วันนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกาศให้วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นวันอ่าวอเมริกา เป็นครั้งแรก"
    "Gulf of America" วันที่ 9 กุมภาพันธ์เป็นวันอ่าวอเมริกาแล้ว "วันนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกาศให้วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 เป็นวันอ่าวอเมริกา เป็นครั้งแรก"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Trump ได้ประกาศแผนการในการเข้าครอบครองตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' (Gulf of Mexico) เป็น 'อ่าวอเมริกา' (Gulf of America), การประกาศจะเข้ายึดคืนคลองปานามา..., การประกาศจะเข้ายึดครองเกาะกรีนแลนด์ และการเรียกร้องให้ประเทศแคนาดาลดสถานะตนเองลงมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา หรือ แม้แต่การประกาศโครงการส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร"
    .
    "ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งที่ Trump พยายามจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งคือการสร้างจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาที่มีการเชื่อมโยงสองมหาสมุทรเป็นแกนกลางตามทฤษฎีสมุททานุภาพ (Sea Power) ซึ่งมีใจความสำคัญคือ 'ประเทศที่จะเป็นมหาอำนาจต้องสามารถควบคุมทะเลและมหาสมุทรได้ ดังนั้นการควบคุม Oceans Gateways ซึ่งเชื่อมสองมหาสมุทรเข้าด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และการจะทำสิ่งนั้นได้ความสำคัญอันดับแรกคือการขยายแสนยานุภาพให้กับกองทัพเรือ'”
    .
    "แนวคิดสมุททานุภาพได้รับการนำเสนอโดยอัลเฟรด ธาเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) ผ่านการตีพิมพ์หนังสือ 'The Influence of Sea Power upon History 1660-1783' ในปี 1890 ซึ่งทำให้ Mahan ได้รับการขนานนามว่า 'นักยุทธศาสตร์อเมริกันที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 19' เพราะในที่สุดทฤษฎีสมุททานุภาพก็กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของวิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1897-1901"
    .
    "McKinley คือประธานาธิบดีที่นำพาสหรัฐฯ ขึ้นสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมโดยการเข้ายึดครอง และ/หรือรับการส่งมอบดินแดนอาณานิคมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย, กวม, ปวยร์โตรีโก, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่คิวบา ที่แม้จะได้รับเอกราชจากสเปนแต่ก็ต้องยอมรับสถานะการเป็นดินแดนในอารักขาของสหรัฐฯ"
    .
    "McKinley ถือเป็นบุคคลสำคัญที่วางแนวนโยบายการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขนานใหญ่ การวางตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างฐานทัพเรือไม่ใช่แค่ตามพรมแดนชายฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่เป็นการปักหมุดทั่วทั้งโลก ทั้งยังริเริ่มแนวคิดในการเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรแอนแลนติกผ่านการขุดคลองปานามา โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อจัดสรรเงินทุนมหาศาลสำหรับสหรัฐฯ ในการขยายแสนยานุภาพ และการจ่ายเพื่อสนับสนุนความริเริ่มเหล่านี้ก็ล้วนมาจากการที่ McKinley ใช้นโยบายการค้าแบบปกป้องคุ้มกัน สร้างกำแพงภาษี"
    .
    "นั่นทำให้ McKinley คนนี้กลายเป็นไอดอลหรือบุคคลต้นแบบที่ Trump ได้กล่าวถึงในหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชม McKinley อย่างยิ่งว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่"
    .
    ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดี William McKinley
    .
    อ่านได้ที่ https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-1/
    .
    ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    "Trump ได้ประกาศแผนการในการเข้าครอบครองตำแหน่งที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชื่อ 'อ่าวเม็กซิโก' (Gulf of Mexico) เป็น 'อ่าวอเมริกา' (Gulf of America), การประกาศจะเข้ายึดคืนคลองปานามา..., การประกาศจะเข้ายึดครองเกาะกรีนแลนด์ และการเรียกร้องให้ประเทศแคนาดาลดสถานะตนเองลงมาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา หรือ แม้แต่การประกาศโครงการส่งนักบินอวกาศสหรัฐฯ ไปปักธงชาติสหรัฐฯ บนดาวอังคาร" . "ในมุมมองทางภูมิรัฐศาสตร์ สิ่งที่ Trump พยายามจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งคือการสร้างจักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกาที่มีการเชื่อมโยงสองมหาสมุทรเป็นแกนกลางตามทฤษฎีสมุททานุภาพ (Sea Power) ซึ่งมีใจความสำคัญคือ 'ประเทศที่จะเป็นมหาอำนาจต้องสามารถควบคุมทะเลและมหาสมุทรได้ ดังนั้นการควบคุม Oceans Gateways ซึ่งเชื่อมสองมหาสมุทรเข้าด้วยกันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และการจะทำสิ่งนั้นได้ความสำคัญอันดับแรกคือการขยายแสนยานุภาพให้กับกองทัพเรือ'” . "แนวคิดสมุททานุภาพได้รับการนำเสนอโดยอัลเฟรด ธาเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) ผ่านการตีพิมพ์หนังสือ 'The Influence of Sea Power upon History 1660-1783' ในปี 1890 ซึ่งทำให้ Mahan ได้รับการขนานนามว่า 'นักยุทธศาสตร์อเมริกันที่มีความสำคัญมากที่สุดในศตวรรษที่ 19' เพราะในที่สุดทฤษฎีสมุททานุภาพก็กลายเป็นยุทธศาสตร์หลักของวิลเลียม แมกคินลีย์ (William McKinley) ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1897-1901" . "McKinley คือประธานาธิบดีที่นำพาสหรัฐฯ ขึ้นสู่ความเป็นจักรวรรดินิยมโดยการเข้ายึดครอง และ/หรือรับการส่งมอบดินแดนอาณานิคมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย, กวม, ปวยร์โตรีโก, ฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่คิวบา ที่แม้จะได้รับเอกราชจากสเปนแต่ก็ต้องยอมรับสถานะการเป็นดินแดนในอารักขาของสหรัฐฯ" . "McKinley ถือเป็นบุคคลสำคัญที่วางแนวนโยบายการขยายแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ ขนานใหญ่ การวางตำแหน่งทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์เพื่อสร้างฐานทัพเรือไม่ใช่แค่ตามพรมแดนชายฝั่งสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่เป็นการปักหมุดทั่วทั้งโลก ทั้งยังริเริ่มแนวคิดในการเชื่อมสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกสู่มหาสมุทรแอนแลนติกผ่านการขุดคลองปานามา โดยการวางแผนทางการเงินเพื่อจัดสรรเงินทุนมหาศาลสำหรับสหรัฐฯ ในการขยายแสนยานุภาพ และการจ่ายเพื่อสนับสนุนความริเริ่มเหล่านี้ก็ล้วนมาจากการที่ McKinley ใช้นโยบายการค้าแบบปกป้องคุ้มกัน สร้างกำแพงภาษี" . "นั่นทำให้ McKinley คนนี้กลายเป็นไอดอลหรือบุคคลต้นแบบที่ Trump ได้กล่าวถึงในหลายวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสุนทรพจน์หลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งที่เขาชื่นชม McKinley อย่างยิ่งว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่" . ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดี William McKinley . อ่านได้ที่ https://www.the101.world/amidst-the-two-oceans-1/ . ภาพประกอบ: พิรุฬพร นามมูลน้อย
    WWW.THE101.WORLD
    Amidst the Two Oceans ตอนที่ 1: ว่าด้วยบุคคลต้นแบบของ Donald Trump
    ปิติ ศรีแสงนาม เปิดมุมมองยุทธศาสตร์ภูมิรัฐศาสตร์โลกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่ได้แรงบันดาลใจจากอดีตประธานาธิบดีคนหนึ่ง
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1005 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts