• ..เอาจริงๆนะ ถึงวันนี้ ต้องให้กำลังใจทหารไทยดีๆคนดีๆเราจริงๆที่มีผู้บังคับบัญชาบัดสบมาจนถึงเวลานี้,จัดการอะไรเด็ดขาดกับเขมรจริงๆจังๆแบบถีบออกหลังเสาหมุดสยามเราก็จบแล้ว.,ตามคลิปนี้ล่ะ,ตามข่าวอื่นๆมุมสูงด้วย ราบหมดมันแย่งชิงของชาวบ้านหนองจานจริงๆ.,รั้วลวดหนามถาวรแบบปิดตายตลอดแนวชายแดนแถวนี้ต้องเอาจริง,และเวลานี้ยุคนี้สร้างปิดตายตลอดพรมแดนเลย,เจ้าสัวคนไหน นายใหญ่คนไหนสั่งมีทางเข้าออกก็ห้ามให้มี จนกว่าจะสร้างรั้วลวดหนามจบทั้งอีสานใต้,ค่อยว่าเรื่องด่านอีกที,ตัดน้ำมัน ตัดไฟฟ้าจริงๆทีเถอะ,ตัดสายเน็ตสายเคเบิลส่งไปเขมรจากไทยต้องตัดจริงๆด้วย,กิจการใดในไทยมีธุรกิจในเขมร มาอาศัยเปิดบริษัทในไทยบังหน้าแล้วค้าขายให้ความช่วยเหลือเขมร ยกเลิกใบอนุญาตประกอบการในไทยหมดเช่นกิจการเดินเรือในอ่าวไทยแอบใช้นามกิจการไทยช่วยเหลือขนส่งน้ำมันขนส่งถ่านหินให้เขมร ซื้อน้ำมันจากแท่งเจาะในอ่าวไทยไปส่งน้ำมันให้เขมรผลิตไฟฟ้าแก๊สก๊าซไทยผลิตไฟฟ้าให้เขมร เราต้องยกเลิกกิจการเขมรใช้ไทยเปิดบริษัทที่เราช่วยเหลือเขมรต้องกำจัดทุนพวกนี้ทันที,นี้คือยุทธศาสตร์ความมั่นคงกำจัดภัยคุกคามอธิปไตยไทยจริงจัง อย่างทำกันเล่นๆอีกเลย เราเบื่อหน่ายการปกครองไทยทั้งระบบเต็มทีจริงๆ,ไม่เด็ดขาดกำจัดกวาดล้างคนไม่ดีภายนอกจริงและคนไม่ดีภายในเราเองก็เพิ่มมากมายเกินไปแล้ว,ถึงเวลาลดประชากรคนพวกนี้จริงๆบนแผ่นดินไทยเราได้แล้ว.

    https://youtube.com/shorts/8ou4GkDCZig?si=K7UprxfPrn3IF96M
    ..เอาจริงๆนะ ถึงวันนี้ ต้องให้กำลังใจทหารไทยดีๆคนดีๆเราจริงๆที่มีผู้บังคับบัญชาบัดสบมาจนถึงเวลานี้,จัดการอะไรเด็ดขาดกับเขมรจริงๆจังๆแบบถีบออกหลังเสาหมุดสยามเราก็จบแล้ว.,ตามคลิปนี้ล่ะ,ตามข่าวอื่นๆมุมสูงด้วย ราบหมดมันแย่งชิงของชาวบ้านหนองจานจริงๆ.,รั้วลวดหนามถาวรแบบปิดตายตลอดแนวชายแดนแถวนี้ต้องเอาจริง,และเวลานี้ยุคนี้สร้างปิดตายตลอดพรมแดนเลย,เจ้าสัวคนไหน นายใหญ่คนไหนสั่งมีทางเข้าออกก็ห้ามให้มี จนกว่าจะสร้างรั้วลวดหนามจบทั้งอีสานใต้,ค่อยว่าเรื่องด่านอีกที,ตัดน้ำมัน ตัดไฟฟ้าจริงๆทีเถอะ,ตัดสายเน็ตสายเคเบิลส่งไปเขมรจากไทยต้องตัดจริงๆด้วย,กิจการใดในไทยมีธุรกิจในเขมร มาอาศัยเปิดบริษัทในไทยบังหน้าแล้วค้าขายให้ความช่วยเหลือเขมร ยกเลิกใบอนุญาตประกอบการในไทยหมดเช่นกิจการเดินเรือในอ่าวไทยแอบใช้นามกิจการไทยช่วยเหลือขนส่งน้ำมันขนส่งถ่านหินให้เขมร ซื้อน้ำมันจากแท่งเจาะในอ่าวไทยไปส่งน้ำมันให้เขมรผลิตไฟฟ้าแก๊สก๊าซไทยผลิตไฟฟ้าให้เขมร เราต้องยกเลิกกิจการเขมรใช้ไทยเปิดบริษัทที่เราช่วยเหลือเขมรต้องกำจัดทุนพวกนี้ทันที,นี้คือยุทธศาสตร์ความมั่นคงกำจัดภัยคุกคามอธิปไตยไทยจริงจัง อย่างทำกันเล่นๆอีกเลย เราเบื่อหน่ายการปกครองไทยทั้งระบบเต็มทีจริงๆ,ไม่เด็ดขาดกำจัดกวาดล้างคนไม่ดีภายนอกจริงและคนไม่ดีภายในเราเองก็เพิ่มมากมายเกินไปแล้ว,ถึงเวลาลดประชากรคนพวกนี้จริงๆบนแผ่นดินไทยเราได้แล้ว. https://youtube.com/shorts/8ou4GkDCZig?si=K7UprxfPrn3IF96M
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Altera ถึง Arrow Lake: เมื่อ Intel ยอมรับว่า TSMC คือคู่ชีวิต และเงินจากรัฐบาลคือทางออกจากหนี้

    ในการประชุม Citi Global Tech 2025 ที่ซานฟรานซิสโก CFO ของ Intel, David Zinsner ประกาศว่า Intel จะใช้ TSMC “ตลอดไป” โดยระบุว่า “พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม” และยืนยันว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ของ Intel มาจาก TSMC แล้ว แม้จะมีแผนลดสัดส่วนในอนาคต แต่ก็ยังมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต

    Intel ยังยืนยันว่าจะใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้จาก CHIPS Act เพื่อชำระหนี้มูลค่า $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยไม่รีไฟแนนซ์ใหม่ พร้อมประกาศว่าเงินทุนที่เคยไม่แน่นอนตอนนี้กลายเป็น “หุ้น” ที่รัฐบาลถืออยู่ 10% และจะลงคะแนนตามมติของบอร์ดเท่านั้น

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมปิดดีลขายธุรกิจ Altera เพื่อรับเงินเพิ่มอีก $3.5 พันล้าน และรอเงินลงทุนจาก SoftBank ที่จะเข้ามาเสริมภายในไตรมาสนี้

    ในด้านเทคโนโลยี Zinsner ยอมรับว่า Intel “ใช้เงินล่วงหน้าก่อนมีดีมานด์” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้บริษัทต้องปรับแผนใหม่ โดยหันไปพัฒนา 14A process node ที่ใช้ High NA EUV และมีต้นทุนสูงกว่า 18A แต่มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า

    แม้จะยังไม่แยกธุรกิจ Foundry ออกเป็นบริษัทลูก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าอาจเกิดขึ้นในอนาคต หากมีความพร้อมและความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน

    การใช้ TSMC เป็นพันธมิตรระยะยาว
    Intel ยืนยันว่าจะใช้ TSMC “ตลอดไป” สำหรับบางผลิตภัณฑ์
    ปัจจุบัน 30% ของผลิตภัณฑ์มาจาก TSMC เช่น Lunar Lake และ Arrow Lake
    แม้จะลดสัดส่วนในอนาคต แต่ยังมากกว่าระดับในอดีต

    การใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    Intel ได้รับเงินทุนจาก CHIPS Act รวม $7.9 พันล้าน (บางส่วนยังทยอยจ่าย)
    เงินทุนถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ที่รัฐบาลถืออยู่
    ใช้เงินเพื่อชำระหนี้ $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปี 2025

    การขายธุรกิจ Altera และเงินลงทุนจาก SoftBank
    เตรียมปิดดีลขาย Altera เพื่อรับเงิน $3.5 พันล้าน
    SoftBank จะลงทุนเพิ่มเติมหลังผ่านการอนุมัติด้านกฎระเบียบ
    เงินทั้งหมดจะใช้ชำระหนี้ ไม่รีไฟแนนซ์ใหม่

    การพัฒนาเทคโนโลยี 14A และการเปลี่ยนยุทธศาสตร์
    14A ใช้ High NA EUV และมีต้นทุน wafer สูงกว่า 18A
    มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า 18A
    ยังไม่มีแผนแยกธุรกิจ Foundry แต่เปิดโอกาสในอนาคต

    https://wccftech.com/intel-will-use-tsmc-forever-says-cfo-as-shares-rise-after-he-confirms-plan-to-use-us-funding-to-pay-back-debt/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Altera ถึง Arrow Lake: เมื่อ Intel ยอมรับว่า TSMC คือคู่ชีวิต และเงินจากรัฐบาลคือทางออกจากหนี้ ในการประชุม Citi Global Tech 2025 ที่ซานฟรานซิสโก CFO ของ Intel, David Zinsner ประกาศว่า Intel จะใช้ TSMC “ตลอดไป” โดยระบุว่า “พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม” และยืนยันว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ของ Intel มาจาก TSMC แล้ว แม้จะมีแผนลดสัดส่วนในอนาคต แต่ก็ยังมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต Intel ยังยืนยันว่าจะใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ได้จาก CHIPS Act เพื่อชำระหนี้มูลค่า $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยไม่รีไฟแนนซ์ใหม่ พร้อมประกาศว่าเงินทุนที่เคยไม่แน่นอนตอนนี้กลายเป็น “หุ้น” ที่รัฐบาลถืออยู่ 10% และจะลงคะแนนตามมติของบอร์ดเท่านั้น นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมปิดดีลขายธุรกิจ Altera เพื่อรับเงินเพิ่มอีก $3.5 พันล้าน และรอเงินลงทุนจาก SoftBank ที่จะเข้ามาเสริมภายในไตรมาสนี้ ในด้านเทคโนโลยี Zinsner ยอมรับว่า Intel “ใช้เงินล่วงหน้าก่อนมีดีมานด์” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้บริษัทต้องปรับแผนใหม่ โดยหันไปพัฒนา 14A process node ที่ใช้ High NA EUV และมีต้นทุนสูงกว่า 18A แต่มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า แม้จะยังไม่แยกธุรกิจ Foundry ออกเป็นบริษัทลูก แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าอาจเกิดขึ้นในอนาคต หากมีความพร้อมและความน่าสนใจสำหรับนักลงทุน ✅ การใช้ TSMC เป็นพันธมิตรระยะยาว ➡️ Intel ยืนยันว่าจะใช้ TSMC “ตลอดไป” สำหรับบางผลิตภัณฑ์ ➡️ ปัจจุบัน 30% ของผลิตภัณฑ์มาจาก TSMC เช่น Lunar Lake และ Arrow Lake ➡️ แม้จะลดสัดส่วนในอนาคต แต่ยังมากกว่าระดับในอดีต ✅ การใช้เงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ Intel ได้รับเงินทุนจาก CHIPS Act รวม $7.9 พันล้าน (บางส่วนยังทยอยจ่าย) ➡️ เงินทุนถูกเปลี่ยนเป็นหุ้น 10% ที่รัฐบาลถืออยู่ ➡️ ใช้เงินเพื่อชำระหนี้ $3.8 พันล้านที่ครบกำหนดในปี 2025 ✅ การขายธุรกิจ Altera และเงินลงทุนจาก SoftBank ➡️ เตรียมปิดดีลขาย Altera เพื่อรับเงิน $3.5 พันล้าน ➡️ SoftBank จะลงทุนเพิ่มเติมหลังผ่านการอนุมัติด้านกฎระเบียบ ➡️ เงินทั้งหมดจะใช้ชำระหนี้ ไม่รีไฟแนนซ์ใหม่ ✅ การพัฒนาเทคโนโลยี 14A และการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ➡️ 14A ใช้ High NA EUV และมีต้นทุน wafer สูงกว่า 18A ➡️ มีความหวังว่าจะดึงลูกค้าใหม่ได้มากกว่า 18A ➡️ ยังไม่มีแผนแยกธุรกิจ Foundry แต่เปิดโอกาสในอนาคต https://wccftech.com/intel-will-use-tsmc-forever-says-cfo-as-shares-rise-after-he-confirms-plan-to-use-us-funding-to-pay-back-debt/
    WCCFTECH.COM
    Intel Will Use TSMC "Forever" Says CFO, As Shares Rise After He Confirms Plan To Use US Funding To Pay Back Debt
    Intel CFO outlines $10 billion government stake, plans to pay $3.8 billion in debt, and confirms continued reliance on TSMC.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2)
    ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น
    ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน
    แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา)
    แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
    อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
    สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013
    รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย
    รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว)
    คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ)
    ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !)
    คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้)
    เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !)
    แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา
    อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่
    สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา
    ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า)
    อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้
    นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง)
    ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2) ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา) แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว) คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ) ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !) คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้) เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !) แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่ สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า) อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง) ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1)
    อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น
    เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ
    การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ
    – The National Security Council (NSC)
    ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ
    นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น
    – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ)
    – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี
    ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ
    – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น
    – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ
    พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล
    think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1) อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ – The National Security Council (NSC) ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ) – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคูปองพลังประมวลผล: เมื่อรัฐบาลจีนแจกเครดิตให้บริษัทเล็ก ๆ ใช้ GPU ระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์

    ในปี 2025 รัฐบาลจีนเริ่มขยายโครงการ “คูปองพลังประมวลผล” ไปยังหลายเมืองทั่วประเทศ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป และซานตง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) เข้าถึงการฝึกโมเดล AI ได้ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก

    ตัวอย่างเช่น เซี่ยงไฮ้จัดสรรงบประมาณกว่า 600 ล้านหยวน (~84 ล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนค่าเช่า GPU สูงสุดถึง 80% สำหรับการฝึกโมเดล AI และยังมีอีก 100 ล้านหยวนสำหรับการฝึก LLM โดยเฉพาะ ส่วนเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองนำร่องตั้งแต่ปี 2023 ก็ขยายโครงการไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบอีก 100 ล้านหยวน

    คูปองเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับศูนย์ข้อมูลระดับชาติหรือท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” ที่ใช้ไฟฟ้าราคาถูกในตะวันตกเพื่อรองรับความต้องการจากเมืองชายฝั่ง

    โครงการนี้เกิดจากนโยบาย “Implementation Opinions on Promoting the High-Quality Development of the Data Labeling Industry” ที่ประกาศในเดือนธันวาคม 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน R&D ของบริษัทเล็ก และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่มากถึง 70–80%

    โครงการคูปองพลังประมวลผลของจีน
    แจกคูปองให้ SMEs ใช้ GPU สำหรับฝึกโมเดล AI ในราคาถูก
    ครอบคลุมเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป ซานตง
    เซี่ยงไฮ้ให้ส่วนลดสูงสุด 80% และมีงบเฉพาะสำหรับ LLM training

    เป้าหมายของโครงการ
    ลดต้นทุน R&D สำหรับบริษัทขนาดเล็ก
    เพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่
    สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ภายในประเทศ

    โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ
    ใช้ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing”
    ศูนย์ข้อมูลบางแห่งมีการใช้งานเพียง 20–30% ก่อนโครงการนี้
    มีแผนสร้างเครือข่าย unified compute ระดับประเทศเพื่อกระจายโหลด

    การขยายตัวของโครงการ
    เฉิงตูขยายคูปองไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบ 100 ล้านหยวน
    ซานตงจัดสรรงบเบื้องต้น 30 ล้านหยวน และเตรียมเพิ่มอีก 1 พันล้านหยวน
    ปักกิ่งเริ่มเปิดรับสมัครผู้ขอรับคูปองแล้ว

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-subsidizes-ai-computing-for-small-domestic-companies-computing-power-vouchers-spread-across-multiple-chinese-cities
    🎙️ เรื่องเล่าจากคูปองพลังประมวลผล: เมื่อรัฐบาลจีนแจกเครดิตให้บริษัทเล็ก ๆ ใช้ GPU ระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ในปี 2025 รัฐบาลจีนเริ่มขยายโครงการ “คูปองพลังประมวลผล” ไปยังหลายเมืองทั่วประเทศ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป และซานตง โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) เข้าถึงการฝึกโมเดล AI ได้ในราคาที่ถูกลงอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เซี่ยงไฮ้จัดสรรงบประมาณกว่า 600 ล้านหยวน (~84 ล้านดอลลาร์) เพื่อสนับสนุนค่าเช่า GPU สูงสุดถึง 80% สำหรับการฝึกโมเดล AI และยังมีอีก 100 ล้านหยวนสำหรับการฝึก LLM โดยเฉพาะ ส่วนเฉิงตูซึ่งเป็นเมืองนำร่องตั้งแต่ปี 2023 ก็ขยายโครงการไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบอีก 100 ล้านหยวน คูปองเหล่านี้สามารถนำไปใช้กับศูนย์ข้อมูลระดับชาติหรือท้องถิ่นที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” ที่ใช้ไฟฟ้าราคาถูกในตะวันตกเพื่อรองรับความต้องการจากเมืองชายฝั่ง โครงการนี้เกิดจากนโยบาย “Implementation Opinions on Promoting the High-Quality Development of the Data Labeling Industry” ที่ประกาศในเดือนธันวาคม 2024 โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุน R&D ของบริษัทเล็ก และเพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่มากถึง 70–80% ✅ โครงการคูปองพลังประมวลผลของจีน ➡️ แจกคูปองให้ SMEs ใช้ GPU สำหรับฝึกโมเดล AI ในราคาถูก ➡️ ครอบคลุมเมืองใหญ่ เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เฉิงตู เซินเจิ้น หนิงโป ซานตง ➡️ เซี่ยงไฮ้ให้ส่วนลดสูงสุด 80% และมีงบเฉพาะสำหรับ LLM training ✅ เป้าหมายของโครงการ ➡️ ลดต้นทุน R&D สำหรับบริษัทขนาดเล็ก ➡️ เพิ่มการใช้ประโยชน์จากศูนย์ข้อมูลที่ยังว่างอยู่ ➡️ สนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ภายในประเทศ ✅ โครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ ➡️ ใช้ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ตะวันตกของจีนตามยุทธศาสตร์ “Eastern Data, Western Computing” ➡️ ศูนย์ข้อมูลบางแห่งมีการใช้งานเพียง 20–30% ก่อนโครงการนี้ ➡️ มีแผนสร้างเครือข่าย unified compute ระดับประเทศเพื่อกระจายโหลด ✅ การขยายตัวของโครงการ ➡️ เฉิงตูขยายคูปองไปยังสถาบันวิจัยด้วยงบ 100 ล้านหยวน ➡️ ซานตงจัดสรรงบเบื้องต้น 30 ล้านหยวน และเตรียมเพิ่มอีก 1 พันล้านหยวน ➡️ ปักกิ่งเริ่มเปิดรับสมัครผู้ขอรับคูปองแล้ว https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/china-subsidizes-ai-computing-for-small-domestic-companies-computing-power-vouchers-spread-across-multiple-chinese-cities
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยคือจุดยุทธศาสตร์! บทความต่างชาติชี้ชัดเหตุปะทะชายแดน สะท้อนความสำคัญของไทยต่อยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก
    https://www.thai-tai.tv/news/21304/
    .
    #ไทยไท #การเมือง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #สหรัฐอเมริกา #กัมพูชา #จีน #ข่าววันนี้
    ไทยคือจุดยุทธศาสตร์! บทความต่างชาติชี้ชัดเหตุปะทะชายแดน สะท้อนความสำคัญของไทยต่อยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก https://www.thai-tai.tv/news/21304/ . #ไทยไท #การเมือง #ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ #สหรัฐอเมริกา #กัมพูชา #จีน #ข่าววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 5
    อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change
    เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ?
    กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ
    เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก)
    เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ?
    ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ !
    ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ
    – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย
    – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด
    – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !)
    – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด
    – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี
    – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม
    – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju
    – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว
    นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !)
    ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว !
    อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !)
    SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ
    สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!)

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 5 อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ? กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก) เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ? ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ ! ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !) – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !) ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว ! อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !) SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 4
    ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ
    – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง
    แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น
    – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย
    แปซิฟิกเสียใหม่
    – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง !
    มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า
    ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน
    ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน
    ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ
    คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม
    ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า)
    คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง
    ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้
    ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น
    เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว
    ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้
    เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ
    เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ
    การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน
    ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS)
    ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
    ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก
    ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 4 ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย แปซิฟิกเสียใหม่ – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง ! มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า) คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้ ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้ เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS) ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง

    ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027

    แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น

    ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง

    ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว

    แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน
    มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry”
    ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน
    ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030

    รายละเอียดของแผน 17 ข้อ
    พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ
    ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน
    สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time
    ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค

    ความคืบหน้าทางเทคนิค
    ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ
    ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด
    มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว

    การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค
    สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว
    วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
    คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    🎙️ เรื่องเล่าจากสมองถึงซิลิคอน: เมื่อจีนเปิดศึก BCI ด้วยแผน 17 ข้อจาก 7 กระทรวง ในเดือนสิงหาคม 2025 รัฐบาลจีนได้เผยแพร่เอกสารนโยบายขนาดใหญ่ชื่อ “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the Brain-Computer Interface (BCI) Industry” ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติที่มีเป้าหมายชัดเจน: สร้างอุตสาหกรรม BCI ที่แข่งขันได้ในระดับโลกภายใน 5 ปี และผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เข้าสู่การใช้งานจริงภายในปี 2027 แผนนี้ไม่ใช่แค่การวิจัย แต่เป็นการบูรณาการระหว่าง 7 กระทรวงที่รวมการวางแผนอุตสาหกรรม, การกำกับดูแลทางการแพทย์, และการควบคุมการวิจัยไว้ใน playbook เดียว เพื่อเร่งการอนุมัติและลดเวลาจากห้องแล็บสู่ตลาดให้เหลือเพียงไม่กี่ปี—ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องผ่านด่าน FDA หลายชั้น ในแผนมี 17 ข้อที่ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ, การออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผล, การสร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ไปจนถึงการผลิตอุปกรณ์แบบ non-invasive สำหรับตลาดผู้บริโภค เช่น อุปกรณ์ตรวจความตื่นตัวของคนขับรถ หรือหมวกนิรภัยที่ตรวจจับอันตรายในเหมือง ที่สำคัญคือ จีนได้เริ่มทดลองจริงแล้ว—ผู้ป่วยที่ได้รับการฝังอิเล็กโทรดสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิดล้วน ๆ โดยใช้อิเล็กโทรด 128 ช่องที่ออกแบบให้เสถียรและลดการอักเสบในระยะยาว ✅ แผนยุทธศาสตร์ BCI ของจีน ➡️ มีชื่อว่า “Implementation Plan for Promoting Innovation and Development of the BCI Industry” ➡️ ร่วมกันจัดทำโดย 7 กระทรวงของรัฐบาลจีน ➡️ ตั้งเป้าให้มีการใช้งานจริงในคลินิกภายในปี 2027 และมีบริษัทชั้นนำภายในปี 2030 ✅ รายละเอียดของแผน 17 ข้อ ➡️ พัฒนา chip ฝังสมองที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ ออกแบบอิเล็กโทรดที่ลดการเกิดแผลและอยู่ในสมองได้นาน ➡️ สร้างอัลกอริธึมถอดรหัสความคิดแบบ real-time ➡️ ขยายสายการผลิตอุปกรณ์ non-invasive สำหรับผู้บริโภค ✅ ความคืบหน้าทางเทคนิค ➡️ ทีมวิจัยจีนพัฒนาอิเล็กโทรด 128 ช่องที่เสถียรและลดการอักเสบ ➡️ ผู้ป่วยสามารถเล่นหมากรุกและใช้งานแอปมือถือด้วยความคิด ➡️ มีการทดลองในสัตว์, ลิง, และมนุษย์แล้ว ✅ การขยายสู่ตลาดผู้บริโภค ➡️ สนับสนุนอุปกรณ์ non-invasive เช่น หมวกนิรภัยอัจฉริยะและเซนเซอร์ตรวจความตื่นตัว ➡️ วางตำแหน่ง BCI เป็นทั้งเทคโนโลยีการแพทย์และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ➡️ คาดว่าจะมีผู้ป่วย 1–2 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จาก BCI ภายในไม่กี่ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-bci-blueprint
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China plans to outpace Neuralink with a state-backed brain chip blitz — seven ministries, a 17-point roadmap, and clinical trials where patients play chess
    Plan aims to streamline approval by bringing regulators in at the beginning, potentially shaving years off the lab-to-market timeline.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากนิวเม็กซิโก: จากจุดเริ่มต้นของระเบิดปรมาณู สู่ศูนย์กลางของควอนตัมแห่งอนาคต

    ย้อนกลับไปในปี 1945 นิวเม็กซิโกคือสถานที่ที่โลกได้เห็นการทดสอบระเบิดปรมาณูครั้งแรก แต่ในปี 2025 รัฐนี้กำลังเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการลงทุนกว่า 315 ล้านดอลลาร์เพื่อผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมให้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ

    ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ที่รวมถึงการสร้างเครือข่ายควอนตัม, สนับสนุนบริษัทเอกชน, และตั้ง venture studio เพื่อเร่งการพัฒนาและการค้าเทคโนโลยีควอนตัม โดยมี Roadrunner Venture Studios เป็นหัวหอกในการจับคู่ระหว่างนักวิทยาศาสตร์และผู้ประกอบการ

    เงินทุนนี้มาจากหลายแหล่ง: 185 ล้านจากกองทุนความมั่งคั่งของรัฐ, 60 ล้านจาก DARPA และอีก 60 ล้านจากรัฐเพื่อสนับสนุนโครงการที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ทำให้นิวเม็กซิโกกลายเป็น launchpad สำหรับบริษัทควอนตัมรุ่นใหม่

    โครงการนี้จะสร้าง quantum campus ใน Albuquerque ที่มีทั้ง quantum testbed, dilution refrigerators, rapid prototyping center และ multi-node quantum network ซึ่งจะเชื่อมโยงห้องแล็บและธุรกิจเข้าด้วยกัน

    การลงทุนของรัฐนิวเม็กซิโกในควอนตัม
    รวมมูลค่า 315 ล้านดอลลาร์จากรัฐ, DARPA และกองทุนเอกชน
    185 ล้านจาก sovereign wealth fund เพื่อสนับสนุน VC ที่ลงทุนในบริษัทควอนตัม
    60 ล้านจาก DARPA และรัฐเพื่อคัดกรองโครงการที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์
    25 ล้านสำหรับการจับคู่นักวิทยาศาสตร์กับผู้ประกอบการ

    โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังสร้าง
    quantum campus ใน Albuquerque Innovation District
    มี quantum testbed, dilution refrigerators, packaging facility และ rapid prototyping center
    เชื่อมโยงผ่าน multi-node quantum network เพื่อรองรับการทดลองและการค้า

    บทบาทของ Roadrunner Venture Studios
    นำทีมสร้าง venture studio สำหรับควอนตัมโดยเฉพาะ
    เปิดโปรแกรม “Founder-in-Residence” เพื่อดึงผู้ประกอบการระดับประเทศ
    ร่วมมือกับ Sandia, Los Alamos, QuEra, Qunnect, Resonance และมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก
    ตั้งเป้าให้ Albuquerque เป็น launchpad สำหรับบริษัทควอนตัมระดับโลก

    เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
    ทำให้นิวเม็กซิโกเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมในสหรัฐฯ
    สนับสนุนการเปลี่ยนจาก “ผู้นำด้านวิทยาศาสตร์” สู่ “ผู้นำด้านการใช้งานจริง”
    สร้างงานที่มีรายได้สูงและโอกาสทางเศรษฐกิจระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/02/new-mexico-to-invest-315-million-in-quantum-computing-drive
    🎙️ เรื่องเล่าจากนิวเม็กซิโก: จากจุดเริ่มต้นของระเบิดปรมาณู สู่ศูนย์กลางของควอนตัมแห่งอนาคต ย้อนกลับไปในปี 1945 นิวเม็กซิโกคือสถานที่ที่โลกได้เห็นการทดสอบระเบิดปรมาณูครั้งแรก แต่ในปี 2025 รัฐนี้กำลังเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการลงทุนกว่า 315 ล้านดอลลาร์เพื่อผลักดันเทคโนโลยีควอนตัมให้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานระดับชาติ ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ที่รวมถึงการสร้างเครือข่ายควอนตัม, สนับสนุนบริษัทเอกชน, และตั้ง venture studio เพื่อเร่งการพัฒนาและการค้าเทคโนโลยีควอนตัม โดยมี Roadrunner Venture Studios เป็นหัวหอกในการจับคู่ระหว่างนักวิทยาศาสตร์และผู้ประกอบการ เงินทุนนี้มาจากหลายแหล่ง: 185 ล้านจากกองทุนความมั่งคั่งของรัฐ, 60 ล้านจาก DARPA และอีก 60 ล้านจากรัฐเพื่อสนับสนุนโครงการที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายชัดเจน—ทำให้นิวเม็กซิโกกลายเป็น launchpad สำหรับบริษัทควอนตัมรุ่นใหม่ โครงการนี้จะสร้าง quantum campus ใน Albuquerque ที่มีทั้ง quantum testbed, dilution refrigerators, rapid prototyping center และ multi-node quantum network ซึ่งจะเชื่อมโยงห้องแล็บและธุรกิจเข้าด้วยกัน ✅ การลงทุนของรัฐนิวเม็กซิโกในควอนตัม ➡️ รวมมูลค่า 315 ล้านดอลลาร์จากรัฐ, DARPA และกองทุนเอกชน ➡️ 185 ล้านจาก sovereign wealth fund เพื่อสนับสนุน VC ที่ลงทุนในบริษัทควอนตัม ➡️ 60 ล้านจาก DARPA และรัฐเพื่อคัดกรองโครงการที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ ➡️ 25 ล้านสำหรับการจับคู่นักวิทยาศาสตร์กับผู้ประกอบการ ✅ โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังสร้าง ➡️ quantum campus ใน Albuquerque Innovation District ➡️ มี quantum testbed, dilution refrigerators, packaging facility และ rapid prototyping center ➡️ เชื่อมโยงผ่าน multi-node quantum network เพื่อรองรับการทดลองและการค้า ✅ บทบาทของ Roadrunner Venture Studios ➡️ นำทีมสร้าง venture studio สำหรับควอนตัมโดยเฉพาะ ➡️ เปิดโปรแกรม “Founder-in-Residence” เพื่อดึงผู้ประกอบการระดับประเทศ ➡️ ร่วมมือกับ Sandia, Los Alamos, QuEra, Qunnect, Resonance และมหาวิทยาลัยนิวเม็กซิโก ➡️ ตั้งเป้าให้ Albuquerque เป็น launchpad สำหรับบริษัทควอนตัมระดับโลก ✅ เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ทำให้นิวเม็กซิโกเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมในสหรัฐฯ ➡️ สนับสนุนการเปลี่ยนจาก “ผู้นำด้านวิทยาศาสตร์” สู่ “ผู้นำด้านการใช้งานจริง” ➡️ สร้างงานที่มีรายได้สูงและโอกาสทางเศรษฐกิจระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/02/new-mexico-to-invest-315-million-in-quantum-computing-drive
    WWW.THESTAR.COM.MY
    New Mexico to invest $315 million in quantum computing drive
    SAN FRANCISCO (Reuters) -New Mexico, site of the world's first atomic bomb tests, on Tuesday plans to invest $315 million in a bid to become a leader in another potentially era-defining technology: quantum computing.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม่ทัพภาค2ปฏิบัติเพื่ออธิปไตยชาติ.

    แม่ทัพภาค1ไม่ปฏิบัติการถีบเขมรออกจริงจนประชาชนคนไทยเรียกร้องถึงบ้านหนองจาน,บวกประกาศกฎอัยการศึกใส่คนไทบตนอีกกว่าปะทะเขมร,เป็นวลีที่บัดสบมาก,ทหารตอนนี้ต้องถีบเขมรออกทันทีได้แล้วเพราะอัยการศึกใช้จริงแล้ว จับคนเขมรทันทีด้วยหากยังอยู่แผ่นดินไทย,เสาหมุดปักเขตแดนชัดเจนที่1:1แล้ว,ยึด1:50,000เหมือนภาค2สร้างโมเดลไว้,หากภาค1ยังร่วมอ้าง1:200,000คืออ้อมเอาmou43,44ขึ้นอ้างหรือหยุดยิง ถือว่าภาค1เป็นปฏิปักษ์เสียเองต่อความมั่นคงทางดินแดนอธิปไตยไทยตน,และจริงๆแม่ทัพภาค1ต้องถูกตัดสิทธิขึ้น5เสือด้วยหรือรอขึ้น ผบ.ทบ.สูงสุด,เพราะยุทธการ ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ทางทหาร การสงครามกับศัตรูถือว่าสอบตกอย่างร้ายแรง ทำเสียพื้นที่ดินแดนไทยตนเองบนเขตหน้าที่ตนเองด้วย ไร้เสียปืนสักแอะ อ.วีระ แฉอีก ยิ่งมีสมควรขึ้น ผบ.ทบ.ชัดเจน แม้ใครใหญ่ขนาดไหนสั่งตน เมื่อตนรักชาติรักแผ่นดินเอาแผ่นดินไทยมาก่อน จะเร่งรีบถีบเขมรออกไปทันทีเมื่อมีโอกาสแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่นี้เสือกเวลาโคตรมากมายกว่าจังหวะใดๆที่เคยมีมาก 24-28 ก.ค.68 มันน้อยวันที่ไหน มีนักวิชาการบ้างคนเอาอีสานใต้มาปนภาคตะวันออกให้เหมือนดูว่า ถ้าให้เวลามากกว่านี้ภาคตะวันออกจะถีบคนเขมรออกจากแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดทันทีโน้น, อ.วีระด่าได้ชัด เสียงปืนนัดหนึ่งยังไม่เกิดเลย,บวกแฉต่อว่านายใหญ่โทรเคลียร์แล้วโน้น อย่ายิงใส่กันประมาณนั้น,จึงน่าสงสารแม่ทัพภาค2เรามาก,เสมือนภาค1เป็นปฏิปักษ์ต่ออธิปไตยตนชัดเจนรวมไอ้เหี้ยที่โทรเคลียร์กันนั้นด้วย,เรามีทหารที่ทรยศเต็มพื้นที่มากเกินไป,การจัดโผทหารนี้ไม่ชอบต่อกองทัพ เล่นพรรคเล่นพรรคไม่ต่างจากพรรคการเมือง,ภาค2สู้เป็นสู้ตายเพื่อบ้านเมือง,ภาค1ไม่สู้ห่าอะไรเลยบวก อ.วีระแฉอีก สมเหตุมาก,โผทหารต้องเอารายชื่อคนภาค1ออกทั้งหมดลดอำนาจควบคุมกองทัพภาคทันทีหรือส่วนกลางด้วย,ห้ามเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจทางทหารทั้งหมดเพราะ เรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจคนเดอะแก๊งภาค1ทั้งหมดในเวลานี้,ประกอบกับภาคตะวันออกถือว่าเป็นเขตอันตรายสูงสุดทันที ต้องให้แม่ทัพภาคอื่นๆกระจายกำลังผสมตนเข้ามาควบคุมอำนาจบัญชาการทั้งหมดทันที,หากเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจในส่วนกลางแบบอ้างว่ามีกำลังภายในปฏิวัติทุกๆครั้งก็เร่งรีบสลายกำลังภายในนั้นเลย,อาจรวมหัวกับciaตลอดการปฏิวัติทุกๆครั้งในอดีตที่ผ่านมาก็ด้วยบนอำนาจสั่งการตนที่ถือมายาวนานในอดีต,
    ..เอาจริงๆนะบ้านเมืองจะรอดภัยพิบัติจริงต้องถีบเดอะแก๊งภาค1ออกจากอำนาจกองทัพทั้งหมด,ลดกำลังลง โผทหารต้องตัดคนเดอะแก๊งภาค1ออกไปทั้งหมด,ถ้าเดอะแก๊งภาค1เชื่อว่าตนบริสุทธิ์จะพิสูจน์ความจริงใจนี้ต่อประชาชน ก็จงนั่งเฉยๆโดยไร้อำนาจสักปีสองปีดูได้,ค่าจริงประชาชนคนไทยจะเข้าใจชัดเจนแน่นอน,ว่าเดอะแก๊งท่านๆไม่เป็นปฏิปักษ์จริงต่ออธิปไตนตนนั้นเสียเองจริงๆ.โผทหารใหม่สามารถนำมาคืนอำนาจบัญชาการได้และอาจใหญ่โตกว่าในอดีตที่หมายจะเป็นจะได้อีก.,เพราะเดอะแก๊งดีๆย่อมได้รับสิ่งดีๆกลับคืน,ตอบแทนคุณความดีงามนั้นคืนยิ่งกว่าเดิม.
    ..แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจเดอะแก๊งภาค1บูรพาพยัคฆ์เลย,ผลงานบ้านหนองจานคือเครื่องพิสูจน์ตัวตนชัดแจ้งแล้ว,ชาติไทยมาก่อน ประเทศชาติไทยมาก่อนหรือผลประโยชน์ร่วมกันกับเขมรมาก่อนบนหน้าที่ของตนที่แบกไว้อย่างชัดเจนตำตาคนไทยทั้งประเทศด้วย,แต่ไร้บทลงโทษทางวินัยหรืออาญาทางทหารเลย,เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆ,แม่ทัพหนีสนามรบโทษเช่นไร,แม่ทัพปีกขวาสู้รบเอาเป็นเอาตายแต่แม่ทัพปีกซ้ายนิ่งยืนดูเฉยๆบนสนามสมรภูมิรบตลอดแนวหน้าทัพตนมีโทษสถานใด,สมควรเลื่อนยศเลื่อนเก้าอี้ตำแหน่งเป็นอันมากใช่หรือไม่,เช่นนั้นใครที่ตัดสินใจอนุญาตเสนอทั้งชื่อบรรจุตำแหน่งเลื่อนยศก็อย่าอยู่ทำหน้าที่นั้นๆเลย,กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ,ส้นตีนยังไม่รู้ดีชั่วถูกผิดขนาดนั้น,เพราะกองทัพไทยเราไม่สมควรบัดสบแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว คนเช่นนี้หนักแผ่นดินหนักกองทัพไทยเราด้วย,อยากมีเงินมีทองมากมายก็ลาออกจากชุดทหารเถอะ อย่าเอาชาติไทยตนเองมาย่ำยี่เล่นๆแบบนี้,อย่าเอาชุดทหารอันทรงเกียรติประเทศไทยตนไปก่อชั่วทำเลวเลย.

    https://youtube.com/watch?v=ZZBuMnC_Iyo&si=N0QN7HtDa7KdCp5a
    แม่ทัพภาค2ปฏิบัติเพื่ออธิปไตยชาติ. แม่ทัพภาค1ไม่ปฏิบัติการถีบเขมรออกจริงจนประชาชนคนไทยเรียกร้องถึงบ้านหนองจาน,บวกประกาศกฎอัยการศึกใส่คนไทบตนอีกกว่าปะทะเขมร,เป็นวลีที่บัดสบมาก,ทหารตอนนี้ต้องถีบเขมรออกทันทีได้แล้วเพราะอัยการศึกใช้จริงแล้ว จับคนเขมรทันทีด้วยหากยังอยู่แผ่นดินไทย,เสาหมุดปักเขตแดนชัดเจนที่1:1แล้ว,ยึด1:50,000เหมือนภาค2สร้างโมเดลไว้,หากภาค1ยังร่วมอ้าง1:200,000คืออ้อมเอาmou43,44ขึ้นอ้างหรือหยุดยิง ถือว่าภาค1เป็นปฏิปักษ์เสียเองต่อความมั่นคงทางดินแดนอธิปไตยไทยตน,และจริงๆแม่ทัพภาค1ต้องถูกตัดสิทธิขึ้น5เสือด้วยหรือรอขึ้น ผบ.ทบ.สูงสุด,เพราะยุทธการ ยุทธวิธี ยุทธศาสตร์ทางทหาร การสงครามกับศัตรูถือว่าสอบตกอย่างร้ายแรง ทำเสียพื้นที่ดินแดนไทยตนเองบนเขตหน้าที่ตนเองด้วย ไร้เสียปืนสักแอะ อ.วีระ แฉอีก ยิ่งมีสมควรขึ้น ผบ.ทบ.ชัดเจน แม้ใครใหญ่ขนาดไหนสั่งตน เมื่อตนรักชาติรักแผ่นดินเอาแผ่นดินไทยมาก่อน จะเร่งรีบถีบเขมรออกไปทันทีเมื่อมีโอกาสแม้เพียงน้อยนิดก็ตาม แต่นี้เสือกเวลาโคตรมากมายกว่าจังหวะใดๆที่เคยมีมาก 24-28 ก.ค.68 มันน้อยวันที่ไหน มีนักวิชาการบ้างคนเอาอีสานใต้มาปนภาคตะวันออกให้เหมือนดูว่า ถ้าให้เวลามากกว่านี้ภาคตะวันออกจะถีบคนเขมรออกจากแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดทันทีโน้น, อ.วีระด่าได้ชัด เสียงปืนนัดหนึ่งยังไม่เกิดเลย,บวกแฉต่อว่านายใหญ่โทรเคลียร์แล้วโน้น อย่ายิงใส่กันประมาณนั้น,จึงน่าสงสารแม่ทัพภาค2เรามาก,เสมือนภาค1เป็นปฏิปักษ์ต่ออธิปไตยตนชัดเจนรวมไอ้เหี้ยที่โทรเคลียร์กันนั้นด้วย,เรามีทหารที่ทรยศเต็มพื้นที่มากเกินไป,การจัดโผทหารนี้ไม่ชอบต่อกองทัพ เล่นพรรคเล่นพรรคไม่ต่างจากพรรคการเมือง,ภาค2สู้เป็นสู้ตายเพื่อบ้านเมือง,ภาค1ไม่สู้ห่าอะไรเลยบวก อ.วีระแฉอีก สมเหตุมาก,โผทหารต้องเอารายชื่อคนภาค1ออกทั้งหมดลดอำนาจควบคุมกองทัพภาคทันทีหรือส่วนกลางด้วย,ห้ามเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจทางทหารทั้งหมดเพราะ เรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจคนเดอะแก๊งภาค1ทั้งหมดในเวลานี้,ประกอบกับภาคตะวันออกถือว่าเป็นเขตอันตรายสูงสุดทันที ต้องให้แม่ทัพภาคอื่นๆกระจายกำลังผสมตนเข้ามาควบคุมอำนาจบัญชาการทั้งหมดทันที,หากเดอะแก๊งภาค1มีอำนาจในส่วนกลางแบบอ้างว่ามีกำลังภายในปฏิวัติทุกๆครั้งก็เร่งรีบสลายกำลังภายในนั้นเลย,อาจรวมหัวกับciaตลอดการปฏิวัติทุกๆครั้งในอดีตที่ผ่านมาก็ด้วยบนอำนาจสั่งการตนที่ถือมายาวนานในอดีต, ..เอาจริงๆนะบ้านเมืองจะรอดภัยพิบัติจริงต้องถีบเดอะแก๊งภาค1ออกจากอำนาจกองทัพทั้งหมด,ลดกำลังลง โผทหารต้องตัดคนเดอะแก๊งภาค1ออกไปทั้งหมด,ถ้าเดอะแก๊งภาค1เชื่อว่าตนบริสุทธิ์จะพิสูจน์ความจริงใจนี้ต่อประชาชน ก็จงนั่งเฉยๆโดยไร้อำนาจสักปีสองปีดูได้,ค่าจริงประชาชนคนไทยจะเข้าใจชัดเจนแน่นอน,ว่าเดอะแก๊งท่านๆไม่เป็นปฏิปักษ์จริงต่ออธิปไตนตนนั้นเสียเองจริงๆ.โผทหารใหม่สามารถนำมาคืนอำนาจบัญชาการได้และอาจใหญ่โตกว่าในอดีตที่หมายจะเป็นจะได้อีก.,เพราะเดอะแก๊งดีๆย่อมได้รับสิ่งดีๆกลับคืน,ตอบแทนคุณความดีงามนั้นคืนยิ่งกว่าเดิม. ..แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเรา..ประชาชนไม่ไว้วางใจเดอะแก๊งภาค1บูรพาพยัคฆ์เลย,ผลงานบ้านหนองจานคือเครื่องพิสูจน์ตัวตนชัดแจ้งแล้ว,ชาติไทยมาก่อน ประเทศชาติไทยมาก่อนหรือผลประโยชน์ร่วมกันกับเขมรมาก่อนบนหน้าที่ของตนที่แบกไว้อย่างชัดเจนตำตาคนไทยทั้งประเทศด้วย,แต่ไร้บทลงโทษทางวินัยหรืออาญาทางทหารเลย,เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีมากๆ,แม่ทัพหนีสนามรบโทษเช่นไร,แม่ทัพปีกขวาสู้รบเอาเป็นเอาตายแต่แม่ทัพปีกซ้ายนิ่งยืนดูเฉยๆบนสนามสมรภูมิรบตลอดแนวหน้าทัพตนมีโทษสถานใด,สมควรเลื่อนยศเลื่อนเก้าอี้ตำแหน่งเป็นอันมากใช่หรือไม่,เช่นนั้นใครที่ตัดสินใจอนุญาตเสนอทั้งชื่อบรรจุตำแหน่งเลื่อนยศก็อย่าอยู่ทำหน้าที่นั้นๆเลย,กลับไปเลี้ยงหลานเถอะ,ส้นตีนยังไม่รู้ดีชั่วถูกผิดขนาดนั้น,เพราะกองทัพไทยเราไม่สมควรบัดสบแบบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว คนเช่นนี้หนักแผ่นดินหนักกองทัพไทยเราด้วย,อยากมีเงินมีทองมากมายก็ลาออกจากชุดทหารเถอะ อย่าเอาชาติไทยตนเองมาย่ำยี่เล่นๆแบบนี้,อย่าเอาชุดทหารอันทรงเกียรติประเทศไทยตนไปก่อชั่วทำเลวเลย. https://youtube.com/watch?v=ZZBuMnC_Iyo&si=N0QN7HtDa7KdCp5a
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 1
    อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific
    สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ
    อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน
    – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง
    – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ
    – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่
    – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา !
    แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว)
    ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ
    ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู

    คนเล่านิทาน
    ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 1 อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่ – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา ! แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว) ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 1
    International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !)
    ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ !
    เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง
    อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น
    พี่เบิ้ม
    เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ
    เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก
    ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า
    เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่
    ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century
    เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้
    ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร
    มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก
    ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน
    เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง
    นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น
    แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 1 International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !) ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ ! เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น พี่เบิ้ม เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่ ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    บทส่งท้าย
    ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว
    ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้
    ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย
    เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ
    แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” บทส่งท้าย ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้ ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2)
    ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน
    อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง
    – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก
    – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ
    – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา
    กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้
    โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย !
    อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2) ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้ โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย ! อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีศุลกากรซึ่งจัดเก็บเอากับสินค้าเข้าของอินเดียอีกเท่าตัวจนอยู่ในระดับสูงลิ่วถึง 50% เริ่มมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันพุธ (27 ส.ค.) ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนี้ที่ต่างถือเป็นระบอบปกครองประชาธิปไตยรายยักษ์ใหญ่ของโลก อีกทั้งถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ยิ่งบานปลายขยายตัว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000082040

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    มาตรการของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีศุลกากรซึ่งจัดเก็บเอากับสินค้าเข้าของอินเดียอีกเท่าตัวจนอยู่ในระดับสูงลิ่วถึง 50% เริ่มมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันพุธ (27 ส.ค.) ทำให้ความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนี้ที่ต่างถือเป็นระบอบปกครองประชาธิปไตยรายยักษ์ใหญ่ของโลก อีกทั้งถือเป็นหุ้นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ยิ่งบานปลายขยายตัว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000082040 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 731 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปี54 ก่อนปี57ไม่กี่ปีในการจัด,ตกแต่งขบวนการสร้างเหตุให้ก่อกำเนิดเดอะแก๊งกปปส.ขึ้น สู่ยุทธศาสตร์แดกแผ่นดิน20ปีขึ้น,ปี57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 แค่12ปี เขมรยึดพื้นที่11จุด ไม่รวมบ้านหนองจาน อีสานใต้เพียวๆ กว่าจะถึง20ปี จะขนาดไหน.

    https://youtube.com/shorts/4srnk8vttZo?si=Y1MkE2vcJXDu_vkB
    ปี54 ก่อนปี57ไม่กี่ปีในการจัด,ตกแต่งขบวนการสร้างเหตุให้ก่อกำเนิดเดอะแก๊งกปปส.ขึ้น สู่ยุทธศาสตร์แดกแผ่นดิน20ปีขึ้น,ปี57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 แค่12ปี เขมรยึดพื้นที่11จุด ไม่รวมบ้านหนองจาน อีสานใต้เพียวๆ กว่าจะถึง20ปี จะขนาดไหน. https://youtube.com/shorts/4srnk8vttZo?si=Y1MkE2vcJXDu_vkB
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • Clearwater Forest — ซีพียูที่ Intel หวังใช้พลิกเกมในยุคเซิร์ฟเวอร์หลายร้อยคอร์

    ในงาน Hot Chips 2025 Intel ได้เปิดตัว “Clearwater Forest” ซึ่งเป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core (Efficiency Core) จำนวนสูงสุดถึง 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ “Darkmont” ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ต้องการการประมวลผลแบบขนานจำนวนมาก เช่น cloud-native, edge computing และ AI inference

    Clearwater Forest ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ backside power delivery และ gate-all-around transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน โดยมีการจัดวางแบบ 3D chiplet ด้วยเทคโนโลยี Foveros Direct และ EMIB ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างแน่นหนาและมีประสิทธิภาพ

    ในแพ็กเกจขนาดใหญ่ของซีพียูนี้ ประกอบด้วย 12 compute chiplets บน Intel 18A, 3 base tiles บน Intel 3 และ 2 I/O tiles บน Intel 7 โดยแต่ละกลุ่มคอร์ 4 คอร์จะใช้ L2 cache ขนาด 4MB และเชื่อมต่อกันด้วย fabric ความเร็วสูง ส่วน last-level cache รวมกันมากกว่า 1,152MB

    Intel ยืนยันว่า Clearwater Forest จะสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้ โดยรองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่องต่อซ็อกเก็ต และสามารถใช้งานแบบสองซ็อกเก็ตรวมกันได้ถึง 576 คอร์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Clearwater Forest เป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core สูงสุด 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต
    ใช้สถาปัตยกรรม “Darkmont” ที่มี front-end กว้างขึ้นและ out-of-order engine ที่ลึกขึ้น
    ใช้เทคโนโลยีการผลิต Intel 18A พร้อม backside power และ gate-all-around
    จัดวางแบบ 3D chiplet ด้วย Foveros Direct และ EMIB
    ประกอบด้วย 12 compute chiplets (18A), 3 base tiles (Intel 3), และ 2 I/O tiles (Intel 7)
    มี L2 cache ขนาด 4MB ต่อกลุ่ม 4 คอร์ และ last-level cache รวมกว่า 1,152MB
    รองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่อง
    ใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้
    รองรับการใช้งานแบบสองซ็อกเก็ต รวมได้ถึง 576 คอร์
    เหมาะสำหรับงาน cloud-native, edge computing และ AI inference

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Darkmont เป็นรุ่นต่อยอดจาก Crestmont และ Sierra Glen โดยเพิ่ม execution port และ bandwidth
    Intel 18A เป็นกระบวนการที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานและความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์
    Foveros Direct ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง chiplet มี latency ต่ำและประหยัดพลังงาน
    EMIB เป็นเทคโนโลยี interconnect ที่ใช้เชื่อม die ต่างชนิดกันในแพ็กเกจเดียว
    การใช้ E-core ล้วนช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มจำนวนคอร์ในพื้นที่จำกัด
    Clearwater Forest เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Xeon 6 ที่แบ่งเป็น P-core (Diamond Rapids) และ E-core (Clearwater Forest)

    https://www.techpowerup.com/340299/intel-details-clearwater-forest-xeon-with-288-e-cores-on-18a-process
    🎙️ Clearwater Forest — ซีพียูที่ Intel หวังใช้พลิกเกมในยุคเซิร์ฟเวอร์หลายร้อยคอร์ ในงาน Hot Chips 2025 Intel ได้เปิดตัว “Clearwater Forest” ซึ่งเป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core (Efficiency Core) จำนวนสูงสุดถึง 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต โดยใช้สถาปัตยกรรมใหม่ชื่อ “Darkmont” ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ต้องการการประมวลผลแบบขนานจำนวนมาก เช่น cloud-native, edge computing และ AI inference Clearwater Forest ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ backside power delivery และ gate-all-around transistor เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน โดยมีการจัดวางแบบ 3D chiplet ด้วยเทคโนโลยี Foveros Direct และ EMIB ที่ช่วยให้สามารถเชื่อมต่อชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างแน่นหนาและมีประสิทธิภาพ ในแพ็กเกจขนาดใหญ่ของซีพียูนี้ ประกอบด้วย 12 compute chiplets บน Intel 18A, 3 base tiles บน Intel 3 และ 2 I/O tiles บน Intel 7 โดยแต่ละกลุ่มคอร์ 4 คอร์จะใช้ L2 cache ขนาด 4MB และเชื่อมต่อกันด้วย fabric ความเร็วสูง ส่วน last-level cache รวมกันมากกว่า 1,152MB Intel ยืนยันว่า Clearwater Forest จะสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้ โดยรองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่องต่อซ็อกเก็ต และสามารถใช้งานแบบสองซ็อกเก็ตรวมกันได้ถึง 576 คอร์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Clearwater Forest เป็นซีพียู Xeon รุ่นใหม่ที่ใช้เฉพาะ E-core สูงสุด 288 คอร์ต่อซ็อกเก็ต ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม “Darkmont” ที่มี front-end กว้างขึ้นและ out-of-order engine ที่ลึกขึ้น ➡️ ใช้เทคโนโลยีการผลิต Intel 18A พร้อม backside power และ gate-all-around ➡️ จัดวางแบบ 3D chiplet ด้วย Foveros Direct และ EMIB ➡️ ประกอบด้วย 12 compute chiplets (18A), 3 base tiles (Intel 3), และ 2 I/O tiles (Intel 7) ➡️ มี L2 cache ขนาด 4MB ต่อกลุ่ม 4 คอร์ และ last-level cache รวมกว่า 1,152MB ➡️ รองรับ DDR5-8000, PCIe และ CXL พร้อมช่องหน่วยความจำ 12 ช่อง ➡️ ใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์ม Xeon 69xxE/P เดิมได้ ➡️ รองรับการใช้งานแบบสองซ็อกเก็ต รวมได้ถึง 576 คอร์ ➡️ เหมาะสำหรับงาน cloud-native, edge computing และ AI inference ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Darkmont เป็นรุ่นต่อยอดจาก Crestmont และ Sierra Glen โดยเพิ่ม execution port และ bandwidth ➡️ Intel 18A เป็นกระบวนการที่เน้นประสิทธิภาพพลังงานและความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ ➡️ Foveros Direct ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง chiplet มี latency ต่ำและประหยัดพลังงาน ➡️ EMIB เป็นเทคโนโลยี interconnect ที่ใช้เชื่อม die ต่างชนิดกันในแพ็กเกจเดียว ➡️ การใช้ E-core ล้วนช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มจำนวนคอร์ในพื้นที่จำกัด ➡️ Clearwater Forest เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Xeon 6 ที่แบ่งเป็น P-core (Diamond Rapids) และ E-core (Clearwater Forest) https://www.techpowerup.com/340299/intel-details-clearwater-forest-xeon-with-288-e-cores-on-18a-process
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Details "Clearwater Forest" Xeon with 288 E-Cores on 18A Process
    Intel used Hot Chips to pull back the curtain on "Clearwater Forest", its next-generation E-core Xeon. The company has paired major architectural upgrades with its newest 18A process and advanced 3D Foveros packaging paired with EMIB. The chip replaces "Sierra Forest" and is built around the new "Da...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • UltraRAM — หน่วยความจำแห่งอนาคตที่อาจเปลี่ยนโลกดิจิทัลไปตลอดกาล

    ลองจินตนาการถึงหน่วยความจำที่เร็วเท่า DRAM แต่เก็บข้อมูลได้ยาวนานกว่าพันปี และทนทานกว่านานด์แฟลชถึง 4,000 เท่า — นั่นคือ UltraRAM ที่กำลังจะกลายเป็นจริง

    เทคโนโลยีนี้เริ่มต้นจากงานวิจัยในมหาวิทยาลัย Lancaster และพัฒนาโดยบริษัท Quinas Technology ซึ่งร่วมมือกับ IQE plc ผู้เชี่ยวชาญด้านเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสร้างกระบวนการผลิตแบบ epitaxy ด้วยวัสดุแปลกใหม่อย่าง gallium antimonide และ aluminum antimonide ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมสำหรับหน่วยความจำ

    UltraRAM ใช้หลักการ quantum resonant tunneling ในการสลับสถานะข้อมูล ซึ่งใช้พลังงานต่ำมาก (ต่ำกว่า 1 femtojoule) และสามารถสลับสถานะได้ในเวลาเพียง 100 นาโนวินาที ทำให้มันเป็นหน่วยความจำที่มีศักยภาพจะรวมข้อดีของ DRAM และ NAND ไว้ในชิ้นเดียว

    หลังจากการทดสอบต้นแบบในปี 2023 ตอนนี้ UltraRAM ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมผลิตในปริมาณมาก โดยมีแผนจะร่วมมือกับโรงงานผลิตชิปและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่ตลาดจริง

    หากประสบความสำเร็จ UltraRAM อาจกลายเป็น “หน่วยความจำสากล” ที่ใช้ได้ทั้งในอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลและระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile อีกต่อไป

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    UltraRAM เป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ที่รวมข้อดีของ DRAM และ NAND
    มีความเร็วระดับ DRAM, ความทนทานสูงกว่า NAND 4,000 เท่า และเก็บข้อมูลได้นานถึง 1,000 ปี
    ใช้พลังงานต่ำมากในการสลับสถานะข้อมูล (<1 femtojoule) และทำงานเร็ว (100 ns)
    พัฒนาโดย Quinas Technology ร่วมกับ IQE plc และมหาวิทยาลัย Lancaster
    ใช้วัสดุ gallium antimonide และ aluminum antimonide ในกระบวนการ epitaxy
    กระบวนการ epitaxy ที่พัฒนาได้ถูกยกระดับเป็นระดับอุตสาหกรรมแล้ว
    UltraRAM ได้รับรางวัลจาก WIPO และ Flash Memory Summit ในปี 2025
    มีแผนเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ร่วมกับโรงงานและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
    เป้าหมายคือการสร้าง “หน่วยความจำสากล” สำหรับทุกอุปกรณ์ดิจิทัล
    โครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษในการสร้างอธิปไตยด้านเซมิคอนดักเตอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DRAM ต้องใช้พลังงานในการรีเฟรชข้อมูลตลอดเวลา ขณะที่ UltraRAM ไม่ต้องรีเฟรช
    NAND มีข้อจำกัดด้านความเร็วและความทนทานในการเขียนข้อมูลซ้ำ
    Quantum resonant tunneling เป็นหลักการที่ใช้ใน UltraRAM ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้ในหน่วยความจำเชิงพาณิชย์มาก่อน
    หาก UltraRAM เข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ อาจลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอย่างมหาศาล
    การรวมหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile จะช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบคอมพิวเตอร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/ultraram-scaled-for-volume-production-memory-that-promises-dram-like-speeds-4-000x-the-durability-of-nand-and-data-retention-for-up-to-a-thousand-years-is-now-ready-for-manufacturing
    🎙️ UltraRAM — หน่วยความจำแห่งอนาคตที่อาจเปลี่ยนโลกดิจิทัลไปตลอดกาล ลองจินตนาการถึงหน่วยความจำที่เร็วเท่า DRAM แต่เก็บข้อมูลได้ยาวนานกว่าพันปี และทนทานกว่านานด์แฟลชถึง 4,000 เท่า — นั่นคือ UltraRAM ที่กำลังจะกลายเป็นจริง เทคโนโลยีนี้เริ่มต้นจากงานวิจัยในมหาวิทยาลัย Lancaster และพัฒนาโดยบริษัท Quinas Technology ซึ่งร่วมมือกับ IQE plc ผู้เชี่ยวชาญด้านเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์ เพื่อสร้างกระบวนการผลิตแบบ epitaxy ด้วยวัสดุแปลกใหม่อย่าง gallium antimonide และ aluminum antimonide ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถนำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมสำหรับหน่วยความจำ UltraRAM ใช้หลักการ quantum resonant tunneling ในการสลับสถานะข้อมูล ซึ่งใช้พลังงานต่ำมาก (ต่ำกว่า 1 femtojoule) และสามารถสลับสถานะได้ในเวลาเพียง 100 นาโนวินาที ทำให้มันเป็นหน่วยความจำที่มีศักยภาพจะรวมข้อดีของ DRAM และ NAND ไว้ในชิ้นเดียว หลังจากการทดสอบต้นแบบในปี 2023 ตอนนี้ UltraRAM ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมผลิตในปริมาณมาก โดยมีแผนจะร่วมมือกับโรงงานผลิตชิปและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่ตลาดจริง หากประสบความสำเร็จ UltraRAM อาจกลายเป็น “หน่วยความจำสากล” ที่ใช้ได้ทั้งในอุปกรณ์ IoT สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลและระบบ AI ขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องแยกหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile อีกต่อไป 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ UltraRAM เป็นเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่ที่รวมข้อดีของ DRAM และ NAND ➡️ มีความเร็วระดับ DRAM, ความทนทานสูงกว่า NAND 4,000 เท่า และเก็บข้อมูลได้นานถึง 1,000 ปี ➡️ ใช้พลังงานต่ำมากในการสลับสถานะข้อมูล (<1 femtojoule) และทำงานเร็ว (100 ns) ➡️ พัฒนาโดย Quinas Technology ร่วมกับ IQE plc และมหาวิทยาลัย Lancaster ➡️ ใช้วัสดุ gallium antimonide และ aluminum antimonide ในกระบวนการ epitaxy ➡️ กระบวนการ epitaxy ที่พัฒนาได้ถูกยกระดับเป็นระดับอุตสาหกรรมแล้ว ➡️ UltraRAM ได้รับรางวัลจาก WIPO และ Flash Memory Summit ในปี 2025 ➡️ มีแผนเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ร่วมกับโรงงานและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ➡️ เป้าหมายคือการสร้าง “หน่วยความจำสากล” สำหรับทุกอุปกรณ์ดิจิทัล ➡️ โครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอังกฤษในการสร้างอธิปไตยด้านเซมิคอนดักเตอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DRAM ต้องใช้พลังงานในการรีเฟรชข้อมูลตลอดเวลา ขณะที่ UltraRAM ไม่ต้องรีเฟรช ➡️ NAND มีข้อจำกัดด้านความเร็วและความทนทานในการเขียนข้อมูลซ้ำ ➡️ Quantum resonant tunneling เป็นหลักการที่ใช้ใน UltraRAM ซึ่งยังไม่เคยถูกใช้ในหน่วยความจำเชิงพาณิชย์มาก่อน ➡️ หาก UltraRAM เข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ อาจลดการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอย่างมหาศาล ➡️ การรวมหน่วยความจำแบบ volatile และ non-volatile จะช่วยลดต้นทุนและความซับซ้อนของระบบคอมพิวเตอร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/ultraram-scaled-for-volume-production-memory-that-promises-dram-like-speeds-4-000x-the-durability-of-nand-and-data-retention-for-up-to-a-thousand-years-is-now-ready-for-manufacturing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • Humain กับภารกิจเปลี่ยนซาอุฯ ให้เป็นมหาอำนาจ AI ด้วยชิปจากสหรัฐฯ

    กลางปี 2025 ซาอุดีอาระเบียเปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อว่า “Humain” ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Public Investment Fund) โดยมีเป้าหมายชัดเจน: เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค

    Humain เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูล (data centers) ขนาดใหญ่ในสองเมืองหลักคือ ริยาดและดัมมาม โดยแต่ละแห่งจะมีความสามารถในการใช้พลังงานสูงถึง 100 เมกะวัตต์ และมีกำหนดเปิดใช้งานในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2026

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Humain เลือกใช้ชิป AI จากบริษัทสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD โดยได้รับอนุมัติให้นำเข้า “Blackwell” chips รุ่นล่าสุดจำนวน 18,000 ชิ้น ซึ่งถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างซาอุฯ กับสหรัฐฯ ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ

    นอกจากนี้ Humain ยังมีแผนขยายศูนย์ข้อมูลให้มีขนาดรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 และร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Qualcomm, Cisco และแม้แต่ xAI ของ Elon Musk เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์ของมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ที่ต้องการผลักดันประเทศให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน และเข้าสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตผ่าน “Vision 2030”

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Humain เป็นบริษัท AI ใหม่ของซาอุดีอาระเบีย เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2025
    เริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลในริยาดและดัมมาม กำหนดเปิดใช้งานต้นปี 2026
    แต่ละแห่งมีความสามารถเริ่มต้นที่ 100 เมกะวัตต์
    ใช้ชิป AI จากสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD
    ได้รับอนุมัติให้นำเข้า Blackwell chips จำนวน 18,000 ชิ้น
    มีแผนขยายศูนย์ข้อมูลรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030
    ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Qualcomm, Cisco และ xAI
    Humain อยู่ภายใต้การดูแลของกองทุน PIF และมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman
    เป้าหมายคือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI และโมเดลขั้นสูงในภูมิภาค
    การเปิดตัว Humain เกิดขึ้นพร้อมกับการเยือนของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีการตกลงมูลค่า 600 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Blackwell chips ของ NVIDIA เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่องานประมวลผลขนาดใหญ่ เช่น LLM และการฝึกโมเดล deep learning
    การใช้ชิปจากสหรัฐฯ สะท้อนถึงการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตกในช่วงเปลี่ยนผ่านของซาอุฯ
    Vision 2030 เป็นแผนยุทธศาสตร์ของซาอุฯ ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาน้ำมันและส่งเสริมเทคโนโลยี
    การลงทุนใน AI ยังรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากร 20,000 คนภายในปี 2030
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้ซาอุฯ มีอำนาจในการประมวลผลข้อมูลในระดับภูมิภาค

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/26/saudi039s-humain-to-launch-data-centers-with-us-chips-in-early-2026-bloomberg-news-reports
    🎙️ Humain กับภารกิจเปลี่ยนซาอุฯ ให้เป็นมหาอำนาจ AI ด้วยชิปจากสหรัฐฯ กลางปี 2025 ซาอุดีอาระเบียเปิดตัวบริษัทใหม่ชื่อว่า “Humain” ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Public Investment Fund) โดยมีเป้าหมายชัดเจน: เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์ของภูมิภาค Humain เริ่มต้นด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูล (data centers) ขนาดใหญ่ในสองเมืองหลักคือ ริยาดและดัมมาม โดยแต่ละแห่งจะมีความสามารถในการใช้พลังงานสูงถึง 100 เมกะวัตต์ และมีกำหนดเปิดใช้งานในช่วงไตรมาสที่สองของปี 2026 สิ่งที่น่าสนใจคือ Humain เลือกใช้ชิป AI จากบริษัทสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD โดยได้รับอนุมัติให้นำเข้า “Blackwell” chips รุ่นล่าสุดจำนวน 18,000 ชิ้น ซึ่งถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างซาอุฯ กับสหรัฐฯ ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ Humain ยังมีแผนขยายศูนย์ข้อมูลให้มีขนาดรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 และร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Qualcomm, Cisco และแม้แต่ xAI ของ Elon Musk เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เบื้องหลังทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์ของมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ที่ต้องการผลักดันประเทศให้พ้นจากการพึ่งพาน้ำมัน และเข้าสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตผ่าน “Vision 2030” 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Humain เป็นบริษัท AI ใหม่ของซาอุดีอาระเบีย เปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ เริ่มสร้างศูนย์ข้อมูลในริยาดและดัมมาม กำหนดเปิดใช้งานต้นปี 2026 ➡️ แต่ละแห่งมีความสามารถเริ่มต้นที่ 100 เมกะวัตต์ ➡️ ใช้ชิป AI จากสหรัฐฯ เช่น NVIDIA และ AMD ➡️ ได้รับอนุมัติให้นำเข้า Blackwell chips จำนวน 18,000 ชิ้น ➡️ มีแผนขยายศูนย์ข้อมูลรวมถึง 1.9 กิกะวัตต์ภายในปี 2030 ➡️ ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Qualcomm, Cisco และ xAI ➡️ Humain อยู่ภายใต้การดูแลของกองทุน PIF และมกุฎราชกุมาร Mohammed bin Salman ➡️ เป้าหมายคือสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI และโมเดลขั้นสูงในภูมิภาค ➡️ การเปิดตัว Humain เกิดขึ้นพร้อมกับการเยือนของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีการตกลงมูลค่า 600 พันล้านดอลลาร์กับบริษัทสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Blackwell chips ของ NVIDIA เป็นชิป AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่องานประมวลผลขนาดใหญ่ เช่น LLM และการฝึกโมเดล deep learning ➡️ การใช้ชิปจากสหรัฐฯ สะท้อนถึงการพึ่งพาเทคโนโลยีตะวันตกในช่วงเปลี่ยนผ่านของซาอุฯ ➡️ Vision 2030 เป็นแผนยุทธศาสตร์ของซาอุฯ ที่มุ่งเน้นการลดการพึ่งพาน้ำมันและส่งเสริมเทคโนโลยี ➡️ การลงทุนใน AI ยังรวมถึงการฝึกอบรมบุคลากร 20,000 คนภายในปี 2030 ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ช่วยให้ซาอุฯ มีอำนาจในการประมวลผลข้อมูลในระดับภูมิภาค https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/26/saudi039s-humain-to-launch-data-centers-with-us-chips-in-early-2026-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Saudi's Humain to launch data centers with US chips in early 2026, Bloomberg News reports
    (Reuters) -Humain, Saudi Arabia's new artificial intelligence company, has begun construction of its first data centers in the kingdom, and plans to bring them online in early 2026 using semiconductors imported from the U.S., Bloomberg News reported on Monday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • FugakuNEXT – ก้าวกระโดดของญี่ปุ่นสู่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ zetta-scale

    ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 ญี่ปุ่นเปิดตัว “Fugaku” ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยครองอันดับหนึ่งของโลก และมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับโควิด-19 ผ่านการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ แต่วันนี้ ญี่ปุ่นกำลังเตรียมก้าวครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมกับ “FugakuNEXT” ซึ่งตั้งเป้าเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ zetta-scale ตัวแรกของโลก

    FugakuNEXT เป็นความร่วมมือระหว่าง RIKEN, Fujitsu และ Nvidia โดยจะใช้ CPU รุ่นใหม่ชื่อ MONAKA-X ที่พัฒนาโดย Fujitsu ร่วมกับ GPU จาก Nvidia ซึ่งจะออกแบบระบบเชื่อมต่อ NVLink Fusion เพื่อให้ CPU และ GPU ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

    ระบบนี้จะไม่ใช่แค่เครื่องจำลองทางฟิสิกส์แบบเดิม แต่จะเป็นแพลตฟอร์ม AI-HPC ที่สามารถใช้ AI ในการสร้างสมมติฐาน วิจัย และจำลองการทดลองได้โดยอัตโนมัติ เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานจริงถึง 100 เท่าเมื่อเทียบกับ Fugaku เดิม โดยยังคงใช้พลังงานเท่าเดิมที่ 40 เมกะวัตต์

    นอกจากจะเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ FugakuNEXT ยังเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ และสร้างมาตรฐานใหม่ของการประมวลผลระดับโลก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    FugakuNEXT เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของญี่ปุ่นที่ตั้งเป้าเข้าสู่ระดับ zetta-scale
    เป็นความร่วมมือระหว่าง RIKEN, Fujitsu และ Nvidia
    ใช้ CPU MONAKA-X จาก Fujitsu และ GPU จาก Nvidia พร้อม NVLink Fusion
    เป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นใช้ GPU เป็นแกนหลักในระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับชาติ
    ตั้งเป้าเปิดใช้งานในปี 2030 ที่ศูนย์ RIKEN เมืองโกเบ
    งบประมาณพัฒนาเกิน 110 พันล้านเยน หรือประมาณ $740 ล้าน
    ประสิทธิภาพสูงสุดคาดว่าจะอยู่ที่ 600 exaFLOPS ใน FP8 sparse precision
    เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานจริงถึง 100 เท่าเมื่อเทียบกับ Fugaku เดิม
    ใช้พลังงานเท่าเดิมที่ 40 เมกะวัตต์ แต่ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้นมหาศาล
    ระบบจะรองรับงาน AI เช่น climate modeling, drug discovery, disaster resilience

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MONAKA-X เป็นรุ่นต่อยอดจาก MONAKA ที่เน้น SIMD และ matrix engine สำหรับ AI
    Nvidia อาจใช้ GPU รุ่น Feynman Ultra ที่มี Tensor Core เป็นหลัก
    NVLink Fusion อาจมีแบนด์วิดธ์สูงถึงหลาย TB/s ต่อพอร์ต
    ซอฟต์แวร์จะใช้ CUDA-X, TensorRT และ NeMo สำหรับงาน AI
    มีการใช้ Physics-Informed Neural Networks (PINNs) เพื่อแทนการคำนวณที่ซับซ้อน
    FugakuNEXT เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-gpus-and-fujitsu-arm-cpus-will-power-japans-next-usd750m-zetta-scale-supercomputer-fugakunext-aims-to-revolutionize-ai-driven-science-and-global-research
    🎙️ FugakuNEXT – ก้าวกระโดดของญี่ปุ่นสู่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ zetta-scale ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 ญี่ปุ่นเปิดตัว “Fugaku” ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยครองอันดับหนึ่งของโลก และมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับโควิด-19 ผ่านการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ แต่วันนี้ ญี่ปุ่นกำลังเตรียมก้าวครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมกับ “FugakuNEXT” ซึ่งตั้งเป้าเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับ zetta-scale ตัวแรกของโลก FugakuNEXT เป็นความร่วมมือระหว่าง RIKEN, Fujitsu และ Nvidia โดยจะใช้ CPU รุ่นใหม่ชื่อ MONAKA-X ที่พัฒนาโดย Fujitsu ร่วมกับ GPU จาก Nvidia ซึ่งจะออกแบบระบบเชื่อมต่อ NVLink Fusion เพื่อให้ CPU และ GPU ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ระบบนี้จะไม่ใช่แค่เครื่องจำลองทางฟิสิกส์แบบเดิม แต่จะเป็นแพลตฟอร์ม AI-HPC ที่สามารถใช้ AI ในการสร้างสมมติฐาน วิจัย และจำลองการทดลองได้โดยอัตโนมัติ เป้าหมายคือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานจริงถึง 100 เท่าเมื่อเทียบกับ Fugaku เดิม โดยยังคงใช้พลังงานเท่าเดิมที่ 40 เมกะวัตต์ นอกจากจะเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ FugakuNEXT ยังเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ และสร้างมาตรฐานใหม่ของการประมวลผลระดับโลก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ FugakuNEXT เป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ของญี่ปุ่นที่ตั้งเป้าเข้าสู่ระดับ zetta-scale ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง RIKEN, Fujitsu และ Nvidia ➡️ ใช้ CPU MONAKA-X จาก Fujitsu และ GPU จาก Nvidia พร้อม NVLink Fusion ➡️ เป็นครั้งแรกที่ญี่ปุ่นใช้ GPU เป็นแกนหลักในระบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับชาติ ➡️ ตั้งเป้าเปิดใช้งานในปี 2030 ที่ศูนย์ RIKEN เมืองโกเบ ➡️ งบประมาณพัฒนาเกิน 110 พันล้านเยน หรือประมาณ $740 ล้าน ➡️ ประสิทธิภาพสูงสุดคาดว่าจะอยู่ที่ 600 exaFLOPS ใน FP8 sparse precision ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานจริงถึง 100 เท่าเมื่อเทียบกับ Fugaku เดิม ➡️ ใช้พลังงานเท่าเดิมที่ 40 เมกะวัตต์ แต่ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้นมหาศาล ➡️ ระบบจะรองรับงาน AI เช่น climate modeling, drug discovery, disaster resilience ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MONAKA-X เป็นรุ่นต่อยอดจาก MONAKA ที่เน้น SIMD และ matrix engine สำหรับ AI ➡️ Nvidia อาจใช้ GPU รุ่น Feynman Ultra ที่มี Tensor Core เป็นหลัก ➡️ NVLink Fusion อาจมีแบนด์วิดธ์สูงถึงหลาย TB/s ต่อพอร์ต ➡️ ซอฟต์แวร์จะใช้ CUDA-X, TensorRT และ NeMo สำหรับงาน AI ➡️ มีการใช้ Physics-Informed Neural Networks (PINNs) เพื่อแทนการคำนวณที่ซับซ้อน ➡️ FugakuNEXT เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ญี่ปุ่นในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/nvidia-gpus-and-fujitsu-arm-cpus-will-power-japans-next-usd750m-zetta-scale-supercomputer-fugakunext-aims-to-revolutionize-ai-driven-science-and-global-research
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 197 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 14 : คู่แค้น
    ช่วงประมาณ ค.ศ. 1908 เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) ค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศตนเอง อังกฤษจมูกไวได้กลิ่นก่อนใคร รีบวิ่งเป็นเจ้าแรก เข้าไปตีซี้เข้าทำสัญญาขอสิทธิพิเศษ สำหรับน้ำมันที่จะขุดได้ โดยตั้งบริษัทร่วมกับเปอร์เซีย ชื่อ Anglo Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาภายหลังในปี ค.ศ. 1954 ได้กลายเป็น British Petroleum Company (BP) ผู้ซึ่งเวลานี้มีชื่อเป็นเจ้าของแปลงสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน เกือบจะทุกแห่งในโลก รวมทั้งดินแดนของสมันน้อย
    แล้วฝนก็ตกทั่วฟ้า อังกฤษน้ำมันขอดบ่อ เยอรมันก็ใช่ว่าจะไปได้ไกลกว่า ในการศึกชิงน้ำมัน โครงการรถไฟของเยอรมันชักไปไม่ถึงฝั่ง เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องหาเงินพวกมาช่วย เยอรมันกัดฟันหันไปหาอังกฤษ ลูกเข้าเท้าอังกฤษอย่างเหลือเชื่อ อังกฤษรับปากจะช่วย แต่ทำทุกทางที่จะถ่วง แค่นั้นยังไม่ชั่วพอ กลับตัดหน้าเยอรมัน ไปแย่งทำสัญญาเช่าบ่อน้ำมันกับอิรัคและคูเวต การวิ่งแข่งชิงแหล่งน้ำมันเข้มข้นขึ้น เยอรมันไม่รู้ไปทำอีกท่าไหน นอกจากจะได้ทำทางรถไฟสาย Berlin Bagdad แล้ว จักรพรรดิแห่ง Ottoman ยังแถมให้สิทธิในการขุดหาแหล่งน้ำมันและแร่ กว้าง 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางขนานกับทางรถไฟ นี่มันทำให้อังกฤษถึงกระอักโลหิต ศึกชิงน้ำมันของจริงเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมวยคู่อังกฤษกับเยอรมัน
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ความตั้งใจ ของบริษัทน้ำมันสัญชาติเยอรมันที่จะไม่ขึ้นกับ กลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller ชะงักงัน ขณะนั้นอเมริกาผลิตน้ำมันมากกว่า 63% ของน้ำมันโลก รัสเซีย 19% เม็กซิโก 5% และอังกฤษ โดย APOC ยังเป็นละอ่อนหน้าใหม่ในตลาด ตั้งตัวยังไม่
    ติด ผลิตไม่ได้เท่าไหร่ ท่าน Lord Winston Churchill ฮึดสู้ เกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอังกฤษ ซื้อหุ้นข้างมากของ APOC และทำให้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของ BP ลูกพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันต่อมา
    ถึงตอนนั้นอังกฤษก็ประกาศ กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะต้องครอบครองน้ำมัน และทำทุกอย่างที่จะกันเยอรมัน คู่แข่งออกไปจากเส้นทาง แม้จะต้องทำสงครามถ้าจำเป็น เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้ อังกฤษก็เริ่มตั้งก๊วนกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านเยอรมัน ซึ่งจับมืออยู่กับออสเตรียและฮังการี อย่านึกว่าผมทองเหมือนกันจะรักกันตลอดไปนะ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอย่างพวกผมดำ นึกว่าเขารักเขาอุ้มชู โน่นไปท้ายแถวเลย และเมื่อไหร่เขาใช้จนหมดประโยชน์ เขาก็จัดการห่อใส่ผ้า เอาลงหีบเก็บถาวร เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าเขากำลังอุ้ม ยังยืนลอยหน้าลอยตาอยู่นะ พี่เลี้ยงอ่านตอนนี้ให้ฟังหน่อยนะ แต่สงสัยหนูแกก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮา
    แผนของอังกฤษเริ่มจะเห็นผล ถึงปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น
    ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ต่างกับสงครามอื่น ๆ ฉ.ห กันทั่วหน้า ทำสงครามกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ! ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อังกฤษล้มละลาย แต่เขาว่าคนล้มอย่าเพิ่งข้าม อังกฤษล้มจริง แต่มันล้มบนฟูก เพราะหลังจากนั้นก็เกิดการสุมหัวรวมตัว กับนักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา House of Morgan สร้างกลยุทธกันใหม่ นักเล่นกลไม่ได้มีเจ้าเดียว
    ผลของสงครามโลก ทำให้อาณาจักรใหญ่ 4 แห่ง ย่อยยับ อาณาจักร Ottoman – Turkey, Austria – Hungary, Germany – Russia และรวมทั้งอังกฤษเองด้วย แต่แท้จริง สงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นแผนมายากลของพวกผมทอง สุดกร่าง เพื่อวางแผนจัดสรร การครอบครองแหล่งน้ำมันเสียใหม่ เจ้าของแหล่งน้ำมัน รวมทั้งก๊วนที่เล่นเกมสงครามด้วยกันมา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ดูเกมนี้ไม่ทัน


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 14 : คู่แค้น ช่วงประมาณ ค.ศ. 1908 เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) ค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศตนเอง อังกฤษจมูกไวได้กลิ่นก่อนใคร รีบวิ่งเป็นเจ้าแรก เข้าไปตีซี้เข้าทำสัญญาขอสิทธิพิเศษ สำหรับน้ำมันที่จะขุดได้ โดยตั้งบริษัทร่วมกับเปอร์เซีย ชื่อ Anglo Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาภายหลังในปี ค.ศ. 1954 ได้กลายเป็น British Petroleum Company (BP) ผู้ซึ่งเวลานี้มีชื่อเป็นเจ้าของแปลงสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน เกือบจะทุกแห่งในโลก รวมทั้งดินแดนของสมันน้อย แล้วฝนก็ตกทั่วฟ้า อังกฤษน้ำมันขอดบ่อ เยอรมันก็ใช่ว่าจะไปได้ไกลกว่า ในการศึกชิงน้ำมัน โครงการรถไฟของเยอรมันชักไปไม่ถึงฝั่ง เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องหาเงินพวกมาช่วย เยอรมันกัดฟันหันไปหาอังกฤษ ลูกเข้าเท้าอังกฤษอย่างเหลือเชื่อ อังกฤษรับปากจะช่วย แต่ทำทุกทางที่จะถ่วง แค่นั้นยังไม่ชั่วพอ กลับตัดหน้าเยอรมัน ไปแย่งทำสัญญาเช่าบ่อน้ำมันกับอิรัคและคูเวต การวิ่งแข่งชิงแหล่งน้ำมันเข้มข้นขึ้น เยอรมันไม่รู้ไปทำอีกท่าไหน นอกจากจะได้ทำทางรถไฟสาย Berlin Bagdad แล้ว จักรพรรดิแห่ง Ottoman ยังแถมให้สิทธิในการขุดหาแหล่งน้ำมันและแร่ กว้าง 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางขนานกับทางรถไฟ นี่มันทำให้อังกฤษถึงกระอักโลหิต ศึกชิงน้ำมันของจริงเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมวยคู่อังกฤษกับเยอรมัน สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ความตั้งใจ ของบริษัทน้ำมันสัญชาติเยอรมันที่จะไม่ขึ้นกับ กลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller ชะงักงัน ขณะนั้นอเมริกาผลิตน้ำมันมากกว่า 63% ของน้ำมันโลก รัสเซีย 19% เม็กซิโก 5% และอังกฤษ โดย APOC ยังเป็นละอ่อนหน้าใหม่ในตลาด ตั้งตัวยังไม่ ติด ผลิตไม่ได้เท่าไหร่ ท่าน Lord Winston Churchill ฮึดสู้ เกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอังกฤษ ซื้อหุ้นข้างมากของ APOC และทำให้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของ BP ลูกพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันต่อมา ถึงตอนนั้นอังกฤษก็ประกาศ กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะต้องครอบครองน้ำมัน และทำทุกอย่างที่จะกันเยอรมัน คู่แข่งออกไปจากเส้นทาง แม้จะต้องทำสงครามถ้าจำเป็น เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้ อังกฤษก็เริ่มตั้งก๊วนกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านเยอรมัน ซึ่งจับมืออยู่กับออสเตรียและฮังการี อย่านึกว่าผมทองเหมือนกันจะรักกันตลอดไปนะ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอย่างพวกผมดำ นึกว่าเขารักเขาอุ้มชู โน่นไปท้ายแถวเลย และเมื่อไหร่เขาใช้จนหมดประโยชน์ เขาก็จัดการห่อใส่ผ้า เอาลงหีบเก็บถาวร เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าเขากำลังอุ้ม ยังยืนลอยหน้าลอยตาอยู่นะ พี่เลี้ยงอ่านตอนนี้ให้ฟังหน่อยนะ แต่สงสัยหนูแกก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮา แผนของอังกฤษเริ่มจะเห็นผล ถึงปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ต่างกับสงครามอื่น ๆ ฉ.ห กันทั่วหน้า ทำสงครามกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ! ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อังกฤษล้มละลาย แต่เขาว่าคนล้มอย่าเพิ่งข้าม อังกฤษล้มจริง แต่มันล้มบนฟูก เพราะหลังจากนั้นก็เกิดการสุมหัวรวมตัว กับนักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา House of Morgan สร้างกลยุทธกันใหม่ นักเล่นกลไม่ได้มีเจ้าเดียว ผลของสงครามโลก ทำให้อาณาจักรใหญ่ 4 แห่ง ย่อยยับ อาณาจักร Ottoman – Turkey, Austria – Hungary, Germany – Russia และรวมทั้งอังกฤษเองด้วย แต่แท้จริง สงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นแผนมายากลของพวกผมทอง สุดกร่าง เพื่อวางแผนจัดสรร การครอบครองแหล่งน้ำมันเสียใหม่ เจ้าของแหล่งน้ำมัน รวมทั้งก๊วนที่เล่นเกมสงครามด้วยกันมา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ดูเกมนี้ไม่ทัน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google?

    Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก

    ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26

    เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้

    หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

    แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri
    การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ
    เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ
    เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้
    หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple
    Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26
    Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ
    Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์
    Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง
    Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก
    Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari
    หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    🎙️ Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google? Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26 เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri ➡️ การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ ➡️ เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ ➡️ เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ ➡️ หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26 ➡️ Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ➡️ Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์ ➡️ Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง ➡️ Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก ➡️ Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari ➡️ หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts