"AI ลดต้นทุนการโน้มน้าวใจ – เปิดทางชนชั้นนำออกแบบการแบ่งขั้วสังคม"
ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง
แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง
โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด
สรุปประเด็นสำคัญ
ข้อมูลจากงานวิจัย
AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ
ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้
โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว
เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น
ข้อมูลเสริมจาก Internet
นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber
การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป
มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย
คำเตือนจากงานวิจัย
การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ
การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร
ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
https://arxiv.org/abs/2512.04047
ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง
แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง
โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด
สรุปประเด็นสำคัญ
ข้อมูลจากงานวิจัย
AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ
ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้
โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว
เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น
ข้อมูลเสริมจาก Internet
นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber
การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป
มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย
คำเตือนจากงานวิจัย
การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ
การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร
ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
https://arxiv.org/abs/2512.04047
🧠 "AI ลดต้นทุนการโน้มน้าวใจ – เปิดทางชนชั้นนำออกแบบการแบ่งขั้วสังคม"
ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง
แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง
โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด
📌 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ ข้อมูลจากงานวิจัย
➡️ AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ
➡️ ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้
➡️ โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว
➡️ เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น
✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet
➡️ นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber
➡️ การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป
➡️ มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย
‼️ คำเตือนจากงานวิจัย
⛔ การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ
⛔ การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร
⛔ ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
https://arxiv.org/abs/2512.04047
0 Comments
0 Shares
22 Views
0 Reviews