• Anthropic จับมือ Google Cloud ขยายกำลังประมวลผล TPU – ตั้งเป้าเกิน 1GW ภายในปี 2026

    Anthropic ผู้พัฒนา AI เบื้องหลัง Claude ได้ลงนามข้อตกลงใหม่กับ Google Cloud เพื่อขยายการใช้ชิป TPU สำหรับฝึกโมเดล AI โดยตั้งเป้าจะมีพลังประมวลผลรวมมากกว่า 1 กิกะวัตต์ภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากลูกค้าทั่วโลก

    บริษัทเริ่มใช้บริการของ Google Cloud ตั้งแต่ปี 2023 และได้ใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Vertex AI และ Google Cloud Marketplace เพื่อให้บริการ Claude แก่ลูกค้า เช่น Figma, Palo Alto Networks และ Cursor

    ข้อตกลงใหม่นี้จะช่วยให้ Anthropic เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว พร้อมบริการคลาวด์อื่น ๆ จาก Google ซึ่งจะช่วยให้ Claude สามารถรองรับงานจากลูกค้าได้มากขึ้น และพัฒนาโมเดลให้ล้ำหน้ากว่าเดิม

    แม้คู่แข่งอย่าง OpenAI และ xAI จะลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง แต่ Anthropic เลือกใช้แนวทาง “เช่า” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนฮาร์ดแวร์ระยะยาว และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดล AI เป็นหลัก

    ข้อตกลงระหว่าง Anthropic และ Google Cloud
    ขยายการใช้ TPU สำหรับฝึกโมเดล Claude
    ตั้งเป้ามีกำลังประมวลผลรวมเกิน 1GW ภายในปี 2026
    เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว
    ใช้บริการคลาวด์อื่น ๆ เช่น Vertex AI และ Marketplace

    ผลกระทบต่อธุรกิจของ Anthropic
    รองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากขึ้น
    พัฒนา Claude ให้ล้ำหน้ากว่าเดิม
    ลูกค้ารายใหญ่ ได้แก่ Figma, Palo Alto Networks, Cursor

    กลยุทธ์เทียบกับคู่แข่ง
    OpenAI และ xAI ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง
    Anthropic เลือกเช่าเพื่อลดความเสี่ยงด้านฮาร์ดแวร์
    มุ่งเน้นการพัฒนาโมเดล AI มากกว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/anthropic-signs-deal-with-google-cloud-to-expand-tpu-chip-capacity-ai-company-expects-to-have-over-1gw-of-processing-power-in-2026
    🤝 Anthropic จับมือ Google Cloud ขยายกำลังประมวลผล TPU – ตั้งเป้าเกิน 1GW ภายในปี 2026 Anthropic ผู้พัฒนา AI เบื้องหลัง Claude ได้ลงนามข้อตกลงใหม่กับ Google Cloud เพื่อขยายการใช้ชิป TPU สำหรับฝึกโมเดล AI โดยตั้งเป้าจะมีพลังประมวลผลรวมมากกว่า 1 กิกะวัตต์ภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากลูกค้าทั่วโลก บริษัทเริ่มใช้บริการของ Google Cloud ตั้งแต่ปี 2023 และได้ใช้แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Vertex AI และ Google Cloud Marketplace เพื่อให้บริการ Claude แก่ลูกค้า เช่น Figma, Palo Alto Networks และ Cursor ข้อตกลงใหม่นี้จะช่วยให้ Anthropic เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว พร้อมบริการคลาวด์อื่น ๆ จาก Google ซึ่งจะช่วยให้ Claude สามารถรองรับงานจากลูกค้าได้มากขึ้น และพัฒนาโมเดลให้ล้ำหน้ากว่าเดิม แม้คู่แข่งอย่าง OpenAI และ xAI จะลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง แต่ Anthropic เลือกใช้แนวทาง “เช่า” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนฮาร์ดแวร์ระยะยาว และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโมเดล AI เป็นหลัก ✅ ข้อตกลงระหว่าง Anthropic และ Google Cloud ➡️ ขยายการใช้ TPU สำหรับฝึกโมเดล Claude ➡️ ตั้งเป้ามีกำลังประมวลผลรวมเกิน 1GW ภายในปี 2026 ➡️ เข้าถึง TPU ได้มากถึง 1 ล้านตัว ➡️ ใช้บริการคลาวด์อื่น ๆ เช่น Vertex AI และ Marketplace ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจของ Anthropic ➡️ รองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากขึ้น ➡️ พัฒนา Claude ให้ล้ำหน้ากว่าเดิม ➡️ ลูกค้ารายใหญ่ ได้แก่ Figma, Palo Alto Networks, Cursor ✅ กลยุทธ์เทียบกับคู่แข่ง ➡️ OpenAI และ xAI ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลของตัวเอง ➡️ Anthropic เลือกเช่าเพื่อลดความเสี่ยงด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ มุ่งเน้นการพัฒนาโมเดล AI มากกว่าการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/anthropic-signs-deal-with-google-cloud-to-expand-tpu-chip-capacity-ai-company-expects-to-have-over-1gw-of-processing-power-in-2026
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC เผยผลกระทบจากการจำกัดส่งออกแร่หายากของจีนยังไม่รุนแรงในระยะสั้น – แต่การเปลี่ยนแหล่งผลิตในระยะยาวคือความท้าทาย

    TSMC บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ระบุว่าการจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในระยะสั้น เพราะบริษัทมีสต็อกเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักอยู่ที่การเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบจากจีนไปยังประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือสหรัฐฯ ซึ่งต้องใช้เวลาและการลงทุนสูง

    จีนถือครองกำลังการผลิตแร่หายากกว่า 85% ของโลก และได้ประกาศให้ทรัพยากรเหล่านี้เป็นของรัฐตั้งแต่ปี 2024 พร้อมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 14nm หรือมีมากกว่า 256 เลเยอร์

    แม้จะมีแหล่งแร่หายากในประเทศอื่น แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานในการสกัดและแปรรูป เช่นเดียวกับโรงงานในมาเลเซียที่แม้จะเป็นโรงงานนอกจีนที่ใหญ่ที่สุด ก็ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีนในการพัฒนา

    สถานการณ์ของ TSMC
    มีสต็อกแร่หายากเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี
    ไม่กังวลผลกระทบระยะสั้นจากการจำกัดส่งออกของจีน
    ความท้าทายหลักคือการเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบในระยะยาว

    บทบาทของจีนในตลาดแร่หายาก
    ครองกำลังการผลิตกว่า 85% ของโลก
    ประกาศให้แร่หายากเป็นทรัพย์สินของรัฐในปี 2024
    ออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025
    ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปขั้นสูงทั่วโลก

    ทางเลือกจากประเทศอื่น
    ออสเตรเลียพยายามสกัดแร่จากของเสียในเหมือง
    แคนาดาและสหรัฐฯ เตรียมลงทุนเพื่อขยายกำลังผลิต
    มาเลเซียมีโรงงานแปรรูปใหญ่ที่สุดนอกจีน แต่ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/tsmc-says-chinas-rare-earth-export-restrictions-will-have-limited-short-term-impact-on-company-concern-lies-in-transitioning-away-from-china-supply
    🌏 TSMC เผยผลกระทบจากการจำกัดส่งออกแร่หายากของจีนยังไม่รุนแรงในระยะสั้น – แต่การเปลี่ยนแหล่งผลิตในระยะยาวคือความท้าทาย TSMC บริษัทผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกจากไต้หวัน ระบุว่าการจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในระยะสั้น เพราะบริษัทมีสต็อกเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักอยู่ที่การเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบจากจีนไปยังประเทศอื่น เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา หรือสหรัฐฯ ซึ่งต้องใช้เวลาและการลงทุนสูง จีนถือครองกำลังการผลิตแร่หายากกว่า 85% ของโลก และได้ประกาศให้ทรัพยากรเหล่านี้เป็นของรัฐตั้งแต่ปี 2024 พร้อมทั้งออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025 ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 14nm หรือมีมากกว่า 256 เลเยอร์ แม้จะมีแหล่งแร่หายากในประเทศอื่น แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานในการสกัดและแปรรูป เช่นเดียวกับโรงงานในมาเลเซียที่แม้จะเป็นโรงงานนอกจีนที่ใหญ่ที่สุด ก็ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีนในการพัฒนา ✅ สถานการณ์ของ TSMC ➡️ มีสต็อกแร่หายากเพียงพอสำหรับ 1–2 ปี ➡️ ไม่กังวลผลกระทบระยะสั้นจากการจำกัดส่งออกของจีน ➡️ ความท้าทายหลักคือการเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบในระยะยาว ✅ บทบาทของจีนในตลาดแร่หายาก ➡️ ครองกำลังการผลิตกว่า 85% ของโลก ➡️ ประกาศให้แร่หายากเป็นทรัพย์สินของรัฐในปี 2024 ➡️ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกหลายครั้งในปี 2025 ➡️ ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปขั้นสูงทั่วโลก ✅ ทางเลือกจากประเทศอื่น ➡️ ออสเตรเลียพยายามสกัดแร่จากของเสียในเหมือง ➡️ แคนาดาและสหรัฐฯ เตรียมลงทุนเพื่อขยายกำลังผลิต ➡️ มาเลเซียมีโรงงานแปรรูปใหญ่ที่สุดนอกจีน แต่ยังต้องพึ่งพาความร่วมมือกับจีน https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/tsmc-says-chinas-rare-earth-export-restrictions-will-have-limited-short-term-impact-on-company-concern-lies-in-transitioning-away-from-china-supply
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • Claude AI เปิดตัวฟีเจอร์ Memory สำหรับผู้ใช้ Pro – เชื่อมต่อกับ ChatGPT และ Gemini ได้อย่างลื่นไหล

    Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Memory” สำหรับผู้ใช้แบบ Pro และ Max โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ Claude ฉลาดขึ้นและเข้าใจผู้ใช้มากขึ้นในระยะยาว ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ และปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ

    ผู้ใช้สามารถควบคุม Memory ได้อย่างละเอียด เช่น เปิด/ปิดการจดจำ ลบความจำเฉพาะจุด หรือใช้โหมด Incognito เพื่อเริ่มต้นใหม่แบบไม่มีบริบทเก่า นอกจากนี้ยังสามารถนำเข้าความจำจาก AI ตัวอื่น เช่น ChatGPT และ Gemini ได้ด้วย ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น

    Claude ยังสามารถสร้าง “พื้นที่ความจำเฉพาะ” สำหรับแต่ละโปรเจกต์ เช่น แยกงานเขียนออกจากงานวางแผนผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่องในแต่ละบริบท

    ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ของ Anthropic ที่ต้องการให้ Claude เป็น “คู่คิดระยะยาว” ที่สามารถเข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง

    การเปิดตัวฟีเจอร์ Memory ใน Claude AI
    รองรับผู้ใช้แบบ Pro ($20/เดือน) และ Max ($100/เดือน)
    Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ ได้
    ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถควบคุมความจำได้อย่างละเอียด

    ความสามารถในการเชื่อมต่อกับ AI อื่น
    สามารถนำเข้าความจำจาก ChatGPT และ Gemini ได้
    ช่วยให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น
    รองรับการส่งออกความจำไปยังแพลตฟอร์มอื่น

    การจัดการความจำแบบแยกโปรเจกต์
    Claude สามารถสร้างพื้นที่ความจำเฉพาะสำหรับแต่ละโปรเจกต์
    ช่วยให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่อง
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานหลายด้าน เช่น เขียนบทความและวางแผนผลิตภัณฑ์

    เป้าหมายของ Anthropic
    ต้องการให้ Claude เป็นคู่คิดระยะยาวที่เข้าใจผู้ใช้
    สร้างระบบ AI ที่มีความต่อเนื่องและปรับตัวได้
    เพิ่มความโปร่งใสในการจัดการข้อมูลความจำ

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ฟีเจอร์ Memory ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงิน
    การนำเข้าความจำจาก AI อื่นอาจมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้
    ผู้ใช้ต้องเข้าใจวิธีจัดการความจำเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
    หากไม่จัดการพื้นที่ความจำอย่างเหมาะสม อาจเกิดความสับสนในบริบท

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude-ai-is-catching-up-fast-with-memory-for-pro-users-and-it-plays-nicely-with-chatgpt-and-gemini
    🧠 Claude AI เปิดตัวฟีเจอร์ Memory สำหรับผู้ใช้ Pro – เชื่อมต่อกับ ChatGPT และ Gemini ได้อย่างลื่นไหล Anthropic ผู้พัฒนา Claude AI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ชื่อว่า “Memory” สำหรับผู้ใช้แบบ Pro และ Max โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ Claude ฉลาดขึ้นและเข้าใจผู้ใช้มากขึ้นในระยะยาว ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ และปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ ผู้ใช้สามารถควบคุม Memory ได้อย่างละเอียด เช่น เปิด/ปิดการจดจำ ลบความจำเฉพาะจุด หรือใช้โหมด Incognito เพื่อเริ่มต้นใหม่แบบไม่มีบริบทเก่า นอกจากนี้ยังสามารถนำเข้าความจำจาก AI ตัวอื่น เช่น ChatGPT และ Gemini ได้ด้วย ทำให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น Claude ยังสามารถสร้าง “พื้นที่ความจำเฉพาะ” สำหรับแต่ละโปรเจกต์ เช่น แยกงานเขียนออกจากงานวางแผนผลิตภัณฑ์ เพื่อให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่องในแต่ละบริบท ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ของ Anthropic ที่ต้องการให้ Claude เป็น “คู่คิดระยะยาว” ที่สามารถเข้าใจบริบทการทำงานของผู้ใช้และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง ✅ การเปิดตัวฟีเจอร์ Memory ใน Claude AI ➡️ รองรับผู้ใช้แบบ Pro ($20/เดือน) และ Max ($100/เดือน) ➡️ Claude สามารถจดจำบริบทจากการสนทนาเก่าๆ ได้ ➡️ ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานของผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถควบคุมความจำได้อย่างละเอียด ✅ ความสามารถในการเชื่อมต่อกับ AI อื่น ➡️ สามารถนำเข้าความจำจาก ChatGPT และ Gemini ได้ ➡️ ช่วยให้การเปลี่ยนมาใช้ Claude เป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ รองรับการส่งออกความจำไปยังแพลตฟอร์มอื่น ✅ การจัดการความจำแบบแยกโปรเจกต์ ➡️ Claude สามารถสร้างพื้นที่ความจำเฉพาะสำหรับแต่ละโปรเจกต์ ➡️ ช่วยให้การสนทนาไม่ปะปนกัน และมีความต่อเนื่อง ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานหลายด้าน เช่น เขียนบทความและวางแผนผลิตภัณฑ์ ✅ เป้าหมายของ Anthropic ➡️ ต้องการให้ Claude เป็นคู่คิดระยะยาวที่เข้าใจผู้ใช้ ➡️ สร้างระบบ AI ที่มีความต่อเนื่องและปรับตัวได้ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสในการจัดการข้อมูลความจำ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ฟีเจอร์ Memory ยังจำกัดเฉพาะผู้ใช้แบบเสียเงิน ⛔ การนำเข้าความจำจาก AI อื่นอาจมีข้อจำกัดด้านความเข้ากันได้ ⛔ ผู้ใช้ต้องเข้าใจวิธีจัดการความจำเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ⛔ หากไม่จัดการพื้นที่ความจำอย่างเหมาะสม อาจเกิดความสับสนในบริบท https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude-ai-is-catching-up-fast-with-memory-for-pro-users-and-it-plays-nicely-with-chatgpt-and-gemini
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Audio-Technica เปิดตัว ATH-ADX7000 – หูฟังระดับออดิโอไฟล์รุ่นใหม่ พร้อมไดรเวอร์ 58 มม. และดีไซน์แม่นยำขั้นสุด

    Audio-Technica แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากญี่ปุ่นเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ ATH-ADX7000 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ open-back ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ฟังระดับออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาดใหญ่ถึง 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เสียงมีความชัดเจน ละเอียด และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    ตัวไดรเวอร์ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount ที่วาง voice coil ไว้ตรงกลางของ housing เพื่อให้ตำแหน่งเสียงแม่นยำสูงสุด โครงสร้างของหูฟังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม และช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์

    ATH-ADX7000 มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ ได้แก่ สาย balanced แบบ 4-pin XLRM และสาย unbalanced แบบ 6.3 มม. พร้อมกล่องแข็งสำหรับพกพา โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ในราคา $3,499 (ประมาณ 126,000 บาท)

    จุดเด่นของ ATH-ADX7000
    ใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาด 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่
    ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount เพื่อความแม่นยำของเสียง
    โครงสร้างอลูมิเนียมรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ น้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม
    มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ: balanced และ unbalanced
    รวมกล่องแข็งสำหรับพกพา และมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะแต่ละตัว

    การออกแบบเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด
    ดีไซน์ open-back เพื่อความโปร่งของเสียง
    วัสดุช่วยลดการสั่นสะเทือนและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเสียง
    รองรับการใช้งานกับแอมป์ระดับสูงสำหรับผู้ฟังออดิโอไฟล์

    การวางจำหน่าย
    เริ่มวางขายวันที่ 31 ตุลาคม
    ราคา $3,499 หรือประมาณ 126,000 บาท
    ถือเป็นหูฟังระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าหูฟังทั่วไปในตลาด

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    ราคาสูงมาก เหมาะเฉพาะผู้ใช้งานระดับออดิโอไฟล์จริงจัง
    ต้องใช้แอมป์คุณภาพสูงเพื่อดึงศักยภาพของหูฟังออกมาเต็มที่
    ดีไซน์ open-back ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือเสียงรบกวนเยอะ
    น้ำหนักเบาแต่ยังต้องพิจารณาความสบายในการใช้งานระยะยาว

    https://www.techradar.com/televisions/japanese-hi-fi-great-audio-technica-just-launched-a-pair-of-hardcore-audiophile-headphones-with-a-new-driver-and-ultra-precise-audio-design
    🎧 Audio-Technica เปิดตัว ATH-ADX7000 – หูฟังระดับออดิโอไฟล์รุ่นใหม่ พร้อมไดรเวอร์ 58 มม. และดีไซน์แม่นยำขั้นสุด Audio-Technica แบรนด์เครื่องเสียงชื่อดังจากญี่ปุ่นเปิดตัวหูฟังรุ่นใหม่ ATH-ADX7000 ซึ่งเป็นหูฟังแบบ open-back ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ฟังระดับออดิโอไฟล์โดยเฉพาะ จุดเด่นของรุ่นนี้คือการใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาดใหญ่ถึง 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เสียงมีความชัดเจน ละเอียด และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตัวไดรเวอร์ถูกติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount ที่วาง voice coil ไว้ตรงกลางของ housing เพื่อให้ตำแหน่งเสียงแม่นยำสูงสุด โครงสร้างของหูฟังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้มีน้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม และช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์ ATH-ADX7000 มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ ได้แก่ สาย balanced แบบ 4-pin XLRM และสาย unbalanced แบบ 6.3 มม. พร้อมกล่องแข็งสำหรับพกพา โดยจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ในราคา $3,499 (ประมาณ 126,000 บาท) ✅ จุดเด่นของ ATH-ADX7000 ➡️ ใช้ไดรเวอร์ HXDT ขนาด 58 มม. ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ➡️ ติดตั้งด้วยเทคโนโลยี Core Mount เพื่อความแม่นยำของเสียง ➡️ โครงสร้างอลูมิเนียมรังผึ้งและแมกนีเซียมอัลลอยด์ น้ำหนักเบาเพียง 270 กรัม ➡️ มาพร้อมสายถอดได้ 2 แบบ: balanced และ unbalanced ➡️ รวมกล่องแข็งสำหรับพกพา และมีหมายเลขซีเรียลเฉพาะแต่ละตัว ✅ การออกแบบเพื่อคุณภาพเสียงสูงสุด ➡️ ดีไซน์ open-back เพื่อความโปร่งของเสียง ➡️ วัสดุช่วยลดการสั่นสะเทือนและเพิ่มความบริสุทธิ์ของเสียง ➡️ รองรับการใช้งานกับแอมป์ระดับสูงสำหรับผู้ฟังออดิโอไฟล์ ✅ การวางจำหน่าย ➡️ เริ่มวางขายวันที่ 31 ตุลาคม ➡️ ราคา $3,499 หรือประมาณ 126,000 บาท ➡️ ถือเป็นหูฟังระดับไฮเอนด์ที่เหนือกว่าหูฟังทั่วไปในตลาด ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ราคาสูงมาก เหมาะเฉพาะผู้ใช้งานระดับออดิโอไฟล์จริงจัง ⛔ ต้องใช้แอมป์คุณภาพสูงเพื่อดึงศักยภาพของหูฟังออกมาเต็มที่ ⛔ ดีไซน์ open-back ไม่เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือเสียงรบกวนเยอะ ⛔ น้ำหนักเบาแต่ยังต้องพิจารณาความสบายในการใช้งานระยะยาว https://www.techradar.com/televisions/japanese-hi-fi-great-audio-technica-just-launched-a-pair-of-hardcore-audiophile-headphones-with-a-new-driver-and-ultra-precise-audio-design
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 73 มุมมอง 0 รีวิว
  • Surfshark ขยายเครือข่าย VPN เป็น 4,500 เซิร์ฟเวอร์ – เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ

    Surfshark ประกาศขยายเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ VPN เพิ่มขึ้นถึง 40% รวมเป็น 4,500 เซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อได้หลากหลายขึ้น ลดความแออัดของเซิร์ฟเวอร์ และเพิ่มความเร็วในการใช้งาน อย่างไรก็ตาม บริษัทเน้นย้ำว่า “คุณภาพของเซิร์ฟเวอร์” สำคัญกว่าจำนวน โดยเน้นการดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์ให้มีประสิทธิภาพสูง สเถียร และปลอดภัย

    Surfshark ยังเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้ระบบ Nexus SDN ได้แก่ Everlink และ FastTrack ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและความเร็วในการเชื่อมต่อ โดย Everlink จะรักษาการเชื่อมต่อแม้ในเครือข่ายที่ไม่เสถียร ส่วน FastTrack จะปรับเส้นทางการรับส่งข้อมูลให้เหมาะสมกับตำแหน่งและกิจกรรมของผู้ใช้

    การขยายเครือข่ายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของ Surfshark ที่ต้องการสร้างระบบ VPN ที่เร็ว ปลอดภัย และรองรับการเติบโตของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยไม่เน้นแค่ตัวเลข แต่เน้นประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด

    การขยายเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ของ Surfshark
    เพิ่มขึ้น 40% รวมเป็น 4,500 เซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก
    ลดความแออัด เพิ่มความเร็ว และทางเลือกในการเชื่อมต่อ
    เน้นคุณภาพของเซิร์ฟเวอร์มากกว่าปริมาณ

    เทคโนโลยีใหม่ในระบบ Nexus SDN
    Everlink: รักษาการเชื่อมต่อแม้ในเครือข่ายที่ไม่เสถียร
    FastTrack: ปรับเส้นทางข้อมูลให้เหมาะกับตำแหน่งและกิจกรรม
    เพิ่มความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์ใช้งาน

    จุดยืนของ Surfshark
    ไม่เน้นแค่จำนวนเซิร์ฟเวอร์ แต่เน้นประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ
    มุ่งสร้างระบบ VPN ที่รองรับการเติบโตในอนาคต
    ส่งเสริมความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    จำนวนเซิร์ฟเวอร์มากไม่ได้หมายถึงคุณภาพที่ดีเสมอไป
    ผู้ใช้ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะกับตำแหน่งและกิจกรรมของตน
    เทคโนโลยีใหม่อาจยังไม่รองรับในทุกอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์ม
    ความเร็วและเสถียรภาพยังขึ้นอยู่กับเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/surfshark-expands-network-to-4-500-servers-but-quality-is-more-important-than-quantity
    🌐 Surfshark ขยายเครือข่าย VPN เป็น 4,500 เซิร์ฟเวอร์ – เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ Surfshark ประกาศขยายเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ VPN เพิ่มขึ้นถึง 40% รวมเป็น 4,500 เซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อได้หลากหลายขึ้น ลดความแออัดของเซิร์ฟเวอร์ และเพิ่มความเร็วในการใช้งาน อย่างไรก็ตาม บริษัทเน้นย้ำว่า “คุณภาพของเซิร์ฟเวอร์” สำคัญกว่าจำนวน โดยเน้นการดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์ให้มีประสิทธิภาพสูง สเถียร และปลอดภัย Surfshark ยังเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ภายใต้ระบบ Nexus SDN ได้แก่ Everlink และ FastTrack ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและความเร็วในการเชื่อมต่อ โดย Everlink จะรักษาการเชื่อมต่อแม้ในเครือข่ายที่ไม่เสถียร ส่วน FastTrack จะปรับเส้นทางการรับส่งข้อมูลให้เหมาะสมกับตำแหน่งและกิจกรรมของผู้ใช้ การขยายเครือข่ายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวของ Surfshark ที่ต้องการสร้างระบบ VPN ที่เร็ว ปลอดภัย และรองรับการเติบโตของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยไม่เน้นแค่ตัวเลข แต่เน้นประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด ✅ การขยายเครือข่ายเซิร์ฟเวอร์ของ Surfshark ➡️ เพิ่มขึ้น 40% รวมเป็น 4,500 เซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก ➡️ ลดความแออัด เพิ่มความเร็ว และทางเลือกในการเชื่อมต่อ ➡️ เน้นคุณภาพของเซิร์ฟเวอร์มากกว่าปริมาณ ✅ เทคโนโลยีใหม่ในระบบ Nexus SDN ➡️ Everlink: รักษาการเชื่อมต่อแม้ในเครือข่ายที่ไม่เสถียร ➡️ FastTrack: ปรับเส้นทางข้อมูลให้เหมาะกับตำแหน่งและกิจกรรม ➡️ เพิ่มความเร็ว ความเสถียร และประสบการณ์ใช้งาน ✅ จุดยืนของ Surfshark ➡️ ไม่เน้นแค่จำนวนเซิร์ฟเวอร์ แต่เน้นประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ ➡️ มุ่งสร้างระบบ VPN ที่รองรับการเติบโตในอนาคต ➡️ ส่งเสริมความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ จำนวนเซิร์ฟเวอร์มากไม่ได้หมายถึงคุณภาพที่ดีเสมอไป ⛔ ผู้ใช้ควรเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะกับตำแหน่งและกิจกรรมของตน ⛔ เทคโนโลยีใหม่อาจยังไม่รองรับในทุกอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์ม ⛔ ความเร็วและเสถียรภาพยังขึ้นอยู่กับเครือข่ายของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/surfshark-expands-network-to-4-500-servers-but-quality-is-more-important-than-quantity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ

    จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น

    ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง

    แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030)
    เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI
    ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่
    รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

    การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
    ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024
    กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP
    ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์
    เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค

    ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี
    บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
    ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น
    การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ
    ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
    การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    🇨🇳 จีนประกาศแผน 5 ปีใหม่ มุ่งพึ่งพาตนเองด้านเซมิคอนดักเตอร์และ AI พร้อมกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ จีนกำลังวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะยาวฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) โดยเน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคใหม่ แผนนี้ถูกผลักดันโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จีนต้องการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการส่งออก มาเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ โดยจะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนผ่านการปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในด้านเทคโนโลยี รัฐบาลจะสนับสนุนการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และ AI ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแผนนี้ พร้อมทั้งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การบิน การขนส่ง และอินเทอร์เน็ต เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างมั่นคง ✅ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีใหม่ของจีน (2026–2030) ➡️ เน้นการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี โดยเฉพาะเซมิคอนดักเตอร์และ AI ➡️ ผลักดัน “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ ➡️ รับมือกับความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออกและสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ✅ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ➡️ ลดสัดส่วนการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งเคยสูงสุดในปี 2024 ➡️ กระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังต่ำกว่า 40% ของ GDP ➡️ ปรับปรุงระบบประกันสังคมและสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ➡️ เพิ่มความมั่นคงทางการเงินให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นการบริโภค ✅ ผลกระทบต่อภาคเทคโนโลยี ➡️ บริษัทเทคโนโลยีจีนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ➡️ ความต้องการภายในประเทศจะเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่าย ➡️ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในจะช่วยลดการพึ่งพาตะวันตก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจต้องใช้เวลาและอาจกระทบการเติบโตระยะสั้น ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีภายในอาจเผชิญกับข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ ⛔ ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ⛔ การกระตุ้นการใช้จ่ายอาจไม่สำเร็จหากประชาชนยังขาดความมั่นใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-seeks-semiconductor-and-ai-self-reliance-in-ambitious-new-5-year-plan-beijing-also-wants-to-increase-domestic-spending-and-reduce-reliance-on-exports
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS

    มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7

    แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต

    แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน
    ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS
    เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน
    อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7

    ผลกระทบต่อจีน
    อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ
    จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS
    อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว

    ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
    สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน
    ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้
    มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน
    อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต
    การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
    อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    🇺🇸 สหรัฐฯ เตรียมแบนการส่งออกสินค้าที่มีซอฟต์แวร์อเมริกันไปจีน – ตอบโต้การควบคุมแร่หายากของปักกิ่ง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังพิจารณามาตรการตอบโต้จีนอย่างรุนแรง ด้วยการแบนการส่งออกสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ไปยังจีน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์เฉพาะทางไปจนถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows, Android, iOS และ macOS มาตรการนี้เป็นการตอบโต้ที่สหรัฐฯ มองว่าเหมาะสม หลังจากจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ยืนยันว่า “ทุกทางเลือกยังอยู่บนโต๊ะ” และหากมีการดำเนินการจริง จะร่วมมือกับประเทศพันธมิตรในกลุ่ม G7 แม้ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่มาตรการนี้อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างสองประเทศ เพราะแทบทุกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในจีนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ การแบนครั้งนี้อาจทำให้จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin และมาตรฐานใหม่อย่าง UBIOS ที่เพิ่งเปิดตัว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการดำเนินการเช่นนี้อาจส่งผลย้อนกลับต่ออุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เอง และอาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบของตัวเองจนสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ✅ แผนการแบนสินค้าจากสหรัฐฯ ไปจีน ➡️ ครอบคลุมสินค้าที่ผลิตด้วยหรือมีซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ รวมถึงระบบปฏิบัติการยอดนิยม เช่น Windows, Android, iOS, macOS ➡️ เป็นมาตรการตอบโต้การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ อาจดำเนินการร่วมกับพันธมิตรในกลุ่ม G7 ✅ ผลกระทบต่อจีน ➡️ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ในจีนใช้ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ ➡️ จีนต้องเร่งพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเอง เช่น HarmonyOS, openKylin, UBIOS ➡️ อาจทำให้จีนอยู่ในสถานะเสียเปรียบในระยะสั้น แต่เร่งการพึ่งพาตนเองในระยะยาว ✅ ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ➡️ สหรัฐฯ เคยแบนซอฟต์แวร์ออกแบบชิป (EDA) ไปยังจีน ➡️ ส่งผลให้บริษัทจีนอย่าง Xiaomi และ Lenovo ไม่สามารถออกแบบชิปกับ TSMC ได้ ➡️ มาตรการถูกยกเลิกหลังจีนยอมผ่อนปรนการส่งออกแร่หายาก ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การแบนอาจกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่มีตลาดใหญ่ในจีน ⛔ อาจเร่งให้จีนพัฒนาระบบที่ไม่พึ่งพาสหรัฐฯ และกลายเป็นคู่แข่งในอนาคต ⛔ การดำเนินการอาจซับซ้อนและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก ⛔ อาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/trump-considering-china-export-ban-on-items-made-with-or-containing-u-s-software-sweeping-restriction-to-hit-hard-in-response-to-beijings-rare-earth-embargo-in-major-trade-war-escalation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI กับสิ่งแวดล้อม: ใช้พลังงานมหาศาล แต่ก็ช่วยโลกได้ใน 5 วิธี

    แม้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังงานและน้ำมหาศาล โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่รองรับการประมวลผลขั้นสูง แต่บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในหลายภาคส่วนได้เช่นกัน

    นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอ 5 วิธีที่ AI สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ตั้งแต่การจัดการพลังงานในอาคาร ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและการจราจร

    สรุป 5 วิธีที่ AI ช่วยสิ่งแวดล้อม

    1️⃣ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร
    วิธีการทำงาน
    AI ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศตามสภาพอากาศและการใช้งานจริง
    คาดว่าช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารได้ 10–30%
    ระบบอัตโนมัติช่วยลดการเปิดแอร์หรือฮีตเตอร์เกินความจำเป็น

    คำเตือน
    หากระบบ AI ขัดข้อง อาจทำให้การควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด
    ต้องมีการบำรุงรักษาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมอย่างสม่ำเสมอ

    2️⃣ จัดการการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ
    วิธีการทำงาน
    AI กำหนดเวลาชาร์จ EV และสมาร์ตโฟนให้เหมาะกับช่วงที่ไฟฟ้าถูกและสะอาด
    ลดการใช้ไฟฟ้าช่วงพีค และลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    คำเตือน
    ต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบ grid และข้อมูลราคาพลังงานแบบเรียลไทม์
    หากข้อมูลไม่แม่นยำ อาจชาร์จผิดเวลาและเพิ่มค่าไฟ

    3️⃣ ลดมลพิษจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ
    วิธีการทำงาน
    AI วิเคราะห์กระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
    ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้ปล่อยก๊าซน้อยลง
    ใช้ machine learning เพื่อคาดการณ์และป้องกันการรั่วไหล

    คำเตือน
    ข้อมูลจากอุตสาหกรรมอาจไม่เปิดเผยทั้งหมด ทำให้ AI วิเคราะห์ไม่ครบ
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์อาจเสี่ยงต่อความผิดพลาด

    4️⃣ ควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
    วิธีการทำงาน
    AI วิเคราะห์การจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสัญญาณไฟให้รถติดน้อยลง
    ลดการจอดรอและการเร่งเครื่องที่สิ้นเปลืองพลังงาน
    ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ในเมืองใหญ่

    คำเตือน
    ต้องมีระบบกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมทั่วเมือง
    หากระบบล่ม อาจทำให้การจราจรแย่ลงกว่าเดิม

    5️⃣ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบ HVAC และอุปกรณ์อื่นๆ
    วิธีการทำงาน
    AI ตรวจจับความผิดปกติในระบบก่อนเกิดความเสียหาย
    ช่วยลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกติ
    ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว

    คำเตือน
    ต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่แม่นยำ
    หากไม่ calibrate ระบบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิด false alarm หรือพลาดการแจ้งเตือนจริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/ai-can-help-the-environment-even-though-it-uses-tremendous-energy-here-are-5-ways-how
    🌱 AI กับสิ่งแวดล้อม: ใช้พลังงานมหาศาล แต่ก็ช่วยโลกได้ใน 5 วิธี แม้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะถูกวิจารณ์ว่าใช้พลังงานและน้ำมหาศาล โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลที่รองรับการประมวลผลขั้นสูง แต่บทความจาก The Star ชี้ให้เห็นว่า AI ก็สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดมลพิษและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในหลายภาคส่วนได้เช่นกัน นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเสนอ 5 วิธีที่ AI สามารถช่วยสิ่งแวดล้อมได้ ตั้งแต่การจัดการพลังงานในอาคาร ไปจนถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและการจราจร 🔍 สรุป 5 วิธีที่ AI ช่วยสิ่งแวดล้อม 1️⃣ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศตามสภาพอากาศและการใช้งานจริง ➡️ คาดว่าช่วยลดการใช้พลังงานในอาคารได้ 10–30% ➡️ ระบบอัตโนมัติช่วยลดการเปิดแอร์หรือฮีตเตอร์เกินความจำเป็น ‼️ คำเตือน ⛔ หากระบบ AI ขัดข้อง อาจทำให้การควบคุมอุณหภูมิผิดพลาด ⛔ ต้องมีการบำรุงรักษาเซ็นเซอร์และระบบควบคุมอย่างสม่ำเสมอ 2️⃣ จัดการการชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI กำหนดเวลาชาร์จ EV และสมาร์ตโฟนให้เหมาะกับช่วงที่ไฟฟ้าถูกและสะอาด ➡️ ลดการใช้ไฟฟ้าช่วงพีค และลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการเชื่อมต่อกับระบบ grid และข้อมูลราคาพลังงานแบบเรียลไทม์ ⛔ หากข้อมูลไม่แม่นยำ อาจชาร์จผิดเวลาและเพิ่มค่าไฟ 3️⃣ ลดมลพิษจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI วิเคราะห์กระบวนการผลิตเพื่อหาจุดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ➡️ ช่วยปรับปรุงกระบวนการให้ปล่อยก๊าซน้อยลง ➡️ ใช้ machine learning เพื่อคาดการณ์และป้องกันการรั่วไหล ‼️ คำเตือน ⛔ ข้อมูลจากอุตสาหกรรมอาจไม่เปิดเผยทั้งหมด ทำให้ AI วิเคราะห์ไม่ครบ ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์อาจเสี่ยงต่อความผิดพลาด 4️⃣ ควบคุมสัญญาณไฟจราจรเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI วิเคราะห์การจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับสัญญาณไฟให้รถติดน้อยลง ➡️ ลดการจอดรอและการเร่งเครื่องที่สิ้นเปลืองพลังงาน ➡️ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนจากรถยนต์ในเมืองใหญ่ ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีระบบกล้องและเซ็นเซอร์ที่ครอบคลุมทั่วเมือง ⛔ หากระบบล่ม อาจทำให้การจราจรแย่ลงกว่าเดิม 5️⃣ ตรวจสอบและซ่อมบำรุงระบบ HVAC และอุปกรณ์อื่นๆ ✅ วิธีการทำงาน ➡️ AI ตรวจจับความผิดปกติในระบบก่อนเกิดความเสียหาย ➡️ ช่วยลดการใช้พลังงานจากอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกติ ➡️ ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมระยะยาว ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการติดตั้งเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่แม่นยำ ⛔ หากไม่ calibrate ระบบอย่างสม่ำเสมอ อาจเกิด false alarm หรือพลาดการแจ้งเตือนจริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/ai-can-help-the-environment-even-though-it-uses-tremendous-energy-here-are-5-ways-how
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI can help the environment, even though it uses tremendous energy. Here are 5 ways how
    Artificial intelligence has caused concern for its tremendous consumptionof water and power. But scientists are also experimenting with ways that AI can help people and businesses use energy more efficiently and pollute less.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • GM ปฏิวัติระบบรถยนต์: ใช้ Gemini แทน CarPlay และ Android Auto ภายในปี 2026

    General Motors (GM) ประกาศแผนการครั้งใหญ่ในการยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์ทุกประเภท ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อเปิดทางให้กับ Gemini — ระบบผู้ช่วย AI จาก Google ที่จะถูกฝังเข้าไปในรถยนต์ของ GM ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป

    Gemini จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของรถแบบเรียลไทม์ เช่น การแจ้งเตือนซ่อมบำรุง การวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่การตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังขับผ่าน เช่น “สะพานนี้มีประวัติอย่างไร”

    ระบบใหม่นี้จะถูกอัปเดตผ่าน OTA (Over-the-Air) ผ่าน Google Play Store สำหรับรถยนต์ที่มีระบบ OnStar ตั้งแต่รุ่นปี 2015 ขึ้นไป โดย GM ยืนยันว่าจะให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังจากเคยถูกวิจารณ์เรื่องการแชร์ข้อมูลกับบริษัทประกันภัย

    Gemini ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้ช่วยเสียง แต่เป็นก้าวแรกสู่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ที่ GM พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะรองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตภายในปี 2028

    การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GM
    ยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto
    แทนที่ด้วย Gemini — ผู้ช่วย AI จาก Google
    เริ่มใช้งานในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ปี 2026

    ความสามารถของ Gemini
    โต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งซับซ้อน
    เชื่อมโยงกับข้อมูลรถแบบเรียลไทม์
    ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่หรือฟังก์ชันของรถ
    แจ้งเตือนซ่อมบำรุงและช่วยวางแผนเส้นทาง

    การอัปเดตและการรองรับ
    อัปเดตผ่าน OTA ผ่าน Google Play Store
    รองรับรถยนต์ที่มี OnStar ตั้งแต่ปี 2015 ขึ้นไป
    ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้

    แผนระยะยาวของ GM
    พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ของตนเอง
    เตรียมเปิดตัวระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2028

    https://securityonline.info/gm-bets-on-ai-gemini-to-replace-carplay-android-auto-in-all-cars-by-2026/
    🚗 GM ปฏิวัติระบบรถยนต์: ใช้ Gemini แทน CarPlay และ Android Auto ภายในปี 2026 General Motors (GM) ประกาศแผนการครั้งใหญ่ในการยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ในรถยนต์ทุกประเภท ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อเปิดทางให้กับ Gemini — ระบบผู้ช่วย AI จาก Google ที่จะถูกฝังเข้าไปในรถยนต์ของ GM ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป Gemini จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในรถยนต์ที่สามารถโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกับข้อมูลของรถแบบเรียลไทม์ เช่น การแจ้งเตือนซ่อมบำรุง การวางแผนเส้นทาง หรือแม้แต่การตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่ที่กำลังขับผ่าน เช่น “สะพานนี้มีประวัติอย่างไร” ระบบใหม่นี้จะถูกอัปเดตผ่าน OTA (Over-the-Air) ผ่าน Google Play Store สำหรับรถยนต์ที่มีระบบ OnStar ตั้งแต่รุ่นปี 2015 ขึ้นไป โดย GM ยืนยันว่าจะให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลส่วนตัวอย่างเต็มที่ หลังจากเคยถูกวิจารณ์เรื่องการแชร์ข้อมูลกับบริษัทประกันภัย Gemini ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนผู้ช่วยเสียง แต่เป็นก้าวแรกสู่แพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ที่ GM พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งจะรองรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคตภายในปี 2028 ✅ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ GM ➡️ ยกเลิกการรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ➡️ แทนที่ด้วย Gemini — ผู้ช่วย AI จาก Google ➡️ เริ่มใช้งานในรถยนต์ทุกประเภทตั้งแต่ปี 2026 ✅ ความสามารถของ Gemini ➡️ โต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ เข้าใจคำสั่งซับซ้อน ➡️ เชื่อมโยงกับข้อมูลรถแบบเรียลไทม์ ➡️ ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานที่หรือฟังก์ชันของรถ ➡️ แจ้งเตือนซ่อมบำรุงและช่วยวางแผนเส้นทาง ✅ การอัปเดตและการรองรับ ➡️ อัปเดตผ่าน OTA ผ่าน Google Play Store ➡️ รองรับรถยนต์ที่มี OnStar ตั้งแต่ปี 2015 ขึ้นไป ➡️ ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้ ✅ แผนระยะยาวของ GM ➡️ พัฒนาแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ของตนเอง ➡️ เตรียมเปิดตัวระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2028 https://securityonline.info/gm-bets-on-ai-gemini-to-replace-carplay-android-auto-in-all-cars-by-2026/
    SECURITYONLINE.INFO
    GM Bets on AI: Gemini to Replace CarPlay/Android Auto in All Cars by 2026
    GM is integrating Google Gemini into all vehicles by 2026, creating a natural-language AI assistant and phasing out both Apple CarPlay and Android Auto.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Exynos 2600 ยังไม่พร้อมใช้กับ Galaxy S26 ทุกรุ่น – ผลิตได้แค่ 15,000 แผ่น wafer เท่านั้น!”

    Samsung เริ่มผลิตชิป Exynos 2600 ด้วยเทคโนโลยี 2nm GAA (Gate-All-Around) สำหรับใช้ใน Galaxy S26 แต่ดูเหมือนว่าการผลิตยังไม่พร้อมเต็มที่ เพราะมีรายงานว่าผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด

    แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า Exynos 2600 มีประสิทธิภาพสูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ A19 Pro ในการทดสอบภายใน แต่ปัญหาหลักคือ อัตราผลิตที่ได้ (yield) ยังอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น ทำให้ชิปที่ผลิตได้จริงมีจำนวนจำกัด

    ผลคือ Galaxy S26 จะมีเพียง 30% ของเครื่องทั้งหมด ที่ใช้ Exynos 2600 ส่วนที่เหลือจะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า S26 Ultra จะใช้ Exynos ด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอาจไม่เป็นจริง

    แหล่งข่าวยังระบุว่า Exynos 2600 ถูกมองว่า “premature” หรือยังไม่พร้อมใช้งานในระดับ mass production และ Samsung ยังต้องปรับปรุง yield ให้สูงขึ้นก่อนจะใช้กับรุ่นเรือธงทั้งหมด

    นอกจากนี้ Samsung ยังมีแผนใช้เทคโนโลยี 2nm GAA เดียวกันในการผลิตชิป AI6 ของ Tesla ซึ่งอยู่ในช่วง pilot production โดยตั้งเป้าเพิ่ม yield ให้ถึง 50% ภายในรอบการผลิตถัดไป

    สถานะการผลิตของ Exynos 2600
    ผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น
    Yield อยู่ที่ประมาณ 50%
    ใช้เทคโนโลยี 2nm GAA ที่ยังไม่เสถียร
    ถูกมองว่ายัง “premature” สำหรับการใช้งานใน Galaxy S26 ทุกรุ่น

    ผลกระทบต่อ Galaxy S26
    มีเพียง 30% ของเครื่องที่ใช้ Exynos 2600
    ส่วนใหญ่จะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน
    S26 Ultra อาจไม่ได้ใช้ Exynos ตามที่เคยคาดไว้
    ประสิทธิภาพของ Exynos 2600 ยังสูงกว่าในการทดสอบภายใน

    แผนของ Samsung ในอนาคต
    ตั้งเป้าเพิ่ม yield เป็น 70%
    ใช้เทคโนโลยีเดียวกันผลิตชิป AI6 ให้ Tesla
    หวังดึงลูกค้าใหม่ เช่น Qualcomm หาก yield ดีขึ้น
    แข่งกับ TSMC ในตลาด 2nm GAA

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    Yield ต่ำทำให้ต้นทุนต่อชิปสูงและจำนวนผลิตจำกัด
    การใช้ชิปที่ยังไม่เสถียรอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Galaxy S26
    หากไม่สามารถเพิ่ม yield ได้ อาจเสียเปรียบ TSMC ในระยะยาว
    การพึ่งพา Snapdragon มากเกินไปอาจลดความเป็นอิสระของ Samsung
    การผลิต AI6 บนเทคโนโลยีเดียวกันอาจเจอปัญหา yield ซ้ำซ้อน

    https://wccftech.com/exynos-2600-initial-production-volume-15000-wafers-considered-premature-for-all-galaxy-s26-models/
    📱 “Exynos 2600 ยังไม่พร้อมใช้กับ Galaxy S26 ทุกรุ่น – ผลิตได้แค่ 15,000 แผ่น wafer เท่านั้น!” Samsung เริ่มผลิตชิป Exynos 2600 ด้วยเทคโนโลยี 2nm GAA (Gate-All-Around) สำหรับใช้ใน Galaxy S26 แต่ดูเหมือนว่าการผลิตยังไม่พร้อมเต็มที่ เพราะมีรายงานว่าผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการของตลาด แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า Exynos 2600 มีประสิทธิภาพสูงกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 และ A19 Pro ในการทดสอบภายใน แต่ปัญหาหลักคือ อัตราผลิตที่ได้ (yield) ยังอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น ทำให้ชิปที่ผลิตได้จริงมีจำนวนจำกัด ผลคือ Galaxy S26 จะมีเพียง 30% ของเครื่องทั้งหมด ที่ใช้ Exynos 2600 ส่วนที่เหลือจะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า S26 Ultra จะใช้ Exynos ด้วย แต่ข้อมูลล่าสุดชี้ว่าอาจไม่เป็นจริง แหล่งข่าวยังระบุว่า Exynos 2600 ถูกมองว่า “premature” หรือยังไม่พร้อมใช้งานในระดับ mass production และ Samsung ยังต้องปรับปรุง yield ให้สูงขึ้นก่อนจะใช้กับรุ่นเรือธงทั้งหมด นอกจากนี้ Samsung ยังมีแผนใช้เทคโนโลยี 2nm GAA เดียวกันในการผลิตชิป AI6 ของ Tesla ซึ่งอยู่ในช่วง pilot production โดยตั้งเป้าเพิ่ม yield ให้ถึง 50% ภายในรอบการผลิตถัดไป ✅ สถานะการผลิตของ Exynos 2600 ➡️ ผลิตได้เพียง 15,000 wafer เท่านั้น ➡️ Yield อยู่ที่ประมาณ 50% ➡️ ใช้เทคโนโลยี 2nm GAA ที่ยังไม่เสถียร ➡️ ถูกมองว่ายัง “premature” สำหรับการใช้งานใน Galaxy S26 ทุกรุ่น ✅ ผลกระทบต่อ Galaxy S26 ➡️ มีเพียง 30% ของเครื่องที่ใช้ Exynos 2600 ➡️ ส่วนใหญ่จะใช้ Snapdragon 8 Elite Gen 5 แทน ➡️ S26 Ultra อาจไม่ได้ใช้ Exynos ตามที่เคยคาดไว้ ➡️ ประสิทธิภาพของ Exynos 2600 ยังสูงกว่าในการทดสอบภายใน ✅ แผนของ Samsung ในอนาคต ➡️ ตั้งเป้าเพิ่ม yield เป็น 70% ➡️ ใช้เทคโนโลยีเดียวกันผลิตชิป AI6 ให้ Tesla ➡️ หวังดึงลูกค้าใหม่ เช่น Qualcomm หาก yield ดีขึ้น ➡️ แข่งกับ TSMC ในตลาด 2nm GAA ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ Yield ต่ำทำให้ต้นทุนต่อชิปสูงและจำนวนผลิตจำกัด ⛔ การใช้ชิปที่ยังไม่เสถียรอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของ Galaxy S26 ⛔ หากไม่สามารถเพิ่ม yield ได้ อาจเสียเปรียบ TSMC ในระยะยาว ⛔ การพึ่งพา Snapdragon มากเกินไปอาจลดความเป็นอิสระของ Samsung ⛔ การผลิต AI6 บนเทคโนโลยีเดียวกันอาจเจอปัญหา yield ซ้ำซ้อน https://wccftech.com/exynos-2600-initial-production-volume-15000-wafers-considered-premature-for-all-galaxy-s26-models/
    WCCFTECH.COM
    Exynos 2600 Is Considered ‘Premature’ To Be Used In All Galaxy S26 Models; Initial Production Volume Is Only 15,000 Wafers, Possibly Due To Poor Yields
    A report says that the initial production volume of the Exynos 2600 is 15,000 units and may not be available in larger quantities to be used in all Galaxy S26 versions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก”

    Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

    สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่:

    1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ

    2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ

    Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา

    สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว

    Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น

    สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia
    จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
    การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่
    พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ

    สาเหตุของการลดลง
    AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ
    คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้
    พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง”

    ผลกระทบต่อ Wikipedia
    ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง
    ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้
    เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา
    ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง

    การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation
    เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia
    พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา
    มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่
    หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ

    ข้อควรระวังและคำเตือน
    หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน
    การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด
    การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง
    หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia
    การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น

    https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    📉 “Wikipedia เผยทราฟฟิกลดฮวบ – คนหันไปดูคลิปกับใช้ AI ตอบแทนการคลิก” Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลอันดับหนึ่งของโลก กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพฤติกรรมผู้ใช้ โดย Marshall Miller จาก Wikimedia Foundation เผยว่า จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สาเหตุหลักคือการเปลี่ยนวิธี “ค้นหาความรู้” ของผู้คน โดยเฉพาะจากสองกระแสใหญ่: 1️⃣ AI search summaries – เครื่องมือค้นหาหลายเจ้าตอนนี้ใช้ AI สรุปคำตอบให้ทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ เช่น Google’s SGE หรือ Bing Copilot ทำให้ผู้ใช้ได้คำตอบจาก Wikipedia โดยไม่เคยเข้า Wikipedia จริง ๆ 2️⃣ Social video platforms – คนรุ่นใหม่หันไปใช้ TikTok, YouTube Shorts และ Instagram Reels เพื่อหาความรู้แบบเร็ว ๆ แทนการอ่านบทความยาว ๆ บนเว็บ Wikipedia เองเคยทดลองใช้ AI สรุปบทความ แต่ต้องหยุดไปเพราะชุมชนผู้แก้ไขไม่พอใจเรื่องความแม่นยำและการควบคุมเนื้อหา สิ่งที่น่ากังวลคือ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง ก็จะมีผู้แก้ไขน้อยลง และยอดบริจาคก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งอาจกระทบต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหาในระยะยาว Miller จึงเรียกร้องให้บริษัท AI และแพลตฟอร์มค้นหา “ส่งคนกลับเข้า Wikipedia” และกำลังพัฒนา framework ใหม่เพื่อให้การอ้างอิงเนื้อหาจาก Wikipedia มีความชัดเจนและเป็นธรรมมากขึ้น ✅ สถานการณ์ปัจจุบันของ Wikipedia ➡️ จำนวนผู้เข้าชมลดลง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ➡️ การลดลงเกิดหลังจากปรับระบบตรวจจับ bot ใหม่ ➡️ พบว่าทราฟฟิกสูงช่วงพฤษภาคม–มิถุนายนมาจาก bot ที่หลบการตรวจจับ ✅ สาเหตุของการลดลง ➡️ AI search summaries ให้คำตอบโดยไม่ต้องคลิกเข้าเว็บ ➡️ คนรุ่นใหม่หันไปใช้ social video เพื่อหาความรู้ ➡️ พฤติกรรมการค้นหาข้อมูลเปลี่ยนจาก “อ่าน” เป็น “ดู” และ “ฟัง” ✅ ผลกระทบต่อ Wikipedia ➡️ ผู้เข้าชมน้อยลง = ผู้แก้ไขน้อยลง ➡️ ยอดบริจาคลดลงตามจำนวนผู้ใช้ ➡️ เสี่ยงต่อคุณภาพและความยั่งยืนของเนื้อหา ➡️ ความเข้าใจของผู้ใช้ต่อแหล่งที่มาของข้อมูลลดลง ✅ การตอบสนองจาก Wikimedia Foundation ➡️ เรียกร้องให้ AI และ search engine ส่งคนกลับเข้า Wikipedia ➡️ พัฒนา framework ใหม่สำหรับการอ้างอิงเนื้อหา ➡️ มีทีมงาน 2 ทีมช่วยผลักดัน Wikipedia สู่กลุ่มผู้ใช้ใหม่ ➡️ หยุดการใช้ AI สรุปบทความหลังชุมชนไม่พอใจ ‼️ ข้อควรระวังและคำเตือน ⛔ หากคนไม่เข้า Wikipedia โดยตรง อาจไม่รู้ว่าเนื้อหามาจากไหน ⛔ การลดจำนวนผู้แก้ไขอาจทำให้เนื้อหาล้าสมัยหรือผิดพลาด ⛔ การพึ่งพา AI summaries อาจลดความหลากหลายของมุมมอง ⛔ หากยอดบริจาคลดลง อาจกระทบต่อการดำเนินงานของ Wikimedia ⛔ การใช้ social video เพื่อหาความรู้อาจทำให้ข้อมูลผิดพลาดแพร่กระจายง่ายขึ้น https://techcrunch.com/2025/10/18/wikipedia-says-traffic-is-falling-due-to-ai-search-summaries-and-social-video/
    TECHCRUNCH.COM
    Wikipedia says traffic is falling due to AI search summaries and social video | TechCrunch
    Looks like Wikipedia isn't immune to broader online trends, with human page views falling 8% year-over-year, according to a new blog post from Marshall Miller of the Wikimedia Foundation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Symantec แฉแคมเปญจารกรรมจีน – ใช้ Zingdoor, ShadowPad และ KrustyLoader เจาะหน่วยงานทั่วโลก!”

    Symantec เปิดเผยแคมเปญจารกรรมไซเบอร์ระดับโลกที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม APT ของจีนหลายกลุ่ม โดยพบการใช้เครื่องมือมัลแวร์ที่ซับซ้อน ได้แก่ Zingdoor, ShadowPad และ KrustyLoader ซึ่งเคยถูกใช้โดยกลุ่ม Glowworm (Earth Estries) และ UNC5221 มาก่อน

    แคมเปญนี้เจาะระบบของหน่วยงานรัฐบาลในอเมริกาใต้และมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ โดยใช้ช่องโหว่ใน SQL Server และ Apache HTTP เป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นฝัง DLL อันตรายผ่าน binary ที่ดูเหมือนซอฟต์แวร์ของ Symantec เพื่อหลบการตรวจจับ

    Zingdoor เป็น backdoor ที่เขียนด้วย Go สามารถเก็บข้อมูลระบบ, อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ และรันคำสั่งได้ โดยถูก sideload ผ่าน binary ของ Trend Micro เพื่อให้ดูเหมือนโปรแกรมปกติ

    ShadowPad เป็น Remote Access Trojan (RAT) แบบ modular ที่สามารถโหลดโมดูลใหม่ได้ตามต้องการ ใช้ DLL sideloading เพื่อซ่อนตัว และถูกใช้โดยหลายกลุ่ม APT ของจีน เช่น APT41, Blackfly และ Grayfly

    KrustyLoader เป็น dropper ที่เขียนด้วย Rust มีฟีเจอร์ anti-analysis และ self-delete ก่อนจะโหลด payload ขั้นที่สอง เช่น Sliver C2 framework ซึ่งใช้ควบคุมระบบจากระยะไกล

    นอกจากมัลแวร์เฉพาะทางแล้ว แฮกเกอร์ยังใช้เครื่องมือทั่วไปของ Windows เช่น Certutil, Procdump, Revsocks และ PetitPotam เพื่อขโมย credentials และยกระดับสิทธิ์ในระบบ

    Symantec ระบุว่าการโจมตีนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ช่องโหว่ ToolShell ที่ Microsoft เคยรายงาน โดยพบว่ามีการใช้จากกลุ่มอื่นนอกเหนือจาก Budworm, Sheathminer และ Storm-2603 ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ecosystem การโจมตีที่กว้างกว่าที่เคยคิด

    เครื่องมือมัลแวร์ที่ใช้ในแคมเปญ
    Zingdoor – backdoor เขียนด้วย Go ใช้ sideload ผ่าน Trend Micro
    ShadowPad – modular RAT ที่โหลดโมดูลใหม่ได้ ใช้ DLL sideloading
    KrustyLoader – Rust-based dropper ที่โหลด Sliver C2 framework
    ใช้เครื่องมือทั่วไปของ Windows เช่น Certutil, Revsocks, Procdump
    ใช้ PetitPotam เพื่อขโมย credentials จาก domain controller

    กลุ่ม APT ที่เกี่ยวข้อง
    Glowworm (Earth Estries), FamousSparrow
    UNC5221 – กลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับจีน
    APT41, Blackfly, Grayfly – ใช้ ShadowPad
    REF3927 – กลุ่มใหม่ที่ใช้ ToolShell ร่วมกับกลุ่มอื่น

    เป้าหมายของการโจมตี
    หน่วยงานรัฐบาลในอเมริกาใต้
    มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
    ระบบ SharePoint ที่มีช่องโหว่
    เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่มีข้อมูลสำคัญ
    สร้างการเข้าถึงระยะยาวและขโมยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/symantec-exposes-chinese-apt-overlap-zingdoor-shadowpad-and-krustyloader-used-in-global-espionage/
    🕵️‍♀️ “Symantec แฉแคมเปญจารกรรมจีน – ใช้ Zingdoor, ShadowPad และ KrustyLoader เจาะหน่วยงานทั่วโลก!” Symantec เปิดเผยแคมเปญจารกรรมไซเบอร์ระดับโลกที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม APT ของจีนหลายกลุ่ม โดยพบการใช้เครื่องมือมัลแวร์ที่ซับซ้อน ได้แก่ Zingdoor, ShadowPad และ KrustyLoader ซึ่งเคยถูกใช้โดยกลุ่ม Glowworm (Earth Estries) และ UNC5221 มาก่อน แคมเปญนี้เจาะระบบของหน่วยงานรัฐบาลในอเมริกาใต้และมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ โดยใช้ช่องโหว่ใน SQL Server และ Apache HTTP เป็นจุดเริ่มต้น จากนั้นฝัง DLL อันตรายผ่าน binary ที่ดูเหมือนซอฟต์แวร์ของ Symantec เพื่อหลบการตรวจจับ Zingdoor เป็น backdoor ที่เขียนด้วย Go สามารถเก็บข้อมูลระบบ, อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์ และรันคำสั่งได้ โดยถูก sideload ผ่าน binary ของ Trend Micro เพื่อให้ดูเหมือนโปรแกรมปกติ ShadowPad เป็น Remote Access Trojan (RAT) แบบ modular ที่สามารถโหลดโมดูลใหม่ได้ตามต้องการ ใช้ DLL sideloading เพื่อซ่อนตัว และถูกใช้โดยหลายกลุ่ม APT ของจีน เช่น APT41, Blackfly และ Grayfly KrustyLoader เป็น dropper ที่เขียนด้วย Rust มีฟีเจอร์ anti-analysis และ self-delete ก่อนจะโหลด payload ขั้นที่สอง เช่น Sliver C2 framework ซึ่งใช้ควบคุมระบบจากระยะไกล นอกจากมัลแวร์เฉพาะทางแล้ว แฮกเกอร์ยังใช้เครื่องมือทั่วไปของ Windows เช่น Certutil, Procdump, Revsocks และ PetitPotam เพื่อขโมย credentials และยกระดับสิทธิ์ในระบบ Symantec ระบุว่าการโจมตีนี้เกี่ยวข้องกับการใช้ช่องโหว่ ToolShell ที่ Microsoft เคยรายงาน โดยพบว่ามีการใช้จากกลุ่มอื่นนอกเหนือจาก Budworm, Sheathminer และ Storm-2603 ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ecosystem การโจมตีที่กว้างกว่าที่เคยคิด ✅ เครื่องมือมัลแวร์ที่ใช้ในแคมเปญ ➡️ Zingdoor – backdoor เขียนด้วย Go ใช้ sideload ผ่าน Trend Micro ➡️ ShadowPad – modular RAT ที่โหลดโมดูลใหม่ได้ ใช้ DLL sideloading ➡️ KrustyLoader – Rust-based dropper ที่โหลด Sliver C2 framework ➡️ ใช้เครื่องมือทั่วไปของ Windows เช่น Certutil, Revsocks, Procdump ➡️ ใช้ PetitPotam เพื่อขโมย credentials จาก domain controller ✅ กลุ่ม APT ที่เกี่ยวข้อง ➡️ Glowworm (Earth Estries), FamousSparrow ➡️ UNC5221 – กลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับจีน ➡️ APT41, Blackfly, Grayfly – ใช้ ShadowPad ➡️ REF3927 – กลุ่มใหม่ที่ใช้ ToolShell ร่วมกับกลุ่มอื่น ✅ เป้าหมายของการโจมตี ➡️ หน่วยงานรัฐบาลในอเมริกาใต้ ➡️ มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ➡️ ระบบ SharePoint ที่มีช่องโหว่ ➡️ เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่มีข้อมูลสำคัญ ➡️ สร้างการเข้าถึงระยะยาวและขโมยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/symantec-exposes-chinese-apt-overlap-zingdoor-shadowpad-and-krustyloader-used-in-global-espionage/
    SECURITYONLINE.INFO
    Symantec Exposes Chinese APT Overlap: Zingdoor, ShadowPad, and KrustyLoader Used in Global Espionage
    Symantec exposed a complex Chinese APT network (Glowworm/UNC5221) deploying Zingdoor and ShadowPad across US/South American targets. The groups abuse DLL sideloading and PetitPotam for credential theft.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • “TSMC เลือกใช้ Photomask Pellicles แทนเครื่อง High-NA EUV – เดินเกมประหยัดต้นทุนสำหรับชิป 1.4nm และ 1nm”

    TSMC บริษัทผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก กำลังเตรียมเข้าสู่ยุคการผลิตระดับ 1.4nm และ 1nm ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว การผลิตระดับนี้จะต้องใช้เครื่อง High-NA EUV จาก ASML ที่มีราคาสูงถึง $400 ล้านต่อเครื่อง แต่ TSMC กลับเลือกใช้วิธีที่ต่างออกไป นั่นคือการใช้ “Photomask Pellicles” แทน

    Pellicle คือแผ่นฟิล์มบาง ๆ ที่ติดอยู่บน photomask เพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนระหว่างการยิงแสง EUV ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากเมื่อเข้าสู่ระดับ sub-2nm เพราะการยิงแสงต้องแม่นยำสุด ๆ และ photomask จะถูกใช้งานบ่อยขึ้น ทำให้โอกาสเกิดความเสียหายสูงขึ้นตามไปด้วย

    TSMC มองว่าการใช้ pellicle แม้จะมีความซับซ้อนและต้องผ่านการทดลองหลายครั้ง แต่ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการลงทุนซื้อเครื่อง High-NA EUV ที่แพงและผลิตได้จำกัด (ASML ผลิตได้แค่ 5–6 เครื่องต่อปี) โดย TSMC ได้เริ่มวิจัยและพัฒนา pellicle สำหรับ 1.4nm ที่โรงงาน Hsinchu และเตรียมใช้จริงในปี 2028

    แม้จะมีความเสี่ยงเรื่อง yield และความแม่นยำ แต่ TSMC เชื่อว่าการใช้ pellicle จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตได้มากกว่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อความต้องการจากลูกค้าอย่าง Apple เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

    กลยุทธ์ของ TSMC สำหรับชิประดับ 1.4nm และ 1nm
    เลือกใช้ Photomask Pellicles แทนเครื่อง High-NA EUV
    ลดต้นทุนจากการไม่ต้องซื้อเครื่องราคา $400 ล้าน
    เริ่มวิจัย pellicle ที่โรงงาน Hsinchu
    เตรียมใช้จริงในปี 2028 สำหรับกระบวนการ A14 และ A10
    Pellicle ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนระหว่างยิงแสง
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตและลดความเสียหายของ photomask
    รองรับความต้องการจากลูกค้า เช่น Apple ที่ใช้ชิปขั้นสูง

    ข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจ
    ASML ผลิตเครื่อง High-NA EUV ได้จำกัด (5–6 เครื่องต่อปี)
    TSMC ลงทุนกว่า NT$1.5 ล้านล้าน (~$49 พันล้าน) สำหรับการพัฒนา
    ใช้แนวทาง “trial and error” เพื่อปรับปรุง yield
    มีแผนใช้ EUV แบบมาตรฐานร่วมกับ pellicle เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://wccftech.com/tsmc-to-use-photomask-pellicles-instead-of-high-na-euv-machines-for-1-4nm-and-1nm-processes/
    🔬 “TSMC เลือกใช้ Photomask Pellicles แทนเครื่อง High-NA EUV – เดินเกมประหยัดต้นทุนสำหรับชิป 1.4nm และ 1nm” TSMC บริษัทผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก กำลังเตรียมเข้าสู่ยุคการผลิตระดับ 1.4nm และ 1nm ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว การผลิตระดับนี้จะต้องใช้เครื่อง High-NA EUV จาก ASML ที่มีราคาสูงถึง $400 ล้านต่อเครื่อง แต่ TSMC กลับเลือกใช้วิธีที่ต่างออกไป นั่นคือการใช้ “Photomask Pellicles” แทน Pellicle คือแผ่นฟิล์มบาง ๆ ที่ติดอยู่บน photomask เพื่อป้องกันฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนระหว่างการยิงแสง EUV ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากเมื่อเข้าสู่ระดับ sub-2nm เพราะการยิงแสงต้องแม่นยำสุด ๆ และ photomask จะถูกใช้งานบ่อยขึ้น ทำให้โอกาสเกิดความเสียหายสูงขึ้นตามไปด้วย TSMC มองว่าการใช้ pellicle แม้จะมีความซับซ้อนและต้องผ่านการทดลองหลายครั้ง แต่ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าการลงทุนซื้อเครื่อง High-NA EUV ที่แพงและผลิตได้จำกัด (ASML ผลิตได้แค่ 5–6 เครื่องต่อปี) โดย TSMC ได้เริ่มวิจัยและพัฒนา pellicle สำหรับ 1.4nm ที่โรงงาน Hsinchu และเตรียมใช้จริงในปี 2028 แม้จะมีความเสี่ยงเรื่อง yield และความแม่นยำ แต่ TSMC เชื่อว่าการใช้ pellicle จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตได้มากกว่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อความต้องการจากลูกค้าอย่าง Apple เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ✅ กลยุทธ์ของ TSMC สำหรับชิประดับ 1.4nm และ 1nm ➡️ เลือกใช้ Photomask Pellicles แทนเครื่อง High-NA EUV ➡️ ลดต้นทุนจากการไม่ต้องซื้อเครื่องราคา $400 ล้าน ➡️ เริ่มวิจัย pellicle ที่โรงงาน Hsinchu ➡️ เตรียมใช้จริงในปี 2028 สำหรับกระบวนการ A14 และ A10 ➡️ Pellicle ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งปนเปื้อนระหว่างยิงแสง ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิตและลดความเสียหายของ photomask ➡️ รองรับความต้องการจากลูกค้า เช่น Apple ที่ใช้ชิปขั้นสูง ✅ ข้อได้เปรียบเชิงธุรกิจ ➡️ ASML ผลิตเครื่อง High-NA EUV ได้จำกัด (5–6 เครื่องต่อปี) ➡️ TSMC ลงทุนกว่า NT$1.5 ล้านล้าน (~$49 พันล้าน) สำหรับการพัฒนา ➡️ ใช้แนวทาง “trial and error” เพื่อปรับปรุง yield ➡️ มีแผนใช้ EUV แบบมาตรฐานร่วมกับ pellicle เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ https://wccftech.com/tsmc-to-use-photomask-pellicles-instead-of-high-na-euv-machines-for-1-4nm-and-1nm-processes/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Resorting To ‘Photomask Pellicles’ Instead Of Transitioning To The Ludicrously Expensive High-NA EUV Machines For 1.4nm, 1nm Advanced Processes
    Not seeing the use of High-NA EUV machinery yet, TSMC is reportedly moving to photomask pellicles for its 1.4nm and 1nm processes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NVIDIA ไม่หวั่นชิป ASIC! เดินเกมรุกด้วยแผนผลิต AI สุดล้ำ พร้อมพันธมิตรระดับโลก”

    ช่วงนี้หลายบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Meta, Amazon และ Google กำลังหันไปพัฒนาชิป ASIC ของตัวเองเพื่อใช้กับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเฉพาะงาน ทำให้มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานมากกว่า GPU ทั่วไป แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวนี้ส่งผลต่อ NVIDIA โดยตรง เพราะเป็นเจ้าตลาด GPU สำหรับงาน AI มานาน

    แต่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขาเดินเกมรุกด้วยแผนผลิตชิป AI ที่อัปเดตทุก 6–8 เดือน ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่งอย่าง AMD ที่อัปเดตปีละครั้ง แถมยังเปิดตัว Rubin CPX ชิปใหม่ที่เน้นงาน inference โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของการประมวลผล AI ในยุคนี้

    นอกจากนี้ NVIDIA ยังจับมือกับพันธมิตรระดับโลก เช่น Intel และ OpenAI เพื่อสร้างระบบ AI ที่ครบวงจร และเปิดตัว NVLink Fusion ที่ช่วยให้ชิปจากค่ายอื่นสามารถเชื่อมต่อกับระบบของ NVIDIA ได้อย่างไร้รอยต่อ เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชิปจากค่ายไหน ถ้าอยากได้ระบบที่ดีที่สุด ก็ต้องพึ่ง NVIDIA อยู่ดี

    Jensen ยังพูดในพอดแคสต์ว่า “ถึงแม้คู่แข่งจะขายชิปฟรี แต่ต้นทุนรวมของระบบ NVIDIA ยังถูกกว่า” เพราะมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วกว่า 15 พันล้านดอลลาร์

    แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Amazon Trainium, Google TPU และ Meta MTIA แต่ด้วยความเร็วในการพัฒนาและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง NVIDIA ก็ยังคงเป็นผู้นำในตลาด AI อย่างเหนียวแน่น

    กลยุทธ์ของ NVIDIA ในการรับมือชิป ASIC
    พัฒนาแผนผลิตชิป AI แบบอัปเดตทุก 6–8 เดือน
    เปิดตัว Rubin CPX สำหรับงาน inference โดยเฉพาะ
    จับมือพันธมิตรระดับโลก เช่น Intel และ OpenAI
    เปิดตัว NVLink Fusion เพื่อเชื่อมต่อชิปจากค่ายอื่น
    ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วกว่า 15 พันล้านดอลลาร์
    ยืนยันว่าระบบ NVIDIA มีต้นทุนรวมต่ำกว่าคู่แข่ง
    ยังคงเป็นผู้นำในตลาด AI แม้มีคู่แข่งหลายราย

    คู่แข่งและสถานการณ์ในตลาด
    Meta, Amazon, Google พัฒนาชิป ASIC ของตัวเอง
    Amazon มี Trainium, Google มี TPU, Meta มี MTIA
    เทรนด์ใหม่เน้นงาน inference มากกว่าการเทรนโมเดล
    ความเร็วในการพัฒนาคือปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน

    ความท้าทายและคำเตือน
    ชิป ASIC มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน
    หาก NVIDIA ไม่ปรับตัว อาจเสียส่วนแบ่งตลาด
    การแข่งขันในตลาด AI รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
    ความเร็วในการพัฒนาอาจกดดันคุณภาพและเสถียรภาพ
    การพึ่งพาพันธมิตรอาจมีความเสี่ยงในระยะยาว

    https://wccftech.com/nvidia-has-already-geared-up-to-challenge-big-tech-custom-ai-chip-ambitions/
    ⚙️ “NVIDIA ไม่หวั่นชิป ASIC! เดินเกมรุกด้วยแผนผลิต AI สุดล้ำ พร้อมพันธมิตรระดับโลก” ช่วงนี้หลายบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ เช่น Meta, Amazon และ Google กำลังหันไปพัฒนาชิป ASIC ของตัวเองเพื่อใช้กับงาน AI โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเฉพาะงาน ทำให้มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานมากกว่า GPU ทั่วไป แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวนี้ส่งผลต่อ NVIDIA โดยตรง เพราะเป็นเจ้าตลาด GPU สำหรับงาน AI มานาน แต่ Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขาเดินเกมรุกด้วยแผนผลิตชิป AI ที่อัปเดตทุก 6–8 เดือน ซึ่งเร็วกว่าคู่แข่งอย่าง AMD ที่อัปเดตปีละครั้ง แถมยังเปิดตัว Rubin CPX ชิปใหม่ที่เน้นงาน inference โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่ของการประมวลผล AI ในยุคนี้ นอกจากนี้ NVIDIA ยังจับมือกับพันธมิตรระดับโลก เช่น Intel และ OpenAI เพื่อสร้างระบบ AI ที่ครบวงจร และเปิดตัว NVLink Fusion ที่ช่วยให้ชิปจากค่ายอื่นสามารถเชื่อมต่อกับระบบของ NVIDIA ได้อย่างไร้รอยต่อ เรียกได้ว่าไม่ว่าคุณจะใช้ชิปจากค่ายไหน ถ้าอยากได้ระบบที่ดีที่สุด ก็ต้องพึ่ง NVIDIA อยู่ดี Jensen ยังพูดในพอดแคสต์ว่า “ถึงแม้คู่แข่งจะขายชิปฟรี แต่ต้นทุนรวมของระบบ NVIDIA ยังถูกกว่า” เพราะมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Amazon Trainium, Google TPU และ Meta MTIA แต่ด้วยความเร็วในการพัฒนาและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง NVIDIA ก็ยังคงเป็นผู้นำในตลาด AI อย่างเหนียวแน่น ✅ กลยุทธ์ของ NVIDIA ในการรับมือชิป ASIC ➡️ พัฒนาแผนผลิตชิป AI แบบอัปเดตทุก 6–8 เดือน ➡️ เปิดตัว Rubin CPX สำหรับงาน inference โดยเฉพาะ ➡️ จับมือพันธมิตรระดับโลก เช่น Intel และ OpenAI ➡️ เปิดตัว NVLink Fusion เพื่อเชื่อมต่อชิปจากค่ายอื่น ➡️ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วกว่า 15 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ยืนยันว่าระบบ NVIDIA มีต้นทุนรวมต่ำกว่าคู่แข่ง ➡️ ยังคงเป็นผู้นำในตลาด AI แม้มีคู่แข่งหลายราย ✅ คู่แข่งและสถานการณ์ในตลาด ➡️ Meta, Amazon, Google พัฒนาชิป ASIC ของตัวเอง ➡️ Amazon มี Trainium, Google มี TPU, Meta มี MTIA ➡️ เทรนด์ใหม่เน้นงาน inference มากกว่าการเทรนโมเดล ➡️ ความเร็วในการพัฒนาคือปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ชิป ASIC มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงาน ⛔ หาก NVIDIA ไม่ปรับตัว อาจเสียส่วนแบ่งตลาด ⛔ การแข่งขันในตลาด AI รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ⛔ ความเร็วในการพัฒนาอาจกดดันคุณภาพและเสถียรภาพ ⛔ การพึ่งพาพันธมิตรอาจมีความเสี่ยงในระยะยาว https://wccftech.com/nvidia-has-already-geared-up-to-challenge-big-tech-custom-ai-chip-ambitions/
    WCCFTECH.COM
    NVIDIA Has Already Geared Up to Challenge Big Tech’s Custom AI Chip Ambitions Through AI Alliances & an Unrivaled Product Roadmap
    There's always a concern about how ASICs could pose a challenge to NVIDIA's but it seems like the firm have the prepared 'right weapons'.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์

    Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ

    A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7

    จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า

    Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026
    เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk

    หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10
    ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity

    ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB
    รองรับงานทั่วไปได้ดี

    มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card
    รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ

    รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง
    เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว

    คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ
    เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก

    น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม
    ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ

    https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    💽 “Fujitsu A77-K3 — แล็ปท็อป 16 นิ้วที่ยังมี DVD Drive ในปี 2026” — เมื่อการยึดมั่นในสื่อแบบดั้งเดิมกลายเป็นจุดขายในยุคที่ทุกคนวิ่งเข้าหาคลาวด์ Fujitsu เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ FMV Note A77-K3 ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังคงมี “DVD Drive” ในปี 2026 โดยออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการความมั่นคง, ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบครบครัน และการใช้งานระยะยาว โดยไม่เน้นความบางเบาเหมือนโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ๆ A77-K3 มาพร้อมหน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ขอบบาง ใช้ชิป Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB และ SSD 256GB โดยมีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน เช่น USB4, USB 3.2, HDMI, LAN, SD Card และ Wi-Fi 7 จุดเด่นคือการมี optical drive สำหรับอ่านแผ่น DVD ซึ่งหายากมากในโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ และเหมาะกับผู้ใช้ที่ยังต้องการเข้าถึงข้อมูลจากแผ่นเก่า เช่น ซอฟต์แวร์, เอกสาร, หรือสื่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น กล้องที่รองรับ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้องแบบกายภาพ และคีย์บอร์ดที่มีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์หรือแอปช่วยเหลือ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ถือว่าหนักเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความเบา แต่ Fujitsu มองว่าความมั่นคงและการใช้งานที่หลากหลายสำคัญกว่า ✅ Fujitsu เปิดตัว FMV Note A77-K3 พร้อม DVD Drive ในปี 2026 ➡️ เป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นที่ยังรองรับ optical disk ✅ หน้าจอ WUXGA ขนาด 16 นิ้ว อัตราส่วน 16:10 ➡️ ขอบบาง เหมาะกับงาน productivity ✅ ใช้ Intel Core i5-1335U, RAM DDR5 16GB, SSD 256GB ➡️ รองรับงานทั่วไปได้ดี ✅ มีพอร์ตเชื่อมต่อครบ เช่น USB4, HDMI, LAN, SD Card ➡️ รองรับการใช้งานแบบมืออาชีพ ✅ รองรับ Wi-Fi 7 และ Windows Hello พร้อมม่านปิดกล้อง ➡️ เพิ่มความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ✅ คีย์บอร์ดมีปุ่มลัดสำหรับเปิดเบราว์เซอร์และแอปช่วยเหลือ ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวก ✅ น้ำหนักประมาณ 1.9 กิโลกรัม ➡️ ไม่เน้นความเบา แต่เน้นความมั่นคงและการเชื่อมต่อ https://www.techradar.com/pro/its-almost-2026-and-fujitsu-is-doing-its-best-to-save-optical-disks-the-a77-k3-is-a-16-inch-13th-gen-core-i5-laptop-with-a-dvd-drive
    WWW.TECHRADAR.COM
    Fujitsu just launched a 16-inch laptop that sports an optical drive
    Optical drive usage may be dropping, yet Fujitsu refuses to let them die
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ISS แนะนักลงทุนปฏิเสธดีล CoreWeave ซื้อ Core Scientific มูลค่า 9 พันล้านเหรียญ” — เมื่อบริษัท AI และโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ต้องเผชิญแรงต้านจากผู้ถือหุ้น

    Institutional Shareholder Services (ISS) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำแนะนำด้านการลงคะแนนเสียงสำหรับนักลงทุน ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific ปฏิเสธข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการโดย CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการคลาวด์ด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia

    ดีลนี้เป็นการซื้อแบบ all-stock ที่มีมูลค่าโดยประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ โดยเสนอราคาหุ้นที่ 20.40 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ราคาหุ้นของ CoreWeave ลดลงหลังจากนั้น ทำให้มูลค่าดีลลดลงตามไปด้วย

    ISS ให้เหตุผลว่า Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ และการเข้าซื้ออาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาโครงสร้างดีลที่ใช้ “fixed exchange ratio” ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific เสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหุ้น CoreWeave

    ก่อนหน้านี้ Two Seas Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ก็ออกมาคัดค้านดีลนี้ โดยชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใส และโครงสร้างดีลไม่เป็นธรรม

    หลังจากข่าวคำแนะนำของ ISS หุ้นของ Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด สะท้อนว่าตลาดอาจเห็นด้วยกับการให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ควบรวม

    การลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของดีลนี้

    CoreWeave เสนอซื้อ Core Scientific ด้วยดีลมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์
    เป็นการซื้อแบบ all-stock โดยเสนอราคาหุ้นที่ $20.40

    ISS แนะนำให้ผู้ถือหุ้นปฏิเสธดีลนี้
    เหตุผลคือ Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ

    โครงสร้างดีลใช้ fixed exchange ratio
    ทำให้ผู้ถือหุ้น Core Scientific เสี่ยงต่อราคาหุ้น CoreWeave ที่ผันผวน

    Two Seas Capital คัดค้านดีลก่อนหน้านี้
    ชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใสและโครงสร้างไม่เป็นธรรม

    หุ้น Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวคำแนะนำของ ISS
    สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อการดำเนินธุรกิจแบบอิสระ

    การลงคะแนนเสียงจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025
    เป็นตัวตัดสินว่าดีลจะเดินหน้าหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/21/iss-recommends-investors-reject-coreweave-deal-for-core-scientific
    💼 “ISS แนะนักลงทุนปฏิเสธดีล CoreWeave ซื้อ Core Scientific มูลค่า 9 พันล้านเหรียญ” — เมื่อบริษัท AI และโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ต้องเผชิญแรงต้านจากผู้ถือหุ้น Institutional Shareholder Services (ISS) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้คำแนะนำด้านการลงคะแนนเสียงสำหรับนักลงทุน ได้ออกคำแนะนำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific ปฏิเสธข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการโดย CoreWeave ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการคลาวด์ด้าน AI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Nvidia ดีลนี้เป็นการซื้อแบบ all-stock ที่มีมูลค่าโดยประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์ โดยเสนอราคาหุ้นที่ 20.40 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 แต่ราคาหุ้นของ CoreWeave ลดลงหลังจากนั้น ทำให้มูลค่าดีลลดลงตามไปด้วย ISS ให้เหตุผลว่า Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ และการเข้าซื้ออาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาโครงสร้างดีลที่ใช้ “fixed exchange ratio” ซึ่งทำให้ผู้ถือหุ้นของ Core Scientific เสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหุ้น CoreWeave ก่อนหน้านี้ Two Seas Capital ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ก็ออกมาคัดค้านดีลนี้ โดยชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใส และโครงสร้างดีลไม่เป็นธรรม หลังจากข่าวคำแนะนำของ ISS หุ้นของ Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายหลังตลาดปิด สะท้อนว่าตลาดอาจเห็นด้วยกับการให้บริษัทดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่ควบรวม การลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของดีลนี้ ✅ CoreWeave เสนอซื้อ Core Scientific ด้วยดีลมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ ➡️ เป็นการซื้อแบบ all-stock โดยเสนอราคาหุ้นที่ $20.40 ✅ ISS แนะนำให้ผู้ถือหุ้นปฏิเสธดีลนี้ ➡️ เหตุผลคือ Core Scientific มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างอิสระ ✅ โครงสร้างดีลใช้ fixed exchange ratio ➡️ ทำให้ผู้ถือหุ้น Core Scientific เสี่ยงต่อราคาหุ้น CoreWeave ที่ผันผวน ✅ Two Seas Capital คัดค้านดีลก่อนหน้านี้ ➡️ ชี้ว่ากระบวนการขายไม่โปร่งใสและโครงสร้างไม่เป็นธรรม ✅ หุ้น Core Scientific พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังข่าวคำแนะนำของ ISS ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อการดำเนินธุรกิจแบบอิสระ ✅ การลงคะแนนเสียงจะมีขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม 2025 ➡️ เป็นตัวตัดสินว่าดีลจะเดินหน้าหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/21/iss-recommends-investors-reject-coreweave-deal-for-core-scientific
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ISS recommends investors reject CoreWeave deal for Core Scientific
    NEW YORK (Reuters) -Proxy advisory firm Institutional Shareholder Services on Monday recommended investors vote down plans for AI company CoreWeave to buy infrastructure company Core Scientific in what was billed as a $9 billion deal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าแร่เงินโลกอย่างเป็นระบบ ดังนี้:

    แนวโน้มค่าแร่เงินโลก

    ปัจจัยบวก (ข้อดี)

    1. ความต้องการจากอุตสาหกรรมสีเขียว
    · แบตเตอรี่รถไฟฟ้า
    · แผงโซลาร์เซลล์ (ใช้เงินเป็นองค์ประกอบ)
    · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่
    2. สถานะการลงทุนปลอดภัย
    · นักลงทุนมองเงินเป็น Safe Haven
    · ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก
    · การป้องกันเงินเฟ้อ
    3. อุปทานจำกัด
    · การผลิตเหมืองไม่เพียงพอต่อความต้องการ
    · ค่าใช้จ่ายในการขุดที่เพิ่มขึ้น

    ปัจจัยลบ (ข้อเสีย)

    1. ความผันผวนสูง
    · ถูกควบคุมโดยนักเก็งกำไร
    · ตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจรวดเร็ว
    2. การแข่งขันจากสินทรัพย์อื่น
    · คริปโตเคอเรนซีดึงดูดนักลงทุน
    · ทองคำยังเป็นที่นิยมมากกว่า
    3. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
    · อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
    · ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งตัว

    คำแนะนำการลงทุน

    · ควรกระจายการลงทุน ไม่เน้นสินทรัพย์เดียว
    · ติดตามข่าวอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียว
    · ศึกษาความต้องการใช้เงินในอุตสาหกรรมใหม่ๆ

    แนวโน้มระยะยาวยังคงน่าลงทุน แต่ต้องยอมรับความผันผวนเป็นปกติ
    ขอวิเคราะห์แนวโน้มและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าแร่เงินโลกอย่างเป็นระบบ ดังนี้: 🔮 แนวโน้มค่าแร่เงินโลก 📈 ปัจจัยบวก (ข้อดี) 1. ความต้องการจากอุตสาหกรรมสีเขียว · แบตเตอรี่รถไฟฟ้า · แผงโซลาร์เซลล์ (ใช้เงินเป็นองค์ประกอบ) · อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยุคใหม่ 2. สถานะการลงทุนปลอดภัย · นักลงทุนมองเงินเป็น Safe Haven · ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก · การป้องกันเงินเฟ้อ 3. อุปทานจำกัด · การผลิตเหมืองไม่เพียงพอต่อความต้องการ · ค่าใช้จ่ายในการขุดที่เพิ่มขึ้น 📉 ปัจจัยลบ (ข้อเสีย) 1. ความผันผวนสูง · ถูกควบคุมโดยนักเก็งกำไร · ตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจรวดเร็ว 2. การแข่งขันจากสินทรัพย์อื่น · คริปโตเคอเรนซีดึงดูดนักลงทุน · ทองคำยังเป็นที่นิยมมากกว่า 3. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ · อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น · ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งตัว 🎯 คำแนะนำการลงทุน · ควรกระจายการลงทุน ไม่เน้นสินทรัพย์เดียว · ติดตามข่าวอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสีเขียว · ศึกษาความต้องการใช้เงินในอุตสาหกรรมใหม่ๆ แนวโน้มระยะยาวยังคงน่าลงทุน แต่ต้องยอมรับความผันผวนเป็นปกติ 👍
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Cerabyte เปิดตัวสื่อบันทึกข้อมูลแบบเซรามิกบนกระจก: เก็บรัฐธรรมนูญสหรัฐไว้ในวัสดุที่อยู่เหนือกาลเวลา"

    ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Cerabyte ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ “เซรามิกบนกระจก” ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษา โดยแจกตัวอย่างสื่อบันทึกที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐให้กับผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบกรอบโชว์สุดล้ำ

    เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเก็บข้อมูลระยะยาวในยุคที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลและต้องการความมั่นคงสูง โดย Cerabyte ชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องใช้พลังงาน และไม่ต้องย้ายข้อมูลซ้ำ” ซึ่งต่างจากระบบเก็บข้อมูลทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนสื่อทุกไม่กี่ปี

    ที่น่าทึ่งคือ ตัวอย่างสื่อบันทึกสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยสมาร์ทโฟนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความเข้าถึงง่ายของเทคโนโลยีนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นต้น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเก็บข้อมูลแบบถาวรที่ยั่งยืน

    เทคโนโลยีเซรามิกบนกระจกของ Cerabyte
    ใช้วัสดุเซรามิกบนแผ่นกระจกเพื่อบันทึกข้อมูล
    ไม่ต้องใช้พลังงานหรือการบำรุงรักษา
    ออกแบบมาเพื่อการเก็บข้อมูลถาวรและลดต้นทุนระยะยาว

    การเปิดตัวในงาน OCP Summit 2025
    แจกตัวอย่างที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐในกรอบโชว์
    แสดงการอ่านข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์
    เป็นส่วนหนึ่งของ Innovation Village ที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต

    จุดเด่นของเทคโนโลยี
    ทนทานต่อเวลาและสภาพแวดล้อม
    ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเก็บข้อมูล
    เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น hyperscalers และสถาบันวิจัย

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ
    ความจุยังจำกัดในระดับกิกะไบต์
    ต้องพิสูจน์ความสามารถในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความสำคัญของการเก็บข้อมูลถาวร
    ข้อมูลวิจัย, ประวัติศาสตร์, และหลักฐานทางกฎหมายต้องการสื่อที่มั่นคง
    สื่อแบบเทป, ฮาร์ดดิสก์ และ SSD มีอายุการใช้งานจำกัด

    แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต
    การรวมเทคโนโลยีเซรามิกกับระบบ AI เพื่อจัดการข้อมูลถาวร
    การใช้วัสดุใหม่ เช่น sapphire, diamond-like carbon และ optical glass

    https://www.techradar.com/pro/own-a-piece-of-storage-history-as-cerabyte-gives-way-framed-ceramic-on-glass-media-samples-containing-copies-of-the-us-constitution
    📀 "Cerabyte เปิดตัวสื่อบันทึกข้อมูลแบบเซรามิกบนกระจก: เก็บรัฐธรรมนูญสหรัฐไว้ในวัสดุที่อยู่เหนือกาลเวลา" ในงาน OCP Global Summit ปี 2025 ที่ซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนีย บริษัท Cerabyte ได้เปิดตัวเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบใหม่ที่ใช้วัสดุ “เซรามิกบนกระจก” ซึ่งมีความทนทานสูงและไม่ต้องใช้พลังงานในการเก็บรักษา โดยแจกตัวอย่างสื่อบันทึกที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐให้กับผู้เข้าร่วมงานในรูปแบบกรอบโชว์สุดล้ำ เทคโนโลยีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการเก็บข้อมูลระยะยาวในยุคที่ข้อมูลมีปริมาณมหาศาลและต้องการความมั่นคงสูง โดย Cerabyte ชูจุดเด่นว่า “ไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องใช้พลังงาน และไม่ต้องย้ายข้อมูลซ้ำ” ซึ่งต่างจากระบบเก็บข้อมูลทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนสื่อทุกไม่กี่ปี ที่น่าทึ่งคือ ตัวอย่างสื่อบันทึกสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยสมาร์ทโฟนทั่วไป แสดงให้เห็นถึงความเข้าถึงง่ายของเทคโนโลยีนี้ แม้จะยังอยู่ในขั้นต้น แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเก็บข้อมูลแบบถาวรที่ยั่งยืน ✅ เทคโนโลยีเซรามิกบนกระจกของ Cerabyte ➡️ ใช้วัสดุเซรามิกบนแผ่นกระจกเพื่อบันทึกข้อมูล ➡️ ไม่ต้องใช้พลังงานหรือการบำรุงรักษา ➡️ ออกแบบมาเพื่อการเก็บข้อมูลถาวรและลดต้นทุนระยะยาว ✅ การเปิดตัวในงาน OCP Summit 2025 ➡️ แจกตัวอย่างที่บรรจุสำเนารัฐธรรมนูญสหรัฐในกรอบโชว์ ➡️ แสดงการอ่านข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟนแบบเรียลไทม์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของ Innovation Village ที่เน้นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ✅ จุดเด่นของเทคโนโลยี ➡️ ทนทานต่อเวลาและสภาพแวดล้อม ➡️ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการเก็บข้อมูล ➡️ เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ เช่น hyperscalers และสถาบันวิจัย ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังอยู่ในขั้นต้นของการพัฒนา ไม่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ ⛔ ความจุยังจำกัดในระดับกิกะไบต์ ⛔ ต้องพิสูจน์ความสามารถในการผลิตในระดับอุตสาหกรรม 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความสำคัญของการเก็บข้อมูลถาวร ➡️ ข้อมูลวิจัย, ประวัติศาสตร์, และหลักฐานทางกฎหมายต้องการสื่อที่มั่นคง ➡️ สื่อแบบเทป, ฮาร์ดดิสก์ และ SSD มีอายุการใช้งานจำกัด ✅ แนวโน้มการพัฒนาในอนาคต ➡️ การรวมเทคโนโลยีเซรามิกกับระบบ AI เพื่อจัดการข้อมูลถาวร ➡️ การใช้วัสดุใหม่ เช่น sapphire, diamond-like carbon และ optical glass https://www.techradar.com/pro/own-a-piece-of-storage-history-as-cerabyte-gives-way-framed-ceramic-on-glass-media-samples-containing-copies-of-the-us-constitution
    WWW.TECHRADAR.COM
    This framed piece of glass could outlast your hard drives
    Gigabyte-scale prototypes signal early progress toward scalable, glass-based storage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน"

    Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว

    บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง

    Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต

    มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO)
    สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา
    การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots”
    ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ

    การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO)
    Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย
    เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them”
    สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    คำเตือนจาก Sankar
    การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง
    บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว
    หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต

    ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน
    Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola
    การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก
    ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร

    แนวทางที่ Sankar เสนอ
    สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง
    ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก
    ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก:
    ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น
    เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
    มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์

    ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน
    จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน
    การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล
    ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    🥷 "Palantir vs Nvidia: เมื่อสงครามเศรษฐกิจกลายเป็นสนามความคิดเรื่องจีน" Shyam Sankar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Palantir ได้ออกบทความแสดงความเห็นใน Wall Street Journal โดยกล่าวถึงความจำเป็นที่สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า “เรามีปัญหา” กับการพึ่งพาจีนในด้านเทคโนโลยีและการผลิต พร้อมวิจารณ์แนวคิดที่ต่อต้าน “China hawks” ว่าเป็นการทำตัวเป็น “useful idiots” หรือคนที่ถูกใช้โดยไม่รู้ตัว บทความของ Sankar ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้ทางอ้อมต่อ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่เคยกล่าวว่า “China hawk” ไม่ใช่ตราแห่งเกียรติ แต่เป็น “ตราแห่งความอับอาย” และเสนอว่า “เราควรอยู่ร่วมกันได้” มากกว่าจะเลือกข้างแบบสุดโต่ง Sankar ชี้ว่าแนวคิดแบบ Huang เป็นการปฏิเสธความจริงที่ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเศรษฐกิจ และทุกการซื้อขายหรือการลงทุนคือการเลือกข้างในระบบที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น เขาเตือนว่า หากสหรัฐฯ ไม่เริ่มสร้างทางเลือกใหม่และลดการพึ่งพาจีน เราอาจถูกบีบให้ยอมตามข้อเรียกร้องของปักกิ่งในอนาคต ✅ มุมมองของ Shyam Sankar (Palantir CTO) ➡️ สหรัฐฯ ต้องยอมรับว่าการพึ่งพาจีนเป็นปัญหา ➡️ การปฏิเสธความจริงคือการทำตัวเป็น “useful idiots” ➡️ ทุกการซื้อขายคือการเลือกข้างในสงครามเศรษฐกิจ ✅ การตอบโต้แนวคิดของ Jensen Huang (Nvidia CEO) ➡️ Huang เคยกล่าวว่า “China hawk” เป็นตราแห่งความอับอาย ➡️ เสนอแนวทาง “us and them” แทน “us vs them” ➡️ สนับสนุนการขายชิปให้จีนเพื่อสร้างมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ คำเตือนจาก Sankar ⛔ การเชื่อใน “การขึ้นอย่างสันติ” ของจีนคือการหลอกตัวเอง ⛔ บริษัทอเมริกันกำลังสนับสนุนการเติบโตของจีนโดยไม่รู้ตัว ⛔ หากไม่สร้าง supply chain ทางเลือก สหรัฐฯ จะไม่มีอำนาจต่อรองในอนาคต ✅ ตัวอย่างบริษัทที่ลงทุนในจีน ➡️ Apple, Tesla, Intel, GM, P&G, Coca-Cola ➡️ การลงทุนมหาศาลทำให้จีนกลายเป็นผู้ผลิตระดับโลก ➡️ ไม่ใช่แค่แรงงานราคาถูก แต่เป็น supply chain ที่ครบวงจร ✅ แนวทางที่ Sankar เสนอ ➡️ สหรัฐฯ ต้องฟื้นฟูฐานการผลิตของตัวเอง ➡️ ไม่จำเป็นต้องหยุดค้าขายกับจีน แต่ต้องมีทางเลือก ➡️ ต้องยอมรับความเจ็บปวดระยะสั้นเพื่ออธิปไตยระยะยาว 📎 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก: ✅ ความหมายของ “useful idiot” ในบริบทสงครามเย็น ➡️ เป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว ➡️ มักใช้ในบริบทการเมืองและอุดมการณ์ ✅ ความท้าทายของการลดการพึ่งพาจีน ➡️ จีนมี supply chain ที่ครบวงจรและยากจะทดแทน ➡️ การสร้างระบบใหม่ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล ➡️ ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/palantir-chief-takes-a-jab-at-nvidia-ceo-jensen-huang-says-people-decrying-china-hawks-are-useful-idiots-the-first-step-to-ending-our-dependence-on-china-is-admitting-we-have-a-problem
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • “NES ครบรอบ 40 ปี: คุยกับ Frank Cifaldi ผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation” — เมื่อคอนโซลที่ช่วยกู้วิกฤตอุตสาหกรรม กลายเป็นรากฐานของเกมยุคใหม่

    ในโอกาสครบรอบ 40 ปีของ Nintendo Entertainment System (NES), Frank Cifaldi นักประวัติศาสตร์เกมและผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wccftech ถึงความสำคัญของ NES ที่ไม่เพียง “กู้” อุตสาหกรรมเกมจากวิกฤตปี 1983 แต่ยัง “ควบคุม” ทิศทางของมันในระยะยาว

    ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์:

    NES คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม: หลังจากวิกฤต Video Game Crash ปี 1983 ที่ทำให้ตลาดเกมล่มสลาย NES เปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมเกมคุณภาพสูงอย่าง Super Mario Bros. ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    “Nintendo” กลายเป็นคำพ้องกับ “วิดีโอเกม”: ด้วยความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เด็ก ๆ ในยุคนั้นมอง NES เป็นศูนย์กลางของความบันเทิง

    กลยุทธ์ควบคุมคุณภาพ: Nintendo ใช้ชิป “lock-out” เพื่อควบคุมเกมที่ออกบนแพลตฟอร์มของตน ป้องกันเกมคุณภาพต่ำแบบที่เคยเกิดกับ Atari ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน

    เบื้องหลังการเปิดตัว NES ที่ CES 1985: Cifaldi เปิดเผยว่า Nintendo เคยเกือบเปิดตัวระบบ AVS (Advanced Video System) ที่เน้นด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมากกว่าเกม หากเลือกเส้นทางนั้น อุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

    เกือบถูก Atari ซื้อกิจการ: มีความพยายามจาก Atari ที่จะซื้อ Nintendo ก่อนเปิดตัว NES แต่ดีลล่มไป และ Cifaldi ยอมรับว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม”

    ความท้าทายในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เกม: ปัญหาใหญ่คือ “ความตายของผู้รู้” และ “การย้ายบ้าน” ที่ทำให้เอกสารต้นฉบับหายไป Cifaldi เรียกร้องให้ผู้คนบริจาคสิ่งของเก่าแก่ให้กับมูลนิธิ

    เกมที่นิยมหรือมีอิทธิพลสูงสุดบน NES: Super Mario Bros. ทั้งสามภาคคือเกมที่ขายดีที่สุด ส่วนเกมจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles และ Top Gun ก็ขายดีเกินคาด

    มรดกของ NES: Cifaldi มองว่า NES เปลี่ยนเกมจาก “แฟชั่น” ให้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” และวางรากฐานให้กับแนวคิดการควบคุมแพลตฟอร์มที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้

    https://wccftech.com/nes-40th-anniversary-interview-with-video-game-history-foundation-founder-frank-cifald-the-console-that-saved-and-controlled-video-games/
    🎮 “NES ครบรอบ 40 ปี: คุยกับ Frank Cifaldi ผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation” — เมื่อคอนโซลที่ช่วยกู้วิกฤตอุตสาหกรรม กลายเป็นรากฐานของเกมยุคใหม่ ในโอกาสครบรอบ 40 ปีของ Nintendo Entertainment System (NES), Frank Cifaldi นักประวัติศาสตร์เกมและผู้ก่อตั้ง Video Game History Foundation ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Wccftech ถึงความสำคัญของ NES ที่ไม่เพียง “กู้” อุตสาหกรรมเกมจากวิกฤตปี 1983 แต่ยัง “ควบคุม” ทิศทางของมันในระยะยาว 🔑 ประเด็นสำคัญจากบทสัมภาษณ์: 🎮 NES คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรม: หลังจากวิกฤต Video Game Crash ปี 1983 ที่ทำให้ตลาดเกมล่มสลาย NES เปิดตัวในสหรัฐฯ พร้อมเกมคุณภาพสูงอย่าง Super Mario Bros. ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก 🎮 “Nintendo” กลายเป็นคำพ้องกับ “วิดีโอเกม”: ด้วยความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงปลายยุค 80s ถึงต้น 90s เด็ก ๆ ในยุคนั้นมอง NES เป็นศูนย์กลางของความบันเทิง 🎮 กลยุทธ์ควบคุมคุณภาพ: Nintendo ใช้ชิป “lock-out” เพื่อควบคุมเกมที่ออกบนแพลตฟอร์มของตน ป้องกันเกมคุณภาพต่ำแบบที่เคยเกิดกับ Atari ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมมาจนถึงปัจจุบัน 🎮 เบื้องหลังการเปิดตัว NES ที่ CES 1985: Cifaldi เปิดเผยว่า Nintendo เคยเกือบเปิดตัวระบบ AVS (Advanced Video System) ที่เน้นด้านการศึกษาและเทคโนโลยีมากกว่าเกม หากเลือกเส้นทางนั้น อุตสาหกรรมอาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง 🎮 เกือบถูก Atari ซื้อกิจการ: มีความพยายามจาก Atari ที่จะซื้อ Nintendo ก่อนเปิดตัว NES แต่ดีลล่มไป และ Cifaldi ยอมรับว่า “เราไม่รู้แน่ชัดว่าทำไม” 🎮 ความท้าทายในการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์เกม: ปัญหาใหญ่คือ “ความตายของผู้รู้” และ “การย้ายบ้าน” ที่ทำให้เอกสารต้นฉบับหายไป Cifaldi เรียกร้องให้ผู้คนบริจาคสิ่งของเก่าแก่ให้กับมูลนิธิ 🎮 เกมที่นิยมหรือมีอิทธิพลสูงสุดบน NES: Super Mario Bros. ทั้งสามภาคคือเกมที่ขายดีที่สุด ส่วนเกมจากแฟรนไชส์ดังอย่าง Teenage Mutant Ninja Turtles และ Top Gun ก็ขายดีเกินคาด 🎮 มรดกของ NES: Cifaldi มองว่า NES เปลี่ยนเกมจาก “แฟชั่น” ให้กลายเป็น “อุตสาหกรรม” และวางรากฐานให้กับแนวคิดการควบคุมแพลตฟอร์มที่ยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ https://wccftech.com/nes-40th-anniversary-interview-with-video-game-history-foundation-founder-frank-cifald-the-console-that-saved-and-controlled-video-games/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Andrej Karpathy: AGI ยังห่างอีกทศวรรษ” — เมื่ออดีตหัวหน้าทีม AI ของ Tesla มองอนาคตของปัญญาประดิษฐ์แบบไม่มโน

    ในบทสัมภาษณ์กับ Dwarkesh Patel นักวิจัยและวิศวกร AI ชื่อดัง Andrej Karpathy ได้อธิบายอย่างลึกซึ้งว่าทำไมเขาจึงเชื่อว่า AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ระดับมนุษย์จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน และเหตุใดเขาจึงเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์” อย่างที่หลายคนคาดหวัง

    Karpathy มองว่าแม้ LLM อย่าง Claude หรือ Codex จะน่าประทับใจ แต่ยังขาดความสามารถสำคัญ เช่น ความเข้าใจหลายรูปแบบ (multimodality), การเรียนรู้ต่อเนื่อง (continual learning), การใช้คอมพิวเตอร์, และความสามารถในการจดจำหรือวางแผนระยะยาว เขาเปรียบเทียบว่า LLM วันนี้ยังไม่สามารถทำหน้าที่เหมือน “อินเทอร์น” ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้จริง

    เขายังวิจารณ์แนวทาง reinforcement learning (RL) ว่า “แย่ แต่ทางเลือกอื่นแย่ยิ่งกว่า” และยกตัวอย่างว่าการพัฒนา AGI ผ่านเกม (เช่น Atari หรือ Universe project ของ OpenAI) เป็น “ทางเบี่ยง” ที่ไม่ตอบโจทย์ เพราะโลกจริงซับซ้อนกว่าเกมมาก

    Karpathy เสนอแนวคิดว่าเราควรสร้าง “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากเอกสารบนอินเทอร์เน็ต แทนที่จะพยายามเลียนแบบสัตว์หรือสมองมนุษย์โดยตรง เพราะวิวัฒนาการและสมองมีความซับซ้อนที่เราไม่สามารถจำลองได้ง่าย ๆ

    Karpathy เชื่อว่า AGI ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี
    เพราะยังมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจ, ความจำ, และการเรียนรู้

    เขาเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์”
    เพราะการพัฒนาเอเจนต์ที่ใช้งานได้จริงยังต้องใช้เวลา

    LLM ปัจจุบันยังไม่สามารถทำงานเหมือนอินเทอร์นได้
    ขาดความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์, เรียนรู้ต่อเนื่อง, และจดจำ

    เขาวิพากษ์ reinforcement learning ว่าไม่เหมาะกับการสร้าง AGI
    โดยเฉพาะแนวทางที่เน้นการเล่นเกม

    เสนอแนวคิด “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต
    เป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากกว่าการเลียนแบบสมองสัตว์

    เปรียบเทียบ pre-training กับ “วิวัฒนาการแบบหยาบ ๆ”
    เป็นวิธีที่เราสามารถใช้ได้จริงในปัจจุบัน

    https://www.dwarkesh.com/p/andrej-karpathy
    🧠 “Andrej Karpathy: AGI ยังห่างอีกทศวรรษ” — เมื่ออดีตหัวหน้าทีม AI ของ Tesla มองอนาคตของปัญญาประดิษฐ์แบบไม่มโน ในบทสัมภาษณ์กับ Dwarkesh Patel นักวิจัยและวิศวกร AI ชื่อดัง Andrej Karpathy ได้อธิบายอย่างลึกซึ้งว่าทำไมเขาจึงเชื่อว่า AGI (Artificial General Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ระดับมนุษย์จะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน และเหตุใดเขาจึงเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์” อย่างที่หลายคนคาดหวัง Karpathy มองว่าแม้ LLM อย่าง Claude หรือ Codex จะน่าประทับใจ แต่ยังขาดความสามารถสำคัญ เช่น ความเข้าใจหลายรูปแบบ (multimodality), การเรียนรู้ต่อเนื่อง (continual learning), การใช้คอมพิวเตอร์, และความสามารถในการจดจำหรือวางแผนระยะยาว เขาเปรียบเทียบว่า LLM วันนี้ยังไม่สามารถทำหน้าที่เหมือน “อินเทอร์น” ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้จริง เขายังวิจารณ์แนวทาง reinforcement learning (RL) ว่า “แย่ แต่ทางเลือกอื่นแย่ยิ่งกว่า” และยกตัวอย่างว่าการพัฒนา AGI ผ่านเกม (เช่น Atari หรือ Universe project ของ OpenAI) เป็น “ทางเบี่ยง” ที่ไม่ตอบโจทย์ เพราะโลกจริงซับซ้อนกว่าเกมมาก Karpathy เสนอแนวคิดว่าเราควรสร้าง “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากเอกสารบนอินเทอร์เน็ต แทนที่จะพยายามเลียนแบบสัตว์หรือสมองมนุษย์โดยตรง เพราะวิวัฒนาการและสมองมีความซับซ้อนที่เราไม่สามารถจำลองได้ง่าย ๆ ✅ Karpathy เชื่อว่า AGI ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี ➡️ เพราะยังมีข้อจำกัดด้านความเข้าใจ, ความจำ, และการเรียนรู้ ✅ เขาเรียกช่วงนี้ว่า “ทศวรรษของเอเจนต์” ไม่ใช่ “ปีของเอเจนต์” ➡️ เพราะการพัฒนาเอเจนต์ที่ใช้งานได้จริงยังต้องใช้เวลา ✅ LLM ปัจจุบันยังไม่สามารถทำงานเหมือนอินเทอร์นได้ ➡️ ขาดความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์, เรียนรู้ต่อเนื่อง, และจดจำ ✅ เขาวิพากษ์ reinforcement learning ว่าไม่เหมาะกับการสร้าง AGI ➡️ โดยเฉพาะแนวทางที่เน้นการเล่นเกม ✅ เสนอแนวคิด “ghosts” หรือ “วิญญาณดิจิทัล” ที่เรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต ➡️ เป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากกว่าการเลียนแบบสมองสัตว์ ✅ เปรียบเทียบ pre-training กับ “วิวัฒนาการแบบหยาบ ๆ” ➡️ เป็นวิธีที่เราสามารถใช้ได้จริงในปัจจุบัน https://www.dwarkesh.com/p/andrej-karpathy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Foundry คว้าดีลผลิตชิป AI Maia 2 ให้ Microsoft บนเทคโนโลยี 18A” — ก้าวสำคัญสู่ความร่วมมือระยะยาวในยุค AI

    Intel Foundry ได้รับสัญญาผลิตชิป AI รุ่นใหม่ของ Microsoft ในตระกูล Maia 2 โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A และ 18A-P ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดของ Intel ในปัจจุบัน โดยรายงานจาก SemiAccurate ระบุว่า Microsoft จะใช้ Intel Foundry เป็นฐานการผลิตหลักสำหรับชิป AI รุ่นถัดไป ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองยักษ์ใหญ่

    Maia 2 เป็นชิป AI ขนาดใหญ่ระดับใกล้ reticle size (ประมาณ 820 mm²) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในศูนย์ข้อมูล Azure โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) เมื่อเทียบกับการใช้ GPU จาก Nvidia ซึ่ง Microsoft ยังใช้อยู่เป็นหลักในปัจจุบัน

    การเลือก Intel Foundry แทน TSMC มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตและการบรรจุชิปขั้นสูงที่ TSMC เผชิญอยู่ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการผลิตชิปภายในประเทศ

    Intel คาดว่าเทคโนโลยี 18A จะมี yield สูงพอสำหรับการผลิตชิปขนาดใหญ่แบบนี้ โดยอาจใช้เทคนิค partitioning เป็น chiplet หลายตัวเชื่อมด้วย EMIB หรือ Foveros แต่ Microsoft น่าจะเลือกใช้ดีไซน์แบบ monolithic เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

    Intel Foundry ได้รับสัญญาผลิตชิป AI Maia 2 ให้ Microsoft
    ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A และ 18A-P

    Maia 2 เป็นชิปขนาดใหญ่ระดับใกล้ reticle size (820 mm²)
    มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 105 พันล้านตัว

    Microsoft ใช้ชิปนี้ในศูนย์ข้อมูล Azure เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลด TCO
    เปรียบเทียบกับ GPU จาก Nvidia ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

    การเลือก Intel Foundry ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดของ TSMC
    ทั้งด้านกำลังการผลิตและการบรรจุชิปขั้นสูง

    สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการผลิตในประเทศ
    เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

    Intel คาดว่า yield ของ 18A จะสูงพอสำหรับชิปขนาดใหญ่
    อาจใช้ EMIB หรือ Foveros หากต้องแบ่งเป็น chiplet

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-foundry-secures-contract-to-build-microsofts-maia-2-next-gen-ai-processor-on-18a-18a-p-node-claims-report-could-be-first-step-in-ongoing-partnership
    🤝 “Intel Foundry คว้าดีลผลิตชิป AI Maia 2 ให้ Microsoft บนเทคโนโลยี 18A” — ก้าวสำคัญสู่ความร่วมมือระยะยาวในยุค AI Intel Foundry ได้รับสัญญาผลิตชิป AI รุ่นใหม่ของ Microsoft ในตระกูล Maia 2 โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A และ 18A-P ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตที่ล้ำหน้าที่สุดของ Intel ในปัจจุบัน โดยรายงานจาก SemiAccurate ระบุว่า Microsoft จะใช้ Intel Foundry เป็นฐานการผลิตหลักสำหรับชิป AI รุ่นถัดไป ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระยะยาวระหว่างสองยักษ์ใหญ่ Maia 2 เป็นชิป AI ขนาดใหญ่ระดับใกล้ reticle size (ประมาณ 820 mm²) ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในศูนย์ข้อมูล Azure โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) เมื่อเทียบกับการใช้ GPU จาก Nvidia ซึ่ง Microsoft ยังใช้อยู่เป็นหลักในปัจจุบัน การเลือก Intel Foundry แทน TSMC มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดด้านกำลังการผลิตและการบรรจุชิปขั้นสูงที่ TSMC เผชิญอยู่ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการผลิตชิปภายในประเทศ Intel คาดว่าเทคโนโลยี 18A จะมี yield สูงพอสำหรับการผลิตชิปขนาดใหญ่แบบนี้ โดยอาจใช้เทคนิค partitioning เป็น chiplet หลายตัวเชื่อมด้วย EMIB หรือ Foveros แต่ Microsoft น่าจะเลือกใช้ดีไซน์แบบ monolithic เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ✅ Intel Foundry ได้รับสัญญาผลิตชิป AI Maia 2 ให้ Microsoft ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A และ 18A-P ✅ Maia 2 เป็นชิปขนาดใหญ่ระดับใกล้ reticle size (820 mm²) ➡️ มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 105 พันล้านตัว ✅ Microsoft ใช้ชิปนี้ในศูนย์ข้อมูล Azure เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลด TCO ➡️ เปรียบเทียบกับ GPU จาก Nvidia ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ✅ การเลือก Intel Foundry ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อจำกัดของ TSMC ➡️ ทั้งด้านกำลังการผลิตและการบรรจุชิปขั้นสูง ✅ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการผลิตในประเทศ ➡️ เพิ่มความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ✅ Intel คาดว่า yield ของ 18A จะสูงพอสำหรับชิปขนาดใหญ่ ➡️ อาจใช้ EMIB หรือ Foveros หากต้องแบ่งเป็น chiplet https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-foundry-secures-contract-to-build-microsofts-maia-2-next-gen-ai-processor-on-18a-18a-p-node-claims-report-could-be-first-step-in-ongoing-partnership
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย

    Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง

    ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ

    Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน
    ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์
    ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ

    การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น
    อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ

    การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
    ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่

    Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron
    แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ

    ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ
    ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    🇨🇳 “Micron เตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำศูนย์ข้อมูลในจีน” — เมื่อแรงกดดันจากการแบนในปี 2023 ยังไม่คลี่คลาย Micron ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเตรียมถอนตัวจากตลาดหน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลในจีน หลังจากไม่สามารถฟื้นตัวจากผลกระทบของการแบนในปี 2023 ที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ของ Micron ในโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างแหล่งข่าวภายใน Micron บริษัทมีแผนจะหยุดส่งออกผลิตภัณฑ์ DRAM และหน่วยความจำระดับเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีนโดยตรง แต่จะยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ รวมถึงลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ เช่น Lenovo การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงผลกระทบระยะยาวจากการแบนของ Cyberspace Administration of China ซึ่งทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และเปิดช่องให้ผู้ผลิตในประเทศจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ แม้ Samsung และ SK Hynix จะมีโอกาสขยายตลาดในจีน แต่ก็ยังเผชิญกับข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ เช่นเดียวกับ Micron ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศจีนอย่าง YMTC และ CXMT ก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อทดแทน แม้ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพ ✅ Micron เตรียมหยุดส่งออก DRAM และหน่วยความจำเซิร์ฟเวอร์ไปยังศูนย์ข้อมูลในจีน ➡️ ยังคงให้บริการในกลุ่มสมาร์ตโฟนและยานยนต์ ➡️ ยังคงให้บริการลูกค้าจีนที่มีศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศ ✅ การแบนในปี 2023 จาก Cyberspace Administration of China เป็นจุดเริ่มต้น ➡️ อ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ ✅ การแบนทำให้ Micron สูญเสียโอกาสในโครงการศูนย์ข้อมูลที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ➡️ ผู้ผลิตในจีนและเกาหลีใต้เข้ามาแทนที่ ✅ Samsung และ SK Hynix อาจได้ประโยชน์จากช่องว่างของ Micron ➡️ แต่ยังเผชิญข้อจำกัดจากนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ ✅ ผู้ผลิตจีนอย่าง YMTC และ CXMT เร่งพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำ ➡️ ยังตามหลังในด้านประสิทธิภาพและ yield https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/reports-suggest-micron-is-preparing-to-exit-chinas-data-center-memory-market
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography

    ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต

    ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ

    การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน

    ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73

    ข้อมูลในข่าว
    ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC)
    ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber)
    ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น
    ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later”
    ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC
    ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ
    ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น
    เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73
    เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง

    https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    🔐 “ASUSTOR NAS พร้อมรับมือยุคควอนตัม” — อัปเกรดระบบเข้ารหัสด้วยเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography ASUSTOR ประกาศว่า NAS OS รุ่นล่าสุด ADM 5.1 ได้รับการอัปเกรดให้รองรับเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐานที่ได้รับการรับรองจาก NIST สหรัฐฯ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามจากการถอดรหัสด้วยคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ระบบใหม่ใช้ Hybrid TLS ที่ผสานการเข้ารหัสแบบ X25519 กับ ML-KEM 768 (Kyber) เพื่อป้องกันข้อมูลทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม หากใช้เบราว์เซอร์ที่รองรับ TLS 1.3 และ PQC ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ซึ่งเป็นการดักจับข้อมูลเข้ารหัสไว้ก่อน แล้วรอให้เทคโนโลยีถอดรหัสพัฒนาจนสามารถเจาะข้อมูลได้ในอนาคต เช่น ข้อมูลสำรองระยะยาว, เอกสารลับ, ทรัพย์สินทางปัญญา, ข้อมูลการแพทย์และการเงิน ADM 5.1 จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็นอย่างชัดเจน และจะเปิดใช้งาน PQC โดยอัตโนมัติเมื่อเบราว์เซอร์รองรับ โดยเบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ASUSTOR อัปเกรด NAS OS ADM 5.1 ให้รองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC) ➡️ ใช้มาตรฐานจาก NIST สหรัฐฯ เช่น ML-KEM 768 (Kyber) ➡️ ใช้ Hybrid TLS ที่ผสาน X25519 กับ Kyber เพื่อความปลอดภัยสองชั้น ➡️ ป้องกันการโจมตีแบบ “Harvest Now, Decrypt Later” ➡️ ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าเพิ่มเติม หากเบราว์เซอร์รองรับ TLS 1.3 และ PQC ➡️ ระบบจะเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสควอนตัมโดยอัตโนมัติ ➡️ ADM จะแสดงสถานะการเข้ารหัสให้ผู้ใช้เห็น ➡️ เบราว์เซอร์ที่รองรับ ได้แก่ Chrome 131, Edge 131, Firefox 135, Opera 116 และ Brave 1.73 ➡️ เหมาะกับการปกป้องข้อมูลระยะยาว เช่น เอกสารลับและข้อมูลสำรอง https://www.techpowerup.com/341960/asustor-nas-devices-now-pqc-ready
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASUSTOR NAS Devices Now PQC Ready
    Facing the arrival of the quantum computing era and the potential risks to traditional encryption algorithms, ASUSTOR Inc. has announced that its NAS operating system, ADM 5.1, will fully adopt post-quantum cryptography (PQC) technology approved by the US National Institute of Standards and Technolo...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • “VMware Workstation/Fusion เปลี่ยนระบบเวอร์ชันเป็นแบบรายปี” — Broadcom เปิดตัวรุ่น 25H2 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแนวทางใหม่ในการพัฒนา

    Broadcom ประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ VMware Workstation Pro และ Fusion Pro โดยเลิกใช้ตัวเลขเวอร์ชันแบบเดิม (เช่น 17.6.x) แล้วหันมาใช้รูปแบบตามปีและช่วงเวลา เช่น “25H2” ซึ่งหมายถึงรุ่นครึ่งหลังของปี 2025 คล้ายกับแนวทางของ Microsoft Windows

    การเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่หลายรายการในรุ่น 25H2 ได้แก่:

    dictTool: เครื่องมือ command-line สำหรับตรวจสอบและแก้ไขไฟล์ .vmx ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้ Notepad หรือ text editor ทั่วไป

    รองรับ USB 3.2: เพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลและรองรับอุปกรณ์ใหม่

    ตรวจจับ Hyper-V VM: ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่า VM ทำงานในโหมดใด เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกัน

    ปรับปรุง accessibility และ UI: แก้ไขปัญหาการปรับขนาดหน้าต่างและการควบคุมบน Windows

    ปรับปรุงแพ็กเกจ Linux: ลดปัญหาในการติดตั้งและแก้ไขข้อผิดพลาด

    ลด log ที่ไม่จำเป็น: เช่น vmauthd ใน Event Viewer

    ยกเลิก vctl tool: ไม่รวมใน Workstation Pro อีกต่อไป

    Broadcom ยังไม่เปิดเผยแผนระยะยาวว่าจะมีรุ่น “26H1” ในครึ่งแรกของปี 2026 หรือไม่ แต่การเปลี่ยนมาใช้ระบบเวอร์ชันแบบรายปีอาจช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจรอบการอัปเดตได้ง่ายขึ้น

    ข้อมูลในข่าว
    Broadcom เปลี่ยนระบบเวอร์ชันของ VMware เป็นแบบรายปี เช่น 25H2
    รุ่น 25H2 มาพร้อม dictTool สำหรับจัดการไฟล์ .vmx
    รองรับ USB 3.2 เพื่อเพิ่มความเร็วและความเข้ากันได้
    เพิ่มการตรวจจับ Hyper-V VM เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกัน
    ปรับปรุง accessibility และ UI บน Windows
    ปรับปรุงแพ็กเกจ Linux ให้ติดตั้งง่ายขึ้น
    ลด log ที่ไม่จำเป็นใน Event Viewer
    แก้ปัญหา VM suspend, full-screen crash และ GPU acceleration บน Linux
    ยกเลิก vctl tool จาก Workstation Pro
    Broadcom ยังไม่ยืนยันว่าจะมีรุ่น 26H1 ในอนาคต

    https://securityonline.info/broadcom-shifts-vmware-workstation-fusion-to-year-based-versioning-with-new-25h2-release/
    🖥️ “VMware Workstation/Fusion เปลี่ยนระบบเวอร์ชันเป็นแบบรายปี” — Broadcom เปิดตัวรุ่น 25H2 พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแนวทางใหม่ในการพัฒนา Broadcom ประกาศเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ VMware Workstation Pro และ Fusion Pro โดยเลิกใช้ตัวเลขเวอร์ชันแบบเดิม (เช่น 17.6.x) แล้วหันมาใช้รูปแบบตามปีและช่วงเวลา เช่น “25H2” ซึ่งหมายถึงรุ่นครึ่งหลังของปี 2025 คล้ายกับแนวทางของ Microsoft Windows การเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่หลายรายการในรุ่น 25H2 ได้แก่: 🛠️ dictTool: เครื่องมือ command-line สำหรับตรวจสอบและแก้ไขไฟล์ .vmx ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้ Notepad หรือ text editor ทั่วไป ⚡ รองรับ USB 3.2: เพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลและรองรับอุปกรณ์ใหม่ 🧠 ตรวจจับ Hyper-V VM: ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่า VM ทำงานในโหมดใด เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกัน 🧩 ปรับปรุง accessibility และ UI: แก้ไขปัญหาการปรับขนาดหน้าต่างและการควบคุมบน Windows 🐧 ปรับปรุงแพ็กเกจ Linux: ลดปัญหาในการติดตั้งและแก้ไขข้อผิดพลาด 🔧 ลด log ที่ไม่จำเป็น: เช่น vmauthd ใน Event Viewer 🛑 ยกเลิก vctl tool: ไม่รวมใน Workstation Pro อีกต่อไป Broadcom ยังไม่เปิดเผยแผนระยะยาวว่าจะมีรุ่น “26H1” ในครึ่งแรกของปี 2026 หรือไม่ แต่การเปลี่ยนมาใช้ระบบเวอร์ชันแบบรายปีอาจช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจรอบการอัปเดตได้ง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Broadcom เปลี่ยนระบบเวอร์ชันของ VMware เป็นแบบรายปี เช่น 25H2 ➡️ รุ่น 25H2 มาพร้อม dictTool สำหรับจัดการไฟล์ .vmx ➡️ รองรับ USB 3.2 เพื่อเพิ่มความเร็วและความเข้ากันได้ ➡️ เพิ่มการตรวจจับ Hyper-V VM เพื่อปรับปรุงการทำงานร่วมกัน ➡️ ปรับปรุง accessibility และ UI บน Windows ➡️ ปรับปรุงแพ็กเกจ Linux ให้ติดตั้งง่ายขึ้น ➡️ ลด log ที่ไม่จำเป็นใน Event Viewer ➡️ แก้ปัญหา VM suspend, full-screen crash และ GPU acceleration บน Linux ➡️ ยกเลิก vctl tool จาก Workstation Pro ➡️ Broadcom ยังไม่ยืนยันว่าจะมีรุ่น 26H1 ในอนาคต https://securityonline.info/broadcom-shifts-vmware-workstation-fusion-to-year-based-versioning-with-new-25h2-release/
    SECURITYONLINE.INFO
    Broadcom Shifts VMware Workstation/Fusion to Year-Based Versioning with New 25H2 Release
    Broadcom is shifting VMware Workstation Pro/Fusion to year-based versioning (e.g., 25H2). The new release adds dictTool for .vmx editing, USB 3.2 support, and Hyper-V VM detection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts