• มีกลุ่มผู้ประท้วงออกมาชุมนุมกันตามหน้าโชว์รูมของรถยนต์เทสลาทั่วอเมริกา รวมทั้งที่แคนาดา และบางเมืองในยุโรป เพื่อแสดงการต่อต้านปฏิบัติการปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก ของ อีลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีซีอีโอของเทสลา ซึ่งเวลานี้กลายเป็นที่ปรึกษาระดับท็อปคนหนึ่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000030409
    มีกลุ่มผู้ประท้วงออกมาชุมนุมกันตามหน้าโชว์รูมของรถยนต์เทสลาทั่วอเมริกา รวมทั้งที่แคนาดา และบางเมืองในยุโรป เพื่อแสดงการต่อต้านปฏิบัติการปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก ของ อีลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีซีอีโอของเทสลา ซึ่งเวลานี้กลายเป็นที่ปรึกษาระดับท็อปคนหนึ่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของอเมริกา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000030409
    Like
    Haha
    4
    0 Comments 0 Shares 453 Views 0 Reviews
  • 🙏✨พระสังกัจจายน์มหาเศรษฐีวัดหัวกระบือชุดกรรมการ ปีพ.ศ.2521 #หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นประธานอธิษฐานจิตปลุกเสก ถือเป็นพระที่มีขนาดเล็กแต่สำหรับพุทธคุณได้รับการถ่ายทอดบอกต่อกันมาว่าไม่เล็กเลย.
    🙏✨พระสังกัจจายน์มหาเศรษฐีวัดหัวกระบือชุดกรรมการ ปีพ.ศ.2521 #หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นประธานอธิษฐานจิตปลุกเสก ถือเป็นพระที่มีขนาดเล็กแต่สำหรับพุทธคุณได้รับการถ่ายทอดบอกต่อกันมาว่าไม่เล็กเลย.
    0 Comments 0 Shares 121 Views 1 0 Reviews
  • รัฐบาล #จีน มีคำสั่งไปยังรัฐวิสากิจทั้งหมดให้ระงับการทำข้อตกลงทางธุรกิจใหม่ๆ กับบริษัทที่เชื่อมโยงกับครอบครัวของ ลี กาชิง (Li Ka-shing) อภิมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง หลังจากที่เจ้าสัวคนดังรายนี้ยอมขายกิจการท่าเรือ 2 แห่งใน #คลองปานามา ให้กับกลุ่ม #BlackRock ของสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าว Bloomberg.ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ CK Hutchison ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทของ ลี ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายตั้งแต่โทรคมนาคมไปจนถึงค้าปลีกถูกรัฐบาลจีนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีที่ไปยอมทำข้อตกลงขายท่าเรือให้กับบริษัทของสหรัฐฯ.CK Hutchison ซึ่งมีฐานอยู่ที่ฮ่องกงได้ตกลงขายกิจการท่าเรือเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ทั่วโลก รวมถึงทรัพย์สินในจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างคลองปานามา ในดีลซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถระดมเงินสดได้มากกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.รายงานของ Bloomberg วันนี้ (27 มี.ค.) ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของปักกิ่งได้มีคำสั่งไปยังรัฐวิสาหกิจจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ระงับการทำข้อตกลงทางธุรกิจใหม่ๆ กับกลุ่มบริษัทของตระกูล ลี กาชิง ทว่าคำสั่งนี้ไม่กระทบต่อข้อตกลงที่มีอยู่เดิม.รายงานระบุด้วยว่า หน่วยงานกำกับของจีนกำลังตรวจสอบการลงทุนของครอบครัว ลี กาชิง ทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และต่างประเทศ เพื่อให้เข้าใจขอบเขตธุรกิจของพวกเขาดียิ่งขึ้น.ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Ta Kung Pao ซึ่งเป็นสื่อโปรจีนในฮ่องกงได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการหลายฉบับวิพากษ์วิจารณ์ดีลขายท่าเรือของ CK Hutchison ว่าเป็นการทำลายผลประโยชน์ของชาติ และเป็นการทรยศต่อจีน.สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้รีโพสต์บทบรรณาธิการบางฉบับลงบนเว็บไซต์ของหน่วยงานด้วย ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าปักกิ่งจะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อสกัดขัดขวางข้อตกลงนี้.แหล่งข่าวให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีนซึ่งได้รับคำสั่งมาจากคณะผู้นำส่วนกลางได้เริ่มตรวจสอบรายละเอียดของข้อตกลงขายท่าเรือคลองปานามาแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าปักกิ่งนั้นไม่พอใจที่ CK Hutchison ยอมถอนการลงทุนตามแรงกดดันของสหรัฐฯ.ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาแถลงชื่นชมข้อตกลงนี้ หลังจากที่เคยเรียกร้องให้ปลดปล่อยคลองปานามาจากอิทธิพลของจีน.ที่มา: รอยเตอร์
    รัฐบาล #จีน มีคำสั่งไปยังรัฐวิสากิจทั้งหมดให้ระงับการทำข้อตกลงทางธุรกิจใหม่ๆ กับบริษัทที่เชื่อมโยงกับครอบครัวของ ลี กาชิง (Li Ka-shing) อภิมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง หลังจากที่เจ้าสัวคนดังรายนี้ยอมขายกิจการท่าเรือ 2 แห่งใน #คลองปานามา ให้กับกลุ่ม #BlackRock ของสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าว Bloomberg.ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ CK Hutchison ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทของ ลี ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายตั้งแต่โทรคมนาคมไปจนถึงค้าปลีกถูกรัฐบาลจีนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณีที่ไปยอมทำข้อตกลงขายท่าเรือให้กับบริษัทของสหรัฐฯ.CK Hutchison ซึ่งมีฐานอยู่ที่ฮ่องกงได้ตกลงขายกิจการท่าเรือเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ทั่วโลก รวมถึงทรัพย์สินในจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างคลองปานามา ในดีลซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถระดมเงินสดได้มากกว่า 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.รายงานของ Bloomberg วันนี้ (27 มี.ค.) ระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของปักกิ่งได้มีคำสั่งไปยังรัฐวิสาหกิจจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ระงับการทำข้อตกลงทางธุรกิจใหม่ๆ กับกลุ่มบริษัทของตระกูล ลี กาชิง ทว่าคำสั่งนี้ไม่กระทบต่อข้อตกลงที่มีอยู่เดิม.รายงานระบุด้วยว่า หน่วยงานกำกับของจีนกำลังตรวจสอบการลงทุนของครอบครัว ลี กาชิง ทั้งในจีนแผ่นดินใหญ่และต่างประเทศ เพื่อให้เข้าใจขอบเขตธุรกิจของพวกเขาดียิ่งขึ้น.ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ Ta Kung Pao ซึ่งเป็นสื่อโปรจีนในฮ่องกงได้ตีพิมพ์บทบรรณาธิการหลายฉบับวิพากษ์วิจารณ์ดีลขายท่าเรือของ CK Hutchison ว่าเป็นการทำลายผลประโยชน์ของชาติ และเป็นการทรยศต่อจีน.สำนักงานกิจการฮ่องกงและมาเก๊าของจีนได้รีโพสต์บทบรรณาธิการบางฉบับลงบนเว็บไซต์ของหน่วยงานด้วย ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าปักกิ่งจะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อสกัดขัดขวางข้อตกลงนี้.แหล่งข่าวให้ข้อมูลกับรอยเตอร์ว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีนซึ่งได้รับคำสั่งมาจากคณะผู้นำส่วนกลางได้เริ่มตรวจสอบรายละเอียดของข้อตกลงขายท่าเรือคลองปานามาแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าปักกิ่งนั้นไม่พอใจที่ CK Hutchison ยอมถอนการลงทุนตามแรงกดดันของสหรัฐฯ.ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกมาแถลงชื่นชมข้อตกลงนี้ หลังจากที่เคยเรียกร้องให้ปลดปล่อยคลองปานามาจากอิทธิพลของจีน.ที่มา: รอยเตอร์
    0 Comments 0 Shares 295 Views 0 Reviews
  • “เมย์ วาสนา” ร่ำไห้แค้นใจ “ดิว อริสรา” ทำกันได้ยังไง ให้ยืมของหรูมูลค่า 62 ล้าน เพราะดิวไม่มีเงินไปใช้หนี้คนอื่น บอกเรื่องนี้สามี ”เซบาสเตียน ลี“ รู้ไม่ได้เลย เห็นว่าเป็นน้อง ตั้งใจช่วยให้หลุดพ้น เคยอยู่ในจุดที่ยืนหน้าโรงรับจำนำมาก่อน ก่อนหลุดฟางเส้นสุดท้ายเห็นแชตที่ดิวใส่ร้ายกับคนอื่น

    เป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” ที่เป็นดาราที่มีภาพลักษณ์ดี ต้นทุนชีวิตสูงมาก สามีเป็นชาวต่างชาติร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีครอบครัวอบอุ่น อยู่ๆ มามีเรื่องแบบนี้ได้ยังไง กับกรณีที่ “มาดามเมนี่” หรือ “ดร.วาสนา อินทะแสง” ตามของคืนมูลค่า 62 ล้าน และคนที่เอาไปคือ ดิว ซึ่งที่ผ่านมา เมย์ ให้โอกาส ดิว ได้มีเวลาในการเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ยังได้ของคืนกลับมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000026280

    #MGROnline #ดิวอริสรา #ซุงศตาวิน #ไฮโซเมย์ #โหนกระแส

    “เมย์ วาสนา” ร่ำไห้แค้นใจ “ดิว อริสรา” ทำกันได้ยังไง ให้ยืมของหรูมูลค่า 62 ล้าน เพราะดิวไม่มีเงินไปใช้หนี้คนอื่น บอกเรื่องนี้สามี ”เซบาสเตียน ลี“ รู้ไม่ได้เลย เห็นว่าเป็นน้อง ตั้งใจช่วยให้หลุดพ้น เคยอยู่ในจุดที่ยืนหน้าโรงรับจำนำมาก่อน ก่อนหลุดฟางเส้นสุดท้ายเห็นแชตที่ดิวใส่ร้ายกับคนอื่น • เป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์” ที่เป็นดาราที่มีภาพลักษณ์ดี ต้นทุนชีวิตสูงมาก สามีเป็นชาวต่างชาติร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี มีครอบครัวอบอุ่น อยู่ๆ มามีเรื่องแบบนี้ได้ยังไง กับกรณีที่ “มาดามเมนี่” หรือ “ดร.วาสนา อินทะแสง” ตามของคืนมูลค่า 62 ล้าน และคนที่เอาไปคือ ดิว ซึ่งที่ผ่านมา เมย์ ให้โอกาส ดิว ได้มีเวลาในการเคลียร์เรื่องราวทั้งหมด แต่สุดท้ายก็ยังได้ของคืนกลับมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000026280 • #MGROnline #ดิวอริสรา #ซุงศตาวิน #ไฮโซเมย์ #โหนกระแส
    0 Comments 0 Shares 272 Views 0 Reviews
  • 🙏✨หลวงพ่อทวด รุ่นกฐินห้าหนึ่ง พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา จังหวัดตรัง จัดสร้างเมื่อปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบเอ็ด ตามตำรับของหลวงปู่แสง อดีตเจ้าอาวาสวัดในเตา ศิษย์พระอาจารย์ทองเฒ่าแห่งสำนักตักศิลาเขาอ้อ โดยท่านได้รวบรวมสุดยอดแห่งมหายันต์นอโมร้อยแปด พร้อมกับเพิ่มความเข้มขลังด้วยอักขระหัวใจพญาเสือนอนกิน และ ตะกรุดหัวใจมหาเศรษฐีทั้งห้า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าพระรุ่นนี้มีพุทธคุณเด่นล้ำอีกรุ่นหนึ่ง.
    🙏✨หลวงพ่อทวด รุ่นกฐินห้าหนึ่ง พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา จังหวัดตรัง จัดสร้างเมื่อปีพุทธศักราชสองพันห้าร้อยห้าสิบเอ็ด ตามตำรับของหลวงปู่แสง อดีตเจ้าอาวาสวัดในเตา ศิษย์พระอาจารย์ทองเฒ่าแห่งสำนักตักศิลาเขาอ้อ โดยท่านได้รวบรวมสุดยอดแห่งมหายันต์นอโมร้อยแปด พร้อมกับเพิ่มความเข้มขลังด้วยอักขระหัวใจพญาเสือนอนกิน และ ตะกรุดหัวใจมหาเศรษฐีทั้งห้า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าพระรุ่นนี้มีพุทธคุณเด่นล้ำอีกรุ่นหนึ่ง.
    Wow
    1
    0 Comments 0 Shares 377 Views 1 0 Reviews
  • DeepSeek เป็นแชทบอท AI ที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีผู้มุ่งหวังสร้างนวัตกรรมมากกว่าการหากำไรเชิงพาณิชย์ โดยบริษัทนี้เพิ่งเริ่มมีรายได้เพียงพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายเมื่อเดือนที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้เป็นการแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley ที่มักเน้นความรวดเร็วในการสร้างยอดขายและผลกำไร

    จุดที่น่าสนใจคือ ทัศนคติของ DeepSeek ที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนาองค์ความรู้และคุณภาพของ AI ในระยะยาว โดยเห็นว่าความยั่งยืนและการวิจัยที่เข้มแข็งเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันในอนาคต

    นอกจากนี้ เรื่องราวของ DeepSeek ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในโลกเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทใน Silicon Valley มุ่งเน้นการตอบสนองต่อตลาดและนักลงทุน บริษัทจีนอย่าง DeepSeek กลับเลือกที่จะเน้นเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์และการสร้างผลกระทบที่มีความหมายมากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/deepseek-to-focus-on-research-over-revenue-in-contrast-to-silicon-valley-ft-reports
    DeepSeek เป็นแชทบอท AI ที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีผู้มุ่งหวังสร้างนวัตกรรมมากกว่าการหากำไรเชิงพาณิชย์ โดยบริษัทนี้เพิ่งเริ่มมีรายได้เพียงพอครอบคลุมค่าใช้จ่ายเมื่อเดือนที่ผ่านมา การตัดสินใจนี้เป็นการแตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon Valley ที่มักเน้นความรวดเร็วในการสร้างยอดขายและผลกำไร จุดที่น่าสนใจคือ ทัศนคติของ DeepSeek ที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนาองค์ความรู้และคุณภาพของ AI ในระยะยาว โดยเห็นว่าความยั่งยืนและการวิจัยที่เข้มแข็งเป็นหัวใจสำคัญในการแข่งขันในอนาคต นอกจากนี้ เรื่องราวของ DeepSeek ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในโลกเทคโนโลยี ขณะที่บริษัทใน Silicon Valley มุ่งเน้นการตอบสนองต่อตลาดและนักลงทุน บริษัทจีนอย่าง DeepSeek กลับเลือกที่จะเน้นเป้าหมายทางวิทยาศาสตร์และการสร้างผลกระทบที่มีความหมายมากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/14/deepseek-to-focus-on-research-over-revenue-in-contrast-to-silicon-valley-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    DeepSeek to focus on research over revenue in contrast to Silicon Valley, FT reports
    (Reuters) - Chinese AI chatbot DeepSeek is choosing to focus on research over revenue, as its billionaire founder has decided not to follow Silicon Valley rivals by taking advantage of a sudden jump in sales, the Financial Times reported on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊กPaisan Apacnews ของ ไพสันต์พรหมน้อย 8 มีนาคม 2568“คาสิโนเหรอ...ผมสั่งรื้อมาแล้ว โดย นาวิน ขันธหิรัญเมื่อปี 2541กระทรวงได้ย้ายผมจากนครพนมมาเป็นผู้ว่าสระแก้ว ขณะนั้นปอยเปตในฝั่งเขมรกำลังบูมการก่อสร้างเมืองขนานใหญ่มีการสร้างEntertainment Complexขนาดใหญ่ที่มีCasinoอยู่ด้วยทุกแห่งและมีนักการเมืองใหญ่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเขมรเป็นหุ้นส่วนและมีนายซ๊ก อาน มหาเศรษฐีชาวเขมรเป็นผู้ประสานงานเมื่อสร้างเสร็จก็มีการเชิญผู้ใหญ่ฝั่งไทยไปเยี่ยมชมและประชาสัมพันธ์ว่าสร้างขึ้น มาเพื่อรับแขกชาวไทยเป็นหลัก เพื่อเห็นแก่สัมพันธภาพผมก็ไปร่วมชมความเจริญของเพื่อนบ้าน เดินชมไปมาไปพบว่าคาสิโนแห่งหนึ่งปลูกล้ำคลองพรมแดนเข้ามาในเขตไทย ผมจึงเรียกผู้จัดการมาแจ้งให้ทราบว่าคุณสร้างคาสิโนรุกแผ่นดินไทยแล้วยื่นคำขาดให้รื้อถอนออกไป ผู้จัดการเถึยงคอเป็นเอ็นแล้วยืนยันว่าไม่มีใครรื้อได้เพราะเจ้าของใหญ่มากอยู่ในพนมเปญ ผมไม่อยากเถียงกับผู้จัดการจึงตัดบทไปว่า...ไม่เป็นไรถ้าไม่รื้อผมจะปิดพรมแดนไม่ให้คนไทยข้ามมา(ผู้ว่าสามารถเสนอรัฐบาลปิดพรมแดนได้) จากนั้นผมก็เดินทางกลับเช้าวันรุ่งขึ้น11.00น.หน้าห้องได้เข้ามารายงานว่า นายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกฮุนเซนขอเข้าพบอะไรจะรวดเร็วขนาดนั้น ผมพูดเรื่องปิดพรมแดนไม่ถึง24ชั่วโมงประธานที่ปรึกษานายกเขมรก็ถึงตัวผมแล้วถึงตรงนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสถานบริการครบวงจรที่ปอยเปตฝั่งเขมร แล้วฝั่งไทยล่ะ ประเดี๋ยวตัวละครจะค่อยๆโผล่ออกมาเองครับผมออกไปเชิญนายจุม คาดาล ประธานที่ปรึกษานายกด้วยตัวเองแล้วทักทายด้วยอัธยาศัยไมตรีแล้วเชิญเข้ามานั่งเจรจากันในห้องนายจุม คาดาล เล่าให้ผมฟังว่าเมื่อวานนี้เมื่อทราบข่าวว่าคาสิโนแห่งหนึ่งสร้างล้ำเข้าไปในแผ่นดินไทยท่านนายกได้สั่งการให้ผมไปดูข้อเท็จจริงและแก้ปัญหาโดยด่วน เช้านี้ผมเลยใช้ฮ.บินจากพนมเปญมาดูข้อเท็จจริงที่หน้างานพบว่าเป็นไปตามที่ท่านผู้ว่าทักท้วงจริงผมจึงนัดรถแบคโฮลเข้าพื้นที่เพื่อทำการรื้อถอนคาสิโนในส่วนที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยและขอเชิญท่านผู้ว่าไปชี้ว่าจะให้รื้อเข้าไปแค่ไหน บ่ายวันนั้นผมและนายจุม คาดาล จึงไปควบคุมการรื้อคาสิโนเป็นที่เรียบร้อย ผมทวงแผ่นดินไทยกลับมาได้ด้วยศิลปของนักปกครองโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต ซึ่งน่าจะได้รับคำชมเชยแต่มันไม่เป็นเช่นนั้นครับไม่ถึงเดือนต่อมาก็มีคำสั่งย้ายผมจากสระแก้วไปสมุทรสงครามซึ่งเป็นจังหวัดเล็กกว่าในสายตาของชาวมหาดไทยถือว่าเป็นการลงโทษผมจึงถามผู้บังคับบัญชาว่าย้ายผมทำไมครับท่านตอบว่าคุณไม่รู้หรือว่าคาสิโนนี้เป็นของใคร ท่านขอให้ย้ายคุณเป็นผู้ตรวจด้วยซ้ำ แต่ทางกระทรวงทักท้วงไว้ว่าคุณไม่ได้มีความผิดอะไร แถมยังรักษาแผ่นดินไว้ให้คนไทย เอาแค่ย้ายออกจากสระแก้วและให้ลงจังหวัดเล็กลงก็น่าจะเพียงพอสำหรับผมย้ายไปจังหวัดไหนก็ทำงานได้ทั้งนั้นจังหวัดเล็กลงยิ่งทำงานง่ายขึ้นเมื่อไปรับงานที่สมุทรสงครามผมก็ทำงานอย่างมีความสุข แต่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านข้องใจไม่หายว่าทำไมผมถูกย้ายลงจังหวัดเล็กลง ทั้งๆที่ผมไม่เคยบอกท่าน ท่านผู้นั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ………………………..ถึงตอนนี้เพื่อนๆคงรู้แล้วว่านักการเมืองใหญ่ที่เป็นหุ้นส่วนสถานบันเทิงครบวงจรในปอยเปตนั้นคือใครถ้านึกไม่ออกผมจะบอกให้เจ้าพ่อวังน้ำเย็นไงครับและเป็นคนที่สั่งย้ายผมด้วย ..ถามว่าก่อนสั่งผมรู้ไหมว่าคาสิโนแห่งนี้เป็นของสองผู้ยิ่งใหญ่คู่นี้รู้ครับวันที่ผมสั่งผู้จัดการให้รื้ิอคาสิโนแกตกใจปากคอสั่นและยืนยีนว่ารื้อไม่ได้เป็นอันขาดเพราะเป็นของผู้ใหญ่ในพนมเปญ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร จึงตัดบทไม่เจรจาด้วยส่วนเจ้าพ่อรู้สึกเสียฟอร์มที่คุ้มครองคาสิโนไม่ได้โดยเฉพาะกับฮุนเซนทางเดียวที่พอจะกู้หน้าได้คือเตะโด่งผู้ว่าไปให้พ้นหูพ้นตาเสียจะได้ไม่มายุ่งกับสถานบันเทิงของท่านอีกสะใจจริงๆนาวินใช้ชีวิตได้ผาดโผนน่าสนุกรื้อคาสิโนของนายกบ้าง ของเจ้าพ่อบ้างปัจจุบันรัฐบาลไทยกำลังจะสร้างสถานบันเทิงครบวงจรตามอย่างเขมร ผมอาจจะต้องออกมาช่วยพี่น้องชาวไทยรื้อคาสิโนในเมืองไทยอีกครั้งก็ได้ครับก่อนจบภาคแรกไปผมโปรยทิ้งไว้ว่า มีผู้ใหญ้ท่านหนึ่งข้องใจไม่หายว่าผมถูกย้ายเพราะอะไรท่านนั้นคือพลเอก เปรม ติณสูลานนท์เพื่อนๆคงสงสัยว่าท่านมาเกี่ยวข้องกับผมได้อย่างไรจึงขอย้อนอดีตเล็กน้อย..เมื่อปี 2530กรมย้ายผมมาเป็นนายอำเภอสามพรานโดยอธิบดีดำรง สุนทรศาลทูล เลือกเอามาเองเพราะว่าบ้านอธิบดีอยู่สามพราน เมื่อมารับงานก็พบว่าพลเอกเปรม..รัฐบุรุษท่านตีกอล์ฟอยู่ที่สนามสามพรานทุกอาทิตย์ผมเป็นเจ้าของพื้นที่จึงไปต้อนรับท่าน ปรากฏว่าท่านถูกใจอะไรไม่ทราบชวนผมไปตีกอล์ฟก๊วนเดียวกับท่าน ซึ่งปกติจะไม่มีใครมีโอกาสเข้าร่วมก๊วนเลย ท่านจะตีอยู่กับหมอประสบ รัตนากร เพื่อนท่านและนายทหารคนสนิทเท่านั้นในก๊วนไม่มีการพนันเล่นเพื่อออกกำลังกายเฉยๆ ผมเล่นก๊อล์ฟกับท่านรัฐบุรุษเป็นเวลาหลายปีจนสนิทกันเหมือนญาติผู้ใหญ่ผมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่านครพนมท่านก็เดินทางไปเยี่ยมผม พอผมถูกย้ายมาสมุทรสงครามท่านก็มาอีกและบอกผู้ติดตามทั้งหลายว่าขอคุยกับท่านผู้ว่าเป็นการส่วนตัวดังภาพ...ทันทีที่อยู่กันสองต่อสองท่านก็ยิงคำถามใส่ผมทันที ...ผู้ว่าถูกย้ายเพราะไร ผมไปสั่งรื้อคาสิโนของนายกเขมรและนักการเมืองไทยที่ปลูกล้ำพรมแดนไทยครับ.,..ผมตอบ ...เอางั้นเลยเหรอ แล้วใครสั่งย้ายนักการเมืองไทยครับเขาคงเสียหน้า ท่านพยักหน้ารับทราบและดูยิ้มแย้มขี้น จากนั้นผมก็ส่งท่านขึ้นรถกลับพรัอมทั้งผมถอนหายใจใหญ่โล่งอกที่ไม่ได้ทำให้ท่านรัฐบุรุษผิดหวังท่านเป็นคนสะอาดมากนะครับและจะไม่ยอมให้คนสีเทาเข้ามาใกล้ตัว………………………..ขอคารวะคุณนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าสระแก้วที่หาญกล้าทำให้ 2 มหามาเฟียทั้งไทยและเขมรยอมรื้อคาสิโนเขมรที่รุกล้ำพรมแดนไทย สุดยอดจริง ๆ ขอให้ท่านนำการรื้อในไทยอีกนะ ถ้ามาเฟียคนเดิมของเขมรและคนใหม่ไทยในก๊วนเก่าลงมือสร้างขึ้นอีก เท่าที่รวบรวมได้คุณนาวินเป็นผู้ว่าฯจ.นครพนม,จ.สระแก้ว จ.สมุทรสงคราม และเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2547จากผู้ว่าฯจ.นครปฐม (นักปกครอง 10 ) เพราะอายุครบ 60 ปี ปัจจุบันท่านจะมีอายุ 80 ปีเศษ( บรรยายภาพ - เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2556 นายนาวิน ขันธหิรัญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ให้เกียรติมาบรรยายพิเศษให้แก่นักศึกษาหลักสูตรปลัดอำเภอ รุ่นที่ 201 รุ่นที่ 202 และรุ่นที่ 203 ในหัวข้อ "ประสบการณ์นักปกครองในการแก้ไขปัญหายาเสพติด" ณ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น 4 อาคารสำนักอธิการ วิทยาลัยการปกครอง)”
    0 Comments 0 Shares 651 Views 0 Reviews
  • “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน...
    ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้”
    หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน...
    ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที...
    ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา...
    และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น...
    คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!
    ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS”
    อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล...
    ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!!
    และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    “ทรัมป์บ้า” กับ...การลอบสังหารครั้งที่ 4!!! โดย: ทับทิม พญาไท เนื่องจากอะไรมิอะไรมันน่าจะเริ่ม “ตกผลึก” ลงมามั่งแล้ว หรือน่าจะพอ “เดาทาง” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้บ้างแล้วว่า น่าจะออกไปในแนวไหน? ลูกไหน? ไม่ได้ถึงขั้น “บ้า...จนเดาไม่ออก” เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตทบทวน ใคร่ครวญ ถึงความเพียรพยายามที่จะทำให้ “America Great Again” ของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ เอาไว้พอให้เห็นภาพคร่าวๆ ส่วนจะถูก-จะผิด จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็อย่าถึงกับได้ถือสา หาความ ถือเสียว่าเป็นการ “แลกเปลี่ยนมุมมอง” ไปตามสภาพก็แล้วกัน... ประการแรก...ตั้งแต่การเชื้อเชิญ ชักชวน ให้ผู้นำ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และ “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน มาร่วมมือกัน “ปรับลดค่าใช้จ่ายทางทหาร” ลงไปแบบครึ่ง-ต่อครึ่ง โดยผู้นำรัสเซียได้แสดงอาการตอบสนองอย่างไม่อิดเอื้อน-ลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผู้นำจีนยังคงเงียบๆ เฉยๆ แต่โดย “ภาพรวม” แล้ว ต้องถือเป็นการ “ริเริ่มในเชิงสร้างสรรค์” เอามากๆ ส่วนประการสอง...ก็คือความพยายามลดค่าใช้จ่ายที่รกรุงรังของสหรัฐฯ เอง ถึงขั้นปิดฉากองค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศอย่าง “USAID” เอาดื้อๆ หรือคิดจะหั่นงบประมาณประเภทสุรุ่ยสุร่ายของประเทศ ลงไปไม่น้อยกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ตามเข็มมุ่งและเจตนาของนายใหญ่-นายใหม่ แห่งกระทรวง “DODGE” หรือ “The Department of Government Efficiency” อย่าง “นายElon Musk” ผู้ใกล้ชนิดสนิทสนมประธานาธิบดี อันแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รัดเข็มขัด” แบบชนิดแทบไม่ต้องสนใจว่าชาวอเมริกันรายใดจะหน้าเขียว-หน้าเหลือง กันไปถึงขั้นไหน... ตามมาด้วยประการที่สาม...ก็คือการคิดขาย “บัตรทอง” บัตรวีไอพีที่พร้อมจะมอบความเป็นพลเมืองสหรัฐฯ มอบกรีนการ์ด เป็นเครื่องตอบแทน ใบละถึง 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 168 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยหวังจะได้อะไรกลับมา จากไอเดียสุดบรรเจิดเช่นนี้ ตามคำพูด คำสัมภาษณ์ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ” ได้โดยชัดเจนโดยเฉพาะคำพูดที่ว่า... “บางทีเราอาจสามารถขายบัตรได้ราวๆ 1 ล้านใบ หรืออาจมากกว่านั้น และถึงขายได้แค่ 1 ล้านใบ เราจะได้เงินกลับมาถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถ้าขายได้ 10 ล้านใบ ก็เท่ากับ 50 ล้านล้านดอลลาร์ แล้วเรามีหนี้ประเทศอยู่แค่ 35 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น...มันเป็นเรื่องเยี่ยมไหมล่ะ!!!” พูดง่ายๆ ว่า...เป็นความพยายามที่น่าเห็นใจเอามากๆ สำหรับการคิดทุเลา เบาบาง “ปัญหาหนี้สิน” ที่ล้นทะลักคอหลอยย์ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง จนหาทางออก-ทางไปแทบไม่เจอ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคไหนต่อพรรคไหนก็ตามที... ส่วนประการที่สี่...การคิดจะยึดแคนาดา ยึดเกาะกรีนแลนด์ หรือยึดคลองปานา แต่กลับหันไป “ถีบทิ้ง” ยุโรปซะดื้อๆ อันนี้...ยิ่งถือเป็นส่วนเสริม เพิ่มเติม ให้เห็นโดยชัดเจน ว่าในแต่ละประการดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น่าจะสรุปได้ไม่ยากว่า ความคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ก็น่าจะเป็นความ “Great” ความ “ยิ่งใหญ่” ภายใต้ “ขอบเขตที่ตัวเองต้องการ” ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ในแบบจ้าวโลก ประมุขโลก หรือผู้ที่สามารถควบคุมครอบครอง “โลกทั้งใบ” ได้แบบเดิมๆ อีกต่อไปแล้ว หรือเท่ากับเป็นการยอมรับ “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง” ว่าโลกยุคใหม่ หรือยุคนี้ ไม่ใช่เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” เหมือนเดิมๆ อีกต่อไป อีกทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ อย่าง “นายMarco Rubio” ก็ยังได้ออกมาตอกย้ำให้เห็นถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริงในลักษณะที่ว่านี้ ดังที่เคยนำมาเล่าสู่กันฟังเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา... และด้วยแนวคิด แนวทาง เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้แม้แต่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ยังอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งหน่วยงาน “FSB” (The Russian Federal Security Service) ของรัสเซีย เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่าโดยแนวคิดของผู้นำอเมริกานั้น...ถือเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการยอมรับความจริง-ข้อเท็จจริง เป็นพื้นฐาน (pragmatism and a realistic vision of things) เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนในแง่ของการปฏิบัติ จะบรรลุเป้าหมาย เป้าประสงค์ ได้มาก-น้อยขนาดไหน??? อันนี้...ก็ยังต้องถือเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ อีกต่อไป??? เพราะด้วยความเป็นประเทศ “จักรวรรดินิยม” และมหาอำนาจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกานั้น...โอกาสที่จะ “Great Again” หรือ “Dead Again” คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าออกไป 50-50 หรือหนักไปทาง “เจ๊ง...กับ...เจ๊า” อะไรประมาณนั้น... คือแค่เฉพาะประการแรก ในเรื่อง “ปัญหาหนี้สิน” ก็ต้องเรียกว่า...น่าจะรากเขียว-รากเหลืองกันไปอีกนาน โอกาสที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ พรวดเดียวได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์นั้นไม่น่าจะง่าย!!! บรรดาข้าราชการชาวอเมริกันที่ตกงาน ว่างงานทั้งหลาย ชักเริ่มออกมา “ลงถนน” กันเต็มบ้าน เต็มเมือง ส่วนจะขาย “บัตรทอง” ให้ได้ถึง 10 ล้านใบ ก็ใช่ว่า...มหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกอยากจะเป็นพลเมืองอเมริกัน อยากได้กรีนการ์ด ชนิดมากมายมหาศาลถึงปานนั้นซะเมื่อไหร่??? และประการที่สองคือความพยายามที่จะรักษาความยิ่งใหญ่ของ “เงินดอลลาร์” ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมค่า ลงไปกว่านี้ ด้วยการอาศัย “ภาษี” เป็นเครื่องมือ ถึงขั้นพร้อมประกาศว่าจะขึ้นภาษีต่อประเทศใดก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ “BRICS” ถ้าหากคิด “เทดอลลาร์” (De-Dollarization) หรือคิดแทนที่ดอลลาร์ด้วยเงินตราสกุลอื่นๆ จะต้องเจอกับการขึ้นภาษีสินค้าเข้าอเมริการะดับ 100-150 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น แต่ก็นั่นแหละ...การอาศัยอัตราภาษีเป็นเครื่องมือ ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดความเจ็บปวดรวดร้าว ต่อเฉพาะฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายใด ฝ่ายเดียวก็หาไม่ บรรดาอเมริกันชนที่อยู่ในฐานะ “ผู้บริโภค” หรือแม้แต่อุตสาหกรรมต่างๆ ของอเมริกาที่จะต้องหาทางแข่งขันกับ “ผู้ผลิต” รายอื่นๆ ย่อมมีสิทธิ์อ้วกแตก-อ้วกแตนเพราะราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ หรือเพราะการขาดหาย ขาดแคลนของสินค้าประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” ทั้งหลาย จนอาจต้องเจ๊ง-กับ-เจ๊ง ไปเป็นรายๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! ยิ่งเป็นสินค้าจากประเทศกลุ่ม “BRICS” ที่มีสัดส่วนการค้าถึง 1 ใน 5 ของโลกทั้งโลก มี “GDP” ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” โลก เป็นตลาดสำหรับ “ผู้บริโภค” ถึง 47 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โอกาสที่จะเกิดการ “ยืมหอกสนองคืน” สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับบรรดาอเมริกันชนหรือประเทศอเมริกาทั้งประเทศ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้หนึ่งในผู้นำประเทศกลุ่ม “BRICS” อย่างผู้นำบราซิล ประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ท่านเลยกล้าออกมาแสดงความเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ด้วยการประกาศว่า... “การคุกคามของผู้นำอเมริกาด้วยการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือ ไม่อาจหยุดยั้งการหาทางเลือกอื่นๆ ในการค้าขาย-แลกเปลี่ยนระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่ม BRICS ได้เลย” หรือด้วยเหตุเพราะความเสื่อมถอย เสื่อมค่าของเงินดอลลาร์อเมริกันในฐานะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ด้วยตัวของมันเอง ที่ทำให้บรรดาประเทศทั้งหลายเลยต้องพยายามหาทางออก-ทางไป แทนที่จะแขวนชะตากรรมในอนาคตไว้กับสกุลเงินตราชนิดนี้ แบบทื่อมะลื่อไปเรื่อยๆ จนทำให้การ “De-Dollarization” มันได้กลายเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็นแนวโน้มของโลก ที่มิอาจฝืน หรือมิอาจขัดขืนได้อีกต่อไป นั่นแล... ประการที่สาม...ก็คือ “ปัญหาภายใน” ของสังคมอเมริกัน ที่ยากจะเยียวยากันได้ง่ายๆ ไม่ว่าความเสื่อมทางศีลธรรมที่สร้างความตกตะลึงให้กับคอลัมนิสต์ชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายTyler Durden” แห่ง “ZeroHedge” ที่ต้องนำรายละเอียดเอามาแจกแจงไว้ถึง 11 เรื่อง ไม่ว่าเหตุการณ์ว่าด้วยการปล้น ฆ่า ข่มขืน ฯลฯ ชนิดตู้สินค้าบนเส้นทางรถไฟถูกปล้นเพิ่มขึ้นกว่าปี ค.ศ. 2023 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ร้านอาหารดังๆ อย่าง “McDonald” ถึงกับต้องปิดตัวเองในย่านบรู๊คลินเพราะทนบรรดาวัยรุ่นอเมริกันไม่ไหว เด็กๆ ระดับอายุแค่ไม่กี่ปีถูกข่มขืนไม่เว้นแต่ละวัน ฯลฯ และนั่นยังไม่รวมไปถึงความรุนแรงจากการแบ่งขั้ว แบ่งข้าง ทางการเมือง ที่ทำให้กระทั่งประธานเสนาธิการทหารผิวสี อย่าง “พลเอกCharls Brown” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สนับสนุนพวกขบวนการผิวสี หรือพวก “Black Lives Matter” (BLM) ที่เคยก่อความรุนแรงหลังชาวอเมริกันผิวดำ อย่าง “George Floyd” ถูกตำรวจเอาเข่ากดคอจนเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ในช่วงปี ค.ศ. 2020 เลยต้องถูกปลดจากตำแหน่งซะดื้อๆ!!! และด้วยการแบ่งขั้วแบ่งข้างทางการเมืองในลักษณะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้เกิดความพยายาม “ลอบสังหารทรัมป์บ้า” มาแล้วถึง 3 ครั้ง 3 คราด้วยกัน ไม่ว่าตั้งแต่การ “ยิงเฉี่ยวหู” ขณะหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ช่วงเดือนก.ค.ปี 2024 แอบซุ่มอยู่สนามกอล์ฟของรีสอร์ต “Mar-a-Lago” ช่วงเดือนกันยาปีเดียวกัน แต่เผอิญเจ้าหน้าที่เห็นกระบอกปืนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้เลยจับได้ไล่ทันก่อนลงมือ ส่วนครั้งที่สามถูกรวบตัวก่อนมุ่งตรงไปยังพื้นที่หาเสียงของ “ทรัมป์บ้า” ณ เมืองโคเรลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่พกปืนลูกซองติดตัวไปด้วย อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้โอกาสที่จะเกิดการ “ลอบสังหารครั้งที่ 4” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะถ้าหากยังไม่คิดจะลดราวาศอก ในการเล่นงานพวก “Deep State” ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสที่ “America Great Again” หรือจะ “Dead Again” เลยน่าจะเป็นไปแบบที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละ ออกไปทาง 50-50 หรือถ้าหากไม่ “เจ๊ง” ก็คงได้แค่ “เจ๊า” เท่านั้นเอง ไม่ถึงกับยิ่งใหญ่ระดับคับโลก คับฟ้า ครอบโลก ครองโลก แบบเดิมๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
    0 Comments 0 Shares 726 Views 0 Reviews
  • #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร

    เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID

    * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ
    เซอร์เบีย
    https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862

    * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014
    https://antac.org.ua/en/support/#chart-section
    ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้

    * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ
    https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/

    * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา

    *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?*
    กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
    https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html
    มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021
    https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html

    * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html

    ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส

    #Soros #USAID

    https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    #USAID หรือ #SorosAid? เงินภาษีของสหรัฐฯ ก่อให้เกิดความวุ่นวายทั่วโลกได้อย่างไร เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของโซรอสใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2000 ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ผู้สังเกตการณ์คาดเดาว่าเงินภาษีของประชาชนชาวอเมริกันหลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์ถูกโอนผ่าน USAID * สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกที่เชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์จาก USAID เพื่อมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และ เซอร์เบีย https://www.usaspending.gov/search/?hash=f8df1e8a19cac4b4ed2fd44fbe8d9862 * ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 https://antac.org.ua/en/support/#chart-section ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ขับไล่ Viktor Yanukovych ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งออกไปด้วยการสนับสนุนจากนีโอนาซี USAID ได้โอนเงินกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับศูนย์แห่งนี้ * ในเดือนสิงหาคม 2024 มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และโซรอส เป็นผู้ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่ทรายกันว่าเป็นพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของประชาชนสหรัฐฯ ถูกใช้เป็นทุนสำหรับแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่ม LGBT* เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอำนาจ https://thegrayzone.com/2024/09/30/us-plot-destabilize-bangladesh/ * โซรอส และ USAID พยายามที่จะโค่นนายกรัฐมนตรีฮังการี Viktor Orban มานานแล้ว ซึ่งต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์อย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในช่วงการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ที่มีความเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์ให้กับฝ่ายค้านของเขา *การแทรกแซงการเลือกตั้งภายในประเทศ?* กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับโซรอส ที่ได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำความพยายามต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี https://sputnikglobe.com/20240912/how-to-steal-an-election-us-conservatives-expose-democrats-playbook-ahead-of-2024-vote-1120119743.html มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิการเลือกตั้งในปี 2020–2021 https://sputnikglobe.com/20210304/devil-is-in-the-details-why-americans-need-to-know-more-about-black-lives-matters-90-mln-earnings-1082253390.html * โซรอสเป็นผู้ให้ทุนโครงการ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และมอบเงิน 22 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 https://sputnikglobe.com/20220206/scam-alert-black-lives-matters-financial-bonanza-finally-put-under-microscope-1092806570.html ไมก์ เบนซ์ นักข่าวของ USAID อ้างว่า USAID และโซรอสใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์ในการฟ้องร้องทรัมป์ นอกจากนี้ อัลวิน แบร็กก์ อัยการแมนฮัตตัน ยังถูกกล่าวหาว่าถูกซื้อตัวโดย โซรอส #Soros #USAID https://sputnikglobe.com/20250207/usaid-or-sorosaid-how-us-tax-dollars-fund-chaos-worldwide-1121545540.html
    0 Comments 0 Shares 534 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยว่ากำลังสั่งการให้บุคลากรเกือบทั้งหมดทั่วโลก ยกเว้นจำนวนหนึ่งของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) หยุดงานแบบได้รับค่าจ้างและกำจัดตำแหน่งงานเหล่านี้ราว 2,000 อัตราในอเมริกา ตามรายงานของรอยเตอร์อ้างอิงประกาศแจ้งที่ส่งถึงเจ้าหน้าที่ขององค์กรแห่งนี้
    .
    ไม่นานก่อนเที่ยงคืนวันอาทิตย์ (23 ก.พ) ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ บุคลากรทุกคนที่จ้างงานโดยตรงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ยกเว้นพวกเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นสำหรับหน้าที่การงานสำคัญๆ จะถูกสั่งให้หยุดงาน ในขณะเดียวกันหน่วยงานแห่งนี้จะเริ่มนำนโบบายลดกำลังคนไปปฏิบัติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบุคลากรของ USAID ในอเมริการาว 2,000 คน
    .
    ทำเนียบขาวยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้
    .
    กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลของมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ เป็นแกนนำในความพยายามล้างบาง USAID กลไกหลักของสหรัฐฯ ในการมอบความช่วยเหลือแก่ต่างชาติ และเป็นเครื่องมือ "ซอฟต์เพาเวอร์" อันสำคัญยิ่งของสหรัฐฯ สำหรับแผ่ขยายอิทธิพลในต่างแดน
    .
    เมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) ผู้พิพากษาศาลกลางรายหนึ่ง เปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าสั่งเจ้าหน้าที่ของ USAID หลายพันคนลางาน สร้างความผิดหวังแก่สหภาพลูกจ้างรัฐบาลที่กำลังยื่นฟ้องร้องในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นความพยายามขุดรุกถอนโคนหน่วยงานแห่งนี้
    .
    "รัฐบาลนี้และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่มองการณ์ไกลในตัดลดศักยภาพและความเชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ในตอบสนองต่อวิกฤตต่างๆ" มาร์เซีย หว่อง อดีตเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของ USAID "ครั้งที่โรคระบาดเกิดขึ้น ประชาชนไร้ถิ่นฐาน พวกผู้เชี่ยวชาญของ USAID อยู่ในภาคสนามและประจำการเป็นชุดแรก เข้าช่วยประคับประคองไม่ให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพและมอบความช่วยเหลือ"
    .
    ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ สั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง หยุดป้อนเงินอุดหนุนสำหรับทุกสิ่งอย่างไล่ตั้งแต่โครงการต่อสู้กับความอดอยากและโรคติดต่อร้ายแรง ไปจนถึงจัดหาศูนย์พักพิงแก่คนไร้ถิ่นฐานหลายล้านคนทั่วโลก
    .
    รัฐบาลทรัมป์อนุมัติข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือรวมกว่า 5,300 ล้านดอลลาร์ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นโครงการด้านความมั่นคงและต่อต้านยาเสพติด ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือบรรทุกข์ด้านมนุษย์จำนวนหนึ่งอย่างจำกัด รอยเตอร์รายงานอ้างอิงเอกสารที่พบเห็น
    .
    อย่างไรก็ตาม โครงการต่างๆ ของ USAID ได้รับข้อยกเว้นมีไม่ถึง 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับงบประมาณบริหารโครงการต่างๆ ในแต่ละปีของ USAID ตกปีละราว 40,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนถูกแช่แข็ง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017985
    ..............
    Sondhi X
    รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยว่ากำลังสั่งการให้บุคลากรเกือบทั้งหมดทั่วโลก ยกเว้นจำนวนหนึ่งของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) หยุดงานแบบได้รับค่าจ้างและกำจัดตำแหน่งงานเหล่านี้ราว 2,000 อัตราในอเมริกา ตามรายงานของรอยเตอร์อ้างอิงประกาศแจ้งที่ส่งถึงเจ้าหน้าที่ขององค์กรแห่งนี้ . ไม่นานก่อนเที่ยงคืนวันอาทิตย์ (23 ก.พ) ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ บุคลากรทุกคนที่จ้างงานโดยตรงของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ยกเว้นพวกเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นสำหรับหน้าที่การงานสำคัญๆ จะถูกสั่งให้หยุดงาน ในขณะเดียวกันหน่วยงานแห่งนี้จะเริ่มนำนโบบายลดกำลังคนไปปฏิบัติ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบุคลากรของ USAID ในอเมริการาว 2,000 คน . ทำเนียบขาวยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวนี้ . กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลของมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ เป็นแกนนำในความพยายามล้างบาง USAID กลไกหลักของสหรัฐฯ ในการมอบความช่วยเหลือแก่ต่างชาติ และเป็นเครื่องมือ "ซอฟต์เพาเวอร์" อันสำคัญยิ่งของสหรัฐฯ สำหรับแผ่ขยายอิทธิพลในต่างแดน . เมื่อวันศุกร์ (21 ก.พ.) ผู้พิพากษาศาลกลางรายหนึ่ง เปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์เดินหน้าสั่งเจ้าหน้าที่ของ USAID หลายพันคนลางาน สร้างความผิดหวังแก่สหภาพลูกจ้างรัฐบาลที่กำลังยื่นฟ้องร้องในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นความพยายามขุดรุกถอนโคนหน่วยงานแห่งนี้ . "รัฐบาลนี้และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ไม่มองการณ์ไกลในตัดลดศักยภาพและความเชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ในตอบสนองต่อวิกฤตต่างๆ" มาร์เซีย หว่อง อดีตเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของ USAID "ครั้งที่โรคระบาดเกิดขึ้น ประชาชนไร้ถิ่นฐาน พวกผู้เชี่ยวชาญของ USAID อยู่ในภาคสนามและประจำการเป็นชุดแรก เข้าช่วยประคับประคองไม่ให้เกิดภาวะไร้เสถียรภาพและมอบความช่วยเหลือ" . ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ สั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง หยุดป้อนเงินอุดหนุนสำหรับทุกสิ่งอย่างไล่ตั้งแต่โครงการต่อสู้กับความอดอยากและโรคติดต่อร้ายแรง ไปจนถึงจัดหาศูนย์พักพิงแก่คนไร้ถิ่นฐานหลายล้านคนทั่วโลก . รัฐบาลทรัมป์อนุมัติข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือรวมกว่า 5,300 ล้านดอลลาร์ที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นโครงการด้านความมั่นคงและต่อต้านยาเสพติด ในนั้นรวมถึงความช่วยเหลือบรรทุกข์ด้านมนุษย์จำนวนหนึ่งอย่างจำกัด รอยเตอร์รายงานอ้างอิงเอกสารที่พบเห็น . อย่างไรก็ตาม โครงการต่างๆ ของ USAID ได้รับข้อยกเว้นมีไม่ถึง 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับงบประมาณบริหารโครงการต่างๆ ในแต่ละปีของ USAID ตกปีละราว 40,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนถูกแช่แข็ง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000017985 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    10
    0 Comments 0 Shares 1814 Views 0 Reviews
  • ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์"
    ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ
    .
    ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ?
    .
    ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!”
    .
    การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว
    .
    สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ
    .
    ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM)
    .
    ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?"
    .
    จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป
    "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ
    .
    นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
    .
    "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง
    .
    ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ
    • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ
    • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม
    • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂
    • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว
    • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน
    • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555
    • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา
    รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด
    • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด
    .
    สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    ยูเครนชนะกี่โมง? ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ฟันธงรัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ . ย้อนฟัง "ช่อ พรรณิการ์" ยอดนักวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศสายส้ม วิเคราะห์สงครามยูเครนแบบมั่นหน้า ด้วยการฟันธงว่า รัสเซียแพ้แน่นอน แพ้ย่อยยับ ปูตินจะถูกรัฐประหารเงียบ จนชาวเน็ตผู้มาจากอนาคตเข้าไปรุมคอมเมนต์เดือด เตือนความทรงจำ ถามเมื่อไหร่รัสเซียจะแพ้-ยูเครนจะชนะ? . ในสถานการณ์ทางการเมืองโลกที่ผันผวนภายหลังการยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันนานกว่า 90 นาทีระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 โดยในประเด็นสงครามยูเครนนั้น นายทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวภายหลังว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะยุติสงครามไร้สาระนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยการสังหารและการทำลายล้างที่ไม่จำเป็นเลย ขอพระเจ้าอวยพรประชาชนชาวรัสเซียและยูเครน!” . การเริ่มต้นพูดคุยระหว่าง ทรัมป์และปูติน อันนำมาสู่เหตุการณ์เมื่อ วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 สหรัฐฯ และรัสเซียนำโดย นายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และ นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งดำเนินการเปิดโต๊ะการเจรจาเกี่ยวกับยูเครนกันเพียง 2 ฝ่าย อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยปราศจากตัวแทนของยูเครน และชาติต่าง ๆ ในยุโรปร่วมโต๊ะเลย แม้แต่คนเดียว . สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความเดือดดาลให้กับนายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนและผู้นำชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างมาก เพราะการเปิดโต๊ะเจรจาดังกล่าวเป็นสัญญาณว่า ยูเครนและยุโรปน่าจะต้องตกเป็นเบี้ยล่าง และพ่ายแพ้ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางซากปรักหักพัง รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่เข้ารุมเร้าทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ การแย่งชิงบีบบังคับเอาทรัพยากรเพื่อชดใช้เงินช่วยเหลือในสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองภายใน รวมไปถึงปัญหาสังคมและผู้อพยพ ฯลฯ . ในส่วนของผู้ที่ติดตามข่าวสารเรื่องสงครามยูเครนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ได้มีผู้ย้อนไปหยิบยกการวิเคราะห์สถานการณ์สงครามยูเครนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดย น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ และอดีตเป็นพิธีกรรายการข่าวทางช่องวอยซ์ทีวี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งโฆษกคณะก้าวหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 หรือเกือบ 3 ปีที่แล้ว ได้วิเคราะห์เรื่องนี้เอาไว้ในยูทูปช่อง คณะก้าวหน้า - Progressive Movement ความยาวกว่า 25 นาที ในหัวเรื่องว่า "ช่อฟันธง! รัสเซียแพ้ย่อยยับ ปูตินชักศึกเข้าบ้าน!" (ลิงก์ >> https://www.youtube.com/watch?v=ytfIw1BHnEM) . ทั้งนี้ในรายการดังกล่าว "ช่อ พรรณิการ์" แห่งคณะก้าวหน้าได้กล่าวในตอนต้นว่า "ดิฉันขอฟันธง รัสเซียเธอแพ้แน่นอน นับวันแพ้ ทำไมถึงจะแพ้ เป็นเพราะอะไรเกิดอะไรขึ้น เป็นเพราะอะไร?" . จากนั้น อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ได้กล่าววิเคราะห์ต่อว่า สาเหตุที่รัสเซียจะพ่ายแพ้ต่อยูเครนและชาติพันธมิตรยุโรปนั้นมาจาก การบีบบังคับด้วยการใช้มาตรการทางเศรษฐกิจ-การเงินต่อยุโรป "มาตรการหลัก ๆ ที่ตอนนี้นำโดยสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ใช้อยู่จริง ๆ คือ มาตรการการเงิน ซึ่งมากไปกว่า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจการค้านะ แต่เรียกว่าเป็นการทุบค่าเงินและตัดตอนทางการเงินแบบขนานใหญ่ อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นานาประเทศตัดรัสเซียออกจากระบบการโอนเงินระหว่างประเทศ S.W.I.F.T., ระบบการเงินของธนาคารต่าง ๆ, มีการฟรีซแอสเสท หรือสินทรัพย์ของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงประกาศไม่ให้มีการค้าขายกับรัสเซีย ..." น.ส.พรรณิการ์กล่าว และวิเคราะห์ต่อว่า นี่เองเป็นสาเหตุที่ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียตกต่ำลงอย่างมาก จนแทบจะไม่มีค่า แทบจะกลายเป็นเศษกระดาษ . นอกจากนี้ ช่อ พรรณิการ์ ยังวิเคราะห์ต่ออย่างออกรสด้วยว่า ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดคือ ท่าทีของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เลือกจะทำตามมาตรการคว่ำบาตรของอียู คือ การอายัดทรัพย์สินของรัสเซียที่อยู่ในแบงก์สวิตเซอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยไม่ใช่แค่การอายัดเฉพาะทรัพย์สินของรัฐ แต่เป็นทรัพย์สินของเอกชน และมหาเศรษฐีต่าง ๆ ของรัสเซียที่เกี่ยวข้องกับนายปูตินด้วยจะเป็นปัจจัยชี้ขายให้รัสเซียและนายปูตินพ่ายแพ้อย่างแน่นอน . "ดิฉันคิดว่า เมื่อสวิตเซอร์แลนด์ทำขนาดนี้แล้ว ปูตินนับวันแพ้ได้เลยนะคะ" โฆษกคณะก้าวหน้าฟันธง . ล่วงเลยมาถึงวันนี้ เมื่อทีมงาน Sondhi X กลับไปสำรวจความเห็นของผู้ที่เข้ามาชมคลิปการวิเคราะห์สถานการณ์โลกดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ ทางยูทูปของคณะก้าวหน้าแล้วก็พบว่า มีผู้เข้าไปย้อนดูคลิปดังกล่าวและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น • สวัสดีเรามาจากอนาคต 2025 ตอนนี้ทรัมป์กับปูตินเจรจากันแล้วนะเรื่องยูเครนโดยไม่มีไอ้กี้ หรือใช้คำว่าไม่เห็นหัวไอ้กี้ ก็คงไม่ผิดนัก ส่วนไอ้กี้ก็หัวซุกหัวซุนเกาะยุโรปที่เหลืออย่างแนบแน่น จริงแล้วตอนนี้ ยูเครนต้องเลือกปธน.ใหม่แล้วนะ แต่ไอ้กี้ไม่ยอม และไม่ฟังเสียงปชช.เลย โคจรหวงอำนาจเลย ยังไงรบกวนคุณช่อประท้วงแทนปชช.ชาวยูเครนด้วยนะ หรือส่งให้ว่าที่ เลขา UN ด้วยนะครับ • เมื่อไรจะแพ้ รออยู่นะคับ • ทายแค่ ซ้ายขวายังผิดยังคิดจะมาบริหารประเทศ อายมั้ยส้ม • 20-2-2025 ทายผิดจนขนลุก ยูเครนเละโดนรุมทึ้งแบ่งเค้กผลประโยชน์ของชาติ แถมไม่มีสิทธิแม้แต่เข้าร่วมเจรจาสันติภาพเลือกชะตากรรมของชาติตัวเอง 😂 • ยูเครนชนะยังครับ รอจนเมื่อยแล้ว • สรุปทำไมวิเคราะห์ผิดหมดเลย ไม่มีข้อมูลเพียงพอรอบด้าน หรือไม่มีศักยภาพในการวิเคราะห์ ถ้าได้บริหารประเทศวิเคราะห์ผิดแบบนี้แย่แน่นอน • สวัสดีเรามาจากอนาคต สภาพ ผิดทุกเรื่องตรงข้ามทุกอย่าง 5555 • วิเคราะห์มาถึงขนาดนี้ ปัจจุบันคุณเห็นหรือยังใครเป็นคนทำสงคราม นาโต้ทำสงครามกับรัสเซีย ยูเครนเป็นสนามรบ ผู้สนับสนุนหลักคืออเมริกา รัสเซียบุกยูเครน ก็เพราะนาโต้ขยายอาณาเขตเข้ามาในยูเครน รัสเซียแค่ป้องกันตนเองจากกลุ่มนาโต้ มีหัวเรือเป็นสหรัฐอเมริกา ตัวตลกยูเครนคือหุ่นเชิด • ธงหักหมดแล้ว จากคนเคยเลือกและลาขาด . สำหรับคลิปการวิเคราะห์ดังกล่าวของช่อ พรรณิการ์ เรื่องสงครามยูเครน นับถึงเวลา 20.00น. ที่ผ่านมาของวันที่ 20 ก.พ. 68 มีผู้เข้าชมแล้วกว่า 1.49 ล้านครั้ง
    Haha
    Like
    7
    1 Comments 0 Shares 941 Views 0 Reviews
  • สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox
    18-2-2025
    วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
    บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่
    มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ
    ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น
    มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน
    "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974"
    มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?"
    แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox
    ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง
    ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้
    ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม
    ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย
    หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง
    มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948
    การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
    การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า
    สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น
    อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ
    ที่มา
    https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox 18-2-2025 วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่ มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974" มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?" แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้ ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948 การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ ที่มา https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 947 Views 0 Reviews
  • อีลอส มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้เป็นแกนนำในความพยายามปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง เตือนในวันอังคาร (11 ก.พ.) ว่าอเมริกาจะ "ล้มละลาย" หากไม่มีการตัดลดงบประมาณใดๆ
    .
    มัสก์ เป็นแกนนำความพยายามดังกล่าวภายใต้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เขาได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับ "การล้มละลาย" ระหว่างแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ออกคำสั่งเป็นชุดๆ เล็งเป้าลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง
    .
    ทั้งนี้ คำแถลงของมัสก์ เล็งเป้าอย่างเจาะจงไปที่ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของประเทศ ที่แตะระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณล่าสุด พร้อมบอกว่าการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ
    .
    อย่างไรก็ตาม รายงานของเอเอฟพีระบุว่าความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของทรัมป์เองกำลังพบว่าตนเองกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเผชิญหน้ากับศาลสหรัฐฯ เนื่องจากคณะผู้พิพากษากลางตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมทางกฎหมายของมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของทำเนียบขาว
    .
    แผนล้างบางของทรัมป์ ส่งผลกระทบให้หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องปิดปฏิบัติการ และพนักงานต้องกลับบ้าน โหมกระพือการต่อสู้ทางกฎหมายทั่วประเทศ โดยมีการยื่นฟ้องดำเนินคดีหลายคำร้อง ในความพยายามหาทางระงับสิ่งที่ฝ่ายคัดค้านให้คำจำกัดความว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    .
    เมื่อถูกถามในวันอังคาร (11 ก.พ.) เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน มัสก์ที่เป็นซีอีโอของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ซึ่งได้สัญญาจ้างต่างๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบกล่า เขาจะหาทางสร้างความโปร่งใสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    .
    ทีมปฏิรูปของ DOGE ได้ก่อความกังวลในหมู่พวกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการเงินของผู้คนหลายล้านคนในสหรัฐฯ ผ่านกระทรวงการคลัง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013983
    ..............
    Sondhi X
    อีลอส มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ให้เป็นแกนนำในความพยายามปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง เตือนในวันอังคาร (11 ก.พ.) ว่าอเมริกาจะ "ล้มละลาย" หากไม่มีการตัดลดงบประมาณใดๆ . มัสก์ เป็นแกนนำความพยายามดังกล่าวภายใต้กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เขาได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับ "การล้มละลาย" ระหว่างแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวร่วมกับประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ออกคำสั่งเป็นชุดๆ เล็งเป้าลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลาง . ทั้งนี้ คำแถลงของมัสก์ เล็งเป้าอย่างเจาะจงไปที่ตัวเลขขาดดุลงบประมาณของประเทศ ที่แตะระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณล่าสุด พร้อมบอกว่าการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ . อย่างไรก็ตาม รายงานของเอเอฟพีระบุว่าความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของทรัมป์เองกำลังพบว่าตนเองกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งการเผชิญหน้ากับศาลสหรัฐฯ เนื่องจากคณะผู้พิพากษากลางตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมทางกฎหมายของมาตรการตัดลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ของทำเนียบขาว . แผนล้างบางของทรัมป์ ส่งผลกระทบให้หน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนต้องปิดปฏิบัติการ และพนักงานต้องกลับบ้าน โหมกระพือการต่อสู้ทางกฎหมายทั่วประเทศ โดยมีการยื่นฟ้องดำเนินคดีหลายคำร้อง ในความพยายามหาทางระงับสิ่งที่ฝ่ายคัดค้านให้คำจำกัดความว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย . เมื่อถูกถามในวันอังคาร (11 ก.พ.) เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน มัสก์ที่เป็นซีอีโอของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ ซึ่งได้สัญญาจ้างต่างๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ตอบกล่า เขาจะหาทางสร้างความโปร่งใสให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ . ทีมปฏิรูปของ DOGE ได้ก่อความกังวลในหมู่พวกวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน จากการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการเงินของผู้คนหลายล้านคนในสหรัฐฯ ผ่านกระทรวงการคลัง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013983 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 Comments 0 Shares 2214 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุอเมริกาอาจแบกหนี้น้อยกว่าที่คิด และที่เป็นเช่นนั้นก็เพรามีการโกงที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินของกระทรวงการคลัง ในความคิดเห็นที่บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ระหว่างบินไปร่วมชมเกมซูเปอร์โบว์ล ในนิวออร์ลีนส์
    .
    ปัจจุบันตัวเลขหนี้สาธารณะของอเมริกาอยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลจากกระทรงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งรับบทบางกลางในระบบการเงินโลก
    .
    ทรัมป์ มอบหมายหน้าที่แก่มหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ภายใต้ความทะเยอทะยานยกเครื่องรัฐบาลกลาง ซึ่งโหมกระพือการประท้วงในวอชิงตัน และคำกล่าวหาต่างๆนานาว่ารัฐบาลของทรัมป์ กำลังละเมิดกฎหมาย
    .
    กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลของมัสก์ สร้างความวุ่นวายแก่ปฏิบัติการต่างๆของหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง และก่อความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคง เนื่องจากกำลังเข้าถึงบันทึกที่อ่อนไหวเกี่ยวกับการชำระเงินและการใช้จ่ายต่างๆนานา
    .
    "เราทำแม้กระทั่ง กำลังตรวจสอบกระทรวงการคลัง" ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเที่ยวบินแอร์ฟอร์ซวันในวันอาทิตย์(9ก.พ.) "อาจมีปัญญา คุณได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในเรื่องของกระทรวงการคลัง อาจมีประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ"
    .
    ทรัมป์บอกต่อว่าในด้านกระทรวงการคลัง "อาจมีหลายๆอย่างที่ยังไม่ถูกพิจารณาตรวจสอบ หรือในอีกคำพูดหนึ่งก็คือ บางอย่างในนั้นที่เราค้นพบคือมีการฉ้อโกงกันมากมาย เพราะฉะนั้นเราอาจมีหนี้น้อยกว่าที่เราคิด"
    .
    ความคิดเห็นของทรัมป์ในวันอาทิตย์(9ก.พ.) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก่อความถามว่าคณะทำงานของมัสก์ จะดำเนินการในรูปแบบใดในด้านการคลัง
    .
    ก่อนหน้านี้เมื่อวันเสาร์(8ก.พ.) ผู้พิพากษากลางรายหนึ่งขัดขวางคณะทำงานของมัสก์ จากการเข้าถึงระบบของรัฐบาล ที่ใช้ในกระบวนการชำระหนี้ล้านล้านดอลลาร์ อ้างถึงความเสี่ยงข้อมูลที่อ่อนไหวอาจถูกเปิดเผยอย่างไม่เหมาะสม
    .
    หลังจากมีคำพิพากษา มัสก์เผยว่าทางกระทรวงการคลังและกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เห็นพ้องกันกำหนดให้การชำระเงินของรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งหมด ต้องชี้แจงเหตุผลในรูปแบบของความเห็นรวมไว้ในนั้่นด้วย และจำเป็นต้องมีการจำแนกประเภท
    .
    "การฉ้อโกงและความสิ้นเปลืองทั้งหลายจะถูกขจัดออกไปแบบเรียลไทม์ รับประกันได้เลยว่าการคอร์รัปชันในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งจะถูกเปิดโปง" มัสก์โพสต์ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ บน X แพลตฟอร์มที่เขาเป็นเจ้าของ
    .
    การควบคุมระบบการชำระเงินของมัสก์ได้รับการอนุมัติจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ และผู้ที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามจะถูกกำจัด เช่นเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกพักงานหลังจากปฏิเสธที่จะมอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบให้กับมัสต์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    .
    อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์ บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าคณะทำงานของมัสก์ จะเข้าถึงระบบการชำระเงินเพียงเฉพาะการดูเท่านั้น และการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับการหยุดชำระเงิน จะดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นๆ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013149
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระบุอเมริกาอาจแบกหนี้น้อยกว่าที่คิด และที่เป็นเช่นนั้นก็เพรามีการโกงที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินของกระทรวงการคลัง ในความคิดเห็นที่บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินแอร์ฟอร์ซวัน ระหว่างบินไปร่วมชมเกมซูเปอร์โบว์ล ในนิวออร์ลีนส์ . ปัจจุบันตัวเลขหนี้สาธารณะของอเมริกาอยู่ที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ อ้างอิงข้อมูลจากกระทรงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งรับบทบางกลางในระบบการเงินโลก . ทรัมป์ มอบหมายหน้าที่แก่มหาเศรษฐีอีลอน มัสก์ ภายใต้ความทะเยอทะยานยกเครื่องรัฐบาลกลาง ซึ่งโหมกระพือการประท้วงในวอชิงตัน และคำกล่าวหาต่างๆนานาว่ารัฐบาลของทรัมป์ กำลังละเมิดกฎหมาย . กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลของมัสก์ สร้างความวุ่นวายแก่ปฏิบัติการต่างๆของหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่ง และก่อความกังวลด้านความเป็นส่วนตัวและความมั่นคง เนื่องจากกำลังเข้าถึงบันทึกที่อ่อนไหวเกี่ยวกับการชำระเงินและการใช้จ่ายต่างๆนานา . "เราทำแม้กระทั่ง กำลังตรวจสอบกระทรวงการคลัง" ทรัมป์บอกกับพวกผู้สื่อข่าวบนเที่ยวบินแอร์ฟอร์ซวันในวันอาทิตย์(9ก.พ.) "อาจมีปัญญา คุณได้อ่านข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในเรื่องของกระทรวงการคลัง อาจมีประเด็นปัญหาที่น่าสนใจ" . ทรัมป์บอกต่อว่าในด้านกระทรวงการคลัง "อาจมีหลายๆอย่างที่ยังไม่ถูกพิจารณาตรวจสอบ หรือในอีกคำพูดหนึ่งก็คือ บางอย่างในนั้นที่เราค้นพบคือมีการฉ้อโกงกันมากมาย เพราะฉะนั้นเราอาจมีหนี้น้อยกว่าที่เราคิด" . ความคิดเห็นของทรัมป์ในวันอาทิตย์(9ก.พ.) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก่อความถามว่าคณะทำงานของมัสก์ จะดำเนินการในรูปแบบใดในด้านการคลัง . ก่อนหน้านี้เมื่อวันเสาร์(8ก.พ.) ผู้พิพากษากลางรายหนึ่งขัดขวางคณะทำงานของมัสก์ จากการเข้าถึงระบบของรัฐบาล ที่ใช้ในกระบวนการชำระหนี้ล้านล้านดอลลาร์ อ้างถึงความเสี่ยงข้อมูลที่อ่อนไหวอาจถูกเปิดเผยอย่างไม่เหมาะสม . หลังจากมีคำพิพากษา มัสก์เผยว่าทางกระทรวงการคลังและกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เห็นพ้องกันกำหนดให้การชำระเงินของรัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ทั้งหมด ต้องชี้แจงเหตุผลในรูปแบบของความเห็นรวมไว้ในนั้่นด้วย และจำเป็นต้องมีการจำแนกประเภท . "การฉ้อโกงและความสิ้นเปลืองทั้งหลายจะถูกขจัดออกไปแบบเรียลไทม์ รับประกันได้เลยว่าการคอร์รัปชันในปริมาณที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหน่วยงานของรัฐหลายแห่งจะถูกเปิดโปง" มัสก์โพสต์ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ บน X แพลตฟอร์มที่เขาเป็นเจ้าของ . การควบคุมระบบการชำระเงินของมัสก์ได้รับการอนุมัติจากสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ และผู้ที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามจะถูกกำจัด เช่นเจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งที่ถูกพักงานหลังจากปฏิเสธที่จะมอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบให้กับมัสต์ ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ . อย่างไรก็ตาม เบสเซนต์ บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าคณะทำงานของมัสก์ จะเข้าถึงระบบการชำระเงินเพียงเฉพาะการดูเท่านั้น และการตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับการหยุดชำระเงิน จะดำเนินการโดยหน่วยงานอื่นๆ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013149 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    8
    1 Comments 0 Shares 1652 Views 0 Reviews
  • ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?”
    .
    CNNของสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (7 ก.พ.) ว่า นักข่าวชื่อดังประจำนิตยสารไทม์ส ไซมอน ชัสเตอร์ (Simon Schuster) และไบรอัน เบนเนตต์ (Brian Bennett) แสดงความเห็นว่า “มาจนถึงเวลานี้ มัสก์์ (อีลอน มัสก์) ดูเหมือนไม่อยู่ภายใต้ใครยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ให้อำนาจกวาดล้างแก่คนที่ช่วยให้เขาชนะเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำตามเป้าหมายของเขา”
    .
    โดยภาพปกฮือฮาและมีสีสันของนิตยสารไทม์สล่าสุดแสดงให้เห็นมหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวนั่งบริหารประเทศแทนทรัมป์
    .
    มือของมัสก์ถือแก้วกาแฟและเขานั่งระหว่างธงชาติสหรัฐฯ และธงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดฉากหลังสีแดงสด เป็นภาพปกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE ที่ตั้งใหม่โดยทรัมป์ให้มัสก์บริหาร และตามมาด้วยการสั่งปิด USAID และหมายตาเพื่อล้างบางไปที่หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อื่นอีก 14 แห่ง รวมกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์
    .
    CNN รายงานว่าขณะที่ทรัมป์เองวันศุกร์ (7) สั่งปลดผู้บริหารสูงสุดสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA แบบฟ้าผ่าจากเหตุผลเกี่ยวข้องกับคดีทรัมป์นำเอกสารลับทำเนียบขาว รวมจดหมายจากประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มาเก็บไว้ที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ที่รัฐฟลอริดา
    .
    และในวันเดียวกัน (7) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งทางบริหารสั่งตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้ อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (8)
    .
    โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติอย่างไม่ชอบธรรมต่อชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวพร้อมเสนอให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าไปลี้ภัยต่อในอเมริกา
    .
    เป็นการออกมาวิจารณ์ต่อกฎหมายที่ทรัมป์เห็นว่าไม่ชอบธรรมในการพริทอเรียเปิดโอกาสให้สามารถยึดที่ดินของแอฟริกันผิวขาวได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยาในบางกรณี
    .
    แอฟริกาใต้เป็นประเทศบ้านเกิดของอีลอน มัสก์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอเมริกาและเปลี่ยนสัญชาติในที่สุด พ่อของเขาคือ เออโรล มัสก์ (Errol Musk) ปัจจุบันอายุ 79 ปี และยังอาศัยอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า พ่อของเขาอ้างว่า ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ได้ร้องขอให้ช่วยประสานโทรศัพท์ติดต่อหารือระหว่างรามาโฟซา และลูกชายอีลอน มัสก์เกิดขึ้นก่อนข่าวสหรัฐฯ จะตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้อ้างเหตุกฎหมายที่ดินแอฟริกาใต้
    .
    โดยการทูตหลังบ้านแบบรีบด่วนหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ทางออนไลน์โดยไม่แสดงหลักฐานว่า แอฟริกาใต้กำลังยึดที่ดินและ “บางชนชั้น” กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย
    .
    CNN รายงานต่อว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่นิตยสารไทม์สขึ้นปก อีลอน มัสก์ หลังเมื่อพฤศจิกายนล่าสุดมีการขึ้นปกรูปเจ้าของบริษัทเทสลาพร้อมคำว่า “ประชาชนมัสก์” (Citizen Musk) แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้สำเร็จ
    .
    อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวถามทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7) ถึงปกนิตยสารไทม์สล่าสุดว่าเป็นเช่นใด
    .
    เขากลับตอบกลับมาว่า “นิตยสารไทม์สยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” และเสริมต่อว่า “ผมไม่รู้เลยนะนี่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013144
    ..............
    Sondhi X
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” . CNNของสหรัฐฯ รายงานวันศุกร์ (7 ก.พ.) ว่า นักข่าวชื่อดังประจำนิตยสารไทม์ส ไซมอน ชัสเตอร์ (Simon Schuster) และไบรอัน เบนเนตต์ (Brian Bennett) แสดงความเห็นว่า “มาจนถึงเวลานี้ มัสก์์ (อีลอน มัสก์) ดูเหมือนไม่อยู่ภายใต้ใครยกเว้นประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ที่ให้อำนาจกวาดล้างแก่คนที่ช่วยให้เขาชนะเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐฯ ทำตามเป้าหมายของเขา” . โดยภาพปกฮือฮาและมีสีสันของนิตยสารไทม์สล่าสุดแสดงให้เห็นมหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของเทสลาและสเปซเอ็กซ์ “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะทำงานประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาวนั่งบริหารประเทศแทนทรัมป์ . มือของมัสก์ถือแก้วกาแฟและเขานั่งระหว่างธงชาติสหรัฐฯ และธงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดฉากหลังสีแดงสด เป็นภาพปกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE ที่ตั้งใหม่โดยทรัมป์ให้มัสก์บริหาร และตามมาด้วยการสั่งปิด USAID และหมายตาเพื่อล้างบางไปที่หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ อื่นอีก 14 แห่ง รวมกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ . CNN รายงานว่าขณะที่ทรัมป์เองวันศุกร์ (7) สั่งปลดผู้บริหารสูงสุดสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติสหรัฐฯ NARA แบบฟ้าผ่าจากเหตุผลเกี่ยวข้องกับคดีทรัมป์นำเอกสารลับทำเนียบขาว รวมจดหมายจากประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ คิม จองอึน มาเก็บไว้ที่คฤหาสน์ Mar-a-Lago ที่รัฐฟลอริดา . และในวันเดียวกัน (7) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งทางบริหารสั่งตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้ อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันเสาร์ (8) . โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า เป็นการกีดกันทางเชื้อชาติอย่างไม่ชอบธรรมต่อชาวแอฟริกาใต้ผิวขาวพร้อมเสนอให้คนเหล่านั้นสามารถเข้าไปลี้ภัยต่อในอเมริกา . เป็นการออกมาวิจารณ์ต่อกฎหมายที่ทรัมป์เห็นว่าไม่ชอบธรรมในการพริทอเรียเปิดโอกาสให้สามารถยึดที่ดินของแอฟริกันผิวขาวได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเยียวยาในบางกรณี . แอฟริกาใต้เป็นประเทศบ้านเกิดของอีลอน มัสก์ ก่อนที่เขาจะย้ายไปอเมริกาและเปลี่ยนสัญชาติในที่สุด พ่อของเขาคือ เออโรล มัสก์ (Errol Musk) ปัจจุบันอายุ 79 ปี และยังอาศัยอยู่ที่แอฟริกาใต้ แต่เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงานว่า พ่อของเขาอ้างว่า ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา ได้ร้องขอให้ช่วยประสานโทรศัพท์ติดต่อหารือระหว่างรามาโฟซา และลูกชายอีลอน มัสก์เกิดขึ้นก่อนข่าวสหรัฐฯ จะตัดเงินช่วยเหลือแอฟริกาใต้อ้างเหตุกฎหมายที่ดินแอฟริกาใต้ . โดยการทูตหลังบ้านแบบรีบด่วนหลังผู้นำสหรัฐฯ ได้โพสต์ทางออนไลน์โดยไม่แสดงหลักฐานว่า แอฟริกาใต้กำลังยึดที่ดินและ “บางชนชั้น” กำลังได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้าย . CNN รายงานต่อว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่นิตยสารไทม์สขึ้นปก อีลอน มัสก์ หลังเมื่อพฤศจิกายนล่าสุดมีการขึ้นปกรูปเจ้าของบริษัทเทสลาพร้อมคำว่า “ประชาชนมัสก์” (Citizen Musk) แสดงให้เห็นถึงความเป็นคนที่ช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้งได้สำเร็จ . อย่างไรก็ตาม เมื่อนักข่าวถามทรัมป์ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ (7) ถึงปกนิตยสารไทม์สล่าสุดว่าเป็นเช่นใด . เขากลับตอบกลับมาว่า “นิตยสารไทม์สยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” และเสริมต่อว่า “ผมไม่รู้เลยนะนี่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013144 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Yay
    5
    0 Comments 0 Shares 1628 Views 0 Reviews
  • ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ไทม์ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?”

    ที่มา https://mgronline.com/around/detail/9680000013114?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3yTxNQVHxC50qqeZwlACSBJc8Utl__OFPbqoUIDCFYl6Klmpa7H3isaE4_aem_BgzsI5BZsYutCaHnKNVeeA#zaklu5vy65j3zc9a8vfjpindf4pwizkk
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ไทม์ยังทำธุรกิจอยู่อีกหรือ?” ที่มา https://mgronline.com/around/detail/9680000013114?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR3yTxNQVHxC50qqeZwlACSBJc8Utl__OFPbqoUIDCFYl6Klmpa7H3isaE4_aem_BgzsI5BZsYutCaHnKNVeeA#zaklu5vy65j3zc9a8vfjpindf4pwizkk
    MGRONLINE.COM
    จัดหนัก! ปกนิตยสารไทม์สส่ง “อีลอน มัสก์” นั่งบริหารหลังโต๊ะปธน.สหรัฐฯแทน “ทรัมป์” ในทำเนียบขาว อิทธิพลเพียบ! พ่อต่อสายให้รามาโฟซาคุยก่อนโดนตัดเงินช่วยแอฟริกาใต้
    ภาพหน้าปกนิตยสารไทม์สล่าสุดทำเอาจี๊ดเมื่อจับมหาเศรษฐีพันล้าน “อีลอน มัสก์” ขึ้นปกจัดให้นั่งหลังโต๊ะประธานาธิบดีสหรัฐฯในทำเนียบขาวบริหารอเมริกา นักข่าวใช้ไมโครโฟนจี้ถาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงภาพปกใหม่ โดนตอบกลับ “ยัง
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว
    .
    ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID
    .
    คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ
    .
    รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง
    .
    อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว
    .
    รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน
    .
    "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.)
    .
    เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้
    .
    ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!"
    .
    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย
    .
    การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง
    .
    ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน
    .
    ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว . ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID . คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ . รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง . อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว . รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน . "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.) . เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้ . ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!" . ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์ . กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย . การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง . ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน . ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1600 Views 0 Reviews
  • ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ขวางแผนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ของ USAID

    วันนี้ (8 ก.พ.2568) ผู้พิพากษาศาลแขวงในวอชิงตัน มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามสั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ในสังกัดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ที่เดิมจะมีผลภายใน 24.00 น.ของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หรือเวลา 12.00 น. วันนี้ในไทย

    ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวมีจำนวนพนักงานประมาณ 10,000 คน ซึ่งสองในสามทำงานในต่างประเทศ

    ตามแผนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก USAID จะเหลือพนักงานที่ทำงานต่อเพียง 611 คนเท่านั้น เนื่องจากมองว่ารายจ่ายในต่างประเทศไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน
    ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ขวางแผนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ของ USAID วันนี้ (8 ก.พ.2568) ผู้พิพากษาศาลแขวงในวอชิงตัน มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามสั่งพักงานพนักงาน 2,200 คน ในสังกัดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ที่เดิมจะมีผลภายใน 24.00 น.ของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ หรือเวลา 12.00 น. วันนี้ในไทย ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวมีจำนวนพนักงานประมาณ 10,000 คน ซึ่งสองในสามทำงานในต่างประเทศ ตามแผนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก USAID จะเหลือพนักงานที่ทำงานต่อเพียง 611 คนเท่านั้น เนื่องจากมองว่ารายจ่ายในต่างประเทศไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • เปิดสาเหตุ USAID จากเงินภาษีสหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งทุนของความวุ่นวายทั่วโลก

    ตั้งแต่ปี 2000 เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของจอร์จ โซรอส ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่า เงินภาษีของสหรัฐฯ หลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกโอนผ่าน USAID

    สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก USAID เพื่อใช้ในการมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และเซอร์เบีย

    ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานในยูเครน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้วิกเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งด้วยการสนับสนุนจาก USAID ที่โอนเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังศูนย์ดังกล่าว

    อีกด้านหนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2024) มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอส ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของสหรัฐฯ นำไปใช้สนับสนุนแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เพื่อสร้าง "การเปลี่ยนแปลงอำนาจ"

    มีรายงานว่า โซรอสและ USAID พยายามโค่นล้มวิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีมาเป็นเวลานานแล้ว หลังออร์บานต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์ผู้นี้มาอย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ซึ่งเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับฝ่ายค้านของออร์บาน

    ส่วนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอสซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำในการต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิรบในปี 2020–2021

    โซรอสจัดหาเงินทุนให้กับ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation เพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020
    ขณะเดียวกัน USAID และโซรอสถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินคดีต่อต้านทรัมป์ ตามที่ไมค์ เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกล่าวอ้าง นอกจากนี้ อัลวิน แบร็ก อัยการแมนฮัตตันยังถูกกล่าวหาว่าถูกโซรอส “ซื้อ” อีกด้วย

    https://www.imctnews.com/news_details-news-6608.html
    เปิดสาเหตุ USAID จากเงินภาษีสหรัฐฯ กลายเป็นแหล่งทุนของความวุ่นวายทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2000 เครือข่ายเอ็นจีโอขนาดใหญ่ของจอร์จ โซรอส ใช้เงินไปกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปกับกิจกรรมเสรีนิยมสุดโต่งทั่วโลก ซึ่งผู้สังเกตการณ์คาดว่า เงินภาษีของสหรัฐฯ หลายสิบล้านหรืออาจถึงพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อาจถูกโอนผ่าน USAID สถาบันการจัดการตะวันออก-ตะวันตกซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโซรอสได้รับเงินกว่า 260 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก USAID เพื่อใช้ในการมีอิทธิพลต่อกิจการต่างประเทศในจอร์เจีย ยูกันดา แอลเบเนีย และเซอร์เบีย ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของยูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโซรอส เริ่มได้รับเงินช่วยเหลือจาก USAID ในปี 2014 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดการรัฐประหารยูโรไมดานในยูเครน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้วิกเตอร์ ยานูโควิช ประธานาธิบดีที่ได้รับการเลือกตั้งต้องออกจากตำแหน่งด้วยการสนับสนุนจาก USAID ที่โอนเงินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไปยังศูนย์ดังกล่าว อีกด้านหนึ่ง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2024) มีการกล่าวหาว่ากลุ่ม USAID, IRI และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอส ก่อรัฐประหารต่อนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซินา โดยผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ มูฮัมหมัด ยูนุส เป็นที่รู้จักในฐานะพันธมิตรของคลินตันและโซรอส ตามรายงานของ The Grayzone เงินภาษีของสหรัฐฯ นำไปใช้สนับสนุนแร็ปเปอร์ นักเคลื่อนไหวข้ามเพศ และกลุ่มผู้หลากหลายทางเพศ เพื่อสร้าง "การเปลี่ยนแปลงอำนาจ" มีรายงานว่า โซรอสและ USAID พยายามโค่นล้มวิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีมาเป็นเวลานานแล้ว หลังออร์บานต่อต้านมหาเศรษฐีโลกาภิวัตน์ผู้นี้มาอย่างแข็งขันตั้งแต่ปี 2017 ในระหว่างการเลือกตั้งปี 2022 องค์กรพัฒนาเอกชน Action for Democracy ซึ่งเชื่อมโยงกับโซรอส ได้บริจาคเงิน 7.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับฝ่ายค้านของออร์บาน ส่วนในสหรัฐฯ กลุ่มที่เชื่อมโยงกับโซรอสซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก USAID เป็นผู้นำในการต่อต้านโดนัลด์ ทรัมป์ในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งปี 2020 ผ่านการประท้วง Black Lives Matter และทำงานเพื่อพลิกสถานการณ์ในรัฐที่เป็นสมรภูมิรบในปี 2020–2021 โซรอสจัดหาเงินทุนให้กับ Electoral Justice Project ซึ่งเป็นความพยายามระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้งของ Black Lives Matter และบริจาคเงิน 22 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้กับ Tides Advocacy ซึ่งสนับสนุนการประท้วงทั่วประเทศก่อนการเลือกตั้งของ Black Lives Matter Global Network Foundation เพื่อต่อต้านทรัมป์ในปี 2020 ขณะเดียวกัน USAID และโซรอสถูกกล่าวหาว่าใช้เงิน 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการดำเนินคดีต่อต้านทรัมป์ ตามที่ไมค์ เบนซ์ ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวกล่าวอ้าง นอกจากนี้ อัลวิน แบร็ก อัยการแมนฮัตตันยังถูกกล่าวหาว่าถูกโซรอส “ซื้อ” อีกด้วย https://www.imctnews.com/news_details-news-6608.html
    0 Comments 0 Shares 456 Views 0 Reviews
  • จนท.รัฐสังกัด USAID โดนสั่งไม่ต้องมาทำงานหลังข่าว 'ทรัมป์' ไฟเขียวสั่งปิด

    เจ้าหน้าที่องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ​ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ถูกสั่งว่าไม่ต้องเข้าตึกทำงานในวันจันทร์ ที่สำนักงานใหญ่กรุงวอชิงตัน

    สำนักข่าวเอพีรายงานข่าวนี้โดยอ้างเอกสารเเจ้งต่อเจ้าหน้าที่ USAID หลังจากที่มหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ที่ทำงานให้กับรัฐบาลในโครงการประหยัดงบประมาณกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตกลงกับเขาว่าสามารถปิดองค์กรดังกล่าวได้

    USAID พบว่าพนักงานกว่า 600 คนระบุว่าไม่สามารถเข้าระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ช่วงข้ามคืน

    ส่วนผู้ที่สามารถเข้าระบบได้ กล่าวว่ามีอีเมลที่ส่งถึงพวกตนที่ระบุว่า "ตามเเนวทางของผู้นำองค์กร" ตึกสำนักงานใหญ่จะถูกปิดลงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์

    ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์ กล่าวเช้าวันจันทร์ว่า เขาได้คุยกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว และว่าผู้นำสหรัฐฯ "ตกลงว่าเราสามารถปิดมันลงได้" โดย USAID เป็นองค์กรอายุ 60 ปีที่ทำงานด้านความช่วยเหลือและการพัฒนา

    มัสก์กล่าวผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “เป็นที่เห็นได้ว่า มันไม่ใช้แอปเปิลที่มีหนอนหนึ่งตัวอยู่ข้างใน…ที่เรามีอยู่ตอนนี้มันคือหนอนทั้งลูกเลย คุณจึงต้องกำจัดทั้งหมดไป มันเกินกว่าที่จะแก้ไขได้”

    “เรากำลังปิดมันลง” มัสก์กล่าว

    USAID เป็นที่หมายตาของผู้ที่ต้องการตัดลดงบประมาณมาระยะหนึ่งเเล้ว องค์กรนี้ดูเเลเรื่องโครงการพัฒนา งานด้านความมั่นคง และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในประเทศต่าง ๆ รวมแล้ว 120 ประเทศ

    ประธานาธิบดีทรัมป์ อิลอน มัสก์ ตลอดจนนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันในสภา ยังได้เคยวิจารณ์ USAID ว่าส่งเสริมงานที่มีเเนวคิดเสรีนิยม

    สำนักข่าวเอพีอ้างแหล่งข่าวที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ปัจจุบันอีกรายหนึ่ง ซึ่งบอกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลทรัมป์สั่งพักงานเจ้าหน้าที่สูงสุดด้านความปลอดภัยของ USAID สองราย หลังจากที่พวกเขาไม่ส่งมอบข้อมูลชั้นความลับในพื้นที่หวงห้าม ให้กับคณะทำงานตรวจสอบรัฐบาลของมัสก์

    ทั้งนี้ เว็บไซต์ของ USAID หายไปจากอินเตอร์เน็ตในวันเสาร์โดยไม่มีคำอธิบาย

    ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวคืนวันอาทิตย์ว่าองค์กรดังกล่าวบริหารงานโดย “คนบ้าหัวรุนเเรง” และว่า “เราจะเอาพวกเขาออกไป”

    รัฐบาลอเมริกันภายใต้ทรัมป์ ได้ใช้มาตรการระงับความช่วยเหลือต่างชาติครั้งใหญ่ และปิดโครงการจำนวนมากของ USAID ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำงานรูปแบบเดียวกันต้องปลดคนออกจากงาน หรือพักงานจำนวนมาก
    จนท.รัฐสังกัด USAID โดนสั่งไม่ต้องมาทำงานหลังข่าว 'ทรัมป์' ไฟเขียวสั่งปิด เจ้าหน้าที่องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ​ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ถูกสั่งว่าไม่ต้องเข้าตึกทำงานในวันจันทร์ ที่สำนักงานใหญ่กรุงวอชิงตัน สำนักข่าวเอพีรายงานข่าวนี้โดยอ้างเอกสารเเจ้งต่อเจ้าหน้าที่ USAID หลังจากที่มหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ที่ทำงานให้กับรัฐบาลในโครงการประหยัดงบประมาณกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตกลงกับเขาว่าสามารถปิดองค์กรดังกล่าวได้ USAID พบว่าพนักงานกว่า 600 คนระบุว่าไม่สามารถเข้าระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ช่วงข้ามคืน ส่วนผู้ที่สามารถเข้าระบบได้ กล่าวว่ามีอีเมลที่ส่งถึงพวกตนที่ระบุว่า "ตามเเนวทางของผู้นำองค์กร" ตึกสำนักงานใหญ่จะถูกปิดลงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์ กล่าวเช้าวันจันทร์ว่า เขาได้คุยกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว และว่าผู้นำสหรัฐฯ "ตกลงว่าเราสามารถปิดมันลงได้" โดย USAID เป็นองค์กรอายุ 60 ปีที่ทำงานด้านความช่วยเหลือและการพัฒนา มัสก์กล่าวผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “เป็นที่เห็นได้ว่า มันไม่ใช้แอปเปิลที่มีหนอนหนึ่งตัวอยู่ข้างใน…ที่เรามีอยู่ตอนนี้มันคือหนอนทั้งลูกเลย คุณจึงต้องกำจัดทั้งหมดไป มันเกินกว่าที่จะแก้ไขได้” “เรากำลังปิดมันลง” มัสก์กล่าว USAID เป็นที่หมายตาของผู้ที่ต้องการตัดลดงบประมาณมาระยะหนึ่งเเล้ว องค์กรนี้ดูเเลเรื่องโครงการพัฒนา งานด้านความมั่นคง และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในประเทศต่าง ๆ รวมแล้ว 120 ประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ อิลอน มัสก์ ตลอดจนนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันในสภา ยังได้เคยวิจารณ์ USAID ว่าส่งเสริมงานที่มีเเนวคิดเสรีนิยม สำนักข่าวเอพีอ้างแหล่งข่าวที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ปัจจุบันอีกรายหนึ่ง ซึ่งบอกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลทรัมป์สั่งพักงานเจ้าหน้าที่สูงสุดด้านความปลอดภัยของ USAID สองราย หลังจากที่พวกเขาไม่ส่งมอบข้อมูลชั้นความลับในพื้นที่หวงห้าม ให้กับคณะทำงานตรวจสอบรัฐบาลของมัสก์ ทั้งนี้ เว็บไซต์ของ USAID หายไปจากอินเตอร์เน็ตในวันเสาร์โดยไม่มีคำอธิบาย ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวคืนวันอาทิตย์ว่าองค์กรดังกล่าวบริหารงานโดย “คนบ้าหัวรุนเเรง” และว่า “เราจะเอาพวกเขาออกไป” รัฐบาลอเมริกันภายใต้ทรัมป์ ได้ใช้มาตรการระงับความช่วยเหลือต่างชาติครั้งใหญ่ และปิดโครงการจำนวนมากของ USAID ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำงานรูปแบบเดียวกันต้องปลดคนออกจากงาน หรือพักงานจำนวนมาก
    0 Comments 0 Shares 321 Views 0 Reviews
  • 'มัสก์' จวกระบบสื่อสหรัฐฯ! ชี้ 5 ผู้ทรงอิทธิพล มหาเศรษฐีครองอำนาจสื่อกระแสหลักสหรัฐฯ ผูกขาดอำนาจกรองข่าวสารเบ็ดเสร็จ


    https://www.imctnews.com/news_details-news-6525.html

    อีลอน มัสก์ จุดประเด็นร้อนวิพากษ์วิจารณ์การกระจุกตัวของอำนาจสื่อในสหรัฐอเมริกา ระบุมีผู้ทรงอิทธิพลเพียง 5 คนที่ควบคุมและกรองข้อมูลข่าวสารทั้งหมด

    นำโดย ไบรอัน แอล โรเบิร์ตส์ ประธานและซีอีโอของ Comcast Corporation ที่ครอบครองเครือข่าย NBC, MSNBC, CNBC, Universal Pictures และ Peacock

    ด้านตระกูล Disney มีคริสติน แมคคาร์ธี และบ็อบ ไอเกอร์ ควบคุม ABC, ESPN, Disney+, Hulu รวมถึงค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Pixar, Marvel และ Lucasfilm

    ขณะที่ชารี เรดสโตน แห่ง Paramount Global กุมบังเหียน CBS, MTV, Nickelodeon และ Paramount Pictures
    ส่วนตระกูลเมอร์ด็อกครอบครอง Fox Corporation และ News Corporation รวมถึง Wall Street Journal

    ตระกูลเฮิร์สต์เจ้าของ Hearst Communications ที่ควบคุมหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังถือหุ้นใน A&E Networks และ ESPN ร่วมกับ Disney

    สะท้อนการผูกขาดอำนาจสื่อที่ส่งผลต่อการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการรับรู้ของประชาชนชาวอเมริกันในชีวิตประจำวัน
    'มัสก์' จวกระบบสื่อสหรัฐฯ! ชี้ 5 ผู้ทรงอิทธิพล มหาเศรษฐีครองอำนาจสื่อกระแสหลักสหรัฐฯ ผูกขาดอำนาจกรองข่าวสารเบ็ดเสร็จ https://www.imctnews.com/news_details-news-6525.html อีลอน มัสก์ จุดประเด็นร้อนวิพากษ์วิจารณ์การกระจุกตัวของอำนาจสื่อในสหรัฐอเมริกา ระบุมีผู้ทรงอิทธิพลเพียง 5 คนที่ควบคุมและกรองข้อมูลข่าวสารทั้งหมด นำโดย ไบรอัน แอล โรเบิร์ตส์ ประธานและซีอีโอของ Comcast Corporation ที่ครอบครองเครือข่าย NBC, MSNBC, CNBC, Universal Pictures และ Peacock ด้านตระกูล Disney มีคริสติน แมคคาร์ธี และบ็อบ ไอเกอร์ ควบคุม ABC, ESPN, Disney+, Hulu รวมถึงค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney, Pixar, Marvel และ Lucasfilm ขณะที่ชารี เรดสโตน แห่ง Paramount Global กุมบังเหียน CBS, MTV, Nickelodeon และ Paramount Pictures ส่วนตระกูลเมอร์ด็อกครอบครอง Fox Corporation และ News Corporation รวมถึง Wall Street Journal ตระกูลเฮิร์สต์เจ้าของ Hearst Communications ที่ควบคุมหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังถือหุ้นใน A&E Networks และ ESPN ร่วมกับ Disney สะท้อนการผูกขาดอำนาจสื่อที่ส่งผลต่อการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการรับรู้ของประชาชนชาวอเมริกันในชีวิตประจำวัน
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 498 Views 0 Reviews
  • "ทรัมป์ฟันฉับ! ตัดงบ USAID ทุบเครือข่าย Soros – สื่อฝ่ายค้านฮังการีสะดุ้ง!"

    เนื้อข่าว:
    สื่อต่อต้านรัฐบาลฮังการีกำลังร้อนเป็นไฟ หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ากลุ่ม NGO และสื่อฮังการีที่เชื่อมโยงกับมหาเศรษฐี George Soros ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นว่าความ "อิสระ" ของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์…แต่อยู่ที่งบหนุนจากต่างชาติ

    "Soros หมดฤทธิ์! เมื่อเงินหนุนฝ่ายค้านฮังการีถูกตัดขาด"

    Balázs Orbán ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของนายกรัฐมนตรีฮังการี ได้แฉว่าหนึ่งในสื่อฝ่ายค้านรายใหญ่ของประเทศไม่พอใจอย่างหนัก หลังสูญเสียแหล่งทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามว่า "สื่อที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลต่างชาติ จะเรียกว่าอิสระได้อย่างไร?"

    ด้าน Elon Musk นักธุรกิจพันล้านและที่ปรึกษาคนสนิทของทรัมป์ รีโพสต์ข้อความของ Orbán พร้อมซัดแรงว่า "ฝ่ายซ้ายสุดโต่งของสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่ออุ้มพรรคการเมืองและสื่อฝ่ายซ้ายทั่วโลก!" ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์

    "เครือข่าย Soros สะเทือน! USAID โดนทรัมป์เชือด"

    คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้กระทบแค่สื่อฝ่ายค้าน แต่ยังส่งผลไปถึง NGO ฮังการีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ George Soros ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนหลักผ่าน USAID และสถานทูตสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ David Pressman

    ก่อนหน้านี้ ในวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ สถานทูตสหรัฐฯ ที่บูดาเปสต์เคยประกาศแจกจ่ายงบกว่า 200 ล้านฟอรินต์ (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับกลุ่มสื่อและ NGO ผ่านโครงการ Free Media Tender ซึ่งขณะนี้ถูกสั่งระงับ สื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 444, Jelen, G7, Magyar Hang และ Transparency International
    Mérték Media Monitor ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลโครงการนี้ยืนยันว่า "ใช่ โครงการนี้ถูกระงับแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอ ไม่มีการทำสัญญาหรือรับเงินเพิ่มเติม"

    "ตัดท่อน้ำเลี้ยง! สื่อและ NGO ในเครือข่าย Soros โดนเท"

    การระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศครั้งนี้ถือเป็นหมัดหนักที่โจมตีเครือข่ายของ Soros ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทสำคัญในการใช้เงินทุนเพื่อผลักดันแนวคิดเสรีนิยมทั่วโลก ทรัมป์เคยเตือนหลายครั้งว่า USAID ไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย

    "ตัดเงินสนับสนุน = เปิดโปงความจริง!" ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่านี่คือการคืนความโปร่งใสให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดการใช้เงินภาษีอุ้มกลุ่มการเมืองต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายค้านฮังการีและ NGO ที่เคยได้รับทุนต่างออกมาโวยวายว่าการตัดงบนี้คือการทำลาย "ประชาธิปไตย"

    อย่างไรก็ตาม คำถามที่ชัดเจนขึ้นก็คือ "ถ้าต้องพึ่งเงิน Soros และรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอด... ยังกล้าเรียกตัวเองว่าสื่ออิสระหรือ?"

    .
    https://web.facebook.com/share/p/1WpNbXhfxE/
    "ทรัมป์ฟันฉับ! ตัดงบ USAID ทุบเครือข่าย Soros – สื่อฝ่ายค้านฮังการีสะดุ้ง!" เนื้อข่าว: สื่อต่อต้านรัฐบาลฮังการีกำลังร้อนเป็นไฟ หลังอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศจาก USAID และสถานทูตสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้เงินทุนที่เคยไหลเข้ากลุ่ม NGO และสื่อฮังการีที่เชื่อมโยงกับมหาเศรษฐี George Soros ต้องหยุดชะงัก สะท้อนให้เห็นว่าความ "อิสระ" ของพวกเขาอาจไม่ได้อยู่ที่อุดมการณ์…แต่อยู่ที่งบหนุนจากต่างชาติ "Soros หมดฤทธิ์! เมื่อเงินหนุนฝ่ายค้านฮังการีถูกตัดขาด" Balázs Orbán ผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของนายกรัฐมนตรีฮังการี ได้แฉว่าหนึ่งในสื่อฝ่ายค้านรายใหญ่ของประเทศไม่พอใจอย่างหนัก หลังสูญเสียแหล่งทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามว่า "สื่อที่ต้องพึ่งพาเงินจากรัฐบาลต่างชาติ จะเรียกว่าอิสระได้อย่างไร?" ด้าน Elon Musk นักธุรกิจพันล้านและที่ปรึกษาคนสนิทของทรัมป์ รีโพสต์ข้อความของ Orbán พร้อมซัดแรงว่า "ฝ่ายซ้ายสุดโต่งของสหรัฐฯ ใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่ออุ้มพรรคการเมืองและสื่อฝ่ายซ้ายทั่วโลก!" ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นกระแสร้อนในโลกออนไลน์ "เครือข่าย Soros สะเทือน! USAID โดนทรัมป์เชือด" คำสั่งของทรัมป์ไม่ได้กระทบแค่สื่อฝ่ายค้าน แต่ยังส่งผลไปถึง NGO ฮังการีที่มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของ George Soros ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนหลักผ่าน USAID และสถานทูตสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ David Pressman ก่อนหน้านี้ ในวันเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ สถานทูตสหรัฐฯ ที่บูดาเปสต์เคยประกาศแจกจ่ายงบกว่า 200 ล้านฟอรินต์ (ประมาณ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับกลุ่มสื่อและ NGO ผ่านโครงการ Free Media Tender ซึ่งขณะนี้ถูกสั่งระงับ สื่อที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 444, Jelen, G7, Magyar Hang และ Transparency International Mérték Media Monitor ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลโครงการนี้ยืนยันว่า "ใช่ โครงการนี้ถูกระงับแล้ว ตอนนี้เราได้แต่รอ ไม่มีการทำสัญญาหรือรับเงินเพิ่มเติม" "ตัดท่อน้ำเลี้ยง! สื่อและ NGO ในเครือข่าย Soros โดนเท" การระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศครั้งนี้ถือเป็นหมัดหนักที่โจมตีเครือข่ายของ Soros ซึ่งถูกวิจารณ์ว่ามีบทบาทสำคัญในการใช้เงินทุนเพื่อผลักดันแนวคิดเสรีนิยมทั่วโลก ทรัมป์เคยเตือนหลายครั้งว่า USAID ไม่ได้ทำหน้าที่ช่วยเหลือเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย "ตัดเงินสนับสนุน = เปิดโปงความจริง!" ฝ่ายสนับสนุนทรัมป์มองว่านี่คือการคืนความโปร่งใสให้กับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และลดการใช้เงินภาษีอุ้มกลุ่มการเมืองต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายค้านฮังการีและ NGO ที่เคยได้รับทุนต่างออกมาโวยวายว่าการตัดงบนี้คือการทำลาย "ประชาธิปไตย" อย่างไรก็ตาม คำถามที่ชัดเจนขึ้นก็คือ "ถ้าต้องพึ่งเงิน Soros และรัฐบาลสหรัฐฯ มาตลอด... ยังกล้าเรียกตัวเองว่าสื่ออิสระหรือ?" . https://web.facebook.com/share/p/1WpNbXhfxE/
    0 Comments 0 Shares 486 Views 0 Reviews
  • มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กล่าวโจมตีสำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) เรียกหน่วยงานแห่งนี้ว่าเป็น "องค์กรก่อการร้าย" หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนไหวระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศของวอชิงตันเป็นเวลา 3 เดือน
    .
    หลังจากระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นรัฐบาลของทรัมป์ ได้ออกประกาศมอบข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือด้านอาการและมนุษยธรรมอื่นๆ แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือบอกว่าคำสั่งดังกล่าวยังคงนำพามาซึ่งความไม่แน่นอน และกลุ่มคนอ่อนแอที่สุดในโลกบางส่วนเริ่มสัมผัสได้ถึงผลกระทบของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    ทรัมป์ มอบหมายให้ มัสก์ รับผิดชอบด้านการตัดลดคนงานรัฐบาลและปรับลดในสิ่งที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้เรียกว่าเป็นการใช้จ่ายที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น ภายใต้หน้ากากของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งเวลานี้กำลังเล่นงาน USAID ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
    .
    "USAID คือองค์กรอาชญากรรม" มัสก์ เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเอง ตอบกลับวิดีโอหนึ่งที่กล่าวอ้างว่า USAID เกี่ยวข้องกับ "งานเกเรของ CIA" และ "เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต"
    .
    ข้อความในโพสต์ต่อมา มัสก์เน้นย้ำในคำกล่าวหานี้ แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาถามผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ 215 ล้านคน "คุณรู้หรือไม่ว่า USAID ใช้ภาษีเงินดอลลาร์ของคุณเป็นทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 ที่เข่นฆ่าผู้คนหลายล้านคน"
    .
    มีรายงานว่า ทรัมป์ ต้องการดึง USAID ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานอิสระ เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการต่างประเทศ แต่พอสำนักข่าวเอเอฟพีติดต่อสอบถามในเรื่องนี้ ทางคณะทำงานของทรัมป์ ยังไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว
    .
    เอเอฟพียืนยันว่าเวลานี้เว็บไซต์ของ USAID หยุดให้บริการแล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งระงับการช่วยเหลือต่างประเทศและองค์การพัฒนาทั่วโลก ทำให้ต้องมีการพักงาน เลิกจ้าง และปิดโครงการต่างๆ หลายพันโครงการ
    .
    USAID เป็นองค์กรอิสระที่ถูกจัดตั้งขึ้นในนามของสภาคองเกรส ทำหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณกว่า 42,800 ล้านดอลลาร์ ที่มีเจตนาบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมและมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ทั่วโลก
    .
    คริส เมอร์ฟีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากเดโมแครต วิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของทรัมป์ ว่าเทียบเท่ากับเป็นการทำลายล้างองค์กรแห่งนี้โดยสิ้นเชิง
    .
    ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของ USAID จำนวน 2 ราย ถูกบังคับให้ลางาน หลังจากพวกเขาห้ามเจ้าหน้าที่จากกระทรวง DOGE ของมัสก์ เข้าถึงเอกสารลับ ส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างกว้างขวางในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010780
    ..................
    Sondhi X
    มหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ กล่าวโจมตีสำนักงานพัฒนาการระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ในวันอาทิตย์ (2 ก.พ.) เรียกหน่วยงานแห่งนี้ว่าเป็น "องค์กรก่อการร้าย" หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคลื่อนไหวระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศของวอชิงตันเป็นเวลา 3 เดือน . หลังจากระงับเงินช่วยเหลือต่างประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นับตั้งแต่นั้นรัฐบาลของทรัมป์ ได้ออกประกาศมอบข้อยกเว้นบางส่วนสำหรับเงินช่วยเหลือด้านอาการและมนุษยธรรมอื่นๆ แต่บรรดาเจ้าหน้าที่ด้านความช่วยเหลือบอกว่าคำสั่งดังกล่าวยังคงนำพามาซึ่งความไม่แน่นอน และกลุ่มคนอ่อนแอที่สุดในโลกบางส่วนเริ่มสัมผัสได้ถึงผลกระทบของมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . ทรัมป์ มอบหมายให้ มัสก์ รับผิดชอบด้านการตัดลดคนงานรัฐบาลและปรับลดในสิ่งที่ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันรายนี้เรียกว่าเป็นการใช้จ่ายที่เปล่าประโยชน์และไม่จำเป็น ภายใต้หน้ากากของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (Department of Government Efficiency - DOGE) ซึ่งเวลานี้กำลังเล่นงาน USAID ซ้ำแล้วซ้ำเล่า . "USAID คือองค์กรอาชญากรรม" มัสก์ เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเอง ตอบกลับวิดีโอหนึ่งที่กล่าวอ้างว่า USAID เกี่ยวข้องกับ "งานเกเรของ CIA" และ "เซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ต" . ข้อความในโพสต์ต่อมา มัสก์เน้นย้ำในคำกล่าวหานี้ แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาถามผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ 215 ล้านคน "คุณรู้หรือไม่ว่า USAID ใช้ภาษีเงินดอลลาร์ของคุณเป็นทุนวิจัยอาวุธชีวภาพ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 ที่เข่นฆ่าผู้คนหลายล้านคน" . มีรายงานว่า ทรัมป์ ต้องการดึง USAID ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานอิสระ เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดของกระทรวงการต่างประเทศ แต่พอสำนักข่าวเอเอฟพีติดต่อสอบถามในเรื่องนี้ ทางคณะทำงานของทรัมป์ ยังไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว . เอเอฟพียืนยันว่าเวลานี้เว็บไซต์ของ USAID หยุดให้บริการแล้ว หลังจากที่ ทรัมป์ สั่งระงับการช่วยเหลือต่างประเทศและองค์การพัฒนาทั่วโลก ทำให้ต้องมีการพักงาน เลิกจ้าง และปิดโครงการต่างๆ หลายพันโครงการ . USAID เป็นองค์กรอิสระที่ถูกจัดตั้งขึ้นในนามของสภาคองเกรส ทำหน้าที่บริหารจัดการงบประมาณกว่า 42,800 ล้านดอลลาร์ ที่มีเจตนาบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมและมอบความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแก่ทั่วโลก . คริส เมอร์ฟีย์ สมาชิกวุฒิสภาจากเดโมแครต วิพากษ์วิจารณ์คำสั่งของทรัมป์ ว่าเทียบเท่ากับเป็นการทำลายล้างองค์กรแห่งนี้โดยสิ้นเชิง . ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของ USAID จำนวน 2 ราย ถูกบังคับให้ลางาน หลังจากพวกเขาห้ามเจ้าหน้าที่จากกระทรวง DOGE ของมัสก์ เข้าถึงเอกสารลับ ส่วนหนึ่งในความพยายามอย่างกว้างขวางในการตรวจสอบงบประมาณของรัฐบาล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010780 .................. Sondhi X
    Like
    Haha
    11
    0 Comments 0 Shares 1537 Views 0 Reviews
  • แล้วดูคนจีนตอนนี้...หรือ คนจีนที่ไทย หรือทั่วโลก..ในอนาคตจะแซงอเมริกาแล้ว...ไม่ใช่จีนแบบเก่าที่ copy อย่างเดียว...แต่เป็นการ copy and development ต่อยอดไปอีก...
    ..กลับเข้าเรื่อง ..ทำไมเราไหว้เจ้า ตามคนจีจีน ดูฮวงจุ้ยตามคนอื่น..เคารพเทพของจีน..และคามอย่างอีกหลายความเชื่อ และวิถีปฏิบัติแบบจีน....เพราะ ..เขาสำเร็จ เขารวย...ไง...เราไม่รู้หรอกอันไหนให้ผลบ้าง...แค่กรณี เลข 8 ...ของคนจีน..มีมาช้านาน...ไปดูมหาเศรษฐีในประเทศสิ ..ใช้เลข 8 กันไม่น้อย...
    แล้วดูคนจีนตอนนี้...หรือ คนจีนที่ไทย หรือทั่วโลก..ในอนาคตจะแซงอเมริกาแล้ว...ไม่ใช่จีนแบบเก่าที่ copy อย่างเดียว...แต่เป็นการ copy and development ต่อยอดไปอีก... ..กลับเข้าเรื่อง ..ทำไมเราไหว้เจ้า ตามคนจีจีน ดูฮวงจุ้ยตามคนอื่น..เคารพเทพของจีน..และคามอย่างอีกหลายความเชื่อ และวิถีปฏิบัติแบบจีน....เพราะ ..เขาสำเร็จ เขารวย...ไง...เราไม่รู้หรอกอันไหนให้ผลบ้าง...แค่กรณี เลข 8 ...ของคนจีน..มีมาช้านาน...ไปดูมหาเศรษฐีในประเทศสิ ..ใช้เลข 8 กันไม่น้อย...
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี แนะนำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อช่องแคบอังกฤษเป็น "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่งเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา
    .
    ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเองเมื่อวันเสาร์ (25 ม.ค.) มัสก์ เสนอ "ชื่อใหม่สำหรับน่านน้ำที่กั้นกลางระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส" โดยแชร์ภาพถ่ายของช่องแคบแห่งนี้ พร้อมกับเขียนข้อความ "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" ทับบนช่องแคบ
    .
    ดูเหมือนว่าโพสต์ข้อมัสก์จะเป็นการล้อเล่นขำๆ แต่มันมีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ พันธมิตรทางการเมืองใกล้ชิดของมัสก์ ออกคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และเปลี่ยนชื่อยอดเขาเดนาลี ในรัฐอะแลสกา กลับมาเป็นภูเขาแม็คคินลีย์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมช่วงก่อนหน้าปี 2015 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านั้น ได้รับการยืนยันจากกระทรวงมหาดไทยของอเมริกาเมื่อวันศุกร์ (24 ม.ค.)
    .
    นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศซ้ำๆ ถึงความตั้งใจให้ได้มาซึ่งเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวที่จะเป็นการขยายชายฝั่งทะเลอาร์กติกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ล่าสุด ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเสาร์ (25 ม.ค.) หลังพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เมตเต เฟรเดอริกเซน​​ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า "ผมคิดว่าเรากำลังได้มันมา"
    .
    ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ยังชี้แนะหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของอเมริกา
    .
    ชาวโรมันเรียกช่องแคบอังกฤษว่า "Mare Britannicum" หรือ "ทะเลของชาวบริตัน" มันถูกเรียกกันทั่วไปว่าช่องแคบอังกฤษตั้งแต่ยุคกลาง แม้ว่าในฝรั่งเศสจะเรียกว่า "La Manche" หรือ "The Sleeve" เนื่องจากรูปทรงของมัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008691
    ..............
    Sondhi X
    อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีเทคโนโลยี แนะนำให้สหรัฐฯ เปลี่ยนชื่อช่องแคบอังกฤษเป็น "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา หลังจากก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เพิ่งเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา . ในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของเขาเองเมื่อวันเสาร์ (25 ม.ค.) มัสก์ เสนอ "ชื่อใหม่สำหรับน่านน้ำที่กั้นกลางระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส" โดยแชร์ภาพถ่ายของช่องแคบแห่งนี้ พร้อมกับเขียนข้อความ "ช่องแคบจอร์จ วอชิงตัน" ทับบนช่องแคบ . ดูเหมือนว่าโพสต์ข้อมัสก์จะเป็นการล้อเล่นขำๆ แต่มันมีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ พันธมิตรทางการเมืองใกล้ชิดของมัสก์ ออกคำสั่งให้เปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา และเปลี่ยนชื่อยอดเขาเดนาลี ในรัฐอะแลสกา กลับมาเป็นภูเขาแม็คคินลีย์ ซึ่งเป็นชื่อเดิมช่วงก่อนหน้าปี 2015 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านั้น ได้รับการยืนยันจากกระทรวงมหาดไทยของอเมริกาเมื่อวันศุกร์ (24 ม.ค.) . นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศซ้ำๆ ถึงความตั้งใจให้ได้มาซึ่งเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนปกครองตนเองของเดนมาร์ก ความเคลื่อนไหวที่จะเป็นการขยายชายฝั่งทะเลอาร์กติกของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก ล่าสุด ทรัมป์ บอกกับพวกผู้สื่อข่าวในวันเสาร์ (25 ม.ค.) หลังพูดคุยทางโทรศัพท์กับ เมตเต เฟรเดอริกเซน​​ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า "ผมคิดว่าเรากำลังได้มันมา" . ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ยังชี้แนะหลายต่อหลายครั้งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ว่า แคนาดา ควรเข้ามาเป็นรัฐหนึ่งของอเมริกา . ชาวโรมันเรียกช่องแคบอังกฤษว่า "Mare Britannicum" หรือ "ทะเลของชาวบริตัน" มันถูกเรียกกันทั่วไปว่าช่องแคบอังกฤษตั้งแต่ยุคกลาง แม้ว่าในฝรั่งเศสจะเรียกว่า "La Manche" หรือ "The Sleeve" เนื่องจากรูปทรงของมัน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008691 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    4
    1 Comments 0 Shares 1307 Views 0 Reviews
More Results