• LiDAR “ไม่ใช่ของใหม่” อยู่ใน TOR ทักษิณ (10/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #LiDAR
    #TOR46
    #ทักษิณ
    #เทคโนโลยี
    #การเมืองไทย
    #ข่าววันนี้
    #ข่าวtiktok
    #newsupdate
    LiDAR “ไม่ใช่ของใหม่” อยู่ใน TOR ทักษิณ (10/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #LiDAR #TOR46 #ทักษิณ #เทคโนโลยี #การเมืองไทย #ข่าววันนี้ #ข่าวtiktok #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 61 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อม Multi-Frame Generation — เพิ่มเฟรม 4 เท่า รองรับ GPU รุ่นเก่า ท้าชน DLSS และ FSR”

    Intel ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี XeSS 3 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ซึ่งสามารถสร้างเฟรมภาพด้วย AI ได้สูงสุดถึง 4 เท่า โดยใช้การแทรกเฟรมระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก

    จุดเด่นของ XeSS-MFG คือ “รองรับ GPU รุ่นเก่า” ทั้ง Arc Alchemist รุ่นแรก, Xe2 และแม้แต่ Xe1 ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก Nvidia ที่จำกัด MFG เฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ทำให้ Intel กลายเป็นผู้ผลิต GPU รายแรกที่เปิดให้ใช้ MFG ได้หลายเจเนอเรชัน

    เทคโนโลยีนี้จะถูกฝังอยู่ในชิปกราฟิก Xe3 ที่มาพร้อมกับซีพียู Panther Lake ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2026 โดย Intel ระบุว่า Xe3 จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% และเมื่อรวมกับ MFG จะสามารถเพิ่มเฟรมเรตได้อย่างมหาศาลในเกมที่รองรับ

    XeSS-MFG ใช้ motion vectors และ depth buffers เพื่อสร้าง optical flow network แล้วแทรกเฟรมภาพ 3 เฟรมระหว่างเฟรมจริง 2 เฟรม ทำให้ได้เฟรมรวมสูงสุด 4 เท่า พร้อมระบบ Frame Pacing เพื่อให้เฟรมแสดงผลตรงจังหวะ

    Intel ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอป Graphics Software เช่น Frame Generation Override ที่ให้ผู้ใช้เลือกโหมด 2x, 3x หรือ 4x ได้เอง และ Shared GPU/NPU Memory Override ที่ให้ผู้ใช้จัดสรรหน่วยความจำระบบสำหรับงาน AI ได้คล้ายกับฟีเจอร์ของ AMD

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG)
    MFG สามารถสร้างเฟรมภาพได้สูงสุด 4 เท่า (3 เฟรม AI ต่อ 1 เฟรมจริง)
    ใช้ motion vectors และ depth buffers สร้าง optical flow network
    รองรับ GPU รุ่นเก่า เช่น Arc Alchemist, Xe2 และ Xe1 ในอนาคต
    XeSS-MFG จะฝังอยู่ในชิป Xe3 ที่มากับซีพียู Panther Lake
    Xe3 มีประสิทธิภาพกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50%
    Frame Generation Override ให้ผู้ใช้เลือกโหมดเฟรมได้เอง
    Shared GPU/NPU Memory Override ให้จัดสรรหน่วยความจำสำหรับงาน AI
    XeSS 3 จะเปิดตัวพร้อม Panther Lake ในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia เปิดตัว MFG ใน DLSS 4 แต่จำกัดเฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น
    AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ที่มีฟีเจอร์ frame generation ในปี 2026
    Optical flow network เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของภาพ
    Frame Pacing ช่วยให้เฟรมที่สร้างขึ้นแสดงผลตรงจังหวะ ไม่กระตุก
    XeSS 3 ใช้ AI และ machine learning เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพและความลื่นไหล

    https://www.techradar.com/computing/gpu/intel-reveals-xess-3-with-multi-frame-generation-and-unlike-nvidias-mfg-it-works-on-older-gpus
    🚀 “Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อม Multi-Frame Generation — เพิ่มเฟรม 4 เท่า รองรับ GPU รุ่นเก่า ท้าชน DLSS และ FSR” Intel ประกาศเปิดตัวเทคโนโลยี XeSS 3 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ซึ่งสามารถสร้างเฟรมภาพด้วย AI ได้สูงสุดถึง 4 เท่า โดยใช้การแทรกเฟรมระหว่างเฟรมจริงที่ GPU เรนเดอร์ เพื่อเพิ่มความลื่นไหลของภาพในเกมและแอปพลิเคชันกราฟิก จุดเด่นของ XeSS-MFG คือ “รองรับ GPU รุ่นเก่า” ทั้ง Arc Alchemist รุ่นแรก, Xe2 และแม้แต่ Xe1 ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก Nvidia ที่จำกัด MFG เฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ทำให้ Intel กลายเป็นผู้ผลิต GPU รายแรกที่เปิดให้ใช้ MFG ได้หลายเจเนอเรชัน เทคโนโลยีนี้จะถูกฝังอยู่ในชิปกราฟิก Xe3 ที่มาพร้อมกับซีพียู Panther Lake ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนมกราคม 2026 โดย Intel ระบุว่า Xe3 จะมีประสิทธิภาพด้านกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% และเมื่อรวมกับ MFG จะสามารถเพิ่มเฟรมเรตได้อย่างมหาศาลในเกมที่รองรับ XeSS-MFG ใช้ motion vectors และ depth buffers เพื่อสร้าง optical flow network แล้วแทรกเฟรมภาพ 3 เฟรมระหว่างเฟรมจริง 2 เฟรม ทำให้ได้เฟรมรวมสูงสุด 4 เท่า พร้อมระบบ Frame Pacing เพื่อให้เฟรมแสดงผลตรงจังหวะ Intel ยังเตรียมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอป Graphics Software เช่น Frame Generation Override ที่ให้ผู้ใช้เลือกโหมด 2x, 3x หรือ 4x ได้เอง และ Shared GPU/NPU Memory Override ที่ให้ผู้ใช้จัดสรรหน่วยความจำระบบสำหรับงาน AI ได้คล้ายกับฟีเจอร์ของ AMD ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เปิดตัว XeSS 3 พร้อมฟีเจอร์ Multi-Frame Generation (MFG) ➡️ MFG สามารถสร้างเฟรมภาพได้สูงสุด 4 เท่า (3 เฟรม AI ต่อ 1 เฟรมจริง) ➡️ ใช้ motion vectors และ depth buffers สร้าง optical flow network ➡️ รองรับ GPU รุ่นเก่า เช่น Arc Alchemist, Xe2 และ Xe1 ในอนาคต ➡️ XeSS-MFG จะฝังอยู่ในชิป Xe3 ที่มากับซีพียู Panther Lake ➡️ Xe3 มีประสิทธิภาพกราฟิกสูงกว่า Xe2 ถึง 50% ➡️ Frame Generation Override ให้ผู้ใช้เลือกโหมดเฟรมได้เอง ➡️ Shared GPU/NPU Memory Override ให้จัดสรรหน่วยความจำสำหรับงาน AI ➡️ XeSS 3 จะเปิดตัวพร้อม Panther Lake ในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia เปิดตัว MFG ใน DLSS 4 แต่จำกัดเฉพาะ RTX 5000 เท่านั้น ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ที่มีฟีเจอร์ frame generation ในปี 2026 ➡️ Optical flow network เป็นเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของภาพ ➡️ Frame Pacing ช่วยให้เฟรมที่สร้างขึ้นแสดงผลตรงจังหวะ ไม่กระตุก ➡️ XeSS 3 ใช้ AI และ machine learning เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพและความลื่นไหล https://www.techradar.com/computing/gpu/intel-reveals-xess-3-with-multi-frame-generation-and-unlike-nvidias-mfg-it-works-on-older-gpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Athena1: ซีพียูสายพันธุ์ยุโรปเพื่อความมั่นคง — SiPearl เปิดตัวชิปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมชนคู่แข่งโลกในปี 2027”

    SiPearl บริษัทออกแบบชิปจากฝรั่งเศสประกาศเปิดตัว “Athena1” ซีพียูรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน “dual-use” ทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยเน้นความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการใช้งานในภาครัฐ การสื่อสารลับ ระบบข่าวกรอง และอุตสาหกรรมอวกาศ

    Athena1 เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท โดยใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านประสิทธิภาพและข้อจำกัดด้านความร้อนของแต่ละงาน

    แม้จะเป็นชิปที่ออกแบบในยุโรป แต่การผลิต die ยังต้องพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน โดยการบรรจุ (packaging) จะเริ่มต้นในเอเชียก่อนจะย้ายกลับมาทำในยุโรป เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค

    Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” ของยุโรป ที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Athena1 เป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก SiPearl สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม
    ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 มีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์
    รองรับงานด้านการสื่อสารลับ, ข่าวกรอง, อุตสาหกรรมอวกาศ และระบบตรวจจับ
    เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท
    ผลิต die โดย TSMC และเริ่ม packaging ในไต้หวันก่อนย้ายกลับยุโรป
    วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป
    ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, รังสี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rhea1 ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ European Processor Initiative (EPI)
    Athena1 ไม่มี HBM2e บนตัวชิป ใช้ DDR5 แทนเพื่อลดต้นทุน
    การใช้ Arm Neoverse V1 ช่วยให้รองรับงาน HPC และ AI ได้ดี
    SiPearl ได้รับเงินลงทุน €130 ล้านจากรัฐฝรั่งเศสและกองทุนยุโรปในปี 2025
    การย้าย packaging กลับยุโรปช่วยสร้าง ecosystem อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค

    https://www.techradar.com/pro/athena-1-is-probably-the-most-secure-cpu-ever-designed-but-i-dont-think-the-only-european-cpu-will-be-good-enough-to-challenge-rivals-when-it-launches-in-2027
    🛡️ “Athena1: ซีพียูสายพันธุ์ยุโรปเพื่อความมั่นคง — SiPearl เปิดตัวชิปสำหรับงานพลเรือนและกลาโหม พร้อมชนคู่แข่งโลกในปี 2027” SiPearl บริษัทออกแบบชิปจากฝรั่งเศสประกาศเปิดตัว “Athena1” ซีพียูรุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน “dual-use” ทั้งพลเรือนและกลาโหม โดยเน้นความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการใช้งานในภาครัฐ การสื่อสารลับ ระบบข่าวกรอง และอุตสาหกรรมอวกาศ Athena1 เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท โดยใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 และมีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ขึ้นอยู่กับความต้องการด้านประสิทธิภาพและข้อจำกัดด้านความร้อนของแต่ละงาน แม้จะเป็นชิปที่ออกแบบในยุโรป แต่การผลิต die ยังต้องพึ่งพา TSMC จากไต้หวัน โดยการบรรจุ (packaging) จะเริ่มต้นในเอเชียก่อนจะย้ายกลับมาทำในยุโรป เพื่อสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค Athena1 มีกำหนดวางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2027 โดยจะเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” ของยุโรป ที่ต้องการลดการพึ่งพาชิปจากสหรัฐฯ และเอเชีย โดยเฉพาะในช่วงที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และภัยไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Athena1 เป็นซีพียูรุ่นใหม่จาก SiPearl สำหรับงานพลเรือนและกลาโหม ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Arm Neoverse V1 มีให้เลือกตั้งแต่ 16 ถึง 80 คอร์ ➡️ รองรับงานด้านการสื่อสารลับ, ข่าวกรอง, อุตสาหกรรมอวกาศ และระบบตรวจจับ ➡️ เป็นรุ่นปรับแต่งจาก Rhea1 ซึ่งเป็นชิปรุ่นแรกของบริษัท ➡️ ผลิต die โดย TSMC และเริ่ม packaging ในไต้หวันก่อนย้ายกลับยุโรป ➡️ วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในครึ่งหลังของปี 2027 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อธิปไตยทางเทคโนโลยีของยุโรป ➡️ ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิ, ความชื้น, รังสี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rhea1 ถูกพัฒนาภายใต้โครงการ European Processor Initiative (EPI) ➡️ Athena1 ไม่มี HBM2e บนตัวชิป ใช้ DDR5 แทนเพื่อลดต้นทุน ➡️ การใช้ Arm Neoverse V1 ช่วยให้รองรับงาน HPC และ AI ได้ดี ➡️ SiPearl ได้รับเงินลงทุน €130 ล้านจากรัฐฝรั่งเศสและกองทุนยุโรปในปี 2025 ➡️ การย้าย packaging กลับยุโรปช่วยสร้าง ecosystem อุตสาหกรรมภายในภูมิภาค https://www.techradar.com/pro/athena-1-is-probably-the-most-secure-cpu-ever-designed-but-i-dont-think-the-only-european-cpu-will-be-good-enough-to-challenge-rivals-when-it-launches-in-2027
    WWW.TECHRADAR.COM
    SiPearl’s Athena1 promises dual-use security for European defense and aerospace
    SiPearl's chip is designed to serve both civil and defense purposes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sora พุ่งแรง! แอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ทะลุ 1 ล้านดาวน์โหลดใน 5 วัน แม้ยังจำกัดการเข้าถึง”

    OpenAI เปิดตัวแอป Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่งด้วยโมเดล AI Sora 2 โดยสามารถเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามบริบทของคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงของตนเองลงในวิดีโอได้อย่างสมจริง

    แม้จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น แต่ Sora ก็สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน หรือเฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัวเสียอีก

    แอปมีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอที่สร้างด้วย AI ตามความสนใจของผู้ใช้ และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการสร้างคอนเทนต์แบบใหม่ อย่างไรก็ตาม Sora ก็เผชิญกับข้อถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ เมื่อมีผู้ใช้สร้างตัวละครจากซีรีส์ดัง เช่น SpongeBob, Rick and Morty และ South Park โดยเปลี่ยนเนื้อเรื่องเดิม ซึ่งทำให้สมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ (MPA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ OpenAI “ดำเนินการอย่างเด็ดขาด” เพื่อควบคุมการละเมิดนี้

    OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถจัดการการสร้างตัวละครและเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น เพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แอป Sora จาก OpenAI ใช้โมเดล Sora 2 สำหรับสร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่ง
    ฟีเจอร์ Cameo ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงลงในวิดีโอ
    แอปเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามคำสั่ง
    มีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอ AI ตามความสนใจของผู้ใช้
    Sora ทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งใน 5 วัน เฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน
    เปิดใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น
    เร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัว แม้จำกัดการเข้าถึง
    ผู้ใช้สามารถสร้างตัวละครใหม่ในซีรีส์ดังได้ผ่านแอป
    MPA เรียกร้องให้ OpenAI ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์
    OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์จัดการเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Sora 2 เป็นโมเดล text-to-video ที่ใช้ deep learning ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว
    การสร้างวิดีโอจากภาพนิ่งช่วยให้ผู้ใช้มีวิธีเล่าเรื่องแบบใหม่
    Cameo avatars ใช้เทคโนโลยี generative face synthesis เพื่อความสมจริง
    การเพิ่มเสียงและบทสนทนาอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตัดต่อวิดีโอ
    การจำกัดการเข้าถึงแบบ invite-only เป็นกลยุทธ์ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย

    https://wccftech.com/openais-sora-video-app-now-averaging-200k-downloads-per-day-despite-invite-only-access/
    📱 “Sora พุ่งแรง! แอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ทะลุ 1 ล้านดาวน์โหลดใน 5 วัน แม้ยังจำกัดการเข้าถึง” OpenAI เปิดตัวแอป Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่งด้วยโมเดล AI Sora 2 โดยสามารถเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามบริบทของคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงของตนเองลงในวิดีโอได้อย่างสมจริง แม้จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น แต่ Sora ก็สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน หรือเฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัวเสียอีก แอปมีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอที่สร้างด้วย AI ตามความสนใจของผู้ใช้ และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการสร้างคอนเทนต์แบบใหม่ อย่างไรก็ตาม Sora ก็เผชิญกับข้อถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ เมื่อมีผู้ใช้สร้างตัวละครจากซีรีส์ดัง เช่น SpongeBob, Rick and Morty และ South Park โดยเปลี่ยนเนื้อเรื่องเดิม ซึ่งทำให้สมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ (MPA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ OpenAI “ดำเนินการอย่างเด็ดขาด” เพื่อควบคุมการละเมิดนี้ OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถจัดการการสร้างตัวละครและเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น เพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แอป Sora จาก OpenAI ใช้โมเดล Sora 2 สำหรับสร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่ง ➡️ ฟีเจอร์ Cameo ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงลงในวิดีโอ ➡️ แอปเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามคำสั่ง ➡️ มีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอ AI ตามความสนใจของผู้ใช้ ➡️ Sora ทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งใน 5 วัน เฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน ➡️ เปิดใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น ➡️ เร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัว แม้จำกัดการเข้าถึง ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างตัวละครใหม่ในซีรีส์ดังได้ผ่านแอป ➡️ MPA เรียกร้องให้ OpenAI ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์จัดการเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Sora 2 เป็นโมเดล text-to-video ที่ใช้ deep learning ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว ➡️ การสร้างวิดีโอจากภาพนิ่งช่วยให้ผู้ใช้มีวิธีเล่าเรื่องแบบใหม่ ➡️ Cameo avatars ใช้เทคโนโลยี generative face synthesis เพื่อความสมจริง ➡️ การเพิ่มเสียงและบทสนทนาอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตัดต่อวิดีโอ ➡️ การจำกัดการเข้าถึงแบบ invite-only เป็นกลยุทธ์ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย https://wccftech.com/openais-sora-video-app-now-averaging-200k-downloads-per-day-despite-invite-only-access/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI's Sora Video App Now Averaging 200K Downloads Per Day, Despite Invite-Only Access
    OpenAI seems to have hit a home run with Sora, its new app for AI-generated videos, judging by the app's accelerating download trend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟน? EssilorLuxottica และ Meta เดินหน้าผลิต 10 ล้านชิ้นต่อปี แม้ตลาดยังไม่พร้อม”

    Francesco Milleri ซีอีโอของ EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่นตารายใหญ่ของโลกและพันธมิตรหลักของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “แว่นตาอัจฉริยะจะกลายเป็นอุปกรณ์หลักในชีวิตของผู้คน และอาจแทนที่สมาร์ตโฟนในอนาคตอันใกล้” โดยเขาเชื่อว่าเราจะได้เห็น “ชุมชนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันผ่านแว่นตาอัจฉริยะหลายร้อยล้านชิ้น”

    เพื่อเตรียมรับความต้องการนี้ EssilorLuxottica ได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในสิ้นปี 2026 โดยไม่เพียงรองรับ Meta เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแว่นตา Nuance Audio ที่มีฟังก์ชันช่วยการได้ยินด้วย

    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า “ความฝันนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริง” เพราะยอดขายสมาร์ตโฟนทั่วโลกยังสูงมาก เช่น Apple ขาย iPhone ได้ถึง 232 ล้านเครื่องในปี 2024 ขณะที่ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035 เท่านั้น

    Meta เองก็เร่งพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ เช่น Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัว ความสว่างสูงถึง 5,000 nits และระบบควบคุมผ่าน EMG (electromyography) ที่ตรวจจับสัญญาณจากมือเพื่อสั่งงานด้วยท่าทาง โดยแว่นตารุ่นนี้วางขายแล้วในราคา $799

    Apple ถึงกับหยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ เพื่อหันมาโฟกัสกับแว่นตาอัจฉริยะที่ใช้ AI เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าเทรนด์นี้กำลังมาแรง แม้จะยังไม่พร้อมแทนที่สมาร์ตโฟนในเร็ววัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    EssilorLuxottica เพิ่มกำลังการผลิตแว่นตาอัจฉริยะเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2026
    Francesco Milleri เชื่อว่าแว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟนในอนาคต
    Nuance Audio เป็นแว่นตาที่รวมเทคโนโลยีช่วยการได้ยิน
    ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035
    Apple ขาย iPhone ได้ 232 ล้านเครื่องในปี 2024
    Meta เปิดตัว Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัวและระบบควบคุมด้วย EMG
    Ray-Ban Display วางขายแล้วในราคา $799
    Apple หยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่เพื่อหันไปโฟกัสกับแว่นตา AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    EMG คือเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมอุปกรณ์
    Ray-Ban Meta Gen 2 มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมง และกล้อง 12MP ถ่ายวิดีโอ 3K
    Oakley Meta Vanguard เป็นแว่นตาอัจฉริยะสำหรับนักกีฬา พร้อมลำโพงและกล้องมุมกว้าง
    แว่นตาอัจฉริยะสามารถใช้เลนส์สายตาแบบ Transitions Gen S ได้
    Meta และ EssilorLuxottica มีแผนขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มแฟชั่นและสุขภาพ

    https://wccftech.com/essilorluxottica-ceo-sees-smart-glasses-replacing-smartphones-but-there-is-a-disconnect-in-the-numbers/
    👓 “แว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟน? EssilorLuxottica และ Meta เดินหน้าผลิต 10 ล้านชิ้นต่อปี แม้ตลาดยังไม่พร้อม” Francesco Milleri ซีอีโอของ EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่นตารายใหญ่ของโลกและพันธมิตรหลักของ Meta ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า “แว่นตาอัจฉริยะจะกลายเป็นอุปกรณ์หลักในชีวิตของผู้คน และอาจแทนที่สมาร์ตโฟนในอนาคตอันใกล้” โดยเขาเชื่อว่าเราจะได้เห็น “ชุมชนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันผ่านแว่นตาอัจฉริยะหลายร้อยล้านชิ้น” เพื่อเตรียมรับความต้องการนี้ EssilorLuxottica ได้เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในสิ้นปี 2026 โดยไม่เพียงรองรับ Meta เท่านั้น แต่ยังรวมถึงแว่นตา Nuance Audio ที่มีฟังก์ชันช่วยการได้ยินด้วย อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า “ความฝันนี้ยังห่างไกลจากความเป็นจริง” เพราะยอดขายสมาร์ตโฟนทั่วโลกยังสูงมาก เช่น Apple ขาย iPhone ได้ถึง 232 ล้านเครื่องในปี 2024 ขณะที่ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035 เท่านั้น Meta เองก็เร่งพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะรุ่นใหม่ เช่น Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัว ความสว่างสูงถึง 5,000 nits และระบบควบคุมผ่าน EMG (electromyography) ที่ตรวจจับสัญญาณจากมือเพื่อสั่งงานด้วยท่าทาง โดยแว่นตารุ่นนี้วางขายแล้วในราคา $799 Apple ถึงกับหยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่ เพื่อหันมาโฟกัสกับแว่นตาอัจฉริยะที่ใช้ AI เช่นกัน ซึ่งสะท้อนว่าเทรนด์นี้กำลังมาแรง แม้จะยังไม่พร้อมแทนที่สมาร์ตโฟนในเร็ววัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ EssilorLuxottica เพิ่มกำลังการผลิตแว่นตาอัจฉริยะเป็น 10 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2026 ➡️ Francesco Milleri เชื่อว่าแว่นตาอัจฉริยะจะมาแทนสมาร์ตโฟนในอนาคต ➡️ Nuance Audio เป็นแว่นตาที่รวมเทคโนโลยีช่วยการได้ยิน ➡️ ตลาดรวมของแว่นตาอัจฉริยะคาดว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านชิ้นภายในปี 2035 ➡️ Apple ขาย iPhone ได้ 232 ล้านเครื่องในปี 2024 ➡️ Meta เปิดตัว Ray-Ban Display ที่มีหน้าจอในตัวและระบบควบคุมด้วย EMG ➡️ Ray-Ban Display วางขายแล้วในราคา $799 ➡️ Apple หยุดพัฒนา Vision Pro รุ่นใหม่เพื่อหันไปโฟกัสกับแว่นตา AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ EMG คือเทคโนโลยีที่ตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อเพื่อควบคุมอุปกรณ์ ➡️ Ray-Ban Meta Gen 2 มีแบตเตอรี่ใช้งานได้ 8 ชั่วโมง และกล้อง 12MP ถ่ายวิดีโอ 3K ➡️ Oakley Meta Vanguard เป็นแว่นตาอัจฉริยะสำหรับนักกีฬา พร้อมลำโพงและกล้องมุมกว้าง ➡️ แว่นตาอัจฉริยะสามารถใช้เลนส์สายตาแบบ Transitions Gen S ได้ ➡️ Meta และ EssilorLuxottica มีแผนขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มแฟชั่นและสุขภาพ https://wccftech.com/essilorluxottica-ceo-sees-smart-glasses-replacing-smartphones-but-there-is-a-disconnect-in-the-numbers/
    WCCFTECH.COM
    EssilorLuxottica CEO Sees Smart Glasses Replacing Smartphones, But There Is A Disconnect In The Numbers
    Most analyst see the TAM for smart glasses rising to 60 million units by 2035, which pales in comparison to the global smartphone sales.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD เปิดตัว Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression — เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกกราฟิกเกมยุคถัดไป”

    AMD และ Sony ร่วมกันเปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการที่จะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA รุ่นถัดไป ได้แก่ Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์, การอัปสเกลด้วย AI และการจัดการแบนด์วิดธ์หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

    Radiance Cores คือฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับการประมวลผล ray tracing และ path tracing โดยแยกออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่ของแสง (ray traversal) ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ในการ shading และ lighting

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ compute units (CU) ภายใน GPU ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลโมเดล machine learning ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในงาน neural rendering, frame generation และ denoising สำหรับฉากที่ใช้ ray tracing

    Universal Compression เป็นระบบบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่สามารถจัดการกับข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์หน่วยความจำ และเพิ่มความเร็วในการโหลด texture และโมเดลกราฟิก

    Mark Cerny สถาปนิกของ PlayStation และ Jack Huynh รองประธาน AMD ระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน GPU และ SoC รุ่นถัดไป รวมถึงคอนโซล PlayStation รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกมมีความสมจริงระดับภาพยนตร์ และสามารถเรนเดอร์ฉากซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการ: Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray/path tracing โดยแยกจาก shader cores
    Neural Arrays เชื่อม compute units ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว
    Universal Compression บีบอัดข้อมูลทุกประเภทภายใน GPU เพื่อลดการใช้แบนด์วิดธ์
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้ใน RDNA GPU รุ่นถัดไปและ SoC สำหรับ PlayStation
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์, อัปสเกล, และโหลด texture ได้เร็วขึ้น
    รองรับงาน neural rendering, frame generation และ denoising แบบเรียลไทม์
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมกราฟิกเกมในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX
    Neural Arrays จะช่วยให้ FSR และ PSSR มีคุณภาพสูงขึ้นและทำงานเร็วขึ้น
    Universal Compression มาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน RDNA รุ่นก่อน
    การแยก ray traversal ออกจาก shader ช่วยลด latency และเพิ่ม frame rate
    Project Amethyst คือความร่วมมือระยะยาวระหว่าง AMD และ Sony เพื่อพัฒนา AI สำหรับเกม

    https://wccftech.com/amd-unveils-radiance-cores-neural-arrays-universal-compression-next-gen-rdna-gpu-architecture/
    🎮 “AMD เปิดตัว Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression — เทคโนโลยีใหม่ที่จะเปลี่ยนโลกกราฟิกเกมยุคถัดไป” AMD และ Sony ร่วมกันเปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการที่จะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรมกราฟิก RDNA รุ่นถัดไป ได้แก่ Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression โดยทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับการเรนเดอร์ภาพแบบเรียลไทม์, การอัปสเกลด้วย AI และการจัดการแบนด์วิดธ์หน่วยความจำให้มีประสิทธิภาพสูงสุด Radiance Cores คือฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับการประมวลผล ray tracing และ path tracing โดยแยกออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถจัดการกับการเคลื่อนที่ของแสง (ray traversal) ได้เร็วขึ้นและแม่นยำขึ้น ซึ่งช่วยลดภาระของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ในการ shading และ lighting Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ compute units (CU) ภายใน GPU ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลโมเดล machine learning ขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในงาน neural rendering, frame generation และ denoising สำหรับฉากที่ใช้ ray tracing Universal Compression เป็นระบบบีบอัดข้อมูลภายใน GPU ที่สามารถจัดการกับข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ช่วยลดการใช้แบนด์วิดธ์หน่วยความจำ และเพิ่มความเร็วในการโหลด texture และโมเดลกราฟิก Mark Cerny สถาปนิกของ PlayStation และ Jack Huynh รองประธาน AMD ระบุว่า เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ใน GPU และ SoC รุ่นถัดไป รวมถึงคอนโซล PlayStation รุ่นใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เกมมีความสมจริงระดับภาพยนตร์ และสามารถเรนเดอร์ฉากซับซ้อนได้แบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ 3 รายการ: Radiance Cores, Neural Arrays และ Universal Compression ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray/path tracing โดยแยกจาก shader cores ➡️ Neural Arrays เชื่อม compute units ให้ทำงานร่วมกันแบบ AI engine เดียว ➡️ Universal Compression บีบอัดข้อมูลทุกประเภทภายใน GPU เพื่อลดการใช้แบนด์วิดธ์ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกใช้ใน RDNA GPU รุ่นถัดไปและ SoC สำหรับ PlayStation ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรนเดอร์, อัปสเกล, และโหลด texture ได้เร็วขึ้น ➡️ รองรับงาน neural rendering, frame generation และ denoising แบบเรียลไทม์ ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนโฉมกราฟิกเกมในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX ➡️ Neural Arrays จะช่วยให้ FSR และ PSSR มีคุณภาพสูงขึ้นและทำงานเร็วขึ้น ➡️ Universal Compression มาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน RDNA รุ่นก่อน ➡️ การแยก ray traversal ออกจาก shader ช่วยลด latency และเพิ่ม frame rate ➡️ Project Amethyst คือความร่วมมือระยะยาวระหว่าง AMD และ Sony เพื่อพัฒนา AI สำหรับเกม https://wccftech.com/amd-unveils-radiance-cores-neural-arrays-universal-compression-next-gen-rdna-gpu-architecture/
    WCCFTECH.COM
    AMD Unveils Radiance Cores, Neural Arrays & Universal Compression For Next-Gen RDNA GPU Architecture: Faster RT, Better Upscaling, & Lower Bandwidth Needs
    AMD has just announced three key features of its next-gen RDNA architecture: Neural Arrays, Radiance Cores & Universal Compression.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 52 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel 18A พร้อมลุยผลิตจริง! บรรลุสถิติใหม่ด้านความแม่นยำ เตรียมท้าชน TSMC และ Samsung ในสนาม 2nm”

    ในงาน Intel Tech Tour ล่าสุด Intel ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ “18A” (1.8 นาโนเมตร) ซึ่งสามารถลด “defect density” หรือความหนาแน่นของข้อบกพร่องในเวเฟอร์ลงสู่ระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Intel พร้อมเข้าสู่การผลิตในระดับปริมาณมาก (volume production) ภายในไตรมาส 4 ปี 2025

    Defect density คือจำนวนข้อบกพร่องต่อพื้นที่ของเวเฟอร์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ “yield rate” หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง หาก defect สูง ยิ่งทำให้ต้นทุนต่อชิปเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่ชิปมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น เช่น ชิปสำหรับ AI และ HPC (High Performance Computing)

    ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า yield ของ 18A ต่ำเพียง 10% แต่ปัจจุบัน Intel ยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการจนสามารถลด defect ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตชิป 18A ได้ในปริมาณมากภายในสิ้นปีนี้

    แม้ defect density จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จของกระบวนการผลิต เช่น ความแม่นยำของหน้ากาก (mask error), ความลื่นไหลของกระบวนการ และอัตราความล้มเหลวของพารามิเตอร์ แต่การที่ Intel สามารถลด defect ได้มากขนาดนี้ ทำให้ 18A กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ TSMC N2 และ Samsung SF2 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 2nm เช่นกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ประกาศว่า 18A มี defect density ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
    เตรียมเข้าสู่การผลิตระดับปริมาณมากในไตรมาส 4 ปี 2025
    Defect density ต่ำหมายถึง yield rate สูงขึ้น และต้นทุนต่อชิปลดลง
    18A ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปขนาดใหญ่ เช่น สำหรับ HPC และ AI
    Intel ปฏิเสธข่าวลือว่า yield ต่ำเพียง 10% โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นจริง
    18A มีเป้าหมายแข่งขันกับ TSMC N2 และ Samsung SF2
    Defect density เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินความพร้อมของกระบวนการผลิต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    18A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET (GAA) และ PowerVia (backside power delivery)
    TSMC N2 มี yield ประมาณ 65% และใช้เทคโนโลยี nanosheet GAA
    Samsung SF2 มี yield ประมาณ 40% และยังไม่พร้อมผลิตจำนวนมากจนถึงปี 2026
    Intel วางแผนใช้ 18A กับชิปรุ่น Panther Lake (Core Ultra 300)
    ตลาดเป้าหมายของ 18A คือ HPC, AI, และลูกค้า Foundry ภายนอก เช่น Qualcomm

    https://wccftech.com/intel-18a-node-achieves-record-low-defect-density/
    🔬 “Intel 18A พร้อมลุยผลิตจริง! บรรลุสถิติใหม่ด้านความแม่นยำ เตรียมท้าชน TSMC และ Samsung ในสนาม 2nm” ในงาน Intel Tech Tour ล่าสุด Intel ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของกระบวนการผลิตชิปรุ่นใหม่ “18A” (1.8 นาโนเมตร) ซึ่งสามารถลด “defect density” หรือความหนาแน่นของข้อบกพร่องในเวเฟอร์ลงสู่ระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่า Intel พร้อมเข้าสู่การผลิตในระดับปริมาณมาก (volume production) ภายในไตรมาส 4 ปี 2025 Defect density คือจำนวนข้อบกพร่องต่อพื้นที่ของเวเฟอร์ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ “yield rate” หรืออัตราการผลิตชิปที่ใช้งานได้จริง หาก defect สูง ยิ่งทำให้ต้นทุนต่อชิปเพิ่มขึ้น และลดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่ชิปมีขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น เช่น ชิปสำหรับ AI และ HPC (High Performance Computing) ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า yield ของ 18A ต่ำเพียง 10% แต่ปัจจุบัน Intel ยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นความจริง และบริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการจนสามารถลด defect ได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถผลิตชิป 18A ได้ในปริมาณมากภายในสิ้นปีนี้ แม้ defect density จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จของกระบวนการผลิต เช่น ความแม่นยำของหน้ากาก (mask error), ความลื่นไหลของกระบวนการ และอัตราความล้มเหลวของพารามิเตอร์ แต่การที่ Intel สามารถลด defect ได้มากขนาดนี้ ทำให้ 18A กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ TSMC N2 และ Samsung SF2 ซึ่งเป็นกระบวนการระดับ 2nm เช่นกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ประกาศว่า 18A มี defect density ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ➡️ เตรียมเข้าสู่การผลิตระดับปริมาณมากในไตรมาส 4 ปี 2025 ➡️ Defect density ต่ำหมายถึง yield rate สูงขึ้น และต้นทุนต่อชิปลดลง ➡️ 18A ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปขนาดใหญ่ เช่น สำหรับ HPC และ AI ➡️ Intel ปฏิเสธข่าวลือว่า yield ต่ำเพียง 10% โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวไม่เป็นจริง ➡️ 18A มีเป้าหมายแข่งขันกับ TSMC N2 และ Samsung SF2 ➡️ Defect density เป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินความพร้อมของกระบวนการผลิต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 18A ใช้เทคโนโลยี RibbonFET (GAA) และ PowerVia (backside power delivery) ➡️ TSMC N2 มี yield ประมาณ 65% และใช้เทคโนโลยี nanosheet GAA ➡️ Samsung SF2 มี yield ประมาณ 40% และยังไม่พร้อมผลิตจำนวนมากจนถึงปี 2026 ➡️ Intel วางแผนใช้ 18A กับชิปรุ่น Panther Lake (Core Ultra 300) ➡️ ตลาดเป้าหมายของ 18A คือ HPC, AI, และลูกค้า Foundry ภายนอก เช่น Qualcomm https://wccftech.com/intel-18a-node-achieves-record-low-defect-density/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s 'Highly-Anticipated' 18A Node Achieves Record-Low Defect Density, Signaling Readiness for Internal & External Customers
    Intel has revealed progress around the 18A chip at the Tech Tour, and the process is at an all-time low in defect density.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASML ตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ — ผู้นำเทคโนโลยีลิเธียกราฟีระดับโลกเตรียมขยายบอร์ดบริหารในปี 2026”

    ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศแต่งตั้ง Marco Pieters เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) คนใหม่ โดยมีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมเตรียมเสนอชื่อเขาเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในเดือนเมษายน 2026

    Pieters เป็นบุคลากรที่อยู่กับ ASML มานานกว่า 25 ปี โดยก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ Applications และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีลิเธียกราฟีแบบ Holistic Lithography ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปความละเอียดสูงในยุคปัจจุบัน

    การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสืบทอดตำแหน่งที่วางไว้อย่างรอบคอบ โดย CEO Christophe Fouquet กล่าวว่า “Marco คือผู้นำที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในเทคโนโลยีของเรา และจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแผนงานด้านเทคโนโลยีในอนาคต”

    นอกจากนี้ ASML ยังเตรียมเสนอการแต่งตั้ง Pieters เข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026 ซึ่งจะทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มจาก 5 เป็น 6 คน พร้อมกับการต่อวาระของ CFO Roger Dassen และ COO Frédéric Schneider-Maunoury เพื่อรักษาความต่อเนื่องของทีมบริหาร

    ASML มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีการผลิตชิปทั่วโลก โดยเครื่อง EUV ของบริษัทมีราคาสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และถูกใช้โดยผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น TSMC, Intel และ Samsung

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ASML แต่งตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ มีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025
    Pieters มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน ASML และเคยเป็น EVP ฝ่าย Applications
    เคยดูแลโครงการ Holistic Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญของ ASML
    CEO Christophe Fouquet สนับสนุนการแต่งตั้งอย่างเต็มที่
    Pieters จะถูกเสนอชื่อเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026
    คณะกรรมการจะขยายจาก 5 เป็น 6 คน
    CFO Roger Dassen จะต่อวาระอีก 4 ปี และ COO Frédéric Schneider-Maunoury อีก 2 ปี
    ASML เป็นผู้นำด้านเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับการผลิตชิประดับโลก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Holistic Lithography คือการรวมการออกแบบ การตรวจสอบ และการผลิตชิปเข้าด้วยกันแบบครบวงจร
    เครื่อง EUV ของ ASML ใช้เลเซอร์พลังสูงในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ซิลิคอน
    ASML มีสำนักงานทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 44,000 คน
    บริษัทมีรายได้รวมกว่า €28.3 พันล้านยูโรในปี 2024
    การแต่งตั้ง CTO จากภายในองค์กรช่วยรักษาความต่อเนื่องและวัฒนธรรมองค์กร

    https://www.techpowerup.com/341731/asml-appoints-marco-pieters-as-next-chief-technology-officer
    🧠 “ASML ตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ — ผู้นำเทคโนโลยีลิเธียกราฟีระดับโลกเตรียมขยายบอร์ดบริหารในปี 2026” ASML บริษัทผู้ผลิตเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศแต่งตั้ง Marco Pieters เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (CTO) คนใหม่ โดยมีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025 พร้อมเตรียมเสนอชื่อเขาเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในเดือนเมษายน 2026 Pieters เป็นบุคลากรที่อยู่กับ ASML มานานกว่า 25 ปี โดยก่อนหน้านี้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ Applications และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีลิเธียกราฟีแบบ Holistic Lithography ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิปความละเอียดสูงในยุคปัจจุบัน การแต่งตั้งครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสืบทอดตำแหน่งที่วางไว้อย่างรอบคอบ โดย CEO Christophe Fouquet กล่าวว่า “Marco คือผู้นำที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในเทคโนโลยีของเรา และจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแผนงานด้านเทคโนโลยีในอนาคต” นอกจากนี้ ASML ยังเตรียมเสนอการแต่งตั้ง Pieters เข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026 ซึ่งจะทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มจาก 5 เป็น 6 คน พร้อมกับการต่อวาระของ CFO Roger Dassen และ COO Frédéric Schneider-Maunoury เพื่อรักษาความต่อเนื่องของทีมบริหาร ASML มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีการผลิตชิปทั่วโลก โดยเครื่อง EUV ของบริษัทมีราคาสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์ต่อเครื่อง และถูกใช้โดยผู้ผลิตชิปรายใหญ่ เช่น TSMC, Intel และ Samsung ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ASML แต่งตั้ง Marco Pieters เป็น CTO คนใหม่ มีผลทันทีในเดือนตุลาคม 2025 ➡️ Pieters มีประสบการณ์กว่า 25 ปีใน ASML และเคยเป็น EVP ฝ่าย Applications ➡️ เคยดูแลโครงการ Holistic Lithography ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญของ ASML ➡️ CEO Christophe Fouquet สนับสนุนการแต่งตั้งอย่างเต็มที่ ➡️ Pieters จะถูกเสนอชื่อเข้าสู่คณะกรรมการบริหารในการประชุม AGM วันที่ 22 เมษายน 2026 ➡️ คณะกรรมการจะขยายจาก 5 เป็น 6 คน ➡️ CFO Roger Dassen จะต่อวาระอีก 4 ปี และ COO Frédéric Schneider-Maunoury อีก 2 ปี ➡️ ASML เป็นผู้นำด้านเครื่องจักรลิเธียกราฟีสำหรับการผลิตชิประดับโลก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Holistic Lithography คือการรวมการออกแบบ การตรวจสอบ และการผลิตชิปเข้าด้วยกันแบบครบวงจร ➡️ เครื่อง EUV ของ ASML ใช้เลเซอร์พลังสูงในการสร้างลวดลายบนเวเฟอร์ซิลิคอน ➡️ ASML มีสำนักงานทั่วโลก และมีพนักงานมากกว่า 44,000 คน ➡️ บริษัทมีรายได้รวมกว่า €28.3 พันล้านยูโรในปี 2024 ➡️ การแต่งตั้ง CTO จากภายในองค์กรช่วยรักษาความต่อเนื่องและวัฒนธรรมองค์กร https://www.techpowerup.com/341731/asml-appoints-marco-pieters-as-next-chief-technology-officer
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASML Appoints Marco Pieters as Next Chief Technology Officer
    ASML Holding NV (ASML) today announced the appointment of Marco Pieters as Executive Vice President and Chief Technology Officer, reporting to President and Chief Executive Officer, Christophe Fouquet. With over 25 years of experience at ASML, most recently as Executive Vice President for the produc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing”

    Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC

    สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD

    Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning

    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ

    Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst
    คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่
    Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI
    Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing
    Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ
    เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD
    Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี”
    Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง
    Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก
    Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5
    Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX

    https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    🎮 “PlayStation 6 เตรียมพลิกโฉมกราฟิกเกม — Sony และ AMD เปิดตัว Radiance Cores และ Neural Arrays เร่งพลัง AI และ Ray Tracing” Sony และ AMD ได้เปิดเผยเทคโนโลยีใหม่ที่จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นถัดไปของ PlayStation ภายใต้โครงการร่วมชื่อว่า “Project Amethyst” ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นฐานของ PlayStation 6 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการประมวลผลกราฟิกและ AI ให้เทียบเท่ากับการ์ดจอระดับสูงของ PC สองเทคโนโลยีหลักที่ถูกเปิดเผยคือ “Neural Arrays” และ “Radiance Cores” ซึ่งจะถูกฝังอยู่ในสถาปัตยกรรม RDNA 5 ของ AMD 🔰 Neural Arrays คือการเชื่อมต่อ Compute Units (CU) ทั้งหมดใน GPU ให้สามารถสื่อสารกันโดยตรงแบบ Infinity Fabric เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI และการเรนเดอร์ภาพแบบ machine learning 🔰 Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะที่แยกการประมวลผล ray tracing ออกจาก shader cores เพื่อให้สามารถทำ path tracing แบบเรียลไทม์ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี “Universal Compression” ที่สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งจะช่วยลดเวลาโหลดเกมและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการข้อมูลในระบบ Mark Cerny สถาปนิกของ PS5 และ Jack Huynh รองประธาน AMD ยืนยันว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ในคอนโซลรุ่นใหม่ภายใน “อีกไม่กี่ปีข้างหน้า” และอาจรวมถึงอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ของ PlayStation ด้วย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sony และ AMD เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้โครงการ Project Amethyst ➡️ คาดว่าจะถูกนำมาใช้ใน PlayStation 6 และอุปกรณ์พกพารุ่นใหม่ ➡️ Neural Arrays เชื่อม Compute Units ทั้งหมดใน GPU เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ AI ➡️ Radiance Cores เป็นฮาร์ดแวร์เฉพาะสำหรับ ray tracing และ path tracing ➡️ Universal Compression สามารถบีบอัดข้อมูลทุกประเภทได้แบบอัตโนมัติ ➡️ เทคโนโลยีเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ใน RDNA 5 และ SoC รุ่นใหม่ของ AMD ➡️ Mark Cerny และ Jack Huynh ยืนยันว่าเทคโนโลยีจะมาถึง “ในอีกไม่กี่ปี” ➡️ Radiance Cores จะช่วยให้ PS6 เรนเดอร์ภาพได้เทียบเท่าการ์ดจอ PC ระดับสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Infinity Fabric เป็นเทคโนโลยีของ AMD ที่ใช้เชื่อมหน่วยประมวลผลภายในแบบความเร็วสูง ➡️ Path tracing เป็นเทคนิคเรนเดอร์แสงที่สมจริงที่สุด แต่ใช้ทรัพยากรสูงมาก ➡️ Universal Compression จะมาแทน Delta Color Compression ที่ใช้ใน PS5 ➡️ Neural Arrays อาจช่วยให้การใช้ FSR และ PSSR มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ Radiance Cores คล้ายกับ RT Cores ของ Nvidia ที่ใช้ในการ์ดจอ RTX https://www.tomshardware.com/video-games/console-gaming/sony-and-amd-tease-likely-playstation-6-gpu-upgrades-radiance-cores-and-a-new-interconnect-for-boosting-ai-rendering-performance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้ — สูญข้อมูล 858TB เพราะไม่มีระบบสำรอง”

    เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูล National Information Resources Service ในเมืองแทจอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้นเหตุคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ระเบิดระหว่างการบำรุงรักษา ส่งผลให้ระบบ G-Drive ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บเอกสารของรัฐบาลถูกทำลายทั้งหมด พร้อมข้อมูลกว่า 858 เทราไบต์ที่ไม่มีการสำรองไว้เลย

    G-Drive ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน และเป็นศูนย์กลางของบริการสาธารณะกว่า 160 รายการ เช่น ระบบภาษี การติดตามฉุกเฉิน 119 ระบบร้องเรียน และอีเมลราชการ การสูญเสียข้อมูลครั้งนี้ทำให้ระบบหลายส่วนหยุดชะงักทันที และการกู้คืนยังคงดำเนินไปอย่างล่าช้า โดย ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์

    เจ้าหน้าที่อ้างว่า G-Drive ไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปริมาณ 858TB นั้นสามารถสำรองบนคลาวด์ได้ในราคาประมาณ $20,000 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น

    เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึกในวันที่ 3 ตุลาคม โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกิดจากความเครียดหรือแรงกดดันจากงานหรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เกิดไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025
    ระบบ G-Drive ถูกทำลายพร้อมข้อมูล 858TB โดยไม่มีการสำรอง
    G-Drive ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน
    บริการสาธารณะกว่า 160 รายการได้รับผลกระทบ เช่น ภาษี อีเมล และระบบฉุกเฉิน
    ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์
    เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะขนาดใหญ่เกินไป
    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสำรองข้อมูล 858TB บนคลาวด์มีค่าใช้จ่ายเพียง $20,000 ต่อเดือน
    เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นพลังงานสูงแต่เสี่ยงต่อการระเบิด
    เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดที่ OVHcloud ในฝรั่งเศสปี 2021 แต่มีระบบสำรองจากผู้ให้บริการภายนอก
    การไม่มีระบบสำรองแบบ geographic redundancy ทำให้ไฟไหม้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติ
    ระบบ G-Drive มี quota 30GB ต่อเจ้าหน้าที่ และเป็นศูนย์กลางเอกสารราชการ
    การกู้คืนข้อมูลบางส่วนต้องใช้วิธี manual recreation ซึ่งใช้เวลานานและไม่สมบูรณ์

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การไม่มีระบบสำรองข้อมูลทำให้เกิดการสูญเสียระดับชาติ
    การพึ่งพาศูนย์ข้อมูลเดียวโดยไม่มี geographic redundancy เป็นความเสี่ยงสูง
    การอ้างว่ข้อมูลใหญ่เกินกว่าจะสำรองได้ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน
    การกู้คืนข้อมูลล่าช้าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
    ความเครียดจากการกู้คืนข้อมูลอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/south-korean-government-learns-the-importance-of-backups-the-hard-way-after-catastrophic-fire-858-terabytes-of-data-goes-up-in-magic-smoke
    🔥 “ไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้ — สูญข้อมูล 858TB เพราะไม่มีระบบสำรอง” เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 เกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ศูนย์ข้อมูล National Information Resources Service ในเมืองแทจอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยต้นเหตุคือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ระเบิดระหว่างการบำรุงรักษา ส่งผลให้ระบบ G-Drive ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดเก็บเอกสารของรัฐบาลถูกทำลายทั้งหมด พร้อมข้อมูลกว่า 858 เทราไบต์ที่ไม่มีการสำรองไว้เลย G-Drive ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน และเป็นศูนย์กลางของบริการสาธารณะกว่า 160 รายการ เช่น ระบบภาษี การติดตามฉุกเฉิน 119 ระบบร้องเรียน และอีเมลราชการ การสูญเสียข้อมูลครั้งนี้ทำให้ระบบหลายส่วนหยุดชะงักทันที และการกู้คืนยังคงดำเนินไปอย่างล่าช้า โดย ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์ เจ้าหน้าที่อ้างว่า G-Drive ไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินไป แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปริมาณ 858TB นั้นสามารถสำรองบนคลาวด์ได้ในราคาประมาณ $20,000 ต่อเดือน ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึกในวันที่ 3 ตุลาคม โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนว่าเกิดจากความเครียดหรือแรงกดดันจากงานหรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เกิดไฟไหม้ศูนย์ข้อมูลรัฐบาลเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2025 ➡️ ระบบ G-Drive ถูกทำลายพร้อมข้อมูล 858TB โดยไม่มีการสำรอง ➡️ G-Drive ใช้โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 125,000 คนจาก 74 หน่วยงาน ➡️ บริการสาธารณะกว่า 160 รายการได้รับผลกระทบ เช่น ภาษี อีเมล และระบบฉุกเฉิน ➡️ ณ วันที่ 4 ตุลาคม มีเพียง 17.8% ของระบบที่กลับมาออนไลน์ ➡️ เจ้าหน้าที่อ้างว่าไม่สามารถสำรองข้อมูลได้เพราะขนาดใหญ่เกินไป ➡️ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการสำรองข้อมูล 858TB บนคลาวด์มีค่าใช้จ่ายเพียง $20,000 ต่อเดือน ➡️ เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลการกู้คืนข้อมูลเสียชีวิตจากการกระโดดตึก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีความหนาแน่นพลังงานสูงแต่เสี่ยงต่อการระเบิด ➡️ เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดที่ OVHcloud ในฝรั่งเศสปี 2021 แต่มีระบบสำรองจากผู้ให้บริการภายนอก ➡️ การไม่มีระบบสำรองแบบ geographic redundancy ทำให้ไฟไหม้กลายเป็นวิกฤตระดับชาติ ➡️ ระบบ G-Drive มี quota 30GB ต่อเจ้าหน้าที่ และเป็นศูนย์กลางเอกสารราชการ ➡️ การกู้คืนข้อมูลบางส่วนต้องใช้วิธี manual recreation ซึ่งใช้เวลานานและไม่สมบูรณ์ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การไม่มีระบบสำรองข้อมูลทำให้เกิดการสูญเสียระดับชาติ ⛔ การพึ่งพาศูนย์ข้อมูลเดียวโดยไม่มี geographic redundancy เป็นความเสี่ยงสูง ⛔ การอ้างว่ข้อมูลใหญ่เกินกว่าจะสำรองได้ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีปัจจุบัน ⛔ การกู้คืนข้อมูลล่าช้าอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ⛔ ความเครียดจากการกู้คืนข้อมูลอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/south-korean-government-learns-the-importance-of-backups-the-hard-way-after-catastrophic-fire-858-terabytes-of-data-goes-up-in-magic-smoke
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD เปิดเกมรุก! ส่ง MI450 บนเทคโนโลยี 2nm ล้ำหน้า Nvidia — OpenAI เตรียมรับล็อตแรกกลางปีหน้า”

    AMD ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Instinct MI450 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรจาก TSMC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ AMD ใช้กระบวนการผลิตระดับนี้กับชิป AI โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับ OpenAI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะยาวที่ครอบคลุมถึง 6 กิกะวัตต์ของกำลังประมวลผล

    MI450 ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และเป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ รองรับรูปแบบข้อมูลและคำสั่งที่เหมาะกับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้ถึง 25–30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    ในด้านฮาร์ดแวร์ AMD เตรียมเปิดตัว Helios rack ที่บรรจุ MI450 ถึง 72 ตัว พร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์สูงถึง 1,400 TB/s ซึ่งเหนือกว่า Nvidia Rubin NVL144 ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm และมี HBM4 เพียง 21TB กับแบนด์วิดธ์ 936 TB/s อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังมีจุดแข็งด้าน FP4 performance ที่สูงกว่า (3,600 PFLOPS เทียบกับ 1,440 PFLOPS ของ AMD)

    ข้อตกลงกับ OpenAI ยังรวมถึงการออก warrant ให้ซื้อหุ้น AMD ได้สูงสุด 160 ล้านหุ้น โดยจะทยอย vest ตาม milestone เช่น การติดตั้งครบ 1 กิกะวัตต์ และการบรรลุเป้าหมายด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า “นี่คือการรวมพลังของทั้งสองบริษัทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่ Sam Altman จาก OpenAI กล่าวว่า “AMD จะช่วยเราสร้างความก้าวหน้าใน AI ได้เร็วขึ้น และนำประโยชน์ไปสู่ทุกคน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เปิดตัว Instinct MI450 บนเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC
    ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ
    ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    ลดการใช้พลังงานได้ 25–30% และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ 15%
    Helios rack มี MI450 จำนวน 72 ตัว พร้อม HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์ 1,400 TB/s
    Nvidia Rubin NVL144 มี HBM4 21TB และแบนด์วิดธ์ 936 TB/s แต่ FP4 performance สูงกว่า
    OpenAI จะได้รับ MI450 ล็อตแรกในครึ่งหลังของปี 2026
    ข้อตกลงรวมการออก warrant ให้ OpenAI ซื้อหุ้น AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น
    การ vest ขึ้นอยู่กับ milestone เช่น การติดตั้งครบ 1GW และเป้าหมายด้านเทคนิค

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC N2 เป็นเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm ที่ใช้ GAA transistor เป็นครั้งแรก
    GAA transistor ช่วยลด leakage และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบชิป
    HBM4 เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้ในงาน AI และ HPC
    FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่ใช้ในการฝึกโมเดล LLM ขนาดใหญ่
    การออก warrant เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้สร้างพันธมิตรระยะยาว

    คำเตือนและข้อจำกัด
    MI450 ยังมี FP4 performance ต่ำกว่า Nvidia Rubin NVL144 อย่างชัดเจน
    การเชื่อมต่อแบบ UALink ยังไม่แน่นอนว่าจะ scale ได้ดีใน MI450
    การผลิตชิป 2nm มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง อาจกระทบ timeline
    การ vest หุ้นของ OpenAI ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่อาจไม่บรรลุ
    การเปรียบเทียบประสิทธิภาพยังต้องรอผลการใช้งานจริงใน data center

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-could-beat-nvidia-to-launching-ai-gpus-on-the-cutting-edge-2nm-node-instinct-mi450-is-officially-the-first-amd-gpu-to-launch-with-tsmcs-finest-tech
    ⚙️ “AMD เปิดเกมรุก! ส่ง MI450 บนเทคโนโลยี 2nm ล้ำหน้า Nvidia — OpenAI เตรียมรับล็อตแรกกลางปีหน้า” AMD ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่ Instinct MI450 ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 2 นาโนเมตรจาก TSMC ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ AMD ใช้กระบวนการผลิตระดับนี้กับชิป AI โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับ OpenAI ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ตามข้อตกลงความร่วมมือระยะยาวที่ครอบคลุมถึง 6 กิกะวัตต์ของกำลังประมวลผล MI450 ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และเป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ รองรับรูปแบบข้อมูลและคำสั่งที่เหมาะกับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี Gate-All-Around (GAA) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงานได้ถึง 25–30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ในด้านฮาร์ดแวร์ AMD เตรียมเปิดตัว Helios rack ที่บรรจุ MI450 ถึง 72 ตัว พร้อมหน่วยความจำ HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์สูงถึง 1,400 TB/s ซึ่งเหนือกว่า Nvidia Rubin NVL144 ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm และมี HBM4 เพียง 21TB กับแบนด์วิดธ์ 936 TB/s อย่างไรก็ตาม Nvidia ยังมีจุดแข็งด้าน FP4 performance ที่สูงกว่า (3,600 PFLOPS เทียบกับ 1,440 PFLOPS ของ AMD) ข้อตกลงกับ OpenAI ยังรวมถึงการออก warrant ให้ซื้อหุ้น AMD ได้สูงสุด 160 ล้านหุ้น โดยจะทยอย vest ตาม milestone เช่น การติดตั้งครบ 1 กิกะวัตต์ และการบรรลุเป้าหมายด้านเทคนิคและเชิงพาณิชย์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่า “นี่คือการรวมพลังของทั้งสองบริษัทเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ขณะที่ Sam Altman จาก OpenAI กล่าวว่า “AMD จะช่วยเราสร้างความก้าวหน้าใน AI ได้เร็วขึ้น และนำประโยชน์ไปสู่ทุกคน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เปิดตัว Instinct MI450 บนเทคโนโลยี 2nm จาก TSMC ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม CDNA 5 และออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ ➡️ ใช้ Gate-All-Around (GAA) transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ ลดการใช้พลังงานได้ 25–30% และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ 15% ➡️ Helios rack มี MI450 จำนวน 72 ตัว พร้อม HBM4 ขนาด 51TB และแบนด์วิดธ์ 1,400 TB/s ➡️ Nvidia Rubin NVL144 มี HBM4 21TB และแบนด์วิดธ์ 936 TB/s แต่ FP4 performance สูงกว่า ➡️ OpenAI จะได้รับ MI450 ล็อตแรกในครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ ข้อตกลงรวมการออก warrant ให้ OpenAI ซื้อหุ้น AMD สูงสุด 160 ล้านหุ้น ➡️ การ vest ขึ้นอยู่กับ milestone เช่น การติดตั้งครบ 1GW และเป้าหมายด้านเทคนิค ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC N2 เป็นเทคโนโลยีการผลิตระดับ 2nm ที่ใช้ GAA transistor เป็นครั้งแรก ➡️ GAA transistor ช่วยลด leakage และเพิ่มประสิทธิภาพในการออกแบบชิป ➡️ HBM4 เป็นหน่วยความจำความเร็วสูงที่ใช้ในงาน AI และ HPC ➡️ FP4 เป็นรูปแบบการประมวลผลที่ใช้ในการฝึกโมเดล LLM ขนาดใหญ่ ➡️ การออก warrant เป็นกลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้สร้างพันธมิตรระยะยาว ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ MI450 ยังมี FP4 performance ต่ำกว่า Nvidia Rubin NVL144 อย่างชัดเจน ⛔ การเชื่อมต่อแบบ UALink ยังไม่แน่นอนว่าจะ scale ได้ดีใน MI450 ⛔ การผลิตชิป 2nm มีความซับซ้อนและต้นทุนสูง อาจกระทบ timeline ⛔ การ vest หุ้นของ OpenAI ขึ้นอยู่กับหลายเงื่อนไขที่อาจไม่บรรลุ ⛔ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพยังต้องรอผลการใช้งานจริงใน data center https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/amd-could-beat-nvidia-to-launching-ai-gpus-on-the-cutting-edge-2nm-node-instinct-mi450-is-officially-the-first-amd-gpu-to-launch-with-tsmcs-finest-tech
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จีนขยายการควบคุมแร่หายาก — พีซี ฮาร์ดดิสก์ และจอภาพทั่วโลกอาจสะดุดจากนโยบายใหม่”

    จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth elements) โดยเพิ่มรายการแร่และเทคโนโลยีการแปรรูปเข้าไปในข้อจำกัดใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2025 โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” และจะไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเซมิคอนดักเตอร์

    แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่มเติม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium รวมถึงความรู้ทางเทคนิคในการผลิตแม่เหล็กจากแร่เหล่านี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น HDD, พัดลมระบายความร้อน, และจอภาพ LED/LCD ที่ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium

    ภายใต้กฎใหม่ บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน หากแม่เหล็กที่ผลิตมีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีน หรือใช้กระบวนการสกัดของจีน แม้จะเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อยก็ตาม

    ผลกระทบที่ชัดเจนคือ HDD ความจุสูงที่ใช้แม่เหล็ก NdFeB (neodymium-iron-boron) ซึ่งต้องผสมกับ dysprosium หรือ praseodymium เพื่อให้ทนความร้อนได้ดี หากการส่งออกถูกจำกัด อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการส่งมอบล่าช้า

    จอภาพก็ไม่รอด เพราะ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงที่ต้องอาศัย europium และ terbium ซึ่งอยู่ในรายการควบคุมใหม่เช่นกัน ส่วนกระบวนการขัดผิวเวเฟอร์ซิลิคอนที่ใช้ cerium oxide slurry ก็อาจได้รับผลกระทบหากจีนขยายข้อจำกัดไปถึงอุปกรณ์รีไซเคิลและแปรรูป

    Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพีซีและฮาร์ดแวร์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยมีผลในเดือนธันวาคม 20252
    แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่ม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium และเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็ก
    บริษัทต่างชาติต้องขออนุญาตหากใช้แร่จากจีนหรือกระบวนการสกัดของจีน
    HDD ใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ต้องผสม dysprosium หรือ praseodymium เพื่อทนความร้อน
    LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ซึ่งถูกควบคุม
    Cerium oxide slurry ที่ใช้ขัดเวเฟอร์ซิลิคอนอาจถูกกระทบหากข้อจำกัดขยาย
    Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากกว่า 70% และการแปรรูปกว่า 90% ของโลก
    แม่เหล็ก NdFeB เป็นหัวใจของมอเตอร์ใน HDD, พัดลม, และอุปกรณ์อุตสาหกรรม
    สารเรืองแสงจากแร่หายากใช้ในจอภาพเพื่อให้สีสดและความสว่างสูง
    การขัดเวเฟอร์ซิลิคอนเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิปและแผงวงจร
    การควบคุมแร่หายากเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตของจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-expands-rare-earth-export-controls
    🧲 “จีนขยายการควบคุมแร่หายาก — พีซี ฮาร์ดดิสก์ และจอภาพทั่วโลกอาจสะดุดจากนโยบายใหม่” จีนประกาศขยายการควบคุมการส่งออกแร่หายาก (rare-earth elements) โดยเพิ่มรายการแร่และเทคโนโลยีการแปรรูปเข้าไปในข้อจำกัดใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2025 โดยอ้างเหตุผลด้าน “ความมั่นคงแห่งชาติ” และจะไม่อนุญาตให้ส่งออกไปยังการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมหรือเซมิคอนดักเตอร์ แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่มเติม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium รวมถึงความรู้ทางเทคนิคในการผลิตแม่เหล็กจากแร่เหล่านี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของฮาร์ดแวร์หลายประเภท เช่น HDD, พัดลมระบายความร้อน, และจอภาพ LED/LCD ที่ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ภายใต้กฎใหม่ บริษัทต่างชาติจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลจีน หากแม่เหล็กที่ผลิตมีส่วนประกอบของแร่หายากจากจีน หรือใช้กระบวนการสกัดของจีน แม้จะเป็นเพียงปริมาณเล็กน้อยก็ตาม ผลกระทบที่ชัดเจนคือ HDD ความจุสูงที่ใช้แม่เหล็ก NdFeB (neodymium-iron-boron) ซึ่งต้องผสมกับ dysprosium หรือ praseodymium เพื่อให้ทนความร้อนได้ดี หากการส่งออกถูกจำกัด อาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้นและการส่งมอบล่าช้า จอภาพก็ไม่รอด เพราะ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงที่ต้องอาศัย europium และ terbium ซึ่งอยู่ในรายการควบคุมใหม่เช่นกัน ส่วนกระบวนการขัดผิวเวเฟอร์ซิลิคอนที่ใช้ cerium oxide slurry ก็อาจได้รับผลกระทบหากจีนขยายข้อจำกัดไปถึงอุปกรณ์รีไซเคิลและแปรรูป Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้โดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมพีซีและฮาร์ดแวร์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ จีนขยายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก โดยมีผลในเดือนธันวาคม 20252 ➡️ แร่ที่ถูกควบคุมเพิ่ม ได้แก่ holmium, thulium, erbium, ytterbium และเทคโนโลยีการผลิตแม่เหล็ก ➡️ บริษัทต่างชาติต้องขออนุญาตหากใช้แร่จากจีนหรือกระบวนการสกัดของจีน ➡️ HDD ใช้แม่เหล็ก NdFeB ที่ต้องผสม dysprosium หรือ praseodymium เพื่อทนความร้อน ➡️ LED และ LCD ใช้สารเรืองแสงจาก europium, terbium และ yttrium ซึ่งถูกควบคุม ➡️ Cerium oxide slurry ที่ใช้ขัดเวเฟอร์ซิลิคอนอาจถูกกระทบหากข้อจำกัดขยาย ➡️ Western Digital เริ่มโครงการรีไซเคิลแร่หายากจาก HDD ที่เลิกใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนครองสัดส่วนการผลิตแร่หายากกว่า 70% และการแปรรูปกว่า 90% ของโลก ➡️ แม่เหล็ก NdFeB เป็นหัวใจของมอเตอร์ใน HDD, พัดลม, และอุปกรณ์อุตสาหกรรม ➡️ สารเรืองแสงจากแร่หายากใช้ในจอภาพเพื่อให้สีสดและความสว่างสูง ➡️ การขัดเวเฟอร์ซิลิคอนเป็นขั้นตอนสำคัญในการผลิตชิปและแผงวงจร ➡️ การควบคุมแร่หายากเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการทูตของจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-expands-rare-earth-export-controls
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ฟองสบู่ AI ใกล้แตก? IMF และธนาคารอังกฤษเตือนแรง — นักลงทุนเริ่มซื้อทองคำหนีความเสี่ยง”

    ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI รายงานล่าสุดจาก IMF และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) กลับส่งสัญญาณเตือนว่า “ฟองสบู่ AI” อาจกำลังเข้าสู่ระยะอันตราย คล้ายกับเหตุการณ์ dotcom crash ในปี 2000

    Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการ IMF กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” พร้อมชี้ว่าการซื้อทองคำที่พุ่งขึ้นถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI ที่มีมูลค่าพุ่งสูงเกินจริง

    ธนาคารอังกฤษเสริมว่า ความเสี่ยงของการ “ปรับฐานรุนแรง” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด หรือเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การประเมินรายได้ในอนาคตต้องถูกปรับลดลง

    Goldman Sachs แม้จะมองว่าฟองสบู่ยังไม่แตก แต่ก็ยอมรับว่า “เราน่าจะอยู่ในระยะที่สามของฟองสบู่” จากทั้งหมดห้าระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนแบบ “หมุนเวียน” ที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ OpenAI ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่มีมูลค่าประเมินกว่า $500 พันล้าน ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ $4.3 พันล้าน และไม่มีแนวโน้มจะมีกำไรในเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ CEO Sam Altman

    นักวิเคราะห์จาก Van Lanschot Kempen ระบุว่า “การที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเอง และสร้างรายได้จากการลงทุนข้ามกัน เป็นสัญญาณของฟองสบู่ที่ชัดเจน” และหากเกิดการปรับฐานจริง อาจกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    IMF และ Bank of England เตือนว่าฟองสบู่ AI อาจใกล้แตก
    ราคาทองคำพุ่งถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณการป้องกันความเสี่ยง
    ความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด และการแข่งขันเพิ่มขึ้น
    การประเมินรายได้ในอนาคตของบริษัท AI อาจต้องถูกปรับลด
    Goldman Sachs ระบุว่าเราอยู่ใน “ระยะที่สาม” ของฟองสบู่
    มีการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัท AI เพื่อดันมูลค่าหุ้น
    OpenAI มีมูลค่าประเมิน $500 พันล้าน แต่ยังไม่มีกำไร
    นักวิเคราะห์ชี้ว่าการซื้อหุ้นกันเองเป็นสัญญาณฟองสบู่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 เกิดจากการลงทุนเกินจริงในบริษัทเทคโนโลยี
    ระยะที่สามของฟองสบู่คือช่วงที่ตลาดยังคึกคัก แต่เริ่มมีสัญญาณความไม่สมเหตุสมผล
    การซื้อทองคำมักเกิดเมื่อมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน
    การประเมินมูลค่าบริษัท AI มักอิงจาก “ศักยภาพในอนาคต” มากกว่ารายได้จริง
    การปรับฐานในตลาดหุ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-england-imf-warn-ai-bubble-risk-has-shades-of-2000-dotcom-crash-goldman-sachs-cautions-were-not-there-yet
    📉 “ฟองสบู่ AI ใกล้แตก? IMF และธนาคารอังกฤษเตือนแรง — นักลงทุนเริ่มซื้อทองคำหนีความเสี่ยง” ในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการเติบโตของเทคโนโลยี AI รายงานล่าสุดจาก IMF และธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) กลับส่งสัญญาณเตือนว่า “ฟองสบู่ AI” อาจกำลังเข้าสู่ระยะอันตราย คล้ายกับเหตุการณ์ dotcom crash ในปี 2000 Kristalina Georgieva ผู้อำนวยการ IMF กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่” พร้อมชี้ว่าการซื้อทองคำที่พุ่งขึ้นถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณว่าตลาดกำลังป้องกันความเสี่ยงจากการปรับฐานครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่ม AI ที่มีมูลค่าพุ่งสูงเกินจริง ธนาคารอังกฤษเสริมว่า ความเสี่ยงของการ “ปรับฐานรุนแรง” เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด หรือเมื่อการแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้การประเมินรายได้ในอนาคตต้องถูกปรับลดลง Goldman Sachs แม้จะมองว่าฟองสบู่ยังไม่แตก แต่ก็ยอมรับว่า “เราน่าจะอยู่ในระยะที่สามของฟองสบู่” จากทั้งหมดห้าระยะ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงทุนแบบ “หมุนเวียน” ที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ OpenAI ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหุ้น แต่มีมูลค่าประเมินกว่า $500 พันล้าน ขณะที่รายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ $4.3 พันล้าน และไม่มีแนวโน้มจะมีกำไรในเร็ว ๆ นี้ ตามคำกล่าวของ CEO Sam Altman นักวิเคราะห์จาก Van Lanschot Kempen ระบุว่า “การที่บริษัท AI ซื้อหุ้นกันเอง และสร้างรายได้จากการลงทุนข้ามกัน เป็นสัญญาณของฟองสบู่ที่ชัดเจน” และหากเกิดการปรับฐานจริง อาจกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม AI ทั้งระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ IMF และ Bank of England เตือนว่าฟองสบู่ AI อาจใกล้แตก ➡️ ราคาทองคำพุ่งถึง $4,000 ต่อออนซ์ เป็นสัญญาณการป้องกันความเสี่ยง ➡️ ความสามารถของ AI ยังไม่ก้าวหน้าเท่าที่คาด และการแข่งขันเพิ่มขึ้น ➡️ การประเมินรายได้ในอนาคตของบริษัท AI อาจต้องถูกปรับลด ➡️ Goldman Sachs ระบุว่าเราอยู่ใน “ระยะที่สาม” ของฟองสบู่ ➡️ มีการลงทุนแบบหมุนเวียนระหว่างบริษัท AI เพื่อดันมูลค่าหุ้น ➡️ OpenAI มีมูลค่าประเมิน $500 พันล้าน แต่ยังไม่มีกำไร ➡️ นักวิเคราะห์ชี้ว่าการซื้อหุ้นกันเองเป็นสัญญาณฟองสบู่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 เกิดจากการลงทุนเกินจริงในบริษัทเทคโนโลยี ➡️ ระยะที่สามของฟองสบู่คือช่วงที่ตลาดยังคึกคัก แต่เริ่มมีสัญญาณความไม่สมเหตุสมผล ➡️ การซื้อทองคำมักเกิดเมื่อมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจหรือการลงทุน ➡️ การประเมินมูลค่าบริษัท AI มักอิงจาก “ศักยภาพในอนาคต” มากกว่ารายได้จริง ➡️ การปรับฐานในตลาดหุ้นอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของนักลงทุน https://www.tomshardware.com/tech-industry/bank-of-england-imf-warn-ai-bubble-risk-has-shades-of-2000-dotcom-crash-goldman-sachs-cautions-were-not-there-yet
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Bank of England, IMF, warn AI bubble risk has shades of 2000 dotcom crash — Goldman Sachs cautions we're not there 'yet'
    Of the five stages of a bubble, we're already in stage three, according to one investment strategist.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Nvidia ส่ง Blackwell GPU กว่า 500,000 ตัวสู่ UAE — จุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ AI ระดับโลกระหว่างสหรัฐฯ-อาหรับ”

    หลังจากรอคอยมานาน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติใบอนุญาตส่งออก GPU ประมวลผล AI รุ่นใหม่ของ Nvidia ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รวมกว่า 500,000 ตัวต่อปี โดยเริ่มจากรุ่น Blackwell และจะตามด้วย Rubin และ Feynman ในอนาคต

    ดีลนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ซึ่ง UAE ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง $1.4 ล้านล้านภายใน 10 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะลงทุนแบบ “ดอลลาร์ต่อดอลลาร์” เพื่อสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

    อย่างไรก็ตาม ชิปชุดแรกจะไม่ถูกส่งไปยัง G42 ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่รัฐสนับสนุนในอาบูดาบี แม้จะเป็นผู้พัฒนา data center ขนาด 5 GW สำหรับ OpenAI ก็ตาม โดยตามข้อตกลง G42 จะได้รับชิปเพียง 20% ในชุดถัดไปเท่านั้น

    ภายใต้เงื่อนไขใหม่ เฉพาะ data center ที่ดำเนินการโดยบริษัทอเมริกันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งาน GPU เหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายเดิมที่เคยจำกัดการส่งออกเพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนไปยังจีน

    Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของ “AI diplomacy” ที่ผูกโยงการขายฮาร์ดแวร์กับการลงทุนและการควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ในระดับภูมิภาค โดยสหรัฐฯ จะรักษาฐานในตะวันออกกลาง ขณะที่ UAE ได้รับพลังการประมวลผลระดับโลกภายใต้การกำกับดูแลของสหรัฐฯ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    สหรัฐฯ อนุมัติใบอนุญาตส่งออก GPU รุ่น Blackwell ของ Nvidia ไปยัง UAE
    จำนวนสูงสุดที่อนุญาตคือ 500,000 ตัวต่อปี
    ข้อตกลงรวมการลงทุน $1.4 ล้านล้านจาก UAE สู่สหรัฐฯ ภายใน 10 ปี
    ชิปชุดแรกจะไม่ถูกส่งไปยัง G42 บริษัท AI ที่รัฐสนับสนุนในอาบูดาบี
    G42 จะได้รับชิปเพียง 20% ในชุดถัดไป
    เฉพาะ data center ที่ดำเนินการโดยบริษัทอเมริกันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะใช้ GPU ได้
    ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “AI diplomacy” ของสหรัฐฯ
    จุดประสงค์คือการควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ในตะวันออกกลาง
    สหรัฐฯ ต้องการป้องกัน Huawei และบริษัทจีนจากการขยายอิทธิพลในภูมิภาค

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Blackwell เป็น GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia ที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่
    G42 เป็นพันธมิตรของ OpenAI และกำลังสร้าง data center ขนาด 5 GW
    การลงทุนแบบ “ดอลลาร์ต่อดอลลาร์” หมายถึงการจับคู่เงินลงทุนจากทั้งสองฝ่าย
    การใช้ data center ที่ดำเนินการโดยสหรัฐฯ ช่วยให้สามารถควบคุมการใช้งาน GPU ได้
    AI diplomacy คือการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทางการทูตและความมั่นคง


    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-finally-grants-nvidia-license-to-ship-ai-gpus-to-uae-500-000-blackwell-gpus-coming-to-the-gulf-region
    🚢 “Nvidia ส่ง Blackwell GPU กว่า 500,000 ตัวสู่ UAE — จุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ AI ระดับโลกระหว่างสหรัฐฯ-อาหรับ” หลังจากรอคอยมานาน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติใบอนุญาตส่งออก GPU ประมวลผล AI รุ่นใหม่ของ Nvidia ไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) รวมกว่า 500,000 ตัวต่อปี โดยเริ่มจากรุ่น Blackwell และจะตามด้วย Rubin และ Feynman ในอนาคต ดีลนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ ซึ่ง UAE ให้คำมั่นว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ สูงถึง $1.4 ล้านล้านภายใน 10 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะลงทุนแบบ “ดอลลาร์ต่อดอลลาร์” เพื่อสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม ชิปชุดแรกจะไม่ถูกส่งไปยัง G42 ซึ่งเป็นบริษัท AI ที่รัฐสนับสนุนในอาบูดาบี แม้จะเป็นผู้พัฒนา data center ขนาด 5 GW สำหรับ OpenAI ก็ตาม โดยตามข้อตกลง G42 จะได้รับชิปเพียง 20% ในชุดถัดไปเท่านั้น ภายใต้เงื่อนไขใหม่ เฉพาะ data center ที่ดำเนินการโดยบริษัทอเมริกันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะสามารถใช้งาน GPU เหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายเดิมที่เคยจำกัดการส่งออกเพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนไปยังจีน Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของ “AI diplomacy” ที่ผูกโยงการขายฮาร์ดแวร์กับการลงทุนและการควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ในระดับภูมิภาค โดยสหรัฐฯ จะรักษาฐานในตะวันออกกลาง ขณะที่ UAE ได้รับพลังการประมวลผลระดับโลกภายใต้การกำกับดูแลของสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ สหรัฐฯ อนุมัติใบอนุญาตส่งออก GPU รุ่น Blackwell ของ Nvidia ไปยัง UAE ➡️ จำนวนสูงสุดที่อนุญาตคือ 500,000 ตัวต่อปี ➡️ ข้อตกลงรวมการลงทุน $1.4 ล้านล้านจาก UAE สู่สหรัฐฯ ภายใน 10 ปี ➡️ ชิปชุดแรกจะไม่ถูกส่งไปยัง G42 บริษัท AI ที่รัฐสนับสนุนในอาบูดาบี ➡️ G42 จะได้รับชิปเพียง 20% ในชุดถัดไป ➡️ เฉพาะ data center ที่ดำเนินการโดยบริษัทอเมริกันที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นจึงจะใช้ GPU ได้ ➡️ ข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “AI diplomacy” ของสหรัฐฯ ➡️ จุดประสงค์คือการควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน AI ในตะวันออกกลาง ➡️ สหรัฐฯ ต้องการป้องกัน Huawei และบริษัทจีนจากการขยายอิทธิพลในภูมิภาค ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Blackwell เป็น GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia ที่ออกแบบมาสำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ ➡️ G42 เป็นพันธมิตรของ OpenAI และกำลังสร้าง data center ขนาด 5 GW ➡️ การลงทุนแบบ “ดอลลาร์ต่อดอลลาร์” หมายถึงการจับคู่เงินลงทุนจากทั้งสองฝ่าย ➡️ การใช้ data center ที่ดำเนินการโดยสหรัฐฯ ช่วยให้สามารถควบคุมการใช้งาน GPU ได้ ➡️ AI diplomacy คือการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือทางการทูตและความมั่นคง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/u-s-finally-grants-nvidia-license-to-ship-ai-gpus-to-uae-500-000-blackwell-gpus-coming-to-the-gulf-region
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เพชรเทียมกำลังเปลี่ยนโลกของชิปคอมพิวเตอร์ — เย็นกว่า เร็วกว่า และอาจเป็นอนาคตของ AI”

    ในยุคที่ AI และการประมวลผลขั้นสูงต้องการพลังงานมหาศาล ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเผยว่า “มากกว่าครึ่งของพลังงานที่ใช้ในชิปสูญเสียไปในรูปของความร้อน” ซึ่งไม่เพียงทำให้ชิปทำงานช้าลง แต่ยังลดอายุการใช้งานและเพิ่มต้นทุนการระบายความร้อนอย่างมหาศาล

    บริษัท Diamond Foundry และ Element Six (ในเครือ De Beers) กำลังพัฒนา “แผ่นเพชรเทียม” สำหรับติดตั้งบนชิปโดยตรง เพื่อช่วยระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเพชรมีคุณสมบัติการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงถึงหลายเท่า เพราะโครงสร้างอะตอมของคาร์บอนที่เชื่อมกันแน่นหนาในทุกทิศทาง

    Diamond Foundry ใช้พลาสมาคาร์บอนร้อนจัดเพื่อสร้างผลึกเพชรขนาด 4 นิ้ว แล้วขัดให้เรียบระดับอะตอม ก่อนนำไปติดด้านหลังของเวเฟอร์ซิลิคอน ซึ่งช่วยกำจัดจุดร้อนในชิปได้เกือบหมด Element Six ก็พัฒนา “วัสดุผสมเพชร-ทองแดง” ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเพชรบริสุทธิ์ แต่ยังคงประสิทธิภาพในการระบายความร้อนสูง

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford ยังทดลองใช้เพชรในการวางทรานซิสเตอร์แบบซ้อนชั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วของชิปโดยไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสมมากเกินไป แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิในการผลิต แต่หากแก้ไขได้สำเร็จ เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของชิปในยุค AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มากกว่าครึ่งของพลังงานในชิปสูญเสียไปเป็นความร้อนจากการรั่วไหลของกระแส
    Diamond Foundry และ Element Six พัฒนาแผ่นเพชรเทียมสำหรับติดตั้งบนชิป
    เพชรมีคุณสมบัติการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงหลายเท่า
    Diamond Foundry ใช้พลาสมาคาร์บอนสร้างผลึกเพชรขนาด 4 นิ้ว
    แผ่นเพชรถูกขัดเรียบระดับอะตอมก่อนติดตั้งบนเวเฟอร์ซิลิคอน
    Element Six พัฒนาเพชร-ทองแดงผสมเพื่อระบายความร้อนในชิป AI
    นักวิจัยจาก Stanford ทดลองใช้เพชรในการวางทรานซิสเตอร์แบบซ้อนชั้น
    เพชรช่วยลดความร้อนสะสมในชิปและยืดอายุการใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การระบายความร้อนคือปัจจัยสำคัญในการออกแบบชิปยุคใหม่
    การใช้เพชรในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น ดาวเทียมและเรดาร์
    การนำเพชรมาใช้ในชิปมือถือและ PC อาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่ปี
    การผลิตเพชรเทียมต้องควบคุมอุณหภูมิและโครงสร้างผลึกอย่างแม่นยำ
    DARPA สนับสนุนงานวิจัยด้านการใช้เพชรในชิปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ AI

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การผลิตแผ่นเพชรเทียมคุณภาพสูงยังมีต้นทุนสูง
    การติดตั้งเพชรบนซิลิคอนต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างเข้มงวด
    เพชรที่มีโครงสร้างผลึกหลายทิศทางอาจไม่ระบายความร้อนในแนวราบได้ดี
    การผลิตที่อุณหภูมิต่ำอาจทำให้ผลึกเพชรไม่สมบูรณ์
    เทคโนโลยีนี้ยังไม่ถูกพิสูจน์ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/10/why-diamonds-are-a-computer-chips-new-best-friend
    💎 “เพชรเทียมกำลังเปลี่ยนโลกของชิปคอมพิวเตอร์ — เย็นกว่า เร็วกว่า และอาจเป็นอนาคตของ AI” ในยุคที่ AI และการประมวลผลขั้นสูงต้องการพลังงานมหาศาล ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเผยว่า “มากกว่าครึ่งของพลังงานที่ใช้ในชิปสูญเสียไปในรูปของความร้อน” ซึ่งไม่เพียงทำให้ชิปทำงานช้าลง แต่ยังลดอายุการใช้งานและเพิ่มต้นทุนการระบายความร้อนอย่างมหาศาล บริษัท Diamond Foundry และ Element Six (ในเครือ De Beers) กำลังพัฒนา “แผ่นเพชรเทียม” สำหรับติดตั้งบนชิปโดยตรง เพื่อช่วยระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเพชรมีคุณสมบัติการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงถึงหลายเท่า เพราะโครงสร้างอะตอมของคาร์บอนที่เชื่อมกันแน่นหนาในทุกทิศทาง Diamond Foundry ใช้พลาสมาคาร์บอนร้อนจัดเพื่อสร้างผลึกเพชรขนาด 4 นิ้ว แล้วขัดให้เรียบระดับอะตอม ก่อนนำไปติดด้านหลังของเวเฟอร์ซิลิคอน ซึ่งช่วยกำจัดจุดร้อนในชิปได้เกือบหมด Element Six ก็พัฒนา “วัสดุผสมเพชร-ทองแดง” ที่มีต้นทุนต่ำกว่าเพชรบริสุทธิ์ แต่ยังคงประสิทธิภาพในการระบายความร้อนสูง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford ยังทดลองใช้เพชรในการวางทรานซิสเตอร์แบบซ้อนชั้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วของชิปโดยไม่ทำให้เกิดความร้อนสะสมมากเกินไป แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านอุณหภูมิในการผลิต แต่หากแก้ไขได้สำเร็จ เทคโนโลยีนี้อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของชิปในยุค AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มากกว่าครึ่งของพลังงานในชิปสูญเสียไปเป็นความร้อนจากการรั่วไหลของกระแส ➡️ Diamond Foundry และ Element Six พัฒนาแผ่นเพชรเทียมสำหรับติดตั้งบนชิป ➡️ เพชรมีคุณสมบัติการนำความร้อนสูงกว่าทองแดงหลายเท่า ➡️ Diamond Foundry ใช้พลาสมาคาร์บอนสร้างผลึกเพชรขนาด 4 นิ้ว ➡️ แผ่นเพชรถูกขัดเรียบระดับอะตอมก่อนติดตั้งบนเวเฟอร์ซิลิคอน ➡️ Element Six พัฒนาเพชร-ทองแดงผสมเพื่อระบายความร้อนในชิป AI ➡️ นักวิจัยจาก Stanford ทดลองใช้เพชรในการวางทรานซิสเตอร์แบบซ้อนชั้น ➡️ เพชรช่วยลดความร้อนสะสมในชิปและยืดอายุการใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การระบายความร้อนคือปัจจัยสำคัญในการออกแบบชิปยุคใหม่ ➡️ การใช้เพชรในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เริ่มมีในอุปกรณ์ระดับสูง เช่น ดาวเทียมและเรดาร์ ➡️ การนำเพชรมาใช้ในชิปมือถือและ PC อาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่ปี ➡️ การผลิตเพชรเทียมต้องควบคุมอุณหภูมิและโครงสร้างผลึกอย่างแม่นยำ ➡️ DARPA สนับสนุนงานวิจัยด้านการใช้เพชรในชิปเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ AI ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การผลิตแผ่นเพชรเทียมคุณภาพสูงยังมีต้นทุนสูง ⛔ การติดตั้งเพชรบนซิลิคอนต้องควบคุมอุณหภูมิอย่างเข้มงวด ⛔ เพชรที่มีโครงสร้างผลึกหลายทิศทางอาจไม่ระบายความร้อนในแนวราบได้ดี ⛔ การผลิตที่อุณหภูมิต่ำอาจทำให้ผลึกเพชรไม่สมบูรณ์ ⛔ เทคโนโลยีนี้ยังไม่ถูกพิสูจน์ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/10/why-diamonds-are-a-computer-chips-new-best-friend
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why diamonds are a computer chip's new best friend
    Data centres squander vast amounts of electricity, most of it as heat. The physical properties of diamond offer a potential solution, researchers say.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OMG! อินฟลูเอนเซอร์เยอรมันเจอสอบภาษีครั้งใหญ่ — จากแจกของฟรี สู่โดนปรับหลายล้านยูโร”

    อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีอาจต้องเปลี่ยนจาก “เปิดกล่องของขวัญ” เป็น “เปิดจดหมายเรียกเก็บภาษี” หลังรัฐ North Rhine-Westphalia ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ ประกาศตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการกับการหลีกเลี่ยงภาษีในวงการอินฟลูเอนเซอร์โดยเฉพาะ

    หน่วยงานนี้กำลังตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อหาหลักฐานการไม่ชำระภาษีจากรายได้ที่มาจากยอดวิว การรีวิวสินค้า การรับของขวัญ หรือการรับเงินจากแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกรณีที่มีการ “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศ เช่น ดูไบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีเป็นหลัก

    Stephanie Thien หัวหน้าหน่วยสอบสวนด้านอาชญากรรมการเงินของรัฐกล่าวว่า “เรารู้ว่ามีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก และเราก็รู้ว่ามันไม่ได้ถูกเสียภาษีอย่างถูกต้องทั้งหมด” โดยก่อนหน้านี้รัฐได้ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 ราย และบางรายถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงภาษีเป็นเงินหลายล้านยูโร

    Christian Gebert จากบริษัทที่ปรึกษาด้านภาษี Steuerberaten.de ระบุว่า หลายคนเริ่มต้นจากการเล่นสนุกบนโซเชียลโดยไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี และเมื่อประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็ไม่มีระบบจัดการภาษีที่เหมาะสม

    นอกจาก North Rhine-Westphalia แล้ว รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มดำเนินการสอบสวนเช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยี AI และการเปรียบเทียบข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น PayPal และ Revolut เพื่อหาความผิดปกติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐ North Rhine-Westphalia ตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการการหลีกเลี่ยงภาษีของอินฟลูเอนเซอร์
    ตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล
    รายได้ที่ถูกตรวจสอบรวมถึงยอดวิว, การรีวิวสินค้า, ของขวัญ, และเงินจากแบรนด์
    พบกรณี “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
    ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 รายแล้ว
    รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มสอบสวนเช่นกัน
    ใช้ AI และข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงินในการตรวจสอบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีมีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น affiliate, sponsorship, pay-per-view
    การรับของขวัญ เช่น ห้องพักฟรีหรือเที่ยวบิน ต้องถูกนับเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี
    อินฟลูเอนเซอร์ถือเป็น “ผู้ประกอบการ” ตามกฎหมายภาษีเยอรมัน
    ต้องเสียภาษีหลายประเภท เช่น ภาษีรายได้, ภาษีธุรกิจ, และภาษีขาย
    การไม่รู้ว่าต้องเสียภาษีไม่ถือเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมาย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/09/omg-german-influencers-face-tax-dodging-crackdown
    💸 “OMG! อินฟลูเอนเซอร์เยอรมันเจอสอบภาษีครั้งใหญ่ — จากแจกของฟรี สู่โดนปรับหลายล้านยูโร” อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีอาจต้องเปลี่ยนจาก “เปิดกล่องของขวัญ” เป็น “เปิดจดหมายเรียกเก็บภาษี” หลังรัฐ North Rhine-Westphalia ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศ ประกาศตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการกับการหลีกเลี่ยงภาษีในวงการอินฟลูเอนเซอร์โดยเฉพาะ หน่วยงานนี้กำลังตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อหาหลักฐานการไม่ชำระภาษีจากรายได้ที่มาจากยอดวิว การรีวิวสินค้า การรับของขวัญ หรือการรับเงินจากแบรนด์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกรณีที่มีการ “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศ เช่น ดูไบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี แต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมนีเป็นหลัก Stephanie Thien หัวหน้าหน่วยสอบสวนด้านอาชญากรรมการเงินของรัฐกล่าวว่า “เรารู้ว่ามีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก และเราก็รู้ว่ามันไม่ได้ถูกเสียภาษีอย่างถูกต้องทั้งหมด” โดยก่อนหน้านี้รัฐได้ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 ราย และบางรายถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงภาษีเป็นเงินหลายล้านยูโร Christian Gebert จากบริษัทที่ปรึกษาด้านภาษี Steuerberaten.de ระบุว่า หลายคนเริ่มต้นจากการเล่นสนุกบนโซเชียลโดยไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี และเมื่อประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วก็ไม่มีระบบจัดการภาษีที่เหมาะสม นอกจาก North Rhine-Westphalia แล้ว รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มดำเนินการสอบสวนเช่นกัน โดยใช้เทคโนโลยี AI และการเปรียบเทียบข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น PayPal และ Revolut เพื่อหาความผิดปกติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐ North Rhine-Westphalia ตั้งหน่วยสอบสวนพิเศษเพื่อจัดการการหลีกเลี่ยงภาษีของอินฟลูเอนเซอร์ ➡️ ตรวจสอบข้อมูลกว่า 6,000 รายการจากแพลตฟอร์มโซเชียล ➡️ รายได้ที่ถูกตรวจสอบรวมถึงยอดวิว, การรีวิวสินค้า, ของขวัญ, และเงินจากแบรนด์ ➡️ พบกรณี “แกล้งย้ายถิ่นฐาน” ไปต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ➡️ ดำเนินคดีอาญากับอินฟลูเอนเซอร์กว่า 200 รายแล้ว ➡️ รัฐอื่น ๆ เช่น Hamburg และ Thuringia ก็เริ่มสอบสวนเช่นกัน ➡️ ใช้ AI และข้อมูลจากผู้ให้บริการชำระเงินในการตรวจสอบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อินฟลูเอนเซอร์ในเยอรมนีมีรายได้จากหลายช่องทาง เช่น affiliate, sponsorship, pay-per-view ➡️ การรับของขวัญ เช่น ห้องพักฟรีหรือเที่ยวบิน ต้องถูกนับเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี ➡️ อินฟลูเอนเซอร์ถือเป็น “ผู้ประกอบการ” ตามกฎหมายภาษีเยอรมัน ➡️ ต้องเสียภาษีหลายประเภท เช่น ภาษีรายได้, ภาษีธุรกิจ, และภาษีขาย ➡️ การไม่รู้ว่าต้องเสียภาษีไม่ถือเป็นข้อยกเว้นตามกฎหมาย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/09/omg-german-influencers-face-tax-dodging-crackdown
    WWW.THESTAR.COM.MY
    OMG! German influencers face tax dodging crackdown
    They could soon be unboxing fines rather than freebies – Germany's online influencers are facing a tax evasion crackdown that has left them screaming OMG!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวง อว. รวมพลังเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายนายกอนุทิน ‘พลังงานสะอาด–สังคมคาร์บอนต่ำ’ เตรียมพร้อมเทคโนโลยี พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์มาตรฐานปลอดภัยขนาดเล็ก (SMR)
    https://www.thai-tai.tv/news/21836/
    .
    #ไทยไท #SMR #พลังงานสะอาด #อนุทิน #ปรมาณูเพื่อสันติ #สังคมคาร์บอนต่ำ

    ปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวง อว. รวมพลังเครือข่ายขับเคลื่อนนโยบายนายกอนุทิน ‘พลังงานสะอาด–สังคมคาร์บอนต่ำ’ เตรียมพร้อมเทคโนโลยี พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์มาตรฐานปลอดภัยขนาดเล็ก (SMR) https://www.thai-tai.tv/news/21836/ . #ไทยไท #SMR #พลังงานสะอาด #อนุทิน #ปรมาณูเพื่อสันติ #สังคมคาร์บอนต่ำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สงครามใต้ดินในวงการบูตแคมป์: เมื่อ Reddit กลายเป็นอาวุธทำลายชื่อเสียง Codesmith ด้วยมือของคู่แข่ง”

    เรื่องราวสุดดาร์กของ Codesmith บูตแคมป์สายซอฟต์แวร์ที่เคยรุ่งเรืองด้วยรายได้กว่า $23.5 ล้าน กลับถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องผ่าน Reddit โดยผู้ก่อเหตุคือ Michael Novati — ผู้ร่วมก่อตั้ง Formation ซึ่งเป็นบูตแคมป์คู่แข่ง และยังเป็นผู้ดูแลหลักของ subreddit r/codingbootcamp

    Michael ใช้ตำแหน่ง moderator เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนข้อมูล ลบโพสต์เชิงบวกของ Codesmith และปล่อยคอมเมนต์เชิงลบทุกวันตลอด 487 วัน รวมกว่า 425 โพสต์ โดยใช้เทคนิคการเปรียบเทียบกับลัทธิ NXIVM, กล่าวหาว่ามีการโกงข้อมูล CIRR, และแม้กระทั่งตามรอยลูกของพนักงานบน LinkedIn เพื่อกล่าวหาว่ามีการเล่นเส้น

    ผลกระทบไม่ใช่แค่ชื่อเสียง แต่รวมถึงรายได้ที่ลดลงกว่า 40% จากการโจมตีบน Reddit และอีก 40% จากภาวะตลาด ทำให้ Codesmithต้องปลดพนักงานหลายรอบ เหลือเพียง 15 คน และผู้ก่อตั้งต้องลาออกเพราะความเครียด

    แม้จะมีการตรวจสอบจากหลายฝ่าย รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น ๆ ที่ยืนยันว่า Codesmith เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ดีที่สุดในวงการ แต่การควบคุม narrative บน Reddit ทำให้ผู้สนใจเรียนรู้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นกลางได้

    การโจมตีนี้ยังลามไปถึง Google และ LLM อย่าง ChatGPT ซึ่งดึงข้อมูลจาก Reddit ทำให้คำค้นหา “Codesmith ดีไหม” กลายเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาและความสงสัย


    ธุรกิจของ “coding bootcamp” คือการให้บริการฝึกอบรมเข้มข้นด้านการเขียนโปรแกรมและทักษะเทคโนโลยี เพื่อเตรียมผู้เรียนเข้าสู่สายงานไอที โดยเฉพาะตำแหน่งอย่าง software engineer, full-stack developer, data analyst ฯลฯ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน

    โมเดลธุรกิจของ bootcamp
    หลักสูตรแบบเร่งรัด (Intensive Program) Bootcamp มักจัดหลักสูตร 8–16 สัปดาห์ ที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำจริง เช่น สร้างโปรเจกต์, pair programming, mock interview
    คัดเลือกผู้เรียนอย่างเข้มงวด หลายแห่ง เช่น Codesmith หรือ AppAcademy จะคัดเลือกผู้เรียนที่มีพื้นฐานหรือความมุ่งมั่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์หลังเรียนดีขึ้น
    รายได้หลักมาจากค่าเรียน ค่าเรียนมักอยู่ระหว่าง $10,000–$20,000 ต่อคน โดยบางแห่งมีระบบ “Income Share Agreement” (ISA) ที่ให้เรียนฟรีก่อน แล้วจ่ายเมื่อได้งาน
    บริการเสริมหลังเรียน เช่น การช่วยเขียน resume, mock interview, career coaching ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสได้งานและสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp
    ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี บาง bootcamp มีดีลกับบริษัทเพื่อส่งนักเรียนไปฝึกงานหรือสมัครงานโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์

    จุดที่สร้างกำไร
    ค่าเรียนต่อหัวสูง เมื่อ bootcamp มีชื่อเสียงและผลลัพธ์ดี ก็สามารถตั้งราคาสูงได้ เช่น Codesmith เคยมีรายได้ $23.5M จากนักเรียนไม่กี่พันคน
    ต้นทุนคงที่ต่ำ แม้จะมีค่าใช้จ่ายด้านครูและระบบ แต่เมื่อหลักสูตรถูกออกแบบแล้ว สามารถใช้ซ้ำได้หลายรุ่นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก
    การขยายแบบออนไลน์ หลาย bootcamp เปลี่ยนจาก onsite เป็น remote ทำให้ลดค่าเช่าสถานที่ และขยายตลาดได้ทั่วโลก
    การใช้ alumni เป็น brand ambassador ผู้เรียนที่ได้งานดีจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาโดยตรง


    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Reddit เป็นแหล่งข้อมูลหลักของ LLM และปรากฏในผลการค้นหาของ Google
    CIRR เป็นองค์กรกลางที่เก็บข้อมูลผลลัพธ์ของบูตแคมป์อย่างเป็นกลาง
    การควบคุม subreddit ทำให้สามารถลบโพสต์, ปักหมุด, และแบนผู้ใช้ได้ตามใจ
    Formation เคยระดมทุน $4M จาก Andreessen Horowitz
    ผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น เช่น Tech Elevator และ AppAcademy ยืนยันว่า Codesmith มีคุณภาพสูง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การควบคุม subreddit โดยคู่แข่งสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ
    ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ว่า moderator มีผลประโยชน์ทับซ้อน
    LLM และ Google ดึงข้อมูลจาก Reddit โดยไม่ตรวจสอบความเป็นกลาง
    การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นกับธุรกิจใดก็ได้ที่มี subreddit อุตสาหกรรม
    ไม่มีระบบตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจของ moderator บน Reddit

    https://larslofgren.com/codesmith-reddit-reputation-attack/
    🔥 “สงครามใต้ดินในวงการบูตแคมป์: เมื่อ Reddit กลายเป็นอาวุธทำลายชื่อเสียง Codesmith ด้วยมือของคู่แข่ง” เรื่องราวสุดดาร์กของ Codesmith บูตแคมป์สายซอฟต์แวร์ที่เคยรุ่งเรืองด้วยรายได้กว่า $23.5 ล้าน กลับถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องผ่าน Reddit โดยผู้ก่อเหตุคือ Michael Novati — ผู้ร่วมก่อตั้ง Formation ซึ่งเป็นบูตแคมป์คู่แข่ง และยังเป็นผู้ดูแลหลักของ subreddit r/codingbootcamp Michael ใช้ตำแหน่ง moderator เป็นเครื่องมือในการบิดเบือนข้อมูล ลบโพสต์เชิงบวกของ Codesmith และปล่อยคอมเมนต์เชิงลบทุกวันตลอด 487 วัน รวมกว่า 425 โพสต์ โดยใช้เทคนิคการเปรียบเทียบกับลัทธิ NXIVM, กล่าวหาว่ามีการโกงข้อมูล CIRR, และแม้กระทั่งตามรอยลูกของพนักงานบน LinkedIn เพื่อกล่าวหาว่ามีการเล่นเส้น ผลกระทบไม่ใช่แค่ชื่อเสียง แต่รวมถึงรายได้ที่ลดลงกว่า 40% จากการโจมตีบน Reddit และอีก 40% จากภาวะตลาด ทำให้ Codesmithต้องปลดพนักงานหลายรอบ เหลือเพียง 15 คน และผู้ก่อตั้งต้องลาออกเพราะความเครียด แม้จะมีการตรวจสอบจากหลายฝ่าย รวมถึงผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น ๆ ที่ยืนยันว่า Codesmith เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ดีที่สุดในวงการ แต่การควบคุม narrative บน Reddit ทำให้ผู้สนใจเรียนรู้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เป็นกลางได้ การโจมตีนี้ยังลามไปถึง Google และ LLM อย่าง ChatGPT ซึ่งดึงข้อมูลจาก Reddit ทำให้คำค้นหา “Codesmith ดีไหม” กลายเป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาและความสงสัย 🔖🔖 ธุรกิจของ “coding bootcamp” คือการให้บริการฝึกอบรมเข้มข้นด้านการเขียนโปรแกรมและทักษะเทคโนโลยี เพื่อเตรียมผู้เรียนเข้าสู่สายงานไอที โดยเฉพาะตำแหน่งอย่าง software engineer, full-stack developer, data analyst ฯลฯ ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ✅ โมเดลธุรกิจของ bootcamp ➡️ หลักสูตรแบบเร่งรัด (Intensive Program) Bootcamp มักจัดหลักสูตร 8–16 สัปดาห์ ที่เน้นการเรียนรู้แบบลงมือทำจริง เช่น สร้างโปรเจกต์, pair programming, mock interview ➡️ คัดเลือกผู้เรียนอย่างเข้มงวด หลายแห่ง เช่น Codesmith หรือ AppAcademy จะคัดเลือกผู้เรียนที่มีพื้นฐานหรือความมุ่งมั่นสูง เพื่อให้ผลลัพธ์หลังเรียนดีขึ้น ➡️ รายได้หลักมาจากค่าเรียน ค่าเรียนมักอยู่ระหว่าง $10,000–$20,000 ต่อคน โดยบางแห่งมีระบบ “Income Share Agreement” (ISA) ที่ให้เรียนฟรีก่อน แล้วจ่ายเมื่อได้งาน ➡️ บริการเสริมหลังเรียน เช่น การช่วยเขียน resume, mock interview, career coaching ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสได้งานและสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp ➡️ ความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี บาง bootcamp มีดีลกับบริษัทเพื่อส่งนักเรียนไปฝึกงานหรือสมัครงานโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและผลลัพธ์ ✅ จุดที่สร้างกำไร ➡️ ค่าเรียนต่อหัวสูง เมื่อ bootcamp มีชื่อเสียงและผลลัพธ์ดี ก็สามารถตั้งราคาสูงได้ เช่น Codesmith เคยมีรายได้ $23.5M จากนักเรียนไม่กี่พันคน ➡️ ต้นทุนคงที่ต่ำ แม้จะมีค่าใช้จ่ายด้านครูและระบบ แต่เมื่อหลักสูตรถูกออกแบบแล้ว สามารถใช้ซ้ำได้หลายรุ่นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก ➡️ การขยายแบบออนไลน์ หลาย bootcamp เปลี่ยนจาก onsite เป็น remote ทำให้ลดค่าเช่าสถานที่ และขยายตลาดได้ทั่วโลก ➡️ การใช้ alumni เป็น brand ambassador ผู้เรียนที่ได้งานดีจะช่วยสร้างชื่อเสียงให้ bootcamp โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาโดยตรง 🔖🔖🔖 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Reddit เป็นแหล่งข้อมูลหลักของ LLM และปรากฏในผลการค้นหาของ Google ➡️ CIRR เป็นองค์กรกลางที่เก็บข้อมูลผลลัพธ์ของบูตแคมป์อย่างเป็นกลาง ➡️ การควบคุม subreddit ทำให้สามารถลบโพสต์, ปักหมุด, และแบนผู้ใช้ได้ตามใจ ➡️ Formation เคยระดมทุน $4M จาก Andreessen Horowitz ➡️ ผู้ร่วมก่อตั้งบูตแคมป์อื่น เช่น Tech Elevator และ AppAcademy ยืนยันว่า Codesmith มีคุณภาพสูง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การควบคุม subreddit โดยคู่แข่งสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ว่า moderator มีผลประโยชน์ทับซ้อน ⛔ LLM และ Google ดึงข้อมูลจาก Reddit โดยไม่ตรวจสอบความเป็นกลาง ⛔ การโจมตีแบบนี้สามารถเกิดขึ้นกับธุรกิจใดก็ได้ที่มี subreddit อุตสาหกรรม ⛔ ไม่มีระบบตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจของ moderator บน Reddit https://larslofgren.com/codesmith-reddit-reputation-attack/
    LARSLOFGREN.COM
    The Story of Codesmith: How a Competitor Crippled a $23.5M Bootcamp By Becoming a Reddit Moderator
    Let’s say you decide to start a coding bootcamp. Your background is in pedagogy and you love teaching. Your parents were teachers. You find a co-founder, raise a bit of money, and pour your soul into your company. The first couple of years, students love your program. Positive feedback, extraordinary student outcomes, employees love the mission. You are quite literally […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว
  • 555,ว่าแล้ว แปลกๆมากพวกนี้ มันเป็นขบวนการจริงๆ,ร่ำรวยผิดปกติด้วย โชว์บ้าน โชว์รถหรูสาระพัด อวดร่ำอวดรวย เหยียดคนอื่นด้วย,มีนายใหญ่คุ้มหัวแน่นอนจึงกล้าหาญ,นอมินีตัวโชว์ให้เป็นตัวเอกออกเดินหน้าโรง,เรียกเหยื่อ.,จิตใจคนเรามิอาจดูผิวเผินได้,สิ่งที่กายวาจาแสดงออกผ่านสื่ออาจอีกเรื่อง,ลับหลังก็อีกเรื่อง สตอรี่อีกไม่เอามารวมด้วยมากมายตรึม,คนเดอะแก๊งพวกนี้.

    ..โรงงานไม่ได้ผลิตรถ ไม่ได้ประกอบรถรุ่นนี้ ไม่มีบันทึกการสร้างรถรุ่นนี้ มันไปผลิตในโรงงานไหนว่ะ ,สิทธิบัตรใบอนุญาตการผลิตการสร้างโรงงานนี้ผูกขาดหลักอย่างเป็นทางการ,แม้มีผลิตจากโรงงานอื่นคือคู่แข่ง ก็ต้องบันทึก ปล.จดหมายเหตุไว้ของเหตุการณ์ที่เกิดรถรุ่นนี้ขึ้น,หรือบันทึกแสดงความเสียใจที่ตนไม่ได้งานการผลิตมาล่ะ ท้ายเล่มของรุ่นนี้ แล้วทางวัดต้องจัดงานปลุกเสกใหญ่โตให้เกียรติชื่อครูบาอาจารย์ที่จัดสร้างเหรียญ เพื่อศิริมงคลต่อเหรียญเองในรุ่นนั้นๆ,ทางวัดเองต้องให้อนุญาตโรงงานรถโรงงานผลิตเหรียญด้วยว่าสั่งสร้างเท่านั้นเท่านี้บันทึกส่งรถส่งเหรียญให้ใครจับจองด้วย,ตามรุ่นพิเศษอีก ราคาแพงที่ผลิตตอบสนองความต้องการพิเศษตามขั้นตอนกระบวนดารผลิตใครได้ก่อนหลังอีก.,ก่อนปี2508ยังมีบันทึกสาระพัดทั้งจากทางวัดเองและโรงปั้มรับมอบใบอนุญาตสร้าง,ถ้าจะสร้างเพิ่มสร้างเสริมผลิตเพิ่มผลิตเสริมต้องขออนุญาตวัดอีก,คณะกรรมการวัดต้องรับรู้ทั่วทั้งวัด เพราะมันคือชื่อเสียงเกียรติยศของครูบาอาจารย์และชื่อเสียงวัดด้วย,มิอาจปล่อยเลอะเทอะได้,อย่าลืมว่า พระวัดนี้อาจมีใครบรรลุธรรม สามารถหยั่งเห็นถึงเหตุที่เกิดขึ้นในอนาคตได้แบบปัจจุบันนี้ คณะท่านจึงมีแผนการรับมือไว้แล้วด้วย,โดยตัวแปลที่เห็นปัจจุบันคือ ตระกูลผู้สร้างรับงานทางวัดมาตลอด ไม่มีบันทึก ไม่มีประวัติสร้างพระรุ่นนี้เลย,จึงเป็นข้อสังเกตุใหญ่ที่สามารถตีตกได้,ทางหุ้น หากมีอะไรผิดปกติ ถูกแขวนถูกหยุดถูกห้ามทำการซื้อขายก่อนทันที,ต้องถูกตรวจสอบก่อนนั้นเอง,นี้อะไรมุ่งพานิชย์อย่างเดียว,คนออกมาปกป้องเขาก็ไม่ผิดหรอก,คนซื้อมาแล้ว ซื้อมาเองด้วยเงินตนเองจะ100ล้านก็เงินตนเองไม่ผิดหรอก,แต่อย่าบิดประเด็นคือร่วมกันตรวจสอบเหรียญ สืบหาว่าความจริงของเหรียญนี้ มันมีค่าจริงแบบใด ค่าเท็จแบบใดร่วมกันสร้างมาตราฐานพระเครื่องไทย,เหรียญพระมันต้องดูองค์ประกอบทั้งหมดร่วมกัน,เพราะปัจจุบันมันปลอมเหรียญกันง่ายๆมากเพราะเทคโนโลยีมันล้ำสมัยมาก,
    ..เอาประเด็นแค่โรงปั้มไม่ได้ผลิต ก็งานงอกงานเข้าแล้ว,มันเสริม มันเพิ่มมาจากไหน.,ยิ่งถ้าหากทางวัดบอกผ่านบันทึกแก่วัดเจ้าของเรื่องว่า..ไม่เคยอนุญาตใป้โรงงานโรงผลิตใดๆมาสร้างพระรุ่นนี้อีก ยิ่งจบเลย,

    ..วงการพระคือวิถีฟอกเงินที่ง่ายที่สุด,ไม่ต่างจากบ่อนคาสิโนจังหวัดตราดหรือตลอดพรมแดนไทยเรา ที่สามารถทำอะไรก็ได้ รวมทั้งฟอกเงินมหาศาลนั้นๆ

    https://youtube.com/watch?v=dn4AfTXrI5I&si=sMZVFYrP0HAYKwWV
    555,ว่าแล้ว แปลกๆมากพวกนี้ มันเป็นขบวนการจริงๆ,ร่ำรวยผิดปกติด้วย โชว์บ้าน โชว์รถหรูสาระพัด อวดร่ำอวดรวย เหยียดคนอื่นด้วย,มีนายใหญ่คุ้มหัวแน่นอนจึงกล้าหาญ,นอมินีตัวโชว์ให้เป็นตัวเอกออกเดินหน้าโรง,เรียกเหยื่อ.,จิตใจคนเรามิอาจดูผิวเผินได้,สิ่งที่กายวาจาแสดงออกผ่านสื่ออาจอีกเรื่อง,ลับหลังก็อีกเรื่อง สตอรี่อีกไม่เอามารวมด้วยมากมายตรึม,คนเดอะแก๊งพวกนี้. ..โรงงานไม่ได้ผลิตรถ ไม่ได้ประกอบรถรุ่นนี้ ไม่มีบันทึกการสร้างรถรุ่นนี้ มันไปผลิตในโรงงานไหนว่ะ ,สิทธิบัตรใบอนุญาตการผลิตการสร้างโรงงานนี้ผูกขาดหลักอย่างเป็นทางการ,แม้มีผลิตจากโรงงานอื่นคือคู่แข่ง ก็ต้องบันทึก ปล.จดหมายเหตุไว้ของเหตุการณ์ที่เกิดรถรุ่นนี้ขึ้น,หรือบันทึกแสดงความเสียใจที่ตนไม่ได้งานการผลิตมาล่ะ ท้ายเล่มของรุ่นนี้ แล้วทางวัดต้องจัดงานปลุกเสกใหญ่โตให้เกียรติชื่อครูบาอาจารย์ที่จัดสร้างเหรียญ เพื่อศิริมงคลต่อเหรียญเองในรุ่นนั้นๆ,ทางวัดเองต้องให้อนุญาตโรงงานรถโรงงานผลิตเหรียญด้วยว่าสั่งสร้างเท่านั้นเท่านี้บันทึกส่งรถส่งเหรียญให้ใครจับจองด้วย,ตามรุ่นพิเศษอีก ราคาแพงที่ผลิตตอบสนองความต้องการพิเศษตามขั้นตอนกระบวนดารผลิตใครได้ก่อนหลังอีก.,ก่อนปี2508ยังมีบันทึกสาระพัดทั้งจากทางวัดเองและโรงปั้มรับมอบใบอนุญาตสร้าง,ถ้าจะสร้างเพิ่มสร้างเสริมผลิตเพิ่มผลิตเสริมต้องขออนุญาตวัดอีก,คณะกรรมการวัดต้องรับรู้ทั่วทั้งวัด เพราะมันคือชื่อเสียงเกียรติยศของครูบาอาจารย์และชื่อเสียงวัดด้วย,มิอาจปล่อยเลอะเทอะได้,อย่าลืมว่า พระวัดนี้อาจมีใครบรรลุธรรม สามารถหยั่งเห็นถึงเหตุที่เกิดขึ้นในอนาคตได้แบบปัจจุบันนี้ คณะท่านจึงมีแผนการรับมือไว้แล้วด้วย,โดยตัวแปลที่เห็นปัจจุบันคือ ตระกูลผู้สร้างรับงานทางวัดมาตลอด ไม่มีบันทึก ไม่มีประวัติสร้างพระรุ่นนี้เลย,จึงเป็นข้อสังเกตุใหญ่ที่สามารถตีตกได้,ทางหุ้น หากมีอะไรผิดปกติ ถูกแขวนถูกหยุดถูกห้ามทำการซื้อขายก่อนทันที,ต้องถูกตรวจสอบก่อนนั้นเอง,นี้อะไรมุ่งพานิชย์อย่างเดียว,คนออกมาปกป้องเขาก็ไม่ผิดหรอก,คนซื้อมาแล้ว ซื้อมาเองด้วยเงินตนเองจะ100ล้านก็เงินตนเองไม่ผิดหรอก,แต่อย่าบิดประเด็นคือร่วมกันตรวจสอบเหรียญ สืบหาว่าความจริงของเหรียญนี้ มันมีค่าจริงแบบใด ค่าเท็จแบบใดร่วมกันสร้างมาตราฐานพระเครื่องไทย,เหรียญพระมันต้องดูองค์ประกอบทั้งหมดร่วมกัน,เพราะปัจจุบันมันปลอมเหรียญกันง่ายๆมากเพราะเทคโนโลยีมันล้ำสมัยมาก, ..เอาประเด็นแค่โรงปั้มไม่ได้ผลิต ก็งานงอกงานเข้าแล้ว,มันเสริม มันเพิ่มมาจากไหน.,ยิ่งถ้าหากทางวัดบอกผ่านบันทึกแก่วัดเจ้าของเรื่องว่า..ไม่เคยอนุญาตใป้โรงงานโรงผลิตใดๆมาสร้างพระรุ่นนี้อีก ยิ่งจบเลย, ..วงการพระคือวิถีฟอกเงินที่ง่ายที่สุด,ไม่ต่างจากบ่อนคาสิโนจังหวัดตราดหรือตลอดพรมแดนไทยเรา ที่สามารถทำอะไรก็ได้ รวมทั้งฟอกเงินมหาศาลนั้นๆ https://youtube.com/watch?v=dn4AfTXrI5I&si=sMZVFYrP0HAYKwWV
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sam Altman ชี้ชัด: TSMC คือคำตอบของโลก AI — ยังไม่ถึงเวลาพึ่ง Intel ในการผลิตชิป”

    ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดกับ Stratechery เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกพันธมิตรในการผลิตชิปสำหรับยุค AI โดยระบุว่า “อยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิตมากขึ้น” แทนที่จะหันไปพึ่ง Intel Foundry ในตอนนี้ แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่ก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเสถียรและความต่อเนื่องของ TSMC

    Altman ยอมรับว่า OpenAI ไม่ได้มีโรงงานผลิตชิปเอง แต่กำลังพัฒนาชิป AI เฉพาะทางที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยเขาเน้นว่า “การขยายกำลังผลิตของ TSMC” คือสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม AI

    แม้ Intel จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และลงทุนกว่า $90 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 18A node แต่ Altman และผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang (NVIDIA) และ Lisa Su (AMD) ยังไม่แสดงความมั่นใจเต็มที่ใน Intel Foundry สำหรับงานเร่งด่วนในตอนนี้

    อย่างไรก็ตาม Altman ไม่ปิดโอกาสในอนาคต โดยระบุว่า “โอกาสยังมีอยู่เสมอ” และการมีผู้ผลิตชิปหลายรายจะช่วยลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะเมื่อ TSMC ต้องใช้เวลาและโลจิสติกส์จำนวนมากในการขยายกำลังผลิตจากไต้หวันไปยังสหรัฐฯ

    ในขณะเดียวกัน Altman ยังมีการเดินทางลับไปยังไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn เกี่ยวกับการออกแบบชิปและโครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์ AI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในการสร้าง “โรงงาน AI” ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Sam Altman ระบุว่าอยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิต มากกว่าพึ่ง Intel ในตอนนี้
    OpenAI กำลังพัฒนาชิป AI ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC
    Intel ลงทุนกว่า $90 พันล้านใน 4 ปีเพื่อพัฒนา 18A node
    Altman ไม่ปฏิเสธ Intel แต่ยังไม่เห็นว่าเหมาะกับงานเร่งด่วน
    ผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang และ Lisa Su ก็ยังไม่มั่นใจใน Intel Foundry
    Altman เดินทางไปไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn
    โครงการ Stargate ของ OpenAI ต้องการชิปจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงาน AI
    Foxconn จะผลิตฮาร์ดแวร์ให้ Softbank ที่ลงทุนใน OpenAI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยมีลูกค้าหลักคือ Apple, NVIDIA, AMD
    Intel 18A node เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังอยู่ในช่วงทดสอบด้านประสิทธิภาพและปริมาณ
    การผลิตชิปในสหรัฐฯ ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและแรงงานเมื่อเทียบกับไต้หวัน
    Foxconn เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Oracle ซึ่งมีดีล $300 พันล้านกับ OpenAI
    Softbank ลงทุนใน OpenAI และมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลร่วมกับ Foxconn ในสหรัฐฯ

    https://wccftech.com/openai-ceo-says-he-would-prefer-tsmc-to-build-up-chip-production-rather-than-collaborating-with-intel/
    🔧 “Sam Altman ชี้ชัด: TSMC คือคำตอบของโลก AI — ยังไม่ถึงเวลาพึ่ง Intel ในการผลิตชิป” ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดกับ Stratechery เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกพันธมิตรในการผลิตชิปสำหรับยุค AI โดยระบุว่า “อยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิตมากขึ้น” แทนที่จะหันไปพึ่ง Intel Foundry ในตอนนี้ แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่ก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความเสถียรและความต่อเนื่องของ TSMC Altman ยอมรับว่า OpenAI ไม่ได้มีโรงงานผลิตชิปเอง แต่กำลังพัฒนาชิป AI เฉพาะทางที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยเขาเน้นว่า “การขยายกำลังผลิตของ TSMC” คือสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม AI แม้ Intel จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และลงทุนกว่า $90 พันล้านดอลลาร์ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 18A node แต่ Altman และผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang (NVIDIA) และ Lisa Su (AMD) ยังไม่แสดงความมั่นใจเต็มที่ใน Intel Foundry สำหรับงานเร่งด่วนในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม Altman ไม่ปิดโอกาสในอนาคต โดยระบุว่า “โอกาสยังมีอยู่เสมอ” และการมีผู้ผลิตชิปหลายรายจะช่วยลดความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะเมื่อ TSMC ต้องใช้เวลาและโลจิสติกส์จำนวนมากในการขยายกำลังผลิตจากไต้หวันไปยังสหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน Altman ยังมีการเดินทางลับไปยังไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn เกี่ยวกับการออกแบบชิปและโครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์ AI ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Stargate ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ในการสร้าง “โรงงาน AI” ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Sam Altman ระบุว่าอยากให้ TSMC ขยายกำลังการผลิต มากกว่าพึ่ง Intel ในตอนนี้ ➡️ OpenAI กำลังพัฒนาชิป AI ที่ใช้เทคโนโลยี 3nm ของ TSMC ➡️ Intel ลงทุนกว่า $90 พันล้านใน 4 ปีเพื่อพัฒนา 18A node ➡️ Altman ไม่ปฏิเสธ Intel แต่ยังไม่เห็นว่าเหมาะกับงานเร่งด่วน ➡️ ผู้บริหารรายอื่น เช่น Jensen Huang และ Lisa Su ก็ยังไม่มั่นใจใน Intel Foundry ➡️ Altman เดินทางไปไต้หวันเพื่อหารือกับ TSMC และ Foxconn ➡️ โครงการ Stargate ของ OpenAI ต้องการชิปจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงาน AI ➡️ Foxconn จะผลิตฮาร์ดแวร์ให้ Softbank ที่ลงทุนใน OpenAI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดในโลก โดยมีลูกค้าหลักคือ Apple, NVIDIA, AMD ➡️ Intel 18A node เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังอยู่ในช่วงทดสอบด้านประสิทธิภาพและปริมาณ ➡️ การผลิตชิปในสหรัฐฯ ยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและแรงงานเมื่อเทียบกับไต้หวัน ➡️ Foxconn เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของ Oracle ซึ่งมีดีล $300 พันล้านกับ OpenAI ➡️ Softbank ลงทุนใน OpenAI และมีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลร่วมกับ Foxconn ในสหรัฐฯ https://wccftech.com/openai-ceo-says-he-would-prefer-tsmc-to-build-up-chip-production-rather-than-collaborating-with-intel/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI CEO Sam Altman Says Tech Giants Should Rely on TSMC to Expand Chip Capacity, Rather Than Turning to Intel For Now
    OpenAI's CEO has given his verdict on whether the tech giants should look towards an alternative to TSMC, such as Intel Foundry.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AOC เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ U32G4U และ Q27G4SRU — จอเร็ว 320Hz ในราคาประหยัด พร้อมโหมดคู่ UHD/FHD สำหรับทุกสไตล์เกมเมอร์”

    AOC ผู้ผลิตจอภาพชื่อดังในกลุ่มเกมเมอร์ เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ในซีรีส์ AGON ได้แก่ U32G4U และ Q27G4SRU โดยเน้นความเร็ว ความคมชัด และความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ที่ตอบสนองเร็วระดับ 1ms GtG และรองรับเทคโนโลยี Adaptive Sync รวมถึง G-SYNC Compatible เพื่อภาพลื่นไหลไร้การฉีกขาด

    Q27G4SRU มาพร้อมหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) และรีเฟรชเรตสูงถึง 320Hz เหมาะสำหรับเกมเมอร์สายแข่งขันที่ต้องการความเร็วและความคมชัดในขนาดที่พอดี โดยมีความสว่างสูงสุด 450 nits, รองรับ DisplayHDR 400 และครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3

    U32G4U คือรุ่นที่โดดเด่นด้วย “Dual Mode” ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่าง UHD (3840x2160) ที่ 160Hz สำหรับภาพสวยคมในเกมเนื้อเรื่อง หรือ FHD (1920x1080) ที่ 320Hz สำหรับเกมที่ต้องการความเร็วสูง โดยหน้าจอขนาด 31.5 นิ้วให้พื้นที่การมองเห็นกว้างขึ้น เหมาะกับเกมแข่งรถ เกมยิง และงานสร้างคอนเทนต์

    ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต HDMI 2.1 สองช่อง, DisplayPort 1.4 หนึ่งช่อง และ USB Hub 4 พอร์ต พร้อมลำโพงในตัว 2x2W และขาตั้งปรับระดับได้ รองรับการใช้งานทั้งกับ PC และคอนโซลยุคใหม่

    ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ £249 สำหรับ Q27G4SRU และ £339 สำหรับ U32G4U โดยจะวางขายกลางเดือนตุลาคม 2025 พร้อมรับประกัน 3 ปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AOC เปิดตัวจอเกมรุ่น Q27G4SRU และ U32G4U ในซีรีส์ AGON
    ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ตอบสนองเร็ว 1ms GtG
    Q27G4SRU: ขนาด 27 นิ้ว, QHD 2560x1440, รีเฟรชเรต 320Hz
    U32G4U: ขนาด 31.5 นิ้ว, Dual Mode UHD@160Hz / FHD@320Hz
    รองรับ DisplayHDR 400, ความสว่างสูงสุด 450 nits
    ครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3
    มีพอร์ต HDMI 2.1 x2, DP 1.4 x1, USB Hub x4, ลำโพง 2x2W
    รองรับ G-SYNC Compatible และ Adaptive Sync
    ราคาจำหน่าย: Q27G4SRU £249 / U32G4U £339 พร้อมรับประกัน 3 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จอ 320Hz ให้ความลื่นไหลเหนือกว่า 240Hz อย่างชัดเจนในเกม FPS
    Dual Mode ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดตามประเภทเกมหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน
    Fast IPS ให้สีสวยและมุมมองกว้างกว่า TN หรือ VA
    DisplayHDR 400 เหมาะกับการเล่นเกมและดูคอนเทนต์ทั่วไป
    USB Hub ช่วยลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม

    https://wccftech.com/aoc-launches-dual-mode-u32g4u-and-qhd-q27g4sru-gaming-monitors-in-the-budget-segment/
    🖥️ “AOC เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ U32G4U และ Q27G4SRU — จอเร็ว 320Hz ในราคาประหยัด พร้อมโหมดคู่ UHD/FHD สำหรับทุกสไตล์เกมเมอร์” AOC ผู้ผลิตจอภาพชื่อดังในกลุ่มเกมเมอร์ เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ในซีรีส์ AGON ได้แก่ U32G4U และ Q27G4SRU โดยเน้นความเร็ว ความคมชัด และความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ที่ตอบสนองเร็วระดับ 1ms GtG และรองรับเทคโนโลยี Adaptive Sync รวมถึง G-SYNC Compatible เพื่อภาพลื่นไหลไร้การฉีกขาด Q27G4SRU มาพร้อมหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) และรีเฟรชเรตสูงถึง 320Hz เหมาะสำหรับเกมเมอร์สายแข่งขันที่ต้องการความเร็วและความคมชัดในขนาดที่พอดี โดยมีความสว่างสูงสุด 450 nits, รองรับ DisplayHDR 400 และครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3 U32G4U คือรุ่นที่โดดเด่นด้วย “Dual Mode” ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่าง UHD (3840x2160) ที่ 160Hz สำหรับภาพสวยคมในเกมเนื้อเรื่อง หรือ FHD (1920x1080) ที่ 320Hz สำหรับเกมที่ต้องการความเร็วสูง โดยหน้าจอขนาด 31.5 นิ้วให้พื้นที่การมองเห็นกว้างขึ้น เหมาะกับเกมแข่งรถ เกมยิง และงานสร้างคอนเทนต์ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต HDMI 2.1 สองช่อง, DisplayPort 1.4 หนึ่งช่อง และ USB Hub 4 พอร์ต พร้อมลำโพงในตัว 2x2W และขาตั้งปรับระดับได้ รองรับการใช้งานทั้งกับ PC และคอนโซลยุคใหม่ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ £249 สำหรับ Q27G4SRU และ £339 สำหรับ U32G4U โดยจะวางขายกลางเดือนตุลาคม 2025 พร้อมรับประกัน 3 ปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AOC เปิดตัวจอเกมรุ่น Q27G4SRU และ U32G4U ในซีรีส์ AGON ➡️ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ตอบสนองเร็ว 1ms GtG ➡️ Q27G4SRU: ขนาด 27 นิ้ว, QHD 2560x1440, รีเฟรชเรต 320Hz ➡️ U32G4U: ขนาด 31.5 นิ้ว, Dual Mode UHD@160Hz / FHD@320Hz ➡️ รองรับ DisplayHDR 400, ความสว่างสูงสุด 450 nits ➡️ ครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3 ➡️ มีพอร์ต HDMI 2.1 x2, DP 1.4 x1, USB Hub x4, ลำโพง 2x2W ➡️ รองรับ G-SYNC Compatible และ Adaptive Sync ➡️ ราคาจำหน่าย: Q27G4SRU £249 / U32G4U £339 พร้อมรับประกัน 3 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จอ 320Hz ให้ความลื่นไหลเหนือกว่า 240Hz อย่างชัดเจนในเกม FPS ➡️ Dual Mode ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดตามประเภทเกมหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน ➡️ Fast IPS ให้สีสวยและมุมมองกว้างกว่า TN หรือ VA ➡️ DisplayHDR 400 เหมาะกับการเล่นเกมและดูคอนเทนต์ทั่วไป ➡️ USB Hub ช่วยลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม https://wccftech.com/aoc-launches-dual-mode-u32g4u-and-qhd-q27g4sru-gaming-monitors-in-the-budget-segment/
    WCCFTECH.COM
    AOC Launches Dual Mode U32G4U And QHD Q27G4SRU Gaming Monitors In The Budget Segment
    AOC has launched two new budget gaming monitors, featuring a QHD model called Q27G4SRU and a dual mode model called U32G4U.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NTT สร้างชิปแสงอัจฉริยะตัวแรกของโลก — เปลี่ยนคลื่นแสงให้กลายเป็นเครื่องมือคำนวณที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที”

    NTT Research ร่วมกับมหาวิทยาลัย Cornell และ Stanford ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการออปติกและควอนตัมคอมพิวติ้งไปตลอดกาล — ชิปแสงแบบ nonlinear photonics ที่สามารถ “โปรแกรม” ฟังก์ชันได้แบบเรียลไทม์บนชิปเดียว โดยไม่ต้องผลิตอุปกรณ์ใหม่สำหรับแต่ละฟังก์ชันอีกต่อไป

    เทคโนโลยีนี้ใช้แกนกลางเป็นวัสดุ silicon nitride ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้น (nonlinearity) ได้ด้วยการฉายแสงแบบมีโครงสร้าง (structured light) ลงบนชิป ซึ่งจะสร้างรูปแบบการตอบสนองของแสงที่แตกต่างกันไปตามลวดลายของแสงที่ฉาย ทำให้ชิปเดียวสามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น สร้างคลื่นแสงแบบกำหนดเอง, สร้างฮาร์มอนิกที่ปรับได้, สร้างแสง holographic และออกแบบฟังก์ชันแบบย้อนกลับ (inverse design) ได้ทันที

    งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 และจะตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto จาก NTT Research เป็นผู้นำทีมภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon จาก Cornell

    ผลลัพธ์ของงานนี้คือการ “ทำลายกรอบเดิม” ที่อุปกรณ์แสงหนึ่งตัวทำได้เพียงหนึ่งฟังก์ชัน ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่ของวงการ photonics โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น การสื่อสารด้วยแสง, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, การสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ปรับได้ และการวิเคราะห์คลื่นแสงในงานวิทยาศาสตร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NTT Research ร่วมกับ Cornell และ Stanford พัฒนาชิป nonlinear photonics ที่โปรแกรมได้
    ใช้ structured light เพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้นของวัสดุ silicon nitride
    ชิปสามารถทำงานได้หลายฟังก์ชัน เช่น pulse shaping, second-harmonic generation, holography
    งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025
    นำโดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon
    ชิปสามารถปรับฟังก์ชันแบบเรียลไทม์และทนต่อข้อผิดพลาดจากการผลิต
    เปลี่ยนแนวคิด “one device, one function” เป็น “one chip, many functions”
    มีศักยภาพในการใช้งานใน quantum computing, optical communication, sensing และ imaging

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตลาด photonic-integrated circuits คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $50 พันล้านภายในปี 2035
    structured light ถูกใช้ในงาน imaging, holography และการควบคุมแสงในระดับนาโน
    inverse design คือการออกแบบฟังก์ชันโดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วหาวิธีสร้าง
    quantum frequency conversion เป็นเทคนิคสำคัญในการเชื่อมโยงระบบควอนตัมต่างชนิด
    photonics เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดพลังงานและเพิ่มความเร็วของการประมวลผล

    https://www.techpowerup.com/341717/ntt-research-collaboration-breaks-the-one-device-one-function-paradigm-with-worlds-first-programmable-nonlinear-photonics-chip
    💡 “NTT สร้างชิปแสงอัจฉริยะตัวแรกของโลก — เปลี่ยนคลื่นแสงให้กลายเป็นเครื่องมือคำนวณที่ปรับเปลี่ยนได้ทันที” NTT Research ร่วมกับมหาวิทยาลัย Cornell และ Stanford ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการออปติกและควอนตัมคอมพิวติ้งไปตลอดกาล — ชิปแสงแบบ nonlinear photonics ที่สามารถ “โปรแกรม” ฟังก์ชันได้แบบเรียลไทม์บนชิปเดียว โดยไม่ต้องผลิตอุปกรณ์ใหม่สำหรับแต่ละฟังก์ชันอีกต่อไป เทคโนโลยีนี้ใช้แกนกลางเป็นวัสดุ silicon nitride ที่สามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้น (nonlinearity) ได้ด้วยการฉายแสงแบบมีโครงสร้าง (structured light) ลงบนชิป ซึ่งจะสร้างรูปแบบการตอบสนองของแสงที่แตกต่างกันไปตามลวดลายของแสงที่ฉาย ทำให้ชิปเดียวสามารถทำงานได้หลากหลาย เช่น สร้างคลื่นแสงแบบกำหนดเอง, สร้างฮาร์มอนิกที่ปรับได้, สร้างแสง holographic และออกแบบฟังก์ชันแบบย้อนกลับ (inverse design) ได้ทันที งานวิจัยนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 และจะตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ในเดือนพฤศจิกายน โดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto จาก NTT Research เป็นผู้นำทีมภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon จาก Cornell ผลลัพธ์ของงานนี้คือการ “ทำลายกรอบเดิม” ที่อุปกรณ์แสงหนึ่งตัวทำได้เพียงหนึ่งฟังก์ชัน ซึ่งเคยเป็นข้อจำกัดใหญ่ของวงการ photonics โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง เช่น การสื่อสารด้วยแสง, คอมพิวเตอร์ควอนตัม, การสร้างแหล่งกำเนิดแสงที่ปรับได้ และการวิเคราะห์คลื่นแสงในงานวิทยาศาสตร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NTT Research ร่วมกับ Cornell และ Stanford พัฒนาชิป nonlinear photonics ที่โปรแกรมได้ ➡️ ใช้ structured light เพื่อปรับเปลี่ยนคุณสมบัติไม่เชิงเส้นของวัสดุ silicon nitride ➡️ ชิปสามารถทำงานได้หลายฟังก์ชัน เช่น pulse shaping, second-harmonic generation, holography ➡️ งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ➡️ นำโดยนักวิจัย Ryotatsu Yanagimoto ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ Peter McMahon ➡️ ชิปสามารถปรับฟังก์ชันแบบเรียลไทม์และทนต่อข้อผิดพลาดจากการผลิต ➡️ เปลี่ยนแนวคิด “one device, one function” เป็น “one chip, many functions” ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานใน quantum computing, optical communication, sensing และ imaging ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตลาด photonic-integrated circuits คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $50 พันล้านภายในปี 2035 ➡️ structured light ถูกใช้ในงาน imaging, holography และการควบคุมแสงในระดับนาโน ➡️ inverse design คือการออกแบบฟังก์ชันโดยเริ่มจากผลลัพธ์ที่ต้องการ แล้วหาวิธีสร้าง ➡️ quantum frequency conversion เป็นเทคนิคสำคัญในการเชื่อมโยงระบบควอนตัมต่างชนิด ➡️ photonics เป็นเทคโนโลยีหลักในการลดพลังงานและเพิ่มความเร็วของการประมวลผล https://www.techpowerup.com/341717/ntt-research-collaboration-breaks-the-one-device-one-function-paradigm-with-worlds-first-programmable-nonlinear-photonics-chip
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NTT Research Collaboration Breaks the "One Device, One Function" Paradigm with World's First Programmable Nonlinear Photonics Chip
    NTT Research, Inc., a division of NTT, announced that its Physics and Informatics (PHI) Lab, working with Cornell University and Stanford University, has developed the world's first programmable nonlinear photonic waveguide that can switch between multiple nonlinear-optical functions on a single chi...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Miggo Security คว้าตำแหน่ง Gartner Cool Vendor — พลิกเกมป้องกันภัยไซเบอร์ในยุค AI ด้วยการตรวจจับแบบเรียลไทม์”

    ในวันที่ AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือสร้างสรรค์และช่องทางโจมตีใหม่สำหรับภัยไซเบอร์ บริษัท Miggo Security จาก Tel Aviv ได้รับการยกย่องจาก Gartner ให้เป็นหนึ่งใน “Cool Vendor” ด้าน AI Security ประจำปี 2025 จากความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามในแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ ผ่านแพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR)

    Miggo มุ่งเน้นการแก้ปัญหา “ช่องว่างระหว่างการตรวจจับและการตอบสนอง” ซึ่งเป็นจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิม โดยใช้เทคโนโลยี DeepTracing ที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น zero-day และรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้นเฉพาะในแอปพลิเคชันที่มี AI ฝังอยู่

    แพลตฟอร์มของ Miggo ยังมีฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ที่ช่วยลด backlog ของช่องโหว่ได้ถึง 99% โดยใช้ AI วิเคราะห์บริบทของแอปพลิเคชันและจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ที่ควรแก้ก่อน

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ WAF Copilot ที่สามารถสร้างกฎป้องกันเว็บแอปพลิเคชันแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที และระบบ Agentless Integration ที่สามารถติดตั้งร่วมกับ Kubernetes และระบบ CI/CD ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเดิม

    Gartner เตือนว่า “ภายในปี 2029 กว่า 50% ของการโจมตีไซเบอร์ที่สำเร็จต่อ AI agents จะเกิดจากการเจาะระบบควบคุมสิทธิ์ เช่น prompt injection” ซึ่งทำให้การป้องกันแบบ runtime และการวิเคราะห์พฤติกรรมของแอปพลิเคชันกลายเป็นสิ่งจำเป็น

    CEO ของ Miggo, Daniel Shechter กล่าวว่า “การได้รับการยอมรับจาก Gartner คือการยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI” โดยเน้นว่าองค์กรต้องสามารถ “รู้ พิสูจน์ และป้องกัน” ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันได้ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Miggo Security ได้รับการยกย่องเป็น Gartner Cool Vendor ด้าน AI Security ปี 2025
    ใช้แพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR) สำหรับการตรวจจับแบบ runtime
    เทคโนโลยี DeepTracing ตรวจจับ AI-native threats และ zero-day ได้แบบเรียลไทม์
    ฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ลด backlog ช่องโหว่ได้ 99%
    WAF Copilot สร้างกฎป้องกันเว็บแอปแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที
    Agentless Integration รองรับ Kubernetes และระบบ CI/CD โดยไม่ต้องติดตั้ง agent
    Gartner เตือนภัย prompt injection จะเป็นช่องโหว่หลักของ AI agents ภายในปี 2029
    CEO Daniel Shechter ยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Prompt injection คือการแทรกคำสั่งใน input เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ AI
    Zero-day คือช่องโหว่ที่ยังไม่มีแพตช์แก้ไข และมักถูกใช้ในการโจมตีขั้นสูง
    Runtime security คือการตรวจสอบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันขณะทำงานจริง
    Gartner Cool Vendor เป็นการยกย่องบริษัทที่มีนวัตกรรมโดดเด่นในอุตสาหกรรม
    การใช้ AI ในระบบรักษาความปลอดภัยช่วยลดเวลาในการตอบสนองและเพิ่มความแม่นยำ

    https://hackread.com/miggo-security-named-a-gartner-cool-vendor-in-ai-security/
    🛡️ “Miggo Security คว้าตำแหน่ง Gartner Cool Vendor — พลิกเกมป้องกันภัยไซเบอร์ในยุค AI ด้วยการตรวจจับแบบเรียลไทม์” ในวันที่ AI กลายเป็นทั้งเครื่องมือสร้างสรรค์และช่องทางโจมตีใหม่สำหรับภัยไซเบอร์ บริษัท Miggo Security จาก Tel Aviv ได้รับการยกย่องจาก Gartner ให้เป็นหนึ่งใน “Cool Vendor” ด้าน AI Security ประจำปี 2025 จากความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามในแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ ผ่านแพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR) Miggo มุ่งเน้นการแก้ปัญหา “ช่องว่างระหว่างการตรวจจับและการตอบสนอง” ซึ่งเป็นจุดอ่อนของระบบรักษาความปลอดภัยแบบเดิม โดยใช้เทคโนโลยี DeepTracing ที่สามารถตรวจจับภัยคุกคามใหม่ ๆ เช่น zero-day และรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้นเฉพาะในแอปพลิเคชันที่มี AI ฝังอยู่ แพลตฟอร์มของ Miggo ยังมีฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ที่ช่วยลด backlog ของช่องโหว่ได้ถึง 99% โดยใช้ AI วิเคราะห์บริบทของแอปพลิเคชันและจัดลำดับความสำคัญของช่องโหว่ที่ควรแก้ก่อน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ WAF Copilot ที่สามารถสร้างกฎป้องกันเว็บแอปพลิเคชันแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที และระบบ Agentless Integration ที่สามารถติดตั้งร่วมกับ Kubernetes และระบบ CI/CD ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างเดิม Gartner เตือนว่า “ภายในปี 2029 กว่า 50% ของการโจมตีไซเบอร์ที่สำเร็จต่อ AI agents จะเกิดจากการเจาะระบบควบคุมสิทธิ์ เช่น prompt injection” ซึ่งทำให้การป้องกันแบบ runtime และการวิเคราะห์พฤติกรรมของแอปพลิเคชันกลายเป็นสิ่งจำเป็น CEO ของ Miggo, Daniel Shechter กล่าวว่า “การได้รับการยอมรับจาก Gartner คือการยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI” โดยเน้นว่าองค์กรต้องสามารถ “รู้ พิสูจน์ และป้องกัน” ภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในแอปพลิเคชันได้ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Miggo Security ได้รับการยกย่องเป็น Gartner Cool Vendor ด้าน AI Security ปี 2025 ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Application Detection & Response (ADR) สำหรับการตรวจจับแบบ runtime ➡️ เทคโนโลยี DeepTracing ตรวจจับ AI-native threats และ zero-day ได้แบบเรียลไทม์ ➡️ ฐานข้อมูล AppDNA และ Predictive Vulnerability Database ลด backlog ช่องโหว่ได้ 99% ➡️ WAF Copilot สร้างกฎป้องกันเว็บแอปแบบ custom ได้ภายในไม่กี่นาที ➡️ Agentless Integration รองรับ Kubernetes และระบบ CI/CD โดยไม่ต้องติดตั้ง agent ➡️ Gartner เตือนภัย prompt injection จะเป็นช่องโหว่หลักของ AI agents ภายในปี 2029 ➡️ CEO Daniel Shechter ยืนยันว่า ADR คืออนาคตของการรักษาความปลอดภัยในยุค AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Prompt injection คือการแทรกคำสั่งใน input เพื่อควบคุมพฤติกรรมของ AI ➡️ Zero-day คือช่องโหว่ที่ยังไม่มีแพตช์แก้ไข และมักถูกใช้ในการโจมตีขั้นสูง ➡️ Runtime security คือการตรวจสอบพฤติกรรมของแอปพลิเคชันขณะทำงานจริง ➡️ Gartner Cool Vendor เป็นการยกย่องบริษัทที่มีนวัตกรรมโดดเด่นในอุตสาหกรรม ➡️ การใช้ AI ในระบบรักษาความปลอดภัยช่วยลดเวลาในการตอบสนองและเพิ่มความแม่นยำ https://hackread.com/miggo-security-named-a-gartner-cool-vendor-in-ai-security/
    HACKREAD.COM
    Miggo Security Named a Gartner® Cool Vendor in AI Security
    Tel Aviv, Israel, 8th October 2025, CyberNewsWire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • “โนเบลฟิสิกส์ 2025 ยกย่องการทดลองที่ทำให้โลกควอนตัม ‘จับต้องได้’ — เมื่ออิเล็กตรอนนับพันล้านเต้นรำเป็นหนึ่งเดียว”

    รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2025 ตกเป็นของสามนักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม ได้แก่ John Clarke, Michel H. Devoret และ John M. Martinis จากการค้นพบปรากฏการณ์ “การอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค” และ “การควอนตัมของพลังงาน” ในวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์

    โดยทั่วไป กลศาสตร์ควอนตัมเป็นศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็ก เช่น อิเล็กตรอนหรือโปรตอน ซึ่งสามารถแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น การอุโมงค์ผ่านกำแพงพลังงาน หรือการดูดกลืนและปล่อยพลังงานในปริมาณที่แน่นอน แต่สิ่งเหล่านี้มักเกิดในระดับ “จุลภาค” ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้

    แต่ในปี 1984–1985 ทีมวิจัยจาก UC Berkeley ได้สร้างวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร โดยใช้ Josephson junction ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างซูเปอร์คอนดักเตอร์สองตัวผ่านฉนวนบาง ๆ ผลลัพธ์คือ พวกเขาสามารถควบคุมและสังเกตพฤติกรรมของ “Cooper pairs” — กลุ่มอิเล็กตรอนที่จับคู่กันและเคลื่อนที่อย่างเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีความต้านทาน

    ในสภาวะเริ่มต้น วงจรไม่มีแรงดันไฟฟ้าใด ๆ ราวกับว่าระบบถูกขังอยู่หลังกำแพงพลังงาน แต่แล้วเกิดการ “อุโมงค์ควอนตัม” — ระบบสามารถหลุดออกจากสถานะนั้นและสร้างแรงดันไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานจากภายนอก

    นอกจากนี้ พวกเขายังพิสูจน์ว่า ระบบนี้สามารถดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน และเปลี่ยนสถานะพลังงานได้ตามทฤษฎีควอนตัม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ระบบจะประกอบด้วยอนุภาคนับพันล้าน แต่ก็ยังแสดงพฤติกรรมควอนตัมได้เหมือนอนุภาคเดี่ยว

    การทดลองนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันทฤษฎีควอนตัมในระดับมหภาค แต่ยังเป็นรากฐานของเทคโนโลยีควอนตัมยุคใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม เซนเซอร์ควอนตัม และการเข้ารหัสควอนตัม โดยเฉพาะการใช้สถานะพลังงานต่ำและสูงเป็นบิตควอนตัม (qubit) ซึ่ง Martinis ได้นำไปใช้ในงานวิจัยต่อมา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รางวัลโนเบลฟิสิกส์ 2025 มอบให้ John Clarke, Michel Devoret และ John Martinis
    จากการค้นพบการอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค และการควอนตัมของพลังงาน
    ใช้วงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ที่มี Josephson junction เป็นแกนหลัก
    สังเกตพฤติกรรมของ Cooper pairs ที่เคลื่อนที่เป็นหนึ่งเดียว
    ระบบเริ่มต้นในสถานะไม่มีแรงดันไฟฟ้า แล้วเกิดการอุโมงค์ควอนตัมสร้างแรงดัน
    พิสูจน์ว่าระบบดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน
    การทดลองเกิดขึ้นที่ UC Berkeley ในช่วงปี 1984–1985
    ผลลัพธ์นำไปสู่การพัฒนา qubit สำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม
    รางวัลนี้มีมูลค่า 11 ล้านโครนาสวีเดน แบ่งเท่า ๆ กันระหว่างผู้ได้รับรางวัล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cooper pairs คืออิเล็กตรอนที่จับคู่กันในซูเปอร์คอนดักเตอร์ ทำให้ไม่มีความต้านทาน
    Josephson junction ถูกตั้งชื่อตาม Brian Josephson ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1973
    ทฤษฎีเบื้องหลังได้รับแรงบันดาลใจจาก Anthony Leggett ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2003
    การอุโมงค์ควอนตัมเคยถูกใช้เพื่ออธิบายการสลายตัวของนิวเคลียสในฟิสิกส์นิวเคลียร์
    คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้สถานะพลังงานของระบบควอนตัมเป็นหน่วยข้อมูล

    https://www.nobelprize.org/prizes/physics/2025/popular-information/
    🔬 “โนเบลฟิสิกส์ 2025 ยกย่องการทดลองที่ทำให้โลกควอนตัม ‘จับต้องได้’ — เมื่ออิเล็กตรอนนับพันล้านเต้นรำเป็นหนึ่งเดียว” รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ประจำปี 2025 ตกเป็นของสามนักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของเราเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม ได้แก่ John Clarke, Michel H. Devoret และ John M. Martinis จากการค้นพบปรากฏการณ์ “การอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค” และ “การควอนตัมของพลังงาน” ในวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ โดยทั่วไป กลศาสตร์ควอนตัมเป็นศาสตร์ที่อธิบายพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็ก เช่น อิเล็กตรอนหรือโปรตอน ซึ่งสามารถแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด เช่น การอุโมงค์ผ่านกำแพงพลังงาน หรือการดูดกลืนและปล่อยพลังงานในปริมาณที่แน่นอน แต่สิ่งเหล่านี้มักเกิดในระดับ “จุลภาค” ที่ไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ แต่ในปี 1984–1985 ทีมวิจัยจาก UC Berkeley ได้สร้างวงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร โดยใช้ Josephson junction ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างซูเปอร์คอนดักเตอร์สองตัวผ่านฉนวนบาง ๆ ผลลัพธ์คือ พวกเขาสามารถควบคุมและสังเกตพฤติกรรมของ “Cooper pairs” — กลุ่มอิเล็กตรอนที่จับคู่กันและเคลื่อนที่อย่างเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีความต้านทาน ในสภาวะเริ่มต้น วงจรไม่มีแรงดันไฟฟ้าใด ๆ ราวกับว่าระบบถูกขังอยู่หลังกำแพงพลังงาน แต่แล้วเกิดการ “อุโมงค์ควอนตัม” — ระบบสามารถหลุดออกจากสถานะนั้นและสร้างแรงดันไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องเพิ่มพลังงานจากภายนอก นอกจากนี้ พวกเขายังพิสูจน์ว่า ระบบนี้สามารถดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน และเปลี่ยนสถานะพลังงานได้ตามทฤษฎีควอนตัม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ระบบจะประกอบด้วยอนุภาคนับพันล้าน แต่ก็ยังแสดงพฤติกรรมควอนตัมได้เหมือนอนุภาคเดี่ยว การทดลองนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันทฤษฎีควอนตัมในระดับมหภาค แต่ยังเป็นรากฐานของเทคโนโลยีควอนตัมยุคใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ควอนตัม เซนเซอร์ควอนตัม และการเข้ารหัสควอนตัม โดยเฉพาะการใช้สถานะพลังงานต่ำและสูงเป็นบิตควอนตัม (qubit) ซึ่ง Martinis ได้นำไปใช้ในงานวิจัยต่อมา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รางวัลโนเบลฟิสิกส์ 2025 มอบให้ John Clarke, Michel Devoret และ John Martinis ➡️ จากการค้นพบการอุโมงค์ควอนตัมในระดับมหภาค และการควอนตัมของพลังงาน ➡️ ใช้วงจรไฟฟ้าซูเปอร์คอนดักเตอร์ที่มี Josephson junction เป็นแกนหลัก ➡️ สังเกตพฤติกรรมของ Cooper pairs ที่เคลื่อนที่เป็นหนึ่งเดียว ➡️ ระบบเริ่มต้นในสถานะไม่มีแรงดันไฟฟ้า แล้วเกิดการอุโมงค์ควอนตัมสร้างแรงดัน ➡️ พิสูจน์ว่าระบบดูดกลืนพลังงานจากคลื่นไมโครเวฟในปริมาณที่แน่นอน ➡️ การทดลองเกิดขึ้นที่ UC Berkeley ในช่วงปี 1984–1985 ➡️ ผลลัพธ์นำไปสู่การพัฒนา qubit สำหรับคอมพิวเตอร์ควอนตัม ➡️ รางวัลนี้มีมูลค่า 11 ล้านโครนาสวีเดน แบ่งเท่า ๆ กันระหว่างผู้ได้รับรางวัล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cooper pairs คืออิเล็กตรอนที่จับคู่กันในซูเปอร์คอนดักเตอร์ ทำให้ไม่มีความต้านทาน ➡️ Josephson junction ถูกตั้งชื่อตาม Brian Josephson ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 1973 ➡️ ทฤษฎีเบื้องหลังได้รับแรงบันดาลใจจาก Anthony Leggett ผู้ได้รับรางวัลโนเบลในปี 2003 ➡️ การอุโมงค์ควอนตัมเคยถูกใช้เพื่ออธิบายการสลายตัวของนิวเคลียสในฟิสิกส์นิวเคลียร์ ➡️ คอมพิวเตอร์ควอนตัมใช้สถานะพลังงานของระบบควอนตัมเป็นหน่วยข้อมูล https://www.nobelprize.org/prizes/physics/2025/popular-information/
    WWW.NOBELPRIZE.ORG
    Nobel Prize in Physics 2025
    The Nobel Prize in Physics 2025 was awarded jointly to John Clarke, Michel H. Devoret and John M. Martinis "for the discovery of macroscopic quantum mechanical tunnelling and energy quantisation in an electric circuit"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts