อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
สัทธรรมลำดับที่ : 1046
ชื่อบทธรรม :- การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046
เนื้อความทั้งหมด :-
--การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
--“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม นี้
แสดงวาทะอันเป็นลัทธิแห่งตน
กล่าวบริภาษข่มขี่ครอบงำย่ำยีวาทะอันเป็นลัทธิอันเป็นของ สมณพราหมณ์เหล่าอื่น
แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นมาอีก ก็ยกย่องลัทธิของตน ข่มขี่ลัทธิ
ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเช่นเดียวกันอีก.
พวกข้าพระองค์มีความข้องใจ มีความสงสัย ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น
พวกไหนพูดจริง พวกไหนพูดเท็จ พระเจ้าข้า !”
--กาลามเอ๋ย ! ควรแล้วที่ท่านจะข้องใจ ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย,
ความสงสัยของท่านเกิดแล้ว ในฐานะที่ควรข้องใจ.
(ก. ฝ่ายอกุศล)
--กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล,
ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล,”
ดังนี้แล้ว;
เมื่อนั้น ท่านพึงละธรรมเหล่านั้นเสีย.
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: ความโลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นโลภแล้ว ความโลภครอบงำแล้ว ความโลภกลุ้มรุมจิตแล้ว
ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง
ย่อมลักทรัพย์บ้าง
ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง
พูดเท็จบ้าง
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: โทสะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นมีโทสะแล้ว โทสะครอบงำแล้ว โทสะกลุ้มรุมจิตแล้ว
ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง
ย่อมลักทรัพย์บ้าง
ย่อมล่วงเกินบุตร,ภรรยาผู้อื่นบ้าง
พูดเท็จบ้าง
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: โมหะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นมีโมหะแล้ว โมหะครอบงำแล้ว โมหะกลุ้มรุมจิตแล้ว
ย่อมฆ่าสัตย์บ้าง
ย่อมลักทรัพย์บ้าง
ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง
พูดเท็จบ้าง
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ?
“เป็นอกุศล พระเจ้าข้า !”
--มีโทษหรือไม่มีโทษ ?
“มีโทษ พระเจ้าข้า !”
วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ?
“วิญญูชนติเตียน พระเจ้าข้า !”
เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐาน ของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ?
หรือว่าในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ?
“เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องนี้พวกข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น)
จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า
“กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ(อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน(สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล,
ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล” ดังนี้แล้ว ;
เมื่อนั้น ท่านถึงละธรรมเหล่านั้นเสีย”
ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น.
( ข. ฝ่ายกุศล)
--กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,
ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว;
เมื่อนั้น ท่าน พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด.
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: ความไม่โลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นไม่โลภแล้ว ความโลภไม่ครอบงำแล้ว ความโลภไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
ไม่พูดเท็จ
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
: อโทสะ เกิดขึ้น ในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นไม่มีโทสะแล้ว โทสะไม่ครอบงำแล้ว โทสะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
ไม่พูดเท็จ
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
: อโมหะ เกิดขึ้น ในบุคคแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นไม่มีโมหะแล้ว โมหะไม่ครอบงำแล้ว โมหะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
ไม่พูดเท็จ
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
: ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ?
“เป็นกุศล พระเจ้าข้า !”
มี โทษหรือไม่มีโทษ ?
“ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า !”
วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ?
“วิญญูชนสรรเสริญ พระเจ้าข้า !”
เมื่อประพฤติกระทำเต็มตาม มาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ?
หรือว่า ในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ?
“เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล
ในเรื่องพวกนี้ข้าพระองค์มีความเห็น อย่างนี้ พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น)
จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า
“กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
‘ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญธรรมเหล่านี้
กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล’
ดังนี้แล้ว ;
เมื่อนั้น ท่านพึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด”
ดังนี้
ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น.
----
--กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น
ปราศจากอภิชฌาอย่างนี้ ปราศจากพยาบาทอย่างนี้
ไม่มีโมหะ มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า
+--มีจิตสหรคตด้วย เมตตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้อต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา
เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วย คุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่;
+--มีจิตสหรคตด้วย กรุณา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้อบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยกรุณา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่;
+--มีจิตสหรคตด้วย มุทิตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยมุทิตา
เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวง ไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่ ;
+--มีจิตสหรคตด้วย อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา
เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่.
--กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น
มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว
ความเบาใจ ๔ ประการ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว ว่า
“๑. ถ้าปรโลก มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี.
ฐานะที่จะมีได้ก็คือ
เราจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตาย
เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะเหตุนั้น
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่หนึ่ง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
๒. ถ้าปรโลก ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี,
เรา ที่นี่ในทิฏฐธรรมนี้แหละ
ก็บริหารตนอยู่เป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีทุกข์
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่สอง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
๓. ถ้าบาปเป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ,
ส่วนเราไม่ได้คิดจะทำบาปไรๆ
ทุกข์จักถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปอยู่ แต่ที่ไหน
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่สาม ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
๔. ถ้าบาปไม่เป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ อยู่แล้วไซร้,
ที่นี่ เราก็มองเห็นตนว่าบริสุทธิ์หมดจดอยู่ โดยโลกทั้งสอง
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่สี่ ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
--กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว
ความเบาใจ ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว.
http://etipitaka.com/read/pali/20/248/?keywords=อริยสาวโก
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น.
ข้าแต่พระสุคต ! ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น.
”(ชาวกาลามเหล่านั้น
รับสนองพระพุทธดำรัสกล่าวย้ำข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยตน เอง,
แล้วทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสก).-
(ผู้ศึกษาอาจจะสังเกตเห็นได้เองว่า
การศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยสัจสี่ประการนั้น
จะไม่เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกาลามสูตรทั้งสิบประการแต่อย่างใด
เพราะมีเหตุผลที่แสดงชัดอยู่ในตัวเองว่า
ทุกข์เป็นอย่างไร
เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร
ความดับทุกข์เป็นอย่างไร
มรรคอาจจะดับทุกข์ได้แท้จริงอย่างไร
โดยไม่ต้อเชื่อคำบอกตามๆ กันมา ไม่ต้องดูการประพฤติตามๆ กันมา
หรือเชื่อตามคำเล่าลือ หรืออ้างว่ามีอยู่ในตำรา หรือใช้เหตุผลตามทางตรรก
หรือตามทางนัยะคือปรัชญา หรือตรึกตามสามัญสำนึก
หรือเพราะเข้ากันได้กับเหตุผลของตน หรือผู้พูดอยู่ในฐานะน่าเชื่อ
หรือผู้พูดเป็นครูของตน ซึ่งพระองค์เองก็ได้ตรัสย้ำในข้อนี้อยู่เสมอ.
เป็นอัน กล่าวได้ว่า
ความรู้และการปฏิบัติในอริยสัจทั้งสี่นี้
ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องงมงาย หรือสีลัพพัตตปรามาส
อันขัดต่อหลักกาลามสูตร แต่อย่างใด).
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. 20/179-187/505.
http://etipitaka.com/read/thai/20/179/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. ๒๐/๒๔๑-๒๔๘/๕๐๕.
http://etipitaka.com/read/pali/20/241/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91&id=1046 https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91
ลำดับสาธยายธรรม : 91 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_91.mp3 อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
สัทธรรมลำดับที่ : 1046
ชื่อบทธรรม :- การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046
เนื้อความทั้งหมด :-
--การปฏิบัติอริยสัจ ไม่มีทางที่จะขัดต่อหลักกาลามสูตร
--“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาสู่เกสปุตตนิคม นี้
แสดงวาทะอันเป็นลัทธิแห่งตน
กล่าวบริภาษข่มขี่ครอบงำย่ำยีวาทะอันเป็นลัทธิอันเป็นของ สมณพราหมณ์เหล่าอื่น
แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นมาอีก ก็ยกย่องลัทธิของตน ข่มขี่ลัทธิ
ของสมณพราหมณ์เหล่าอื่นเช่นเดียวกันอีก.
พวกข้าพระองค์มีความข้องใจ มีความสงสัย ว่าสมณพราหมณ์เหล่านั้น
พวกไหนพูดจริง พวกไหนพูดเท็จ พระเจ้าข้า !”
--กาลามเอ๋ย ! ควรแล้วที่ท่านจะข้องใจ ควรแล้วที่ท่านจะสงสัย,
ความสงสัยของท่านเกิดแล้ว ในฐานะที่ควรข้องใจ.
(ก. ฝ่ายอกุศล)
--กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล,
ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล,”
ดังนี้แล้ว;
เมื่อนั้น ท่านพึงละธรรมเหล่านั้นเสีย.
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: ความโลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นโลภแล้ว ความโลภครอบงำแล้ว ความโลภกลุ้มรุมจิตแล้ว
ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง
ย่อมลักทรัพย์บ้าง
ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง
พูดเท็จบ้าง
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: โทสะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นมีโทสะแล้ว โทสะครอบงำแล้ว โทสะกลุ้มรุมจิตแล้ว
ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง
ย่อมลักทรัพย์บ้าง
ย่อมล่วงเกินบุตร,ภรรยาผู้อื่นบ้าง
พูดเท็จบ้าง
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: โมหะ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูลหรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นมีโมหะแล้ว โมหะครอบงำแล้ว โมหะกลุ้มรุมจิตแล้ว
ย่อมฆ่าสัตย์บ้าง
ย่อมลักทรัพย์บ้าง
ย่อมล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่นบ้าง
พูดเท็จบ้าง
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้นบ้าง
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความทุกข์ ไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ?
“เป็นอกุศล พระเจ้าข้า !”
--มีโทษหรือไม่มีโทษ ?
“มีโทษ พระเจ้าข้า !”
วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ?
“วิญญูชนติเตียน พระเจ้าข้า !”
เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐาน ของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ?
หรือว่าในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ?
“เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามมาตรฐานของมันแล้ว เป็นไปเพื่อความทุกข์
ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ในเรื่องนี้พวกข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น)
จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า
“กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ(อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน(สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้ เป็นอกุศล,
ธรรมเหล่านี้ มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนติเตียน,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล” ดังนี้แล้ว ;
เมื่อนั้น ท่านถึงละธรรมเหล่านั้นเสีย”
ดังนี้ ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น.
( ข. ฝ่ายกุศล)
--กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรกคาดคะเน (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะสันนิฏฐาน (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใดท่านทั้งหลาย รู้ด้วยตนเองว่า
“ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,
ธรรมเหล่านี้ ไม่มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญ,
ธรรมเหล่านี้ กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล,” ดังนี้แล้ว;
เมื่อนั้น ท่าน พึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด.
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร?
: ความไม่โลภ เกิดขึ้นในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นไม่โลภแล้ว ความโลภไม่ครอบงำแล้ว ความโลภไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
ไม่พูดเท็จ
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
: อโทสะ เกิดขึ้น ในบุคคลแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นไม่มีโทสะแล้ว โทสะไม่ครอบงำแล้ว โทสะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
ไม่พูดเท็จ
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร ?
: อโมหะ เกิดขึ้น ในบุคคแล้ว เกิดเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล ?
“เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า !”
บุคคลนั้นไม่มีโมหะแล้ว โมหะไม่ครอบงำแล้ว โมหะไม่กลุ้มรุมจิตแล้ว
เขาย่อมไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ลักทรัพย์
ไม่ล่วงเกินบุตร, ภรรยาผู้อื่น
ไม่พูดเท็จ
ชักชวนผู้อื่นในการกระทำเช่นนั้น
ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล ตลอดกาลนาน มิใช่หรือ ?
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร
: ธรรมทั้งหลาย (ตามที่กล่าวมา) เหล่านี้ เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ?
“เป็นกุศล พระเจ้าข้า !”
มี โทษหรือไม่มีโทษ ?
“ไม่มีโทษ พระเจ้าข้า !”
วิญญูชนติเตียน หรือวิญญูชน สรรเสริญ ?
“วิญญูชนสรรเสริญ พระเจ้าข้า !”
เมื่อประพฤติกระทำเต็มตาม มาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล หรือไม่ ?
หรือว่า ในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร ?
“เมื่อประพฤติกระทำเต็มตามาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์เกื้อกูล
ในเรื่องพวกนี้ข้าพระองค์มีความเห็น อย่างนี้ พระเจ้าข้า !”
--กาลาม ท. ! เรา (อาศัยเหตุผลดังกล่าวมาแล้วข้างบนทั้งหมดนั้น)
จึงกล่าวข้อความที่กล่าวว่า
“กาลามทั้งหลายเอ๋ย ! มา (พูดกัน) เถิด ท่านทั้งหลาย :-
๑--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังตามๆ กันมา (อนุสฺสว) ;
๒--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า กระทำตามๆ กันมา (ปรมฺปร) ;
๓--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า เล่าลือกันอยู่ (อิติกิร) ;
๔--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า มีที่อ้างในปิฎก (ปิฏกสมฺปทาน) ;
๕--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางตรรก (ตกฺกเหตุ) ;
๖--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การใช้เหตุผลทางนัยะ (นยเหตุ) ;
๗--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า การตรึกตามอาการ (อาการปริวิตกฺก) ;
๘--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ทนต่อการเพ่งแห่งทิฏฐิ (ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติ) ;
๙--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า ฟังดูน่าเชื่อ (ภพฺพรูปตา) ;
๑๐--อย่าถือเอาว่าจริง เพราะเหตุสักว่า สมณะผู้พูดเป็นครูของตน (สมโณโน ครุ).
--กาลาม ท. ! เมื่อใด ท่านทั้งหลายรู้ด้วยตนเองว่า
‘ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล,
ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ,
ธรรมเหล่านี้ วิญญูชนสรรเสริญธรรมเหล่านี้
กระทำถึงมาตรฐานของมันแล้ว
เป็นไปเพื่อความสุข เป็นประโยชน์ เกื้อกูล’
ดังนี้แล้ว ;
เมื่อนั้น ท่านพึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น แล้วแลอยู่เถิด”
ดังนี้
ซึ่งเรากล่าวแล้วเพราะอาศัยเหตุผลข้างต้นนั้น.
----
--กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น
ปราศจากอภิชฌาอย่างนี้ ปราศจากพยาบาทอย่างนี้
ไม่มีโมหะ มีสัมปชัญญะ มีสติเฉพาะหน้า
+--มีจิตสหรคตด้วย เมตตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้อต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยเมตตา
เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วย คุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่;
+--มีจิตสหรคตด้วย กรุณา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้อบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยกรุณา เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่;
+--มีจิตสหรคตด้วย มุทิตา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยมุทิตา
เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวง ไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่ ;
+--มีจิตสหรคตด้วย อุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศ (ที่) หนึ่ง
และทิศที่สอง ที่สาม ที่สี่ ก็เหมือนอย่างนั้น,
เธอแผ่ไปตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทั้งปวง ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำและเบื้องขวาง
ด้วยจิตอันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา
เป็นจิตไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท กว้างขวาง
ประกอบด้วยคุณอันใหญ่หลวงไม่มีขีดจำกัด แล้วแลอยู่.
--กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น
มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้ มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว
ความเบาใจ ๔ ประการ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว ว่า
“๑. ถ้าปรโลก มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี.
ฐานะที่จะมีได้ก็คือ
เราจักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ภายหลังแต่การตาย
เพราะการทำลายแห่งกาย เพราะเหตุนั้น
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่หนึ่ง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
๒. ถ้าปรโลก ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี,
เรา ที่นี่ในทิฏฐธรรมนี้แหละ
ก็บริหารตนอยู่เป็นสุข ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไม่มีทุกข์
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่สอง ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
๓. ถ้าบาปเป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ,
ส่วนเราไม่ได้คิดจะทำบาปไรๆ
ทุกข์จักถูกต้องเราผู้มิได้ทำบาปอยู่ แต่ที่ไหน
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่สาม ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
๔. ถ้าบาปไม่เป็นอันกระทำสำหรับผู้กระทำ อยู่แล้วไซร้,
ที่นี่ เราก็มองเห็นตนว่าบริสุทธิ์หมดจดอยู่ โดยโลกทั้งสอง
ดังนี้
: นี้เป็นความเบาใจประการที่สี่ ที่เกิดมีแก่อริยสาวกนั้น.
--กาลาม ท. ! อริยสาวกนั้น มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้
มีจิตไม่พยาบาทอย่างนี้ มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างนี้ มีจิตหมดจดวิเศษอย่างนี้ แล้ว
ความเบาใจ ๔ ประการเหล่านี้ ย่อมเกิดมีแก่อริยสาวกนั้น ในทิฏฐธรรมเทียว.
http://etipitaka.com/read/pali/20/248/?keywords=อริยสาวโก
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ! ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น.
ข้าแต่พระสุคต ! ข้อนั้น เป็นอย่างนั้น.
”(ชาวกาลามเหล่านั้น
รับสนองพระพุทธดำรัสกล่าวย้ำข้อความนี้อีกครั้งหนึ่ง ด้วยตน เอง,
แล้วทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศตนเป็นอุบาสก).-
(ผู้ศึกษาอาจจะสังเกตเห็นได้เองว่า
การศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยสัจสี่ประการนั้น
จะไม่เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักกาลามสูตรทั้งสิบประการแต่อย่างใด
เพราะมีเหตุผลที่แสดงชัดอยู่ในตัวเองว่า
ทุกข์เป็นอย่างไร
เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร
ความดับทุกข์เป็นอย่างไร
มรรคอาจจะดับทุกข์ได้แท้จริงอย่างไร
โดยไม่ต้อเชื่อคำบอกตามๆ กันมา ไม่ต้องดูการประพฤติตามๆ กันมา
หรือเชื่อตามคำเล่าลือ หรืออ้างว่ามีอยู่ในตำรา หรือใช้เหตุผลตามทางตรรก
หรือตามทางนัยะคือปรัชญา หรือตรึกตามสามัญสำนึก
หรือเพราะเข้ากันได้กับเหตุผลของตน หรือผู้พูดอยู่ในฐานะน่าเชื่อ
หรือผู้พูดเป็นครูของตน ซึ่งพระองค์เองก็ได้ตรัสย้ำในข้อนี้อยู่เสมอ.
เป็นอัน กล่าวได้ว่า
ความรู้และการปฏิบัติในอริยสัจทั้งสี่นี้
ไม่มีทางที่จะเป็นเรื่องงมงาย หรือสีลัพพัตตปรามาส
อันขัดต่อหลักกาลามสูตร แต่อย่างใด).
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. 20/179-187/505.
http://etipitaka.com/read/thai/20/179/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ติก. อํ. ๒๐/๒๔๑-๒๔๘/๕๐๕.
http://etipitaka.com/read/pali/20/241/?keywords=%E0%B9%95%E0%B9%90%E0%B9%95
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=1046
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91&id=1046
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=91
ลำดับสาธยายธรรม : 91 ฟังเสียงอ่าน...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_91.mp3