• เจ้าของหมา “ทองดี” โต้ตั้งใจบิดเงิน 5 หมื่น “โอเล่ย์” ยันจะให้ 2 หมื่นคนแรกที่เจอหมา แต่ถ้าร้านหมูกระทะจะให้โอน 2 หมื่นให้ แล้วโอนต่อให้โอเล่ย์ ขอเอาเงินไปบริจาคเอง “กรรชัย” เตือนอย่าเหลี่ยม สุดท้ายยอมเซ็นเช็คให้ร้านหมูกระทะ แต่มึนตึ๊บๆ เช็คเงินสดสั่งจ่ายปี 2668!

    กรณี “คุณกล้วย” เจ้าของหมา ขอให้เพจต่างๆ โพสต์ประกาศตามหา “ทองดี” น้องหมาที่หายไปในคืนวันที่ 31 ธ.ค.67 โดยจะให้เงินรางวัล 20,000 บาท ต่อมามีการเพิ่มเงินรางวัลเป็น 50,000 บาท มีคนแชร์โพสต์ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่นานมีคนพบสุนัขและส่งคืนเจ้าของ แต่เจ้าของหมากลับโบ้ยว่าบุคคลดังกล่าวไม่ได้เจอหมาคนแรก คนเจอคนแรกคือเจ้าของร้านหมูกระทะ ซึ่งแจ้งความจำนงว่าจะไม่รับเงิน จนกลายเป็นประเด็นดราม่าในสังคม

    รายการโหนกระแส วันที่ 7 ม.ค. 68 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 สัมภาษณ์ กล้วย เจ้าของหมาทองดี มาพร้อม ทนายกุ้ง อำนวยพร มณีวรรณ, โอเล่ย์ คนล่าสุดเจอหมาทองดี , ตี๋ ทองเหลืองหมูกระทะ เจอหมาคนแรก, มาร์ค เพจอาสาปทุม ที่เกิดกรณีกับคุณกล้วย , ฝน แม่บ้านที่กล้วยจ้างให้ดูแลหมา, โรส เพจกลุ่มข่าวถึงชาวรังสิต, ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล ให้ความรู้เรื่องกฎหมาย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000001889

    #MGROnline #เจ้าของหมา #ทองดี
    เจ้าของหมา “ทองดี” โต้ตั้งใจบิดเงิน 5 หมื่น “โอเล่ย์” ยันจะให้ 2 หมื่นคนแรกที่เจอหมา แต่ถ้าร้านหมูกระทะจะให้โอน 2 หมื่นให้ แล้วโอนต่อให้โอเล่ย์ ขอเอาเงินไปบริจาคเอง “กรรชัย” เตือนอย่าเหลี่ยม สุดท้ายยอมเซ็นเช็คให้ร้านหมูกระทะ แต่มึนตึ๊บๆ เช็คเงินสดสั่งจ่ายปี 2668! • กรณี “คุณกล้วย” เจ้าของหมา ขอให้เพจต่างๆ โพสต์ประกาศตามหา “ทองดี” น้องหมาที่หายไปในคืนวันที่ 31 ธ.ค.67 โดยจะให้เงินรางวัล 20,000 บาท ต่อมามีการเพิ่มเงินรางวัลเป็น 50,000 บาท มีคนแชร์โพสต์ไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่นานมีคนพบสุนัขและส่งคืนเจ้าของ แต่เจ้าของหมากลับโบ้ยว่าบุคคลดังกล่าวไม่ได้เจอหมาคนแรก คนเจอคนแรกคือเจ้าของร้านหมูกระทะ ซึ่งแจ้งความจำนงว่าจะไม่รับเงิน จนกลายเป็นประเด็นดราม่าในสังคม • รายการโหนกระแส วันที่ 7 ม.ค. 68 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดหมายเลข 33 สัมภาษณ์ กล้วย เจ้าของหมาทองดี มาพร้อม ทนายกุ้ง อำนวยพร มณีวรรณ, โอเล่ย์ คนล่าสุดเจอหมาทองดี , ตี๋ ทองเหลืองหมูกระทะ เจอหมาคนแรก, มาร์ค เพจอาสาปทุม ที่เกิดกรณีกับคุณกล้วย , ฝน แม่บ้านที่กล้วยจ้างให้ดูแลหมา, โรส เพจกลุ่มข่าวถึงชาวรังสิต, ทนายแก้ว ดร.มนต์ชัย จงไกรรัตนกุล ให้ความรู้เรื่องกฎหมาย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000001889 • #MGROnline #เจ้าของหมา #ทองดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา
    มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก)
    ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง
    แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที
    ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว
    เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง

    ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : -

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
    บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน
    ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ
    แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ”
    วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑

    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย

    ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว

    จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.....

    ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓

    อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

    ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
    เบญจา สุภานนท์
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕
    ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่....

    ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕
    อุโรวษา เพชรวารี
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า

    “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...”

    คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า
    “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย”
    และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า
    “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก”
    ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว

    เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว
    ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย
    กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ

    พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
    ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด”
    กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที

    ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข)

    ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์

    เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น

    อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ
    “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร”
    วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒

    ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า

    พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ
    กุฏฐัง นัตถิ ภันเต
    คัณโฑ นัตถิ ภันเต
    กิลาโส นัตถิ ภันเต
    โสโส นัตถิ ภันเต
    อะปะมาโร นัตถิ ภันเต
    มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต
    นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต
    อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต
    กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ
    โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ

    (๑) บอกฉายาของตนเอง
    (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์

    ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย
    “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก) ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : - “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ” วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่..... ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เบญจา สุภานนท์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.... ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ อุโรวษา เพชรวารี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...” คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย” และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก” ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด” กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข) ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์ เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร” วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒ ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ กุฏฐัง นัตถิ ภันเต คัณโฑ นัตถิ ภันเต กิลาโส นัตถิ ภันเต โสโส นัตถิ ภันเต อะปะมาโร นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ (๑) บอกฉายาของตนเอง (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์ ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • “๑ ประเทศ ๒ รัฐบาล” #เปลวสีเงิน
    plew

    เปลว สีเงิน

    คงเป็น “ที่สุดแห่งปี” จริงๆ
    สำหรับประเทศแห่งประชากรผู้หิวโหยและเทิดทูน ๒ พ่อลูก “ตระกูลชิน”
    บ่ายวาน(๒๗ ธ.ค.๖๗)นายกฯมาเลย์ฯ “นายอันวาร์” โพสต์เฟซ พร้อมภาพถ่ายคู่ทักษิณ

    Anwar Ibrahim
    รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์

    รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน

    การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา

    เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า

    จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ระหว่างมาเลเซียและไทย
    ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค

    ที่ผมมีร่วมกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย

    หลายทศวรรษที่ผ่านทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้มาก เมื่อร่วมมือกัน

    ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศของเราเท่านั้น
    แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นความจริง.

    นั่นคือบทบาท “นายกฯ-ผู้พ่อ” ปิดศักราช ๒๕๖๗ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ทีนี้อยากให้ดูบทบาท “นายกฯ-ผู้ลูก” ส่งท้ายปีบ้าง

    ๒๗ ธันวา. นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร”
    ส่งหนังสือลากิจ ๑ วัน ไปที่ “สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” (สลค.)

    “หยุดงาน” ยาวต่อเนื่องข้ามศักราชไปถึงปีหน้า บอกว่า “เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว”
    จะกลับมา “ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง วันที่ ๒ มกรา.๖๘

    โดยเป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตอนเช้า
    นายกฯ บอกลาอย่างนี้แล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างครับ?

    ในความรู้สึกผม….
    ประเทศเหมือน “ครอบครัวหนึ่ง” มีสมาชิก ๖๐ กว่าล้านคน มีรัฐบาลโดย “นายกฯ” เป็นหัวหน้า “รับผิดชอบ” ดูแลครอบครัว

    ปีใหม่ “หยุดยาว” สมาชิกในครอบครัว พากันไปเที่ยวไหน-ต่อไหนกันจนกรุงเทพฯ แทบโล่ง ประมาณ ๑ สัปดาห์

    แต่แทนที่ “หัวหน้าครอบครัว” จะบอกว่า หยุดยาว เที่ยวกันให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก จะระวังขะโมย-ขะโจรให้เอง

    กลับตรงกันข้าม ลูกบ้านหยุดยาวไปเที่ยว หัวหน้าบ้านก็หยุดยาวบ้าง แถมชิงเอาเปรียบ “ลาหยุด” ล่วงหน้าซะอีก ๑ วัน!

    ถามว่าผิดมั้ย?
    ก็ไม่ผิด แต่มันขาด “ภาวะสำนึก” แห่งความรับผิดชอบของ “คนเป็นผู้นำ”

    หรือพูดกันชัดๆ…
    นางสาวแพทองธาร ลูกนายทักษิณ ไม่มีทั้งวุฒิภาวะ ไม่มีทั้งสำนึกภาวะ ไม่คู่ควรตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เลย!

    เป็น “ผู้นำ” เป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง….
    หยุุดงาน-หยุดได้ แต่ไม่ใช่เห็นชาวบ้านเขาหยุดยาวในเทศกาล กูก็จะหยุดมั่ง แบบนี้

    มีธุระสำคัญอะไรที่ต้องลาหยุดเพิ่มให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ไม่ดี เช่นนี้?
    เปล่า…ลาหยุดพักผ่อนกับครอบครัว!?

    แถมบอก “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง ในวันที่ ๒ มกรา.๖๘ นั้น
    น่ารังเกียจ ประหนึ่ง “ไร้เดียงสา”!

    ต้องเข้าใจนะอุ๊งอิ๊ง คุณพ่อไม่สอนหรือว่า การไปทำงานนั้น “หยุด…คือไม่ไปที่ทำงาน” นั้น ได้

    แต่ “หน้าที่นายกฯ” มันหยุดปฎิบัติไม่ได้-ลาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน แบบไหน กำลังกิน กำลังนอน กำลังถ่าย แม้แขม็บๆ กำลังจะตาย

    “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ ได้
    แต่ลา “ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” ไม่ได้!

    เช่นเดียวกับ “ข้าราชการ” ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชครู ข้าราชการทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล
    “หยุดงาน-ลางาน” ได้

    แต่หยุด “หน้าที่” คนเป็นข้าราชการไม่ได้ ต่อให้ไปไหน-อยู่ไหน เขาพร้อม “ปฎิบัติหน้าที่” ในทันที เมื่อมีสถานการณ์

    คนเป็นผู้นำบริหารประเทศ “สำนึกภาวะ” ด้านรับผิดชอบในหน้าที่ “ต้องสูงกว่าข้าราชการ” ขึ้นไปอีกขั้น

    อย่างปีใหม่ “หยุดยาวข้ามปี”…….
    นายกฯ อยู่บ้านหรือมาทำเนียบ “ค่าเท่ากัน”

    ไม่ต้องทำเป็น “ลาก่ง-ลากิจ” ให้ดูตลกปัญญาอ่อนหรอก

    ที่สำคัญ ผู้นำต้องส่งสัญญานให้ประชาชนรู้ว่า ในขณะที่เขาทิ้งบ้านไปไหนต่อไหนกันนั้น
    ฉัน..นายกฯ อยู่นะ รัฐบาล “อยู่โยง” ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์ประเทศ” ให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ

    เที่ยวกันให้สนุก ไม่ต้อง “ห่วงหน้า-พะวงหลัง”
    เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ที่ต้องทำงานในเทศกาลหยุดยาว เขาก็พลอยมีกำลังใจ

    ว่าไม่เพียงพวกเขาต้องแกร่ว “อยู่เวร-อยู่ยาม”
    “ผู้นำรัฐบาล” ก็แกร่วอยู่ด้วย

    คอยตรวจตราสั่งการ “รักษาบ้าน-เฝ้าเมือง” ให้ประชาชน ไม่ได้ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ละทิ้งหน้าที่ไปทางไหนแต่อย่างใด!
    นี่คือ “สำนึกผู้นำ”

    ไม่ใช่ชาวบ้านเขาลาหยุดยาว กูก็ลาหยุดยาวบ้าง แถมบอกเสร็จสรรพ “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่” ในที่ ๒ มกรา.๕๘! จะให้ “ชาวบ้าน-ชาวเมือง” เข้าใจว่า…..

    จากวันนี้ จนถึง ๒ มกรา.๖๘ บ้านเมือง “ว่างเปล่า” ไม่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ งั้นหรือ?

    โบราณท่านบอก….
    เป็นหัวหน้างาน “อย่าไปแย่งงานลูกน้องทำ”

    แต่คนเป็นหัวหน้าคน “ต้องตื่นก่อน-นอนทีหลัง”

    เป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพ-นายกอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงเทศกาล ลูกน้อง-ลูกบ้าน เขาจะสนุกสนาน เที่ยวเตร่กัน
    คนเป็นนายก็ต้อง “เฝ้าบ้าน-เฝ้าประเทศ” คอยระหวังหลังให้พวกเขา

    มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นแค่ “สามัญสำนึกพื้นฐาน” ของคนเป็นนายคนเท่านั้นเอง

    พูดถึงลูกแล้ว มาพูดถึงพ่อบ้าง
    จากหลีเป๊ะ-สตูล ไปลังกาวี-มาเลเซีย ๕๒ กิโลเท่านั้นเอง ถ้านั่งเรือ ก็ชั่วโมงกว่าๆ

    ตอนเป็นเด็กวัดเคยอ่านบันทึกของ “หลุย คีรีวัต” ที่ถูกขัง
    คุกเกาะ “ตะรุเตา” กับเพื่อนนักโทษกบฎอีก ๒-๓ คน มี “โหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์” รวมอยู่ด้วย

    หลบหนีคุก ลอยคอจากเกาะตะรุเตา ไปขึ้นที่เกาะลังกาวี ซึ่งเกาะนี้ อยู่ใน “รัฐเคดะห์”

    อดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทยบุรี ดินแดนของสยาม แต่เราจำต้องเสียให้อังกฤษไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕
    เกาะนี้ “ถูกสาป” จนมีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานรักของหญิงไทยจนถึงทุกวันนี้ ไปหาอ่านกันเอาเองละกัน

    ผมเล่าตามข่าวนะ …..
    “ทักษิณ” กับ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ เขานัดพบกัน ส่วนจะพบในดินแดนมาเลย์ ที่ลังกาวี
    หรือลอยเรือในทะเลคุยกันในเขตไทยแถวๆ หลีเป๊ะ?
    ลองทายกันดูซิ….

    เพราะในทุกข่าวสาร เผยแพร่ภาพพบกัน แต่ไม่มีข่าวสารไหนยอมระบุว่าพบกันที่ไหน
    “ในแดนไทย” หรือ “ในแดนมาลย์” ที่ลังกาวี?

    แค่บอกว่า
    “ทักษิณกับร.อ.ธรรมนัส อดีตรมว.เกษตรฯ เดินทางด้วยขบวนเรือยอชต์ ๖ ลำ แวะเยือนเกาะหลีเป๊ะ สตูล

    โดยมาถึงชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธ.ค. เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. โดยไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้า เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป

    จนกระทั่งเช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ทั้งสองขึ้นฝั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่ “โรงแรมบูโลว คาซ่าแกรนด์วิว” รีสอร์ท”

    ผมไม่สนทั้งสองเขาคุยอะไรกัน เพราะที่เขาบอก “เรื่องแต่ง” ส่วน “เรื่องจริง” ใครเขาจะบอก!

    แต่ฉงนในประเด็น ทักษิณมาดูลาดเลา “ช่องทางธรรมชาติ” หรืออย่างไร?

    อย่าลืม ทักษิณเป็นจำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ ได้ประกันตัวจากศาล ด้วยเงื่อนไข “ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ”

    แล้วเชื่อได้ขนาดไหน มีใครยืนยันได้ ว่านายกฯมาเลย์กับทักษิณ นั่งเรือคุยกันในทะเลฝั่งไทย

    ไม่ใช่ทักษิณนั่งเรือยอชต์ไปพบนายอันวาร์ที่เกาะลังกาวี ในดินแดนมาเลย์
    พบ-พูดคุยกันแล้ว….
    อีกวันถึงลอยเรือยอชต์ ปรากฎตัวให้คนเห็นเป็นข่าวที่หลีเป๊ะ-เขตไทย?

    อีกประเด็นที่ผมสน “ทักษิณมีสถานะอะไร และนายอันวาร์ต้องการอะไร”
    จึงเล่นบท “การเมืองลับๆ ล่อๆ” กับทักษิณ?

    -ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ส่งเสริมสันติภาพ ๓ จว.ใต้, แก้ไขวิกฤตเมียนมา, เสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคี “มาเลเซีย-ไทย”

    ทักษิณมีตำแหน่ง-หน้าที่ใด ที่นายอันวาร์ต้องนำมาคุย นอกจากเป็นนักโทษเทวดา เป็นพ่อนายกฯ เป็นหัวหน้าแก๊งเปลี่ยนระบอบเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เป็นเจ้าของคอกหมา และฯลฯ

    อีกคุณสมบัติเดียว คุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคนี้ของทักษิณ คือ วิชา “ขายแผ่นดิน”

    และวิชา “แปลง” ทุนสำรองระหว่างประเทศ “เป็นเงินโปรย” ประชานิยม”!

    “การเมืองลับๆ ล่อๆ” นี้ “ฉีกประเทศไทย” ให้มี ๒ รัฐบาล คือ “รัฐบาลพ่อ” กับ “รัฐบาลลูก”
    แล้วกูจะต้องปฎิบัติตัวยังไงดีวะ ในประเทศ ๒ รัฐบาล?

    เปลว สีเงิน
    ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    “๑ ประเทศ ๒ รัฐบาล” #เปลวสีเงิน plew เปลว สีเงิน คงเป็น “ที่สุดแห่งปี” จริงๆ สำหรับประเทศแห่งประชากรผู้หิวโหยและเทิดทูน ๒ พ่อลูก “ตระกูลชิน” บ่ายวาน(๒๗ ธ.ค.๖๗)นายกฯมาเลย์ฯ “นายอันวาร์” โพสต์เฟซ พร้อมภาพถ่ายคู่ทักษิณ Anwar Ibrahim รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยและเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์ รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคีที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ระหว่างมาเลเซียและไทย ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและความสามัคคีในภูมิภาค ที่ผมมีร่วมกับ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศไทย หลายทศวรรษที่ผ่านทักษิณและผมเชื่อมั่นว่า มาเลเซียและไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จได้มากกว่านี้มาก เมื่อร่วมมือกัน ไม่เพียงแต่สำหรับประเทศของเราเท่านั้น แต่สำหรับภูมิภาคโดยรวมด้วย เรามุ่งมั่นที่จะทำให้วิสัยทัศน์นั้น กลายเป็นความจริง. นั่นคือบทบาท “นายกฯ-ผู้พ่อ” ปิดศักราช ๒๕๖๗ เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน ทีนี้อยากให้ดูบทบาท “นายกฯ-ผู้ลูก” ส่งท้ายปีบ้าง ๒๗ ธันวา. นายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ส่งหนังสือลากิจ ๑ วัน ไปที่ “สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี” (สลค.) “หยุดงาน” ยาวต่อเนื่องข้ามศักราชไปถึงปีหน้า บอกว่า “เพื่อใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับครอบครัว” จะกลับมา “ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง วันที่ ๒ มกรา.๖๘ โดยเป็นประธานพิธีทำบุญในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๘ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ตอนเช้า นายกฯ บอกลาอย่างนี้แล้ว รู้สึกยังไงกันบ้างครับ? ในความรู้สึกผม…. ประเทศเหมือน “ครอบครัวหนึ่ง” มีสมาชิก ๖๐ กว่าล้านคน มีรัฐบาลโดย “นายกฯ” เป็นหัวหน้า “รับผิดชอบ” ดูแลครอบครัว ปีใหม่ “หยุดยาว” สมาชิกในครอบครัว พากันไปเที่ยวไหน-ต่อไหนกันจนกรุงเทพฯ แทบโล่ง ประมาณ ๑ สัปดาห์ แต่แทนที่ “หัวหน้าครอบครัว” จะบอกว่า หยุดยาว เที่ยวกันให้สนุกนะ ไม่ต้องห่วงหรอก จะระวังขะโมย-ขะโจรให้เอง กลับตรงกันข้าม ลูกบ้านหยุดยาวไปเที่ยว หัวหน้าบ้านก็หยุดยาวบ้าง แถมชิงเอาเปรียบ “ลาหยุด” ล่วงหน้าซะอีก ๑ วัน! ถามว่าผิดมั้ย? ก็ไม่ผิด แต่มันขาด “ภาวะสำนึก” แห่งความรับผิดชอบของ “คนเป็นผู้นำ” หรือพูดกันชัดๆ… นางสาวแพทองธาร ลูกนายทักษิณ ไม่มีทั้งวุฒิภาวะ ไม่มีทั้งสำนึกภาวะ ไม่คู่ควรตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” เลย! เป็น “ผู้นำ” เป็นตลอด ๒๔ ชั่วโมง…. หยุุดงาน-หยุดได้ แต่ไม่ใช่เห็นชาวบ้านเขาหยุดยาวในเทศกาล กูก็จะหยุดมั่ง แบบนี้ มีธุระสำคัญอะไรที่ต้องลาหยุดเพิ่มให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ไม่ดี เช่นนี้? เปล่า…ลาหยุดพักผ่อนกับครอบครัว!? แถมบอก “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” อีกครั้ง ในวันที่ ๒ มกรา.๖๘ นั้น น่ารังเกียจ ประหนึ่ง “ไร้เดียงสา”! ต้องเข้าใจนะอุ๊งอิ๊ง คุณพ่อไม่สอนหรือว่า การไปทำงานนั้น “หยุด…คือไม่ไปที่ทำงาน” นั้น ได้ แต่ “หน้าที่นายกฯ” มันหยุดปฎิบัติไม่ได้-ลาไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน แบบไหน กำลังกิน กำลังนอน กำลังถ่าย แม้แขม็บๆ กำลังจะตาย “ลาออก” จากตำแหน่งนายกฯ ได้ แต่ลา “ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ” ไม่ได้! เช่นเดียวกับ “ข้าราชการ” ไม่ว่าข้าราชการพลเรือน ข้าราชครู ข้าราชการทหาร ตำรวจ แม้กระทั่ง แพทย์ พยาบาล “หยุดงาน-ลางาน” ได้ แต่หยุด “หน้าที่” คนเป็นข้าราชการไม่ได้ ต่อให้ไปไหน-อยู่ไหน เขาพร้อม “ปฎิบัติหน้าที่” ในทันที เมื่อมีสถานการณ์ คนเป็นผู้นำบริหารประเทศ “สำนึกภาวะ” ด้านรับผิดชอบในหน้าที่ “ต้องสูงกว่าข้าราชการ” ขึ้นไปอีกขั้น อย่างปีใหม่ “หยุดยาวข้ามปี”……. นายกฯ อยู่บ้านหรือมาทำเนียบ “ค่าเท่ากัน” ไม่ต้องทำเป็น “ลาก่ง-ลากิจ” ให้ดูตลกปัญญาอ่อนหรอก ที่สำคัญ ผู้นำต้องส่งสัญญานให้ประชาชนรู้ว่า ในขณะที่เขาทิ้งบ้านไปไหนต่อไหนกันนั้น ฉัน..นายกฯ อยู่นะ รัฐบาล “อยู่โยง” ทำหน้าที่ “มอนิเตอร์ประเทศ” ให้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงนะ เที่ยวกันให้สนุก ไม่ต้อง “ห่วงหน้า-พะวงหลัง” เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงาน ที่ต้องทำงานในเทศกาลหยุดยาว เขาก็พลอยมีกำลังใจ ว่าไม่เพียงพวกเขาต้องแกร่ว “อยู่เวร-อยู่ยาม” “ผู้นำรัฐบาล” ก็แกร่วอยู่ด้วย คอยตรวจตราสั่งการ “รักษาบ้าน-เฝ้าเมือง” ให้ประชาชน ไม่ได้ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ละทิ้งหน้าที่ไปทางไหนแต่อย่างใด! นี่คือ “สำนึกผู้นำ” ไม่ใช่ชาวบ้านเขาลาหยุดยาว กูก็ลาหยุดยาวบ้าง แถมบอกเสร็จสรรพ “จะกลับมาปฎิบัติหน้าที่” ในที่ ๒ มกรา.๕๘! จะให้ “ชาวบ้าน-ชาวเมือง” เข้าใจว่า….. จากวันนี้ จนถึง ๒ มกรา.๖๘ บ้านเมือง “ว่างเปล่า” ไม่มีผู้ปฎิบัติหน้าที่นายกฯ งั้นหรือ? โบราณท่านบอก…. เป็นหัวหน้างาน “อย่าไปแย่งงานลูกน้องทำ” แต่คนเป็นหัวหน้าคน “ต้องตื่นก่อน-นอนทีหลัง” เป็นนายกฯ เป็นแม่ทัพ-นายกอง เป็นหัวหน้าครอบครัว ถึงเทศกาล ลูกน้อง-ลูกบ้าน เขาจะสนุกสนาน เที่ยวเตร่กัน คนเป็นนายก็ต้อง “เฝ้าบ้าน-เฝ้าประเทศ” คอยระหวังหลังให้พวกเขา มันไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เป็นแค่ “สามัญสำนึกพื้นฐาน” ของคนเป็นนายคนเท่านั้นเอง พูดถึงลูกแล้ว มาพูดถึงพ่อบ้าง จากหลีเป๊ะ-สตูล ไปลังกาวี-มาเลเซีย ๕๒ กิโลเท่านั้นเอง ถ้านั่งเรือ ก็ชั่วโมงกว่าๆ ตอนเป็นเด็กวัดเคยอ่านบันทึกของ “หลุย คีรีวัต” ที่ถูกขัง คุกเกาะ “ตะรุเตา” กับเพื่อนนักโทษกบฎอีก ๒-๓ คน มี “โหรแฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์” รวมอยู่ด้วย หลบหนีคุก ลอยคอจากเกาะตะรุเตา ไปขึ้นที่เกาะลังกาวี ซึ่งเกาะนี้ อยู่ใน “รัฐเคดะห์” อดีตเป็นส่วนหนึ่งของเมืองไทยบุรี ดินแดนของสยาม แต่เราจำต้องเสียให้อังกฤษไป ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เกาะนี้ “ถูกสาป” จนมีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานรักของหญิงไทยจนถึงทุกวันนี้ ไปหาอ่านกันเอาเองละกัน ผมเล่าตามข่าวนะ ….. “ทักษิณ” กับ “นายอันวาร์” นายกฯ มาเลย์ เขานัดพบกัน ส่วนจะพบในดินแดนมาเลย์ ที่ลังกาวี หรือลอยเรือในทะเลคุยกันในเขตไทยแถวๆ หลีเป๊ะ? ลองทายกันดูซิ…. เพราะในทุกข่าวสาร เผยแพร่ภาพพบกัน แต่ไม่มีข่าวสารไหนยอมระบุว่าพบกันที่ไหน “ในแดนไทย” หรือ “ในแดนมาลย์” ที่ลังกาวี? แค่บอกว่า “ทักษิณกับร.อ.ธรรมนัส อดีตรมว.เกษตรฯ เดินทางด้วยขบวนเรือยอชต์ ๖ ลำ แวะเยือนเกาะหลีเป๊ะ สตูล โดยมาถึงชายฝั่งเกาะหลีเป๊ะตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธ.ค. เวลาประมาณ ๑๗.๐๐ น. โดยไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้า เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป จนกระทั่งเช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. เวลา ๐๙.๐๐-๑๑.๐๐ น. ทั้งสองขึ้นฝั่งเพื่อรับประทานอาหารเช้าที่ “โรงแรมบูโลว คาซ่าแกรนด์วิว” รีสอร์ท” ผมไม่สนทั้งสองเขาคุยอะไรกัน เพราะที่เขาบอก “เรื่องแต่ง” ส่วน “เรื่องจริง” ใครเขาจะบอก! แต่ฉงนในประเด็น ทักษิณมาดูลาดเลา “ช่องทางธรรมชาติ” หรืออย่างไร? อย่าลืม ทักษิณเป็นจำเลยคดีมาตรา ๑๑๒ ได้ประกันตัวจากศาล ด้วยเงื่อนไข “ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ” แล้วเชื่อได้ขนาดไหน มีใครยืนยันได้ ว่านายกฯมาเลย์กับทักษิณ นั่งเรือคุยกันในทะเลฝั่งไทย ไม่ใช่ทักษิณนั่งเรือยอชต์ไปพบนายอันวาร์ที่เกาะลังกาวี ในดินแดนมาเลย์ พบ-พูดคุยกันแล้ว…. อีกวันถึงลอยเรือยอชต์ ปรากฎตัวให้คนเห็นเป็นข่าวที่หลีเป๊ะ-เขตไทย? อีกประเด็นที่ผมสน “ทักษิณมีสถานะอะไร และนายอันวาร์ต้องการอะไร” จึงเล่นบท “การเมืองลับๆ ล่อๆ” กับทักษิณ? -ฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ส่งเสริมสันติภาพ ๓ จว.ใต้, แก้ไขวิกฤตเมียนมา, เสริมสร้างสัมพันธ์ทวิภาคี “มาเลเซีย-ไทย” ทักษิณมีตำแหน่ง-หน้าที่ใด ที่นายอันวาร์ต้องนำมาคุย นอกจากเป็นนักโทษเทวดา เป็นพ่อนายกฯ เป็นหัวหน้าแก๊งเปลี่ยนระบอบเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน ทักษิณสถาปนา” เป็นเจ้าของคอกหมา และฯลฯ อีกคุณสมบัติเดียว คุณค่าที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคนี้ของทักษิณ คือ วิชา “ขายแผ่นดิน” และวิชา “แปลง” ทุนสำรองระหว่างประเทศ “เป็นเงินโปรย” ประชานิยม”! “การเมืองลับๆ ล่อๆ” นี้ “ฉีกประเทศไทย” ให้มี ๒ รัฐบาล คือ “รัฐบาลพ่อ” กับ “รัฐบาลลูก” แล้วกูจะต้องปฎิบัติตัวยังไงดีวะ ในประเทศ ๒ รัฐบาล? เปลว สีเงิน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๗
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 499 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภายหลังจากนักแสดง-พิธีกรมากความสามารถ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ได้รับฉายาจากสมาคมนักข่าวบันเทิงว่า “หน่วงส่งกรรม” ล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ลั่นขอบคุณที่มอบฉายานี้ให้ พร้อมยอมรับได้คุยกับบางคนที่ได้ฉายา ซึ่งบางคนงงๆ ตะขิดตะขวงใจ แต่ก็ปลอบไปว่าให้คิดในแง่ดี

    “เขาตั้งหน่วงส่งกรรม (หัวเราะก่อนถอนใจ) มันก็จะเงียบๆ อยู่แล้วนะ (หัวเราะ) นี่ยื่นดาบมาให้ เดี๋ยวคนที่เขามีประเด็นเขาจะหาว่าเป็นเพราะเรา ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเป็นที่ตำรวจกับศาล เราแค่เป็นกระบอกเสียงนะ ผู้ตัดสินผิดถูกก็จะเป็นศาลนะครับ ขอบคุณนะครับสำหรับฉายาที่มอบให้

    มีโอกาสได้คุยกับบางท่านที่ได้รับฉายามาเหมือนกัน บางท่านก็งงๆ รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เลยบอกไปว่าไม่เป็นไรหรอก มองในแง่บวกแล้วกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ลืมเรา เป็น 10 คนที่เขาอุตส่าห์มอบให้ ก็อย่าไปคิดอะไรมาก เขาหยิกแกมหยอกแหละ ไม่มีอะไร

    แต่ที่มีคือคอมเมนต์ที่บอกว่าหน่วงคาบ้าน (แมนยูฯ แพ้คาบ้าน) ฟังดีๆ นะ เอ็งจะคาบ้าน เพราะเข้ามาในบ้านข้าตอนนี้ มาแซะข้าในบ้าน เดี๋ยวจะบล็อกทิ้ง (หัวเราะ) ไม่ต้องพิมพ์มาแล้ว รู้แล้ว ยอม”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000122920

    #MGROnline #หนุ่มกรรชัย #หน่วงส่งกรรม
    ภายหลังจากนักแสดง-พิธีกรมากความสามารถ “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ได้รับฉายาจากสมาคมนักข่าวบันเทิงว่า “หน่วงส่งกรรม” ล่าสุดเจ้าตัวได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ลั่นขอบคุณที่มอบฉายานี้ให้ พร้อมยอมรับได้คุยกับบางคนที่ได้ฉายา ซึ่งบางคนงงๆ ตะขิดตะขวงใจ แต่ก็ปลอบไปว่าให้คิดในแง่ดี • “เขาตั้งหน่วงส่งกรรม (หัวเราะก่อนถอนใจ) มันก็จะเงียบๆ อยู่แล้วนะ (หัวเราะ) นี่ยื่นดาบมาให้ เดี๋ยวคนที่เขามีประเด็นเขาจะหาว่าเป็นเพราะเรา ไม่ใช่ จริงๆ แล้วเป็นที่ตำรวจกับศาล เราแค่เป็นกระบอกเสียงนะ ผู้ตัดสินผิดถูกก็จะเป็นศาลนะครับ ขอบคุณนะครับสำหรับฉายาที่มอบให้ • มีโอกาสได้คุยกับบางท่านที่ได้รับฉายามาเหมือนกัน บางท่านก็งงๆ รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เลยบอกไปว่าไม่เป็นไรหรอก มองในแง่บวกแล้วกัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ลืมเรา เป็น 10 คนที่เขาอุตส่าห์มอบให้ ก็อย่าไปคิดอะไรมาก เขาหยิกแกมหยอกแหละ ไม่มีอะไร • แต่ที่มีคือคอมเมนต์ที่บอกว่าหน่วงคาบ้าน (แมนยูฯ แพ้คาบ้าน) ฟังดีๆ นะ เอ็งจะคาบ้าน เพราะเข้ามาในบ้านข้าตอนนี้ มาแซะข้าในบ้าน เดี๋ยวจะบล็อกทิ้ง (หัวเราะ) ไม่ต้องพิมพ์มาแล้ว รู้แล้ว ยอม” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000122920 • #MGROnline #หนุ่มกรรชัย #หน่วงส่งกรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคมืด.. คนดำเทาอวดอ้างเบ่งชูคอ​
    คนสอพลอยกหางยอระริกรี้​
    คนทำดีถูกด้อยค่าถูกกระทำ​
    คนระยำเห่าหอนกร่าง.. เหล่าด้อม.. อมสากเอย
    ยุคมืด.. คนดำเทาอวดอ้างเบ่งชูคอ​ คนสอพลอยกหางยอระริกรี้​ คนทำดีถูกด้อยค่าถูกกระทำ​ คนระยำเห่าหอนกร่าง.. เหล่าด้อม.. อมสากเอย
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝ่ายหวังยึดคุมทแกล้ว ถอนถอย แผนชั่วหาใช่ชัยชนะพลอย โห่ร้องทหารทุกเหล่าชะลอย ไป่คิด ดีใจหากมุ่งมั่นทำดีพ้อง ปกป้องชาติไทย ประชาชีขอให้เจริญธรรมและสุขสวัสดี ข่าวการ “ถอดถอน” ร่างแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ๒๕๕๑ ของนักการเมืองในระบอบทักษิณ หาใช่เป็น “ชัยชนะ” ของทแกล้วกล้าไทยรักไทยไม่ แต่เป็นเพราะ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์และประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วย คนไทยมองเห็นภัยพิบัติของชาติถ้า “นักการเมืองไทย” ควบคุม “กองทัพเหมือนพวกเขาควบคุมข้าราชการประจำอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทหาร” มีตัวอย่าง ๑ เรื่องอดีต “ปลัดกระทรวงคมนาคม” มีเงินสดเก็บไว้ในบ้านนับเป็นร้อยๆ ล้าน!:- (เรื่องนี้มิใช่เป็นการประจานซ้ำเติมนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม แต่เป็นบทเรียนเชิงกรณีศึกษาและเปรียบเทียบ)นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม (ที่สายนักการเมืองกลุ่มหนึ่งปั้นขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริตคอรัปชัน ลองไปหาอ่านเอาเองนะครับ (ใน Thaipublica.Comและไทยโพสต์และอื่นๆ) เหตุเกิดเพราะบ้านนายสุพจน์ถูกโจรกรรม ขโมยเงินไป “๖ ล้านบาท แต่โจรให้การกับตำรวจว่า “ในตู้เสื้อผ้าของนายสุพจน์ยังมีเงินซ่อนไว้อีกมากมาย”เรื่องนี้ผ่านสาธารณะสังคมและสื่อ “ปปช.จึงเข้ามาตรวจสอบพบว่านายสุพจน์ “ร่ำรวยผิดปกติ” และพบว่าผิดจริงตามที่โจรให้การจึงส่งฟ้อง “ศาลฎีกาพิพากษา จำคุก ๑๐ เดือน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม (กรรมการการบินไทยจำกัด ด้วย) ไม่รอลงอาญาและยึดทรัพย์บ้างส่วน (เท่านั้น) เพราะปิดบังบัญชีทรัพย์สินที่ผมหยิบยกเรื่องนี้เพราะว่า “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงนั้นอยู่ในอำนาจของ ครม.!งบประมาณของแต่ละกระทรวงเป็นเค็กก้อนใหญ่ สามารถชำแหละแบ่งกันในกลุ่มนักการเมืองที่มีอำนาจรัฐและตามจำนวน ส.ส.ในสภา จึงเป็นที่มาของระบบโควต้าแบ่งปัน)ถ้านักการเมืองคุม “ทหารเพียงคนเดียว” กลุ่มนักการเมืองบางคนบางกลุ่มนั้นนั้น สามารถคุมการทุจริตตลอดแนวชายแดนทั้งประเทศการค้าของเถื่อนจะเฟื่องฟูตลอดแนวชายแดน ยาเสพติด ค้าคน ค้าอาวุธ ค้ารถขโมยและสิ้นค้าเถิ่อนอื่นๆ อีกมากมาย ลองจินตนาการเอาเองนะครับสรุปว่า “เรื่องจริงที่เป็นประวัติศาสตร์การเมือง การทุจริตในประเทศไทย เคยมี นายทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีเอง ๒ ท่านเท่านั้นที่เป็นเผด็จการทหารและเป็นนายกรัฐมนตรีถูกกฎหมายที่ตัวท่านเองสร้างขึ้นมา เอาผิดฐานทุจริตคอรัปชันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถูกรัฐบาลจอมพลถนอมยึดทรัพย์ ๖๐๔ ล้านบาทในปี ๒๕๐๖ เข้าคลังและรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร ๔๗๐ ล้านบาทในปี ๒๕๑๖แต่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดทรัพย์ ๔๖,๐๐๐ บาทแม้ตัวเงินไม่ได้หรือสามารถวัด “ดีกรีกิเลสความโลภ ความชั่วได้แต่พฤติกรรม “โกงเงินเท่ากัน”ข้อคิด “กรรมมีจริง บาปมีจริง :Vachara Riddhagni ”
    ฝ่ายหวังยึดคุมทแกล้ว ถอนถอย แผนชั่วหาใช่ชัยชนะพลอย โห่ร้องทหารทุกเหล่าชะลอย ไป่คิด ดีใจหากมุ่งมั่นทำดีพ้อง ปกป้องชาติไทย ประชาชีขอให้เจริญธรรมและสุขสวัสดี ข่าวการ “ถอดถอน” ร่างแก้ไข พรบ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ๒๕๕๑ ของนักการเมืองในระบอบทักษิณ หาใช่เป็น “ชัยชนะ” ของทแกล้วกล้าไทยรักไทยไม่ แต่เป็นเพราะ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์และประชาชนคนไทยไม่เห็นด้วย คนไทยมองเห็นภัยพิบัติของชาติถ้า “นักการเมืองไทย” ควบคุม “กองทัพเหมือนพวกเขาควบคุมข้าราชการประจำอื่นๆ ที่ไม่ใช่ทหาร” มีตัวอย่าง ๑ เรื่องอดีต “ปลัดกระทรวงคมนาคม” มีเงินสดเก็บไว้ในบ้านนับเป็นร้อยๆ ล้าน!:- (เรื่องนี้มิใช่เป็นการประจานซ้ำเติมนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม แต่เป็นบทเรียนเชิงกรณีศึกษาและเปรียบเทียบ)นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม (ที่สายนักการเมืองกลุ่มหนึ่งปั้นขึ้นมา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริตคอรัปชัน ลองไปหาอ่านเอาเองนะครับ (ใน Thaipublica.Comและไทยโพสต์และอื่นๆ) เหตุเกิดเพราะบ้านนายสุพจน์ถูกโจรกรรม ขโมยเงินไป “๖ ล้านบาท แต่โจรให้การกับตำรวจว่า “ในตู้เสื้อผ้าของนายสุพจน์ยังมีเงินซ่อนไว้อีกมากมาย”เรื่องนี้ผ่านสาธารณะสังคมและสื่อ “ปปช.จึงเข้ามาตรวจสอบพบว่านายสุพจน์ “ร่ำรวยผิดปกติ” และพบว่าผิดจริงตามที่โจรให้การจึงส่งฟ้อง “ศาลฎีกาพิพากษา จำคุก ๑๐ เดือน นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม (กรรมการการบินไทยจำกัด ด้วย) ไม่รอลงอาญาและยึดทรัพย์บ้างส่วน (เท่านั้น) เพราะปิดบังบัญชีทรัพย์สินที่ผมหยิบยกเรื่องนี้เพราะว่า “การแต่งตั้งปลัดกระทรวงนั้นอยู่ในอำนาจของ ครม.!งบประมาณของแต่ละกระทรวงเป็นเค็กก้อนใหญ่ สามารถชำแหละแบ่งกันในกลุ่มนักการเมืองที่มีอำนาจรัฐและตามจำนวน ส.ส.ในสภา จึงเป็นที่มาของระบบโควต้าแบ่งปัน)ถ้านักการเมืองคุม “ทหารเพียงคนเดียว” กลุ่มนักการเมืองบางคนบางกลุ่มนั้นนั้น สามารถคุมการทุจริตตลอดแนวชายแดนทั้งประเทศการค้าของเถื่อนจะเฟื่องฟูตลอดแนวชายแดน ยาเสพติด ค้าคน ค้าอาวุธ ค้ารถขโมยและสิ้นค้าเถิ่อนอื่นๆ อีกมากมาย ลองจินตนาการเอาเองนะครับสรุปว่า “เรื่องจริงที่เป็นประวัติศาสตร์การเมือง การทุจริตในประเทศไทย เคยมี นายทหารที่เป็นนายกรัฐมนตรีเอง ๒ ท่านเท่านั้นที่เป็นเผด็จการทหารและเป็นนายกรัฐมนตรีถูกกฎหมายที่ตัวท่านเองสร้างขึ้นมา เอาผิดฐานทุจริตคอรัปชันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถูกรัฐบาลจอมพลถนอมยึดทรัพย์ ๖๐๔ ล้านบาทในปี ๒๕๐๖ เข้าคลังและรัฐบาลอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ยึดทรัพย์ จอมพลถนอม กิตติขจร ๔๗๐ ล้านบาทในปี ๒๕๑๖แต่นายทักษิณ ชินวัตร ถูกยึดทรัพย์ ๔๖,๐๐๐ บาทแม้ตัวเงินไม่ได้หรือสามารถวัด “ดีกรีกิเลสความโลภ ความชั่วได้แต่พฤติกรรม “โกงเงินเท่ากัน”ข้อคิด “กรรมมีจริง บาปมีจริง :Vachara Riddhagni ”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 468 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดกองปัญหาเรื้อรัง 10 ปี @กบินทร์บุรี ว่าด้วยการลอบทิ้งกากยิปซัม ...“เขาเอาคนในชุมชนมาเป็นยามที่นี่ (โรงงาน) และให้ยามไปบอกชาวบ้านว่าเป็นการก่อสร้างโรงงานปุ๋ย แล้วก็ให้ชาวบ้านมารับปุ๋ยฟรี โดยที่เอาบัตรประชาชนมายื่น” ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน.นั่นคือช่วงประมาณปี พ.ศ. 2557 โรงงานที่พูดถึงเป็นของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ได้เข้าเริ่มดำเนินกิจการที่ ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .ในขณะนั้นมีการประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขนกากยิปซัมจากโรงงาน ไปใช้สำหรับทำปุ๋ยในการเกษตร ซึ่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนไม่น้อยกระทั่งต่อมาจึงเริ่มมีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทางโรงงานได้ลักลอบนำกองยิปซัมมาทิ้งไว้ที่บริเวณ ม.5 ต.ลาดตะเคียน นั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน จึงได้มีการบอกให้ชาวบ้านสามารถมารับกากยิปซัมไปได้ โดยให้เหตุผลว่ากากยิปซัมเป็นปุ๋ย สามารถฆ่าเชื้อและแบคทีเรียในดิน.เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีชาวบ้าน ม.5 และพื้นที่ใกล้เคียง จำนวนร่วม 100 คน ที่นำรถไปขนกากยิปซัมจากโรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ เพื่อไปใช้เป็นปุ๋ยในที่ดินของตน ตามที่โรงงานกล่าวอ้าง .“เราเอาไปใส่ที่ไร่มันเรา ไปกระจายออกลำบากมากมันหนัก พอเสร็จปุ๊ปเราปลูกผลผลิต คือปลูกมันเรานี่แหละ มันไม่งาม ต้นมันเราก็เหลือง สุดท้ายก็เน่า” ชาวบ้านถึงเหตุการณ์หลังจากนำกากยิปซัมเข้ามาใช้ทำปุ๋ยในไร่มันปะหลังของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการปุ๋ยจากโรงงานแห่งนี้อีก.แต่กองกากยิปซัมดังกล่าวยังคงกองอยู่ในพื้นที่ยาวนานเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว โดยมีจำนวนมาก กองสูงเกินกว่ารถสิบล้อ. “เหม็น..!! เวียนหัว แสบคอ ลมพัดแรงๆ เหม็นจนนอนไม่ได้ กลิ่นเหม็นเน่าๆ แสบคันตามผิวหนัง พอเกาก็จะเป็นผื่น” คือคำบรรยายของคนพื้นที่เมื่อถูกถามถึงผลกระทบที่ได้รับตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากการมีกากยิปซัมจำนวนมหาศาลมากองทิ้งไว้ห่างจากบ้านของตนเพียง 100 – 200 เมตร.ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากกองยิปซัมที่โรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ ทิ้งไว้ แม้กระทั่งวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยังได้รับผลกระทบด้วย.ชาวบ้านเล่าว่า ในยามที่ฝนตกชะยิปซัมลงไปในพื้นที่ใกล้เคียง วัวควายเดินไปเหยียบถึงกับเล็บเท้าหลุด.จากข้อมูลที่ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมา พบว่า ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่า 2) ยิปซัมที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ย กากของเสียจากกระบวนการผลิตกรดมะนาว เป็นต้น .ยิปซัม แม้จะประโยชน์ทางการเกษตร ช่วยแก้ปัญหาดินเค็มได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่มาก การใช้ยิปซัมมากเกินไปในการเกษตรอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของดินและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจทำให้มีค่าความเป็นกรดสูง เกิดสภาวะดินเปรี้ยว ดินไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร.ที่สำคัญคือ ควรต้องมีการตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนของสารอันตรายเช่น ปริมาณโลหะหนักก่อนนำไปใช้.นอกจากนี้ ยิปซัมในรูปแบบผงยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และบุคคลอาจมีอาการแพ้หรือมีความไวทางผิวหนังต่อยิปซัม การสัมผัสทางผิวหนังกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่นๆ.ยิปซัมมีปริมาณซัลเฟตสูง การรวมของเสียที่มีปริมาณซัลเฟตสูงกับของเสียที่ย่อยสลายได้จะก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีพิษสูงและมีกลิ่นเหม็นด้วย เหตุนี้ยิปซัมจึงถูกห้ามไม่ให้นำไปฝังกลบและต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามประการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว.การกองกากยิปซัมทิ้งไว้นานเป็นเวลา 10 ปี ของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการกำจัดของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังสร้างความเดือดร้อนรำคราญแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง การใช้วิธียืมมือชาวบ้านหลอกทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการเป็นคนผลิตขึ้น เป็นวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม .อีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ เดินทางไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวอยู่ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย......เรื่องและภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    เปิดกองปัญหาเรื้อรัง 10 ปี @กบินทร์บุรี ว่าด้วยการลอบทิ้งกากยิปซัม ...“เขาเอาคนในชุมชนมาเป็นยามที่นี่ (โรงงาน) และให้ยามไปบอกชาวบ้านว่าเป็นการก่อสร้างโรงงานปุ๋ย แล้วก็ให้ชาวบ้านมารับปุ๋ยฟรี โดยที่เอาบัตรประชาชนมายื่น” ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าย้อนเหตุการณ์เมื่อ 10 ปีก่อน.นั่นคือช่วงประมาณปี พ.ศ. 2557 โรงงานที่พูดถึงเป็นของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นโรงงานผลิตสารปรับปรุงดิน ได้เข้าเริ่มดำเนินกิจการที่ ต.หาดนางแก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .ในขณะนั้นมีการประกาศให้ชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาขนกากยิปซัมจากโรงงาน ไปใช้สำหรับทำปุ๋ยในการเกษตร ซึ่งมีผู้หลงเชื่อจำนวนไม่น้อยกระทั่งต่อมาจึงเริ่มมีข้อมูลว่า แท้จริงแล้วทางโรงงานได้ลักลอบนำกองยิปซัมมาทิ้งไว้ที่บริเวณ ม.5 ต.ลาดตะเคียน นั้น แต่เมื่อมีการร้องเรียนจากชาวบ้าน จึงได้มีการบอกให้ชาวบ้านสามารถมารับกากยิปซัมไปได้ โดยให้เหตุผลว่ากากยิปซัมเป็นปุ๋ย สามารถฆ่าเชื้อและแบคทีเรียในดิน.เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มีชาวบ้าน ม.5 และพื้นที่ใกล้เคียง จำนวนร่วม 100 คน ที่นำรถไปขนกากยิปซัมจากโรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ เพื่อไปใช้เป็นปุ๋ยในที่ดินของตน ตามที่โรงงานกล่าวอ้าง .“เราเอาไปใส่ที่ไร่มันเรา ไปกระจายออกลำบากมากมันหนัก พอเสร็จปุ๊ปเราปลูกผลผลิต คือปลูกมันเรานี่แหละ มันไม่งาม ต้นมันเราก็เหลือง สุดท้ายก็เน่า” ชาวบ้านถึงเหตุการณ์หลังจากนำกากยิปซัมเข้ามาใช้ทำปุ๋ยในไร่มันปะหลังของตน ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องการปุ๋ยจากโรงงานแห่งนี้อีก.แต่กองกากยิปซัมดังกล่าวยังคงกองอยู่ในพื้นที่ยาวนานเป็นเวลาถึง 10 ปีแล้ว โดยมีจำนวนมาก กองสูงเกินกว่ารถสิบล้อ. “เหม็น..!! เวียนหัว แสบคอ ลมพัดแรงๆ เหม็นจนนอนไม่ได้ กลิ่นเหม็นเน่าๆ แสบคันตามผิวหนัง พอเกาก็จะเป็นผื่น” คือคำบรรยายของคนพื้นที่เมื่อถูกถามถึงผลกระทบที่ได้รับตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จากการมีกากยิปซัมจำนวนมหาศาลมากองทิ้งไว้ห่างจากบ้านของตนเพียง 100 – 200 เมตร.ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากกองยิปซัมที่โรงงานจีเอ็มไบโอเทคฯ ทิ้งไว้ แม้กระทั่งวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ยังได้รับผลกระทบด้วย.ชาวบ้านเล่าว่า ในยามที่ฝนตกชะยิปซัมลงไปในพื้นที่ใกล้เคียง วัวควายเดินไปเหยียบถึงกับเล็บเท้าหลุด.จากข้อมูลที่ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศรวบรวมมา พบว่า ยิปซัมอาจแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1) ยิปซัมที่เกิดตามธรรมชาติจากการตกตะกอนของทะเลเก่า 2) ยิปซัมที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการของอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ย กากของเสียจากกระบวนการผลิตกรดมะนาว เป็นต้น .ยิปซัม แม้จะประโยชน์ทางการเกษตร ช่วยแก้ปัญหาดินเค็มได้ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่มาก การใช้ยิปซัมมากเกินไปในการเกษตรอาจทำให้เกิดความไม่สมดุลของดินและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาจทำให้มีค่าความเป็นกรดสูง เกิดสภาวะดินเปรี้ยว ดินไม่เหมาะสมกับการทำการเกษตร.ที่สำคัญคือ ควรต้องมีการตรวจสอบปริมาณการปนเปื้อนของสารอันตรายเช่น ปริมาณโลหะหนักก่อนนำไปใช้.นอกจากนี้ ยิปซัมในรูปแบบผงยังเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ และบุคคลอาจมีอาการแพ้หรือมีความไวทางผิวหนังต่อยิปซัม การสัมผัสทางผิวหนังกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบหรือปัญหาผิวหนังอื่นๆ.ยิปซัมมีปริมาณซัลเฟตสูง การรวมของเสียที่มีปริมาณซัลเฟตสูงกับของเสียที่ย่อยสลายได้จะก่อให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ที่มีพิษสูงและมีกลิ่นเหม็นด้วย เหตุนี้ยิปซัมจึงถูกห้ามไม่ให้นำไปฝังกลบและต้องกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสม ตามประการกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว.การกองกากยิปซัมทิ้งไว้นานเป็นเวลา 10 ปี ของบริษัท จีเอ็มไบโอเทค จำกัด เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการกำจัดของเสียของกระทรวงอุตสาหกรรม และยังสร้างความเดือดร้อนรำคราญแก่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง การใช้วิธียืมมือชาวบ้านหลอกทิ้งกากอุตสาหกรรมที่ผู้ประกอบการเป็นคนผลิตขึ้น เป็นวิธีที่ไร้ความรับผิดชอบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม .อีกแง่หนึ่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านที่เดือดร้อนกลุ่มนี้ เดินทางไปร้องเรียนกับหลายหน่วยงาน เช่น ศูนย์ดำรงธรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันยังต้องเผชิญกับความเดือดร้อนจากเรื่องดังกล่าวอยู่ และไม่มีวี่แววจะดีขึ้นเลย......เรื่องและภาพถ่ายโดย เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีรายงานว่ากองทัพตุรกีร่วมกับกองทัพแห่งชาติซีเรียกำลังเตรียมเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ต่อชาวเคิร์ด ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย
    มีรายงานว่ากองทัพตุรกีร่วมกับกองทัพแห่งชาติซีเรียกำลังเตรียมเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ต่อชาวเคิร์ด ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำเอาชาวเน็ตร้อง แรงมากพ่อ เมื่อโซเชียลเฟซบุ๊ก “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” โพสต์ภาพขวดน้ำยาฟอกขาว พร้อมข้อความว่า… “อย่างมึงไม่ต้องอาบ แต่ต้องแดx! จะได้ขาวจากภายในสู่ภายนอก”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000117598

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ทำเอาชาวเน็ตร้อง แรงมากพ่อ เมื่อโซเชียลเฟซบุ๊ก “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” โพสต์ภาพขวดน้ำยาฟอกขาว พร้อมข้อความว่า… “อย่างมึงไม่ต้องอาบ แต่ต้องแดx! จะได้ขาวจากภายในสู่ภายนอก” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000117598 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1118 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ณ กองบังคับการปราบปรามเป็นที่เรียบร้อย สำหรับอดีตพระเอก-นักร้องชื่อดัง “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ซึ่งวันนี้เป็นนัดเรียกรายงานตัวครั้งแรก ซึ่งเจ้าตัวก็มาพร้อมกับทนายคนใหม่คือ “ทนายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช” ที่มารับไม้ต่อจาก “ทนายสาคร ศิริชัย”

    เบื้องต้น ทนายประมาณ เผยว่าข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท, กรรโชกทรัพย์, ข่มขู่ ฯลฯ ฟิล์มไม่เข้าข่ายข้อกล่าวหาใดๆ เลย มองว่าองค์ประกอบไม่ครบ และฟิล์มไม่ได้มีเจตนาทุจริต วันนี้นำหลักฐานมายื่นเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วย และถ้าตนเป็น “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตนก็คงพร้อมจะอภัยให้น้องคนนี้ เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ที่พูดไปก็คงเลยเถิดล้ำเส้น ก็ขอโทษกันไป

    ด้าน ฟิล์ม ก็เผยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม บอกว่ามั่นใจเต็ม 100 ไม่ได้ทำความผิดอะไร ยังยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูดไปตั้งแต่วันแรกว่าเป็นการพีอาร์เท่านั้น ไม่ได้เครียด ยังใช้ชีวิตปกติในทุกๆ วัน และในส่วนที่หนุ่ม กรรชัยออกมาประกาศตัดความสัมพันธ์กับตนนั้น ตนเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร ถือเป็นสิทธิของเขา ตนไม่ขอก้าวล่วง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000117367

    #MGROnline #ฟิล์มรัฐภูมิ #ทนายประมาณ
    เดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ณ กองบังคับการปราบปรามเป็นที่เรียบร้อย สำหรับอดีตพระเอก-นักร้องชื่อดัง “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ซึ่งวันนี้เป็นนัดเรียกรายงานตัวครั้งแรก ซึ่งเจ้าตัวก็มาพร้อมกับทนายคนใหม่คือ “ทนายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช” ที่มารับไม้ต่อจาก “ทนายสาคร ศิริชัย” • เบื้องต้น ทนายประมาณ เผยว่าข้อกล่าวหาหมิ่นประมาท, กรรโชกทรัพย์, ข่มขู่ ฯลฯ ฟิล์มไม่เข้าข่ายข้อกล่าวหาใดๆ เลย มองว่าองค์ประกอบไม่ครบ และฟิล์มไม่ได้มีเจตนาทุจริต วันนี้นำหลักฐานมายื่นเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วย และถ้าตนเป็น “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ตนก็คงพร้อมจะอภัยให้น้องคนนี้ เพราะเป็นคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว แต่ที่พูดไปก็คงเลยเถิดล้ำเส้น ก็ขอโทษกันไป • ด้าน ฟิล์ม ก็เผยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม บอกว่ามั่นใจเต็ม 100 ไม่ได้ทำความผิดอะไร ยังยืนยันในสิ่งที่ตัวเองพูดไปตั้งแต่วันแรกว่าเป็นการพีอาร์เท่านั้น ไม่ได้เครียด ยังใช้ชีวิตปกติในทุกๆ วัน และในส่วนที่หนุ่ม กรรชัยออกมาประกาศตัดความสัมพันธ์กับตนนั้น ตนเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร ถือเป็นสิทธิของเขา ตนไม่ขอก้าวล่วง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000117367 • #MGROnline #ฟิล์มรัฐภูมิ #ทนายประมาณ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลายเป็นเรื่องสุดงง! กลางลานเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่ออยู่ดีๆ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ที่มีรายชื่อมาร่วมงานตามหมายเชิญ ว่าเป็นงานเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี URANUS CLINIC พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดก็คือเจ้าตัว พร้อมกับอีก 2 พรีเซ็นเตอร์คือ ตรี ภรภัทร, พิ้งค์พลอย ปภาวดี แต่หลังจากที่เจ้าตัวถ่ายภาพรวมหน้าแบ็กดรอปเสร็จ ก็ได้เดินออกไปทันที ทำให้กองทัพสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเกิดความงุนงงว่าเจ้าตัวไปไหน ไม่นานก็มีการแจ้งสื่อว่าเจ้าตัวได้ออกจากงานไปแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้างานเริ่ม ทางทีมพีอาร์ได้เลื่อนเวลาลงทะเบียน จาก 12.00 น. มาเป็น 11.00 น. และสัมภาษณ์หลังงานตามเวลาในหมายเชิญสื่อประมาณ 12.40 น. สรุปงานเลทไปเกือบชั่วโมง โดยกำหนดการบนเวทีค่อนข้างเร็ว เสร็จประมาณ 13.40 นาที จากนั้นก็มีการถ่ายภาพรวม แล้วก็เป็นไปตามที่กล่าวขั้นต้น

    ซึ่งคาดว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่พร้อมตอบถึงข่าวลือความสัมพันธ์ ที่โดนโยงถึง “อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์” และ “เอ พศิน เรืองวุฒิ” โดยทั้งสองคนก็ได้ออกมาเคลียร์แล้ว ก็จะเหลือแค่เจนี่คนเดียวที่ยังไม่ออกมาเคลียร์เรื่องนี้ ก็ต้องรอลุ้นว่าสรุปแล้วเจ้าตัวจะพร้อมตอบเมื่อไหร่ ให้คุกกี้ทำนายกัน!

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000117123

    #MGROnline #เจนี่เทียนโพธิ์สุวรรณ #อั้มอธิชาติ #เอพศิน
    กลายเป็นเรื่องสุดงง! กลางลานเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่ออยู่ดีๆ “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ที่มีรายชื่อมาร่วมงานตามหมายเชิญ ว่าเป็นงานเฉลิมฉลองครบรอบ 5 ปี URANUS CLINIC พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดก็คือเจ้าตัว พร้อมกับอีก 2 พรีเซ็นเตอร์คือ ตรี ภรภัทร, พิ้งค์พลอย ปภาวดี แต่หลังจากที่เจ้าตัวถ่ายภาพรวมหน้าแบ็กดรอปเสร็จ ก็ได้เดินออกไปทันที ทำให้กองทัพสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเกิดความงุนงงว่าเจ้าตัวไปไหน ไม่นานก็มีการแจ้งสื่อว่าเจ้าตัวได้ออกจากงานไปแล้ว • อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้างานเริ่ม ทางทีมพีอาร์ได้เลื่อนเวลาลงทะเบียน จาก 12.00 น. มาเป็น 11.00 น. และสัมภาษณ์หลังงานตามเวลาในหมายเชิญสื่อประมาณ 12.40 น. สรุปงานเลทไปเกือบชั่วโมง โดยกำหนดการบนเวทีค่อนข้างเร็ว เสร็จประมาณ 13.40 นาที จากนั้นก็มีการถ่ายภาพรวม แล้วก็เป็นไปตามที่กล่าวขั้นต้น • ซึ่งคาดว่าเจ้าตัวน่าจะยังไม่พร้อมตอบถึงข่าวลือความสัมพันธ์ ที่โดนโยงถึง “อั้ม อธิชาติ ชุมนานนท์” และ “เอ พศิน เรืองวุฒิ” โดยทั้งสองคนก็ได้ออกมาเคลียร์แล้ว ก็จะเหลือแค่เจนี่คนเดียวที่ยังไม่ออกมาเคลียร์เรื่องนี้ ก็ต้องรอลุ้นว่าสรุปแล้วเจ้าตัวจะพร้อมตอบเมื่อไหร่ ให้คุกกี้ทำนายกัน! • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9670000117123 • #MGROnline #เจนี่เทียนโพธิ์สุวรรณ #อั้มอธิชาติ #เอพศิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • 30-11-67/01 : หมี CNN / "หมีตะมุตะมิ มุ้งมิ้ง จรรโลงโลก" ตอนที่ 44 ชื่อตอน "WANNA PLAY YET?" มาลุยกันเลยดีกว่ามั้ย? ดิ้นกันหย่าย! อย่าลงถนนน่ะมรึง! กูกลัวแย้ว! ต้องถามกลับว่า "ใครให้มรึงเหี้ยได้ใจ ระยำสุดขั้ว บัดซบสุดติ่งกันล่ะ" แยกดินแดน ล้มเจ้า ผลาญคลังแผ่นดิน ชักศึกเข้าบ้าน ใครจะปล่อยมรึงลอยนวลกันล่ะ? เบื้องหลังเค้าคุยกันหมดแล้ว! มันเป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้า จะล้างบางเหี้ยทั่วประเทศ มันต้องแรง! ศาลตบ ม็อบกู้ชาติออก ทหารพาเหรด ไม่ปะทะ ไม่มีจบ! สถิติ 100% พธม.องค์ลงเมื่อไหร่ ฉิบหายทุกรัฐบาล? จะลงหรือไม่ อยู่ที่สถานการณ์สุกงอม วันต่อวัน เกมส์โลกเป็นตัวกำหนดเกมส์ไทยจ๊ะ เคยบอกไปแล้ว! กระแสกู้ชาติกลับมาอีกครั้ง หลังยามใหญ่แฉแผนเหี้ยยึดประเทศ บทเค้าชงให้ฮีโร่ออกตอนท้าย ปชต.กำลังจะเบ่งบานในขุมนรก ใครคลั่ง เชิญไปแดร๊กกันต่อในนรกน่ะมรึง? แค่เปลี่ยนรัฐบาล ล้างบางอีแดง อีส้ม แค่ศาลก็เช็คบิลจบได้แล้ว แต่ทำไม ต้องเสริมม็อบกู้ชาติเข้าไปล่ะ? คิดสิจ๊ะ? มันเกี่ยวกับเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ต่างหาก? ฉีกรัฐธรรมนูญต้องมา คืนอำนาจพระเจ้าแผ่นดินต้องมี หมากตานี้ คือกินรวบ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด นี่คือสงครามครั้งสุดท้ายพร้อมกันทั้งโลก จะกู้บังลังก์คืนให้กษัตริย์มันต้องยิ่งใหญ่ เหมือนสงครามครูเสดครั้งสุดท้ายเช่นกัน เหมือนการผลัดใบเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหม่ย่อมต้องเกิดขึ้น! ทุกอย่างสอดคล้องกันเสมอ เพราะมันคือ "ลิขิตสวรรค์" ตัวละครใหม่จะผุดจะโผล่ขึ้นมาเพี๊ยบ นั่นแหละ ไอ้ตัวที่อยู่เบื้องหลังที่ผ่านมา? ของเน่าจะโผล่ ของเสนียดจะอยู่ไม่ได้ มันจะดิ้นจนเดือดดาล โลกจะเห็นหมดทุกอย่าง อวสานปชต.ตอแหลโลก กติกาใหม่เปลี่ยนแนวคิดใหม่ โลกไม่จำเป็นต้องมีปชต.แบบตะวันตกอีกต่อไป แต่จะเป็นอำนาจปกครองเดี่ยวที่หลากหลายทั้งโลก จะไม่มีใครมาสั่ง มากำหนดว่ามรึงต้องเป็นอย่างไร อีกต่อไป? จับตาดู เกมส์อำมะหิต ที่จีนเลือกสรรมาฆ่าแหล่งฟอกเงินยิวทั้งโลก รถ EV จีน ทุบราคาลงจนไม่เหลือชิ้นดี เป้าหมายคือ "ฆ่าอุตสาหกรรมโลกพลังงานฟอสซิลของฝั่งตะวันตก" ให้อยู่ในมือจีน สูตรสำเร็จความใคร่จีน ทำบ่อย ทุบให้แหลก เพื่อไม่ให้เหี้ยมากำหนดราคาเป็นไปของตลาดอีกต่อไป จีนไม่ได้กลัวเจ๊ง เพราะต่อให้ต้องขาดทุนในตอนแรก แต่จะเก็บเกี่ยวกินยาวอีกเป็น 100 ปี แท้จริงมันคือการเปลี่ยนแกนพลังงานหลักโลกใหม่ จีนนำร่องอยู่ไงล่ะ? นี่แหละแผน ขยี้ อเมริกา อังกฤษ อิสราเอล ญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย เพราะเครือข่ายธุรกิจเหี้ยผูกกับดอลล่าร์เป็นหลัก แต่หากโลกต้องใช้ของจีน หรือของให้กลุ่ม BRICS เป็นหลัก นั่นคือเป้าหมายแท้จริง ที่ขั้วใหม่เปลี่ยนโลกอยู่ตอนนี้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไม "สงครามต้องมา ความตายต้องมี" เพราะเจ้าเก่าไม่ยอมตายฟรีแน่ แต่งานนี้ มันจะตายกันเกลื่อนโลก โดยเฉพาะไอ้พวกเหี้ยจัญไรทั้งหลาย รวมทั้งควายโลกดักดาน โลกจะไม่ปราณีผู้ที่ทำลายแผ่นดินโลก ตายห่าไปซะ โลกจะเบาขึ้นอีกเยอะ? ยุโรป จะตายห่าจนเป็นสถิติใหม่โลก ไม่ตายด้วยสงคราม ก็ตายด้วยปากท้อง หนาวตาย นี่คือชะตากรรมกูว่าแล้ว! เมื่อเหี้ยจนตรอกทั้งในยุโรป และตะวันออกกลาง เจอของแข็งโป๊ก ของจริง ไปไม่เป็น หันหัวมาล่อแปซิฟิค หลังสั่งเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ มาโชว์ห่วย ตายฟรีเล่น หวังดึงอาเซียนลุกเป็นไฟ แต่หารู้ไม่ว่า จีนพร้อมกว่ารัสเซียซะอีก ทั้งกองเรือ กองกำลัง ขีปนาวุธ แนวร่วม อาเซียนจะสู้กับเหี้ยในที่สุด ใครปฎิเสธ จะถูกขับออกจากอาเซียน อีปินส์ กำลังจะถูกโดดเดี่ยว อาเซียนจะไม่คุ้มครอง? เหตุผลคือ "ชักศึกเข้าบ้าน" มันทำใจไว้แล้ว และจีนจะตบอีปินส์โชว์ให้เหี้ยดู อีลอดช่อง ไม่กล้าดอก แผ่นดินเท่าเหมี๊ยวดิ้นตาย แค่ลูกเดียวเกาะก็จมแล้ว มันไม่โง่ ยอมตายเพื่อยิวดอกน่ะ อีนี่แหละ เจ้าเล่ห์ที่สุด สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด ก็จะเกิดขึ้น อีเสือเหลืองจะจับมือกับอโยธยา ขวางทางกลับคืนสู่อำนาจของขั้วเก่า เพราะขั้วใหม่อารักขาเต็มที่ อินโดจะถูกทดสอบกองเรือก่อนใครเพื่อน? ใครเป็นใคร จะหางโผล่ในนาทีสุดท้าย? อู่ข้าว อู่น้ำโลก คืออาเซียน จีน รัสเซีย จะปกป้องดูแลอย่างดี เหี้ยแค่ขี้ตรีน!อีเบียร์รับสภาพ เตรียมเปลี่ยนสถานีรถไฟใต้ดินเป็นแหล่งหลุมหลบภัย ไม่รอดดอกน่ะ? อยู่ใต้ดิน ดินถล่มคือตายทั้งเป็นยกฝูง มารีโอโพลอยู่กันเป็นพันยังไม่รอด? ลมควันก็ตายห่าแล้ว มรึงไม่ได้ฉลาดเหมือนฮามาสเค้าน่ะ? นั่นเค้ามืออาชีพ ขุดอุโมงค์ลับใต้ดิน ทางหนีทีไล่ กันน้ำ แยกแนวน้ำ กันควันพิษ ทำทางออกหลากหลายเส้นทาง แต่มรึงไม่ใช่ มรึงไม่ได้พร้อมจะทำสงคราม นี่คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พิสูจน์ชัด มรึงคือไอ้หน้าโง่ตัวจริง? อีป้าแมร์เคิลต้องกลับมากู้แผ่นดินใหม่ หลังอีโง่โอลาฟทำลายสิ้น? ส่วนว้าแดง ที่ตื่นตามสื่อนั้น ฟังจากปากทหารไทยดูน่ะ "ใครเหรอ? ไม่รู้จัก" มันมีตัวตนด้วยเหรอ? สั้นๆ อย่าไปให้ราคา "กองโจร" ที่ไม่ใช่คู่ต่อกรกองทัพ เพราะมันห่างชั้นเกิน เรื่องนี้ จีนจะไม่ยุ่ง ปล่อยไทยไล่ฆ่าได้ตามสบาย หากซ่าส์เกินเหตุ เหี้ย CIA มันสั่ง ก็แค่ตัดท่อน้ำเลี้ยงมรึงก็จบแล้ว! เสี้ยมจังน่ะมรึง อียิวก่อนสิ้นปี เผาจริงโผล่เต็ม โรงงาน สื่อ ขนส่ง ยักษ์ใหญ่ และอีกมาก แห่กันปลดพนักงานทั่วประเทศ คำถามคือ "ใครจะอยู่ได้ เพราะภาคพลังงานแพง" มรึงเคยแก้ปัญหาตรงจุดมั้ย? มันไม่ได้มาแก้ แต่มันมาเพื่อซ้ำต่างหาก ผลาญงบให้มากตามใบสั่งเหี้ยวอชิงตัน หมายังรู้? แล้วยังไงดีล่ะ? ปีหน้าแดร๊กแกลบกันทั้งประเทศมั้ย? ไม่ต้องห่วง เรื่องดีดีจะตามมา หลังเชื้อชั่ว เชื้อร้าย ตายเกลื่อน เพราะต้องขับพิษออกให้หมดก่อน ใครรับใช้ ใครทำงาน ให้ไอ้อีขายชาติ มีอันเป็นไปหมด เคยได้เงินเดือนสูง กินอิ่มรวยเละ ตอนนี้ถึงเวลาชดใช้กรรมที่ก่อไว้กับแผ่นดิน ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ กรรมเสมอภาคเสมอ นี่ไงล่ะ สิ่งพ่อหลวง ร.9 ทรงเตือนเราล่วงหน้ามา 30 ปี เศรษฐกิจพอเพียง เพราะพ่อท่านมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าก่อนแล้ว ดังนั้น ใครมีกิน มีใช้ ทำแต่พอตัว แค่รักษาตัวให้รอดก็ดีถมไปแล้ว อย่าสิ้นเปลือง อย่าหลงแสง ทำมาหากินสุจริต มีเหลือแบ่งปัน มีมากแบ่งให้ มีน้อยช่วยแรง หลายคนตีประเด็นผิดไปเยอะ คำว่าพอเพียงของพ่อ หมายถึง "ใจมรึงจงพอได้แล้ว" ไม่ใช่แค่ใช้เท่านี้ กินแค่เท่านี้ คือพอเพียง ทั้งหมด อยู่ที่ "ใจมรึง" คำว่า รวย คือ พอแล้วนั่นเอง พอเมื่อไหร่ มรึงก็รวยเมื่อนั่น?ปล.ปิดท้ายด้วยเรื่องภายในจีน "อีมนุษย์ป้า" ลงทัวร์ที่ไหน เจ๊งยับ ไม่ว่าจะเป็นเรือสำราญ บุฟเฟ่ต์ดัง ฉิบหายทั่ว สั้นๆ คือ "กูคือศูนย์กลางจักรวาล" กูจะเอา กูต้องได้ กูคือผู้วิเศษ กูแก่น่ะ มรึงต้องเกรงใจกู ดูทรงแล้ว ไม่แตกต่างจากไทยเราเลย ไม่ใช่ว่าอายุมาก แล้วจะมีสติ มีประสบการณ์มาก สันดานคนเรา "ยิ่งแก่ ยิ่งเอาแต่ใจ" มันไม่แปลกดอก แต่หากสิ่งที่มรึงทำ ไปเอาเปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่น ทำลายคนอื่น สร้างความเสียหาย ไม่มีความสงบสุข นั่นคือ เค้าเรียกว่า "เหี้ย" ไทยเรานับถือผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่หากผู้ใหญ่มันเหี้ย มันเห็นแก่ตัว คุณค่าในตัวมรึงก็หายไปด้วยเช่นกัน "คำว่ามนุษย์ป้า" ไม่ได้หมายถึงคนแก่เท่านั้น มันชี้ถึงกมลสันดานต่างหากล่ะ ในสิ่งที่มนุษย์ป้าทำ เคยไปแดร๊กบุฟเฟ่ต์ร้านดัง ร้านโปรดมั้ย? แล้วเจอมนุษย์ป้ามันตักอาหาร แล้วมรึงจะเข้าใจ? คำว่าน่ารังเกียจ คงเหมาะสมที่สุด ไม่ได้มีอคติกับมนุษย์ป้า มันเป็นคำที่เรียกถึงสันดานป้าที่ไม่ดี หาใช่ผู้สูงวัย คนแก่ดีก็เยอะ กู้ชาติก็มาก เคยบอกแล้วไงล่ะ คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ทำอะไรก็ได้เช่นนั้น โลกจะมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทุกปี โลกกำลังเข้าสู่วัยสูงอายุท่วมโลก โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และหลายชาติในเอเซีย ดังนั้น มรึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะเจอกับมนุษย์ป้า ทำใจ และหลีกเลี่ยงซะ อย่าไปลดตัวปะทะโดยตรง อย่าไปให้ราคา และจงอยู่ห่างๆ จนกว่าแกจะขอความช่วยเหลือเอง ช่วยแค่ทำได้ อย่าช่วยจนเกินงาม เพราะอีมนุษย์ป้ามันจะหาเศษหาเลยทุกอย่างที่เข้าถึงตัวมัน คุณภาพคน สะท้อนคุณภาพสังคม หากมีอีมนุษย์ป้าอ่านบทความนี้อยู่ ขอให้รู้ไว้ว่า "โลกต้องการความสงบสุข" จงอย่าทำคนอื่นเดือดร้อน เพราะเมื่อเค้าทนมรึงไม่ไหวแล้ว มรึงจะอยู่แผ่นดินนี้ต่อไปยากขึ้นชัวร์ เพราะบอกตรง คนรุ่นใหม่ เค้าไม่มาทนมรึงดอกน่ะ คน 2 แผ่นดินอาจจะเข้าใจในสิ่งที่กูบอก แต่รุ่นใหม่ ไม่พูดเยอะ ถีบส่งทันที สวนทันที แล้วมรึงจะหมาน่ะจ๊ะ อีมนุษย์ป้าตายศพอืดคาตรีนเด็กรุ่นใหม่ตลอด มันแพ้ทางกัน มวยแพ้ทาง หากเจอมนุษย์ป้า จงอย่าออกตัว ปล่อยคนรุ่นใหม่ DNA อริ มนุษย์ป้าจัดการซะ เพราะเคมีมันตรงกัน หยินหยาง ขำขำ!หมี CNN(ทุกอย่างกำลังจะผลัดใบ ไม่ว่าจะมีเรื่องที่ดี หรือเรื่องร้าย ก็ต้องยอมรับมัน เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราหมดทุกอย่างดอก หากมรึงเข้าใจคำว่า "ชีวิต" จงนิ่งดั่งน้ำใส จงไหลดั่งน้ำลึก จงปรับดั่งสายลม และจงปลงเมื่อถึงเวลา แค่มีสติ มรึงก็สามารถชนะทุกสรรพสิ่งได้แล้ว สติจะบอกให้มรึงรู้เองว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ได้คุ้มเสีย และเหตุผลรองรับ สติจะทำให้มรึงเป็นคนอยู่ ต่างกับสัดเดรัจฉาน ตั้งสติ ใช้ปัญญาก่อน)30 พฤศจิกายน 6711.55 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    30-11-67/01 : หมี CNN / "หมีตะมุตะมิ มุ้งมิ้ง จรรโลงโลก" ตอนที่ 44 ชื่อตอน "WANNA PLAY YET?" มาลุยกันเลยดีกว่ามั้ย? ดิ้นกันหย่าย! อย่าลงถนนน่ะมรึง! กูกลัวแย้ว! ต้องถามกลับว่า "ใครให้มรึงเหี้ยได้ใจ ระยำสุดขั้ว บัดซบสุดติ่งกันล่ะ" แยกดินแดน ล้มเจ้า ผลาญคลังแผ่นดิน ชักศึกเข้าบ้าน ใครจะปล่อยมรึงลอยนวลกันล่ะ? เบื้องหลังเค้าคุยกันหมดแล้ว! มันเป็นแผนที่วางไว้ล่วงหน้า จะล้างบางเหี้ยทั่วประเทศ มันต้องแรง! ศาลตบ ม็อบกู้ชาติออก ทหารพาเหรด ไม่ปะทะ ไม่มีจบ! สถิติ 100% พธม.องค์ลงเมื่อไหร่ ฉิบหายทุกรัฐบาล? จะลงหรือไม่ อยู่ที่สถานการณ์สุกงอม วันต่อวัน เกมส์โลกเป็นตัวกำหนดเกมส์ไทยจ๊ะ เคยบอกไปแล้ว! กระแสกู้ชาติกลับมาอีกครั้ง หลังยามใหญ่แฉแผนเหี้ยยึดประเทศ บทเค้าชงให้ฮีโร่ออกตอนท้าย ปชต.กำลังจะเบ่งบานในขุมนรก ใครคลั่ง เชิญไปแดร๊กกันต่อในนรกน่ะมรึง? แค่เปลี่ยนรัฐบาล ล้างบางอีแดง อีส้ม แค่ศาลก็เช็คบิลจบได้แล้ว แต่ทำไม ต้องเสริมม็อบกู้ชาติเข้าไปล่ะ? คิดสิจ๊ะ? มันเกี่ยวกับเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ต่างหาก? ฉีกรัฐธรรมนูญต้องมา คืนอำนาจพระเจ้าแผ่นดินต้องมี หมากตานี้ คือกินรวบ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด นี่คือสงครามครั้งสุดท้ายพร้อมกันทั้งโลก จะกู้บังลังก์คืนให้กษัตริย์มันต้องยิ่งใหญ่ เหมือนสงครามครูเสดครั้งสุดท้ายเช่นกัน เหมือนการผลัดใบเปลี่ยนแปลงโลกครั้งใหม่ย่อมต้องเกิดขึ้น! ทุกอย่างสอดคล้องกันเสมอ เพราะมันคือ "ลิขิตสวรรค์" ตัวละครใหม่จะผุดจะโผล่ขึ้นมาเพี๊ยบ นั่นแหละ ไอ้ตัวที่อยู่เบื้องหลังที่ผ่านมา? ของเน่าจะโผล่ ของเสนียดจะอยู่ไม่ได้ มันจะดิ้นจนเดือดดาล โลกจะเห็นหมดทุกอย่าง อวสานปชต.ตอแหลโลก กติกาใหม่เปลี่ยนแนวคิดใหม่ โลกไม่จำเป็นต้องมีปชต.แบบตะวันตกอีกต่อไป แต่จะเป็นอำนาจปกครองเดี่ยวที่หลากหลายทั้งโลก จะไม่มีใครมาสั่ง มากำหนดว่ามรึงต้องเป็นอย่างไร อีกต่อไป? จับตาดู เกมส์อำมะหิต ที่จีนเลือกสรรมาฆ่าแหล่งฟอกเงินยิวทั้งโลก รถ EV จีน ทุบราคาลงจนไม่เหลือชิ้นดี เป้าหมายคือ "ฆ่าอุตสาหกรรมโลกพลังงานฟอสซิลของฝั่งตะวันตก" ให้อยู่ในมือจีน สูตรสำเร็จความใคร่จีน ทำบ่อย ทุบให้แหลก เพื่อไม่ให้เหี้ยมากำหนดราคาเป็นไปของตลาดอีกต่อไป จีนไม่ได้กลัวเจ๊ง เพราะต่อให้ต้องขาดทุนในตอนแรก แต่จะเก็บเกี่ยวกินยาวอีกเป็น 100 ปี แท้จริงมันคือการเปลี่ยนแกนพลังงานหลักโลกใหม่ จีนนำร่องอยู่ไงล่ะ? นี่แหละแผน ขยี้ อเมริกา อังกฤษ อิสราเอล ญี่ปุ่น แคนาดา ออสเตรเลีย เพราะเครือข่ายธุรกิจเหี้ยผูกกับดอลล่าร์เป็นหลัก แต่หากโลกต้องใช้ของจีน หรือของให้กลุ่ม BRICS เป็นหลัก นั่นคือเป้าหมายแท้จริง ที่ขั้วใหม่เปลี่ยนโลกอยู่ตอนนี้ นี่คือเหตุผลว่า ทำไม "สงครามต้องมา ความตายต้องมี" เพราะเจ้าเก่าไม่ยอมตายฟรีแน่ แต่งานนี้ มันจะตายกันเกลื่อนโลก โดยเฉพาะไอ้พวกเหี้ยจัญไรทั้งหลาย รวมทั้งควายโลกดักดาน โลกจะไม่ปราณีผู้ที่ทำลายแผ่นดินโลก ตายห่าไปซะ โลกจะเบาขึ้นอีกเยอะ? ยุโรป จะตายห่าจนเป็นสถิติใหม่โลก ไม่ตายด้วยสงคราม ก็ตายด้วยปากท้อง หนาวตาย นี่คือชะตากรรมกูว่าแล้ว! เมื่อเหี้ยจนตรอกทั้งในยุโรป และตะวันออกกลาง เจอของแข็งโป๊ก ของจริง ไปไม่เป็น หันหัวมาล่อแปซิฟิค หลังสั่งเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ มาโชว์ห่วย ตายฟรีเล่น หวังดึงอาเซียนลุกเป็นไฟ แต่หารู้ไม่ว่า จีนพร้อมกว่ารัสเซียซะอีก ทั้งกองเรือ กองกำลัง ขีปนาวุธ แนวร่วม อาเซียนจะสู้กับเหี้ยในที่สุด ใครปฎิเสธ จะถูกขับออกจากอาเซียน อีปินส์ กำลังจะถูกโดดเดี่ยว อาเซียนจะไม่คุ้มครอง? เหตุผลคือ "ชักศึกเข้าบ้าน" มันทำใจไว้แล้ว และจีนจะตบอีปินส์โชว์ให้เหี้ยดู อีลอดช่อง ไม่กล้าดอก แผ่นดินเท่าเหมี๊ยวดิ้นตาย แค่ลูกเดียวเกาะก็จมแล้ว มันไม่โง่ ยอมตายเพื่อยิวดอกน่ะ อีนี่แหละ เจ้าเล่ห์ที่สุด สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด ก็จะเกิดขึ้น อีเสือเหลืองจะจับมือกับอโยธยา ขวางทางกลับคืนสู่อำนาจของขั้วเก่า เพราะขั้วใหม่อารักขาเต็มที่ อินโดจะถูกทดสอบกองเรือก่อนใครเพื่อน? ใครเป็นใคร จะหางโผล่ในนาทีสุดท้าย? อู่ข้าว อู่น้ำโลก คืออาเซียน จีน รัสเซีย จะปกป้องดูแลอย่างดี เหี้ยแค่ขี้ตรีน!อีเบียร์รับสภาพ เตรียมเปลี่ยนสถานีรถไฟใต้ดินเป็นแหล่งหลุมหลบภัย ไม่รอดดอกน่ะ? อยู่ใต้ดิน ดินถล่มคือตายทั้งเป็นยกฝูง มารีโอโพลอยู่กันเป็นพันยังไม่รอด? ลมควันก็ตายห่าแล้ว มรึงไม่ได้ฉลาดเหมือนฮามาสเค้าน่ะ? นั่นเค้ามืออาชีพ ขุดอุโมงค์ลับใต้ดิน ทางหนีทีไล่ กันน้ำ แยกแนวน้ำ กันควันพิษ ทำทางออกหลากหลายเส้นทาง แต่มรึงไม่ใช่ มรึงไม่ได้พร้อมจะทำสงคราม นี่คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พิสูจน์ชัด มรึงคือไอ้หน้าโง่ตัวจริง? อีป้าแมร์เคิลต้องกลับมากู้แผ่นดินใหม่ หลังอีโง่โอลาฟทำลายสิ้น? ส่วนว้าแดง ที่ตื่นตามสื่อนั้น ฟังจากปากทหารไทยดูน่ะ "ใครเหรอ? ไม่รู้จัก" มันมีตัวตนด้วยเหรอ? สั้นๆ อย่าไปให้ราคา "กองโจร" ที่ไม่ใช่คู่ต่อกรกองทัพ เพราะมันห่างชั้นเกิน เรื่องนี้ จีนจะไม่ยุ่ง ปล่อยไทยไล่ฆ่าได้ตามสบาย หากซ่าส์เกินเหตุ เหี้ย CIA มันสั่ง ก็แค่ตัดท่อน้ำเลี้ยงมรึงก็จบแล้ว! เสี้ยมจังน่ะมรึง อียิวก่อนสิ้นปี เผาจริงโผล่เต็ม โรงงาน สื่อ ขนส่ง ยักษ์ใหญ่ และอีกมาก แห่กันปลดพนักงานทั่วประเทศ คำถามคือ "ใครจะอยู่ได้ เพราะภาคพลังงานแพง" มรึงเคยแก้ปัญหาตรงจุดมั้ย? มันไม่ได้มาแก้ แต่มันมาเพื่อซ้ำต่างหาก ผลาญงบให้มากตามใบสั่งเหี้ยวอชิงตัน หมายังรู้? แล้วยังไงดีล่ะ? ปีหน้าแดร๊กแกลบกันทั้งประเทศมั้ย? ไม่ต้องห่วง เรื่องดีดีจะตามมา หลังเชื้อชั่ว เชื้อร้าย ตายเกลื่อน เพราะต้องขับพิษออกให้หมดก่อน ใครรับใช้ ใครทำงาน ให้ไอ้อีขายชาติ มีอันเป็นไปหมด เคยได้เงินเดือนสูง กินอิ่มรวยเละ ตอนนี้ถึงเวลาชดใช้กรรมที่ก่อไว้กับแผ่นดิน ไม่ว่าจะตัวเล็กตัวใหญ่ กรรมเสมอภาคเสมอ นี่ไงล่ะ สิ่งพ่อหลวง ร.9 ทรงเตือนเราล่วงหน้ามา 30 ปี เศรษฐกิจพอเพียง เพราะพ่อท่านมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าก่อนแล้ว ดังนั้น ใครมีกิน มีใช้ ทำแต่พอตัว แค่รักษาตัวให้รอดก็ดีถมไปแล้ว อย่าสิ้นเปลือง อย่าหลงแสง ทำมาหากินสุจริต มีเหลือแบ่งปัน มีมากแบ่งให้ มีน้อยช่วยแรง หลายคนตีประเด็นผิดไปเยอะ คำว่าพอเพียงของพ่อ หมายถึง "ใจมรึงจงพอได้แล้ว" ไม่ใช่แค่ใช้เท่านี้ กินแค่เท่านี้ คือพอเพียง ทั้งหมด อยู่ที่ "ใจมรึง" คำว่า รวย คือ พอแล้วนั่นเอง พอเมื่อไหร่ มรึงก็รวยเมื่อนั่น?ปล.ปิดท้ายด้วยเรื่องภายในจีน "อีมนุษย์ป้า" ลงทัวร์ที่ไหน เจ๊งยับ ไม่ว่าจะเป็นเรือสำราญ บุฟเฟ่ต์ดัง ฉิบหายทั่ว สั้นๆ คือ "กูคือศูนย์กลางจักรวาล" กูจะเอา กูต้องได้ กูคือผู้วิเศษ กูแก่น่ะ มรึงต้องเกรงใจกู ดูทรงแล้ว ไม่แตกต่างจากไทยเราเลย ไม่ใช่ว่าอายุมาก แล้วจะมีสติ มีประสบการณ์มาก สันดานคนเรา "ยิ่งแก่ ยิ่งเอาแต่ใจ" มันไม่แปลกดอก แต่หากสิ่งที่มรึงทำ ไปเอาเปรียบคนอื่น กินแรงคนอื่น ทำลายคนอื่น สร้างความเสียหาย ไม่มีความสงบสุข นั่นคือ เค้าเรียกว่า "เหี้ย" ไทยเรานับถือผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่หากผู้ใหญ่มันเหี้ย มันเห็นแก่ตัว คุณค่าในตัวมรึงก็หายไปด้วยเช่นกัน "คำว่ามนุษย์ป้า" ไม่ได้หมายถึงคนแก่เท่านั้น มันชี้ถึงกมลสันดานต่างหากล่ะ ในสิ่งที่มนุษย์ป้าทำ เคยไปแดร๊กบุฟเฟ่ต์ร้านดัง ร้านโปรดมั้ย? แล้วเจอมนุษย์ป้ามันตักอาหาร แล้วมรึงจะเข้าใจ? คำว่าน่ารังเกียจ คงเหมาะสมที่สุด ไม่ได้มีอคติกับมนุษย์ป้า มันเป็นคำที่เรียกถึงสันดานป้าที่ไม่ดี หาใช่ผู้สูงวัย คนแก่ดีก็เยอะ กู้ชาติก็มาก เคยบอกแล้วไงล่ะ คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ทำอะไรก็ได้เช่นนั้น โลกจะมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นทุกปี โลกกำลังเข้าสู่วัยสูงอายุท่วมโลก โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และหลายชาติในเอเซีย ดังนั้น มรึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะเจอกับมนุษย์ป้า ทำใจ และหลีกเลี่ยงซะ อย่าไปลดตัวปะทะโดยตรง อย่าไปให้ราคา และจงอยู่ห่างๆ จนกว่าแกจะขอความช่วยเหลือเอง ช่วยแค่ทำได้ อย่าช่วยจนเกินงาม เพราะอีมนุษย์ป้ามันจะหาเศษหาเลยทุกอย่างที่เข้าถึงตัวมัน คุณภาพคน สะท้อนคุณภาพสังคม หากมีอีมนุษย์ป้าอ่านบทความนี้อยู่ ขอให้รู้ไว้ว่า "โลกต้องการความสงบสุข" จงอย่าทำคนอื่นเดือดร้อน เพราะเมื่อเค้าทนมรึงไม่ไหวแล้ว มรึงจะอยู่แผ่นดินนี้ต่อไปยากขึ้นชัวร์ เพราะบอกตรง คนรุ่นใหม่ เค้าไม่มาทนมรึงดอกน่ะ คน 2 แผ่นดินอาจจะเข้าใจในสิ่งที่กูบอก แต่รุ่นใหม่ ไม่พูดเยอะ ถีบส่งทันที สวนทันที แล้วมรึงจะหมาน่ะจ๊ะ อีมนุษย์ป้าตายศพอืดคาตรีนเด็กรุ่นใหม่ตลอด มันแพ้ทางกัน มวยแพ้ทาง หากเจอมนุษย์ป้า จงอย่าออกตัว ปล่อยคนรุ่นใหม่ DNA อริ มนุษย์ป้าจัดการซะ เพราะเคมีมันตรงกัน หยินหยาง ขำขำ!หมี CNN(ทุกอย่างกำลังจะผลัดใบ ไม่ว่าจะมีเรื่องที่ดี หรือเรื่องร้าย ก็ต้องยอมรับมัน เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราหมดทุกอย่างดอก หากมรึงเข้าใจคำว่า "ชีวิต" จงนิ่งดั่งน้ำใส จงไหลดั่งน้ำลึก จงปรับดั่งสายลม และจงปลงเมื่อถึงเวลา แค่มีสติ มรึงก็สามารถชนะทุกสรรพสิ่งได้แล้ว สติจะบอกให้มรึงรู้เองว่า อะไรควร อะไรไม่ควร ได้คุ้มเสีย และเหตุผลรองรับ สติจะทำให้มรึงเป็นคนอยู่ ต่างกับสัดเดรัจฉาน ตั้งสติ ใช้ปัญญาก่อน)30 พฤศจิกายน 6711.55 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 647 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเลบานอน ถล่มเป้าหมายต่างๆ ของฮิซบอลเลาะห์ ที่พวกเขาอ้างว่า "เสี่ยงเป็นภัยคุคาม" ไม่กี่วันหลังจากข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับพวกนักรบที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้มีผลบังคับใช้
    .
    ถ้อยแถลงของกองทัพอิสราเอลระบุว่ายัง "โจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร" ตามแนวชายแดนซีเรีย-เลบานอน บริเวณที่พวกเขากล่าวหาว่าฮิซบอลเลาะห์ลักลอบขนอาวุธ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
    .
    ในถ้อยแถลงเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่บอกว่ารัฐบาลของเขาพร้อมตอบรับข้อตกลงหยุดยิง หลังความเป็นปรปักษ์กับฮิซบอลเลาะห์ลากยาวมานานกว่า 1 ปี ทางนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เตือนว่าอิสราเอลจะคงไว้ซึ่ง "อิสระในปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มที่" ในกรณีที่มีการล่วงละเมิดใดๆ
    .
    ล่าสุด ถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในวันเสาร์ (30 พ.ย.) กองทัพอิสราเอลระบุว่าได้ทำการโจมตีเป้าหมายต่างๆ 4 เป้าหมายแยกกันในเลบานอน ทั้งโรงงาน อาวุธและยานพาหนะที่เป็นของฮิซบอลเลาะห์ พร้อมอ้างว่าพวกเขาลงมือกับ "ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในเลบานอน ที่เสี่ยงเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล และละเมิดความเข้าใจในข้อตกลงหยุดยิง"
    .
    กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลโดนรถยนต์คันหนึ่งในเขตมัจดาล โซอุน ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ในนั้นรวมถึงเด็ก 7 ขวบ
    .
    เนชันแนล นิวส์ เอเจนซี (เอ็นเอ็นเอ) สื่อมวลชนแห่งรัฐของเลบานอน รายงานว่า "อิสราเอลยังคงละเมิดข้อตกลงไม่หยุด ในนั้นรวมถึงเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งรถถังอิสราเอลขยี้รถยนต์หลายคันและปิดล้อมบางครอบครัว ที่ต่อมาได้รับความช่วยเหลืออพยพโดยคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ
    .
    ในถ้อยแถลงแยกกัน ทางกองทัพอิสราเอล ระบุว่าพวกเขาโจมตีที่ตั้งโครงสร้างทางทหารแห่งหนึ่ง ติดกับด่านข้ามชายแดนระหว่างซีเรียกับเลบานอน ซึ่งพวกฮิซบอลเลาะห์ใช้เคลื่อนไหวลักลอบขนอาวุธ พร้อมบอกว่าการลักลอบขนอาวุธมีขึ้นหลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้แล้ว
    .
    ข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งมีเจตนาหยุดการปะทะข้ามชายแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี และสงครามเต็มรูปแบบที่ลากยาวนาน 2 เดือน เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันพุธ (27 พ.ย.)
    .
    ส่วนหนึ่งในข้อตกลง กองทัพเลบานอนและกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ จะประจำการทางใต้ของเลบานอน ในระหว่างที่อิสราเอลถอนทหารออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในกรอบเวลา 60 วัน
    .
    ขณะเดียวกัน ฮิซบอลเลาะห์ก็จะถอนกำลังออกจากทางเหนือของแม่น้ำลิตานี ออกห่างจากชายแดนไปราว 30 กิโลเมตร และรื้อถอนโครงสร้างทางทหารในทางใต้ของเลบานอน
    .
    เมื่อวันศุกร์ (29 พ.ย.) นาอิม กัสเซม ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ประกาศร่วมมือกับกองทัพอิสราเอลในการปฏิบัติตามพันธสัญญาในข้อตกลง
    .
    สำนักข่าวเอ็นเอ็นเอรายงานว่า โจเซฟ โออูน ผู้บัญชาการทหารของเลบานอน ได้พบปะกับพลตรีแจสเปอร์ เจฟเฟอร์ส แห่งกองทัพสหรัฐฯ เพื่อหารือ "สถานการณ์โดยทั่วไปและกลไกความร่วมมือระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทางภาคใต้"
    .
    กองบัญชาการกลางแห่งกองทัพสหรัฐฯ บอกว่า เจฟเฟอร์ส เดินทางมายังกรุงเบรุตในสัปดาห์นี้ "เพื่อทำหน้าที่ในฐานะประธานร่วม ด้านการบังคับใช้และกลไกสังเกตการณ์ของข้อตกลงยุติความเป็นปรปักษ์"
    .
    กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3,961 รายในประเทศ นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ผลจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ แต่ส่วนใหญ่เสียชีวิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
    .
    ทางฝ่ายอิสราเอลเผยว่าความเป็นปรปักษ์ได้สังหารกำลังพลอย่างน้อย 82 นาย และมีพลเรือนเสียชีวิต 47 คน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000115395
    ..............
    Sondhi X
    กองทัพอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในเลบานอน ถล่มเป้าหมายต่างๆ ของฮิซบอลเลาะห์ ที่พวกเขาอ้างว่า "เสี่ยงเป็นภัยคุคาม" ไม่กี่วันหลังจากข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับพวกนักรบที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้มีผลบังคับใช้ . ถ้อยแถลงของกองทัพอิสราเอลระบุว่ายัง "โจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร" ตามแนวชายแดนซีเรีย-เลบานอน บริเวณที่พวกเขากล่าวหาว่าฮิซบอลเลาะห์ลักลอบขนอาวุธ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง . ในถ้อยแถลงเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่บอกว่ารัฐบาลของเขาพร้อมตอบรับข้อตกลงหยุดยิง หลังความเป็นปรปักษ์กับฮิซบอลเลาะห์ลากยาวมานานกว่า 1 ปี ทางนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เตือนว่าอิสราเอลจะคงไว้ซึ่ง "อิสระในปฏิบัติการทางทหารอย่างเต็มที่" ในกรณีที่มีการล่วงละเมิดใดๆ . ล่าสุด ถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในวันเสาร์ (30 พ.ย.) กองทัพอิสราเอลระบุว่าได้ทำการโจมตีเป้าหมายต่างๆ 4 เป้าหมายแยกกันในเลบานอน ทั้งโรงงาน อาวุธและยานพาหนะที่เป็นของฮิซบอลเลาะห์ พร้อมอ้างว่าพวกเขาลงมือกับ "ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในเลบานอน ที่เสี่ยงเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล และละเมิดความเข้าใจในข้อตกลงหยุดยิง" . กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลโดนรถยนต์คันหนึ่งในเขตมัจดาล โซอุน ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ในนั้นรวมถึงเด็ก 7 ขวบ . เนชันแนล นิวส์ เอเจนซี (เอ็นเอ็นเอ) สื่อมวลชนแห่งรัฐของเลบานอน รายงานว่า "อิสราเอลยังคงละเมิดข้อตกลงไม่หยุด ในนั้นรวมถึงเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งรถถังอิสราเอลขยี้รถยนต์หลายคันและปิดล้อมบางครอบครัว ที่ต่อมาได้รับความช่วยเหลืออพยพโดยคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ . ในถ้อยแถลงแยกกัน ทางกองทัพอิสราเอล ระบุว่าพวกเขาโจมตีที่ตั้งโครงสร้างทางทหารแห่งหนึ่ง ติดกับด่านข้ามชายแดนระหว่างซีเรียกับเลบานอน ซึ่งพวกฮิซบอลเลาะห์ใช้เคลื่อนไหวลักลอบขนอาวุธ พร้อมบอกว่าการลักลอบขนอาวุธมีขึ้นหลังจากข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้แล้ว . ข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งมีเจตนาหยุดการปะทะข้ามชายแดนที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปี และสงครามเต็มรูปแบบที่ลากยาวนาน 2 เดือน เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันพุธ (27 พ.ย.) . ส่วนหนึ่งในข้อตกลง กองทัพเลบานอนและกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ จะประจำการทางใต้ของเลบานอน ในระหว่างที่อิสราเอลถอนทหารออกมาอย่างค่อยเป็นค่อยไปในกรอบเวลา 60 วัน . ขณะเดียวกัน ฮิซบอลเลาะห์ก็จะถอนกำลังออกจากทางเหนือของแม่น้ำลิตานี ออกห่างจากชายแดนไปราว 30 กิโลเมตร และรื้อถอนโครงสร้างทางทหารในทางใต้ของเลบานอน . เมื่อวันศุกร์ (29 พ.ย.) นาอิม กัสเซม ผู้นำของฮิซบอลเลาะห์ ประกาศร่วมมือกับกองทัพอิสราเอลในการปฏิบัติตามพันธสัญญาในข้อตกลง . สำนักข่าวเอ็นเอ็นเอรายงานว่า โจเซฟ โออูน ผู้บัญชาการทหารของเลบานอน ได้พบปะกับพลตรีแจสเปอร์ เจฟเฟอร์ส แห่งกองทัพสหรัฐฯ เพื่อหารือ "สถานการณ์โดยทั่วไปและกลไกความร่วมมือระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทางภาคใต้" . กองบัญชาการกลางแห่งกองทัพสหรัฐฯ บอกว่า เจฟเฟอร์ส เดินทางมายังกรุงเบรุตในสัปดาห์นี้ "เพื่อทำหน้าที่ในฐานะประธานร่วม ด้านการบังคับใช้และกลไกสังเกตการณ์ของข้อตกลงยุติความเป็นปรปักษ์" . กระทรวงสาธารณสุขเลบานอน ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3,961 รายในประเทศ นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ผลจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ แต่ส่วนใหญ่เสียชีวิตในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา . ทางฝ่ายอิสราเอลเผยว่าความเป็นปรปักษ์ได้สังหารกำลังพลอย่างน้อย 82 นาย และมีพลเรือนเสียชีวิต 47 คน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000115395 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 746 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเดินทางอันยาวนานกว่า 15 กิโล แมพีพี่และลูกก็มาถึงบ้านของแม่ละ

    แมพีพี่ "แม่ เปิดประตูที"

    หลังจากแมพีพี่เคาะประตูก็ไม่มีเสียงตอบรับ

    ลูก "กริ่งก็มีไม่กดรึ?"

    แมพีพี่ "ตอนเช้าเราอ่านข่าวเจอคนกดกริ่งแล้วโดนไฟดูดตาย"

    ลูก "ก็หาไม้แถวนี้มาใช้กดแทนก็ได้เปล่า"

    แมพีพี่ "เราผิดไปแล้ว"

    ลูก "ใช่ เจ้าเถียงแพ้แล้ว"

    ทันใดนั้นเองแม่ของแมพีพี่ก็ออกมา

    ลูก "จู่ ๆ ก็มา ยายต้องเป็นผีแน่นอน"

    แมพีพี่ "ดี จะได้ทดลองได้ว่าผีมีลักษณะเป็นยังไง"

    แม่ "มาพอดีเบย"

    แมพีพี่ "จะบอกว่าให้ไปช่วยเก็บศพตนที่นอนอืดอยู่ในบ้านใช่มะ"

    แม่ "เห็นเราเป็นคนอย่างไร"

    ลูก "เนอะ อุตสาห์เป็นผีสร้างร่างให้คนเห็นได้ แต่กลับไม่มีปัญญาจัดการศพตัวเอง"

    แล้วแม่ของแมพีพี่ก็เปิดประตูรับ 2 คนเข้ามาในบ้าน

    แมพีพี่ "สัปดาห์ก่อนก็มาเยี่ยมแม่อะนะ พวกเรายังมากันบ่อยไม่พอใช่มะ"

    แม่ "อ้าว จะบอกว่าบ่อยไม่พออยู่พอดี งั้นบอกว่าพอดีละกัน"

    ลูก "เราง่วงละ ขอโหนบาร์เล่นก่อนแล้วค่อยเข้านอนละกัน"

    แมพิพี่ "ช่วยให้กล่อมให้หลับฝันดีสินะ แทนที่จะยอมรับฝันร้ายบ้างแย่ เคยตัวเกิน"

    ณ บาร์คู่ ขณะลูกของแมพีพี่โหนอยู่นั้น รอบที่ 30 ก็ได้หลับลงพอดี

    แม่ "ตกลงเราตายไปแล้วจริง ๆ"

    แมพีพี่ "ก็รู้ มีไรพิเศษกว่านี้จะบอกอีกมะ?"

    แม่ "เราโกหกน่ะ แต่ความจริงคือลูกของเจ้าเพิ่งตายไป"

    แมพีพี่ "หลับระหว่างโหนหัวฟาดพื้นตาย เราเดาได้ก่อนแม่อีก"

    แม่ "งั้นเรื่องผีใต้เตียงล่ะรู้ยัง"

    แมพีพี่ "เจ้าพูดแก้เกี้ยวแน่นอน"

    แม่ "ไม่เชื่อก็ลองก้มดูใต้เตียงได้"

    แมพีพี่ "ใช้โดรนส่องเอาละกัน"

    ก็เอาโดรนมาและบังคับให้ลงไปใต้เตียง ปรากฎว่าใบพัดไปโดนสิ่งต่าง ๆ ใต้เตียงมากมาย

    แม่ "โดรนเจ้าเสียหาย 80% แล้ว"

    แมพีพี่ "ยะ... แย่ล่ะ"

    ทันใดนั้นเองโดรนก็ระเบิดและทำให้เตียงแตกกระจายไป

    แม่ "ผีใต้เตียงเลยพลอยตายไปด้วยเบย"

    แมพีพี่ "น่าสงสาร ตายไปก็เอาผิดเราไม่ได้ กฎหมายไม่คุ้มครองผีอะนะ"

    แม่ "ต้องรออนาคตจะดีกว่านี้"
    การเดินทางอันยาวนานกว่า 15 กิโล แมพีพี่และลูกก็มาถึงบ้านของแม่ละ แมพีพี่ "แม่ เปิดประตูที" หลังจากแมพีพี่เคาะประตูก็ไม่มีเสียงตอบรับ ลูก "กริ่งก็มีไม่กดรึ?" แมพีพี่ "ตอนเช้าเราอ่านข่าวเจอคนกดกริ่งแล้วโดนไฟดูดตาย" ลูก "ก็หาไม้แถวนี้มาใช้กดแทนก็ได้เปล่า" แมพีพี่ "เราผิดไปแล้ว" ลูก "ใช่ เจ้าเถียงแพ้แล้ว" ทันใดนั้นเองแม่ของแมพีพี่ก็ออกมา ลูก "จู่ ๆ ก็มา ยายต้องเป็นผีแน่นอน" แมพีพี่ "ดี จะได้ทดลองได้ว่าผีมีลักษณะเป็นยังไง" แม่ "มาพอดีเบย" แมพีพี่ "จะบอกว่าให้ไปช่วยเก็บศพตนที่นอนอืดอยู่ในบ้านใช่มะ" แม่ "เห็นเราเป็นคนอย่างไร" ลูก "เนอะ อุตสาห์เป็นผีสร้างร่างให้คนเห็นได้ แต่กลับไม่มีปัญญาจัดการศพตัวเอง" แล้วแม่ของแมพีพี่ก็เปิดประตูรับ 2 คนเข้ามาในบ้าน แมพีพี่ "สัปดาห์ก่อนก็มาเยี่ยมแม่อะนะ พวกเรายังมากันบ่อยไม่พอใช่มะ" แม่ "อ้าว จะบอกว่าบ่อยไม่พออยู่พอดี งั้นบอกว่าพอดีละกัน" ลูก "เราง่วงละ ขอโหนบาร์เล่นก่อนแล้วค่อยเข้านอนละกัน" แมพิพี่ "ช่วยให้กล่อมให้หลับฝันดีสินะ แทนที่จะยอมรับฝันร้ายบ้างแย่ เคยตัวเกิน" ณ บาร์คู่ ขณะลูกของแมพีพี่โหนอยู่นั้น รอบที่ 30 ก็ได้หลับลงพอดี แม่ "ตกลงเราตายไปแล้วจริง ๆ" แมพีพี่ "ก็รู้ มีไรพิเศษกว่านี้จะบอกอีกมะ?" แม่ "เราโกหกน่ะ แต่ความจริงคือลูกของเจ้าเพิ่งตายไป" แมพีพี่ "หลับระหว่างโหนหัวฟาดพื้นตาย เราเดาได้ก่อนแม่อีก" แม่ "งั้นเรื่องผีใต้เตียงล่ะรู้ยัง" แมพีพี่ "เจ้าพูดแก้เกี้ยวแน่นอน" แม่ "ไม่เชื่อก็ลองก้มดูใต้เตียงได้" แมพีพี่ "ใช้โดรนส่องเอาละกัน" ก็เอาโดรนมาและบังคับให้ลงไปใต้เตียง ปรากฎว่าใบพัดไปโดนสิ่งต่าง ๆ ใต้เตียงมากมาย แม่ "โดรนเจ้าเสียหาย 80% แล้ว" แมพีพี่ "ยะ... แย่ล่ะ" ทันใดนั้นเองโดรนก็ระเบิดและทำให้เตียงแตกกระจายไป แม่ "ผีใต้เตียงเลยพลอยตายไปด้วยเบย" แมพีพี่ "น่าสงสาร ตายไปก็เอาผิดเราไม่ได้ กฎหมายไม่คุ้มครองผีอะนะ" แม่ "ต้องรออนาคตจะดีกว่านี้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิลล์ ร็อธส์ไชลด์(Will Rothschild) สมาชิกชนชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลของธนาคารรอธส์ไชลด์ ถูกพบว่าเสียชีวิตหลังจากเกิดเพลิงไหม้ที่ยังไม่ทราบสาเหตุในบ้านสองชั้นบนเนินเขาในย่านฮอลลีวูดฮิลส์ (Hollywood Hills)

    เจ้าหน้าที่ยังคงสืบสวนสาเหตุของเพลิงไหม้และการเสียชีวิตของเขาอยู่
    .
    ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูล Rothschild เกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ มากมาย ที่เป็นการควบคุมเหตุการณ์ต่างๆบนโลกใบนี้ ควบคุมระบบการเงินโลก วางแผนสงครามเพื่อผลกำไร หรือแม้กระทั่งควบคุมสภาพอากาศ ทฤษฎีเหล่านี้แม้ว่าจะถูกหักล้างไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ยังคงถูกเอามากล่าวถึงอยู่เสมอ

    - ทฤษฎีควบคุมระบบการเงินโลก: Mayer Amschel Rothschild ก่อตั้งธนาคารโดยส่งลูกชายทั้งห้าของเขาไปยังศูนย์กลางการเงินที่สำคัญในยุโรป ได้แก่ ลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต เวียนนา และเนเปิลส์ ทำให้เกิดเครือข่ายธนาคารระดับนานาชาติ กลยุทธ์นี้ทำให้พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเงินและการเมืองของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20

    - ทฤษฎีสมาคมลับ: บางทฤษฎีอ้างว่าตระกูล Rothschild เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมลับที่กำหนดการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลก ข้ออ้างเหล่านี้ขาดหลักฐานสำคัญและมักมีรากฐานมาจากการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านชาวยิวในประวัติศาสตร์
    วิลล์ ร็อธส์ไชลด์(Will Rothschild) สมาชิกชนชั้นสูงที่ทรงอิทธิพลของธนาคารรอธส์ไชลด์ ถูกพบว่าเสียชีวิตหลังจากเกิดเพลิงไหม้ที่ยังไม่ทราบสาเหตุในบ้านสองชั้นบนเนินเขาในย่านฮอลลีวูดฮิลส์ (Hollywood Hills) เจ้าหน้าที่ยังคงสืบสวนสาเหตุของเพลิงไหม้และการเสียชีวิตของเขาอยู่ . ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูล Rothschild เกี่ยวข้องกับทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ มากมาย ที่เป็นการควบคุมเหตุการณ์ต่างๆบนโลกใบนี้ ควบคุมระบบการเงินโลก วางแผนสงครามเพื่อผลกำไร หรือแม้กระทั่งควบคุมสภาพอากาศ ทฤษฎีเหล่านี้แม้ว่าจะถูกหักล้างไปบ้างแล้วก็ตาม แต่ยังคงถูกเอามากล่าวถึงอยู่เสมอ - ทฤษฎีควบคุมระบบการเงินโลก: Mayer Amschel Rothschild ก่อตั้งธนาคารโดยส่งลูกชายทั้งห้าของเขาไปยังศูนย์กลางการเงินที่สำคัญในยุโรป ได้แก่ ลอนดอน ปารีส แฟรงก์เฟิร์ต เวียนนา และเนเปิลส์ ทำให้เกิดเครือข่ายธนาคารระดับนานาชาติ กลยุทธ์นี้ทำให้พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อการเงินและการเมืองของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 - ทฤษฎีสมาคมลับ: บางทฤษฎีอ้างว่าตระกูล Rothschild เป็นส่วนหนึ่งของสมาคมลับที่กำหนดการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลก ข้ออ้างเหล่านี้ขาดหลักฐานสำคัญและมักมีรากฐานมาจากการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านชาวยิวในประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปาเกียวเกียร์อาร์ เดชาเกียร์ดี เกาะคอตั้มเข้าซังเต
    หลังจากหลบหน้าไปหลายวัน ทนายปาเกียว ก็ร้องเพลงถอยดีกว่าไม่เอาดีกว่า ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความแก้ต่างให้ทนายตั้มนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพราะสุดจะรับไหว ต่อวิธีการสู้คดีแบบหัวชนฝา
    ทนายปาเกียวตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า ทนายตั้มมีการปลอมแปลงเอกสารสัญญาที่เคยทําไว้กับพี่อ้อยจตุพร หวังใช้เป็นหมัดเด็ดในศาล ว่ากันว่าการใช้หลักฐานปลอมเป็นงานถนัดของใครบางคนจนถูกร้องเรียนมาแล้วหลายต่อหลายคดี ซึ่งทนายปาเกียว ไม่อยากโดนหางเลข เป็นทนายที่ต้องมาพลอยติดคุกตามจําเลยไปด้วย ยิ่งมีตัวอย่างให้ดูเป็นขวัญตาหมาดๆ คือ ทนายปากแดงที่ติดคุกในการว่าความให้ แอมไซยาไนด์ ยิ่งเหมือนรายการเชือดไก่ให้ลิงดูตอนนี้
    จึงเป็นนาทีทองแล้วของทนายเดชา ที่จะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า มีจุดยืนเป็นมิตรแท้ทนายโจรมาตั้งแต่เริ่ม โลกนี้ก็แทบจะเหลือในเดชาคนเดียวที่จะต้องรับเป็นทนายให้ตั้มเพื่อนรัก ต้องบอกว่าคดีใหญ่ระดับนี้เหมาะที่สุดแล้วกับทนายบิ๊กเนม จบเนติบัณฑิต พร่ําสอนกฎหมายให้ประชาชนผ่านจอทุกเช้าค่ํา
    แม้ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆจะเสียรังวัด จนโดนล้อไปทั้งประเทศ อีท่าไหนไม่ทราบ ดันไปแพ้คดีให้กับทนายไม่จบเน อย่าง ทนายนิด้าเจ็บนี้ยิ่งต้องแปรความอัปยศอดสู เป็นพลังให้โลกตะลึงว่าไม่ได้เก่งแต่ปาก แต่เก่งหน้าบัลลังก์ด้วยช่วยทนายแบรนด์เนมให้รอดทุกข์ให้ได้
    เมื่อได้เป็นทนายให้ทนายตั้มเต็มตัวคราวนี้ จะเรียกสื่อมาแถลงทางคดีอะไรก็เหมาะสมชอบธรรมไม่มีใครว่าได้อีกแล้วว่าหิวแสงไปเผือกในเรื่องที่ตัวเอง แต่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระสะท้านเมืองขึ้นมา จะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์วิเคราะห์สอดคล้องกันว่าทนายตั้มรอดยากในทุกกระทงความผิด ทนายเกิดผลแก้วเกิดเพื่อนคนหนึ่งของทนายตั้มพูดชัดว่าเขาเชื่อหลักฐานของพี่อ้อยมากกว่า วิญญูชนย่อมรู้ว่าทนายตั้มฉ้อโกงทนายเกิดผลบอกว่า เพื่อนก็คือเพื่อน แต่เมื่อเห็นเพื่อนกระทําผิดก็กล้าวิจารณ์ซึ่งเป็นการนิยามความเป็นเพื่อนที่น่าชื่นชม ไม่ใช่แบบคนที่เล่นพวกจนหลงทาง
    ทนายรณรงค์แก้วเพชร เพื่อนอีกคนกล่าวว่ามองไม่เห็นทางเลยที่ทนายตั้มจะรอดได้ทนายอาคม คงสวัสดิ์ อดีตคนกันเอง ที่ให้ทนายตั้มยอมสารภาพเพื่อลดโทษจะดีต่อตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า
    ทนายตั้มเสี่ยงติดคุกอีกคดีคือคดีทําลายพินัยกรรมของพี่อ้อยโดยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 บัญญัติว่าผู้ใดทําลายซ่อนเร้นพินัยกรรมให้เสียหายถือว่ามีความผิดโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีเพราะฉะนั้นพี่อ้อยและทีมกฎหมายของนายสนธิลิ้มทองกุลคงจะดําเนินคดีทนายตั้มข้อหาทําลายพินัยกรรมอย่างแน่นอนเพราะโทษหนักเสียยิ่งกว่าคดีฉ้อโกงด้วยซ้ํา ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ปาเกียวเกียร์อาร์ เดชาเกียร์ดี เกาะคอตั้มเข้าซังเต หลังจากหลบหน้าไปหลายวัน ทนายปาเกียว ก็ร้องเพลงถอยดีกว่าไม่เอาดีกว่า ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความแก้ต่างให้ทนายตั้มนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เพราะสุดจะรับไหว ต่อวิธีการสู้คดีแบบหัวชนฝา ทนายปาเกียวตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่า ทนายตั้มมีการปลอมแปลงเอกสารสัญญาที่เคยทําไว้กับพี่อ้อยจตุพร หวังใช้เป็นหมัดเด็ดในศาล ว่ากันว่าการใช้หลักฐานปลอมเป็นงานถนัดของใครบางคนจนถูกร้องเรียนมาแล้วหลายต่อหลายคดี ซึ่งทนายปาเกียว ไม่อยากโดนหางเลข เป็นทนายที่ต้องมาพลอยติดคุกตามจําเลยไปด้วย ยิ่งมีตัวอย่างให้ดูเป็นขวัญตาหมาดๆ คือ ทนายปากแดงที่ติดคุกในการว่าความให้ แอมไซยาไนด์ ยิ่งเหมือนรายการเชือดไก่ให้ลิงดูตอนนี้ จึงเป็นนาทีทองแล้วของทนายเดชา ที่จะพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า มีจุดยืนเป็นมิตรแท้ทนายโจรมาตั้งแต่เริ่ม โลกนี้ก็แทบจะเหลือในเดชาคนเดียวที่จะต้องรับเป็นทนายให้ตั้มเพื่อนรัก ต้องบอกว่าคดีใหญ่ระดับนี้เหมาะที่สุดแล้วกับทนายบิ๊กเนม จบเนติบัณฑิต พร่ําสอนกฎหมายให้ประชาชนผ่านจอทุกเช้าค่ํา แม้ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆจะเสียรังวัด จนโดนล้อไปทั้งประเทศ อีท่าไหนไม่ทราบ ดันไปแพ้คดีให้กับทนายไม่จบเน อย่าง ทนายนิด้าเจ็บนี้ยิ่งต้องแปรความอัปยศอดสู เป็นพลังให้โลกตะลึงว่าไม่ได้เก่งแต่ปาก แต่เก่งหน้าบัลลังก์ด้วยช่วยทนายแบรนด์เนมให้รอดทุกข์ให้ได้ เมื่อได้เป็นทนายให้ทนายตั้มเต็มตัวคราวนี้ จะเรียกสื่อมาแถลงทางคดีอะไรก็เหมาะสมชอบธรรมไม่มีใครว่าได้อีกแล้วว่าหิวแสงไปเผือกในเรื่องที่ตัวเอง แต่คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระสะท้านเมืองขึ้นมา จะเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์วิเคราะห์สอดคล้องกันว่าทนายตั้มรอดยากในทุกกระทงความผิด ทนายเกิดผลแก้วเกิดเพื่อนคนหนึ่งของทนายตั้มพูดชัดว่าเขาเชื่อหลักฐานของพี่อ้อยมากกว่า วิญญูชนย่อมรู้ว่าทนายตั้มฉ้อโกงทนายเกิดผลบอกว่า เพื่อนก็คือเพื่อน แต่เมื่อเห็นเพื่อนกระทําผิดก็กล้าวิจารณ์ซึ่งเป็นการนิยามความเป็นเพื่อนที่น่าชื่นชม ไม่ใช่แบบคนที่เล่นพวกจนหลงทาง ทนายรณรงค์แก้วเพชร เพื่อนอีกคนกล่าวว่ามองไม่เห็นทางเลยที่ทนายตั้มจะรอดได้ทนายอาคม คงสวัสดิ์ อดีตคนกันเอง ที่ให้ทนายตั้มยอมสารภาพเพื่อลดโทษจะดีต่อตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า ทนายตั้มเสี่ยงติดคุกอีกคดีคือคดีทําลายพินัยกรรมของพี่อ้อยโดยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 บัญญัติว่าผู้ใดทําลายซ่อนเร้นพินัยกรรมให้เสียหายถือว่ามีความผิดโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีเพราะฉะนั้นพี่อ้อยและทีมกฎหมายของนายสนธิลิ้มทองกุลคงจะดําเนินคดีทนายตั้มข้อหาทําลายพินัยกรรมอย่างแน่นอนเพราะโทษหนักเสียยิ่งกว่าคดีฉ้อโกงด้วยซ้ํา ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19 พ.ย.2567- กิจจา บุรานนท์ อดีตคอลัมนิสต์ นิตยสาร ‘ดิฉัน’ ‘พลอยแกมเพชร’ ซึ่ง อาศัยในอเมริกาค่อนชีวิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kiccha Buranond ว่า A Fashion FAUX PAS ภาษาอังกฤษนั้นมักมีจริตจก้าน ที่จะนำภาษาฝรั่งเศสมาผสมผสาน แล้วกลายเป็นเรื่องเก๋ ทั้ง ๆ ที่บางคำมีความหมายเอียงไปทางด้านลบ เป็นต้นว่าเศรษฐีหน้าใหม่ที่เปิ่นและขี้อวด เรียกกันว่า Nouveau Riche แต่ที่เพิ่งรวยขึ้นมาแล้ววางตัวเป็น/สงบเป็นปรกติ/ไม่รุ่มร่ามเห่อความร่ำรวย ก็จะเป็น new rich กล่าวคือนูโวริชส์เป็นคำเหยียดหยามประชดประชันที่เรามีในที่นี้คือแฟชั่นโฟป้าส์ Faux นั้นแปลว่าผิดพลาดในภาษาฝรั่งเศส และจะถูกนำมาใช้ปนภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา แต่ฟังแล้วเก๋ทีเดียว เป็นต้นว่าเฟอร์ปลอม ควรจะเรียกว่าเป็น fake fur ซึ่งฟังแล้วห่วยแตก เหมือนของถูก/ของโหล …แต่หากเรียกว่า faux fur แล้วจะกลายเป็นว่ามีคลาสขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทุกห้องเสื้อแฟชั่นใหญ่โตมีโฟเฟอร์ บ้างแพงกว่าเฟอร์จริง แต่หากเรียก fake fur เมื่อไหร่ …ก็จะกลายเป็นเรื่องของตลาดโบ้เบ้ทันทีฉะนั้นแฟชั่นโฟป้าส์ก็คือการแต่งกายผิด ไม่ใช่ว่าไม่สวย แต่ผิด …ที่นายกหญิงอุ้งอิ้งสวมวันสองวันนี้นอกประเทศ เป็นแฟชั่นโฟป้าส์ (pas คือการก้าวย่าง) ในระดับโลก หมายความว่าผิดที่ผิดทางขาดกาละเทศะอย่างแรง …ควรมี common sense และของหน้าที่ของความรับผิดชอบ ในการเป็นหน้าตาให้แก่ประเทศชาติ …มากกว่านี้ โดยเฉพาะทางด้านมารยาททางการแต่งกาย …การแต่งกาย มีมารยาทของมันเองเป็นอย่างมากนะครับผมดูชุดที่เธอสวมลงครื่องบินแล้วผิดหวังจัง ดูเหมือนนักทัศนาจรจีนใส่กางเกงขาสั้น/เสื้อยืดไปวัดพระแก้ว ประการแรกเธอควรให้เกียรติแก่ประเทศของเขา คนของเขาที่รุมล้อมเธอในสูท/ไทด์เป็นเรื่องเป็นราว ที่ปูพรมแดงให้เธอเดิน …นี่คือการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ของประเทศชาติ ไม่ใช่ไปตากอากาศหรือช๊อปปิ้ง กางเกงขาลุ่ย รองเท้าผ้าใบ ไม่เหมาะสมเลย กางเกงสีขาวอย่างเดียวก็ผิดกติกาเรียบร้อยแล้วหากไม่ใช่ยูนิฟอร์ม ในที่นี้เธอควรแต่งสูททึม ๆ ครึ้ม ๆ ใช้ผ้าไทยตัดให้เก๋และคลาสสิค สวมถุงน่อง รองเท้าส่นสูงที่ถูกต้อง ทำผมเป็นมวยให้เรียบร้อย กรุณาอย่าทำผมทรงหางม้า/หางลาในขณะปฏิบัติหน้าที่การงาน/นั่งประชุมระดับชาติเป็นอันขาดนะครับ เรื่องเหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้าม คุณไปนั่งประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์นานาชาติ ไม่ใช่กำลังจะไปตีเทนนิสกับสหายที่พัทยา หน้าที่ของคุณมากับวินัย/ความศิวิไลซ/หลักสุดธรรมดาของสากลโลกที่คุณจะต้องให้เกียรติในขณะเดียวกันแฟชั่นของคุณอุ้งอิ้ง หากไม่โฟป้าส์ ก็ลักหลั่นเหลือหลาย …เหมือนเธอพยายามมากไป ที่ฝรั่งว่า She’s trying TOO HARD แล้วไปไม่ถึงไหน หลายชุดกลายเป็นว่า “ชุดใส่เธอ” แทนที่เธอจะใส่ชุดบางชุดดูผ่าน ๆ เหมือนเธอหอบโซฟาพร้อมหมอนอิงจากห้องรับแขกมาด้วย บางชุดเหมือนเธอจิ๊กผ้าม่านหน้าต่างมาโปะเป็นแขนเป็นไหล่กันลมหนาวในรถแอร์ ชุดสะไบเฉียงรัดเพียงหน้าอกนอกเสื้อนั้นดูอึดอัดจริง ๆ …ดูกวนสายตามากกว่าดีไซน์ แต่แท้จริงแล้วชุดอื่น ๆ ที่มีสีสันและสุดเว่อร์นั้น ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับดีไซน์ มันอยู่ในหมวดสนุก หมวดเก๋ หมวดเว่อร์ (ตรงกันข้ามกับคลาสสิค) ก็ดีไซน์กันเข้าไป***หากคนใส่ …ใส่ให้ถูกต้องตรงตามกาละเทศะอีกต่างหาก เป็นต้นว่าแต่งไปงานแฟนซีระบบมาร์ดีกราส์ ส่วนมากการใช้ผ้าเยอะ ๆ จะขึ้นและเด่นมากกว่ากับสาวที่หุ่นผอม เพรียว และสูง และเชื่อไหม ควรอายุมากด้วย โดยเฉพาะเหล่าแฟชั่นนิสต้าน…แต่ชุดทั้งหมดที่เห็น ไม่เหมาะสมเลยด้วยประการทั้งปวงกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสุขสันต์วันอังคารนะครับ ทุก ๆ ท่าน
    19 พ.ย.2567- กิจจา บุรานนท์ อดีตคอลัมนิสต์ นิตยสาร ‘ดิฉัน’ ‘พลอยแกมเพชร’ ซึ่ง อาศัยในอเมริกาค่อนชีวิต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kiccha Buranond ว่า A Fashion FAUX PAS ภาษาอังกฤษนั้นมักมีจริตจก้าน ที่จะนำภาษาฝรั่งเศสมาผสมผสาน แล้วกลายเป็นเรื่องเก๋ ทั้ง ๆ ที่บางคำมีความหมายเอียงไปทางด้านลบ เป็นต้นว่าเศรษฐีหน้าใหม่ที่เปิ่นและขี้อวด เรียกกันว่า Nouveau Riche แต่ที่เพิ่งรวยขึ้นมาแล้ววางตัวเป็น/สงบเป็นปรกติ/ไม่รุ่มร่ามเห่อความร่ำรวย ก็จะเป็น new rich กล่าวคือนูโวริชส์เป็นคำเหยียดหยามประชดประชันที่เรามีในที่นี้คือแฟชั่นโฟป้าส์ Faux นั้นแปลว่าผิดพลาดในภาษาฝรั่งเศส และจะถูกนำมาใช้ปนภาษาอังกฤษอยู่ตลอดเวลา แต่ฟังแล้วเก๋ทีเดียว เป็นต้นว่าเฟอร์ปลอม ควรจะเรียกว่าเป็น fake fur ซึ่งฟังแล้วห่วยแตก เหมือนของถูก/ของโหล …แต่หากเรียกว่า faux fur แล้วจะกลายเป็นว่ามีคลาสขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทุกห้องเสื้อแฟชั่นใหญ่โตมีโฟเฟอร์ บ้างแพงกว่าเฟอร์จริง แต่หากเรียก fake fur เมื่อไหร่ …ก็จะกลายเป็นเรื่องของตลาดโบ้เบ้ทันทีฉะนั้นแฟชั่นโฟป้าส์ก็คือการแต่งกายผิด ไม่ใช่ว่าไม่สวย แต่ผิด …ที่นายกหญิงอุ้งอิ้งสวมวันสองวันนี้นอกประเทศ เป็นแฟชั่นโฟป้าส์ (pas คือการก้าวย่าง) ในระดับโลก หมายความว่าผิดที่ผิดทางขาดกาละเทศะอย่างแรง …ควรมี common sense และของหน้าที่ของความรับผิดชอบ ในการเป็นหน้าตาให้แก่ประเทศชาติ …มากกว่านี้ โดยเฉพาะทางด้านมารยาททางการแต่งกาย …การแต่งกาย มีมารยาทของมันเองเป็นอย่างมากนะครับผมดูชุดที่เธอสวมลงครื่องบินแล้วผิดหวังจัง ดูเหมือนนักทัศนาจรจีนใส่กางเกงขาสั้น/เสื้อยืดไปวัดพระแก้ว ประการแรกเธอควรให้เกียรติแก่ประเทศของเขา คนของเขาที่รุมล้อมเธอในสูท/ไทด์เป็นเรื่องเป็นราว ที่ปูพรมแดงให้เธอเดิน …นี่คือการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ของประเทศชาติ ไม่ใช่ไปตากอากาศหรือช๊อปปิ้ง กางเกงขาลุ่ย รองเท้าผ้าใบ ไม่เหมาะสมเลย กางเกงสีขาวอย่างเดียวก็ผิดกติกาเรียบร้อยแล้วหากไม่ใช่ยูนิฟอร์ม ในที่นี้เธอควรแต่งสูททึม ๆ ครึ้ม ๆ ใช้ผ้าไทยตัดให้เก๋และคลาสสิค สวมถุงน่อง รองเท้าส่นสูงที่ถูกต้อง ทำผมเป็นมวยให้เรียบร้อย กรุณาอย่าทำผมทรงหางม้า/หางลาในขณะปฏิบัติหน้าที่การงาน/นั่งประชุมระดับชาติเป็นอันขาดนะครับ เรื่องเหล่านี้ไม่ควรถูกมองข้าม คุณไปนั่งประชุมเกี่ยวกับสถานการณ์นานาชาติ ไม่ใช่กำลังจะไปตีเทนนิสกับสหายที่พัทยา หน้าที่ของคุณมากับวินัย/ความศิวิไลซ/หลักสุดธรรมดาของสากลโลกที่คุณจะต้องให้เกียรติในขณะเดียวกันแฟชั่นของคุณอุ้งอิ้ง หากไม่โฟป้าส์ ก็ลักหลั่นเหลือหลาย …เหมือนเธอพยายามมากไป ที่ฝรั่งว่า She’s trying TOO HARD แล้วไปไม่ถึงไหน หลายชุดกลายเป็นว่า “ชุดใส่เธอ” แทนที่เธอจะใส่ชุดบางชุดดูผ่าน ๆ เหมือนเธอหอบโซฟาพร้อมหมอนอิงจากห้องรับแขกมาด้วย บางชุดเหมือนเธอจิ๊กผ้าม่านหน้าต่างมาโปะเป็นแขนเป็นไหล่กันลมหนาวในรถแอร์ ชุดสะไบเฉียงรัดเพียงหน้าอกนอกเสื้อนั้นดูอึดอัดจริง ๆ …ดูกวนสายตามากกว่าดีไซน์ แต่แท้จริงแล้วชุดอื่น ๆ ที่มีสีสันและสุดเว่อร์นั้น ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับดีไซน์ มันอยู่ในหมวดสนุก หมวดเก๋ หมวดเว่อร์ (ตรงกันข้ามกับคลาสสิค) ก็ดีไซน์กันเข้าไป***หากคนใส่ …ใส่ให้ถูกต้องตรงตามกาละเทศะอีกต่างหาก เป็นต้นว่าแต่งไปงานแฟนซีระบบมาร์ดีกราส์ ส่วนมากการใช้ผ้าเยอะ ๆ จะขึ้นและเด่นมากกว่ากับสาวที่หุ่นผอม เพรียว และสูง และเชื่อไหม ควรอายุมากด้วย โดยเฉพาะเหล่าแฟชั่นนิสต้าน…แต่ชุดทั้งหมดที่เห็น ไม่เหมาะสมเลยด้วยประการทั้งปวงกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสุขสันต์วันอังคารนะครับ ทุก ๆ ท่าน
    Like
    Haha
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 759 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตรียมปราบแก๊งตบทรัพย์ 'บิ๊กเต่า' สอบเข้มทุกกรณี คาดมีบอสโดนไถอีกเพียบ
    .
    มหากาพย์ข่าว The Icon เวลานี้ถือว่าขยายวงไปไกลมาก โดยไม่ได้มีเพียงเฉพาะการเอาผิดกับกลุ่มผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังพบขบวนการตบทรัพย์ของบรรดาของบุคคลที่สวมสูทแสร้งทำตัวเป็นคนดีด้วย โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง ที่มีการเรียกรับเงิน นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล
    .
    พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงความคึบหน้าในการสอบสวนนักตบทรัพย์ว่า กรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ ที่มีการเรียกรับเงินจากบอสพอล จำนวน 300,000 บาท และ 450,000 บาท ซึ่งตอนนี้มีการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ไปแล้วถึง 80-90% และจะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นในส่วนนี้จะเข้าข่ายความผิดกรรโชกทรัพย์ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นหมายเรียกหรือหมายจับ
    .
    บิ๊กเต่า ระบุอีกว่า ส่วนกรณีเรื่องต่อมาคือเรื่องใหม่ที่ทนายของ นายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่ม กรรชัย ได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีระหว่าง น.ส.กฤษอนงค์ กับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ที่มีการกล่าวอ้างชื่อหนุ่ม กรรชัย และรายการโหนกระแสไปเรียกรับเงินจากบอสปันและบอสพอล จำนวน 20 ล้านบาทนั้น ในส่วนนี้เป็นความรับผิดชอบของ กก.1 บก.ป. เบื้องต้นในส่วนที่หนุ่ม กรรชัย แจ้งความเอาผิด 2 บุคคลดังกล่าวในข้อหาพยายามฉ้อโกงและหมิ่นประมาท และจากหลักฐานที่ได้มายืนยันว่าคลิปเสียงไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด และขณะนี้ก็ได้มีการประสานทนายบอสพอลเพื่อให้นำหลักฐานต่างๆ มาร้องทุกข์ แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งทนายบอสพอลยืนยันว่าจะดำเนินคดีด้วย และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด
    .
    "คาดว่ายังมีบอสอีกหลายคนที่ถูกกระทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ขอทำเป็นเรื่องๆ ไปก่อน" บิ๊กเต่า ระบุ
    .
    ด้าน นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า ยอมรับว่าเสียงผู้หญิงในคลิปบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นตัวเองจริง แต่คลิปเสียงมีการตัดตอนออกบางช่วง ส่วนจำนวนเงิน 20 ล้านบาทนั้น เป็นค่าแผนงานโครงสร้างธุรกิจ เช่น งบประชาสัมพันธ์, เงินเยียวยาผู้เสียหาย โดยเงินจำนวนนี้เกิดจากพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทดิไอคอน ที่ประเมินมูลค่าแผนงานดังกล่าวมาจากขนาดธุรกิจ
    .
    ไที่ตัวเองตกเป็นเป้าหมายสำคัญในคดีนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดีดิไอคอน จำนวน 89 คน ให้ได้รับเงินเยียวยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียผลประโยชน์มีความแค้น"
    ..............
    Sondhi X
    เตรียมปราบแก๊งตบทรัพย์ 'บิ๊กเต่า' สอบเข้มทุกกรณี คาดมีบอสโดนไถอีกเพียบ . มหากาพย์ข่าว The Icon เวลานี้ถือว่าขยายวงไปไกลมาก โดยไม่ได้มีเพียงเฉพาะการเอาผิดกับกลุ่มผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังพบขบวนการตบทรัพย์ของบรรดาของบุคคลที่สวมสูทแสร้งทำตัวเป็นคนดีด้วย โดยเฉพาะกรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง ที่มีการเรียกรับเงิน นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล . พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงความคึบหน้าในการสอบสวนนักตบทรัพย์ว่า กรณีคลิปเสียงของ น.ส.กฤษอนงค์ ที่มีการเรียกรับเงินจากบอสพอล จำนวน 300,000 บาท และ 450,000 บาท ซึ่งตอนนี้มีการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานต่างๆ ไปแล้วถึง 80-90% และจะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ เบื้องต้นในส่วนนี้จะเข้าข่ายความผิดกรรโชกทรัพย์ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นหมายเรียกหรือหมายจับ . บิ๊กเต่า ระบุอีกว่า ส่วนกรณีเรื่องต่อมาคือเรื่องใหม่ที่ทนายของ นายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่ม กรรชัย ได้เดินทางเข้าแจ้งความดำเนินคดีระหว่าง น.ส.กฤษอนงค์ กับนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ที่มีการกล่าวอ้างชื่อหนุ่ม กรรชัย และรายการโหนกระแสไปเรียกรับเงินจากบอสปันและบอสพอล จำนวน 20 ล้านบาทนั้น ในส่วนนี้เป็นความรับผิดชอบของ กก.1 บก.ป. เบื้องต้นในส่วนที่หนุ่ม กรรชัย แจ้งความเอาผิด 2 บุคคลดังกล่าวในข้อหาพยายามฉ้อโกงและหมิ่นประมาท และจากหลักฐานที่ได้มายืนยันว่าคลิปเสียงไม่ได้มีการตัดต่อแต่อย่างใด และขณะนี้ก็ได้มีการประสานทนายบอสพอลเพื่อให้นำหลักฐานต่างๆ มาร้องทุกข์ แจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งทนายบอสพอลยืนยันว่าจะดำเนินคดีด้วย และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด . "คาดว่ายังมีบอสอีกหลายคนที่ถูกกระทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ขอทำเป็นเรื่องๆ ไปก่อน" บิ๊กเต่า ระบุ . ด้าน นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า ยอมรับว่าเสียงผู้หญิงในคลิปบันทึกเสียงดังกล่าวเป็นตัวเองจริง แต่คลิปเสียงมีการตัดตอนออกบางช่วง ส่วนจำนวนเงิน 20 ล้านบาทนั้น เป็นค่าแผนงานโครงสร้างธุรกิจ เช่น งบประชาสัมพันธ์, เงินเยียวยาผู้เสียหาย โดยเงินจำนวนนี้เกิดจากพูดคุยกับผู้บริหารบริษัทดิไอคอน ที่ประเมินมูลค่าแผนงานดังกล่าวมาจากขนาดธุรกิจ . ไที่ตัวเองตกเป็นเป้าหมายสำคัญในคดีนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยช่วยเหลือผู้เสียหายจากคดีดิไอคอน จำนวน 89 คน ให้ได้รับเงินเยียวยา จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียผลประโยชน์มีความแค้น" .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1392 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว"
    เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล.
    ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์
    .
    "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด
    .
    วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน
    .
    เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว
    .
    เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่
    .
    ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย
    .
    ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์
    .
    แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น
    .
    "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง
    .
    หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา
    .
    ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา
    .
    พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้
    .
    Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด

    https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0

    #Thaitimes
    "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว" เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล. ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์ . "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด . วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน . เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว . เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่ . ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย . ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์ . แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น . "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง . หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา . ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง . นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา . พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่ . นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้ . Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0 #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1256 มุมมอง 1 รีวิว
  • แชมป์โลกสนุกเกอร์หญิง คนล่าสุด (11/11/67) #news1 #ข่าวกีฬา #แชมป์โลกสนุกเกอร์หญิง #พลอยขอนแก่น
    แชมป์โลกสนุกเกอร์หญิง คนล่าสุด (11/11/67) #news1 #ข่าวกีฬา #แชมป์โลกสนุกเกอร์หญิง #พลอยขอนแก่น
    Like
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 983 มุมมอง 332 0 รีวิว
  • ตำนาน "#ผู้หญิง" สร้างร้านสุกี้ #MK ในไทย
    ความสำเร็จของ "ผู้หญิง" ผู้สร้าง "เอ็มเคสุกี้" จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" "ยุพิน" เป็นภรรยาของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน"

    เอ็มเคสุกี้" เริ่มต้นมาจากร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ คุณแม่ทองคำ เมฆโต แม่ของ "ยุพิน" เป็นผู้บุกเบิก แต่เจ้าของร้านเอ็มเคต้นตำรับ เป็นผู้หญิงชาวฮ่องกง ชื่อว่า "มาคอง คิงยี" "มาคอง คิงยี" อยู่ กทม. บ้านติดกับคุณแม่ทองคำ เธอเป็นคนรวยมาก ส่วนคุณแม่ทองคำเป็น "แม่บ้าน" ทำอาหารเก่ง

    วันหนึ่ง "มาคอง คิงยี" อยากเปิดร้านอาหารที่สยามสแควร์ ก็เลยชวนคุณแม่ทองคำมาเป็น "แม่ครัว" ชื่อร้าน "เอ็มเค" ก็มาจากชื่อ "มาคอง " ทำอยู่พักหนึ่งก็เบื่อ เพราะลูกค้าเริ่มจู้จี้จุกจิก สุดท้ายก็เลิกทำ และยกให้คุณแม่ทองคำทำต่อไป โดยให้ทยอยผ่อนชำระไปเรื่อยๆ คุณนายมาคองย้ายไปปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา

    ส่วนคุณแม่ทองคำก็บุกเบิกร้านเอ็มเคจนประสบความสำเร็จ "คุณแม่ถือเป็นคนเกื้อกูลและเอื้ออารีแบบคนโบราณ เราติดแม่เขา ติดเจ้าของ เจ้าของไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักมาก่อน"

    จากร้านเอ็มเคที่สยามสแควร์ ขยายเป็น "กรีนเอ็มเค" ที่ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" และ "เอ็มเคสุกี้" ในที่สุด

    ตํานาน "เอ็มเคสุกี้" มาจาก "ผู้หญิง" 2 คนครับ

    ตอนที่ "ยุพิน" บุกเบิกร้าน "กรีนเอ็มเค" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้านนี้ขายอาหารไทยเหมือนกับร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ "ยุพิน" เป็นคนขยันเหมือนแม่ ตีห้าจะออกจากบ้าน เข้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ "สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์" พักอยู่ที่ "เซ็นทรัล" เขาตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวัน และเจอ "ยุพิน" เป็นประจำ

    เขาถามว่า "มาทำอะไรตั้งแต่เช้า" เธอตอบว่ามาเตรียมตัวเปิดร้าน

    "สัมฤทธิ์" คงเห็นความขยันของ "ยุพิน"

    วันหนึ่ง เขาจึงบอกว่าจะให้ทำร้านสุกี้ที่ชั้นล่างพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร

    "ยุพิน" ปฏิเสธทันที "หนูไม่มีเงินค่ะ"

    "สัมฤทธิ์" บอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไร "เดี๋ยวฉันจะทำให้หมด"

    เงินที่ใช้ในการลงทุนตกแต่งร้าน "เอ็มเคสุกี้" สาขาแรกเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท

    "สัมฤทธิ์" ควักให้

    แต่ถึงกระนั้น การทำร้านสุกี้ขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยง

    เพราะเป็น "สินค้า" ที่ "ยุพิน" ไม่มีประสบการณ์มาก่อน

    วันที่ "ยุพิน" นำเรื่องนี้มาเล่าให้ที่บ้านฟัง คุณแม่ทองคำตัดสินใจทันที "ทำไปเลยลูก เดี๋ยวแม่จะช่วยเอง" วันนั้น "ฤทธิ์" สามีของ ยุพินไม่เห็นด้วย พ่อของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย น้องชายของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย "ผู้ชาย" ในบ้านทุกคน ไม่เห็นด้วย มีคนที่เห็นด้วยเพียง 2 คน คือ "ยุพิน" และคุณแม่ทองคำ "ผู้หญิง" ทั้งคู่

    "ผู้หญิง" ที่เป็นเสียงส่วนน้อย "เห็นด้วย"

    แต่ร้าน "เอ็มเคสุกี้" ก็กำเนิดขึ้นมา ร้านเอ็มเคสุกี้มีหลักคิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนทำร้านอาหาร คือ "เจ้าของ" ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง กินอะไรที่ร้าน ต้องจ่าย "ยุพิน" เป็นคนวางกฎนี้เอง เพราะแต่ละคนก็มีน้อง มีเพื่อน มีน้องเพื่อน ลูกเพื่อน ถ้าไม่กำหนดหลักการไว้จะลำบากในการดูแล

    วันแรกที่เปิดร้าน พ่อของ "ยุพิน" พาเพื่อนไปเลี้ยง แต่ต้องจ่ายตังค์ เขาโมโหมาก เพราะเสียหน้า แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าทำไมต้องใช้กติกานี้ ตอนนี้ถ้าลูกสาวพาเพื่อนไปเลี้ยง คุณยุพินก็จะโอนเงินไปจ่ายที่ร้าน กลายเป็นกติกาที่รู้กันใน "เอ็มเคสุกี้"

    คำสอนของคุณแม่ทองคำตอนเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอสอนลูกสาวและลูกเขยว่า เมื่อได้อะไรมาก็แล้วแต่ ให้ทำให้ดีที่สุด "และถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถือว่าเราไม่ได้เจตนา มันเกิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ" เพราะการทำงานนั้น "ใจ" ของเราสำคัญที่สุด การเริ่มต้นงานใหม่ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามัวแต่มองความผิดพลาดและโทษตัวเอง เราจะหมดกำลังใจ

    ต้องถือหลักว่าถ้าเจตนา เขาเรียกว่า "ความผิด" แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว และไม่เจตนา เขาเรียกว่า "พลาด" แค่พลาดก็แก้ไขใหม่ เท่านั้นเอง คุณแม่ทองคำเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตอนทำเอ็มเคยุคแรกๆ จะใส่เสื้อผ้าเพียงแค่ 2 ชุด หรือช่วงเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอจะไปจ่ายตลาดเอง ไปรถเมล์ กลับรถตุ๊กๆ

    เธอใช้เงินเพื่อตัวเองน้อยมาก แต่ถ้าให้คนอื่นหรือบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน หรือวัด เท่าไรเท่ากัน เป็นที่รู้กันในครอบครัวว่าคุณแม่ทองคำเป็นคนใจบุญ
    และนี่คือสิ่งที่ "ฤทธิ์-ยุพิน" ทำตาม ล่าสุด ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกคุณหมอว่า ถ้าที่โรงพยาบาลมีสถานที่ เธอจะเปิดร้านเอ็มเคสุกี้ให้
    กำไรเท่าไร ยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ตอนนี้ "เอ็มเคสุกี้" เริ่มแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช

    กำลังจะขยายไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลรามาฯ แนวคิดเหมือนเดิม คือ กำไรเท่าไรมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด

    "เพิ่งคุยกับคุณฤทธิ์ว่าเราน่าจะไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดบ้าง" พนักงานของ "เอ็มเคสุกี้" สาขาโรงพยาบาลเหล่านี้ ทำงานมีความสุขมาก เพราะสาขามีกำไรเท่าไรก็ได้ทำบุญเท่านั้น ทำงานเหมือนกับทำบุญ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร

    จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร"
    Cr: เพจเจาะเวลาหาอดีต
    ตำนาน "#ผู้หญิง" สร้างร้านสุกี้ #MK ในไทย ความสำเร็จของ "ผู้หญิง" ผู้สร้าง "เอ็มเคสุกี้" จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" "ยุพิน" เป็นภรรยาของ "ฤทธิ์ ธีระโกเมน" เอ็มเคสุกี้" เริ่มต้นมาจากร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ คุณแม่ทองคำ เมฆโต แม่ของ "ยุพิน" เป็นผู้บุกเบิก แต่เจ้าของร้านเอ็มเคต้นตำรับ เป็นผู้หญิงชาวฮ่องกง ชื่อว่า "มาคอง คิงยี" "มาคอง คิงยี" อยู่ กทม. บ้านติดกับคุณแม่ทองคำ เธอเป็นคนรวยมาก ส่วนคุณแม่ทองคำเป็น "แม่บ้าน" ทำอาหารเก่ง วันหนึ่ง "มาคอง คิงยี" อยากเปิดร้านอาหารที่สยามสแควร์ ก็เลยชวนคุณแม่ทองคำมาเป็น "แม่ครัว" ชื่อร้าน "เอ็มเค" ก็มาจากชื่อ "มาคอง " ทำอยู่พักหนึ่งก็เบื่อ เพราะลูกค้าเริ่มจู้จี้จุกจิก สุดท้ายก็เลิกทำ และยกให้คุณแม่ทองคำทำต่อไป โดยให้ทยอยผ่อนชำระไปเรื่อยๆ คุณนายมาคองย้ายไปปักหลักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ส่วนคุณแม่ทองคำก็บุกเบิกร้านเอ็มเคจนประสบความสำเร็จ "คุณแม่ถือเป็นคนเกื้อกูลและเอื้ออารีแบบคนโบราณ เราติดแม่เขา ติดเจ้าของ เจ้าของไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกค้า ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักมาก่อน" จากร้านเอ็มเคที่สยามสแควร์ ขยายเป็น "กรีนเอ็มเค" ที่ "เซ็นทรัล ลาดพร้าว" และ "เอ็มเคสุกี้" ในที่สุด ตํานาน "เอ็มเคสุกี้" มาจาก "ผู้หญิง" 2 คนครับ ตอนที่ "ยุพิน" บุกเบิกร้าน "กรีนเอ็มเค" ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ร้านนี้ขายอาหารไทยเหมือนกับร้าน "เอ็มเค" ที่สยามสแควร์ "ยุพิน" เป็นคนขยันเหมือนแม่ ตีห้าจะออกจากบ้าน เข้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ "สัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์" พักอยู่ที่ "เซ็นทรัล" เขาตื่นเช้ามาออกกำลังกายทุกวัน และเจอ "ยุพิน" เป็นประจำ เขาถามว่า "มาทำอะไรตั้งแต่เช้า" เธอตอบว่ามาเตรียมตัวเปิดร้าน "สัมฤทธิ์" คงเห็นความขยันของ "ยุพิน" วันหนึ่ง เขาจึงบอกว่าจะให้ทำร้านสุกี้ที่ชั้นล่างพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร "ยุพิน" ปฏิเสธทันที "หนูไม่มีเงินค่ะ" "สัมฤทธิ์" บอกว่าเธอไม่ต้องทำอะไร "เดี๋ยวฉันจะทำให้หมด" เงินที่ใช้ในการลงทุนตกแต่งร้าน "เอ็มเคสุกี้" สาขาแรกเป็นเงินประมาณ 20 ล้านบาท "สัมฤทธิ์" ควักให้ แต่ถึงกระนั้น การทำร้านสุกี้ขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูง และมีความเสี่ยง เพราะเป็น "สินค้า" ที่ "ยุพิน" ไม่มีประสบการณ์มาก่อน วันที่ "ยุพิน" นำเรื่องนี้มาเล่าให้ที่บ้านฟัง คุณแม่ทองคำตัดสินใจทันที "ทำไปเลยลูก เดี๋ยวแม่จะช่วยเอง" วันนั้น "ฤทธิ์" สามีของ ยุพินไม่เห็นด้วย พ่อของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย น้องชายของ "ยุพิน" ก็ไม่เห็นด้วย "ผู้ชาย" ในบ้านทุกคน ไม่เห็นด้วย มีคนที่เห็นด้วยเพียง 2 คน คือ "ยุพิน" และคุณแม่ทองคำ "ผู้หญิง" ทั้งคู่ "ผู้หญิง" ที่เป็นเสียงส่วนน้อย "เห็นด้วย" แต่ร้าน "เอ็มเคสุกี้" ก็กำเนิดขึ้นมา ร้านเอ็มเคสุกี้มีหลักคิดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับคนทำร้านอาหาร คือ "เจ้าของ" ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง กินอะไรที่ร้าน ต้องจ่าย "ยุพิน" เป็นคนวางกฎนี้เอง เพราะแต่ละคนก็มีน้อง มีเพื่อน มีน้องเพื่อน ลูกเพื่อน ถ้าไม่กำหนดหลักการไว้จะลำบากในการดูแล วันแรกที่เปิดร้าน พ่อของ "ยุพิน" พาเพื่อนไปเลี้ยง แต่ต้องจ่ายตังค์ เขาโมโหมาก เพราะเสียหน้า แต่ตอนหลังก็เข้าใจว่าทำไมต้องใช้กติกานี้ ตอนนี้ถ้าลูกสาวพาเพื่อนไปเลี้ยง คุณยุพินก็จะโอนเงินไปจ่ายที่ร้าน กลายเป็นกติกาที่รู้กันใน "เอ็มเคสุกี้" คำสอนของคุณแม่ทองคำตอนเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอสอนลูกสาวและลูกเขยว่า เมื่อได้อะไรมาก็แล้วแต่ ให้ทำให้ดีที่สุด "และถ้ามีอะไรผิดพลาด ให้ถือว่าเราไม่ได้เจตนา มันเกิดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ" เพราะการทำงานนั้น "ใจ" ของเราสำคัญที่สุด การเริ่มต้นงานใหม่ "กำลังใจ" เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้ามัวแต่มองความผิดพลาดและโทษตัวเอง เราจะหมดกำลังใจ ต้องถือหลักว่าถ้าเจตนา เขาเรียกว่า "ความผิด" แต่ถ้าทำดีที่สุดแล้ว และไม่เจตนา เขาเรียกว่า "พลาด" แค่พลาดก็แก้ไขใหม่ เท่านั้นเอง คุณแม่ทองคำเป็นคนมัธยัสถ์มาก ตอนทำเอ็มเคยุคแรกๆ จะใส่เสื้อผ้าเพียงแค่ 2 ชุด หรือช่วงเริ่มต้น "เอ็มเคสุกี้" เธอจะไปจ่ายตลาดเอง ไปรถเมล์ กลับรถตุ๊กๆ เธอใช้เงินเพื่อตัวเองน้อยมาก แต่ถ้าให้คนอื่นหรือบริจาคให้โรงพยาบาล โรงเรียน หรือวัด เท่าไรเท่ากัน เป็นที่รู้กันในครอบครัวว่าคุณแม่ทองคำเป็นคนใจบุญ และนี่คือสิ่งที่ "ฤทธิ์-ยุพิน" ทำตาม ล่าสุด ตอนที่แม่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เธอบอกคุณหมอว่า ถ้าที่โรงพยาบาลมีสถานที่ เธอจะเปิดร้านเอ็มเคสุกี้ให้ กำไรเท่าไร ยกให้โรงพยาบาลทั้งหมด ตอนนี้ "เอ็มเคสุกี้" เริ่มแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช กำลังจะขยายไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ และโรงพยาบาลรามาฯ แนวคิดเหมือนเดิม คือ กำไรเท่าไรมอบให้โรงพยาบาลทั้งหมด "เพิ่งคุยกับคุณฤทธิ์ว่าเราน่าจะไปโรงพยาบาลต่างจังหวัดบ้าง" พนักงานของ "เอ็มเคสุกี้" สาขาโรงพยาบาลเหล่านี้ ทำงานมีความสุขมาก เพราะสาขามีกำไรเท่าไรก็ได้ทำบุญเท่านั้น ทำงานเหมือนกับทำบุญ จะไม่มีความสุขได้อย่างไร จากบทสัมภาษณ์ "ยุพิน ธีระโกเมน" ใน "พลอยแกมเพชร" Cr: เพจเจาะเวลาหาอดีต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 657 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง)

    นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว)

    อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    "อดีต" รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โยอัฟ กัลลันต์ กล่าวกับสื่อมวลชนถึง เหตุผลที่เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งเป็นเพราะว่า เขาต้องการให้ชาวยิวออร์โธดอกซ์เข้าร่วมการเกณฑ์ทหารภาคบังคับเพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วย (นี่หมายความว่ากองทัพขาดแคลนกำลังพลอย่างหนักตามข่าวลือนั่นเป็นเรื่องจริง) นอกจากนี้เขายังสนับสนุนให้มีการเจรจาในข้อตกลงกหยุดยิงและปล่อยตัวประกันในฉนวนกาซา ซึ่งเนทันนาฮูไม่เห็นด้วย เพราะเขาพร้อมยอมเสียตัวประกันเพื่อทำลายฮามาส (เป็นไปตามข่าวลือที่มีมาก่อนหน้านี้อีกเช่นกันถึงความขัดแย้งของทั้งสองคนเรื่องการเจรจากับฮามาส ซึ่งกัลลันต์ต้องการมานานแล้ว) อีกหนึ่งเหตุผลคือ เขาเรียกร้องให้มีการสอบสวนถึงความล้มเหลวของหน่วยงานด้านการทหารและข่าวกรองในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ฮามาสโจมตีอิสราเอลอีกด้วย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,569
    วันอังคาร: ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (5 November 2024)

    Photo Album Set 2/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    11. วัดบ้านไร่ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    12. วัดบ้านหลุ่ง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    13. วัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    14. วัดป่าดำรงธรรม อ.เมือง จ.อุดรธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    15. วัดป่าภาวนาภิวัตร อ.ภูกระดึง จ.เลย
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    16. วัดป่าเมตตาหลวง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    17. วัดปุหรน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    18. วัดพุพรหม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    19. วัดนาลุ่มแร่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 05 พ.ย.67)
    20. วัดลุมพุกอุดมพนาราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
    (ทอดกฐินสามัคคี 06 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 99 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,569 วันอังคาร: ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (5 November 2024) Photo Album Set 2/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 11. วัดบ้านไร่ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 12. วัดบ้านหลุ่ง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 13. วัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 14. วัดป่าดำรงธรรม อ.เมือง จ.อุดรธานี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 15. วัดป่าภาวนาภิวัตร อ.ภูกระดึง จ.เลย (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 16. วัดป่าเมตตาหลวง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 17. วัดปุหรน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 18. วัดพุพรหม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 19. วัดนาลุ่มแร่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี (ทอดกฐินสามัคคี 05 พ.ย.67) 20. วัดลุมพุกอุดมพนาราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ (ทอดกฐินสามัคคี 06 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 99 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 363 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,569
    วันอังคาร: ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (5 November 2024)

    Photo Album Set 2/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    11. วัดบ้านไร่ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    12. วัดบ้านหลุ่ง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    13. วัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    14. วัดป่าดำรงธรรม อ.เมือง จ.อุดรธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    15. วัดป่าภาวนาภิวัตร อ.ภูกระดึง จ.เลย
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    16. วัดป่าเมตตาหลวง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    17. วัดปุหรน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    18. วัดพุพรหม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
    (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67)
    19. วัดนาลุ่มแร่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 05 พ.ย.67)
    20. วัดลุมพุกอุดมพนาราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ
    (ทอดกฐินสามัคคี 06 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 99 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,569 วันอังคาร: ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (5 November 2024) Photo Album Set 2/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 11. วัดบ้านไร่ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 12. วัดบ้านหลุ่ง อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 13. วัดประเสริฐสุทธาวาส เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 14. วัดป่าดำรงธรรม อ.เมือง จ.อุดรธานี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 15. วัดป่าภาวนาภิวัตร อ.ภูกระดึง จ.เลย (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 16. วัดป่าเมตตาหลวง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 17. วัดปุหรน อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 18. วัดพุพรหม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี (ทอดกฐินสามัคคี 10 พ.ย.67) 19. วัดนาลุ่มแร่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี (ทอดกฐินสามัคคี 05 พ.ย.67) 20. วัดลุมพุกอุดมพนาราม อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ (ทอดกฐินสามัคคี 06 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 99 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 335 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำดีแบบแม่นํ้า
    โดย นิลฉงน นลเฉลย
    (อาจารย์หมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง)
    “ทำดีแบบแม่น้ำ” ทำอย่างไร ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ จริงๆผมเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะต้องการให้กำลังใจ
    กับ คนที่ทำความดี คนที่ชอบทำความดี คนที่อยากทำความดี เนื่องจาก ผมมักจะประสบ พบเจอ คนที่ทำ
    เรื่องดีๆ ที่มักประสบปัญหาว่า เรื่องดีเรื่องแรกมักจะชักนำเรื่องดีเรื่องอื่นๆเข้ามา ทำให้มีเรื่องดีๆที่อยากทำมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่ามีเวลาไม่พอที่จะทำทุกเรื่อง จะต้องเลือกว่าจะทำเรื่องไหนก่อน ปัญหาคือ พอจะลงมือเลือกก็เห็นว่า เรื่องดีๆแต่ละเรื่อง มีดีไปคนละแบบ เลือกยาก ตัดสินใจลำบาก เลยก่อให้ความกังวล ไม่สบายใจ ทั้งๆที่ตั้งต้นด้วยเรื่องที่ควรสร้างความสบายใจ คือเรื่องการทำความดี ผมคิดว่าพอจะมีทางออก
    สำหรับปัญหาแบบนี้ คือการที่ต้อง “ทำดีแบบแม่น้ำ” เอาละครับทีนี้ ทำดีแบบแม่น้ำคือ อะไร ก่อนจะตอบตรงนี้ ผมขออธิบายเรื่องการทำดี ๒ แบบ คือ แบบ แอ่งน้ำ และแบบลำธาร ก่อน
    การทำดีแบบ แอ่งน้ำ คือการทำดีที่อยู่กับที่ ทำของเราให้ดีที่อาจจะมีการขยาย แต่เป็นการขยายให้แอ่งน้ำนั้น ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ไม่คิดจะขับเคลื่อนอะไร ไม่มีเป้ าหมายที่จะผลักดันเรื่องดีๆนี้ไปที่อื่น ทำอยู่เฉพาะตัว
    เฉพาะที่ที่เรา ควบคุมได้ ไม่ยุ่งไม่เชื่อมต่อกับใคร มุ่งแต่ทำให้แอ่งน้ำนั้นใสสะอาด และหวังว่าจะมี น้ำดีไหล มารวมกันมากขึ้น
    การทำดีแบบถัดไปคือการทำดีแบบ ลำธาร คือ การทำดีที่เริ่ม มีเป้าหมาย มีแรงผลักดัน อยากจะให้เรื่องดีที่ได้ทำแล้วนั้น ถ่ายทอดไปยังที่อื่น พอเริ่มเคลื่อนไหว ก็เป็นธรรมดาที่ลำธารจะไหล ผ่านแอ่งน้ำ แล้วก็จะเริ่ม
    มีแอ่งน้ำใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาร่วมอยู่ในลำธารสายนี้ ถึงตอนนี้ ลำธารก็จะเริ่มกังวล แค่เรื่องที่ลำธารอยากจะผลักดัน ยังทำไม่ไหว ลำธารเล็กๆ อย่างเรา จะรับเรื่องอื่นๆได้หรือ จะมีแรงพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางทางอยู่หรือ
    ทั้งการทำดีแบบแอ่งน้ำ และการทำดีแบบ ลำธาร ผู้ที่ทำจะรู้สึกว่าเราเป็น “เจ้าของ” เรื่องนั้น เป็น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในชะตากรรม ของ แอ่งน้ำ และ ลำธาร ที่สร้างขึ้น ความกังวลนี้เอง ที่บางครั้งก่อให้เกิดความท้อ
    เราจะทำได้ไหม เราจะทำไหวไหม ถ้ามีน้ำเสียเข้ามาปนเปื้อนมากๆ ลำธาร หรือแอ่งน้ำของเรา จะยังคงเป็นน้ำดี อยู่ไหม กังวลกลัวคนไม่ดีจะมาทำให้เรื่องดีๆที่เราทำเอาไว้ “เสียหาย” พลอยทำให้ท้อ ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากขยาย เพราะกลัวควบคุมไม่ได้ กลัวว่ากำลังจะไม่พอ
    การทำดีแบบสุดท้ายคือการทำดีแบบ แม่น้ำ ถ้าท่านนึกถึงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่สักสายหนึ่ง ท่านจะพบว่า แม่น้ำสายนั้น มีก่อกำเนิดมาจาก แอ่งน้ำและ ลำธาร หลายร้อยสาย เมื่อมารวมกันเป็ นสายน้ำแล้ว จะมีพลังขับเคลื่อนที่มากมาย กลายเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ไหลไปสู่เป้าหมาย ถึงแม้กระแสน้ำจะเจอ อุปสรรค โขดหิน หรือ ภูเขาตั้งขวาง กระแสน้ำนั้นก็ยังคงพุ่งทะยาน ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ หลายครั้งหลายคราที่แม่น้ำจะมีสิ่งปฏิกูล ของโสโครกไหลมาปนเปื้อน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ แม่น้ำก็สามารถพัดพาสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นทิ้งไปได้ การทำดีแบบสายน้ำก็เช่นกัน ที่สำคัญคือถ้าเราจะทำดีแบบนั้น
    เราต้องเอาตัวเราเข้าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของกระแสน้ำ เราไม่สามารถเป็น “เจ้าของ” เหมือนตอนที่เราทำแบบ แอ่งน้ำ หรือ ลำธารได้ เราเพียงทำได้แค่ เลือก กระแสน้ำ “ที่มีเป้าหมายร่วม” เหมือนกันกับเรา การที่เรายอมเข้าร่วมในกระแสแห่งการทำดี กระแสธรรม ที่มีเป้ าหมายที่ดีร่วมกันนี้เอง จะช่วยให้เรารับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของกระแสน้ำ ลดความกังวลว่าเราจะทำเรื่องนั้นไหวไหม ได้ไหม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่กุมชะตาของกระแสน้ำอีก
    ต่อไป เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้ าหมายใหญ่ ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะรับผิดชอบเป้ าหมายที่ใหญ่นั้นได้หรือไม่
    นี่ละครับคือการทำดี แบบ แม่น้ำ การทำดีที่ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งความดี ถ้าทำได้แบบนี้ เรื่องดีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่า จะทำได้ไหมหนอ จะทำไหวไหมหนอ ก็จะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำได้ ทำไหว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวทำ แต่เป็นพวกเราที่ร่วมอยู่ในกระแสน้ำแห่งธรรมนี้ ร่วมกันทำ หัวใจสำคัญของการทำดีแบบแม่น้ำ คือ ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เป้าหมายนั้นต้องเป็นเรื่องที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ จะเป็นเป้าหมายแคบๆ เฉพาะตนไม่ได้ แม่น้ำต้องใจกว้างยอมรับการเข้าร่วมของลำธารทุกสายที่มีเป้าหมาย
    ร่วมกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีลำธารน้ำเสียไหลมารวม จะไม่พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำเสียหรือ ไม่ครับ เพราะแม่น้ำมุ่งไปที่เป้า ไม่ได้สนใจที่ความบริสุทธิ์ของสายน้ำ ตราบใดที่เป้าหมายนั้นดี เป็นธรรมดาที่จะมี
    น้ำดีไหลเข้ามารวมมากกว่าน้ำเสีย (ถ้ามีน้ำเสียไหลมารวมมากต้องสงสัยว่าเป้าหมายนั้นดีจริงหรือ) น้ำเสียส่วนน้อยที่ไหลมารวมในแม่น้ำก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันแม่น้ำให้ไปถึงเป้ าหมายได้เช่นกัน การทำดีแบบแม่น้ำจะทำโดยไม่กังวลว่า คนที่ทำกับเราเขาดีจริงหรือ ตราบใดที่เป้ าหมายที่เขามีตรงกันกับเรา ที่สำคัญ คือ แม่น้ำแห่งความดีนี้มีหลายสาย คนบางคนที่ทำตัวเป็นโขดหินขวางทางน้ำในบางเรื่อง อาจกลายเป็นสายน้ำที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องดีๆเรื่องอื่น ครับ หวังว่าท่านผู้อ่าน จะพอมองเห็นภาพ การทำดีแบบแม่น้ำได้ชัดขึ้น และมีแรงใจที่จะทำความดีต่อไปครับ
    บุญกุศลอันใด ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้ ขอมอบอุทิศถวายแด่ ล้นเกล้ารัชกาลที่สาม พร้อมทั้งพระประยูรวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ทุกท่าน ทุกพระองค์ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น สามารถนำไปแจกจ่าย คัดลอก ทำซ้ำ ได้ตามต้องการ
    หากมีข้อซักถาม ข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านบทความชิ้นนี้ กรุณาส่ง อีเมลมาที่
    นิลฉงน นลเฉลย <nilchangonnolchaloey@gmail.com>
    ทำดีแบบแม่นํ้า โดย นิลฉงน นลเฉลย (อาจารย์หมออรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง) “ทำดีแบบแม่น้ำ” ทำอย่างไร ทำไมต้องเป็นแม่น้ำ จริงๆผมเขียนบทความชิ้นนี้ เพราะต้องการให้กำลังใจ กับ คนที่ทำความดี คนที่ชอบทำความดี คนที่อยากทำความดี เนื่องจาก ผมมักจะประสบ พบเจอ คนที่ทำ เรื่องดีๆ ที่มักประสบปัญหาว่า เรื่องดีเรื่องแรกมักจะชักนำเรื่องดีเรื่องอื่นๆเข้ามา ทำให้มีเรื่องดีๆที่อยากทำมากขึ้นเรื่อยๆ จนคิดว่ามีเวลาไม่พอที่จะทำทุกเรื่อง จะต้องเลือกว่าจะทำเรื่องไหนก่อน ปัญหาคือ พอจะลงมือเลือกก็เห็นว่า เรื่องดีๆแต่ละเรื่อง มีดีไปคนละแบบ เลือกยาก ตัดสินใจลำบาก เลยก่อให้ความกังวล ไม่สบายใจ ทั้งๆที่ตั้งต้นด้วยเรื่องที่ควรสร้างความสบายใจ คือเรื่องการทำความดี ผมคิดว่าพอจะมีทางออก สำหรับปัญหาแบบนี้ คือการที่ต้อง “ทำดีแบบแม่น้ำ” เอาละครับทีนี้ ทำดีแบบแม่น้ำคือ อะไร ก่อนจะตอบตรงนี้ ผมขออธิบายเรื่องการทำดี ๒ แบบ คือ แบบ แอ่งน้ำ และแบบลำธาร ก่อน การทำดีแบบ แอ่งน้ำ คือการทำดีที่อยู่กับที่ ทำของเราให้ดีที่อาจจะมีการขยาย แต่เป็นการขยายให้แอ่งน้ำนั้น ใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น ไม่คิดจะขับเคลื่อนอะไร ไม่มีเป้ าหมายที่จะผลักดันเรื่องดีๆนี้ไปที่อื่น ทำอยู่เฉพาะตัว เฉพาะที่ที่เรา ควบคุมได้ ไม่ยุ่งไม่เชื่อมต่อกับใคร มุ่งแต่ทำให้แอ่งน้ำนั้นใสสะอาด และหวังว่าจะมี น้ำดีไหล มารวมกันมากขึ้น การทำดีแบบถัดไปคือการทำดีแบบ ลำธาร คือ การทำดีที่เริ่ม มีเป้าหมาย มีแรงผลักดัน อยากจะให้เรื่องดีที่ได้ทำแล้วนั้น ถ่ายทอดไปยังที่อื่น พอเริ่มเคลื่อนไหว ก็เป็นธรรมดาที่ลำธารจะไหล ผ่านแอ่งน้ำ แล้วก็จะเริ่ม มีแอ่งน้ำใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาร่วมอยู่ในลำธารสายนี้ ถึงตอนนี้ ลำธารก็จะเริ่มกังวล แค่เรื่องที่ลำธารอยากจะผลักดัน ยังทำไม่ไหว ลำธารเล็กๆ อย่างเรา จะรับเรื่องอื่นๆได้หรือ จะมีแรงพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่ขวางทางอยู่หรือ ทั้งการทำดีแบบแอ่งน้ำ และการทำดีแบบ ลำธาร ผู้ที่ทำจะรู้สึกว่าเราเป็น “เจ้าของ” เรื่องนั้น เป็น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในชะตากรรม ของ แอ่งน้ำ และ ลำธาร ที่สร้างขึ้น ความกังวลนี้เอง ที่บางครั้งก่อให้เกิดความท้อ เราจะทำได้ไหม เราจะทำไหวไหม ถ้ามีน้ำเสียเข้ามาปนเปื้อนมากๆ ลำธาร หรือแอ่งน้ำของเรา จะยังคงเป็นน้ำดี อยู่ไหม กังวลกลัวคนไม่ดีจะมาทำให้เรื่องดีๆที่เราทำเอาไว้ “เสียหาย” พลอยทำให้ท้อ ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากขยาย เพราะกลัวควบคุมไม่ได้ กลัวว่ากำลังจะไม่พอ การทำดีแบบสุดท้ายคือการทำดีแบบ แม่น้ำ ถ้าท่านนึกถึงแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่สักสายหนึ่ง ท่านจะพบว่า แม่น้ำสายนั้น มีก่อกำเนิดมาจาก แอ่งน้ำและ ลำธาร หลายร้อยสาย เมื่อมารวมกันเป็ นสายน้ำแล้ว จะมีพลังขับเคลื่อนที่มากมาย กลายเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก ไหลไปสู่เป้าหมาย ถึงแม้กระแสน้ำจะเจอ อุปสรรค โขดหิน หรือ ภูเขาตั้งขวาง กระแสน้ำนั้นก็ยังคงพุ่งทะยาน ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ หลายครั้งหลายคราที่แม่น้ำจะมีสิ่งปฏิกูล ของโสโครกไหลมาปนเปื้อน แต่ด้วยความยิ่งใหญ่ของสายน้ำ แม่น้ำก็สามารถพัดพาสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นทิ้งไปได้ การทำดีแบบสายน้ำก็เช่นกัน ที่สำคัญคือถ้าเราจะทำดีแบบนั้น เราต้องเอาตัวเราเข้าเป็น “ส่วนหนึ่ง” ของกระแสน้ำ เราไม่สามารถเป็น “เจ้าของ” เหมือนตอนที่เราทำแบบ แอ่งน้ำ หรือ ลำธารได้ เราเพียงทำได้แค่ เลือก กระแสน้ำ “ที่มีเป้าหมายร่วม” เหมือนกันกับเรา การที่เรายอมเข้าร่วมในกระแสแห่งการทำดี กระแสธรรม ที่มีเป้ าหมายที่ดีร่วมกันนี้เอง จะช่วยให้เรารับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไพศาลของกระแสน้ำ ลดความกังวลว่าเราจะทำเรื่องนั้นไหวไหม ได้ไหม เพราะเราไม่ใช่ผู้ที่กุมชะตาของกระแสน้ำอีก ต่อไป เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ที่มีพลังขับเคลื่อนไปสู่เป้ าหมายใหญ่ ในขณะเดียวกัน เราก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะรับผิดชอบเป้ าหมายที่ใหญ่นั้นได้หรือไม่ นี่ละครับคือการทำดี แบบ แม่น้ำ การทำดีที่ยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระแสแห่งความดี ถ้าทำได้แบบนี้ เรื่องดีต่างๆ ที่เราเคยคิดว่า จะทำได้ไหมหนอ จะทำไหวไหมหนอ ก็จะกลายเป็นเรื่อง ที่ทำได้ ทำไหว แต่ไม่ใช่เราคนเดียวทำ แต่เป็นพวกเราที่ร่วมอยู่ในกระแสน้ำแห่งธรรมนี้ ร่วมกันทำ หัวใจสำคัญของการทำดีแบบแม่น้ำ คือ ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน เป้าหมายนั้นต้องเป็นเรื่องที่ดี ต้องเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ จะเป็นเป้าหมายแคบๆ เฉพาะตนไม่ได้ แม่น้ำต้องใจกว้างยอมรับการเข้าร่วมของลำธารทุกสายที่มีเป้าหมาย ร่วมกันได้ หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีลำธารน้ำเสียไหลมารวม จะไม่พลอยทำให้น้ำในแม่น้ำเสียหรือ ไม่ครับ เพราะแม่น้ำมุ่งไปที่เป้า ไม่ได้สนใจที่ความบริสุทธิ์ของสายน้ำ ตราบใดที่เป้าหมายนั้นดี เป็นธรรมดาที่จะมี น้ำดีไหลเข้ามารวมมากกว่าน้ำเสีย (ถ้ามีน้ำเสียไหลมารวมมากต้องสงสัยว่าเป้าหมายนั้นดีจริงหรือ) น้ำเสียส่วนน้อยที่ไหลมารวมในแม่น้ำก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันแม่น้ำให้ไปถึงเป้ าหมายได้เช่นกัน การทำดีแบบแม่น้ำจะทำโดยไม่กังวลว่า คนที่ทำกับเราเขาดีจริงหรือ ตราบใดที่เป้ าหมายที่เขามีตรงกันกับเรา ที่สำคัญ คือ แม่น้ำแห่งความดีนี้มีหลายสาย คนบางคนที่ทำตัวเป็นโขดหินขวางทางน้ำในบางเรื่อง อาจกลายเป็นสายน้ำที่ร่วมขับเคลื่อนเรื่องดีๆเรื่องอื่น ครับ หวังว่าท่านผู้อ่าน จะพอมองเห็นภาพ การทำดีแบบแม่น้ำได้ชัดขึ้น และมีแรงใจที่จะทำความดีต่อไปครับ บุญกุศลอันใด ที่เกิดจากบทความชิ้นนี้ ขอมอบอุทิศถวายแด่ ล้นเกล้ารัชกาลที่สาม พร้อมทั้งพระประยูรวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ทุกท่าน ทุกพระองค์ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น สามารถนำไปแจกจ่าย คัดลอก ทำซ้ำ ได้ตามต้องการ หากมีข้อซักถาม ข้อแนะนำหรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกิดจากการอ่านบทความชิ้นนี้ กรุณาส่ง อีเมลมาที่ นิลฉงน นลเฉลย <nilchangonnolchaloey@gmail.com>
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts