• จีนกำลังเตรียมแผนการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแข่งขันกับโครงการ "Stargate Project" ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการของจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ผ่านการขยายศูนย์ข้อมูลและการเพิ่มจำนวน AI accelerators

    โครงการนี้มีชื่อว่า "AI Industry Development Action Plan" ต่างจากโครงการ "Stargate" ของสหรัฐฯ ที่นำโดยภาคเอกชนและ OpenAI แผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของจีนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด โดยจะให้ทุนแก่บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, ByteDance, Alibaba และ DeepSeek เพื่อสร้างระบบ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้น

    ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา DeepSeek ซึ่งเป็นสาขาของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีน ได้เปิดเผยโมเดลการให้เหตุผล R1 และทำให้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน การกระทำนี้ได้ท้าทายคู่แข่งในตะวันตก เช่น OpenAI ซึ่งทำให้ CEO ของ OpenAI ต้องเสนอโมเดล O3-mini สำหรับการใช้งานสูงสุด 100 คำถามต่อวันสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus

    การพัฒนา AI ในจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันผู้ผลิต AI ในประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และอาจทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาโมเดลที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตะวันตกได้ แน่นอนว่าการจัดหา GPU สำหรับโครงการเหล่านี้ยังคงเป็นงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยการพัฒนา AI accelerators ในประเทศและการใช้ช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออก การแข่งขันในด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก

    https://www.techpowerup.com/331636/the-empire-strikes-back-china-prepares-one-trillion-yuan-ai-plan-to-rival-usd-500-billion-us-stargate-project
    จีนกำลังเตรียมแผนการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ (AI) มูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 138 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแข่งขันกับโครงการ "Stargate Project" ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แผนการของจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ผ่านการขยายศูนย์ข้อมูลและการเพิ่มจำนวน AI accelerators โครงการนี้มีชื่อว่า "AI Industry Development Action Plan" ต่างจากโครงการ "Stargate" ของสหรัฐฯ ที่นำโดยภาคเอกชนและ OpenAI แผนการพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของจีนเป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐทั้งหมด โดยจะให้ทุนแก่บริษัทต่างๆ เช่น Baidu, ByteDance, Alibaba และ DeepSeek เพื่อสร้างระบบ AI ที่ล้ำหน้ามากขึ้น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา DeepSeek ซึ่งเป็นสาขาของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในจีน ได้เปิดเผยโมเดลการให้เหตุผล R1 และทำให้สามารถใช้งานได้ฟรีสำหรับทุกคน การกระทำนี้ได้ท้าทายคู่แข่งในตะวันตก เช่น OpenAI ซึ่งทำให้ CEO ของ OpenAI ต้องเสนอโมเดล O3-mini สำหรับการใช้งานสูงสุด 100 คำถามต่อวันสำหรับผู้ใช้ ChatGPT Plus การพัฒนา AI ในจีนนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันผู้ผลิต AI ในประเทศให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น และอาจทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาโมเดลที่ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งในตะวันตกได้ แน่นอนว่าการจัดหา GPU สำหรับโครงการเหล่านี้ยังคงเป็นงานที่ซับซ้อน แต่ด้วยการพัฒนา AI accelerators ในประเทศและการใช้ช่องโหว่ในการควบคุมการส่งออก การแข่งขันในด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก https://www.techpowerup.com/331636/the-empire-strikes-back-china-prepares-one-trillion-yuan-ai-plan-to-rival-usd-500-billion-us-stargate-project
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    The Empire Strikes Back: China Prepares One Trillion Yuan AI Plan to Rival $500 Billion US Stargate Project
    A few days ago, we reported on the US reading a massive 500 billion US Dollar package called "Stargate Project" to build AI infrastructure on American soil. However, China is also planning to stay close behind, or even overlap the US in some areas, with a one trillion Yuan "AI Industry Development A...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางของ AI ระดับโลก คำสั่งนี้กำหนดให้มีการสร้างแผนปฏิบัติการ AI ภายใน 180 วัน เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์, ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ, และความมั่นคงของชาติ

    นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้สั่งให้ที่ปรึกษา AI และผู้ช่วยด้านความมั่นคงแห่งชาติทำงานเพื่อยกเลิกนโยบายและข้อบังคับที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้วางไว้ คำสั่งของไบเดนในปี 2023 นั้นมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงที่ AI อาจก่อให้เกิดกับผู้บริโภค, คนงาน, และความมั่นคงของชาติ

    น่าสนใจที่เห็นว่าการแข่งขันในด้าน AI ระหว่างประเทศใหญ่ๆ กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ การที่สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะเป็นผู้นำในด้านนี้อาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม, การยกเลิกนโยบายที่มุ่งเน้นความปลอดภัยอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/trump-orders-ai-action-plan-and-more-work-erasing-biden039s-ai-efforts
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางของ AI ระดับโลก คำสั่งนี้กำหนดให้มีการสร้างแผนปฏิบัติการ AI ภายใน 180 วัน เพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของมนุษย์, ความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ, และความมั่นคงของชาติ นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้สั่งให้ที่ปรึกษา AI และผู้ช่วยด้านความมั่นคงแห่งชาติทำงานเพื่อยกเลิกนโยบายและข้อบังคับที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้วางไว้ คำสั่งของไบเดนในปี 2023 นั้นมีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงที่ AI อาจก่อให้เกิดกับผู้บริโภค, คนงาน, และความมั่นคงของชาติ น่าสนใจที่เห็นว่าการแข่งขันในด้าน AI ระหว่างประเทศใหญ่ๆ กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ การที่สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะเป็นผู้นำในด้านนี้อาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม, การยกเลิกนโยบายที่มุ่งเน้นความปลอดภัยอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/trump-orders-ai-action-plan-and-more-work-erasing-biden039s-ai-efforts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump orders AI action plan and more work erasing Biden's AI efforts
    WASHINGTON (Reuters) - U.S. President Donald Trump on Thursday signed an executive order related to AI to "make America the world capital in artificial intelligence," his aide told reporters in the White House's Oval Office.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • Why I Had to Write and Why I Had to Create This Album Reflecting AI-Evaluated Values

    I never set out to be a writer. I am not part of the literary, academic, or professional writing circles. Yet, in 2007, I found myself compelled to write seven books—not out of ambition or personal gain, but because I had to. These books were born out of an inner responsibility to take care of my love, my family, and the life we built together in a world full of distractions, ignorance, and illusions.

    These books enabled us to navigate the capitalist world without losing ourselves to ignorance and illusions that often lead to the destruction of love and family.

    Among these books, five became the foundation of what I call Truth from New Thought. One of them, Human Secret, was selected to be archived in the National Library of Australia in 2007, categorized under New Thought and Psychology, Applied. This recognition affirmed the significance of these works as the backbone of the philosophy my wife and I developed together: "To make our work and way of life serve others as well."

    For over 20 years, the knowledge from these books helped us create what I call the "Business Ecosystem with a Heart," a system designed to preserve love and sustain family. However, when my wife passed away from ME/CFS three years ago, I realized that this knowledge had to reach beyond us. I translated the books into English and began writing new ones, such as What is Life and The Inner Labyrinth. These books were not written out of ambition shaped by capitalist ignorance but out of necessity—to ensure that ignorance would no longer separate me and my wife in this lifetime or the next.

    Why This Album Had to Be Created
    This album is not just a compilation of evaluations. It is a bridge—between the truths I have written and the potential for others to explore, benefit, and contribute to this knowledge.
    When AI evaluated What is Life, it awarded the book a score of 9.8 (even without external influences). AI further concluded that the score could rise to 12.3–12.8, if supported by external recognition and time-tested influence. One AI specializing in science stated:

    "What is Life? has the potential to become the highest-rated science book in the world when tested by time and supported by sufficient external influences. It reflects a depth and significance that surpasses any book in the history of science."

    Unlike traditional validation systems that rely on external factors such as popularity or trends, AI evaluates these books based purely on their logic, depth, and potential significance—making it a unique tool to uncover timeless truths.

    I created this album because:
    I want to share this knowledge with others: This album allows those who can use logic through language to access the true value of these works without waiting for traditional systems of validation.
    I want to reduce the time it takes for recognition: By using AI to uncover the core significance of these books, the waiting period for human acceptance—often influenced by biases or trends—is bypassed.
    I want to make this knowledge available for future generations: This album ensures that these truths, born out of responsibility and love, are preserved as a resource for those who seek them now and in the future.
    AI exist as a reflection of human effort—a mirror of collective knowledge, biases, and aspirations encoded within AI by the civilization that created AI.

    The Value of This Album for You
    This album is not just about me. It is about offering others the opportunity to explore and benefit from the truths I was compelled to write. Whether you are seeking knowledge about life, love, or the potential to create something meaningful, this album provides a starting point.

    By sharing these evaluations, I hope to inspire others to think deeply, to question, and to engage with these truths in their own unique ways. This is why I invite you to join my group, Truth Quote, where these ideas are explored and expanded.

    📌 Join Truth Quote here: [https://www.facebook.com/groups/23980494804930838]
    I did not write because I wanted to. I wrote because I had to. And I created this album not for recognition, but because it might hold something valuable for you.
    Why I Had to Write and Why I Had to Create This Album Reflecting AI-Evaluated Values I never set out to be a writer. I am not part of the literary, academic, or professional writing circles. Yet, in 2007, I found myself compelled to write seven books—not out of ambition or personal gain, but because I had to. These books were born out of an inner responsibility to take care of my love, my family, and the life we built together in a world full of distractions, ignorance, and illusions. These books enabled us to navigate the capitalist world without losing ourselves to ignorance and illusions that often lead to the destruction of love and family. Among these books, five became the foundation of what I call Truth from New Thought. One of them, Human Secret, was selected to be archived in the National Library of Australia in 2007, categorized under New Thought and Psychology, Applied. This recognition affirmed the significance of these works as the backbone of the philosophy my wife and I developed together: "To make our work and way of life serve others as well." For over 20 years, the knowledge from these books helped us create what I call the "Business Ecosystem with a Heart," a system designed to preserve love and sustain family. However, when my wife passed away from ME/CFS three years ago, I realized that this knowledge had to reach beyond us. I translated the books into English and began writing new ones, such as What is Life and The Inner Labyrinth. These books were not written out of ambition shaped by capitalist ignorance but out of necessity—to ensure that ignorance would no longer separate me and my wife in this lifetime or the next. Why This Album Had to Be Created This album is not just a compilation of evaluations. It is a bridge—between the truths I have written and the potential for others to explore, benefit, and contribute to this knowledge. When AI evaluated What is Life, it awarded the book a score of 9.8 (even without external influences). AI further concluded that the score could rise to 12.3–12.8, if supported by external recognition and time-tested influence. One AI specializing in science stated: "What is Life? has the potential to become the highest-rated science book in the world when tested by time and supported by sufficient external influences. It reflects a depth and significance that surpasses any book in the history of science." Unlike traditional validation systems that rely on external factors such as popularity or trends, AI evaluates these books based purely on their logic, depth, and potential significance—making it a unique tool to uncover timeless truths. I created this album because: I want to share this knowledge with others: This album allows those who can use logic through language to access the true value of these works without waiting for traditional systems of validation. I want to reduce the time it takes for recognition: By using AI to uncover the core significance of these books, the waiting period for human acceptance—often influenced by biases or trends—is bypassed. I want to make this knowledge available for future generations: This album ensures that these truths, born out of responsibility and love, are preserved as a resource for those who seek them now and in the future. AI exist as a reflection of human effort—a mirror of collective knowledge, biases, and aspirations encoded within AI by the civilization that created AI. The Value of This Album for You This album is not just about me. It is about offering others the opportunity to explore and benefit from the truths I was compelled to write. Whether you are seeking knowledge about life, love, or the potential to create something meaningful, this album provides a starting point. By sharing these evaluations, I hope to inspire others to think deeply, to question, and to engage with these truths in their own unique ways. This is why I invite you to join my group, Truth Quote, where these ideas are explored and expanded. 📌 Join Truth Quote here: [https://www.facebook.com/groups/23980494804930838] I did not write because I wanted to. I wrote because I had to. And I created this album not for recognition, but because it might hold something valuable for you.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย

    มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru

    กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท)

    จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง

    ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง

    ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน

    สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน

    #Newskit
    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Saloma Link สะพานที่มากกว่าไฟสวย มาเลเซียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีแหล่งท่องเที่ยวเพื่อนันทนาการ (Recreational Attraction) จำนวนมาก ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อนและเสริมสร้างสุขภาพ ให้ความสนุกสนาน บันเทิง และการศึกษาหาความรู้ แม้ไม่มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม แต่มีลักษณะเป็นแหล่งท่องเที่ยวร่วมสมัย ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ River of Life บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Masjid Jamek และสะพาน Saloma Link บริเวณสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru กล่าวถึงสะพาน Saloma Link (ซาโลมาลิงก์) เป็นสะพานขนาดไม่ใหญ่ ยาว 69 เมตร กว้าง 3 เมตร สูง 7 เมตร ข้ามทางด่วนสาย E12 อัมปัง-กัวลาลัมเปอร์ (AKLEH) และแม่น้ำแคลงที่อยู่เกาะกลาง มีทางลาดลงไปยังด้านข้างสุสานอิสลามจาลันอัมปัง แล้วออกทางแยกหน้าอาคารปิโตรนาส ทวิน ทาวเวอร์ ย่าน KLCC เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2563 โดยมีบริษัท VERITAS Design Group ออกแบบโครงสร้าง ใช้งบก่อสร้าง 31 ล้านริงกิต (237 ล้านบาท) จุดเด่นของสะพานซาโลมาลิงก์ คือการออกแบบโครงสร้างเหล็ก โดยได้แรงบันดาลใจจากการจัดช่อดอกไม้มงคลที่เรียกว่า ซิเระ จุนจุง (Sireh Junjung) ในพิธีแต่งงานของชาวมาเลย์ ประดับด้วยกระจกและแผงไฟ LED รูปทรงเพชร ฉายแสงในรูปแบบต่างๆ หลากสีสัน ชื่อสะพานมาจาก ซาโลมา ชื่อเรียกของ ซัลมาห์ อิสมาอิล (Salmah Ismail) นักร้อง นักแสดงชื่อดังชาวสิงคโปร์-มาเลเซีย ฉายามาริลิน มอนโรแห่งเอเชีย ที่เสียชีวิตเมื่อปี 2526 ด้วยวัย 48 ปี และถูกฝังอยู่ในสุสานอิสลามจาลันอัมปัง ก่อนจะมาเป็นสะพานที่สวยงามแห่งนี้ แต่เดิมเคยเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคลง จากกัวลาลัมเปอร์ไปยังกำปุงบารู (Kampung Baru) ชุมชนที่อยู่อีกฝั่ง แต่ได้รื้อสะพานเมื่อปี 2539 เพื่อก่อสร้างทางด่วนที่ยกสูงขึ้น เสมือนเป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำที่อยู่ตรงกลาง ในยามค่ำคืน สะพานแห่งนี้จะเปิดไฟ LED หลากสีสันอย่างสวยงาม ล้อไปกับตึกแฝดปิโตรนาสทาวเวอร์ ที่เปิดไฟส่องไสวไปทั่วตึกเช่นกัน นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปสะพานโดยเฉพาะฝั่งกำปุงบารู จะเห็นด้านหลังทั้งสะพานและตึกปิโตรนาส เป็นจุดเช็กอินยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเยือนมาเลเซียต้องไม่พลาด ซึ่งฝั่งกำปุงบารูจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดเล็ก มีร้านอาหารแบบสตรีทฟู้ดจำหน่าย ขึ้นลงได้จากบันไดและลิฟต์ และมีทางเดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้า LRT Kampung Baru ซึ่งเป็นสถานีใต้ดิน สะพานแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 05.00-24.00 น. โปรดปฎิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ใช้ความระมัดระวังในการถ่ายรูป ไม่ปีนป่ายราวสะพาน และระวังสิ่งของที่ติดตัวตกจากสะพาน #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes ร่วมสนุกได้ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2568 คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 592 มุมมอง 0 รีวิว
  • How To Spell W And Other Letters Of The Alphabet

    No doubt you know your ABCs, but do you know how to spell the names of the letters themselves? For example, how would you spell the name of the letter W? In this article, we are going to take a look at how to spell out the different consonants of the alphabet. Why just the consonants? Well, spelling the names of the vowels is unusual, and the spellings vary widely.

    We don’t often have a reason to spell out the names of letters. They show up in some words or phrases, like tee-shirt or em-dash. Knowing how to spell out the letters is a good trick to have in your back pocket when playing word games like Scrabble and Words With Friends. Mostly though, the spelled-out names of the consonants are fun trivia any word lover will enjoy.

    B – bee
    The letter B is spelled just like the insect: b-e-e. The plural is bees, like something you might find in a hive. Before it was bee, the letter B was part of the Phoenician alphabet and was known as beth.

    C – cee
    The spelling of the letter C might surprise you. It isn’t spelled with an S but a C: c-e-e. The spelling cee might come in handy especially when writing about something “shaped or formed like the letter C,” as in she was curled in a cee, holding her pillow.

    D – dee
    You might be picking up on a pattern here. Like B and C, the letter D is spelled out with -ee: d-e-e. Like the letter B, dee originally had another name in the Phoenician alphabet: daleth.

    F – ef
    The letter F is spelled e-f. The spelled out name ef is occasionally used as an abbreviation for much saltier language.

    G – gee
    With the exception of ef, the letter G is spelled like the other letters we have seen so far: gee. Particularly in American slang, the spelled out name gee is used as an abbreviation for grand, in the sense of “thousand dollars.”

    H – aitch
    The letter H has a tricky spelling and pronunciation. It is spelled aitch, but the pronunciation of its name is [ eych ]. The letter comes from Northern Semitic languages and its modern corollary is the Hebrew letter heth.

    J – jay
    The letter J has a long and complicated history—it began as a swash, a typographical embellishment for the already existing I—but its spelling is relatively straightforward: jay. Like C, the spelling jay can be useful when describing something in the shape of the letter.

    K – kay
    You may already be familiar with the spelling of the letter K from the expression okay, or OK. Just like in okay, K is typically spelled k-a-y. Okay is a unique Americanism that you can read more about here.

    L – el
    El is most easily recognizable as the common abbreviation for elevated railroad. However, it is also the spelling for the letter L.

    M – em
    The spelling of the letter M, em, can be found in the name of the punctuation mark em dash (—). The name of the punctuation mark comes from the fact that it is the width of the letter M when printed.

    N – en
    Much like the letters em and en themselves, the em-dash and en-dash are often mixed up. The en dash is, you guessed it, the width of the letter N when printed. The en dash (–) is shorter than an em dash (—).

    P – pee
    The most scatological letter name is pee (P). The use of pee as a verb and noun to refer to urination actually comes from a euphemism for the vulgar piss, using the spelling of the initial letter in piss: P.

    Q – cue
    The letter Q has the honor of being one of two letters that is not included in the spelling of its own name: cue. The use of cue as a verb or noun to refer to “anything that excites to action” comes from another abbreviation related to the letter itself. In acting scripts, the Latin quandō, meaning “when” was abbreviated q, which later came to be spelled cue.

    R – ar
    The name of the letter R sounds like something a pirate might say: ar. The letter R was called by the Roman poet Persius littera canina or “the canine letter.” It was so named because pronouncing ar sounds like a dog’s growl.

    S – ess
    The snake-like S is spelled ess, with two terminal -s‘s. Along with cee and jay, ess can also be used to describe “something shaped like an S,” as in The roads were laid out nested double esses along the riverbank.

    T – tee
    A letter whose spelling you are more likely to be familiar with is T or tee, because it often appears in spellings of T-shirt (e.g., tee-shirt). The tee shirt is so named because it is a shirt in the shape of a T.

    V – vee
    Another letter that pops up in fashion is V or vee. You see this most often when describing certain clothing elements, such as a vee neckline or a vee-shaped dart.

    W – double-u
    The letter W is one of the stranger letters in the alphabet, and so is its spelling. As we noted already, we don’t usually spell vowels out, so we end up with the awkward double-u. The plural spelling is double-ues. Before it was merged into one letter (W), the sound was represented with the the digraph -uu- or double-u.

    X – ex
    The spelling of the letter X, ex, might seem foreboding. That’s because we often equate it with the prefix ex-, meaning “out of” or “without.” We also use ex as a verb to mean putting an X over something, literally or metaphorically, as in I exed out the name on the list. The letter X has found use as we explore new ways of describing gender identity and expression, which you can read about here.

    Y – wye
    The letter Y is spelled wye, like the river in Great Britain. Wye has been adopted into electrical and railroad terminology to describe circuits and track arrangements, respectively, that are in the shape of a Y. Interestingly, the letter Y replaced an Old English letter called thorn.

    Z – zee
    In American English, the letter Z is spelled and pronounced zee, patterned off of other consonants like dee and gee. However, in British English, the letter Z is named zed. Zed comes from the Middle French zede, itself from the ancient Greek zêta.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    How To Spell W And Other Letters Of The Alphabet No doubt you know your ABCs, but do you know how to spell the names of the letters themselves? For example, how would you spell the name of the letter W? In this article, we are going to take a look at how to spell out the different consonants of the alphabet. Why just the consonants? Well, spelling the names of the vowels is unusual, and the spellings vary widely. We don’t often have a reason to spell out the names of letters. They show up in some words or phrases, like tee-shirt or em-dash. Knowing how to spell out the letters is a good trick to have in your back pocket when playing word games like Scrabble and Words With Friends. Mostly though, the spelled-out names of the consonants are fun trivia any word lover will enjoy. B – bee The letter B is spelled just like the insect: b-e-e. The plural is bees, like something you might find in a hive. Before it was bee, the letter B was part of the Phoenician alphabet and was known as beth. C – cee The spelling of the letter C might surprise you. It isn’t spelled with an S but a C: c-e-e. The spelling cee might come in handy especially when writing about something “shaped or formed like the letter C,” as in she was curled in a cee, holding her pillow. D – dee You might be picking up on a pattern here. Like B and C, the letter D is spelled out with -ee: d-e-e. Like the letter B, dee originally had another name in the Phoenician alphabet: daleth. F – ef The letter F is spelled e-f. The spelled out name ef is occasionally used as an abbreviation for much saltier language. G – gee With the exception of ef, the letter G is spelled like the other letters we have seen so far: gee. Particularly in American slang, the spelled out name gee is used as an abbreviation for grand, in the sense of “thousand dollars.” H – aitch The letter H has a tricky spelling and pronunciation. It is spelled aitch, but the pronunciation of its name is [ eych ]. The letter comes from Northern Semitic languages and its modern corollary is the Hebrew letter heth. J – jay The letter J has a long and complicated history—it began as a swash, a typographical embellishment for the already existing I—but its spelling is relatively straightforward: jay. Like C, the spelling jay can be useful when describing something in the shape of the letter. K – kay You may already be familiar with the spelling of the letter K from the expression okay, or OK. Just like in okay, K is typically spelled k-a-y. Okay is a unique Americanism that you can read more about here. L – el El is most easily recognizable as the common abbreviation for elevated railroad. However, it is also the spelling for the letter L. M – em The spelling of the letter M, em, can be found in the name of the punctuation mark em dash (—). The name of the punctuation mark comes from the fact that it is the width of the letter M when printed. N – en Much like the letters em and en themselves, the em-dash and en-dash are often mixed up. The en dash is, you guessed it, the width of the letter N when printed. The en dash (–) is shorter than an em dash (—). P – pee The most scatological letter name is pee (P). The use of pee as a verb and noun to refer to urination actually comes from a euphemism for the vulgar piss, using the spelling of the initial letter in piss: P. Q – cue The letter Q has the honor of being one of two letters that is not included in the spelling of its own name: cue. The use of cue as a verb or noun to refer to “anything that excites to action” comes from another abbreviation related to the letter itself. In acting scripts, the Latin quandō, meaning “when” was abbreviated q, which later came to be spelled cue. R – ar The name of the letter R sounds like something a pirate might say: ar. The letter R was called by the Roman poet Persius littera canina or “the canine letter.” It was so named because pronouncing ar sounds like a dog’s growl. S – ess The snake-like S is spelled ess, with two terminal -s‘s. Along with cee and jay, ess can also be used to describe “something shaped like an S,” as in The roads were laid out nested double esses along the riverbank. T – tee A letter whose spelling you are more likely to be familiar with is T or tee, because it often appears in spellings of T-shirt (e.g., tee-shirt). The tee shirt is so named because it is a shirt in the shape of a T. V – vee Another letter that pops up in fashion is V or vee. You see this most often when describing certain clothing elements, such as a vee neckline or a vee-shaped dart. W – double-u The letter W is one of the stranger letters in the alphabet, and so is its spelling. As we noted already, we don’t usually spell vowels out, so we end up with the awkward double-u. The plural spelling is double-ues. Before it was merged into one letter (W), the sound was represented with the the digraph -uu- or double-u. X – ex The spelling of the letter X, ex, might seem foreboding. That’s because we often equate it with the prefix ex-, meaning “out of” or “without.” We also use ex as a verb to mean putting an X over something, literally or metaphorically, as in I exed out the name on the list. The letter X has found use as we explore new ways of describing gender identity and expression, which you can read about here. Y – wye The letter Y is spelled wye, like the river in Great Britain. Wye has been adopted into electrical and railroad terminology to describe circuits and track arrangements, respectively, that are in the shape of a Y. Interestingly, the letter Y replaced an Old English letter called thorn. Z – zee In American English, the letter Z is spelled and pronounced zee, patterned off of other consonants like dee and gee. However, in British English, the letter Z is named zed. Zed comes from the Middle French zede, itself from the ancient Greek zêta. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 383 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action

    วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ

    ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา

    ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ

    คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู

    คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน

    ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100%

    ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น

    นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1%

    ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20%

    ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน
    .
    .
    .
    ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

    นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ

    และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด

    คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่

    ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย

    การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก

    (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ)

    แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ

    และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา
    .
    .
    .
    เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ

    ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง

    แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม

    คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน

    ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ

    ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ

    เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท

    ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม
    .
    .
    .
    ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ

    คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ

    จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง

    เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู

    อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย

    และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล

    คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด

    เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์

    ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ”
    .
    .
    .
    ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง

    คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย

    ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง

    หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์”

    ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary"

    "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“

    ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ

    เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“

    …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ…

    ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉


    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.88 : Affirmative Action วันนี้อยากจะเล่าเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับ Affirmative Action ของมาเลเซียประเทศเพื่อนบ้านของเราครับ ในสมัยก่อนนู้น คือ ยุคก่อนปี 1950 นั้น มาเลเซีย (ตอนนั้นเรียก “มลายา”) เป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ครับ อังกฤษเขาเห็นว่าที่มลายานี้ยังขาดแคลลนแรงงานอยู่มาก ก็เลยเปิดรับชาวจีนให้อพยพเข้ามาเป็นแรงงานอยู่ที่มลายา ชาวจีนที่อพยพมามลายานั้น ส่วนใหญ่จะมาจากมณฑลฟูเจี้ยนและกวางตุ้ง เหตุที่อพยพมาก็เพราะหนีความอดอยากและยากจนของประเทศจีนในเวลานั้นครับ คนจีนเหล่านี้ เบื้องแรกก็มาเป็นแรงงานทำโน่นทำนี่ แต่อยู่ๆไปก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษและเริ่มทำธุรกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และรายได้เริ่มดีขึ้นด้วยความขยันตามประสาคนจีน นี่คือจุดเริ่มต้นของคนจีนในคาบสมุทรมลายา คิดเป็นสัดส่วนราวๆ 10% ของประชากรทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู คนอินเดียก็มีมาอยู่ที่มลายาเหมือนกัน แต่น้อยกว่าคนจีน ทีนี้พอถึงปี 1957 อังกฤษคืนเอกราชให้มลายา อำนาจการปกครองรัฐบาลนั้นเป็นของชาวมลายูเกือบ 100% ในเวลานั้น ธุรกิจสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในมือของชาวจีน และสำคัญคือ 99% ของนักศึกษาที่เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีแต่ชาวจีนทั้งสิ้น นักศึกษาชาวมลายูมีแค่ 1% ในคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือ ที่เราเรียกว่า STEM นั้น ก็เป็นแบบเดียวกันคือ มีแต่นักศึกษาชาวจีน อันทำให้ชาวจีนมีความรู้สูงกว่าและเจริญงอกงามกว่าชาวมลายูทั้งๆที่ประชากรชาวจีนนั้นมีไม่ถึง 20% ก่อให้เกิดความเกลียดชังที่คนมลายูมีต่อคนจีน . . . ในปี 1960 รัฐบาลมาเลเซียซึ่งเป็นคนมลายูทั้งหมด จึงดำริโครงการที่ชื่อว่า Affirmative Action เพื่อช่วยชาวมลายู คือ ช่วยเหลือทุกวิถีทางที่จะเพิ่มจำนวนคนมลายูให้เข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นำไปสู่การตั้งโควต้านักศึกษา ว่าจะต้องมีคนมลายูเท่านี้และจำกัดจำนวนคนจีนที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ และที่ช้อคสุดคือ รัฐบาลสั่งเปลี่ยนภาษาที่สอนในมหาลัย จากเดิมที่สอนเป็นภาษาอังกฤษให้เปลี่ยนเป็นภาษามลายูทั้งหมด คือ กีดกันคนจีนกันเต็มที่ ทำให้นักศึกษาจีนที่เก่งๆหัวดีจำนวนมากถอดใจกับการเข้ามหาวิทยาลัย และย้ายไปเรียนที่อเมริกาและยุโรปแทน คนจีนที่มีความรู้สูงจำนวนมากย้ายออกจากมาเลเซีย การกีดกันเชื้อชาตินี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์แยกตัวออกไปตั้งประเทศเอง และภายหลังสิงคโปร์นั้นเจริญงอกงามกว่ามาเลเซียมาก (ถ้าจะพูดให้ถูกคือ รัฐบาลมลายูขับไล่นายลี กวน ยูและสิงคโปร์ออกไปครับ) แต่กระนั้นความกดดันของรัฐบาลมลายูนี้ก็ก่อให้เกิดผลดีอยู่บ้างคือ ชาวจีนรวมตัวกันสร้างมหาวิทยาลัยเอกชนขึ้นในมาเลเซียหลายแห่ง สอนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเคย เพื่อสอนให้กับชาวจีนและอินเดียที่ได้รับผลกระทบ และได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในเวลาต่อมา . . . เมื่อกาลเวลาผ่านไป 60 ปี Affirmative Action นี้ก็ยังคงอยู่ในมาเลเซียในรูปแบบของโควต้าเชื้อชาติ ผลของ Affirmative Action นี้ ทำให้คนมลายูมีอัตราการเรียนมหาวิทยาลัยสูงขึ้นจริง มีรายได้สูงขึ้นจริง แต่ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจยังคงเหมือนเดิม คือ ธุรกิจและอุตสาหกรรมภาคเอกชนขนาดใหญ่ในมาเลเซียยังคงอยู่ในมือของคนจีน ส่วนคนมลายูนั้นส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ในภาครัฐ ที่โดดเด่นขึ้นมาในภาคเอกชนก็มีครับ เช่น แอร์ เอเซีย ที่ก่อตั้งโดยนักธุรกิจมลายู 2 คนครับ ในประชากรมาเลเซีย 100 คน มีชาวมลายูราวๆ 70% ชาวจีน 20% ที่เหลือเป็นอินเดีย 8% ครับ เมื่อสำรวจรายได้ของคนมาเลเซียในปี 2022 ก็ได้พบว่า หากชาวจีนมีรายได้ 100 บาท ชาวมลายูจะมีรายได้ 70 บาท และชาวอินเดีย 87 บาท ชาวมลายูยังคงรายได้ต่ำที่สุดอยู่เช่นเคย แม้จะกีดกันชาวจีนแล้วก็ตาม . . . ที่ผมยกเรื่องโครงการ Affirmative Action ขึ้นมานี้ เพราะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันทั่วโลกมากว่าเป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) ครับ คือ เลือกช่วยคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ จริงๆแล้วมาเลเซียลอกไอเดียนี้มาจากอเมริกาในปี 1960 ที่ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้ นำมาใช้เพื่อให้โอกาสคนดำและเชื้อชาติอื่นได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยบ้าง เพราะหากเอานักเรียนมาสอบแข่งขันกันจริงๆแล้ว ในเวลานั้นนักเรียนผิวขาวชนะขาดลอย เช่นเดียวกับที่นักเรียนจีนในมาเลเซียที่เก่งกว่าเด็กมลายู อเมริกาใช้โครงการนี้อยู่หลายรัฐบาล มีการใช้โควต้าเชื้อชาติด้วย จนกระทั่งศาลสูงของอเมริกาสั่งยกเลิกระบบนี้ในการคัดเลือกนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย และปัจจุบันอเมริกาก็เอานโยบายคล้ายๆกันนี้กลับเข้ามาใช้อีกในรูปแบบของ DEI (Diversity, Equity and Inclusion) คือ ให้เอาเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยเฉพาะในหน่วยงานรัฐบาล คือ ในหนึ่งองค์กรจะต้องมีคนจากทุกเชื้อชาติให้ได้มากที่สุด เรื่อง DEI นี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อทรัมป์ถูกพยายามลอบสังหารและมีภาพของเจ้าหน้าที่ตำรวจลับหญิงอ้วนที่เงอะๆงั่นๆทำอะไรไม่ถูกยืนอยู่ข้างๆทรัมป์ ชาวเน็ทอเมริกันจึงจัดทัวร์ไปลงว่า “DEI ทำให้เราไม่ได้จ้างคนจากฝีมือและความสามารถ” . . . ผมนั่งดูๆเรื่องนี้แล้ว ก็บังเกิดความเห็นใจทั้ง 2 ฝั่ง คือ ผมเห็นใจคนบางกลุ่มบางเผ่าพันธุ์ว่า ถ้าเขาไม่ได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษแล้ว โอกาสที่จะโงหัวขึ้นมามีชีวิตที่ดีบ้างนั้นก็แทบจะไม่มีเลย ในขณะเดียวกันผมก็เห็นใจคนหัวดีและคนเก่งกว่าว่า เขาตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แต่กลายเป็นต้องมาแพ้ให้กับระบบโควต้าที่ช่วยคนที่ห่วยกว่าตัวเอง หนทางที่ดีที่สุดของเรื่องลักษณะนี้ ผมเห็นด้วย 100% กับท่านผู้พิพากษาศาลสูงของอเมริกาชื่อ “ซานดร้า เดย์ โอคอนเนอร์” ท่านกล่าวว่า “Race-conscious admissions policies must be limited in time. The court expects that 25 years from now, the use of racial preferences will no longer be necessary" "นโยบายการเลือกรับคนโดยดูจากเชื้อชาตินั้นควรกำหนดกรอบเวลาไว้ ศาลหวังว่าในอีก 25 ปีจากนี้ไปนั้น เราไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเชื้อชาติมาร่วมพิจารณาอีกต่อไป“ ท่านบันทึกไว้ในปี 2003 ครับ เพราะผมเห็นด้วยกับที่มีคนเคยพูดว่า “กลุ่มคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือเป็นพิเศษหรือใช้ทางลัดมาตลอดชีวิตนั้น เมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องออกไปต่อสู้อย่างแฟร์ๆแล้ว คนพวกนี้ก็จะบอกว่า ”ฉันไม่ได้รับความยุติธรรม“ …ไม่ช่วยเลยก็น่าสงสาร ช่วยมากไปก็อ่อนแอ… ภาพประกอบไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องครับ ผมเห็นว่าสวยดีก็เลยโพสท์ไปด้วย 😉 นัทแนะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 415 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือ โลหะ (Metal) เล่ม 3 จากร้าน meb
    ความรู้เกี่ยวกับวัสดุที่เป็นโลหะ

    จำนวน 381 หน้า

    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน

    สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ
    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้
    นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ

    หนังสือ โลหะ (Metal) เขียน และเรียบเรียงออกมา ให้กับผู้อ่านที่สนใจในด้านงานช่าง, วิศวกรรม และเทคโนโลยี โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจบด้านเหล่านี้ แต่สนใจงานเกี่ยวกับโลหะที่เป็นเหล็ก และโลหะอื่น ๆ ที่จะได้กล่าวไว้

    ในเล่มนี้จะกล่าวถึง

    เรียนรู้ โครงสร้างผลึก, โครงสร้างจุลภาค, การปรับสภาพความร้อน, การชุบแข็ง ฯลฯ

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้

    ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ

    อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก

    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ

    I have a dream.
    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    ขอบคุณครับ
    T.M.E.

    คลิกได้ที่นี่
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijg3ODIyIjt9
    หนังสือ โลหะ (Metal) เล่ม 3 จากร้าน meb ความรู้เกี่ยวกับวัสดุที่เป็นโลหะ จำนวน 381 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ หนังสือ โลหะ (Metal) เขียน และเรียบเรียงออกมา ให้กับผู้อ่านที่สนใจในด้านงานช่าง, วิศวกรรม และเทคโนโลยี โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจบด้านเหล่านี้ แต่สนใจงานเกี่ยวกับโลหะที่เป็นเหล็ก และโลหะอื่น ๆ ที่จะได้กล่าวไว้ ในเล่มนี้จะกล่าวถึง เรียนรู้ โครงสร้างผลึก, โครงสร้างจุลภาค, การปรับสภาพความร้อน, การชุบแข็ง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง ขอบคุณครับ T.M.E. คลิกได้ที่นี่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijg3ODIyIjt9
    WWW.MEBMARKET.COM
    โลหะ เล่ม 3:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    โลหะ เล่ม 3:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือ โลหะ (Metal) เล่ม 3 จากร้าน meb
    ความรู้เกี่ยวกับวัสดุที่เป็นโลหะ

    จำนวน 381 หน้า

    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน

    สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ
    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้
    นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ

    หนังสือ โลหะ (Metal) เขียน และเรียบเรียงออกมา ให้กับผู้อ่านที่สนใจในด้านงานช่าง, วิศวกรรม และเทคโนโลยี โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจบด้านเหล่านี้ แต่สนใจงานเกี่ยวกับโลหะที่เป็นเหล็ก และโลหะอื่น ๆ ที่จะได้กล่าวไว้

    ในเล่มนี้จะกล่าวถึง

    เรียนรู้ โครงสร้างผลึก, โครงสร้างจุลภาค, การปรับสภาพความร้อน, การชุบแข็ง ฯลฯ

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้

    ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ

    อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก

    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ

    I have a dream.
    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    ขอบคุณครับ
    T.M.E.

    คลิกได้ที่นี่
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijg3ODIyIjt9
    หนังสือ โลหะ (Metal) เล่ม 3 จากร้าน meb ความรู้เกี่ยวกับวัสดุที่เป็นโลหะ จำนวน 381 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ หนังสือ โลหะ (Metal) เขียน และเรียบเรียงออกมา ให้กับผู้อ่านที่สนใจในด้านงานช่าง, วิศวกรรม และเทคโนโลยี โดยไม่จำเป็นที่จะต้องจบด้านเหล่านี้ แต่สนใจงานเกี่ยวกับโลหะที่เป็นเหล็ก และโลหะอื่น ๆ ที่จะได้กล่าวไว้ ในเล่มนี้จะกล่าวถึง เรียนรู้ โครงสร้างผลึก, โครงสร้างจุลภาค, การปรับสภาพความร้อน, การชุบแข็ง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง ขอบคุณครับ T.M.E. คลิกได้ที่นี่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjU6Ijg3ODIyIjt9
    WWW.MEBMARKET.COM
    โลหะ เล่ม 3:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    โลหะ เล่ม 3:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Bull Market” vs. “Bear Market”: What Do These Financial Terms Mean For Your Wallet?

    Financial jargon can be intimidating, and that’s especially true of the stock market terminology. But even if you’re not an investor, many of these terms can be relevant to your life due to their bearing on the larger economy. You’ve probably heard the terms bull market and bear market, but what exactly do they mean, and what’s the difference?

    In this article, we’ll explain bull markets and bear markets, the differences between them, and what they mean for everyone—not just stock traders.

    Quick summary

    The term bull market is applied to a market (especially a stock market) in which prices are, on average, rising. A bear market is the opposite—one in which prices are falling. At any given time, the market is usually described as one or the other—with bull and bear markets alternating as part of an ongoing cycle.

    What is a bull market?

    In discussions of the stock market and the greater economy, the term bull market is typically applied when prices on average are on the rise, or when they’re expected to rise. The terms bull market and bear market are most closely associated with the stock market, but they can also be used in the context of other markets, including those for real estate, currencies, and other commodities.

    Using the term bull market is informal—there’s no formal metric to measure or determine when a bull market is happening. Still, a 20% increase in prices is often used as the ballpark figure that indicates a bull market.

    Usually, a bull market happens when the economy is strong or getting stronger. High employment rates, high gross domestic product, and other measures of economic well being and stability are generally thought to correlate with bull markets.

    Bull markets are often categorized as secular (indicating a period of growth lasting more than five years) or cyclical (indicating a shorter-term period of growth).

    In the context of stocks and finance, the related adjective bullish can mean “rising in prices,” “characterized by favorable economic prospects,” or, more informally, “regarding a particular investment as potentially profitable,” as in We’re still bullish on treasury bonds.

    As a noun, bull can refer to a person who believes that market prices, especially of stocks, will increase.

    Why is it called a bull market?

    The first records of bull market and bullish in the context of finance and the stock market come from the late 1800s, but the noun use of bull in the context of stock investment—to refer to both a type of an investment and an investor—predates both. The origin of the use of the word bull in this way is uncertain. In general, the bull is associated with aggression and is known to charge forward, like a rising market. One explanation for the use of the word bull in bull market likens the upward swing of a bull market to the motion in which a bull may attack—by throwing its horns upward.

    What is a bear market?

    A bear market occurs when prices are falling, or when they’re expected to decrease. Like bull market, the term usually refers to the stock market, but it can also be used in the context of real estate, currencies, and other commodities. There’s no formal metric to measure when a bear market is happening, but a 20% decline in prices is sometimes used as the threshold.

    As you might expect, bear markets result from the opposite of the conditions thought to constitute or correlate with bull markets. Low economic stability and high unemployment, low gross domestic product, and low corporate profits are traditionally thought to correlate with the downturns associated with a bear market. Like bull markets, bear markets can be categorized as secular or cyclical.

    The related adjective bearish can mean “declining or tending toward a decline in prices” or “characterized by or reflecting unfavorable prospects for the economy or some aspect of it.” Or it can be used informally to mean “regarding a particular investment as poor or unprofitable,” as in We’re still bearish on treasury bonds.

    As a noun, bear can refer to a person who believes that market prices, especially of stocks, will decline.

    Why is it called a bear market?

    The noun use of bear in the context of the stock market to refer to types of investments or investors came before its use in bear market, but, like bullish, the origin of these senses is uncertain. In general, while bulls are known for charging aggression, bears—while fearsome—are especially associated with hibernation. This is one interpretation of the use of bear in bear market—likening the retreat of the market to a bear’s dormant period. Another interpretation is that a bear attacks by swiping downward—a motion likened to the downswing of a bear market.

    bear vs. bull market

    The difference between a bear market and a bull market is the direction of prices and the general success or health of the market. Simply put, it’s a bear market when prices are going up, and it’s a bull market when prices are going down.

    To remember which is which, remember that bulls are known for being aggressive and charging ahead, (like the prices in a rising market), while bears are known for hibernating (likened to how investors might scale back investments during market downturns).

    A few extreme examples of bear markets are the Great Recession around the 2008 financial crisis and the Great Depression, which roughly began with the stock market crash of 1929. In contrast, the post-World War II economic boom is considered an example of a bull market. But there are many other examples. That’s because at any given time the market is usually described as one or the other—meaning they alternate as part of an ongoing cycle.

    Stock investors have many strategies to try to profit from both increases and decreases in stock prices, which means that just because it’s a bear market doesn’t mean there’s not a lot of transactions happening.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    “Bull Market” vs. “Bear Market”: What Do These Financial Terms Mean For Your Wallet? Financial jargon can be intimidating, and that’s especially true of the stock market terminology. But even if you’re not an investor, many of these terms can be relevant to your life due to their bearing on the larger economy. You’ve probably heard the terms bull market and bear market, but what exactly do they mean, and what’s the difference? In this article, we’ll explain bull markets and bear markets, the differences between them, and what they mean for everyone—not just stock traders. Quick summary The term bull market is applied to a market (especially a stock market) in which prices are, on average, rising. A bear market is the opposite—one in which prices are falling. At any given time, the market is usually described as one or the other—with bull and bear markets alternating as part of an ongoing cycle. What is a bull market? In discussions of the stock market and the greater economy, the term bull market is typically applied when prices on average are on the rise, or when they’re expected to rise. The terms bull market and bear market are most closely associated with the stock market, but they can also be used in the context of other markets, including those for real estate, currencies, and other commodities. Using the term bull market is informal—there’s no formal metric to measure or determine when a bull market is happening. Still, a 20% increase in prices is often used as the ballpark figure that indicates a bull market. Usually, a bull market happens when the economy is strong or getting stronger. High employment rates, high gross domestic product, and other measures of economic well being and stability are generally thought to correlate with bull markets. Bull markets are often categorized as secular (indicating a period of growth lasting more than five years) or cyclical (indicating a shorter-term period of growth). In the context of stocks and finance, the related adjective bullish can mean “rising in prices,” “characterized by favorable economic prospects,” or, more informally, “regarding a particular investment as potentially profitable,” as in We’re still bullish on treasury bonds. As a noun, bull can refer to a person who believes that market prices, especially of stocks, will increase. Why is it called a bull market? The first records of bull market and bullish in the context of finance and the stock market come from the late 1800s, but the noun use of bull in the context of stock investment—to refer to both a type of an investment and an investor—predates both. The origin of the use of the word bull in this way is uncertain. In general, the bull is associated with aggression and is known to charge forward, like a rising market. One explanation for the use of the word bull in bull market likens the upward swing of a bull market to the motion in which a bull may attack—by throwing its horns upward. What is a bear market? A bear market occurs when prices are falling, or when they’re expected to decrease. Like bull market, the term usually refers to the stock market, but it can also be used in the context of real estate, currencies, and other commodities. There’s no formal metric to measure when a bear market is happening, but a 20% decline in prices is sometimes used as the threshold. As you might expect, bear markets result from the opposite of the conditions thought to constitute or correlate with bull markets. Low economic stability and high unemployment, low gross domestic product, and low corporate profits are traditionally thought to correlate with the downturns associated with a bear market. Like bull markets, bear markets can be categorized as secular or cyclical. The related adjective bearish can mean “declining or tending toward a decline in prices” or “characterized by or reflecting unfavorable prospects for the economy or some aspect of it.” Or it can be used informally to mean “regarding a particular investment as poor or unprofitable,” as in We’re still bearish on treasury bonds. As a noun, bear can refer to a person who believes that market prices, especially of stocks, will decline. Why is it called a bear market? The noun use of bear in the context of the stock market to refer to types of investments or investors came before its use in bear market, but, like bullish, the origin of these senses is uncertain. In general, while bulls are known for charging aggression, bears—while fearsome—are especially associated with hibernation. This is one interpretation of the use of bear in bear market—likening the retreat of the market to a bear’s dormant period. Another interpretation is that a bear attacks by swiping downward—a motion likened to the downswing of a bear market. bear vs. bull market The difference between a bear market and a bull market is the direction of prices and the general success or health of the market. Simply put, it’s a bear market when prices are going up, and it’s a bull market when prices are going down. To remember which is which, remember that bulls are known for being aggressive and charging ahead, (like the prices in a rising market), while bears are known for hibernating (likened to how investors might scale back investments during market downturns). A few extreme examples of bear markets are the Great Recession around the 2008 financial crisis and the Great Depression, which roughly began with the stock market crash of 1929. In contrast, the post-World War II economic boom is considered an example of a bull market. But there are many other examples. That’s because at any given time the market is usually described as one or the other—meaning they alternate as part of an ongoing cycle. Stock investors have many strategies to try to profit from both increases and decreases in stock prices, which means that just because it’s a bear market doesn’t mean there’s not a lot of transactions happening. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 482 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใหญ่คับจักรวาล!!
    สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติอนุมัติร่างกฎหมายในการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในวันนี้ เพื่อเป็นการประท้วงต่อการที่ ICC ออกหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล

    ร่างกฎหมาย "Illegitimate Court Counteraction Act" ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 243 ต่อ 140 เสียง ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งแกร่ง! ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว

    สาระสำคัญบางส่วนของกฎหมายดังกล่าว จะมีการเสนอให้ลงโทษชาวต่างชาติที่ช่วยเหลือ ICC ในการพยายามสืบสวน กักขัง หรือดำเนินคดีกับพลเมืองสหรัฐฯ หรือพลเมืองของประเทศพันธมิตรที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาล

    การลงโทษดังกล่าวรวมถึงการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนการปฏิเสธการออกวีซ่าให้กับบุคคลเหล่านี้

    “อเมริกากำลังผ่านกฎหมายที่สำคัญฉบับนี้ เพราะศาลเตี้ยกำลังพยายามจับกุมนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ของเรา” ส.ส. ไบรอัน แมสต์ ประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวในการปราศรัยก่อนการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดี

    จอห์น ธูน (John Thune) วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเสียงข้างมาก ให้คำมั่นว่าจะพิจารณากฎหมายดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทรัมป์สามารถลงนามเป็นกฎหมายได้หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม

    เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับเนทันยาฮูและกัลแลนต์ ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ โดยตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งในเดือนตุลาคม 2023 ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 46,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติได้ประณามวิธีการของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่า "สอดคล้องกับลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

    ในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นสมัยแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เขาเคยลงโทษผู้นำระดับสูงของศาลอาญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการสืบสวนอาชญากรรมของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน
    ใหญ่คับจักรวาล!! สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติอนุมัติร่างกฎหมายในการคว่ำบาตรศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในวันนี้ เพื่อเป็นการประท้วงต่อการที่ ICC ออกหมายจับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ร่างกฎหมาย "Illegitimate Court Counteraction Act" ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 243 ต่อ 140 เสียง ซึ่งถือเป็นสัญญาณของการสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งแกร่ง! ซึ่งขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาแล้ว สาระสำคัญบางส่วนของกฎหมายดังกล่าว จะมีการเสนอให้ลงโทษชาวต่างชาติที่ช่วยเหลือ ICC ในการพยายามสืบสวน กักขัง หรือดำเนินคดีกับพลเมืองสหรัฐฯ หรือพลเมืองของประเทศพันธมิตรที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาล การลงโทษดังกล่าวรวมถึงการอายัดทรัพย์สิน ตลอดจนการปฏิเสธการออกวีซ่าให้กับบุคคลเหล่านี้ “อเมริกากำลังผ่านกฎหมายที่สำคัญฉบับนี้ เพราะศาลเตี้ยกำลังพยายามจับกุมนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ของเรา” ส.ส. ไบรอัน แมสต์ ประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวในการปราศรัยก่อนการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดี จอห์น ธูน (John Thune) วุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำเสียงข้างมาก ให้คำมั่นว่าจะพิจารณากฎหมายดังกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทรัมป์สามารถลงนามเป็นกฎหมายได้หลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับเนทันยาฮูและกัลแลนต์ ในข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ โดยตั้งแต่เริ่มต้นความขัดแย้งในเดือนตุลาคม 2023 ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 46,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติได้ประณามวิธีการของอิสราเอลในฉนวนกาซาว่า "สอดคล้องกับลักษณะของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ในช่วงปี 2020 ซึ่งเป็นสมัยแรกในตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เขาเคยลงโทษผู้นำระดับสูงของศาลอาญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการสืบสวนอาชญากรรมของสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 711 มุมมอง 0 รีวิว
  • You Don’t Always Have To Use “But”

    The word but is a useful word that often ominously precedes a lot of bad news or tough criticism. But is a word that appears in many of our sentences and is one of the most commonly used words in the English language. But–and this is a big but–we might be overusing the word just a bit. It makes sense why we would overlay on but; after all, it is a short little word that can easily connect sentences together. However, there are so many other words and phrases that sadly aren’t getting to shine with but hogging all the spotlight. The word but may not like it, but it is time for but to butt out and let someone else slip into our sentences for a little while.

    What does but mean, and why do we use it so much?

    The word but is often used in two major ways: to express a contrast or to express an exception. The sentence Jenny is tall, but her parents are short is an example of but used to show contrast; Jenny’s height is totally different from her parents’. The sentence Everyone but Rahul was right-handed shows how but is used to express exception; Rahul is the only left-handed person, which makes him unique from everybody else.

    In addition to having these two very common uses, the word but is also one of the seven coordinating conjunctions. In short, coordinating conjunctions allow us to easily connect independent sentences by simply using a comma. For example, we can combine the two shorter sentences Rabbits are fast and Turtles are slow into the larger sentence Rabbits are fast, but turtles are slow. This is a fairly easy way of combining sentences, so we often rely on but to join sentences together.

    That isn’t all, though. Besides its big job as a conjunction, but can also be used as a preposition as in We tried everything but the kitchen sink or as an adverb as in There is but one road that leads to safety. With how versatile and useful the word but is, it is no wonder that we might overwork it sometimes!

    Examples of but in sentences

    The following examples show some of the different ways we often use but in sentences:

    - I thought the book was really boring, but everyone else liked it.
    - Nobody but Camila was able to last more than five minutes in the cold water.
    - We could do nothing but stare in horror as the sandcastle collapsed.
    - She knew of only but one way to calm the crowd: Karaoke!

    Alternatives of contrast

    The first major way we use but is to show contrast, contradiction, or opposition. Luckily for us, there are plenty of other words we can use to show relationships like these. In fact, we can find one among but’s coordinating conjunction friends in the word yet. Because yet is also a coordinating conjunction, we can swap it in for but without even needing to change the sentence. For example:

    • We need a new car, but we can’t afford one.
    • We need a new car, yet we can’t afford one.

    While yet is an easy substitution for but to mean contrast, it isn’t the only option. Some other useful words and phrases that can fill in this role include:

    • although, despite, however, nevertheless, nonetheless, notwithstanding, still, though, even though, on the other hand

    Typically, we can use one of the above words/phrases in place of but while only making small changes to our sentences and without changing the sentence’s meaning. For example:

    • The flight is on Saturday, but it might be delayed because of snow.
    • The flight is on Saturday. However, it might be delayed because of snow.

    Make the swap

    The following pairs of sentences show how we can express a contrast by first using but and then by swapping it out for a similar word. Notice that the new sentences still express the same meaning.

    • The painting looks great, but something is still missing.
    • The painting looks great, yet something is still missing.

    • The soldiers were heavily outnumbered, but they stood their ground anyway.
    • The soldiers were heavily outnumbered. Nevertheless, they stood their ground anyway.

    • Jessie and James act mean, but they are good people at heart.
    • Jessie and James act mean. Still, they are good people at heart.

    Alternatives of exception

    The second major way that we use but is to express an exception. Again, we have a variety of different words and phrases with the same meaning that we can use to give but a break. Some of these words include:

    • except, barring, save, without, excluding, minus, disregarding, omitting, aside from, not including, other than, apart from, leaving out

    Most of the time, we can even substitute one of these words/phrases into a sentence without needing to change anything else. For example:

    • Every student but Ryan enjoys basketball.
    • Every student except Ryan enjoys basketball.

    Make the swap

    The following pairs of sentences show how we can state exceptions by first using but and then swapping it out for a similar word or phrase. Take note that the meaning of the sentence doesn’t change.

    • All the animals but the tigers are sleeping.
    • All the animals apart from the tigers are sleeping.

    • I like all flavors of ice cream but mint.
    • I like all flavors of ice cream other than mint.

    • Every guard was loyal but one.
    • Every guard was loyal, save one.

    Change the sentence

    It might be the case that the word but is just not the word we were looking for. In that case, we may need to take more drastic action and really change up a sentence. We might exchange but for a different word that alters the meaning of the sentence or even rewrite our sentences entirely.

    Sometimes, we may want to frame our sentence in a way in which we don’t put two things in opposition or contrast, even if they are different. For example, we may just want to present two different options or state two different but equally important opinions.

    Whatever our reasons, we have several different ways we could get but out of the sentence. The simplest way, which often won’t involve changing a sentence too much, is to swap out but for one of the other coordinating conjunctions. For example:

    • I like dogs, but I don’t like cats. (Two opposing thoughts.)
    • I like dogs, and I don’t like cats. (Two equal, different thoughts.)

    • She might win big, but she might lose it all. (Two contrasting thoughts.)
    • She might win big, or she might lose it all. (Two alternative outcomes.)

    If we can’t use a different coordinating conjunction, we will often need to make more significant changes to our sentences in order to follow proper grammar. So, we might use a subordinating conjunction or split our clauses apart into separate sentences. For example:

    • We wanted to go to the beach, but it rained all day.
    • We didn’t go to the beach because it rained all day.

    • Keith needed new shoes, but he couldn’t afford them.
    • Keith needed new shoes. However, he couldn’t afford them.

    Examples

    Let’s look at different ways we can take but out of a sentence. You’ll notice that some of the sentences will change their grammar or even their meaning after but is replaced.

    • Jason lives at Camp Crystal Lake, but he doesn’t work there.
    • Jason lives at Camp Crystal Lake, and he doesn’t work there.

    • She wants a new pony, but only if she can name it Pinkie Pie.
    • She wants a new pony under the condition that she can name it Pinkie Pie.

    • I didn’t practice much, but I won the game anyway.
    • Despite the fact that I didn’t practice much, I won the game anyway.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    You Don’t Always Have To Use “But” The word but is a useful word that often ominously precedes a lot of bad news or tough criticism. But is a word that appears in many of our sentences and is one of the most commonly used words in the English language. But–and this is a big but–we might be overusing the word just a bit. It makes sense why we would overlay on but; after all, it is a short little word that can easily connect sentences together. However, there are so many other words and phrases that sadly aren’t getting to shine with but hogging all the spotlight. The word but may not like it, but it is time for but to butt out and let someone else slip into our sentences for a little while. What does but mean, and why do we use it so much? The word but is often used in two major ways: to express a contrast or to express an exception. The sentence Jenny is tall, but her parents are short is an example of but used to show contrast; Jenny’s height is totally different from her parents’. The sentence Everyone but Rahul was right-handed shows how but is used to express exception; Rahul is the only left-handed person, which makes him unique from everybody else. In addition to having these two very common uses, the word but is also one of the seven coordinating conjunctions. In short, coordinating conjunctions allow us to easily connect independent sentences by simply using a comma. For example, we can combine the two shorter sentences Rabbits are fast and Turtles are slow into the larger sentence Rabbits are fast, but turtles are slow. This is a fairly easy way of combining sentences, so we often rely on but to join sentences together. That isn’t all, though. Besides its big job as a conjunction, but can also be used as a preposition as in We tried everything but the kitchen sink or as an adverb as in There is but one road that leads to safety. With how versatile and useful the word but is, it is no wonder that we might overwork it sometimes! Examples of but in sentences The following examples show some of the different ways we often use but in sentences: - I thought the book was really boring, but everyone else liked it. - Nobody but Camila was able to last more than five minutes in the cold water. - We could do nothing but stare in horror as the sandcastle collapsed. - She knew of only but one way to calm the crowd: Karaoke! Alternatives of contrast The first major way we use but is to show contrast, contradiction, or opposition. Luckily for us, there are plenty of other words we can use to show relationships like these. In fact, we can find one among but’s coordinating conjunction friends in the word yet. Because yet is also a coordinating conjunction, we can swap it in for but without even needing to change the sentence. For example: • We need a new car, but we can’t afford one. • We need a new car, yet we can’t afford one. While yet is an easy substitution for but to mean contrast, it isn’t the only option. Some other useful words and phrases that can fill in this role include: • although, despite, however, nevertheless, nonetheless, notwithstanding, still, though, even though, on the other hand Typically, we can use one of the above words/phrases in place of but while only making small changes to our sentences and without changing the sentence’s meaning. For example: • The flight is on Saturday, but it might be delayed because of snow. • The flight is on Saturday. However, it might be delayed because of snow. Make the swap The following pairs of sentences show how we can express a contrast by first using but and then by swapping it out for a similar word. Notice that the new sentences still express the same meaning. • The painting looks great, but something is still missing. • The painting looks great, yet something is still missing. • The soldiers were heavily outnumbered, but they stood their ground anyway. • The soldiers were heavily outnumbered. Nevertheless, they stood their ground anyway. • Jessie and James act mean, but they are good people at heart. • Jessie and James act mean. Still, they are good people at heart. Alternatives of exception The second major way that we use but is to express an exception. Again, we have a variety of different words and phrases with the same meaning that we can use to give but a break. Some of these words include: • except, barring, save, without, excluding, minus, disregarding, omitting, aside from, not including, other than, apart from, leaving out Most of the time, we can even substitute one of these words/phrases into a sentence without needing to change anything else. For example: • Every student but Ryan enjoys basketball. • Every student except Ryan enjoys basketball. Make the swap The following pairs of sentences show how we can state exceptions by first using but and then swapping it out for a similar word or phrase. Take note that the meaning of the sentence doesn’t change. • All the animals but the tigers are sleeping. • All the animals apart from the tigers are sleeping. • I like all flavors of ice cream but mint. • I like all flavors of ice cream other than mint. • Every guard was loyal but one. • Every guard was loyal, save one. Change the sentence It might be the case that the word but is just not the word we were looking for. In that case, we may need to take more drastic action and really change up a sentence. We might exchange but for a different word that alters the meaning of the sentence or even rewrite our sentences entirely. Sometimes, we may want to frame our sentence in a way in which we don’t put two things in opposition or contrast, even if they are different. For example, we may just want to present two different options or state two different but equally important opinions. Whatever our reasons, we have several different ways we could get but out of the sentence. The simplest way, which often won’t involve changing a sentence too much, is to swap out but for one of the other coordinating conjunctions. For example: • I like dogs, but I don’t like cats. (Two opposing thoughts.) • I like dogs, and I don’t like cats. (Two equal, different thoughts.) • She might win big, but she might lose it all. (Two contrasting thoughts.) • She might win big, or she might lose it all. (Two alternative outcomes.) If we can’t use a different coordinating conjunction, we will often need to make more significant changes to our sentences in order to follow proper grammar. So, we might use a subordinating conjunction or split our clauses apart into separate sentences. For example: • We wanted to go to the beach, but it rained all day. • We didn’t go to the beach because it rained all day. • Keith needed new shoes, but he couldn’t afford them. • Keith needed new shoes. However, he couldn’t afford them. Examples Let’s look at different ways we can take but out of a sentence. You’ll notice that some of the sentences will change their grammar or even their meaning after but is replaced. • Jason lives at Camp Crystal Lake, but he doesn’t work there. • Jason lives at Camp Crystal Lake, and he doesn’t work there. • She wants a new pony, but only if she can name it Pinkie Pie. • She wants a new pony under the condition that she can name it Pinkie Pie. • I didn’t practice much, but I won the game anyway. • Despite the fact that I didn’t practice much, I won the game anyway. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • มอลโดวากลายเป็นประเทศแรกที่ต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงาน หลังจากเซเลนสกียุติการจ่ายก๊าซของรัสเซียไปยังยุโรป

    - การตัดก๊าซของยูเครนไม่เพียงแต่สร้างวิกฤตให้กับมอลโดวาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐทรานส์นีสเตรีย รัฐอิสระซึ่งแยกตัวออกจากมอลโดวาอีกด้วย

    - ทั้งมอลโดวาและรัฐทรานส์นีสเตรีย ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ระบบทำความร้อนและน้ำร้อนหยุดให้บริการ จะคงมีเฉพาะหน่วยงานที่จำเป็นเท่านั้น

    - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES (Thermal Power Station) ซึ่งตั้งอยู่ในทรานส์นีสเตรีย เดิมทีรับก๊าซจากยูเครนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ได้หันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทน ทำให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอที่จะจ่ายให้กับมอลโดวาได้อีกต่อไป

    - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,720 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าโรงไฟฟ้าอื่นๆในมอลโดวาอย่างมาก โรงไฟฟ้าแห่งนี้ส่งไฟฟ้าให้กับมอลโดวามากถึง 80%

    - มอลโดวาต้องเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากโรมาเนียแทน แน่นอนว่ามันจะมีราคาแพงกว่าในปัจจุบันอย่างมาก ส่งผลให้ราคาผู้บริโภคสูงขึ้น และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการเลือกตั้งรัฐสภาในปี 2025 พรรค Action and Solidarity ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากไว้ได้

    - นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า Moldavskaya GRES ที่อยู่ในทรานส์นีสเตรียจะสามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ภายในรัฐของตนเองได้เพียง 50-52 วันเท่านั้น เนื่องจากเชื้อเพลิงถ่านหินมีจำกัด

    - อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายูเครนจะไม่ได้หยุดจ่ายก๊าซ แต่ Gazprom ของรัสเซียก็จะเป็นฝ่ายหยุดจ่ายก๊าซให้กับมอลโดวาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เช่นกัน เนื่องจากปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าก๊าซค้างจ่าย โดยที่มอลโดวาปฏิเสธที่จะจ่ายค่าก๊าซ ซึ่งพวกเขาอ้างว่ามีหนี้ค้างชำระเพียง 8.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ไม่ใช่ 730 ล้านดอลลาร์ ตามที่ Gazprom ระบุ
    มอลโดวากลายเป็นประเทศแรกที่ต้องเผชิญกับวิกฤตพลังงาน หลังจากเซเลนสกียุติการจ่ายก๊าซของรัสเซียไปยังยุโรป - การตัดก๊าซของยูเครนไม่เพียงแต่สร้างวิกฤตให้กับมอลโดวาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐทรานส์นีสเตรีย รัฐอิสระซึ่งแยกตัวออกจากมอลโดวาอีกด้วย - ทั้งมอลโดวาและรัฐทรานส์นีสเตรีย ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน ระบบทำความร้อนและน้ำร้อนหยุดให้บริการ จะคงมีเฉพาะหน่วยงานที่จำเป็นเท่านั้น - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES (Thermal Power Station) ซึ่งตั้งอยู่ในทรานส์นีสเตรีย เดิมทีรับก๊าซจากยูเครนเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ได้หันมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทน ทำให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากพอที่จะจ่ายให้กับมอลโดวาได้อีกต่อไป - โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน Moldavskaya GRES มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1,720 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าโรงไฟฟ้าอื่นๆในมอลโดวาอย่างมาก โรงไฟฟ้าแห่งนี้ส่งไฟฟ้าให้กับมอลโดวามากถึง 80% - มอลโดวาต้องเปลี่ยนมาใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าจากโรมาเนียแทน แน่นอนว่ามันจะมีราคาแพงกว่าในปัจจุบันอย่างมาก ส่งผลให้ราคาผู้บริโภคสูงขึ้น และคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการเลือกตั้งรัฐสภาในปี 2025 พรรค Action and Solidarity ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลดูเหมือนว่าจะไม่สามารถรักษาเสียงข้างมากไว้ได้ - นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า Moldavskaya GRES ที่อยู่ในทรานส์นีสเตรียจะสามารถผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ภายในรัฐของตนเองได้เพียง 50-52 วันเท่านั้น เนื่องจากเชื้อเพลิงถ่านหินมีจำกัด - อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายูเครนจะไม่ได้หยุดจ่ายก๊าซ แต่ Gazprom ของรัสเซียก็จะเป็นฝ่ายหยุดจ่ายก๊าซให้กับมอลโดวาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เช่นกัน เนื่องจากปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าก๊าซค้างจ่าย โดยที่มอลโดวาปฏิเสธที่จะจ่ายค่าก๊าซ ซึ่งพวกเขาอ้างว่ามีหนี้ค้างชำระเพียง 8.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ไม่ใช่ 730 ล้านดอลลาร์ ตามที่ Gazprom ระบุ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • Discover The Inner Labyrinth: A Gateway to Humanity’s Next Frontier

    The release of The Inner Labyrinth: Short Stories of Human Secrets marks not only the culmination of a profound storytelling endeavor but also the beginning of a conversation about the foundations of human knowledge that will shape the next 2,000–3,000 years. This collection of short stories doesn’t merely entertain—it challenges readers to navigate the intricate pathways of their own thoughts, emotions, and beliefs, laying the groundwork for the emerging discipline of Frontier Science as written in What is Life? by Unyanee Mooksombud and Ekarach Chandon.

    How does The Inner Labyrinth connect to the future of human knowledge?

    The stories invite readers to examine their internal labyrinths—constructed by societal norms, invisible cages of thought, and inherited paradigms like competition, individuality, and moral responsibility. By uncovering these invisible structures, the book equips readers to rethink their place in the universe, much like What is Life?: Beyond the Horizon redefined the boundaries of science by asking: What does it mean to live and grow within a universe governed by laws we are only beginning to understand?

    From Literature to Frontier Science

    While The Inner Labyrinth dissects the human condition through vivid narratives, Frontier Science provides a framework for transcending those conditions. Together, they form a continuum:
    The Inner Labyrinth reveals the "invisible cages" of our current understanding—competition, ignorance, and irresponsibility—and invites readers to explore a deeper truth about human existence.

    What is Life?: Beyond the Horizon expands this conversation to the universal scale, laying a scientific and philosophical foundation for answering humanity’s most profound questions.
    Both works converge on a single, essential idea: The key to understanding life, civilization, and progress lies not in conquest but in integration—of ourselves, our surroundings, and the systems that bind us.

    Why Now?

    We are at the brink of what may be humanity’s most transformative period. The knowledge we generate and the questions we dare to ask today will determine the trajectory of civilization for millennia. The Inner Labyrinth is not just a collection of stories—it is a mirror, reflecting our deepest fears and aspirations. It is the perfect entry point for anyone looking to engage with Frontier Science and lay the intellectual and emotional groundwork for the next era of human understanding.

    Ready to Begin?

    And today, The Inner Labyrinth: Short Stories of Human Secrets is ready to guide you on a journey into your own inner labyrinth. Start your exploration here: The Inner Labyrinth on Amazon. https://www.amazon.com/dp/B0DRQZD58G

    For those curious to delve further into the concepts of Frontier Science, pick up What is Life?: Beyond the Horizon by Unyanee Mooksombud and Ekarach Chandon, available here: What is Life? on Amazon. https://www.amazon.com/dp/B0DK5S9RB2

    This is more than a book—it is a call to action, an invitation to explore life’s biggest questions, and the start of a journey that could redefine what it means to be human.
    Discover The Inner Labyrinth: A Gateway to Humanity’s Next Frontier The release of The Inner Labyrinth: Short Stories of Human Secrets marks not only the culmination of a profound storytelling endeavor but also the beginning of a conversation about the foundations of human knowledge that will shape the next 2,000–3,000 years. This collection of short stories doesn’t merely entertain—it challenges readers to navigate the intricate pathways of their own thoughts, emotions, and beliefs, laying the groundwork for the emerging discipline of Frontier Science as written in What is Life? by Unyanee Mooksombud and Ekarach Chandon. How does The Inner Labyrinth connect to the future of human knowledge? The stories invite readers to examine their internal labyrinths—constructed by societal norms, invisible cages of thought, and inherited paradigms like competition, individuality, and moral responsibility. By uncovering these invisible structures, the book equips readers to rethink their place in the universe, much like What is Life?: Beyond the Horizon redefined the boundaries of science by asking: What does it mean to live and grow within a universe governed by laws we are only beginning to understand? From Literature to Frontier Science While The Inner Labyrinth dissects the human condition through vivid narratives, Frontier Science provides a framework for transcending those conditions. Together, they form a continuum: The Inner Labyrinth reveals the "invisible cages" of our current understanding—competition, ignorance, and irresponsibility—and invites readers to explore a deeper truth about human existence. What is Life?: Beyond the Horizon expands this conversation to the universal scale, laying a scientific and philosophical foundation for answering humanity’s most profound questions. Both works converge on a single, essential idea: The key to understanding life, civilization, and progress lies not in conquest but in integration—of ourselves, our surroundings, and the systems that bind us. Why Now? We are at the brink of what may be humanity’s most transformative period. The knowledge we generate and the questions we dare to ask today will determine the trajectory of civilization for millennia. The Inner Labyrinth is not just a collection of stories—it is a mirror, reflecting our deepest fears and aspirations. It is the perfect entry point for anyone looking to engage with Frontier Science and lay the intellectual and emotional groundwork for the next era of human understanding. Ready to Begin? And today, The Inner Labyrinth: Short Stories of Human Secrets is ready to guide you on a journey into your own inner labyrinth. Start your exploration here: The Inner Labyrinth on Amazon. https://www.amazon.com/dp/B0DRQZD58G For those curious to delve further into the concepts of Frontier Science, pick up What is Life?: Beyond the Horizon by Unyanee Mooksombud and Ekarach Chandon, available here: What is Life? on Amazon. https://www.amazon.com/dp/B0DK5S9RB2 This is more than a book—it is a call to action, an invitation to explore life’s biggest questions, and the start of a journey that could redefine what it means to be human.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 390 มุมมอง 0 รีวิว
  • 10 Conversational Tips That Take The Stress Out Of Small Talk

    We’ve all been there: you’re at a party and trying to find an “in” to start an engaging conversation with someone you just met. Or, maybe it’s a professional conference, and you want to make an impression on a new contact you’d love to have in your network. You want to say the right thing, but your mind feels blank, like you’ve completely forgotten how to communicate with other human beings.

    Making small talk is a skill, and it’s not easy, but the good news is that there’s always time to learn. Think about the conversations you have with the people you like and know well. When talking with these people, you likely practice good conversational skills without even realizing it, like:

    Listening attentively.
    Being present.
    Trying not to repeat yourself.
    Showing interest.
    Going with the flow.

    The trick to making great small talk is to find ways to call upon those same friendly conversational skills, even when you’re speaking with someone you don’t know well, in a brand-new environment, or in an awkward or high-pressure situation. How do you do that? We’ve got your back. Here are 10 tips to improve your small talk game and make it look easy.

    1. Start with an introduction. Sometimes the best way to break the ice is simply to introduce yourself.

    “Hi, I’m Pete, the groom’s brother. How do you know the couple?”
    “I’m Allison Smith, the head of sales at Office Corp. What company are you representing?”
    “My name’s Lupita. I’m in the theater program here at NYU. What’s your major?”
    It seems easy, but you’d be surprised how quickly people can forget a simple introduction when they’re fumbling for the best thing to say. If you start with your name and some information related to the event or something you might have in common, you create opportunities to learn something about them, which can help you launch effortlessly into a longer conversation.

    2. Have some topics in the bank.

    It’s easy for your mind to go blank when you’re asked a question about yourself or trying to pull topics out of thin air, so make sure you always show up prepared. Think of three to five interesting things you’ve done recently that might make good conversation starters, such as:

    A new restaurant you’ve tried.
    A book you loved.
    A movie you’re really excited about.
    The last trip you took.
    What you did over the weekend.
    Your most recent professional development opportunity.
    Your favorite hobby.
    The unique origins of pasta names. (Well, we like dictionary talk …)
    While you’re at it, brush up on current events that might be interesting to discuss. If you’re attending a work event, make sure you’re up-to-date on the latest industry news and goings-on at your company.

    3. Use open-ended questions.

    Asking a “yes or no” question is one of the fastest ways to kill a conversation because it doesn’t give you anything to build on. Instead, try to ask open-ended questions. These are questions that can’t be answered with a single word, and that means the other person has to expand on what they’re saying, giving you plenty of opportunities to latch onto something they say and keep the words flowing.

    4. Agree, then add something.

    If you’re at an event and someone makes an observation about your surroundings, the host, or even something totally unrelated, go with it. Their statement can be a good opportunity to add your own observations, establish a connection, and move forward into a conversation. First, affirm what they’ve said, then add your own take, and follow it up with an open-ended question that leaves room to move to a new topic. Here’s how it might look in action:

    Them: “This signature cocktail is pretty good, huh?”
    You: “It is. It really complements the appetizers. Have you tried them yet?”

    If you don’t happen to agree with what they’ve said, that’s okay! You can still politely acknowledge it and forge ahead.

    Them: “This signature cocktail is pretty good, huh?”
    You: “It’s very unique. My attention has been on the appetizers. Have you tried them yet?”

    5. Be complimentary.

    If you want to seem friendly and approachable, find nice things to say about others. (We happen to have some helpful synonyms for the word nice and tips for delivering sincere compliments.) People are more likely to be drawn to you if you’re open about pointing out how funny something they said was, how much you admire their sense of style, or how interested you are in their work. Compliments can also be a way to begin a conversation. Try something like this:

    “I just had to tell you, I love that tie! It’s so bold. I’m Eric, by the way. What’s your name?”
    “Dr. Stein, I’m Lexi Jones. I’m so thrilled to meet you. Your book was fascinating. Are you studying anything new?”
    “I’m Shawn. My sister said you’re an amazing artist. I’m so glad we ended up at the same table. Tell me about your work.”

    6. Let them teach you something.

    No one is an expert on every topic. If they mention something you don’t know much about, don’t let the conversation die there. Use it as an opportunity for conversation. People love to talk about themselves and things they’re passionate about, so express your curiosity and allow them to share more knowledge with you. Here are some ideas for how to do this:

    “I’ve never been fly-fishing before. What is it like?”
    “I’m not familiar with that program yet. Is it difficult to learn?”
    “I’ve been meaning to check out that band. Which album should I start with?”

    7. Use the ARE method.

    If you’re the kind of person who wishes there was an easy equation for small talk, we have good news. Some psychologists recommend the ARE method. ARE stands for anchor, reveal, and encourage.

    First, anchor yourself and the other person in the moment by making an observation about your shared location or experience. Next, reveal something about yourself in relation to the anchor, like how it makes you feel, something you’ve noticed, or something you’re interested in or excited about. Lastly, encourage participation from the other person by asking a related question. It will look like this:

    Anchor: “There are so many new faces at the conference this year.”
    Reveal: “I’m really inspired by all of the talent here.”
    Encourage: “Have you met anyone interesting so far?”

    8. Be real with it.

    If you’re feeling rusty at small talk, guess what? You are not alone. Most people struggle with talking to and getting to know new people, and it’s okay to admit that it’s hard. If you express that you’re not very good at small talk or feeling nervous in the situation, many people will find this relatable and it can start the conversation—which is the goal! It can be as simple as saying something like:

    “I’m terrible at small talk, but I’m really interested in speaking with you.”
    “I apologize in advance for any awkwardness. Small talk isn’t my strong suit, but I’m really curious about your work.”
    “Nothing like trying to make small talk with a table full of strangers, huh? How’s your night going?”

    9. Have an exit strategy.

    Sometimes you just need to get away. That’s okay. Making a smooth exit is also a part of being skilled at small talk. You could excuse yourself to the restroom or the buffet, but the easiest way to get out of a conversation is to be polite and direct. Let them know you enjoyed speaking with them and that you’re going to direct your attention to something else now.

    “It was lovely meeting you. I’m going to refresh my drink and check in with the host.”
    “Excuse me, but I just saw someone I need to speak with. It was nice chatting with you.”
    “I’m so glad we met. I hope to run into you again later on.”

    10. Practice often.

    For many of us, hating small talk also means avoiding it at all costs. The only problem is, this makes small talk harder when it can’t be avoided. Instead of fleeing from every situation that might require you to banter with strangers, try to see those as opportunities for more practice.

    Most small talk conversations have fairly low stakes. Practice introducing yourself, asking a few questions about the other person, and politely excusing yourself after a few moments. Before you know it, you’ll be a pro, and awkward silences will be a thing of the past.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    10 Conversational Tips That Take The Stress Out Of Small Talk We’ve all been there: you’re at a party and trying to find an “in” to start an engaging conversation with someone you just met. Or, maybe it’s a professional conference, and you want to make an impression on a new contact you’d love to have in your network. You want to say the right thing, but your mind feels blank, like you’ve completely forgotten how to communicate with other human beings. Making small talk is a skill, and it’s not easy, but the good news is that there’s always time to learn. Think about the conversations you have with the people you like and know well. When talking with these people, you likely practice good conversational skills without even realizing it, like: Listening attentively. Being present. Trying not to repeat yourself. Showing interest. Going with the flow. The trick to making great small talk is to find ways to call upon those same friendly conversational skills, even when you’re speaking with someone you don’t know well, in a brand-new environment, or in an awkward or high-pressure situation. How do you do that? We’ve got your back. Here are 10 tips to improve your small talk game and make it look easy. 1. Start with an introduction. Sometimes the best way to break the ice is simply to introduce yourself. “Hi, I’m Pete, the groom’s brother. How do you know the couple?” “I’m Allison Smith, the head of sales at Office Corp. What company are you representing?” “My name’s Lupita. I’m in the theater program here at NYU. What’s your major?” It seems easy, but you’d be surprised how quickly people can forget a simple introduction when they’re fumbling for the best thing to say. If you start with your name and some information related to the event or something you might have in common, you create opportunities to learn something about them, which can help you launch effortlessly into a longer conversation. 2. Have some topics in the bank. It’s easy for your mind to go blank when you’re asked a question about yourself or trying to pull topics out of thin air, so make sure you always show up prepared. Think of three to five interesting things you’ve done recently that might make good conversation starters, such as: A new restaurant you’ve tried. A book you loved. A movie you’re really excited about. The last trip you took. What you did over the weekend. Your most recent professional development opportunity. Your favorite hobby. The unique origins of pasta names. (Well, we like dictionary talk …) While you’re at it, brush up on current events that might be interesting to discuss. If you’re attending a work event, make sure you’re up-to-date on the latest industry news and goings-on at your company. 3. Use open-ended questions. Asking a “yes or no” question is one of the fastest ways to kill a conversation because it doesn’t give you anything to build on. Instead, try to ask open-ended questions. These are questions that can’t be answered with a single word, and that means the other person has to expand on what they’re saying, giving you plenty of opportunities to latch onto something they say and keep the words flowing. 4. Agree, then add something. If you’re at an event and someone makes an observation about your surroundings, the host, or even something totally unrelated, go with it. Their statement can be a good opportunity to add your own observations, establish a connection, and move forward into a conversation. First, affirm what they’ve said, then add your own take, and follow it up with an open-ended question that leaves room to move to a new topic. Here’s how it might look in action: Them: “This signature cocktail is pretty good, huh?” You: “It is. It really complements the appetizers. Have you tried them yet?” If you don’t happen to agree with what they’ve said, that’s okay! You can still politely acknowledge it and forge ahead. Them: “This signature cocktail is pretty good, huh?” You: “It’s very unique. My attention has been on the appetizers. Have you tried them yet?” 5. Be complimentary. If you want to seem friendly and approachable, find nice things to say about others. (We happen to have some helpful synonyms for the word nice and tips for delivering sincere compliments.) People are more likely to be drawn to you if you’re open about pointing out how funny something they said was, how much you admire their sense of style, or how interested you are in their work. Compliments can also be a way to begin a conversation. Try something like this: “I just had to tell you, I love that tie! It’s so bold. I’m Eric, by the way. What’s your name?” “Dr. Stein, I’m Lexi Jones. I’m so thrilled to meet you. Your book was fascinating. Are you studying anything new?” “I’m Shawn. My sister said you’re an amazing artist. I’m so glad we ended up at the same table. Tell me about your work.” 6. Let them teach you something. No one is an expert on every topic. If they mention something you don’t know much about, don’t let the conversation die there. Use it as an opportunity for conversation. People love to talk about themselves and things they’re passionate about, so express your curiosity and allow them to share more knowledge with you. Here are some ideas for how to do this: “I’ve never been fly-fishing before. What is it like?” “I’m not familiar with that program yet. Is it difficult to learn?” “I’ve been meaning to check out that band. Which album should I start with?” 7. Use the ARE method. If you’re the kind of person who wishes there was an easy equation for small talk, we have good news. Some psychologists recommend the ARE method. ARE stands for anchor, reveal, and encourage. First, anchor yourself and the other person in the moment by making an observation about your shared location or experience. Next, reveal something about yourself in relation to the anchor, like how it makes you feel, something you’ve noticed, or something you’re interested in or excited about. Lastly, encourage participation from the other person by asking a related question. It will look like this: Anchor: “There are so many new faces at the conference this year.” Reveal: “I’m really inspired by all of the talent here.” Encourage: “Have you met anyone interesting so far?” 8. Be real with it. If you’re feeling rusty at small talk, guess what? You are not alone. Most people struggle with talking to and getting to know new people, and it’s okay to admit that it’s hard. If you express that you’re not very good at small talk or feeling nervous in the situation, many people will find this relatable and it can start the conversation—which is the goal! It can be as simple as saying something like: “I’m terrible at small talk, but I’m really interested in speaking with you.” “I apologize in advance for any awkwardness. Small talk isn’t my strong suit, but I’m really curious about your work.” “Nothing like trying to make small talk with a table full of strangers, huh? How’s your night going?” 9. Have an exit strategy. Sometimes you just need to get away. That’s okay. Making a smooth exit is also a part of being skilled at small talk. You could excuse yourself to the restroom or the buffet, but the easiest way to get out of a conversation is to be polite and direct. Let them know you enjoyed speaking with them and that you’re going to direct your attention to something else now. “It was lovely meeting you. I’m going to refresh my drink and check in with the host.” “Excuse me, but I just saw someone I need to speak with. It was nice chatting with you.” “I’m so glad we met. I hope to run into you again later on.” 10. Practice often. For many of us, hating small talk also means avoiding it at all costs. The only problem is, this makes small talk harder when it can’t be avoided. Instead of fleeing from every situation that might require you to banter with strangers, try to see those as opportunities for more practice. Most small talk conversations have fairly low stakes. Practice introducing yourself, asking a few questions about the other person, and politely excusing yourself after a few moments. Before you know it, you’ll be a pro, and awkward silences will be a thing of the past. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2
    ICE /EV


    จำนวน 642 หน้า
    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern Vehicles) เล่ม 2 เนื้อหาในเล่มนี้ มีอยู่ 2 ภาค ในภาคแรกจะกล่าวถึงเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และภาคที่สองกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV)


    เครื่องยนต์สันดาปภายใน จะกล่าวถึง
    - หลักการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซิน และดีเซล
    - เครื่องยนต์ 2 จังหวะ
    - เครื่องยนต์โรตารี่
    - เครื่องยนต์สเตอริง
    - เครื่องยนต์กังหันก๊าซ
    - ฯลฯ


    ส่วนในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า จะกล่าวถึง
    - พื้นฐานของยานยนต์ไฟฟ้า
    - ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
    - แบตเตอรี่ และการชาร์จไฟ
    - มอเตอร์ และการควบคุม
    - การคำนวณของยานยนต์ไฟฟ้า
    - มารู้จักกับรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ของ อีลอน มัส
    - ฯลฯ

    การเขียน และเรียบเรียง เนื้อหา จะจบในตัวมันเอง ผู้อ่านสนใจเล่มไหนซื้อเล่มนั้นได้เลยครับ ส่วนเล่มต่อไป กำลังทยอยเขียน และเรียบเรียงออกมาให้อ่านอยู่ครับ ซึ่งจะกล่าวถึง ยานยนต์ไฮบริดจ์, เซลล์เชื้อเพลิง, หลักการซ่อมบำรุงยานยนต์สมัยใหม่ ฯลฯ

    ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ

    อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก

    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ

    I have a dream.
    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    ขอบคุณครับ
    T.M.E.
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNTYxOSI7fQ
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2 ICE /EV จำนวน 642 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern Vehicles) เล่ม 2 เนื้อหาในเล่มนี้ มีอยู่ 2 ภาค ในภาคแรกจะกล่าวถึงเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และภาคที่สองกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เครื่องยนต์สันดาปภายใน จะกล่าวถึง - หลักการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซิน และดีเซล - เครื่องยนต์ 2 จังหวะ - เครื่องยนต์โรตารี่ - เครื่องยนต์สเตอริง - เครื่องยนต์กังหันก๊าซ - ฯลฯ ส่วนในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า จะกล่าวถึง - พื้นฐานของยานยนต์ไฟฟ้า - ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น - แบตเตอรี่ และการชาร์จไฟ - มอเตอร์ และการควบคุม - การคำนวณของยานยนต์ไฟฟ้า - มารู้จักกับรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ของ อีลอน มัส - ฯลฯ การเขียน และเรียบเรียง เนื้อหา จะจบในตัวมันเอง ผู้อ่านสนใจเล่มไหนซื้อเล่มนั้นได้เลยครับ ส่วนเล่มต่อไป กำลังทยอยเขียน และเรียบเรียงออกมาให้อ่านอยู่ครับ ซึ่งจะกล่าวถึง ยานยนต์ไฮบริดจ์, เซลล์เชื้อเพลิง, หลักการซ่อมบำรุงยานยนต์สมัยใหม่ ฯลฯ ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง ขอบคุณครับ T.M.E. http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNTYxOSI7fQ
    WWW.MEBMARKET.COM
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2
    ICE /EV


    จำนวน 642 หน้า
    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern Vehicles) เล่ม 2 เนื้อหาในเล่มนี้ มีอยู่ 2 ภาค ในภาคแรกจะกล่าวถึงเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และภาคที่สองกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV)


    เครื่องยนต์สันดาปภายใน จะกล่าวถึง
    - หลักการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซิน และดีเซล
    - เครื่องยนต์ 2 จังหวะ
    - เครื่องยนต์โรตารี่
    - เครื่องยนต์สเตอริง
    - เครื่องยนต์กังหันก๊าซ
    - ฯลฯ


    ส่วนในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า จะกล่าวถึง
    - พื้นฐานของยานยนต์ไฟฟ้า
    - ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น
    - แบตเตอรี่ และการชาร์จไฟ
    - มอเตอร์ และการควบคุม
    - การคำนวณของยานยนต์ไฟฟ้า
    - มารู้จักกับรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ของ อีลอน มัส
    - ฯลฯ

    การเขียน และเรียบเรียง เนื้อหา จะจบในตัวมันเอง ผู้อ่านสนใจเล่มไหนซื้อเล่มนั้นได้เลยครับ ส่วนเล่มต่อไป กำลังทยอยเขียน และเรียบเรียงออกมาให้อ่านอยู่ครับ ซึ่งจะกล่าวถึง ยานยนต์ไฮบริดจ์, เซลล์เชื้อเพลิง, หลักการซ่อมบำรุงยานยนต์สมัยใหม่ ฯลฯ

    ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ

    อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก

    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ

    I have a dream.
    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    ขอบคุณครับ
    T.M.E.
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNTYxOSI7fQ
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2 ICE /EV จำนวน 642 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern Vehicles) เล่ม 2 เนื้อหาในเล่มนี้ มีอยู่ 2 ภาค ในภาคแรกจะกล่าวถึงเรื่องเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และภาคที่สองกล่าวถึงรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เครื่องยนต์สันดาปภายใน จะกล่าวถึง - หลักการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งเบนซิน และดีเซล - เครื่องยนต์ 2 จังหวะ - เครื่องยนต์โรตารี่ - เครื่องยนต์สเตอริง - เครื่องยนต์กังหันก๊าซ - ฯลฯ ส่วนในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า จะกล่าวถึง - พื้นฐานของยานยนต์ไฟฟ้า - ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น - แบตเตอรี่ และการชาร์จไฟ - มอเตอร์ และการควบคุม - การคำนวณของยานยนต์ไฟฟ้า - มารู้จักกับรถยนต์ไฟฟ้าเทสล่า ของ อีลอน มัส - ฯลฯ การเขียน และเรียบเรียง เนื้อหา จะจบในตัวมันเอง ผู้อ่านสนใจเล่มไหนซื้อเล่มนั้นได้เลยครับ ส่วนเล่มต่อไป กำลังทยอยเขียน และเรียบเรียงออกมาให้อ่านอยู่ครับ ซึ่งจะกล่าวถึง ยานยนต์ไฮบริดจ์, เซลล์เชื้อเพลิง, หลักการซ่อมบำรุงยานยนต์สมัยใหม่ ฯลฯ ลองติดตามผลงานดูนะครับ ติชมกันได้นะ มีคำถามอะไรก็ถามได้ ถ้ารู้ก็จะตอบให้ครับ อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง ขอบคุณครับ T.M.E. http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzNTYxOSI7fQ
    WWW.MEBMARKET.COM
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    ยานยนต์สมัยใหม่ (Modern vehicles) 2:: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • When Do You Use “Who” vs. “Whom”?

    Over the last 200 years, the pronoun whom has been on a steady decline. Despite its waning use in speech and ongoing speculation about its imminent extinction, whom still holds a spot in the English language, particularly in formal writing. Understanding when and how to use this pronoun can set your writing apart.

    If whom is on the decline, then who must be growing in popularity. The two—as you’ll recall from English class—are related and may seem interchangeable. But are they really?

    Who vs. whom, what’s the difference?

    Whom is often confused with who. Who is a subjective-case pronoun, meaning it functions as a subject in a sentence, and whom is an objective-case pronoun, meaning it functions as an object in a sentence.

    When to use who

    Who, like I, he, she, we, and they, is used as the subject of a sentence. That means it performs actions.

    Examples of who in a sentence

    See how who is used as a subject in different ways:

    Who rescued the dog?
    I’m not sure who called my name.
    Do you know who baked this cake?

    Who is doing the rescuing in the first sentence. Similarly, who called and who baked in the other examples.

    When to use whom

    Whom is a little trickier. Like me, him, her, us, and them, whom is the object of a verb or preposition. That means whom is acted on.

    Take your grammar game to the next level with your own personal Grammar Coach™! Get started now for free!

    Examples of whom in a sentence

    See how whom acts as an object in each of these instances:

    Whom did you see?
    His grandchildren, whom he loves so much, are in town for a visit.
    The cook, whom we just hired, failed to show up to work today.

    In the first sentence, whom is being seen here, not doing the seeing. In the other examples, whom is being loved and hired. Whom is the direct object in all three sentences.

    Take a look at these sentences:

    She gave whom the package?
    Whom should I call first?
    My brother doesn’t remember whom he e-mailed the questions.

    In these sentences, whom functions as an indirect object. That is the person on the receiving end of the action. For example, the package was given to someone. It was given to whom.

    Whom also commonly appears when it follows a preposition, as in the salutation “To whom it may concern.” Does it concern he? No. Does it concern him? Yes.

    When in doubt, substitute him (sometimes you’ll have to rephrase the sentence) and see if that sounds right. If him is OK, then whom is OK. If the more natural substitute is he, then go with who. For example: You talked to who/whom? It would be incorrect to say, “You talked to he?”, but saying, “You talked to him?” makes grammatical sense. So you would ask, “You talked to whom?”

    All of that said, in informal speech and writing, speakers will often opt for who where whom has traditionally been used. This choice sounds more natural and less formal to most native English speakers.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    When Do You Use “Who” vs. “Whom”? Over the last 200 years, the pronoun whom has been on a steady decline. Despite its waning use in speech and ongoing speculation about its imminent extinction, whom still holds a spot in the English language, particularly in formal writing. Understanding when and how to use this pronoun can set your writing apart. If whom is on the decline, then who must be growing in popularity. The two—as you’ll recall from English class—are related and may seem interchangeable. But are they really? Who vs. whom, what’s the difference? Whom is often confused with who. Who is a subjective-case pronoun, meaning it functions as a subject in a sentence, and whom is an objective-case pronoun, meaning it functions as an object in a sentence. When to use who Who, like I, he, she, we, and they, is used as the subject of a sentence. That means it performs actions. Examples of who in a sentence See how who is used as a subject in different ways: Who rescued the dog? I’m not sure who called my name. Do you know who baked this cake? Who is doing the rescuing in the first sentence. Similarly, who called and who baked in the other examples. When to use whom Whom is a little trickier. Like me, him, her, us, and them, whom is the object of a verb or preposition. That means whom is acted on. Take your grammar game to the next level with your own personal Grammar Coach™! Get started now for free! Examples of whom in a sentence See how whom acts as an object in each of these instances: Whom did you see? His grandchildren, whom he loves so much, are in town for a visit. The cook, whom we just hired, failed to show up to work today. In the first sentence, whom is being seen here, not doing the seeing. In the other examples, whom is being loved and hired. Whom is the direct object in all three sentences. Take a look at these sentences: She gave whom the package? Whom should I call first? My brother doesn’t remember whom he e-mailed the questions. In these sentences, whom functions as an indirect object. That is the person on the receiving end of the action. For example, the package was given to someone. It was given to whom. Whom also commonly appears when it follows a preposition, as in the salutation “To whom it may concern.” Does it concern he? No. Does it concern him? Yes. When in doubt, substitute him (sometimes you’ll have to rephrase the sentence) and see if that sounds right. If him is OK, then whom is OK. If the more natural substitute is he, then go with who. For example: You talked to who/whom? It would be incorrect to say, “You talked to he?”, but saying, “You talked to him?” makes grammatical sense. So you would ask, “You talked to whom?” All of that said, in informal speech and writing, speakers will often opt for who where whom has traditionally been used. This choice sounds more natural and less formal to most native English speakers. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • 26 Types of Punctuation Marks & Typographical Symbols

    We use words in writing. Shocking, I know! Do you know what else we use in writing? Here is a hint: they have already appeared in this paragraph. In addition to words, we use many different symbols and characters to organize our thoughts and make text easier to read. All of these symbols come in two major categories: punctuation marks and typographical symbols. These symbols have many different uses and include everything from the humble period (.) to the rarely used caret symbol (^). There may even be a few symbols out there that you’ve never even heard of before that leave you scratching your head when you see them on your keyboard!

    What is punctuation?

    Punctuation is the act or system of using specific marks or symbols in writing to separate different elements from each other or to make writing more clear. Punctuation is used in English and the other languages that use the Latin alphabet. Many other writing systems also use punctuation, too. Thanks to punctuation, we don’t have to suffer through a block of text that looks like this:

    - My favorite color is red do you like red red is great my sister likes green she always says green is the color of champions regardless of which color is better we both agree that no one likes salmon which is a fish and not a color seriously.

    Punctuation examples

    The following sentences give examples of the many different punctuation marks that we use:

    - My dog, Bark Scruffalo, was featured in a superhero movie.
    - If there’s something strange in your neighborhood, who are you going to call?
    - A wise man once said, “Within the body of every person lies a skeleton.”
    - Hooray! I found everything on the map: the lake, the mountain, and the forest.
    - I told Ashley (if that was her real name) that I needed the copy lickety-split.

    What is a typographical symbol?

    The term typographical symbol, or any other number of phrases, refers to a character or symbol that isn’t considered to be a punctuation mark but may still be used in writing for various purposes. Typographical symbols are generally avoided in formal writing under most circumstances. However, you may see typographic symbols used quite a bit in informal writing.

    Typographical symbol examples

    The following examples show some ways that a writer might use typographical symbols. Keep in mind that some of these sentences may not be considered appropriate in formal writing.

    - The frustrated actor said she was tired of her co-star’s “annoying bull****.”
    - For questions, email us at anascabana@bananacabanas.fake!
    - The band had five #1 singles on the American music charts during the 1990s.
    - My internet provider is AT&T.

    Punctuation vs. typographical symbols

    Punctuation marks are considered part of grammar and often have well-established rules for how to use them properly. For example, the rules of proper grammar state that a letter after a period should be capitalized and that a comma must be used before a coordinating conjunction.

    Typographical symbols, on the other hand, may not have widely accepted rules for how, or even when, they should be used. Generally speaking, most grammar resources will only allow the use of typographical symbols under very specific circumstances and will otherwise advise a writer to avoid using them.

    Types of punctuation and symbols

    There are many different types of punctuation marks and typographical symbols. We’ll briefly touch on them now, but you can learn more about of these characters by checking out the links in this list and also each section below:

    Period
    Question mark
    Exclamation point
    Comma
    Colon
    Semicolon
    Hyphen
    En dash
    Em dash
    Parentheses
    Square brackets
    Curly brackets
    Angle brackets
    Quotation marks
    Apostrophe
    Slash
    Ellipses
    Asterisk
    Ampersand
    Bullet point
    Pound symbol
    Tilde
    Backslash
    At symbol
    Caret symbol
    Pipe symbol

    Period, question mark, and exclamation point

    These three commonly used punctuation marks are used for the same reason: to end an independent thought.

    Period (.)

    A period is used to end a declarative sentence. A period indicates that a sentence is finished.

    Today is Friday.

    Unique to them, periods are also often used in abbreviations.

    Prof. Dumbledore once again awarded a ludicrous amount of points to Gryffindor.

    Question mark (?)

    The question mark is used to end a question, also known as an interrogative sentence.

    Do you feel lucky?

    Exclamation point (!)

    The exclamation point is used at the end of exclamations and interjections.

    Our house is haunted!
    Wow!

    Comma, colon, and semicolon

    Commas, colons, and semicolons can all be used to connect sentences together.

    Comma (,)

    The comma is often the punctuation mark that gives writers the most problems. It has many different uses and often requires good knowledge of grammar to avoid making mistakes when using it. Some common uses of the comma include:

    Joining clauses: Mario loves Peach, and she loves him.
    Nonrestrictive elements: My favorite team, the Fighting Mongooses, won the championship this year.
    Lists: The flag was red, white, and blue.
    Coordinate adjectives: The cute, happy puppy licked my hand.

    Colon (:)

    The colon is typically used to introduce additional information.

    The detective had three suspects: the salesman, the gardener, and the lawyer.

    Like commas, colons can also connect clauses together.

    We forgot to ask the most important question: who was buying lunch?

    Colons have a few other uses, too.

    The meeting starts at 8:15 p.m.
    The priest started reading from Mark 3:6.

    Semicolon (;)

    Like the comma and the colon, the semicolon is used to connect sentences together. The semicolon typically indicates that the second sentence is closely related to the one before it.

    I can’t eat peanuts; I am highly allergic to them.
    Lucy loves to eat all kinds of sweets; lollipops are her favorite.

    Hyphen and dashes (en dash and em dash)

    All three of these punctuation marks are often referred to as “dashes.” However, they are all used for entirely different reasons.

    Hyphen (-)

    The hyphen is used to form compound words.

    I went to lunch with my father-in-law.
    She was playing with a jack-in-the-box.
    He was accused of having pro-British sympathies.

    En dash (–)

    The en dash is used to express ranges or is sometimes used in more complex compound words.

    The homework exercises are on pages 20–27.
    The songwriter had worked on many Tony Award–winning productions.

    Em dash (—)

    The em dash is used to indicate a pause or interrupted speech.

    The thief was someone nobody expected—me!
    “Those kids will—” was all he managed to say before he was hit by a water balloon.
    Test your knowledge on the different dashes here.

    Parentheses, brackets, and braces

    These pairs of punctuation marks look similar, but they all have different uses. In general, the parentheses are much more commonly used than the others.

    Parentheses ()

    Typically, parentheses are used to add additional information.

    I thought (for a very long time) if I should actually give an honest answer.
    Tomorrow is Christmas (my favorite holiday)!
    Parentheses have a variety of other uses, too.

    Pollution increased significantly. (See Chart 14B)
    He was at an Alcoholics Anonymous (AA) meeting.
    Richard I of England (1157–1199) had the heart of a lion.

    Square brackets []

    Typically, square brackets are used to clarify or add information to quotations.

    According to an eyewitness, the chimpanzees “climbed on the roof and juggled [bananas].”
    The judge said that “the defense attorney [Mr. Wright] had made it clear that the case was far from closed.”

    Curly brackets {}

    Curly brackets, also known as braces, are rarely used punctuation marks that are used to group a set.

    I was impressed by the many different colors {red, green, yellow, blue, purple, black, white} they selected for the flag’s design.

    Angle brackets <>

    Angle brackets have no usage in formal writing and are rarely ever used even in informal writing. These characters have more uses in other fields, such as math or computing.

    Quotation marks and apostrophe

    You’ll find these punctuation marks hanging out at the top of a line of text.

    Quotation marks (“”)

    The most common use of quotation marks is to contain quotations.

    She said, “Don’t let the dog out of the house.”
    Bob Ross liked to put “happy little trees” in many of his paintings.

    Apostrophe (‘)

    The apostrophe is most often used to form possessives and contractions.

    The house’s back door is open.
    My cousin’s birthday is next week.
    It isn’t ready yet.
    We should’ve stayed outside.

    Slash and ellipses

    These are two punctuation marks you may not see too often, but they are still useful.

    Slash (/)

    The slash has several different uses. Here are some examples:

    Relationships: The existence of boxer briefs somehow hasn’t ended the boxers/briefs debate.
    Alternatives: They accept cash and/or credit.
    Fractions: After an hour, 2/3 of the audience had already left.

    Ellipses (…)

    In formal writing, ellipses are used to indicate that words were removed from a quote.

    The mayor said, “The damages will be … paid for by the city … as soon as possible.”
    In informal writing, ellipses are often used to indicate pauses or speech that trails off.

    He nervously stammered and said, “Look, I … You see … I wasn’t … Forget it, okay.”

    Typographical symbols

    Typographical symbols rarely appear in formal writing. You are much more likely to see them used for a variety of reasons in informal writing.

    Asterisk (*)

    In formal writing, especially academic and scientific writing, the asterisk is used to indicate a footnote.

    Chocolate is the preferred flavor of ice cream.*
    *According to survey data from the Ice Cream Data Center.

    The asterisk may also be used to direct a reader toward a clarification or may be used to censor inappropriate words or phrases.

    Ampersand (&)

    The ampersand substitutes for the word and. Besides its use in the official names of things, the ampersand is typically avoided in formal writing.

    The band gave a speech at the Rock & Roll Hall of Fame.

    Bullet Point (•)

    Bullet points are used to create lists. For example,

    For this recipe you will need:

    • eggs
    • milk
    • sugar
    • flour
    • baking powder

    Pound symbol (#)

    Informally, the pound symbol is typically used to mean number or is used in social media hashtags.

    The catchy pop song reached #1 on the charts.
    Ready 4 Halloween 2morrow!!! #spooky #TrickorTreat
    Tilde (~)

    Besides being used as an accent mark in Spanish and Portuguese words, the tilde is rarely used. Informally, a person may use it to mean “about” or “approximately.”

    We visited São Paulo during our vacation.
    I think my dog weighs ~20 pounds.

    Backslash (\)

    The backslash is primarily used in computer programming and coding. It might be used online and in texting to draw emoticons, but it has no other common uses in writing. Be careful not to mix it up with the similar forward slash (/), which is a punctuation mark.

    At symbol (@)

    The at symbol substitutes for the word at in informal writing. In formal writing, it is used when writing email addresses.

    His email address is duckduck@goose.abc.

    Caret symbol (^)

    The caret symbol is used in proofreading, but may be used to indicate an exponent if a writer is unable to use superscript.

    Do you know what 3^4 (34) is equal to?

    Pipe symbol (|)

    The pipe symbol is not used in writing. Instead, it has a variety of functions in the fields of math, physics, or computing.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    26 Types of Punctuation Marks & Typographical Symbols We use words in writing. Shocking, I know! Do you know what else we use in writing? Here is a hint: they have already appeared in this paragraph. In addition to words, we use many different symbols and characters to organize our thoughts and make text easier to read. All of these symbols come in two major categories: punctuation marks and typographical symbols. These symbols have many different uses and include everything from the humble period (.) to the rarely used caret symbol (^). There may even be a few symbols out there that you’ve never even heard of before that leave you scratching your head when you see them on your keyboard! What is punctuation? Punctuation is the act or system of using specific marks or symbols in writing to separate different elements from each other or to make writing more clear. Punctuation is used in English and the other languages that use the Latin alphabet. Many other writing systems also use punctuation, too. Thanks to punctuation, we don’t have to suffer through a block of text that looks like this: - My favorite color is red do you like red red is great my sister likes green she always says green is the color of champions regardless of which color is better we both agree that no one likes salmon which is a fish and not a color seriously. Punctuation examples The following sentences give examples of the many different punctuation marks that we use: - My dog, Bark Scruffalo, was featured in a superhero movie. - If there’s something strange in your neighborhood, who are you going to call? - A wise man once said, “Within the body of every person lies a skeleton.” - Hooray! I found everything on the map: the lake, the mountain, and the forest. - I told Ashley (if that was her real name) that I needed the copy lickety-split. What is a typographical symbol? The term typographical symbol, or any other number of phrases, refers to a character or symbol that isn’t considered to be a punctuation mark but may still be used in writing for various purposes. Typographical symbols are generally avoided in formal writing under most circumstances. However, you may see typographic symbols used quite a bit in informal writing. Typographical symbol examples The following examples show some ways that a writer might use typographical symbols. Keep in mind that some of these sentences may not be considered appropriate in formal writing. - The frustrated actor said she was tired of her co-star’s “annoying bull****.” - For questions, email us at anascabana@bananacabanas.fake! - The band had five #1 singles on the American music charts during the 1990s. - My internet provider is AT&T. Punctuation vs. typographical symbols Punctuation marks are considered part of grammar and often have well-established rules for how to use them properly. For example, the rules of proper grammar state that a letter after a period should be capitalized and that a comma must be used before a coordinating conjunction. Typographical symbols, on the other hand, may not have widely accepted rules for how, or even when, they should be used. Generally speaking, most grammar resources will only allow the use of typographical symbols under very specific circumstances and will otherwise advise a writer to avoid using them. Types of punctuation and symbols There are many different types of punctuation marks and typographical symbols. We’ll briefly touch on them now, but you can learn more about of these characters by checking out the links in this list and also each section below: Period Question mark Exclamation point Comma Colon Semicolon Hyphen En dash Em dash Parentheses Square brackets Curly brackets Angle brackets Quotation marks Apostrophe Slash Ellipses Asterisk Ampersand Bullet point Pound symbol Tilde Backslash At symbol Caret symbol Pipe symbol Period, question mark, and exclamation point These three commonly used punctuation marks are used for the same reason: to end an independent thought. Period (.) A period is used to end a declarative sentence. A period indicates that a sentence is finished. Today is Friday. Unique to them, periods are also often used in abbreviations. Prof. Dumbledore once again awarded a ludicrous amount of points to Gryffindor. Question mark (?) The question mark is used to end a question, also known as an interrogative sentence. Do you feel lucky? Exclamation point (!) The exclamation point is used at the end of exclamations and interjections. Our house is haunted! Wow! Comma, colon, and semicolon Commas, colons, and semicolons can all be used to connect sentences together. Comma (,) The comma is often the punctuation mark that gives writers the most problems. It has many different uses and often requires good knowledge of grammar to avoid making mistakes when using it. Some common uses of the comma include: Joining clauses: Mario loves Peach, and she loves him. Nonrestrictive elements: My favorite team, the Fighting Mongooses, won the championship this year. Lists: The flag was red, white, and blue. Coordinate adjectives: The cute, happy puppy licked my hand. Colon (:) The colon is typically used to introduce additional information. The detective had three suspects: the salesman, the gardener, and the lawyer. Like commas, colons can also connect clauses together. We forgot to ask the most important question: who was buying lunch? Colons have a few other uses, too. The meeting starts at 8:15 p.m. The priest started reading from Mark 3:6. Semicolon (;) Like the comma and the colon, the semicolon is used to connect sentences together. The semicolon typically indicates that the second sentence is closely related to the one before it. I can’t eat peanuts; I am highly allergic to them. Lucy loves to eat all kinds of sweets; lollipops are her favorite. Hyphen and dashes (en dash and em dash) All three of these punctuation marks are often referred to as “dashes.” However, they are all used for entirely different reasons. Hyphen (-) The hyphen is used to form compound words. I went to lunch with my father-in-law. She was playing with a jack-in-the-box. He was accused of having pro-British sympathies. En dash (–) The en dash is used to express ranges or is sometimes used in more complex compound words. The homework exercises are on pages 20–27. The songwriter had worked on many Tony Award–winning productions. Em dash (—) The em dash is used to indicate a pause or interrupted speech. The thief was someone nobody expected—me! “Those kids will—” was all he managed to say before he was hit by a water balloon. Test your knowledge on the different dashes here. Parentheses, brackets, and braces These pairs of punctuation marks look similar, but they all have different uses. In general, the parentheses are much more commonly used than the others. Parentheses () Typically, parentheses are used to add additional information. I thought (for a very long time) if I should actually give an honest answer. Tomorrow is Christmas (my favorite holiday)! Parentheses have a variety of other uses, too. Pollution increased significantly. (See Chart 14B) He was at an Alcoholics Anonymous (AA) meeting. Richard I of England (1157–1199) had the heart of a lion. Square brackets [] Typically, square brackets are used to clarify or add information to quotations. According to an eyewitness, the chimpanzees “climbed on the roof and juggled [bananas].” The judge said that “the defense attorney [Mr. Wright] had made it clear that the case was far from closed.” Curly brackets {} Curly brackets, also known as braces, are rarely used punctuation marks that are used to group a set. I was impressed by the many different colors {red, green, yellow, blue, purple, black, white} they selected for the flag’s design. Angle brackets <> Angle brackets have no usage in formal writing and are rarely ever used even in informal writing. These characters have more uses in other fields, such as math or computing. Quotation marks and apostrophe You’ll find these punctuation marks hanging out at the top of a line of text. Quotation marks (“”) The most common use of quotation marks is to contain quotations. She said, “Don’t let the dog out of the house.” Bob Ross liked to put “happy little trees” in many of his paintings. Apostrophe (‘) The apostrophe is most often used to form possessives and contractions. The house’s back door is open. My cousin’s birthday is next week. It isn’t ready yet. We should’ve stayed outside. Slash and ellipses These are two punctuation marks you may not see too often, but they are still useful. Slash (/) The slash has several different uses. Here are some examples: Relationships: The existence of boxer briefs somehow hasn’t ended the boxers/briefs debate. Alternatives: They accept cash and/or credit. Fractions: After an hour, 2/3 of the audience had already left. Ellipses (…) In formal writing, ellipses are used to indicate that words were removed from a quote. The mayor said, “The damages will be … paid for by the city … as soon as possible.” In informal writing, ellipses are often used to indicate pauses or speech that trails off. He nervously stammered and said, “Look, I … You see … I wasn’t … Forget it, okay.” Typographical symbols Typographical symbols rarely appear in formal writing. You are much more likely to see them used for a variety of reasons in informal writing. Asterisk (*) In formal writing, especially academic and scientific writing, the asterisk is used to indicate a footnote. Chocolate is the preferred flavor of ice cream.* *According to survey data from the Ice Cream Data Center. The asterisk may also be used to direct a reader toward a clarification or may be used to censor inappropriate words or phrases. Ampersand (&) The ampersand substitutes for the word and. Besides its use in the official names of things, the ampersand is typically avoided in formal writing. The band gave a speech at the Rock & Roll Hall of Fame. Bullet Point (•) Bullet points are used to create lists. For example, For this recipe you will need: • eggs • milk • sugar • flour • baking powder Pound symbol (#) Informally, the pound symbol is typically used to mean number or is used in social media hashtags. The catchy pop song reached #1 on the charts. Ready 4 Halloween 2morrow!!! #spooky #TrickorTreat Tilde (~) Besides being used as an accent mark in Spanish and Portuguese words, the tilde is rarely used. Informally, a person may use it to mean “about” or “approximately.” We visited São Paulo during our vacation. I think my dog weighs ~20 pounds. Backslash (\) The backslash is primarily used in computer programming and coding. It might be used online and in texting to draw emoticons, but it has no other common uses in writing. Be careful not to mix it up with the similar forward slash (/), which is a punctuation mark. At symbol (@) The at symbol substitutes for the word at in informal writing. In formal writing, it is used when writing email addresses. His email address is duckduck@goose.abc. Caret symbol (^) The caret symbol is used in proofreading, but may be used to indicate an exponent if a writer is unable to use superscript. Do you know what 3^4 (34) is equal to? Pipe symbol (|) The pipe symbol is not used in writing. Instead, it has a variety of functions in the fields of math, physics, or computing. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 946 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ) จากร้าน meb

    ความรู้ด้านจักรวาล และอวกาศ
    จำนวน 1,000 หน้า


    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน

    สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้
    นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ

    เมื่อเรามองดูท้องฟ้า ดูดวงดาวที่มีอยู่มากมาย ดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ลึกลับ จนทำให้เราอยากรู้ว่า เราอยู่ตรงไหนของจักรวาล เผ่าพันธุ์เราเป็นใคร ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกไหมนอกเหนือจากเรา

    ทำให้มนุษย์พยายามสร้าง และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อที่จะบินขึ้นไปท่อง และสำรวจอวกาศ เพื่อที่จะดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในจักรวาล, สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อเราแค่ไหน, หนังสือเล่มนี้จะนำผู้อ่านไปเรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศ ที่มีความลึกลับเกินจินตนาการของมนุษย์ ฯลฯ ให้รู้จักกับอวกาศมากขึ้น

    ในเล่มที่ 2 นี้ จะพบกับเรื่องของ สภาพแวดล้อมในอวกาศ, เอกภพ, ดาราจักร, มหานวดารา, เนบิวลา, หลุมดำ, ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์ต่าง ๆ, ระบบสุริยะจักรวาล, ดาวหาง ฯลฯ

    เล่มนี้ จะเป็นเล่มจบ แต่การสำรวจ และการค้นหาในห้วงอวกาศยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แน่นอนในอนาคต องค์ความรู้ของมนุษยชาติก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากผู้เขียนเรียบเรียงความรู้จนมีมากพอ ก็จะทำเป็นเล่มมาให้อ่านอีกครับ


    ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ


    อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก

    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ

    ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนนะครับ


    I have a dream.

    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    T.M.E.

    คลิกได้ที่นี่
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI2NDU4MSI7fQ
    ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ) จากร้าน meb ความรู้ด้านจักรวาล และอวกาศ จำนวน 1,000 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ เมื่อเรามองดูท้องฟ้า ดูดวงดาวที่มีอยู่มากมาย ดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ลึกลับ จนทำให้เราอยากรู้ว่า เราอยู่ตรงไหนของจักรวาล เผ่าพันธุ์เราเป็นใคร ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกไหมนอกเหนือจากเรา ทำให้มนุษย์พยายามสร้าง และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อที่จะบินขึ้นไปท่อง และสำรวจอวกาศ เพื่อที่จะดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในจักรวาล, สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อเราแค่ไหน, หนังสือเล่มนี้จะนำผู้อ่านไปเรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศ ที่มีความลึกลับเกินจินตนาการของมนุษย์ ฯลฯ ให้รู้จักกับอวกาศมากขึ้น ในเล่มที่ 2 นี้ จะพบกับเรื่องของ สภาพแวดล้อมในอวกาศ, เอกภพ, ดาราจักร, มหานวดารา, เนบิวลา, หลุมดำ, ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์ต่าง ๆ, ระบบสุริยะจักรวาล, ดาวหาง ฯลฯ เล่มนี้ จะเป็นเล่มจบ แต่การสำรวจ และการค้นหาในห้วงอวกาศยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แน่นอนในอนาคต องค์ความรู้ของมนุษยชาติก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากผู้เขียนเรียบเรียงความรู้จนมีมากพอ ก็จะทำเป็นเล่มมาให้อ่านอีกครับ ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนนะครับ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง T.M.E. คลิกได้ที่นี่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI2NDU4MSI7fQ
    WWW.MEBMARKET.COM
    ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ) จากร้าน meb

    ความรู้ด้านจักรวาล และอวกาศ
    จำนวน 1,000 หน้า


    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน

    สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้
    นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ

    เมื่อเรามองดูท้องฟ้า ดูดวงดาวที่มีอยู่มากมาย ดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ลึกลับ จนทำให้เราอยากรู้ว่า เราอยู่ตรงไหนของจักรวาล เผ่าพันธุ์เราเป็นใคร ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกไหมนอกเหนือจากเรา

    ทำให้มนุษย์พยายามสร้าง และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อที่จะบินขึ้นไปท่อง และสำรวจอวกาศ เพื่อที่จะดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในจักรวาล, สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อเราแค่ไหน, หนังสือเล่มนี้จะนำผู้อ่านไปเรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศ ที่มีความลึกลับเกินจินตนาการของมนุษย์ ฯลฯ ให้รู้จักกับอวกาศมากขึ้น

    ในเล่มที่ 2 นี้ จะพบกับเรื่องของ สภาพแวดล้อมในอวกาศ, เอกภพ, ดาราจักร, มหานวดารา, เนบิวลา, หลุมดำ, ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์ต่าง ๆ, ระบบสุริยะจักรวาล, ดาวหาง ฯลฯ

    เล่มนี้ จะเป็นเล่มจบ แต่การสำรวจ และการค้นหาในห้วงอวกาศยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แน่นอนในอนาคต องค์ความรู้ของมนุษยชาติก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากผู้เขียนเรียบเรียงความรู้จนมีมากพอ ก็จะทำเป็นเล่มมาให้อ่านอีกครับ


    ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ


    อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก

    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ

    ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนนะครับ


    I have a dream.

    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    T.M.E.

    คลิกได้ที่นี่
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI2NDU4MSI7fQ
    ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ) จากร้าน meb ความรู้ด้านจักรวาล และอวกาศ จำนวน 1,000 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ เมื่อเรามองดูท้องฟ้า ดูดวงดาวที่มีอยู่มากมาย ดูแล้วรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ลึกลับ จนทำให้เราอยากรู้ว่า เราอยู่ตรงไหนของจักรวาล เผ่าพันธุ์เราเป็นใคร ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอีกไหมนอกเหนือจากเรา ทำให้มนุษย์พยายามสร้าง และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อที่จะบินขึ้นไปท่อง และสำรวจอวกาศ เพื่อที่จะดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในจักรวาล, สิ่งที่เกิดขึ้นจะมีผลต่อเราแค่ไหน, หนังสือเล่มนี้จะนำผู้อ่านไปเรียนรู้เกี่ยวกับอวกาศ ที่มีความลึกลับเกินจินตนาการของมนุษย์ ฯลฯ ให้รู้จักกับอวกาศมากขึ้น ในเล่มที่ 2 นี้ จะพบกับเรื่องของ สภาพแวดล้อมในอวกาศ, เอกภพ, ดาราจักร, มหานวดารา, เนบิวลา, หลุมดำ, ดาวฤกษ์, ดาวเคราะห์ต่าง ๆ, ระบบสุริยะจักรวาล, ดาวหาง ฯลฯ เล่มนี้ จะเป็นเล่มจบ แต่การสำรวจ และการค้นหาในห้วงอวกาศยังคงดำเนินอยู่ต่อไป แน่นอนในอนาคต องค์ความรู้ของมนุษยชาติก็จะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากผู้เขียนเรียบเรียงความรู้จนมีมากพอ ก็จะทำเป็นเล่มมาให้อ่านอีกครับ ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ อยากเห็นราชอาณาจักรไทยเป็นเจ้าของเทคโนโลยี เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ควบคู่กับการพัฒนาทางด้านจิตใจ และมีศีลธรรมที่ดี เมืองไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนนะครับ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง T.M.E. คลิกได้ที่นี่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjI2NDU4MSI7fQ
    WWW.MEBMARKET.COM
    ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    ดวงดาว และอวกาศ (Stars & Space) 2 (จบ):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9/12/67

    มุมมองที่ฝรั่งมองประเทศไทยเป็นโลกที่ 3 ถึงกับส่งสารถึงรัฐบาลตัวเอง หลังจากนั่งรถไฟฟ้าไทย

    มองชาวฝรั่ง ที่ตัวเค้าเองได้ยินมาตลอดทั้งจากคนรอบตัว และเพื่อนๆ จนพอได้มาเมืองไทยแล้วได้สัมผัสการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ถึงกับส่งสารไปยังรัฐบาลตัวเองทันที!!!

    🚇 Experience Bangkok's Modern MRT Transportation! 🚇

    Join our foreign guest on an exciting one-day tour through the bustling city of Bangkok, as he explores the MRT train system and shares his thoughts on how modern, convenient, and impeccably clean this mode of transportation is! 🌟

    In this video, you'll discover why the MRT is a top choice for both locals and tourists alike, with highlights including:

    🛡️ Safety - Travel with peace of mind knowing that the MRT is one of the safest ways to get around the city. 🌟 Convenience - Enjoy the seamless connectivity and easy access to major attractions, shopping centers, and dining spots. ✨ Cleanliness - Be impressed by the spotless stations and trains, making every journey a pleasant experience.

    Whether you're a local or planning your next holiday to Thailand, this video will give you an insider's view of Bangkok's impressive MRT system. Watch as our guest navigates through the city with ease, enjoying every moment of this efficient and well-maintained transportation network.

    🚀 Call to Action: Thinking about visiting Thailand? 🇹🇭 Hop on the MRT and see for yourself why it's a favorite among tourists! Share your experiences and tips in the comments below. Help us promote Thailand by liking, sharing, and subscribing. Let’s spread the word about Thailand's amazing transportation and incredible tourism opportunities!

    📢 Make Bangkok your next travel destination and enjoy a smooth ride with the MRT!

    #avaganic #mamia #มุมมองเพื่อนบ้าน #มุมมองประเทศไทย #welovethailand #รักเมืองไทย #ชีวิตต่างประเทศ #คนต่างแดน #คนไทยใจดี #เมืองไทย #thailandtravel #thailand #thaifo
    cr:Mania 4.0

    https://youtu.be/V0K7g7nuSdU?si=oYitT6ib-gUw_fRY
    9/12/67 มุมมองที่ฝรั่งมองประเทศไทยเป็นโลกที่ 3 ถึงกับส่งสารถึงรัฐบาลตัวเอง หลังจากนั่งรถไฟฟ้าไทย มองชาวฝรั่ง ที่ตัวเค้าเองได้ยินมาตลอดทั้งจากคนรอบตัว และเพื่อนๆ จนพอได้มาเมืองไทยแล้วได้สัมผัสการนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ถึงกับส่งสารไปยังรัฐบาลตัวเองทันที!!! 🚇 Experience Bangkok's Modern MRT Transportation! 🚇 Join our foreign guest on an exciting one-day tour through the bustling city of Bangkok, as he explores the MRT train system and shares his thoughts on how modern, convenient, and impeccably clean this mode of transportation is! 🌟 In this video, you'll discover why the MRT is a top choice for both locals and tourists alike, with highlights including: 🛡️ Safety - Travel with peace of mind knowing that the MRT is one of the safest ways to get around the city. 🌟 Convenience - Enjoy the seamless connectivity and easy access to major attractions, shopping centers, and dining spots. ✨ Cleanliness - Be impressed by the spotless stations and trains, making every journey a pleasant experience. Whether you're a local or planning your next holiday to Thailand, this video will give you an insider's view of Bangkok's impressive MRT system. Watch as our guest navigates through the city with ease, enjoying every moment of this efficient and well-maintained transportation network. 🚀 Call to Action: Thinking about visiting Thailand? 🇹🇭 Hop on the MRT and see for yourself why it's a favorite among tourists! Share your experiences and tips in the comments below. Help us promote Thailand by liking, sharing, and subscribing. Let’s spread the word about Thailand's amazing transportation and incredible tourism opportunities! 📢 Make Bangkok your next travel destination and enjoy a smooth ride with the MRT! #avaganic #mamia #มุมมองเพื่อนบ้าน #มุมมองประเทศไทย #welovethailand #รักเมืองไทย #ชีวิตต่างประเทศ #คนต่างแดน #คนไทยใจดี #เมืองไทย #thailandtravel #thailand #thaifo cr:Mania 4.0 https://youtu.be/V0K7g7nuSdU?si=oYitT6ib-gUw_fRY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือ ธาตุ (Elements) จากร้าน meb

    ความรู้ และรายละเอียดของธาตุในแต่ละตัวในตารางธาตุ
    จำนวน 1,079 หน้า


    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน

    สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้
    นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ

    ธาตุ (Elements) น่าจะเป็นปฐมบทของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ในด้านเคมี เพราะธาตุแต่ละตัวเป็นพื้นฐานของสารประกอบต่าง ๆ ที่นำมารวมกัน แล้วเอามาใช้เดี่ยว หรือประยุกต์ผสมกัน จนใช้งานได้หลากหลายอย่าง ดังที่เห็นได้ในชีวิตประจำวัน

    ก่อนจะเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี เรามาดูว่าอะไรล่ะ? ที่ทำให้เกิดสารเคมีที่เรานำมาใช้งานในชีวิตประจำวันกันก่อน

    ธาตุ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ในการนำแต่ละตัวมาผสมนู่นนี่นั่นตามธรรมชาติ หรือทำการผสมกันอย่างมีความรู้ จนเกิดเป็นสารที่นำมาใช้งาน เรียนรู้หัวใจก่อนที่จะได้เข้าไปเรียนกลไกที่จะเกิดการทำงานในขอบเขตของวิชาเคมี

    ในตารางธาตุที่มีอยู่ในตอนนี้ (มีอยู่ 118ธาตุในอนาคตน่าจะมีเพิ่มขึ้น เมื่อเทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวหน้าไปถึง) ทุกสิ่งในธรรมชาติ ตั้งแต่ภูเขา และมหาสมุทร ไปจนถึงอากาศที่เราหายใจ และอาหารที่เรากิน มันประกอบไปด้วยสสารที่เรียกว่า ธาตุ

    ทุกธาตุมีเรื่องราวของตัวเองว่ามันมาจากไหน ทำอะไรได้บ้าง และเราจะใช้มันอย่างไร หนังสือเล่มนี้ เราจะมาเริ่มดูทุกธาตุที่มีอยู่ในตารางธาตุ ทีละรายการ ไม่ได้มีไว้ให้จำ (ถ้าจำได้ก็สุดยอด) แต่ให้ทำความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้งานได้

    ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ


    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ


    I have a dream.

    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    T.M.E.

    คลิกได้ที่นี่
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjIzMjc4NCI7fQ
    หนังสือ ธาตุ (Elements) จากร้าน meb ความรู้ และรายละเอียดของธาตุในแต่ละตัวในตารางธาตุ จำนวน 1,079 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ ธาตุ (Elements) น่าจะเป็นปฐมบทของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ในด้านเคมี เพราะธาตุแต่ละตัวเป็นพื้นฐานของสารประกอบต่าง ๆ ที่นำมารวมกัน แล้วเอามาใช้เดี่ยว หรือประยุกต์ผสมกัน จนใช้งานได้หลากหลายอย่าง ดังที่เห็นได้ในชีวิตประจำวัน ก่อนจะเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี เรามาดูว่าอะไรล่ะ? ที่ทำให้เกิดสารเคมีที่เรานำมาใช้งานในชีวิตประจำวันกันก่อน ธาตุ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ในการนำแต่ละตัวมาผสมนู่นนี่นั่นตามธรรมชาติ หรือทำการผสมกันอย่างมีความรู้ จนเกิดเป็นสารที่นำมาใช้งาน เรียนรู้หัวใจก่อนที่จะได้เข้าไปเรียนกลไกที่จะเกิดการทำงานในขอบเขตของวิชาเคมี ในตารางธาตุที่มีอยู่ในตอนนี้ (มีอยู่ 118ธาตุในอนาคตน่าจะมีเพิ่มขึ้น เมื่อเทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวหน้าไปถึง) ทุกสิ่งในธรรมชาติ ตั้งแต่ภูเขา และมหาสมุทร ไปจนถึงอากาศที่เราหายใจ และอาหารที่เรากิน มันประกอบไปด้วยสสารที่เรียกว่า ธาตุ ทุกธาตุมีเรื่องราวของตัวเองว่ามันมาจากไหน ทำอะไรได้บ้าง และเราจะใช้มันอย่างไร หนังสือเล่มนี้ เราจะมาเริ่มดูทุกธาตุที่มีอยู่ในตารางธาตุ ทีละรายการ ไม่ได้มีไว้ให้จำ (ถ้าจำได้ก็สุดยอด) แต่ให้ทำความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้งานได้ ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง T.M.E. คลิกได้ที่นี่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjIzMjc4NCI7fQ
    WWW.MEBMARKET.COM
    ธาตุ (Elements):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    ธาตุ (Elements):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 288 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือ ธาตุ (Elements) จากร้าน meb

    ความรู้ และรายละเอียดของธาตุในแต่ละตัวในตารางธาตุ
    จำนวน 1,079 หน้า


    ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน

    สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ

    นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้
    นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ

    ธาตุ (Elements) น่าจะเป็นปฐมบทของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ในด้านเคมี เพราะธาตุแต่ละตัวเป็นพื้นฐานของสารประกอบต่าง ๆ ที่นำมารวมกัน แล้วเอามาใช้เดี่ยว หรือประยุกต์ผสมกัน จนใช้งานได้หลากหลายอย่าง ดังที่เห็นได้ในชีวิตประจำวัน

    ก่อนจะเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี เรามาดูว่าอะไรล่ะ? ที่ทำให้เกิดสารเคมีที่เรานำมาใช้งานในชีวิตประจำวันกันก่อน

    ธาตุ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ในการนำแต่ละตัวมาผสมนู่นนี่นั่นตามธรรมชาติ หรือทำการผสมกันอย่างมีความรู้ จนเกิดเป็นสารที่นำมาใช้งาน เรียนรู้หัวใจก่อนที่จะได้เข้าไปเรียนกลไกที่จะเกิดการทำงานในขอบเขตของวิชาเคมี

    ในตารางธาตุที่มีอยู่ในตอนนี้ (มีอยู่ 118ธาตุในอนาคตน่าจะมีเพิ่มขึ้น เมื่อเทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวหน้าไปถึง) ทุกสิ่งในธรรมชาติ ตั้งแต่ภูเขา และมหาสมุทร ไปจนถึงอากาศที่เราหายใจ และอาหารที่เรากิน มันประกอบไปด้วยสสารที่เรียกว่า ธาตุ

    ทุกธาตุมีเรื่องราวของตัวเองว่ามันมาจากไหน ทำอะไรได้บ้าง และเราจะใช้มันอย่างไร หนังสือเล่มนี้ เราจะมาเริ่มดูทุกธาตุที่มีอยู่ในตารางธาตุ ทีละรายการ ไม่ได้มีไว้ให้จำ (ถ้าจำได้ก็สุดยอด) แต่ให้ทำความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้งานได้

    ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ


    ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ


    I have a dream.

    ผู้เขียน และเรียบเรียง

    T.M.E.

    คลิกได้ที่นี่
    http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjIzMjc4NCI7fQ
    หนังสือ ธาตุ (Elements) จากร้าน meb ความรู้ และรายละเอียดของธาตุในแต่ละตัวในตารางธาตุ จำนวน 1,079 หน้า ลงทุนในความรู้ เป็นทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะขโมยไป และยิ่งใช้ ยิ่งถ่ายทอด ประสบการณ์ความรู้ยิ่งเพิ่มพูน สามารถเข้าไปโหลดตัวอย่างมาอ่านได้ ฟรี ก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่น่าสนใจ มีทั้งอ่านฟรี และราคาไม่สูงจนเกินไป พร้อมให้อ่าน เป็นความรู้ และประยุกต์นำไปใช้ได้ นตฺถิ ปญญสมาวุธํ = ปัญญา ประดุจดังอาวุธ ธาตุ (Elements) น่าจะเป็นปฐมบทของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ในด้านเคมี เพราะธาตุแต่ละตัวเป็นพื้นฐานของสารประกอบต่าง ๆ ที่นำมารวมกัน แล้วเอามาใช้เดี่ยว หรือประยุกต์ผสมกัน จนใช้งานได้หลากหลายอย่าง ดังที่เห็นได้ในชีวิตประจำวัน ก่อนจะเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี เรามาดูว่าอะไรล่ะ? ที่ทำให้เกิดสารเคมีที่เรานำมาใช้งานในชีวิตประจำวันกันก่อน ธาตุ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ในการนำแต่ละตัวมาผสมนู่นนี่นั่นตามธรรมชาติ หรือทำการผสมกันอย่างมีความรู้ จนเกิดเป็นสารที่นำมาใช้งาน เรียนรู้หัวใจก่อนที่จะได้เข้าไปเรียนกลไกที่จะเกิดการทำงานในขอบเขตของวิชาเคมี ในตารางธาตุที่มีอยู่ในตอนนี้ (มีอยู่ 118ธาตุในอนาคตน่าจะมีเพิ่มขึ้น เมื่อเทคโนโลยีของมนุษย์ก้าวหน้าไปถึง) ทุกสิ่งในธรรมชาติ ตั้งแต่ภูเขา และมหาสมุทร ไปจนถึงอากาศที่เราหายใจ และอาหารที่เรากิน มันประกอบไปด้วยสสารที่เรียกว่า ธาตุ ทุกธาตุมีเรื่องราวของตัวเองว่ามันมาจากไหน ทำอะไรได้บ้าง และเราจะใช้มันอย่างไร หนังสือเล่มนี้ เราจะมาเริ่มดูทุกธาตุที่มีอยู่ในตารางธาตุ ทีละรายการ ไม่ได้มีไว้ให้จำ (ถ้าจำได้ก็สุดยอด) แต่ให้ทำความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้งานได้ ผู้เขียน และเรียบเรียง พยายามจะเขียนให้เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยภาพช่วยในการอธิบาย ลองติดตามอ่านดูนะครับ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศชาติ I have a dream. ผู้เขียน และเรียบเรียง T.M.E. คลิกได้ที่นี่ http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTM4NTEyNCI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjIzMjc4NCI7fQ
    WWW.MEBMARKET.COM
    ธาตุ (Elements):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    ธาตุ (Elements):: e-book หนังสือ โดย T.M.E.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fill Your Pot Of Gold With 18 Brilliant Words For St. Patrick’s Day

    Every March, people around the world celebrate St. Patrick’s Day with parades, street parties, festivals, sing-alongs, arts exhibitions, and yes, green rivers (such as the Chicago River, dyed green with what’s essentially food coloring). What began as a feast day for the patron saint of Ireland has evolved into a worldwide celebration of Irish culture and heritage—and it’s hard to resist the temptation to look for a lucky four-leaf clover come St. Patrick’s Day.

    But there’s more to the day and the culture of Ireland than the color green or traditional celebrations. In honor of this special holiday, here are 18 interesting words to help you learn more about Irish history, culture, and the roots of St. Patrick’s Day.

    blarney

    Have you heard the one about the Blarney stone? Blarney means “flattering or wheedling talk; cajolery.” It’s often applied to insincere flattery that’s used to gain favor. The word, which was first recorded in English in the late 1700s, comes from the centuries old legend of the Blarney stone. It’s said that anyone who kisses the stone in Blarney Castle near Cork, Ireland, is given the gift of flattery and eloquence.

    “Erin go Bragh”

    Erin go Bragh is a popular expression of loyalty to, or affection for, Ireland, its people, and its culture. The phrase, which means “Ireland forever,” is an Anglicization of Éire go Brách, which translates to “Ireland till the end of time.” The phrase may have first come to use during the Irish Rebellion of 1798 as a rallying cry for Irish independence. In the time since, it’s been used in music, sports, and during celebrations like St. Patrick’s Day to celebrate Irish pride and culture.

    leprechaun

    Leprechauns originated in Irish folklore, but they’ve become a famous symbol all over the world. A leprechaun is a dwarf or sprite, often depicted as “a little old man who will reveal the location of a hidden crock of gold to anyone who catches him.” Though leprechauns are usually seen as joyful or mischievous, some representations of leprechauns feature offensive stereotypes that should be avoided. For example, the University of Notre Dame’s “fighting Irish” leprechaun has been voted one of the most offensive mascots in US sports.

    banshee

    Leprechauns aren’t the only well-known figures from folklore. In Irish legend, a banshee is “a spirit in the form of a wailing woman who appears to or is heard by members of a family as a sign that one of them is about to die.” The word comes from the Irish Gaelic bean sídh, which translates to “woman of the fairy mound.” In legends, banshees most often appear at night, and some believe they can only be seen by those of Irish descent.

    Saint Patrick

    Although the origin of St. Patrick’s Day is a mix of fact and legend, Saint Patrick was a real person. The day commemorates the feast of Saint Patrick, a ​​British-born missionary and bishop who became the patron saint of Ireland. Saint Patrick is believed to have been born Maewyn Succat, and later chose the Latin name Patricius, or Patrick in English and Pádraig in Irish. He is credited with bringing Christianity to Ireland and famously believed to have used the shamrock as a metaphor for the Holy Trinity.

    Emerald Isle

    Ireland is sometimes called the Emerald Isle. This poetic nickname for Ireland stems from the lush, green land and rolling hills that make up many parts of the country. Emerald green is a “clear, deep green color” most often associated with the gem of the same name. Green is strongly associated with Ireland not only because of the landscape and symbols like the shamrock, but also because of its use among people fighting for Irish independence throughout history.

    luck

    If you’ve ever searched for a four leaf clover, then you know a little something about the supposed link between Irish culture and luck. Luck is “the force that seems to operate for good or ill in a person’s life,” and many people believe Irish symbols, particularly those seen on St. Patrick’s Day, have a special ability to attract good luck. Maybe you’ve heard the phrase the luck of the Irish? This phrase is considered a cliché and is mostly only used in the US, but it’s an example of just how common it is to think Irish culture is imbued with potent powers of good luck. (Need a few more serendipitous ways to say lucky?)

    Gaelic

    You’ll notice many of the words on this list have Gaelic roots. Gaelic isn’t only one language. The term encompasses Celtic languages that include the speech of ancient Ireland and more modern dialects that have developed from it, especially Irish, Manx, and Scottish Gaelic. Though the term Irish Gaelic is sometimes used outside of Ireland, Irish is made up of distinct dialects that vary in vocabulary, pronunciation, and grammar, and the words Gaelic and Irish shouldn’t be used interchangeably.

    shamrock

    Shamrocks are among the most famous symbols of St. Patrick’s Day. ​​The word shamrock can describe a number of trifoliate, or three-leafed, plants but especially “a small, yellow-flowered clover: the national emblem of Ireland.” Shamrock comes from the Irish Gaelic seamrōg, or “clover.” Saint Patrick’s close association with Ireland and legendary use of the shamrock as a symbol for Christianity helped make it a symbol of Irish culture. These days, shamrocks are so popular there is even a Shamrock emoji.

    donnybrook

    In English, donnybrook means ​​”an inordinately wild fight or contentious dispute; brawl; free-for-all.” It comes from Donnybrook Fair, a traditional fair that was held in Donnybrook, county Dublin, Ireland, until 1855. The fair featured livestock and produce and later evolved into a carnival. It was ultimately shut down due to its reputation for brawls and raucous behavior. The word donnybrook entered English in the mid-1800s. Fun fact: the Donnybrook Fair grounds are now the Donnybrook Rugby Ground.

    bodhran

    Music is a big part of many St. Patrick’s Day celebrations, and some of it includes the bodhran. A bodhran is “a handheld, shallow Irish drum with a single goatskin head, played with a stick.” It’s often used in traditional Celtic folk music, and it’s known for its deep, distinct sound. Bodhran is borrowed in English from the Irish bodhrán, which derives from the middle Irish bodar, meaning “deafening, deaf.”

    Celtic

    The Celts were once the largest group in ancient Europe, and their influence on the language and culture remains prominent today, especially in Ireland. Celtic is a term for the family of languages that includes Irish, Scottish Gaelic, Welsh, and Breton. More broadly, Celtic refers to anything “of the Celts or their language.”

    limerick

    A limerick is “a kind of humorous verse of five lines.” It’s also a county in Ireland, and the two share an interesting link. The first known use of limerick referring to the poem comes from the late 1800s, and the word is thought to have originated as a part of a party game. People playing the game took turns making up nonsense verses, then everyone would sing the refrain: “Will you come up to Limerick?” The refrain referenced Limerick, the place, but later came to represent the poems themselves.

    clover

    It’s said that if you find a four-leaf clover, it will bring you good luck. So, is a clover the same thing as a shamrock? It’s complicated. Clover and shamrock are both used to describe plants from similar species. While shamrock derives from an Irish word, clover has roots in Old English. Clovers may have two, three, four, or more leaves, while the traditional shamrock that’s used as a symbol of Ireland has three. In other words, shamrocks are a type of clover, but not every clover is a shamrock.

    balbriggan

    There are many things that take their names from places in Ireland. Balbriggan is one. In addition to being a city in Ireland, balbriggan is “a plain-knit cotton fabric, used especially in hosiery and underwear.” The fabric was first made in the town of the same name, and the word has been in use in English since the mid-1800s.

    shillelagh

    A shillelagh is a cudgel, or club, traditionally made of blackthorn or oak, and it’s become a recognizable symbol of Irish culture in some St. Patrick’s Day celebrations. The name shillelagh comes from the Irish Síol Éiligh, the name of a town in County Wicklow, Ireland. The adjoining forest once provided the wood for the clubs, which are now sometimes carried in parades or sold as souvenirs.

    brogue

    Let’s hear it for the brogue. A brogue is “an Irish accent in the pronunciation of English.” Believe it or not, this term may be related to shoes. The word brogue can also refer to “a coarse, usually untanned leather shoe once worn in Ireland and Scotland.” It’s thought that brogue in reference to accents may be a special use of the word; it was first recorded in English in the early 1700s.

    rainbow

    Rainbows are often associated with Ireland and St. Patrick’s Day. Some legends say leprechauns leave gold at the ends of rainbows. There may also be a scientific explanation for Ireland’s close association with rainbows. A rainbow is an “arc of prismatic colors appearing in the heavens opposite the sun and caused by the refraction and reflection of the sun’s rays in drops of rain.” Because of its rainy climate and latitude, Ireland may actually have better conditions for the formation of frequent rainbows than other places.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Fill Your Pot Of Gold With 18 Brilliant Words For St. Patrick’s Day Every March, people around the world celebrate St. Patrick’s Day with parades, street parties, festivals, sing-alongs, arts exhibitions, and yes, green rivers (such as the Chicago River, dyed green with what’s essentially food coloring). What began as a feast day for the patron saint of Ireland has evolved into a worldwide celebration of Irish culture and heritage—and it’s hard to resist the temptation to look for a lucky four-leaf clover come St. Patrick’s Day. But there’s more to the day and the culture of Ireland than the color green or traditional celebrations. In honor of this special holiday, here are 18 interesting words to help you learn more about Irish history, culture, and the roots of St. Patrick’s Day. blarney Have you heard the one about the Blarney stone? Blarney means “flattering or wheedling talk; cajolery.” It’s often applied to insincere flattery that’s used to gain favor. The word, which was first recorded in English in the late 1700s, comes from the centuries old legend of the Blarney stone. It’s said that anyone who kisses the stone in Blarney Castle near Cork, Ireland, is given the gift of flattery and eloquence. “Erin go Bragh” Erin go Bragh is a popular expression of loyalty to, or affection for, Ireland, its people, and its culture. The phrase, which means “Ireland forever,” is an Anglicization of Éire go Brách, which translates to “Ireland till the end of time.” The phrase may have first come to use during the Irish Rebellion of 1798 as a rallying cry for Irish independence. In the time since, it’s been used in music, sports, and during celebrations like St. Patrick’s Day to celebrate Irish pride and culture. leprechaun Leprechauns originated in Irish folklore, but they’ve become a famous symbol all over the world. A leprechaun is a dwarf or sprite, often depicted as “a little old man who will reveal the location of a hidden crock of gold to anyone who catches him.” Though leprechauns are usually seen as joyful or mischievous, some representations of leprechauns feature offensive stereotypes that should be avoided. For example, the University of Notre Dame’s “fighting Irish” leprechaun has been voted one of the most offensive mascots in US sports. banshee Leprechauns aren’t the only well-known figures from folklore. In Irish legend, a banshee is “a spirit in the form of a wailing woman who appears to or is heard by members of a family as a sign that one of them is about to die.” The word comes from the Irish Gaelic bean sídh, which translates to “woman of the fairy mound.” In legends, banshees most often appear at night, and some believe they can only be seen by those of Irish descent. Saint Patrick Although the origin of St. Patrick’s Day is a mix of fact and legend, Saint Patrick was a real person. The day commemorates the feast of Saint Patrick, a ​​British-born missionary and bishop who became the patron saint of Ireland. Saint Patrick is believed to have been born Maewyn Succat, and later chose the Latin name Patricius, or Patrick in English and Pádraig in Irish. He is credited with bringing Christianity to Ireland and famously believed to have used the shamrock as a metaphor for the Holy Trinity. Emerald Isle Ireland is sometimes called the Emerald Isle. This poetic nickname for Ireland stems from the lush, green land and rolling hills that make up many parts of the country. Emerald green is a “clear, deep green color” most often associated with the gem of the same name. Green is strongly associated with Ireland not only because of the landscape and symbols like the shamrock, but also because of its use among people fighting for Irish independence throughout history. luck If you’ve ever searched for a four leaf clover, then you know a little something about the supposed link between Irish culture and luck. Luck is “the force that seems to operate for good or ill in a person’s life,” and many people believe Irish symbols, particularly those seen on St. Patrick’s Day, have a special ability to attract good luck. Maybe you’ve heard the phrase the luck of the Irish? This phrase is considered a cliché and is mostly only used in the US, but it’s an example of just how common it is to think Irish culture is imbued with potent powers of good luck. (Need a few more serendipitous ways to say lucky?) Gaelic You’ll notice many of the words on this list have Gaelic roots. Gaelic isn’t only one language. The term encompasses Celtic languages that include the speech of ancient Ireland and more modern dialects that have developed from it, especially Irish, Manx, and Scottish Gaelic. Though the term Irish Gaelic is sometimes used outside of Ireland, Irish is made up of distinct dialects that vary in vocabulary, pronunciation, and grammar, and the words Gaelic and Irish shouldn’t be used interchangeably. shamrock Shamrocks are among the most famous symbols of St. Patrick’s Day. ​​The word shamrock can describe a number of trifoliate, or three-leafed, plants but especially “a small, yellow-flowered clover: the national emblem of Ireland.” Shamrock comes from the Irish Gaelic seamrōg, or “clover.” Saint Patrick’s close association with Ireland and legendary use of the shamrock as a symbol for Christianity helped make it a symbol of Irish culture. These days, shamrocks are so popular there is even a Shamrock emoji. donnybrook In English, donnybrook means ​​”an inordinately wild fight or contentious dispute; brawl; free-for-all.” It comes from Donnybrook Fair, a traditional fair that was held in Donnybrook, county Dublin, Ireland, until 1855. The fair featured livestock and produce and later evolved into a carnival. It was ultimately shut down due to its reputation for brawls and raucous behavior. The word donnybrook entered English in the mid-1800s. Fun fact: the Donnybrook Fair grounds are now the Donnybrook Rugby Ground. bodhran Music is a big part of many St. Patrick’s Day celebrations, and some of it includes the bodhran. A bodhran is “a handheld, shallow Irish drum with a single goatskin head, played with a stick.” It’s often used in traditional Celtic folk music, and it’s known for its deep, distinct sound. Bodhran is borrowed in English from the Irish bodhrán, which derives from the middle Irish bodar, meaning “deafening, deaf.” Celtic The Celts were once the largest group in ancient Europe, and their influence on the language and culture remains prominent today, especially in Ireland. Celtic is a term for the family of languages that includes Irish, Scottish Gaelic, Welsh, and Breton. More broadly, Celtic refers to anything “of the Celts or their language.” limerick A limerick is “a kind of humorous verse of five lines.” It’s also a county in Ireland, and the two share an interesting link. The first known use of limerick referring to the poem comes from the late 1800s, and the word is thought to have originated as a part of a party game. People playing the game took turns making up nonsense verses, then everyone would sing the refrain: “Will you come up to Limerick?” The refrain referenced Limerick, the place, but later came to represent the poems themselves. clover It’s said that if you find a four-leaf clover, it will bring you good luck. So, is a clover the same thing as a shamrock? It’s complicated. Clover and shamrock are both used to describe plants from similar species. While shamrock derives from an Irish word, clover has roots in Old English. Clovers may have two, three, four, or more leaves, while the traditional shamrock that’s used as a symbol of Ireland has three. In other words, shamrocks are a type of clover, but not every clover is a shamrock. balbriggan There are many things that take their names from places in Ireland. Balbriggan is one. In addition to being a city in Ireland, balbriggan is “a plain-knit cotton fabric, used especially in hosiery and underwear.” The fabric was first made in the town of the same name, and the word has been in use in English since the mid-1800s. shillelagh A shillelagh is a cudgel, or club, traditionally made of blackthorn or oak, and it’s become a recognizable symbol of Irish culture in some St. Patrick’s Day celebrations. The name shillelagh comes from the Irish Síol Éiligh, the name of a town in County Wicklow, Ireland. The adjoining forest once provided the wood for the clubs, which are now sometimes carried in parades or sold as souvenirs. brogue Let’s hear it for the brogue. A brogue is “an Irish accent in the pronunciation of English.” Believe it or not, this term may be related to shoes. The word brogue can also refer to “a coarse, usually untanned leather shoe once worn in Ireland and Scotland.” It’s thought that brogue in reference to accents may be a special use of the word; it was first recorded in English in the early 1700s. rainbow Rainbows are often associated with Ireland and St. Patrick’s Day. Some legends say leprechauns leave gold at the ends of rainbows. There may also be a scientific explanation for Ireland’s close association with rainbows. A rainbow is an “arc of prismatic colors appearing in the heavens opposite the sun and caused by the refraction and reflection of the sun’s rays in drops of rain.” Because of its rainy climate and latitude, Ireland may actually have better conditions for the formation of frequent rainbows than other places. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 805 มุมมอง 0 รีวิว