• #เมื่อยิวถามจีนว่า
    ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส
    ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี

    “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“

    นี่คือคำตอบ

    (แปลโดย SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ

    ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว...

    สองวันที่ผ่านมา
    Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน
    ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า..

    ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้..
    สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป...

    ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร
    แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง!

    เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน!

    เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 )

    สวัสดีครับคุณ Enge...
    ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า
    "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"...

    แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด...

    ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย..

    ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น
    ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี..

    แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี...

    แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน!
    แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan..
    แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว..
    ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน...

    แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
    เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว)

    แต่แน่นอน
    หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย

    ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง
    หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา

    ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง

    อย่างไรก็ดี
    ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้
    นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน
    เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่

    ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น
    คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง
    แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น)

    ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น
    มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร
    ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

    เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้
    ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว

    "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา

    ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย

    ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน
    แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง
    จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์

    อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ
    แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง

    หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด
    ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง
    ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย..

    ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว

    แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน
    ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก
    แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์

    กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด
    ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ

    แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan
    จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด
    ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก

    นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม
    ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ

    เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน
    แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ

    กระนั้นก็ดี
    พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด

    ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน..
    จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น

    ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้
    เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น
    แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน

    คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน

    John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ

    จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค
    จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน
    ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe

    ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี
    โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน..

    ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์

    ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว..
    เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ

    ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน
    ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง..
    แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า...

    หลายปีต่อมา
    เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย..
    เธอตอบว่า.."ไม่เลย"..

    เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright!

    ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996..
    M. Albright กล่าวว่า
    การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น
    เป็นสิ่งที่คุ้มค่า!
    ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ
    เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง
    ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ

    นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า..
    การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว!

    ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์
    มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า..
    "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"...

    ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน..
    ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว!

    ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน

    แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก..
    และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans)

    พวกคุณชาวยิว
    ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ

    สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ!

    ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า

    "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน
    พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน..
    ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“

    บทความนี้น่าสนใจมาก
    เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้

    ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง
    อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้

    ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้
    ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม
    เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น
    และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า
    “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“
    ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ?
    ......
    (แปลโดย : SB-22/07/24)
    ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    #เมื่อยิวถามจีนว่า ทำไมไม่ช่วยอิสรา.เอล​รบกับ ฮามา.ส ลองฟังคับตอบ ประชาชนจีนที่รู้ประวัติศาสตร์​อ่านแล้วถึงกับอึง ยาวหน่อย แต่เป็นความรู้ระดับ #พันปี “เมื่อ Ross อเมริกันเชื้อสายยิวกล่าวโจมตี ทำไม จีน ไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตี ฮามาส“ นี่คือคำตอบ (แปลโดย SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ ประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของชนชาติยิว... สองวันที่ผ่านมา Ross อดีตประธานภาคพื้นเอเซียแปซิฟิคของ พรรครีพับริกัน ได้สร้างข่าวพาดหัวด้วยการ กล่าวหา ชาวจีน ที่เล่นอินเตอร์เนต ว่า ไม่มีความเห็นอกเห็นใจชาวยิว อันเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กาซ่า.. ต่อมา มีชาวเนตจีนรายหนึ่ง เข้ามาเห็น จึงเขียนบทความอย่างยืดยาว เพื่อสอนบทเรียนทาง ประวัติศาสตร์ แก่ชาวอเมริกันยิวคนนี้.. สรุปว่า ต่อมา Ross ได้แอบลบบทวิจารณ์นี้ทิ้งไป... ไม่มีใครรู้ว่าผู้เขียนบทความโต้แย้งชายจีนผู้นี้เป็นใคร แต่ อย่างไรก็ตาม ข้อเขียนของเขาได้หลุดรอดออกมา และ ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง! เป็นข้อเขียนที่ทุกคนต้องอ่าน! เพราะเป็นการตอบโต้ที่แข็งกร้าวของชาวเนตจีน..( 11 กค. 2024 ) สวัสดีครับคุณ Enge... ผมรู้สึกช๊อคไปกับคำพูดของคุณที่ว่า "หากโลกจะสนใจช่วยชาวยิวในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW II)ืชาวยิวหกล้านคนก็คงไม่ถูกสังหาร"... แต่นี่ คงมิใช่ เหตุผล หรือ ทำให้กองทัพยิว มีสิทธิที่จะก่อสงครามล้างเผ่าพันธุ์ต่อชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าแต่อย่างใด... ยิ่งไปกว่า มันไม่เป็นความจริงด้วย.. ในระหว่าง WW II นั้น ชาวจีนในเซี่ยงไฮ้ และ นานจิง กำลังถูกรุกราน และ ถูกสังหารหมู่ โดยกองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวยิวถูกฆ่าโดยนาซี.. แต่กระนั้นก็ดี แม้ชาวจีนจะประสบเคราะห์กรรมขนาดนั้น ก็ยังยินดีรับเอาชาวยิวกว่า 50,000 คน ที่อพยพไปยังประเทศจีนเพื่อหนีภัยจากนาซี... แต่วิธีตอบแทนแบบยิวก็คือ การร่วมมือกับญี่ปุ่น เพื่อสร้างทรัฐชาวยิว ขึ้นในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน! แผนงานนี้เป็นที่เลื่องลือในนามของ Pufferfish Plan.. แต่ก็โชคร้าย ซึ่งในที่สุดแผนการณ์นี้ล้มเหลว.. ทำให้นิทานเรื่องชาวนาและงูเห่า ไม่อาจเกิดเป็นจริงได้ในแผ่นดินจีน... แต่ที่เหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อราวสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่คนของสถานทูตอิสราเอล ได้กล่าวอ้างอย่างเปิดเผยผ่านทางรูปถ่ายว่า ที่ตั้งของสถานทูตที่อยู่บนถนนในเซี่ยงไฮ้ เกิดจากการยินยอมให้ใช้ของฝรั่งเศส!(ทั้งที่เรื่องกฏหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ถูกยกเลิกไปนานแล้ว) แต่แน่นอน หากพูดถึงสัมพันธภาพระหว่างจีน กับ ชาวยิว ย่อมมีอะไรที่มากไปกว่านั้นมากมาย ชาวยิวได้ร่อนเร่มายังประเทศจีนตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ซ่ง หรือ ราวพันปีที่ผ่านมา และ ได้ตั้งถิ่นฐานในจีนตั้งแต่นั้นมา ราชวงศ์ซ่ง ปกครองอาณาจักรจีนโบราณ ที่ถือกันว่าสมบูรณ์พูนสุขิและ ร่ำรวยที่สุดราชวงศ์หนึ่ง อย่างไรก็ดี ในกาลต่อมา เมื่อราชวงศ์ซ่งล่มสลาย ผู้คนอพยพหนีภัยไปทางทิศใต้ นักธุรกิจชาวยิว ที่มีชื่อสกุล Pu ได้ใช้กำลังทหารส่วนตัว เข่นฆ่าชาวเมืองจำนวนมากที่เคยเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง แล้วนำศพไปให้กองทัพของราชวงศ์ หยวน เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของการยอมรับในอำนาจของผู้ปกครองชาว มงโกล รายใหม่ ในหลายสิบปีหลังจากนั้น ราชวงศ์ จูหยวนจาง ได้โค่นราชวงศ์หยวนลง และ จัดตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น คนจีนที่สืบเชื้อสายจากชาวฮั่น จึงกลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง แต่ก็มิได้ขับไล่ชุมชนชาวยิวกลุ่มทรยศเหล่านี้ออกไป (ทั้งที่ได้เข่นฆ่าชาวจีนไปมากก่อนหน้านั้น) ต่อมา ในสมัยประวัติศาสตร์ช่วงการเกิดสงครามฝิ่น มีนักธุรกิจชาวยิว ตระกูล Sassoon ได้นำฝิ่นจำนวนมากมาจำหน่ายเพื่อหวังผลกำไร ทำให้ชาวจีนติดฝิ่นกันงอมแงม ประชากรชาวจีน อ่อนแอ และ ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก.. คุณ (Mr Ross)เคยใช้ชีวิตอยู่ในเอเซียมาหลายปี น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี เหตุการณ์ สงครามฉนวนกาซ่าในครั้งนี้ ชาวจีน มิได้รู้สึกเห็นใจ ชาวยิว เพราะชาวจีน มีการศึกษาเรื่องคุณธรรม ร่วมสามพันปีมาแล้ว "Shangshu" วรรณกรรมคลาสิกที่ยังเหลืออยู่ของจีน ที่เขียนขึ้นมาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาลหรือราว 3,000 ปีพอดี ซึ่งคงเป็นระยะเวลาเดียวกับที่ชาวยิวถูกขับไล่ออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) และเป็นชนชาติเร่ร่อนตั้งแต่นั้นมา ถ้าคุณ( Mr. Ross )คุ้นเคย กับอดีต และ ประวัติศาสตร์ ชาวยิว ของคุณ คุณก็ควรรับรู้และตระหนักถึงมันด้วย ชาวอียิปต์ ยอมรับ ชาวยิว เข้าไปในดินแดนของตน แต่ ชาวยิว กลับทรยศ ต่อชาวอียิปต์ หลายต่อหลายครั้ง จนในที่สุด ชาวยิว ก็ถูกเข่นฆ่าและ ขับไล่ออกไปจากดินแดนอียิปต์โดย กษัตริย์ฟาโรห์ อาณาจักรโรมัน ยอมรับ ชาวยิว เป็นส่วนหนึ่งของโรมัน ถึงขนาดจัดตั้งชุมชนให้เป็น กลุ่มก้อน โดยเฉพาะ แต่ ชาวยิว กลับถือโอกาสก่อการกบฎ ในช่วงเวลาที่กษัตริย์ Trajan มุ่งขยายดินแดนไปทางตะวันออก และ กองกำลังความมั่นคงในโรมันอ่อนแอลง หลังจาก ชาวยิว สังหารกองกำลังโรมัน ที่มีอยู่น้อยนิด ชาวยิว ก็บุกสังหาร พลเรือนชาวโรมัน อย่างบ้าคลั่ง ถึงขนาด เฉือนเอาผิวหนังมาทำเสื้อผ้า กินเนื้อเป็นอาหาร และ โยนซากศพไปเป็นอาหารของสัตว์ดุร้าย.. ในเมือง Cyprus Salamis และ Libya พลเรือนชาวโรมันราว 220,000 คน ถูกสังหารโดย ชาวยิว แม้ต่อหน้าพลเรือนชาวโรมัน ชาวยิวดูจะทารุณโหดร้ายมาก แต่ในที่สุดกษัตริย์ Trajan ใช้กำลังทหารเพียงสองชุด ก็สามารถทวงคืนอำนาจจากชาวยิวได้อย่างสมบูรณ์ กองทัพโรมันที่โกรธแค้นได้เคลื่อนทัพจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ไปตามฝั่ง ตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน..จนทำให้ชาวยิวที่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้ถูกเข่นฆ่าจนเกือบหมด ต่อมา ชาวยิว ก็ก่อกบฎอีกครั้ง ครววนี้ มุ่งสังหารผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะ แต่ครั้งนี้ โชคไม่เข้าข้างชาวยิว เมื่อต้องพบกับกษัตริย์ Hadrian ผู้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดคนหนึ่งของกรุงโรม ผู้ที่ได้ระดมกำลังทหาร 120,000 นาย เข้าจัดการสังหาร ชาวยิว ที่ก่อการกบฎได้อย่างเบ็ดเสร็จ กษัตริย์ Hadrian ได้ศึกษาบทเรียนจากยุคสมัยของกษัตริย์ Trajan จึงได้ยกเลิก ชุมชนชาวยิว เสียทั้งหมด ทำให้ชาวยิวต้องอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และ แตกกระสานซ่านเซ็นไปทั่วโลก นอกจากนั้น ยังมีจักรพรรดิ Titus ผู้บุกทำลาย และ สังหาร ชาวยิวในกรุงเยลูซาเล็ม ที่เคยเป็น Second Temple จนปัจจุบันเหลือเพียง Western Wall (หรือที่เรียกว่า กำแพงร้องไห้)ที่ชาวยิวใช้เป็นที่สวดมนต์ไปติดต่อพระเจ้าฯ เป็นเวลานับพันปี ที่ชาวยิว ต้องถูก เข่นฆ่า และ ขับออกนอกประเทศต่างๆนับครั้งไม่ถ้วน แต่ พวกคุณ ชาวยิว ก็ได้ทรยศต่อ ชาติต่างๆ จำนวนไม่น้อย ที่เห็นอกเห็นใจต่อความยากลำบากของพวกคุณ กระนั้นก็ดี พวกคุณ ก็ยังคงโอหัง เชื่อว่า ชนชาติตน เป็นชนชาติอภิสิทธิ์ ที่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ และ เชื่อว่า เป็น ชนชาติ ที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ให้เป็นใหญ่กว่าชนชาติอื่นใด ทำให้ ชาวไซออนนิสยิว ไม่เคยตระหนักถึงอดีตของตน.. จนเป็นที่สรุปกันแล้วว่า วัฒนธรรมของชนชาติยิว มีลักษณะที่เข้ากับใครยาก และ ไม่ยอมปรับตัวเข้าหาวัฒนธรรมอื่น ความเชื่อของชาวยิวเหล่านี้ จะใช้กับคนจีนไม่ได้ เพราะ คนจีนมีหลักการด้านคุณธรรมของตนเอง และ ไม่เคยคิดว่าชนชาติตนเหนือกว่าคนชนะชาติอื่น แต่จะปฏิบัติต่อคนชาติอื่น อย่างเท่าเทียมกัน และ ไม่เกรงกลัวต่อชนชาติอื่น ที่คิดว่าเหนือกว่าชาวจีน คนจีน จะมีความ อดทน อดกลั้น มีความละอายใจ มีความกตัญญูรู้คุณ และ รู้จักตอบแทนบุญคุณคน John Rabe อดีตนาซี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยช่วยชีวิตชาวจีนที่นานจิง คนจีนที่รู้เรื่องนี้ จะนึกถึงบุญคุณของเขาเสมอ จากเหตุการณ์ เมื่อสองปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาล สถานที่ที่หลานของ John Rabe ทำงานอยู่ เกิดการขาดแคลนยารักษาโรค จึงร้องขอความช่วยเหลือไปยังสถานทูตจีนในเยอรมัน ปรากฏว่า ชาวจีนต่างช่วยกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กันอย่างแข็งขัน ด้วยความสำนึกในพระคุณในอดีต ของ John Rabe ในช่วง WW II ประธานของสภากาชาดแห่งสวีเดน เคยช่วยเหลือเชลยถึง 35,000 คน จากค่ายกักกันของนาซี โดยในจำนวนนี้เป็นชาวยิวถึง 6,000 คน.. ต่อมา เมื่อเขาถูกยูเอ็น ส่งไปเป็นผู้แทน เพื่อยืนยันประเด็นที่เกี่ยวกับขอบเขตดินแดนในกรุงเยรูซาเล็ม ที่กำหนดขึ้นใหม่ระหว่างอิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ปรากฏว่าเขาถูกยิงถึงหกนัดและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากมือสังหารชาวยิว.. เพียงเพราะ เขาพูดถึง "ความยุติธรรม" เพียงไม่กี่คำ ในระหว่าง WW II เช่นเดียวกัน ประเทศยูโกสลาเวีย เคยช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงชาวยิวไว้คนหนึ่ง.. แต่ 50 ปีต่อมา เธอกลับเป็นคนสั่งให้ทิ้งระเบิดยูโกสลาเวียอย่างไม่เลือกหน้า... หลายปีต่อมา เมื่อเธอ ถูกผู้สื่อข่าวถามในระหว่างการให้สัมภาษณ์ว่า เธอรู้สึกเสียใจบ้างหรือไม่ กับการสั่งทิ้งระเบิดยูโกสลาเวีย.. เธอตอบว่า.."ไม่เลย".. เธอผู้นั้น คือ อดีตสตรีที่เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ คนแรกของสหรัฐ..Madeleine Albright! ในการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes ในปี1996.. M. Albright กล่าวว่า การที่สหรัฐแซงชั่นอิรัค(สมัยซัดดัม) ซึ่งได้สังหารเด็กชาวอิรัคไปกว่าครึ่งล้าน (เพราะขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค)นั้น เป็นสิ่งที่คุ้มค่า! ทั้งๆที่ การบุกเข้ายึดครองอิรัคเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐอ้างว่า อิรัคกำลังผลิตอาวุธทำลายล้าง ด้วยการนำเสนอเพียงภาพ “ผงซักฟอก” ในสื่อ ว่าคือ “สารเคมี” ที่ใช้สร้างอาวุธชีวภาพ นาง M. Albright กล่าวอย่างโจ่งแจ้งท้าทายว่า.. การเข่นฆ่าเด็กนับล้าน เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแล้ว! ในปี 1947 เมื่อชาวยิว อพยพทางเรือมายังดินแดนปาเลสไตน์ มีการเขียนข้างลำเรือไว้ว่า.. "คนเยอรมันได้ทำลายบ้านเรือนของเรา โปรดอย่าทำลายความหวังของเราอีก"... ด้วยความเมตตา ชาวปาเลสไตน์ยอมรับชาวยิวอพยพเข้าสู่ดินแดนของตน.. ในที่สุด ชาวยิว อ้างในภายหลังว่า ดินแดน ปาเลสไตน์ นี้ เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา- Promised Land ของพวกเราชนชาติยิว! ตลอดเวลากว่า 70 ปี ที่ชาวไซออนนิสต์ยิว ได้สังหารชาวปาเลสไตน์ ผู้ที่เมตตา และ ยินยอมให้ชาวยิวเข้ามาตั้งถิ่นฐานต่อเนื่องยาวนาน แต่ ชาวยิว กลับมาเนรคุณ สร้างอาณาจักรแห่งการเหยียดผิว ที่เปรียบเสมือนเรือนจำกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก.. และ ยังปฏิบัติ ต่อชาวปาเลสไตน์เยี่ยงสัตว์ (subhumans) พวกคุณชาวยิว ยังจะต้องการความเห็นอกเห็นใจอีกมากแค่ไหน คุณจึงจะพอใจ สำหรับการไม่รู้จักบุญคุณคน และ จากข้อมูลใน ประวัติศาสตร์ที่พวกคุณตอบแทนความเมตตา และ ตอบแทนการยอมรับของคนชาติอื่นด้วยการทรยศ ด้วยการพร้อมที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาติอื่นที่เคยช่วยเหลือพวกคุณ ชาวยิว อีกหรือ! ประโยคหนึ่ง ที่เขียนในวรรณกรรมคลาสสิก ของจีน ที่ชื่อว่า..“การเดินหน้าเข้าสู่ตวามตาย” (The Death March)...กล่าวว่า "ประเทศเล็ก ที่ไม่ตระหนักในตนเอง ไม่เคารพต่อประเทศอื่นๆ แสดงความหยาบช้า ดูถูกดูแคลน ประเทศเพื่อนบ้านอันมั่นคงที่ตั้งอยู่ก่อน พลันแต่มี ความโลภ ไม่อินังขังขอบต่อ มิตรภาพ และ ความเป็นเพื่อน.. ก็ย่อมจะนำพาตนเอง เดินทางไปสู่ความพินาศย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย“ บทความนี้น่าสนใจมาก เป็นประวัติศาสตร์ ที่ชาวโลกอีกหลายล้านอาจจะยังไม่เคยได้รับรู้ ซึ่ง อาจจะมีคนตั้งกระทู้ ตั้งข้อโต้แย้ง ขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบความเป็นจริง อยู่ที่ คนตั้งกระทู้ จะหาหลักฐานมาโต้แย้งทางประวัติศาสตร์ ได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งหากมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาโต้แย้งได้ ก็จะยิ่งน่าศึกษา น่าติดตาม เพื่อให้ความจริงกระจ่างยิ่งขึ้น และ นับเป็นเรื่องดี ที่จะได้ทราบกันจริงๆว่า “ ยิว เป็นชนชาติประเภทใด?“ ดีจริงแท้ หรือ ซาตานลวงโลก กันแน่ ? ...... (แปลโดย : SB-22/07/24) ส่งต่อจาก วิชา มหาคุณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭

    สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ

    เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ?

    ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว...

    ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น

    พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก

    แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ

    ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน

    และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน)

    ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา

    ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง

    และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี

    ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ

    แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว

    และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/
    http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx
    http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html
    http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml
    http://www.xinfajia.net/2592.html
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009

    #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    🪭แม่สื่อสมัยโบราณ 🪭 สัปดาห์ที่แล้วเราคุยกันเกี่ยวกับขั้นตอนการสู่ขอและ ‘สามหนังสือหกพิธีการ’ และมีการกล่าวถึงการใช้แม่สื่อ แต่เพื่อนเพจคงไม่ได้อรรถรสว่าจริงๆ แล้วการใช้แม่สื่อมีความสำคัญมาก ในบางยุคสมัยอย่างเช่นสมัยถังถึงกับบัญญัติเป็นกฎหมายไว้ว่าการแต่งงานต้องมีแม่สื่อ เพื่อนเพจรู้หรือไม่ว่า มีหน่วยงานรัฐรับหน้าที่แม่สื่อ? ในบันทึกพิธีการโจวหลี่ซึ่งเป็นบันทึกโบราณที่ถูกจัดทำขึ้นในสมัยฮั่นว่าด้วยพิธีการต่างๆ ของสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกมีการระบุไว้ว่า: สำนักงาน ‘เหมยซึ’ (媒氏) มีหน้าที่ดูแลการแต่งงานของประชาชน... ทำทะเบียนบันทึกวันเดือนปีเกิดของทุกคนและจัดให้บุรุษแต่งงานเมื่ออายุสามสิบปีและสตรีเมื่ออายุยี่สิบปี... จัดเทศกาลกลางฤดูใบไม้ผลิหรือที่เรียกว่า ‘จงชุนฮุ่ย’ (仲春会) เพื่อเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะดูตัว... ก่อนจะลงลึกเรื่องหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อเหมยซึนี้ เรามาคุยกันเล็กน้อยเรื่องเกณฑ์อายุสมรสที่กล่าวถึงข้างต้น พวกเราจะคุ้นเคยว่ากฎหมายกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำไว้ แต่ในสมัยโบราณมีกำหนดเกณฑ์อายุสูงสุดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อผลักดันให้ผู้คนแต่งงานมีลูกสืบสกุล ในความเชื่อของคนโบราณคือการไม่มีบุตรสืบสกุลถือเป็นความอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง แต่จริงๆ แล้วในมุมมองของรัฐมันมีเหตุผลด้านการพัฒนาประเทศ อย่าลืมว่าแรกเริ่มเลยเศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนโดยเกษตรกรรม เมื่อประชากรน้อยผลผลิตก็น้อยรัฐก็จน อีกทั้งในสมัยโบราณมีศึกสงครามและอายุขัยของคนไม่ยาวเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นทางการจึงพยายามกระตุ้นให้คนแต่งงานและมีลูกหลานกัน จนถึงขั้นกำหนดเป็นกฎหมายบังคับ เพียงแต่เกณฑ์อายุตามกฎหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย อย่างเช่นในสมัยฮั่นบุรุษต้องแต่งงานภายในอายุสามสิบปีและสตรีภายในอายุสิบห้าปี หาไม่แล้วต้องถูกปรับด้วยการจ่ายภาษีเพิ่มเป็นห้าเท่า (ในสมัยนั้นจ่ายภาษีเป็นรายหัว ไม่เกี่ยวกับรายได้) และในสมัยราชวงศ์เหนือใต้กำหนดว่าหากสตรีไม่แต่งงานภายในอายุสิบห้าปีพ่อแม่ต้องโทษจำคุก แต่ในสมัยโบราณก็มีคนที่ไม่ได้แต่งงานภายในอายุที่กฎหมายที่กำหนด บ้างยืดเวลาออกไปเพราะเหตุผลการไว้ทุกข์ให้พ่อแม่ บ้างมีเหตุผลอื่น แต่ Storyฯ ไม่ได้ไปหาข้อมูลต่อว่าแต่ละยุคสมัยเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการแต่งงานกันอย่างไร แต่ที่ชัดเจนก็คือว่า ผู้ที่ถึงเกณฑ์อายุสูงสุดแล้วยังไม่ได้แต่งงานจะมีสำนักงานแม่สื่อมาช่วยจัดการหาคู่ให้ โดยมีความพยายามหว่านล้อมให้เจ้าตัวเห็นชอบและมีตัวเลือกให้ ไม่ใช่นึกจะบังคับแต่งกับใครก็บังคับเลย ประมาณว่าเป็นการบังคับแต่งงานแบบประนีประนอม และนี่เป็นหนึ่งในหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อ ทีนี้มาเข้าเรื่องหน้าที่แม่สื่อ... สำหรับหน้าที่แม่สื่อนี้ สำนักงานเหมยซึไม่เพียงหาคู่ให้กับผู้ที่ใกล้จะเลยเกณฑ์อายุสูงสุด หากแต่ยังช่วยหาคู่ให้กับผู้ที่ไม่มีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่จัดการเรื่องนี้ รวมถึงจัดงานเทศกาลที่บังคับให้หนุ่มสาวออกมาพบปะและดูตัวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นธุระดูแลเรื่องพิธีการต่างๆ ให้ถูกต้องเช่นส่งคนไปช่วยสู่ขอ กำหนดวันแต่งงาน ช่วยจัดงานแต่งงาน และดูแลสินสอดให้เหมาะสม ในบางสมัยถึงกับมีหน้าที่จัดสรรเงินจากงบประมาณแผ่นดินหรือหาคณบดีท้องถิ่นมาเป็นผู้อุปถัมภ์เพื่อให้บุรุษที่ยากจนสามารถมีเงินสินสอดไปแต่งเมียได้ และอย่างในสมัยฉินมีหน้าที่จัดสรรที่ดินทำกินให้คู่บ่าวสาวไปตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่างๆ อันเกิดขึ้นในการหมั้นหมายและแต่งงาน และจากตัวอย่างที่ยกมาจากบันทึกโจวหลี่ จะเห็นว่าหน้าที่ของสำนักงานแม่สื่อมีอีกส่วนหนึ่งคืองานด้านทะเบียน โดยมีหน้าที่บันทึกว่าใครเกิดเมื่อไหร่แต่งงานแล้วหรือยัง หย่าร้างหรือไม่ รวมถึงดูแลให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน เช่นการลงโทษตามกฏหมาย (เช่น หลบหนีการแต่งงาน) ดังนั้น ผู้ที่ทำหน้าที่แม่สื่อในงานพิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานมงคลสมรสก็คือคนจากสำนักงานเหมยซึนี่เอง หรือที่เรียกว่า ‘แม่สื่อหลวง’ (官媒) แต่ผู้ที่เป็นแม่สื่อหลวงอาจไม่ใช่ขุนนางทุกคน เพราะเขาจะมีการจ้างคนนอกช่วยทำงาน กล่าวคือคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถมีฝีปากเป็นเลิศคล่องแคล่วแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ไม่มีประวัติอาชญากรรม ฯลฯ มาขึ้นทะเบียนเป็นแม่สื่อหลวงที่ต้องออกไปช่วยเจรจาทาบทามสู่ขอ ช่วยทำพิธีการต่างๆ โดยคนเหล่านี้ได้รับค่าจ้างหลวงแต่ไม่ใช่ข้าราชการ และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนให้ความเคารพนับถือในท้องที่นั้นๆ หรือเป็นผู้ที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แนะนำมา ในยุคที่รุ่งเรืองมากๆ อย่างสมัยซ่งนั้น กิจการแม่สื่อมืออาชีพก็เฟื่องฟูตาม มีทั้งแม่สื่อฝ่ายชายและแม่สื่อฝ่ายหญิง ในสมัยซ่งถึงขนาดมีแบ่งแยกระดับของแม่สื่อ ในบันทึก ‘ตงจิงเมิ่งหัวลู่’ ที่ให้รายละเอียดวิถีชีวิตและธรรมเนียมปฏิบัติของคนสมัยซ่งเหนือได้กล่าวไว้ว่า แม่สื่อขั้นสูงสุดนั้นมีผ้าโพกศีรษะสวมเสื้อนอกสีม่วง ให้บริการเฉพาะขุนนางและครอบครัวขุนนาง และต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น ‘แม่สื่อเอกชน’ (私媒) แบบมืออาชีพ กล่าวคือได้ค่าจ้างจากครอบครัวบ่าวสาว แต่ก็ต้องขึ้นทะเบียนกับทางการอยู่ดี ทำไมแค่ช่วยสู่ขอช่วยจัดงานแต่งยังต้องทำเป็นทางการขนาดนั้น? นั่นเป็นเพราะว่าแม่สื่อมีหน้าที่และความรับผิดได้ตามกฎหมาย เป็นต้นว่า หากแม่สื่อโฆษณาคุณสมบัติของบุรุษสตรีเกินจริงจนเข้าข่ายบิดเบือนหรือหลอกลวงก็จะมีโทษ; แม่สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบและสืบข้อมูลประวัติของทั้งสองครอบครัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นการแต่งงานที่เข้าข่ายต้องห้าม (เช่น ข้ามสถานะระหว่างบุคคลธรรมดากับบุคคลในทะเบียนทาส; เป็นพยานสำคัญว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวถูกคนหรือไม่ ตั้งแต่ข้อมูลวันเดือนปีเกิด เอกสารการหมั้นและการรับตัวเจ้าสาว หรือหากรู้เห็นเป็นใจการหนีสมรสก็มีโทษเช่นกัน; เป็นพยานสำคัญว่าสินสอดและสินเดิมเจ้าสาวถูกต้องครบถ้วนตามรายการบัญชีที่ทำ; และอาจเป็นพยานหรือเป็นผู้ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างครอบครัวบ่าวสาวได้ ฯลฯ แม่สื่อเป็นบุรุษหรือสตรีก็ได้ เพียงแต่ในยุคที่กิจการแม่สื่อเฟื่องฟู คนที่นิยมทำหน้าที่นี้เป็นสตรีเสียส่วนใหญ่ และจวบจนสมัยชิงยังมีการกล่าวถึงแม่สื่อหลวง โดยมีตัวอย่างจากบทประพันธ์โบราณชื่อ ‘สิ่งซื่อเหิงเหยียน’ (醒世恒言 /วจีปลุกให้โลกตื่น) ซึ่งเป็นผลงานของเฝิงเมิ่งหลง นักเขียนผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายหมิงต้นชิง ดังนั้น แม่สื่อหลวงและแม่สื่อเอกชนอยู่คู่กับจีนมาหลายพันปีแล้ว และแน่นอนว่า แม่สื่อเอกชนแบบที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการก็มี เช่นอาจมีการเชิญผู้ใหญ่คนรู้จักไปช่วยพูดจาทาบทาม เพื่อนเพจเชื้อสายจีนน่าจะนึกภาพออกเพราะบ้านเราเรียกว่า ‘เถ้าแก่’ แต่เถ้าแก่นี้ไม่ใช่แม่สื่อหลักเพราะตามกระบวนการของกฎหมายต้องมีแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วช่วยดำเนินเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแม่สื่อหลวงหรือแม่สื่อเอกชน ดังนั้นในบริบทนี้ บางครอบครัวอาจใช้เถ้าแก่มาเสริม จึงเกิดเป็นสำนวนที่ว่า ‘ซานเหมยลิ่วพิ่น’ ( 三媒六聘/สามแม่สื่อหกพิธีการแต่งงาน) กล่าวคือแม่สื่อหรือเถ้าแก่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และคนกลางซึ่งมักเป็นแม่สื่อที่ขึ้นทะเบียนแล้วนั่นเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://meihuamag.com/牵线说媒,这行当已有五千年历史/ http://sino.newdu.com/m/view.php?aid=91147 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.sss.net.cn/106001/30036.aspx http://www.heyuanxw.com/2014/wenhua_1216/15238.html http://iolaw.cssn.cn/xspl/200607/t20060726_4598436.shtml http://www.xinfajia.net/2592.html https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=795664&remap=gb#%娶妇 https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_26937009 #แม่สื่อ #กวนเหมย #ซือเหมย #เหมยซึ #การแต่งงานจีนโบราณ #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 565 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากกฎบัญญัติยิ่งมากมาย
    โจรผู้ร้ายจักยิ่งชุกชุม
    (法令滋彰,盜賊多有。)


    จรรยาเสื่อมกฎหมายจึงเกิด จรรยามีกฎหมายก็ไม่มี
    ดังนั้น หากบ้านใดเมืองใดที่ผู้ปกครองบัญญัติข้อกฎหมายไว้มากมาย โดยหาได้มุ่งประศาสน์ปวงชนด้วยคุณธรรมความดีแล้วไซร้ นี่คือการแก้ไขที่ปลายเหตุ โดยหาได้ปรับปรุงแก้ไขที่ต้นเหตุแห่งปัญหาเลยไม่ หากยังกระทำเช่นนี้อยู่ต่อไป ยามนั้นประชาชนจะขาดความละอายที่จะรู้ยั้งคิดไม่ทำความผิด หากจะมีแต่ใจที่เปี่ยมด้วยทิฐิไม่ยอมรับผิดและมุ่งแต่แหกกฎไม่เคารพกฎหมาย สังคมยามนั้นก็จะมีแต่โจรผู้ร้าย ทั้งโจรที่ประกาศตัวเป็นโจรอย่างเปิดเผย หรือโจรที่แฝงเร้นไม่ประกาศตัวเป็นโจรและอาศัยอยู่ตามชุมชนอีกมากมาย สังคมเช่นนี้จึงเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวและแก่งแย่งชิงดี ด้วยแม้นจะพยายามยกระดับกฎหมายให้มากขึ้นเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จะยิ่งมีแต่โจรผู้ร้ายเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

    อุปมาดั่งมนุษย์ที่พยายามอุดกั้นน้ำ แลมนุษย์ก็หาได้เคยเอาชนะน้ำแต่อย่างใดไม่ เป็นฉันใด การปกครองที่มุ่งแต่สร้างกฎหมายข้อบังคับอันมากมาย ก็มิอาจปิดกั้นโจรผู้ร้ายที่มีใจมุ่งคิดแต่จะก่ออกุศลได้ฉันนั้นดุจเดียวกัน

    นับหลายพันปีล่วงมา กฎหมายตราตั้งมีมากมายสุดประมาณ แต่หลายพันปีมานี้ หาได้เห็นโจรผู้ร้ายลดลงแต่อย่างใดไม่

    แก้ปลายเหตุ จึงหาได้มีประสิทธิภาพเท่าการแก้ไขที่ต้นเหตุไม่

    (เต๋าเต็กเก็ง)
    หากกฎบัญญัติยิ่งมากมาย โจรผู้ร้ายจักยิ่งชุกชุม (法令滋彰,盜賊多有。) จรรยาเสื่อมกฎหมายจึงเกิด จรรยามีกฎหมายก็ไม่มี ดังนั้น หากบ้านใดเมืองใดที่ผู้ปกครองบัญญัติข้อกฎหมายไว้มากมาย โดยหาได้มุ่งประศาสน์ปวงชนด้วยคุณธรรมความดีแล้วไซร้ นี่คือการแก้ไขที่ปลายเหตุ โดยหาได้ปรับปรุงแก้ไขที่ต้นเหตุแห่งปัญหาเลยไม่ หากยังกระทำเช่นนี้อยู่ต่อไป ยามนั้นประชาชนจะขาดความละอายที่จะรู้ยั้งคิดไม่ทำความผิด หากจะมีแต่ใจที่เปี่ยมด้วยทิฐิไม่ยอมรับผิดและมุ่งแต่แหกกฎไม่เคารพกฎหมาย สังคมยามนั้นก็จะมีแต่โจรผู้ร้าย ทั้งโจรที่ประกาศตัวเป็นโจรอย่างเปิดเผย หรือโจรที่แฝงเร้นไม่ประกาศตัวเป็นโจรและอาศัยอยู่ตามชุมชนอีกมากมาย สังคมเช่นนี้จึงเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัวและแก่งแย่งชิงดี ด้วยแม้นจะพยายามยกระดับกฎหมายให้มากขึ้นเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็จะยิ่งมีแต่โจรผู้ร้ายเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น อุปมาดั่งมนุษย์ที่พยายามอุดกั้นน้ำ แลมนุษย์ก็หาได้เคยเอาชนะน้ำแต่อย่างใดไม่ เป็นฉันใด การปกครองที่มุ่งแต่สร้างกฎหมายข้อบังคับอันมากมาย ก็มิอาจปิดกั้นโจรผู้ร้ายที่มีใจมุ่งคิดแต่จะก่ออกุศลได้ฉันนั้นดุจเดียวกัน นับหลายพันปีล่วงมา กฎหมายตราตั้งมีมากมายสุดประมาณ แต่หลายพันปีมานี้ หาได้เห็นโจรผู้ร้ายลดลงแต่อย่างใดไม่ แก้ปลายเหตุ จึงหาได้มีประสิทธิภาพเท่าการแก้ไขที่ต้นเหตุไม่ (เต๋าเต็กเก็ง)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาสตร์ของตัวเลข ใครบัญญัติเรื่อง แทนค่าตัวอักษร เป็นตัวเลขก็ไม่ทราบ เช่น A=1 B =2 ...แต่คนไทยใช้วิธีเดียวกัน ลอกมา เช่น ก. = 1 ข =2 ...มีอะไรการันตีว่า มันถูกต้อง...เอาตั้งแต่ ต้นทาง เลย...ภาษาอังกฤษ มี 24 ภาษาไทยมี 44 ...มันเทียบเคียงกันได้หรือ ..แล้วภาษาอิ่นๆ ทั่วโลก ใช้หลักการนี้หรือ....impossible ....Non make sene ..การใช้แทนค่าดวงดาว ด้วยสัญลักษณ์ หรือตัวเลข มีมาเป็นพันปี...แต่ผู้คิดค้น ศาสตร์ มีมาที่สืบค้นได้ ไม่ถึง 100 ปี....และไม่มีข้อพิสูจน์ใด..ว่ามัน ใช่ รึปล่าว?
    ....คิดเอง ศึกษาเอง..ทฤษฏี ตั้งต้น..มีมาก่อน...ไม่ได้แปลว่า มันถูกต้อง... เหมือนทฤษฎี โลกแบน นั่นละ.. #จงคิด#
    ศาสตร์ของตัวเลข ใครบัญญัติเรื่อง แทนค่าตัวอักษร เป็นตัวเลขก็ไม่ทราบ เช่น A=1 B =2 ...แต่คนไทยใช้วิธีเดียวกัน ลอกมา เช่น ก. = 1 ข =2 ...มีอะไรการันตีว่า มันถูกต้อง...เอาตั้งแต่ ต้นทาง เลย...ภาษาอังกฤษ มี 24 ภาษาไทยมี 44 ...มันเทียบเคียงกันได้หรือ ..แล้วภาษาอิ่นๆ ทั่วโลก ใช้หลักการนี้หรือ....impossible ....Non make sene ..การใช้แทนค่าดวงดาว ด้วยสัญลักษณ์ หรือตัวเลข มีมาเป็นพันปี...แต่ผู้คิดค้น ศาสตร์ มีมาที่สืบค้นได้ ไม่ถึง 100 ปี....และไม่มีข้อพิสูจน์ใด..ว่ามัน ใช่ รึปล่าว? ....คิดเอง ศึกษาเอง..ทฤษฏี ตั้งต้น..มีมาก่อน...ไม่ได้แปลว่า มันถูกต้อง... เหมือนทฤษฎี โลกแบน นั่นละ.. #จงคิด#
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥 ถ้าเราเข้าใจหลักฟิสิกส์..ทุกๆอย่างในจักรวาล..มีพลังงาน..คำว่ามีพลังงานให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีแรงกระทำต่อสิ่งอื่น...
    ...เรื่องตัวเลข และสัญลักษณ์ ถูกใช้มาหลายพันปี...ก่อนมีศาสนา เสียอีก...ย้อนไปก่อนยุค อิยิปต์ โรมัน เสียอีก ตัวเลข แหละสัญลักษณ์แทนค่าดวงดาวต่างๆ..ที่มีลักษณะแตกต่างกัน..ต่อมาตัวเลข แหละสัญละกษณ์ถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่เขานับถือ ..ลองนึกตามสัญลักษณ์ต่างๆ ของอียิปต์ หรือชาวอินคา.สิ..
    ...ผู้เขียนศึกษามานาน..เรื่องพลังงาน ที่ไม่ใช่ความเขื่อ...ที่เคยเขียนเรื่องทำนายนิสัยคนตามเลขวันเกิด....ของชาวญี่ปุ่น...ทำไมมันตรง..มันไม่ใช่ดูดวง..มันคือการเก็บสถิติ.(ดูจาก reference ท้ายเล่ม สำรวจจากคนหลายหมื่น)..เพราะตัวเลขให้พลังงานแบบนั้น.....
    ....บางคนบอกก้อนหินละ มีพลังงานไหม..ตอบว่า มี ..แค่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถขี้ชัดได้..เอาที่ชี้ชัดคือ หินควอทซ์ ..ที่เอาทำวงจรให้พลังงานนาฬิกาควอทซ์นั่นไง... (แต่ต้องมีอุปกรณ์ร่วมนะให้เกิดพลังงาน) ..หินลาพิส (สีน้ำเงิน) ..ในอารยธรรมอียิปต์ มีโบราณวัตถุหลายชิ้น มีหินนี้เป็นส่วนประกอบ......
    ..แล้วพระเก๊ละ มีพลังงานไหม? ตอบว่า มี ..คือ น้ำหนัก .ที่ส่งผ่านสู่สิ่งอื่น...พลังงานแบบอื่นคงไม่ต้องพูดถึง..☺️
    💥 ถ้าเราเข้าใจหลักฟิสิกส์..ทุกๆอย่างในจักรวาล..มีพลังงาน..คำว่ามีพลังงานให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ มีแรงกระทำต่อสิ่งอื่น... ...เรื่องตัวเลข และสัญลักษณ์ ถูกใช้มาหลายพันปี...ก่อนมีศาสนา เสียอีก...ย้อนไปก่อนยุค อิยิปต์ โรมัน เสียอีก ตัวเลข แหละสัญลักษณ์แทนค่าดวงดาวต่างๆ..ที่มีลักษณะแตกต่างกัน..ต่อมาตัวเลข แหละสัญละกษณ์ถูกใช้ในพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่เขานับถือ ..ลองนึกตามสัญลักษณ์ต่างๆ ของอียิปต์ หรือชาวอินคา.สิ.. ...ผู้เขียนศึกษามานาน..เรื่องพลังงาน ที่ไม่ใช่ความเขื่อ...ที่เคยเขียนเรื่องทำนายนิสัยคนตามเลขวันเกิด....ของชาวญี่ปุ่น...ทำไมมันตรง..มันไม่ใช่ดูดวง..มันคือการเก็บสถิติ.(ดูจาก reference ท้ายเล่ม สำรวจจากคนหลายหมื่น)..เพราะตัวเลขให้พลังงานแบบนั้น..... ....บางคนบอกก้อนหินละ มีพลังงานไหม..ตอบว่า มี ..แค่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถขี้ชัดได้..เอาที่ชี้ชัดคือ หินควอทซ์ ..ที่เอาทำวงจรให้พลังงานนาฬิกาควอทซ์นั่นไง... (แต่ต้องมีอุปกรณ์ร่วมนะให้เกิดพลังงาน) ..หินลาพิส (สีน้ำเงิน) ..ในอารยธรรมอียิปต์ มีโบราณวัตถุหลายชิ้น มีหินนี้เป็นส่วนประกอบ...... ..แล้วพระเก๊ละ มีพลังงานไหม? ตอบว่า มี ..คือ น้ำหนัก .ที่ส่งผ่านสู่สิ่งอื่น...พลังงานแบบอื่นคงไม่ต้องพูดถึง..☺️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

    📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย

    หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿

    🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์

    📚 เส้นทางการศึกษา
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช
    ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ
    ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476)

    หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว

    🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์
    ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496

    🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า

    📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่
    ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์
    ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า
    ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า
    ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า

    หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น
    📗 สัตว์ป่าเมืองไทย
    📘 วัวแดง
    📕 แรดไทย
    📗 ช้างไทย

    รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน

    ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า
    หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า

    🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น
    🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย
    🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย

    👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ
    ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

    ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ

    🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
    ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ
    ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย
    ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์
    ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่

    💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568

    📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    33 ปี สิ้น “หมอบุญส่ง เลขะกุล” นักนิยมไพรไทย ผู้บุกเบิกอนุรักษ์ป่าและสัตว์ จุดกำเนิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 📅 ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 ถือเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญ ของวงการอนุรักษ์ธรรมชาติไทย เพราะเป็นวันที่ น.พ.บุญส่ง เลขะกุล หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอบุญส่ง” จากโลกนี้ไปด้วย โรคหัวใจล้มเหลว ในวัย 85 ปี ณ โรงพยาบาลมเหสักข์ กรุงเทพมหานคร แต่ถึงแม้ร่างกายจะล่วงลับไปแล้ว ผลงานและอุดมการณ์ของท่านยังคงอยู่ และกลายเป็นรากฐานสำคัญ ของการอนุรักษ์ป่าไม้ และสัตว์ป่าของไทย หมอบุญส่งไม่ได้เป็นเพียง แพทย์ผู้รักษาผู้คน แต่ยังเป็นนักอนุรักษ์ นักเขียน นักถ่ายภาพ และจิตรกร ผู้เปี่ยมไปด้วย ความหลงใหลในธรรมชาติ ความมุ่งมั่นเป็นแรงผลักดันให้เกิดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน 🌳🌿 🔎 น.พ.บุญส่ง เลขะกุล เกิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2467 ที่บ้านถนนนคร ตำบลบ่อยาง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของพระบริรักษ์เวชกรรม (พิน เลขะกุล) ซึ่งเป็นแพทย์ประจำจังหวัดสงขลา ทำให้หมอบุญส่ง เติบโตมาในครอบครัว ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา และความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ 📚 เส้นทางการศึกษา ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช ✅ มัธยมศึกษาปีที่ 8 โรงเรียนเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) กรุงเทพฯ ✅ ปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2476) หลังจากเรียนจบแพทย์ หมอบุญส่งได้เข้าสู่วงการแพทย์ แต่ขณะเดียวกัน ท่านก็เริ่มหลงใหลในธรรมชาติ เดินป่า สังเกตสัตว์ป่า และบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมสัตว์ต่างๆ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้น ของการเป็นนักอนุรักษ์ อย่างเต็มตัว 🌿 จุดเริ่มต้นของการเป็นนักอนุรักษ์ ช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2484 - 2488) การล่าสัตว์เพื่อกีฬา ได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ ไฟส่องสัตว์ และ อาวุธปืนทันสมัย ส่งผลให้ประชากรสัตว์ป่า ลดลงอย่างรวดเร็ว หมอบุญส่งเห็นว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ สัตว์ป่าของไทยจะสูญพันธุ์ จึงรวมตัวกับผู้ที่มีแนวคิดเดียวกัน ก่อตั้ง "นิยมไพรสมาคม" ขึ้นในปี พ.ศ. 2496 🏡 ศูนย์กลางของนิยมไพรสมาคม ตั้งอยู่ที่บ้านของหมอบุญส่งเอง (บ้านเลขที่ 4 ตรอกโรงภาษีเก่า ถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ) ซึ่งกลายเป็นแหล่งรวม ของผู้สนใจธรรมชาติ นักอนุรักษ์ และนักวิจัยทางด้านสัตว์ป่า 📖 เป้าหมายของนิยมไพรสมาคม ได้แก่ ✅ การให้ความรู้ และกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์ ✅ การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ป่า ✅ การผลักดันกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ✅ การจัดทำ นิตยสารนิยมไพร เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ เกี่ยวกับสัตว์ป่า หมอบุญส่งยังได้เดินป่า และเขียนหนังสือสารคดี เกี่ยวกับสัตว์ป่าหลายเล่ม เช่น 📗 สัตว์ป่าเมืองไทย 📘 วัวแดง 📕 แรดไทย 📗 ช้างไทย รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับสัตว์ป่า ที่สร้างชื่อเสียงที่สุด คือ "ชีวิตฉันลูกกระทิง" ซึ่งเคยถูกคัดเลือก เป็น หนังสืออ่านนอกเวลา สำหรับนักเรียน และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 100 หนังสือดี ที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ⚖️ ผลักดันกฎหมายอนุรักษ์สัตว์ป่า หมอบุญส่งไม่ได้เพียงแค่เขียนหนังสือ หรือเผยแพร่ความรู้ แต่ยังลงมือผลักดันให้เกิด กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย 📜 ในปี พ.ศ. 2502 หมอบุญส่ง และคณะนิยมไพรสมาคม ได้เข้าพบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น เพื่อยื่นข้อเสนอให้มี มาตรการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้ และสัตว์ป่า 🎯 ผลที่ได้คือการออก พระราชบัญญัติสงวน และคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 และ พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญ ที่นำไปสู่การประกาศ อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เช่น 🌳 อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (พ.ศ. 2505) อุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไทย 🌲 เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ (พ.ศ. 2508) เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งแรกของไทย 👑 พระมหากรุณาธิคุณ และการยกย่องเชิดชูเกียรติ ในปี พ.ศ. 2526 หมอบุญส่งได้ร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์ ก่อตั้ง "มูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่า และพรรณพืชแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ต่อมา ในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจัดงาน "100 ปี หมอบุญส่ง เลขะกุล" ณ สยามสมาคม เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี และผลงานที่ได้ทำไว้ให้กับประเทศ 🎗️ แม้วันนี้ "หมอบุญส่ง เลขะกุล" จะจากโลกนี้ไปครบ 33 ปี แล้วก็ตาม แต่มรดกแห่งการอนุรักษ์ยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ✅ กฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า และอุทยานแห่งชาติ ✅ อุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามากมาย ✅ หนังสือและบทความที่ช่วยปลูกฝังจิตสำนึกการอนุรักษ์ ✅ แรงบันดาลใจให้กับนักอนุรักษ์รุ่นใหม่ 💚 "ธรรมชาติไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของลูกหลานทุกคนในอนาคต" หมอบุญส่ง เลขะกุล 🌏 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 091504 ก.พ. 2568 📌 #หมอบุญส่งเลขะกุล #อนุรักษ์สัตว์ป่า #ป่าไม้ไทย #นักนิยมไพร #อนุรักษ์ธรรมชาติ #สัตว์ป่า #ป่าต้องรอด #มรดกทางธรรมชาติ #33ปีหมอบุญส่ง #ธรรมชาติเพื่ออนาคต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 641 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระสีวลี กรุวัดอุโมงค์ จ.ลำพูน

    พระสีวลี (ขนาดใหญ๋ สูง 4 นิ้ว) กรุวัดอุโมงค์ จ.ลำพูน อายุ ราว700ปี กรุเก่าเดิมไม่ล้าง เนื้อดินแกร่ง // เนื้อดินผสมแร่เหล็ก แร่วิเศษต่างๆมากมาย เก่าแกร่ง //สวย คม ชัด ลึก คราบกรุเก่า //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณแคล้วคลาด ปราศจากภัยอันตราย และความวิบัติต่างๆ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้ลาภผล และคงกระพันชาตรี มหาอำนาจ เมตตามหานิยม และโชคลาภ สุดยอดโภคทรัพย์ ทำมาค้าขาย เงินทองไหลมา เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และแคล้วคลาดเป็นเลิศ ติดต่อหน้าที่การงานเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ จะได้มีชัยชนะ >>

    ** พระกรุวัดอุโมงค์ ต.อุโมงค์ จ.ลำพูน เนื้อดิน เก่าแกร่ง มีคราบกรุเก่าเดิม อายุ ราว700ปี ถูกค้นพบที่วัดอุโมงค์ ปีพ.ศ. 2529 เป็นพระเนื้อดินผสมแร่วิเศษต่างๆมากมาย เมื่อเผาและฝังไว้ในดินนับพันปี เนื้อแกร่งจนเป็นหินหรือเกือบเป็นหิน >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระสีวลี กรุวัดอุโมงค์ จ.ลำพูน พระสีวลี (ขนาดใหญ๋ สูง 4 นิ้ว) กรุวัดอุโมงค์ จ.ลำพูน อายุ ราว700ปี กรุเก่าเดิมไม่ล้าง เนื้อดินแกร่ง // เนื้อดินผสมแร่เหล็ก แร่วิเศษต่างๆมากมาย เก่าแกร่ง //สวย คม ชัด ลึก คราบกรุเก่า //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณแคล้วคลาด ปราศจากภัยอันตราย และความวิบัติต่างๆ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม ได้ลาภผล และคงกระพันชาตรี มหาอำนาจ เมตตามหานิยม และโชคลาภ สุดยอดโภคทรัพย์ ทำมาค้าขาย เงินทองไหลมา เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง และแคล้วคลาดเป็นเลิศ ติดต่อหน้าที่การงานเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ จะได้มีชัยชนะ >> ** พระกรุวัดอุโมงค์ ต.อุโมงค์ จ.ลำพูน เนื้อดิน เก่าแกร่ง มีคราบกรุเก่าเดิม อายุ ราว700ปี ถูกค้นพบที่วัดอุโมงค์ ปีพ.ศ. 2529 เป็นพระเนื้อดินผสมแร่วิเศษต่างๆมากมาย เมื่อเผาและฝังไว้ในดินนับพันปี เนื้อแกร่งจนเป็นหินหรือเกือบเป็นหิน >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีงานวิจัยที่น่าตกใจเกี่ยวกับแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่ารอยร้าวในน้ำแข็งกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเร่งการละลายของน้ำแข็งและเพิ่มระดับน้ำทะเลทั่วโลก งานวิจัยนี้นำโดย Thomas Chudley นักกลีเซียโลจิสต์จาก Durham University ซึ่งเผยว่า รอยร้าวในน้ำแข็งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเส้นทางสำคัญในการระบายน้ำละลายภายในแผ่นน้ำแข็ง

    จากการศึกษาพบว่า ระหว่าง 50% ถึง 90% ของน้ำที่ไหลผ่านแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะเดินทางผ่านรอยร้าวเหล่านี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่และเสถียรภาพของแผ่นน้ำแข็งอย่างมีนัยสำคัญ

    William Colgan ศาสตราจารย์ด้านกลีเซียโลจิสต์และสภาพภูมิอากาศจาก Geological Survey of Denmark and Greenland กล่าวกับ Inside Climate News ว่า "นี่เป็นการศึกษาแรกที่บอกชัดเจนว่าการขยายตัวของพื้นที่รอยร้าวมีอยู่ทั่วทั้งแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่เคยเร่งตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"

    รอยร้าวในน้ำแข็งสามารถกว้างกว่า 300 ฟุต ยาวหลายพันฟุต และลึกหลายร้อยฟุต และเมื่อรอยร้าวขยายตัว พวกมันจะเพิ่มการไหลของน้ำไปยังฐานของแผ่นน้ำแข็ง ซึ่งอาจเร่งการเคลื่อนตัวและการระบายน้ำของน้ำแข็งลงสู่มหาสมุทร กระบวนการนี้สร้างวงจรป้อนกลับที่แผ่นน้ำแข็งเคลื่อนที่เร็วขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น ทำให้รอยร้าวมากขึ้นและเร่งการสูญเสียน้ำแข็งเพิ่มเติม

    การศึกษาใหม่นี้ให้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับกลไกของรอยร้าว ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อการสร้างแบบจำลองแผ่นน้ำแข็ง โดยแบบจำลองปัจจุบันอาจประเมินอัตราการละลายน้ำแข็งต่ำเกินไป เนื่องจากไม่ได้นับรวมผลกระทบของรอยร้าวอย่างถูกต้อง

    ผลกระทบที่อาจเกิดจากการสูญเสียน้ำแข็งในกรีนแลนด์ที่เร่งตัวนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจ โดยการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์ทั้งหมดสามารถเพิ่มระดับน้ำทะเลทั่วโลกได้ประมาณ 23 ฟุต แม้ว่าการละลายทั้งหมดนี้จะใช้เวลาหลายพันปี แต่ในปัจจุบัน อัตราการละลายสามารถเพิ่มระดับน้ำทะเลได้ประมาณ 3 ฟุตภายในปี 2100

    https://www.techspot.com/news/106644-greenland-ice-cracks-widening-potentially-speeding-global-sea.html
    มีงานวิจัยที่น่าตกใจเกี่ยวกับแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่ารอยร้าวในน้ำแข็งกำลังขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเร่งการละลายของน้ำแข็งและเพิ่มระดับน้ำทะเลทั่วโลก งานวิจัยนี้นำโดย Thomas Chudley นักกลีเซียโลจิสต์จาก Durham University ซึ่งเผยว่า รอยร้าวในน้ำแข็งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเส้นทางสำคัญในการระบายน้ำละลายภายในแผ่นน้ำแข็ง จากการศึกษาพบว่า ระหว่าง 50% ถึง 90% ของน้ำที่ไหลผ่านแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะเดินทางผ่านรอยร้าวเหล่านี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนที่และเสถียรภาพของแผ่นน้ำแข็งอย่างมีนัยสำคัญ William Colgan ศาสตราจารย์ด้านกลีเซียโลจิสต์และสภาพภูมิอากาศจาก Geological Survey of Denmark and Greenland กล่าวกับ Inside Climate News ว่า "นี่เป็นการศึกษาแรกที่บอกชัดเจนว่าการขยายตัวของพื้นที่รอยร้าวมีอยู่ทั่วทั้งแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่เคยเร่งตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา" รอยร้าวในน้ำแข็งสามารถกว้างกว่า 300 ฟุต ยาวหลายพันฟุต และลึกหลายร้อยฟุต และเมื่อรอยร้าวขยายตัว พวกมันจะเพิ่มการไหลของน้ำไปยังฐานของแผ่นน้ำแข็ง ซึ่งอาจเร่งการเคลื่อนตัวและการระบายน้ำของน้ำแข็งลงสู่มหาสมุทร กระบวนการนี้สร้างวงจรป้อนกลับที่แผ่นน้ำแข็งเคลื่อนที่เร็วขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น ทำให้รอยร้าวมากขึ้นและเร่งการสูญเสียน้ำแข็งเพิ่มเติม การศึกษาใหม่นี้ให้ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับกลไกของรอยร้าว ซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อการสร้างแบบจำลองแผ่นน้ำแข็ง โดยแบบจำลองปัจจุบันอาจประเมินอัตราการละลายน้ำแข็งต่ำเกินไป เนื่องจากไม่ได้นับรวมผลกระทบของรอยร้าวอย่างถูกต้อง ผลกระทบที่อาจเกิดจากการสูญเสียน้ำแข็งในกรีนแลนด์ที่เร่งตัวนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจ โดยการละลายของน้ำแข็งกรีนแลนด์ทั้งหมดสามารถเพิ่มระดับน้ำทะเลทั่วโลกได้ประมาณ 23 ฟุต แม้ว่าการละลายทั้งหมดนี้จะใช้เวลาหลายพันปี แต่ในปัจจุบัน อัตราการละลายสามารถเพิ่มระดับน้ำทะเลได้ประมาณ 3 ฟุตภายในปี 2100 https://www.techspot.com/news/106644-greenland-ice-cracks-widening-potentially-speeding-global-sea.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Greenland ice cracks are widening, potentially speeding the rise of global sea levels
    Crevasses can reach over 300 feet in width, thousands of feet in length, and hundreds of feet in depth. Research led by glaciologist Thomas Chudley from Durham...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • 27-29 มกราคม 2568 เทศกาลตรุษจีน 新正如意 新年發財 新正如意 新年发财

    "ตรุษจีน" หรือ “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” เป็นวันสำคัญที่ชาวจีนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น และเปี่ยมไปด้วยความสุข ในปีนี้ ตรุษจีนตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ความเป็นสิริมงคล และการรวมตัวของครอบครัว 🌟

    ตรุษจีน (Chinese New Year) เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญที่สุด ในปฏิทินจีน ซึ่งตรงกับวันขึ้นปีใหม่ ตามปฏิทินจันทรคติ โดยเริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งเป็นเทศกาลโคมไฟ ทั้งนี้ ตรุษจีนไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง การเปลี่ยนปีใหม่ แต่ยังเป็นโอกาส ในการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัว และการเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ในชีวิต

    เทศกาลตรุษจีน มีประวัติยาวนานนับพันปี โดยเริ่มต้นจาก ตำนานสัตว์ร้าย “เหนียน” (年) ที่จะออกมาสร้างความหวาดกลัว ให้กับผู้คนทุกปี ชาวบ้านจึงใช้วิธีจุดประทัด และตกแต่งบ้านด้วยสีแดง เพื่อขับไล่ปีศาจร้าย จนกลายมาเป็นประเพณี ที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน 🎆

    ตรุษจีนไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองปีใหม่ แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง เช่น
    - การเริ่มต้นใหม่ที่ดี การทำความสะอาดบ้าน และตกแต่งด้วยสีแดง เพื่อขจัดโชคร้าย
    - ความรักและความสัมพันธ์ในครอบครัว การรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี
    - ความมั่งคั่งและโชคลาภ ซองอั่งเปาและการไหว้เจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคล

    ประเพณีตรุษจีนในไทย
    วันจ่าย
    28 มกราคม 2568 คือวันก่อนวันตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีน จะออกไปซื้อของจำเป็น เช่น เนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมมงคล และเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันไหว้

    วันไหว้
    29 มกราคม 2568 เป็นวันสำคัญ ที่มีพิธีไหว้ใน 3 ช่วง ได้แก่
    - ช่วงเช้ามืด ไหว้เทพเจ้า เช่น เทพเจ้าผู้คุ้มครอง
    - ช่วงสาย ไหว้บรรพบุรุษ โดยมีอาหารที่ผู้ล่วงลับเคยชอบ เช่น หมู เป็ด ไก่ และขนมเข่ง
    - ช่วงบ่าย ไหว้ “ฮ่อเฮียตี๋” (วิญญาณพี่น้องที่ล่วงลับ) พร้อมจุดประทัดเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

    วันเที่ยว
    30 มกราคม 2568 หรือ “วันถือ” เป็นวันที่ชาวจีนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ ออกเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ และมอบส้มสีทอง เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง 🍊

    คำอวยพรตรุษจีนยอดนิยม
    ในช่วงเทศกาลตรุษจีน การส่งคำอวยพรเป็นสิ่งสำคัญ ที่สื่อถึงความปรารถนาดี ตัวอย่างคำอวยพร ที่ใช้กันบ่อย ได้แก่

    “新正如意 新年發財” (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย) ขอให้ปีใหม่สมปรารถนาและร่ำรวยมั่งคั่ง
    “恭喜發財” (กงสี่ฟาไฉ) ขอให้ร่ำรวยเงินทอง
    “萬事如意” (ว่านซื่อหรูอี้) ขอให้สมปรารถนาในทุกสิ่ง

    ✨ การใช้ซองอั่งเปา (ซองสีแดง) เพื่อมอบเงินให้กับเด็ก หรือผู้ที่อายุน้อยกว่า ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงความปรารถนาดี

    อาหารมงคลในวันตรุษจีน
    อาหารถือเป็นส่วนสำคัญของตรุษจีน โดยมีเมนูที่มีความหมายมงคล เช่น
    - ปลา (鱼) ความอุดมสมบูรณ์
    - ขนมเข่งและขนมเทียน ความเจริญรุ่งเรือง
    - เกี๊ยว (饺子) ความมั่งคั่ง
    - เส้นหมี่ (长寿面) อายุยืนยาว

    การเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ ไม่ได้เพียงแค่ตามธรรมเนียม แต่ยังเป็นการเสริมสร้างกำลังใจ ในปีใหม่อีกด้วย

    เคล็ดลับเสริมโชคลาภช่วงตรุษจีน
    - ทำความสะอาดบ้านก่อนตรุษจีน เพื่อขจัดโชคร้าย แต่หลีกเลี่ยงการกวาดบ้าน ในวันปีใหม่
    - สวมใส่เสื้อผ้าสีแดง สีแดงถือเป็นสีแห่งความโชคดี
    - งดการพูดคำไม่ดี เพื่อเริ่มต้นปีใหม่อย่างเป็นมงคล
    - มอบส้มสีทอง เป็นการส่งมอบความมั่งคั่งให้แก่กัน

    ตรุษจีนปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเทศกาล สำหรับชาวจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่ทุกคน สามารถมีส่วนร่วมในประเพณี ที่เต็มไปด้วยสีสัน และความหมายดี ๆ ลองร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ด้วยการเรียนรู้ และเข้าใจวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ เพื่อเสริมสร้างความสุข และความมั่งคั่งให้กับตนเอง และครอบครัว

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281035 ม.ค. 2568

    #ตรุษจีน2568 #新正如意新年發財 #ChineseNewYear2025 #เทศกาลตรุษจีน #ประเพณีจีน #ตรุษจีนไทย #คำอวยพรตรุษจีน #อั่งเปา #อาหารมงคลตรุษจีน #โชคลาภตรุษจีน
    27-29 มกราคม 2568 เทศกาลตรุษจีน 新正如意 新年發財 新正如意 新年发财 "ตรุษจีน" หรือ “เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ” เป็นวันสำคัญที่ชาวจีนทั่วโลก ต่างเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้น และเปี่ยมไปด้วยความสุข ในปีนี้ ตรุษจีนตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ความเป็นสิริมงคล และการรวมตัวของครอบครัว 🌟 ตรุษจีน (Chinese New Year) เป็นเทศกาลที่มีความสำคัญที่สุด ในปฏิทินจีน ซึ่งตรงกับวันขึ้นปีใหม่ ตามปฏิทินจันทรคติ โดยเริ่มต้นในวันที่ 1 เดือน 1 และสิ้นสุดในวันที่ 15 ซึ่งเป็นเทศกาลโคมไฟ ทั้งนี้ ตรุษจีนไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง การเปลี่ยนปีใหม่ แต่ยังเป็นโอกาส ในการแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ในครอบครัว และการเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ในชีวิต เทศกาลตรุษจีน มีประวัติยาวนานนับพันปี โดยเริ่มต้นจาก ตำนานสัตว์ร้าย “เหนียน” (年) ที่จะออกมาสร้างความหวาดกลัว ให้กับผู้คนทุกปี ชาวบ้านจึงใช้วิธีจุดประทัด และตกแต่งบ้านด้วยสีแดง เพื่อขับไล่ปีศาจร้าย จนกลายมาเป็นประเพณี ที่นิยมปฏิบัติในปัจจุบัน 🎆 ตรุษจีนไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองปีใหม่ แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้ง เช่น - การเริ่มต้นใหม่ที่ดี การทำความสะอาดบ้าน และตกแต่งด้วยสีแดง เพื่อขจัดโชคร้าย - ความรักและความสัมพันธ์ในครอบครัว การรับประทานอาหารร่วมกัน เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี - ความมั่งคั่งและโชคลาภ ซองอั่งเปาและการไหว้เจ้า เพื่อความเป็นสิริมงคล ประเพณีตรุษจีนในไทย วันจ่าย 28 มกราคม 2568 คือวันก่อนวันตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีน จะออกไปซื้อของจำเป็น เช่น เนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมมงคล และเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวสำหรับวันไหว้ วันไหว้ 29 มกราคม 2568 เป็นวันสำคัญ ที่มีพิธีไหว้ใน 3 ช่วง ได้แก่ - ช่วงเช้ามืด ไหว้เทพเจ้า เช่น เทพเจ้าผู้คุ้มครอง - ช่วงสาย ไหว้บรรพบุรุษ โดยมีอาหารที่ผู้ล่วงลับเคยชอบ เช่น หมู เป็ด ไก่ และขนมเข่ง - ช่วงบ่าย ไหว้ “ฮ่อเฮียตี๋” (วิญญาณพี่น้องที่ล่วงลับ) พร้อมจุดประทัดเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย วันเที่ยว 30 มกราคม 2568 หรือ “วันถือ” เป็นวันที่ชาวจีนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่ ออกเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ และมอบส้มสีทอง เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ และความเจริญรุ่งเรือง 🍊 คำอวยพรตรุษจีนยอดนิยม ในช่วงเทศกาลตรุษจีน การส่งคำอวยพรเป็นสิ่งสำคัญ ที่สื่อถึงความปรารถนาดี ตัวอย่างคำอวยพร ที่ใช้กันบ่อย ได้แก่ “新正如意 新年發財” (ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาฉาย) ขอให้ปีใหม่สมปรารถนาและร่ำรวยมั่งคั่ง “恭喜發財” (กงสี่ฟาไฉ) ขอให้ร่ำรวยเงินทอง “萬事如意” (ว่านซื่อหรูอี้) ขอให้สมปรารถนาในทุกสิ่ง ✨ การใช้ซองอั่งเปา (ซองสีแดง) เพื่อมอบเงินให้กับเด็ก หรือผู้ที่อายุน้อยกว่า ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงความปรารถนาดี อาหารมงคลในวันตรุษจีน อาหารถือเป็นส่วนสำคัญของตรุษจีน โดยมีเมนูที่มีความหมายมงคล เช่น - ปลา (鱼) ความอุดมสมบูรณ์ - ขนมเข่งและขนมเทียน ความเจริญรุ่งเรือง - เกี๊ยว (饺子) ความมั่งคั่ง - เส้นหมี่ (长寿面) อายุยืนยาว การเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ ไม่ได้เพียงแค่ตามธรรมเนียม แต่ยังเป็นการเสริมสร้างกำลังใจ ในปีใหม่อีกด้วย เคล็ดลับเสริมโชคลาภช่วงตรุษจีน - ทำความสะอาดบ้านก่อนตรุษจีน เพื่อขจัดโชคร้าย แต่หลีกเลี่ยงการกวาดบ้าน ในวันปีใหม่ - สวมใส่เสื้อผ้าสีแดง สีแดงถือเป็นสีแห่งความโชคดี - งดการพูดคำไม่ดี เพื่อเริ่มต้นปีใหม่อย่างเป็นมงคล - มอบส้มสีทอง เป็นการส่งมอบความมั่งคั่งให้แก่กัน ตรุษจีนปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเทศกาล สำหรับชาวจีนเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่ทุกคน สามารถมีส่วนร่วมในประเพณี ที่เต็มไปด้วยสีสัน และความหมายดี ๆ ลองร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ด้วยการเรียนรู้ และเข้าใจวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ เพื่อเสริมสร้างความสุข และความมั่งคั่งให้กับตนเอง และครอบครัว ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 281035 ม.ค. 2568 #ตรุษจีน2568 #新正如意新年發財 #ChineseNewYear2025 #เทศกาลตรุษจีน #ประเพณีจีน #ตรุษจีนไทย #คำอวยพรตรุษจีน #อั่งเปา #อาหารมงคลตรุษจีน #โชคลาภตรุษจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเพณี ที่สืบเนื่องกันมาหลายพันปี...กับ ความเชื่อ ของคนที่เพิ่งเกิด "เมื่อวาน" คุณเลือกได้..ว่าจะยึดสิ่งไหน..
    🙆 เฮงๆ รวยๆ ทุกท่าน.
    ประเพณี ที่สืบเนื่องกันมาหลายพันปี...กับ ความเชื่อ ของคนที่เพิ่งเกิด "เมื่อวาน" คุณเลือกได้..ว่าจะยึดสิ่งไหน.. 🙆 เฮงๆ รวยๆ ทุกท่าน.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสริมเฮง...สร้างรวย...
    ด้วยการไหว้ขอพรต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่สิ่งเอี๊ย"

    ในหมู่ชนเชื้อสายจีนตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปจนถึงระดับชั้นผู้นำต่างล้วนมีความเชื่อที่ยาวนานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานับพันปียังคงซึ่งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีประกอบพิธีอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เข้าสู่เคหสถานบ้านเรือนหรือร้านค้าในเทศกาลตรุษจีน เพื่อความโชคดีมากมีด้วยทรัพย์สินเงินทองหรือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในการประกอบธุรกิจการค้าให้บังเกิดขึ้นในปีนั้นๆ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเป็นสากลที่คงถาวรเป็นอย่างยิ่ง

    ตามปฏิทินจันทรคติจีนวันขึ้นปีใหม่หรือวันตรุษจีนจะตรงกับวัน 正月初一日(เจียหงวยชิวอิกยิ๊ก) ของทุกๆปี ซึ่งในปีพ.ศ.2568 จะตรงกับวันพุธที่ 29 มกราคมนี้ โดยมีกิ่งฟ้า/ราศีบนเป็นวัน 戊(โบ้ว) ธาตุดิน ส่วนก้านดิน/ราศีล่างเป็นวันจอ 戌 (สุก) จากหลักวิชาการคำนวนหาทิศทางการเสด็จขององค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ตามแบบฉบับโหราศาสตร์จีนแล้ว พระองค์ฯจะเสด็จมายังบ้านของผู้ที่เคารพบูชาจึงควรน้อมต้อนรับด้วยการตั้งโต๊ะบูชาหันหน้าทางทิศเหนือ เวลา 00.01-00.59 น.เป็นฤกษ์เบิกฟ้าและเป็นยามแรกเริ่มศักราชใหม่ที่ดีที่สุด

    โดยมีเครื่องสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ดังนี้

    1. ธูปหอม 3 ดอก
    2. แจกัน 1 คู่
    3. ดอกไม้สด 2 กำ
    4. เทียนแดง 1 คู่
    5. น้ำชา 茶(แต๊) 5 ถ้วย
    6. ข้าวสวย 5 ชาม
    7. ผลไม้ 5 อย่าง
    8. ขนมบัวลอยแดง 紅丸(อั่งอี๊) 5 ถ้วย
    9. ขนมจันอับ 什錦(จับกิ้ม) 1 จาน
    10. ผักเจ 齋荼(เจไฉ่) 5 อย่าง
    11. ขนมถ้วยฟู 發粿(ฮวกก้วย) 1 ก้อน
    12. 添頭銭(เทียงเถ่าจี้) 1 ชุด
    13. 金銀斗(กิมหงิ่งเต้า) 1 คู่
    14. 銀紙銭(หงิ่งเตี๋ย) 13 ชุด
    15. 大銭(ตั่วกิม) 13 ก้อน
    16. เทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ) 1 ชุด
    17. เทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) 1 ชุด
    18. กระเป๋าใส่เงิน

    หมายเหตุ หากไม่มีภาพหรือรูปองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ก็ให้กล่าวคำอธิษฐานถึงพระองค์เทพท่านก็เป็นอันใช้ได้

    การประกอบพิธีสักการะบูชาองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ควรจัดเตรียมโต๊ะพร้อมเครื่องสักการะบูชาหันหน้าไปสู่ทางทิศเหนือ (กรณีที่ไม่สามารถจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาแต่มีศรัทธาอันแรงกล้าเพียงแค่จุดธูปเทียนบูชาก็ได้) เพื่อต้อนรับองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ที่จะเสด็จมาทางทิศข้างต้นนี้ โดยเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)ให้เขียนคำเชิญ“迎接財神” (เหง็งจิกไฉ่ซิ้ง) เพื่อมารับเครื่องสักการะบูชา ส่วนเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ให้เขียน ที่อยู่ ชื่อสกุล และวัน เดือน ปีเกิดของสมาชิกในบ้านทุกคน พร้อมทั้งคำขอต่างๆที่ต้องการให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ประทานพรมาให้

    โดยกล่าวคำอธิษฐานอัญเชิญด้วยการเปล่งวาจาออกมาว่า

    “บัดนี้เป็นเวลาฤกษ์ยามอันเป็นมงคล ข้าพเจ้า........................................................... ด้วยความเคารพและศรัทธาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ“財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอกราบอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จมารับเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาอันประกอบด้วย (กล่าวถึงเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด อีกทั้งรายละเอียดที่เขียนไว้ในเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) พร้อมทั้งดลบันดาลประทานพรผ่านสื่อข้าวสาร (ข้าวสารที่ตั้งรอไว้ในวันส่งองค์เทพเจ้าสู่สรวงสรรค์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เดือนมกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา) ให้ข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนๆในครอบครัวจงพบกับโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง พร้อมกับประสบผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังตั้งใจไว้ทุกๆประการเทอญ” (หากประสงค์นอกเหนือจากคำกล่าวอธิษฐานข้างต้นแล้วก็สามารถกล่าวคำขอเพิ่มเติมต่อไปได้อีก)
    จากนั้นนำเงินในกระเป๋าที่โต๊ะบูชามานับ (โดยสมมติว่า ธนบัตร 1 ใบจะเป็นจำนวนหมื่น หรือแสน หรือล้านก็ได้เพื่อให้นับไม่รู้จบรู้สิ้น) ต่อจากนั้นนำเครื่องบวงสรวงที่เป็นกระดาษทั้งหมด รวมทั้งเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)และเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ที่ได้จัดเตรียมไว้ลาต่อหน้าองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เพื่อนำไปบูชาไฟถวายแด่พระองค์ท่านฯ และหลังจากบูชาไฟเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้กล่าวคำอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จเข้าบ้าน พร้อมทั้งนำกระถางธูปเข้าผ่านประตูบ้านเพื่อให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จประทับ ณ ที่บ้านของท่าน อีกทั้งนำข้าวสารที่ผ่านการประกอบพิธีกรรมนำมาผสมกับข้าวสารที่เก็บไว้เพื่อหุงรับประทานในเช้าวันนั้นจะได้เกิดความสิริมงคลต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการบวงสรวงครบถ้วนกระบวนความ
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    เสริมเฮง...สร้างรวย... ด้วยการไหว้ขอพรต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ "ไฉ่สิ่งเอี๊ย" ในหมู่ชนเชื้อสายจีนตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไปจนถึงระดับชั้นผู้นำต่างล้วนมีความเชื่อที่ยาวนานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานับพันปียังคงซึ่งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีประกอบพิธีอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เข้าสู่เคหสถานบ้านเรือนหรือร้านค้าในเทศกาลตรุษจีน เพื่อความโชคดีมากมีด้วยทรัพย์สินเงินทองหรือเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในการประกอบธุรกิจการค้าให้บังเกิดขึ้นในปีนั้นๆ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและความเป็นสากลที่คงถาวรเป็นอย่างยิ่ง ตามปฏิทินจันทรคติจีนวันขึ้นปีใหม่หรือวันตรุษจีนจะตรงกับวัน 正月初一日(เจียหงวยชิวอิกยิ๊ก) ของทุกๆปี ซึ่งในปีพ.ศ.2568 จะตรงกับวันพุธที่ 29 มกราคมนี้ โดยมีกิ่งฟ้า/ราศีบนเป็นวัน 戊(โบ้ว) ธาตุดิน ส่วนก้านดิน/ราศีล่างเป็นวันจอ 戌 (สุก) จากหลักวิชาการคำนวนหาทิศทางการเสด็จขององค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ตามแบบฉบับโหราศาสตร์จีนแล้ว พระองค์ฯจะเสด็จมายังบ้านของผู้ที่เคารพบูชาจึงควรน้อมต้อนรับด้วยการตั้งโต๊ะบูชาหันหน้าทางทิศเหนือ เวลา 00.01-00.59 น.เป็นฤกษ์เบิกฟ้าและเป็นยามแรกเริ่มศักราชใหม่ที่ดีที่สุด โดยมีเครื่องสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ดังนี้ 1. ธูปหอม 3 ดอก 2. แจกัน 1 คู่ 3. ดอกไม้สด 2 กำ 4. เทียนแดง 1 คู่ 5. น้ำชา 茶(แต๊) 5 ถ้วย 6. ข้าวสวย 5 ชาม 7. ผลไม้ 5 อย่าง 8. ขนมบัวลอยแดง 紅丸(อั่งอี๊) 5 ถ้วย 9. ขนมจันอับ 什錦(จับกิ้ม) 1 จาน 10. ผักเจ 齋荼(เจไฉ่) 5 อย่าง 11. ขนมถ้วยฟู 發粿(ฮวกก้วย) 1 ก้อน 12. 添頭銭(เทียงเถ่าจี้) 1 ชุด 13. 金銀斗(กิมหงิ่งเต้า) 1 คู่ 14. 銀紙銭(หงิ่งเตี๋ย) 13 ชุด 15. 大銭(ตั่วกิม) 13 ก้อน 16. เทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ) 1 ชุด 17. เทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) 1 ชุด 18. กระเป๋าใส่เงิน หมายเหตุ หากไม่มีภาพหรือรูปองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ก็ให้กล่าวคำอธิษฐานถึงพระองค์เทพท่านก็เป็นอันใช้ได้ การประกอบพิธีสักการะบูชาองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ควรจัดเตรียมโต๊ะพร้อมเครื่องสักการะบูชาหันหน้าไปสู่ทางทิศเหนือ (กรณีที่ไม่สามารถจัดเตรียมเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาแต่มีศรัทธาอันแรงกล้าเพียงแค่จุดธูปเทียนบูชาก็ได้) เพื่อต้อนรับองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ที่จะเสด็จมาทางทิศข้างต้นนี้ โดยเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)ให้เขียนคำเชิญ“迎接財神” (เหง็งจิกไฉ่ซิ้ง) เพื่อมารับเครื่องสักการะบูชา ส่วนเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ให้เขียน ที่อยู่ ชื่อสกุล และวัน เดือน ปีเกิดของสมาชิกในบ้านทุกคน พร้อมทั้งคำขอต่างๆที่ต้องการให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) ประทานพรมาให้ โดยกล่าวคำอธิษฐานอัญเชิญด้วยการเปล่งวาจาออกมาว่า “บัดนี้เป็นเวลาฤกษ์ยามอันเป็นมงคล ข้าพเจ้า........................................................... ด้วยความเคารพและศรัทธาต่อองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ“財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าขอกราบอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺”(ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จมารับเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาอันประกอบด้วย (กล่าวถึงเครื่องสักการะบูชาทั้งหมด อีกทั้งรายละเอียดที่เขียนไว้ในเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) พร้อมทั้งดลบันดาลประทานพรผ่านสื่อข้าวสาร (ข้าวสารที่ตั้งรอไว้ในวันส่งองค์เทพเจ้าสู่สรวงสรรค์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 เดือนมกราคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา) ให้ข้าพเจ้าและสมาชิกทุกคนๆในครอบครัวจงพบกับโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง พร้อมกับประสบผลสำเร็จดังที่มุ่งหวังตั้งใจไว้ทุกๆประการเทอญ” (หากประสงค์นอกเหนือจากคำกล่าวอธิษฐานข้างต้นแล้วก็สามารถกล่าวคำขอเพิ่มเติมต่อไปได้อีก) จากนั้นนำเงินในกระเป๋าที่โต๊ะบูชามานับ (โดยสมมติว่า ธนบัตร 1 ใบจะเป็นจำนวนหมื่น หรือแสน หรือล้านก็ได้เพื่อให้นับไม่รู้จบรู้สิ้น) ต่อจากนั้นนำเครื่องบวงสรวงที่เป็นกระดาษทั้งหมด รวมทั้งเทียบแดง 紅帖(อั่งเถียบ)และเทียบเขียว 青帖(แชเถียบ) ที่ได้จัดเตรียมไว้ลาต่อหน้าองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เพื่อนำไปบูชาไฟถวายแด่พระองค์ท่านฯ และหลังจากบูชาไฟเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วให้กล่าวคำอัญเชิญองค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จเข้าบ้าน พร้อมทั้งนำกระถางธูปเข้าผ่านประตูบ้านเพื่อให้องค์เทพเจ้าแห่งโชคลาภ “財神爺” (ไฉ่สิ่งเอี๊ย) เสด็จประทับ ณ ที่บ้านของท่าน อีกทั้งนำข้าวสารที่ผ่านการประกอบพิธีกรรมนำมาผสมกับข้าวสารที่เก็บไว้เพื่อหุงรับประทานในเช้าวันนั้นจะได้เกิดความสิริมงคลต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว เป็นอันสำเร็จเสร็จสิ้นพิธีการบวงสรวงครบถ้วนกระบวนความ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสบียงของทหารจีนโบราณ

    เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ?

    วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ

    ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง)

    ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว

    วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ

    โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ

    แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร?

    จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น

    ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ

    ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้

    ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent
    http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html
    https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html
    http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html
    https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html
    https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003
    https://www.sohu.com/a/239218972_155326
    http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773
    https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/
    https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html
    https://www.sohu.com/a/710019104_121119015
    https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/

    #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    เสบียงของทหารจีนโบราณ เพื่อนเพจที่ได้ดูละครหรืออ่านนิยายเรื่อง <สยบรักจอมเสเพล> จะเห็นว่าหนึ่งในสาระการเดินเรื่องที่สำคัญคือการจัดหาเสบียงไว้ใช้ในยามศึก แม้ว่าฉากหน้าร้านจะมีข้าวหลายชนิด แต่เวลาขนส่งเป็นกระสอบมักเป็นภาพของข้าวสารสีขาว ละครเรื่องอื่นส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ไม่ทราบว่ามีใคร ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ ไหมว่า ดำนาปลูกข้าวต้องใช้น้ำปริมาณมาก จีนโบราณเขาสามารถมีข้าวเป็นเสบียงได้มากมายเชียวหรือ? วันนี้เราเลยมาคุยกันเรื่องเสบียงของทหารจีนโบราณ ก่อนอื่นคุยกันเรื่องชนิดของข้าว ข้าวขาวเรียกว่า ‘หมี่’ (米) หรือ ‘ต้าหมี่’ หรือ ‘เต้าหมี่’ (大米 / 稻米) แต่จริงๆ แล้วคำว่า ‘หมี่’ ใช้หมายถึงข้าวชนิดอื่นได้ด้วยโดยเฉพาะเมื่อใช้ในบริบทของเสบียง ข้าวที่ใช้เป็นเสบียงอาหารหลักในสมัยจีนโบราณ (และเป็นอาหารของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมาย) จริงๆ แล้วคือข้าวฟ่าง เรียกว่า ‘เสียวหมี่’ ( 小米 … ใช่ค่ะ คือชื่อแบรนด์มือถือและอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์จีนที่เราคุ้นหูกันดี) (ดูรูปประกอบ2) หรือที่ในละคร <สยบรักจอมเสเพล> เรียกว่า ‘หวงหมี่’ (แปลตรงตัวว่าข้าวเหลือง) ข้าวฟ่างถูกใช้เป็นเสบียงหลักของทหารมาหลายพันปี ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยฉินจนสมัยถัง และยังมีใช้บ้างในสมัยซ่ง ทั้งนี้ เพราะมันทนต่อสภาวะน้ำแล้ง จึงปลูกได้หลายพื้นที่ มีผลผลิตสูงเมื่อเทียบกับข้าวชนิดอื่น โดยเฉพาะในสมัยแรกๆ ที่ยังไม่ค่อยมีวิวัฒนาการด้านการเกษตร เมื่อผลผลิตสูงก็มีราคาต่ำกว่าข้าวชนิดอื่น ในบางยุคสมัยถูกกว่าถึงสองสามเท่า ใช้เป็นเสบียงได้ทั้งคนและม้าศึก นอกจากนี้ ข้าวฟ่างหุงสุกง่ายเพราะเปลือกไม่หนา และสามารถเก็บได้นานเป็น 9-10ปี ว่ากันว่าข้าวฟ่างในคลังหลวงของนครฉางอันภายหลังจากราชวงศ์สุยถูกล้มล้างลงนั้น ถูกใช้ต่อเนื่องมาในสมัยถังได้อีก 11 ปีเลยทีเดียว วิธีปรุงอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับกองทัพก็คือข้าวต้ม จึงไม่แปลกที่เราเห็นทหารยกชามข้าวซดกันในซีรีส์ ในสมัยนั้นมีการพกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลาตากแห้งไปกินแกล้ม แต่ก็มีล่าสัตว์เพิ่มเติมเวลาตั้งค่าย มีผักอะไรหาได้ก็ใส่ๆ ลงไป นั่นคืออาหารของทหารสมัยนั้น บางทีก็มีข้าวหรือธัญพืชชนิดอื่นผสม เช่นข้าวบาร์เลย์ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีผลผลิตอะไรราคาถูกในพื้นที่นั้นๆ โจ๊กจึงเป็นอาหารหลักของกองทัพมาหลายยุคสมัย ภายหลังยุคชุนชิวก็มีหมั่นโถวมาเพิ่ม จวบจนสมัยชิงที่เน้นกินเนื้อสัตว์มากกว่าเน้นข้าว ทั้งนี้ เพื่อลดการขนส่งข้าวให้น้อยลงเพราะมันมีความยุ่งยากและสูญเสียมากระหว่างเดินทางไกล โดยมีการต้อนวัวและแกะไปพร้อมกับกองทัพ เวลาจะกินค่อยฆ่า ซึ่งภาพการเดินทัพและขนเสบียงแบบนี้ Storyฯ คิดว่าไม่เคยเห็นในซีรีส์ แต่ถ้าใครเคยผ่านตาแวะมาเล่าสู่กันฟังได้ค่ะ แต่จะต้มโจ๊กหรือนึ่งหมั่นโถวได้ต้องตั้งครัว ในยามที่ต้องเตรียมพร้อมรบอยู่ตลอดเวลาย่อมไม่สะดวก จึงต้องมีเสบียงอย่างอื่นที่สะดวกต่อการพกพาไม่ต้องเสียเวลาตั้งครัว เสบียงที่ว่านี้คืออะไร? จริงแล้วในสมัยฮั่น มีการปลูกข้าวสาลีมากขึ้นกว่ายุคก่อน แต่ปริมาณยังน้อยกว่าข้าวฟ่าง ไม่เหมาะใช้กินเป็นอาหารหลัก แต่นิยมใช้บดเป็นแป้งมาทำเปี๊ยะ เรียกว่า ‘กัวคุย’ (锅盔 ดูรูปประกอบ 3 ซ้าย) ทำจากแป้งข้าวสาลีและน้ำเป็นหลัก นำมานาบและปิ้งในหม้อดินเผาด้วยไฟอ่อน พลิกไปพลิกมาจนสุก เปี๊ยะนี้ใหญ่และหนาเป็นนิ้ว เนื้อแป้งแน่นๆ แข็งๆ สามารถเก็บได้นาน 10-15 วัน แต่แน่นอนว่ารสชาติมันไม่ค่อยน่าพิสมัยเพราะแห้งมาก เวลากินจึงนิยมป้ายน้ำจิ้มลงไปให้มันนุ่มและมีรสชาติมากขึ้น ซึ่งน้ำจิ้มที่ว่านี้โดยหลักก็จะเป็นพวกถั่วหมักเค็มซึ่งพัฒนาขึ้นเป็นซีอิ๊วและเต้าเจี้ยว หรือหากมีน้ำแกงหรือน้ำเต้าหู้ก็แช่จนนิ่มกินก็จะมีรสชาติมากขึ้น ว่ากันว่าในสมัยฉิน ทหารได้รับการแจกจ่ายเปี๊ยะกัวคุยกันคนละสองแผ่น แผ่นหนึ่งหนาประมาณเกือบนิ้วหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม เวลาพกก็เจาะรูร้อยเชือกหนังแขวนพาดบ่าไว้ แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหน้า แผ่นหนึ่งอยู่ด้านหลัง เวลาโดนข้าศึกลอบยิงธนูใส่ยังสามารถใช้เป็นเกราะกำบัง! แต่เรื่องนี้ Storyฯ อ่านเจอก็ไม่แน่ใจว่าจริงเท็จประการใด เอาเป็นว่า ให้เห็นภาพว่ากัวคุยนั้นหนาและแข็งก็แล้วกันนะคะ ต่อมาในสมัยถังและซ่ง เสบียงที่ใช้พกพานั้นคือ ‘ซาวปิ่ง’ (烧饼) ในยุคนั้นมีทหารม้าจำนวนมาก การพกซาวปิ่งจึงกลายเป็นเสบียงหลักเพราะสะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมันเป็นอาหารที่ถูกปากเหล่าทหารไม่น้อย เพราะซาวปิ่งในสมัยนั้นเป็นอาหารที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชน ทั้งเป็นอาหารหลักและของกินเล่น มันก็คือเปี๊ยะที่เอามาปิ้งหรือทอดที่เราเห็นบ่อยๆ ในซีรีส์ หน้าตาของซาวปิ่งมีส่วนคล้ายกัวคุยที่กล่าวถึงข้างต้น อ่านดูก็ไม่แน่ใจว่าต่างกันอย่างไร แต่เข้าใจว่าซาวปิ่งมีการปรุงแต่งมากกว่า เช่นเอาแป้งผสมเนื้อและต้นหอม ผสมเนยจามรี สุกแล้วกรอบนอกนุ่มใน เนื้อแป้งด้านในเป็นชั้นๆ (นึกภาพคล้ายเนื้อแป้งโรตี) ซึ่งแตกต่างจากกัวคุย (ดูรูปเปรียบเทียบในรูป 3) ปัจจุบันซาวปิ่งยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายพื้นที่ หน้าตาและส่วนผสมแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่ มีทั้งแบบใส่ไส้และไม่ใส่ไส้ ต่อมาในสมัยหมิงมีการพัฒนาเสบียงพกพาแบบใหม่ขึ้นอีกและเปลี่ยนมาใช้ข้าวขาวแทนข้าวฟ่าง เนื่องจากในยุคสมัยนี้ผลผลิตข้าวขาวสูงขึ้นมาก เกิดเป็นไอเดียเอาข้าวสุกตากแห้งพกเป็นเสบียง เวลาจะกินก็เติมน้ำอุ่นน้ำร้อนแช่ทิ้งไว้ กลายเป็นข้าวต้ม นับว่าเป็นอาหารจานด่วนโดยแท้ จะเรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของโจ๊กและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ไหมนะ? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://k.sina.cn/article_5113022164_130c286d4040011jeu.html?from=ent&subch=oent http://www.foodwifi.net/jkys/201710/72511.html https://k.sina.cn/article_5899149139_15f9ddf5300100eewv.html http://m.qulishi.com/article/202105/513111.html https://k.sina.cn/article_2277596227_87c15c43040013i62.html https://www.zhihu.com/tardis/zm/art/351540381?source_id=1003 https://www.sohu.com/a/239218972_155326 http://m.qulishi.com/article/202011/453756.html#:~:text=锅盔是一种烙,锅盔都同样好吃 https://zhuanlan.zhihu.com/p/566492773 https://www.toutiao.com/article/6967140332173656583/ https://k.sina.cn/article_5502315099_147f6aa5b00100k0jm.html https://www.sohu.com/a/710019104_121119015 https://www.meishichina.com/mofang/shaobing/ #สยบรักจอมเสเพล #เสบียงทหารโบราณ #ข้าวฟ่าง #แป้งปิ้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 648 มุมมอง 0 รีวิว
  • เถาฝู ป้ายมงคลฉลองตรุษจีนโบราณ

    เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็คงไม่แคล้วต้องคุยถึงประเพณีและวัฒนธรรมจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน ปีก่อนๆ ที่ Storyฯ เคยกล่าวถึงไปคือ: การโส่วซุ่ยหรืออดนอนข้ามคืนเป็นนัยว่าให้ผู้ใหญ่ในบ้านอายุยืนยาว; การกินสุราสมุนไพรเช่นสุราพริกหอม; คำมงคลและอักษรประสม ใครยังไม่ได้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านนะคะ (หาลิ้งค์ได้ในสารบัญของเพจ)

    วันนี้มาคุยกันถึงป้ายมงคลคู่แบบหนึ่ง เรียกว่า ‘เถาฝู’ (桃符) แปลตรงตัวว่าป้ายที่ทำจากไม้ท้อ เป็นป้ายมงคลคู่ที่ในสมัยจีนโบราณนิยมติดกันหน้าบ้านเพื่อต้อนรับตรุษจีน อดีตกวีเอกและนักการเมืองสมัยซ่งเคยประพันธ์บทกวีชื่อ <หยวนรึ> (元日/วันขึ้นปีใหม่) บรรยายถึงธรรมเนียมตรุษจีนไว้ Storyฯ เรียบเรียงดังนี้

    เสียงประทัดลั่นคือหนึ่งปีที่ผันผ่าน
    ลมวสันต์อุ่นสุราแห่งศกใหม่
    พันบ้านหมื่นเรือนก่อนอรุณรุ่ง
    ล้วนนำท้อใหม่เปลี่ยนป้ายเก่า

    ‘ท้อใหม่ป้ายเก่า’ ที่กล่าวถึงก็คือ ‘เถาฝู’

    แรกเริ่มเลย ‘เถาฝู’ คือป้ายไม้ที่ทำจากต้นท้อ ในเอกสารที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์เหนือใต้เกี่ยวกับราชวงศ์ก่อนๆ นั้น มีบรรยายไว้ว่า: เถาฝูมีขนาดยาวหกนิ้ว กว้างสามนิ้ว; วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ทำป้ายติดเรือนด้วยไม้ท้อ คือไม้ศักดิ์สิทธิ์; บนป้ายเขียนชื่อสองเทพเจ้าแปะไว้ซ้ายขวา ซ้ายคือเทพเซินซู ขวาคือเทพอวี้ลวี่ ฯลฯ

    ประวัติของเทพเจ้าสององค์นี้แตกต่างกันไปตามตำนานปรัมปราหลากหลายที่เล่าขานกันมา แต่เรื่องราวที่เหมือนกันก็คือทั้งสองเทพเจ้านี้เฝ้าอยู่ใต้ร่มไม้ต้นท้อยักษ์ ใช้กิ่งเถาของต้นท้อจับภูตผีที่ทำตัวไม่ดีไปโยนให้เสือกิน จึงเป็นที่มาว่าไม้ท้อเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถขับไล่ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายได้ ในวันปีใหม่จึงมีธรรมเนียมแปะเถาฝูเพื่อให้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน ป้องกันภูตผีและสิ่งชั่วร้าย พอขึ้นปีใหม่ก็เปลี่ยนเถาฝูชุดใหม่

    ธรรมเนียมหลายพันปีย่อมมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง จากการเขียนชื่อสองเทพเจ้ากลายเป็นการแกะสลักรูปภาพเทพเจ้าบนไม้ท้อ กลายเป็นภาพวาดบนกระดาษ นอกจากนี้ในสมัยถังก็เปลี่ยนจากรูปของเทพเซินซูอวี้ลวี่เป็นรูปขุนพลในสมัยถังที่ถูกยกย่องประหนึ่งเป็นเทพสงคราม ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็คือธรรมเนียมการแปะรูปเทพเจ้าเหมินเสิน (เทพพิทักษ์ประตู/เทพทวารบาล) ในปัจจุบันนั่นเอง

    แต่คำว่า ‘เถาฝู’ ในสมัยซ่งไม่เพียงหมายถึงป้ายชื่อหรือรูปภาพเทพทวารบาล หากแต่ยังหมายรวมถึงป้ายที่มีกลอนคู่มงคลหรือวลีรับตรุษจีน (หมายเหตุ กลอนคู่เรียกรวมว่า ‘ตุ้ยเหลียน’ ส่วนวลีมงคลที่มีใจความรับปีใหม่เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงได้ว่า ‘ชุนเหลียน’)

    ไอเดียการเขียนกลอนคู่ลงบนป้ายไม้ท้อนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าริเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่ในเอกสารโบราณเกี่ยวกับแคว้นซีสู่ (สมัยสิบหกแคว้นช่วงปีค.ศ. 304-439) มีกล่าวถึงการเขียนกลอนคู่บนป้ายไม้ท้อเพื่อประดับในพระราชวังแล้ว

    เอกสารโบราณของสมัยหมิงกล่าวไว้ว่า: ประเพณีการติดกลอนคู่มงคลชุนเหลียนในวันตรุษจีนนั้น ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยองค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง) โดยมีการประกาศในเมืองหลวงในคืนวันสิ้นปีให้ขุนนางข้าราชการต่างๆ ติดชุนเหลียนไว้หน้าจวน/เรือนของตน เพื่อว่าเวลาทรงเสด็จประพาสต้นจะได้ทอดพระเนตร และในสมัยนั้นได้มีการเรียกจำแนกไว้ว่า ‘เถาฝู’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนป้ายไม้ท้อ และ ‘ชุนเทีย’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนกระดาษเพื่อรับตรุษจีน

    และต่อมาในสมัยชิง กระดาษชุนเทียมีดีไซน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอักษรเดียว วลีเดี่ยวติดแนวขวางเหนือประตู แนวตรงติดข้างประตู ติดหน้าบานประตู ฯลฯ สืบทอดมาจนปัจจุบัน

    ประเพณีติดป้ายเถาฝูหายไปตามยุคสมัย แต่เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วมันคือต้นกำเนิดของการติดภาพวาดเหมินเสินที่ประตู และเป็นต้นกำเนิดของการแปะกลอนคู่มงคลตุ้ยเหลียนที่ยังทำกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://www.gov.cn/govweb/ztzl/08cjtbch/content_861150.htm
    https://www.workercn.cn/32843/201902/06/190206095618327_3.shtml
    https://kknews.cc/culture/3am8x23.html
    http://weixin.chinafolklore.org/?p=15620
    https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_e3da8d97be73.aspx
    https://www.soundofhope.org/post/468983
    https://baike.baidu.com/item/桃符

    #ประเพณีตรุษจีน #ตุ้นเหลียน #เหมินเสิน #เทพเจ้าประตู #กลอนคู่มงคล #เถาฟู #ป้ายไม้ท้อ
    เถาฝู ป้ายมงคลฉลองตรุษจีนโบราณ เข้าสู่เทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็คงไม่แคล้วต้องคุยถึงประเพณีและวัฒนธรรมจีนโบราณที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลตรุษจีน ปีก่อนๆ ที่ Storyฯ เคยกล่าวถึงไปคือ: การโส่วซุ่ยหรืออดนอนข้ามคืนเป็นนัยว่าให้ผู้ใหญ่ในบ้านอายุยืนยาว; การกินสุราสมุนไพรเช่นสุราพริกหอม; คำมงคลและอักษรประสม ใครยังไม่ได้อ่านลองย้อนกลับไปอ่านนะคะ (หาลิ้งค์ได้ในสารบัญของเพจ) วันนี้มาคุยกันถึงป้ายมงคลคู่แบบหนึ่ง เรียกว่า ‘เถาฝู’ (桃符) แปลตรงตัวว่าป้ายที่ทำจากไม้ท้อ เป็นป้ายมงคลคู่ที่ในสมัยจีนโบราณนิยมติดกันหน้าบ้านเพื่อต้อนรับตรุษจีน อดีตกวีเอกและนักการเมืองสมัยซ่งเคยประพันธ์บทกวีชื่อ <หยวนรึ> (元日/วันขึ้นปีใหม่) บรรยายถึงธรรมเนียมตรุษจีนไว้ Storyฯ เรียบเรียงดังนี้ เสียงประทัดลั่นคือหนึ่งปีที่ผันผ่าน ลมวสันต์อุ่นสุราแห่งศกใหม่ พันบ้านหมื่นเรือนก่อนอรุณรุ่ง ล้วนนำท้อใหม่เปลี่ยนป้ายเก่า ‘ท้อใหม่ป้ายเก่า’ ที่กล่าวถึงก็คือ ‘เถาฝู’ แรกเริ่มเลย ‘เถาฝู’ คือป้ายไม้ที่ทำจากต้นท้อ ในเอกสารที่จัดทำขึ้นในสมัยราชวงศ์เหนือใต้เกี่ยวกับราชวงศ์ก่อนๆ นั้น มีบรรยายไว้ว่า: เถาฝูมีขนาดยาวหกนิ้ว กว้างสามนิ้ว; วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ทำป้ายติดเรือนด้วยไม้ท้อ คือไม้ศักดิ์สิทธิ์; บนป้ายเขียนชื่อสองเทพเจ้าแปะไว้ซ้ายขวา ซ้ายคือเทพเซินซู ขวาคือเทพอวี้ลวี่ ฯลฯ ประวัติของเทพเจ้าสององค์นี้แตกต่างกันไปตามตำนานปรัมปราหลากหลายที่เล่าขานกันมา แต่เรื่องราวที่เหมือนกันก็คือทั้งสองเทพเจ้านี้เฝ้าอยู่ใต้ร่มไม้ต้นท้อยักษ์ ใช้กิ่งเถาของต้นท้อจับภูตผีที่ทำตัวไม่ดีไปโยนให้เสือกิน จึงเป็นที่มาว่าไม้ท้อเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ สามารถขับไล่ภูตผีและสิ่งชั่วร้ายได้ ในวันปีใหม่จึงมีธรรมเนียมแปะเถาฝูเพื่อให้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน ป้องกันภูตผีและสิ่งชั่วร้าย พอขึ้นปีใหม่ก็เปลี่ยนเถาฝูชุดใหม่ ธรรมเนียมหลายพันปีย่อมมีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลง จากการเขียนชื่อสองเทพเจ้ากลายเป็นการแกะสลักรูปภาพเทพเจ้าบนไม้ท้อ กลายเป็นภาพวาดบนกระดาษ นอกจากนี้ในสมัยถังก็เปลี่ยนจากรูปของเทพเซินซูอวี้ลวี่เป็นรูปขุนพลในสมัยถังที่ถูกยกย่องประหนึ่งเป็นเทพสงคราม ซึ่งที่กล่าวมานี้ก็คือธรรมเนียมการแปะรูปเทพเจ้าเหมินเสิน (เทพพิทักษ์ประตู/เทพทวารบาล) ในปัจจุบันนั่นเอง แต่คำว่า ‘เถาฝู’ ในสมัยซ่งไม่เพียงหมายถึงป้ายชื่อหรือรูปภาพเทพทวารบาล หากแต่ยังหมายรวมถึงป้ายที่มีกลอนคู่มงคลหรือวลีรับตรุษจีน (หมายเหตุ กลอนคู่เรียกรวมว่า ‘ตุ้ยเหลียน’ ส่วนวลีมงคลที่มีใจความรับปีใหม่เรียกอย่างเฉพาะเจาะจงได้ว่า ‘ชุนเหลียน’) ไอเดียการเขียนกลอนคู่ลงบนป้ายไม้ท้อนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าริเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่ในเอกสารโบราณเกี่ยวกับแคว้นซีสู่ (สมัยสิบหกแคว้นช่วงปีค.ศ. 304-439) มีกล่าวถึงการเขียนกลอนคู่บนป้ายไม้ท้อเพื่อประดับในพระราชวังแล้ว เอกสารโบราณของสมัยหมิงกล่าวไว้ว่า: ประเพณีการติดกลอนคู่มงคลชุนเหลียนในวันตรุษจีนนั้น ถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยองค์หมิงไท่จู่ (จูหยวนจาง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง) โดยมีการประกาศในเมืองหลวงในคืนวันสิ้นปีให้ขุนนางข้าราชการต่างๆ ติดชุนเหลียนไว้หน้าจวน/เรือนของตน เพื่อว่าเวลาทรงเสด็จประพาสต้นจะได้ทอดพระเนตร และในสมัยนั้นได้มีการเรียกจำแนกไว้ว่า ‘เถาฝู’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนป้ายไม้ท้อ และ ‘ชุนเทีย’ หมายรวมถึงภาพและกลอนที่ทำขึ้นบนกระดาษเพื่อรับตรุษจีน และต่อมาในสมัยชิง กระดาษชุนเทียมีดีไซน์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอักษรเดียว วลีเดี่ยวติดแนวขวางเหนือประตู แนวตรงติดข้างประตู ติดหน้าบานประตู ฯลฯ สืบทอดมาจนปัจจุบัน ประเพณีติดป้ายเถาฝูหายไปตามยุคสมัย แต่เราจะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้วมันคือต้นกำเนิดของการติดภาพวาดเหมินเสินที่ประตู และเป็นต้นกำเนิดของการแปะกลอนคู่มงคลตุ้ยเหลียนที่ยังทำกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันอีกด้วย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://www.gov.cn/govweb/ztzl/08cjtbch/content_861150.htm https://www.workercn.cn/32843/201902/06/190206095618327_3.shtml https://kknews.cc/culture/3am8x23.html http://weixin.chinafolklore.org/?p=15620 https://so.gushiwen.cn/mingju/juv_e3da8d97be73.aspx https://www.soundofhope.org/post/468983 https://baike.baidu.com/item/桃符 #ประเพณีตรุษจีน #ตุ้นเหลียน #เหมินเสิน #เทพเจ้าประตู #กลอนคู่มงคล #เถาฟู #ป้ายไม้ท้อ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 719 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากเพจ เกร็ดประวัติศาสตร์ v 2

    พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระสุบินถึงสมเด็จพระนเรศวร
    เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.งาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง
    หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้นที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคมโดยที่ทรงทราบจากพระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัสแก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้นอย่างน่ากลัวอันตรายเหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยนี้เอง -ผู้เรียบเรียง) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเป็นกำลังพระทัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันเพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันจักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทยผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่เขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏเหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิตเพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้
    ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็นองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไปเมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว
    จากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา...

    เรียบเรียงบทความจาก เรื่องเล่าในข้าราชบริพาร โดยแอดมินเพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2
    จากเพจ เกร็ดประวัติศาสตร์ v 2 พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระสุบินถึงสมเด็จพระนเรศวร เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.งาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้นที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคมโดยที่ทรงทราบจากพระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัสแก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้นอย่างน่ากลัวอันตรายเหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยนี้เอง -ผู้เรียบเรียง) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเป็นกำลังพระทัยถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันเพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันจักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทยผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ที่เขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏเหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิตเพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้ ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็นองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไปเมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว จากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา... เรียบเรียงบทความจาก เรื่องเล่าในข้าราชบริพาร โดยแอดมินเพจเกร็ดประวัติศาสตร์ v2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 581 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่วนจือ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สมัยฉิน

    สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูถึงตอนจบของเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงได้ผ่านตาฉากที่องค์ไทฮองไทเฮาทรงสอนให้อิงหวางทุ่มเทความสามารถเพื่อรับใช้ชาติและฮ่องเต้น้อยได้ตรัสออกมาหลายวรรค ฟังดูเป็นหลักปรัชญาการปกครอง วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน

    Storyฯ ไม่ได้ดูภาคซับไทยก็ไม่ทราบว่าแปลกันไว้ว่าอย่างไร ขอแปลเองง่ายๆ อย่างนี้
    “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน
    รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน
    ประชาชนชังความเหนื่อยยากวิตกกังวล ควรทำให้พวกเขาสุขใจสบายกาย
    ประชาชนชังความยากจน ควรทำให้พวกเขาร่ำรวย
    ประชาชนชังภยันตราย ควรทำให้พวกเขาปลอดภัย”

    วรรคเหล่านี้มาจากหนังสือที่ชื่อว่า ‘ก่วนจือ’ (管子) เป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นในสมัยฉินโดยอัครมหาเสนาบดีก่วนจ้งแห่งแคว้นฉี นักปราชญ์และนักการเมืองผู้เลื่องชื่อแห่งยุคสมัยชุนชิว (ไม่ทราบปีเกิด มรณะปี 645 ก่อนคริสตกาล) เรียกได้ว่าเป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่มีขึ้นก่อนฝั่งชาติตะวันตกหลายร้อยปี ปัจจุบันได้ถูกแปลไปหลากหลายภาษาทั่วโลก เป็นหนังสือที่โด่งดังเล่มหนึ่งของโลก

    ก่วนจือมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหลักการปกครอง เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ โดยมีพื้นฐานจากแนวคิดที่ว่า การที่ประเทศจะพัฒนาและรุ่งเรืองได้ ปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ และมีการลงรายละเอียดว่าด้วยการบริหารจัดการด้านการเกษตรและการค้าขาย หนังสือเล่มนี้ยาว 86 บรรพ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 76 บรรพ อีก 10 บรรพสูญหายไปเหลือไว้ให้เห็นแค่สารบัญ มีบทความไทยและอังกฤษหลายบทความที่คุยถึงก่วนจือนี้ในหลากหลายมุมมอง (เนื่องจากเนื้อหาของหนังสือกว้าง) รวมถึงกล่าวถึงชีวประวัติของก่วนจ้ง Storyฯ ยกตัวอย่างแปะลิ้งค์ไว้ข้างล่าง เชิญเข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันเองได้

    และวรรคที่ซีรีส์ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ยกมานี้ อยู่ในบรรพแรกที่เรียกว่า ‘มู่หมิน’ (牧民 / Shepherding the People / การดูแลประชาชน) ซึ่งแบ่งเป็นหลายตอนย่อย โดยมาจากตอนที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ (四顺 / ซื่อซุ่น) เนื้อหาของตอนนี้ก็คือว่า ผู้มีอำนาจปกครองต้องเข้าใจว่าประชาชนโดยทั่วไปมี ‘สี่ชัง’ คือชังความยากลำบาก ความจน การต้องอยู่ท่ามกลางภยันตราย และการถูกกวาดล้างฆ่า และมี ‘สี่อยาก’ คืออยากสุขสบาย ร่ำรวย ปลอดภัย และได้ตั้งรกรากสร้างครอบครัวมีลูกหลาน และเมื่อผู้มีอำนาจปกครองเข้าใจถึง ‘สี่ชัง’ และ ‘สี่อยาก’ แล้ว หากสามารถจัดการบริหารบ้านเมืองและสังคมให้สอดคล้องกัน บ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้าประเทศรุ่งเรือง หรือที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ นั่นเอง

    คงจะกล่าวได้ว่า ความคิดที่ถูกกลั่นกรองเรียบเรียงเป็นบทหนังสือมาสองสามพันปีแล้วนี้ ยังคงสะท้อนถึงแก่นแท้ของจิตใจคนและปัญหาความยากในการบริหารบ้านเมืองที่ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าในประเทศใด

    นอกจากนี้ “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน” ยังได้กลายมาเป็นวลีเด็ดผ่านกาลสมัย ถูกนำไปใช้ในหลายโอกาส มันเคยปรากฏในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนอีกด้วย

    โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ ไม่ค่อยชอบพล็อตเรื่องของ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> สักเท่าไหร่ แต่ยอมรับเลยว่ามันแฝงปรัชญาข้อคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะผ่านคำพูดของไทฮองไทเฮา ที่เป็นประโยชน์ต่อการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตามที่พึงกระทำในหน้าที่ของตน ไม่ใช่แค่ในบริบทของการบริหารบ้านเมือง แต่ยังใช้ได้ในบริบทขององค์กรบริษัทต่างๆ ได้อีกด้วย

    สุดท้าย ขอต้อนรับปีใหม่พร้อมกับคำอวยพรให้เพื่อนเพจได้พบเจอกับ ‘สี่อยาก’ และห่างไกลจาก ‘สี่ชัง’ ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    ลิ้งค์ไปบทความเกี่ยวกับก่วนจ้งและหนังสือก่วนจือ:
    https://www.arsomsiam.com/guanzhong/
    https://mgronline.com/china/detail/9570000117129
    http://www.inewhorizon.net/8456123-2/

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    http://www.brtvent.com/?list_4/2430.html
    https://dzrb.dzng.com/articleContent/1158_759894.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://ctext.org/guanzi/mu-min/zhs
    https://baike.baidu.com/item/管子·牧民/19831172
    https://www.sohu.com/a/604599137_121124389
    http://www.chinaknowledge.de/Literature/Diverse/guanzi.html

    #ทำนองรักกังวานแดนดิน #ก่วนจือ #ก่วนจ้ง #ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ #สาระจีน
    ก่วนจือ ปรัชญาเศรษฐศาสตร์สมัยฉิน สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดูถึงตอนจบของเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงได้ผ่านตาฉากที่องค์ไทฮองไทเฮาทรงสอนให้อิงหวางทุ่มเทความสามารถเพื่อรับใช้ชาติและฮ่องเต้น้อยได้ตรัสออกมาหลายวรรค ฟังดูเป็นหลักปรัชญาการปกครอง วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กัน Storyฯ ไม่ได้ดูภาคซับไทยก็ไม่ทราบว่าแปลกันไว้ว่าอย่างไร ขอแปลเองง่ายๆ อย่างนี้ “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน ประชาชนชังความเหนื่อยยากวิตกกังวล ควรทำให้พวกเขาสุขใจสบายกาย ประชาชนชังความยากจน ควรทำให้พวกเขาร่ำรวย ประชาชนชังภยันตราย ควรทำให้พวกเขาปลอดภัย” วรรคเหล่านี้มาจากหนังสือที่ชื่อว่า ‘ก่วนจือ’ (管子) เป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่ถูกรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นในสมัยฉินโดยอัครมหาเสนาบดีก่วนจ้งแห่งแคว้นฉี นักปราชญ์และนักการเมืองผู้เลื่องชื่อแห่งยุคสมัยชุนชิว (ไม่ทราบปีเกิด มรณะปี 645 ก่อนคริสตกาล) เรียกได้ว่าเป็นหนังสือปรัชญาการปกครองและเศรษฐศาสตร์ที่มีขึ้นก่อนฝั่งชาติตะวันตกหลายร้อยปี ปัจจุบันได้ถูกแปลไปหลากหลายภาษาทั่วโลก เป็นหนังสือที่โด่งดังเล่มหนึ่งของโลก ก่วนจือมีเนื้อหาครอบคลุมทั้งหลักการปกครอง เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ โดยมีพื้นฐานจากแนวคิดที่ว่า การที่ประเทศจะพัฒนาและรุ่งเรืองได้ ปากท้องของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ และมีการลงรายละเอียดว่าด้วยการบริหารจัดการด้านการเกษตรและการค้าขาย หนังสือเล่มนี้ยาว 86 บรรพ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 76 บรรพ อีก 10 บรรพสูญหายไปเหลือไว้ให้เห็นแค่สารบัญ มีบทความไทยและอังกฤษหลายบทความที่คุยถึงก่วนจือนี้ในหลากหลายมุมมอง (เนื่องจากเนื้อหาของหนังสือกว้าง) รวมถึงกล่าวถึงชีวประวัติของก่วนจ้ง Storyฯ ยกตัวอย่างแปะลิ้งค์ไว้ข้างล่าง เชิญเข้าไปอ่านเพิ่มเติมกันเองได้ และวรรคที่ซีรีส์ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ยกมานี้ อยู่ในบรรพแรกที่เรียกว่า ‘มู่หมิน’ (牧民 / Shepherding the People / การดูแลประชาชน) ซึ่งแบ่งเป็นหลายตอนย่อย โดยมาจากตอนที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ (四顺 / ซื่อซุ่น) เนื้อหาของตอนนี้ก็คือว่า ผู้มีอำนาจปกครองต้องเข้าใจว่าประชาชนโดยทั่วไปมี ‘สี่ชัง’ คือชังความยากลำบาก ความจน การต้องอยู่ท่ามกลางภยันตราย และการถูกกวาดล้างฆ่า และมี ‘สี่อยาก’ คืออยากสุขสบาย ร่ำรวย ปลอดภัย และได้ตั้งรกรากสร้างครอบครัวมีลูกหลาน และเมื่อผู้มีอำนาจปกครองเข้าใจถึง ‘สี่ชัง’ และ ‘สี่อยาก’ แล้ว หากสามารถจัดการบริหารบ้านเมืองและสังคมให้สอดคล้องกัน บ้านเมืองก็จะเจริญก้าวหน้าประเทศรุ่งเรือง หรือที่เรียกว่า ‘สี่คล้อยตาม’ นั่นเอง คงจะกล่าวได้ว่า ความคิดที่ถูกกลั่นกรองเรียบเรียงเป็นบทหนังสือมาสองสามพันปีแล้วนี้ ยังคงสะท้อนถึงแก่นแท้ของจิตใจคนและปัญหาความยากในการบริหารบ้านเมืองที่ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าในประเทศใด นอกจากนี้ “รัฐรุ่งเรืองได้ เมื่อตามใจชน รัฐล่มสลายได้ เมื่อขัดใจชน” ยังได้กลายมาเป็นวลีเด็ดผ่านกาลสมัย ถูกนำไปใช้ในหลายโอกาส มันเคยปรากฏในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในการประชุมสภาที่ปรึกษาทางการเมืองของจีนอีกด้วย โดยส่วนตัวแล้ว Storyฯ ไม่ค่อยชอบพล็อตเรื่องของ <ทำนองรักกังวานแดนดิน> สักเท่าไหร่ แต่ยอมรับเลยว่ามันแฝงปรัชญาข้อคิดหลายอย่าง โดยเฉพาะผ่านคำพูดของไทฮองไทเฮา ที่เป็นประโยชน์ต่อการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตามที่พึงกระทำในหน้าที่ของตน ไม่ใช่แค่ในบริบทของการบริหารบ้านเมือง แต่ยังใช้ได้ในบริบทขององค์กรบริษัทต่างๆ ได้อีกด้วย สุดท้าย ขอต้อนรับปีใหม่พร้อมกับคำอวยพรให้เพื่อนเพจได้พบเจอกับ ‘สี่อยาก’ และห่างไกลจาก ‘สี่ชัง’ ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) ลิ้งค์ไปบทความเกี่ยวกับก่วนจ้งและหนังสือก่วนจือ: https://www.arsomsiam.com/guanzhong/ https://mgronline.com/china/detail/9570000117129 http://www.inewhorizon.net/8456123-2/ Credit รูปภาพจากในละครและจาก: http://www.brtvent.com/?list_4/2430.html https://dzrb.dzng.com/articleContent/1158_759894.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://ctext.org/guanzi/mu-min/zhs https://baike.baidu.com/item/管子·牧民/19831172 https://www.sohu.com/a/604599137_121124389 http://www.chinaknowledge.de/Literature/Diverse/guanzi.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #ก่วนจือ #ก่วนจ้ง #ปรัชญาเศรษฐศาสตร์ #สาระจีน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 707 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระดาษไป๋ลู่

    สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องกระดาษโบราณ

    ในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการสืบคดีในวังเพื่อหาคนที่เขียนข้อความที่มีความเกี่ยวพันกับก๊วนกบฏ และหนึ่งในหลักฐานที่ใช้คือกระดาษไป๋ลู่ (白鹿纸 ใช่ค่ะ... ไป๋ลู่อักษรเดียวกับชื่อนักแสดงหญิงที่หลายคนคุ้นเคย แปลว่ากวางขาว) มีการอธิบายไว้ในซีรีส์ว่า กระดาษไป๋ลู่มีใช้เพียงในวัง มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าแจกจ่ายไปให้ใครเมื่อไหร่เป็นจำนวนเท่าใด

    ข้อมูลเกี่ยวกับกระดาษไป๋ลู่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ระบุแต่เพียงว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้ในวัง เป็นกระดาษที่ผลิตยากมาก เนื้อดีเหมาะกับการเขียนหรือวาดรูป เป็นกระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง มีขนาดมาตรฐานคือยาวหนึ่งจ้างสองฉื่อ (คือยาวประมาณ 3.7 เมตร) จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดาษ ‘จ้างเอ้อร์เซวียน’ (丈二宣) ขนาดมาตรฐานปัจจุบันคือ 1.5 x 3.7 เมตร

    แล้วกระดาษเซวียนจื่อ (宣纸) คืออะไร?

    กระดาษเซวียนจื่อจัดอยู่ในกลุ่มกระดาษที่ทำจากเยื่อเปลือกไม้ ซึ่งกระดาษจีนโบราณจะจัดแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต คือ 1. กระดาษใยปอ/ใยป่าน (麻 纸 / หมาจื่อ) ทำจากเส้นใยปอและใยป่าน 2. กระดาษเยื่อเปลือกไม้ (皮纸 / ผีจื่อ) คือทำจากเยื่อเปลือกไม้ชนิดต่างๆ 3. กระดาษเยื่อไผ่ (竹 纸 / จู๋จื่อ) และ 4. กระดาษใยฝ้าย (棉 纸 / เหมียนจื่อ)

    กระดาษเยื่อเปลือกไม้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสมัยถัง มีการพัฒนาขึ้นหลายชนิด เป็นกลุ่มกระดาษที่มีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนื้อกระดาษแตกต่างกันไปตามชนิดของเปลือกไม้ที่ใช้และน้ำที่ใช้ รวมถึงอาจใช้เส้นใยปอหรือใยฝ้ายมาผสมให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นที่มาว่าทำไมในซีรีส์/นิยายจีนโบราณจึงมีการดูจากเนื้อกระดาษแล้วสามารถบอกได้ว่ามาจากพื้นที่ใดเพราะต้นไม้บางชนิดจะพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น กระดาษเยื่อเปลือกไม้มีทั้งเนื้อหยาบที่สามารถทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ และเนื้อละเอียดที่ใช้ในงานเขียนหรืองานวาดที่ต้องใช้ความละเอียดมาก ว่ากันว่านักเขียนและนักวาดบางคนคิดค้นกระดาษเนื้อพิเศษของตนเองขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย

    กรรมวิธีการผลิตกระดาษเยื่อเปลือกไม้ก็คล้ายกับการทำกระดาษสาบ้านเรา คือเอาไม้ไปแช่ในน้ำแล้วทุบแตกจนเปื่อย คัดเอาเยื่อออกมาต้ม อาจใส่ส่วนผสมอื่นเช่นเกลือหรือน้ำหัวไชเท้าเพื่อเสริมความเนียนและความคงทนของกระดาษ เคี่ยวและบดแล้วนำมากรอง จากนั้นเอามาปูบางๆ บนพิมพ์แล้วตากแห้ง แห้งแล้วก็นำมาเรียงและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ แน่นอนว่านี่เป็นการเล่าโดยคร่าว ไม่สามารถสะท้อนถึงความพิถีพิถันของแต่ละขั้นตอนและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งความพิถีพิถันดังกล่าวเป็นหัวใจของการผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน

    กระดาษเซวียนจื่อเกิดขึ้นในสมัยถัง มีที่มาจากพื้นที่เซวียนโจว (แถบหวงซาน เขตพื้นที่มณฑลอันฮุยปัจจุบัน) เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้สองชนิดคือ 1) เปลือกของไม้ชิงถาน (青檀 / Blue Sandalwood) อยู่ในกลุ่มไม้จันทร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ขึ้นตามธรรมชาติ และเปลือกไม้จันทร์ชนิดอื่นไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนในการผลิตกระดาษเซวียนจื่อนี้ได้ มันเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กระดาษมีความเหนียว คงสภาพได้ดีไม่ยับง่าย ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทำให้กระดาษมีความคงทน และ 2) ต้นข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซาเถียนเต้า’ (沙田稻) โดยเป็นส่วนผสมที่ให้ความนุ่มต่อกระดาษด้วยเส้นใยที่สั้นกว่าไม้ชิงถาน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเพาะปลูกต้นข้าวชนิดนี้แล้ว ดังนั้นกระดาษเซวียนจื่อที่มีขายปัจจุบันจะมีเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนของโบราณและกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณได้สาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง

    กรรมวิธีการเตรียมเยื่อไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันเล็กน้อย แยกกันทำแล้วค่อยนำมาเคี่ยวผสมกัน และส่วนผสมของเยื่อไม้ทั้งสองและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจะทำให้ได้เนื้อกระดาษเซวียนจื่อที่หลากหลายมาก มีความละเอียดและเนียนหยาบแตกต่างกัน มีความสามารถดูดซึมน้ำหมึกได้ต่างกัน (แน่นอนว่าผงหมึกก็มีความแตกต่าง แบ่งแยกเป็นของแพงและของถูก ฯลฯ) มีสีขาวเหลืองอ่อนแก่แตกต่างกัน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับงานเขียนและงานวาดเพราะดูดซึมหมึกได้ดีและผิวเนียนเรียบกว่ากระดาษจากใยปอ/ใยป่านหรือกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดอื่น และมีความคงทนกว่า จึงถูกยกย่องเป็น ‘กระดาษพันปี’

    กระดาษเซวียนจื่อแบ่งได้เป็นสามเกรดหลักตามสัดส่วนของเยื่อเปลือกไม้ชิงถาน และกระดาษไป๋ลู่คือกระดาษเซวียนจื่อเกรดดีที่สุด คือมีส่วนผสมของเปลือกไม้ชิงถานไม่ต่ำกว่า 80% มีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต เป็นกระดาษที่ดูดซับน้ำหมึกได้ดี ทำให้ลายเส้นอักษรคมชัดแต่ไม่กระด้าง แสดงความพลิ้วไหวของลายเส้นได้ดี มีการบรรยายว่าเนื้อกระดาษเนียนนุ่มดุจไหม สีขาวนวลดุจหยก

    ว่ากันว่า กระดาษไป๋ลู่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนโดยนักพรตคนหนึ่งสำหรับไว้ใช้เอง ต่อมาถูกนำมาใช้ในวังเรียกว่ากระดาษไป๋ลู่หรือกวางขาวเพราะมีเส้นลายที่ดูเป็นลายหนังกวางซึ่งถูกมองว่าเป็นลายมงคล ต่อมามีคนที่ผลิตได้ไม่กี่ตระกูล จึงเป็นกระดาษที่มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและหายากมาก

    กระดาษมีหน่วยนับเป็น ‘เตา’ (刀 แปลว่ามีด) ซึ่ง Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าในละครแปลไว้อย่างไร แต่หนึ่งเตาสมัยโบราณคือกระดาษจำนวน 25 แผ่น มีที่มาของการเรียกอย่างนี้ก็คือ หนึ่งมีดสามารถตัดกระดาษโดยไม่เบี้ยวที่ 25 แผ่นนั่นเอง (หมายเหตุ ด้วยวิวัฒนาการผลิต ปัจจุบันหนึ่งเตาคือหนึ่งรีมหรือ 100 แผ่น)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://new.qq.com/rain/a/20231130A00YSS00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1263914
    http://www.chinapaper.net/jjnews/show-353.html
    http://www.chinapaper.net/jjnews/show-222.html
    https://baike.baidu.com/item/檀皮宣纸/1802446
    https://baike.baidu.com/item/宣纸/329910
    https://www.sohu.com/a/362150345_616747

    #เล่ห์รักวังคุนหนิง #ไป๋ลู่จื่อ #กระดาษไป๋ลู่ #กระดาษจีน #เซวียนจื่อ #การผลิตกระดาษจีน #กระดาษเยื่อเปลือกไม้
    กระดาษไป๋ลู่ สวัสดีค่ะ วันนี้เรามาคุยกันเรื่องกระดาษโบราณ ในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงการสืบคดีในวังเพื่อหาคนที่เขียนข้อความที่มีความเกี่ยวพันกับก๊วนกบฏ และหนึ่งในหลักฐานที่ใช้คือกระดาษไป๋ลู่ (白鹿纸 ใช่ค่ะ... ไป๋ลู่อักษรเดียวกับชื่อนักแสดงหญิงที่หลายคนคุ้นเคย แปลว่ากวางขาว) มีการอธิบายไว้ในซีรีส์ว่า กระดาษไป๋ลู่มีใช้เพียงในวัง มีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าแจกจ่ายไปให้ใครเมื่อไหร่เป็นจำนวนเท่าใด ข้อมูลเกี่ยวกับกระดาษไป๋ลู่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ระบุแต่เพียงว่ามันเป็นกระดาษที่ใช้ในวัง เป็นกระดาษที่ผลิตยากมาก เนื้อดีเหมาะกับการเขียนหรือวาดรูป เป็นกระดาษเซวียนจื่อชนิดหนึ่ง มีขนาดมาตรฐานคือยาวหนึ่งจ้างสองฉื่อ (คือยาวประมาณ 3.7 เมตร) จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากระดาษ ‘จ้างเอ้อร์เซวียน’ (丈二宣) ขนาดมาตรฐานปัจจุบันคือ 1.5 x 3.7 เมตร แล้วกระดาษเซวียนจื่อ (宣纸) คืออะไร? กระดาษเซวียนจื่อจัดอยู่ในกลุ่มกระดาษที่ทำจากเยื่อเปลือกไม้ ซึ่งกระดาษจีนโบราณจะจัดแบ่งเป็นกลุ่มหลักๆ ตามวัสดุที่ใช้ผลิต คือ 1. กระดาษใยปอ/ใยป่าน (麻 纸 / หมาจื่อ) ทำจากเส้นใยปอและใยป่าน 2. กระดาษเยื่อเปลือกไม้ (皮纸 / ผีจื่อ) คือทำจากเยื่อเปลือกไม้ชนิดต่างๆ 3. กระดาษเยื่อไผ่ (竹 纸 / จู๋จื่อ) และ 4. กระดาษใยฝ้าย (棉 纸 / เหมียนจื่อ) กระดาษเยื่อเปลือกไม้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในสมัยถัง มีการพัฒนาขึ้นหลายชนิด เป็นกลุ่มกระดาษที่มีความหลากหลายมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเนื้อกระดาษแตกต่างกันไปตามชนิดของเปลือกไม้ที่ใช้และน้ำที่ใช้ รวมถึงอาจใช้เส้นใยปอหรือใยฝ้ายมาผสมให้หลากหลายยิ่งขึ้น และเป็นที่มาว่าทำไมในซีรีส์/นิยายจีนโบราณจึงมีการดูจากเนื้อกระดาษแล้วสามารถบอกได้ว่ามาจากพื้นที่ใดเพราะต้นไม้บางชนิดจะพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น กระดาษเยื่อเปลือกไม้มีทั้งเนื้อหยาบที่สามารถทำเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ และเนื้อละเอียดที่ใช้ในงานเขียนหรืองานวาดที่ต้องใช้ความละเอียดมาก ว่ากันว่านักเขียนและนักวาดบางคนคิดค้นกระดาษเนื้อพิเศษของตนเองขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วย กรรมวิธีการผลิตกระดาษเยื่อเปลือกไม้ก็คล้ายกับการทำกระดาษสาบ้านเรา คือเอาไม้ไปแช่ในน้ำแล้วทุบแตกจนเปื่อย คัดเอาเยื่อออกมาต้ม อาจใส่ส่วนผสมอื่นเช่นเกลือหรือน้ำหัวไชเท้าเพื่อเสริมความเนียนและความคงทนของกระดาษ เคี่ยวและบดแล้วนำมากรอง จากนั้นเอามาปูบางๆ บนพิมพ์แล้วตากแห้ง แห้งแล้วก็นำมาเรียงและตัดให้ได้ขนาดที่ต้องการ แน่นอนว่านี่เป็นการเล่าโดยคร่าว ไม่สามารถสะท้อนถึงความพิถีพิถันของแต่ละขั้นตอนและอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งความพิถีพิถันดังกล่าวเป็นหัวใจของการผลิตกระดาษที่มีคุณภาพแตกต่างกัน กระดาษเซวียนจื่อเกิดขึ้นในสมัยถัง มีที่มาจากพื้นที่เซวียนโจว (แถบหวงซาน เขตพื้นที่มณฑลอันฮุยปัจจุบัน) เป็นกระดาษที่ทำจากเยื่อไม้สองชนิดคือ 1) เปลือกของไม้ชิงถาน (青檀 / Blue Sandalwood) อยู่ในกลุ่มไม้จันทร์ เป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น ขึ้นตามธรรมชาติ และเปลือกไม้จันทร์ชนิดอื่นไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนในการผลิตกระดาษเซวียนจื่อนี้ได้ มันเป็นส่วนผสมหลักที่ทำให้กระดาษมีความเหนียว คงสภาพได้ดีไม่ยับง่าย ไม่ถูกแมลงกัดกิน ทำให้กระดาษมีความคงทน และ 2) ต้นข้าวชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ซาเถียนเต้า’ (沙田稻) โดยเป็นส่วนผสมที่ให้ความนุ่มต่อกระดาษด้วยเส้นใยที่สั้นกว่าไม้ชิงถาน ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเพาะปลูกต้นข้าวชนิดนี้แล้ว ดังนั้นกระดาษเซวียนจื่อที่มีขายปัจจุบันจะมีเนื้อกระดาษที่ไม่เหมือนของโบราณและกรรมวิธีการผลิตแบบโบราณได้สาบสูญไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง กรรมวิธีการเตรียมเยื่อไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันเล็กน้อย แยกกันทำแล้วค่อยนำมาเคี่ยวผสมกัน และส่วนผสมของเยื่อไม้ทั้งสองและกรรมวิธีการผลิตที่แตกต่างจะทำให้ได้เนื้อกระดาษเซวียนจื่อที่หลากหลายมาก มีความละเอียดและเนียนหยาบแตกต่างกัน มีความสามารถดูดซึมน้ำหมึกได้ต่างกัน (แน่นอนว่าผงหมึกก็มีความแตกต่าง แบ่งแยกเป็นของแพงและของถูก ฯลฯ) มีสีขาวเหลืองอ่อนแก่แตกต่างกัน เป็นต้น โดยภาพรวมแล้ว กระดาษเซวียนจื่อเป็นกระดาษที่เหมาะสำหรับงานเขียนและงานวาดเพราะดูดซึมหมึกได้ดีและผิวเนียนเรียบกว่ากระดาษจากใยปอ/ใยป่านหรือกระดาษจากเปลือกไม้ชนิดอื่น และมีความคงทนกว่า จึงถูกยกย่องเป็น ‘กระดาษพันปี’ กระดาษเซวียนจื่อแบ่งได้เป็นสามเกรดหลักตามสัดส่วนของเยื่อเปลือกไม้ชิงถาน และกระดาษไป๋ลู่คือกระดาษเซวียนจื่อเกรดดีที่สุด คือมีส่วนผสมของเปลือกไม้ชิงถานไม่ต่ำกว่า 80% มีกรรมวิธีการผลิตที่ประณีต เป็นกระดาษที่ดูดซับน้ำหมึกได้ดี ทำให้ลายเส้นอักษรคมชัดแต่ไม่กระด้าง แสดงความพลิ้วไหวของลายเส้นได้ดี มีการบรรยายว่าเนื้อกระดาษเนียนนุ่มดุจไหม สีขาวนวลดุจหยก ว่ากันว่า กระดาษไป๋ลู่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนโดยนักพรตคนหนึ่งสำหรับไว้ใช้เอง ต่อมาถูกนำมาใช้ในวังเรียกว่ากระดาษไป๋ลู่หรือกวางขาวเพราะมีเส้นลายที่ดูเป็นลายหนังกวางซึ่งถูกมองว่าเป็นลายมงคล ต่อมามีคนที่ผลิตได้ไม่กี่ตระกูล จึงเป็นกระดาษที่มีปริมาณการผลิตที่จำกัดและหายากมาก กระดาษมีหน่วยนับเป็น ‘เตา’ (刀 แปลว่ามีด) ซึ่ง Storyฯ ก็ไม่แน่ใจว่าในละครแปลไว้อย่างไร แต่หนึ่งเตาสมัยโบราณคือกระดาษจำนวน 25 แผ่น มีที่มาของการเรียกอย่างนี้ก็คือ หนึ่งมีดสามารถตัดกระดาษโดยไม่เบี้ยวที่ 25 แผ่นนั่นเอง (หมายเหตุ ด้วยวิวัฒนาการผลิต ปัจจุบันหนึ่งเตาคือหนึ่งรีมหรือ 100 แผ่น) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://new.qq.com/rain/a/20231130A00YSS00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_1263914 http://www.chinapaper.net/jjnews/show-353.html http://www.chinapaper.net/jjnews/show-222.html https://baike.baidu.com/item/檀皮宣纸/1802446 https://baike.baidu.com/item/宣纸/329910 https://www.sohu.com/a/362150345_616747 #เล่ห์รักวังคุนหนิง #ไป๋ลู่จื่อ #กระดาษไป๋ลู่ #กระดาษจีน #เซวียนจื่อ #การผลิตกระดาษจีน #กระดาษเยื่อเปลือกไม้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 637 มุมมอง 0 รีวิว
  • โล่วหู นาฬิกาหยดน้ำโบราณ

    สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยู่กันกับซีรีส์เรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ

    หลายท่านคงทราบว่านาฬิกาโบราณนั้น มีนาฬิกาแดด นาฬิกาทรายและนาฬิกาหยดน้ำ ก่อนจะพัฒนามาเป็นนาฬิกากลไกที่ใช้เฟือง มีบทความเกี่ยวกับนาฬิกาโบราณไม่น้อยให้เพื่อนเพจได้ค้นหาอ่านกัน วันนี้ Storyฯ มาขยายความเรื่องนาฬิกาน้ำแบบหยดน้ำ เพราะที่เห็นในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มันสวยเตะตาเหลือเกิน (แต่จนใจหาฉากที่เห็นรูปนาฬิกาแบบเต็มเรือนมาให้ดูไม่ได้)

    นาฬิกาหยดน้ำที่เห็นในซีรีส์เรื่องนี้มีองค์ประกอบและหลักการทำงานโดยสรุปดังนี้ (ดูรูปประกอบ): เป็นโถใส่น้ำอยู่ด้านบน ปล่อยให้น้ำค่อยๆ หยดลงบนถาด เมื่อน้ำปริ่มจนได้ระดับก็จะหยดลงในอ่างด้านล่าง ในอ่างด้านล่างมีไม้บรรทัดตั้งอยู่โดยเสียบผ่านถาดไม้บนอ่าง บนไม้บรรทัดมีขีดบอกเวลาสิบสองชั่วยาม เมื่อระดับน้ำในอ่างรับน้ำมีมากขึ้นไม้ก็จะค่อยๆ ลอยขึ้น ระดับความสูงของขอบถาดอยู่ตรงขีดไม้บรรทัดขีดไหนก็คือเวลานั้นๆ

    ดูจากหลักการทำงานตามที่กล่าวมาข้างต้น Storyฯ คิดว่านาฬิการุ่นนี้เป็นแบบขั้นบันได พูดแล้วเพื่อนเพจคงงงว่าเป็นแบบขั้นบันไดอย่างไร ก่อนอื่นมาดูรูปแบบของนาฬิกาหยดน้ำโบราณกันค่ะ

    นาฬิกาหยดน้ำเรียกว่า ‘โล่วหู’ (漏壶 แปลตรงตัวว่าโถที่มีรู) มีดีไซน์หลากหลาย แต่สามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็นสามกลุ่มตามหลักการที่ใช้ สรุปดังนี้

    1. แบบระบายน้ำ (泄水型 /เซี่ยสุ่ยสิง หรือ 沉箭漏 / เฉินเจี้ยนโล่ว): นี่เป็นแบบแรกเริ่มของนาฬิกาหยดน้ำในจีน โดยหลักการคือใช้โถปล่อยน้ำที่มีท่อเล็กระบายน้ำที่ส่วนล่าง ฝาโถมีรูให้เสียบก้านไม้ที่มีเส้นขีดบอกเวลาเพื่อว่าก้านไม้จะได้ไม่เอียง ด้านล่างของก้านไม้ยึดอยู่บนถาดที่ลอยอยู่ในโถ (ดูรูปประกอบ) เมื่อน้ำค่อยๆ หยดระบายออก ก้านไม้ในโถก็จะค่อยๆ ลดระดับ เมื่อมองจากด้านนอกก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ระดับใด โบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยค้นพบเจอนั้นเป็นของสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 008)

    ข้อเสียของนาฬิกาหยดน้ำแบบระบายน้ำนี้ก็คือ ความช้าเร็วในการหยดของน้ำจะแตกต่างกันเมื่อระดับปริมาณน้ำในโถที่ลดลง เป็นเรื่องของแรงดันน้ำอันเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก คือน้ำในโถปล่อยยิ่งมาก แรงดันยิ่งสูง ก็จะยิ่งหยดเร็ว

    2. แบบสะสมน้ำ (受水型 /โซ่วสุ่ยสิง หรือ 浮箭漏/ฝูเจี้ยนโล่ว): ว่ากันว่านาฬิกาแบบนี้มีมาแต่สมัยฮั่นตะวันตกในช่วงปลายราชวงศ์ โดยหลักการคือเอาก้านไม้ที่บอกเวลาไปลอยไว้ในโถหรืออ่างรับน้ำที่วางอยู่ข้างล่าง เมื่อโถรับน้ำมีปริมาณน้ำสะสมมากขึ้นก็จะดันให้ก้านไม้ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นพ้นขอบ ก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ขีดเวลาใด (ดูรูปประกอบเพื่อเปรียบเทียบ) เป็นหลักการที่พยายามแก้ไขปัญหาความเพี้ยนของการบอกเวลา

    แต่... มันยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ดี ดังนั้น จึงเกิดเป็นแบบที่สามขึ้นมา

    3. แบบขั้นบันได (阶梯式 /เจี้ยทีซึ): คือมีโถปล่อยน้ำเรียงหลายขั้นลดหลั่นกันลงมา แรกเริ่มคือเป็นโถปล่อยน้ำ 2 ขั้น มีใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25-220 ) ต่อมาเพิ่มโถปล่อยน้ำอีกหลาย ในราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) เป็นโถปล่อยน้ำ 3 ขั้น หลักการทำงานคือมีก้านไม้บอกเวลาลอยอยู่ในโถรับน้ำ (เหมือนแบบสะสมน้ำ) แต่ที่เพิ่มเติมคือมีการรักษาให้ปริมาตรของน้ำจากโถปล่อยน้ำมีความคงที่ด้วยการแบ่งเป็นหลายโถ โถขั้นกลางและล่างจะได้มีปริมาตรและแรงดันที่ค่อนข้างคงที่ ยิ่งจำนวนโถปล่อยน้ำขั้นกลางมีมากเท่าไหร่ น้ำที่หยดลงสู่อ่างรับน้ำก็จะยิ่งมีระยะห่างที่สม่ำเสมอ เป็นการสร้างเสถียรภาพในการบอกเวลาได้ดี

    แต่มันก็ยังไม่แม่นยำนัก ต่อมาในยุคหลังจึงเกิดนาฬิกากลไกขึ้นมา

    Storyฯ เล่าหลักการแบบง่ายๆ นะคะ แต่ในความเป็นจริงต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นความกว้างความสูงของทุกชิ้นส่วนของภาชนะ การตีเส้นบนก้านไม้ ตำแหน่งความสูงของหลอดปล่อยน้ำ ฯลฯ

    กลับมาที่นาฬิกาเรือนสวยลายนกเป็ดน้ำในซีรีส์ <เล่ห์รักวังคุนหนิง>... ที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นนาฬิกาหยดน้ำแบบขั้นบันไดก็เพราะว่ามีการรักษาปริมาตรของน้ำเพื่อให้น้ำหยดลงในระยะห่างที่คงที่ด้วยการใช้ถาดใบบัวมาขั้นนั่นเอง (ดูรูปประกอบ) แน่นอนว่ามันมีหน้าตาสวยงามกว่าต้นแบบที่ต้องใช้โถหลายใบวางเรียงกันแต่ก็คงแม่นยำไม่เท่าด้วย

    นาฬิกาหยดน้ำเป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนหรือว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางตะวันตก? เรื่องนี้คำตอบไม่แน่ชัด บ้างบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งตะวันตกเพราะดูจากหลักฐานโบราณวัตถุที่ค้นพบในจีนนั้นเป็นของยุคสมัยฮั่นตะวันตก แต่นาฬิกาหยดน้ำที่ใช้ในโลกตะวันตกมีต้นแบบมาจากสมัยบาบีโลนของอียิปต์ (ประมาณพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นแบบระบายน้ำเรียกว่า clepsydra โดยของฝั่งโลกตะวันตกไม่ได้ใช้ก้านไม้ขีดเส้นลอยอยู่ในน้ำ แต่เป็นการบากเส้นขึ้นในภาชนะและจะใช้เป็นภาชนะปากกว้างเช่นอ่างเพื่อให้เห็นเส้นขีดบอกเวลาภายใน

    แต่มีบางบทความอ้างอิงว่าในบันทึกโจวหลี่มีการเขียนไว้ว่า ในสมัยราชวงศ์ซางมีตำแหน่งข้าราชการที่เรียกว่า ‘เชี่ยหูซึ’ (挈壶氏) มีหน้าที่คอยดูเวลาที่นาฬิกาหยดน้ำ บ่งบอกว่านาฬิกาหยดน้ำมีใช้ในจีนโบราณมาตั้งแต่สี่พันปีที่แล้ว

    จริงๆ ในซีรีส์เรื่องนี้มีนาฬิกาโบราณแบบอื่นให้เห็นด้วย มีเพื่อนเพจท่านใดจำได้บ้างไหม?

    หมายเหตุ: แก้ไขรูปประกอบที่ผิดพลาดเมื่อวันที่ 17/5 เวลา 16.30น. นะคะ ขออภัยที่สร้างความสับสนมาก่อนหน้านี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/582597735
    http://www.chinajl.com.cn/jiliangqiwu/57554.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://art.people.com.cn/n/2014/0521/c206244-25043967.html
    https://www.cctv.com/geography/news/20030514/7.html#:~:text=中国最早的漏壶,或“浮箭漏”。
    https://zh.wikipedia.org/wiki/水鐘
    http://m.cnwest.com/sxxw/a/2021/12/21/20176664.html

    #เล่ห์รักวังคุนหนิง #นาฬิกาโบราณ #นาฬิกาหยดน้ำ #โล่วหู
    โล่วหู นาฬิกาหยดน้ำโบราณ สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยู่กันกับซีรีส์เรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ หลายท่านคงทราบว่านาฬิกาโบราณนั้น มีนาฬิกาแดด นาฬิกาทรายและนาฬิกาหยดน้ำ ก่อนจะพัฒนามาเป็นนาฬิกากลไกที่ใช้เฟือง มีบทความเกี่ยวกับนาฬิกาโบราณไม่น้อยให้เพื่อนเพจได้ค้นหาอ่านกัน วันนี้ Storyฯ มาขยายความเรื่องนาฬิกาน้ำแบบหยดน้ำ เพราะที่เห็นในเรื่อง <เล่ห์รักวังคุนหนิง> มันสวยเตะตาเหลือเกิน (แต่จนใจหาฉากที่เห็นรูปนาฬิกาแบบเต็มเรือนมาให้ดูไม่ได้) นาฬิกาหยดน้ำที่เห็นในซีรีส์เรื่องนี้มีองค์ประกอบและหลักการทำงานโดยสรุปดังนี้ (ดูรูปประกอบ): เป็นโถใส่น้ำอยู่ด้านบน ปล่อยให้น้ำค่อยๆ หยดลงบนถาด เมื่อน้ำปริ่มจนได้ระดับก็จะหยดลงในอ่างด้านล่าง ในอ่างด้านล่างมีไม้บรรทัดตั้งอยู่โดยเสียบผ่านถาดไม้บนอ่าง บนไม้บรรทัดมีขีดบอกเวลาสิบสองชั่วยาม เมื่อระดับน้ำในอ่างรับน้ำมีมากขึ้นไม้ก็จะค่อยๆ ลอยขึ้น ระดับความสูงของขอบถาดอยู่ตรงขีดไม้บรรทัดขีดไหนก็คือเวลานั้นๆ ดูจากหลักการทำงานตามที่กล่าวมาข้างต้น Storyฯ คิดว่านาฬิการุ่นนี้เป็นแบบขั้นบันได พูดแล้วเพื่อนเพจคงงงว่าเป็นแบบขั้นบันไดอย่างไร ก่อนอื่นมาดูรูปแบบของนาฬิกาหยดน้ำโบราณกันค่ะ นาฬิกาหยดน้ำเรียกว่า ‘โล่วหู’ (漏壶 แปลตรงตัวว่าโถที่มีรู) มีดีไซน์หลากหลาย แต่สามารถจัดหมวดหมู่ได้เป็นสามกลุ่มตามหลักการที่ใช้ สรุปดังนี้ 1. แบบระบายน้ำ (泄水型 /เซี่ยสุ่ยสิง หรือ 沉箭漏 / เฉินเจี้ยนโล่ว): นี่เป็นแบบแรกเริ่มของนาฬิกาหยดน้ำในจีน โดยหลักการคือใช้โถปล่อยน้ำที่มีท่อเล็กระบายน้ำที่ส่วนล่าง ฝาโถมีรูให้เสียบก้านไม้ที่มีเส้นขีดบอกเวลาเพื่อว่าก้านไม้จะได้ไม่เอียง ด้านล่างของก้านไม้ยึดอยู่บนถาดที่ลอยอยู่ในโถ (ดูรูปประกอบ) เมื่อน้ำค่อยๆ หยดระบายออก ก้านไม้ในโถก็จะค่อยๆ ลดระดับ เมื่อมองจากด้านนอกก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ระดับใด โบราณวัตถุที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยค้นพบเจอนั้นเป็นของสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 008) ข้อเสียของนาฬิกาหยดน้ำแบบระบายน้ำนี้ก็คือ ความช้าเร็วในการหยดของน้ำจะแตกต่างกันเมื่อระดับปริมาณน้ำในโถที่ลดลง เป็นเรื่องของแรงดันน้ำอันเกิดจากแรงโน้มถ่วงของโลก คือน้ำในโถปล่อยยิ่งมาก แรงดันยิ่งสูง ก็จะยิ่งหยดเร็ว 2. แบบสะสมน้ำ (受水型 /โซ่วสุ่ยสิง หรือ 浮箭漏/ฝูเจี้ยนโล่ว): ว่ากันว่านาฬิกาแบบนี้มีมาแต่สมัยฮั่นตะวันตกในช่วงปลายราชวงศ์ โดยหลักการคือเอาก้านไม้ที่บอกเวลาไปลอยไว้ในโถหรืออ่างรับน้ำที่วางอยู่ข้างล่าง เมื่อโถรับน้ำมีปริมาณน้ำสะสมมากขึ้นก็จะดันให้ก้านไม้ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นพ้นขอบ ก็จะเห็นว่าขีดบอกเวลาอยู่ที่ขีดเวลาใด (ดูรูปประกอบเพื่อเปรียบเทียบ) เป็นหลักการที่พยายามแก้ไขปัญหาความเพี้ยนของการบอกเวลา แต่... มันยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ดี ดังนั้น จึงเกิดเป็นแบบที่สามขึ้นมา 3. แบบขั้นบันได (阶梯式 /เจี้ยทีซึ): คือมีโถปล่อยน้ำเรียงหลายขั้นลดหลั่นกันลงมา แรกเริ่มคือเป็นโถปล่อยน้ำ 2 ขั้น มีใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25-220 ) ต่อมาเพิ่มโถปล่อยน้ำอีกหลาย ในราชวงศ์จิ้น (ค.ศ. 266-420) เป็นโถปล่อยน้ำ 3 ขั้น หลักการทำงานคือมีก้านไม้บอกเวลาลอยอยู่ในโถรับน้ำ (เหมือนแบบสะสมน้ำ) แต่ที่เพิ่มเติมคือมีการรักษาให้ปริมาตรของน้ำจากโถปล่อยน้ำมีความคงที่ด้วยการแบ่งเป็นหลายโถ โถขั้นกลางและล่างจะได้มีปริมาตรและแรงดันที่ค่อนข้างคงที่ ยิ่งจำนวนโถปล่อยน้ำขั้นกลางมีมากเท่าไหร่ น้ำที่หยดลงสู่อ่างรับน้ำก็จะยิ่งมีระยะห่างที่สม่ำเสมอ เป็นการสร้างเสถียรภาพในการบอกเวลาได้ดี แต่มันก็ยังไม่แม่นยำนัก ต่อมาในยุคหลังจึงเกิดนาฬิกากลไกขึ้นมา Storyฯ เล่าหลักการแบบง่ายๆ นะคะ แต่ในความเป็นจริงต้องมีการคำนวณอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นความกว้างความสูงของทุกชิ้นส่วนของภาชนะ การตีเส้นบนก้านไม้ ตำแหน่งความสูงของหลอดปล่อยน้ำ ฯลฯ กลับมาที่นาฬิกาเรือนสวยลายนกเป็ดน้ำในซีรีส์ <เล่ห์รักวังคุนหนิง>... ที่ Storyฯ บอกว่ามันเป็นนาฬิกาหยดน้ำแบบขั้นบันไดก็เพราะว่ามีการรักษาปริมาตรของน้ำเพื่อให้น้ำหยดลงในระยะห่างที่คงที่ด้วยการใช้ถาดใบบัวมาขั้นนั่นเอง (ดูรูปประกอบ) แน่นอนว่ามันมีหน้าตาสวยงามกว่าต้นแบบที่ต้องใช้โถหลายใบวางเรียงกันแต่ก็คงแม่นยำไม่เท่าด้วย นาฬิกาหยดน้ำเป็นสิ่งประดิษฐ์ของจีนหรือว่าได้รับอิทธิพลมาจากทางตะวันตก? เรื่องนี้คำตอบไม่แน่ชัด บ้างบอกว่าได้รับอิทธิพลมาจากฝั่งตะวันตกเพราะดูจากหลักฐานโบราณวัตถุที่ค้นพบในจีนนั้นเป็นของยุคสมัยฮั่นตะวันตก แต่นาฬิกาหยดน้ำที่ใช้ในโลกตะวันตกมีต้นแบบมาจากสมัยบาบีโลนของอียิปต์ (ประมาณพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาล) เป็นแบบระบายน้ำเรียกว่า clepsydra โดยของฝั่งโลกตะวันตกไม่ได้ใช้ก้านไม้ขีดเส้นลอยอยู่ในน้ำ แต่เป็นการบากเส้นขึ้นในภาชนะและจะใช้เป็นภาชนะปากกว้างเช่นอ่างเพื่อให้เห็นเส้นขีดบอกเวลาภายใน แต่มีบางบทความอ้างอิงว่าในบันทึกโจวหลี่มีการเขียนไว้ว่า ในสมัยราชวงศ์ซางมีตำแหน่งข้าราชการที่เรียกว่า ‘เชี่ยหูซึ’ (挈壶氏) มีหน้าที่คอยดูเวลาที่นาฬิกาหยดน้ำ บ่งบอกว่านาฬิกาหยดน้ำมีใช้ในจีนโบราณมาตั้งแต่สี่พันปีที่แล้ว จริงๆ ในซีรีส์เรื่องนี้มีนาฬิกาโบราณแบบอื่นให้เห็นด้วย มีเพื่อนเพจท่านใดจำได้บ้างไหม? หมายเหตุ: แก้ไขรูปประกอบที่ผิดพลาดเมื่อวันที่ 17/5 เวลา 16.30น. นะคะ ขออภัยที่สร้างความสับสนมาก่อนหน้านี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/582597735 http://www.chinajl.com.cn/jiliangqiwu/57554.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://art.people.com.cn/n/2014/0521/c206244-25043967.html https://www.cctv.com/geography/news/20030514/7.html#:~:text=中国最早的漏壶,或“浮箭漏”。 https://zh.wikipedia.org/wiki/水鐘 http://m.cnwest.com/sxxw/a/2021/12/21/20176664.html #เล่ห์รักวังคุนหนิง #นาฬิกาโบราณ #นาฬิกาหยดน้ำ #โล่วหู
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 489 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยมาจากไหน
    หลักฐาน บรรพชนคนโบราณ คนไทยมาจากไหน นานมาแล้วมีชนชาติที่ยังไม่เรียกตัวเองว่าไทย อพยพมาจากแผ่นดินที่ เรียกว่ากุมารีกันดัม(Kumari Gundam)ชนชาตินี้อยู่บนทะเลกลางมหาสมุทรอินเดียเมื่อเกิดการปรับรอยเลื่อนแผ่นดินทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรง รุนแรงขนาดน้ำท่วมโลกและเกิดสึนามิทำลายแผ่นดินที่เรียกว่าKumarikandamทำให้คนบนแผ่นดินนั้นอพยพหนีภัย ไปรอบมหาสมุทรอินเดียหนีภัยเหมือนผึ้งแตกรัง ประเทศไทยซึ่งอยู่บนขอบมหาสมุทรอินเดียก็เป็นอีกแผ่นดิน ที่ใช่แผ่นดินที่คนโบราณพวกนี้หนีภัยมา เมื่อหนีภัยมาพร้อมมวลน้ำที่เรียกว่ามหาสึนามิที่เกิดตำนานเหตการณ์น้ำท่วมโลก
    คนไทยมาจากไหนมีหลักฐานใหม Kumari Kandam หรือ Lemuria – ทวีปที่จมอยู่ในทะเล
    ครั้งหนึ่งมีดินแดนหรือทวีปในมหาสมุทรอินเดียซึ่งผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น อาณาเขตทางบกเรียกว่า Lemuria หรือ Kumarikkottam หรือ Kumari Kandam แผ่นดินพินาศโดยการจมน้ำในมหาสมุทรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา เป็นการปรับแผ่นเปลือกโลกครั้งใหญ่ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง การเกิดแผ่นดินไหวกลางมหาสมุทรครั้งนั้นทำให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่มาก ขนาดที่ทำให้แผ่นดินจมหายลงไปในทะเลแค่วันกับคืน ทำให้เกิดตำนานน้ำท่วมโลก ตำนานแอตแลนติส
    จากภัยพิบัติครั้งนั้นทำให้มีการเขียนเรื่องแผ่นดินนี้มาตลอด เพลโตเขียนแอตแลนติส นักธรณีวิทยาหลายคนได้ทำการวิจัยและกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตมีต้นกำเนิดมาจาก “ลีมูเรีย” นักวิชาการชาวอังกฤษ วิลเลียม สก็อตต์ เอลเลียต ยืนยันในหนังสือของเขา “The Lost Lemuria” ว่ามีอาณาเขตทางบกในมหาสมุทรอินเดียปัจจุบันและผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น เขายังรวมแผนที่ของ Lemuria ไว้ในหนังสือของเขาด้วย
    แต่หลักฐานอื่นก็มี นักฟื้นฟูทมิฬส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับอาณาจักรปันยันที่กล่าวถึงในงานวรรณกรรมทมิฬและสันสกฤต คำว่า "กุมารี กันดัม" ปรากฏครั้งแรกในคันดา ปูรานัม ซึ่งเป็นฉบับภาษาทมิฬของสกันดาปุราณะในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเขียนโดยกาจิอัปปา ศิวัจฉริยรา (ค.ศ. 1350 - 1420)
    Kumari Kandam เป็นตำนานทมิฬเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียแล้วจมลงสู่มหาสมุทร แม้ว่านักเขียนชาวทมิฬหลายคนไม่ได้ระบุวันที่ที่กุมารีกันดัมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ใช้วลีเช่น "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" หรือ "หลายพันปีก่อน" แต่เรื่องราวดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกไม่สนับสนุนการมีอยู่ของแผ่นดินดังกล่าวภายในเวลาหลายพันปีหลัง สามารถสันนิษฐานได้ว่า Kumari Kandam กำลังมีความสัมพันธ์กับ Atlantis หรืออารยธรรมอื่น ๆ ในภายหลังระหว่าง 11,000 ถึง 12,000 ปี BP ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันโดย Plato ที่พูดถึง Atlantis ที่ 11,600 BP ซึ่งอาจเชื่อมโยงอาณาจักร Pandyan กับ Atlantis
    มีหลักฐานอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำโดยลูกหลานของบรรพบุรุษของผู้ที่รอดตายมาจากมหาภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ถูกมองข้ามและตีความเป็นเรื่องอื่นทำให้ไม่มีคำอธิบายจากหลักฐานนั้น หลักฐานที่เรามีอยู่เราคิดว่าใช่เรื่องเดียวกันก็เป็นหลักฐานจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกกว่า เหรียญทวารวดี เหรียญศรีเกษตร เหรียญฟูนัน เงินพดด้วงโบราณ และกลองมโหระทึกโบราณที่มีบนแผ่นดินเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้
    "คำขอของ เรา คือให้นำความจริงที่แท้จริงมาทำการวิจัยโดยนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ จนกว่าจะถึงเวลานั้นเราต้องรอ"
    เสียดายแทนคนไทย
    ที่มาของคนไทยไม่ได้มีในหนังสือบันทึก?
    "ขอให้คนไทยโชคดีรู้ที่มาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง"
    ผลงานภาพ และลิขสิทธิ์ภาพ โดยเพจ : ทราวิฑะ นอกกรอบ
    คนไทยมาจากไหน หลักฐาน บรรพชนคนโบราณ คนไทยมาจากไหน นานมาแล้วมีชนชาติที่ยังไม่เรียกตัวเองว่าไทย อพยพมาจากแผ่นดินที่ เรียกว่ากุมารีกันดัม(Kumari Gundam)ชนชาตินี้อยู่บนทะเลกลางมหาสมุทรอินเดียเมื่อเกิดการปรับรอยเลื่อนแผ่นดินทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุ่นแรง รุนแรงขนาดน้ำท่วมโลกและเกิดสึนามิทำลายแผ่นดินที่เรียกว่าKumarikandamทำให้คนบนแผ่นดินนั้นอพยพหนีภัย ไปรอบมหาสมุทรอินเดียหนีภัยเหมือนผึ้งแตกรัง ประเทศไทยซึ่งอยู่บนขอบมหาสมุทรอินเดียก็เป็นอีกแผ่นดิน ที่ใช่แผ่นดินที่คนโบราณพวกนี้หนีภัยมา เมื่อหนีภัยมาพร้อมมวลน้ำที่เรียกว่ามหาสึนามิที่เกิดตำนานเหตการณ์น้ำท่วมโลก คนไทยมาจากไหนมีหลักฐานใหม Kumari Kandam หรือ Lemuria – ทวีปที่จมอยู่ในทะเล ครั้งหนึ่งมีดินแดนหรือทวีปในมหาสมุทรอินเดียซึ่งผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น อาณาเขตทางบกเรียกว่า Lemuria หรือ Kumarikkottam หรือ Kumari Kandam แผ่นดินพินาศโดยการจมน้ำในมหาสมุทรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา เป็นการปรับแผ่นเปลือกโลกครั้งใหญ่ ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่หลายครั้ง การเกิดแผ่นดินไหวกลางมหาสมุทรครั้งนั้นทำให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่มาก ขนาดที่ทำให้แผ่นดินจมหายลงไปในทะเลแค่วันกับคืน ทำให้เกิดตำนานน้ำท่วมโลก ตำนานแอตแลนติส จากภัยพิบัติครั้งนั้นทำให้มีการเขียนเรื่องแผ่นดินนี้มาตลอด เพลโตเขียนแอตแลนติส นักธรณีวิทยาหลายคนได้ทำการวิจัยและกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตมีต้นกำเนิดมาจาก “ลีมูเรีย” นักวิชาการชาวอังกฤษ วิลเลียม สก็อตต์ เอลเลียต ยืนยันในหนังสือของเขา “The Lost Lemuria” ว่ามีอาณาเขตทางบกในมหาสมุทรอินเดียปัจจุบันและผู้คนอาศัยอยู่ที่นั่น เขายังรวมแผนที่ของ Lemuria ไว้ในหนังสือของเขาด้วย แต่หลักฐานอื่นก็มี นักฟื้นฟูทมิฬส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับอาณาจักรปันยันที่กล่าวถึงในงานวรรณกรรมทมิฬและสันสกฤต คำว่า "กุมารี กันดัม" ปรากฏครั้งแรกในคันดา ปูรานัม ซึ่งเป็นฉบับภาษาทมิฬของสกันดาปุราณะในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเขียนโดยกาจิอัปปา ศิวัจฉริยรา (ค.ศ. 1350 - 1420) Kumari Kandam เป็นตำนานทมิฬเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดียแล้วจมลงสู่มหาสมุทร แม้ว่านักเขียนชาวทมิฬหลายคนไม่ได้ระบุวันที่ที่กุมารีกันดัมจมอยู่ใต้น้ำ แต่ใช้วลีเช่น "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว" หรือ "หลายพันปีก่อน" แต่เรื่องราวดังกล่าวสอดคล้องกับทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกไม่สนับสนุนการมีอยู่ของแผ่นดินดังกล่าวภายในเวลาหลายพันปีหลัง สามารถสันนิษฐานได้ว่า Kumari Kandam กำลังมีความสัมพันธ์กับ Atlantis หรืออารยธรรมอื่น ๆ ในภายหลังระหว่าง 11,000 ถึง 12,000 ปี BP ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกันโดย Plato ที่พูดถึง Atlantis ที่ 11,600 BP ซึ่งอาจเชื่อมโยงอาณาจักร Pandyan กับ Atlantis มีหลักฐานอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำโดยลูกหลานของบรรพบุรุษของผู้ที่รอดตายมาจากมหาภัยพิบัติครั้งนั้น แต่ถูกมองข้ามและตีความเป็นเรื่องอื่นทำให้ไม่มีคำอธิบายจากหลักฐานนั้น หลักฐานที่เรามีอยู่เราคิดว่าใช่เรื่องเดียวกันก็เป็นหลักฐานจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรียกกว่า เหรียญทวารวดี เหรียญศรีเกษตร เหรียญฟูนัน เงินพดด้วงโบราณ และกลองมโหระทึกโบราณที่มีบนแผ่นดินเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นี้ "คำขอของ เรา คือให้นำความจริงที่แท้จริงมาทำการวิจัยโดยนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการ จนกว่าจะถึงเวลานั้นเราต้องรอ" เสียดายแทนคนไทย ที่มาของคนไทยไม่ได้มีในหนังสือบันทึก? "ขอให้คนไทยโชคดีรู้ที่มาของเผ่าพันธุ์ตัวเอง" ผลงานภาพ และลิขสิทธิ์ภาพ โดยเพจ : ทราวิฑะ นอกกรอบ
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์กล่าวว่าตุรกีอยู่เบื้องหลังกลุ่มอิสลามที่โค่นล้มอัสซาด
    “พวกเขาต้องการมันมานานนับพันปี และเขาก็ได้มันมา”
    .
    อิรักบุกคูเวต - อเมริกาไม่ยอม เพราะเสียผลประโยชน์
    รัสเซียบุกยูเครน - อเมริกาไม่ยอม เพราะเสียผลประโยชน์
    ตุรกีใช้ตัวแทนโค่นอัสซาดแห่งซีเรีย - อเมริกายักไหล่ ไม่เป็นไรเราเพื่อนกัน และเราก็มีส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่นี่ด้วย
    ทรัมป์กล่าวว่าตุรกีอยู่เบื้องหลังกลุ่มอิสลามที่โค่นล้มอัสซาด “พวกเขาต้องการมันมานานนับพันปี และเขาก็ได้มันมา” . อิรักบุกคูเวต - อเมริกาไม่ยอม เพราะเสียผลประโยชน์ รัสเซียบุกยูเครน - อเมริกาไม่ยอม เพราะเสียผลประโยชน์ ตุรกีใช้ตัวแทนโค่นอัสซาดแห่งซีเรีย - อเมริกายักไหล่ ไม่เป็นไรเราเพื่อนกัน และเราก็มีส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่นี่ด้วย
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 375 มุมมอง 13 0 รีวิว
  • หานเหมิน ตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘หานเหมิน’ (寒门) จริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่นกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน ไว้ Storyฯ จะทยอยมาเล่าต่อ แต่ที่วันนี้จะคุยกันคือคำว่า ‘หานเหมิน’ นี้ปัจจุบันคำว่า ‘หานเหมิน’ หมายถึงคนที่มีฐานะยากจน (‘หาน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหนาวมากแต่หมายถึงแร้นแค้นยากจน และ ‘เหมิน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าประตูแต่หมายถึงครอบครัวหรือตระกูล) และในหลายซีรีส์ที่มีการสอบราชบัณฑิตก็ดูจะสะท้อนถึงเหล่าบัณฑิตยากไร้ที่พยายามมาสอบเพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง Storyฯ ไม่ได้ดูว่าละครซับไทยหรือพากย์ไทยแปลมันไว้ว่าอย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ‘หานเหมิน’ ในบริบทจีนโบราณแรกเริ่มเลยไม่ได้หมายถึงคนจน เพราะคำว่า ‘เหมิน’ จะใช้เรียกตระกูลที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเท่านั้น ไม่ได้เรียกครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เราลองมาดูกันสักสองตัวอย่างตัวอย่างแรกคือเผยเหวินเซวียน พระเอกจากเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> ที่ถูกองค์หญิงหลี่หรงเรียกว่ามาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งพื้นเพของเขาคือ มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีรับตำแหน่งสูงเกินขั้นที่ห้า แต่ก็จัดเป็นตระกูลอยู่ดีกินดี (อนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอดีตเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดไปตามยุคสมัยแต่โดยกรอบใหญ่การแบ่งขุนนางส่วนกลางเป็นเก้าขั้น หรือ ‘จิ๋วผิ่น’ (九品) มีมายาวนานร่วมสองพันปี) จวบจนบิดาได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำพาให้คนในตระกูลมีโอกาสย้ายเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวงอีกตัวอย่างหนึ่งคือพานฉือจากเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน แต่ในบทนิยายเดิมพื้นเพของเขาคือมาจากครอบครัวข้าราชการมีหน้ามีตาระดับท้องถิ่น บิดาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จัดเป็นตระกูลที่อยู่ดีกินดี แต่เขาอยากเห็นคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลหนุนหลังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปสู่ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของส่วนกลางได้โดยผ่านการสอบราชบัณฑิต เขาถูกเรียกว่ามาจาก ‘หานเหมิน’ เช่นกันจากสองตัวอย่างนี้ เพื่อนเพจคงพอเดาได้แล้วว่าความหมายดั้งเดิมของ ‘หานเหมิน’ หมายถึงตระกูลขุนนางที่อิทธิพลเสื่อมถอย ไม่ได้มีอำนาจผงาดอยู่ในราชสำนัก แต่ก็จัดเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณและมีอันจะกินพอที่ลูกหลานจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก หลายครั้งถูกมองว่าเป็นตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' หรือ Tier 2แล้วตระกูลขุนนาง 'ชั้นหนึ่ง' หรือ Tier 1 คืออะไร? คำตอบคือ ‘สื้อเจีย’ (世家) ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/373292221465743 และ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/378258494302449) ซึ่งโดยสรุปคือหมายถึงตระกูลขุนนางระดับสูงอันเก่าแก่ คนในตระกูลรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงถึงสูงที่สุดต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลเหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองสูง (และอิทธิพลทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย) และในสมัยโบราณตระกูลเหล่านี้สามารถยื่นฎีกาเสนอชื่อคนในตระกูลเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เลย ดังนั้นในสายตาของชาวสื้อเจียที่มียศอำนาจสูงมาตลอดแล้วนั้น คนจากหานเหมินจึงต่ำต้อยกว่าเพราะมีเพียงครั้งคราวที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหญ่หรืออาจเป็นเพียงตระกูลที่ ‘เคยมี’ การสอบราชบัณฑิตจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลสื้อเจียสามารถเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ผ่านความรู้ความสามารถของตน แต่แน่นอนว่าหนทางนี้ไม่ได้ง่าย อย่างที่เราเห็นในหลายซีรีส์ถึงความพยายามของเหล่ากลุ่มอำนาจที่จะพยายามดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และ Storyฯ คิดว่าเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> สะท้อนประเด็นความขัดแย้งนี้ออกมาได้ดีมาก และองค์หญิงหลี่หรงเองเคยถกถึงข้อดีข้อเสียของการรับคนจากสื้อเจียบรรจุเข้าเป็นขุนนางโดยไม่ผ่านการสอบแข่งขันด้วยการสอบราชบัณฑิตได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดในสมัยซ่งและในยุคสมัยนี้เองที่เหล่าสื้อเจียถูกริดรอนอำนาจจนเสื่อมหายไปในที่สุด เมื่อไม่มีสื้อเจียตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งก็ไม่มีหานเหมินตระกูลขุนนางชั้นสอง และต่อมาคำว่า ‘หานเหมิน’ จึงถูกใช้เรียกคนยากจนสัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อถึงวลีจีนที่เหยียนซิ่นใช้ปลอบพานฉือที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรกค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/249182333_100121516 https://www.163.com/dy/article/HQT63VVA05561H1M.html https://www.sohu.com/a/576151365_121252035 https://www.lishirenwu.com/jiangxianggushi/58427.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #องค์หญิงใหญ่ #หานเหมิน #สื้อเจีย #ตระกูลขุนนางจีน #สาระจีน
    หานเหมิน ตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' สวัสดีค่ะ เพื่อนเพจที่ได้ดู <ทำนองรักกังวานแดนดิน> คงจำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่พระนางต้องไปสืบคดีที่เมืองกานหนานเต้าและได้พบกันพานฉือ มีฉากหนึ่งที่พานฉือนั่งดื่มสุราดับทุกข์และเหยียนซิ่งมาปลอบโดยกล่าวถึงบทความหนึ่งของพานฉือที่เคยโด่งดังในแวดวงผู้มีการศึกษา และเป็นแรงบันดาลใจให้กับเหล่าบัณฑิตที่ไม่ได้มาจากตระกูลขุนนางใหญ่หรือที่เรียกว่า ‘หานเหมิน’ (寒门) จริงๆ แล้วบทความที่เหยียนซิ่นกล่าวถึงนี้เป็นการยกเอาวรรคเด็ดจากหลายบทกวีโบราณมายำรวมกัน ไว้ Storyฯ จะทยอยมาเล่าต่อ แต่ที่วันนี้จะคุยกันคือคำว่า ‘หานเหมิน’ นี้ปัจจุบันคำว่า ‘หานเหมิน’ หมายถึงคนที่มีฐานะยากจน (‘หาน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าหนาวมากแต่หมายถึงแร้นแค้นยากจน และ ‘เหมิน’ ในที่นี้ไม่ได้แปลว่าประตูแต่หมายถึงครอบครัวหรือตระกูล) และในหลายซีรีส์ที่มีการสอบราชบัณฑิตก็ดูจะสะท้อนถึงเหล่าบัณฑิตยากไร้ที่พยายามมาสอบเพื่อสร้างอนาคตให้กับตนเอง Storyฯ ไม่ได้ดูว่าละครซับไทยหรือพากย์ไทยแปลมันไว้ว่าอย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ‘หานเหมิน’ ในบริบทจีนโบราณแรกเริ่มเลยไม่ได้หมายถึงคนจน เพราะคำว่า ‘เหมิน’ จะใช้เรียกตระกูลที่มีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเท่านั้น ไม่ได้เรียกครอบครัวชาวบ้านธรรมดา เราลองมาดูกันสักสองตัวอย่างตัวอย่างแรกคือเผยเหวินเซวียน พระเอกจากเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> ที่ถูกองค์หญิงหลี่หรงเรียกว่ามาจากตระกูล ‘หานเหมิน’ ซึ่งพื้นเพของเขาคือ มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีรับตำแหน่งสูงเกินขั้นที่ห้า แต่ก็จัดเป็นตระกูลอยู่ดีกินดี (อนึ่ง ตำแหน่งขุนนางในอดีตเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดไปตามยุคสมัยแต่โดยกรอบใหญ่การแบ่งขุนนางส่วนกลางเป็นเก้าขั้น หรือ ‘จิ๋วผิ่น’ (九品) มีมายาวนานร่วมสองพันปี) จวบจนบิดาได้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่นำพาให้คนในตระกูลมีโอกาสย้ายเข้ามารับราชการอยู่ในเมืองหลวงอีกตัวอย่างหนึ่งคือพานฉือจากเรื่อง <ทำนองรักกังวานแดนดิน> ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีรายละเอียดในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน แต่ในบทนิยายเดิมพื้นเพของเขาคือมาจากครอบครัวข้าราชการมีหน้ามีตาระดับท้องถิ่น บิดาเป็นผู้บัญชาการทหารระดับสูง จัดเป็นตระกูลที่อยู่ดีกินดี แต่เขาอยากเห็นคนที่ไม่ได้มีอิทธิพลหนุนหลังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคเข้าไปสู่ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของส่วนกลางได้โดยผ่านการสอบราชบัณฑิต เขาถูกเรียกว่ามาจาก ‘หานเหมิน’ เช่นกันจากสองตัวอย่างนี้ เพื่อนเพจคงพอเดาได้แล้วว่าความหมายดั้งเดิมของ ‘หานเหมิน’ หมายถึงตระกูลขุนนางที่อิทธิพลเสื่อมถอย ไม่ได้มีอำนาจผงาดอยู่ในราชสำนัก แต่ก็จัดเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาพอประมาณและมีอันจะกินพอที่ลูกหลานจะมีการศึกษาที่ดี ไม่ใช่คนยากจนสิ้นไร้ไม้ตอก หลายครั้งถูกมองว่าเป็นตระกูลขุนนาง 'ชั้นสอง' หรือ Tier 2แล้วตระกูลขุนนาง 'ชั้นหนึ่ง' หรือ Tier 1 คืออะไร? คำตอบคือ ‘สื้อเจีย’ (世家) ที่ Storyฯ เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/373292221465743 และ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/378258494302449) ซึ่งโดยสรุปคือหมายถึงตระกูลขุนนางระดับสูงอันเก่าแก่ คนในตระกูลรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงถึงสูงที่สุดต่อเนื่องมาหลายชั่วอายุคน ตระกูลเหล่านี้มีอิทธิพลทางการเมืองสูง (และอิทธิพลทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย) และในสมัยโบราณตระกูลเหล่านี้สามารถยื่นฎีกาเสนอชื่อคนในตระกูลเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เลย ดังนั้นในสายตาของชาวสื้อเจียที่มียศอำนาจสูงมาตลอดแล้วนั้น คนจากหานเหมินจึงต่ำต้อยกว่าเพราะมีเพียงครั้งคราวที่มีโอกาสได้รับตำแหน่งใหญ่หรืออาจเป็นเพียงตระกูลที่ ‘เคยมี’ การสอบราชบัณฑิตจึงเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้มาจากตระกูลสื้อเจียสามารถเข้ามาช่วงชิงตำแหน่งทางการเมืองได้ผ่านความรู้ความสามารถของตน แต่แน่นอนว่าหนทางนี้ไม่ได้ง่าย อย่างที่เราเห็นในหลายซีรีส์ถึงความพยายามของเหล่ากลุ่มอำนาจที่จะพยายามดำรงไว้ซึ่งอำนาจ และ Storyฯ คิดว่าเรื่อง <องค์หญิงใหญ่> สะท้อนประเด็นความขัดแย้งนี้ออกมาได้ดีมาก และองค์หญิงหลี่หรงเองเคยถกถึงข้อดีข้อเสียของการรับคนจากสื้อเจียบรรจุเข้าเป็นขุนนางโดยไม่ผ่านการสอบแข่งขันด้วยการสอบราชบัณฑิตได้รับการพัฒนาถึงขีดสุดในสมัยซ่งและในยุคสมัยนี้เองที่เหล่าสื้อเจียถูกริดรอนอำนาจจนเสื่อมหายไปในที่สุด เมื่อไม่มีสื้อเจียตระกูลขุนนางชั้นหนึ่งก็ไม่มีหานเหมินตระกูลขุนนางชั้นสอง และต่อมาคำว่า ‘หานเหมิน’ จึงถูกใช้เรียกคนยากจนสัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อถึงวลีจีนที่เหยียนซิ่นใช้ปลอบพานฉือที่กล่าวถึงในย่อหน้าแรกค่ะ(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.ifensi.com/index.php?m=home&c=View&a=index&aid=4545https://business.china.com/ent/13004728/20240625/46749263.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/249182333_100121516 https://www.163.com/dy/article/HQT63VVA05561H1M.html https://www.sohu.com/a/576151365_121252035 https://www.lishirenwu.com/jiangxianggushi/58427.html #ทำนองรักกังวานแดนดิน #องค์หญิงใหญ่ #หานเหมิน #สื้อเจีย #ตระกูลขุนนางจีน #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 777 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลี่ เสมียนหลวงโบราณวันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ ถึงอีกเกร็ดหนึ่งจากซีรีส์เรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ เพื่อนเพจที่ได้ดูแล้วคงจำได้ว่าในตอนปลายของเรื่องนั้น ไต้เท้าฟ่านเสียนได้เดินทางไปซูโจว และเอาเงินและของที่ได้รับกำนัลจากเหล่าขุนนางท้องถิ่นไปบริจาคให้ชาวบ้านที่หนีภัยธรรมชาติมายังซูโจว ในเหตุการณ์นี้ ฟ่านเสียนมอบหมายให้เสมียนหลวงเป็นคนเอาของไปแจกจ่าย คำกล่าวของเขาคือ เสมียนไม่ใช่ขุนนาง จึงมีสถานะห่างจากชาวบ้านธรรมดาน้อยหน่อยเสมียนหลวงหรือที่เรียกว่า ‘ลี่’ (吏) นี้หากดูจากขอบเขตหน้าที่การทำงานแล้ว คงเปรียบได้กับข้าราชการพลเรือนสามัญในระบบราชการไทย แต่ ‘ลี่’ นี้ ในระบบข้าราชการของจีนโบราณมีสถานะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย บางสมัยนับเป็นข้าราชการ บางสมัยไม่ใช่ ในเรื่อง <หาญท้าฯ> นี้ ขุนนางเรียกว่า ‘กวน’ (官) ในขณะที่ ‘ลี่’ คือเสมียน แต่จริงๆ แล้วในยุคแรกๆ ทั้งกวนและลี่ล้วนใช้กับข้าราชการเหมือนกันและมักเรียกรวมเป็นกวนลี่ และในเอกสารต่างๆ เรียกขุนนางว่าลี่ โดยหมายรวมถึงขุนนางระดับสูงด้วย ตัวอย่างเช่น เอกสารบันทึกสมัยชุนชิวที่เรียกว่าจั่วจ้วน (左传) มีการกล่าวถึงว่า ข้าหลวงตัวแทนพระองค์มีอำนาจและยศต่ำกว่า ‘ซานลี่’ (ลี่สามตำแหน่ง) ซึ่งหมายถึง ‘ซานกง’ (บางคนแปลว่าสามพระยา บางคนแปลว่าสามมหาเสนา) ซึ่งเป็นขุนนางสูงสุดสามตำแหน่งในสมัยนั้นต่อมาคำว่า ‘ลี่’ ถูกใช้เรียกข้าราชการท้องถิ่นเป็นหลัก ในสมัยฮั่นมีการวางระบบข้าราชการเพิ่มเติมและแยกข้าราชการท้องถิ่นออกเป็นสามระดับคือ กวน จ่างลี่ (长吏) และส้าวลี่ (少吏) และกำหนดเกณฑ์ว่าผู้ที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าข้าวสองร้อยต้านคือกวน ต่ำกว่านั้นคือลี่ เห็นได้ว่า แม้ว่าลี่ยังเป็นข้าราชการแต่จัดเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยต่อมาการแบ่งแยกระหว่างกวนและลี่มีมากขึ้นภายใต้ระบบขุนนางเก้าขั้นและเมื่อขุนนางท้องถิ่นถูกลดทอนอำนาจ ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้มีการยกเลิกการให้เงินเดือนหลวงกับลี่และจำนวนขุนนางที่ไปประจำการท้องถิ่นมีน้อยลง จึงต้องว่าจ้างคนในพื้นที่ทำงาน กลายเป็นว่าลี่คือเสมียนรับจ้างจากข้าราชการอีกที ทำให้ในสมัยถังและซ่ง ลี่ถูกมองว่าเป็นคนชั้นล่าง การแบ่งแยกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นในสมัยหมิง เมื่อมีการกำหนดว่าผู้ที่ทำหน้าที่เสมียนหลวงห้ามสอบขุนนาง นั่นแปลว่า ‘ลี่’ เข้ารับราชการไม่ได้เลย ดังนั้น จากเดิมที่ลี่เป็นข้าราชการเช่นเดียวกับกวน ผ่านไปกว่าพันปีกลับกลายเป็นว่า ลี่แม้ทำงานในที่ว่าการท้องถิ่น แต่ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มียศขั้น ไม่มีเงินเดือนหลวงประจำตำแหน่งหากแต่ได้รับค่าจ้างตามแต่ข้าราชการท้องถิ่นจะมีงบประมาณว่าจ้าง ในยุคสมัยที่ขุนนางได้รับการยกย่องว่าเป็นชนชั้นสูงมีหน้ามีตาในสังคม จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นภาพเช่นในเรื่อง <หาญท้าฯ> ที่มีการดูถูกเสมียนหลวงว่าเป็นคนที่ต่ำต้อย และไม่แปลกว่าทำไมฟ่านเสียนจึงบอกว่า เสมียนหลวงไม่ใช่ข้าราชการและนับว่ามีสถานะใกล้ชิดกับชาวบ้านมากกว่าขุนนางในความเป็นจริง เสมียนหลวงมีความสำคัญไม่น้อยแม้ไม่ได้รับการยกย่องชูเกียรติเหมือนขุนนาง เนื่องเพราะพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของที่ว่าการท้องถิ่น ดูแลงานต่างๆ ประจำวัน อาจกล่าวได้ว่างานหลายเรื่องจะถูกดองหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเขา นอกจากนี้ ขุนนางที่ไปประจำการท้องถิ่นโดยปกติจะมีการโยกย้ายทุกสามปี แต่เสมียนหลวงเป็นชาวบ้านในพื้นที่ ไม่ต้องถูกโยกย้ายไปประจำการในพื้นที่อื่นและรู้ตื้นลึกหนาบางในพื้นที่ของตนเป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมในเรื่อง <หาญท้าฯ> จึงมีคนท้วงฟ่านเสียนว่าเหตุใดจึงไม่กลัวว่าเสมียนหลวงจะยักยอกเงิน(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ejdz.cn/download/news/n134541.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ctext.org/chun-qiu-zuo-zhuan/cheng-gong-er-nian/zhs https://web.stanford.edu/~xgzhou/zhou_16_GuanLi_EN.pdfhttps://www.sohu.com/a/574234_109477https://www.sohu.com/a/460112987_120129611 https://www.163.com/dy/article/DAJGGOVH0523F8UN.html #หาญท้าชะตาฟ้า #ขุนนางจีน #เสมียนหลวง #ลี่ #กวน #สาระจีน
    ลี่ เสมียนหลวงโบราณวันนี้เรามาคุยกันสั้นๆ ถึงอีกเกร็ดหนึ่งจากซีรีส์เรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร ภาค 2> อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ เพื่อนเพจที่ได้ดูแล้วคงจำได้ว่าในตอนปลายของเรื่องนั้น ไต้เท้าฟ่านเสียนได้เดินทางไปซูโจว และเอาเงินและของที่ได้รับกำนัลจากเหล่าขุนนางท้องถิ่นไปบริจาคให้ชาวบ้านที่หนีภัยธรรมชาติมายังซูโจว ในเหตุการณ์นี้ ฟ่านเสียนมอบหมายให้เสมียนหลวงเป็นคนเอาของไปแจกจ่าย คำกล่าวของเขาคือ เสมียนไม่ใช่ขุนนาง จึงมีสถานะห่างจากชาวบ้านธรรมดาน้อยหน่อยเสมียนหลวงหรือที่เรียกว่า ‘ลี่’ (吏) นี้หากดูจากขอบเขตหน้าที่การทำงานแล้ว คงเปรียบได้กับข้าราชการพลเรือนสามัญในระบบราชการไทย แต่ ‘ลี่’ นี้ ในระบบข้าราชการของจีนโบราณมีสถานะแตกต่างกันไปตามยุคสมัย บางสมัยนับเป็นข้าราชการ บางสมัยไม่ใช่ ในเรื่อง <หาญท้าฯ> นี้ ขุนนางเรียกว่า ‘กวน’ (官) ในขณะที่ ‘ลี่’ คือเสมียน แต่จริงๆ แล้วในยุคแรกๆ ทั้งกวนและลี่ล้วนใช้กับข้าราชการเหมือนกันและมักเรียกรวมเป็นกวนลี่ และในเอกสารต่างๆ เรียกขุนนางว่าลี่ โดยหมายรวมถึงขุนนางระดับสูงด้วย ตัวอย่างเช่น เอกสารบันทึกสมัยชุนชิวที่เรียกว่าจั่วจ้วน (左传) มีการกล่าวถึงว่า ข้าหลวงตัวแทนพระองค์มีอำนาจและยศต่ำกว่า ‘ซานลี่’ (ลี่สามตำแหน่ง) ซึ่งหมายถึง ‘ซานกง’ (บางคนแปลว่าสามพระยา บางคนแปลว่าสามมหาเสนา) ซึ่งเป็นขุนนางสูงสุดสามตำแหน่งในสมัยนั้นต่อมาคำว่า ‘ลี่’ ถูกใช้เรียกข้าราชการท้องถิ่นเป็นหลัก ในสมัยฮั่นมีการวางระบบข้าราชการเพิ่มเติมและแยกข้าราชการท้องถิ่นออกเป็นสามระดับคือ กวน จ่างลี่ (长吏) และส้าวลี่ (少吏) และกำหนดเกณฑ์ว่าผู้ที่ได้รับเงินเดือนสูงกว่าข้าวสองร้อยต้านคือกวน ต่ำกว่านั้นคือลี่ เห็นได้ว่า แม้ว่าลี่ยังเป็นข้าราชการแต่จัดเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยต่อมาการแบ่งแยกระหว่างกวนและลี่มีมากขึ้นภายใต้ระบบขุนนางเก้าขั้นและเมื่อขุนนางท้องถิ่นถูกลดทอนอำนาจ ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้มีการยกเลิกการให้เงินเดือนหลวงกับลี่และจำนวนขุนนางที่ไปประจำการท้องถิ่นมีน้อยลง จึงต้องว่าจ้างคนในพื้นที่ทำงาน กลายเป็นว่าลี่คือเสมียนรับจ้างจากข้าราชการอีกที ทำให้ในสมัยถังและซ่ง ลี่ถูกมองว่าเป็นคนชั้นล่าง การแบ่งแยกนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นในสมัยหมิง เมื่อมีการกำหนดว่าผู้ที่ทำหน้าที่เสมียนหลวงห้ามสอบขุนนาง นั่นแปลว่า ‘ลี่’ เข้ารับราชการไม่ได้เลย ดังนั้น จากเดิมที่ลี่เป็นข้าราชการเช่นเดียวกับกวน ผ่านไปกว่าพันปีกลับกลายเป็นว่า ลี่แม้ทำงานในที่ว่าการท้องถิ่น แต่ไม่ใช่ข้าราชการ ไม่มียศขั้น ไม่มีเงินเดือนหลวงประจำตำแหน่งหากแต่ได้รับค่าจ้างตามแต่ข้าราชการท้องถิ่นจะมีงบประมาณว่าจ้าง ในยุคสมัยที่ขุนนางได้รับการยกย่องว่าเป็นชนชั้นสูงมีหน้ามีตาในสังคม จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นภาพเช่นในเรื่อง <หาญท้าฯ> ที่มีการดูถูกเสมียนหลวงว่าเป็นคนที่ต่ำต้อย และไม่แปลกว่าทำไมฟ่านเสียนจึงบอกว่า เสมียนหลวงไม่ใช่ข้าราชการและนับว่ามีสถานะใกล้ชิดกับชาวบ้านมากกว่าขุนนางในความเป็นจริง เสมียนหลวงมีความสำคัญไม่น้อยแม้ไม่ได้รับการยกย่องชูเกียรติเหมือนขุนนาง เนื่องเพราะพวกเขาเป็นเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของที่ว่าการท้องถิ่น ดูแลงานต่างๆ ประจำวัน อาจกล่าวได้ว่างานหลายเรื่องจะถูกดองหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเขา นอกจากนี้ ขุนนางที่ไปประจำการท้องถิ่นโดยปกติจะมีการโยกย้ายทุกสามปี แต่เสมียนหลวงเป็นชาวบ้านในพื้นที่ ไม่ต้องถูกโยกย้ายไปประจำการในพื้นที่อื่นและรู้ตื้นลึกหนาบางในพื้นที่ของตนเป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมในเรื่อง <หาญท้าฯ> จึงมีคนท้วงฟ่านเสียนว่าเหตุใดจึงไม่กลัวว่าเสมียนหลวงจะยักยอกเงิน(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.ejdz.cn/download/news/n134541.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://ctext.org/chun-qiu-zuo-zhuan/cheng-gong-er-nian/zhs https://web.stanford.edu/~xgzhou/zhou_16_GuanLi_EN.pdfhttps://www.sohu.com/a/574234_109477https://www.sohu.com/a/460112987_120129611 https://www.163.com/dy/article/DAJGGOVH0523F8UN.html #หาญท้าชะตาฟ้า #ขุนนางจีน #เสมียนหลวง #ลี่ #กวน #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 0 รีวิว
  • ((( ขยาย เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ซีเรียที่แท้จริง มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าที่คิดไว้เยอะ )))ลองคิดดูว่า หากไม่มีทางเลือกอื่นจริง ปูติน อัสซาด คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ เหตุเพราะอะไร กว่า 10 ปี ที่ซีเรีย ถูกเหี้ยไอซิสเข้าครอบครอง และก่อนหน้านั้น ก็ได้ทำการล้างสมองชาวบ้านไปเยอะ ปัจจุบันนี้ ซีเรียมีทั้งคนชอบอัสซาด และคนที่ไม่เอาอัสซาด(ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ก) เคิร์กอยู่เต็มไปหมดทั้งซีเรีย อิรัก ตุรกี บริเวณคาบสมุทรไซนาย เหตุผลความขัดแย้ง ก็คือเรื่องดินแดน แยกตัว ตั้งรัฐอิสระ พูดง่ายๆ คือ กองกำลังซีเรียแท้จริงที่ย้ายไปอิรัก และแอบซ่อนตัวอยู่ตามพรมแดนซีเรีย คือกองกำลังปกป้องอัสซาดนั่นเอง ส่วนไอ้พวกที่ยังต่อต้านกองทัพตุรกีตอนนี้ คือกลุ่มเคิร์กไงล่ะ และเหล่าขี้ข้าเหี้ย C ที่อยู่เกลื่อนซีเรีย ดังนั้น เวลาสื่อตีข่าว มักจะใช้คำว่า "ชาวซีเรีย" กองกำลังซีเรีย แต่ไม่ได้บอก ว่า "พวกใคร" มันง่าย ที่จะทำให้เข้าใจผิด ว่าคือกองกำลังเก่าที่ปกป้องอัสซาด อัสซาดไม่อยู่ แล้วมรึงจะไปปกป้องใคร? ดังนั้น ฟังสื่อ ต้องใช้สติ ขนาดประเทศกูมี 75 ล้าน ยังมีควายถึง 14 ล้านได้ แล้วซีเรีย จะมีเท่าไหร่ล่ะ? ไม่ต้องตกใจสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกลยุทธการศึก คิดง่ายๆ ว่า อยู่ดีดี ปูติน อัสซาด จะยอมถอนกำลังออกจากแผ่นดินตัวเองทำไม? แปลว่า ต้องมีเหตุผลที่หนักกว่าดีกว่า และทำได้จริง เป็นอนาคตที่ดีกว่าเดิมชัวร์ สรุปคือ ปูตินใช้อีไก่งวงมาช่วยล้างแผ่นดินให้ซีเรีย กวาดล้างบางไอ้อีที่ซ่อนตัวทั้งหมด เมื่อจัดการเสร็จ ค่อยรอต้อนรับอียิวเข้ามา แล้วมุสลิมปาร์ตี้แม่งซะเลย มรึงไปบุกเค้า มรึงต้องใช้กำลังมากกว่าเดิม 3 เท่า ตามสูตร 3:1 ฝ่ายรุกถึงได้เปรียบ และนั่นคือกับดักที่ไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ เหี้ยกำลังเดินเข้ามาหลุมศพตัวเอง คิดดู อาวุธขัี้วใหม่ ดีกว่า แรงกว่า พิสูจน์แล้วจริง หากจะจัดการอียิวขั้นเด็ดขาด ทำไมจะทำไม่ได้ โปรดดูวิถีเกมส์นี้ให้ดีดี ขั้วใหม่บีบให้อียิวแหกกฎหมายทุกข้อบนโลก บีบให้มันเผยธาตุแท้ออกมาจนหมดสิ้น กวักมือเรียกขี้ข้าอีแอบออกมาหมด ตอนนี้ โลกประจักษ์ชัดแล้ว นอกจากอียิวจะฆ่าชาวปาเลสไตน์ ยังจะเดินหน้ามายึดซีเรียต่อ ไม่ว่ามองมุมไหน มรึงแพ้ราบคาบ และหมดรูปชัวร์ ละครฉากใหญ่ซีเรีย ยังไม่จบง่ายๆ ดอก ยิ่งลาก เหี้ยยิ่งตายบ ยิ่งยาว เหี้ยยิ่งหมดตูด อยากได้อเมริกา ยุโรป ถูกๆ มั้ยล่ะ? ลากมันไปจนถึงปีหน้า "เผาจริงแน่" ขั้วใหม่นับเงิน ขั้วเก่านับศพ คีย์มันชัด!แค่มาบอกเล่า 9/10 ดูสื่อรายงาน อย่าเชื่อ คิดเองบ้าง ไตร่ตรองเองบ้าง เป็นสาวกหมี ต้องรอบจัด คิดหลายตลบ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องดื้อเข้าไว้ ภาพมายามันหลอกได้ชั่วคราว เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะรู้ทันเอง ไม่มีใครฉลาดตั้งแต่เกิด แต่สติจะทำให้มรึงเกิดเต็มตัว จงกลายร่างเป็นหมี CNN ทั้งหมดได้แล้ว ตกผลึกกับกูมานานนับสิบปี จงเป็นเพชรที่มีค่า กอบกู้ ปกป้อง แผ่นดินอโยธยา อันเป็นที่รัก บ้านของเราทุกคน(ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)หมี CNN(กว่าพันปี เปอร์เซีย อาหรับ มุสลิม เข้าสู่สงครามมานับไม่ถ้วน มีแตกเป็น 1000 กลุ่ม 1000 ลัทธิ มรึงจะไม่ให้ทะเลาะกันเลยคงยาก ประวัติศาสตร์มันมี เคยเกลียดกัน เคยฆ่ากัน แต่วันนี้ เพื่อความอยู่รอด ต้องรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาติพันธุ์ถึงจะอยู่รอด เฉกเช่นสยามประเทศ เกาะกลุ่มกันไว้ คนแบบมรึงกับกู มันมีน้อย แต่พลังมหาศาล เพราะไม่ได้เป็นผู้ตาม มรึงถูกกำหนดให้เป็นผู้นำ รู้ตัวบ้างป่ะ?)12 ธันวาคม 6722.35 น.
    ((( ขยาย เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ซีเรียที่แท้จริง มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าที่คิดไว้เยอะ )))ลองคิดดูว่า หากไม่มีทางเลือกอื่นจริง ปูติน อัสซาด คงไม่ตัดสินใจทำเช่นนี้ เหตุเพราะอะไร กว่า 10 ปี ที่ซีเรีย ถูกเหี้ยไอซิสเข้าครอบครอง และก่อนหน้านั้น ก็ได้ทำการล้างสมองชาวบ้านไปเยอะ ปัจจุบันนี้ ซีเรียมีทั้งคนชอบอัสซาด และคนที่ไม่เอาอัสซาด(ส่วนใหญ่เป็นชาวเคิร์ก) เคิร์กอยู่เต็มไปหมดทั้งซีเรีย อิรัก ตุรกี บริเวณคาบสมุทรไซนาย เหตุผลความขัดแย้ง ก็คือเรื่องดินแดน แยกตัว ตั้งรัฐอิสระ พูดง่ายๆ คือ กองกำลังซีเรียแท้จริงที่ย้ายไปอิรัก และแอบซ่อนตัวอยู่ตามพรมแดนซีเรีย คือกองกำลังปกป้องอัสซาดนั่นเอง ส่วนไอ้พวกที่ยังต่อต้านกองทัพตุรกีตอนนี้ คือกลุ่มเคิร์กไงล่ะ และเหล่าขี้ข้าเหี้ย C ที่อยู่เกลื่อนซีเรีย ดังนั้น เวลาสื่อตีข่าว มักจะใช้คำว่า "ชาวซีเรีย" กองกำลังซีเรีย แต่ไม่ได้บอก ว่า "พวกใคร" มันง่าย ที่จะทำให้เข้าใจผิด ว่าคือกองกำลังเก่าที่ปกป้องอัสซาด อัสซาดไม่อยู่ แล้วมรึงจะไปปกป้องใคร? ดังนั้น ฟังสื่อ ต้องใช้สติ ขนาดประเทศกูมี 75 ล้าน ยังมีควายถึง 14 ล้านได้ แล้วซีเรีย จะมีเท่าไหร่ล่ะ? ไม่ต้องตกใจสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับกลยุทธการศึก คิดง่ายๆ ว่า อยู่ดีดี ปูติน อัสซาด จะยอมถอนกำลังออกจากแผ่นดินตัวเองทำไม? แปลว่า ต้องมีเหตุผลที่หนักกว่าดีกว่า และทำได้จริง เป็นอนาคตที่ดีกว่าเดิมชัวร์ สรุปคือ ปูตินใช้อีไก่งวงมาช่วยล้างแผ่นดินให้ซีเรีย กวาดล้างบางไอ้อีที่ซ่อนตัวทั้งหมด เมื่อจัดการเสร็จ ค่อยรอต้อนรับอียิวเข้ามา แล้วมุสลิมปาร์ตี้แม่งซะเลย มรึงไปบุกเค้า มรึงต้องใช้กำลังมากกว่าเดิม 3 เท่า ตามสูตร 3:1 ฝ่ายรุกถึงได้เปรียบ และนั่นคือกับดักที่ไม่ต้องเปลืองแรงขยี้ เหี้ยกำลังเดินเข้ามาหลุมศพตัวเอง คิดดู อาวุธขัี้วใหม่ ดีกว่า แรงกว่า พิสูจน์แล้วจริง หากจะจัดการอียิวขั้นเด็ดขาด ทำไมจะทำไม่ได้ โปรดดูวิถีเกมส์นี้ให้ดีดี ขั้วใหม่บีบให้อียิวแหกกฎหมายทุกข้อบนโลก บีบให้มันเผยธาตุแท้ออกมาจนหมดสิ้น กวักมือเรียกขี้ข้าอีแอบออกมาหมด ตอนนี้ โลกประจักษ์ชัดแล้ว นอกจากอียิวจะฆ่าชาวปาเลสไตน์ ยังจะเดินหน้ามายึดซีเรียต่อ ไม่ว่ามองมุมไหน มรึงแพ้ราบคาบ และหมดรูปชัวร์ ละครฉากใหญ่ซีเรีย ยังไม่จบง่ายๆ ดอก ยิ่งลาก เหี้ยยิ่งตายบ ยิ่งยาว เหี้ยยิ่งหมดตูด อยากได้อเมริกา ยุโรป ถูกๆ มั้ยล่ะ? ลากมันไปจนถึงปีหน้า "เผาจริงแน่" ขั้วใหม่นับเงิน ขั้วเก่านับศพ คีย์มันชัด!แค่มาบอกเล่า 9/10 ดูสื่อรายงาน อย่าเชื่อ คิดเองบ้าง ไตร่ตรองเองบ้าง เป็นสาวกหมี ต้องรอบจัด คิดหลายตลบ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องดื้อเข้าไว้ ภาพมายามันหลอกได้ชั่วคราว เจอบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะรู้ทันเอง ไม่มีใครฉลาดตั้งแต่เกิด แต่สติจะทำให้มรึงเกิดเต็มตัว จงกลายร่างเป็นหมี CNN ทั้งหมดได้แล้ว ตกผลึกกับกูมานานนับสิบปี จงเป็นเพชรที่มีค่า กอบกู้ ปกป้อง แผ่นดินอโยธยา อันเป็นที่รัก บ้านของเราทุกคน(ที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์)หมี CNN(กว่าพันปี เปอร์เซีย อาหรับ มุสลิม เข้าสู่สงครามมานับไม่ถ้วน มีแตกเป็น 1000 กลุ่ม 1000 ลัทธิ มรึงจะไม่ให้ทะเลาะกันเลยคงยาก ประวัติศาสตร์มันมี เคยเกลียดกัน เคยฆ่ากัน แต่วันนี้ เพื่อความอยู่รอด ต้องรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ชาติพันธุ์ถึงจะอยู่รอด เฉกเช่นสยามประเทศ เกาะกลุ่มกันไว้ คนแบบมรึงกับกู มันมีน้อย แต่พลังมหาศาล เพราะไม่ได้เป็นผู้ตาม มรึงถูกกำหนดให้เป็นผู้นำ รู้ตัวบ้างป่ะ?)12 ธันวาคม 6722.35 น.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 469 มุมมอง 0 รีวิว
  • 💥 ทัวร์จีน สัมผัสอารยธรรมพันปี ซีอาน - หยุ่นเฉิง - ลั่วหยาง 5 วัน 4 คืน ไม่เข้าร้าน

    ✈️ เดินทางโดย : ZH-เซินเจิ้น แอร์ไลน์

    🅿️ 9 - 13 เม.ย. 68 ท่านละ 24,900
    🅿️ 16 - 20 เม.ย. / 30 เม.ย. - 4 พ.ค. 68 ท่านละ 22,900

    📍 วัดเส้าหลิน (รวมนั่งรถไฟฟ้า)
    📍 ป่าเจดีย์
    📍 การแสดงกังฟู
    📍 ศาลเจ้ากวนอู
    📍 พิพิธภัณฑ์ลั่วหยาง
    📍 เมืองโบราณลั่วอี้
    📍 สวนดอกโบตั๋น (เฉพาะช่วงเม.ย.)
    📍 สุสานทหารดินเผาจิ๋นซี (รวมรถกอล์ฟ+รวมหูฟัง)
    📍 ห้างต้าเย่เฉิง

    📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน
    📢 รหัสทัวร์ : Z11840
    🏢 โรงแรม : ⭐️⭐️⭐️⭐️

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e5b5d6

    ดูทัวร์วันแรงงานทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/ebb53e

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e40ba7

    ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e1a231

    ดูทัวร์ซีอานทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e93164

    ดูทัวร์ไม่เข้าร้านค้ารัฐบาลทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e1dfdd

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #ทัวร์ไม่เข้าร้านค้ารัฐบาล #ทัวร์วันสงกรานต์ #ทัวร์วันแรงงาน #ทัวร์ซีอาน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    💥 ทัวร์จีน สัมผัสอารยธรรมพันปี ซีอาน - หยุ่นเฉิง - ลั่วหยาง 5 วัน 4 คืน ไม่เข้าร้าน ✈️ เดินทางโดย : ZH-เซินเจิ้น แอร์ไลน์ 🅿️ 9 - 13 เม.ย. 68 ท่านละ 24,900 🅿️ 16 - 20 เม.ย. / 30 เม.ย. - 4 พ.ค. 68 ท่านละ 22,900 📍 วัดเส้าหลิน (รวมนั่งรถไฟฟ้า) 📍 ป่าเจดีย์ 📍 การแสดงกังฟู 📍 ศาลเจ้ากวนอู 📍 พิพิธภัณฑ์ลั่วหยาง 📍 เมืองโบราณลั่วอี้ 📍 สวนดอกโบตั๋น (เฉพาะช่วงเม.ย.) 📍 สุสานทหารดินเผาจิ๋นซี (รวมรถกอล์ฟ+รวมหูฟัง) 📍 ห้างต้าเย่เฉิง 📢 ระดับทัวร์ : ทัวร์คุณภาพระดับมาตรฐาน 📢 รหัสทัวร์ : Z11840 🏢 โรงแรม : ⭐️⭐️⭐️⭐️ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e5b5d6 ดูทัวร์วันแรงงานทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/ebb53e ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e40ba7 ดูทัวร์วันสงกรานต์ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e1a231 ดูทัวร์ซีอานทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e93164 ดูทัวร์ไม่เข้าร้านค้ารัฐบาลทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e1dfdd LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #ทัวร์ไม่เข้าร้านค้ารัฐบาล #ทัวร์วันสงกรานต์ #ทัวร์วันแรงงาน #ทัวร์ซีอาน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 591 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุดยอดกลอนเจ็ด ‘ชีลวี่’ จาก <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาค1>สวัสดีค่ะ Storyฯ ย้อนกลับไปดูภาคแรกของ <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร> เพื่อทวนความทรงจำรอดูภาคสอง เชื่อว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูภาคแรกนี้ต้องจำได้ว่าในงานสังสรรค์ชมบทกวี พระเอกได้ยืมกลอนจากกวีเอกตู้ฝู่มาใช้โดยมั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถแต่งกลอนที่ดีกว่าได้เพราะกลอนบทนี้ของตู้ฝู่ถูกยกย่องให้เป็น ‘ที่สุด’ Storyฯ มั่นใจว่าเพื่อนเพจทั้งหลายที่เคยได้ยินคำแปลของกลอนบทนี้คง ‘เอ๊ะ’ เหมือนกันว่ามันเป็น ‘ที่สุด’ อย่างไร วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันก่อนอื่นขอแนะนำเกี่ยวกับกวีตู้ฝู่และกลอนบทนี้ กวีตู้ฝู่เป็นกวีเอกสมัยถัง (ค.ศ. 712–770) ถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดกวีและถูกขนานนามว่า ‘ราชันกวี’ และกลอนบทนี้มีชื่อว่า ‘เติงเกา’ (登高 แปลว่าปีนขึ้นที่สูง) เบื้องหลังของกลอนนี้คือ เป็นช่วงปี ค.ศ. 766 ซึ่งผ่านเหตุการณ์กบฏอันลู่ซานไปได้หลายปีแล้วแต่บ้านเมืองยังไม่สงบ สหายต่างสิ้นชีพกันไปเกือบหมด ตัวตู้ฝู่เองก็มีโรครุมเร้า เดิมอาศัยใต้ร่มบารมีของเหยียนอู่ เมื่อสิ้นเหยียนอู่ก็ไร้ที่พึ่งพาจำต้องเดินทางจากเมืองหลวงไป ตอนที่ตู้ฝู่แต่งกลอนบทนี้คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เขาแวะพักฟื้นที่เขตขุยโจว (ปัจจุบันใกล้ฉงชิ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแยงซีเกียง หรือฉางเจียงที่กล่าวถึงในบทกลอน) วันหนึ่งเขาปีนขึ้นหอสูงนอกเมืองไป๋ตี้ มองทิวทัศน์ก็รำลึกถึงอดีตและรู้สึกสะท้อนใจกับชีวิตที่ต้องระหกระเหินแม้ร่างกายเจ็บป่วย กลอนบทนี้สี่วรรคแรกจึงบรรยายถึงความงามแบบเศร้าๆ ของทิวทัศน์ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สี่วรรคสุดท้ายบรรยายถึงสภาพตนเองที่มีแต่ความโศกเศร้าเป็นเพื่อน แม้แต่จะกินเหล้าดับทุกข์ก็ยังทำไม่ได้เพราะว่าร่างกายไม่เอื้ออำนวย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมในเรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาคแรก> จึงมีฉากที่มีคนถามว่า พระเอกอายุยังน้อยจะสามารถแต่งกลอนที่แฝงด้วยความทุกข์ความเศร้าของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมาได้อย่างไรกลอนบทนี้ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดแห่งกลอนเจ็ดอักษรที่มีลักษณะเฉพาะ หรือที่เรียกว่า ‘ชีเหยียนลวี่ซือ’ (七言律诗) เรียกสั้นๆ ว่า ‘ชีลวี่’ (七律) ที่บอกว่ามีลักษณะเฉพาะเพราะว่ากลอนเจ็ดชีลวี่นี้หมายถึงกลอนเจ็ดสี่วรรคคู่ รวมแปดวรรค แต่ละวรรคมีเจ็ดอักษร มีแบบแผนจังหวะเสียงที่ตายตัว ทีนี้เรามาดูกันว่ามันเป็น ‘สุดยอด’ อย่างไรประเด็นแรกคือ หัวข้อ --- กลอนที่ดีจะพัฒนาถ้อยคำขึ้นรอบๆ หัวข้อของกลอน ในที่นี้หัวข้อคือ ความเศร้าของสารทฤดู ภาพทิวทัศน์คือใบไม้เปลี่ยนสีและธรรมชาติที่แฝงด้วยความเศร้า ความในใจคือความโศกเศร้าเชื่อมโยงกับสารทฤดู ทุกวรรคทุกประโยคล้วนส่งเสริมหัวข้อนี้แต่บรรยายให้เห็นราวภาพวาด แต่ข้อจำกัดของกลอนเจ็ดชีลวี่คือพอเข้าประโยคที่สามต้องเปลี่ยนเรื่อง... ใช่ค่ะ เปลี่ยนเรื่องโดยไม่หลุดจากหัวข้อ ดังนั้นเราจึงเห็นสองประโยคแรกเป็นการบรรยายทิวทัศน์ และประโยคสามเปลี่ยนมาพูดถึงตัวกวีเองแต่คุณสมบัติตามประเด็นแรกนี้หาไม่ยากในกลอนที่โด่งดังทั้งหลาย เรามาดูประเด็นที่เข้มข้นมากขึ้นกันประเด็นที่สองคือ แบบแผนจังหวะและเสียง --- กลอนเจ็ดชีลวี่มีแบบแผนจังหวะเฉพาะเจาะจงอยู่สี่แบบ และจังหวะที่ว่านี้คือจังหวะความเข้มเบาของเสียงอักษร โดย ‘เบา’ หมายถึงเสียงกลาง ซึ่งท่านที่เรียนภาษาจีนจะทราบว่าจริงๆ แล้วภาษาจีนไม่มีเสียงกลางเหมือนไทยแต่ผันเป็นสี่เสียง และอักษรที่อยู่ในกลุ่มเสียงเบานี้ส่วนใหญ่เป็นอักษรในเสียงสองหรืออาจเป็นอักษรเสียงแรก ส่วน ‘เข้ม’ คือหมายถึงเสียงอื่น แต่ในประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนของการผันเสียง เช่น หากเป็นอักษรแรกตอนเริ่มวรรคหรือหลังกลางวรรค เสียงเบาอาจผันเป็นเสียงเข้มได้ ฟังแล้วอาจงงแต่เราไม่ได้อยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญก็อย่าไปเครียดกับมันค่ะ สรุปได้สั้นๆ ว่ากลอนเจ็ดชีลวี่มีแบบแผนจังหวะเบาเข้มที่ชัดเจน ซึ่งกวีต้องรู้ว่าอักษรใดคือเสียงเบา อักษรใดคือเสียงเข้ม และต้องเลือกใช้อักษรที่ให้เสียงเบาเข้มตามแบบแผนจังหวะที่เลือก ดังที่กล่าวมาข้างต้น ชีลวี่มีสี่แบบแผนจังหวะมาตรฐาน ซึ่งทั้งสี่แบบนี้ล้วนให้อิสระกับจังหวะของประโยคแรกและประโยคสุดท้าย แต่เข้มงวดเรื่องการเชื่อมโยงทางจังหวะของวรรคอื่นๆ อย่าเพิ่งงงค่ะ เรามาดูกลอน ‘เติงเกา’ เป็นตัวอย่าง เอกลักษณ์ของแบบแผนชีลวี่สรุปได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบขวาล่าง) - จังหวะของวรรคท้ายในประโยคแรกและประโยคสามเหมือนกัน และต่อเนื่องมาถึงจังหวะของวรรคแรกในประโยคสองและวรรคแรกในประโยคสุดท้ายก็เหมือนกัน - ลงท้ายทุกประโยคด้วยเสียงเบาซึ่งทำให้จำนวนอักษรที่สามารถนำมาใช้ได้นั้นมีจำนวนจำกัดยิ่งขึ้น และ - จังหวะเข้มเบาของวรรคแรกและวรรคจบต้องเหมือนกันเชื่อว่าเพื่อนเพจคงรู้สึกเหมือน Storyฯ แล้วว่า การที่จะใช้อักษรให้สื่อความหมายได้ตามต้องการและยังอยู่ในกรอบแบบแผนจังหวะเสียงที่ว่ามานี้ยากมากและกวีผู้นั้นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาสูงมาก เท่านี้ยังไม่พอ ดีกรีความเข้มข้นของภาษาของกลอนบทนี้คือประเด็นสุดท้ายจะกล่าวถึงประเด็นสุดท้ายคือ ความเป็นคู่ --- หลายคนมักเข้าใจว่ากลอนจีนต้องมีความคล้องจองของคำ แต่ถ้าเพื่อนเพจดูจากคำออกเสียงที่ Storyฯ ใส่มาให้จะเห็นว่าเสียงไม่คล้องจองกันเลย ดังนั้นจะเห็นว่ากลอนจีนโบราณจริงแล้วให้ความสำคัญกับความคล้องจองของอักษรน้อยกว่าความเป็นคู่ ซึ่งความเป็นคู่อาจหมายถึง ‘คู่เหมือน’ หรือ ‘คู่ขัดแย้ง’ ซึ่ง Storyฯ เคยเกริ่นถึงแล้วในบทความเกี่ยวกับรหัสลับจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02a8RcKiQmJ1GyrL2pkPs4dKmeZDnuti8guSaVo2VgSTcG9obtJoguAX62Mx4DgbQLl) เพื่ออธิบายประเด็นความเป็นคู่นี้ Storyฯ เลยแปลและเรียบเรียงบทกวีนี้โดยไม่เน้นความไพเราะหรือความพลิ้วพราย แต่พยายามคงเอกลักษณ์ความเป็นคู่ของวรรคแรกและวรรคหลังของแต่ละประโยคไว้ (ดูรูปประกอบขวาบนนะคะ) จะเห็นว่าความเป็นคู่นี้มีลูกเล่นได้หลากหลาย อาทิ - คุณศัพท์ขยายนาม เช่นในประโยคแรก ลมแรง <-> น้ำใส และ ฟ้าสูง <-> ทรายขาว ; ประโยคสาม หมื่นลี้ <-> ร้อยปี- นามและกิริยา เช่นในประโยคแรก ลิงหวนไห้ <-> นกบินกลับ; - คำซ้ำๆ เหมือนกัน เช่นในประโยคที่สอง โปรยโปรย <-> ม้วนม้วน- คำที่ความหมายคล้ายคลึงด้วยจำนวนอักษรเท่ากัน เช่นในประโยคที่สอง ไร้ขอบเขต <-> ไม่สิ้นสุด- อารมณ์ที่ขัดแย้งกัน เช่นในประโยคสาม วรรคแรก ‘หมั่นมาเยือน’ ให้อารมณ์ความคึกคักขัดแย้งกับวรรคหลัง ‘ปีนหอเดียวดาย’ - อารมณ์สอดคล้องกัน เช่นในประโยคสุดท้ายที่ล้วนบรรยายถึงความยากลำบากทางกายและความระทมทางใจและหากเพื่อนเพจสังเกตดีๆ นอกจากความเป็นคู่ของคำที่ใช้แล้ว จะเห็นว่าตำแหน่งของคำเหล่านี้ล้วนเป็นตำแหน่งเดียวกันในวรรคแรกและวรรคหลัง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นคู่Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมจีน แต่ที่พยายามแปลและยกมาเล่าให้ฟังนี้ เพื่อที่เพื่อนเพจจะได้อรรถรสถึงความซับซ้อนของกวีจีนโบราณ บ่อยครั้งที่เราได้ยินคำแปลกลอนจีนที่ไพเราะสละสลวยได้อารมณ์และความหมาย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าคำแปลนั้นไม่สามารถสะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางเทคนิคของบทกลอน Storyฯ เองเวลาแปลบทกวีจีนก็มักจะมองข้ามเอกลักษณ์ทางเทคนิคเช่นกัน และเอกลักษณ์ทางเทคนิคเหล่านี้นี่เองที่ช่วยเสริมให้บทกวี ‘เติงเกา’ ของตู้ฝู่บทนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดแห่งกลอนเจ็ดชีลวี่ยาวนานกว่าหนึ่งพันปี ทีนี้เข้าใจกันแล้วนะคะว่าบทกวีนี้เป็น ‘ที่สุด’ ได้อย่างไร(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_5325467 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/604660125_121119376 https://www.toutiao.com/article/6824075960027972109/?&source=m_redirect https://www.sohu.com/a/138168554_146329https://baike.baidu.com/item/登高/7605079 https://baike.baidu.com/item/七言律诗/10294898 #หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร #กลอนเจ็ดจีนโบราณ #ชีลวี่ #เกาเติง #กวีสมัยถัง #ตู้ฝู่
    สุดยอดกลอนเจ็ด ‘ชีลวี่’ จาก <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาค1>สวัสดีค่ะ Storyฯ ย้อนกลับไปดูภาคแรกของ <หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร> เพื่อทวนความทรงจำรอดูภาคสอง เชื่อว่าเพื่อนเพจที่ได้ดูภาคแรกนี้ต้องจำได้ว่าในงานสังสรรค์ชมบทกวี พระเอกได้ยืมกลอนจากกวีเอกตู้ฝู่มาใช้โดยมั่นใจว่าจะไม่มีใครสามารถแต่งกลอนที่ดีกว่าได้เพราะกลอนบทนี้ของตู้ฝู่ถูกยกย่องให้เป็น ‘ที่สุด’ Storyฯ มั่นใจว่าเพื่อนเพจทั้งหลายที่เคยได้ยินคำแปลของกลอนบทนี้คง ‘เอ๊ะ’ เหมือนกันว่ามันเป็น ‘ที่สุด’ อย่างไร วันนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันก่อนอื่นขอแนะนำเกี่ยวกับกวีตู้ฝู่และกลอนบทนี้ กวีตู้ฝู่เป็นกวีเอกสมัยถัง (ค.ศ. 712–770) ถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดกวีและถูกขนานนามว่า ‘ราชันกวี’ และกลอนบทนี้มีชื่อว่า ‘เติงเกา’ (登高 แปลว่าปีนขึ้นที่สูง) เบื้องหลังของกลอนนี้คือ เป็นช่วงปี ค.ศ. 766 ซึ่งผ่านเหตุการณ์กบฏอันลู่ซานไปได้หลายปีแล้วแต่บ้านเมืองยังไม่สงบ สหายต่างสิ้นชีพกันไปเกือบหมด ตัวตู้ฝู่เองก็มีโรครุมเร้า เดิมอาศัยใต้ร่มบารมีของเหยียนอู่ เมื่อสิ้นเหยียนอู่ก็ไร้ที่พึ่งพาจำต้องเดินทางจากเมืองหลวงไป ตอนที่ตู้ฝู่แต่งกลอนบทนี้คือช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เขาแวะพักฟื้นที่เขตขุยโจว (ปัจจุบันใกล้ฉงชิ่ง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแยงซีเกียง หรือฉางเจียงที่กล่าวถึงในบทกลอน) วันหนึ่งเขาปีนขึ้นหอสูงนอกเมืองไป๋ตี้ มองทิวทัศน์ก็รำลึกถึงอดีตและรู้สึกสะท้อนใจกับชีวิตที่ต้องระหกระเหินแม้ร่างกายเจ็บป่วย กลอนบทนี้สี่วรรคแรกจึงบรรยายถึงความงามแบบเศร้าๆ ของทิวทัศน์ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สี่วรรคสุดท้ายบรรยายถึงสภาพตนเองที่มีแต่ความโศกเศร้าเป็นเพื่อน แม้แต่จะกินเหล้าดับทุกข์ก็ยังทำไม่ได้เพราะว่าร่างกายไม่เอื้ออำนวย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมในเรื่อง <หาญท้าชะตาฟ้าฯ ภาคแรก> จึงมีฉากที่มีคนถามว่า พระเอกอายุยังน้อยจะสามารถแต่งกลอนที่แฝงด้วยความทุกข์ความเศร้าของคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในชีวิตมาได้อย่างไรกลอนบทนี้ถูกยกย่องให้เป็นสุดยอดแห่งกลอนเจ็ดอักษรที่มีลักษณะเฉพาะ หรือที่เรียกว่า ‘ชีเหยียนลวี่ซือ’ (七言律诗) เรียกสั้นๆ ว่า ‘ชีลวี่’ (七律) ที่บอกว่ามีลักษณะเฉพาะเพราะว่ากลอนเจ็ดชีลวี่นี้หมายถึงกลอนเจ็ดสี่วรรคคู่ รวมแปดวรรค แต่ละวรรคมีเจ็ดอักษร มีแบบแผนจังหวะเสียงที่ตายตัว ทีนี้เรามาดูกันว่ามันเป็น ‘สุดยอด’ อย่างไรประเด็นแรกคือ หัวข้อ --- กลอนที่ดีจะพัฒนาถ้อยคำขึ้นรอบๆ หัวข้อของกลอน ในที่นี้หัวข้อคือ ความเศร้าของสารทฤดู ภาพทิวทัศน์คือใบไม้เปลี่ยนสีและธรรมชาติที่แฝงด้วยความเศร้า ความในใจคือความโศกเศร้าเชื่อมโยงกับสารทฤดู ทุกวรรคทุกประโยคล้วนส่งเสริมหัวข้อนี้แต่บรรยายให้เห็นราวภาพวาด แต่ข้อจำกัดของกลอนเจ็ดชีลวี่คือพอเข้าประโยคที่สามต้องเปลี่ยนเรื่อง... ใช่ค่ะ เปลี่ยนเรื่องโดยไม่หลุดจากหัวข้อ ดังนั้นเราจึงเห็นสองประโยคแรกเป็นการบรรยายทิวทัศน์ และประโยคสามเปลี่ยนมาพูดถึงตัวกวีเองแต่คุณสมบัติตามประเด็นแรกนี้หาไม่ยากในกลอนที่โด่งดังทั้งหลาย เรามาดูประเด็นที่เข้มข้นมากขึ้นกันประเด็นที่สองคือ แบบแผนจังหวะและเสียง --- กลอนเจ็ดชีลวี่มีแบบแผนจังหวะเฉพาะเจาะจงอยู่สี่แบบ และจังหวะที่ว่านี้คือจังหวะความเข้มเบาของเสียงอักษร โดย ‘เบา’ หมายถึงเสียงกลาง ซึ่งท่านที่เรียนภาษาจีนจะทราบว่าจริงๆ แล้วภาษาจีนไม่มีเสียงกลางเหมือนไทยแต่ผันเป็นสี่เสียง และอักษรที่อยู่ในกลุ่มเสียงเบานี้ส่วนใหญ่เป็นอักษรในเสียงสองหรืออาจเป็นอักษรเสียงแรก ส่วน ‘เข้ม’ คือหมายถึงเสียงอื่น แต่ในประเด็นนี้มีความละเอียดอ่อนของการผันเสียง เช่น หากเป็นอักษรแรกตอนเริ่มวรรคหรือหลังกลางวรรค เสียงเบาอาจผันเป็นเสียงเข้มได้ ฟังแล้วอาจงงแต่เราไม่ได้อยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญก็อย่าไปเครียดกับมันค่ะ สรุปได้สั้นๆ ว่ากลอนเจ็ดชีลวี่มีแบบแผนจังหวะเบาเข้มที่ชัดเจน ซึ่งกวีต้องรู้ว่าอักษรใดคือเสียงเบา อักษรใดคือเสียงเข้ม และต้องเลือกใช้อักษรที่ให้เสียงเบาเข้มตามแบบแผนจังหวะที่เลือก ดังที่กล่าวมาข้างต้น ชีลวี่มีสี่แบบแผนจังหวะมาตรฐาน ซึ่งทั้งสี่แบบนี้ล้วนให้อิสระกับจังหวะของประโยคแรกและประโยคสุดท้าย แต่เข้มงวดเรื่องการเชื่อมโยงทางจังหวะของวรรคอื่นๆ อย่าเพิ่งงงค่ะ เรามาดูกลอน ‘เติงเกา’ เป็นตัวอย่าง เอกลักษณ์ของแบบแผนชีลวี่สรุปได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบขวาล่าง) - จังหวะของวรรคท้ายในประโยคแรกและประโยคสามเหมือนกัน และต่อเนื่องมาถึงจังหวะของวรรคแรกในประโยคสองและวรรคแรกในประโยคสุดท้ายก็เหมือนกัน - ลงท้ายทุกประโยคด้วยเสียงเบาซึ่งทำให้จำนวนอักษรที่สามารถนำมาใช้ได้นั้นมีจำนวนจำกัดยิ่งขึ้น และ - จังหวะเข้มเบาของวรรคแรกและวรรคจบต้องเหมือนกันเชื่อว่าเพื่อนเพจคงรู้สึกเหมือน Storyฯ แล้วว่า การที่จะใช้อักษรให้สื่อความหมายได้ตามต้องการและยังอยู่ในกรอบแบบแผนจังหวะเสียงที่ว่ามานี้ยากมากและกวีผู้นั้นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาสูงมาก เท่านี้ยังไม่พอ ดีกรีความเข้มข้นของภาษาของกลอนบทนี้คือประเด็นสุดท้ายจะกล่าวถึงประเด็นสุดท้ายคือ ความเป็นคู่ --- หลายคนมักเข้าใจว่ากลอนจีนต้องมีความคล้องจองของคำ แต่ถ้าเพื่อนเพจดูจากคำออกเสียงที่ Storyฯ ใส่มาให้จะเห็นว่าเสียงไม่คล้องจองกันเลย ดังนั้นจะเห็นว่ากลอนจีนโบราณจริงแล้วให้ความสำคัญกับความคล้องจองของอักษรน้อยกว่าความเป็นคู่ ซึ่งความเป็นคู่อาจหมายถึง ‘คู่เหมือน’ หรือ ‘คู่ขัดแย้ง’ ซึ่ง Storyฯ เคยเกริ่นถึงแล้วในบทความเกี่ยวกับรหัสลับจาก <ข้ามภูผาหาญท้าลิขิตรัก> (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02a8RcKiQmJ1GyrL2pkPs4dKmeZDnuti8guSaVo2VgSTcG9obtJoguAX62Mx4DgbQLl) เพื่ออธิบายประเด็นความเป็นคู่นี้ Storyฯ เลยแปลและเรียบเรียงบทกวีนี้โดยไม่เน้นความไพเราะหรือความพลิ้วพราย แต่พยายามคงเอกลักษณ์ความเป็นคู่ของวรรคแรกและวรรคหลังของแต่ละประโยคไว้ (ดูรูปประกอบขวาบนนะคะ) จะเห็นว่าความเป็นคู่นี้มีลูกเล่นได้หลากหลาย อาทิ - คุณศัพท์ขยายนาม เช่นในประโยคแรก ลมแรง <-> น้ำใส และ ฟ้าสูง <-> ทรายขาว ; ประโยคสาม หมื่นลี้ <-> ร้อยปี- นามและกิริยา เช่นในประโยคแรก ลิงหวนไห้ <-> นกบินกลับ; - คำซ้ำๆ เหมือนกัน เช่นในประโยคที่สอง โปรยโปรย <-> ม้วนม้วน- คำที่ความหมายคล้ายคลึงด้วยจำนวนอักษรเท่ากัน เช่นในประโยคที่สอง ไร้ขอบเขต <-> ไม่สิ้นสุด- อารมณ์ที่ขัดแย้งกัน เช่นในประโยคสาม วรรคแรก ‘หมั่นมาเยือน’ ให้อารมณ์ความคึกคักขัดแย้งกับวรรคหลัง ‘ปีนหอเดียวดาย’ - อารมณ์สอดคล้องกัน เช่นในประโยคสุดท้ายที่ล้วนบรรยายถึงความยากลำบากทางกายและความระทมทางใจและหากเพื่อนเพจสังเกตดีๆ นอกจากความเป็นคู่ของคำที่ใช้แล้ว จะเห็นว่าตำแหน่งของคำเหล่านี้ล้วนเป็นตำแหน่งเดียวกันในวรรคแรกและวรรคหลัง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นคู่Storyฯ ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมจีน แต่ที่พยายามแปลและยกมาเล่าให้ฟังนี้ เพื่อที่เพื่อนเพจจะได้อรรถรสถึงความซับซ้อนของกวีจีนโบราณ บ่อยครั้งที่เราได้ยินคำแปลกลอนจีนที่ไพเราะสละสลวยได้อารมณ์และความหมาย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าคำแปลนั้นไม่สามารถสะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางเทคนิคของบทกลอน Storyฯ เองเวลาแปลบทกวีจีนก็มักจะมองข้ามเอกลักษณ์ทางเทคนิคเช่นกัน และเอกลักษณ์ทางเทคนิคเหล่านี้นี่เองที่ช่วยเสริมให้บทกวี ‘เติงเกา’ ของตู้ฝู่บทนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นสุดยอดแห่งกลอนเจ็ดชีลวี่ยาวนานกว่าหนึ่งพันปี ทีนี้เข้าใจกันแล้วนะคะว่าบทกวีนี้เป็น ‘ที่สุด’ ได้อย่างไร(ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)Credit รูปภาพจาก: https://www.thepaper.cn/newsDetail_forward_5325467 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:https://www.sohu.com/a/604660125_121119376 https://www.toutiao.com/article/6824075960027972109/?&source=m_redirect https://www.sohu.com/a/138168554_146329https://baike.baidu.com/item/登高/7605079 https://baike.baidu.com/item/七言律诗/10294898 #หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร #กลอนเจ็ดจีนโบราณ #ชีลวี่ #เกาเติง #กวีสมัยถัง #ตู้ฝู่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 899 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวง เสด็จฯไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภฯ พระราชินี ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม”

    วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.20 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 “ราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา72 พรรษามหามงคล” ณ พระลานพระราชวังดุสิต

    ในการนี้พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ทรงนำการสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์สามเหล่าทัพในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” พร้อมด้วยพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมสวนสนาม ทรงม้านำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์“

    ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเฝ้ารอเฝ้าฯรับเสด็จฯ ณ พลับพลาที่ประทับ

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

    จากนั้นองค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้า บก.กองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯทรงตรวจพลสวนสนาม
    เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 4 กรม 10 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ , กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

    เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย

    พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว บก.กองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ "ราชวัลลภ" และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย

    พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 10 กองพัน ตามลำดับ

    พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี

    สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษใน การถวายความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจ พลสวนสนาม ทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจาก ขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ ทหารรักษาพระองค์ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่ นั้นมา

    ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

    เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 6 รอบ จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวาย สัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต

    #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    ในหลวง เสด็จฯไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณ ทหารราชวัลลภฯ พระราชินี ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” • วันนี้ (3 ธ.ค.) เมื่อเวลา 17.20 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 “ราชวัลลภ เทิดไท้จอมราชา72 พรรษามหามงคล” ณ พระลานพระราชวังดุสิต • ในการนี้พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณพระบรมราชินี ทรงนำการสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์สามเหล่าทัพในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” พร้อมด้วยพลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ร่วมสวนสนาม ทรงม้านำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์“ • ในการนี้ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงเฝ้ารอเฝ้าฯรับเสด็จฯ ณ พลับพลาที่ประทับ • เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ทางประตูภูธรลีลาศ ถึงยังพระลานพระราชวังดุสิต พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงดำรงตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับการกองผสม” ทรงสั่งกองผสมถวายความเคารพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว • จากนั้นองค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งจากแถวหน้า บก.กองผสม ไปยังจุดถวายความเคารพ องค์ผู้บังคับกองผสมถวายความเคารพ กราบบังคมทูลรายงาน และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯทรงตรวจพลสวนสนาม เมื่อองค์ผู้บังคับกองผสม กราบบังคมทูลรายงานจบแล้ว เสด็จฯไปยังรถยนต์พระที่นั่ง ประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่งตรวจพล • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับยืนบนรถยนต์พระที่นั่ง ทรงตรวจพลสวนสนามโดยรถยนต์พระที่นั่งจำนวน 4 กรม 10 กองพัน ซึ่งประกอบด้วย กรมทหารรักษาวังมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์, กรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, กรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือ, กรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช, กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ , กองพันทหารอากาศโยธิน 3 กรมทหารอากาศโยธิน รักษาพระองค์ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน , กองพันทหารม้าที่ 25 กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่21 รักษาพระองค์, กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 102 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์, กองพันทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 และกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน • เมื่อทรงตรวจพลสวนสนามเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ ทรงรับการถวายความเคารพของผู้มาเฝ้าฯ ประทับพระราชอาสน์ ณ พระที่นั่งชุมสาย • พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงวิ่งกลับมาประจำจุดยืนหน้าแถว บก.กองผสม และทรงสั่ง กองผสมเรียบ-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณเตรียมตัว 2 จบแล้ว องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสั่งกองผสมจัดแถวเตรียมสวนสนาม ทรงสั่งกองผสมแบก-อาวุธ แตรเดี่ยวเป่าสัญญาณหน้าเดิน 2 จบ ขณะนั้นวงดุริยางค์บรรเลงเพลงมาร์ชราชวัลลภ อันอันเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 7 ในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใน พ.ศ. 2491 ชื่อ "ราชวัลลภ" และพระราชทานให้เป็นเพลงประจำกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อไว้ใช้ในพิธีสวนสนาม แล้วองค์ผู้บังคับกองผสม และพลสวนสนามจึงเริ่มเดินพร้อมกัน • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธี หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากองค์ผู้บังคับกองผสม ธงชัยเฉลิมพล และกำลังพลสวนสนาม สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร ทรงร่วมประทับยืน ณ มุขพลับพลาพิธีหน้าพระที่นั่งชุมสาย • พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี องค์ผู้บังคับกองผสม ทรงสวนสนามผ่านพลับพลาที่ประทับ เสด็จขึ้นพลับพลาที่ประทับ แล้วประทับยืน ณ หน้าพระที่นั่งชุมสาย ทรงรับการถวายความเคารพจากแถวทหาร กรมสวนสนาม จำนวน 4 กรม 10 กองพัน ตามลำดับ • พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในตำแหน่ง “องค์ผู้บังคับกองพันทหารม้ารักษาพระองค์” ทรงม้า “Fürst Henry” (ฟรุ๊ต เฮนรี่) อายุ 14 ปี เพศผู้ตอน สีดำ สายพันธุ์ ดัตช์ วอร์มบลัด (KWPN) จากประเทศเนเธอร์แลนด์ นำขบวนกองพันทหารม้ารักษาพระองค์ 1 กองพันเข้ามายังหน้าพลับพลาพิธี • พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พลเอกหญิงสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ประทับพระราชอาสน์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลโทรัฐพล ธูปประสม เจ้ากรมสารบรรณทหาร เข้าเฝ้าฯทูเกล้าถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันโทหญิงวลัยลักษณ์ อาวรณ์ หัวหน้าปรับปรุงโครงการ สำนักงานปลัดบัญชีทหาร เข้าเฝ้าฯทูลเกล้าฯถวายสูจิบัตร แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี • สําหรับพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตน ของทหารรักษาพระองค์นั้น เป็นพิธีที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อ ทหารรักษาพระองค์ทุกเหล่าทัพ ที่จะเป็นโอกาสพิเศษใน การถวายความจงรักภักดี ต่อพระมหากษัตริย์ผู้เป็นจอมทัพไทย โดยได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พุทธศักราช 2496 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปพระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่หน่วยทหาร ในโอกาสครบรอบ วันคล้ายวันสถาปนากรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ณ พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งพระองค์เสด็จพระราชดําเนินทรงตรวจ พลสวนสนาม ทรงตรวจพลสวนสนาม รับการถวายความเคารพจาก ขบวนทหารจํานวน 4 กองพัน โดยทรงพระดําเนินในฉลองพระองค์ เครื่องแบบเต็มยศของกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของพิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของ ทหารรักษาพระองค์ ที่จัดขึ้นเป็นประจําทุกปีอย่างต่อเนื่องนับแต่ นั้นมา • ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดพิธีสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหาร-ตํารวจ เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในปีพุทธศักราช 2562 และวันกองทัพไทย ณ ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จังหวัดสระบุรี นับเป็นครั้งแรกที่มีการสวนสนามถวายสัตย์ปฏิญาณตนร่วมกัน ระหว่างกําลังพลของทหารและตํารวจ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก • เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครบ 6 รอบ จึงถือเป็นโอกาสอันสําคัญยิ่งของหน่วยทหารรักษาพระองค์ จากเหล่าทัพต่าง ๆ ที่พร้อมใจกันกระทําพิธีสวนสนามและถวาย สัตย์ปฏิญาณตนเพื่อถวายความจงรักภักดีต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นการแสดงให้ประชาชน ชาวไทยได้ประจักษ์ว่า ทหารรักษาพระองค์จะปฏิบัติหน้าที่ ดํารงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ และถวายพระเกียรติยศสูงสุด แด่พระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต • #MGROnline #พิธีสวนสนาม #ถวายสัตย์ปฏิญาณ #ทหารราชวัลลภฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 894 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts