• รถตู้ตรวจจับใบหน้า — เทคโนโลยีล้ำยุคเพื่อความปลอดภัย หรือจุดเริ่มต้นของรัฐเฝ้าระวัง?

    รัฐบาลอังกฤษประกาศแผนขยายการใช้เทคโนโลยี Live Facial Recognition (LFR) โดยจะส่งรถตู้ตรวจจับใบหน้า 10 คันไปยัง 7 กองกำลังตำรวจทั่วประเทศ เช่น Greater Manchester, West Yorkshire และ Thames Valley เพื่อช่วยตามหาผู้ต้องสงสัยในคดีร้ายแรง เช่น ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และฆาตกรรม

    เทคโนโลยีนี้เคยถูกทดลองใช้ในลอนดอนและเซาธ์เวลส์ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 580 รายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยระบบจะเปรียบเทียบใบหน้าของผู้คนกับ “watchlist” ที่จัดทำเฉพาะสำหรับแต่ละภารกิจ และมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบผลลัพธ์ทุกครั้ง

    แม้รัฐบาลจะยืนยันว่ามีการทดสอบความแม่นยำและไม่มีอคติทางเชื้อชาติหรือเพศ แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International และ Big Brother Watch กลับเตือนว่าเทคโนโลยีนี้ “อันตรายและเลือกปฏิบัติ” โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การจับผิดคนโดยไม่ตั้งใจ

    รัฐบาลจึงเตรียมเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านการปรึกษาสาธารณะ เพื่อจัดทำกรอบกฎหมายใหม่ที่ชัดเจน ก่อนจะขยายการใช้งานในวงกว้าง

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมส่งรถตู้ตรวจจับใบหน้า 10 คันไปยัง 7 กองกำลังตำรวจ
    ใช้เพื่อจับผู้ต้องสงสัยในคดีร้ายแรง เช่น ข่มขืนและฆาตกรรม

    เทคโนโลยี LFR เคยถูกทดลองใช้ในลอนดอนและเซาธ์เวลส์
    นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 580 รายใน 12 เดือน

    การใช้งานจะอิงจาก “watchlist” ที่จัดทำเฉพาะสำหรับแต่ละภารกิจ
    ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรม

    รัฐบาลจะเปิดการปรึกษาสาธารณะเพื่อจัดทำกรอบกฎหมายใหม่
    เพื่อกำหนดวิธีใช้และมาตรการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว

    การทดสอบโดย National Physical Laboratory พบว่าไม่มีอคติทางเชื้อชาติหรือเพศ
    สนับสนุนความแม่นยำของระบบ LFR

    กลุ่ม Liberty สนับสนุนการจัดทำกรอบกฎหมายก่อนขยายการใช้งาน
    เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมและได้รับการคุ้มครอง

    เทคโนโลยี LFR ใช้การวัดระยะระหว่างจุดบนใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล
    เช่น ระยะระหว่างตา ความยาวกราม

    LFR ถูกใช้ในงานใหญ่ เช่น คอนเสิร์ต Beyoncé และการแข่งขันฟุตบอล
    เพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย

    การใช้งานใน South Wales มีการลบข้อมูลของผู้ที่ไม่ตรงกับ watchlist ทันที
    เป็นมาตรการป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัว

    มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำชุมชนทั่วประเทศเพื่อรับเรื่องร้องเรียน
    เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูตำรวจท้องถิ่น

    https://news.sky.com/story/facial-recognition-vans-to-be-rolled-out-across-police-forces-in-england-13410613
    🚐🧠 รถตู้ตรวจจับใบหน้า — เทคโนโลยีล้ำยุคเพื่อความปลอดภัย หรือจุดเริ่มต้นของรัฐเฝ้าระวัง? รัฐบาลอังกฤษประกาศแผนขยายการใช้เทคโนโลยี Live Facial Recognition (LFR) โดยจะส่งรถตู้ตรวจจับใบหน้า 10 คันไปยัง 7 กองกำลังตำรวจทั่วประเทศ เช่น Greater Manchester, West Yorkshire และ Thames Valley เพื่อช่วยตามหาผู้ต้องสงสัยในคดีร้ายแรง เช่น ข่มขืน ทำร้ายร่างกาย และฆาตกรรม เทคโนโลยีนี้เคยถูกทดลองใช้ในลอนดอนและเซาธ์เวลส์ และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 580 รายในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยระบบจะเปรียบเทียบใบหน้าของผู้คนกับ “watchlist” ที่จัดทำเฉพาะสำหรับแต่ละภารกิจ และมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบผลลัพธ์ทุกครั้ง แม้รัฐบาลจะยืนยันว่ามีการทดสอบความแม่นยำและไม่มีอคติทางเชื้อชาติหรือเพศ แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชน เช่น Amnesty International และ Big Brother Watch กลับเตือนว่าเทคโนโลยีนี้ “อันตรายและเลือกปฏิบัติ” โดยเฉพาะกับคนผิวสี และอาจนำไปสู่การจับผิดคนโดยไม่ตั้งใจ รัฐบาลจึงเตรียมเปิดให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านการปรึกษาสาธารณะ เพื่อจัดทำกรอบกฎหมายใหม่ที่ชัดเจน ก่อนจะขยายการใช้งานในวงกว้าง ✅ รัฐบาลอังกฤษเตรียมส่งรถตู้ตรวจจับใบหน้า 10 คันไปยัง 7 กองกำลังตำรวจ ➡️ ใช้เพื่อจับผู้ต้องสงสัยในคดีร้ายแรง เช่น ข่มขืนและฆาตกรรม ✅ เทคโนโลยี LFR เคยถูกทดลองใช้ในลอนดอนและเซาธ์เวลส์ ➡️ นำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหา 580 รายใน 12 เดือน ✅ การใช้งานจะอิงจาก “watchlist” ที่จัดทำเฉพาะสำหรับแต่ละภารกิจ ➡️ ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการฝึกอบรม ✅ รัฐบาลจะเปิดการปรึกษาสาธารณะเพื่อจัดทำกรอบกฎหมายใหม่ ➡️ เพื่อกำหนดวิธีใช้และมาตรการคุ้มครองความเป็นส่วนตัว ✅ การทดสอบโดย National Physical Laboratory พบว่าไม่มีอคติทางเชื้อชาติหรือเพศ ➡️ สนับสนุนความแม่นยำของระบบ LFR ✅ กลุ่ม Liberty สนับสนุนการจัดทำกรอบกฎหมายก่อนขยายการใช้งาน ➡️ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมและได้รับการคุ้มครอง ✅ เทคโนโลยี LFR ใช้การวัดระยะระหว่างจุดบนใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบกับฐานข้อมูล ➡️ เช่น ระยะระหว่างตา ความยาวกราม ✅ LFR ถูกใช้ในงานใหญ่ เช่น คอนเสิร์ต Beyoncé และการแข่งขันฟุตบอล ➡️ เพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย ✅ การใช้งานใน South Wales มีการลบข้อมูลของผู้ที่ไม่ตรงกับ watchlist ทันที ➡️ เป็นมาตรการป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัว ✅ มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำชุมชนทั่วประเทศเพื่อรับเรื่องร้องเรียน ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูตำรวจท้องถิ่น https://news.sky.com/story/facial-recognition-vans-to-be-rolled-out-across-police-forces-in-england-13410613
    NEWS.SKY.COM
    Facial recognition vans to be rolled out across police forces in England
    Ten live facial recognition vans will be deployed - but human rights groups argue the tech is "dangerous and discriminatory".
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตอน 18
    อเมริกาคิดจะทำอะไร ต้องแน่ใจว่าคุมสถานการณ์ คุมเกมได้เบ็ดเสร็จ เมื่อได้เลือกไทยแลนด์แดนสวรรค์ เป็นแหล่งประทับทรง เพื่อเอาไว้จับจ้อง เตรียมต่อกรกับจีน ถึงจะไม่เป็นงานช้างแบบสู้กับคอมมี่ ตรงไปตรงมา แต่สู้กับอาเฮียตาตี่ที่ กำลังเนื้อหอม แถมจิ๊กโก๋๋ก็ทิ้งสาวไทยไปนาน จะกลับเข้ามาก็ต้องดูดีๆ เสียเชิงอาเฮียนี่มันรับไม่ได้จริงๆ นะ
    และโปรดอย่าลืมสันดานเดิมของจิ๊กโก๋๋นักเลงนักล้วง อเมริกาไม่เคยตีตั๋วใบเดียว ไม่เคยเล่นไพ่หน้าเดียว
    จากรายงานของซีไอเอ ที่เดินสายกันให้ควักไขว้ ออกอาการว่า จิ๊กโก๋๋คิดหนัก จะเลือกใครเป็นร่างทรงดี สมัยสู้คอมมี่ จอมพลคนแปลกเป็นนายก อเมริกาก็สนับสนุน 2 นายพล เอาไว้เป็นตัวเลือกคือ นายพลเผ่า กับ นายพลสฤษดิ์ ทั้งฟูมทั้งฟัก ทั้ง 2 นายพล อยากได้อะไรก็ประเคนให้ทั้งคู่ รอดูจนแน่ใจแล้วก็เคาะโป๊ก หวยออกที่นายพลสฤษดิ์ ให้เป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยแลนด์ ภายใต้การชักใยของสหรัฐ
    คราวนี้ก็เหมือนกัน อเมริกามีตัวเลือกแยะขึ้น แต่ยากขึ้น
    มองด้านความแน่นอน สัมพันธ์เก่ามีมาต่อเนื่องกว่า 50 ปี ก็มีกลุ่มนักวิ่งผลัด แต่สมัยนี้จะไปชักใย ให้ขยับขาซ้ายย้ายขาขวา อย่างเมื่อก่อนมันไม่ได้แล้วนะ ก็ดันไปตั้ง Doctrine ของตัวเองสนับสนุนประชาธิปไตยให้บานแฉ่ง แล้วถ้าเอาพี่ทหารนักวิ่งผลัดมา ป.ว. เป็นร่างทรงน่ะ ชาวบ้านเขามินินทาเอาหรือจ๊ะ ว่า ปากว่าตาขยิบ
    จะเป็นตัวเลือกหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่เพื่อให่แน่ใจว่านักวิ่งพลัดไม่นอกใจ ปลายปี พ.ศ. 2555/ค.ศ.2012 พี่เบิ้มก็ส่งนายลีออน เพนเนตต้า (Leon Pennetta) รมว กลาโหม มานั่งจับเข่า คุณพี่สุกำพล รมว กลาโหมของไทยตอนนั้น
    อย่าลืมนะ สมันน้อย เราอุ้มเจ้าลงเปลเห่กล่อมมากว่า 50 ปีแล้ว สมันน้อยจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าเราได้ยังไง ว่าแล้วจากจับเข่า ก็เปลี่ยนเป็นจับมือสมันน้อย แปะโป้งทำสัญญา ซึ่งแปลงเขียนเป็นแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (แหม! อีลูกช่างตะแบง กลัวจะเป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา ม190 ของรัฐธรรมนูญไง) ว่า ด้วยการเป็นหุ้นส่วนร่วมด้านความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ฮั่นแน่ โจ๋งครึ่มจริงๆ
    ไอ้นี่ มันเป็นการส่งสารข้าม(หัว) ไปถึงอาเฮียนี่หว่า ว่านี่เด็กของข้า ลื้ออย่ามาแหยม!
    หลังจากกำชับนักวิ่งพลัดไม่ให้แตกแถวแล้ว คราวนี้ก็ต้องมาดูนักการเมือง ที่จะใช้บริการ ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 2 พรรคใหญ่ ระหว่างพรรคแมลงสาบกับพรรคของเหลี่ยมร้าย เอาไงดีล่ะ จิ๊กโก๋๋คิดไม่ตก
    พรรคแมลงสาบนี่ จิ๊กโก๋๋รู้จักดี ตั้งกะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปู่เสนีย์เป็นหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายสหรัฐ พรรคนี้เคยคิดอย่างไร ทำอย่างไร ตั้งแต่สมัยสงครามโลก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น สมเป็นพรรคแมลงสาปจริง ๆ หัวสมองอยู่ในกระป๋องสี่เหลี่ยม แก้ไม่หาย อุตส่าห์ปั๊ดตะนา เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาจนเดี๋ยวนี้ได้ good boyหน้าหล่อสายอังกฤษ
    แต่มันก็คิดเป็น ทำเป็น แบบจวนสอบได้ ซะเกือบทุกเรื่อง ขนาดแม่ยกยังลุ้นซะจนจะ ล.ด หลายตลบแล้วจิ๊กโก๋๋จะรับไหวเหร๊อ แต่มันก็ว่าง่ายดีนะ ดูตอนกู้เงิน IMF แล้วกัน 5 5 5 พวกไอรวยมาแยะนะ อ้ายน้อย
    ไม่เอาแมลงสาบแล้วจะเอาใคร
    ก็พรรคของเหลี่ยมร้ายไง เหลี่ยมร้ายไม่สนใจอาณาเขต เหลี่ยมร้ายไม่สนใจพรมแดน เหลี่ยมร้ายไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณี เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักความดีงาม เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักคุณค่าของ สถาบัน เหลี่ยมร้ายรู้จักแต่อำนาจ การโกหก การโกงทุกรูปแบบ และทุน ทุน ทุน ไม่ว่าจะเป็น ทุนนิยมเสรี ทุนในชาติ ทุนข้ามชาติ ประชานิยม ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่เหลี่ยมรัก เหลี่ยมโปรดทั้งนั้น อืม! น่าสนใจ ความคิดคล้ายๆ กับผู้ใดหนอ
    แถม เหลี่ยมก็เคยปลาบปลื้ม จนลืมตน วิ่งไปเชิญ วิ่งไปซบคุณพ่อจิ๊กโก๋๋ มาหลายหน คุณจิ๊กโก๋๋ตัวลูก จอมกร่าง ยิ่งแล้วใหญ่ เหลี่ยมนับเป็นเพื่อนเลยนะ ลองไปหา cable ทูตอเมริกา (ที่วิกิลีกส์ Wikileaks ขวัญใจผม อภินันทนาการแก่ชาวโลก)
    มันรายงานออกมาจ้อยๆ ว่า เหลี่ยมร้าย ปลื้มจิ๊กโก๋๋ขนาดไหน โดนดุ โดนเตือนก็ไปฟ้องคุณพ่ออเมริกันทุกครั้ง แหม ตัวอยู่ไทย แต่ใจเป็นของคุณพ่อจิ๊กโก๋๋หมดแล้ว แบบนี้ไม่เลือกเป็นร่างทรงก็ใจจืดไปหน่อยนะ…
    แต่จิ๊กโก๋๋ไม่โง่ จะใช้คนอย่างเหลี่ยมร้าย มันต้องป้อนด้วย อำนาจและเงินไปตลอด แล้วมันเกิดทำใหญ่คับเกินฟ้า ชาวประชารับไม่ได้ (ก็กำลังชุมนุมขับไล่โค่นล้มอยู่นี่ไง) จิ๊กโก๋๋ จะควบคุมไหวหรือ เอ๊ะ หรือจะเข้าทาง!
    ดูประธานาธิบดีมากอส พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน มูบารักของอียิปต์ ฯลฯ เป็นตัวอย่างแล้วกัน เด็กสร้างของ จิ๊กโก๋๋ทั้งนั้น ถึงจุดหนึ่งหมดประโยชน์หรือคุมไม่ได้ จิ๊กโก๋๋ก็จัดการเก็บฉาก ให้กลับบ้านเก่ากันแทบไม่ทัน บางคนแทบไม่มีเวลาแต่งศพให้สวย
    ถ้าเหลี่ยมร้ายบังเอิญโชคดี ได้อ่านนิทานเรื่องนี้ ก็อ่านตอนนี้หลายๆ เที่ยวหน่อยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนกัน ยังไงก็คนเคยเห็นหน้า (ทางจอทีวี ฮา) มาหลายหน แต่หนหลังๆ นี้ บอกกันไม่อ้อมค้อมนะ ดูทุเรศ จริงๆ
    บอกได้เลยว่า การประทับทรงไทยแลนด์ของจิ๊กโก๋๋ครั้งนี้ ไม่ง่ายสะดวกโยธินเหมือนสมัยสงคราม เวียต นาม คราวนั้นบ้านเรายังไม่มีกีฬาสี และสถานการณ์ก็สร้างไว้ชัดเจน ถูกเขาขู่ว่า ถ้าไม่สู้คอมมี่ พวกยูก็อาจไม่มีแผ่น ดินเหลือให้นั่งชนไก่
    แต่ตอนนี้กะตอนนู้น มันไม่เหมือนกันนะ คราวนี้ถ้าขู่ว่าจะให้เลือก ระหว่างจิ๊กโก๋๋ผมทอง กับอาเฮียตาตี่ มันก็ไม่ง่ายนะพี่เบิ้ม ระวังมันจะพลิกล็อก
    คนไทยน่ะ นับดีๆ เผลอๆ มีกว่าครึ่งประเทศ ที่มีเชื้อสายจีนปนอยู่ ถึงแม้เขาจะไปฟอกผิวขาวทำตาโต แต่เชื้อไขข้างใน มันก็ยังเชื้อสายจีนปน ถึงเวลาตรุษจีน ก็เอาเป็ดเอาไก่ไปไหว้เจ้าปิดถนนฉลองกัน แล้วใจคอยูจะให้เขาตัดขาดจากอาม้า อาก๋ง เขาง่าย ๆ หรือ จิ๊กโก๋๋คิดให้ดีๆ
    คราวนี้ถ้าจิ๊กโก๋๋คิดว่า ซอยนี้ต้องเป็นของกูคนเดียว ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งด้วย บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งจิ๊กโก๋๋ และเหนื่อยทั้งสมันน้อย อเมริกาเหนื่อยอย่างไร สมัยต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ มันขู่ให้เรากลัวว่า ระบอบคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อประชาธิปไตย ประชาชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทุกอย่างตกเป็นของรัฐ แค่นี้นายทุนเศรษฐีบ้านเราก็หน้าตก หูตูบกันหมดแล้ว ทุกคนต้องทำงานให้คอมมูน เพื่อความเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ คนไทยเคยอยู่สบายๆ เช้าอยากลุกก็ลุก ไม่อยากก็นอนจนตะวันตรงท้ายทอย แล้วค่อยขยับก้นย้ายออกมา ก็ไม่มีใครว่า แล้วถ้าเป็นคอมมูน มันจะมาทำท่านอนบิดขี้เกียจอย่างนี้ได้เหรอ
    ขู่แบบนี้เข้าไปทุกวัน พออเมริกาบอกว่า ไอจะกำจัดระบอบนี้ให้ออกไปจากภูมิภาคนี้ ชาวเราก็มองเขาเหมือนเทวดามาโปรด
    แต่ตอนนี้ไม่มีผีคอมมี่ให้สร้างแล้ว ของจริงที่ไทยแลนด์ควรมองคือ อาเฮียตาตี่ ไม่ได้เดินย้ายพุงมาคนเดียว แต่เกี่ยวแขนมากับเพื่อนอีกหลายพันล้านคน ในนามของ BRICS จำได้ไหม บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) รวมทั้งหมด เกือบ สามพันล้านคน ตลาดใหญ่นะ
    แถมตอนนี้อาเฮียฟิตจัด ตั้งกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) หรือ SCO กับพี่ใหญ่รัสเซียและประเทศแถบรัสเซีย ที่จีนมีอาณาเขตติดต่อกันอยู่ แปลว่าถ้าอเมริกาจะมองว่าจีนเป็นศัตรู ต้องรวมเพื่อนของศัตรู เข้าไปด้วย เข้าใจไหม
    แต่ของจริงอเมริกา มองจีนอย่างไร มีระบุไว้ในเอกสาร The National Strategy Forum Review ปี ค.ศ.2011 ว่า สัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ ในศตวรรษที่ 21 นับว่าเป็นสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน และการเสื่อมถอยจากการเป็นผู้นำสุดยอด ของสหรัฐในต่างประเทศ ประกอบกับการที่จีน กำลังพยายามขยายบทบาทในเอเชียแปซิฟิก โดยใช่ว่าจะเห็นพ้องกับนโยบายของสหรัฐเสมอไป ที่สำคัญดูเหมือนว่ากระแสความไม่ไว้ใจและไม่เข้าใจระหว่างประเทศทั้ง 2 จะสูงขึ้นเป็นลำดับอ่านแล้วเป็นงง
    พูดภาษาจิ๊กโก๋๋ ให้เข้าใจง่ายๆดีกว่า สรุปว่า ไอ้จิ๊กโก๋๋มันแสดงอาการหวงรางหญ้า หวงกระดูก

    คนเล่านิทาน
     ตอน 18 อเมริกาคิดจะทำอะไร ต้องแน่ใจว่าคุมสถานการณ์ คุมเกมได้เบ็ดเสร็จ เมื่อได้เลือกไทยแลนด์แดนสวรรค์ เป็นแหล่งประทับทรง เพื่อเอาไว้จับจ้อง เตรียมต่อกรกับจีน ถึงจะไม่เป็นงานช้างแบบสู้กับคอมมี่ ตรงไปตรงมา แต่สู้กับอาเฮียตาตี่ที่ กำลังเนื้อหอม แถมจิ๊กโก๋๋ก็ทิ้งสาวไทยไปนาน จะกลับเข้ามาก็ต้องดูดีๆ เสียเชิงอาเฮียนี่มันรับไม่ได้จริงๆ นะ และโปรดอย่าลืมสันดานเดิมของจิ๊กโก๋๋นักเลงนักล้วง อเมริกาไม่เคยตีตั๋วใบเดียว ไม่เคยเล่นไพ่หน้าเดียว จากรายงานของซีไอเอ ที่เดินสายกันให้ควักไขว้ ออกอาการว่า จิ๊กโก๋๋คิดหนัก จะเลือกใครเป็นร่างทรงดี สมัยสู้คอมมี่ จอมพลคนแปลกเป็นนายก อเมริกาก็สนับสนุน 2 นายพล เอาไว้เป็นตัวเลือกคือ นายพลเผ่า กับ นายพลสฤษดิ์ ทั้งฟูมทั้งฟัก ทั้ง 2 นายพล อยากได้อะไรก็ประเคนให้ทั้งคู่ รอดูจนแน่ใจแล้วก็เคาะโป๊ก หวยออกที่นายพลสฤษดิ์ ให้เป็นผู้นำคนต่อไปของประเทศไทยแลนด์ ภายใต้การชักใยของสหรัฐ คราวนี้ก็เหมือนกัน อเมริกามีตัวเลือกแยะขึ้น แต่ยากขึ้น มองด้านความแน่นอน สัมพันธ์เก่ามีมาต่อเนื่องกว่า 50 ปี ก็มีกลุ่มนักวิ่งผลัด แต่สมัยนี้จะไปชักใย ให้ขยับขาซ้ายย้ายขาขวา อย่างเมื่อก่อนมันไม่ได้แล้วนะ ก็ดันไปตั้ง Doctrine ของตัวเองสนับสนุนประชาธิปไตยให้บานแฉ่ง แล้วถ้าเอาพี่ทหารนักวิ่งผลัดมา ป.ว. เป็นร่างทรงน่ะ ชาวบ้านเขามินินทาเอาหรือจ๊ะ ว่า ปากว่าตาขยิบ จะเป็นตัวเลือกหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่เพื่อให่แน่ใจว่านักวิ่งพลัดไม่นอกใจ ปลายปี พ.ศ. 2555/ค.ศ.2012 พี่เบิ้มก็ส่งนายลีออน เพนเนตต้า (Leon Pennetta) รมว กลาโหม มานั่งจับเข่า คุณพี่สุกำพล รมว กลาโหมของไทยตอนนั้น อย่าลืมนะ สมันน้อย เราอุ้มเจ้าลงเปลเห่กล่อมมากว่า 50 ปีแล้ว สมันน้อยจะไปเห็นคนอื่นดีกว่าเราได้ยังไง ว่าแล้วจากจับเข่า ก็เปลี่ยนเป็นจับมือสมันน้อย แปะโป้งทำสัญญา ซึ่งแปลงเขียนเป็นแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม (แหม! อีลูกช่างตะแบง กลัวจะเป็นหนังสือสัญญา ตามมาตรา ม190 ของรัฐธรรมนูญไง) ว่า ด้วยการเป็นหุ้นส่วนร่วมด้านความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ฮั่นแน่ โจ๋งครึ่มจริงๆ ไอ้นี่ มันเป็นการส่งสารข้าม(หัว) ไปถึงอาเฮียนี่หว่า ว่านี่เด็กของข้า ลื้ออย่ามาแหยม! หลังจากกำชับนักวิ่งพลัดไม่ให้แตกแถวแล้ว คราวนี้ก็ต้องมาดูนักการเมือง ที่จะใช้บริการ ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 2 พรรคใหญ่ ระหว่างพรรคแมลงสาบกับพรรคของเหลี่ยมร้าย เอาไงดีล่ะ จิ๊กโก๋๋คิดไม่ตก พรรคแมลงสาบนี่ จิ๊กโก๋๋รู้จักดี ตั้งกะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปู่เสนีย์เป็นหัวหน้าเสรีไทยฝ่ายสหรัฐ พรรคนี้เคยคิดอย่างไร ทำอย่างไร ตั้งแต่สมัยสงครามโลก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น สมเป็นพรรคแมลงสาปจริง ๆ หัวสมองอยู่ในกระป๋องสี่เหลี่ยม แก้ไม่หาย อุตส่าห์ปั๊ดตะนา เปลี่ยนหัวหน้าพรรคมาจนเดี๋ยวนี้ได้ good boyหน้าหล่อสายอังกฤษ แต่มันก็คิดเป็น ทำเป็น แบบจวนสอบได้ ซะเกือบทุกเรื่อง ขนาดแม่ยกยังลุ้นซะจนจะ ล.ด หลายตลบแล้วจิ๊กโก๋๋จะรับไหวเหร๊อ แต่มันก็ว่าง่ายดีนะ ดูตอนกู้เงิน IMF แล้วกัน 5 5 5 พวกไอรวยมาแยะนะ อ้ายน้อย ไม่เอาแมลงสาบแล้วจะเอาใคร ก็พรรคของเหลี่ยมร้ายไง เหลี่ยมร้ายไม่สนใจอาณาเขต เหลี่ยมร้ายไม่สนใจพรมแดน เหลี่ยมร้ายไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณี เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักความดีงาม เหลี่ยมร้ายไม่รู้จักคุณค่าของ สถาบัน เหลี่ยมร้ายรู้จักแต่อำนาจ การโกหก การโกงทุกรูปแบบ และทุน ทุน ทุน ไม่ว่าจะเป็น ทุนนิยมเสรี ทุนในชาติ ทุนข้ามชาติ ประชานิยม ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องที่เหลี่ยมรัก เหลี่ยมโปรดทั้งนั้น อืม! น่าสนใจ ความคิดคล้ายๆ กับผู้ใดหนอ แถม เหลี่ยมก็เคยปลาบปลื้ม จนลืมตน วิ่งไปเชิญ วิ่งไปซบคุณพ่อจิ๊กโก๋๋ มาหลายหน คุณจิ๊กโก๋๋ตัวลูก จอมกร่าง ยิ่งแล้วใหญ่ เหลี่ยมนับเป็นเพื่อนเลยนะ ลองไปหา cable ทูตอเมริกา (ที่วิกิลีกส์ Wikileaks ขวัญใจผม อภินันทนาการแก่ชาวโลก) มันรายงานออกมาจ้อยๆ ว่า เหลี่ยมร้าย ปลื้มจิ๊กโก๋๋ขนาดไหน โดนดุ โดนเตือนก็ไปฟ้องคุณพ่ออเมริกันทุกครั้ง แหม ตัวอยู่ไทย แต่ใจเป็นของคุณพ่อจิ๊กโก๋๋หมดแล้ว แบบนี้ไม่เลือกเป็นร่างทรงก็ใจจืดไปหน่อยนะ… แต่จิ๊กโก๋๋ไม่โง่ จะใช้คนอย่างเหลี่ยมร้าย มันต้องป้อนด้วย อำนาจและเงินไปตลอด แล้วมันเกิดทำใหญ่คับเกินฟ้า ชาวประชารับไม่ได้ (ก็กำลังชุมนุมขับไล่โค่นล้มอยู่นี่ไง) จิ๊กโก๋๋ จะควบคุมไหวหรือ เอ๊ะ หรือจะเข้าทาง! ดูประธานาธิบดีมากอส พระเจ้าชาห์แห่งอิหร่าน มูบารักของอียิปต์ ฯลฯ เป็นตัวอย่างแล้วกัน เด็กสร้างของ จิ๊กโก๋๋ทั้งนั้น ถึงจุดหนึ่งหมดประโยชน์หรือคุมไม่ได้ จิ๊กโก๋๋ก็จัดการเก็บฉาก ให้กลับบ้านเก่ากันแทบไม่ทัน บางคนแทบไม่มีเวลาแต่งศพให้สวย ถ้าเหลี่ยมร้ายบังเอิญโชคดี ได้อ่านนิทานเรื่องนี้ ก็อ่านตอนนี้หลายๆ เที่ยวหน่อยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนกัน ยังไงก็คนเคยเห็นหน้า (ทางจอทีวี ฮา) มาหลายหน แต่หนหลังๆ นี้ บอกกันไม่อ้อมค้อมนะ ดูทุเรศ จริงๆ บอกได้เลยว่า การประทับทรงไทยแลนด์ของจิ๊กโก๋๋ครั้งนี้ ไม่ง่ายสะดวกโยธินเหมือนสมัยสงคราม เวียต นาม คราวนั้นบ้านเรายังไม่มีกีฬาสี และสถานการณ์ก็สร้างไว้ชัดเจน ถูกเขาขู่ว่า ถ้าไม่สู้คอมมี่ พวกยูก็อาจไม่มีแผ่น ดินเหลือให้นั่งชนไก่ แต่ตอนนี้กะตอนนู้น มันไม่เหมือนกันนะ คราวนี้ถ้าขู่ว่าจะให้เลือก ระหว่างจิ๊กโก๋๋ผมทอง กับอาเฮียตาตี่ มันก็ไม่ง่ายนะพี่เบิ้ม ระวังมันจะพลิกล็อก คนไทยน่ะ นับดีๆ เผลอๆ มีกว่าครึ่งประเทศ ที่มีเชื้อสายจีนปนอยู่ ถึงแม้เขาจะไปฟอกผิวขาวทำตาโต แต่เชื้อไขข้างใน มันก็ยังเชื้อสายจีนปน ถึงเวลาตรุษจีน ก็เอาเป็ดเอาไก่ไปไหว้เจ้าปิดถนนฉลองกัน แล้วใจคอยูจะให้เขาตัดขาดจากอาม้า อาก๋ง เขาง่าย ๆ หรือ จิ๊กโก๋๋คิดให้ดีๆ คราวนี้ถ้าจิ๊กโก๋๋คิดว่า ซอยนี้ต้องเป็นของกูคนเดียว ไม่ให้ใครเข้ามายุ่งด้วย บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อย เหนื่อยทั้งจิ๊กโก๋๋ และเหนื่อยทั้งสมันน้อย อเมริกาเหนื่อยอย่างไร สมัยต่อสู้กับระบอบคอมมิวนิสต์ มันขู่ให้เรากลัวว่า ระบอบคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อประชาธิปไตย ประชาชนไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทุกอย่างตกเป็นของรัฐ แค่นี้นายทุนเศรษฐีบ้านเราก็หน้าตก หูตูบกันหมดแล้ว ทุกคนต้องทำงานให้คอมมูน เพื่อความเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ คนไทยเคยอยู่สบายๆ เช้าอยากลุกก็ลุก ไม่อยากก็นอนจนตะวันตรงท้ายทอย แล้วค่อยขยับก้นย้ายออกมา ก็ไม่มีใครว่า แล้วถ้าเป็นคอมมูน มันจะมาทำท่านอนบิดขี้เกียจอย่างนี้ได้เหรอ ขู่แบบนี้เข้าไปทุกวัน พออเมริกาบอกว่า ไอจะกำจัดระบอบนี้ให้ออกไปจากภูมิภาคนี้ ชาวเราก็มองเขาเหมือนเทวดามาโปรด แต่ตอนนี้ไม่มีผีคอมมี่ให้สร้างแล้ว ของจริงที่ไทยแลนด์ควรมองคือ อาเฮียตาตี่ ไม่ได้เดินย้ายพุงมาคนเดียว แต่เกี่ยวแขนมากับเพื่อนอีกหลายพันล้านคน ในนามของ BRICS จำได้ไหม บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) รวมทั้งหมด เกือบ สามพันล้านคน ตลาดใหญ่นะ แถมตอนนี้อาเฮียฟิตจัด ตั้งกลุ่มเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization) หรือ SCO กับพี่ใหญ่รัสเซียและประเทศแถบรัสเซีย ที่จีนมีอาณาเขตติดต่อกันอยู่ แปลว่าถ้าอเมริกาจะมองว่าจีนเป็นศัตรู ต้องรวมเพื่อนของศัตรู เข้าไปด้วย เข้าใจไหม แต่ของจริงอเมริกา มองจีนอย่างไร มีระบุไว้ในเอกสาร The National Strategy Forum Review ปี ค.ศ.2011 ว่า สัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ ในศตวรรษที่ 21 นับว่าเป็นสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุดในโลก ส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของจีน และการเสื่อมถอยจากการเป็นผู้นำสุดยอด ของสหรัฐในต่างประเทศ ประกอบกับการที่จีน กำลังพยายามขยายบทบาทในเอเชียแปซิฟิก โดยใช่ว่าจะเห็นพ้องกับนโยบายของสหรัฐเสมอไป ที่สำคัญดูเหมือนว่ากระแสความไม่ไว้ใจและไม่เข้าใจระหว่างประเทศทั้ง 2 จะสูงขึ้นเป็นลำดับอ่านแล้วเป็นงง พูดภาษาจิ๊กโก๋๋ ให้เข้าใจง่ายๆดีกว่า สรุปว่า ไอ้จิ๊กโก๋๋มันแสดงอาการหวงรางหญ้า หวงกระดูก คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขมรเล่นใหญ่! เปิดสนามบินใหม่ “Techo International” ใหญ่สุดในประเทศ ทุ่มงบกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์!
    ห่างพนมเปญเพียง 20 กม. เชื่อมต่อถนนหลายเลน-สะพานลอย เดินทางสะดวก
    ✈ ทดสอบบินด้วย Airbus A320 วันที่ 15 ส.ค. เปิดจริง 9 ก.ย.นี้
    ระยะแรก รับผู้โดยสารได้ 13 ล้านคน/ปี ขยายสูงสุด 30 ล้านในอนาคต
    🏗 ออกแบบโดย Foster + Partners (อังกฤษ) ก่อสร้าง-ระบบโดยทีมงานจากแคนาดา จีน ฮ่องกง ฝรั่งเศส กัมพูชา และเกาหลีใต้
    เป้าหมาย: ดันกัมพูชาเป็นศูนย์กลางการบินอาเซียน กระตุ้นเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

    #CambodiaAirport #TechoInternational #KTI #สนามบินใหม่ #PhnomPenh #ASEANHub #AirTravelAsia #CambodiaNews#NEW
    🚀🇰🇭 เขมรเล่นใหญ่! เปิดสนามบินใหม่ “Techo International” ใหญ่สุดในประเทศ 💰ทุ่มงบกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์! 📍ห่างพนมเปญเพียง 20 กม. เชื่อมต่อถนนหลายเลน-สะพานลอย เดินทางสะดวก ✈ ทดสอบบินด้วย Airbus A320 วันที่ 15 ส.ค. เปิดจริง 9 ก.ย.นี้ 🛫 ระยะแรก รับผู้โดยสารได้ 13 ล้านคน/ปี ขยายสูงสุด 30 ล้านในอนาคต 🏗 ออกแบบโดย Foster + Partners (อังกฤษ) ก่อสร้าง-ระบบโดยทีมงานจากแคนาดา จีน ฮ่องกง ฝรั่งเศส กัมพูชา และเกาหลีใต้ 🌏 เป้าหมาย: ดันกัมพูชาเป็นศูนย์กลางการบินอาเซียน กระตุ้นเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน #CambodiaAirport #TechoInternational #KTI #สนามบินใหม่ #PhnomPenh #ASEANHub #AirTravelAsia #CambodiaNews ✈ #NEW
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: คนอังกฤษแห่ใช้ Proxy แทน VPN เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ — แต่ความปลอดภัยอาจเป็นสิ่งที่ต้องแลก

    หลังจากที่สหราชอาณาจักรเริ่มบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบยืนยันอายุผู้ใช้งาน เช่น การสแกนใบหน้า การใช้บัตรเครดิต หรือการอัปโหลดเอกสารทางราชการ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตนถูกละเมิด

    ผลคือ มีการหันมาใช้เครื่องมือหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น VPN และ proxy อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ proxy ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 88% จากผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

    Proxy และ VPN ต่างก็ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด แต่ proxy มักไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกมองเห็นได้โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลที่สาม ในขณะที่ VPN มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ซึ่งปลอดภัยกว่า

    แม้ proxy จะมีข้อดีในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในยุคที่การละเมิดข้อมูลส่วนตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

    ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักรหันมาใช้ proxy เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ
    การใช้งาน proxy เพิ่มขึ้น 88% และจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 65%

    กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้
    ส่งผลกระทบต่อทั้งเว็บไซต์ผู้ใหญ่และโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit และ X

    Proxy ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์
    ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    VPN มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ end-to-end
    ปลอดภัยกว่าการใช้ proxy ที่ไม่มีการเข้ารหัส

    บริษัทในสหราชอาณาจักรเริ่มใช้ proxy เพื่อการวิจัยตลาดและการจัดการข้อมูล
    เช่น การติดตามราคาสินค้า การตรวจสอบโฆษณา และการป้องกันบอท

    Proxy มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การเปลี่ยน IP แบบไดนามิกและการกำหนดตำแหน่งเฉพาะ
    เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุม footprint ดิจิทัล

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/brits-are-turning-from-vpns-to-proxies-to-resist-age-verification-but-their-data-may-be-at-risk
    🕵️‍♂️🌐 เล่าให้ฟังใหม่: คนอังกฤษแห่ใช้ Proxy แทน VPN เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ — แต่ความปลอดภัยอาจเป็นสิ่งที่ต้องแลก หลังจากที่สหราชอาณาจักรเริ่มบังคับใช้กฎหมาย Online Safety Act ซึ่งกำหนดให้เว็บไซต์ต้องมีระบบยืนยันอายุผู้ใช้งาน เช่น การสแกนใบหน้า การใช้บัตรเครดิต หรือการอัปโหลดเอกสารทางราชการ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมากเริ่มรู้สึกว่าความเป็นส่วนตัวของตนถูกละเมิด ผลคือ มีการหันมาใช้เครื่องมือหลบเลี่ยงการตรวจสอบ เช่น VPN และ proxy อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ proxy ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 88% จากผู้ใช้ในสหราชอาณาจักรในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Proxy และ VPN ต่างก็ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด แต่ proxy มักไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้อาจถูกมองเห็นได้โดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือบุคคลที่สาม ในขณะที่ VPN มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ซึ่งปลอดภัยกว่า แม้ proxy จะมีข้อดีในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่น และการหลบเลี่ยงระบบตรวจจับ แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความปลอดภัยสูง โดยเฉพาะในยุคที่การละเมิดข้อมูลส่วนตัวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ✅ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในสหราชอาณาจักรหันมาใช้ proxy เพื่อหลบเลี่ยงการยืนยันอายุ ➡️ การใช้งาน proxy เพิ่มขึ้น 88% และจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้น 65% ✅ กฎหมาย Online Safety Act บังคับให้เว็บไซต์ต้องตรวจสอบอายุผู้ใช้ ➡️ ส่งผลกระทบต่อทั้งเว็บไซต์ผู้ใหญ่และโซเชียลมีเดีย เช่น Reddit และ X ✅ Proxy ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บไซต์ ➡️ ช่วยซ่อน IP และเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ VPN มีการเข้ารหัสข้อมูลแบบ end-to-end ➡️ ปลอดภัยกว่าการใช้ proxy ที่ไม่มีการเข้ารหัส ✅ บริษัทในสหราชอาณาจักรเริ่มใช้ proxy เพื่อการวิจัยตลาดและการจัดการข้อมูล ➡️ เช่น การติดตามราคาสินค้า การตรวจสอบโฆษณา และการป้องกันบอท ✅ Proxy มีความยืดหยุ่นสูง เช่น การเปลี่ยน IP แบบไดนามิกและการกำหนดตำแหน่งเฉพาะ ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุม footprint ดิจิทัล https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/brits-are-turning-from-vpns-to-proxies-to-resist-age-verification-but-their-data-may-be-at-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    Brits are turning from VPNs to proxies to resist age verification – but their data may be at risk
    Decodo, a prominent proxy service, reported a sharp rise in proxy users coming from the UK
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 17
    ปลายปี พ.ศ.2552/ค.ศ.2009 มีรายงานของทูตอเมริกันในไทยระบุว่า เป็นครั้งแรกที่จิ๊กโก๋๋เสียตำแหน่งThailand ‘s top export ให้แก่จีน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จิ๊กโก๋๋ครองมาอยู่หลายสิบปี และเป็นไปได้ว่า ปีหน้าอาเฮียก็จะได้ตำแหน่งนี้ต่อไป….หน้าแตกละซิ
    ตัวเลขส่งออกของไทยกับอาเฮีย ในปีนั้น เป็นจำนวน 1.88 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 115%
    ตัวเลขส่งออกของไทย กับสหรัฐ ในปีนั้น เป็นจำนวน 1.56 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13%
    และมีที่ท่าว่า ตัวเลขการเพิ่มขึ้น ระหว่างจีนกับสหรัฐ จะห่างกันมากขึ้น มากขึ้น ทุกปี ที่ปวดกระดอง จิ๊กโก๋๋ หนักเข้าไปอีกคือ รมว คลัง และผู้ว่า ธปท. ของไทยสมัยนั้น ต่างก็ชื่นชมยินดีกับการค้าขายกับจีน ว่า เป็นไปด้วยสันถวไมตรีอันดียิ่ง
    นอกเหนือจากเรื่องค้าขาย (ทุน) แล้ว เรื่องอำนาจ ก็ทำท่าจะแผ่ว
    ช่วงที่เกิดรัฐประหาร ในไทยปี พ.ศ. 2549 /ค.ศ.2006 อเมริกาก็ทำโทษไทย ยกเลิก การเงินทุนสนับ สนุน ทางทหารทุกรายการ เป็นจำนวน 24 ล้านเหรียญ
    พอเห็นสมันน้อย คอตกเพราะถูกพี่เบิ้มทำโทษ อาเฮียก็ถลามาปลอบใจ ให้สินเชื่อช่วยเหลือแก่กองทัพไทย จำนวน 49 ล้านเหรียญ
    การเอาใจสมันน้อยของจีน เป็นที่ฮือฮากัน ถึงขนาดได้ยินไปถึงหูพี่เบิ้มว่า ทหารใหญ่ท่านหนึ่งของไทย (อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลยนะ ตอนนี้รู้สึก มีคนอยากชวนไปเที่ยวหลายคนแล้ว!) บอกว่า คุยกับจีนสบายใจกว่าอเมริกาที่เอาแต่พูดเรื่องที่ตัวสนใจเช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมประชาธิปไตย
    นี่ ยังไม่นับ เรื่องการซื้ออาวุธที่สมันน้อย ทำเป็นลืมสัญญา ไปจับมือกับเจ้าอื่นแทน ช่วงที่พี่เบิ้มตัดทุนสนับสนุน แหม เรื่องมัน เดิมๆ ซ้ำซาก แล้วยังงี้ จิ๊กโก๋๋จะทนทำเฉย ไหวหรือ
    รู้จักภูมิศาสตร์ของจีนก่อน นักอ่านนิทานครับ จะอ่านนิทานตอนนี้ให้ภาพชัด ต้องไปหาแผนที่มาดูประกอบ
    จีนตั้งอยู่บนเอเซียตะวันออก ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่บนบกใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก (ใครเป็นอันดับ 1 ไปเปิดกูเกิลหาเอาเอง) มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่นๆ 14 ประเทศได้แก่ เวียตนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฐาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กิสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ
    เอ แล้วไม่เห็นมันติดกับไทยแลนด์ตรงไหนเลยนี่ แล้วพวกจิ๊กโก๋๋จะเข้าไปล่วงตับจีนผ่านไทยได้ยังไงหว่า น่าสงสัยนะ
    ก็น่าสงสัยอยู่หรอก ถ้ามัวแต่ดูข่าวจากช่องที่ถนัดแต่ เอาละคร เรื่องคุณชาย เรื่องแม่ลำยง ลำยอง มาเล่นฯลฯ มันจะไปรู้ได้ยังไง ต้องอ่านนิทานของเรานี่แหละ ถึงจะได้เห็นโลกกว้าง ทางลึกกันบ้าง
    กลับมาดูประเทศไทย อาณาเขตติดกับประเทศอะไรบ้าง อันนี้ถ้าไม่รู้ เลิกเล่านิทานจริงๆ นะ ลองถามตัวเองดู หลังจากเห็นภูมิศาสตร์อาณาเขตประเทศจีน และประเทศไทยดูแล้ว ทำไมสหรัฐถึงจำเป็นต้องมานั่งประทับทรงอยู่ในไทยแลนด์
    ย้อนดูจีนอีกที ไอ้14 ประเทศที่ติดกับจีนน่ะ มีส่วนที่ติดกับ พวกแก๊ง BRICS คือ อินเดีย รัสเซีย และจิ๊กโก๋๋ที่ตัวเล็ก แต่พูดกันไม่รู้เรื่องคือเกาหลีเหนือ อยู่ด้วย
    เพราะฉะนั้น ไปยุ่งกับประเทศแถวนั้นเขาได้ไหม หาเรื่องใส่ตัว เอาพวกที่ที่เหลือที่ปั่นหัวง่ายไม่ ดีหรือ ก็คือ เวียตนาม ลาว พม่า ลาวนั้นอเมริกาครอบงำ ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม แล้วไม่เคยปล่อยฝาครอบอีกเลย แทรกแซงตะแบงอุ้มสารพัด จนทุกวันนี้ยังตามเรื่องลาวอพยพ หรือมั้ง ที่อเมริกามาฝากไทยดูแลไว้ ตั้งแต่หลังสงครามเวียตนาม ก็ยังไม่จบสิ้น ขณะนี้พวกม้ง อพยพนี้ ขึ้นกับใครเป็นภาระของใคร ต้องไปถาม กอ.รมน.
    ส่วนเวียตนามนั้น มันก็เหลือเชื่อ จากที่รบกันจะเป็นจะตาย ฉิบหายกระเป๋าฉีกบ้านช่องวินาศสันตะโรกันไปค่อนโลกกว่า 15 ปี ตอนนี้หันมาจูบปากค้าขายกันเรียบร้อย แล้วพวกเราไม่สงสัยกันบ้างหรือจ้ะว่ามันอะไรกัน รบจริง รักจริง
    แบบนี้พวกสมันน้อยไม่ทันเขาหร๊อก! หมดห่วงเรื่องลาวกับเวียตนาม ก็เหลือพม่า
    เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่อเมริกาเริ่มจะกลับมาภูมิภาคนี้ เพื่อมาเฝ้าระวังจีน หนทางที่จะเข้าพม่าไม่มีเลย คุณน้าอองซานได้แต่เอาดอกไม้แซมผม นั่งเอี้ยมเฟี้ยมถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้าน แล้วจิ๊กโก๋๋จะไปคุยกับใคร
    อ้า! มาแล้ว งั้นก็ต้องคุยกับไทยแลนด์ ที่มีดินแดนติดทั้ง เขมร ลาว และพม่าไง เข้าใจหรือยัง ย้อนไปอ่านตอนต้น ที่เล่าสมัยเหตุการณ์ ร.ศ.112 ก็เหมือนกันเป๊ะ
    ไอ้จิ๊กโก๋๋รุ่นเก๋า อังกฤษ ฝรั่งเศส คิดยังไง ทำยังไง จิ๊กโก๋๋รุ่นใหม่ ก็คิดเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็บอกแล้ว มัน3 เกลอหัวแข็ง ผลัดกันเล่น ผลัดกันตี ลืมไปแล้วหรือไร ไม่มีอะไรแปลกใหม่
    ถ้าอเมริกามาประทับทรงคุมทุกอย่างในไทยแลนด์ได้เหมือนเดิม การจะจับตามอง ส่องกล้องดูอาเฮีย ขยับแข้งรำมวยจีน มันก็ไม่น่ามีปัญหา อาเฮียก็ต้องคิดหนักนะ อย่าลืมเรื่องมณฑลยูนาน ดอยตุง ดาวเทียมไทยคม อู่ตะเภา 4 เรื่องนี่มันเกี่ยวกันนะ เล่ามากกว่านี้เดี๋ยวถูกจับ
    เมื่อปี ค.ศ.1999 สมัยรัฐบาลบุช (Bush) ตัวพ่อ อเมริกาเห็นจีนเริ่มโต ชักไม่พอใจ แต่ตัวเองกำลังกระเป๋าแฟบ เศรษฐกิจไม่ดี ก็ยังอยากต้มให้จีนมาลงทุนใช้เป็นตลาด เพราะฉะนั้น นโยบายสหรัฐกับจีน ช่วงนั้นก็ยังเป็นคบๆ ค้าๆ อะไรทำนองนั้น แต่ภาษาการทูตของเขาก็บอกเฝ้าระวัง ช่างใช้คำพูดจริง
    ผ่านไป 10 ปี อาเฮีย รัศมีเงินจับ มีพลเมืองเป็นเศรษฐีเพิ่มขึ้น จนพวกหัวทองชักอิจฉาเปลี่ยนจากตาสีฟ้าเป็นตาสีเขียว อาเฮียเริ่มสร้างบ้าน แปลงเมือง ปรับปรุงกองทัพ พัฒนาการกว้างไกล ถนนทุกสายมุ่งสู่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้
    แล้วจิ๊กโก๋๋จะทนได้ไง แบบนี้ไอ้คบๆ ค้าๆ มันก็ต้องเปลี่ยนเป็น ค้าๆ คุมๆ ยิ่งวันก็ยิ่งหนักไปทางคุมเข้ม นโยบายสูตร containment ก็เริ่มเข้มขึ้นเพราะฉะนั้น แค่เอาพวกมาฝึกคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) กับไทยแลนด์เฉยๆ น่ะ มันถ้าจะไม่พอแล้วมั้ง

    คนเล่านิทาน
    ตอน 17 ปลายปี พ.ศ.2552/ค.ศ.2009 มีรายงานของทูตอเมริกันในไทยระบุว่า เป็นครั้งแรกที่จิ๊กโก๋๋เสียตำแหน่งThailand ‘s top export ให้แก่จีน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่จิ๊กโก๋๋ครองมาอยู่หลายสิบปี และเป็นไปได้ว่า ปีหน้าอาเฮียก็จะได้ตำแหน่งนี้ต่อไป….หน้าแตกละซิ ตัวเลขส่งออกของไทยกับอาเฮีย ในปีนั้น เป็นจำนวน 1.88 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 115% ตัวเลขส่งออกของไทย กับสหรัฐ ในปีนั้น เป็นจำนวน 1.56 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% และมีที่ท่าว่า ตัวเลขการเพิ่มขึ้น ระหว่างจีนกับสหรัฐ จะห่างกันมากขึ้น มากขึ้น ทุกปี ที่ปวดกระดอง จิ๊กโก๋๋ หนักเข้าไปอีกคือ รมว คลัง และผู้ว่า ธปท. ของไทยสมัยนั้น ต่างก็ชื่นชมยินดีกับการค้าขายกับจีน ว่า เป็นไปด้วยสันถวไมตรีอันดียิ่ง นอกเหนือจากเรื่องค้าขาย (ทุน) แล้ว เรื่องอำนาจ ก็ทำท่าจะแผ่ว ช่วงที่เกิดรัฐประหาร ในไทยปี พ.ศ. 2549 /ค.ศ.2006 อเมริกาก็ทำโทษไทย ยกเลิก การเงินทุนสนับ สนุน ทางทหารทุกรายการ เป็นจำนวน 24 ล้านเหรียญ พอเห็นสมันน้อย คอตกเพราะถูกพี่เบิ้มทำโทษ อาเฮียก็ถลามาปลอบใจ ให้สินเชื่อช่วยเหลือแก่กองทัพไทย จำนวน 49 ล้านเหรียญ การเอาใจสมันน้อยของจีน เป็นที่ฮือฮากัน ถึงขนาดได้ยินไปถึงหูพี่เบิ้มว่า ทหารใหญ่ท่านหนึ่งของไทย (อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลยนะ ตอนนี้รู้สึก มีคนอยากชวนไปเที่ยวหลายคนแล้ว!) บอกว่า คุยกับจีนสบายใจกว่าอเมริกาที่เอาแต่พูดเรื่องที่ตัวสนใจเช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน และการส่งเสริมประชาธิปไตย นี่ ยังไม่นับ เรื่องการซื้ออาวุธที่สมันน้อย ทำเป็นลืมสัญญา ไปจับมือกับเจ้าอื่นแทน ช่วงที่พี่เบิ้มตัดทุนสนับสนุน แหม เรื่องมัน เดิมๆ ซ้ำซาก แล้วยังงี้ จิ๊กโก๋๋จะทนทำเฉย ไหวหรือ รู้จักภูมิศาสตร์ของจีนก่อน นักอ่านนิทานครับ จะอ่านนิทานตอนนี้ให้ภาพชัด ต้องไปหาแผนที่มาดูประกอบ จีนตั้งอยู่บนเอเซียตะวันออก ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ดินประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร เป็นพื้นที่บนบกใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก (ใครเป็นอันดับ 1 ไปเปิดกูเกิลหาเอาเอง) มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศอื่นๆ 14 ประเทศได้แก่ เวียตนาม ลาว พม่า อินเดีย ภูฐาน เนปาล ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ทาจิกิสถาน คีร์กิสถาน คาซัคสถาน รัสเซีย มองโกเลีย และเกาหลีเหนือ เอ แล้วไม่เห็นมันติดกับไทยแลนด์ตรงไหนเลยนี่ แล้วพวกจิ๊กโก๋๋จะเข้าไปล่วงตับจีนผ่านไทยได้ยังไงหว่า น่าสงสัยนะ ก็น่าสงสัยอยู่หรอก ถ้ามัวแต่ดูข่าวจากช่องที่ถนัดแต่ เอาละคร เรื่องคุณชาย เรื่องแม่ลำยง ลำยอง มาเล่นฯลฯ มันจะไปรู้ได้ยังไง ต้องอ่านนิทานของเรานี่แหละ ถึงจะได้เห็นโลกกว้าง ทางลึกกันบ้าง กลับมาดูประเทศไทย อาณาเขตติดกับประเทศอะไรบ้าง อันนี้ถ้าไม่รู้ เลิกเล่านิทานจริงๆ นะ ลองถามตัวเองดู หลังจากเห็นภูมิศาสตร์อาณาเขตประเทศจีน และประเทศไทยดูแล้ว ทำไมสหรัฐถึงจำเป็นต้องมานั่งประทับทรงอยู่ในไทยแลนด์ ย้อนดูจีนอีกที ไอ้14 ประเทศที่ติดกับจีนน่ะ มีส่วนที่ติดกับ พวกแก๊ง BRICS คือ อินเดีย รัสเซีย และจิ๊กโก๋๋ที่ตัวเล็ก แต่พูดกันไม่รู้เรื่องคือเกาหลีเหนือ อยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ไปยุ่งกับประเทศแถวนั้นเขาได้ไหม หาเรื่องใส่ตัว เอาพวกที่ที่เหลือที่ปั่นหัวง่ายไม่ ดีหรือ ก็คือ เวียตนาม ลาว พม่า ลาวนั้นอเมริกาครอบงำ ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม แล้วไม่เคยปล่อยฝาครอบอีกเลย แทรกแซงตะแบงอุ้มสารพัด จนทุกวันนี้ยังตามเรื่องลาวอพยพ หรือมั้ง ที่อเมริกามาฝากไทยดูแลไว้ ตั้งแต่หลังสงครามเวียตนาม ก็ยังไม่จบสิ้น ขณะนี้พวกม้ง อพยพนี้ ขึ้นกับใครเป็นภาระของใคร ต้องไปถาม กอ.รมน. ส่วนเวียตนามนั้น มันก็เหลือเชื่อ จากที่รบกันจะเป็นจะตาย ฉิบหายกระเป๋าฉีกบ้านช่องวินาศสันตะโรกันไปค่อนโลกกว่า 15 ปี ตอนนี้หันมาจูบปากค้าขายกันเรียบร้อย แล้วพวกเราไม่สงสัยกันบ้างหรือจ้ะว่ามันอะไรกัน รบจริง รักจริง แบบนี้พวกสมันน้อยไม่ทันเขาหร๊อก! หมดห่วงเรื่องลาวกับเวียตนาม ก็เหลือพม่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่อเมริกาเริ่มจะกลับมาภูมิภาคนี้ เพื่อมาเฝ้าระวังจีน หนทางที่จะเข้าพม่าไม่มีเลย คุณน้าอองซานได้แต่เอาดอกไม้แซมผม นั่งเอี้ยมเฟี้ยมถูกกักตัวอยู่แต่ในบ้าน แล้วจิ๊กโก๋๋จะไปคุยกับใคร อ้า! มาแล้ว งั้นก็ต้องคุยกับไทยแลนด์ ที่มีดินแดนติดทั้ง เขมร ลาว และพม่าไง เข้าใจหรือยัง ย้อนไปอ่านตอนต้น ที่เล่าสมัยเหตุการณ์ ร.ศ.112 ก็เหมือนกันเป๊ะ ไอ้จิ๊กโก๋๋รุ่นเก๋า อังกฤษ ฝรั่งเศส คิดยังไง ทำยังไง จิ๊กโก๋๋รุ่นใหม่ ก็คิดเหมือนเดิมนั่นแหละ ก็บอกแล้ว มัน3 เกลอหัวแข็ง ผลัดกันเล่น ผลัดกันตี ลืมไปแล้วหรือไร ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ถ้าอเมริกามาประทับทรงคุมทุกอย่างในไทยแลนด์ได้เหมือนเดิม การจะจับตามอง ส่องกล้องดูอาเฮีย ขยับแข้งรำมวยจีน มันก็ไม่น่ามีปัญหา อาเฮียก็ต้องคิดหนักนะ อย่าลืมเรื่องมณฑลยูนาน ดอยตุง ดาวเทียมไทยคม อู่ตะเภา 4 เรื่องนี่มันเกี่ยวกันนะ เล่ามากกว่านี้เดี๋ยวถูกจับ เมื่อปี ค.ศ.1999 สมัยรัฐบาลบุช (Bush) ตัวพ่อ อเมริกาเห็นจีนเริ่มโต ชักไม่พอใจ แต่ตัวเองกำลังกระเป๋าแฟบ เศรษฐกิจไม่ดี ก็ยังอยากต้มให้จีนมาลงทุนใช้เป็นตลาด เพราะฉะนั้น นโยบายสหรัฐกับจีน ช่วงนั้นก็ยังเป็นคบๆ ค้าๆ อะไรทำนองนั้น แต่ภาษาการทูตของเขาก็บอกเฝ้าระวัง ช่างใช้คำพูดจริง ผ่านไป 10 ปี อาเฮีย รัศมีเงินจับ มีพลเมืองเป็นเศรษฐีเพิ่มขึ้น จนพวกหัวทองชักอิจฉาเปลี่ยนจากตาสีฟ้าเป็นตาสีเขียว อาเฮียเริ่มสร้างบ้าน แปลงเมือง ปรับปรุงกองทัพ พัฒนาการกว้างไกล ถนนทุกสายมุ่งสู่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ แล้วจิ๊กโก๋๋จะทนได้ไง แบบนี้ไอ้คบๆ ค้าๆ มันก็ต้องเปลี่ยนเป็น ค้าๆ คุมๆ ยิ่งวันก็ยิ่งหนักไปทางคุมเข้ม นโยบายสูตร containment ก็เริ่มเข้มขึ้นเพราะฉะนั้น แค่เอาพวกมาฝึกคอบบร้า โกลด์ (Cobra Gold) กับไทยแลนด์เฉยๆ น่ะ มันถ้าจะไม่พอแล้วมั้ง คนเล่านิทาน
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว?

    YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ

    แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส

    ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง

    YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ
    ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก

    หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม
    พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท

    ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน
    และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์

    ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย
    เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด

    ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ
    เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง

    ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play
    ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม

    การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้
    เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน

    กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่
    เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น

    การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง
    แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด

    การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต
    โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง

    https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    🧠🔞 YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ: ปกป้องเยาวชนหรือรุกล้ำความเป็นส่วนตัว? YouTube เริ่มทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ โดยไม่พึ่งข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอกเอง แต่ใช้พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประเภทวิดีโอที่ดู, คำค้นหา, และอายุบัญชี เพื่อประเมินว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเยาวชน หากระบบ AI ประเมินว่าเป็นเยาวชน YouTube จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม, เปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดการดูเนื้อหาบางประเภทโดยอัตโนมัติ แม้เป้าหมายคือการปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิส่วนบุคคลเตือนว่า ระบบนี้อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในการแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องส่งบัตรประชาชน, บัตรเครดิต หรือภาพถ่ายตนเองเพื่อยืนยันอายุ ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการเก็บข้อมูลส่วนตัวโดยไม่มีความโปร่งใส ระบบนี้ยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่น เพราะโฆษณาแบบเจาะกลุ่มจะถูกปิด และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาจถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ YouTube ทดสอบระบบตรวจสอบอายุด้วย AI ในสหรัฐฯ ➡️ ใช้พฤติกรรมการใช้งานแทนข้อมูลวันเกิดที่ผู้ใช้กรอก ✅ หากระบบประเมินว่าเป็นเยาวชน จะปิดโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม ➡️ พร้อมเปิดฟีเจอร์ดูแลสุขภาพดิจิทัล และจำกัดเนื้อหาบางประเภท ✅ ระบบนี้เคยใช้ในอังกฤษและออสเตรเลียมาก่อน ➡️ และกำลังขยายสู่สหรัฐฯ ตามแรงกดดันจากกฎหมายความปลอดภัยออนไลน์ ✅ ผู้ใช้ที่ถูกประเมินผิดต้องยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชนหรือภาพถ่าย ➡️ เพื่อขอสิทธิ์เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกจำกัด ✅ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นกลุ่มวัยรุ่นจะได้รับผลกระทบ ➡️ เพราะโฆษณาและเนื้อหาถูกจำกัดการเข้าถึง ✅ ระบบนี้อาจขยายไปยังบริการอื่นของ Google เช่น Google Ads และ Google Play ➡️ ส่งผลต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลโดยรวม ✅ การตรวจสอบอายุด้วย AI เป็นแนวทางใหม่ที่หลายแพลตฟอร์มเริ่มนำมาใช้ ➡️ เช่น TikTok และ Instagram ก็เริ่มใช้ระบบคล้ายกัน ✅ กฎหมาย Online Safety Act ในอังกฤษบังคับให้แพลตฟอร์มปกป้องเยาวชนจากเนื้อหาผู้ใหญ่ ➡️ เป็นแรงผลักดันให้ YouTube ปรับระบบในประเทศอื่น ✅ การใช้ AI ประเมินอายุช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลส่วนตัวโดยตรง ➡️ แต่ต้องมีความแม่นยำสูงเพื่อไม่ให้เกิดการประเมินผิด ✅ การจำกัดเนื้อหาสำหรับเยาวชนอาจช่วยลดผลกระทบด้านสุขภาพจิต ➡️ โดยเฉพาะเนื้อหาที่กระตุ้นความเครียดหรือพฤติกรรมเสี่ยง https://wccftech.com/youtube-tests-ai-powered-age-verification-in-the-u-s-to-safeguard-teens/
    WCCFTECH.COM
    YouTube Tests AI-Powered Age Verification In The U.S. To Safeguard Teens While Navigating Privacy And Free Speech Challenges
    YouTube is testing a new age-verification system in the U.S. that relies on the technology to distinguish adults and minors
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพ เพื่อช่วยประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง

    ในช่วงฤดูร้อนปี 2025 อังกฤษเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยมี 5 พื้นที่เข้าสู่สถานะ “ภัยแล้ง” อย่างเป็นทางการ และอีก 6 พื้นที่มีสภาพอากาศแห้งต่อเนื่อง รัฐบาลจึงประกาศให้สถานการณ์นี้เป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” และขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดการใช้น้ำ

    มาตรการทั่วไปที่แนะนำ ได้แก่ การลดเวลาการอาบน้ำ, ไม่รดน้ำสนามหญ้า, ใช้น้ำฝนรดต้นไม้, และซ่อมแซมห้องน้ำที่รั่ว แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงคือคำแนะนำให้ “ลบอีเมลและรูปภาพเก่า” เพราะ “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน”

    แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า การลบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการลดการใช้น้ำในภาพรวม และอาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ด้วยซ้ำ

    นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของผู้ใช้ชาวอังกฤษจำนวนมากถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าการลบข้อมูลอาจไม่ได้ช่วยลดการใช้น้ำในอังกฤษเลย

    รัฐบาลอังกฤษประกาศภัยแล้งเป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ”
    หลังจาก 6 เดือนที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976

    5 พื้นที่ในอังกฤษเข้าสู่สถานะภัยแล้ง และอีก 6 พื้นที่มีสภาพแห้งต่อเนื่อง
    ระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง

    รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพเก่า
    โดยอ้างว่า “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน”

    มาตรการอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ลดเวลาการอาบน้ำ, ใช้น้ำฝน, ซ่อมห้องน้ำรั่ว
    เป็นวิธีที่มีผลต่อการลดการใช้น้ำโดยตรง

    ศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบ evaporative cooling ที่ใช้น้ำ
    โดยเฉพาะศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีการประมวลผลสูง

    ศูนย์ข้อมูลขนาด 1 เมกะวัตต์อาจใช้น้ำถึง 26 ล้านลิตรต่อปี
    เทียบเท่าการใช้น้ำของเมืองขนาดกลาง

    การลบข้อมูลจาก cloud อาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ
    เพราะต้องมีการประมวลผลและยืนยันการลบ

    ข้อมูลของผู้ใช้ในอังกฤษอาจถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ
    ไม่มีข้อบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ

    การลดการใช้ AI และการประมวลผลขนาดใหญ่มีผลต่อการลดการใช้น้ำมากกว่า
    เช่น การลดการใช้โมเดล generative AI ที่ใช้พลังงานสูง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-government-inexplicably-tells-citizens-to-delete-old-emails-and-pictures-to-save-water-during-national-drought-data-centres-require-vast-amounts-of-water-to-cool-their-systems
    💧📂 เมื่อรัฐบาลอังกฤษขอให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพ เพื่อช่วยประหยัดน้ำในช่วงภัยแล้ง ในช่วงฤดูร้อนปี 2025 อังกฤษเผชิญกับภัยแล้งครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 โดยมี 5 พื้นที่เข้าสู่สถานะ “ภัยแล้ง” อย่างเป็นทางการ และอีก 6 พื้นที่มีสภาพอากาศแห้งต่อเนื่อง รัฐบาลจึงประกาศให้สถานการณ์นี้เป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” และขอให้ประชาชนร่วมมือกันลดการใช้น้ำ มาตรการทั่วไปที่แนะนำ ได้แก่ การลดเวลาการอาบน้ำ, ไม่รดน้ำสนามหญ้า, ใช้น้ำฝนรดต้นไม้, และซ่อมแซมห้องน้ำที่รั่ว แต่สิ่งที่สร้างความงุนงงคือคำแนะนำให้ “ลบอีเมลและรูปภาพเก่า” เพราะ “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน” แม้จะมีข้อเท็จจริงว่าศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายชี้ว่า การลบข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่มีผลต่อการลดการใช้น้ำในภาพรวม และอาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่า ข้อมูลของผู้ใช้ชาวอังกฤษจำนวนมากถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ซึ่งหมายความว่าการลบข้อมูลอาจไม่ได้ช่วยลดการใช้น้ำในอังกฤษเลย ✅ รัฐบาลอังกฤษประกาศภัยแล้งเป็น “เหตุการณ์ระดับชาติ” ➡️ หลังจาก 6 เดือนที่แห้งแล้งที่สุดนับตั้งแต่ปี 1976 ✅ 5 พื้นที่ในอังกฤษเข้าสู่สถานะภัยแล้ง และอีก 6 พื้นที่มีสภาพแห้งต่อเนื่อง ➡️ ระดับน้ำในแม่น้ำและอ่างเก็บน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง ✅ รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนลบอีเมลและรูปภาพเก่า ➡️ โดยอ้างว่า “ศูนย์ข้อมูลใช้ปริมาณน้ำมหาศาลในการระบายความร้อน” ✅ มาตรการอื่นที่แนะนำ ได้แก่ ลดเวลาการอาบน้ำ, ใช้น้ำฝน, ซ่อมห้องน้ำรั่ว ➡️ เป็นวิธีที่มีผลต่อการลดการใช้น้ำโดยตรง ✅ ศูนย์ข้อมูลบางแห่งใช้ระบบ evaporative cooling ที่ใช้น้ำ ➡️ โดยเฉพาะศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีการประมวลผลสูง ✅ ศูนย์ข้อมูลขนาด 1 เมกะวัตต์อาจใช้น้ำถึง 26 ล้านลิตรต่อปี ➡️ เทียบเท่าการใช้น้ำของเมืองขนาดกลาง ✅ การลบข้อมูลจาก cloud อาจใช้พลังงานมากกว่าการเก็บไว้เฉย ๆ ➡️ เพราะต้องมีการประมวลผลและยืนยันการลบ ✅ ข้อมูลของผู้ใช้ในอังกฤษอาจถูกเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลต่างประเทศ ➡️ ไม่มีข้อบังคับให้เก็บข้อมูลภายในประเทศ ✅ การลดการใช้ AI และการประมวลผลขนาดใหญ่มีผลต่อการลดการใช้น้ำมากกว่า ➡️ เช่น การลดการใช้โมเดล generative AI ที่ใช้พลังงานสูง https://www.tomshardware.com/tech-industry/uk-government-inexplicably-tells-citizens-to-delete-old-emails-and-pictures-to-save-water-during-national-drought-data-centres-require-vast-amounts-of-water-to-cool-their-systems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อภาพลวงตากลายเป็นกับดัก: Deepfake Steve Wozniak กับกลโกง Bitcoin ที่สื่อยังพลาด

    ลองจินตนาการว่าเห็นคลิปของ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple พูดถึง Bitcoin พร้อมข้อความว่า “ส่งมา 1 BTC แล้วจะได้คืน 2 BTC” — หลายคนหลงเชื่อ เพราะภาพนั้นดูจริง เสียงนั้นเหมือน และชื่อ Wozniak ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้คนไว้ใจ

    แต่ทั้งหมดนั้นคือกลโกงที่ใช้ deepfake และภาพเก่าของ Wozniak มาตัดต่อหลอกลวง โดยมีเหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปถึงขั้นหมดตัว

    CBS News ได้เชิญ Wozniak มาพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ แต่กลับพลาดอย่างแรง—ใช้ภาพหุ่นยนต์จาก Disney EPCOT ที่ดูคล้าย Wozniak แทนภาพจริง ทำให้ประเด็นเรื่อง “ภาพปลอม” กลายเป็นเรื่องจริงในรายการข่าวเอง

    Wozniak เคยฟ้อง YouTube ตั้งแต่ปี 2020 ฐานปล่อยให้มีคลิปหลอกลวงใช้ภาพเขา แต่คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ที่คุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผู้ใช้

    เขาและภรรยา Janet Hill เล่าว่าเหยื่อบางคนถึงขั้นส่งอีเมลมาถามว่า “เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” เพราะเชื่อว่า Wozniak เป็นคนรับเงินไปจริง ๆ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาดไปทั่ว Elon Musk, Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน และแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Meta, X ยังถูกวิจารณ์ว่าควบคุมเนื้อหาไม่ทัน

    Steve Wozniak ถูกใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อหลอกลวง Bitcoin
    เหยื่อถูกหลอกให้ส่งเงินโดยสัญญาว่าจะได้คืนสองเท่า

    CBS เชิญ Wozniak มาเล่าเรื่อง แต่ใช้ภาพหุ่นยนต์ Disney แทนภาพจริง
    กลายเป็นการตอกย้ำปัญหาภาพปลอมในสื่อ

    Wozniak เคยฟ้อง YouTube ฐานปล่อยคลิปหลอกลวงในปี 2020
    คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230

    ภรรยา Wozniak ได้รับอีเมลจากเหยื่อที่เชื่อว่าเขาเป็นผู้รับเงิน
    แสดงให้เห็นว่าผู้คนเชื่อภาพปลอมอย่างจริงจัง

    Deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาด
    Elon Musk และ Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพในกลโกงคล้ายกัน

    CBS เตือนให้ผู้ชมระวังและตรวจสอบความจริงของเนื้อหาดิจิทัล
    ไม่ควรเชื่อภาพหรือเสียงเพียงอย่างเดียว

    FBI รายงานว่าปี 2024 มีผู้เสียหายจากกลโกงออนไลน์กว่า $9.3 พันล้าน
    ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก

    Deepfake ถูกใช้ในกลโกงคริปโตสูงถึง 40% ของมูลค่าการหลอกลวง
    เป็นเครื่องมือหลักของแฮกเกอร์ยุคใหม่

    Google ลบโฆษณาหลอกลวงกว่า 5.1 พันล้านรายการในปีเดียว
    แต่ยังมีช่องโหว่ให้โฆษณาหลอกลวงเล็ดลอด

    นักการเมืองในอังกฤษเรียกร้องให้ควบคุมโฆษณาออนไลน์เหมือนทีวี
    เพื่อปิดช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้หลอกลวง

    https://wccftech.com/cbs-reveals-bitcoin-scams-exploiting-steve-wozniaks-image-but-accidentally-features-disney-animatronic/
    🎭💸 เมื่อภาพลวงตากลายเป็นกับดัก: Deepfake Steve Wozniak กับกลโกง Bitcoin ที่สื่อยังพลาด ลองจินตนาการว่าเห็นคลิปของ Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple พูดถึง Bitcoin พร้อมข้อความว่า “ส่งมา 1 BTC แล้วจะได้คืน 2 BTC” — หลายคนหลงเชื่อ เพราะภาพนั้นดูจริง เสียงนั้นเหมือน และชื่อ Wozniak ก็มีน้ำหนักพอจะทำให้คนไว้ใจ แต่ทั้งหมดนั้นคือกลโกงที่ใช้ deepfake และภาพเก่าของ Wozniak มาตัดต่อหลอกลวง โดยมีเหยื่อจำนวนมากสูญเงินไปถึงขั้นหมดตัว CBS News ได้เชิญ Wozniak มาพูดถึงเรื่องนี้ในรายการ แต่กลับพลาดอย่างแรง—ใช้ภาพหุ่นยนต์จาก Disney EPCOT ที่ดูคล้าย Wozniak แทนภาพจริง ทำให้ประเด็นเรื่อง “ภาพปลอม” กลายเป็นเรื่องจริงในรายการข่าวเอง Wozniak เคยฟ้อง YouTube ตั้งแต่ปี 2020 ฐานปล่อยให้มีคลิปหลอกลวงใช้ภาพเขา แต่คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ที่คุ้มครองแพลตฟอร์มจากความรับผิดชอบต่อเนื้อหาผู้ใช้ เขาและภรรยา Janet Hill เล่าว่าเหยื่อบางคนถึงขั้นส่งอีเมลมาถามว่า “เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” เพราะเชื่อว่า Wozniak เป็นคนรับเงินไปจริง ๆ สิ่งที่น่ากังวลคือ deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาดไปทั่ว Elon Musk, Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพหลอกลวงในลักษณะเดียวกัน และแพลตฟอร์มอย่าง YouTube, Meta, X ยังถูกวิจารณ์ว่าควบคุมเนื้อหาไม่ทัน ✅ Steve Wozniak ถูกใช้ภาพและเสียงปลอมเพื่อหลอกลวง Bitcoin ➡️ เหยื่อถูกหลอกให้ส่งเงินโดยสัญญาว่าจะได้คืนสองเท่า ✅ CBS เชิญ Wozniak มาเล่าเรื่อง แต่ใช้ภาพหุ่นยนต์ Disney แทนภาพจริง ➡️ กลายเป็นการตอกย้ำปัญหาภาพปลอมในสื่อ ✅ Wozniak เคยฟ้อง YouTube ฐานปล่อยคลิปหลอกลวงในปี 2020 ➡️ คดีถูกยกฟ้องในปี 2021 เพราะกฎหมาย Section 230 ✅ ภรรยา Wozniak ได้รับอีเมลจากเหยื่อที่เชื่อว่าเขาเป็นผู้รับเงิน ➡️ แสดงให้เห็นว่าผู้คนเชื่อภาพปลอมอย่างจริงจัง ✅ Deepfake และการปลอมแปลงตัวตนดิจิทัลกำลังระบาด ➡️ Elon Musk และ Jeff Bezos ก็เคยถูกใช้ภาพในกลโกงคล้ายกัน ✅ CBS เตือนให้ผู้ชมระวังและตรวจสอบความจริงของเนื้อหาดิจิทัล ➡️ ไม่ควรเชื่อภาพหรือเสียงเพียงอย่างเดียว ✅ FBI รายงานว่าปี 2024 มีผู้เสียหายจากกลโกงออนไลน์กว่า $9.3 พันล้าน ➡️ ตัวเลขจริงอาจสูงกว่านี้มาก ✅ Deepfake ถูกใช้ในกลโกงคริปโตสูงถึง 40% ของมูลค่าการหลอกลวง ➡️ เป็นเครื่องมือหลักของแฮกเกอร์ยุคใหม่ ✅ Google ลบโฆษณาหลอกลวงกว่า 5.1 พันล้านรายการในปีเดียว ➡️ แต่ยังมีช่องโหว่ให้โฆษณาหลอกลวงเล็ดลอด ✅ นักการเมืองในอังกฤษเรียกร้องให้ควบคุมโฆษณาออนไลน์เหมือนทีวี ➡️ เพื่อปิดช่องโหว่ที่ผู้ไม่หวังดีใช้หลอกลวง https://wccftech.com/cbs-reveals-bitcoin-scams-exploiting-steve-wozniaks-image-but-accidentally-features-disney-animatronic/
    WCCFTECH.COM
    CBS Unmasks Bitcoin Scams Using Deepfake Steve Wozniak, Accidentally Showcases Disney Animatronic, Exposing the Growing Digital Identity Fraud Threat
    Steve Wozniak shared about internet scammers and deepfakes on CBS only to have the news outlet feature a fake image of him.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ScarCruft จากสายลับสู่โจรเรียกค่าไถ่

    ScarCruft กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ เคยเป็นที่รู้จักในฐานะสายลับไซเบอร์ที่เน้นการขโมยข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลและบุคคลสำคัญในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และรัสเซีย แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 พวกเขาเปลี่ยนแนวทางครั้งใหญ่ โดยหันมาใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (ransomware) ชื่อว่า VCD เพื่อโจมตีแบบหวังผลทางการเงิน

    การโจมตีครั้งนี้ดำเนินการโดยกลุ่มย่อยชื่อ ChinopuNK ผ่านอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ปลอมซึ่งแอบอ้างว่าเป็นการอัปเดตรหัสไปรษณีย์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์จะถูกติดตั้งมัลแวร์มากกว่า 9 ชนิด รวมถึง ChillyChino รุ่นใหม่, LightPeek, FadeStealer และ NubSpy ซึ่งเป็น backdoor ที่เขียนด้วยภาษา Rust และใช้บริการ PubNub เพื่อซ่อนการสื่อสารให้ดูเหมือนทราฟฟิกปกติ

    ที่น่าตกใจคือ VCD ransomware ไม่เพียงเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ แต่ยังแสดงข้อความเรียกค่าไถ่ทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลี สะท้อนว่าพวกเขาเตรียมพร้อมโจมตีทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    นักวิเคราะห์จาก DeepTempo เตือนว่า การใช้ ransomware อาจไม่ใช่แค่การหาเงิน แต่เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากการขโมยข้อมูล หรือใช้กดดันทางการเมือง ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ของกลุ่ม APT ที่ผสมผสานการจารกรรมกับอาชญากรรมไซเบอร์

    ScarCruft เปลี่ยนจากการจารกรรมมาใช้ ransomware ชื่อ VCD
    เป็นการโจมตีแบบหวังผลทางการเงินครั้งแรกของกลุ่ม

    การโจมตีดำเนินการโดยกลุ่มย่อย ChinopuNK
    ใช้อีเมลฟิชชิ่งปลอมเป็นไฟล์อัปเดตรหัสไปรษณีย์

    มัลแวร์ที่ใช้มีมากกว่า 9 ชนิด รวมถึง ChillyChino รุ่นใหม่
    และ backdoor NubSpy ที่เขียนด้วยภาษา Rust

    NubSpy ใช้ PubNub เพื่อซ่อนการสื่อสารให้ดูเหมือนปกติ
    ทำให้ตรวจจับได้ยาก

    VCD ransomware เข้ารหัสไฟล์และแสดงข้อความเรียกค่าไถ่
    มีทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลี

    นักวิเคราะห์ชี้ว่า ransomware อาจใช้เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนหรือกดดัน
    ไม่ใช่แค่การหาเงิน แต่เป็นยุทธศาสตร์หลายชั้น

    https://hackread.com/north-korean-group-scarcruft-spying-ransomware-attacks/
    🕵️‍♂️💰 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ScarCruft จากสายลับสู่โจรเรียกค่าไถ่ ScarCruft กลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเกาหลีเหนือ เคยเป็นที่รู้จักในฐานะสายลับไซเบอร์ที่เน้นการขโมยข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลและบุคคลสำคัญในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และรัสเซีย แต่ในเดือนกรกฎาคม 2025 พวกเขาเปลี่ยนแนวทางครั้งใหญ่ โดยหันมาใช้มัลแวร์เรียกค่าไถ่ (ransomware) ชื่อว่า VCD เพื่อโจมตีแบบหวังผลทางการเงิน การโจมตีครั้งนี้ดำเนินการโดยกลุ่มย่อยชื่อ ChinopuNK ผ่านอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ปลอมซึ่งแอบอ้างว่าเป็นการอัปเดตรหัสไปรษณีย์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์จะถูกติดตั้งมัลแวร์มากกว่า 9 ชนิด รวมถึง ChillyChino รุ่นใหม่, LightPeek, FadeStealer และ NubSpy ซึ่งเป็น backdoor ที่เขียนด้วยภาษา Rust และใช้บริการ PubNub เพื่อซ่อนการสื่อสารให้ดูเหมือนทราฟฟิกปกติ ที่น่าตกใจคือ VCD ransomware ไม่เพียงเข้ารหัสไฟล์ของเหยื่อ แต่ยังแสดงข้อความเรียกค่าไถ่ทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลี สะท้อนว่าพวกเขาเตรียมพร้อมโจมตีทั้งในประเทศและต่างประเทศ นักวิเคราะห์จาก DeepTempo เตือนว่า การใช้ ransomware อาจไม่ใช่แค่การหาเงิน แต่เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากการขโมยข้อมูล หรือใช้กดดันทางการเมือง ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ของกลุ่ม APT ที่ผสมผสานการจารกรรมกับอาชญากรรมไซเบอร์ ✅ ScarCruft เปลี่ยนจากการจารกรรมมาใช้ ransomware ชื่อ VCD ➡️ เป็นการโจมตีแบบหวังผลทางการเงินครั้งแรกของกลุ่ม ✅ การโจมตีดำเนินการโดยกลุ่มย่อย ChinopuNK ➡️ ใช้อีเมลฟิชชิ่งปลอมเป็นไฟล์อัปเดตรหัสไปรษณีย์ ✅ มัลแวร์ที่ใช้มีมากกว่า 9 ชนิด รวมถึง ChillyChino รุ่นใหม่ ➡️ และ backdoor NubSpy ที่เขียนด้วยภาษา Rust ✅ NubSpy ใช้ PubNub เพื่อซ่อนการสื่อสารให้ดูเหมือนปกติ ➡️ ทำให้ตรวจจับได้ยาก ✅ VCD ransomware เข้ารหัสไฟล์และแสดงข้อความเรียกค่าไถ่ ➡️ มีทั้งภาษาอังกฤษและเกาหลี ✅ นักวิเคราะห์ชี้ว่า ransomware อาจใช้เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนหรือกดดัน ➡️ ไม่ใช่แค่การหาเงิน แต่เป็นยุทธศาสตร์หลายชั้น https://hackread.com/north-korean-group-scarcruft-spying-ransomware-attacks/
    HACKREAD.COM
    North Korean Group ScarCruft Expands From Spying to Ransomware Attacks
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเงามืด: Tor จากโครงการทหารสู่เครื่องมือแห่งเสรีภาพดิจิทัล

    ลองจินตนาการว่าคุณนั่งอยู่บนรถไฟเก่าในอังกฤษ อากาศเย็นจัดและ Wi-Fi ก็ไม่ค่อยดีนัก คุณพยายามเปิดเว็บไซต์เพื่อทำวิจัย แต่กลับเจอหน้าบล็อกจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต คุณถอนหายใจ เปิด Tor Browser แล้วพิมพ์ URL... เว็บไซต์โหลดขึ้นทันที

    นี่คือพลังของ Tor—เครื่องมือที่เริ่มต้นจากโครงการของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อการสื่อสารลับ และกลายเป็นเสาหลักของความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์

    Tor ย่อมาจาก “The Onion Router” เป็นเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์กระจายทั่วโลกที่เข้ารหัสข้อมูลหลายชั้น แล้วส่งผ่านโหนดต่าง ๆ เพื่อปกปิดตัวตนของผู้ใช้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์หรือเผชิญกับการติดตามจากรัฐ Tor ก็ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลอย่างอิสระ

    แม้ Tor จะถูกมองว่าเป็นประตูสู่ Dark Web ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม แต่ก็เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักข่าว นักเคลื่อนไหว และประชาชนในประเทศเผด็จการ ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ถูกตรวจสอบ

    ในยุค 1990s กลุ่ม Cypherpunks ได้ต่อสู้ใน “Crypto Wars” เพื่อผลักดันการใช้การเข้ารหัสระดับทหารในสาธารณะ พวกเขาเตือนว่าอินเทอร์เน็ตอาจกลายเป็นฝันร้ายแบบเผด็จการ และ Tor คือหนึ่งในผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้น

    แม้รัฐบาลบางส่วนจะพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ต แต่กลับเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนา Tor ด้วยงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น DARPA, กองทัพเรือ, และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ

    Tor เริ่มต้นจากโครงการของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในปี 1990s
    พัฒนาโดยนักวิจัยจาก Naval Research Lab เพื่อสร้างการสื่อสารที่ไม่สามารถติดตามได้

    Tor Browser ใช้เทคนิค “onion routing” เพื่อเข้ารหัสข้อมูลหลายชั้น
    ส่งผ่านโหนด 3 ชั้น: Entry, Middle, Exit เพื่อปกปิดตัวตน

    Tor ถูกใช้เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกในประเทศเผด็จการ
    เช่น BBC และ Facebook มีเวอร์ชันเฉพาะบน Tor

    Tor ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กรสิทธิมนุษยชน
    เช่น EFF, Human Rights Watch, Google และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ

    Cypherpunks เป็นกลุ่มผู้ผลักดันการเข้ารหัสเพื่อเสรีภาพดิจิทัล
    เตือนว่าอินเทอร์เน็ตอาจกลายเป็นเครื่องมือของรัฐเผด็จการ

    Tor Browser ไม่เก็บประวัติการใช้งาน และลบ cookies ทุกครั้งที่ปิด
    ป้องกันการติดตามและการระบุตัวตนจากเว็บไซต์

    Tor ถูกใช้ในเหตุการณ์ Arab Spring เพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์
    ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงโซเชียลมีเดียและข่าวสารที่ถูกบล็อก

    Tor เป็นโอเพ่นซอร์สและมีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก
    มีโหนด relays กว่าหลายพันจุดที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร

    Tor Browser มีฟีเจอร์ป้องกัน fingerprinting และการติดตามขั้นสูง
    ถูกนำไปใช้ในเบราว์เซอร์อื่น เช่น Firefox ผ่านโครงการ Tor Uplift

    Tor สามารถใช้ร่วมกับ VPN เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น
    โดยเฉพาะในประเทศที่มีการตรวจสอบการเชื่อมต่อ Tor

    https://thereader.mitpress.mit.edu/the-secret-history-of-tor-how-a-military-project-became-a-lifeline-for-privacy/
    🕵️‍♂️🌐 เรื่องเล่าจากเงามืด: Tor จากโครงการทหารสู่เครื่องมือแห่งเสรีภาพดิจิทัล ลองจินตนาการว่าคุณนั่งอยู่บนรถไฟเก่าในอังกฤษ อากาศเย็นจัดและ Wi-Fi ก็ไม่ค่อยดีนัก คุณพยายามเปิดเว็บไซต์เพื่อทำวิจัย แต่กลับเจอหน้าบล็อกจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต คุณถอนหายใจ เปิด Tor Browser แล้วพิมพ์ URL... เว็บไซต์โหลดขึ้นทันที นี่คือพลังของ Tor—เครื่องมือที่เริ่มต้นจากโครงการของกองทัพเรือสหรัฐฯ เพื่อการสื่อสารลับ และกลายเป็นเสาหลักของความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ Tor ย่อมาจาก “The Onion Router” เป็นเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์กระจายทั่วโลกที่เข้ารหัสข้อมูลหลายชั้น แล้วส่งผ่านโหนดต่าง ๆ เพื่อปกปิดตัวตนของผู้ใช้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในประเทศที่มีการเซ็นเซอร์หรือเผชิญกับการติดตามจากรัฐ Tor ก็ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลอย่างอิสระ แม้ Tor จะถูกมองว่าเป็นประตูสู่ Dark Web ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม แต่ก็เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักข่าว นักเคลื่อนไหว และประชาชนในประเทศเผด็จการ ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ถูกตรวจสอบ ในยุค 1990s กลุ่ม Cypherpunks ได้ต่อสู้ใน “Crypto Wars” เพื่อผลักดันการใช้การเข้ารหัสระดับทหารในสาธารณะ พวกเขาเตือนว่าอินเทอร์เน็ตอาจกลายเป็นฝันร้ายแบบเผด็จการ และ Tor คือหนึ่งในผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้น แม้รัฐบาลบางส่วนจะพยายามควบคุมอินเทอร์เน็ต แต่กลับเป็นผู้สนับสนุนการพัฒนา Tor ด้วยงบประมาณจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น DARPA, กองทัพเรือ, และกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ✅ Tor เริ่มต้นจากโครงการของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในปี 1990s ➡️ พัฒนาโดยนักวิจัยจาก Naval Research Lab เพื่อสร้างการสื่อสารที่ไม่สามารถติดตามได้ ✅ Tor Browser ใช้เทคนิค “onion routing” เพื่อเข้ารหัสข้อมูลหลายชั้น ➡️ ส่งผ่านโหนด 3 ชั้น: Entry, Middle, Exit เพื่อปกปิดตัวตน ✅ Tor ถูกใช้เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกในประเทศเผด็จการ ➡️ เช่น BBC และ Facebook มีเวอร์ชันเฉพาะบน Tor ✅ Tor ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กรสิทธิมนุษยชน ➡️ เช่น EFF, Human Rights Watch, Google และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ✅ Cypherpunks เป็นกลุ่มผู้ผลักดันการเข้ารหัสเพื่อเสรีภาพดิจิทัล ➡️ เตือนว่าอินเทอร์เน็ตอาจกลายเป็นเครื่องมือของรัฐเผด็จการ ✅ Tor Browser ไม่เก็บประวัติการใช้งาน และลบ cookies ทุกครั้งที่ปิด ➡️ ป้องกันการติดตามและการระบุตัวตนจากเว็บไซต์ ✅ Tor ถูกใช้ในเหตุการณ์ Arab Spring เพื่อหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ ➡️ ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงโซเชียลมีเดียและข่าวสารที่ถูกบล็อก ✅ Tor เป็นโอเพ่นซอร์สและมีผู้ใช้งานหลายล้านคนทั่วโลก ➡️ มีโหนด relays กว่าหลายพันจุดที่ดำเนินการโดยอาสาสมัคร ✅ Tor Browser มีฟีเจอร์ป้องกัน fingerprinting และการติดตามขั้นสูง ➡️ ถูกนำไปใช้ในเบราว์เซอร์อื่น เช่น Firefox ผ่านโครงการ Tor Uplift ✅ Tor สามารถใช้ร่วมกับ VPN เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้น ➡️ โดยเฉพาะในประเทศที่มีการตรวจสอบการเชื่อมต่อ Tor https://thereader.mitpress.mit.edu/the-secret-history-of-tor-how-a-military-project-became-a-lifeline-for-privacy/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=bWSSEf4s4QI
    เกมทายภาพสัตว์ป่าสำหรับเด็ก ชุดที่ 1 | Animal Guessing Game for Kids
    #เกมภาษาอังกฤษ #ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก #สัตว์น่ารู้
    https://www.youtube.com/watch?v=bWSSEf4s4QI เกมทายภาพสัตว์ป่าสำหรับเด็ก ชุดที่ 1 | Animal Guessing Game for Kids #เกมภาษาอังกฤษ #ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก #สัตว์น่ารู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ทำงานเทศบาลวันที่ 5 แล้วครับ พรุ่งนี้ก็วันที่ 6 พอดี ก่อนหยุดยาวตามวันหยุดราชการ 4 วัน แต่การปรับคอมให้ใช้โหมดโทนมืดแทนโทนสว่าง เพราะประหยัดพลังงาน เห็นโปรแกรมเมอร์ที่เห็นผ่านๆตามาก็ยังใช้โหมดมืดเลยนะครับ พักนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกลับ แต่ช่วงเย็นรถติดเลยดีเลย์หน่อย แต่ชีวิตมันต้องสู้ เมื่อวานรับบัตร PT คืนจากร้านพันธุ์ไทย เพราะลืมไว้เมื่อวันเสาร์ ไปแมกซ์มาร์ท บัตร PT หาย เพราะลืมไว้ที่ร้านพันธุ์ไทยใกล้บ้านผมเองครับ ผมอาจจะอัพเดทความคืบหน้าของงานที่ผมกำลังจะขับเคลื่อนด้วยแนวความคิดใหม่และวิถีใหม่ ลงใน Thaitimes,VK,Linkedin
    ภูมิใจสุดๆที่ได้นำบุรีรัมย์โมเดลมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตทำให้อะไรๆก็ง่ายสบายคล่องขึ้นไปหมดครับ งานก็ไม่ได้ดีเลย์อย่างที่คิดเลย แต่ใส่หูฟังไป พอเขารีเควสงานผมก็ตอบรับและทำทันทีไม่ต้องพูดอะไรเยอะ แต่ก็งานไวดีอยู่ ตอนเป็นลูกจ้าง กกต. ก็ใช้หลักการ 7 ข้อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการที่ออกข้อสอบ ก.พ. กันบ่อย ไม่เสียแรงเลยจริงๆที่ฝึกทำข้อสอบกฎหมาย ก.พ. 600 ข้อ + 30 ข้อ และทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้ แต่เกือบประมาทเรื่อง Immediately จริงๆมันก็ความหมายตรงกับ Urgent นั่นแหละ แปลว่า เร่งด่วน และ ด่วนทันที เลยเข้าใจโครงสร้างศัพท์ภาษาอังกฤษไปบ้างจากที่ฟังคลิปภาษาอังกฤษหลายๆคลิป ประกอบกับวันใกล้สอบมาฝึกทำข้อสอบภาษาอังกฤษ เป็นอะไรที่ Flow เอามากๆเลยนะครับ ตัดมาที่ความรู้ความสามารถทั่วไป ไอ้เหี้ยอนุกรมแม่งยากอะไรเบอร์นั้นวะ อนุกรมฟูเรียร์ อนุกรมเทย์เลอร์ อนุกรมโบดี(ระบบควบคุม) ยังไม่ยากเท่าอนุกรมที่เจอในห้องสอบเลย ทดเกือบชั่วโมง โอย กระทบกับ สถิติ เงื่อนไขสัญลักษณ์ เงื่อนไขตาราง แต่เดาล้วนๆเพื่อแก้ทาง แต่ทำครบทุกข้อเกือบไม่ทันอะ
    วันนี้ทำงานเทศบาลวันที่ 5 แล้วครับ พรุ่งนี้ก็วันที่ 6 พอดี ก่อนหยุดยาวตามวันหยุดราชการ 4 วัน แต่การปรับคอมให้ใช้โหมดโทนมืดแทนโทนสว่าง เพราะประหยัดพลังงาน เห็นโปรแกรมเมอร์ที่เห็นผ่านๆตามาก็ยังใช้โหมดมืดเลยนะครับ พักนี้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกลับ แต่ช่วงเย็นรถติดเลยดีเลย์หน่อย แต่ชีวิตมันต้องสู้ เมื่อวานรับบัตร PT คืนจากร้านพันธุ์ไทย เพราะลืมไว้เมื่อวันเสาร์ ไปแมกซ์มาร์ท บัตร PT หาย เพราะลืมไว้ที่ร้านพันธุ์ไทยใกล้บ้านผมเองครับ ผมอาจจะอัพเดทความคืบหน้าของงานที่ผมกำลังจะขับเคลื่อนด้วยแนวความคิดใหม่และวิถีใหม่ ลงใน Thaitimes,VK,Linkedin ภูมิใจสุดๆที่ได้นำบุรีรัมย์โมเดลมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตทำให้อะไรๆก็ง่ายสบายคล่องขึ้นไปหมดครับ งานก็ไม่ได้ดีเลย์อย่างที่คิดเลย แต่ใส่หูฟังไป พอเขารีเควสงานผมก็ตอบรับและทำทันทีไม่ต้องพูดอะไรเยอะ แต่ก็งานไวดีอยู่ ตอนเป็นลูกจ้าง กกต. ก็ใช้หลักการ 7 ข้อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการที่ออกข้อสอบ ก.พ. กันบ่อย ไม่เสียแรงเลยจริงๆที่ฝึกทำข้อสอบกฎหมาย ก.พ. 600 ข้อ + 30 ข้อ และทำข้อสอบภาษาอังกฤษได้ แต่เกือบประมาทเรื่อง Immediately จริงๆมันก็ความหมายตรงกับ Urgent นั่นแหละ แปลว่า เร่งด่วน และ ด่วนทันที เลยเข้าใจโครงสร้างศัพท์ภาษาอังกฤษไปบ้างจากที่ฟังคลิปภาษาอังกฤษหลายๆคลิป ประกอบกับวันใกล้สอบมาฝึกทำข้อสอบภาษาอังกฤษ เป็นอะไรที่ Flow เอามากๆเลยนะครับ ตัดมาที่ความรู้ความสามารถทั่วไป ไอ้เหี้ยอนุกรมแม่งยากอะไรเบอร์นั้นวะ อนุกรมฟูเรียร์ อนุกรมเทย์เลอร์ อนุกรมโบดี(ระบบควบคุม) ยังไม่ยากเท่าอนุกรมที่เจอในห้องสอบเลย ทดเกือบชั่วโมง โอย กระทบกับ สถิติ เงื่อนไขสัญลักษณ์ เงื่อนไขตาราง แต่เดาล้วนๆเพื่อแก้ทาง แต่ทำครบทุกข้อเกือบไม่ทันอะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกฟอร์มออนไลน์: Google Forms กับพลังใหม่จาก Gemini ที่ช่วยคิดแทนเรา

    ถ้าคุณเคยรู้สึกติดขัดเวลาสร้างแบบฟอร์มใน Google Forms ว่าจะถามอะไรดี หรือควรใช้คำถามแบบไหน ตอนนี้ Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ Gemini AI มาช่วยคิดให้แล้ว! ฟีเจอร์นี้ชื่อว่า “Suggest questions” ซึ่งจะปรากฏเมื่อคุณมีคำถามในฟอร์มอย่างน้อยสองข้อ

    เมื่อคลิกปุ่มนี้ Gemini จะวิเคราะห์เนื้อหาของฟอร์มที่คุณสร้างไว้ แล้วเสนอคำถามใหม่ได้สูงสุด 4 ข้อ พร้อมประเภทคำถามและตัวเลือกคำตอบที่เหมาะสม คุณสามารถเลือกคำถามที่ต้องการแล้วเพิ่มเข้าไปในฟอร์มได้ทันที โดยไม่ต้องพิมพ์ prompt หรือคำสั่งใด ๆ

    ฟีเจอร์นี้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ใน Google Workspace ระดับ Business, Enterprise, AI Pro และ Ultra รวมถึงผู้ที่ซื้อ Gemini add-on โดยจะใช้งานได้เมื่อเปิดใช้ smart features และ personalization

    อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถใช้กับฟอร์มที่มีหลาย section และไม่รองรับการตั้งค่าควิซเฉพาะทาง

    Google Forms เพิ่มฟีเจอร์ “Suggest questions” ด้วย Gemini AI
    ช่วยเสนอคำถามใหม่ที่เหมาะกับเนื้อหาฟอร์มที่มีอยู่

    สามารถเสนอคำถามได้สูงสุด 4 ข้อต่อครั้ง
    พร้อมประเภทคำถามและตัวเลือกคำตอบ

    ผู้ใช้สามารถเลือกคำถามที่ต้องการแล้วเพิ่มเข้าไปในฟอร์ม
    ไม่ต้องพิมพ์ prompt หรือคำสั่งเอง

    ฟีเจอร์เริ่มปล่อยให้ผู้ใช้ใน Workspace ระดับ Business/Enterprise/AI Pro/Ultra
    รวมถึงผู้ที่ซื้อ Gemini add-on

    ต้องเปิดใช้ smart features และ personalization เพื่อใช้งาน
    เป็นเงื่อนไขสำคัญในการเปิดฟีเจอร์

    Google Forms รองรับหลายภาษา แต่ฟีเจอร์ AI ยังจำกัดเฉพาะภาษาอังกฤษ
    ผู้ใช้ภาษาอื่นอาจยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบ

    https://www.neowin.net/news/google-forms-gets-new-gemini-feature-to-help-save-some-time/
    🧠📋 เรื่องเล่าจากโลกฟอร์มออนไลน์: Google Forms กับพลังใหม่จาก Gemini ที่ช่วยคิดแทนเรา ถ้าคุณเคยรู้สึกติดขัดเวลาสร้างแบบฟอร์มใน Google Forms ว่าจะถามอะไรดี หรือควรใช้คำถามแบบไหน ตอนนี้ Google ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่ใช้ Gemini AI มาช่วยคิดให้แล้ว! ฟีเจอร์นี้ชื่อว่า “Suggest questions” ซึ่งจะปรากฏเมื่อคุณมีคำถามในฟอร์มอย่างน้อยสองข้อ เมื่อคลิกปุ่มนี้ Gemini จะวิเคราะห์เนื้อหาของฟอร์มที่คุณสร้างไว้ แล้วเสนอคำถามใหม่ได้สูงสุด 4 ข้อ พร้อมประเภทคำถามและตัวเลือกคำตอบที่เหมาะสม คุณสามารถเลือกคำถามที่ต้องการแล้วเพิ่มเข้าไปในฟอร์มได้ทันที โดยไม่ต้องพิมพ์ prompt หรือคำสั่งใด ๆ ฟีเจอร์นี้เริ่มทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ใน Google Workspace ระดับ Business, Enterprise, AI Pro และ Ultra รวมถึงผู้ที่ซื้อ Gemini add-on โดยจะใช้งานได้เมื่อเปิดใช้ smart features และ personalization อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถใช้กับฟอร์มที่มีหลาย section และไม่รองรับการตั้งค่าควิซเฉพาะทาง ✅ Google Forms เพิ่มฟีเจอร์ “Suggest questions” ด้วย Gemini AI ➡️ ช่วยเสนอคำถามใหม่ที่เหมาะกับเนื้อหาฟอร์มที่มีอยู่ ✅ สามารถเสนอคำถามได้สูงสุด 4 ข้อต่อครั้ง ➡️ พร้อมประเภทคำถามและตัวเลือกคำตอบ ✅ ผู้ใช้สามารถเลือกคำถามที่ต้องการแล้วเพิ่มเข้าไปในฟอร์ม ➡️ ไม่ต้องพิมพ์ prompt หรือคำสั่งเอง ✅ ฟีเจอร์เริ่มปล่อยให้ผู้ใช้ใน Workspace ระดับ Business/Enterprise/AI Pro/Ultra ➡️ รวมถึงผู้ที่ซื้อ Gemini add-on ✅ ต้องเปิดใช้ smart features และ personalization เพื่อใช้งาน ➡️ เป็นเงื่อนไขสำคัญในการเปิดฟีเจอร์ ✅ Google Forms รองรับหลายภาษา แต่ฟีเจอร์ AI ยังจำกัดเฉพาะภาษาอังกฤษ ➡️ ผู้ใช้ภาษาอื่นอาจยังไม่สามารถใช้งานได้เต็มรูปแบบ https://www.neowin.net/news/google-forms-gets-new-gemini-feature-to-help-save-some-time/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google Forms gets new Gemini feature to help save some time
    Google Forms is bringing a new Gemini feature for Workspace users that can help save some time when creating new forms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกซัมซุง: One UI 8 – ยุคใหม่ของ Galaxy ที่มาพร้อม AI และความลื่นไหล

    หลังจาก One UI 7 ที่ใช้ Android 15 เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน 2025 พร้อมเสียงบ่นเรื่องบั๊กและความล่าช้า Samsung ก็เร่งเครื่องเต็มสูบ เปิดตัว One UI 8 ที่ใช้ Android 16 พร้อมกับ Galaxy Z Flip7, Z Fold7 และ Z Flip7 FE ที่มาพร้อมระบบใหม่ตั้งแต่แกะกล่อง

    One UI 8 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม แต่เน้นการปรับปรุงให้ลื่นไหลขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ AI ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น เช่น Adaptive lock screen clock, Now Bar, และระบบแนะนำอัจฉริยะที่ปรับตามกิจวัตรของผู้ใช้

    เบต้าเริ่มจาก Galaxy S25 series และขยายไปยัง S24, Z Fold6, Z Flip6 ในสหรัฐฯ เกาหลี อังกฤษ และอินเดีย ส่วนรุ่นอื่น ๆ เช่น S23, Z Fold5, Z Flip5, A36, A55, A35 และ A54 จะได้อัปเดตในเดือนกันยายนนี้

    One UI 8 ใช้ Android 16 และเปิดตัวพร้อม Galaxy Z Flip7 และ Z Fold7
    เป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมระบบใหม่ตั้งแต่แกะกล่อง

    เบต้าสาธารณะเริ่มจาก Galaxy S25 series ในเดือนพฤษภาคม
    ขยายไปยัง S24, Z Fold6, Z Flip6 ในสัปดาห์ถัดไป

    รุ่นอื่น ๆ จะได้รับเบต้าในเดือนกันยายน
    เช่น S23, Z Fold5, Z Flip5, A36, A55, A35, A54

    One UI 8 เป็นการอัปเดตแบบ incremental
    เน้นความลื่นไหลและปรับปรุงจาก One UI 7

    ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Adaptive lock screen clock และ Now Bar
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกในการใช้งาน

    Samsung ยืนยันว่าอัปเดตจริงจะเริ่มปล่อยในเดือนกันยายน
    เริ่มจากรุ่นเรือธงก่อน

    https://www.neowin.net/news/one-ui-8-officially-arrives-in-september-heres-the-likely-list-of-eligible-galaxy-devices/
    📱🌟 เรื่องเล่าจากโลกซัมซุง: One UI 8 – ยุคใหม่ของ Galaxy ที่มาพร้อม AI และความลื่นไหล หลังจาก One UI 7 ที่ใช้ Android 15 เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน 2025 พร้อมเสียงบ่นเรื่องบั๊กและความล่าช้า Samsung ก็เร่งเครื่องเต็มสูบ เปิดตัว One UI 8 ที่ใช้ Android 16 พร้อมกับ Galaxy Z Flip7, Z Fold7 และ Z Flip7 FE ที่มาพร้อมระบบใหม่ตั้งแต่แกะกล่อง One UI 8 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม แต่เน้นการปรับปรุงให้ลื่นไหลขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ AI ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น เช่น Adaptive lock screen clock, Now Bar, และระบบแนะนำอัจฉริยะที่ปรับตามกิจวัตรของผู้ใช้ เบต้าเริ่มจาก Galaxy S25 series และขยายไปยัง S24, Z Fold6, Z Flip6 ในสหรัฐฯ เกาหลี อังกฤษ และอินเดีย ส่วนรุ่นอื่น ๆ เช่น S23, Z Fold5, Z Flip5, A36, A55, A35 และ A54 จะได้อัปเดตในเดือนกันยายนนี้ ✅ One UI 8 ใช้ Android 16 และเปิดตัวพร้อม Galaxy Z Flip7 และ Z Fold7 ➡️ เป็นรุ่นแรกที่มาพร้อมระบบใหม่ตั้งแต่แกะกล่อง ✅ เบต้าสาธารณะเริ่มจาก Galaxy S25 series ในเดือนพฤษภาคม ➡️ ขยายไปยัง S24, Z Fold6, Z Flip6 ในสัปดาห์ถัดไป ✅ รุ่นอื่น ๆ จะได้รับเบต้าในเดือนกันยายน ➡️ เช่น S23, Z Fold5, Z Flip5, A36, A55, A35, A54 ✅ One UI 8 เป็นการอัปเดตแบบ incremental ➡️ เน้นความลื่นไหลและปรับปรุงจาก One UI 7 ✅ ฟีเจอร์ใหม่ เช่น Adaptive lock screen clock และ Now Bar ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสะดวกในการใช้งาน ✅ Samsung ยืนยันว่าอัปเดตจริงจะเริ่มปล่อยในเดือนกันยายน ➡️ เริ่มจากรุ่นเรือธงก่อน https://www.neowin.net/news/one-ui-8-officially-arrives-in-september-heres-the-likely-list-of-eligible-galaxy-devices/
    WWW.NEOWIN.NET
    One UI 8 officially arrives in September, here's the likely list of eligible Galaxy devices
    Samsung has confirmed that the stable update of One UI 8 will arrive in September. Based on the software update schedule, here's a list of eligible devices.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตีย เซียม ลูกชาย เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ เวลาอยู่ไทย ก็ใช้สัญชาติไทย ชื่อสยาม บุญช่วย แห่ง SIAM PROTOTYPE

    เตีย เซียม คือนักธุรกิจผู้ได้รับสิทธิ์บริหารแบรนด์ PTT Cambodia
    ประกาศว่าปั๊มน้ำมัน PTT จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ปั๊มน้ำมันสันติภาพ” หรือ PPC แทน โดยเปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2025

    โลโก้และแบรนด์ใหม่ที่ เตีย เซียม เปิดเผย มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “PEACE Petroleum Cambodia (PPC)” และชื่อภาษาเขมรว่า “ហ្គារ៉ាសសាំង សន្តិភាព” (ปั๊มน้ำมันสันติภาพ)

    https://xo-autosport.grandprix.co.th/my-name-is-siam-prototype/?fbclid=IwY2xjawMA6s1leHRuA2FlbQIxMABicmlkETFPczltVlBZc0xpeFhIMlpJAR63unP9deZ6FvwRFy907XMJoTih-FB5BQm1cw_TT4LoyCBTsv-qLPFA0qSejQ_aem_4KILC6F-NNEzJXL_evJqvg
    เตีย เซียม ลูกชาย เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ เวลาอยู่ไทย ก็ใช้สัญชาติไทย ชื่อสยาม บุญช่วย แห่ง SIAM PROTOTYPE เตีย เซียม คือนักธุรกิจผู้ได้รับสิทธิ์บริหารแบรนด์ PTT Cambodia ประกาศว่าปั๊มน้ำมัน PTT จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “ปั๊มน้ำมันสันติภาพ” หรือ PPC แทน โดยเปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2025 โลโก้และแบรนด์ใหม่ที่ เตีย เซียม เปิดเผย มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “PEACE Petroleum Cambodia (PPC)” และชื่อภาษาเขมรว่า “ហ្គារ៉ាសសាំង សន្តិភាព” (ปั๊มน้ำมันสันติภาพ) https://xo-autosport.grandprix.co.th/my-name-is-siam-prototype/?fbclid=IwY2xjawMA6s1leHRuA2FlbQIxMABicmlkETFPczltVlBZc0xpeFhIMlpJAR63unP9deZ6FvwRFy907XMJoTih-FB5BQm1cw_TT4LoyCBTsv-qLPFA0qSejQ_aem_4KILC6F-NNEzJXL_evJqvg
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือของสายลับเกาหลีเหนือ

    ลองจินตนาการว่าคุณกำลังสัมภาษณ์พนักงานไอทีผ่านวิดีโอคอล—เขาดูมืออาชีพ พูดภาษาอังกฤษคล่อง และมีโปรไฟล์ LinkedIn สมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังนั้นคือปฏิบัติการระดับชาติของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI ปลอมตัวคน สร้างเอกสารปลอม และแทรกซึมเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์

    รายงานล่าสุดจาก CrowdStrike เผยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีที่สายลับไซเบอร์ของเกาหลีเหนือได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรีโมตกว่า 320 ครั้ง โดยใช้เครื่องมือ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมภาพโปรไฟล์ และแม้แต่ใช้ deepfake เปลี่ยนใบหน้าในวิดีโอคอลให้ดูเหมือนคนอื่น

    เมื่อได้งานแล้ว พวกเขาใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมลจากหัวหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งที่บางคนทำงานพร้อมกันถึง 3–4 บริษัท และไม่พูดอังกฤษได้จริง

    เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีผู้ร่วมขบวนการชาวอเมริกันช่วยรับเครื่องจากบริษัท แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์ให้สายลับเกาหลีเหนือเข้าถึงระบบจากต่างประเทศได้อย่างแนบเนียน

    รายได้จากแผนนี้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี และบางกรณีมีการขโมยข้อมูลภายในบริษัทเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์หรือขายต่อให้แฮกเกอร์อื่น

    แม้จะมีการจับกุมและลงโทษผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ แต่ CrowdStrike เตือนว่าการตรวจสอบตัวตนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และแนะนำให้ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การทดสอบ deepfake แบบเรียลไทม์ในระหว่างสัมภาษณ์

    CrowdStrike พบการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือในบริษัทไอทีแบบรีโมตกว่า 320 กรณีใน 12 เดือน
    ใช้ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมโปรไฟล์ และ deepfake ในวิดีโอคอล

    สายลับใช้ AI ช่วยทำงานจริง เช่น เขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมล
    บางคนทำงานพร้อมกันหลายบริษัทโดยไม่ถูกจับได้

    มีการตั้ง “ฟาร์มแล็ปท็อป” ในสหรัฐฯ เพื่อให้สายลับเข้าถึงระบบจากต่างประเทศ
    ผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ ถูกจับและจำคุกหลายปี

    รายได้จากแผนนี้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ
    สร้างรายได้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี

    Microsoft พบว่าเกาหลีเหนือใช้ AI เปลี่ยนภาพในเอกสารและใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนเสียง
    เพื่อให้ดูเหมือนเป็นผู้สมัครงานจริงจากประเทศตะวันตก

    ทีมสายลับถูกฝึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเปียงยาง
    มีเป้าหมายหาเงินเดือนขั้นต่ำ $10,000 ต่อคนต่อเดือน

    ฟาร์มแล็ปท็อปในสหรัฐฯ มีการควบคุมอุปกรณ์หลายสิบเครื่องพร้อมกัน
    ใช้ซอฟต์แวร์รีโมตเพื่อให้สายลับทำงานจากต่างประเทศได้

    บริษัทที่จ้างพนักงานรีโมตโดยไม่ตรวจสอบตัวตนอาจตกเป็นเหยื่อ
    เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแบล็กเมล์

    การใช้ deepfake ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
    ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงแบบเรียลไทม์

    การจ้างงานแบบรีโมตเปิดช่องให้สายลับแทรกซึมได้ง่ายขึ้น
    โดยเฉพาะในบริษัทที่ไม่มีระบบตรวจสอบดิจิทัลอย่างเข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crowdstrike-report-details-scale-of-north-koreas-use-of-ai-in-remote-work-schemes-320-known-cases-in-the-last-year-funding-nations-weapons-programs
    🕵️‍♂️ เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อ AI กลายเป็นเครื่องมือของสายลับเกาหลีเหนือ ลองจินตนาการว่าคุณกำลังสัมภาษณ์พนักงานไอทีผ่านวิดีโอคอล—เขาดูมืออาชีพ พูดภาษาอังกฤษคล่อง และมีโปรไฟล์ LinkedIn สมบูรณ์แบบ แต่เบื้องหลังนั้นคือปฏิบัติการระดับชาติของเกาหลีเหนือที่ใช้ AI ปลอมตัวคน สร้างเอกสารปลอม และแทรกซึมเข้าไปในบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการอาวุธนิวเคลียร์ รายงานล่าสุดจาก CrowdStrike เผยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีกรณีที่สายลับไซเบอร์ของเกาหลีเหนือได้งานเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์แบบรีโมตกว่า 320 ครั้ง โดยใช้เครื่องมือ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมภาพโปรไฟล์ และแม้แต่ใช้ deepfake เปลี่ยนใบหน้าในวิดีโอคอลให้ดูเหมือนคนอื่น เมื่อได้งานแล้ว พวกเขาใช้ AI ช่วยเขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมลจากหัวหน้าอย่างมืออาชีพ ทั้งที่บางคนทำงานพร้อมกันถึง 3–4 บริษัท และไม่พูดอังกฤษได้จริง เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ “ฟาร์มแล็ปท็อป” ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ โดยมีผู้ร่วมขบวนการชาวอเมริกันช่วยรับเครื่องจากบริษัท แล้วติดตั้งซอฟต์แวร์ให้สายลับเกาหลีเหนือเข้าถึงระบบจากต่างประเทศได้อย่างแนบเนียน รายได้จากแผนนี้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี และบางกรณีมีการขโมยข้อมูลภายในบริษัทเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์หรือขายต่อให้แฮกเกอร์อื่น แม้จะมีการจับกุมและลงโทษผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ แต่ CrowdStrike เตือนว่าการตรวจสอบตัวตนแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป และแนะนำให้ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การทดสอบ deepfake แบบเรียลไทม์ในระหว่างสัมภาษณ์ ✅ CrowdStrike พบการแทรกซึมของสายลับเกาหลีเหนือในบริษัทไอทีแบบรีโมตกว่า 320 กรณีใน 12 เดือน ➡️ ใช้ AI สร้างเรซูเม่ ปลอมโปรไฟล์ และ deepfake ในวิดีโอคอล ✅ สายลับใช้ AI ช่วยทำงานจริง เช่น เขียนโค้ด แปลภาษา และตอบอีเมล ➡️ บางคนทำงานพร้อมกันหลายบริษัทโดยไม่ถูกจับได้ ✅ มีการตั้ง “ฟาร์มแล็ปท็อป” ในสหรัฐฯ เพื่อให้สายลับเข้าถึงระบบจากต่างประเทศ ➡️ ผู้ร่วมขบวนการในสหรัฐฯ ถูกจับและจำคุกหลายปี ✅ รายได้จากแผนนี้ถูกนำไปสนับสนุนโครงการอาวุธของเกาหลีเหนือ ➡️ สร้างรายได้สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์ต่อปี ✅ Microsoft พบว่าเกาหลีเหนือใช้ AI เปลี่ยนภาพในเอกสารและใช้ซอฟต์แวร์เปลี่ยนเสียง ➡️ เพื่อให้ดูเหมือนเป็นผู้สมัครงานจริงจากประเทศตะวันตก ✅ ทีมสายลับถูกฝึกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเปียงยาง ➡️ มีเป้าหมายหาเงินเดือนขั้นต่ำ $10,000 ต่อคนต่อเดือน ✅ ฟาร์มแล็ปท็อปในสหรัฐฯ มีการควบคุมอุปกรณ์หลายสิบเครื่องพร้อมกัน ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์รีโมตเพื่อให้สายลับทำงานจากต่างประเทศได้ ‼️ บริษัทที่จ้างพนักงานรีโมตโดยไม่ตรวจสอบตัวตนอาจตกเป็นเหยื่อ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือถูกแบล็กเมล์ ‼️ การใช้ deepfake ทำให้การสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ⛔ ผู้สมัครสามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงแบบเรียลไทม์ ‼️ การจ้างงานแบบรีโมตเปิดช่องให้สายลับแทรกซึมได้ง่ายขึ้น ⛔ โดยเฉพาะในบริษัทที่ไม่มีระบบตรวจสอบดิจิทัลอย่างเข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/crowdstrike-report-details-scale-of-north-koreas-use-of-ai-in-remote-work-schemes-320-known-cases-in-the-last-year-funding-nations-weapons-programs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    CrowdStrike report details scale of North Korea's use of AI in remote work schemes — 320 known cases in the last year, funding nation's weapons programs
    The Democratic People's Republic of Korea is using generative AI tools to land agents jobs at tech companies to fund its weapons programs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพไทยประณามกัมพูชาปล่อยทิ้งศพทหารเน่าคาพื้นที่การรบ ไร้ซึ่งมนุษยธรรมและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง พร้อมเผยแพร่ ภาษาอังกฤษให้ประชาคมโลกรับรู้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000073830

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กองทัพไทยประณามกัมพูชาปล่อยทิ้งศพทหารเน่าคาพื้นที่การรบ ไร้ซึ่งมนุษยธรรมและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง พร้อมเผยแพร่ ภาษาอังกฤษให้ประชาคมโลกรับรู้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000073830 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • อเมริกา อังกฤษ แอบมาช่วยกะเหรี่ยงส่งมาคนมาสอน(ทุกวันนี้ยังคนอเมริกัน อังกฤษอยู่ช่วยกะเหรี่ยง) ส่งอาวุธ ส่งโดรนมาให้ และอีลอน มักส์ ส่งดาวเที่ยวมา
    นับประสาอะไรกับเขมร อเมริกาให้ได้หมด หนึ่งได้บ่อน้ำมัน สองได้ฐานทัพเรือ สามได้ควบคุมอาเซียนทั้งหมด
    อเมริกา อังกฤษ แอบมาช่วยกะเหรี่ยงส่งมาคนมาสอน(ทุกวันนี้ยังคนอเมริกัน อังกฤษอยู่ช่วยกะเหรี่ยง) ส่งอาวุธ ส่งโดรนมาให้ และอีลอน มักส์ ส่งดาวเที่ยวมา นับประสาอะไรกับเขมร อเมริกาให้ได้หมด หนึ่งได้บ่อน้ำมัน สองได้ฐานทัพเรือ สามได้ควบคุมอาเซียนทั้งหมด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 6
    ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด
    จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์ พอถึงปี พ.ศ.2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์  พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดกวยจี๊
    แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่า ไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอ๊ะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่)
    พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ
    จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) (อีตอนนี้สงสัยฝรั่งต้มไทยนะ…อ้าว) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ, ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการอีก 1 ฉบับ…แต่ฉบับที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อๆ ว่า สัญญา JUSMAC อีก1 ฉบับ
    เฉพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10ล้านเหรียญ! อืม… มันหวังดีจริงนะ จำสัญญานี้ให้ดีๆ นะครับ เรื่องนี้สำคัญมากๆ
    มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย คล้ายจะกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจก็ไปหามาอ่านกันนะครับ หรือไปถามลุงตู่เอาก็แล้วกัน ผมเล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยวลุงตู่แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง)
    ก็ใอ้สัญญาที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ รู้ เขาถึงคิดแก้รัฐ ธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไงครับ… เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ… ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา…
    จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญนั้นน่ะ เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซะหน่อย
    เราๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือเปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำการปฏิวัตินั่นแหละ มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ
    ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่พระมหากษัตริย์ หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติ หรือจริงๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่เราประชาชนคนไทย อย่างที่อ้าง และเข้าใจกันหรอกนะครับ
    (นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติเรดมาอ่าน แยะๆ เผื่อจะชอบแนวคิดนี้บ้าง 555)
    สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากร นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้นการค้าส่วนใหญ่สมัยรัตน โกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในแผ่นดินไทย
    พอหลัง พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง
    แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่างๆ เหล่านั้น
    แล้วมันปฏิวัติเพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติเรด อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ)
    นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย (ที่กำกับโดยพี่เบิ้มอเมริกา)
    ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนายจอห์น ดัลลัส (John Dulles) รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง
    มันเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่ามันก็น่าคิด เพราะช่วงพ.ศ.2498-พ.ศ.2500 สถานการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. พ.ศ.2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร
    จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้นๆชื่อนี้ไหมครับ ส่วนนายพลเผ่า ซีซัพพลาย (Sea Supply) ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส
    น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทาง  หรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถวๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน
    จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่านๆ ไปก็รู้เอง) คล้ายๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ!
    นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรกปี พ.ศ.2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง
    รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย
    พี่เบิ้มตาเหลือก ยุ่งล่ะสิ! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไม ทำไม จะหมดวาสนาเอาง่ายๆ พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ รพ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ้มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ. เออร์สกิน (Erskine) มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน
    คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่ประเภทเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย
    อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้ ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร
    อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว…เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น
    อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย
    วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ของพี่เบิ้มเนียนมาก
    ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ
    พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้
    อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้ไอ้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก
    แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน
    แหม! นี่ถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุก ว.5
    ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ดำเนิน การพัฒนาประเทศเป็นการด่วน ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน ยูรีบไปดูแล จัดตั้งหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้ โอ๊ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน
    แบบนี้คุณป๋าหายป่วยเลย รีบกลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน
    เร็วๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้
    ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ ที่สหรัฐฯ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม
    พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆ อ่านต่อไปครับ
    คุณป๋าบินกลับไทยแลนด์ ในเดือนตุลา พ.ศ.2501  มาถึงก็สั่งปรับ ครม. ทันที แต่ก่อนคุณป๋าจะกลับมา ก็มีคนช่วยจัดการเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้แล้ว
    ช่วงกลางปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ (อีก)
    รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ ซันนิ่ง เดล Sunning Dale ในลอนดอน (London) หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล ในรายงานบอกว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้นเช่น ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการสุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ
    ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax Americana ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะๆ เข้าอวยแล้ว
    รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน ซันนิ่ง เดล โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืมๆ โดยมีขบวนรถของอเมริกาเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะซันนิ่ง เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม!
    19 ต.ค. พ.ศ.2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย
    20 ต.ค. พ.ศ.2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ
    CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ
    Pax Americanaเดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสม ทบก็ไม่ขัดข้อง)


    คนเล่านิทาน
    ตอน 6 ต้องเล่าย้อนหลังไปถึงการเมืองไทยยุคจอมพล ป. หน่อย เล่าข้ามเดี๋ยวเหมือนหนังขาด จอมพล ป. ขึ้นมามีอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2490 หลังจากแยกวงกับนายปรีดี พนมยงค์ พอถึงปี พ.ศ.2492 ทางฝ่ายจีนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เป็นระบอบคอมมิวนิสต์  พี่เบิ้มก็ตาเขียวขึ้นมาทันที มือหนึ่งถือกระเป๋าเงินหนัก 7.5 ล้านเหรียญ อีกมือหนึ่งจับบ่าจอมพล ป. ถามว่า จอมพลคนแปลก ยูจะเอายังไง จะดื่มโค้กกับไอ หรือจะไปแทะเม็ดกวยจี๊ แหม! ไม่อยากคิดเลยว่าเราจะเป็นพวกเห็นแก่เงิน เอาว่า ไทยเราเป็นประเภทนักการทูตนกรู้แล้วกันนะ ว่าแล้วก็จิบโค้กแกล้มเงินช่วยเหลือ 7.5 ล้านเหรียญ อร่อย (เอ๊ะ! ตอนนี้ฝรั่งต้มไทยหรือไทยต้มฝรั่งกันแน่) พอให้เงินแค่ 7.5 ล้านเหรียญ พี่เบิ้มก็เริ่มเบียดกระแซะไทยเข้ามาอีกคืบ จับมือไทยลงชื่อแปะโป้งลงนามสัญญา 3 ฉบับ ในปี พ.ศ.2493 (ค.ศ.1950) (อีตอนนี้สงสัยฝรั่งต้มไทยนะ…อ้าว) เกี่ยวกับการร่วมมือการศึกษาและวัฒนธรรม 1 ฉบับ, ความตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิทยาการอีก 1 ฉบับ…แต่ฉบับที่สำคัญ คือ ความตกลงช่วยเหลือทางการทหาร เรียกย่อๆ ว่า สัญญา JUSMAC อีก1 ฉบับ เฉพาะรายการหลัง เพื่อให้แน่ใจว่า สมันน้อยผูกคอตัวเองจนแน่น พี่เบิ้มใจดีจ่ายค่าแปะโป้งให้อีก 10ล้านเหรียญ! อืม… มันหวังดีจริงนะ จำสัญญานี้ให้ดีๆ นะครับ เรื่องนี้สำคัญมากๆ มันเป็นสัญญาที่ทำให้ไทย คล้ายจะกลายเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพี่เบิ้ม ไปตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้สัญญานี้ก็ยังมีผลบังคับอยู่ สนใจก็ไปหามาอ่านกันนะครับ หรือไปถามลุงตู่เอาก็แล้วกัน ผมเล่ามากกว่านี้เดี๋ยวก็จะโดนข้อหา เอาความลับของทางราชการมาเผย เดี๋ยวลุงตู่แกจะตวาดเอา (คนอะไรของขึ้นง่ายจัง) ก็ใอ้สัญญาที่ผูกมัดประเทศแบบนี้แหละ ที่เขาไม่อยากให้ประชาชนอย่างเราๆ รู้ เขาถึงคิดแก้รัฐ ธรรมนูญกัน เพื่อเอาสิทธิของประชาชนคืนไป แล้วไงครับ… เราก็ไม่รู้ไม่ชี้ นั่งดูละครน้ำเน่าต่อ… ยังกะบ้านเมืองไม่ใช่ของเรา… จอมพล ป. เจ้าของ “มาลานำไทย ใส่หมวกแล้วชาติเจริญนั้นน่ะ เป็นคนที่เชื่อในลัทธิชาตินิยม ออกกฎหมายลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจไว้แยะ เรื่องนี้ก็ต้องย้อนไป ตั้งกะสมัยปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซะหน่อย เราๆ เข้าใจว่า ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มเจ้าแล้ว ชาวเราได้ปกครองหรือเปล่าหรอก เปลี่ยนจากเจ้าก็มาเป็นพวกเขาที่ทำการปฏิวัตินั่นแหละ มันเป็นการย้ายที่ทุนกับอำนาจ ยังไง จำได้ไหม เกริ่นไว้ตั้งกะแรกนะ ก่อนพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนอยู่ที่พระมหากษัตริย์ หลังพ.ศ. 2475 อำนาจกับทุนย้ายมาอยู่ที่พวกปฏิวัติ หรือจริงๆ ก็คือ พวกอำมาตย์ (ทหาร+ข้าราชการ) และพ่อค้า ไม่ได้มาอยู่ที่เราประชาชนคนไทย อย่างที่อ้าง และเข้าใจกันหรอกนะครับ (นิทานตอนนี้อยากให้พวกนิติเรดมาอ่าน แยะๆ เผื่อจะชอบแนวคิดนี้บ้าง 555) สมัยพระมหากษัตริย์ปกครอง พระองค์ท่านมิได้ทำทำการค้าขายเอง แต่ให้นายอากรเป็นผู้ดำเนินการ แล้วก็จ่ายค่าอากรให้หลวง ถึงเรียกว่านายอากร นายอากรนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีน ดังนั้นการค้าส่วนใหญ่สมัยรัตน โกสินทร์ส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือพี่น้องคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในแผ่นดินไทย พอหลัง พ.ศ.2475 คณะราษฎร์ ก็รวบทั้งอำนาจและทุน แล้วก็ออกกฎหมายใหม่ อะไรที่นายอากรเคยทำ ก็เอามาทำเอง จึงกำเนิดรัฐวิสาหกิจ 100 กว่าแห่ง ธนาคารอีกเกือบ 10 แห่ง แล้วพวกคณะราษฎร์นั่นแหละ ก็เข้าไปร่วมถือหุ้นในกิจการต่างๆ เหล่านั้น แล้วมันปฏิวัติเพื่อประชาชนตรงไหน มีเวลาจะเล่ารายละเอียดว่า ตระกูลไหน ใครบ้างเข้าไปถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจอะไร ธนาคารอะไร ไม่งั้นมันจะยังรวยก็อยู่ถึงตอนนี้เหรอ ผ่านไปตั้ง 70-80 ปีแล้ว (เอ้า! พวกนิติเรด อย่าลืมเล่าตรงนี้บ้างนะ) นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจีนที่เคยค้าขายในประเทศไทย ส่งเงินไปสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะเห็นว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลไทย (ที่กำกับโดยพี่เบิ้มอเมริกา) ขณะเดียวกัน พี่เบิ้มก็บี้ไทยซ้ำ ยูจะเอายังไง ไอบอกว่าทุนนิยม ยูก็จะชาตินิยม เดี๋ยวเอาเงินคืนนะ ถึงขนาดส่งนายจอห์น ดัลลัส (John Dulles) รมต.ตปท. มาบีบลูกกระเดือกจอมพล คนแปลกเอง มันเกี่ยวกับเรื่องจอมพลคนแปลก มาลานำไทยแล้วชาติเจริญ ไม่ยอมเปลี่ยนจากชาตินิยมเป็นทุนนิยมหรือเปล่ามันก็น่าคิด เพราะช่วงพ.ศ.2498-พ.ศ.2500 สถานการณ์ของจอมพล ป. ก็คลอนแคลน โยกเยก แล้วในที่สุด 16 ก.ย. พ.ศ.2500 จอมพลผ้าขะม้าก็ทำรัฐประหาร จอมพล ป. ก็รีบเก็บกระเป๋าขึ้นรถ นั่งตัวตรงลี้ภัยไปที่เขมร ก่อนที่จะติดปีกบินต่อไปญี่ปุ่น ผู้ทำหน้าที่ขับรถพาท่านจอมพลไปเขมรชื่อ ชุมพล โลหะชาละ คุ้นๆชื่อนี้ไหมครับ ส่วนนายพลเผ่า ซีซัพพลาย (Sea Supply) ก็หรูหน่อยขึ้นเครื่องบินลี้ภัยไปสวิส น่าคิดนะ ไม่ว่าใครที่ขวางทาง  หรือไม่เป็นเด็กดีตามใบสั่งพี่เบิ้มนี่ ไม่นานหรอกก็มีอันต้องเก็บฉากหายตัวเป็นแถวๆ ตามดูไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน จอมพลผ้าขะม้ารัฐประหารแล้วไม่เป็นนายกเอง แปลกนะ! คนเป็นนายกชื่อ นายพจน์ สารสิน (แปลกไม่แปลกเอ่ย อ่านๆ ไปก็รู้เอง) คล้ายๆ กับ พล.อ.สุจินดาทำรัฐประหาร แล้วให้นายอานันท์เป็นนายกเลยนะ อิ! อิ! นายพจน์ เป็นนายกได้ไม่นาน ก็จัดการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยใบสั่งรุ่นแรกปี พ.ศ.2501 หวยก็ไปตกที่พล.อ. ถนอม เป็นนายก โดยมีคุณป๋าผ้าขะม้าถือไม้เรียวคุมเข้มอยู่ข้างหลัง รัฐประหารไม่เท่าไหร่ น้าหนอมยังเป็นนายกตั้งไข่ คุณป๋าผ้าขะม้าก็ล้มป่วย พี่เบิ้มตาเหลือก ยุ่งล่ะสิ! วางแผนซะเกือบตาย กำลังจะไปได้สวย ทุกอย่างอยู่ในอวยหมดแล้ว ทำไม ทำไม จะหมดวาสนาเอาง่ายๆ พี่เบิ้มก็เลยกล่อมให้คุณป๋าไปรักษาตัวที่ รพ. Water Reed อันลือชื่อของพี่เบิ้ม ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวไป พักฟื้นไป พี่เบิ้มก็ส่งพี่เลี้ยงชื่อ พล.อ. เออร์สกิน (Erskine) มานั่งจับมือคุณป๋า เล่านิทานเรื่องภัยคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนให้คุณป๋าฟังทุกวัน ทุกวัน คุณป๋าแกเป็นทหารรักชาติของจริง ไม่ใช่ประเภทเห็นแก่ร้องเท้ากอล์ฟคู่เดียว หรือมีวันนี้เพราะพี่ให้ แกฟังพี่เลี้ยงใส่สีตีไข่ทุกวัน คุณป๋าเลือดรักชาติ พุ่งกระฉูดแทบหายป่วยเลย อะไรมันจะขนาดนั้น ภัยมันจ่อคอหอยบ้านเราแล้วหรือ แถมลาวน้องรักก็กำลังจะถึงซึ่งชีวี มีหรือพี่จะนอนต่อไปได้ ว่าแล้วคุณป๋าก็ลุกขึ้น ทำเสียงเข้มใส่พี่เบิ้มทันที บอกมาบัดเดี๋ยวนี้ เราจะช่วยบ้านเราและบ้านพี่เมืองน้องของเรา ให้พ้นจากภัยคุกคาม ของเหล่าคอมมิวนิสต์ตัวร้ายได้อย่างไร อ้า! สมันน้อยติดกับเราเรียบร้อยแล้ว…เสียงรำพึงขึ้นจมูกโด่งงุ้มของใครบางคนดังขึ้น อย่าตกใจไปเลยสมันน้อย เราได้เตรียมการไว้ให้ท่านสมันน้อย เอ๊ย มิตรรัก ไว้พร้อมสรรพแล้ว เพียงท่านทำตามที่เราบอก บ้านท่าน รวมทั้งบ้านพี่บ้านน้องท่านก็จักพ้นภัย วิธีจัดการกับสมันน้อยนามไทยแลนด์ของพี่เบิ้มเนียนมาก ด้านหนึ่งก็บอกว่าต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ชาวประชาต้องมีงานทำ พวกคอมมี่มันจะได้เข้าไม่ถึง ถ้าเรายากจน เขาก็มาช่วงชิงประชาชนไปได้ อีกด้านหนึ่งเราก็ต้องจัดการ ให้ยูมีกองกำลังเอาไว้ป้องกันตัว บดขยี้ไอ้พวกคอมมี่ที่จะมาตีบ้านตีเมืองยู ไอไม่ปล่อยให้ยูเดียวดาย โฮมอะโลนหรอกเพื่อนรัก แล้วการจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพน่ะ เพื่อนต้องมีอำนาจเบ็ดเสร็จ การเมืองต้องนิ่ง คุมสภาให้อยู่หมัด เพื่อนอย่าเพิ่งมึน แหม! นี่ถ้าไม่บอกว่า พี่มะกันพูดกะป๋าสฤษดิ์น่ะ ท่านผู้อ่านอาจเผลอนึกว่า พี่มะกันพูดกับพี่น้องนักซุก ว.5 ดังนั้นไทยแลนด์เพื่อนรัก เพื่อนจงรีบจัดการ เรื่องการบ้านการเมืองบ้านยูให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ดำเนิน การพัฒนาประเทศเป็นการด่วน ไอได้ทำการสำรวจ และทำข้อแนะนำไว้ให้ยูเรียบร้อยแล้ว เห็นไหม ไอรู้ใจเพื่อนรักขนาดไหน ยูรีบไปดูแล จัดตั้งหน่วยงานพัฒนาเสียโดยดี เพื่อนจะรออะไรอีก เงินไม่มี ไอก็จะให้กู้ โอ๊ย! เพื่อนใจป้ำอย่างนี้หาได้ง่ายๆ ที่ไหน แบบนี้คุณป๋าหายป่วยเลย รีบกลับบ้านเรียกประชุมมิตรรักนักเพลงที่คอเดียวกับพี่เบิ้มมะกันเป็นการด่วน เร็วๆ พวกเรา คอมมิวนิสต์มันจ่อก้นเราแล้ว เราต้องช่วงชิงประชาชนกลับมา นำความเจริญไปสู่เขา ฯลฯ แหม นกแก้วรุ่นพ่อก็ท่องคล่องเหมือนกันนะ นึกว่ามีแต่นกแก้วสมัยนี้ ระหว่างที่คุณป๋าสฤษดิ์รักษาตัวอยู่ ที่สหรัฐฯ น้าหนอมเป็นนายกก็จริง แต่เริ่มมีรัศมีของลุงตุ๊ หนวดจิ๋ม ขึ้นมาบดบัง คุณป๋าก็ร้อนใจ โอ๊ย! ไหนจะเรื่องคอมมี่ ไหนจะเรื่องหนวดจิ๋ม พี่เบิ้มนี่น่ารักจริง ๆ ไม่ปล่อยให้คุณป๋าร้อนใจนานหรอก คนรักกันชอบกัน ทำมั้ยทำไม เรื่องแค่นี้จะทำให้กันไม่ได้ พี่เบิ้มเขาทำอะไรให้นะ ใจเย็น ๆ อ่านต่อไปครับ คุณป๋าบินกลับไทยแลนด์ ในเดือนตุลา พ.ศ.2501  มาถึงก็สั่งปรับ ครม. ทันที แต่ก่อนคุณป๋าจะกลับมา ก็มีคนช่วยจัดการเตรียมแผนให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ตามที่มีผู้ปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้ายแนะนำเอาไว้แล้ว ช่วงกลางปี พ.ศ.2502 (ค.ศ.1959) คุณป๋าก็เดินทางไปอังกฤษ อ้างว่าจะไปตรวจสุขภาพ (อีก) รายงานของ CIA อ้างว่า คุณป๋าไปเตรียมแผนปฏิวัติอยู่ที่ ซันนิ่ง เดล Sunning Dale ในลอนดอน (London) หอบเอาคณะมันสมองไปด้วยประมาณ 1 โหล ในรายงานบอกว่ามีแต่เด็ดๆ ทั้งนั้นเช่น ถนัด คอมันตร์ หลวงวิจิตรวาทการสุนทร หงส์ลดารมภ์ บุญชู จันทรุเบกษา พงษ์สวัสดิ สุริโยทัย เฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ฯลฯ ระหว่างเตรียมการรัฐประหาร CIA ระบุในรายงานของตนว่า เป็นการเตรียมตัวของไทยแลนด์ เข้าสู่การพัฒนาตาม Pax Americana ให้บรรลุผลสำเร็จ พี่เบิ้มต้องรีบเอาผ้าเช็ดหน้ามาอุดปาก น้ำลายมันไหลเยิ้มไม่หยุด อู้ย! หมูกำลังเต๊าะแต๊ะๆ เข้าอวยแล้ว รายงานของ CIA ยังบอกอีกว่า ได้ส่งกำลังมาอารักขาครอบครัวของคณะท่าน ซันนิ่ง เดล โดยส่งครอบครัวไปซ่อนในที่ปลอดภัยที่หัวหิน มาแล้วไง ค่ายนเรศวร บอกแล้วว่าให้จำไว้ อย่าลืมๆ โดยมีขบวนรถของอเมริกาเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพื่อนำครอบครัวของคณะซันนิ่ง เผ่นลงใต้ หากแผนล่ม! 19 ต.ค. พ.ศ.2502 คุณป๋าและคณะเดินทางกลับประเทศไทย 20 ต.ค. พ.ศ.2502 น้าหนอมยื่นใบลาออกจากการเป็นนายกฯ วันเดียวกันนั้น คุณป๋าก็ปฏิบัติการยึดอำนาจ โดยคณะทหารที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฎิวัติ” แล้วคุณป๋าก็ตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าคณะปฎิวัติ และให้น้าหนอมเป็นรองหัวหน้าคณะฯ CIA รายงานว่าการรัฐประหารครั้งนี้มุ่งลดอำนาจลุงตุ๊ และทำให้คุณป๋ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ Pax Americanaเดินหน้าอย่างไม่มีอุปสรรคแล้ว ดื่ม Coke แก้กระหายด่วน (โฆษณาให้ฟรี จะส่งเงินมาสม ทบก็ไม่ขัดข้อง) คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบรกสัมพันธ์สื่อกัมพูชา ส่อรับใช้ 'ฮุน มาเน็ต'

    3 องค์กรวิชาชืพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย (NUJT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists หรือ CCJ) ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่

    1. หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็ง ปราศจากการครอบงำ

    2. ให้ CCJ มุ่งมั่นจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน ที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก

    3. ยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยืนยันเจตนารมณ์รายงานข่าวตามหลักจริยธรรม เป็นกลาง ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกลียดชัง ต้องการให้เกิดสันติภาพแท้จริงและยั่งยืน

    ในตอนท้ายระบุว่า เนื่องจากการออกแถลงการณ์ของ CCJ หมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชา (นายฮุน มาเน็ต) มากกว่าการทำหน้าที่สื่อ ดังนั้นสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับ CCJ ชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ

    ก่อนหน้านี้ CCJ ออกแถลงการณ์ทำทีเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทย ปฎิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบแหล่งข้อมูลรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอให้มีบทบาทลดความตึงเครียด ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ยุยงปลุกปั่นชาตินิยมหรือเชื้อชาติ หันมาเน้นส่งเสริมบทสนทนาและความร่วมมือในทางที่สร้างสรรค์ระหว่างสองประเทศ โดยกล่าวหาว่าสื่อมวลชนไทย 2 สำนักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ระบุชื่อข่าวสด สื่อในเครือมติชน และ The Nation Thailand สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของเนชั่นกรุ๊ป

    แถลงการณ์นี้มีนัยยะโจมตีและดิสเครดิตสื่อมวลชนที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับต้นของประเทศ โดยเฉพาะสื่อภาคภาษาอังกฤษที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก ขณะที่ผ่านมาสื่อออนไลน์ไทยโดยเฉพาะเว็บไซต์ The Nation Thailand และ Bangkok Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 250 ล้านครั้ง

    อีกด้านหนึ่ง แถลงการณ์โต้กลับของ 3 สมาคมสื่อไทยระบุว่าที่ผ่านมาสื่อกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก อาทิ อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, กล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, ปล่อยข่าวว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต เป็นต้น

    #Newskit
    เบรกสัมพันธ์สื่อกัมพูชา ส่อรับใช้ 'ฮุน มาเน็ต' 3 องค์กรวิชาชืพสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (TJA) สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย (NUJT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists หรือ CCJ) ตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจัง เพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ 1. หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนไทย ให้ตรวจสอบจริยธรรมสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็ง ปราศจากการครอบงำ 2. ให้ CCJ มุ่งมั่นจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน ที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก 3. ยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบกำกับดูแลกันเองด้านจริยธรรม ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพ ยืนยันเจตนารมณ์รายงานข่าวตามหลักจริยธรรม เป็นกลาง ครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกลียดชัง ต้องการให้เกิดสันติภาพแท้จริงและยั่งยืน ในตอนท้ายระบุว่า เนื่องจากการออกแถลงการณ์ของ CCJ หมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชา (นายฮุน มาเน็ต) มากกว่าการทำหน้าที่สื่อ ดังนั้นสมาคมนักข่าวฯ ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกัน จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับ CCJ ชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ ก่อนหน้านี้ CCJ ออกแถลงการณ์ทำทีเรียกร้องให้สื่อมวลชนไทย ปฎิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบแหล่งข้อมูลรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอให้มีบทบาทลดความตึงเครียด ด้วยการนำเสนอข่าวที่ไม่ยุยงปลุกปั่นชาตินิยมหรือเชื้อชาติ หันมาเน้นส่งเสริมบทสนทนาและความร่วมมือในทางที่สร้างสรรค์ระหว่างสองประเทศ โดยกล่าวหาว่าสื่อมวลชนไทย 2 สำนักเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ระบุชื่อข่าวสด สื่อในเครือมติชน และ The Nation Thailand สื่อออนไลน์ภาษาอังกฤษของเนชั่นกรุ๊ป แถลงการณ์นี้มีนัยยะโจมตีและดิสเครดิตสื่อมวลชนที่มีผู้ติดตามเป็นอันดับต้นของประเทศ โดยเฉพาะสื่อภาคภาษาอังกฤษที่เปรียบเสมือนหน้าต่างของโลก ขณะที่ผ่านมาสื่อออนไลน์ไทยโดยเฉพาะเว็บไซต์ The Nation Thailand และ Bangkok Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์มากกว่า 250 ล้านครั้ง อีกด้านหนึ่ง แถลงการณ์โต้กลับของ 3 สมาคมสื่อไทยระบุว่าที่ผ่านมาสื่อกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนจำนวนมาก อาทิ อ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, กล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, ปล่อยข่าวว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต เป็นต้น #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • การล่าทรัพยากรรุ่นใหม่ แม้ไม่ได้เน้นการใช้กำลังทหารยึดครองดินแดน ก็ต้องแน่ใจว่าประเทศเป้า หมาย อยู่ในกำมือแน่นอน ไม่มีนักล่าต่างพวกมาแย่งไปจากปากอเมริกา นักล่ารุ่นใหม่ในฐานะพี่เบิ้ม ถักตาข่ายมาคลุมสมันน้อยไทยแลนด์ ด้านเศรษฐกิจแล้ว แค่นั้นไม่พอ มันต้องคุมการเมือง การทหารด้วย มันถึงจะอยู่หมัด (มาถึงแล้วไง เรื่องความมั่นคง)

    สงครามอินโดจีนเริ่มต้น เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) เริ่มจากมวยคู่แรกระหว่างเวียตนามกับฝรั่งเศส

    แต่เค้าลางน่ะ มันมีมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1939) เวียตนามซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมากว่า 50 ปี ชักจะทนเหม็นเขียวฝรั่งกร่างไม่ไหว ลุงโฮจึงพยายามปลุกชาวญวนให้ตื่น ขยับตัวขยับขาให้พ้นจักกะแร้ฝรั่ง

    อย่าลืมว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา นั้นเกาะกลุ่มกันแน่น แม้ภาพข้างนอก บางครั้งเหมือนจะแย่งกระดูกกันเอง แต่มันเป็นเพียงแค่ละครตบตา

    ของจริง 3 ชาตินี่มันเป็น 3 เกลอหัวแข็งต้นแบบ ทำเป็นทะเลาะตีหัวกันไปมา แต่มันก็หากินด้วยกัน แบ่งกระดูกกันมาตลอด ไม่แบ่งได้ยังไง ย้อนไปดูประวัติศาสตร์อังกฤษกับฝรั่งเศส เดี๋ยวมันก็รบกัน เดี๋ยวมันก็จับลูกสาว ลูกชายให้แต่งงานกัน มันก็เรื่องในครอบครัวเขานั่นแหละ

    ส่วนอเมริกาเศรษฐีใหม่ มาจากไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไอริช อพยพมาหากินในแผ่นที่เพิ่งค้นพบใหม่ เพราะทนอดอยากอยู่ที่เดิมไม่ไหว ถูกอังกฤษข่มเหงให้กินแต่ของเหลือเดน ดังนั้น ถึงจะเป็นไม้เบื่อของอังกฤษ แต่ก็อยู่ในอวยของอังกฤษอยู่ดี จึงไม่แปลกที่อังกฤษ จะมองอเมริกาเป็นลูกไล่อยู่ตลอดเวลา ขู่ฝ่อใส่มาตั้งแต่สงครามกลางเมืองแล้ว ทุกวันนี้อเมริกันแถวนิวยอร์ค ยังแต่งสีเขียวฉลองวันเซนต์ แพรทริกอยู่เลย ราชวงศ์เคนเนดีก็มาจากแถวนี้แหละ ดูจากท่าทางนายโทนี่ แบลร์ ตอนอยู่กับนายบุช ตัวลูก แล้วก็คงพอเข้าใจกันนะ แล้วจะกล้าไปหือ กับเขาได้ไง มีแต่อือ อือ อย่างเดียว

    แล้วฝรั่งเศสล่ะ คนอื่นไกลกันที่ไหน ทางใต้ของอเมริกาน่ะ ใครมีอิทธิพล นิวออร์ลีน น่ะมาจากภาษาฝรั่งเศสนะ ไม่ใช่ ภาษาอินเดียนแดง ดังนั้นเมื่อฝรั่งเศสเริ่มเดือดร้อนในการปกครองเวียตนาม เพราะลุงโฮเริ่มเอาจริงตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1939) สามเกลอหัวแข็ง ก็คิดหนัก เดี๋ยวพวกขี้ข้าเมืองขึ้นทั้ง หลาย มันจะเอาอย่างกันหมด อย่ากระนั้นเลย จำเป็นต้องตัดไฟแต่หัวลม เราจงร่วมกันสร้างผี ให้พวกมันกลัวซักตัว มันจะได้ไม่กล้าไปจากอ้อมจักกะแร้เหม็นเขียวของพวกเรา

    บัดนั้นเอง ผีคอมมิวนิสต์ ก็ถูกสร้าง ถูกปลุกไปทั่วแถบอินโดจีน ต่างอะไรกับการปลุกประชาธิปไตยสมัยนี้ ในประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากร แต่ไม่อุดมปัญญา

    ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกเข้าเวียตนามและยึดได้ ในปี พ.ศ.2483 (ค.ศ.1940) ยึดไว้ในกำมือไม่

    พอ ประกาศยกเลิกการปกครองโดยฝรั่งเศส ไล่ไอ้พวกหัวทองจักกะแร้เหม็นออกไป (แหม! ญี่ปุ่นก็เข็ดฝรั่งเหมือนกันนะ โชกุนน่ะ โดนอเมริกาเล่นชะงอมหล่นเหมือนกัน ซามูไรจะไปสู้กับเรือปืนไหวหรือ)

    อย่างที่บอก ขบวนการลุงโฮเกิดขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1939 ดังนั้นพอญี่ปุ่นยึดเวียตนาม สามเกลอหัวแข็ง ก็วางแผนยุและสนับสนุนขบวนการลุงโฮ ให้ไปสู้กับญี่ปุ่น ใช้ไปจิกกระดูก ออกมาจากปากญี่ปุ่นแทนพวกตัว… ลุงโฮฉลาดล้ำ รับแผนไปปฏิบัติตามทันที แต่มันพลิกล็อก ตอนที่ลุงโฮไล่ญี่ปุ่นออกไปแล้ว แทนที่ลุงแกจะคืนกระดูกให้ฝรั่ง แกกลับเก็บกระดูกไว้ แล้วดัดหลัง 3 เกลอหัวแข็งอีกต่อ

    ลุงโฮประกาศแยกเวียดมินห์ ออกจากเวียตนาม ในปี พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946) หลังจากควันสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันจะจางดี …ฝรั่งหงายท้องผลึ่ง โอ้พระเจ้าจอร์จ ยูทำได้งัยเนี่ย เรียกได้ว่ากำลังสำคัญ ที่สนับสนุนให้ เวียตมินห์เติบโต ก็คืออเมริกา ภายใต้การกำกับของกลุ่มสามเกลอหัวแข็ง อืม โลกนี้มันสลับซับซ้อนแยะกว่าที่คิดนะโยม

    พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) พี่เบิ้มทำเป็นตกกะใจ ว้ายตาเถร ดันติดดาบให้ยักษ์ ติดอาวุธให้ศัตรู เวียตมินห์เริ่มขยายแนวร่วม ดอกไม้แห่งเสรีภาพขยายพันธ์อย่างรวดเร็ว

    อเมริกาจึงประกาศขยายนโยบายปิดกั้น (Containment) การแพร่พันธุ์ของระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังขยายตัวอยู่ในแถบรัสเซียข้ามโลกมาถึงจีน และอินโดจีนด้วย…. พญาอินทรีสยายปีกแล้ว

    นี่มันเอาหนังเก่ามา ฉายใหม่นี่หว่า จำได้ไหมครับ สมัยรัชกาลที่ 4 ต่อรัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสกับอังกฤษ มันเล่นป่าหี่กันจะยึดไทย ไทยพยายามถ่วงดุลระหว่าง 2 ประเทศ พระเจ้าแผ่นดินทั้ง 2 พระองค์ต้องใช้พระปรีชาสามารถอย่างสูง ในการดำเนินวิธีการทูตถ่วงดุล 2 ประเทศอยู่นาน มาฝีแตกเอา ร.ศ.112 (ประวัติศาสตร์ตอนนี้ยาวขอติดไว้เล่าวันหลังนะ แต่ต้องรู้เพราะมันต่อเนื่องกับปัจจุบัน ก็บอกแล้ว ถ้าไม่รู้ว่า ต้นไม้ต้นใดเป็นพิษ จะรู้ได้ได้ไงว่าลูกมันกินอร่อย หรือกินแล้วเด็ดสะมอเร่)

    กลับไปดูภูมิศาสตร์กันหน่อย ประเทศไทยตั้งอยู่ตรงไหน ข้างซ้ายของไทยเป็นพม่า ติดพม่าขึ้นไปทางเหนือเป็นลาว ย้ายมาด้านขวาหน่อยเป็นญวนและเขมร กระจุกประเทศแถบนี้ อยู่ใต้มณฑลยูนานของจีน ซึ่งเป็นประตูทางเข้าที่สำคัญของจีน ที่เขาเรียกกันว่า (Soft Belly) ท้องน้อยของจีน น่ารักนะ

    ยูนาน เป็นมณฑลที่อุดมสมบูรณ์มาก ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ป่าไม้ แร่ธาตุ โอ้ย ! อุดมไปหมด ภัยธรรมชาติก็ไม่มี น้ำไหลทั้งปี ใครๆ ก็อยากได้

    ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ที่ 5 ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็เล็งเข้าจีนทางยูนาน อังกฤษวางแผนจะเข้าผ่านทางพม่า ฝรั่งเศสจะเข้าผ่านทางลาว ญวน และเขมร ฝรั่งเศสจึงตีเขมรก่อน เพื่อขึ้นไปล้อมญวน แต่ลาวนั้นยังขึ้นอยู่กับไทยในช่วงนั้น มันถึงหาเรื่องทะเลาะกับไทย เพื่อจะเอาลาว เหตุการณ์ ร.ศ.112 ก็มาจากเรื่องนี้แหละ เล่าย่อไว้ก่อนนะ จนแล้วจนรอดก็กินไทยไม่ได้เต็มที่ มันถึงฝังใจมาถึงเดี๋ยวนี้ไง โน้น! เขาพระวิหารมา

    รำไรเกี่ยวกันไหมหนอ

    พอเห็นไหมครับ ทำไมประเทศรอบบ้านเราตกเป็นอาณานิคมของไอ้ 2 เกลอ แล้วทำไมมันถึงตามบี้เราจนทุกวันนี้ ทุกอย่างมันต่อเนื่องกัน สงสัยต้องหัดเล่นจิกซอว์ จะได้มองเห็นภาพรวมชัด พม่าเสียเมืองให้อังกฤษในปี พ.ศ.2428 (ค.ศ.1875) ส่วนญวน เขมรและลาว ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2401, พ.ศ.2426, พ.ศ.2436 ตามลำดับ

    เมื่อเราเป็นประเทศที่เป็นปากทางเข้าจีน และคอมมิวนิสต์ก็กำลังเริ่มบานเบิกอยู่ที่จีนและกำลังลามมาเวียตนาม แล้วนี้ถ้ามันลาม มาทั้งอินโดจีน จะทำยังไง สามเกลอหัวแข็งเริ่มเกาหัว ไอ้ประเทศแถวนี้ (ยกเว้นไทยแลนด์) มันก็ขี้ข้าเก่าเราทั้งนั้น ถึงให้เอกราชมันไปแล้ว แต่มันก็ยังกุมเป้าเวลาพูดกับเรา เรายังพอจิกหัวมันใช้ได้ จะปล่อยให้คนอื่นมางาบต่อไปได้ยังไง ว่าแล้ว สามเกลอก็เซ็นใบมอบอำนาจแบบเด็ดขาดให้อเมริกา

    ยูไปจัดการเอาให้อยู่หมัดเลยนะ ไทยแลนด์น่ะรอดปากพวกเรามาหลายหนแล้ว ครั้งนี้อย่าให้พลาดนะ!

    อเมริกาออกข่าวทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ที่อเมริกาต้องการใช้เป็นฐาน ในการปฏิบัติการปิดกั้นระบอบคอมมิวนิสต์ ในอินโดจีน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของไทย (ทฤษฎีโดมิโนไง)

    ไอ้ที่ออกข่าวมันก็ อีหรอบเดิม ใช้เป็นหน้าฉากของการล่าครั้งสำคัญ ครั้งนี้เขาเขียนบทไว้ยาว เล่นกันนาน สมันน้อยจะรู้ทันไหมหนอ ไม่เคยจำซะทีว่า ไอ้พวกสามเกลอหัวแข็งมันเล่นตลกเก่ง เปลี่ยนฉาก สลับกันตีหัว แล้วก็ไอ้วิธีการแบบนี้น่ะ จำไว้ให้ดีนะ สมันน้อย มันกำลังจะกลับมาใช้เล่นอีก

    เมื่อออกข่าวหัวสีไปแล้ว ที่นี้ก็ส่งพนักงานเดินสารระดับรองประธานาธิบดี มากล่อมนายกรัฐมนตรีของสมันน้อยต่อ (ตอนนั้น จอมพลคนแปลก ใส่หมวกแล้ว ทำให้ชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี) บอกว่า ไอ้พวกคอมมี่มันมาใกล้บ้านยูแล้วนะ อย่าทำเป็นเล่นไป แต่ยูไม่ต้องห่วงหรอก ไอเห็นใจยู ไอจะเลี้ยงดู เอ๊ย ดูแลไทยอย่างดี หาเงินกู้ให้ยู (พี่เบิ้มใจป้ำมากนะ!) ไปพัฒนาประเทศ และกองทัพให้แข็งแรง ยูจะได้สู้กับคอมมี่ได้ไงล่ะ

    นู้น อยู่กันคนละซีกโลก อยู่ดีๆก็จะมาช่วยไทยรบกับคอมมี่ ไม่สงสัยกันบ้างเหรอว่าทำไมพี่เบิ้มใจดีอย่างนี้

    แล้วพี่เบิ้มก็จัดการให้ไทยกู้เงินจากธนาคารโลก (World Bank) และ IBRD ก้อนใหญ่ซึ่งแน่นอน มีเงื่อนไขที่พี่เขาวางไว้ แบบกับดักสมันน้อยติดมาเพียบ (ไม่ต่างกับยุครัฐบาลชวน กู้เงิน IMF เลยนะ ฟังนิทานไปเรื่อย ๆ ไปเดี๋ยวถึงบางอ้อเอง) แต่พี่เบิ้มเขาเก่ง กลัวไทยแลนด์ไม่สบายใจ ก็เพิ่งจีบกันใหม่ๆน่ะ เขาก็เลยแถมเงินช่วยเหลือทางทหารจาก USOM, USAID, JUSMAC ติดไม้ติดมือมาให้นิดหน่อย แค่นี้พี่ไทยสมันน้อยก็อ่อนระทวย มันก็เป็นยังงี้แหละ ใครเขาเอาเงินมาล่อ ก็รีบรับของเขา ไม่คิดอะไรมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่

    เฮ้อ! แล้วมันจะเหลือเหรอ ไทยแลนด์ สยามเมืองยิ้มของเราน่ะ…


    คนเล่านิทาน
    การล่าทรัพยากรรุ่นใหม่ แม้ไม่ได้เน้นการใช้กำลังทหารยึดครองดินแดน ก็ต้องแน่ใจว่าประเทศเป้า หมาย อยู่ในกำมือแน่นอน ไม่มีนักล่าต่างพวกมาแย่งไปจากปากอเมริกา นักล่ารุ่นใหม่ในฐานะพี่เบิ้ม ถักตาข่ายมาคลุมสมันน้อยไทยแลนด์ ด้านเศรษฐกิจแล้ว แค่นั้นไม่พอ มันต้องคุมการเมือง การทหารด้วย มันถึงจะอยู่หมัด (มาถึงแล้วไง เรื่องความมั่นคง) สงครามอินโดจีนเริ่มต้น เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) เริ่มจากมวยคู่แรกระหว่างเวียตนามกับฝรั่งเศส แต่เค้าลางน่ะ มันมีมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1939) เวียตนามซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมากว่า 50 ปี ชักจะทนเหม็นเขียวฝรั่งกร่างไม่ไหว ลุงโฮจึงพยายามปลุกชาวญวนให้ตื่น ขยับตัวขยับขาให้พ้นจักกะแร้ฝรั่ง อย่าลืมว่า อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา นั้นเกาะกลุ่มกันแน่น แม้ภาพข้างนอก บางครั้งเหมือนจะแย่งกระดูกกันเอง แต่มันเป็นเพียงแค่ละครตบตา ของจริง 3 ชาตินี่มันเป็น 3 เกลอหัวแข็งต้นแบบ ทำเป็นทะเลาะตีหัวกันไปมา แต่มันก็หากินด้วยกัน แบ่งกระดูกกันมาตลอด ไม่แบ่งได้ยังไง ย้อนไปดูประวัติศาสตร์อังกฤษกับฝรั่งเศส เดี๋ยวมันก็รบกัน เดี๋ยวมันก็จับลูกสาว ลูกชายให้แต่งงานกัน มันก็เรื่องในครอบครัวเขานั่นแหละ ส่วนอเมริกาเศรษฐีใหม่ มาจากไหน ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกไอริช อพยพมาหากินในแผ่นที่เพิ่งค้นพบใหม่ เพราะทนอดอยากอยู่ที่เดิมไม่ไหว ถูกอังกฤษข่มเหงให้กินแต่ของเหลือเดน ดังนั้น ถึงจะเป็นไม้เบื่อของอังกฤษ แต่ก็อยู่ในอวยของอังกฤษอยู่ดี จึงไม่แปลกที่อังกฤษ จะมองอเมริกาเป็นลูกไล่อยู่ตลอดเวลา ขู่ฝ่อใส่มาตั้งแต่สงครามกลางเมืองแล้ว ทุกวันนี้อเมริกันแถวนิวยอร์ค ยังแต่งสีเขียวฉลองวันเซนต์ แพรทริกอยู่เลย ราชวงศ์เคนเนดีก็มาจากแถวนี้แหละ ดูจากท่าทางนายโทนี่ แบลร์ ตอนอยู่กับนายบุช ตัวลูก แล้วก็คงพอเข้าใจกันนะ แล้วจะกล้าไปหือ กับเขาได้ไง มีแต่อือ อือ อย่างเดียว แล้วฝรั่งเศสล่ะ คนอื่นไกลกันที่ไหน ทางใต้ของอเมริกาน่ะ ใครมีอิทธิพล นิวออร์ลีน น่ะมาจากภาษาฝรั่งเศสนะ ไม่ใช่ ภาษาอินเดียนแดง ดังนั้นเมื่อฝรั่งเศสเริ่มเดือดร้อนในการปกครองเวียตนาม เพราะลุงโฮเริ่มเอาจริงตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1939) สามเกลอหัวแข็ง ก็คิดหนัก เดี๋ยวพวกขี้ข้าเมืองขึ้นทั้ง หลาย มันจะเอาอย่างกันหมด อย่ากระนั้นเลย จำเป็นต้องตัดไฟแต่หัวลม เราจงร่วมกันสร้างผี ให้พวกมันกลัวซักตัว มันจะได้ไม่กล้าไปจากอ้อมจักกะแร้เหม็นเขียวของพวกเรา บัดนั้นเอง ผีคอมมิวนิสต์ ก็ถูกสร้าง ถูกปลุกไปทั่วแถบอินโดจีน ต่างอะไรกับการปลุกประชาธิปไตยสมัยนี้ ในประเทศที่อุดมด้วยทรัพยากร แต่ไม่อุดมปัญญา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกเข้าเวียตนามและยึดได้ ในปี พ.ศ.2483 (ค.ศ.1940) ยึดไว้ในกำมือไม่ พอ ประกาศยกเลิกการปกครองโดยฝรั่งเศส ไล่ไอ้พวกหัวทองจักกะแร้เหม็นออกไป (แหม! ญี่ปุ่นก็เข็ดฝรั่งเหมือนกันนะ โชกุนน่ะ โดนอเมริกาเล่นชะงอมหล่นเหมือนกัน ซามูไรจะไปสู้กับเรือปืนไหวหรือ) อย่างที่บอก ขบวนการลุงโฮเกิดขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1939 ดังนั้นพอญี่ปุ่นยึดเวียตนาม สามเกลอหัวแข็ง ก็วางแผนยุและสนับสนุนขบวนการลุงโฮ ให้ไปสู้กับญี่ปุ่น ใช้ไปจิกกระดูก ออกมาจากปากญี่ปุ่นแทนพวกตัว… ลุงโฮฉลาดล้ำ รับแผนไปปฏิบัติตามทันที แต่มันพลิกล็อก ตอนที่ลุงโฮไล่ญี่ปุ่นออกไปแล้ว แทนที่ลุงแกจะคืนกระดูกให้ฝรั่ง แกกลับเก็บกระดูกไว้ แล้วดัดหลัง 3 เกลอหัวแข็งอีกต่อ ลุงโฮประกาศแยกเวียดมินห์ ออกจากเวียตนาม ในปี พ.ศ.2489 (ค.ศ.1946) หลังจากควันสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังไม่ทันจะจางดี …ฝรั่งหงายท้องผลึ่ง โอ้พระเจ้าจอร์จ ยูทำได้งัยเนี่ย เรียกได้ว่ากำลังสำคัญ ที่สนับสนุนให้ เวียตมินห์เติบโต ก็คืออเมริกา ภายใต้การกำกับของกลุ่มสามเกลอหัวแข็ง อืม โลกนี้มันสลับซับซ้อนแยะกว่าที่คิดนะโยม พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) พี่เบิ้มทำเป็นตกกะใจ ว้ายตาเถร ดันติดดาบให้ยักษ์ ติดอาวุธให้ศัตรู เวียตมินห์เริ่มขยายแนวร่วม ดอกไม้แห่งเสรีภาพขยายพันธ์อย่างรวดเร็ว อเมริกาจึงประกาศขยายนโยบายปิดกั้น (Containment) การแพร่พันธุ์ของระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งกำลังขยายตัวอยู่ในแถบรัสเซียข้ามโลกมาถึงจีน และอินโดจีนด้วย…. พญาอินทรีสยายปีกแล้ว นี่มันเอาหนังเก่ามา ฉายใหม่นี่หว่า จำได้ไหมครับ สมัยรัชกาลที่ 4 ต่อรัชกาลที่ 5 ฝรั่งเศสกับอังกฤษ มันเล่นป่าหี่กันจะยึดไทย ไทยพยายามถ่วงดุลระหว่าง 2 ประเทศ พระเจ้าแผ่นดินทั้ง 2 พระองค์ต้องใช้พระปรีชาสามารถอย่างสูง ในการดำเนินวิธีการทูตถ่วงดุล 2 ประเทศอยู่นาน มาฝีแตกเอา ร.ศ.112 (ประวัติศาสตร์ตอนนี้ยาวขอติดไว้เล่าวันหลังนะ แต่ต้องรู้เพราะมันต่อเนื่องกับปัจจุบัน ก็บอกแล้ว ถ้าไม่รู้ว่า ต้นไม้ต้นใดเป็นพิษ จะรู้ได้ได้ไงว่าลูกมันกินอร่อย หรือกินแล้วเด็ดสะมอเร่) กลับไปดูภูมิศาสตร์กันหน่อย ประเทศไทยตั้งอยู่ตรงไหน ข้างซ้ายของไทยเป็นพม่า ติดพม่าขึ้นไปทางเหนือเป็นลาว ย้ายมาด้านขวาหน่อยเป็นญวนและเขมร กระจุกประเทศแถบนี้ อยู่ใต้มณฑลยูนานของจีน ซึ่งเป็นประตูทางเข้าที่สำคัญของจีน ที่เขาเรียกกันว่า (Soft Belly) ท้องน้อยของจีน น่ารักนะ ยูนาน เป็นมณฑลที่อุดมสมบูรณ์มาก ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ป่าไม้ แร่ธาตุ โอ้ย ! อุดมไปหมด ภัยธรรมชาติก็ไม่มี น้ำไหลทั้งปี ใครๆ ก็อยากได้ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ที่ 5 ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ก็เล็งเข้าจีนทางยูนาน อังกฤษวางแผนจะเข้าผ่านทางพม่า ฝรั่งเศสจะเข้าผ่านทางลาว ญวน และเขมร ฝรั่งเศสจึงตีเขมรก่อน เพื่อขึ้นไปล้อมญวน แต่ลาวนั้นยังขึ้นอยู่กับไทยในช่วงนั้น มันถึงหาเรื่องทะเลาะกับไทย เพื่อจะเอาลาว เหตุการณ์ ร.ศ.112 ก็มาจากเรื่องนี้แหละ เล่าย่อไว้ก่อนนะ จนแล้วจนรอดก็กินไทยไม่ได้เต็มที่ มันถึงฝังใจมาถึงเดี๋ยวนี้ไง โน้น! เขาพระวิหารมา รำไรเกี่ยวกันไหมหนอ พอเห็นไหมครับ ทำไมประเทศรอบบ้านเราตกเป็นอาณานิคมของไอ้ 2 เกลอ แล้วทำไมมันถึงตามบี้เราจนทุกวันนี้ ทุกอย่างมันต่อเนื่องกัน สงสัยต้องหัดเล่นจิกซอว์ จะได้มองเห็นภาพรวมชัด พม่าเสียเมืองให้อังกฤษในปี พ.ศ.2428 (ค.ศ.1875) ส่วนญวน เขมรและลาว ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2401, พ.ศ.2426, พ.ศ.2436 ตามลำดับ เมื่อเราเป็นประเทศที่เป็นปากทางเข้าจีน และคอมมิวนิสต์ก็กำลังเริ่มบานเบิกอยู่ที่จีนและกำลังลามมาเวียตนาม แล้วนี้ถ้ามันลาม มาทั้งอินโดจีน จะทำยังไง สามเกลอหัวแข็งเริ่มเกาหัว ไอ้ประเทศแถวนี้ (ยกเว้นไทยแลนด์) มันก็ขี้ข้าเก่าเราทั้งนั้น ถึงให้เอกราชมันไปแล้ว แต่มันก็ยังกุมเป้าเวลาพูดกับเรา เรายังพอจิกหัวมันใช้ได้ จะปล่อยให้คนอื่นมางาบต่อไปได้ยังไง ว่าแล้ว สามเกลอก็เซ็นใบมอบอำนาจแบบเด็ดขาดให้อเมริกา ยูไปจัดการเอาให้อยู่หมัดเลยนะ ไทยแลนด์น่ะรอดปากพวกเรามาหลายหนแล้ว ครั้งนี้อย่าให้พลาดนะ! อเมริกาออกข่าวทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความสำคัญ ที่อเมริกาต้องการใช้เป็นฐาน ในการปฏิบัติการปิดกั้นระบอบคอมมิวนิสต์ ในอินโดจีน เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์ของไทย (ทฤษฎีโดมิโนไง) ไอ้ที่ออกข่าวมันก็ อีหรอบเดิม ใช้เป็นหน้าฉากของการล่าครั้งสำคัญ ครั้งนี้เขาเขียนบทไว้ยาว เล่นกันนาน สมันน้อยจะรู้ทันไหมหนอ ไม่เคยจำซะทีว่า ไอ้พวกสามเกลอหัวแข็งมันเล่นตลกเก่ง เปลี่ยนฉาก สลับกันตีหัว แล้วก็ไอ้วิธีการแบบนี้น่ะ จำไว้ให้ดีนะ สมันน้อย มันกำลังจะกลับมาใช้เล่นอีก เมื่อออกข่าวหัวสีไปแล้ว ที่นี้ก็ส่งพนักงานเดินสารระดับรองประธานาธิบดี มากล่อมนายกรัฐมนตรีของสมันน้อยต่อ (ตอนนั้น จอมพลคนแปลก ใส่หมวกแล้ว ทำให้ชาติเจริญ เป็นนายกรัฐมนตรี) บอกว่า ไอ้พวกคอมมี่มันมาใกล้บ้านยูแล้วนะ อย่าทำเป็นเล่นไป แต่ยูไม่ต้องห่วงหรอก ไอเห็นใจยู ไอจะเลี้ยงดู เอ๊ย ดูแลไทยอย่างดี หาเงินกู้ให้ยู (พี่เบิ้มใจป้ำมากนะ!) ไปพัฒนาประเทศ และกองทัพให้แข็งแรง ยูจะได้สู้กับคอมมี่ได้ไงล่ะ นู้น อยู่กันคนละซีกโลก อยู่ดีๆก็จะมาช่วยไทยรบกับคอมมี่ ไม่สงสัยกันบ้างเหรอว่าทำไมพี่เบิ้มใจดีอย่างนี้ แล้วพี่เบิ้มก็จัดการให้ไทยกู้เงินจากธนาคารโลก (World Bank) และ IBRD ก้อนใหญ่ซึ่งแน่นอน มีเงื่อนไขที่พี่เขาวางไว้ แบบกับดักสมันน้อยติดมาเพียบ (ไม่ต่างกับยุครัฐบาลชวน กู้เงิน IMF เลยนะ ฟังนิทานไปเรื่อย ๆ ไปเดี๋ยวถึงบางอ้อเอง) แต่พี่เบิ้มเขาเก่ง กลัวไทยแลนด์ไม่สบายใจ ก็เพิ่งจีบกันใหม่ๆน่ะ เขาก็เลยแถมเงินช่วยเหลือทางทหารจาก USOM, USAID, JUSMAC ติดไม้ติดมือมาให้นิดหน่อย แค่นี้พี่ไทยสมันน้อยก็อ่อนระทวย มันก็เป็นยังงี้แหละ ใครเขาเอาเงินมาล่อ ก็รีบรับของเขา ไม่คิดอะไรมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ เฮ้อ! แล้วมันจะเหลือเหรอ ไทยแลนด์ สยามเมืองยิ้มของเราน่ะ… คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 353 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมอไทยแถลงเองไม่รอรัฐบาล สปีคอิงลิช แจงเขมรไม่หยุดยิง (Thai doctors speak out — not waiting for the government — to expose Cambodia’s continued attacks.) [30/7/68]

    #หมอไทยพูดเอง #ไม่รอรัฐบาลแล้ว #แถลงเป็นภาษาอังกฤษ #หมอไทยตอบสื่อโลก #CambodiaStillAttacking #ThaiDoctorsSpeakOut #เสียงจากแนวหลัง #Scambodia #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง
    #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    หมอไทยแถลงเองไม่รอรัฐบาล สปีคอิงลิช แจงเขมรไม่หยุดยิง (Thai doctors speak out — not waiting for the government — to expose Cambodia’s continued attacks.) [30/7/68] #หมอไทยพูดเอง #ไม่รอรัฐบาลแล้ว #แถลงเป็นภาษาอังกฤษ #หมอไทยตอบสื่อโลก #CambodiaStillAttacking #ThaiDoctorsSpeakOut #เสียงจากแนวหลัง #Scambodia #ข่าววันนี้ #ข่าวดัง #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #CambodiaNoCeasefire #TruthFromThailand #Hunsenfiredfirst #thaitimes #news1 #shorts
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ตอน 2

    จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์



    อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

    แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

    อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

    ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว

    กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

    (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ)

    ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้

    รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

    สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม…

    คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก

    สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

    ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง

    ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

    นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย

    ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว!

    พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

    นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ

    หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ

    สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง

    อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ

    พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

    แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

    ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

    Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ)

    Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

    คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

    ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

    ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

    การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

    นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

    ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

    นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

    แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง

    คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น!

    ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย

    ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

    ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง


    คนเล่านิทาน
    ตอน 2 จิ๊กโก๋ปากซอย สร้างวินมอ’ไซค์ อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ ….เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคงนำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร อเมริกา เป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะ จะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี๊ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา ปี พ.ศ.2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว กลุ่มผู้เชี่ยวชาญขนกันมาทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ดูทั้งบนดินใต้ดินใต้น้ำในทะเล ทุกซอก ทุกหลุม ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียว สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ ส่งให้คุณพ่ออเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย (แสดงว่ามันดูกันละเอียดจริง ไม่เหมือนข้าราชการบ้านเราไปดูงานบ้านเขาเลยนะ ไป 15 วัน ช้อปปิ้งเสีย 10 วัน เข้าบ่อนอีก 5 วัน อ้าว แล้วดูงานตอนไหน ก็ตอนขึ้นเครื่องกลับ หลับฝันเอาไง บ้านเรามันถึงเจริญ) ผลสำรวจสรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลการค้า ฝรั่งบอกว่า ไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล็อกไว้เลย กองสลากเรายังล็อกโผไม่ได้เท่านี้ รายงานสำรวจดังกล่าว เป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ตอนนี้ก็ยังด้อยอยู่อีกหลายเรื่อง) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกา จะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่อง จักร และสารพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย สิ่งที่ไทยได้ขายคือ วัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง ….อืมมม คุ้มแสนคุ้ม… คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า… งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข …คุณป๋าไทยรีบออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติทันที ในปี พ.ศ.2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2504 ถึงปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงานธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับนั่นแหละ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท ง่ายดีจัง ไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม นอกจากนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 12 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่ชัดเจนเหมาะสมกับสภาพ และสภาวะของประเทศ แถม เละเทะเหมือนกินจับฉ่าย ควรรู้อีกด้วยว่าในรายงานของธนาคารโลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้ามดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้ว เป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริงๆ หลังจากนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณพ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงานธนาคารโลก (World Bank), IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด เริ่มเข้าใจหรือยังครับ ทำไมเขาถึงต้องตั้งธนาคารโลก, IMF ฯลฯ สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับผู้กู้ ตามที่คุณพ่ออเมริกาต้อง การ ให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการคือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง อเมริกาสามารถควบคุมธนาคารโลก, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ พูดให้ชัดธนาคารโลก, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ! แต่การพัฒนาประเทศ จะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆ กันอยู่ตั้งกะสมัย 50 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!)ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิช นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ Technocrat เหล่านี้มาจากไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร ก็นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละครับ) Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไรก็จด ฝรั่งพูดอะไรก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรี๊ยะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา ไม่เคยใช้สมองของตัวคิดบ้างว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน ดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสารพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่งหัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไร ก็ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลมฉบัง ผาแดง แทนทาลัม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลาย สร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น… ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยได้เป็นผู้ถือหุ้น! ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร …เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆ จังๆ บ้าง คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอน 1 :

    กำเนิดจิ๊กโก๋

    เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ

    แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม

    เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

    ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี

    แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง

    ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

    ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย

    เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห

    ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ

    จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ

    แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค

    ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน

    จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

    งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย

    และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก

    “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ”

    จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้

    ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น

    สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน

    แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

    สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย!

    หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947)

    อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย

    เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!)

    เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

    Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้

    เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

    สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี

    ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู

    พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

    ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112

    นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

    นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

    อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน

    ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม

    อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ …

    ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป

    รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร

    ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม

    สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว)

    ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ

    ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555

    ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ

    อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ

    ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

    อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

    แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร

    …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

    ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม

    ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม

    ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

    ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ)

    รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ

    แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

    ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

    คนเล่านิทาน
    ตอน 1 : กำเนิดจิ๊กโก๋ เรารู้จักบ้านเมืองเราแค่ไหน เคย ถามตัวเองกันบ้างไหมครับ แล้วเคยมีเวลานึกสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษาและสังคม เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย รู้จักผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ และสื่อส่วนใหญ่ ก็ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะของสื่อส่วนใหญ่ ต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็อธิบายแบบท่องจำ จอแคบ จอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม ตัวเราเองก็เลยติดนิสัย ที่จะมองอะไรแบบมักง่าย เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจจริง แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งพันยุ่งเละเทะ เหมือนลิงแก้แห ทำไมเราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักบ้านเมืองของเราอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวนขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้แค่ตาดูหูฟังเอาจากสื่อจอแบน คำโกหกนักการเมืองหรือนักวิชาการ ประเภทมีความรู้เกินๆ ขาดๆ จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีตหรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่า ต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่เธอ ฉัน ลูกเรา น้องหมา และน้ำเน่าในทีวี กับจิ้มข้อความไร้สาระ ส่งกันไปมาตามหน้าจอ ประเภท ส่ง 10 คน จะมีโชค ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวเรามีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกอีกแยะ เรารู้จักเพื่อนร่วมโลก หรือ เพื่อนบ้านเราแค่ไหนกัน จะอยู่บ้านให้สบายใจ มันก็ควรจะรู้จักเสียหน่อยว่า ใครเป็นใครในซอย มีจิ๊กโก๋๋ยืนกร่าง เบ่งกล้ามอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามีต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือขนาดไหน ของจริง หรือ ราคาคุย งั้นเรามาเริ่มต้น ด้วยการรู้จักจิ๊กโก๋๋ปากซอยกันซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่ในซอยนี้แบบไหน อยู่แบบตัวห่อหน้าเหี่ยว หรือ อยู่อย่างสบายใจ นี่บ้านกูนะ จะคบกับชาวซอยด้วยกันอย่าง ไร และแสดงท่าที หรือจัดการอย่างไรดีกับเจ้าจิ๊กโก๋๋ปากซอย และจะอ่านนิทานนี้ให้สนุก จะรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักคาถาการครองโลก “อำนาจ คือ ทุน” และ “ทุน คือ อำนาจ” จำให้แม่น มันจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้ และทั้งหลาย ทั้งปวง ที่อยู่รอบตัวเราง่ายขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการต้องการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จ๋อยสิ จำเป็นต้องสู้ หรือเข้าสู่สงครามกับเขาไปด้วย เพื่อเอาตัวรอด เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอย่างนั้นแน่หรือ กลับไปอ่านคาถาครองโลกข้างต้นสัก 10 เที่ยว แล้วอ่านนิทานนี้ต่อ อาจจะรู้จักประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่ สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2482 (ค.ศ.1934) จบเอาปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) รวมเวลา 6ปี ตลอดเวลาการสู้รบ เขาใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลองกำลัง พอเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่น ก็ถูกน็อกคาสนามบอบช้ำฉิบหาย ตามประสาผู้แพ้ ส่วนฝ่ายสัมพันธ มิตรผู้ชนะสงครามเช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ใช่ว่าจะไม่ยับไม่เยิน แต่ละรายดูไม่จืดเชียว ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เกือบทั้งนั้น ….มีแต่อเมริกาเท่านั้นแหละ ที่โดนแค่สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที่เพิร์ล ฮาเบอร์ (Pearl Harbor) ฮาวาย ส่วนบ้านตัวที่ทวีปอเมริกาปลอดภัยดี ไม่มีบุบไม่มีย่น… แค่นี้ทำเป็นยั๊วะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมา แล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ นั่นไงมาแล้ว … จิ๊กโก๋๋ปากซอย! หลังจากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาขยาย ระบอบคอมมิวนิสต์ จึงเริ่มก่อตัวขึ้น ในบริเวณแถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.2490 (ค.ศ.1947) อเมริกาในฐานะพี่เบิ้ม จึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดีแฮรี่ เอส ทรูแมน (Harry S Truman) (ดื้อ เหี้ยม!) เป้าหมายของยุทธศาสตร์นี้ หลักใหญ่มีแค่ 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก กับกีดกันไม่ให้สหภาพโซเวียตมีโอกาสยื่นหน้า เข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก นี่ล่ะธาตุแท้อเมริกา ร่วมรบด้วยกันมาดีๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามแบบที่ตัวเองต้องการ ก็ออกอาการเหม็นหน้า อย่าเข้ามาใกล้นะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กรนาโต (NATO) ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือเป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และเยอรมัน อเมริกาใช้นาโตเป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกัน (อยู่ในคอก) ก่อนจะได้ดูแลง่าย จำไว้ให้ดี ด้านหนึ่ง อเมริกาจะออกหน้า สนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่างๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพาขึ้นไปเรื่อยๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัดคือ สร้างภาพ) ลองสังเกตดู พร้อมกับการเขยิบฐานะตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกา ก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่าคือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะเขมือบไทยมาตลอด วางแผนมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักไว้ก็คือเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 หวังว่ายังคงจำกันได้ หรือรู้จักแต่ ม112 นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามันคือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริงๆ ต้องยกให้ สเปนและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น นักล่ายุคใหม่ ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์เช่นน้ำมัน และแร่ธาตุสารพัด ของประเทศที่อุดมทรัพยากร แต่ด้อยปัญญา ของประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะในแถบอาเซีย และตะวันออกกลางที่ยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปเริ่มร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดินแดนกันอย่างเมื่อก่อน รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่เขาทำกันเนียน ส่วนเครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ … ยังไม่เข้าใจใช่ไหม งั้นต้องอ่านต่อไป รบชนะมาหมาดๆ อำนาจล้นฟ้า บีบให้โลกยกย่องเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปได้ยังไง พี่เบิ้มก็ต้องรีบเหยียด (มือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ เอาทุนนิยมมาล่อ เอาทุนเสรีมาจูง ให้ทุนมันเคลื่อนไหวอย่างเสรี ไม่มีอะไรมากักไง ไร้พรมแดนไงไม่ดีหรือ นายทุนก็ถลารับ แบบนี้มันก็ล้อมโลกได้โดยไม่รู้ตัวกัน คำว่าโลกาภิวัฒน์จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัตน์ คืออะไร และเพื่อใคร ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไปทั่วโลกได้ง่ายๆ เนียนๆ ดังนั้นหน่วย งานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่างๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและพวก เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้กำกับทั้งนั้น รู้กันไหม สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2488 (ค.ศ.1945) จากแนวคิดของผู้ชนะสงครามคือ พี่เบิ้มและอังกฤษคู่หู คือ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละคือ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน (เห็นรายชื่ออย่างนี้ อย่าเพิ่งแปลกใจ ตอนนั้น พี่เบิ้มเขายังวุ่นอยู่กับสร้างบทให้ตัวเองเป็นใหญ่ เลยยังไม่มีเวลา ไปไล่บี้ว่าที่คู่แข่งของตัว) ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก คงพอเดากันได้ว่าใครจ่ายเงินสนับสนุนUN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นไง ไม่งั้นจะได้ตำแหน่งเป็นจิ๊กโก๋๋คุมซอยเหรอ ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monetary Fund) ในปี พ.ศ.2487 (ค.ศ.1944) แน่นอน ก็จากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษอีกนั่นแหละ สำนักงานใหญ่ขอทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือ พี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกันอย่างนี้ แปลว่า พี่เบิ้มใจดีชะมัดหรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ…. ลงทุนจิ๊บจ๊อย เดี๋ยวก็ได้คืนทั้งโลก 555 ไปเปิดอากู (Google) ดู แล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อตั้ง (ค.ศ.1946) มาจนถึงปัจจุบัน (ค.ศ.2016) เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด …อาจมีคนโวย ไม่ใช่นะ คนสุดท้าย เจ้าจิม ยอง คิม (Jim Yong Kim) เป็นเกาหลีต่างหาก …เป็นเกาหลีแต่ถือสัญชาติอเมริกันครับผม …อืม เริ่มเห็นภาพลางๆ บ้างหรือยัง ครับ อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้วนะ แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดยเรือ รถไฟ ม้า อูฐ และนกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wi-Fi ฯลฯ อะไรนี่นะ ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลานั้น เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์ กลางของทุนนิยม สมัยศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าตั้งกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็ย้ายไปอยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างว่า พระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกา ถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว อเมริกา คิดเรื่องระบบทุนนิยมและกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่โอกาสยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ พากันฉิบหาย หงายท้องหมด หลังสงคราม โลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบียบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร …อย่าลืมคาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจ คือ ทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana หรือคำอะไรให้มันดูหรูหราเข้าใจยากจริงๆ แล้วมันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่นั่นเอง โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้าในการล่า เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่าใจเย็นไว้โยม ทุนจะมีก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้นหรือต้มเขาเอาซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึงคนเล่านิทานเกือบเป็นลม ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๊ย ประเทศนี้ไอจองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา ปี ค.ศ.1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาดๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะของประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดียิ่ง อย่างเหลือเชื่อ (อย่างเหลือเชื่อนี่ ผมเติมเองครับ เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าตั้งอกตั้งใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ อย่างที่ ท่านอจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริงๆ นะ) รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา มองคุณนายเอ๋อเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ.2555 นั่นแหละ แล้วทำอย่างไร อเมริกาถึงจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย คนเล่านิทาน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 405 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลก AI: เมื่อ Copilot “มีหน้า” และ “มีอารมณ์” เหมือนเพื่อนร่วมงาน

    ลองจินตนาการว่าคุณคุยกับผู้ช่วย AI แล้วมันยิ้มให้คุณเมื่อคุณถามคำถามดีๆ หรือขมวดคิ้วเมื่อคุณขอให้มันทำอะไรยากๆ—นี่ไม่ใช่แค่เสียงตอบกลับแบบเดิมอีกต่อไป เพราะ Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Copilot Appearance” ที่ให้ Copilot มีใบหน้า มีการแสดงออก และมี “ความทรงจำ” ในการสนทนา

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ทดลองใช้ใน Copilot Labs เฉพาะผู้ใช้บางกลุ่มในสหรัฐฯ อังกฤษ และแคนาดา โดยสามารถเปิดใช้งานผ่าน Voice Mode บนเว็บ Copilot เพื่อให้การสนทนาเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวามากขึ้น

    Copilot Appearance คือฟีเจอร์ทดลองที่เพิ่มใบหน้าและอารมณ์ให้กับ Copilot
    แสดงออกแบบเรียลไทม์ เช่น ยิ้ม, พยักหน้า, ขมวดคิ้ว ตามบริบทของการสนทนา
    ใช้ร่วมกับ Voice Mode เพื่อให้การพูดคุยมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ทดลองเฉพาะใน Copilot Labs สำหรับผู้ใช้ใน 3 ประเทศ
    สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และแคนาดา
    ต้องเปิดใช้งานผ่าน Voice Settings บนเว็บ copilot.microsoft.com

    Copilot Appearance ไม่ใช่ Clippy 2.0 แต่เป็น blob มีใบหน้าแบบนามธรรม
    ไม่ปรากฏตัวแบบกวนใจ แต่ตอบสนองเมื่อผู้ใช้เริ่มต้นสนทนา
    มีความสามารถในการจดจำบทสนทนาเพื่อสร้างความต่อเนื่อง

    แนวคิดเบื้องหลังคือการสร้าง “ผู้ช่วยดิจิทัลที่มีตัวตนถาวร”
    Microsoft ต้องการให้ Copilot มี “ห้องของตัวเอง” และ “อายุ” ที่สะสมตามเวลา
    เรียกว่า “digital patina” เพื่อให้รู้สึกว่า AI มีประวัติและความสัมพันธ์กับผู้ใช้

    การออกแบบเน้นความเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้เหมือนผู้ช่วยเก่าอย่าง Clippy
    ไม่มีการปรากฏตัวแบบสุ่มหรือแทรกแซง
    เป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ แต่พร้อมช่วยเหลือ

    การเพิ่มบุคลิกภาพให้ AI อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความผูกพันเกินควร
    เสี่ยงต่อการพึ่งพาทางอารมณ์หรือเข้าใจผิดว่าเป็นเพื่อนจริง
    อาจเกิดผลกระทบทางจิตใจในระยะยาว โดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่เปราะบาง

    ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นทดลองและจำกัดเฉพาะบางกลุ่มผู้ใช้
    ไม่สามารถใช้ได้ในแอปมือถือ, Windows, หรือบัญชีองค์กร
    ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    การแสดงออกของ AI อาจถูกตีความผิดหรือสร้างความไม่สบายใจ
    หาก AI แสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม เช่น ขมวดคิ้วหรือถอนหายใจ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกแย่
    ต้องมีการออกแบบอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารผิดพลาด

    การเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้ AI ต้องควบคุมอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การจดจำบทสนทนาอาจนำไปสู่การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
    ต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนและโปร่งใส

    https://www.neowin.net/news/microsoft-gives-copilot-visual-appearance-with-real-time-expressions-and-emotions/
    🤖 เรื่องเล่าจากโลก AI: เมื่อ Copilot “มีหน้า” และ “มีอารมณ์” เหมือนเพื่อนร่วมงาน ลองจินตนาการว่าคุณคุยกับผู้ช่วย AI แล้วมันยิ้มให้คุณเมื่อคุณถามคำถามดีๆ หรือขมวดคิ้วเมื่อคุณขอให้มันทำอะไรยากๆ—นี่ไม่ใช่แค่เสียงตอบกลับแบบเดิมอีกต่อไป เพราะ Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Copilot Appearance” ที่ให้ Copilot มีใบหน้า มีการแสดงออก และมี “ความทรงจำ” ในการสนทนา ฟีเจอร์นี้เปิดให้ทดลองใช้ใน Copilot Labs เฉพาะผู้ใช้บางกลุ่มในสหรัฐฯ อังกฤษ และแคนาดา โดยสามารถเปิดใช้งานผ่าน Voice Mode บนเว็บ Copilot เพื่อให้การสนทนาเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวามากขึ้น ✅ Copilot Appearance คือฟีเจอร์ทดลองที่เพิ่มใบหน้าและอารมณ์ให้กับ Copilot ➡️ แสดงออกแบบเรียลไทม์ เช่น ยิ้ม, พยักหน้า, ขมวดคิ้ว ตามบริบทของการสนทนา ➡️ ใช้ร่วมกับ Voice Mode เพื่อให้การพูดคุยมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ✅ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ทดลองเฉพาะใน Copilot Labs สำหรับผู้ใช้ใน 3 ประเทศ ➡️ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และแคนาดา ➡️ ต้องเปิดใช้งานผ่าน Voice Settings บนเว็บ copilot.microsoft.com ✅ Copilot Appearance ไม่ใช่ Clippy 2.0 แต่เป็น blob มีใบหน้าแบบนามธรรม ➡️ ไม่ปรากฏตัวแบบกวนใจ แต่ตอบสนองเมื่อผู้ใช้เริ่มต้นสนทนา ➡️ มีความสามารถในการจดจำบทสนทนาเพื่อสร้างความต่อเนื่อง ✅ แนวคิดเบื้องหลังคือการสร้าง “ผู้ช่วยดิจิทัลที่มีตัวตนถาวร” ➡️ Microsoft ต้องการให้ Copilot มี “ห้องของตัวเอง” และ “อายุ” ที่สะสมตามเวลา ➡️ เรียกว่า “digital patina” เพื่อให้รู้สึกว่า AI มีประวัติและความสัมพันธ์กับผู้ใช้ ✅ การออกแบบเน้นความเรียบง่าย ไม่รบกวนผู้ใช้เหมือนผู้ช่วยเก่าอย่าง Clippy ➡️ ไม่มีการปรากฏตัวแบบสุ่มหรือแทรกแซง ➡️ เป็นเพื่อนร่วมงานที่อยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ แต่พร้อมช่วยเหลือ ‼️ การเพิ่มบุคลิกภาพให้ AI อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความผูกพันเกินควร ⛔ เสี่ยงต่อการพึ่งพาทางอารมณ์หรือเข้าใจผิดว่าเป็นเพื่อนจริง ⛔ อาจเกิดผลกระทบทางจิตใจในระยะยาว โดยเฉพาะกับผู้ใช้ที่เปราะบาง ‼️ ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในขั้นทดลองและจำกัดเฉพาะบางกลุ่มผู้ใช้ ⛔ ไม่สามารถใช้ได้ในแอปมือถือ, Windows, หรือบัญชีองค์กร ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ‼️ การแสดงออกของ AI อาจถูกตีความผิดหรือสร้างความไม่สบายใจ ⛔ หาก AI แสดงอารมณ์ไม่เหมาะสม เช่น ขมวดคิ้วหรือถอนหายใจ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกแย่ ⛔ ต้องมีการออกแบบอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการสื่อสารผิดพลาด ‼️ การเพิ่มความเป็นมนุษย์ให้ AI ต้องควบคุมอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การจดจำบทสนทนาอาจนำไปสู่การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ⛔ ต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนและโปร่งใส https://www.neowin.net/news/microsoft-gives-copilot-visual-appearance-with-real-time-expressions-and-emotions/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft gives Copilot visual appearance with real-time expressions and emotions
    Microsoft now lets certain Copilot users try the new Appearance feature that gives the assistant real-time expressions, emotions, and conversational memory.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts