• #พระนิพพานแดนอมตะ

    ในเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาท่านตรัสว่า
    นิพพานเป็นเอกันตบรมสุข
    ชื่อว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง เราก็เข้าหาแดนของพระนิพพาน ต่อไป
    แดนของพระนิพพานจะได้แก่อะไรบ้าง ได้แก่

    ๑. ทาน
    การให้ เป็นการตัดโลภะ ความโลภ
    ๒. ศีล
    ทรงอารมณ์ดีมีเมตตาเป็นปกติ เป็นการตัดความโกรธ
    ๓. ภาวนา
    ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกำลังทำอยู่

    อันนี้ชื่อว่าเป็นปรมัตถปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติสูงอย่างยิ่ง
    อันดับแรกทำจิตใจของเราให้สบาย ด้วยอารมณ์ใจเป็นสมาธิ
    ยึดอารมณ์ที่เป็นกุศลเป็นสำคัญ
    แล้วนอกจากนั้น
    ก็พิจารณาไว้เสมอว่าเรากับโลกนี้
    เราจะต้องจากไปแน่วันหนึ่งข้างหน้า
    เมื่อจากไปแล้ว เราจะไม่กลับมาพบโลกนี้อีก
    ไม่พบเทวโลก แล้วก็ไม่พบพรหมโลก
    สิ่งที่เราปรารถนานั่นก็คือพระนิพพาน

    ถ้าบรรดาจิตของท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    ค่อย ๆ คิดไว้อย่างนี้ทุก ๆ วัน
    วันละเล็กละน้อย
    แล้วก็คอยระวังจิต
    ว่าจิตถ้ามันจะมีความโลภ
    อยากจะยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน
    ก็ห้ามปรามมันไว้

    ถ้าอาการหากินด้วยความสุจริตธรรม
    องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ถือว่าเป็นความโลภ
    เป็นสัมมาอาชีวะ
    มีอยู่ ๑๐ บาท
    จะสร้างตัวให้ได้ ๑๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท
    ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
    ด้วยสัมมาอาชีวะ
    อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นโลภ

    อยากจะแย่งเขา อย่างนี้เป็น โลภะ ความโลภ

    ประการที่ ๒ พยายามระงับ ความโกรธ
    ด้วยอาศัยศีล ๕ เป็นปกติ
    เพราะศีล ๕ นี่จะทรงได้เฉพาะอาศัยเมตตา กรุณา
    ทั้งสองประการนี่เป็นปัจจัยตัดความโกรธ
    ถ้าจิตทรงศีล ๕ ได้เป็นปกติ
    ก็ชื่อว่าท่านเป็นผู้ชนะความโกรธทีละน้อยละน้อย
    ในที่สุดความโกรธก็จะหายไป

    ประการที่ ๓ องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกให้ตัด ความหลง
    ก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    มันแก่ไปทุกวันไม่ช้ามันก็ตาย
    ตายแล้วเราคือจิตก็ไม่สามารถจะอาศัยร่างกายนี้ต่อไปได้
    ต้องก้าวต่อไปข้างหน้า
    เป็นอันว่า เราไม่ต้องการมันอีก
    สภาวะที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้
    ต้องการสภาวะที่เที่ยงจริง ๆ ที่เป็นแดนอมตะ

    คำว่าอมตะ แปลว่าไม่ตาย ไม่เคลื่อน
    ก็ได้แก่ พระนิพพาน

    ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท คอยระวังไว้ว่า

    หนึ่ง เราจะไม่ยอมให้ความโลภ คือ
    อยากจะได้ทรัพย์สมบัติของชาวบ้านมาเป็นของเรา
    โดยไม่ชอบธรรม เก็บมันเข้าไว้
    ถ้าจิตมันคิดมาเมื่อไร
    มันเผลอก็อาจจะเป็นไปได้
    แต่ต่อไปคิดบ่อย ๆ มันก็ไม่เผลอ
    เพราะมีอารมณ์ชิน

    ประการที่สอง
    ถ้ามันจะละเมิดศีลก็ระมัดระวังไว้ว่า
    เวลาจะนอนก็คิดไว้
    วันนี้เราละเมิดศีล ๕ ข้อไหนบ้าง
    ถ้าหากว่ามันพลั้งพลาดไปบ้าง
    ก็ตั้งใจไว้ใหม่ว่าวันพรุ่งนี้
    เราจะไม่ยอมทำอย่างนี้
    แต่ก็มันอาจเผลอได้หมือนกันใหม่ ๆ
    ต่อไปไม่ช้าอาการก็จะชิน
    ชินก็จะทรงตัว
    เมื่อศีลทรงตัว แล้วก็เหลืออีกจุดเดียว คือ
    ทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็เป็นของง่าย

    เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
    ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น
    กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
    ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย
    จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา


    หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๓๒
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
    #พระนิพพานแดนอมตะ ในเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาท่านตรัสว่า นิพพานเป็นเอกันตบรมสุข ชื่อว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง เราก็เข้าหาแดนของพระนิพพาน ต่อไป แดนของพระนิพพานจะได้แก่อะไรบ้าง ได้แก่ ๑. ทาน การให้ เป็นการตัดโลภะ ความโลภ ๒. ศีล ทรงอารมณ์ดีมีเมตตาเป็นปกติ เป็นการตัดความโกรธ ๓. ภาวนา ที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายกำลังทำอยู่ อันนี้ชื่อว่าเป็นปรมัตถปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติสูงอย่างยิ่ง อันดับแรกทำจิตใจของเราให้สบาย ด้วยอารมณ์ใจเป็นสมาธิ ยึดอารมณ์ที่เป็นกุศลเป็นสำคัญ แล้วนอกจากนั้น ก็พิจารณาไว้เสมอว่าเรากับโลกนี้ เราจะต้องจากไปแน่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อจากไปแล้ว เราจะไม่กลับมาพบโลกนี้อีก ไม่พบเทวโลก แล้วก็ไม่พบพรหมโลก สิ่งที่เราปรารถนานั่นก็คือพระนิพพาน ถ้าบรรดาจิตของท่านพุทธบริษัททุกท่าน ค่อย ๆ คิดไว้อย่างนี้ทุก ๆ วัน วันละเล็กละน้อย แล้วก็คอยระวังจิต ว่าจิตถ้ามันจะมีความโลภ อยากจะยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน ก็ห้ามปรามมันไว้ ถ้าอาการหากินด้วยความสุจริตธรรม องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่ถือว่าเป็นความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะ มีอยู่ ๑๐ บาท จะสร้างตัวให้ได้ ๑๐๐ บาท ๑,๐๐๐ บาท ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ด้วยสัมมาอาชีวะ อย่างนี้พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นโลภ อยากจะแย่งเขา อย่างนี้เป็น โลภะ ความโลภ ประการที่ ๒ พยายามระงับ ความโกรธ ด้วยอาศัยศีล ๕ เป็นปกติ เพราะศีล ๕ นี่จะทรงได้เฉพาะอาศัยเมตตา กรุณา ทั้งสองประการนี่เป็นปัจจัยตัดความโกรธ ถ้าจิตทรงศีล ๕ ได้เป็นปกติ ก็ชื่อว่าท่านเป็นผู้ชนะความโกรธทีละน้อยละน้อย ในที่สุดความโกรธก็จะหายไป ประการที่ ๓ องค์สมเด็จพระจอมไตรบอกให้ตัด ความหลง ก็หมายความว่า พิจารณาว่าร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันแก่ไปทุกวันไม่ช้ามันก็ตาย ตายแล้วเราคือจิตก็ไม่สามารถจะอาศัยร่างกายนี้ต่อไปได้ ต้องก้าวต่อไปข้างหน้า เป็นอันว่า เราไม่ต้องการมันอีก สภาวะที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้ ต้องการสภาวะที่เที่ยงจริง ๆ ที่เป็นแดนอมตะ คำว่าอมตะ แปลว่าไม่ตาย ไม่เคลื่อน ก็ได้แก่ พระนิพพาน ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท คอยระวังไว้ว่า หนึ่ง เราจะไม่ยอมให้ความโลภ คือ อยากจะได้ทรัพย์สมบัติของชาวบ้านมาเป็นของเรา โดยไม่ชอบธรรม เก็บมันเข้าไว้ ถ้าจิตมันคิดมาเมื่อไร มันเผลอก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ต่อไปคิดบ่อย ๆ มันก็ไม่เผลอ เพราะมีอารมณ์ชิน ประการที่สอง ถ้ามันจะละเมิดศีลก็ระมัดระวังไว้ว่า เวลาจะนอนก็คิดไว้ วันนี้เราละเมิดศีล ๕ ข้อไหนบ้าง ถ้าหากว่ามันพลั้งพลาดไปบ้าง ก็ตั้งใจไว้ใหม่ว่าวันพรุ่งนี้ เราจะไม่ยอมทำอย่างนี้ แต่ก็มันอาจเผลอได้หมือนกันใหม่ ๆ ต่อไปไม่ช้าอาการก็จะชิน ชินก็จะทรงตัว เมื่อศีลทรงตัว แล้วก็เหลืออีกจุดเดียว คือ ทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็เป็นของง่าย เอาล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา หนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๓๒ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เมื่อคุณน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าได้เวลาเป็นผู้ใหญ่ทางใจแล้ว”

    บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง
    โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก
    แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที

    > “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?”
    “ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?”
    “เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…”

    เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน
    โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน
    แต่ยังไม่เห็นผลชัด
    ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์
    ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง
    ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ

    ---

    แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน”

    พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า

    > “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
    ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย
    แต่เพื่อเตือนว่า
    “อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน”

    หากคุณเชื่อเรื่องกรรม
    แล้วชีวิตยังไม่ดี
    ให้กลับมาถามใจว่า

    > “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?”
    ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง
    ให้ยอมรับความจริงว่า
    “เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ”
    ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย”

    ---

    แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้

    แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง
    จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ”
    ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
    แล้ว “ดับไป”
    บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง

    และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น
    ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร
    เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์
    แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ
    ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้
    นอกจากคุณจะสร้างเอง

    ---

    การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ

    หยุดน้อยใจโชคชะตา
    หยุดน้อยใจพระ
    หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    แล้วเปลี่ยนเป็น

    > “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่”
    “หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น”
    “มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน”

    ---

    บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม

    > ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
    แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง
    แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ
    ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป
    วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า
    คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
    “เมื่อคุณน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าได้เวลาเป็นผู้ใหญ่ทางใจแล้ว” บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที > “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?” “ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?” “เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…” เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน แต่ยังไม่เห็นผลชัด ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์ ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ --- แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน” พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า > “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย แต่เพื่อเตือนว่า “อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน” หากคุณเชื่อเรื่องกรรม แล้วชีวิตยังไม่ดี ให้กลับมาถามใจว่า > “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?” ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง ให้ยอมรับความจริงว่า “เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ” ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย” --- แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้ แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ” ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น แล้ว “ดับไป” บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์ แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้ นอกจากคุณจะสร้างเอง --- การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ หยุดน้อยใจโชคชะตา หยุดน้อยใจพระ หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วเปลี่ยนเป็น > “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่” “หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น” “มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน” --- บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม > ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏#อธิษฐานละความผูกพันในการเกิด

    ✴️ #เหมือนคนเกิดมาชาตินึงมาเจอสถานที่ในพระศาสนาดูทรุดโทรม คิดว่าถ้ามีโอกาสจะมาบูรณะ แต่ตายไปซะก่อน พอเกิดมาอีกชาตินึงก็ต้องกลับไปบูรณะอีกจนได้ เพราะมันเป็นสัญญาของใจเรา เพราะเราเปล่งวาจาว่าเราจะมาบูรณะ บุญมันก็พาให้เราต้องมาเจอ แล้วก็ต้องมาบูรณะจนได้

    ✴️ #ถ้าทำสำเร็จก็จบไป ถ้าไม่ได้ทำก็รอชาติต่อไป
    ⚜️เอ้อ มันก็ต้องเกิดชาติต่อไปเห็นไหม

    ✴️ #งั้นตกลงกับใครไว้หยุดซะนะ สัญญาเกี่ยวก้อยไว้ชาติหน้าเกิดเราจะเป็นคู่ครองต่อไปเราไม่.. ทิ้งแล้ว ตัดนิ้วก้อยทิ้งแล้ว ไม่ผูกกับใครแล้วนะ เอ้อ..เราจะไปชาตินี้นะ เธอต้องโละทิ้งให้หมดนะ ไม่รู้เนี่ยมันอยู่ในใจเธอนะ ถึงเวลาตายขึ้นมาเป็นเทวดานางฟ้าไอ้เรื่องนี้ไม่ได้ทำมันจะคาใจเธอ

    ✴️ #อย่างพระนางวิสาขาเห็นไหมล่ะ มันเป็นความปรารถนาของท่านมันก็ยังคาใจท่านอยู่นะ ถึงเวลาท่านก็ยังต้องไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ไปอุปฐากพระศาสนาของพระองค์ต่อไป นี่คือส่วนหนึ่งที่ว่าปฏิปทาของท่าน แต่ว่าไอ้ความตั้งจิตเจตนาอย่างนี้ถ้าเธอไม่มีซะเลยจะดีเสียกว่า

    ✴️ #เอาให้ตรงทางอย่างเดียวว่า ฉันจะไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ไปไหน ไม่ว่าฉันจะเป็นเทวดา นางฟ้า อยู่สวรรค์ชั้นใดเราก็จะไม่ไปที่ไหนอีกต่อไปนอกจากจะไปนิพพานที่เดียว
    ✴️ #แล้วก็จะไม่ผูกพันกับใครในเรื่องใดๆ #เกี่ยวข้องมาในแต่อดีตชาติกาลก่อนว่าเคยสัญญากับใคร #เคยตั้งใจทำอะไรก็ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียเลยนะ ทำเสีย

    ..............................................................

    ✴️ #หาดอกไม้ธูปเทียน มาตั้งไหว้พระในบ้านเราก็ได้ วันไหนก็ได้ ตั้งจิตอธิษฐานเสียให้ดีว่า บัดนี้เป็นต้นไป
    🙏#ถ้าหากว่าลูกเคยมีสัญญากับคนก็ดีกับพระก็ดี #กับในเขตพระศาสนาก็ดีในกาลก่อนที่เคยผูกมัดใจของลูกให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป
    🙏บัดนี้ลูกขอหยุดแล้ว หยุดความปรารถนาทั้งสิ้น ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องการกลับมาเกิดอีกต่อไป
    🙏#ไม่ผูกมัดใจกับคนกับสัตว์กับสิ่งของกับวัตถุธาตุทั้งหลายอีกต่อไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น
    🙏 #แล้วก็กราบขอขมาพระรัตนตรัย #ขอขมาคนทั้งหลาย #ขอขมาทุกคนที่เคยผูกมัดสัญญากันไว้นะ ก็โละไปเสีย ทำไว้มันจะได้ไม่คาใจเรา
    🙏 แม้นคนในปัจจุบันว่าจะเกี่ยวข้องในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกเราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันว่าเธอกับฉันก็อยู่กันแค่อนุเคราะห์กันในชาตินี้นะ เราก็ช่วยกันเต็มที่เต็มหน่วยไม่ว่าจะเป็นใคร ดูแลกันสุดกำลังใจที่เราสามารถช่วยกันได้นะในฐานะที่เกิดมามีบุพกรรมร่วมกันมา ทั้งผู้เป็นพ่อก็ดีผู้เป็นแม่ก็ดีเป็นพี่เป็นน้องกันก็ดี เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกกัน เป็นญาติกันก็ตามทีนะ แม้จะเป็นเพื่อนที่รักกัน ช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันมา ....

    ✴️ #บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปรากฏในโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็ตาม เราก็ขอหยุดแล้ว หยุดภาระความผูกพันใดๆทั้งสิ้น เพราะมันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ ในความเกี่ยวเนื่องกันแบบนี้นะ ก็เท่ากับว่าผูกให้ใจเรามันทุกข์กันไปเรื่อยไป เพราะเราก็ช่วยเค้าไม่ได้ เค้าก็ช่วยเราไม่ได้ จริงมั้ย เอ้า ว่าไปตามความจริง ไม่มีใครช่วยเราได้ #นอกจากพระรัตนตรัยแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดเสมอยิ่งกว่าพระองค์ #พระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยะเลย
    ...............................................................
    นอกนั้นก็ทุกคนก็เพียรพยายามที่จะหนีทุกข์ด้วยตัวเองทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาบารมีสะสมกันมานะ มากหรือน้อย เราจึงพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ ใครก็พึ่งพาเราไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเรารู้ได้อย่างนี้แล้วเค้าจะเพิ่งเราได้

    ✴️ #ความจริงมันก็ต่างคนต่างตายเราจะไปยั้งได้ยังไงล่ะ ใครตายก่อนตายหลังก็พยากรณ์กันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เธออาจจะตายก่อนชั้นก็ได้ ชั้นอาจจะตายก่อนเธอก็ได้ มันไม่มีใครรู้หรอกนะ เรื่องนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เราได้แต่สงเคราะห์เมื่อในยามที่มีชีวิตอยู่คือให้กันได้ อะไรที่ให้ได้ก็ให้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอจริงๆเราก็ให้ ก็ให้ทุกอย่าง เราไม่มีอะไรที่ไม่ให้เลย หมด

    📣เสียงธรรมท่านจิตโต
    ⚜️หลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)⚜️
    วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑
    https://m.youtube.com/watch?si=fb4k7Sr-U7igZesx&fbclid=IwAR3w4dfIJwfSPT2aIgGF20RDi0ylkXUgLW_EN0hd4s-COZ4oyM7XFuSnB6Y&v=9tmWL3QEPPg&feature=youtu.be

    🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️
    🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
    🙏#อธิษฐานละความผูกพันในการเกิด ✴️ #เหมือนคนเกิดมาชาตินึงมาเจอสถานที่ในพระศาสนาดูทรุดโทรม คิดว่าถ้ามีโอกาสจะมาบูรณะ แต่ตายไปซะก่อน พอเกิดมาอีกชาตินึงก็ต้องกลับไปบูรณะอีกจนได้ เพราะมันเป็นสัญญาของใจเรา เพราะเราเปล่งวาจาว่าเราจะมาบูรณะ บุญมันก็พาให้เราต้องมาเจอ แล้วก็ต้องมาบูรณะจนได้ ✴️ #ถ้าทำสำเร็จก็จบไป ถ้าไม่ได้ทำก็รอชาติต่อไป ⚜️เอ้อ มันก็ต้องเกิดชาติต่อไปเห็นไหม ✴️ #งั้นตกลงกับใครไว้หยุดซะนะ สัญญาเกี่ยวก้อยไว้ชาติหน้าเกิดเราจะเป็นคู่ครองต่อไปเราไม่.. ทิ้งแล้ว ตัดนิ้วก้อยทิ้งแล้ว ไม่ผูกกับใครแล้วนะ เอ้อ..เราจะไปชาตินี้นะ เธอต้องโละทิ้งให้หมดนะ ไม่รู้เนี่ยมันอยู่ในใจเธอนะ ถึงเวลาตายขึ้นมาเป็นเทวดานางฟ้าไอ้เรื่องนี้ไม่ได้ทำมันจะคาใจเธอ ✴️ #อย่างพระนางวิสาขาเห็นไหมล่ะ มันเป็นความปรารถนาของท่านมันก็ยังคาใจท่านอยู่นะ ถึงเวลาท่านก็ยังต้องไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ไปอุปฐากพระศาสนาของพระองค์ต่อไป นี่คือส่วนหนึ่งที่ว่าปฏิปทาของท่าน แต่ว่าไอ้ความตั้งจิตเจตนาอย่างนี้ถ้าเธอไม่มีซะเลยจะดีเสียกว่า ✴️ #เอาให้ตรงทางอย่างเดียวว่า ฉันจะไปนิพพานอย่างเดียว ไม่ไปไหน ไม่ว่าฉันจะเป็นเทวดา นางฟ้า อยู่สวรรค์ชั้นใดเราก็จะไม่ไปที่ไหนอีกต่อไปนอกจากจะไปนิพพานที่เดียว ✴️ #แล้วก็จะไม่ผูกพันกับใครในเรื่องใดๆ #เกี่ยวข้องมาในแต่อดีตชาติกาลก่อนว่าเคยสัญญากับใคร #เคยตั้งใจทำอะไรก็ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียเลยนะ ทำเสีย .............................................................. ✴️ #หาดอกไม้ธูปเทียน มาตั้งไหว้พระในบ้านเราก็ได้ วันไหนก็ได้ ตั้งจิตอธิษฐานเสียให้ดีว่า บัดนี้เป็นต้นไป 🙏#ถ้าหากว่าลูกเคยมีสัญญากับคนก็ดีกับพระก็ดี #กับในเขตพระศาสนาก็ดีในกาลก่อนที่เคยผูกมัดใจของลูกให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป 🙏บัดนี้ลูกขอหยุดแล้ว หยุดความปรารถนาทั้งสิ้น ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายไม่ต้องการกลับมาเกิดอีกต่อไป 🙏#ไม่ผูกมัดใจกับคนกับสัตว์กับสิ่งของกับวัตถุธาตุทั้งหลายอีกต่อไปแล้วอย่างนี้เป็นต้น 🙏 #แล้วก็กราบขอขมาพระรัตนตรัย #ขอขมาคนทั้งหลาย #ขอขมาทุกคนที่เคยผูกมัดสัญญากันไว้นะ ก็โละไปเสีย ทำไว้มันจะได้ไม่คาใจเรา 🙏 แม้นคนในปัจจุบันว่าจะเกี่ยวข้องในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกเราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกันว่าเธอกับฉันก็อยู่กันแค่อนุเคราะห์กันในชาตินี้นะ เราก็ช่วยกันเต็มที่เต็มหน่วยไม่ว่าจะเป็นใคร ดูแลกันสุดกำลังใจที่เราสามารถช่วยกันได้นะในฐานะที่เกิดมามีบุพกรรมร่วมกันมา ทั้งผู้เป็นพ่อก็ดีผู้เป็นแม่ก็ดีเป็นพี่เป็นน้องกันก็ดี เป็นสามีเป็นภรรยาเป็นลูกกัน เป็นญาติกันก็ตามทีนะ แม้จะเป็นเพื่อนที่รักกัน ช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันมา .... ✴️ #บุคคลผู้ใดก็ตามที่ปรากฏในโลกนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็ตาม เราก็ขอหยุดแล้ว หยุดภาระความผูกพันใดๆทั้งสิ้น เพราะมันหาประโยชน์อะไรไม่ได้ ในความเกี่ยวเนื่องกันแบบนี้นะ ก็เท่ากับว่าผูกให้ใจเรามันทุกข์กันไปเรื่อยไป เพราะเราก็ช่วยเค้าไม่ได้ เค้าก็ช่วยเราไม่ได้ จริงมั้ย เอ้า ว่าไปตามความจริง ไม่มีใครช่วยเราได้ #นอกจากพระรัตนตรัยแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดเสมอยิ่งกว่าพระองค์ #พระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยะเลย ............................................................... นอกนั้นก็ทุกคนก็เพียรพยายามที่จะหนีทุกข์ด้วยตัวเองทั้งสิ้น แล้วแต่ว่าใครจะมีวาสนาบารมีสะสมกันมานะ มากหรือน้อย เราจึงพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้ ใครก็พึ่งพาเราไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเรารู้ได้อย่างนี้แล้วเค้าจะเพิ่งเราได้ ✴️ #ความจริงมันก็ต่างคนต่างตายเราจะไปยั้งได้ยังไงล่ะ ใครตายก่อนตายหลังก็พยากรณ์กันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ เธออาจจะตายก่อนชั้นก็ได้ ชั้นอาจจะตายก่อนเธอก็ได้ มันไม่มีใครรู้หรอกนะ เรื่องนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เราได้แต่สงเคราะห์เมื่อในยามที่มีชีวิตอยู่คือให้กันได้ อะไรที่ให้ได้ก็ให้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอจริงๆเราก็ให้ ก็ให้ทุกอย่าง เราไม่มีอะไรที่ไม่ให้เลย หมด 📣เสียงธรรมท่านจิตโต ⚜️หลวงพ่อสมปอง สุธัมมสันตจิตโต(บ้านสบายใจ)⚜️ วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ https://m.youtube.com/watch?si=fb4k7Sr-U7igZesx&fbclid=IwAR3w4dfIJwfSPT2aIgGF20RDi0ylkXUgLW_EN0hd4s-COZ4oyM7XFuSnB6Y&v=9tmWL3QEPPg&feature=youtu.be 🖋️📚คัดลอกแบ่งปันเป็นธรรมทานโดย⚜️ 🧘จิตหนึ่งประภัสสรสุดยอดคือพระนิพพาน
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางคนที่มีทิฐิว่า..พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้วย่อมไม่ปรากฏอีก โดยอ้างพระบาลี "นิพพานัง ปรมังสุญญัง"

    คำว่า สูญ นั้นหมายถึง สูญจากกิเลส

    จิตสูญจากกิเลส จึงจะเข้าพระนิพพานได้ จิตมัวหมอง ไม่รู้ตามความเป็นจริง แปลบาลีผิดจากความหมายพระพุทธองค์ จิตก็หลงทางไปสู่อบายภูมิ เพราะเป็นจิตไม่ฉลาด

    สิ่งที่ไม่มีที่พระนิพพานได้แก่..

    นรก สัตว์ โลก สวรรค์ พรหม

    ธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ ) ขันธ์ 5 (รูป-นาม)

    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ราคะ อุปาทาน บาปกรรม

    อวิชชา สังโยชน์ (กิเลสร้อยรัด 10 อย่าง )

    เกิด แก่ เจ็บ ตาย

    ..สิ่งเหล่านี้ไม่มีในแดนพระนิพพาน

    เราอยู่ในพระพุทธศาสนา จับหลักในคำสอน จับหลักให้จริงก่อน ให้คิดไตร่ตรองก่อน ว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นจริงไหม แล้วจึงเชื่อ จึงปฏิบัติ

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    บางคนที่มีทิฐิว่า..พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปแล้วย่อมไม่ปรากฏอีก โดยอ้างพระบาลี "นิพพานัง ปรมังสุญญัง" คำว่า สูญ นั้นหมายถึง สูญจากกิเลส จิตสูญจากกิเลส จึงจะเข้าพระนิพพานได้ จิตมัวหมอง ไม่รู้ตามความเป็นจริง แปลบาลีผิดจากความหมายพระพุทธองค์ จิตก็หลงทางไปสู่อบายภูมิ เพราะเป็นจิตไม่ฉลาด สิ่งที่ไม่มีที่พระนิพพานได้แก่.. นรก สัตว์ โลก สวรรค์ พรหม ธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ ) ขันธ์ 5 (รูป-นาม) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ราคะ อุปาทาน บาปกรรม อวิชชา สังโยชน์ (กิเลสร้อยรัด 10 อย่าง ) เกิด แก่ เจ็บ ตาย ..สิ่งเหล่านี้ไม่มีในแดนพระนิพพาน เราอยู่ในพระพุทธศาสนา จับหลักในคำสอน จับหลักให้จริงก่อน ให้คิดไตร่ตรองก่อน ว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นจริงไหม แล้วจึงเชื่อ จึงปฏิบัติ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จะร้ายกลับ หรือจะเริ่มปลอดภัย?”

    โลกนี้เต็มไปด้วยคนครึ่งดีครึ่งร้าย
    แม้โจรโฉด ยังมีมุมนุ่มละมุนให้ลูกเมีย
    แม้ผู้ก่อการร้าย ยังอ่อนโยนกับเพื่อนพวกพ้อง

    หากคุณเห็นแต่ด้านร้ายของผู้คน
    ใจคุณจะค่อยๆ เปลี่ยนแนวคิดเป็นว่า

    > “ถ้าไม่เป็นเสือ ก็จะกลายเป็นเหยื่อ!”
    และเมื่อโดนใครขย้ำ ก็อยากขย้ำกลับ
    บางทียังเผลอขย้ำคนอื่นต่อด้วย

    ---

    ความดี…ไม่ใช่หลักประกันว่าจะไม่โดนร้าย

    แม้คุณดีเท่าพระพุทธเจ้า
    ก็ยังมีพระเทวทัตตามจองเวร
    แม้คุณมีเมตตาเต็มเปี่ยม
    ก็ยังเจอนางจิญจมาณวิกาปรักปรำให้แหลก

    เพราะแม้ท่านผู้ตื่นแล้ว
    ยังต้องใช้กรรมจากชาติปางก่อน
    ซึ่งในชาติที่หลงผิด…ท่านก็เคยฆ่า เคยแย่ง เคยลบหลู่ เช่นเดียวกับเราที่ย่อมเคยพลาดในภพเก่าไม่ต่างกัน

    ---

    **ชาติที่ดีที่สุด…ไม่ใช่ชาติที่ไม่มีคนเลว

    แต่คือชาติที่เราไม่เลวตาม**

    หากเข้าใจว่า

    > “ทุกการร้ายที่เจอ คือภาพสะท้อนของกรรมเก่า”
    ใจจะไม่สะดุ้งจนเกินไป
    ไม่โกรธจนเสียศักดิ์ศรีทางจิต

    แต่จะเปลี่ยนจาก “ผู้รับภัย”
    เป็น “ผู้สร้างเขตปลอดภัย” แห่งแรกของโลก
    เริ่มจาก...

    – การรักษาศีล เพื่อจำกัดอันตรายจากตัวเอง
    – การให้ทาน เพื่อบรรเทาทุกข์ และคลายแรงจูงใจที่ชักให้คนทำชั่ว

    ---

    **ใจที่รักษาศีลและให้ทานอยู่เป็นนิตย์

    จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยแห่งแรกให้โลกได้พัก**

    คุณจะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองยังมีค่า
    เพราะเห็นชัดว่าความดีที่ทำ…ให้ผลได้จริง
    แม้โลกยังมีเรื่องร้ายรอบตัว
    แต่ใจจะไม่ระแวงจนกลายเป็นภัยเสียเอง

    ---

    > ถ้าคุณเจอความร้ายของใครบางคน
    จงเชื่อมั่นว่า คุณเลือกได้
    ว่าจะ “ร้ายกลับ” หรือ “เริ่มปลอดภัย”
    และทางที่ปลอดภัยที่สุดในโลก
    เริ่มจากใจที่ “ไม่เอาคืน” นั่นเอง
    “จะร้ายกลับ หรือจะเริ่มปลอดภัย?” โลกนี้เต็มไปด้วยคนครึ่งดีครึ่งร้าย แม้โจรโฉด ยังมีมุมนุ่มละมุนให้ลูกเมีย แม้ผู้ก่อการร้าย ยังอ่อนโยนกับเพื่อนพวกพ้อง หากคุณเห็นแต่ด้านร้ายของผู้คน ใจคุณจะค่อยๆ เปลี่ยนแนวคิดเป็นว่า > “ถ้าไม่เป็นเสือ ก็จะกลายเป็นเหยื่อ!” และเมื่อโดนใครขย้ำ ก็อยากขย้ำกลับ บางทียังเผลอขย้ำคนอื่นต่อด้วย --- ความดี…ไม่ใช่หลักประกันว่าจะไม่โดนร้าย แม้คุณดีเท่าพระพุทธเจ้า ก็ยังมีพระเทวทัตตามจองเวร แม้คุณมีเมตตาเต็มเปี่ยม ก็ยังเจอนางจิญจมาณวิกาปรักปรำให้แหลก เพราะแม้ท่านผู้ตื่นแล้ว ยังต้องใช้กรรมจากชาติปางก่อน ซึ่งในชาติที่หลงผิด…ท่านก็เคยฆ่า เคยแย่ง เคยลบหลู่ เช่นเดียวกับเราที่ย่อมเคยพลาดในภพเก่าไม่ต่างกัน --- **ชาติที่ดีที่สุด…ไม่ใช่ชาติที่ไม่มีคนเลว แต่คือชาติที่เราไม่เลวตาม** หากเข้าใจว่า > “ทุกการร้ายที่เจอ คือภาพสะท้อนของกรรมเก่า” ใจจะไม่สะดุ้งจนเกินไป ไม่โกรธจนเสียศักดิ์ศรีทางจิต แต่จะเปลี่ยนจาก “ผู้รับภัย” เป็น “ผู้สร้างเขตปลอดภัย” แห่งแรกของโลก เริ่มจาก... – การรักษาศีล เพื่อจำกัดอันตรายจากตัวเอง – การให้ทาน เพื่อบรรเทาทุกข์ และคลายแรงจูงใจที่ชักให้คนทำชั่ว --- **ใจที่รักษาศีลและให้ทานอยู่เป็นนิตย์ จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยแห่งแรกให้โลกได้พัก** คุณจะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองยังมีค่า เพราะเห็นชัดว่าความดีที่ทำ…ให้ผลได้จริง แม้โลกยังมีเรื่องร้ายรอบตัว แต่ใจจะไม่ระแวงจนกลายเป็นภัยเสียเอง --- > ถ้าคุณเจอความร้ายของใครบางคน จงเชื่อมั่นว่า คุณเลือกได้ ว่าจะ “ร้ายกลับ” หรือ “เริ่มปลอดภัย” และทางที่ปลอดภัยที่สุดในโลก เริ่มจากใจที่ “ไม่เอาคืน” นั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้อนมาก..รอฝนก็เงียบ มานึกองค์พระพุทธเจ้า เสด็จไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดีย ร้อนจัด หนทางก็ลำบาก องค์ท่านก็เสด็จไปสอนผู้คนให้พ้นทุกข์
    เราเองก็อดทน เพียรในการไหว้สวดมนต์ ภาวนา ตายจากโลกนี้ไปแบกเอาบุญกุศล ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    ร้อนมาก..รอฝนก็เงียบ มานึกองค์พระพุทธเจ้า เสด็จไปยังเมืองต่างๆ ในอินเดีย ร้อนจัด หนทางก็ลำบาก องค์ท่านก็เสด็จไปสอนผู้คนให้พ้นทุกข์ เราเองก็อดทน เพียรในการไหว้สวดมนต์ ภาวนา ตายจากโลกนี้ไปแบกเอาบุญกุศล ธรรมะของพระพุทธเจ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 81 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย

    ผู้ถาม : ลูกได้ดูโทรทัศน์ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย ทรงเล่าเรื่องว่า เคยป่วยอาการหนัก หมอบอกว่าโรคอย่างนี้ไม่สามารถรักษาได้ มีทรงกับทรุด หรือตายอย่างเดียว พระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า ร่างกายนี้ไม่ดีหนอ ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะขอสร้างแต่ความดี โดยเริ่มดำเนินการโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า คนที่ไม่อยากเกิดต่อไปอย่างนี้ จะเรียกว่า ตัดสักกายทิฏฐิ ใช่หรือเปล่าขอรับ?

    หลวงพ่อ : ตัดแน่ ตรง! ใช้ได้เลย ตรงเป้าหมายดี
    แต่ค่อยๆ ตัดนะ อย่าตัดแรง ตัดแรงมันเจ็บ อ้าว! จริงๆ ค่อยๆ ตัด คิดไว้ทีแรกว่า อย่าเกิดต่อไปนะ จะต้องค่อยๆ คิดคลายไปทีละน้อยๆ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ มีดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันที่เป็นร่างที่อาศัยชั่วคราว มันพังก็พัง แต่เราไม่ยอมพังด้วย เราต้องการไปนิพพานจุดเดียว ค่อยๆคลำ แบบนี้มีหวังแน่นอน

    ผู้ถาม : ของหลวงพ่อบอกว่า ตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวก็ไปนิพพานได้เลย?

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ของหลวงพ่อ ของพระพุทธเจ้า ของพระสารีบุตรท่าน พระพุทธเจ้าอธิบายแล้วพระไม่เข้าใจ คืออาจจะเข้าใจเหมือนกันแต่ไม่มั่นใจ ฟังกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนเป็นพระอรหันต์ ฟังแล้วพระก็ลาจะขอเข้าป่าไป

    ท่านถามว่า พวกเธอจะเข้าป่าไปลาพระสารีบุตรหรือยัง

    ความจริงไม่ได้นัด แต่ทรงทราบว่าถ้าไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร

    พระก็บอกว่า ยังพระพุทธเจ้าข้า

    ถ้าอย่างนั้นก็ไปลาพระสารีบุตรก่อน ในเมื่อพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็แนะนำตามสมควร

    ต่อมาพระก็ถามว่า เวลานี้ผมเป็นปุถุชนอยากจะเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง?

    ท่านบอกให้พิจารณาขันธ์ ๕ พูดง่ายๆ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย ใช่ไหม ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าเธอมีความรู้สึกหรือตัดได้อย่างแน่นอน เธอก็เป็นพระโสดาบัน

    พระก็ถามว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีทำยังไง?
    พระสารีบุตรก็บอกพิจารณาอย่างนี้แหละ

    พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง?
    ท่านบอกตัดตัวนี้แหละ จนจิตเบื่อหน่ายในร่างกาย เห็นว่าร่างกายสกปรกโสโครกไม่น่ารัก ตัดได้แน่นอนเมื่อไร เวลานั้นเป็นพระอนาคามี

    พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้วต้องการเป็นพระอรหันต์จะทำยังไง?
    ก็ตัดตัวเดียวนี้แหละ จนกระทั่งจิตวางเฉย เห็นว่าร่างกายเรา เห็นร่างกายคนอื่นก็เฉย มันจะเป็นยังไง จิตใจก็สบาย มันก็ไม่กลุ้มไปด้วย ถือว่าเป็นธรรมดาของร่างกาย ในที่สุดมันก็พัง อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์

    พระพวกนั้นในฐานะที่เป็นปุถุชน มีสมบัติเก่าค้างอยู่ คือความขี้เกียจค้างอยู่
    เลยถามพระสารีบุตรว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม?

    พระสารีบุตร บอกไม่ใช่ พระอรหันต์ต้องนึกเป็นอารมณ์เลย หรือเป็นปกติตลอดวัน นี่แสดงสัญลักษณ์เดิมคือขี้เกียจมาก่อนนะ

    ผู้ถาม : ก็แบบหลวงพ่อชาติก่อน ๆ เคยขยัน ชาตินี้ก็เลยขยันต่อ

    หลวงพ่อ : ไม่ใช่ขยัน ชาตินี้ก็เลยขี้เกียจต่อ ขี้เกียจอะไรทราบไหม ขี้เกียจเกิด

    ผู้ถาม : แล้วก็ขี้เกียจแก่

    หลวงพ่อ : แก่มันไม่ขี้เกียจ เพราะกำลังแก่อยู่ จะแก่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะตาย ตายแล้วยังไม่เลิกแก่ ยังแก่ต่อไปอีก เวลานี้พวกนี้เรียกหลวงพ่อใช่ไหม เมื่อวาน เลื่อนขั้นมีคนเรียกหลวงตาแล้ว แสดงว่าแก่มาก

    พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ) วัดท่าซุง
    ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๕๑ หน้า ๗๘-๗๙
    #เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย ผู้ถาม : ลูกได้ดูโทรทัศน์ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เบื่อร่างกาย ทรงเล่าเรื่องว่า เคยป่วยอาการหนัก หมอบอกว่าโรคอย่างนี้ไม่สามารถรักษาได้ มีทรงกับทรุด หรือตายอย่างเดียว พระองค์ก็ทรงพิจารณาว่า ร่างกายนี้ไม่ดีหนอ ไม่ขอเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะขอสร้างแต่ความดี โดยเริ่มดำเนินการโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า คนที่ไม่อยากเกิดต่อไปอย่างนี้ จะเรียกว่า ตัดสักกายทิฏฐิ ใช่หรือเปล่าขอรับ? หลวงพ่อ : ตัดแน่ ตรง! ใช้ได้เลย ตรงเป้าหมายดี แต่ค่อยๆ ตัดนะ อย่าตัดแรง ตัดแรงมันเจ็บ อ้าว! จริงๆ ค่อยๆ ตัด คิดไว้ทีแรกว่า อย่าเกิดต่อไปนะ จะต้องค่อยๆ คิดคลายไปทีละน้อยๆ ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ มีดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันที่เป็นร่างที่อาศัยชั่วคราว มันพังก็พัง แต่เราไม่ยอมพังด้วย เราต้องการไปนิพพานจุดเดียว ค่อยๆคลำ แบบนี้มีหวังแน่นอน ผู้ถาม : ของหลวงพ่อบอกว่า ตัดสักกายทิฏฐิตัวเดียวก็ไปนิพพานได้เลย? หลวงพ่อ : ไม่ใช่ของหลวงพ่อ ของพระพุทธเจ้า ของพระสารีบุตรท่าน พระพุทธเจ้าอธิบายแล้วพระไม่เข้าใจ คืออาจจะเข้าใจเหมือนกันแต่ไม่มั่นใจ ฟังกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนเป็นพระอรหันต์ ฟังแล้วพระก็ลาจะขอเข้าป่าไป ท่านถามว่า พวกเธอจะเข้าป่าไปลาพระสารีบุตรหรือยัง ความจริงไม่ได้นัด แต่ทรงทราบว่าถ้าไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร พระก็บอกว่า ยังพระพุทธเจ้าข้า ถ้าอย่างนั้นก็ไปลาพระสารีบุตรก่อน ในเมื่อพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็แนะนำตามสมควร ต่อมาพระก็ถามว่า เวลานี้ผมเป็นปุถุชนอยากจะเป็นพระโสดาบันจะทำยังไง? ท่านบอกให้พิจารณาขันธ์ ๕ พูดง่ายๆ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย ใช่ไหม ให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริง ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าเธอมีความรู้สึกหรือตัดได้อย่างแน่นอน เธอก็เป็นพระโสดาบัน พระก็ถามว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วจะเป็นพระสกิทาคามีทำยังไง? พระสารีบุตรก็บอกพิจารณาอย่างนี้แหละ พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการเป็นพระอนาคามีจะทำยังไง? ท่านบอกตัดตัวนี้แหละ จนจิตเบื่อหน่ายในร่างกาย เห็นว่าร่างกายสกปรกโสโครกไม่น่ารัก ตัดได้แน่นอนเมื่อไร เวลานั้นเป็นพระอนาคามี พระก็ถามว่า ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้วต้องการเป็นพระอรหันต์จะทำยังไง? ก็ตัดตัวเดียวนี้แหละ จนกระทั่งจิตวางเฉย เห็นว่าร่างกายเรา เห็นร่างกายคนอื่นก็เฉย มันจะเป็นยังไง จิตใจก็สบาย มันก็ไม่กลุ้มไปด้วย ถือว่าเป็นธรรมดาของร่างกาย ในที่สุดมันก็พัง อย่างนี้ก็เป็นพระอรหันต์ พระพวกนั้นในฐานะที่เป็นปุถุชน มีสมบัติเก่าค้างอยู่ คือความขี้เกียจค้างอยู่ เลยถามพระสารีบุตรว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม? พระสารีบุตร บอกไม่ใช่ พระอรหันต์ต้องนึกเป็นอารมณ์เลย หรือเป็นปกติตลอดวัน นี่แสดงสัญลักษณ์เดิมคือขี้เกียจมาก่อนนะ ผู้ถาม : ก็แบบหลวงพ่อชาติก่อน ๆ เคยขยัน ชาตินี้ก็เลยขยันต่อ หลวงพ่อ : ไม่ใช่ขยัน ชาตินี้ก็เลยขี้เกียจต่อ ขี้เกียจอะไรทราบไหม ขี้เกียจเกิด ผู้ถาม : แล้วก็ขี้เกียจแก่ หลวงพ่อ : แก่มันไม่ขี้เกียจ เพราะกำลังแก่อยู่ จะแก่เรื่อย ๆ ไปจนกว่าจะตาย ตายแล้วยังไม่เลิกแก่ ยังแก่ต่อไปอีก เวลานี้พวกนี้เรียกหลวงพ่อใช่ไหม เมื่อวาน เลื่อนขั้นมีคนเรียกหลวงตาแล้ว แสดงว่าแก่มาก พระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีฯ) วัดท่าซุง ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๕๑ หน้า ๗๘-๗๙
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก**

    ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)**
    ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ):

    1. **มหาวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ
    - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์

    2. **ภิกขุนีวิภังค์**
    - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ

    3. **มหาวรรค**
    - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม

    4. **จุลวรรค**
    - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน

    5. **ปริวาร**
    - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย

    ---

    ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)**
    รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya):

    1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว)
    - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร

    2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง)
    - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร

    3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง)
    - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์

    4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม)
    - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2)

    5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ)
    - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น
    - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ)
    - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า)
    - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์)

    ---

    ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)**
    ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์:

    1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม)
    2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม)
    3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18)
    4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล)
    5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม)
    6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน)
    7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24)

    ---

    ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ**
    - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์
    - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4)
    - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน)

    พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก

    หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    พระไตรปิฏก (บาลี: **Tipiṭaka**; สันสกฤต: **Tripiṭaka**) เป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนาเถรวาท ที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและคำอธิบายของพระสาวกไว้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ปิฏก (หมวดใหญ่) ได้แก่ **วินัยปิฏก, สุตตันตปิฏก,** และ **อภิธรรมปิฏก** ### **1. วินัยปิฏก (Vinaya Piṭaka)** ว่าด้วยระเบียบวินัยของภิกษุ-ภิกษุณี แบ่งเป็น 5 คัมภีร์ย่อย (ขันธกะ): 1. **มหาวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุ 227 ข้อ - รวมเรื่องราวการบัญญัติสิกขาบท เช่น เรื่องพระสุทินน์ 2. **ภิกขุนีวิภังค์** - ว่าด้วยศีลของภิกษุณี 311 ข้อ 3. **มหาวรรค** - ว่าด้วยพิธีกรรมสำคัญ เช่น การบวช, การอุปสมบท, การทำสังฆกรรม 4. **จุลวรรค** - ระเบียบย่อย เช่น การอยู่จำพรรษา, การกรานกฐิน 5. **ปริวาร** - สรุปและคำถาม-ตอบเกี่ยวกับวินัย --- ### **2. สุตตันตปิฏก (Sutta Piṭaka)** รวบรวมพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า แบ่งเป็น 5 นิกาย (Nikāya): 1. **ทีฆนิกาย** (คัมภีร์ยาว) - เช่น มหาปรินิพพานสูตร, พรหมชาลสูตร 2. **มัชฌิมนิกาย** (คัมภีร์ปานกลาง) - เช่น สติปัฏฐานสูตร, มงคลสูตร 3. **สังยุตตนิกาย** (คัมภีร์กลุ่มเรื่อง) - เช่น ธาตุสังยุตต์, อริยสัจจสังยุตต์ 4. **อังคุตตรนิกาย** (คัมภีร์เลขเพิ่ม) - จัดหมวดธรรมตามจำนวน เช่น เอกนิบาต (หมวด 1), ทุกนิบาต (หมวด 2) 5. **ขุททกนิกาย** (คัมภีร์เล็กๆ) - รวมคัมภีร์สำคัญ เช่น - **ธรรมบท** (พุทธวจนะสั้นๆ) - **ชาดก** (เรื่องอดีตชาติพระพุทธเจ้า) - **มิลินทปัญหา** (สนทนาระหว่างพระนาคเสนกับพระเจ้ามิลินท์) --- ### **3. อภิธรรมปิฏก (Abhidhamma Piṭaka)** ว่าด้วยหลักธรรมเชิงปรัชญาล้วน แบ่งเป็น 7 คัมภีร์: 1. **ธัมมสังคณี** (การจัดหมวดธรรม) 2. **วิภังค์** (การแยกแยะธรรม) 3. **ธาตุกถา** (ว่าด้วยธาตุ 18) 4. **ปุคคลบัญญัติ** (การกำหนดบุคคล) 5. **กถาวัตถุ** (คำอภิปรายธรรม) 6. **ยมก** (ธรรมคู่กัน) 7. **ปัฏฐาน** (ปัจจัย 24) --- ### **สรุปเนื้อหาสำคัญ** - **วินัยปิฏก**: ควบคุมความประพฤติของสงฆ์ - **สุตตันตปิฏก**: คำสอนสำหรับการปฏิบัติ (เช่น มรรคมีองค์ 8, อริยสัจ 4) - **อภิธรรมปิฏก**: วิเคราะห์ธรรมะเชิงลึก (เช่น จิต, เจตสิก, นิพพาน) พระไตรปิฏกฉบับภาษาไทยมีทั้งหมด **45 เล่ม** (ฉบับมหาจุฬาฯ) และยังมีอรรถกถา (คำอธิบาย) เพิ่มเติมอีกมาก หากต้องการศึกษาลึกขึ้น แนะนำให้อ่านทีละส่วน เช่น **ธรรมบท** หรือ **มงคลสูตร** ก่อน แล้วค่อยขยายไปยังส่วนอื่นๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีรับมือคน 8 จำพวกของมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชท่านแก้ปัญหาด้วยคาถาพาหุงไม่ใช่แค่นั่งสวดมนต์ แต่คือการเอาคำสอนในบทสวดมาปฏิบัติท่านกล่าวว่า คาถานี้แสดงให้เห็นมาตรการที่พระพุทธเจ้าใช้จัดการกับศัตรูหมู่ร้ายที่มีมาใน 8 รูปแบบ กล่าวคือ 1. เอาชนะคนโลภ (ในบทสวดแทนด้วยพญามาร) ด้วยการให้ทาน 2. เอาชนะคนอวดเบ่ง (ในบทสวดแทนด้วยอาฬวกยักษ์) ด้วยการไม่ให้ความสำคัญ (ในคาถาพาหุงคือ ขันติ) 3. เอาชนะคนคลุ้มคลั่ง (ในบทสวดคือช้างนาฬาคีรีที่ตกมัน) ด้วยเมตตา (อาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่า ไม่ถือสา เหมือนครั้งที่ท่านอภัยให้กลุ่มตำรวจขี้เมาที่มาพังบ้านท่าน) 4. เอาชนะคนที่มีโมหะหรือหลงผิด (ในบทสวดคือองคุลิมาล) ด้วยการแสดงความเหนือกว่า สูงส่งกว่า 5. เอาชนะคนขี้โกง ขี้โกหก (ในบทสวดคือนางจิญจมาณวิกาผู้ไปโพนทะนาว่าท้องกับพระพุทธเจ้า) ด้วยความสงบเยือกเย็น 6. เอาชนะผู้ใส่ร้ายและเข้าใจผิดๆ (ในบทสวดคือ พวกสัจจกนิครนถ์ที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้า) ด้วยการให้ปัญญา 7. เอาชนะผู้มีฤทธิ์ (ในบทสวดคือพญานาคชื่อนันโทปนันทะ) ด้วยการใช้ ”ผู้ช่วย” คือ พระโมคคัลลานะ 8. เอาชนะผู้มีวิชาความรู้ (ในบทสวดคือพกาพรหม) ด้วยการหยั่งรู้ (ญาณ หรือที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่าการวิจัยหรือการให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือ)อาจารย์คึกฤทธิ์แก้ปัญหาต่างๆด้วยวิธีเหล่านี้โดยมีตัวอย่างให้เห็นจริงทั้งหมดคุณก๋วยเจ๋ง (เลขาของท่าน) ให้แง่คิดว่า ใครจะเอาวิชาเหล่านี้ไปลองเอาไปใช้ดูก็ได้ เท่าที่ลองดูก็ได้ผลพอสมควร เพราะทั้งหมดนั้นคือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้Credit : Facebook Pattara Khumphitak
    วิธีรับมือคน 8 จำพวกของมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชท่านแก้ปัญหาด้วยคาถาพาหุงไม่ใช่แค่นั่งสวดมนต์ แต่คือการเอาคำสอนในบทสวดมาปฏิบัติท่านกล่าวว่า คาถานี้แสดงให้เห็นมาตรการที่พระพุทธเจ้าใช้จัดการกับศัตรูหมู่ร้ายที่มีมาใน 8 รูปแบบ กล่าวคือ 1. เอาชนะคนโลภ (ในบทสวดแทนด้วยพญามาร) ด้วยการให้ทาน 2. เอาชนะคนอวดเบ่ง (ในบทสวดแทนด้วยอาฬวกยักษ์) ด้วยการไม่ให้ความสำคัญ (ในคาถาพาหุงคือ ขันติ) 3. เอาชนะคนคลุ้มคลั่ง (ในบทสวดคือช้างนาฬาคีรีที่ตกมัน) ด้วยเมตตา (อาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่า ไม่ถือสา เหมือนครั้งที่ท่านอภัยให้กลุ่มตำรวจขี้เมาที่มาพังบ้านท่าน) 4. เอาชนะคนที่มีโมหะหรือหลงผิด (ในบทสวดคือองคุลิมาล) ด้วยการแสดงความเหนือกว่า สูงส่งกว่า 5. เอาชนะคนขี้โกง ขี้โกหก (ในบทสวดคือนางจิญจมาณวิกาผู้ไปโพนทะนาว่าท้องกับพระพุทธเจ้า) ด้วยความสงบเยือกเย็น 6. เอาชนะผู้ใส่ร้ายและเข้าใจผิดๆ (ในบทสวดคือ พวกสัจจกนิครนถ์ที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้า) ด้วยการให้ปัญญา 7. เอาชนะผู้มีฤทธิ์ (ในบทสวดคือพญานาคชื่อนันโทปนันทะ) ด้วยการใช้ ”ผู้ช่วย” คือ พระโมคคัลลานะ 8. เอาชนะผู้มีวิชาความรู้ (ในบทสวดคือพกาพรหม) ด้วยการหยั่งรู้ (ญาณ หรือที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แปลว่าการวิจัยหรือการให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือ)อาจารย์คึกฤทธิ์แก้ปัญหาต่างๆด้วยวิธีเหล่านี้โดยมีตัวอย่างให้เห็นจริงทั้งหมดคุณก๋วยเจ๋ง (เลขาของท่าน) ให้แง่คิดว่า ใครจะเอาวิชาเหล่านี้ไปลองเอาไปใช้ดูก็ได้ เท่าที่ลองดูก็ได้ผลพอสมควร เพราะทั้งหมดนั้นคือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้Credit : Facebook Pattara Khumphitak
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความอยากรู้ว่า ถ้าไม่ใช่เรา แล้วคืออะไร?”

    ---

    1. จุดที่ติดคือ "อยากรู้ว่าเราคือใคร"

    ความอยากรู้นี้ไม่ใช่ปัญหาในตัวเอง

    แต่ “อุปาทานในความอยากรู้” นั่นเอง ที่เป็นพันธนาการ

    ---

    2. พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่า...

    ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเรา ตัวเรามีแต่ในความคิด

    “ตัวเรา” เป็นเพียง ภาพหลอนทางอุปาทาน ที่เกิดขึ้นตาม เหตุปัจจัย

    เราไม่ได้หายใจ — แต่ กายหายใจ

    เราไม่ได้โกรธ — แต่ จิตแสดงอาการโทสะ

    เราไม่ได้ทุกข์ — แต่ ขันธ์แสดงอาการรับรู้เวทนา

    ---

    3. วิธีพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)

    ทุกสิ่งเกิดขึ้น ดับไป ไม่อยู่คง — แม้แต่ความสงสัยก็เช่นกัน

    ความคิด "เราคือใคร" ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง ความคิดดวงหนึ่ง

    ทุกขณะของการยึดถือ คือขณะของอุปาทาน

    อุปาทานเปลี่ยนแปลงได้ เห็นแล้วคลาย เห็นแล้วปล่อย

    ---

    4. วิธีเจริญสติผ่านความสงสัย

    ไม่ต้องห้ามสงสัย แต่ให้ “รู้ทันความสงสัย”

    เมื่อรู้ทัน ก็เห็นว่า ความสงสัยเป็นเพียงอาการหนึ่งของจิต

    ความสงสัยเองก็ไม่ใช่ตัวตน

    > "สงสัยก็รู้ว่าสงสัย ไม่ใช่เราเป็นคนสงสัย"

    ---

    5. บทสรุปของการเห็นอนัตตา

    > ไม่มี "เราผู้หลุดพ้น"
    มีแต่ "ธรรมชาติที่พ้นจากความยึดมั่นว่ามีเรา"
    มีแต่จิตที่ปลอดจากอุปาทานชั่วขณะ
    และนั่นคือจุดที่ "จิตรู้อนัตตา" โดยไม่มีใครเป็นผู้รู้
    “ความอยากรู้ว่า ถ้าไม่ใช่เรา แล้วคืออะไร?” --- 1. จุดที่ติดคือ "อยากรู้ว่าเราคือใคร" ความอยากรู้นี้ไม่ใช่ปัญหาในตัวเอง แต่ “อุปาทานในความอยากรู้” นั่นเอง ที่เป็นพันธนาการ --- 2. พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่า... ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเรา ตัวเรามีแต่ในความคิด “ตัวเรา” เป็นเพียง ภาพหลอนทางอุปาทาน ที่เกิดขึ้นตาม เหตุปัจจัย เราไม่ได้หายใจ — แต่ กายหายใจ เราไม่ได้โกรธ — แต่ จิตแสดงอาการโทสะ เราไม่ได้ทุกข์ — แต่ ขันธ์แสดงอาการรับรู้เวทนา --- 3. วิธีพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) ทุกสิ่งเกิดขึ้น ดับไป ไม่อยู่คง — แม้แต่ความสงสัยก็เช่นกัน ความคิด "เราคือใคร" ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง ความคิดดวงหนึ่ง ทุกขณะของการยึดถือ คือขณะของอุปาทาน อุปาทานเปลี่ยนแปลงได้ เห็นแล้วคลาย เห็นแล้วปล่อย --- 4. วิธีเจริญสติผ่านความสงสัย ไม่ต้องห้ามสงสัย แต่ให้ “รู้ทันความสงสัย” เมื่อรู้ทัน ก็เห็นว่า ความสงสัยเป็นเพียงอาการหนึ่งของจิต ความสงสัยเองก็ไม่ใช่ตัวตน > "สงสัยก็รู้ว่าสงสัย ไม่ใช่เราเป็นคนสงสัย" --- 5. บทสรุปของการเห็นอนัตตา > ไม่มี "เราผู้หลุดพ้น" มีแต่ "ธรรมชาติที่พ้นจากความยึดมั่นว่ามีเรา" มีแต่จิตที่ปลอดจากอุปาทานชั่วขณะ และนั่นคือจุดที่ "จิตรู้อนัตตา" โดยไม่มีใครเป็นผู้รู้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศ อีกทั้งยังเป็นวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
    วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก เป็นวันหยุดราชการในหลาย ๆ ประเทศ อีกทั้งยังเป็นวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติในปี ๒๕๔๒ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ๓ เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งทั้ง ๓ เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตรงกัน ณ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล​
    สัทธรรมลำดับที่ : 977
    ชื่อบทธรรม : -ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=977
    เนื้อความทั้งหมด :-
    --ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล
    ...
    --ดูก่อนจุนที ! ศีลทั้งหลายมีประมาณเท่าไร,
    ผู้รู้กล่าวกันว่า #อริยกันตศีล (ศีลอันประเสริญเป็นอริยะ)
    เลิศกว่าศีลเหล่านั้น;
    http://etipitaka.com/read/pali/22/38/?keywords=สีลานิ+อริยกนฺตานิ
    กล่าวคือ ศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทแก่ตัว
    วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาทิฏฐิลูบคลำ #เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ.
    --จุนที ! บุคคลเหล่าใด ทำให้บริบูรณ์ในอริยกันตศีล,
    บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่ากระทำให้บริบูรณ์ในสิ่งอันเลิศ;
    ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่ผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสิ่งอันเลิศ

    แล.-
    อคฺคโต เว ปสนฺนานํ อคฺคํ ธมฺมํ วิชานตํ
    อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร
    อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ วิราคูปสเม สุเข
    อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ ปุญฺญกฺเขตฺเต อนุตฺตเร
    อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ
    อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ
    อคฺคสฺส ทาตา เมธาวี อคฺคธมฺมสมาหิโต
    เทวภูโต มนุสฺโส วา อคฺคปฺปตฺโต ปโมทตีติ ฯ
    http://etipitaka.com/read/pali/22/38/?keywords=อคฺคธมฺมสมาหิโต
    บุญอันเลิศ คือ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขและกำลัง
    ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมที่เลิศ
    เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศคือ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ
    ผู้เป็นทักขิเณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมที่เลิศ
    อันปราศจากราคะ เป็นที่เข้าไปสงบ เป็นสุข เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ
    เป็นนาบุญชั้นเยี่ยม ให้ทานในสิ่งที่เลิศ
    ปราชญ์ผู้ถือมั่นธรรมที่เลิศ
    ให้สิ่งที่เลิศ เป็นเทวดาหรือมนุษย์
    ย่อมถึงสถานที่เลิศ บันเทิงใจอยู่

    #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
    อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. 22/32/32.
    http://etipitaka.com/read/thai/22/32/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%92
    อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. ๒๒/๓๘/๓๒.
    http://etipitaka.com/read/pali/22/38/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%92
    ศึกษา​เพิ่มเติม...
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=977
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=977
    https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83
    ลำดับสาธยายธรรม : 83​ ฟังเสียงอ่าน...
    http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    อริยสาวก​พึง​ฝึกหัด​ศึกษา​ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล​ สัทธรรมลำดับที่ : 977 ชื่อบทธรรม : -ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=977 เนื้อความทั้งหมด :- --ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล ... --ดูก่อนจุนที ! ศีลทั้งหลายมีประมาณเท่าไร, ผู้รู้กล่าวกันว่า #อริยกันตศีล (ศีลอันประเสริญเป็นอริยะ) เลิศกว่าศีลเหล่านั้น; http://etipitaka.com/read/pali/22/38/?keywords=สีลานิ+อริยกนฺตานิ กล่าวคือ ศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทแก่ตัว วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาทิฏฐิลูบคลำ #เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ. --จุนที ! บุคคลเหล่าใด ทำให้บริบูรณ์ในอริยกันตศีล, บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่ากระทำให้บริบูรณ์ในสิ่งอันเลิศ; ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่ผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสิ่งอันเลิศ แล.- อคฺคโต เว ปสนฺนานํ อคฺคํ ธมฺมํ วิชานตํ อคฺเค พุทฺเธ ปสนฺนานํ ทกฺขิเณยฺเย อนุตฺตเร อคฺเค ธมฺเม ปสนฺนานํ วิราคูปสเม สุเข อคฺเค สงฺเฆ ปสนฺนานํ ปุญฺญกฺเขตฺเต อนุตฺตเร อคฺคสฺมึ ทานํ ททตํ อคฺคํ ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ อคฺคํ อายุ จ วณฺโณ จ ยโส กิตฺติ สุขํ พลํ อคฺคสฺส ทาตา เมธาวี อคฺคธมฺมสมาหิโต เทวภูโต มนุสฺโส วา อคฺคปฺปตฺโต ปโมทตีติ ฯ http://etipitaka.com/read/pali/22/38/?keywords=อคฺคธมฺมสมาหิโต บุญอันเลิศ คือ อายุ วรรณะ ยศ เกียรติ สุขและกำลัง ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้รู้แจ้งธรรมที่เลิศ เลื่อมใสในสิ่งที่เลิศคือ เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าผู้เลิศ ผู้เป็นทักขิเณยบุคคลชั้นเยี่ยม เลื่อมใสในพระธรรมที่เลิศ อันปราศจากราคะ เป็นที่เข้าไปสงบ เป็นสุข เลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ เป็นนาบุญชั้นเยี่ยม ให้ทานในสิ่งที่เลิศ ปราชญ์ผู้ถือมั่นธรรมที่เลิศ ให้สิ่งที่เลิศ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ย่อมถึงสถานที่เลิศ บันเทิงใจอยู่ #ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์ อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. 22/32/32. http://etipitaka.com/read/thai/22/32/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%92 อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ปญฺจก. อํ. ๒๒/๓๘/๓๒. http://etipitaka.com/read/pali/22/38/?keywords=%E0%B9%93%E0%B9%92 ศึกษา​เพิ่มเติม... https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=977 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83&id=977 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=83 ลำดับสาธยายธรรม : 83​ ฟังเสียงอ่าน... http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_83.mp3
    WWW.XN--N3CCDACA9AWFTA5NMBZD0ND.COM
    - ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล
    -ลักษณะความสมบูรณ์แห่งศีล ดูก่อนจุนที ! ศีลทั้งหลายมีประมาณเท่าไร, ผู้รู้กล่าวกันว่า อริยกันตศีล (ศีลเป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้า) เลิศกว่าศีลเหล่านั้น; กล่าวคือ ศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทแก่ตัว วิญญูชนสรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาทิฏฐิลูบคลำ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ. จุนที ! บุคคลเหล่าใด ทำให้บริบูรณ์ในอริยกันตศีล, บุคคลเหล่านั้น ชื่อว่ากระทำให้บริบูรณ์ในสิ่งอันเลิศ; ก็วิบากอันเลิศ ย่อมมีแก่ผู้กระทำให้บริบูรณ์ในสิ่งอันเลิศ แล.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล**

    ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด

    ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม**
    วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า:
    "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!"

    สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..."

    นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!"

    แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร

    ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า**
    เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม:

    "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..."

    นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย

    นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน

    ### **การเปลี่ยนแปลง**
    หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน

    สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..."

    นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!"

    ### **บทเรียนที่ได้**
    เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ

    และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน!

    *(จบ)*

    > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    **เรื่องราวของสามีภรรยาชาวอินเดียในสมัยพุทธกาล** ในเมืองสาวัตถี แคว้นโกศล มีคู่สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งที่ชาวเมืองต่างรู้จักดีในความแตกต่างของพวกเขา **สามีชื่อ "สุทัตตะ"** เป็นพ่อค้าขายผ้าไหมผู้พูดน้อย นิ่งๆ แต่มีจิตใจศรัทธาในพระพุทธเจ้า ส่วน **ภรรยาชื่อ "นันทา"** เป็นหญิงขี้บ่น ปากจัด และไม่เชื่อเรื่องการบวชหรือการทำบุญ เธอคิดว่าชีวิตนี้ต้องสะสมทรัพย์เท่านั้น จึงเถียงสามีประจำเรื่องการไปวัด ### **วันแรกที่สุทัตตะพานันทาไปฟังธรรม** วันหนึ่ง สุทัตตะชวนนันทาไปฟังพระพุทธเจ้าทเทศน์ที่วัดเชตวัน แต่เธอตอบเสียงหลงว่า: "อีกแล้วเหรอ?! พ่อบ้านก็ไม่เห็นห่วงสมบัติ ทุกเย็นไม่คิดแต่จะไปวัด ถ้าพระพุทธเจ้าสอนดีจริง ทำไมเรายังไม่รวยล่ะ?!" สุทัตตะยิ้มน้อยๆ แล้วพูดเบาๆ: "พระองค์สอนว่า ความร่ำรวยไม่ใช่จุดจบของชีวิต..." นันทาตะโกน: "แล้วอะไรล่ะคือจุดจบ?! การยืนตากแดดฟังคนๆหนึ่งพูดเรื่องไม่จริง?!" แต่สุดท้าย เธอก็ถูกเพื่อนบ้านชักชวนให้ไปด้วยเพราะอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าดึงดูดคนได้อย่างไร ### **นันทาพบพระพุทธเจ้า** เมื่อไปถึง นันทายังบ่นพึมพำว่า "ร้อนจะตาย..." แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเริ่มเทศน์ พระองค์ตรัสด้วยเสียงอันสุขุม: "ดูก่อนอุบาสิกา บางคนสะสมทรัพย์แต่ใจจน บางคนมีน้อยแต่ใจเป็นสุข..." นันทาซึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่ ก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกเหมือนพระองค์ตรัสตรงถึงเธอ! พระพุทธเจ้าตรัสต่อเรื่อง **"ความทุกข์เกิดจากความยึดมั่น"** และเล่านิทานเปรียบเทียบถึงพ่อค้าคนหนึ่งที่โกรธเพราะเรือแตก แต่กลับโชคดีที่ถูกพัดเข้าฝั่ง เพราะไม่ยึดติดกับของที่สูญเสีย นันทาค่อยๆ หยุดบ่น เริ่มฟังด้วยความสนใจ แม้จะยังไม่พูดอะไร แต่ใจเธอเริ่มสั่นสะเทือน ### **การเปลี่ยนแปลง** หลังจากวันนั้น นันทายังเป็นคนปากกล้า แต่เริ่มถามสามีเรื่องธรรมะบ้าง และบางครั้งก็แอบไปวัดคนเดียวโดยไม่บอกสุทัตตะ! เพื่อนบ้านถึงกับตกใจเมื่อเห็นนันทาช่วยตักบาตรพระ แทนที่จะนั่งบ่นเรื่องเสียเงิน สุทัตตะยิ้มพอใจ แต่เขาก็ไม่พูดมาก 只是พูดว่า: "วันนี้ภรรยาดูสงบจัง..." นันทาหัวเราะแล้วตอบ: "ก็เพราะฉันเริ่มเข้าใจว่า การไม่บ่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้นไง!" ### **บทเรียนที่ได้** เรื่องราวของทั้งสองสอนให้เห็นว่า **ความศรัทธาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในทันที** และแม้แต่คนขี้บ่นที่สุด ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้พบคำสอนที่ใช่ แม้พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบังคับใครให้เชื่อ แต่พระธรรมย่อมดึงดูดใจผู้ที่พร้อมรับ และนั่นคือชีวิตคู่ของสุทัตตะกับนันทา ที่ยังคงเถียงกันบ้าง แต่ครั้งนี้... เธอเริ่มเถียงด้วยหลักธรรมแทน! *(จบ)* > หมายเหตุ: เรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อแสดงวิถีชีวิตและความเชื่อในสมัยพุทธกาลผ่านมุมมองสามัญชน ไม่ได้อ้างอิงจากพระสูตรโดยตรง แต่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนแปลงและการละทิ้งความยึดมั่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • **มหากาพย์ข้ามภพ: สายธารแห่งธรรม*

    ---

    ### **บทที่ 5: เงาสะท้อนจากกาลเวลา**

    ราเชศยืนอยู่หน้าห้องเก็บของเก่า มือสั่นเทาขณะเปิดสมุดโบราณที่เพิ่งค้นพบ
    "บันทึกของสุทัตตะ...?"

    ตัวอักษรจารึกบนใบลานเริ่มเลือนราง แต่ความรู้สึกกลับชัดเจนราวกับมีใครมาเขียนเพิ่มในใจเขา:

    _"วันนี้ นันทาเถียงเรื่องฉันให้ผ้าแม่ชีจนร้านขาดทุน...
    แต่ในสายตาเธอ ฉันเห็นความกลัวว่าเราจะจนเหมือนตอนเด็ก"_

    นันดินีที่แอบมองอยู่สะดุ้ง
    "นั่น...นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นแม่ป่วยเพราะไม่มีเงินรักษาตัว!"

    แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์เก่า
    ร่างเงาของทั้งคู่บนพื้น ปรากฏเป็นภาพ **สุทัตตะกับนันทาในชุดโบราณ**

    ---

    ### **บทที่ 6: ศิษย์ลึกลับแห่งเวฬุวัน**

    **อาจารย์ปกรณ์** นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ผู้ตามหาตำราสูญหาย
    เปิดเผยความลับให้ทั้งคู่ฟัง:

    "ผ้าผืนนั้นทอโดยพระนางพิมพา (พระมารดาของราหุล)
    มีอักขระธารณีปักไว้ด้วยเส้นผมของพระพุทธเจ้า..."

    แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือ
    **ลายมือในสมุดบันทึกของสุทัตตะ กับของราเชศ...เหมือนกันทุกเส้น!**

    นันดินีจับมือราเชศไว้แน่น
    "นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ...เราถูกชักนำให้มาพบกัน"

    ---

    ### **บทที่ 7: ปริศนาธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์**

    กลางดึก ทั้งคู่หลับไปใต้ต้นโพธิ์หลังวัด
    และพบกับ **สุทัตตะกับนันทาในยุคปัจจุบัน**

    **นันทา (ในร่างนักธุรกิจหญิง):**
    "ชาติก่อนเราทะเลาะกันเพราะต่างไม่เข้าใจ...
    แต่ชาตินี้ ฉันเรียนรู้ที่จะฟังก่อนพูด"

    **สุทัตตะ (ในร่างอาจารย์มหาวิทยาลัย):**
    "ความเงียบของฉันไม่ใช่การหนีปัญหา...
    แต่คือการรอให้เธอพร้อมจะรับฟัง"

    ปรากฏการณ์ **"การพบกันของ 4 จิตวิญญาณ"**
    ทำให้ต้นโพธิ์โบราณผลิดอกออกช่อ
    ทั้งที่ควรจะเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว

    ---

    ### **บทที่ 8: สายน้ำสามสายรวมเป็นหนึ่ง**

    ในพิธีมอบผ้าไหมให้พิพิธภัณฑ์
    **เส้นด้ายทั้งสามเริ่มแยกจากกัน:**

    1. สายทอง (ความทรงจำ) → กลายเป็นแสงส่องทาง
    2. สายแดง (กรรมเก่า) → ละลายเป็นน้ำมนต์
    3. สายขาว (การเริ่มใหม่) → ห่อหุ้มหัวใจทั้งสอง

    ราเชศเขียนจดหมายถึงนันดินี:
    _"ไม่สำคัญว่าเราเคยเป็นใคร...
    สำคัญว่าเราจะใช้บทเรียนนี้สร้างอะไร"_

    นันดินีตอบกลับด้วยการวาดภาพ
    **ร้านขายผ้าเก่า ที่มีเด็กๆ นั่งฟังธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่**

    ---

    ### **บทส่งท้าย: ดวงประทีปแห่งสาวัตถี**

    ปีต่อมา บนถนนสายเก่าในสาวัตถี
    มี **ศูนย์การเรียนรู้ "สามสายธาร"**

    - **ห้องสมุดจิตวิทยาพุทธศาสตร์** โดยราเชศ
    - **สตูดิโอศิลปะบำบัด** ของนันดินี
    - **ร้านชาสมุนไพร** ของอาจารย์ปกรณ์

    ทุกเย็นวันพระ ทั้งสามจะนั่งร่วมวงเสวนา
    ใต้ต้นโพธิ์ที่ผลิใบใหม่...
    **มหากาพย์ข้ามภพ: สายธารแห่งธรรม* --- ### **บทที่ 5: เงาสะท้อนจากกาลเวลา** ราเชศยืนอยู่หน้าห้องเก็บของเก่า มือสั่นเทาขณะเปิดสมุดโบราณที่เพิ่งค้นพบ "บันทึกของสุทัตตะ...?" ตัวอักษรจารึกบนใบลานเริ่มเลือนราง แต่ความรู้สึกกลับชัดเจนราวกับมีใครมาเขียนเพิ่มในใจเขา: _"วันนี้ นันทาเถียงเรื่องฉันให้ผ้าแม่ชีจนร้านขาดทุน... แต่ในสายตาเธอ ฉันเห็นความกลัวว่าเราจะจนเหมือนตอนเด็ก"_ นันดินีที่แอบมองอยู่สะดุ้ง "นั่น...นั่นคือความคิดของฉันตอนเห็นแม่ป่วยเพราะไม่มีเงินรักษาตัว!" แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์เก่า ร่างเงาของทั้งคู่บนพื้น ปรากฏเป็นภาพ **สุทัตตะกับนันทาในชุดโบราณ** --- ### **บทที่ 6: ศิษย์ลึกลับแห่งเวฬุวัน** **อาจารย์ปกรณ์** นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนา ผู้ตามหาตำราสูญหาย เปิดเผยความลับให้ทั้งคู่ฟัง: "ผ้าผืนนั้นทอโดยพระนางพิมพา (พระมารดาของราหุล) มีอักขระธารณีปักไว้ด้วยเส้นผมของพระพุทธเจ้า..." แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนตะลึงคือ **ลายมือในสมุดบันทึกของสุทัตตะ กับของราเชศ...เหมือนกันทุกเส้น!** นันดินีจับมือราเชศไว้แน่น "นี่ไม่ใช่แค่ความบังเอิญ...เราถูกชักนำให้มาพบกัน" --- ### **บทที่ 7: ปริศนาธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์** กลางดึก ทั้งคู่หลับไปใต้ต้นโพธิ์หลังวัด และพบกับ **สุทัตตะกับนันทาในยุคปัจจุบัน** **นันทา (ในร่างนักธุรกิจหญิง):** "ชาติก่อนเราทะเลาะกันเพราะต่างไม่เข้าใจ... แต่ชาตินี้ ฉันเรียนรู้ที่จะฟังก่อนพูด" **สุทัตตะ (ในร่างอาจารย์มหาวิทยาลัย):** "ความเงียบของฉันไม่ใช่การหนีปัญหา... แต่คือการรอให้เธอพร้อมจะรับฟัง" ปรากฏการณ์ **"การพบกันของ 4 จิตวิญญาณ"** ทำให้ต้นโพธิ์โบราณผลิดอกออกช่อ ทั้งที่ควรจะเหี่ยวแห้งไปนานแล้ว --- ### **บทที่ 8: สายน้ำสามสายรวมเป็นหนึ่ง** ในพิธีมอบผ้าไหมให้พิพิธภัณฑ์ **เส้นด้ายทั้งสามเริ่มแยกจากกัน:** 1. สายทอง (ความทรงจำ) → กลายเป็นแสงส่องทาง 2. สายแดง (กรรมเก่า) → ละลายเป็นน้ำมนต์ 3. สายขาว (การเริ่มใหม่) → ห่อหุ้มหัวใจทั้งสอง ราเชศเขียนจดหมายถึงนันดินี: _"ไม่สำคัญว่าเราเคยเป็นใคร... สำคัญว่าเราจะใช้บทเรียนนี้สร้างอะไร"_ นันดินีตอบกลับด้วยการวาดภาพ **ร้านขายผ้าเก่า ที่มีเด็กๆ นั่งฟังธรรมใต้ต้นไม้ใหญ่** --- ### **บทส่งท้าย: ดวงประทีปแห่งสาวัตถี** ปีต่อมา บนถนนสายเก่าในสาวัตถี มี **ศูนย์การเรียนรู้ "สามสายธาร"** - **ห้องสมุดจิตวิทยาพุทธศาสตร์** โดยราเชศ - **สตูดิโอศิลปะบำบัด** ของนันดินี - **ร้านชาสมุนไพร** ของอาจารย์ปกรณ์ ทุกเย็นวันพระ ทั้งสามจะนั่งร่วมวงเสวนา ใต้ต้นโพธิ์ที่ผลิใบใหม่...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์”
    • ความจริงเรื่องของท่านไม่หาย แต่ไม่มีใครเขียนต่อ เมื่อเขาเผาศพพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็เสียใจ ความจริงท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ใช่ไหม เกิดทันใช่ไหม เกิดพร้อมกัน (หัวเราะ) ต่อนะ ท่านโกมารภัจจ์ในเมื่อเขาเผาพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านก็ไม่เข้าบ้าน บอกเราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้ามานิพพานก่อนเราเราก็หมดที่พึ่งไม่มีใครสอน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อนแล้ว ก็เหมือนกับเราคนไม่มีอะไรเลย ท่านคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เลยไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงลูก ไม่คิดถึงเมีย ไม่คิดถึงทรัพย์สิน ไม่คิดถึงชีวิต เข้าไปนอนในถ้ำเข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปท่านบอกว่าเข้าป่าหวังจะให้มันตายไปเลย ยังมีคนตามไปขอยาอีก ใช่ไหม หมอซะอย่าง ในเมื่อมีคนตามมาขอยา ท่านก็รำคาญ เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องการทำอะไรทั้งหมด เข้าป่าลึก
    • พอเข้าป่าลึกไปนอนในถ้ำ นอนอย่างเดียวเราจะไม่ลุกจากที่นี้ จะเป็นไงก็ช่างมัน หมายความว่าจะตายก็ตายไปเสียนะ พอตัดสินใจว่ามันจะตายก็ตายตรงนี้ เราจะไม่ลุกไปอีกแล้ว ก็มีเสียงเหมือนแสงฟ้าแลบ แลบแป๊บเดียวก็มีเสียงเหมือนคล้ายฟ้าผ่าเปรี้ยง แล้วก็มีเสียงบอก โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านก็บอกว่าใช่แล้วก็นอน เดี๋ยวมาเป็นแบบนั้นอยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามท่านหลับ ท่านบอกก็เลยหลับสนิทไปเลย ไม่ตื่นต่อไปอีก
    • “อาการตัดสินใจแบบนั้นไม่อาลัยในชีวิตนะ เป็นอารมณ์อรหันต์ นั่นท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วนะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์นิพพานทันที” แต่ว่าหนังสือแบบเรียนเราไม่มีนะ ต้องหาที่อื่น นี่พูดเรื่องท่านโกมารภัจจ์ให้ฟัง ว่าเรื่องมันหายไปนะ ความจริงท่านไม่หาย ท่านโกมารภัจจ์ทำให้เรามีประโยชน์มากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร และตระกูลพระพุทธเจ้าเราจะสังเกตได้ว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่รังเกียจคนเผ่าอื่น คือไม่ยอมแต่งงานกับคนเมืองอื่นเลย จะต้องแต่งงานเฉพาะชาวกรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นนะ เราก็อ่านหนังสือแล้วเราคิดว่าคนพวกนี้มีมานะถือตัวมาก แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นแขกด้วยกัน แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แขก ท่านเป็นคนไทย เป็นลูกชาวไทยอาหม ไทยในแขกมีอยู่สองไทย คือ หนึ่ง ไทยอาหม สอง ไทยมะลิวัลย์
    • ไทยอาหมนั่นเขามาถึงอินเดียก่อนไทยมะลิวัลย์ ๑๐๐ ปี ในเมื่อไทยกับแขกมันกินข้าวด้วยกันไม่ไหวแล้ว ไหวไหม ไม่ไหวนะ ทีนี้มาตอนหนึ่งท่านโกมารภัจจ์ท่านลาพระพุทธเจ้ามาที่ทวาราวดี ลามาเที่ยว ๒ ปี แต่ว่าฎีกาจารย์ล่อสิบสองปี นี่มันจะมากไปหน่อย ตอนนั้นก็มาทางเรือนะ อินเดียมาประเทศไทยก็ไม่ไกลนักใช่ไหม เวลากลับไปก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าให้ทราบว่าชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด และพูดเพราะมาก คำว่าโดดหมายถึงเดี่ยว
    • อย่างเรากิน เราเรียกว่า ‘กิน’ นะ ของเขา ‘ภุญชะติ’ เรา ‘ไป’ เขา ‘คันตะวา’ นะ ของเราโดดกว่านะ นี่เทียบให้ฟังนะ พระพุทธเจ้าเลยถามว่าชาวทวาราวดีเขาพูดยังไง ลองพูดให้ฟังสักคำสิ พอท่านโกมารกัจจ์พูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน ก็คุยไปคุยมาคุยสนุกสนาน ต่อมาระหว่างที่คุยท่านโกมารภัจจ์ท่านนึกขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมรู้ภาษาทุกภาษา หรือว่าท่านรู้มาจากไหน เลยถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระองค์รู้ภาษาทวาราวดี อาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง ใช่ไหม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนไทย ไทยอาหม

    ================

    จากหนังสือ : ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๕ หน้า ๖๐-๖๒
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
    ภาพถ่ายสถานที่ : วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    “ท่านปู่ชีวกโกมารภัจจ์” • ความจริงเรื่องของท่านไม่หาย แต่ไม่มีใครเขียนต่อ เมื่อเขาเผาศพพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านโกมารภัจจ์ท่านก็เสียใจ ความจริงท่านโกมารภัจจ์ท่านเป็นพระโสดาบันนะ ใช่ไหม เกิดทันใช่ไหม เกิดพร้อมกัน (หัวเราะ) ต่อนะ ท่านโกมารภัจจ์ในเมื่อเขาเผาพระพุทธเจ้าเสร็จ ท่านก็ไม่เข้าบ้าน บอกเราคิดว่าเราจะตายก่อนพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้ามานิพพานก่อนเราเราก็หมดที่พึ่งไม่มีใครสอน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานเสียก่อนแล้ว ก็เหมือนกับเราคนไม่มีอะไรเลย ท่านคิดว่าอย่างนั้นนะ ก็เลยไม่คิดถึงบ้าน ไม่คิดถึงลูก ไม่คิดถึงเมีย ไม่คิดถึงทรัพย์สิน ไม่คิดถึงชีวิต เข้าไปนอนในถ้ำเข้าป่าไปเลย เข้าป่าไปท่านบอกว่าเข้าป่าหวังจะให้มันตายไปเลย ยังมีคนตามไปขอยาอีก ใช่ไหม หมอซะอย่าง ในเมื่อมีคนตามมาขอยา ท่านก็รำคาญ เราเป็นคนไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องการทำอะไรทั้งหมด เข้าป่าลึก • พอเข้าป่าลึกไปนอนในถ้ำ นอนอย่างเดียวเราจะไม่ลุกจากที่นี้ จะเป็นไงก็ช่างมัน หมายความว่าจะตายก็ตายไปเสียนะ พอตัดสินใจว่ามันจะตายก็ตายตรงนี้ เราจะไม่ลุกไปอีกแล้ว ก็มีเสียงเหมือนแสงฟ้าแลบ แลบแป๊บเดียวก็มีเสียงเหมือนคล้ายฟ้าผ่าเปรี้ยง แล้วก็มีเสียงบอก โกมารภัจจ์ เธอเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ท่านก็บอกว่าใช่แล้วก็นอน เดี๋ยวมาเป็นแบบนั้นอยู่สามครั้ง พอครั้งที่สามท่านหลับ ท่านบอกก็เลยหลับสนิทไปเลย ไม่ตื่นต่อไปอีก • “อาการตัดสินใจแบบนั้นไม่อาลัยในชีวิตนะ เป็นอารมณ์อรหันต์ นั่นท่านเป็นพระโสดาบันอยู่แล้วนะ ก็เลยเป็นพระอรหันต์นิพพานทันที” แต่ว่าหนังสือแบบเรียนเราไม่มีนะ ต้องหาที่อื่น นี่พูดเรื่องท่านโกมารภัจจ์ให้ฟัง ว่าเรื่องมันหายไปนะ ความจริงท่านไม่หาย ท่านโกมารภัจจ์ทำให้เรามีประโยชน์มากให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร และตระกูลพระพุทธเจ้าเราจะสังเกตได้ว่าชาวกรุงกบิลพัสดุ์นี่รังเกียจคนเผ่าอื่น คือไม่ยอมแต่งงานกับคนเมืองอื่นเลย จะต้องแต่งงานเฉพาะชาวกรุงกบิลพัสดุ์เท่านั้นนะ เราก็อ่านหนังสือแล้วเราคิดว่าคนพวกนี้มีมานะถือตัวมาก แต่ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นแขกด้วยกัน แต่ความจริงพระพุทธเจ้าท่านไม่ใช่แขก ท่านเป็นคนไทย เป็นลูกชาวไทยอาหม ไทยในแขกมีอยู่สองไทย คือ หนึ่ง ไทยอาหม สอง ไทยมะลิวัลย์ • ไทยอาหมนั่นเขามาถึงอินเดียก่อนไทยมะลิวัลย์ ๑๐๐ ปี ในเมื่อไทยกับแขกมันกินข้าวด้วยกันไม่ไหวแล้ว ไหวไหม ไม่ไหวนะ ทีนี้มาตอนหนึ่งท่านโกมารภัจจ์ท่านลาพระพุทธเจ้ามาที่ทวาราวดี ลามาเที่ยว ๒ ปี แต่ว่าฎีกาจารย์ล่อสิบสองปี นี่มันจะมากไปหน่อย ตอนนั้นก็มาทางเรือนะ อินเดียมาประเทศไทยก็ไม่ไกลนักใช่ไหม เวลากลับไปก็ไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าให้ทราบว่าชาวทวาราวดีใช้ภาษาโดด และพูดเพราะมาก คำว่าโดดหมายถึงเดี่ยว • อย่างเรากิน เราเรียกว่า ‘กิน’ นะ ของเขา ‘ภุญชะติ’ เรา ‘ไป’ เขา ‘คันตะวา’ นะ ของเราโดดกว่านะ นี่เทียบให้ฟังนะ พระพุทธเจ้าเลยถามว่าชาวทวาราวดีเขาพูดยังไง ลองพูดให้ฟังสักคำสิ พอท่านโกมารกัจจ์พูดให้ฟัง พระพุทธเจ้าก็พูดภาษาทวาราวดี คุยกันสนุกสนาน ก็คุยไปคุยมาคุยสนุกสนาน ต่อมาระหว่างที่คุยท่านโกมารภัจจ์ท่านนึกขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าย่อมรู้ภาษาทุกภาษา หรือว่าท่านรู้มาจากไหน เลยถามพระพุทธเจ้าว่าการที่พระองค์รู้ภาษาทวาราวดี อาศัยปฏิสัมภิทาญาณหรือรู้มาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่า ชาวกรุงกบิลพัสดุ์ทั้งหมดใช้ภาษานี้เป็นภาษาพื้นเมือง ใช่ไหม ก็แสดงว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนไทย ไทยอาหม ================ จากหนังสือ : ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๕๕ หน้า ๖๐-๖๒ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) ภาพถ่ายสถานที่ : วัดจันทาราม (ท่าซุง)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘

    วันคล้ายวันเสด็จสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    พระผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย

    น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้
    ข้าพระพุทธเจ้า​ นาย​พัฒน์​ดนัย​ วาริ​พัฒน์
    ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ วันคล้ายวันเสด็จสวรรคตสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า​ นาย​พัฒน์​ดนัย​ วาริ​พัฒน์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวใจและความลับของพระธรรมจักร #พระพุทธเจ้า
    หัวใจและความลับของพระธรรมจักร #พระพุทธเจ้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 5 0 รีวิว
  • “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม”

    1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม”

    > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง”
    นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ

    ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม

    ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม

    ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน”

    ---

    2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต

    > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง”
    ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ

    ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง

    ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน

    > ธรรมะสั้น:
    “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น”

    ---

    3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต

    บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง:

    ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน

    ไม่อาฆาตพยาบาท

    ไม่ใจดำตอบโต้

    ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด”

    ---

    4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต

    > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว”

    นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม

    ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่

    ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้

    > ธรรมะสั้น:
    “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก”

    ---

    5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต

    บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา:
    "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด

    ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร

    เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์

    > ธรรมะสั้น:
    “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน”

    ---

    สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที

    ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม

    ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ

    ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม

    การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ

    ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    “ความอุ่นใจคือเครื่องวัดเส้นทางกรรม” 1. ความอุ่นใจคือ “เข็มทิศกรรม” > “หากเมื่อโตขึ้นแล้ว ความอุ่นใจลดลง แสดงว่ากำลังเดินผิดทาง” นี่คือหลักธรรมที่เรียบง่ายแต่วัดผลได้จริง ความอุ่นใจในที่นี้ไม่ได้แปลว่า “สบายใจชั่วคราว” แต่คือ สุขทางใจอันเกิดจากบุญกรรม ที่สั่งสมอยู่ในใจ ถ้าอุ่นใจมากขึ้น แปลว่า สะสมกรรมดีเพิ่ม ถ้าอุ่นใจน้อยลง แปลว่า ใจเริ่มห่างจากธรรม ถ้าอุ่นใจเท่าเดิม แปลว่า เสมอตัว ยังไม่ได้สร้างกุศลใหม่ > ธรรมะสั้น: “ใจอุ่นหรือใจหวิว เป็นใบเสร็จของกรรมปัจจุบัน” --- 2. ใจสว่างคือพลังแห่งอนาคต > “หากใจคุณสว่าง อนาคตก็ย่อมสว่าง” ธรรมะในประโยคนี้คือการยืนยันว่า อนาคตของเรา ไม่ได้ถูกกำหนดจากโชคชะตา แต่ถูกหล่อหลอมจากภายในใจ ใจที่ผูกกับธรรมะ → เบิกบาน มั่นคง ใจที่ผูกกับอธรรม → สงสัย สับสน มืดมน > ธรรมะสั้น: “ใจผูกกับธรรมะมากแค่ไหน ชีวิตก็สว่างมากเท่านั้น” --- 3. ศรัทธาในกรรมวิบาก คือจุดเปลี่ยนของวิถีชีวิต บทความย้ำว่า แม้กรรมเก่าอาจยังส่งผลรุนแรง แต่หากเราศรัทธาในกรรมอย่างมั่นคง: ไม่ทำกรรมใหม่ซ้ำซ้อน ไม่อาฆาตพยาบาท ไม่ใจดำตอบโต้ ผลคือใจจะ “ใส ใจเบา” และอยู่ในภาวะที่ ไม่ถูกยั่วยุให้ทำชั่วง่ายๆ อีกต่อไป > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในกรรมวิบาก คือยาแก้เจ็บใจที่ลึกที่สุด” --- 4. ความเชื่อมั่นในบุญ เป็น “ทุนใหม่” ที่เสริมแรงชีวิต > “ใครจะว่าคุณเข้าข้างตัวเองก็ช่าง… แต่หากคุณได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า แปลว่าคุณมีทุนเก่าหนากว่าคนอื่นแล้ว” นี่คือการเตือนใจให้ หมั่นภาคภูมิในโอกาสอันล้ำค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ภายใต้ร่มพระธรรม ไม่ใช่แค่โชคดี… แต่คือ โอกาสในการสร้างบุญใหม่ที่ยิ่งใหญ่ ความอุ่นใจจากบุญที่ทำ = กำไรทางใจ ที่ไม่มีใครปล้นไปได้ > ธรรมะสั้น: “ศรัทธาในบุญ คือทุนใหม่ที่ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนอีก” --- 5. ทาน ศีล ภาวนา = กองทุนบุญของชีวิต บทความปิดท้ายด้วยแก่นของพุทธศาสนา: "ทาน ศีล ภาวนา" คือช่องทางในการสร้างกรรมดีที่แน่นอนและมั่นคงที่สุด ไม่ต้องลุ้น ไม่ต้องเสี่ยง ไม่ต้องถามใคร เมื่อสะสมมากขึ้น ใจจะอิ่มเอิบจนถึงขั้นที่ ไม่กลัวความตาย ไม่สะท้านต่อความทุกข์ > ธรรมะสั้น: “ผู้สั่งสมบุญย่อมอยู่เป็นสุขแน่นอน” --- สรุปสาระธรรมแบบใช้ต่อยอดได้ทันที ความอุ่นใจ = ใบเสร็จของผลกรรม ใจสว่าง = ชีวิตไปในทางเจริญ ศรัทธาในกรรม = หลักยึดเมื่อทุกข์ถาโถม การได้ฟังธรรม = เครื่องยืนยันว่าเรามีบุญ ทาน ศีล ภาวนา = ทางลัดสู่ความสุขทางใจอันแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🙏✨พระสังกัจจายน์ #หลวงพ่อช่วง วัดโป่งตามุข อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ยุคต้นสร้างราวปีพุทธศักราช 2500 ลงรักน้ำเกลี้ยงหลังเบี้ย พระของหลวงพ่อช่วงนั้นได้รับความนิยมมานานจากคนในพื้นที่ ด้วยพุทธคุณเด่นทางด้านเมตตามหานิยม ค้าขายเป็นยอด ซึ่งพระสังกัจจายน์เป็นอัครสาวกองค์สำคัญของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตา โชคดี และ ความอุดมสมบูรณ์
    🙏✨พระสังกัจจายน์ #หลวงพ่อช่วง วัดโป่งตามุข อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ยุคต้นสร้างราวปีพุทธศักราช 2500 ลงรักน้ำเกลี้ยงหลังเบี้ย พระของหลวงพ่อช่วงนั้นได้รับความนิยมมานานจากคนในพื้นที่ ด้วยพุทธคุณเด่นทางด้านเมตตามหานิยม ค้าขายเป็นยอด ซึ่งพระสังกัจจายน์เป็นอัครสาวกองค์สำคัญของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความเมตตา โชคดี และ ความอุดมสมบูรณ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 16 ปี หลังสนธิรอดตาย แต่ต้องช้ำใจสังคมยังไม่รอดโกง คนที่ควรจับโกง กลับโกงเสียเอง.ผมขออนุญาตพูดถึงความรู้สึกของผมหน่อย หลายๆ เรื่องที่ผมทำงานมา ปีนี้ 78 แล้ว ถ้าพูดถึงชีวิตการทำงานของผม มันผ่านมาหมดทุกอย่าง อุปสรรค คดีความ คุกตะราง ความเป็นความตาย ถูกลอบยิง หลักๆ แล้วทั้งหมดที่ผมผ่านมา คือคนที่มีอำนาจในแผ่นดิน หรือคนที่มีอำนาจ ใช้เงินใช้ทองซื้ออำนาจมา หรือการประมูลงานที่ต้องใช้เงินใช้ทองมา ประเทศไทยมันมาถึงจุดที่เรียกว่าไม่มีทางรอดอีกต่อไปแล้ว .เพราะคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นหลักการ การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข การป้องกันประเทศ หรือการทำงานในหน่วยงาน องค์กรอิสระ ผมแทบจะหาคนที่มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตรัสว่า ‘เราต้องหาทางให้คนดีมาบริหารประเทศ และกันคนไม่ดีออกไป’ผมยังจำได้ดีเลย พระองค์ท่านบอกว่า คนเรามีหน้าที่อะไร ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ท่านพูดนั้น เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าและทรงใช้เป็นตัวนำมาตลอดเวลา ท่านเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ท่านใช้ชื่อว่า "ชั่งหัวมัน" เพราะท่านพูดก็แล้ว ท่านเตือนสติก็แล้ว ก็ไม่ฟังกัน ก็ช่างหัวมันแล้วกัน ท่านก็ส่งสัญญาณด้วยการตั้งชื่อออกมาเพื่อให้เราเก๊ตกับมัน.หลวงตามหาบัว ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์บอกผมสิบกว่าปีแล้วว่า “สนธิ… การโกงกินชาติบ้านเมืองมันกินเข้าไปถึงกระดูกแล้ว มันเน่าเฟะไปหมดทั้งร่างกายของคนไทย” และวันนี้ผมเห็นแล้วว่าจริง นับตั้งแต่วันแรกที่ผมออกไปสู้กับทักษิณ ชินวัตร ท่านพูดกับผมตลอดว่า “สนธิ อย่าลืมนะ ต้องเอาธรรมนำหน้า ไม่มีใครชนะธรรมได้” นั่นก็คือไม่มีใครชนะความจริงได้ ท่านบอกว่า ธรรม คนมีปัญญา คนมีสติ ถึงจะมองเห็นธรรม แต่ธรรมนั้น คนจำนวนมากจะไม่เข้าใจ เพราะว่าคนจำนวนมากนั้นยังหมกมุ่นอยู่ในกิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเป็น ผบ.ตร. อยากเป็น ผบ.ทบ. อยากเป็นผู้ว่าฯ สตง. อยากเป็น นั่นคือกิเลสส่วนหนึ่ง เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็อยากมี ก็ใช้อำนาจนั้นไปแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมให้กับตัวเอง .ตำแหน่งทุกอย่างมันเป็น ‘สมมุติ’ …แต่หน้าที่ต้องทำให้จริง ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบต่อประชาชนจริงๆ ขอให้รู้ด้วยว่า ที่คุณรับเงินรับทองใครไปบ้างนั้น ไม่ใช่ว่าประชาชนเขาไม่รู้ หรือไม่ใช่ผมไม่รู้ ผมรู้ ผมดูถูกเหยียดหยามพวกคุณมาก .วันนี้ไอ้คุณมึงคนที่ประชาชนจะพึ่งได้ในยามสิ้นหวัง เช่น ป.ป.ช. หรือ สตง. กลับเป็นคนที่ทำชั่วเสียเอง ในเมื่อกูพึ่งนักการเมืองไม่ได้ กูขอพึ่งมึงได้ไหม ขอพึ่ง ป.ป.ช. ได้ไหม ขอพึ่ง สตง. ได้ไหม มึงกลับทำเหี้ยเสียเอง แล้วไม่ให้ผมช้ำใจได้อย่างไร .วันนี้ครบ 16 ปีที่ผมถูกยิง—17 เมษายน 2552 ตีห้าครึ่งแต่ผมไม่ตาย ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการหลายคนรักผมบอกว่า”สนธิ มีแต่คนอยากเป็นเพื่อนกับสนธิ สนธิอย่าไปขุดคุ้ยเขาได้ไหม สนธิจะเอาอะไร เดี๋ยวเขาให้” ผมขอบคุณ ผมไม่เดือดร้อน ผมไม่มีอะไรกับเขาเป็นส่วนตัว แต่ถ้าเขามีอะไรที่เขาทำแล้ว เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เขา แล้วทำให้ประเทศชาติบ้านเมือง ประชาชนเดือดร้อน ผมจำเป็นต้องลุกขึ้นมาสู้ .แต่วันนี้ ผมพึ่งใครไม่ได้แล้ว ป.ป.ช. ก็หมดหวัง สตง. ยุคคุณหญิงจารุวรรณเคยเป็นความหวัง ตอนนี้ก็ไม่เหลือ ศาลเองก็เริ่มเพี้ยน หัวหน้าศาลบางจังหวัดสนิทกับผู้มีอิทธิพล พาผมไปฟ้องศาลต่างจังหวัด ผมไม่ช้ำใจได้ยังไง?.ผมเลือกทำสื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เพราะผมมีความรู้สึกว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ขาดปัญญา ถ้าผมทำแล้วให้ปัญญาคน ทั้งที่รู้ว่าคนสนใจข่าวซุบซิบนินทาทำไมโตโน่หักหลังณิชาเป็นล้าน แต่มาสนใจข้อมูลข่าวสารที่ผมทำแค่หมื่น ร้อยเท่า ผมยังต้องอดทน เพราะผมอยากให้คนไทยมีปัญญา .เหมือนที่ผมอดทนออกมาสู้กับทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาต่างๆ แล้วผมต้องรอ 17 ปี กว่าเขาจะกลับมา เพื่อจะกลับมาเมืองไทยโดยการสารภาพผิด บรรจุลงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้ข่าวว่าเขากำลังจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อนิรโทษฯ กรรมต่างๆ ที่เขาทำไป.การจะได้ปัญญาสักอย่างหนึ่ง การจะรู้ความจริงสักอย่างหนึ่ง ต้องใช้เวลา ต้องกล้าเผชิญความจริงใหม่ๆ ผมทำรายการ"คุยทุกเรื่องกับสนธิ"มาเจ็ดปี ยังต้องเดินขึ้นศาลไม่หยุด เพราะผมยึดถือธรรม วันนี้ช้ำใจที่สุดคือคนที่ควรจับโกง กลับโกงเสียเอง ผมมาเห็นปัญหา ป.ป.ช. แล้วผมช้ำใจแล้ว นี่ผมมาเห็นปัญหา สตง. ซึ่งมันเป็นมหากาพย์ ที่มันเจ็บใจที่สุดคือคนที่ต้องมีหน้าที่จับทุจริตคนอื่น เสือกมาทำเอง ผมช้ำใจมาก .หลายคนอวยพรผมสงกรานต์ บอกพี่สนธิ / ลุง ต้องอยู่ไปนานๆ นะ เป็นที่พึ่งของลูกหลาน ผมบอกว่า เฮ้ย! ฉันอยากจะตายวันตายคืน จะได้พ้นเวรพ้นกรรม เพราะว่าพอตายแล้ว ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องสมมุติหมด มีแต่ความว่างเปล่า จริงๆ ท่านผู้ชม ผมอยากตายวันตายคืน จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องเหี้ยๆ พวกนี้อีกต่อไป วันนี้ขอแค่นี้ แล้วเจอกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
    16 ปี หลังสนธิรอดตาย แต่ต้องช้ำใจสังคมยังไม่รอดโกง คนที่ควรจับโกง กลับโกงเสียเอง.ผมขออนุญาตพูดถึงความรู้สึกของผมหน่อย หลายๆ เรื่องที่ผมทำงานมา ปีนี้ 78 แล้ว ถ้าพูดถึงชีวิตการทำงานของผม มันผ่านมาหมดทุกอย่าง อุปสรรค คดีความ คุกตะราง ความเป็นความตาย ถูกลอบยิง หลักๆ แล้วทั้งหมดที่ผมผ่านมา คือคนที่มีอำนาจในแผ่นดิน หรือคนที่มีอำนาจ ใช้เงินใช้ทองซื้ออำนาจมา หรือการประมูลงานที่ต้องใช้เงินใช้ทองมา ประเทศไทยมันมาถึงจุดที่เรียกว่าไม่มีทางรอดอีกต่อไปแล้ว .เพราะคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นหลักการ การบำบัดทุกข์ บำรุงสุข การป้องกันประเทศ หรือการทำงานในหน่วยงาน องค์กรอิสระ ผมแทบจะหาคนที่มีความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตรัสว่า ‘เราต้องหาทางให้คนดีมาบริหารประเทศ และกันคนไม่ดีออกไป’ผมยังจำได้ดีเลย พระองค์ท่านบอกว่า คนเรามีหน้าที่อะไร ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ท่านพูดนั้น เป็นธรรมของพระพุทธเจ้าและทรงใช้เป็นตัวนำมาตลอดเวลา ท่านเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ท่านใช้ชื่อว่า "ชั่งหัวมัน" เพราะท่านพูดก็แล้ว ท่านเตือนสติก็แล้ว ก็ไม่ฟังกัน ก็ช่างหัวมันแล้วกัน ท่านก็ส่งสัญญาณด้วยการตั้งชื่อออกมาเพื่อให้เราเก๊ตกับมัน.หลวงตามหาบัว ซึ่งก็เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์บอกผมสิบกว่าปีแล้วว่า “สนธิ… การโกงกินชาติบ้านเมืองมันกินเข้าไปถึงกระดูกแล้ว มันเน่าเฟะไปหมดทั้งร่างกายของคนไทย” และวันนี้ผมเห็นแล้วว่าจริง นับตั้งแต่วันแรกที่ผมออกไปสู้กับทักษิณ ชินวัตร ท่านพูดกับผมตลอดว่า “สนธิ อย่าลืมนะ ต้องเอาธรรมนำหน้า ไม่มีใครชนะธรรมได้” นั่นก็คือไม่มีใครชนะความจริงได้ ท่านบอกว่า ธรรม คนมีปัญญา คนมีสติ ถึงจะมองเห็นธรรม แต่ธรรมนั้น คนจำนวนมากจะไม่เข้าใจ เพราะว่าคนจำนวนมากนั้นยังหมกมุ่นอยู่ในกิเลส ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเป็น ผบ.ตร. อยากเป็น ผบ.ทบ. อยากเป็นผู้ว่าฯ สตง. อยากเป็น นั่นคือกิเลสส่วนหนึ่ง เมื่อได้อำนาจมาแล้วก็อยากมี ก็ใช้อำนาจนั้นไปแสวงหาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมให้กับตัวเอง .ตำแหน่งทุกอย่างมันเป็น ‘สมมุติ’ …แต่หน้าที่ต้องทำให้จริง ซื่อสัตย์ และรับผิดชอบต่อประชาชนจริงๆ ขอให้รู้ด้วยว่า ที่คุณรับเงินรับทองใครไปบ้างนั้น ไม่ใช่ว่าประชาชนเขาไม่รู้ หรือไม่ใช่ผมไม่รู้ ผมรู้ ผมดูถูกเหยียดหยามพวกคุณมาก .วันนี้ไอ้คุณมึงคนที่ประชาชนจะพึ่งได้ในยามสิ้นหวัง เช่น ป.ป.ช. หรือ สตง. กลับเป็นคนที่ทำชั่วเสียเอง ในเมื่อกูพึ่งนักการเมืองไม่ได้ กูขอพึ่งมึงได้ไหม ขอพึ่ง ป.ป.ช. ได้ไหม ขอพึ่ง สตง. ได้ไหม มึงกลับทำเหี้ยเสียเอง แล้วไม่ให้ผมช้ำใจได้อย่างไร .วันนี้ครบ 16 ปีที่ผมถูกยิง—17 เมษายน 2552 ตีห้าครึ่งแต่ผมไม่ตาย ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการหลายคนรักผมบอกว่า”สนธิ มีแต่คนอยากเป็นเพื่อนกับสนธิ สนธิอย่าไปขุดคุ้ยเขาได้ไหม สนธิจะเอาอะไร เดี๋ยวเขาให้” ผมขอบคุณ ผมไม่เดือดร้อน ผมไม่มีอะไรกับเขาเป็นส่วนตัว แต่ถ้าเขามีอะไรที่เขาทำแล้ว เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เขา แล้วทำให้ประเทศชาติบ้านเมือง ประชาชนเดือดร้อน ผมจำเป็นต้องลุกขึ้นมาสู้ .แต่วันนี้ ผมพึ่งใครไม่ได้แล้ว ป.ป.ช. ก็หมดหวัง สตง. ยุคคุณหญิงจารุวรรณเคยเป็นความหวัง ตอนนี้ก็ไม่เหลือ ศาลเองก็เริ่มเพี้ยน หัวหน้าศาลบางจังหวัดสนิทกับผู้มีอิทธิพล พาผมไปฟ้องศาลต่างจังหวัด ผมไม่ช้ำใจได้ยังไง?.ผมเลือกทำสื่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เพราะผมมีความรู้สึกว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่ขาดปัญญา ถ้าผมทำแล้วให้ปัญญาคน ทั้งที่รู้ว่าคนสนใจข่าวซุบซิบนินทาทำไมโตโน่หักหลังณิชาเป็นล้าน แต่มาสนใจข้อมูลข่าวสารที่ผมทำแค่หมื่น ร้อยเท่า ผมยังต้องอดทน เพราะผมอยากให้คนไทยมีปัญญา .เหมือนที่ผมอดทนออกมาสู้กับทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาต่างๆ แล้วผมต้องรอ 17 ปี กว่าเขาจะกลับมา เพื่อจะกลับมาเมืองไทยโดยการสารภาพผิด บรรจุลงในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งได้ข่าวว่าเขากำลังจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อนิรโทษฯ กรรมต่างๆ ที่เขาทำไป.การจะได้ปัญญาสักอย่างหนึ่ง การจะรู้ความจริงสักอย่างหนึ่ง ต้องใช้เวลา ต้องกล้าเผชิญความจริงใหม่ๆ ผมทำรายการ"คุยทุกเรื่องกับสนธิ"มาเจ็ดปี ยังต้องเดินขึ้นศาลไม่หยุด เพราะผมยึดถือธรรม วันนี้ช้ำใจที่สุดคือคนที่ควรจับโกง กลับโกงเสียเอง ผมมาเห็นปัญหา ป.ป.ช. แล้วผมช้ำใจแล้ว นี่ผมมาเห็นปัญหา สตง. ซึ่งมันเป็นมหากาพย์ ที่มันเจ็บใจที่สุดคือคนที่ต้องมีหน้าที่จับทุจริตคนอื่น เสือกมาทำเอง ผมช้ำใจมาก .หลายคนอวยพรผมสงกรานต์ บอกพี่สนธิ / ลุง ต้องอยู่ไปนานๆ นะ เป็นที่พึ่งของลูกหลาน ผมบอกว่า เฮ้ย! ฉันอยากจะตายวันตายคืน จะได้พ้นเวรพ้นกรรม เพราะว่าพอตายแล้ว ทุกเรื่องก็เป็นเรื่องสมมุติหมด มีแต่ความว่างเปล่า จริงๆ ท่านผู้ชม ผมอยากตายวันตายคืน จะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องเหี้ยๆ พวกนี้อีกต่อไป วันนี้ขอแค่นี้ แล้วเจอกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 554 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เข้านิพพานแล้วอานิสงส์ยังไม่หมด

    เมื่อกี้มีโยมมาถวายสังฆทาน ให้พรท่าน ท่านบอก "ขอถึงพระนิพพานในชาตินี้" ดีใจมาก คือว่าเป็นเจตนาที่ตั้งไว้สูงนี้ดีมาก เราตั้งใจนิพพาน ผลที่สุดงานทุกอย่างมันสำเร็จหมด ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ส่วนที่อยู่ต่ำกว่าสำเร็จหมดอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้ครบ เพราะกำลังนิพพานให้ผล

    ตานี้ก็มีปัญหาอยู่ว่าทุกคนทำบุญ การถวายทานก็ดี การถวายสังฆทานก็ดี คำว่าทานทั้งหมดเป็นปัจจัยทำให้เกิดความร่ำรวยในชาติหน้า จะเป็นคนก็เป็นคนรวย จะเป็นเทวดา นางฟ้า ก็มีความร่ำรวย เป็นพรหมก็เป็นพรหมที่ร่ำรวย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถวายสังฆทานครั้งหนึ่งด้วยศรัทธา แม้แต่เพียงหนเดียวนะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสท่านบอกว่า

    "เกิดไปอีกกี่ชาติก็ตาม ไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ความยากจนจะไม่มีกับคนนั้นเลย"

    แล้วต่อมาท่านกล่าวว่า "ด้วยอำนาจพระพุทธญาณไม่สามารถจะเห็นอานิสงส์ที่สุดของทานได้"

    นั่นก็หมายความว่า คนนั้นเข้านิพพานแล้วอานิสงส์ยังไม่หมด สังฆทานไม่ใช่เรื่องเล็ก ใหญ่มาก

    ก็มีปัญหาถามว่า ถ้าเจ้าของสังฆทานเข้านิพพานแล้ว ผลของสังฆทานจะได้กับ
    ใคร

    อรรถกถาจารย์แก้ว่า ต้องได้แก่บุคคลที่บูชาบุคคลนั้น คือว่าคนที่อยู่เบื้องหลังยังเคารพบูชาเจ้าของสังฆทานอยู่ก็มีผลพลอยได้ ผลพลอยได้คนนั้นมีความเป็นอยู่เป็นสุข ร่ำรวยในทรัพย์สิน

    *การถวายสังฆทานมีผลดีอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าท่านก็เคยถวายสังฆทาน เราอยู่เบื้องหลังบูชาท่านก็พลอยได้อานิสงส์ด้วย คือความร่ำรวย หลวงพ่อบำเพ็ญบารมีมา 16 อสงไขยกับแสนกัปก็ต้องเคยทำสังฆทานมามากมายนับไม่ถ้วน เราบูชาหลวงพ่อก็พลอยได้อานิสงส์ด้วยเช่นกัน

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 99 เดือนพฤษภาคม 2532 หน้า 29 )
    #เข้านิพพานแล้วอานิสงส์ยังไม่หมด เมื่อกี้มีโยมมาถวายสังฆทาน ให้พรท่าน ท่านบอก "ขอถึงพระนิพพานในชาตินี้" ดีใจมาก คือว่าเป็นเจตนาที่ตั้งไว้สูงนี้ดีมาก เราตั้งใจนิพพาน ผลที่สุดงานทุกอย่างมันสำเร็จหมด ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ส่วนที่อยู่ต่ำกว่าสำเร็จหมดอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้ครบ เพราะกำลังนิพพานให้ผล ตานี้ก็มีปัญหาอยู่ว่าทุกคนทำบุญ การถวายทานก็ดี การถวายสังฆทานก็ดี คำว่าทานทั้งหมดเป็นปัจจัยทำให้เกิดความร่ำรวยในชาติหน้า จะเป็นคนก็เป็นคนรวย จะเป็นเทวดา นางฟ้า ก็มีความร่ำรวย เป็นพรหมก็เป็นพรหมที่ร่ำรวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถวายสังฆทานครั้งหนึ่งด้วยศรัทธา แม้แต่เพียงหนเดียวนะ พระพุทธเจ้าทรงตรัสท่านบอกว่า "เกิดไปอีกกี่ชาติก็ตาม ไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ความยากจนจะไม่มีกับคนนั้นเลย" แล้วต่อมาท่านกล่าวว่า "ด้วยอำนาจพระพุทธญาณไม่สามารถจะเห็นอานิสงส์ที่สุดของทานได้" นั่นก็หมายความว่า คนนั้นเข้านิพพานแล้วอานิสงส์ยังไม่หมด สังฆทานไม่ใช่เรื่องเล็ก ใหญ่มาก ก็มีปัญหาถามว่า ถ้าเจ้าของสังฆทานเข้านิพพานแล้ว ผลของสังฆทานจะได้กับ ใคร อรรถกถาจารย์แก้ว่า ต้องได้แก่บุคคลที่บูชาบุคคลนั้น คือว่าคนที่อยู่เบื้องหลังยังเคารพบูชาเจ้าของสังฆทานอยู่ก็มีผลพลอยได้ ผลพลอยได้คนนั้นมีความเป็นอยู่เป็นสุข ร่ำรวยในทรัพย์สิน *การถวายสังฆทานมีผลดีอย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าท่านก็เคยถวายสังฆทาน เราอยู่เบื้องหลังบูชาท่านก็พลอยได้อานิสงส์ด้วย คือความร่ำรวย หลวงพ่อบำเพ็ญบารมีมา 16 อสงไขยกับแสนกัปก็ต้องเคยทำสังฆทานมามากมายนับไม่ถ้วน เราบูชาหลวงพ่อก็พลอยได้อานิสงส์ด้วยเช่นกัน (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 99 เดือนพฤษภาคม 2532 หน้า 29 )
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 305 มุมมอง 0 รีวิว
  • #คนต้องการพระนิพพานจะมีความรู้สึกอย่างไร

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า

    "ต้องใช้อากิญจัญญายตนะฌาณเป็นประจำใจ"

    คำว่า #อากิญจัญญายตนะฌาณ ฟังแล้วหนักใจ แต่ความจริงถ้าคนฉลาดก็ไม่หนัก ถ้าคนโง่ก็หนัก
    เพราะอากิญจัญญายตนะฌาน เป็นอารมณ์ของคนฉลาด คือ
    มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า
    โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมากี่คนตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น
    สภาพของวัตถุทั้งหลายไม่มีการทรงตัว เสื่อมไปแล้วพังหมดเท่านั้น วันนี้ไม่พังวันหน้ามันก็พัง
    คนวันนี้ไม่ตายวันหน้าก็ตาย สัตว์วันนี้ไม่ตายวันหน้าก็ตาย
    ฉะนั้นโลกทั้งหลายไม่เป็นที่น่าอยู่สำหรับเรา เราไม่ต้องการ

    ถ้าบุคคลทั้งหลาย ใช้อารมณ์
    ของอากิญจัญญายตนะฌาณเป็นปกติ
    บุคคลประเภทนี้จะเป็นคนที่มีจิตสบาย คือ
    จิตยอมรับความเป็นจริงว่า
    ร่างกายของเราสักวันหนึ่งมันต้องตาย
    กฏแน่นอนของมันก็คือเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน
    เรื่องความตายนี่ไม่ต้องไปคำนึง
    ไม่ต้องคิดถึงว่ามันจะตายเมื่อไหร่ก็เชิญฉันพร้อมแล้ว
    คำว่า พร้อม ก็คือ ยึดเอาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปปฏิบัติ ได้แก่
    สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี่มันต้องตาย จะตายเมื่อไรก็เชิญฉันมีความดีพร้อม

    ความดีของเราคือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และทรงกำลังใจไว้ไม่เสื่อมคลาย
    ยึดมั่นในศีล จะเป็นจะตายอย่างไรก็ตามไม่ยอมละเมิดศีล 5 สำหรับฆราวาสอารมณ์ของพระโสดาบัน
    ถ้าคนที่เขาทรงอารมณ์ของศีล 8 เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี พระเณรก็เช่นเดียวกัน ต้องรักษาศีลของตน
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน การเดินเข้ามาหานิพพานเป็นของไม่ยาก

    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พิจารณาว่า โลกมันไม่ดี มนุษยโลกก็ไม่ดี เทวโลกก็ไม่ดี พรหมโลกก็ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลกนั้นดีเหมือนกัน แต่ดีชั่วคราว ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องหล่นมาใหม่ หล่นมาค้างที่บนไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ลงมาจากเทวโลกและพรหมโลกก็พุ่งลงนรกไป เพราะบาปเก่ายังไม่ชำระหนี้เขา

    ถ้ามีกำลังใจทรงอารมณ์พระโสดาบันไว้มันก็ไม่ไป อย่างเลวที่สุดมันก็มาค้างที่มนุษย์ แต่ก็ไม่ดีกลับมาค้างในดินแดนที่เราต้องมีทุกข์จะดีอะไร เราก็เป็นคนโง่ถ้าจะเป็นเทวดาหรือพรหม นานเท่าไรมันก็เป็นไม่ได้ หมดบุญวาสนาต้องมา กำลังใจที่ดีที่สุดก็ตัดสินใจว่า

    "ถ้าชีวิตร่างกายมันพังเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่าความเป็นคนก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียว คือ นิพพาน"

    อันนี้พูดกันสำหรับคนที่เจริญทางด้านสุกขวิปัสสโก

    ===================
    จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๗๓ เดือนสิงหาคม ๒๕๓๘ หน้า ๓๗-๓๘
    #คนต้องการพระนิพพานจะมีความรู้สึกอย่างไร องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า "ต้องใช้อากิญจัญญายตนะฌาณเป็นประจำใจ" คำว่า #อากิญจัญญายตนะฌาณ ฟังแล้วหนักใจ แต่ความจริงถ้าคนฉลาดก็ไม่หนัก ถ้าคนโง่ก็หนัก เพราะอากิญจัญญายตนะฌาน เป็นอารมณ์ของคนฉลาด คือ มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ คนเกิดมากี่คนตายหมดเท่านั้น สัตว์เกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น สภาพของวัตถุทั้งหลายไม่มีการทรงตัว เสื่อมไปแล้วพังหมดเท่านั้น วันนี้ไม่พังวันหน้ามันก็พัง คนวันนี้ไม่ตายวันหน้าก็ตาย สัตว์วันนี้ไม่ตายวันหน้าก็ตาย ฉะนั้นโลกทั้งหลายไม่เป็นที่น่าอยู่สำหรับเรา เราไม่ต้องการ ถ้าบุคคลทั้งหลาย ใช้อารมณ์ ของอากิญจัญญายตนะฌาณเป็นปกติ บุคคลประเภทนี้จะเป็นคนที่มีจิตสบาย คือ จิตยอมรับความเป็นจริงว่า ร่างกายของเราสักวันหนึ่งมันต้องตาย กฏแน่นอนของมันก็คือเดินเข้าไปหาความตายทุกวัน เรื่องความตายนี่ไม่ต้องไปคำนึง ไม่ต้องคิดถึงว่ามันจะตายเมื่อไหร่ก็เชิญฉันพร้อมแล้ว คำว่า พร้อม ก็คือ ยึดเอาพระธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปปฏิบัติ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าชีวิตนี่มันต้องตาย จะตายเมื่อไรก็เชิญฉันมีความดีพร้อม ความดีของเราคือ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และทรงกำลังใจไว้ไม่เสื่อมคลาย ยึดมั่นในศีล จะเป็นจะตายอย่างไรก็ตามไม่ยอมละเมิดศีล 5 สำหรับฆราวาสอารมณ์ของพระโสดาบัน ถ้าคนที่เขาทรงอารมณ์ของศีล 8 เป็นอารมณ์ของพระอนาคามี พระเณรก็เช่นเดียวกัน ต้องรักษาศีลของตน นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน การเดินเข้ามาหานิพพานเป็นของไม่ยาก หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พิจารณาว่า โลกมันไม่ดี มนุษยโลกก็ไม่ดี เทวโลกก็ไม่ดี พรหมโลกก็ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลกนั้นดีเหมือนกัน แต่ดีชั่วคราว ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องหล่นมาใหม่ หล่นมาค้างที่บนไม่เป็นไร ส่วนใหญ่ลงมาจากเทวโลกและพรหมโลกก็พุ่งลงนรกไป เพราะบาปเก่ายังไม่ชำระหนี้เขา ถ้ามีกำลังใจทรงอารมณ์พระโสดาบันไว้มันก็ไม่ไป อย่างเลวที่สุดมันก็มาค้างที่มนุษย์ แต่ก็ไม่ดีกลับมาค้างในดินแดนที่เราต้องมีทุกข์จะดีอะไร เราก็เป็นคนโง่ถ้าจะเป็นเทวดาหรือพรหม นานเท่าไรมันก็เป็นไม่ได้ หมดบุญวาสนาต้องมา กำลังใจที่ดีที่สุดก็ตัดสินใจว่า "ถ้าชีวิตร่างกายมันพังเมื่อไหร่ ขึ้นชื่อว่าความเป็นคนก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการจุดเดียว คือ นิพพาน" อันนี้พูดกันสำหรับคนที่เจริญทางด้านสุกขวิปัสสโก =================== จากธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๗๓ เดือนสิงหาคม ๒๕๓๘ หน้า ๓๗-๓๘
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • นึกถึงบุญ นึกถึงพุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตให้ระลึกถึงตลอด
    นึกถึงบุญ นึกถึงพุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตให้ระลึกถึงตลอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดวงวิญญาณเขาได้รับหมดน้ำไปรดตามธาตุเก็บกระดูก เขาก็ดีใจชื่นใจ

    สำหรับความเป็นมาของการกรวดน้ำนั้น ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ได้ถวายเวฬุวนอุทยาน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา แก่พระพุทธเจ้าให้เป็นที่วิหารที่ประทับ โดยในคืนนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงร้องโหยหวน น่าสะพรึง วันต่อมาจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ไขข้อสงสัยว่าเสียงที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของพระญาติในอดีตอันไกลโพ้นของพระเจ้าพิมพิสาร ที่บังเกิดไปเป็นเปรต จึงมาขอส่วนบุญ เนื่องด้วยพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้ว แต่ไม่ได้อุทิศให้
    ดวงวิญญาณเขาได้รับหมดน้ำไปรดตามธาตุเก็บกระดูก เขาก็ดีใจชื่นใจ สำหรับความเป็นมาของการกรวดน้ำนั้น ว่ากันว่ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แคว้นมคธ ได้ถวายเวฬุวนอุทยาน วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา แก่พระพุทธเจ้าให้เป็นที่วิหารที่ประทับ โดยในคืนนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ยินเสียงร้องโหยหวน น่าสะพรึง วันต่อมาจึงได้นำเรื่องดังกล่าวไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงได้ไขข้อสงสัยว่าเสียงที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของพระญาติในอดีตอันไกลโพ้นของพระเจ้าพิมพิสาร ที่บังเกิดไปเป็นเปรต จึงมาขอส่วนบุญ เนื่องด้วยพระเจ้าพิมพิสารทำบุญแล้ว แต่ไม่ได้อุทิศให้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้เขียนเคยอ่านบทความต่างประเทศ ..โดย Professor อะไรจำชื่อไม่ได้...แต่น่าสนใจ...เขาเขียนว่า หลายทฤษฏี หลายหลักคิด...ที่สืบต่อกันมายาวนาน...ในจำนวนนั้น..ถูกบัญญัติโดย "ไอ้งั่ง" ที่คิดว่า..ตนฉลาด ..เมื่อได้กำหนดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา...ลองคิดตามย้อนดู จากการเก็บสถิติ..หรือแม้แต่หาข้อพิสูจน์ว่ามันจริง หรือถูกต้องยังไม่ได้เลย...แต่ก็สืบต่อกันมาด้วยความ "เชื่อ" ...มีหลักคิดมากมายที่เป็นของจริง ที่พิสูจน์ได้ก็มาก ..ยุคเก่าก็พระพุทธเจ้า เพลโต โซเครตีส ..ขยับขึ้นมาหน่อย ซิกแมน ฟลอยด์.ไอน์สไตล์ ..และอีกมาก.....ฉะนั้น ทุกคนมีสมอง จงใช้มัน...อย่าใช้แค่ #ความเขื่อต่อๆกัน# ....ซึ่งมันจะทำให้คุณเป็น "เหยื่อ" ...ในหลายสิ่ง.
    ผู้เขียนเคยอ่านบทความต่างประเทศ ..โดย Professor อะไรจำชื่อไม่ได้...แต่น่าสนใจ...เขาเขียนว่า หลายทฤษฏี หลายหลักคิด...ที่สืบต่อกันมายาวนาน...ในจำนวนนั้น..ถูกบัญญัติโดย "ไอ้งั่ง" ที่คิดว่า..ตนฉลาด ..เมื่อได้กำหนดสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้นมา...ลองคิดตามย้อนดู จากการเก็บสถิติ..หรือแม้แต่หาข้อพิสูจน์ว่ามันจริง หรือถูกต้องยังไม่ได้เลย...แต่ก็สืบต่อกันมาด้วยความ "เชื่อ" ...มีหลักคิดมากมายที่เป็นของจริง ที่พิสูจน์ได้ก็มาก ..ยุคเก่าก็พระพุทธเจ้า เพลโต โซเครตีส ..ขยับขึ้นมาหน่อย ซิกแมน ฟลอยด์.ไอน์สไตล์ ..และอีกมาก.....ฉะนั้น ทุกคนมีสมอง จงใช้มัน...อย่าใช้แค่ #ความเขื่อต่อๆกัน# ....ซึ่งมันจะทำให้คุณเป็น "เหยื่อ" ...ในหลายสิ่ง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts