• “Splash Damage หลุดจากเงา Tencent — สตูดิโอเกมเก๋าอังกฤษเปลี่ยนมือสู่กลุ่มทุนเอกชน หลังยกเลิกโปรเจกต์ Transformers”

    Splash Damage สตูดิโอเกมจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังผลงานดังอย่าง Gears 5, Batman: Arkham Origins และ Brink ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Tencent อย่างเป็นทางการ โดยเปลี่ยนมือไปอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มนักลงทุนเอกชน ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในขณะนี้

    การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากโปรเจกต์เกม Transformers: Reactive ถูกยกเลิกในปี 2024 ซึ่งส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานจำนวนหนึ่งในทีม Splash Damage โดยทางสตูดิโอระบุว่า “การต้องบอกลาเพื่อนร่วมงานเป็นเรื่องเจ็บปวดที่สุด” และยืนยันว่าจะดูแลทั้งผู้ที่อยู่และผู้ที่จากไปอย่างเต็มที่

    แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าการยกเลิกโปรเจกต์ Transformers เป็นสาเหตุหลักของการแยกตัวจาก Tencent แต่หลายฝ่ายคาดว่าอาจมีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเมื่อ Hasbro ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Transformers ก็มีบทบาทในการตัดสินใจครั้งนั้น

    Splash Damage ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 และมีประสบการณ์ในวงการเกมมากกว่า 20 ปี การที่สตูดิโอยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้แม้จะเปลี่ยนมือ ถือเป็นข่าวดีในยุคที่สตูดิโอเกมเก่าแก่หลายแห่งต้องปิดตัวลง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Splash Damage แยกตัวจาก Tencent และถูกซื้อโดยกลุ่มทุนเอกชน
    ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจากทางสตูดิโอในขณะนี้
    การเปลี่ยนมือเกิดขึ้นหลังโปรเจกต์ Transformers: Reactive ถูกยกเลิก
    การยกเลิกโปรเจกต์ส่งผลให้มีการปลดพนักงานในทีม
    สตูดิโอยืนยันว่าจะดูแลทั้งผู้ที่อยู่และผู้ที่จากไปอย่างเต็มที่
    Splash Damage มีผลงานเด่น เช่น Gears 5, Brink, Batman: Arkham Origins
    ก่อตั้งในปี 2001 และมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในวงการเกม
    การเปลี่ยนมือครั้งนี้ไม่ใช่การปิดกิจการ แต่เป็นการปรับโครงสร้างใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Splash Damage เคยถูก Leyou Technologies ซื้อกิจการในปี 2016 ก่อนที่ Tencent จะเข้ามาเป็นเจ้าของผ่านการซื้อ Leyou
    สตูดิโอมีชื่อเสียงด้านเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง และการร่วมพัฒนาเกมกับค่ายใหญ่
    การเปลี่ยนมือไปสู่กลุ่มทุนเอกชนอาจเปิดโอกาสให้สตูดิโอมีอิสระในการพัฒนาเกมมากขึ้น
    ตลาดเกมในอังกฤษยังคงมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเกม AAA และเกมออนไลน์
    การยกเลิกโปรเจกต์ Transformers อาจเกี่ยวข้องกับการปรับกลยุทธ์ของ Hasbro ในการจัดการลิขสิทธิ์เกม

    https://wccftech.com/developer-splash-damage-no-longer-owned-by-tencent-acquired-by-private-equity-investors/
    🎮 “Splash Damage หลุดจากเงา Tencent — สตูดิโอเกมเก๋าอังกฤษเปลี่ยนมือสู่กลุ่มทุนเอกชน หลังยกเลิกโปรเจกต์ Transformers” Splash Damage สตูดิโอเกมจากอังกฤษที่อยู่เบื้องหลังผลงานดังอย่าง Gears 5, Batman: Arkham Origins และ Brink ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Tencent อย่างเป็นทางการ โดยเปลี่ยนมือไปอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มนักลงทุนเอกชน ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมในขณะนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากโปรเจกต์เกม Transformers: Reactive ถูกยกเลิกในปี 2024 ซึ่งส่งผลให้เกิดการปลดพนักงานจำนวนหนึ่งในทีม Splash Damage โดยทางสตูดิโอระบุว่า “การต้องบอกลาเพื่อนร่วมงานเป็นเรื่องเจ็บปวดที่สุด” และยืนยันว่าจะดูแลทั้งผู้ที่อยู่และผู้ที่จากไปอย่างเต็มที่ แม้จะยังไม่มีการยืนยันว่าการยกเลิกโปรเจกต์ Transformers เป็นสาเหตุหลักของการแยกตัวจาก Tencent แต่หลายฝ่ายคาดว่าอาจมีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเมื่อ Hasbro ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ Transformers ก็มีบทบาทในการตัดสินใจครั้งนั้น Splash Damage ก่อตั้งขึ้นในปี 2001 และมีประสบการณ์ในวงการเกมมากกว่า 20 ปี การที่สตูดิโอยังสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้แม้จะเปลี่ยนมือ ถือเป็นข่าวดีในยุคที่สตูดิโอเกมเก่าแก่หลายแห่งต้องปิดตัวลง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Splash Damage แยกตัวจาก Tencent และถูกซื้อโดยกลุ่มทุนเอกชน ➡️ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมจากทางสตูดิโอในขณะนี้ ➡️ การเปลี่ยนมือเกิดขึ้นหลังโปรเจกต์ Transformers: Reactive ถูกยกเลิก ➡️ การยกเลิกโปรเจกต์ส่งผลให้มีการปลดพนักงานในทีม ➡️ สตูดิโอยืนยันว่าจะดูแลทั้งผู้ที่อยู่และผู้ที่จากไปอย่างเต็มที่ ➡️ Splash Damage มีผลงานเด่น เช่น Gears 5, Brink, Batman: Arkham Origins ➡️ ก่อตั้งในปี 2001 และมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในวงการเกม ➡️ การเปลี่ยนมือครั้งนี้ไม่ใช่การปิดกิจการ แต่เป็นการปรับโครงสร้างใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Splash Damage เคยถูก Leyou Technologies ซื้อกิจการในปี 2016 ก่อนที่ Tencent จะเข้ามาเป็นเจ้าของผ่านการซื้อ Leyou ➡️ สตูดิโอมีชื่อเสียงด้านเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง และการร่วมพัฒนาเกมกับค่ายใหญ่ ➡️ การเปลี่ยนมือไปสู่กลุ่มทุนเอกชนอาจเปิดโอกาสให้สตูดิโอมีอิสระในการพัฒนาเกมมากขึ้น ➡️ ตลาดเกมในอังกฤษยังคงมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะในกลุ่มเกม AAA และเกมออนไลน์ ➡️ การยกเลิกโปรเจกต์ Transformers อาจเกี่ยวข้องกับการปรับกลยุทธ์ของ Hasbro ในการจัดการลิขสิทธิ์เกม https://wccftech.com/developer-splash-damage-no-longer-owned-by-tencent-acquired-by-private-equity-investors/
    WCCFTECH.COM
    Developer Splash Damage No Longer Owned by Tencent, Acquired by Private Equity Investors
    Developer Splash Damage is no longer owned by Tencent, and has been acquired by private equity investors, the studio confirms.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • “YMTC กระโดดสู่ตลาด DRAM — จีนเร่งผลิต HBM ในประเทศ สู้วิกฤตขาดแคลนชิป AI หลังถูกสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออก”

    หลังจากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต NAND รายใหญ่ของจีน บริษัท YMTC (Yangtze Memory Technologies Co.) กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด DRAM โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) ด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำความเร็วสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI ในประเทศ

    จีนกำลังเผชิญกับวิกฤต HBM อย่างหนัก เนื่องจากความต้องการชิป AI พุ่งสูง แต่กลับถูกสหรัฐฯ ขยายมาตรการควบคุมการส่งออกในปลายปี 2024 ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเข้าถึง HBM จากผู้ผลิตต่างประเทศ เช่น Micron, SK Hynix และ Samsung ได้อีกต่อไป

    YMTC จึงเริ่มตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ TSV (Through-Silicon Via) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง HBM ที่ต้องซ้อนชั้น VRAM หลายชั้นอย่างแม่นยำ โดยมีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่น และร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการซ้อนชั้น 3D และการผลิต HBM2/HBM3

    แม้จะยังไม่มีตัวเลขการผลิตที่แน่นอน แต่ CXMT คาดว่าจะผลิตแผ่นเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ Micron แล้ว ขณะที่ YMTC นำเทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น

    การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลก หากจีนสามารถผลิต HBM ได้ในปริมาณมากและคุณภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่น ๆ เริ่มพัฒนา AI accelerator ที่ใช้ HBM ในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YMTC ขยายธุรกิจจาก NAND สู่ DRAM เพื่อผลิต HBM ภายในประเทศ
    การขาดแคลน HBM เกิดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เริ่มปลายปี 2024
    YMTC ตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยี TSV สำหรับการซ้อนชั้น VRAM
    มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่นเพื่อรองรับการผลิต DRAM
    ร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีนในการพัฒนา HBM2/HBM3
    CXMT คาดว่าจะผลิตเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025
    YMTC ใช้เทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM
    Huawei เตรียมใช้ HBM ที่ผลิตในประเทศกับชิป AI รุ่นใหม่
    การผลิต HBM ในประเทศช่วยลดการพึ่งพาตะวันตกและเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นต่อการประมวลผล AI เช่นใน GPU และ XPU
    TSV เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อชั้นหน่วยความจำแบบแนวตั้งด้วยความแม่นยำสูง
    CXMT เป็นผู้ผลิต DRAM ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับการผลิต HBM
    การใช้ Xtacking ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น
    หากจีนผลิต HBM ได้สำเร็จ อาจมีผลต่อการแข่งขันกับ Samsung และ SK Hynix

    https://wccftech.com/china-ymtc-is-now-tapping-into-the-dram-business/
    🇨🇳 “YMTC กระโดดสู่ตลาด DRAM — จีนเร่งผลิต HBM ในประเทศ สู้วิกฤตขาดแคลนชิป AI หลังถูกสหรัฐฯ ควบคุมการส่งออก” หลังจากเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิต NAND รายใหญ่ของจีน บริษัท YMTC (Yangtze Memory Technologies Co.) กำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาด DRAM โดยมีเป้าหมายหลักคือการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) ด้วยตัวเอง เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนชิปหน่วยความจำความเร็วสูงที่จำเป็นต่อการพัฒนา AI ในประเทศ จีนกำลังเผชิญกับวิกฤต HBM อย่างหนัก เนื่องจากความต้องการชิป AI พุ่งสูง แต่กลับถูกสหรัฐฯ ขยายมาตรการควบคุมการส่งออกในปลายปี 2024 ทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเข้าถึง HBM จากผู้ผลิตต่างประเทศ เช่น Micron, SK Hynix และ Samsung ได้อีกต่อไป YMTC จึงเริ่มตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ TSV (Through-Silicon Via) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้าง HBM ที่ต้องซ้อนชั้น VRAM หลายชั้นอย่างแม่นยำ โดยมีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่น และร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีน เพื่อแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านการซ้อนชั้น 3D และการผลิต HBM2/HBM3 แม้จะยังไม่มีตัวเลขการผลิตที่แน่นอน แต่ CXMT คาดว่าจะผลิตแผ่นเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของ Micron แล้ว ขณะที่ YMTC นำเทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังอาจส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลก หากจีนสามารถผลิต HBM ได้ในปริมาณมากและคุณภาพสูง โดยเฉพาะเมื่อ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีจีนอื่น ๆ เริ่มพัฒนา AI accelerator ที่ใช้ HBM ในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YMTC ขยายธุรกิจจาก NAND สู่ DRAM เพื่อผลิต HBM ภายในประเทศ ➡️ การขาดแคลน HBM เกิดจากการควบคุมการส่งออกของสหรัฐฯ ที่เริ่มปลายปี 2024 ➡️ YMTC ตั้งสายการผลิต DRAM และพัฒนาเทคโนโลยี TSV สำหรับการซ้อนชั้น VRAM ➡️ มีแผนสร้างโรงงานใหม่ในเมืองอู่ฮั่นเพื่อรองรับการผลิต DRAM ➡️ ร่วมมือกับ CXMT ผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ของจีนในการพัฒนา HBM2/HBM3 ➡️ CXMT คาดว่าจะผลิตเวเฟอร์ DRAM ได้ถึง 2.73 ล้านแผ่นในปี 2025 ➡️ YMTC ใช้เทคโนโลยี Xtacking ที่เคยใช้ใน NAND มาเสริมการผลิต DRAM ➡️ Huawei เตรียมใช้ HBM ที่ผลิตในประเทศกับชิป AI รุ่นใหม่ ➡️ การผลิต HBM ในประเทศช่วยลดการพึ่งพาตะวันตกและเสริมความมั่นคงด้านเทคโนโลยี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM เป็นหน่วยความจำที่จำเป็นต่อการประมวลผล AI เช่นใน GPU และ XPU ➡️ TSV เป็นเทคนิคที่ใช้เชื่อมต่อชั้นหน่วยความจำแบบแนวตั้งด้วยความแม่นยำสูง ➡️ CXMT เป็นผู้ผลิต DRAM ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมสำหรับการผลิต HBM ➡️ การใช้ Xtacking ช่วยลดความร้อนและเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อระหว่างชั้น ➡️ หากจีนผลิต HBM ได้สำเร็จ อาจมีผลต่อการแข่งขันกับ Samsung และ SK Hynix https://wccftech.com/china-ymtc-is-now-tapping-into-the-dram-business/
    WCCFTECH.COM
    China's YMTC Is Now Tapping Into the DRAM Business, Producing It Domestically to Combat the HBM Shortage in the Region
    China's famous NAND producer YMTC is now planning to tap into the DRAM business, likely to speed up development of 'in-house' HBM.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • “AI กู้คืนเงินหลวงอังกฤษ 480 ล้านปอนด์ — Fraud Risk Assessment Accelerator กลายเป็นอาวุธใหม่ปราบโกงระดับโลก”

    รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า “Fraud Risk Assessment Accelerator” ซึ่งสามารถช่วยกู้คืนเงินที่สูญเสียจากการทุจริตได้มากถึง 480 ล้านปอนด์ภายในเวลาเพียง 12 เดือน (เมษายน 2024 – เมษายน 2025) ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ

    ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการโกงในโครงการ Bounce Back Loan ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด ซึ่งมีการอนุมัติเงินกู้สูงสุดถึง 50,000 ปอนด์ต่อบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดการโกงอย่างแพร่หลาย เช่น การสร้างบริษัทปลอม หรือการขอเงินกู้หลายครั้งโดยไม่สิทธิ์

    AI ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่ล่วงหน้าเพื่อหาช่องโหว่ก่อนที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ประโยชน์ได้ ถือเป็นการ “fraud-proof” นโยบายตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    หลังจากประสบความสำเร็จในอังกฤษ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมต่อต้านการทุจริตระดับนานาชาติที่จัดร่วมกับกลุ่ม Five Eyes

    อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในการตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการ โดยระบุว่าอาจเกิดความลำเอียงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีอายุ ความพิการ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องรับมืออย่างรอบคอบในการขยายระบบนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลอังกฤษใช้ AI Fraud Risk Assessment Accelerator กู้คืนเงินได้ 480 ล้านปอนด์ใน 12 เดือน
    186 ล้านปอนด์ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการโกงโครงการ Bounce Back Loan ช่วงโควิด
    ระบบสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่เพื่อหาช่องโหว่ก่อนถูกโกง
    ป้องกันบริษัทนับแสนที่พยายามยุบตัวเพื่อหลบเลี่ยงการคืนเงินกู้
    รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    เงินที่กู้คืนจะนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และตำรวจ
    มีการประกาศผลในงานประชุมต่อต้านการทุจริตร่วมกับกลุ่ม Five Eyes
    ระบบนี้พัฒนาโดยนักวิจัยของรัฐบาลอังกฤษเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Bounce Back Loan เป็นโครงการช่วยเหลือธุรกิจช่วงโควิดที่ถูกวิจารณ์เรื่องการตรวจสอบไม่เข้มงวด
    การใช้ AI ในการวิเคราะห์นโยบายล่วงหน้าเป็นแนวทางใหม่ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้
    Five Eyes เป็นพันธมิตรข่าวกรองระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
    การใช้ AI ในภาครัฐเริ่มแพร่หลาย เช่น การตรวจสอบภาษี การจัดสรรสวัสดิการ และการวิเคราะห์ความเสี่ยง
    การกู้คืนเงินจากการโกงช่วยลดภาระงบประมาณและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบราชการ

    https://www.techradar.com/pro/security/uk-government-says-a-new-ai-tool-helped-it-recover-almost-gbp500-million-in-fraud-losses-and-now-its-going-global
    💰 “AI กู้คืนเงินหลวงอังกฤษ 480 ล้านปอนด์ — Fraud Risk Assessment Accelerator กลายเป็นอาวุธใหม่ปราบโกงระดับโลก” รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ชื่อว่า “Fraud Risk Assessment Accelerator” ซึ่งสามารถช่วยกู้คืนเงินที่สูญเสียจากการทุจริตได้มากถึง 480 ล้านปอนด์ภายในเวลาเพียง 12 เดือน (เมษายน 2024 – เมษายน 2025) ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อจัดการกับการโกงในโครงการ Bounce Back Loan ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด ซึ่งมีการอนุมัติเงินกู้สูงสุดถึง 50,000 ปอนด์ต่อบริษัทโดยไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดการโกงอย่างแพร่หลาย เช่น การสร้างบริษัทปลอม หรือการขอเงินกู้หลายครั้งโดยไม่สิทธิ์ AI ตัวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยตรวจสอบย้อนหลัง แต่ยังสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่ล่วงหน้าเพื่อหาช่องโหว่ก่อนที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้ประโยชน์ได้ ถือเป็นการ “fraud-proof” นโยบายตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบ ซึ่งช่วยป้องกันการสูญเสียในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลังจากประสบความสำเร็จในอังกฤษ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังประเทศพันธมิตร เช่น สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในงานประชุมต่อต้านการทุจริตระดับนานาชาติที่จัดร่วมกับกลุ่ม Five Eyes อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้ AI ในการตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการ โดยระบุว่าอาจเกิดความลำเอียงและผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรม เช่น การเลือกปฏิบัติต่อผู้มีอายุ ความพิการ หรือเชื้อชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลต้องรับมืออย่างรอบคอบในการขยายระบบนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลอังกฤษใช้ AI Fraud Risk Assessment Accelerator กู้คืนเงินได้ 480 ล้านปอนด์ใน 12 เดือน ➡️ 186 ล้านปอนด์ในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการโกงโครงการ Bounce Back Loan ช่วงโควิด ➡️ ระบบสามารถวิเคราะห์นโยบายใหม่เพื่อหาช่องโหว่ก่อนถูกโกง ➡️ ป้องกันบริษัทนับแสนที่พยายามยุบตัวเพื่อหลบเลี่ยงการคืนเงินกู้ ➡️ รัฐบาลเตรียมขยายการใช้งานไปยังสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ➡️ เงินที่กู้คืนจะนำไปใช้ในบริการสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และตำรวจ ➡️ มีการประกาศผลในงานประชุมต่อต้านการทุจริตร่วมกับกลุ่ม Five Eyes ➡️ ระบบนี้พัฒนาโดยนักวิจัยของรัฐบาลอังกฤษเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Bounce Back Loan เป็นโครงการช่วยเหลือธุรกิจช่วงโควิดที่ถูกวิจารณ์เรื่องการตรวจสอบไม่เข้มงวด ➡️ การใช้ AI ในการวิเคราะห์นโยบายล่วงหน้าเป็นแนวทางใหม่ที่หลายประเทศเริ่มนำมาใช้ ➡️ Five Eyes เป็นพันธมิตรข่าวกรองระหว่างอังกฤษ สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ➡️ การใช้ AI ในภาครัฐเริ่มแพร่หลาย เช่น การตรวจสอบภาษี การจัดสรรสวัสดิการ และการวิเคราะห์ความเสี่ยง ➡️ การกู้คืนเงินจากการโกงช่วยลดภาระงบประมาณและเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบราชการ https://www.techradar.com/pro/security/uk-government-says-a-new-ai-tool-helped-it-recover-almost-gbp500-million-in-fraud-losses-and-now-its-going-global
    WWW.TECHRADAR.COM
    UK’s fraud detection AI to be licensed abroad after recovering £480m in lost revenue
    The Fraud Risk Assessment Accelerator is now set to be licensed abroad
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “Oktane 2025: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้ — Okta และ Auth0 เปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ Agentic AI แบบครบวงจร”

    ในงาน Oktane 2025 ที่ลาสเวกัส Okta และ Auth0 ได้เปิดตัวชุดเครื่องมือใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ AI agents ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคใหม่ของ “Agentic AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา

    Todd McKinnon ซีอีโอของ Okta เปิดเวทีด้วยแนวคิด “ถ้าคุณจะทำ AI ให้ถูก คุณต้องทำ Identity ให้ถูกก่อน” โดยเน้นว่า AI agents ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ผู้ใช้” ที่ต้องมีการจัดการสิทธิ์ การตรวจสอบ และการป้องกันภัยคุกคามเหมือนกับมนุษย์

    หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวคือ “Cross App Access” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agents สามารถเข้าถึงหลายแอปได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอขออนุญาตซ้ำ ๆ อีกต่อไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมสิทธิ์ได้จากศูนย์กลาง และยกเลิกการเข้าถึงแบบถาวรได้ทันที

    Auth0 ก็ไม่น้อยหน้า โดยเปิดตัว “Auth0 for AI Agents” ที่จะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนหน้า พร้อมระบบที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตน, การเรียก API อย่างปลอดภัย, การตรวจสอบการทำงานแบบ asynchronous และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบละเอียด

    นอกจากนี้ Okta ยังประกาศขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก และเปิดตัวระบบ “Identity Governance” ที่ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติระหว่างการยืนยันตัวตน เช่น bot attacks หรือการปลอมแปลง credential

    งานนี้ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก AI agent ของ McDonald’s ที่ชื่อ McHire ซึ่งถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ด้านรหัสผ่านและการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่รัดกุม — เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI ที่ไม่มีการจัดการ Identity อย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กรได้ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Okta เปิดตัวระบบ Identity สำหรับ AI agents โดยเน้นความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ
    ฟีเจอร์ Cross App Access ช่วยให้ AI agents เข้าถึงหลายแอปโดยไม่ต้องขออนุญาตซ้ำ
    ผู้ดูแลสามารถควบคุมสิทธิ์และยกเลิกการเข้าถึงได้จากศูนย์กลาง
    Auth0 เปิดตัว Auth0 for AI Agents พร้อมระบบ 4 ด้านหลักเพื่อความปลอดภัย
    Okta ขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย
    เปิดตัวระบบ Identity Governance ที่ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ
    มีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก McHire เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการ Identity
    งาน Oktane 2025 มีการสาธิตระบบ audit trail สำหรับติดตามการทำงานของ AI agents

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์
    การจัดการ Identity สำหรับ AI agents ต้องครอบคลุมทั้งสิทธิ์, การตรวจสอบ และการควบคุม
    Cross App Access เป็นการต่อยอดจาก OAuth ที่ลดความซับซ้อนของการขอสิทธิ์
    การใช้ AI ใน Identity Governance ช่วยลด false positive และเพิ่มความแม่นยำ
    การขยายศูนย์ข้อมูลช่วยลด latency และเพิ่มความมั่นคงในการให้บริการระดับโลก

    https://www.techradar.com/pro/live/oktane-2025-all-the-news-and-updates-as-they-happen
    🔐 “Oktane 2025: เมื่อ AI กลายเป็นผู้ใช้ — Okta และ Auth0 เปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ Agentic AI แบบครบวงจร” ในงาน Oktane 2025 ที่ลาสเวกัส Okta และ Auth0 ได้เปิดตัวชุดเครื่องมือใหม่สำหรับการรักษาความปลอดภัยของ AI agents ซึ่งเป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับยุคใหม่ของ “Agentic AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ตลอดเวลา Todd McKinnon ซีอีโอของ Okta เปิดเวทีด้วยแนวคิด “ถ้าคุณจะทำ AI ให้ถูก คุณต้องทำ Identity ให้ถูกก่อน” โดยเน้นว่า AI agents ไม่ใช่แค่ระบบอัตโนมัติ แต่เป็น “ผู้ใช้” ที่ต้องมีการจัดการสิทธิ์ การตรวจสอบ และการป้องกันภัยคุกคามเหมือนกับมนุษย์ หนึ่งในฟีเจอร์ใหม่ที่เปิดตัวคือ “Cross App Access” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ช่วยให้ AI agents สามารถเข้าถึงหลายแอปได้โดยไม่ต้องผ่านหน้าจอขออนุญาตซ้ำ ๆ อีกต่อไป โดยผู้ดูแลระบบสามารถควบคุมสิทธิ์ได้จากศูนย์กลาง และยกเลิกการเข้าถึงแบบถาวรได้ทันที Auth0 ก็ไม่น้อยหน้า โดยเปิดตัว “Auth0 for AI Agents” ที่จะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเดือนหน้า พร้อมระบบที่ครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การยืนยันตัวตน, การเรียก API อย่างปลอดภัย, การตรวจสอบการทำงานแบบ asynchronous และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลแบบละเอียด นอกจากนี้ Okta ยังประกาศขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย เพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก และเปิดตัวระบบ “Identity Governance” ที่ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติระหว่างการยืนยันตัวตน เช่น bot attacks หรือการปลอมแปลง credential งานนี้ยังมีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก AI agent ของ McDonald’s ที่ชื่อ McHire ซึ่งถูกโจมตีผ่านช่องโหว่ด้านรหัสผ่านและการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่รัดกุม — เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า AI ที่ไม่มีการจัดการ Identity อย่างเหมาะสม อาจกลายเป็นจุดอ่อนขององค์กรได้ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Okta เปิดตัวระบบ Identity สำหรับ AI agents โดยเน้นความปลอดภัยตั้งแต่การออกแบบ ➡️ ฟีเจอร์ Cross App Access ช่วยให้ AI agents เข้าถึงหลายแอปโดยไม่ต้องขออนุญาตซ้ำ ➡️ ผู้ดูแลสามารถควบคุมสิทธิ์และยกเลิกการเข้าถึงได้จากศูนย์กลาง ➡️ Auth0 เปิดตัว Auth0 for AI Agents พร้อมระบบ 4 ด้านหลักเพื่อความปลอดภัย ➡️ Okta ขยายศูนย์ข้อมูลใหม่ในแคนาดาและอินเดีย ➡️ เปิดตัวระบบ Identity Governance ที่ใช้ AI ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ ➡️ มีการพูดถึงเหตุการณ์แฮก McHire เพื่อเน้นความสำคัญของการจัดการ Identity ➡️ งาน Oktane 2025 มีการสาธิตระบบ audit trail สำหรับติดตามการทำงานของ AI agents ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์ ➡️ การจัดการ Identity สำหรับ AI agents ต้องครอบคลุมทั้งสิทธิ์, การตรวจสอบ และการควบคุม ➡️ Cross App Access เป็นการต่อยอดจาก OAuth ที่ลดความซับซ้อนของการขอสิทธิ์ ➡️ การใช้ AI ใน Identity Governance ช่วยลด false positive และเพิ่มความแม่นยำ ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลช่วยลด latency และเพิ่มความมั่นคงในการให้บริการระดับโลก https://www.techradar.com/pro/live/oktane-2025-all-the-news-and-updates-as-they-happen
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?”

    ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน

    ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ

    Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย

    ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป

    ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U
    ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ
    รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste
    รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า
    iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud
    ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร
    เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน
    ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม
    การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ
    มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม
    การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย
    การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    📦 “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?” ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ ➡️ รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste ➡️ รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า ➡️ iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud ➡️ ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร ➡️ เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน ➡️ ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม ➡️ การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ ➡️ มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม ➡️ การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย ➡️ การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร”

    รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที

    สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป

    นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ

    Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ
    API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ
    การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call
    SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้
    6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage
    37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส
    SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้
    Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด
    อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ
    การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้
    การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย
    การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    📱 “แอปมือถือรั่วข้อมูลหนัก — iOS แย่กว่า Android และ API กลายเป็นช่องโหว่หลักขององค์กร” รายงานล่าสุดจาก Zimperium เผยให้เห็นภาพที่น่าตกใจของความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในแอปมือถือ โดยเฉพาะในระบบ iOS และ Android ซึ่งกลายเป็นสนามรบใหม่ของการโจมตีผ่าน API โดยตรง รายงานระบุว่า “มากกว่าครึ่ง” ของแอป iOS และ “หนึ่งในสาม” ของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลส่วนตัว (PII), token, และข้อมูลระบบที่สามารถนำไปใช้โจมตีต่อได้ทันที สิ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นคือการที่แฮกเกอร์สามารถดัดแปลงแอปจากฝั่ง client ได้โดยตรง เช่น การ reverse-engineer โค้ด, การปลอม API call ให้ดูเหมือนถูกต้อง, หรือแม้แต่การฝัง SDK ที่แอบส่งข้อมูลออกไปโดยผู้ใช้ไม่รู้ตัว แม้จะมีการใช้ SSL pinning หรือ API key validation ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด เพราะการโจมตีเกิด “ภายในแอป” ไม่ใช่แค่ที่ขอบระบบอีกต่อไป นอกจากนี้ยังพบว่า 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลส่วนตัวลงใน console log และ 4% เขียนลง external storage ที่แอปอื่นสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องให้มัลแวร์หรือแอปไม่พึงประสงค์เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง 37% ของแอปยอดนิยมยังส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัสที่เพียงพอ Zimperium แนะนำให้เปลี่ยนแนวทางการป้องกันจาก “ขอบระบบ” มาเป็น “ภายในแอป” โดยใช้เทคนิคเช่น code obfuscation, runtime protection, และการตรวจสอบว่า API call มาจากแอปที่ไม่ถูกดัดแปลงเท่านั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มากกว่าครึ่งของแอป iOS และหนึ่งในสามของแอป Android มีการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ➡️ API กลายเป็นช่องโหว่หลักที่แฮกเกอร์ใช้โจมตีผ่านแอปมือถือ ➡️ การโจมตีเกิดจากฝั่ง client เช่น reverse-engineering และการปลอม API call ➡️ SSL pinning และ API key validation ไม่สามารถป้องกันการโจมตีภายในแอปได้ ➡️ 6% ของแอป Android ชั้นนำเขียนข้อมูลลง console log และ 4% เขียนลง external storage ➡️ 37% ของแอปยอดนิยมส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกโดยไม่มีการเข้ารหัส ➡️ SDK บางตัวสามารถแอบส่งข้อมูล, บันทึกตำแหน่ง GPS และพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ Zimperium แนะนำให้ใช้ in-app defense เช่น code obfuscation และ runtime protection ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ API เป็นหัวใจของแอปยุคใหม่ แต่ก็เป็นจุดที่ถูกโจมตีมากที่สุด ➡️ อุปกรณ์ที่ถูก root หรือ jailbreak สามารถเปิดช่องให้แฮกเกอร์ควบคุมได้เต็มรูปแบบ ➡️ การป้องกันแบบ perimeter เช่น firewall และ gateway ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของแอปที่ส่ง request ได้ ➡️ การใช้ Bring-Your-Own-Device (BYOD) ในองค์กรเพิ่มความเสี่ยงจากแอปที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การตรวจสอบพฤติกรรมแอปและการตั้งค่าความปลอดภัยพื้นฐาน เช่น screen lock และ OS update เป็นสิ่งจำเป็น https://www.techradar.com/pro/security/apple-ios-apps-are-worse-at-leaking-sensitive-data-than-android-apps-finds-worrying-research-heres-what-you-need-to-know
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “Supermicro เจอมัลแวร์ฝังลึกใน BMC — แฮกเกอร์สามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้แบบลบไม่ออก แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Binarly ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Baseboard Management Controller (BMC) ของเมนบอร์ด Supermicro ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ที่ “ลบไม่ออก” แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้วก็ตาม โดยช่องโหว่นี้เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของเฟิร์มแวร์ที่อัปโหลดเข้าไปใน BMC

    BMC เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ฝังอยู่ในเมนบอร์ดเซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่ควบคุมระบบจากระยะไกลแม้เครื่องจะปิดอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือ OS หลัก

    ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบใหม่มีสองรายการ ได้แก่ CVE-2025-7937 และ CVE-2025-6198 โดย CVE-2025-7937 เป็นการ “ย้อนกลับ” ช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์ไปแล้วในปี 2024 (CVE-2024-10237) ส่วน CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป แต่ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน คือสามารถฝังเฟิร์มแวร์อันตรายที่ผ่านการตรวจสอบได้อย่างแนบเนียน

    มัลแวร์ที่ฝังเข้าไปสามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร โดยไม่สามารถตรวจจับหรือกำจัดได้ง่าย ๆ เนื่องจากมันสามารถ “ผ่าน” ขั้นตอนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์

    Binarly แนะนำให้ผู้ผลิตและผู้ใช้งานเซิร์ฟเวอร์ใช้ระบบ Root of Trust (RoT) ที่มีการตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์ และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันการโจมตีในระดับลึกเช่นนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบช่องโหว่ใหม่ใน BMC ของเมนบอร์ด Supermicro ที่เปิดทางให้มัลแวร์ฝังตัวแบบลบไม่ออก
    ช่องโหว่เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของเฟิร์มแวร์
    ช่องโหว่ CVE-2025-7937 เป็นการย้อนกลับช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์
    ช่องโหว่ CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป
    มัลแวร์สามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร
    เฟิร์มแวร์อันตรายสามารถผ่านการตรวจสอบลายเซ็นได้อย่างแนบเนียน
    Binarly แนะนำให้ใช้ Root of Trust ที่ตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์
    ควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ก่อนอัปเดต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BMC เป็นจุดสำคัญในการบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์จากระยะไกล
    การโจมตีผ่าน BMC สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบปฏิบัติการหลักได้
    Root of Trust เป็นแนวทางที่ใช้ในระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น TPM และ Secure Boot
    ช่องโหว่ใน BMC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ในระบบ cloud และ edge
    การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์มักใช้ในกลุ่ม APT ที่มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์

    https://www.techradar.com/pro/security/supermicro-motherboards-can-be-infected-with-unremovable-new-malware
    🛡️ “Supermicro เจอมัลแวร์ฝังลึกใน BMC — แฮกเกอร์สามารถควบคุมเซิร์ฟเวอร์ได้แบบลบไม่ออก แม้จะอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้ว” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Binarly ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Baseboard Management Controller (BMC) ของเมนบอร์ด Supermicro ซึ่งสามารถถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ที่ “ลบไม่ออก” แม้จะมีการอัปเดตเฟิร์มแวร์แล้วก็ตาม โดยช่องโหว่นี้เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องของเฟิร์มแวร์ที่อัปโหลดเข้าไปใน BMC BMC เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ฝังอยู่ในเมนบอร์ดเซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่ควบคุมระบบจากระยะไกลแม้เครื่องจะปิดอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือ OS หลัก ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบใหม่มีสองรายการ ได้แก่ CVE-2025-7937 และ CVE-2025-6198 โดย CVE-2025-7937 เป็นการ “ย้อนกลับ” ช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์ไปแล้วในปี 2024 (CVE-2024-10237) ส่วน CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป แต่ให้ผลลัพธ์คล้ายกัน คือสามารถฝังเฟิร์มแวร์อันตรายที่ผ่านการตรวจสอบได้อย่างแนบเนียน มัลแวร์ที่ฝังเข้าไปสามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร โดยไม่สามารถตรวจจับหรือกำจัดได้ง่าย ๆ เนื่องจากมันสามารถ “ผ่าน” ขั้นตอนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ Binarly แนะนำให้ผู้ผลิตและผู้ใช้งานเซิร์ฟเวอร์ใช้ระบบ Root of Trust (RoT) ที่มีการตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์ และเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ เพื่อป้องกันการโจมตีในระดับลึกเช่นนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบช่องโหว่ใหม่ใน BMC ของเมนบอร์ด Supermicro ที่เปิดทางให้มัลแวร์ฝังตัวแบบลบไม่ออก ➡️ ช่องโหว่เกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของเฟิร์มแวร์ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-7937 เป็นการย้อนกลับช่องโหว่เดิมที่เคยถูกแพตช์ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-6198 เป็นช่องโหว่ใหม่ที่ใช้เทคนิคต่างออกไป ➡️ มัลแวร์สามารถควบคุมทั้ง BMC และระบบปฏิบัติการหลักได้อย่างถาวร ➡️ เฟิร์มแวร์อันตรายสามารถผ่านการตรวจสอบลายเซ็นได้อย่างแนบเนียน ➡️ Binarly แนะนำให้ใช้ Root of Trust ที่ตรวจสอบจากฮาร์ดแวร์ ➡️ ควรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟิร์มแวร์ก่อนอัปเดต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BMC เป็นจุดสำคัญในการบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์จากระยะไกล ➡️ การโจมตีผ่าน BMC สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบปฏิบัติการหลักได้ ➡️ Root of Trust เป็นแนวทางที่ใช้ในระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น TPM และ Secure Boot ➡️ ช่องโหว่ใน BMC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ในระบบ cloud และ edge ➡️ การโจมตีระดับเฟิร์มแวร์มักใช้ในกลุ่ม APT ที่มีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ https://www.techradar.com/pro/security/supermicro-motherboards-can-be-infected-with-unremovable-new-malware
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ”

    ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ

    จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง

    นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML

    โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง

    แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD
    รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006
    ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2
    รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps
    โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI
    เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML
    ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF
    ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์
    SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว
    Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว
    Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ
    อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด

    https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    🔧 “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ” ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD ➡️ รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006 ➡️ ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ➡️ รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps ➡️ โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI ➡️ เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML ➡️ ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF ➡️ ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว ➡️ Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว ➡️ Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ ➡️ อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Icy Dock Unveils CP154 Concept Adapter for M.2 NVMe to E1.S SSD Conversion
    The ICY DOCK CP154 is a full-metal converter that transforms a standard M.2 NVMe SSD (2230/2242/2260/2280) into a 9.5 mm E1.S SSD form factor with full SFF-TA-1006 interface compliance. Designed to bridge the gap between affordable M.2 storage and enterprise-grade E1.S systems, CP154 enables system ...
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • “TSMC เร่งสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไต้หวัน — เตรียมผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2028”

    TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ประกาศเดินหน้าโครงการสร้างโรงงานใหม่ชื่อว่า “Fab 25” ที่เมืองไถจง ประเทศไต้หวัน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุดในแผนการพัฒนาของบริษัท ณ ขณะนี้

    โรงงาน Fab 25 จะตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Central Taiwan Science Park โดยมีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายในพื้นที่เดียวกัน โดยโรงงานแรกจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 เพื่อเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 20282

    TSMC ได้เตรียมงบประมาณเบื้องต้นกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเฟสแรกของโครงการนี้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรม AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์ประมวลผลประสิทธิภาพสูง

    แม้จะมีข่าวลือว่าการลงทุนในสหรัฐฯ และปัญหาด้านการบรรจุชิป (packaging) อาจทำให้โครงการในไต้หวันล่าช้า แต่ผู้บริหารของ TSMC ยืนยันว่าแผนงานยังคงเดินหน้าอย่างเต็มที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะกระทบต่อกำหนดการเดิม

    นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนเริ่มผลิตชิป A14 ในโรงงาน Fab 20 ที่เมืองซินจูในเฟส 3 และ 4 ก่อนที่ Fab 25 จะกลายเป็นฐานการผลิตหลักในระยะยาว โดยจะมีการพัฒนาเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาในภายหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและความหนาแน่นของวงจร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TSMC เตรียมสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไถจง เพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร
    เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2025 และคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028
    มีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายใน Fab 25
    งบลงทุนเฟสแรกอยู่ที่ 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    Fab 25 จะเป็นฐานการผลิตหลักของชิป A14 ในระยะยาว
    มีการเริ่มผลิต A14 ที่ Fab 20 ก่อนเพื่อทดสอบและเตรียมความพร้อม
    จะมีเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    TSMC ยืนยันว่าไม่มีการล่าช้าจากโครงการในสหรัฐฯ หรือปัญหาด้าน packaging
    โรงงานใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน supply chain และตอบสนองความต้องการของตลาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป A14 จะมีความหนาแน่นของวงจรสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า เช่น N2 และ N3E
    TSMC คาดว่าจะสร้างงานกว่า 4,500 ตำแหน่งจากโครงการ Fab 25
    ความต้องการชิปขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ AI และ robotaxi
    TSMC ยังมีแผนสร้างโรงงานในเมืองอื่น เช่น ซินจู, เกาสง และไถหนาน
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันมีรายได้รวมกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันในปี 2025

    https://www.techpowerup.com/341347/tsmc-fast-tracks-fab-25-to-ramp-a14-node-by-2028
    🏗️ “TSMC เร่งสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไต้หวัน — เตรียมผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตรภายในปี 2028” TSMC ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลก ประกาศเดินหน้าโครงการสร้างโรงงานใหม่ชื่อว่า “Fab 25” ที่เมืองไถจง ประเทศไต้หวัน โดยมีเป้าหมายเพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสุดในแผนการพัฒนาของบริษัท ณ ขณะนี้ โรงงาน Fab 25 จะตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม Central Taiwan Science Park โดยมีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายในพื้นที่เดียวกัน โดยโรงงานแรกจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปีนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 เพื่อเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 20282 TSMC ได้เตรียมงบประมาณเบื้องต้นกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเฟสแรกของโครงการนี้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการชิปที่เพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรม AI, รถยนต์อัตโนมัติ และอุปกรณ์ประมวลผลประสิทธิภาพสูง แม้จะมีข่าวลือว่าการลงทุนในสหรัฐฯ และปัญหาด้านการบรรจุชิป (packaging) อาจทำให้โครงการในไต้หวันล่าช้า แต่ผู้บริหารของ TSMC ยืนยันว่าแผนงานยังคงเดินหน้าอย่างเต็มที่ และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่จะกระทบต่อกำหนดการเดิม นอกจากนี้ TSMC ยังมีแผนเริ่มผลิตชิป A14 ในโรงงาน Fab 20 ที่เมืองซินจูในเฟส 3 และ 4 ก่อนที่ Fab 25 จะกลายเป็นฐานการผลิตหลักในระยะยาว โดยจะมีการพัฒนาเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาในภายหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและความหนาแน่นของวงจร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TSMC เตรียมสร้างโรงงาน Fab 25 ที่ไถจง เพื่อผลิตชิป A14 ขนาด 1.4 นาโนเมตร ➡️ เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 4 ปี 2025 และคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2028 ➡️ มีแผนสร้างทั้งหมด 4 โรงงานย่อยภายใน Fab 25 ➡️ งบลงทุนเฟสแรกอยู่ที่ 500 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือประมาณ 16.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ Fab 25 จะเป็นฐานการผลิตหลักของชิป A14 ในระยะยาว ➡️ มีการเริ่มผลิต A14 ที่ Fab 20 ก่อนเพื่อทดสอบและเตรียมความพร้อม ➡️ จะมีเวอร์ชัน A14 Plus (A14P) ตามมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ TSMC ยืนยันว่าไม่มีการล่าช้าจากโครงการในสหรัฐฯ หรือปัญหาด้าน packaging ➡️ โรงงานใหม่จะช่วยลดความเสี่ยงด้าน supply chain และตอบสนองความต้องการของตลาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป A14 จะมีความหนาแน่นของวงจรสูงกว่ารุ่นก่อนหน้า เช่น N2 และ N3E ➡️ TSMC คาดว่าจะสร้างงานกว่า 4,500 ตำแหน่งจากโครงการ Fab 25 ➡️ ความต้องการชิปขนาดเล็กเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ AI และ robotaxi ➡️ TSMC ยังมีแผนสร้างโรงงานในเมืองอื่น เช่น ซินจู, เกาสง และไถหนาน ➡️ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวันมีรายได้รวมกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวันในปี 2025 https://www.techpowerup.com/341347/tsmc-fast-tracks-fab-25-to-ramp-a14-node-by-2028
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Fast-Tracks Fab 25 to Ramp A14 Node by 2028
    TSMC is the only semiconductor maker to move its nodes at incredible speeds from design to mass production. According to Taiwanese media outlet Taipei Times, TSCM is expected to lay the groundwork for Fab 25, a multiphase manufacturing complex planned in Taichung's Central Taiwan Science Park. Compa...
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • “IonQ ทำลายสถิติวงการควอนตัมด้วย #AQ 64 — คำนวณได้เทียบเท่า 1 พันล้าน GPU ในพื้นที่เท่าโต๊ะทำงาน”

    IonQ บริษัทผู้นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพัฒนาเครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ “IonQ Tempo” ซึ่งสามารถทำคะแนน Algorithmic Qubit (#AQ) ได้ถึงระดับ 64 — เป็นครั้งแรกในโลกที่มีระบบควอนตัมแตะระดับนี้ได้สำเร็จ และเร็วกว่ากำหนดถึง 3 เดือน

    คะแนน #AQ คือมาตรวัดความสามารถของระบบควอนตัมในการรันอัลกอริธึมที่ซับซ้อน โดยไม่สูญเสียความแม่นยำ ยิ่ง #AQ สูงเท่าไร พื้นที่การคำนวณที่ระบบสามารถเข้าถึงได้ก็ยิ่งขยายตัวแบบทวีคูณ เช่น #AQ 64 เท่ากับการพิจารณาความเป็นไปได้ได้มากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64 ซึ่งมากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า

    IonQ Tempo ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นที่ 5 ของบริษัท ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุมอะตอมด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถควบคุม qubit ได้อย่างแม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าระบบ superconducting ที่คู่แข่งใช้อยู่

    ความสามารถของ Tempo ทำให้สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัวได้ในเครื่องเดียว โดยใช้พลังงานน้อยกว่ามาก และกินพื้นที่เพียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การค้นคว้ายา, การจำลองวิศวกรรม, การวิเคราะห์ความผิดปกติทางการเงิน และการจัดการโครงข่ายพลังงาน

    นอกจาก #AQ แล้ว IonQ ยังเตรียมรายงานค่าต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น logical qubits, error rate และ benchmark ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่าระบบของ IonQ สามารถสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IonQ ทำคะแนน #AQ ได้ถึง 64 เป็นครั้งแรกในโลก
    ใช้เครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ชื่อ IonQ Tempo ซึ่งเป็นรุ่นที่ 5 ของบริษัท
    #AQ 64 เท่ากับพื้นที่การคำนวณมากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64
    มากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า ซึ่งเคยทำได้ในต้นปี 2024
    Tempo ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุม qubit ได้แม่นยำ
    สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัว
    เหมาะกับงานด้านพลังงาน, ยา, วิศวกรรม, การเงิน และ AI
    เตรียมรายงาน logical qubits, error rate และ benchmark เชิงอุตสาหกรรม
    IonQ Aria และ Forte เคย outperform IBM ได้ถึง 182% ในบางอัลกอริธึม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    #AQ เป็นการวัด “คุณภาพ” ของ qubit ไม่ใช่แค่จำนวน
    Trapped-ion มีความเสถียรสูงและลดข้อผิดพลาดได้ดีกว่า superconducting qubit
    Quantum computing กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักในงาน AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
    IonQ มีแผนพัฒนา #AQ 256 ภายในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มความสามารถอีกหลายล้านเท่า
    บริษัทมีพันธมิตรกับ Amazon, Microsoft และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ

    https://www.techpowerup.com/341357/ionq-achieves-record-breaking-quantum-performance-milestone-of-aq-64
    🧮 “IonQ ทำลายสถิติวงการควอนตัมด้วย #AQ 64 — คำนวณได้เทียบเท่า 1 พันล้าน GPU ในพื้นที่เท่าโต๊ะทำงาน” IonQ บริษัทผู้นำด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในการพัฒนาเครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ “IonQ Tempo” ซึ่งสามารถทำคะแนน Algorithmic Qubit (#AQ) ได้ถึงระดับ 64 — เป็นครั้งแรกในโลกที่มีระบบควอนตัมแตะระดับนี้ได้สำเร็จ และเร็วกว่ากำหนดถึง 3 เดือน คะแนน #AQ คือมาตรวัดความสามารถของระบบควอนตัมในการรันอัลกอริธึมที่ซับซ้อน โดยไม่สูญเสียความแม่นยำ ยิ่ง #AQ สูงเท่าไร พื้นที่การคำนวณที่ระบบสามารถเข้าถึงได้ก็ยิ่งขยายตัวแบบทวีคูณ เช่น #AQ 64 เท่ากับการพิจารณาความเป็นไปได้ได้มากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64 ซึ่งมากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า IonQ Tempo ซึ่งเป็นเครื่องรุ่นที่ 5 ของบริษัท ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุมอะตอมด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถควบคุม qubit ได้อย่างแม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่าระบบ superconducting ที่คู่แข่งใช้อยู่ ความสามารถของ Tempo ทำให้สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัวได้ในเครื่องเดียว โดยใช้พลังงานน้อยกว่ามาก และกินพื้นที่เพียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การค้นคว้ายา, การจำลองวิศวกรรม, การวิเคราะห์ความผิดปกติทางการเงิน และการจัดการโครงข่ายพลังงาน นอกจาก #AQ แล้ว IonQ ยังเตรียมรายงานค่าต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น logical qubits, error rate และ benchmark ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพชัดเจนว่าระบบของ IonQ สามารถสร้างคุณค่าเชิงพาณิชย์ได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IonQ ทำคะแนน #AQ ได้ถึง 64 เป็นครั้งแรกในโลก ➡️ ใช้เครื่องควอนตัมรุ่นใหม่ชื่อ IonQ Tempo ซึ่งเป็นรุ่นที่ 5 ของบริษัท ➡️ #AQ 64 เท่ากับพื้นที่การคำนวณมากกว่า 18 ควินทิลเลียน หรือ 2^64 ➡️ มากกว่า #AQ 36 ถึง 268 ล้านเท่า ซึ่งเคยทำได้ในต้นปี 2024 ➡️ Tempo ใช้เทคโนโลยี trapped-ion ที่ควบคุม qubit ได้แม่นยำ ➡️ สามารถประมวลผลงานที่เคยต้องใช้ GPU กว่า 1 พันล้านตัว ➡️ เหมาะกับงานด้านพลังงาน, ยา, วิศวกรรม, การเงิน และ AI ➡️ เตรียมรายงาน logical qubits, error rate และ benchmark เชิงอุตสาหกรรม ➡️ IonQ Aria และ Forte เคย outperform IBM ได้ถึง 182% ในบางอัลกอริธึม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ #AQ เป็นการวัด “คุณภาพ” ของ qubit ไม่ใช่แค่จำนวน ➡️ Trapped-ion มีความเสถียรสูงและลดข้อผิดพลาดได้ดีกว่า superconducting qubit ➡️ Quantum computing กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักในงาน AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ➡️ IonQ มีแผนพัฒนา #AQ 256 ภายในปี 2027 ซึ่งจะเพิ่มความสามารถอีกหลายล้านเท่า ➡️ บริษัทมีพันธมิตรกับ Amazon, Microsoft และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ https://www.techpowerup.com/341357/ionq-achieves-record-breaking-quantum-performance-milestone-of-aq-64
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    IonQ Achieves Record Breaking Quantum Performance Milestone of #AQ 64
    IonQ, the leader in the quantum computing and networking industries, today announced it has achieved a record algorithmic qubit score of #AQ 64. This milestone was achieved on an IonQ Tempo system, three months ahead of schedule, establishing IonQ as the only company to reach #AQ 64 setting a new st...
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • “Grok AI ของ Elon Musk ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ — ใช้งานได้ทุกหน่วยงานในราคาแค่ 42 เซนต์ พร้อมทีมวิศวกรช่วยติดตั้ง”

    ในความเคลื่อนไหวที่พลิกเกมวงการ AI ภาครัฐของสหรัฐฯ รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัท xAI ของ Elon Musk เพื่อใช้งาน Grok AI ในหน่วยงานรัฐบาลกลางทุกแห่ง โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 42 เซนต์ต่อหน่วยงานต่อระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นสัญญา AI ที่ยาวที่สุดภายใต้โครงการ OneGov ของ GSA (General Services Administration)

    Grok เวอร์ชันที่ใช้ในภาครัฐมีชื่อว่า “Grok for Government” โดยใช้โมเดล Grok 4 และ Grok 4 Fast ซึ่งเน้นการให้เหตุผลเชิงลึกและประสิทธิภาพสูง พร้อมมีทีมวิศวกรจาก xAI คอยช่วยเหลือในการติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งานให้กับเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ

    แม้ Elon Musk จะเคยมีความขัดแย้งกับประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงกลางปี 2025 แต่การลงนามข้อตกลงนี้อาจเป็นสัญญาณของการคืนดี โดยทั้งสองถูกพบเห็นร่วมงานกันในที่สาธารณะ และ Musk เริ่มกล่าวชื่นชมผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้งในแถลงการณ์ของบริษัท

    Grok เข้าร่วมกับบริษัท AI รายใหญ่อื่น ๆ ที่ได้รับเลือกให้ใช้งานในภาครัฐ เช่น Meta, OpenAI, Google และ Anthropic โดยแต่ละรายเสนอราคาที่ต่ำมาก เช่น Meta เสนอใช้งานฟรี ส่วน OpenAI และ Anthropic เสนอในราคา $1 ต่อปี

    อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่พ้นเสียงวิจารณ์ โดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนและนักการเมืองบางฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของ Grok ในอดีต เช่น การโพสต์เนื้อหาต่อต้านชาวยิวและการเรียกตัวเองว่า “MechaHitler” บนแพลตฟอร์ม X ซึ่ง xAI ได้ออกมาขอโทษและให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงระบบความปลอดภัยและการกรองเนื้อหาให้ดีขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงใช้งาน Grok AI จาก xAI ในราคา 42 เซนต์ต่อหน่วยงาน
    ข้อตกลงมีระยะเวลา 18 เดือน สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2027
    ใช้โมเดล Grok 4 และ Grok 4 Fast ที่เน้นการให้เหตุผลและประสิทธิภาพสูง
    xAI ให้ทีมวิศวกรช่วยติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งานในหน่วยงาน
    Grok for Government เป็นชุดผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งสำหรับภาครัฐ
    เข้าร่วมกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น Meta, OpenAI, Google และ Anthropic ภายใต้โครงการ OneGov
    Meta เสนอใช้งานฟรี ส่วน OpenAI และ Anthropic เสนอในราคา $1 ต่อปี
    GSA ยืนยันว่า Grok ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและไม่มีอคติเชิงระบบ
    มีการจัดตั้งทีม AI Safety ภายใน GSA เพื่อประเมินและตรวจสอบโมเดลอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ราคาที่ 42 เซนต์เป็นการอ้างอิงถึงนิยาย “Hitchhiker’s Guide to the Galaxy” ที่ระบุว่า 42 คือคำตอบของจักรวาล Grok 4 Fast เป็นโมเดล reasoning ที่มีต้นทุนต่ำและประสิทธิภาพสูง
    xAI ยังได้รับสัญญาเพิ่มเติมจากกระทรวงกลาโหมมูลค่าสูงถึง $200 ล้าน
    การใช้งาน Grok ในภาครัฐครอบคลุมทั้งงานด้านความมั่นคง วิทยาศาสตร์ และสาธารณสุข
    GSA มีแผนขยายการใช้งาน AI ให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานภายใต้แนวคิด “OneGov”

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musks-grok-ai-to-be-used-by-us-government-at-a-price-of-42-cents-per-agency-trump-admin-joining-meta-openai-in-recent-trend-of-ai-govt-contracts
    🧠 “Grok AI ของ Elon Musk ได้รับไฟเขียวจากรัฐบาลสหรัฐฯ — ใช้งานได้ทุกหน่วยงานในราคาแค่ 42 เซนต์ พร้อมทีมวิศวกรช่วยติดตั้ง” ในความเคลื่อนไหวที่พลิกเกมวงการ AI ภาครัฐของสหรัฐฯ รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามข้อตกลงกับบริษัท xAI ของ Elon Musk เพื่อใช้งาน Grok AI ในหน่วยงานรัฐบาลกลางทุกแห่ง โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 42 เซนต์ต่อหน่วยงานต่อระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นสัญญา AI ที่ยาวที่สุดภายใต้โครงการ OneGov ของ GSA (General Services Administration) Grok เวอร์ชันที่ใช้ในภาครัฐมีชื่อว่า “Grok for Government” โดยใช้โมเดล Grok 4 และ Grok 4 Fast ซึ่งเน้นการให้เหตุผลเชิงลึกและประสิทธิภาพสูง พร้อมมีทีมวิศวกรจาก xAI คอยช่วยเหลือในการติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งานให้กับเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ แม้ Elon Musk จะเคยมีความขัดแย้งกับประธานาธิบดีทรัมป์ในช่วงกลางปี 2025 แต่การลงนามข้อตกลงนี้อาจเป็นสัญญาณของการคืนดี โดยทั้งสองถูกพบเห็นร่วมงานกันในที่สาธารณะ และ Musk เริ่มกล่าวชื่นชมผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้งในแถลงการณ์ของบริษัท Grok เข้าร่วมกับบริษัท AI รายใหญ่อื่น ๆ ที่ได้รับเลือกให้ใช้งานในภาครัฐ เช่น Meta, OpenAI, Google และ Anthropic โดยแต่ละรายเสนอราคาที่ต่ำมาก เช่น Meta เสนอใช้งานฟรี ส่วน OpenAI และ Anthropic เสนอในราคา $1 ต่อปี อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่พ้นเสียงวิจารณ์ โดยกลุ่มสิทธิมนุษยชนและนักการเมืองบางฝ่ายแสดงความกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของ Grok ในอดีต เช่น การโพสต์เนื้อหาต่อต้านชาวยิวและการเรียกตัวเองว่า “MechaHitler” บนแพลตฟอร์ม X ซึ่ง xAI ได้ออกมาขอโทษและให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงระบบความปลอดภัยและการกรองเนื้อหาให้ดีขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ลงนามข้อตกลงใช้งาน Grok AI จาก xAI ในราคา 42 เซนต์ต่อหน่วยงาน ➡️ ข้อตกลงมีระยะเวลา 18 เดือน สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2027 ➡️ ใช้โมเดล Grok 4 และ Grok 4 Fast ที่เน้นการให้เหตุผลและประสิทธิภาพสูง ➡️ xAI ให้ทีมวิศวกรช่วยติดตั้งและฝึกอบรมการใช้งานในหน่วยงาน ➡️ Grok for Government เป็นชุดผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งสำหรับภาครัฐ ➡️ เข้าร่วมกับบริษัท AI อื่น ๆ เช่น Meta, OpenAI, Google และ Anthropic ภายใต้โครงการ OneGov ➡️ Meta เสนอใช้งานฟรี ส่วน OpenAI และ Anthropic เสนอในราคา $1 ต่อปี ➡️ GSA ยืนยันว่า Grok ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและไม่มีอคติเชิงระบบ ➡️ มีการจัดตั้งทีม AI Safety ภายใน GSA เพื่อประเมินและตรวจสอบโมเดลอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ราคาที่ 42 เซนต์เป็นการอ้างอิงถึงนิยาย “Hitchhiker’s Guide to the Galaxy” ที่ระบุว่า 42 คือคำตอบของจักรวาล ➡️ Grok 4 Fast เป็นโมเดล reasoning ที่มีต้นทุนต่ำและประสิทธิภาพสูง ➡️ xAI ยังได้รับสัญญาเพิ่มเติมจากกระทรวงกลาโหมมูลค่าสูงถึง $200 ล้าน ➡️ การใช้งาน Grok ในภาครัฐครอบคลุมทั้งงานด้านความมั่นคง วิทยาศาสตร์ และสาธารณสุข ➡️ GSA มีแผนขยายการใช้งาน AI ให้ครอบคลุมทุกหน่วยงานภายใต้แนวคิด “OneGov” https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musks-grok-ai-to-be-used-by-us-government-at-a-price-of-42-cents-per-agency-trump-admin-joining-meta-openai-in-recent-trend-of-ai-govt-contracts
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • “HighPoint Rocket 7638D: เปิดทางข้อมูลตรงจาก SSD สู่ GPU ด้วย GPUDirect — เร็วถึง 64 GB/s โดยไม่ผ่าน CPU”

    ในโลกของ AI ที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลมากกว่าที่เคย HighPoint ได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ชื่อว่า Rocket 7638D ซึ่งเป็น PCIe Gen5 switch card ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเทคโนโลยี GPUDirect ของ NVIDIA โดยเฉพาะ จุดเด่นคือสามารถส่งข้อมูลจาก NVMe SSD ไปยัง GPU โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือ RAM ทำให้ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน GPU ได้อย่างมหาศาล2

    Rocket 7638D ใช้ชิป Broadcom PEX 89048 ซึ่งมี 48 เลน PCIe Gen5 โดยแบ่งเป็น 16 เลนสำหรับเชื่อมต่อกับ host, 16 เลนสำหรับ GPU ผ่าน CDFP CopprLink และอีก 16 เลนสำหรับ NVMe SSD ผ่าน MCIO 8i รองรับได้สูงสุดถึง 16 ไดรฟ์ รวมความจุได้ถึง 2PB

    อุปกรณ์นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงาน AI ที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก เช่น การเทรนโมเดล deep learning หรือการประมวลผลภาพขนาดใหญ่ เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 64 GB/s แบบคงที่ โดยไม่ต้องพึ่งพา CPU ซึ่งช่วยให้ GPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา

    Rocket 7638D ยังมีระบบตรวจสอบสถานะการทำงาน เช่น VPD tracking และ utility สำหรับดูสุขภาพของ PCIe link ทำให้เหมาะกับการใช้งานในระบบขนาดใหญ่หรือ hyperscale ที่ต้องการความเสถียรและการจัดการที่แม่นยำ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D PCIe Gen5 switch card รองรับ GPUDirect
    ใช้ชิป Broadcom PEX 89048 พร้อม 48 เลน PCIe Gen5
    ส่งข้อมูลจาก NVMe SSD ไปยัง GPU โดยตรง ไม่ผ่าน CPU หรือ RAM
    รองรับ NVMe สูงสุด 16 ไดรฟ์ รวมความจุได้ถึง 2PB
    ความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุด 64 GB/s แบบคงที่
    เหมาะสำหรับงาน AI, deep learning, inference และ data preprocessing
    มีระบบตรวจสอบสุขภาพอุปกรณ์ เช่น VPD tracking และ PCIe link monitor
    รองรับทั้งระบบ x86 และ ARM โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เพิ่ม
    ใช้งานได้กับ OS หลัก ๆ โดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GPUDirect เป็นเทคโนโลยีของ NVIDIA ที่เริ่มใช้ตั้งแต่รุ่น A100 เป็นต้นไป
    การส่งข้อมูลแบบ peer-to-peer DMA ช่วยลดภาระ CPU และเพิ่ม throughput
    Rocket 7638D รองรับการใช้งานร่วมกับ GPU รุ่นใหม่ เช่น Nvidia Rubin Ultra
    เหมาะกับ data center ที่ต้องการลด bottleneck ระหว่าง storage กับ compute
    เทคโนโลยี AirJet ที่ใช้ในอุปกรณ์อื่นของ HighPoint อาจถูกนำมาใช้ในรุ่นต่อไปเพื่อระบายความร้อนแบบไร้พัดลม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/highpoint-enables-gpudirect-storage-with-new-adapter-up-to-64-gb-s-from-storage-to-gpu-without-cpu-involvement
    ⚡ “HighPoint Rocket 7638D: เปิดทางข้อมูลตรงจาก SSD สู่ GPU ด้วย GPUDirect — เร็วถึง 64 GB/s โดยไม่ผ่าน CPU” ในโลกของ AI ที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลมากกว่าที่เคย HighPoint ได้เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ชื่อว่า Rocket 7638D ซึ่งเป็น PCIe Gen5 switch card ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับเทคโนโลยี GPUDirect ของ NVIDIA โดยเฉพาะ จุดเด่นคือสามารถส่งข้อมูลจาก NVMe SSD ไปยัง GPU โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน CPU หรือ RAM ทำให้ลด latency และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน GPU ได้อย่างมหาศาล2 Rocket 7638D ใช้ชิป Broadcom PEX 89048 ซึ่งมี 48 เลน PCIe Gen5 โดยแบ่งเป็น 16 เลนสำหรับเชื่อมต่อกับ host, 16 เลนสำหรับ GPU ผ่าน CDFP CopprLink และอีก 16 เลนสำหรับ NVMe SSD ผ่าน MCIO 8i รองรับได้สูงสุดถึง 16 ไดรฟ์ รวมความจุได้ถึง 2PB อุปกรณ์นี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงาน AI ที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก เช่น การเทรนโมเดล deep learning หรือการประมวลผลภาพขนาดใหญ่ เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 64 GB/s แบบคงที่ โดยไม่ต้องพึ่งพา CPU ซึ่งช่วยให้ GPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา Rocket 7638D ยังมีระบบตรวจสอบสถานะการทำงาน เช่น VPD tracking และ utility สำหรับดูสุขภาพของ PCIe link ทำให้เหมาะกับการใช้งานในระบบขนาดใหญ่หรือ hyperscale ที่ต้องการความเสถียรและการจัดการที่แม่นยำ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ HighPoint เปิดตัว Rocket 7638D PCIe Gen5 switch card รองรับ GPUDirect ➡️ ใช้ชิป Broadcom PEX 89048 พร้อม 48 เลน PCIe Gen5 ➡️ ส่งข้อมูลจาก NVMe SSD ไปยัง GPU โดยตรง ไม่ผ่าน CPU หรือ RAM ➡️ รองรับ NVMe สูงสุด 16 ไดรฟ์ รวมความจุได้ถึง 2PB ➡️ ความเร็วการส่งข้อมูลสูงสุด 64 GB/s แบบคงที่ ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, deep learning, inference และ data preprocessing ➡️ มีระบบตรวจสอบสุขภาพอุปกรณ์ เช่น VPD tracking และ PCIe link monitor ➡️ รองรับทั้งระบบ x86 และ ARM โดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์เพิ่ม ➡️ ใช้งานได้กับ OS หลัก ๆ โดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GPUDirect เป็นเทคโนโลยีของ NVIDIA ที่เริ่มใช้ตั้งแต่รุ่น A100 เป็นต้นไป ➡️ การส่งข้อมูลแบบ peer-to-peer DMA ช่วยลดภาระ CPU และเพิ่ม throughput ➡️ Rocket 7638D รองรับการใช้งานร่วมกับ GPU รุ่นใหม่ เช่น Nvidia Rubin Ultra ➡️ เหมาะกับ data center ที่ต้องการลด bottleneck ระหว่าง storage กับ compute ➡️ เทคโนโลยี AirJet ที่ใช้ในอุปกรณ์อื่นของ HighPoint อาจถูกนำมาใช้ในรุ่นต่อไปเพื่อระบายความร้อนแบบไร้พัดลม https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/highpoint-enables-gpudirect-storage-with-new-adapter-up-to-64-gb-s-from-storage-to-gpu-without-cpu-involvement
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • “Micron จับมือ TSMC ผลิต HBM4E — เปิดยุคใหม่ของหน่วยความจำ AI ที่ปรับแต่งได้ตามใจลูกค้า”

    Micron ประกาศความร่วมมือกับ TSMC ในการผลิตชิปฐาน (logic die) สำหรับหน่วยความจำ HBM4E ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปของเทคโนโลยี High Bandwidth Memory ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานประมวลผล AI ระดับสูง โดยมีแผนเริ่มผลิตในปี 2027

    HBM4E ไม่ใช่แค่หน่วยความจำที่เร็วขึ้น แต่ Micron ตั้งใจให้มันเป็น “แพลตฟอร์มแบบกึ่งปรับแต่งได้” โดยลูกค้าสามารถเลือกฟีเจอร์เฉพาะใน logic die เช่น การเพิ่ม SRAM, การใส่ compression engine หรือการปรับสัญญาณให้เหมาะกับงานของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้ GPU หรือ XPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น

    Micron ได้เริ่มส่งตัวอย่าง HBM4 ที่มีความเร็วมากกว่า 11 Gbps ต่อ pin และแบนด์วิดท์รวมสูงถึง 2.8 TB/s แล้ว พร้อมกับล็อกสัญญา HBM3E สำหรับปี 2026 ไว้เกือบหมดแล้ว ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการเข้าสู่ยุค HBM4 และ HBM4E อย่างเต็มตัว

    การจับมือกับ TSMC ยังช่วยให้ Micron สามารถใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในการสร้าง logic die ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของ GPU รุ่นใหม่ เช่น Nvidia Rubin Ultra และ AMD MI400 ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ซึ่งต้องการหน่วยความจำที่มีแบนด์วิดท์ระดับหลายสิบ TB/s และความจุสูงถึง 1 TB ต่อ GPU

    นอกจากนี้ Micron ยังมองว่า HBM4E จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำใน data center สำหรับงาน AI โดยเฉพาะเมื่อ workload มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และความต้องการด้านประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    https://www.tomshardware.com/micron-hands-tsmc-the-keys-to-hbm4e
    🚀 “Micron จับมือ TSMC ผลิต HBM4E — เปิดยุคใหม่ของหน่วยความจำ AI ที่ปรับแต่งได้ตามใจลูกค้า” Micron ประกาศความร่วมมือกับ TSMC ในการผลิตชิปฐาน (logic die) สำหรับหน่วยความจำ HBM4E ซึ่งเป็นรุ่นถัดไปของเทคโนโลยี High Bandwidth Memory ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานประมวลผล AI ระดับสูง โดยมีแผนเริ่มผลิตในปี 2027 HBM4E ไม่ใช่แค่หน่วยความจำที่เร็วขึ้น แต่ Micron ตั้งใจให้มันเป็น “แพลตฟอร์มแบบกึ่งปรับแต่งได้” โดยลูกค้าสามารถเลือกฟีเจอร์เฉพาะใน logic die เช่น การเพิ่ม SRAM, การใส่ compression engine หรือการปรับสัญญาณให้เหมาะกับงานของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้ GPU หรือ XPU ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น Micron ได้เริ่มส่งตัวอย่าง HBM4 ที่มีความเร็วมากกว่า 11 Gbps ต่อ pin และแบนด์วิดท์รวมสูงถึง 2.8 TB/s แล้ว พร้อมกับล็อกสัญญา HBM3E สำหรับปี 2026 ไว้เกือบหมดแล้ว ซึ่งแสดงถึงความพร้อมในการเข้าสู่ยุค HBM4 และ HBM4E อย่างเต็มตัว การจับมือกับ TSMC ยังช่วยให้ Micron สามารถใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงในการสร้าง logic die ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของ GPU รุ่นใหม่ เช่น Nvidia Rubin Ultra และ AMD MI400 ที่จะเปิดตัวในปี 2026–2027 ซึ่งต้องการหน่วยความจำที่มีแบนด์วิดท์ระดับหลายสิบ TB/s และความจุสูงถึง 1 TB ต่อ GPU นอกจากนี้ Micron ยังมองว่า HBM4E จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหน่วยความจำใน data center สำหรับงาน AI โดยเฉพาะเมื่อ workload มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และความต้องการด้านประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง https://www.tomshardware.com/micron-hands-tsmc-the-keys-to-hbm4e
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/1Xa4BJU94n8?si=MYMB7utZg3dAEvkI
    https://youtu.be/1Xa4BJU94n8?si=MYMB7utZg3dAEvkI
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • “Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลก — ปรับโซเชียลให้ปลอดภัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่”

    Meta ประกาศเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Teen Accounts” บน Facebook และ Messenger ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 หลังจากทดลองใช้ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี โดยมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอัตโนมัติ การจำกัดเนื้อหา และระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง

    Teen Accounts ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความกังวลของผู้ปกครอง เช่น การจำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน การตั้งค่าบัญชีเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และการจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Quiet Mode” ที่เปิดใช้งานในช่วงกลางคืน และระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน

    สำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความปลอดภัยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เช่น การปิดระบบเบลอภาพที่อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมในข้อความส่วนตัว หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Live บน Instagram

    การเปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลกเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องการให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต การเสพติดหน้าจอ และการถูกล่อลวงออนไลน์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts บน Facebook และ Messenger ทั่วโลก
    ฟีเจอร์นี้ออกแบบสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี
    บัญชีจะถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ
    จำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน
    จำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการโต้ตอบกับคนแปลกหน้า
    มีระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน
    เปิดใช้งาน Quiet Mode ในช่วงกลางคืน
    ผู้ใช้ต่ำกว่า 16 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า
    ฟีเจอร์นี้เคยเปิดใช้งานบน Instagram ก่อนขยายมายัง Facebook และ Messenger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Facebook มีผู้ใช้วัยรุ่นลดลงจาก 71% ในปี 2014 เหลือเพียง 32% ในปี 2024
    วัยรุ่นนิยมใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok, YouTube และ Snapchat มากกว่า
    Teen Accounts เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อกฎหมาย Kids Online Safety Act (KOSA)
    Meta เผชิญคดีความหลายร้อยคดีเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก
    ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูรายชื่อเพื่อนและเวลาการใช้งานของลูกได้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/meta-activates-facebook-039teen-accounts039-worldwide
    🧒 “Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลก — ปรับโซเชียลให้ปลอดภัยขึ้นสำหรับวัยรุ่นยุคใหม่” Meta ประกาศเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Teen Accounts” บน Facebook และ Messenger ทั่วโลกเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2025 หลังจากทดลองใช้ในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ แคนาดา และออสเตรเลีย ฟีเจอร์นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี โดยมีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวอัตโนมัติ การจำกัดเนื้อหา และระบบควบคุมโดยผู้ปกครอง Teen Accounts ถูกออกแบบให้ตอบโจทย์ความกังวลของผู้ปกครอง เช่น การจำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน การตั้งค่าบัญชีเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ และการจำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Quiet Mode” ที่เปิดใช้งานในช่วงกลางคืน และระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน สำหรับผู้ใช้ที่อายุต่ำกว่า 16 ปี การเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าความปลอดภัยจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน เช่น การปิดระบบเบลอภาพที่อาจมีเนื้อหาไม่เหมาะสมในข้อความส่วนตัว หรือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Live บน Instagram การเปิดใช้งาน Teen Accounts ทั่วโลกเกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสังคมและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องการให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียรับผิดชอบต่อผลกระทบที่มีต่อเยาวชน โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพจิต การเสพติดหน้าจอ และการถูกล่อลวงออนไลน์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Meta เปิดใช้งาน Teen Accounts บน Facebook และ Messenger ทั่วโลก ➡️ ฟีเจอร์นี้ออกแบบสำหรับผู้ใช้วัยรุ่นอายุ 13–17 ปี ➡️ บัญชีจะถูกตั้งค่าเป็นแบบส่วนตัวโดยอัตโนมัติ ➡️ จำกัดการส่งข้อความเฉพาะกับคนที่เคยติดต่อกันมาก่อน ➡️ จำกัดการมองเห็นเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมและการโต้ตอบกับคนแปลกหน้า ➡️ มีระบบแจ้งเตือนให้หยุดใช้งานเมื่อครบ 60 นาทีต่อวัน ➡️ เปิดใช้งาน Quiet Mode ในช่วงกลางคืน ➡️ ผู้ใช้ต่ำกว่า 16 ปีต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองในการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า ➡️ ฟีเจอร์นี้เคยเปิดใช้งานบน Instagram ก่อนขยายมายัง Facebook และ Messenger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Facebook มีผู้ใช้วัยรุ่นลดลงจาก 71% ในปี 2014 เหลือเพียง 32% ในปี 2024 ➡️ วัยรุ่นนิยมใช้แพลตฟอร์มอื่น เช่น TikTok, YouTube และ Snapchat มากกว่า ➡️ Teen Accounts เป็นส่วนหนึ่งของการตอบสนองต่อกฎหมาย Kids Online Safety Act (KOSA) ➡️ Meta เผชิญคดีความหลายร้อยคดีเกี่ยวกับผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อเด็ก ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถดูรายชื่อเพื่อนและเวลาการใช้งานของลูกได้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/26/meta-activates-facebook-039teen-accounts039-worldwide
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta activates Facebook 'teen accounts' worldwide
    Meta's teen accounts, which offer additional security settings, content restrictions and parental controls for users aged 13 to 17, were first introduced on Instagram last year.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • “AI Coding Assistants: เครื่องมือเร่งงานที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลา — เมื่อความเร็วกลายเป็นช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยองค์กร”

    ในยุคที่ AI เข้ามาช่วยเขียนโค้ดให้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ลึกและซับซ้อนมากขึ้น งานวิจัยจาก Apiiro และบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเผยว่า AI coding assistants เช่น GitHub Copilot, GPT-5 หรือ Claude Code อาจช่วยลด syntax error ได้จริง แต่กลับเพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation, การออกแบบระบบที่ไม่ปลอดภัย และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ

    ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ยังรวมถึง “พฤติกรรมใหม่” ของนักพัฒนา เช่น การสร้าง pull request ขนาดใหญ่ที่รวมหลายไฟล์และหลายบริการในครั้งเดียว ทำให้ทีมรีวิวโค้ดตรวจสอบได้ยากขึ้น และอาจปล่อยช่องโหว่เข้าสู่ production โดยไม่รู้ตัว

    ที่น่ากังวลคือ “shadow engineers” หรือผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาโดยตรง เช่น ฝ่ายธุรกิจหรือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ที่ใช้ AI เขียนสคริปต์หรือแดชบอร์ดโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบมีช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกมองเห็นมาก่อน

    ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า AI coding assistants มักสร้างโค้ดที่ “verbose” หรือยาวเกินจำเป็น และอาจรวม dependency หรือการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัยเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น การ hardcode secret key หรือการเปิดสิทธิ์ให้กับโมดูลที่ไม่ควรเข้าถึง

    แม้จะมีข้อดีด้าน productivity แต่การใช้ AI coding assistants โดยไม่มีการวางระบบตรวจสอบที่ดี อาจทำให้องค์กร “เร่งงานแต่เร่งความเสี่ยงไปพร้อมกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายบริษัทเริ่มตระหนักและปรับแนวทาง เช่น การใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน, การจำกัดขนาด pull request, และการบังคับใช้การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของ CI/CD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI coding assistants ลด syntax error และ logic bug ได้จริง
    แต่เพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation และ design flaw
    Pull request จาก AI มักมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ทำให้ตรวจสอบยาก
    Shadow engineers ใช้ AI เขียนโค้ดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย
    ระบบ SAST, DAST และ manual review ยังไม่พร้อมรับมือกับโค้ดที่สร้างโดย AI
    AI มักสร้างโค้ด verbose และรวม dependency ที่ไม่จำเป็น
    Apiiro พบว่า AI-generated code สร้างช่องโหว่ใหม่กว่า 10,000 รายการต่อเดือน
    การใช้ AI coding assistants ต้องมีระบบตรวจสอบและความรับผิดชอบจากนักพัฒนา
    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน และบังคับใช้ security policy

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GitHub Copilot เพิ่ม productivity ได้ถึง 3–4 เท่า แต่เพิ่มช่องโหว่ 10 เท่าในบางกรณี
    AI coding assistants มีความแม่นยำในการเขียนโค้ด TypeScript มากกว่า PHP
    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรมี traceability เช่น ระบุว่าโมเดลใดเป็นผู้สร้าง
    การใช้ AI ในการพัฒนา cloud-native apps ต้องมีการจัดการ secret และ credential อย่างรัดกุม
    การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรเปรียบเสมือน “นักพัฒนาฝึกหัด” ที่ต้องมี senior ตรวจสอบเสมอ

    https://www.csoonline.com/article/4062720/ai-coding-assistants-amplify-deeper-cybersecurity-risks.html
    🧠 “AI Coding Assistants: เครื่องมือเร่งงานที่อาจกลายเป็นระเบิดเวลา — เมื่อความเร็วกลายเป็นช่องโหว่ในระบบความปลอดภัยองค์กร” ในยุคที่ AI เข้ามาช่วยเขียนโค้ดให้เร็วขึ้นและลดข้อผิดพลาดเล็กน้อย หลายองค์กรกลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ลึกและซับซ้อนมากขึ้น งานวิจัยจาก Apiiro และบทสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเผยว่า AI coding assistants เช่น GitHub Copilot, GPT-5 หรือ Claude Code อาจช่วยลด syntax error ได้จริง แต่กลับเพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation, การออกแบบระบบที่ไม่ปลอดภัย และการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ปัญหาไม่ได้อยู่แค่ในโค้ด แต่ยังรวมถึง “พฤติกรรมใหม่” ของนักพัฒนา เช่น การสร้าง pull request ขนาดใหญ่ที่รวมหลายไฟล์และหลายบริการในครั้งเดียว ทำให้ทีมรีวิวโค้ดตรวจสอบได้ยากขึ้น และอาจปล่อยช่องโหว่เข้าสู่ production โดยไม่รู้ตัว ที่น่ากังวลคือ “shadow engineers” หรือผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักพัฒนาโดยตรง เช่น ฝ่ายธุรกิจหรือฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ที่ใช้ AI เขียนสคริปต์หรือแดชบอร์ดโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบมีช่องโหว่ที่ไม่เคยถูกมองเห็นมาก่อน ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนว่า AI coding assistants มักสร้างโค้ดที่ “verbose” หรือยาวเกินจำเป็น และอาจรวม dependency หรือการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัยเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่น การ hardcode secret key หรือการเปิดสิทธิ์ให้กับโมดูลที่ไม่ควรเข้าถึง แม้จะมีข้อดีด้าน productivity แต่การใช้ AI coding assistants โดยไม่มีการวางระบบตรวจสอบที่ดี อาจทำให้องค์กร “เร่งงานแต่เร่งความเสี่ยงไปพร้อมกัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายบริษัทเริ่มตระหนักและปรับแนวทาง เช่น การใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน, การจำกัดขนาด pull request, และการบังคับใช้การตรวจสอบความปลอดภัยในทุกขั้นตอนของ CI/CD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI coding assistants ลด syntax error และ logic bug ได้จริง ➡️ แต่เพิ่มช่องโหว่เชิงโครงสร้าง เช่น privilege escalation และ design flaw ➡️ Pull request จาก AI มักมีขนาดใหญ่และซับซ้อน ทำให้ตรวจสอบยาก ➡️ Shadow engineers ใช้ AI เขียนโค้ดโดยไม่ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ ระบบ SAST, DAST และ manual review ยังไม่พร้อมรับมือกับโค้ดที่สร้างโดย AI ➡️ AI มักสร้างโค้ด verbose และรวม dependency ที่ไม่จำเป็น ➡️ Apiiro พบว่า AI-generated code สร้างช่องโหว่ใหม่กว่า 10,000 รายการต่อเดือน ➡️ การใช้ AI coding assistants ต้องมีระบบตรวจสอบและความรับผิดชอบจากนักพัฒนา ➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ AI เพื่อตรวจสอบโค้ดที่ AI เขียน และบังคับใช้ security policy ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GitHub Copilot เพิ่ม productivity ได้ถึง 3–4 เท่า แต่เพิ่มช่องโหว่ 10 เท่าในบางกรณี ➡️ AI coding assistants มีความแม่นยำในการเขียนโค้ด TypeScript มากกว่า PHP ➡️ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรมี traceability เช่น ระบุว่าโมเดลใดเป็นผู้สร้าง ➡️ การใช้ AI ในการพัฒนา cloud-native apps ต้องมีการจัดการ secret และ credential อย่างรัดกุม ➡️ การใช้ AI ในการเขียนโค้ดควรเปรียบเสมือน “นักพัฒนาฝึกหัด” ที่ต้องมี senior ตรวจสอบเสมอ https://www.csoonline.com/article/4062720/ai-coding-assistants-amplify-deeper-cybersecurity-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    AI coding assistants amplify deeper cybersecurity risks
    Although capable of reducing trivial mistakes, AI coding copilots leave enterprises at risk of increased insecure coding patterns, exposed secrets, and cloud misconfigurations, research reveals.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • “BRICKSTORM: ช่องโหว่เงียบจากจีนที่แฝงตัวในระบบสหรัฐฯ นานกว่า 1 ปี — เมื่อขอบระบบกลายเป็นประตูหลังของการจารกรรมไซเบอร์”

    ในรายงานล่าสุดจาก Mandiant และ Google Threat Intelligence Group ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนและยาวนานโดยกลุ่มแฮกเกอร์จีน UNC5221 ซึ่งสามารถแฝงตัวอยู่ในระบบของบริษัทเทคโนโลยี, กฎหมาย, SaaS และ BPO ในสหรัฐฯ ได้ถึง 393 วันโดยไม่ถูกตรวจจับ

    กลุ่มนี้ใช้มัลแวร์ชื่อว่า “BRICKSTORM” ซึ่งเป็น backdoor ที่เขียนด้วยภาษา Go สำหรับระบบ Linux และ BSD โดยถูกฝังไว้ในอุปกรณ์ edge เช่น firewall, VPN gateway และ network appliance ที่มักไม่มีระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ endpoint หรือ SIEM ทำให้การตรวจจับแทบเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการ threat hunting เชิงรุก

    จากจุดเริ่มต้นที่อุปกรณ์ edge แฮกเกอร์สามารถเคลื่อนตัวไปยังระบบภายใน เช่น VMware vCenter, ESXi, Windows Server และแม้แต่ Microsoft 365 โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การขโมย credentials, การฝัง Java Servlet filter (BRICKSTEAL) เพื่อดัก username/password และการติดตั้ง web shell (SLAYSTYLE) เพื่อควบคุมระบบผ่าน HTTP

    เป้าหมายของการโจมตีไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูล แต่รวมถึงการวิเคราะห์ source code เพื่อพัฒนา zero-day exploit และการเข้าถึงระบบ downstream ของลูกค้าบริษัทเป้าหมาย เช่น SaaS ที่มีข้อมูลผู้ใช้จำนวนมาก

    ที่น่ากังวลคือ BRICKSTORM ยังสามารถทำงานเป็น SOCKS proxy เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง และใช้ Microsoft Entra ID เพื่อเข้าถึง mailbox ของผู้ดูแลระบบหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งมักมีข้อมูลสำคัญระดับองค์กร

    แม้จะมีการออก scanner script เพื่อค้นหา BRICKSTORM แล้ว แต่การตรวจสอบย้อนหลังยังเป็นเรื่องยาก เพราะ log ของอุปกรณ์ edge มักถูกลบหรือไม่มีการเก็บไว้แบบ centralized ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าการเจาะระบบเริ่มต้นจากจุดใด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กลุ่ม UNC5221 จากจีนใช้มัลแวร์ BRICKSTORM เจาะระบบบริษัทสหรัฐฯ นานกว่า 393 วัน
    ฝังตัวในอุปกรณ์ edge เช่น firewall และ VPN gateway ที่ไม่มีระบบตรวจจับภัยคุกคาม
    เคลื่อนตัวไปยังระบบภายใน เช่น VMware vCenter, ESXi, Windows Server และ Microsoft 365
    ใช้ Java Servlet filter (BRICKSTEAL) เพื่อดัก username/password
    ใช้ web shell (SLAYSTYLE) เพื่อควบคุมระบบผ่าน HTTP
    ใช้ Microsoft Entra ID เพื่อเข้าถึง mailbox ของผู้ดูแลระบบ
    BRICKSTORM ทำงานเป็น SOCKS proxy เพื่อเปิดช่องเข้าระบบภายใน
    เป้าหมายรวมถึงการขโมยข้อมูล, วิเคราะห์ source code และพัฒนา zero-day exploit
    Mandiant ออก scanner script เพื่อค้นหา BRICKSTORM บนอุปกรณ์ edge

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BRICKSTORM ถูกพบครั้งแรกในยุโรปตั้งแต่ปี 2022 และกลับมาโจมตีในสหรัฐฯ ปี 2025
    มัลแวร์นี้ใช้ nested TLS และ reverse proxy ผ่าน Cloudflare/Heroku เพื่อหลบการตรวจจับ
    UNC5221 มีความเชื่อมโยงกับ Silk Typhoon แต่ Google เชื่อว่าเป็นกลุ่มแยกต่างหาก
    การโจมตีเน้นเป้าหมายที่มีข้อมูลเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง เช่น กฎหมายและเทคโนโลยี
    การใช้ edge device เป็นจุดเริ่มต้นทำให้การตรวจจับยากและการป้องกันต้องเปลี่ยนแนวคิด

    https://www.csoonline.com/article/4062723/chinese-spies-had-year-long-access-to-us-tech-and-legal-firms.html
    🕵️ “BRICKSTORM: ช่องโหว่เงียบจากจีนที่แฝงตัวในระบบสหรัฐฯ นานกว่า 1 ปี — เมื่อขอบระบบกลายเป็นประตูหลังของการจารกรรมไซเบอร์” ในรายงานล่าสุดจาก Mandiant และ Google Threat Intelligence Group ได้เปิดเผยการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนและยาวนานโดยกลุ่มแฮกเกอร์จีน UNC5221 ซึ่งสามารถแฝงตัวอยู่ในระบบของบริษัทเทคโนโลยี, กฎหมาย, SaaS และ BPO ในสหรัฐฯ ได้ถึง 393 วันโดยไม่ถูกตรวจจับ กลุ่มนี้ใช้มัลแวร์ชื่อว่า “BRICKSTORM” ซึ่งเป็น backdoor ที่เขียนด้วยภาษา Go สำหรับระบบ Linux และ BSD โดยถูกฝังไว้ในอุปกรณ์ edge เช่น firewall, VPN gateway และ network appliance ที่มักไม่มีระบบตรวจจับภัยคุกคามแบบ endpoint หรือ SIEM ทำให้การตรวจจับแทบเป็นไปไม่ได้หากไม่มีการ threat hunting เชิงรุก จากจุดเริ่มต้นที่อุปกรณ์ edge แฮกเกอร์สามารถเคลื่อนตัวไปยังระบบภายใน เช่น VMware vCenter, ESXi, Windows Server และแม้แต่ Microsoft 365 โดยใช้เทคนิคหลากหลาย เช่น การขโมย credentials, การฝัง Java Servlet filter (BRICKSTEAL) เพื่อดัก username/password และการติดตั้ง web shell (SLAYSTYLE) เพื่อควบคุมระบบผ่าน HTTP เป้าหมายของการโจมตีไม่ใช่แค่การขโมยข้อมูล แต่รวมถึงการวิเคราะห์ source code เพื่อพัฒนา zero-day exploit และการเข้าถึงระบบ downstream ของลูกค้าบริษัทเป้าหมาย เช่น SaaS ที่มีข้อมูลผู้ใช้จำนวนมาก ที่น่ากังวลคือ BRICKSTORM ยังสามารถทำงานเป็น SOCKS proxy เพื่อเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง และใช้ Microsoft Entra ID เพื่อเข้าถึง mailbox ของผู้ดูแลระบบหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งมักมีข้อมูลสำคัญระดับองค์กร แม้จะมีการออก scanner script เพื่อค้นหา BRICKSTORM แล้ว แต่การตรวจสอบย้อนหลังยังเป็นเรื่องยาก เพราะ log ของอุปกรณ์ edge มักถูกลบหรือไม่มีการเก็บไว้แบบ centralized ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่าการเจาะระบบเริ่มต้นจากจุดใด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กลุ่ม UNC5221 จากจีนใช้มัลแวร์ BRICKSTORM เจาะระบบบริษัทสหรัฐฯ นานกว่า 393 วัน ➡️ ฝังตัวในอุปกรณ์ edge เช่น firewall และ VPN gateway ที่ไม่มีระบบตรวจจับภัยคุกคาม ➡️ เคลื่อนตัวไปยังระบบภายใน เช่น VMware vCenter, ESXi, Windows Server และ Microsoft 365 ➡️ ใช้ Java Servlet filter (BRICKSTEAL) เพื่อดัก username/password ➡️ ใช้ web shell (SLAYSTYLE) เพื่อควบคุมระบบผ่าน HTTP ➡️ ใช้ Microsoft Entra ID เพื่อเข้าถึง mailbox ของผู้ดูแลระบบ ➡️ BRICKSTORM ทำงานเป็น SOCKS proxy เพื่อเปิดช่องเข้าระบบภายใน ➡️ เป้าหมายรวมถึงการขโมยข้อมูล, วิเคราะห์ source code และพัฒนา zero-day exploit ➡️ Mandiant ออก scanner script เพื่อค้นหา BRICKSTORM บนอุปกรณ์ edge ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BRICKSTORM ถูกพบครั้งแรกในยุโรปตั้งแต่ปี 2022 และกลับมาโจมตีในสหรัฐฯ ปี 2025 ➡️ มัลแวร์นี้ใช้ nested TLS และ reverse proxy ผ่าน Cloudflare/Heroku เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ UNC5221 มีความเชื่อมโยงกับ Silk Typhoon แต่ Google เชื่อว่าเป็นกลุ่มแยกต่างหาก ➡️ การโจมตีเน้นเป้าหมายที่มีข้อมูลเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง เช่น กฎหมายและเทคโนโลยี ➡️ การใช้ edge device เป็นจุดเริ่มต้นทำให้การตรวจจับยากและการป้องกันต้องเปลี่ยนแนวคิด https://www.csoonline.com/article/4062723/chinese-spies-had-year-long-access-to-us-tech-and-legal-firms.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Chinese spies had year-long access to US tech and legal firms
    Backdoor on edge devices allowed a starting point for threat actors to use lateral movement to access VMware vCenter and ESXi hosts, Windows workstations and servers and Microsoft 365 mailboxes.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • “แฮกเกอร์เวียดนามปลอมอีเมลแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์ หลอกติดตั้งมัลแวร์ขโมยคริปโต — Lone None Stealer ระบาดผ่าน Telegram อย่างแนบเนียน”

    ตั้งแต่ปลายปี 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาเวียดนามชื่อว่า “Lone None” ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีไซเบอร์ระดับโลก โดยใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านอีเมลปลอมที่อ้างว่าเป็น “หนังสือแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์” จากสำนักงานกฎหมายต่างประเทศ เพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์ที่แฝงตัวมาในรูปแบบเอกสารหลักฐาน

    อีเมลปลอมเหล่านี้ถูกเขียนในหลายภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และจีน เพื่อขยายขอบเขตการโจมตี โดยมักแนบลิงก์ให้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ที่ภายในมีมัลแวร์ซ่อนอยู่ในไฟล์ PDF หรือ PNG ซึ่งดูเหมือนเอกสารจริง

    เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะใช้เทคนิค DLL side-loading โดยอาศัยโปรแกรมที่ถูกเซ็นรับรอง เช่น Microsoft Word หรือ PDF Reader เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ

    มัลแวร์ที่ใช้มีสองตัวหลัก ได้แก่ Pure Logs Stealer และ Lone None Stealer (หรือ PXA Stealer) โดย Pure Logs จะขโมยข้อมูลหลากหลาย เช่น รหัสผ่าน บัตรเครดิต คุกกี้ และไฟล์กระเป๋าคริปโต ส่วน Lone None Stealer จะเน้นขโมยคริปโตโดยเฉพาะ ด้วยการดัก clipboard แล้วเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋าเงินให้เป็นของแฮกเกอร์แบบเงียบ ๆ

    ที่น่ากังวลคือ Lone None Stealer ใช้ Telegram เป็นช่องทาง Command & Control (C2) โดยซ่อนลิงก์ขั้นตอนถัดไปไว้ในโปรไฟล์บอต Telegram และส่งข้อมูลที่ขโมยได้กลับไปยังแฮกเกอร์ผ่านเครือข่าย Telegram อย่างรวดเร็ว

    รายงานล่าสุดจาก Cofense Intelligence พบว่า Lone None Stealer ปรากฏใน 29% ของเคสมัลแวร์ประเภท Pure Logs ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งแสดงถึงการเติบโตของการใช้งานมัลแวร์ตัวนี้ในวงกว้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กลุ่มแฮกเกอร์เวียดนาม “Lone None” ใช้อีเมลปลอมแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อหลอกติดตั้งมัลแวร์
    อีเมลถูกเขียนในหลายภาษาเพื่อขยายขอบเขตการโจมตี
    มัลแวร์แฝงตัวในไฟล์ ZIP ที่ดูเหมือนเอกสารหลักฐาน เช่น PDF หรือ PNG
    ใช้เทคนิค DLL side-loading ผ่านโปรแกรมที่ถูกเซ็นรับรอง
    มัลแวร์หลักคือ Pure Logs Stealer และ Lone None Stealer (PXA Stealer)
    Pure Logs ขโมยข้อมูลหลากหลาย เช่น รหัสผ่าน บัตรเครดิต คุกกี้ และไฟล์คริปโต
    Lone None Stealer ดัก clipboard แล้วเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋าเงินคริปโต
    ใช้ Telegram เป็นช่องทาง C2 และซ่อนลิงก์ในโปรไฟล์บอต
    พบ Lone None Stealer ใน 29% ของเคสมัลแวร์ประเภท Pure Logs ตั้งแต่ มิ.ย. 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PXA Stealer ถูกเขียนด้วย Python และใช้เทคนิค sideloading ผ่านไฟล์ Word หรือ PDF ที่เซ็นรับรอง
    แฮกเกอร์ใช้ Cloudflare Workers เพื่อส่งข้อมูลที่ขโมยได้ไปยัง Telegram
    ข้อมูลที่ถูกขโมยถูกขายผ่านระบบสมาชิกใน Telegram เช่น Sherlock, Daisy Cloud, Moon Cloud
    มีการพบเหยื่อกว่า 4,000 IP และข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่านกว่า 200,000 รายการ
    กลุ่ม Lone None มีความเชื่อมโยงกับ CoralRaider และกลุ่มซื้อขายบัญชีใน Telegram

    https://hackread.com/vietnamese-hackers-fake-copyright-notice-lone-none-stealer/
    🎭 “แฮกเกอร์เวียดนามปลอมอีเมลแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์ หลอกติดตั้งมัลแวร์ขโมยคริปโต — Lone None Stealer ระบาดผ่าน Telegram อย่างแนบเนียน” ตั้งแต่ปลายปี 2024 กลุ่มแฮกเกอร์ที่พูดภาษาเวียดนามชื่อว่า “Lone None” ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีไซเบอร์ระดับโลก โดยใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านอีเมลปลอมที่อ้างว่าเป็น “หนังสือแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์” จากสำนักงานกฎหมายต่างประเทศ เพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดไฟล์มัลแวร์ที่แฝงตัวมาในรูปแบบเอกสารหลักฐาน อีเมลปลอมเหล่านี้ถูกเขียนในหลายภาษา เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และจีน เพื่อขยายขอบเขตการโจมตี โดยมักแนบลิงก์ให้ดาวน์โหลดไฟล์ ZIP ที่ภายในมีมัลแวร์ซ่อนอยู่ในไฟล์ PDF หรือ PNG ซึ่งดูเหมือนเอกสารจริง เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ มัลแวร์จะใช้เทคนิค DLL side-loading โดยอาศัยโปรแกรมที่ถูกเซ็นรับรอง เช่น Microsoft Word หรือ PDF Reader เพื่อรันโค้ดอันตรายโดยไม่ถูกตรวจจับ มัลแวร์ที่ใช้มีสองตัวหลัก ได้แก่ Pure Logs Stealer และ Lone None Stealer (หรือ PXA Stealer) โดย Pure Logs จะขโมยข้อมูลหลากหลาย เช่น รหัสผ่าน บัตรเครดิต คุกกี้ และไฟล์กระเป๋าคริปโต ส่วน Lone None Stealer จะเน้นขโมยคริปโตโดยเฉพาะ ด้วยการดัก clipboard แล้วเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋าเงินให้เป็นของแฮกเกอร์แบบเงียบ ๆ ที่น่ากังวลคือ Lone None Stealer ใช้ Telegram เป็นช่องทาง Command & Control (C2) โดยซ่อนลิงก์ขั้นตอนถัดไปไว้ในโปรไฟล์บอต Telegram และส่งข้อมูลที่ขโมยได้กลับไปยังแฮกเกอร์ผ่านเครือข่าย Telegram อย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดจาก Cofense Intelligence พบว่า Lone None Stealer ปรากฏใน 29% ของเคสมัลแวร์ประเภท Pure Logs ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2025 ซึ่งแสดงถึงการเติบโตของการใช้งานมัลแวร์ตัวนี้ในวงกว้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์เวียดนาม “Lone None” ใช้อีเมลปลอมแจ้งละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อหลอกติดตั้งมัลแวร์ ➡️ อีเมลถูกเขียนในหลายภาษาเพื่อขยายขอบเขตการโจมตี ➡️ มัลแวร์แฝงตัวในไฟล์ ZIP ที่ดูเหมือนเอกสารหลักฐาน เช่น PDF หรือ PNG ➡️ ใช้เทคนิค DLL side-loading ผ่านโปรแกรมที่ถูกเซ็นรับรอง ➡️ มัลแวร์หลักคือ Pure Logs Stealer และ Lone None Stealer (PXA Stealer) ➡️ Pure Logs ขโมยข้อมูลหลากหลาย เช่น รหัสผ่าน บัตรเครดิต คุกกี้ และไฟล์คริปโต ➡️ Lone None Stealer ดัก clipboard แล้วเปลี่ยนที่อยู่กระเป๋าเงินคริปโต ➡️ ใช้ Telegram เป็นช่องทาง C2 และซ่อนลิงก์ในโปรไฟล์บอต ➡️ พบ Lone None Stealer ใน 29% ของเคสมัลแวร์ประเภท Pure Logs ตั้งแต่ มิ.ย. 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PXA Stealer ถูกเขียนด้วย Python และใช้เทคนิค sideloading ผ่านไฟล์ Word หรือ PDF ที่เซ็นรับรอง ➡️ แฮกเกอร์ใช้ Cloudflare Workers เพื่อส่งข้อมูลที่ขโมยได้ไปยัง Telegram ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยถูกขายผ่านระบบสมาชิกใน Telegram เช่น Sherlock, Daisy Cloud, Moon Cloud ➡️ มีการพบเหยื่อกว่า 4,000 IP และข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่านกว่า 200,000 รายการ ➡️ กลุ่ม Lone None มีความเชื่อมโยงกับ CoralRaider และกลุ่มซื้อขายบัญชีใน Telegram https://hackread.com/vietnamese-hackers-fake-copyright-notice-lone-none-stealer/
    HACKREAD.COM
    Vietnamese Hackers Use Fake Copyright Notices to Spread Lone None Stealer
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน GoAnywhere MFT เสี่ยงระบบถูกยึดกว่า 20,000 เครื่อง — รีบอัปเดตก่อนกลุ่มแฮกเกอร์ลงมือ”

    ในวันที่ 18 กันยายน 2025 Fortra ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ GoAnywhere Managed File Transfer (MFT) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรทั่วโลกใช้ในการส่งข้อมูลสำคัญอย่างปลอดภัย ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-10035 และได้รับคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ซึ่งหมายความว่า หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าควบคุมระบบได้ทั้งหมด

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการ “deserialization” ที่ผิดพลาดใน License Servlet ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ตรวจสอบสิทธิ์การใช้งาน โดยแฮกเกอร์สามารถปลอมลายเซ็น license แล้วแทรกวัตถุอันตรายเข้าไปในระบบ ทำให้สามารถสั่งรันโค้ดได้โดยไม่ต้องผ่านการยืนยันตัวตน

    แม้การโจมตีจะต้องอาศัยการเชื่อมต่อจากภายนอก แต่รายงานจาก watchTowr Labs ระบุว่ามีระบบ GoAnywhere MFT กว่า 20,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็น “สนามเล่นของกลุ่ม APT” ที่พร้อมจะลงมือทันทีที่มีช่องทาง

    ช่องโหว่นี้คล้ายกับเหตุการณ์ในปี 2023 ที่ช่องโหว่ CVE-2023-0669 ถูกใช้โดยกลุ่มแรนซัมแวร์ cl0p และ LockBit ในการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า CVE-2025-10035 จะถูกนำไปใช้โจมตีในเร็ว ๆ นี้เช่นกัน

    ข่าวดีคือ Fortra ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 7.8.4 และ Sustain Release 7.6.3 โดยแนะนำให้องค์กรอัปเดตทันที พร้อมกับปิดการเข้าถึง Admin Console จากภายนอก และวางระบบไว้หลังไฟร์วอลล์หรือ VPN รวมถึงตรวจสอบ log ว่ามีการเรียกใช้ SignedObject.getObject หรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-10035 ใน GoAnywhere MFT ได้รับคะแนน CVSS 10.0
    เกิดจากการ deserialization ใน License Servlet ที่เปิดช่องให้ command injection
    แฮกเกอร์สามารถปลอมลายเซ็น license แล้วแทรกวัตถุอันตรายเข้าไปในระบบ
    มีระบบกว่า 20,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต
    ช่องโหว่นี้คล้ายกับ CVE-2023-0669 ที่เคยถูกใช้โดยกลุ่มแรนซัมแวร์
    Fortra ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 7.8.4 และ 7.6.3
    แนะนำให้อัปเดตทันทีและปิดการเข้าถึง Admin Console จากภายนอก
    ควรวางระบบไว้หลังไฟร์วอลล์หรือ VPN และตรวจสอบ log สำหรับกิจกรรมผิดปกติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GoAnywhere MFT เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ รวมถึง Fortune 500
    Deserialization เป็นเทคนิคที่มักถูกใช้โจมตีในระบบที่รับข้อมูลจากภายนอก
    CVSS 10.0 หมายถึงช่องโหว่ที่สามารถถูกใช้โจมตีได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    การโจมตีแบบนี้อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูล, การเข้ารหัสไฟล์, หรือการยึดระบบ
    การตรวจสอบ log และการตั้ง alert เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการโจมตีล่วงหน้า

    https://hackread.com/critical-cvss-10-flaw-goanywhere-file-transfer/
    🚨 “ช่องโหว่ CVSS 10.0 ใน GoAnywhere MFT เสี่ยงระบบถูกยึดกว่า 20,000 เครื่อง — รีบอัปเดตก่อนกลุ่มแฮกเกอร์ลงมือ” ในวันที่ 18 กันยายน 2025 Fortra ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ GoAnywhere Managed File Transfer (MFT) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่องค์กรทั่วโลกใช้ในการส่งข้อมูลสำคัญอย่างปลอดภัย ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-10035 และได้รับคะแนนความรุนแรงสูงสุด CVSS 10.0 ซึ่งหมายความว่า หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าควบคุมระบบได้ทั้งหมด ช่องโหว่นี้เกิดจากการ “deserialization” ที่ผิดพลาดใน License Servlet ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้ตรวจสอบสิทธิ์การใช้งาน โดยแฮกเกอร์สามารถปลอมลายเซ็น license แล้วแทรกวัตถุอันตรายเข้าไปในระบบ ทำให้สามารถสั่งรันโค้ดได้โดยไม่ต้องผ่านการยืนยันตัวตน แม้การโจมตีจะต้องอาศัยการเชื่อมต่อจากภายนอก แต่รายงานจาก watchTowr Labs ระบุว่ามีระบบ GoAnywhere MFT กว่า 20,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือเป็น “สนามเล่นของกลุ่ม APT” ที่พร้อมจะลงมือทันทีที่มีช่องทาง ช่องโหว่นี้คล้ายกับเหตุการณ์ในปี 2023 ที่ช่องโหว่ CVE-2023-0669 ถูกใช้โดยกลุ่มแรนซัมแวร์ cl0p และ LockBit ในการโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า CVE-2025-10035 จะถูกนำไปใช้โจมตีในเร็ว ๆ นี้เช่นกัน ข่าวดีคือ Fortra ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 7.8.4 และ Sustain Release 7.6.3 โดยแนะนำให้องค์กรอัปเดตทันที พร้อมกับปิดการเข้าถึง Admin Console จากภายนอก และวางระบบไว้หลังไฟร์วอลล์หรือ VPN รวมถึงตรวจสอบ log ว่ามีการเรียกใช้ SignedObject.getObject หรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10035 ใน GoAnywhere MFT ได้รับคะแนน CVSS 10.0 ➡️ เกิดจากการ deserialization ใน License Servlet ที่เปิดช่องให้ command injection ➡️ แฮกเกอร์สามารถปลอมลายเซ็น license แล้วแทรกวัตถุอันตรายเข้าไปในระบบ ➡️ มีระบบกว่า 20,000 เครื่องที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต ➡️ ช่องโหว่นี้คล้ายกับ CVE-2023-0669 ที่เคยถูกใช้โดยกลุ่มแรนซัมแวร์ ➡️ Fortra ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 7.8.4 และ 7.6.3 ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันทีและปิดการเข้าถึง Admin Console จากภายนอก ➡️ ควรวางระบบไว้หลังไฟร์วอลล์หรือ VPN และตรวจสอบ log สำหรับกิจกรรมผิดปกติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GoAnywhere MFT เป็นระบบที่ใช้ในองค์กรขนาดใหญ่ รวมถึง Fortune 500 ➡️ Deserialization เป็นเทคนิคที่มักถูกใช้โจมตีในระบบที่รับข้อมูลจากภายนอก ➡️ CVSS 10.0 หมายถึงช่องโหว่ที่สามารถถูกใช้โจมตีได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ การโจมตีแบบนี้อาจนำไปสู่การขโมยข้อมูล, การเข้ารหัสไฟล์, หรือการยึดระบบ ➡️ การตรวจสอบ log และการตั้ง alert เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการโจมตีล่วงหน้า https://hackread.com/critical-cvss-10-flaw-goanywhere-file-transfer/
    HACKREAD.COM
    Critical CVSS 10 Flaw in GoAnywhere File Transfer Threatens 20,000 Systems
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • โบรก ปรับเป้าดัชนี 68 1350-1400 26/09/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #SET #นักลงทุน #เศรษฐกิจ
    โบรก ปรับเป้าดัชนี 68 1350-1400 26/09/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #SET #นักลงทุน #เศรษฐกิจ
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 0 Reviews
  • “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย”

    ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ

    แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง

    AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด

    ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา

    แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่
    มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก
    การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง
    ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2
    ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น
    เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้
    รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์
    แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส
    เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54
    ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น
    เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที
    ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50%
    การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra

    https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    🎧 “AirPods Pro 3 เปลี่ยนเกมหูฟังอินเอียร์ — ใส่สบายขึ้น เสียงดีขึ้น และฉลาดขึ้นกว่าที่เคย” ใครที่เคยผิดหวังกับการใส่ AirPods แล้วหลุดง่าย หรือรู้สึกไม่พอดีกับหูตัวเอง อาจต้องกลับมามองใหม่ เพราะ AirPods Pro 3 รุ่นล่าสุดจาก Apple ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในเรื่อง “ความพอดี” และ “ความฉลาด” โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยมีปัญหากับหูฟังอินเอียร์แบบเดิม ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ภายในมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะ “จุกหูฟังแบบใหม่” ที่ใช้โฟมผสมซิลิโคน ซึ่ง Apple จดสิทธิบัตรไว้เรียบร้อยแล้ว ช่วยให้แนบสนิทกับรูหูมากขึ้น และลดการหลุดระหว่างใช้งาน แม้จะเขย่าหัวหรือออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ยังอยู่กับที่ได้อย่างมั่นคง AirPods Pro 3 ยังมาพร้อมจุกหูฟังถึง 5 ขนาด รวมถึงขนาด XXS สำหรับคนหูเล็ก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ Apple เพิ่มตัวเลือกนี้เข้ามา และการเปลี่ยนจุกก็ทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิค “พลิกซิลิโคนแล้วดึง” แทนการบิดที่อาจทำให้ยางขาด ความพอดีที่ดีขึ้นยังส่งผลต่อคุณภาพเสียงและระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่ Apple เคลมว่า “แรงขึ้น 2 เท่า” เมื่อเทียบกับรุ่น Pro 2 โดยมีการปรับช่องระบายอากาศใหม่ เพิ่มการตอบสนองเสียงเบส และปรับมุมของจุกหูฟังให้เสียงพุ่งตรงเข้าสู่หูมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ เช่น เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถทำงานร่วมกับแอป Fitness บน iPhone ได้ทันที โดยไม่ต้องใช้ Apple Watch และระบบ Live Translation ที่ใช้ AI แปลภาษาแบบเรียลไทม์ระหว่างการสนทนา แบตเตอรี่ก็อึดขึ้น โดยใช้งานได้ถึง 8 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรวมสูงสุด 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ซึ่งรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AirPods Pro 3 ใช้จุกหูฟังแบบโฟมผสมซิลิโคนที่จดสิทธิบัตรใหม่ ➡️ มีจุกหูฟังให้เลือก 5 ขนาด รวมถึง XXS สำหรับคนหูเล็ก ➡️ การเปลี่ยนจุกทำได้ง่ายขึ้นด้วยเทคนิคพลิกซิลิโคนแล้วดึง ➡️ ระบบ ANC แรงขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับ AirPods Pro 2 ➡️ ปรับช่องระบายอากาศและมุมจุกหูฟังเพื่อเสียงที่แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มเซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ใช้งานร่วมกับแอป Fitness ได้ ➡️ รองรับ Live Translation ด้วย AI แบบเรียลไทม์ ➡️ แบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมงต่อครั้ง และรวม 24 ชั่วโมงเมื่อใช้ร่วมกับเคส ➡️ เคสรองรับการชาร์จผ่าน USB-C, Qi และ Apple Watch charger ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AirPods Pro 3 มีมาตรฐานกันน้ำและฝุ่นระดับ IP57 ดีกว่ารุ่นก่อนที่เป็น IP54 ➡️ ระบบ Adaptive EQ และ Transparency mode ถูกปรับปรุงให้เสียงธรรมชาติมากขึ้น ➡️ เซนเซอร์วัดหัวใจใช้เทคโนโลยี PPG แบบอินฟราเรด 256 ครั้งต่อวินาที ➡️ ระบบ Precision Finding ในเคสมีระยะค้นหาเพิ่มขึ้น 50% ➡️ การตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 เทียบชั้นกับ Bose QuietComfort Ultra https://www.slashgear.com/1978857/apple-airpods-pro-3-fit-vs-pro-2-comparison/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Apple AirPods Never Quite Fit Me, But The New AirPods Pro 3 Changed That - SlashGear
    I was prepared to struggle with AirPods Pro 3, but they proved to fit my ears better than any previous iteration of Apple's earbuds. The smaller tips helped.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • “Ubuntu Touch OTA-10 มาแล้ว! รองรับ Rabbit R1, เตรียมอัปเกรดสู่ 24.04 พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Nix และ Bluetooth ที่ปลอดภัยขึ้น”

    หลังจากห่างหายไปเกือบ 3 เดือน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ Ubuntu Touch OTA-10 สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ โดยยังคงใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS (Focal Fossa) แต่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0 ที่จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ในอนาคต

    หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของ OTA-10 คือการเพิ่มตัวอัปเกรดใหม่ชื่อว่า “Ubuntu Touch Upgrader” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดระบบไปยังเวอร์ชัน 24.04 ได้อย่างราบรื่นเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยไม่ต้องแฟลชเครื่องใหม่

    อีกหนึ่งไฮไลต์คือการรองรับอุปกรณ์ใหม่ “Rabbit R1” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผู้ช่วยส่วนตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการระบบปฏิบัติการแบบเปิดและปลอดภัย โดย Ubuntu Touch บน Rabbit R1 ได้รับการพัฒนาโดยชุมชน และพร้อมใช้งานในระดับ daily driver แล้ว

    นอกจากนี้ OTA-10 ยังเพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix ซึ่งเป็นระบบจัดการซอฟต์แวร์แบบ declarative ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักพัฒนา DevOps และผู้ใช้ Linux ขั้นสูง

    ด้านมัลติมีเดียมีการปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ในตัวเข้ารหัส H.264 และเพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD รวมถึงการอัปเดตประเภท AVC level เพื่อให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพและเสถียรมากขึ้น

    ในส่วนของ Bluetooth มีการปรับปรุงให้ไม่สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ Nissan Connect ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้จากการเชื่อมต่อที่ไม่พึงประสงค์

    อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น เช่น Asus Zenfone Max Pro M1, Fairphone 3–4, Google Pixel 3a, OnePlus 5–Nord N100, Lenovo Tab M10 HD, Sony Xperia X, Volla Phone/Tablet, Xiaomi Poco และ Redmi หลายรุ่น โดยผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ System Settings แบบทยอยปล่อย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ubuntu Touch OTA-10 ใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS
    เพิ่ม “Ubuntu Touch Upgrader” สำหรับอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0
    รองรับอุปกรณ์ใหม่ Rabbit R1 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
    เพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix
    ปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ใน H.264 encoder
    เพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD และอัปเดต AVC level types
    ปรับปรุง Bluetooth ไม่ให้ autopair กับ Nissan Connect
    รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่นจาก Asus, Fairphone, Google, OnePlus, Lenovo, Sony, Volla, Xiaomi
    ผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่าน System Settings แบบทยอยปล่อย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ubuntu Touch 24.04-1.0 จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ พร้อม Qt 5.15 และธีมใหม่
    Rabbit R1 เป็นอุปกรณ์ผู้ช่วย AI ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการควบคุมข้อมูล
    Nix เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้แนวคิด declarative และ reproducible builds
    การปรับปรุง Bluetooth ช่วยลดความเสี่ยงจากการเชื่อมต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต
    UHD และ AVC level ใหม่ช่วยให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพสูงขึ้นในอุปกรณ์มือถือ

    https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-10-released-with-ubuntu-touch-upgrader-rabbit-r1-support
    📱 “Ubuntu Touch OTA-10 มาแล้ว! รองรับ Rabbit R1, เตรียมอัปเกรดสู่ 24.04 พร้อมฟีเจอร์ใหม่จาก Nix และ Bluetooth ที่ปลอดภัยขึ้น” หลังจากห่างหายไปเกือบ 3 เดือน UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดตใหญ่ Ubuntu Touch OTA-10 สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ โดยยังคงใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS (Focal Fossa) แต่มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0 ที่จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ในอนาคต หนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของ OTA-10 คือการเพิ่มตัวอัปเกรดใหม่ชื่อว่า “Ubuntu Touch Upgrader” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถอัปเกรดระบบไปยังเวอร์ชัน 24.04 ได้อย่างราบรื่นเมื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยไม่ต้องแฟลชเครื่องใหม่ อีกหนึ่งไฮไลต์คือการรองรับอุปกรณ์ใหม่ “Rabbit R1” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผู้ช่วยส่วนตัวที่ขับเคลื่อนด้วย AI และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการระบบปฏิบัติการแบบเปิดและปลอดภัย โดย Ubuntu Touch บน Rabbit R1 ได้รับการพัฒนาโดยชุมชน และพร้อมใช้งานในระดับ daily driver แล้ว นอกจากนี้ OTA-10 ยังเพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix ซึ่งเป็นระบบจัดการซอฟต์แวร์แบบ declarative ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักพัฒนา DevOps และผู้ใช้ Linux ขั้นสูง ด้านมัลติมีเดียมีการปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ในตัวเข้ารหัส H.264 และเพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD รวมถึงการอัปเดตประเภท AVC level เพื่อให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพและเสถียรมากขึ้น ในส่วนของ Bluetooth มีการปรับปรุงให้ไม่สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ Nissan Connect ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้จากการเชื่อมต่อที่ไม่พึงประสงค์ อัปเดตนี้รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น เช่น Asus Zenfone Max Pro M1, Fairphone 3–4, Google Pixel 3a, OnePlus 5–Nord N100, Lenovo Tab M10 HD, Sony Xperia X, Volla Phone/Tablet, Xiaomi Poco และ Redmi หลายรุ่น โดยผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่านหน้าจอ System Settings แบบทยอยปล่อย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ubuntu Touch OTA-10 ใช้พื้นฐานจาก Ubuntu 20.04 LTS ➡️ เพิ่ม “Ubuntu Touch Upgrader” สำหรับอัปเกรดสู่ Ubuntu Touch 24.04-1.0 ➡️ รองรับอุปกรณ์ใหม่ Rabbit R1 ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ➡️ เพิ่มการรองรับเบื้องต้นสำหรับระบบแพ็กเกจ Nix ➡️ ปรับปรุงการคำนวณ SetBitrate() ใน H.264 encoder ➡️ เพิ่มการรองรับฟอร์แมต UHD และอัปเดต AVC level types ➡️ ปรับปรุง Bluetooth ไม่ให้ autopair กับ Nissan Connect ➡️ รองรับอุปกรณ์หลากหลายรุ่นจาก Asus, Fairphone, Google, OnePlus, Lenovo, Sony, Volla, Xiaomi ➡️ ผู้ใช้ในช่อง Stable จะได้รับอัปเดตผ่าน System Settings แบบทยอยปล่อย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ubuntu Touch 24.04-1.0 จะใช้ Ubuntu 24.04 LTS เป็นฐานใหม่ พร้อม Qt 5.15 และธีมใหม่ ➡️ Rabbit R1 เป็นอุปกรณ์ผู้ช่วย AI ที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการควบคุมข้อมูล ➡️ Nix เป็นระบบจัดการแพ็กเกจที่ใช้แนวคิด declarative และ reproducible builds ➡️ การปรับปรุง Bluetooth ช่วยลดความเสี่ยงจากการเชื่อมต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ UHD และ AVC level ใหม่ช่วยให้การเล่นวิดีโอมีคุณภาพสูงขึ้นในอุปกรณ์มือถือ https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-10-released-with-ubuntu-touch-upgrader-rabbit-r1-support
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu Touch OTA-10 Released with Ubuntu Touch Upgrader, Rabbit R1 Support - 9to5Linux
    Ubuntu Touch OTA-10 is now rolling out to all supported devices with various improvements and fixes. Here’s what’s new!
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • “Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ ‘Ask AI’ ถามคำศัพท์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ — เมื่อการอ่านอีบุ๊กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้น”

    Calibre โปรแกรมจัดการอีบุ๊กยอดนิยมแบบโอเพ่นซอร์ส ได้ออกเวอร์ชันใหม่ 8.11 โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจคือ “Ask AI” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแถบ Dictionary Lookup ของโปรแกรมอ่านอีบุ๊ก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความในหนังสือ แล้วถาม AI ได้ทันทีว่าเนื้อหานั้นหมายถึงอะไร หรือมีบริบทอย่างไร

    ฟีเจอร์นี้รองรับโมเดล AI หลากหลายจากผู้ให้บริการฟรี เช่น Google, OpenRouter, GitHub หรือแม้แต่การใช้งานแบบ local ผ่าน Ollama โดยผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองก่อนใช้งาน ซึ่งหมายความว่า Calibre จะไม่โหลดโค้ด AI ใด ๆ หากผู้ใช้ไม่เปิดใช้งานเอง

    นอกจากนั้น Calibre 8.11 ยังเพิ่มตัวเลือกใน Preferences ให้แสดงคีย์ลัดของแต่ละหมวดใน tooltip เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้น และมีการปรับปรุงแหล่งข่าวหลายแห่ง เช่น The New York Times, The Economist และ New York Review of Books

    ด้านการแก้ไขบั๊กก็มีหลายรายการ เช่น ปัญหาในการเพิ่ม icon rule ใน Tag browser, การแปลงไฟล์ PDB ที่มี header ผิดรูปแบบ, และการเซ็น DLL บน Windows ที่ต้องเซ็นทั้ง .dll และ .pyd เพื่อให้ระบบยอมรับ

    ในส่วนของ E-book Viewer ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การแก้ไขปัญหา highlight ซ้ำซ้อน, การจัดการ footnote popup ด้วยปุ่ม Esc, และการแก้ลิงก์ที่ไม่ทำงานในหนังสือขนาดใหญ่

    Calibre 8.11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 รวมถึงเวอร์ชัน Flatpak บน Flathub.

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ “Ask AI” ในแถบ Dictionary Lookup
    รองรับโมเดล AI จาก Google, OpenRouter, GitHub และ Ollama แบบ local
    ฟีเจอร์ AI จะไม่ถูกโหลดจนกว่าผู้ใช้จะตั้งค่าเอง
    เพิ่มตัวเลือกแสดงคีย์ลัดใน tooltip ของ Preferences
    ปรับปรุงแหล่งข่าว เช่น NYT, Economist, El Diplo, NYRB
    แก้บั๊กใน Tag browser, PDB conversion, และ DLL signing บน Windows
    ปรับปรุง E-book Viewer เช่น highlight, footnote popup, และลิงก์ในหนังสือขนาดใหญ่
    รองรับการดาวน์โหลดแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64
    สามารถติดตั้งผ่าน Flatpak บน Flathub ได้ทันที

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ollama เป็นระบบรันโมเดล AI แบบ local ที่เน้นความเป็นส่วนตัว
    OpenRouter เป็นแพลตฟอร์มที่รวมโมเดล AI จากหลายค่ายไว้ในที่เดียว
    การใช้ AI ในการอ่านหนังสือช่วยให้เข้าใจบริบทเชิงลึก เช่น ความหมายแฝงหรือการอ้างอิง
    Calibre เป็นหนึ่งในโปรแกรมจัดการอีบุ๊กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux
    การแสดงคีย์ลัดใน tooltip ช่วยลด learning curve สำหรับผู้ใช้ใหม่

    https://9to5linux.com/calibre-8-11-e-book-manager-adds-an-ask-ai-tab-to-the-dictionary-lookup-panel
    📚 “Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ ‘Ask AI’ ถามคำศัพท์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ — เมื่อการอ่านอีบุ๊กกลายเป็นประสบการณ์ที่ฉลาดขึ้น” Calibre โปรแกรมจัดการอีบุ๊กยอดนิยมแบบโอเพ่นซอร์ส ได้ออกเวอร์ชันใหม่ 8.11 โดยมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจคือ “Ask AI” ซึ่งถูกเพิ่มเข้าไปในแถบ Dictionary Lookup ของโปรแกรมอ่านอีบุ๊ก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกข้อความในหนังสือ แล้วถาม AI ได้ทันทีว่าเนื้อหานั้นหมายถึงอะไร หรือมีบริบทอย่างไร ฟีเจอร์นี้รองรับโมเดล AI หลากหลายจากผู้ให้บริการฟรี เช่น Google, OpenRouter, GitHub หรือแม้แต่การใช้งานแบบ local ผ่าน Ollama โดยผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองก่อนใช้งาน ซึ่งหมายความว่า Calibre จะไม่โหลดโค้ด AI ใด ๆ หากผู้ใช้ไม่เปิดใช้งานเอง นอกจากนั้น Calibre 8.11 ยังเพิ่มตัวเลือกใน Preferences ให้แสดงคีย์ลัดของแต่ละหมวดใน tooltip เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เร็วขึ้น และมีการปรับปรุงแหล่งข่าวหลายแห่ง เช่น The New York Times, The Economist และ New York Review of Books ด้านการแก้ไขบั๊กก็มีหลายรายการ เช่น ปัญหาในการเพิ่ม icon rule ใน Tag browser, การแปลงไฟล์ PDB ที่มี header ผิดรูปแบบ, และการเซ็น DLL บน Windows ที่ต้องเซ็นทั้ง .dll และ .pyd เพื่อให้ระบบยอมรับ ในส่วนของ E-book Viewer ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน เช่น การแก้ไขปัญหา highlight ซ้ำซ้อน, การจัดการ footnote popup ด้วยปุ่ม Esc, และการแก้ลิงก์ที่ไม่ทำงานในหนังสือขนาดใหญ่ Calibre 8.11 พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วทั้งแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 รวมถึงเวอร์ชัน Flatpak บน Flathub. ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Calibre 8.11 เพิ่มฟีเจอร์ “Ask AI” ในแถบ Dictionary Lookup ➡️ รองรับโมเดล AI จาก Google, OpenRouter, GitHub และ Ollama แบบ local ➡️ ฟีเจอร์ AI จะไม่ถูกโหลดจนกว่าผู้ใช้จะตั้งค่าเอง ➡️ เพิ่มตัวเลือกแสดงคีย์ลัดใน tooltip ของ Preferences ➡️ ปรับปรุงแหล่งข่าว เช่น NYT, Economist, El Diplo, NYRB ➡️ แก้บั๊กใน Tag browser, PDB conversion, และ DLL signing บน Windows ➡️ ปรับปรุง E-book Viewer เช่น highlight, footnote popup, และลิงก์ในหนังสือขนาดใหญ่ ➡️ รองรับการดาวน์โหลดแบบ binary สำหรับ Linux 64-bit และ ARM64 ➡️ สามารถติดตั้งผ่าน Flatpak บน Flathub ได้ทันที ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ollama เป็นระบบรันโมเดล AI แบบ local ที่เน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ OpenRouter เป็นแพลตฟอร์มที่รวมโมเดล AI จากหลายค่ายไว้ในที่เดียว ➡️ การใช้ AI ในการอ่านหนังสือช่วยให้เข้าใจบริบทเชิงลึก เช่น ความหมายแฝงหรือการอ้างอิง ➡️ Calibre เป็นหนึ่งในโปรแกรมจัดการอีบุ๊กที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก Linux ➡️ การแสดงคีย์ลัดใน tooltip ช่วยลด learning curve สำหรับผู้ใช้ใหม่ https://9to5linux.com/calibre-8-11-e-book-manager-adds-an-ask-ai-tab-to-the-dictionary-lookup-panel
    9TO5LINUX.COM
    Calibre 8.11 E-Book Manager Adds an "Ask AI" Tab to the Dictionary Lookup Panel - 9to5Linux
    Calibre 8.11 open-source e-book management software is now available for download with an "Ask AI" tab to the dictionary lookup panel.
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • “KVICK SÖRT: คู่มือประกอบอัลกอริธึมแบบไร้คำพูด — เมื่อการเรียนรู้ไม่ต้องใช้ภาษา แต่ใช้ภาพและความเข้าใจร่วมกัน”

    KVICK SÖRT คือหนึ่งในชุดคู่มือจากโครงการ IDEA (International Diagrammatic Explanation Assembly) ที่นำเสนอวิธีการทำงานของอัลกอริธึมชื่อดังอย่าง Quicksort ผ่านภาพประกอบแบบไม่ใช้ข้อความเลยแม้แต่คำเดียว จุดเด่นของแนวทางนี้คือการออกแบบให้เข้าใจได้โดยไม่ต้องพึ่งภาษาใดภาษาหนึ่ง ทำให้สามารถใช้สื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Quicksort เป็นอัลกอริธึมการเรียงลำดับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลักการ “แบ่งแล้วจัดการ” (divide and conquer) ซึ่งจะเลือกตัวแบ่ง (pivot) แล้วจัดเรียงข้อมูลให้ตัวที่น้อยกว่ามาอยู่ด้านหนึ่ง และตัวที่มากกว่ามาอยู่อีกด้าน จากนั้นจึงเรียกใช้กระบวนการเดิมซ้ำกับแต่ละส่วนย่อย

    ในคู่มือ KVICK SÖRT มีการแนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีที่แย่ที่สุด เช่น การเลือกตัวแรกหรือสุดท้ายในชุดข้อมูลที่เรียงอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก

    เอกสารนี้เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีในรูปแบบ PDF, PNG และ SVG ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0) ซึ่งอนุญาตให้นำไปใช้และดัดแปลงในบริบทที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ เช่น การเรียนการสอน หรือการเผยแพร่ความรู้

    โครงการ IDEA เริ่มต้นโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างชุดคำอธิบายอัลกอริธึมที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู หรือผู้สนใจทั่วไป

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    KVICK SÖRT เป็นคู่มืออธิบายอัลกอริธึม Quicksort แบบไม่ใช้ข้อความ
    เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ IDEA ที่เน้นการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม
    Quicksort ใช้หลัก divide and conquer โดยเลือก pivot แล้วแบ่งข้อมูล
    แนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่มเพื่อหลีกเลี่ยง worst-case runtime
    เปิดให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ PDF, PNG, SVG
    ใช้สัญญาอนุญาต Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0)
    พัฒนาโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018
    เหมาะสำหรับครู นักเรียน และผู้สนใจทั่วไปในการเรียนรู้อัลกอริธึม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Quicksort มีประสิทธิภาพเฉลี่ยเป็น O(n log n) แต่กรณีแย่ที่สุดคือ O(n²)
    การเลือก pivot แบบสุ่มช่วยลดโอกาสเกิด worst-case ได้อย่างมีนัยสำคัญ
    การใช้ภาพแทนข้อความช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างอัลกอริธึมได้เร็วขึ้น
    คู่มือแบบไม่ใช้คำพูดสามารถใช้ในห้องเรียนที่มีนักเรียนหลากหลายภาษา
    โครงการ IDEA ยังมีคู่มือสำหรับอัลกอริธึมอื่น ๆ เช่น Dijkstra, Merge Sort, BFS

    https://idea-instructions.com/quick-sort/
    🧩 “KVICK SÖRT: คู่มือประกอบอัลกอริธึมแบบไร้คำพูด — เมื่อการเรียนรู้ไม่ต้องใช้ภาษา แต่ใช้ภาพและความเข้าใจร่วมกัน” KVICK SÖRT คือหนึ่งในชุดคู่มือจากโครงการ IDEA (International Diagrammatic Explanation Assembly) ที่นำเสนอวิธีการทำงานของอัลกอริธึมชื่อดังอย่าง Quicksort ผ่านภาพประกอบแบบไม่ใช้ข้อความเลยแม้แต่คำเดียว จุดเด่นของแนวทางนี้คือการออกแบบให้เข้าใจได้โดยไม่ต้องพึ่งภาษาใดภาษาหนึ่ง ทำให้สามารถใช้สื่อสารข้ามวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ Quicksort เป็นอัลกอริธึมการเรียงลำดับที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้หลักการ “แบ่งแล้วจัดการ” (divide and conquer) ซึ่งจะเลือกตัวแบ่ง (pivot) แล้วจัดเรียงข้อมูลให้ตัวที่น้อยกว่ามาอยู่ด้านหนึ่ง และตัวที่มากกว่ามาอยู่อีกด้าน จากนั้นจึงเรียกใช้กระบวนการเดิมซ้ำกับแต่ละส่วนย่อย ในคู่มือ KVICK SÖRT มีการแนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่ม เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีที่แย่ที่สุด เช่น การเลือกตัวแรกหรือสุดท้ายในชุดข้อมูลที่เรียงอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก เอกสารนี้เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีในรูปแบบ PDF, PNG และ SVG ภายใต้สัญญาอนุญาตแบบ Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0) ซึ่งอนุญาตให้นำไปใช้และดัดแปลงในบริบทที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ เช่น การเรียนการสอน หรือการเผยแพร่ความรู้ โครงการ IDEA เริ่มต้นโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างชุดคำอธิบายอัลกอริธึมที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน ครู หรือผู้สนใจทั่วไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ KVICK SÖRT เป็นคู่มืออธิบายอัลกอริธึม Quicksort แบบไม่ใช้ข้อความ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ IDEA ที่เน้นการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม ➡️ Quicksort ใช้หลัก divide and conquer โดยเลือก pivot แล้วแบ่งข้อมูล ➡️ แนะนำให้เลือก pivot แบบสุ่มเพื่อหลีกเลี่ยง worst-case runtime ➡️ เปิดให้ดาวน์โหลดในรูปแบบ PDF, PNG, SVG ➡️ ใช้สัญญาอนุญาต Creative Commons (CC BY-NC-SA 4.0) ➡️ พัฒนาโดย Sándor P. Fekete และ blinry ตั้งแต่ปี 2018 ➡️ เหมาะสำหรับครู นักเรียน และผู้สนใจทั่วไปในการเรียนรู้อัลกอริธึม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Quicksort มีประสิทธิภาพเฉลี่ยเป็น O(n log n) แต่กรณีแย่ที่สุดคือ O(n²) ➡️ การเลือก pivot แบบสุ่มช่วยลดโอกาสเกิด worst-case ได้อย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การใช้ภาพแทนข้อความช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจโครงสร้างอัลกอริธึมได้เร็วขึ้น ➡️ คู่มือแบบไม่ใช้คำพูดสามารถใช้ในห้องเรียนที่มีนักเรียนหลากหลายภาษา ➡️ โครงการ IDEA ยังมีคู่มือสำหรับอัลกอริธึมอื่น ๆ เช่น Dijkstra, Merge Sort, BFS https://idea-instructions.com/quick-sort/
    IDEA-INSTRUCTIONS.COM
    KVICK SÖRT
    Quicksort is an efficient sorting algorithm based on a divide and conquer approach. Choosing the dividing element at random is a good strategy to avoid bad worst-case runtime.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • “Google Search กลายเป็นสนามโฆษณา — เมื่อการค้นหากลายเป็นการจ่ายเพื่อให้เจอสิ่งที่ควรเจออยู่แล้ว”

    บทความจาก Bit Byte Bit โดย Zarar Siddiqi ได้สะท้อนปัญหาที่ผู้ใช้ Google Search จำนวนมากเริ่มรู้สึก: การค้นหาข้อมูลที่ควรจะง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะผลลัพธ์ที่แท้จริงถูกผลักลงไปอยู่ล่าง ๆ ของหน้า โดยถูกแทนที่ด้วยโฆษณาและลิงก์ที่จ่ายเงินเพื่อขึ้นอันดับ

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการค้นหาคำว่า “Midjourney” ซึ่งควรจะนำไปสู่เว็บไซต์ของ Midjourney โดยตรง แต่กลับพบว่าเว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 รองจากลิงก์โฆษณาและเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การจะขึ้นอันดับสูงใน Google ไม่ใช่แค่ต้องมีผลิตภัณฑ์ดีและมี backlink มากพอ แต่ยังต้อง “จ่ายเงิน” เพื่อกันไม่ให้คู่แข่งที่จ่ายมากกว่าแซงหน้าไป

    สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของ Google ที่เปลี่ยนจาก “เครื่องมือค้นหา” ไปสู่ “แพลตฟอร์มโฆษณา” ที่ควบคุมการมองเห็นของแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านระบบที่เรียกว่า AI Max ซึ่งเป็นชุดโฆษณาอัตโนมัติที่ Google เริ่มผลักดันในปี 2025 โดยสามารถปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา และแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบ AI Overview ที่อาจรวมโฆษณาเข้าไปในคำตอบโดยตรง

    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังมากขึ้น เพราะแม้จะค้นหาด้วยคำที่ชัดเจน ก็อาจไม่เจอสิ่งที่ต้องการทันที หากไม่ได้เลื่อนผ่านโฆษณาและผลลัพธ์ที่ถูกปรับแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ค้นหา “Midjourney” แต่เว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 ของผลลัพธ์
    ผลลัพธ์อันดับต้น ๆ ถูกครอบครองโดยโฆษณาและเว็บไซต์ที่จ่ายเงิน
    Google ใช้ระบบ AI Max เพื่อปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาผู้ค้นหา
    AI Max สามารถแสดงโฆษณาในรูปแบบ AI Overview ซึ่งรวมอยู่ในคำตอบโดยตรง
    การขึ้นอันดับใน Google ต้องมีทั้งคุณภาพของเนื้อหาและการจ่ายเงินเพื่อโฆษณา
    ผู้เขียนวิจารณ์ว่า Google Search ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ “ตรง” กับความต้องการอีกต่อไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI Max เป็นระบบโฆษณาอัตโนมัติที่ Google ขยายทั่วโลกในปี 2025
    ระบบนี้สามารถแสดงโฆษณาแม้ในคำค้นที่ผู้ลงโฆษณาไม่ได้ระบุไว้โดยตรง
    Google เริ่มทดลองแสดงโฆษณาในคำตอบของ AI Overview ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2025
    การจัดอันดับผลลัพธ์ใน Google ถูกปรับตาม “Intent Satisfaction Metrics” มากกว่าการคลิกเพียงอย่างเดียว2
    เว็บไซต์ที่เน้นเนื้อหาลึกและตอบคำถามครบถ้วนมีแนวโน้มได้อันดับสูงกว่าเว็บไซต์ที่เน้น SEO แบบเดิม

    https://bitbytebit.substack.com/p/everything-thats-wrong-with-google
    🔍 “Google Search กลายเป็นสนามโฆษณา — เมื่อการค้นหากลายเป็นการจ่ายเพื่อให้เจอสิ่งที่ควรเจออยู่แล้ว” บทความจาก Bit Byte Bit โดย Zarar Siddiqi ได้สะท้อนปัญหาที่ผู้ใช้ Google Search จำนวนมากเริ่มรู้สึก: การค้นหาข้อมูลที่ควรจะง่าย กลับกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะผลลัพธ์ที่แท้จริงถูกผลักลงไปอยู่ล่าง ๆ ของหน้า โดยถูกแทนที่ด้วยโฆษณาและลิงก์ที่จ่ายเงินเพื่อขึ้นอันดับ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการค้นหาคำว่า “Midjourney” ซึ่งควรจะนำไปสู่เว็บไซต์ของ Midjourney โดยตรง แต่กลับพบว่าเว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 รองจากลิงก์โฆษณาและเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การจะขึ้นอันดับสูงใน Google ไม่ใช่แค่ต้องมีผลิตภัณฑ์ดีและมี backlink มากพอ แต่ยังต้อง “จ่ายเงิน” เพื่อกันไม่ให้คู่แข่งที่จ่ายมากกว่าแซงหน้าไป สิ่งนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของ Google ที่เปลี่ยนจาก “เครื่องมือค้นหา” ไปสู่ “แพลตฟอร์มโฆษณา” ที่ควบคุมการมองเห็นของแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านระบบที่เรียกว่า AI Max ซึ่งเป็นชุดโฆษณาอัตโนมัติที่ Google เริ่มผลักดันในปี 2025 โดยสามารถปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา และแสดงผลลัพธ์ในรูปแบบ AI Overview ที่อาจรวมโฆษณาเข้าไปในคำตอบโดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ผู้ใช้ต้องระวังมากขึ้น เพราะแม้จะค้นหาด้วยคำที่ชัดเจน ก็อาจไม่เจอสิ่งที่ต้องการทันที หากไม่ได้เลื่อนผ่านโฆษณาและผลลัพธ์ที่ถูกปรับแต่งเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ค้นหา “Midjourney” แต่เว็บไซต์จริงอยู่ในอันดับที่ 5 ของผลลัพธ์ ➡️ ผลลัพธ์อันดับต้น ๆ ถูกครอบครองโดยโฆษณาและเว็บไซต์ที่จ่ายเงิน ➡️ Google ใช้ระบบ AI Max เพื่อปรับข้อความโฆษณาให้ตรงกับเจตนาผู้ค้นหา ➡️ AI Max สามารถแสดงโฆษณาในรูปแบบ AI Overview ซึ่งรวมอยู่ในคำตอบโดยตรง ➡️ การขึ้นอันดับใน Google ต้องมีทั้งคุณภาพของเนื้อหาและการจ่ายเงินเพื่อโฆษณา ➡️ ผู้เขียนวิจารณ์ว่า Google Search ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ “ตรง” กับความต้องการอีกต่อไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI Max เป็นระบบโฆษณาอัตโนมัติที่ Google ขยายทั่วโลกในปี 2025 ➡️ ระบบนี้สามารถแสดงโฆษณาแม้ในคำค้นที่ผู้ลงโฆษณาไม่ได้ระบุไว้โดยตรง ➡️ Google เริ่มทดลองแสดงโฆษณาในคำตอบของ AI Overview ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ การจัดอันดับผลลัพธ์ใน Google ถูกปรับตาม “Intent Satisfaction Metrics” มากกว่าการคลิกเพียงอย่างเดียว2 ➡️ เว็บไซต์ที่เน้นเนื้อหาลึกและตอบคำถามครบถ้วนมีแนวโน้มได้อันดับสูงกว่าเว็บไซต์ที่เน้น SEO แบบเดิม https://bitbytebit.substack.com/p/everything-thats-wrong-with-google
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
More Results