• **ดินแดนเนรเทศจีนโบราณ**

    สวัสดีค่ะ สองสัปดาห์ที่แล้วเราคุยเรื่องการไถ่โทษเนรเทศ วันนี้เลยมาคุยกันต่อเกี่ยวกับเกร็ดความรู้จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ว่าด้วยดินแดนเนรเทศ

    จิ่วฉงจื่อฯ เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติแต่เสื้อผ้าและสภาพสังคมอิงตามสมัยหมิง และในเรื่องนี้ บุรุษในครอบครัวสกุลเจี่ยงของติ้งกั๋วกงเจี่ยงเหมยซุน (ลุงของพระเอก) ถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘เถียหลิ่งเว่ย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนเนรเทศยอดนิยมทางเหนือในสมัยนั้น

    แรกเริ่มเลยในสมัยบรรพกาล หากมีการเนรเทศจะนิยมส่งไปพื้นที่โยวโจว (แถบปักกิ่งปัจจุบัน) ต่อมามีการใช้พื้นที่อื่น ซึ่งโดยหลักการคือต้องเป็นพื้นที่ทุรกันดารและด้อยพัฒนา ไม่ว่าจะด้วยสภาพดินฟ้าอากาศหรือภูมิประเทศ ในสมัยฮั่นนิยมใช้พื้นที่แถบภูเขาทางตะวันตกในมณฑลเสฉวน เนื่องจากหนาวเย็น ไกลจากเส้นทางการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งภูมิประเทศเป็นเขาสูงทำให้ง่ายต่อการกักบริเวณนักโทษ ต่อมาเมื่อมีการขยายดินแดนและพัฒนาเศรษฐกิจลงใต้ ก็ยิ่งส่งนักโทษเนรเทศลงใต้ไปไกลยิ่งขึ้นโดยมีพื้นที่ยอดฮิตคือแถบหลิ่งหนานและไห่หนาน (กวางเจา กวางซี ฯลฯ) และไกลลงไปถึงเวียดนาม ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ห่างไกลความเจริญและมีพายุฝนและสภาพอากาศร้อนชื้น ง่ายต่อการล้มป่วย นับว่าทุรกันดารไม่แพ้กัน จวบจนยุคถังและซ่งก็ยังนิยมใช้พื้นที่ติดชายแดนทางตอนใต้นี้ (ดูรูปประกอบขวาบน)

    ส่วนพื้นที่ทางเหนือที่นิยมใช้เป็นดินแดนเนรเทศนั้น คือพื้นที่ทหารทางชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวมากและชีวิตความเป็นอยู่ลำเค็ญ อีกทั้งการเดินทางไปมาก็ยากลำบาก มักถูกเรียกรวมว่า ‘ขู่หานจือตี้’ (แปลตรงตัวว่าพื้นที่หนาวมากและยากลำบาก) (ดูรูปประกอบขวาล่าง) แต่การใช้พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินแดนเนรเทศไม่สามารถทำได้ทุกยุคสมัย เนื่องจากดินแดนดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรภาคกลางเสมอไป จวบจนสมัยหยวนเป็นต้นมาจึงกลายเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยม โดยมีหลักการว่า คนจากพื้นที่ทางใต้จะถูกเนรเทศไปยังแดนเหนือ และคนจากพื้นที่ทางเหนือจะถูกเนรเทศลงใต้

    ในสมัยหมิง พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นดินแดนเนรเทศยอดนิยม โดยพื้นที่เถียหลิ่งเว่ยที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ นี้เป็นที่นิยมในช่วงยุคกลางของสมัยหมิง ต่อมาในสมัยชิงจึงเปลี่ยนไปเป็นหนิงกู๋ถ่าและเฮยหลงเจียง

    นอกจากนี้ยังมีพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือที่ไม่ได้มีลงไว้ในรูปประกอบ ซึ่งก็คือบริเวณซีอวี้หรือซินเกียงปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนเนรเทศในสมัยฮั่น แต่ต่อมาเนื่องจากการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จึงไม่ได้มีการส่งนักโทษเนรเทศไปยังพื้นที่นี้อีกต่อไปจวบจนสมัยชิงจึงกลับมาเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยมอีกครั้ง

    เพื่อนเพจอาจติดภาพลักษณ์จากในซีรีส์ว่านักโทษเนรเทศจะถูกตีตรวนและมีการกักบริเวณ ทั้งนี้ ในหลายกรณีนักโทษเนรเทศเหล่านี้จะถูกใช้เป็นแรงงานในค่ายทหารโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพทางชายแดน นักโทษจึงทำหน้าที่หลากหลาย เช่นเผาฟืนทำถ่าน ทำการเกษตร ฯลฯ เหมือนอย่างการถูกเนรเทศไปยังเถียหลิ่งเว่ยซึ่งเป็นพื้นที่ทหารอย่างในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ เป็นต้น

    แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นักโทษเนรเทศทุกคนที่ต้องอยู่ภายในค่ายกักกัน การเนรเทศยังมีอีกวัตถุประสงค์หนึ่งคือเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น นักโทษอาจถูกลงทะเบียนเป็นทาสรับใช้ทำงานให้ผู้มีอันจะกินในพื้นที่นั้นๆ (ซึ่งก็อาจเป็นแรงงานหนักและถูกกักบริเวณโดยผู้เป็นนายได้) หรืออาจเพียงถูกปล่อยทิ้งให้ใช้ชีวิตในดินแดนเนรเทศตามบุญตามกรรม ซึ่งหากเป็นอย่างหลังก็คือต้องขึ้นทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่นั้นๆ เดินทางออกนอกพื้นที่ไม่ได้ แต่สามารถทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ในบางรัชสมัยยังอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวฝ่ายหญิงเดินทางย้ายรกรากไปอยู่ร่วมกับสมาชิกครอบครัวฝ่ายชายได้ด้วย อย่าลืมว่านักโทษเนรเทศจำนวนมากเป็นนักโทษทางการเมืองเช่นอดีตขุนนางที่มีการศึกษา พวกเขาจึงมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และวัฒนธรรมไปยังพื้นที่ทุรกันดารเหล่านี้

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g63130394/blossom-highlights/
    https://news.qq.com/rain/a/20250305A08SXM00
    https://news.qq.com/rain/a/20230809A078JQ00
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.xinghuozhiku.com/76834.html
    https://m.fx361.com/news/2018/0201/16397999.html
    http://www.fs7000.com/news/?12143.html
    https://news.qq.com/rain/a/20240427A081KW00
    https://www.163.com/dy/article/HDA24IDA0552XK8U.html

    #จิ่วฉงจื่อ #ดินแดนเนรเทศ #เถียหลิ่งเว่ย #โทษเนรเทศ #สาระจีน
    **ดินแดนเนรเทศจีนโบราณ** สวัสดีค่ะ สองสัปดาห์ที่แล้วเราคุยเรื่องการไถ่โทษเนรเทศ วันนี้เลยมาคุยกันต่อเกี่ยวกับเกร็ดความรู้จากเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> ว่าด้วยดินแดนเนรเทศ จิ่วฉงจื่อฯ เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติแต่เสื้อผ้าและสภาพสังคมอิงตามสมัยหมิง และในเรื่องนี้ บุรุษในครอบครัวสกุลเจี่ยงของติ้งกั๋วกงเจี่ยงเหมยซุน (ลุงของพระเอก) ถูกเนรเทศไปยังพื้นที่ที่มีชื่อว่า ‘เถียหลิ่งเว่ย’ ซึ่งเป็นหนึ่งในดินแดนเนรเทศยอดนิยมทางเหนือในสมัยนั้น แรกเริ่มเลยในสมัยบรรพกาล หากมีการเนรเทศจะนิยมส่งไปพื้นที่โยวโจว (แถบปักกิ่งปัจจุบัน) ต่อมามีการใช้พื้นที่อื่น ซึ่งโดยหลักการคือต้องเป็นพื้นที่ทุรกันดารและด้อยพัฒนา ไม่ว่าจะด้วยสภาพดินฟ้าอากาศหรือภูมิประเทศ ในสมัยฮั่นนิยมใช้พื้นที่แถบภูเขาทางตะวันตกในมณฑลเสฉวน เนื่องจากหนาวเย็น ไกลจากเส้นทางการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งภูมิประเทศเป็นเขาสูงทำให้ง่ายต่อการกักบริเวณนักโทษ ต่อมาเมื่อมีการขยายดินแดนและพัฒนาเศรษฐกิจลงใต้ ก็ยิ่งส่งนักโทษเนรเทศลงใต้ไปไกลยิ่งขึ้นโดยมีพื้นที่ยอดฮิตคือแถบหลิ่งหนานและไห่หนาน (กวางเจา กวางซี ฯลฯ) และไกลลงไปถึงเวียดนาม ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ห่างไกลความเจริญและมีพายุฝนและสภาพอากาศร้อนชื้น ง่ายต่อการล้มป่วย นับว่าทุรกันดารไม่แพ้กัน จวบจนยุคถังและซ่งก็ยังนิยมใช้พื้นที่ติดชายแดนทางตอนใต้นี้ (ดูรูปประกอบขวาบน) ส่วนพื้นที่ทางเหนือที่นิยมใช้เป็นดินแดนเนรเทศนั้น คือพื้นที่ทหารทางชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีอากาศหนาวมากและชีวิตความเป็นอยู่ลำเค็ญ อีกทั้งการเดินทางไปมาก็ยากลำบาก มักถูกเรียกรวมว่า ‘ขู่หานจือตี้’ (แปลตรงตัวว่าพื้นที่หนาวมากและยากลำบาก) (ดูรูปประกอบขวาล่าง) แต่การใช้พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดินแดนเนรเทศไม่สามารถทำได้ทุกยุคสมัย เนื่องจากดินแดนดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายใต้การครอบครองของอาณาจักรภาคกลางเสมอไป จวบจนสมัยหยวนเป็นต้นมาจึงกลายเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยม โดยมีหลักการว่า คนจากพื้นที่ทางใต้จะถูกเนรเทศไปยังแดนเหนือ และคนจากพื้นที่ทางเหนือจะถูกเนรเทศลงใต้ ในสมัยหมิง พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นดินแดนเนรเทศยอดนิยม โดยพื้นที่เถียหลิ่งเว่ยที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ นี้เป็นที่นิยมในช่วงยุคกลางของสมัยหมิง ต่อมาในสมัยชิงจึงเปลี่ยนไปเป็นหนิงกู๋ถ่าและเฮยหลงเจียง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่แถบตะวันตกเฉียงเหนือที่ไม่ได้มีลงไว้ในรูปประกอบ ซึ่งก็คือบริเวณซีอวี้หรือซินเกียงปัจจุบัน ซึ่งเป็นดินแดนเนรเทศในสมัยฮั่น แต่ต่อมาเนื่องจากการครอบครองพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จึงไม่ได้มีการส่งนักโทษเนรเทศไปยังพื้นที่นี้อีกต่อไปจวบจนสมัยชิงจึงกลับมาเป็นดินแดนเนรเทศที่นิยมอีกครั้ง เพื่อนเพจอาจติดภาพลักษณ์จากในซีรีส์ว่านักโทษเนรเทศจะถูกตีตรวนและมีการกักบริเวณ ทั้งนี้ ในหลายกรณีนักโทษเนรเทศเหล่านี้จะถูกใช้เป็นแรงงานในค่ายทหารโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพทางชายแดน นักโทษจึงทำหน้าที่หลากหลาย เช่นเผาฟืนทำถ่าน ทำการเกษตร ฯลฯ เหมือนอย่างการถูกเนรเทศไปยังเถียหลิ่งเว่ยซึ่งเป็นพื้นที่ทหารอย่างในเรื่องจิ่วฉงจื่อฯ เป็นต้น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นักโทษเนรเทศทุกคนที่ต้องอยู่ภายในค่ายกักกัน การเนรเทศยังมีอีกวัตถุประสงค์หนึ่งคือเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ดังนั้น นักโทษอาจถูกลงทะเบียนเป็นทาสรับใช้ทำงานให้ผู้มีอันจะกินในพื้นที่นั้นๆ (ซึ่งก็อาจเป็นแรงงานหนักและถูกกักบริเวณโดยผู้เป็นนายได้) หรืออาจเพียงถูกปล่อยทิ้งให้ใช้ชีวิตในดินแดนเนรเทศตามบุญตามกรรม ซึ่งหากเป็นอย่างหลังก็คือต้องขึ้นทะเบียนราษฎร์ในพื้นที่นั้นๆ เดินทางออกนอกพื้นที่ไม่ได้ แต่สามารถทำมาหากินสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ในบางรัชสมัยยังอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวฝ่ายหญิงเดินทางย้ายรกรากไปอยู่ร่วมกับสมาชิกครอบครัวฝ่ายชายได้ด้วย อย่าลืมว่านักโทษเนรเทศจำนวนมากเป็นนักโทษทางการเมืองเช่นอดีตขุนนางที่มีการศึกษา พวกเขาจึงมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ความรู้และวัฒนธรรมไปยังพื้นที่ทุรกันดารเหล่านี้ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g63130394/blossom-highlights/ https://news.qq.com/rain/a/20250305A08SXM00 https://news.qq.com/rain/a/20230809A078JQ00 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.xinghuozhiku.com/76834.html https://m.fx361.com/news/2018/0201/16397999.html http://www.fs7000.com/news/?12143.html https://news.qq.com/rain/a/20240427A081KW00 https://www.163.com/dy/article/HDA24IDA0552XK8U.html #จิ่วฉงจื่อ #ดินแดนเนรเทศ #เถียหลิ่งเว่ย #โทษเนรเทศ #สาระจีน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อมูลล็อกอินของพนักงาน DOGE ถูกขโมยและเผยแพร่บนออนไลน์ มีรายงานว่า ข้อมูลล็อกอินของ Kyle Schutt ซึ่งเป็น วิศวกรซอฟต์แวร์ที่ทำงานให้กับทั้ง CISA และ DOGE ถูกพบใน ฐานข้อมูลที่รวบรวมโดยมัลแวร์ขโมยข้อมูล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ ความปลอดภัยของระบบรัฐบาลสหรัฐฯ

    DOGE หรือ Department of Government Efficiency เป็นหน่วยงานใหม่ที่ มี Elon Musk เป็นหนึ่งในผู้นำ และได้รับสิทธิ์เข้าถึง ระบบการเงินของรัฐบาลกลาง เช่น ระบบการชำระเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดข้อกังวลด้าน ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลประชาชน

    ✅ ข้อมูลล็อกอินของ Kyle Schutt ถูกพบในฐานข้อมูลที่รวบรวมโดยมัลแวร์ขโมยข้อมูล
    - อาจทำให้ ระบบของ CISA และ DOGE เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ

    ✅ DOGE มีสิทธิ์เข้าถึงระบบการเงินของรัฐบาลกลาง
    - รวมถึง ระบบการชำระเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ

    ✅ Schutt เคยเข้าถึงระบบการเงินหลักของ FEMA ในเดือนกุมภาพันธ์
    - อาจทำให้ ข้อมูลสำคัญของรัฐบาลตกอยู่ในความเสี่ยง

    ✅ มัลแวร์ขโมยข้อมูลสามารถจับข้อมูลล็อกอินจากอุปกรณ์ที่ติดเชื้อ
    - ทำให้ ข้อมูลที่พนักงานใช้ในการทำงานอาจถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดี

    ✅ Elon Musk ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทของเขาในรัฐบาลและธุรกิจส่วนตัว
    - มีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่าง Tesla และ DOGE

    https://www.neowin.net/news/stolen-credentials-linked-to-compromised-doge-employee-found-circulating-online/
    ข้อมูลล็อกอินของพนักงาน DOGE ถูกขโมยและเผยแพร่บนออนไลน์ มีรายงานว่า ข้อมูลล็อกอินของ Kyle Schutt ซึ่งเป็น วิศวกรซอฟต์แวร์ที่ทำงานให้กับทั้ง CISA และ DOGE ถูกพบใน ฐานข้อมูลที่รวบรวมโดยมัลแวร์ขโมยข้อมูล ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ ความปลอดภัยของระบบรัฐบาลสหรัฐฯ DOGE หรือ Department of Government Efficiency เป็นหน่วยงานใหม่ที่ มี Elon Musk เป็นหนึ่งในผู้นำ และได้รับสิทธิ์เข้าถึง ระบบการเงินของรัฐบาลกลาง เช่น ระบบการชำระเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เกิดข้อกังวลด้าน ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลประชาชน ✅ ข้อมูลล็อกอินของ Kyle Schutt ถูกพบในฐานข้อมูลที่รวบรวมโดยมัลแวร์ขโมยข้อมูล - อาจทำให้ ระบบของ CISA และ DOGE เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ ✅ DOGE มีสิทธิ์เข้าถึงระบบการเงินของรัฐบาลกลาง - รวมถึง ระบบการชำระเงินของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ✅ Schutt เคยเข้าถึงระบบการเงินหลักของ FEMA ในเดือนกุมภาพันธ์ - อาจทำให้ ข้อมูลสำคัญของรัฐบาลตกอยู่ในความเสี่ยง ✅ มัลแวร์ขโมยข้อมูลสามารถจับข้อมูลล็อกอินจากอุปกรณ์ที่ติดเชื้อ - ทำให้ ข้อมูลที่พนักงานใช้ในการทำงานอาจถูกนำไปใช้โดยผู้ไม่หวังดี ✅ Elon Musk ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับบทบาทของเขาในรัฐบาลและธุรกิจส่วนตัว - มีข้อกังวลเกี่ยวกับ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่าง Tesla และ DOGE https://www.neowin.net/news/stolen-credentials-linked-to-compromised-doge-employee-found-circulating-online/
    WWW.NEOWIN.NET
    Stolen credentials linked to compromised DOGE employee found circulating online
    A new report has surfaced that the credentials of a DOGE software engineer were present in multiple public dumps from info-stealer malware infections.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • Fidji Simo เข้าร่วม OpenAI ในตำแหน่ง CEO of Applications OpenAI กำลังปรับโครงสร้างทีมบริหารเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดย Fidji Simo ซึ่งเป็น CEO ของ Instacart จะเข้ารับตำแหน่ง CEO of Applications ที่ OpenAI และรายงานตรงต่อ Sam Altman

    OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์มากกว่า 500 ล้านคน และกำลังขยายบทบาทไปสู่ การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เพื่อสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

    ✅ Fidji Simo จะเข้ารับตำแหน่ง CEO of Applications ที่ OpenAI
    - รายงานตรงต่อ Sam Altman
    - ดูแล การนำงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์และการดำเนินงานของบริษัท

    ✅ OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์มากกว่า 500 ล้านคน
    - กำลังขยายบทบาทไปสู่ การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก

    ✅ Fidji Simo เคยเป็นสมาชิกบอร์ดของ OpenAI มาก่อน
    - มีประสบการณ์ในการ บริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสาธารณประโยชน์

    ✅ Sam Altman ยังคงเป็น CEO ของ OpenAI และดูแลด้าน Research, Compute และ Applications
    - ยังคงมีบทบาทสำคัญในการ กำหนดทิศทางของบริษัท

    ✅ Fidji Simo จะเข้ารับตำแหน่งหลังจากออกจาก Instacart ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
    - คาดว่าจะเริ่มงานที่ OpenAI ภายในปีนี้

    https://www.neowin.net/news/instacart-ceo-fidji-simo-to-join-openai-as-ceo-of-applications/
    Fidji Simo เข้าร่วม OpenAI ในตำแหน่ง CEO of Applications OpenAI กำลังปรับโครงสร้างทีมบริหารเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดย Fidji Simo ซึ่งเป็น CEO ของ Instacart จะเข้ารับตำแหน่ง CEO of Applications ที่ OpenAI และรายงานตรงต่อ Sam Altman OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์มากกว่า 500 ล้านคน และกำลังขยายบทบาทไปสู่ การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก เพื่อสนับสนุนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ✅ Fidji Simo จะเข้ารับตำแหน่ง CEO of Applications ที่ OpenAI - รายงานตรงต่อ Sam Altman - ดูแล การนำงานวิจัยไปใช้ในเชิงพาณิชย์และการดำเนินงานของบริษัท ✅ OpenAI มีผู้ใช้งานรายสัปดาห์มากกว่า 500 ล้านคน - กำลังขยายบทบาทไปสู่ การเป็นผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก ✅ Fidji Simo เคยเป็นสมาชิกบอร์ดของ OpenAI มาก่อน - มีประสบการณ์ในการ บริหารและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสาธารณประโยชน์ ✅ Sam Altman ยังคงเป็น CEO ของ OpenAI และดูแลด้าน Research, Compute และ Applications - ยังคงมีบทบาทสำคัญในการ กำหนดทิศทางของบริษัท ✅ Fidji Simo จะเข้ารับตำแหน่งหลังจากออกจาก Instacart ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า - คาดว่าจะเริ่มงานที่ OpenAI ภายในปีนี้ https://www.neowin.net/news/instacart-ceo-fidji-simo-to-join-openai-as-ceo-of-applications/
    WWW.NEOWIN.NET
    Instacart CEO Fidji Simo to join OpenAI as CEO of Applications
    OpenAI is appointing Instacart CEO Fidji Simo as its new CEO of Applications to manage the company's rapidly growing product side and business operations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยชาวจีนได้สร้าง ระบบส่งข้อมูลที่ปลอดภัยและมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกระยะทาง 1,200 กิโลเมตร โดยใช้ เทคนิคการเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง ซึ่งช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยระดับสูงโดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม

    เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Integrated Encryption and Communication (IEAC) ซึ่งพัฒนาโดย ศาสตราจารย์ Lilin Yi จากมหาวิทยาลัย Shanghai Jiao Tong โดยใช้ Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง เพื่อสร้าง รูปแบบแสงที่ไม่สามารถถอดรหัสได้โดยง่าย

    ✅ IEAC เป็นระบบเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง
    - ไม่ต้องใช้ ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม เช่น TLS หรือ IPsec
    - ทำให้ การดักฟังข้อมูลแทบเป็นไปไม่ได้

    ✅ ใช้เทคนิค Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง
    - สร้าง รูปแบบแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    - ทำให้ ข้อมูลดูเหมือนสัญญาณรบกวนสำหรับผู้ดักฟัง

    ✅ สามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1 Tbps ผ่านระยะทาง 1,200 กิโลเมตร
    - ทดสอบผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกที่มี 26 ช่องสัญญาณบนคลื่น C-band ขนาด 3.9 THz
    - มี อัตราความผิดพลาดของข้อมูลต่ำกว่า 2×10⁻²

    ✅ IEAC สามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้
    - ไม่ต้องใช้ อุปกรณ์พิเศษเหมือน Quantum Key Distribution (QKD)
    - สามารถ ติดตั้งผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์

    ✅ เทคโนโลยีนี้อาจมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูล, คลาวด์แพลตฟอร์ม และเครือข่าย 6G
    - ช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยและรองรับความต้องการของ AI ได้ดีขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107833-chinese-researchers-achieve-1-tbps-secure-data-transmission.html
    นักวิจัยชาวจีนได้สร้าง ระบบส่งข้อมูลที่ปลอดภัยและมีความเร็วสูงถึง 1 Tbps ผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกระยะทาง 1,200 กิโลเมตร โดยใช้ เทคนิคการเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง ซึ่งช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยระดับสูงโดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม เทคโนโลยีนี้เรียกว่า Integrated Encryption and Communication (IEAC) ซึ่งพัฒนาโดย ศาสตราจารย์ Lilin Yi จากมหาวิทยาลัย Shanghai Jiao Tong โดยใช้ Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง เพื่อสร้าง รูปแบบแสงที่ไม่สามารถถอดรหัสได้โดยง่าย ✅ IEAC เป็นระบบเข้ารหัสที่ฝังอยู่ในสัญญาณแสงโดยตรง - ไม่ต้องใช้ ซอฟต์แวร์เข้ารหัสเพิ่มเติม เช่น TLS หรือ IPsec - ทำให้ การดักฟังข้อมูลแทบเป็นไปไม่ได้ ✅ ใช้เทคนิค Geometric Constellation Shaping (GCS) และตัวสร้างตัวเลขสุ่มความเร็วสูง - สร้าง รูปแบบแสงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา - ทำให้ ข้อมูลดูเหมือนสัญญาณรบกวนสำหรับผู้ดักฟัง ✅ สามารถส่งข้อมูลที่ความเร็ว 1 Tbps ผ่านระยะทาง 1,200 กิโลเมตร - ทดสอบผ่าน สายไฟเบอร์ออปติกที่มี 26 ช่องสัญญาณบนคลื่น C-band ขนาด 3.9 THz - มี อัตราความผิดพลาดของข้อมูลต่ำกว่า 2×10⁻² ✅ IEAC สามารถใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ได้ - ไม่ต้องใช้ อุปกรณ์พิเศษเหมือน Quantum Key Distribution (QKD) - สามารถ ติดตั้งผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์ ✅ เทคโนโลยีนี้อาจมีบทบาทสำคัญในศูนย์ข้อมูล, คลาวด์แพลตฟอร์ม และเครือข่าย 6G - ช่วยให้ การสื่อสารมีความปลอดภัยและรองรับความต้องการของ AI ได้ดีขึ้น https://www.techspot.com/news/107833-chinese-researchers-achieve-1-tbps-secure-data-transmission.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Researchers achieve 1 Tbps secure data transmission over 1,200 km
    The breakthrough – developed by Professor Lilin Yi at Shanghai Jiao Tong University – is called the Integrated Encryption and Communication (IEAC) system. Unlike traditional methods such...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time)

    เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ

    หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳)

    อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม

    เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง

    หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน

    นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง

    เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย

    ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก

    หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก:
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml
    https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html
    https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html
    http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml
    https://kknews.cc/history/ogan4p.html
    https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726

    #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    Storyฯ นึกถึงภาพยนตร์จีนโบราณที่เคยผ่านตาเมื่อนานมาแล้วเรื่องหนึ่งชื่อว่า <หลิ่วหรูซื่อ> (Threads of Time) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวประวัติของนางคณิกานามว่า ‘หลิ่วหรูซื่อ’ นางถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นกวีหญิงที่โดดเด่นในสมัยปลายราชวงศ์หมิง และเป็นสตรีที่รักชาติและต่อต้านการรุกรานจากชาวแมนจูในช่วงผลัดแผ่นดิน ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพจคุ้นเคยกับเรื่องของนางกันบ้างหรือไม่? วันนี้เลยมาคุยให้ฟังอย่างย่อ หลิ่วหรูซื่อ (ค.ศ. 1618-1664) ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาจากแม่น้ำฉินหวย (ฉินหวยปาเยี่ยน / 秦淮八艳) อะไรคือ ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ? ในสมัยปลายราชวงศ์หมิงนั้น สถานสอบราชบันฑิตที่ใหญ่ที่สุดคือเจียงหนานก้งเยวี่ยน (江南贡院) ตั้งอยู่ที่เมืองเจียงหนานริมฝั่งแม่น้ำฉินหวย ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตและข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการสอบมาที่นี่ถึงสองสามหมื่นคน จากเมืองเจียงหนานข้ามแม่น้ำฉินหวยมาก็เป็นเมืองหนานจิง (นานกิง) ซึ่งนับว่าเป็นเมืองทางผ่านสำหรับเขาเหล่านี้ ที่นี่จึงกลายเป็นทำเลทองของกิจการหอนางโลม เพื่อนเพจอย่าได้คิดว่านางคณิกาเหล่านี้เน้นขายบริการทางเพศแต่อย่างเดียว ในยุคนั้นรายได้เป็นกอบเป็นกำมาจากการขายความบันเทิงทางศิลปะเคล้าสุรา เช่น เล่นดนตรี / เล่นหมากล้อม / โชว์เต้นรำ / แต่งกลอนวาดภาพ หรืออาจทำทั้งหมด มีนางคณิกาจำนวนไม่น้อยที่ขายศิลปะไม่ขายตัวและคนที่ชื่อดังจะต้องมีฝีมือดีเยี่ยม ทั้งนี้เพื่อให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าที่มีการศึกษา ‘ฉินหวยปาเยี่ยน’ ทั้งแปดคนนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘ที่สุด’ ของนางคณิกาในย่านเมืองหนานจิงนี้นี่เอง หลิ่วหรูซื่อมีนามเดิมว่า ‘หยางอ้าย’ ต่อมาเปลี่ยนชื่อตนเองใหม่เป็น ‘อิ่ง’ และมีนามรองว่า ‘หรูซื่อ’ ตามบทกวีจากสมัยซ่ง บ่อยครั้งที่นางแต่งตัวเป็นชายออกไปโต้กลอนกับคนอื่นโดยใช้นามว่า ‘เหอตงจวิน’ นางโด่งดังที่สุดด้านงานอักษรและงานพู่กันจีน (บทกวี คัดพู่กัน และภาพวาด) ผลงานของนางมีมากมายทั้งในนาม ‘หลิ่วหรูซื่อ’ และ ‘เหอตงจวิน’ มีการรวมเล่มผลงานของนางออกจำหน่ายในหลายยุคสมัยจวบจนปัจจุบัน นางเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ถูกขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุแปดขวบ แต่แม่เล้ารับเป็นลูกบุญธรรมและได้ฝึกเรียนศิลปะแขนงต่างๆ ในชีวิตนางมีชายสามคนที่มีบทบาทมาก คนแรกคืออดีตเสนาบดีอดีตจอหงวน ที่รับนางเป็นอนุเมื่ออายุเพียง 14 ปี เขาโปรดปรานนางที่สุด ใช้เวลาทั้งวันกับการสอนศิลปะขั้นสูงเหล่านี้ให้กับนาง เมื่อเขาตายลงนางถูกขับออกจากเรือนจึงกลับไปอยู่หอนางโลมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีวิชาความรู้ติดตัวจนเป็นที่เลื่องลือ ทำให้นางใช้ชีวิตอยู่กับการคบหาสมาคมกับเหล่าบัณฑิตจนได้มาพบรักกับเฉินจื่อหลง เขาเป็นบัณฑิตที่ต่อมารับราชการไปได้ไกล ทั้งสองอยู่ด้วยกันนานหลายปี แต่สุดท้ายไปไม่รอดแยกย้ายกันไปและนางออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่นางมีผลงานด้านโคลงกลอนและภาพวาดมากมาย ต่อมาในวัย 23 ปี นางได้พบและแต่งงานกับอดีตขุนนางอายุกว่า 50 ปีนามว่าเฉียนเชียนอี้เป็นภรรยารอง (แต่ภรรยาคนแรกเสียไปแล้ว) และอยู่ด้วยกันนานกว่า 20 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ช่วงเวลาที่อยู่กับเฉียนเชียนอี้นี้ เป็นช่วงเวลาที่นางได้รับการยกย่องเรื่องรักชาติ และนางเป็นผู้ผลักดันให้เฉียนเชียนอี้ทำงานต่อต้านแมนจูอย่างลับๆ เพื่อกอบกู้ราชวงศ์หมิง แม้ว่าฉากหน้าจะสวามิภักดิ์รับราชการกับทางการแมนจูไปแล้ว (เรื่องราวของเฉียนเชียนอี้ที่กลับไปกลับมากับการสนับสนุนฝ่ายใดเป็นเรื่องที่ยาว Storyฯ ขอไม่ลงในรายละเอียด) ต่อมาเฉียนเชียนอี้ลาออกไปใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทโดยนางติดตามไปด้วย เมื่อเขาตายลงมีการแย่งทรัพย์สมบัติ นางจึงฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้ทางการเอาผิดคนโกงและคืนทรัพย์สินกลับมาให้ลูก หลิ่วหรูซื่อไม่เพียงฝากผลงานเอาไว้ให้ชนรุ่นหลังมากมาย หากแต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและรักชาติของหลิ่วหรูซื่อถูกสะท้อนออกมาในบทประพันธ์ต่างๆ ของนางด้วยอารมณ์ประมาณว่า “ถ้าฉันเป็นชาย ฉันจะไปสู้เพื่อชาติ” แต่เมื่อเป็นหญิง นางจึงพยายามสนับสนุนกองกำลังกู้ชาติทางการเงินและผลักดันให้สามีของนางสนับสนุนด้วย และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเรื่องราวของนางคณิกาธรรมดาคนนี้ยังไม่ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลเรียบเรียงจาก: https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html https://www.chinanews.com.cn/cul/news/2008/03-10/1186637.shtml https://new.qq.com/omn/20191102/20191102A03LG800.html https://kknews.cc/history/b2nbjyo.html http://www.360doc.com/content/20/0325/10/60244337_901533310.shtml https://kknews.cc/history/ogan4p.html https://baike.baidu.com/item/%E7%A7%A6%E6%B7%AE%E5%85%AB%E8%89%B3/384726 #หลิ่วหรูซือ #เหอตงจวิน #นางคณิกาจีนโบราณ #ฉินหวยปาเยี่ยน #เฉียนเชียนอี้ #เฉินจื่อหลง #กอบกู้หมิง
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำเนียบขาวของทรัมป์กำลังสร้างจักรวาลสื่อของตัวเอง โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้า เช่น การจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ และการเผยแพร่ มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars

    ตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ทีมของเขาได้ให้ความสำคัญกับ สื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์ มากขึ้น เพื่อ ลดบทบาทของสื่อดั้งเดิมและควบคุมการนำเสนอข่าว

    ✅ ทำเนียบขาวของทรัมป์ให้ความสำคัญกับสื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์
    - ลดบทบาทของ สื่อดั้งเดิม เช่น CNN และ The New York Times
    - ใช้ Truth Social เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข้อมูล

    ✅ มีการจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์แทนสื่อหลัก
    - ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลก่อนสื่อดั้งเดิม
    - ส่งเสริม การเผยแพร่ข่าวในรูปแบบที่สนับสนุนทรัมป์

    ✅ มีการเผยแพร่มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars
    - มีมของทรัมป์ในชุดพระสันตะปาปาถูกโพสต์บน Truth Social หลังจากเขาเข้าร่วมพิธีศพของโป๊ปฟรานซิส

    ✅ กลยุทธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามสื่อที่ทรัมป์ใช้มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2016
    - เน้นการ ควบคุมการนำเสนอข่าวและลดอิทธิพลของสื่อที่วิจารณ์เขา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/trump039s-white-house-creates-own-media-universe
    ทำเนียบขาวของทรัมป์กำลังสร้างจักรวาลสื่อของตัวเอง โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างจากรัฐบาลก่อนหน้า เช่น การจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ และการเผยแพร่ มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars ตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2025 ทีมของเขาได้ให้ความสำคัญกับ สื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์ มากขึ้น เพื่อ ลดบทบาทของสื่อดั้งเดิมและควบคุมการนำเสนอข่าว ✅ ทำเนียบขาวของทรัมป์ให้ความสำคัญกับสื่อฝ่ายขวาและแพลตฟอร์มออนไลน์ - ลดบทบาทของ สื่อดั้งเดิม เช่น CNN และ The New York Times - ใช้ Truth Social เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข้อมูล ✅ มีการจัดบรีฟพิเศษสำหรับอินฟลูเอนเซอร์แทนสื่อหลัก - ทำให้ อินฟลูเอนเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลก่อนสื่อดั้งเดิม - ส่งเสริม การเผยแพร่ข่าวในรูปแบบที่สนับสนุนทรัมป์ ✅ มีการเผยแพร่มีมของทรัมป์ในบทบาทต่าง ๆ เช่น พระสันตะปาปาและเจไดจาก Star Wars - มีมของทรัมป์ในชุดพระสันตะปาปาถูกโพสต์บน Truth Social หลังจากเขาเข้าร่วมพิธีศพของโป๊ปฟรานซิส ✅ กลยุทธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของสงครามสื่อที่ทรัมป์ใช้มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2016 - เน้นการ ควบคุมการนำเสนอข่าวและลดอิทธิพลของสื่อที่วิจารณ์เขา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/07/trump039s-white-house-creates-own-media-universe
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Trump's White House creates own media universe
    Former reality TV star Trump and his team have had a strong social media game since his first presidency from 2017-2021.
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • NSO Group บริษัทผู้ผลิตสปายแวร์จากอิสราเอล ถูกปรับเป็นเงิน 167 ล้านดอลลาร์ หลังจากศาลตัดสินว่าบริษัทละเมิดกฎหมายไซเบอร์โดยใช้ Pegasus spyware โจมตีผู้ใช้ WhatsApp

    คดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 เมื่อ NSO Group ใช้ช่องโหว่ในระบบโทรศัพท์ของ WhatsApp เพื่อแอบติดตั้ง Pegasus บนอุปกรณ์ของเป้าหมายโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ ซึ่งเป็น การโจมตีแบบ zero-click

    ✅ NSO Group ถูกปรับ 167 ล้านดอลลาร์จากการใช้ Pegasus spyware โจมตีผู้ใช้ WhatsApp
    - คดีนี้เริ่มต้นในปี 2019 และสิ้นสุดในปี 2025
    - ศาลตัดสินว่า NSO Group ละเมิดกฎหมายไซเบอร์ของสหรัฐฯ

    ✅ Pegasus spyware สามารถติดตั้งบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ
    - ใช้ช่องโหว่ใน ระบบโทรศัพท์ของ WhatsApp
    - เพียงแค่ โทรหาผู้ใช้ แม้ไม่ได้รับสาย Spyware ก็สามารถติดตั้งได้

    ✅ WhatsApp ได้แจ้งเตือนผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบและแก้ไขช่องโหว่ในปี 2019
    - อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการโจมตี
    - แจ้งเตือน 1,400 ผู้ใช้ที่ตกเป็นเป้าหมาย

    ✅ Meta วางแผนบริจาคเงินค่าปรับให้กับองค์กรด้านสิทธิทางดิจิทัล
    - เพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีสอดแนม

    ✅ NSO Group ยืนยันว่าบริษัทจะอุทธรณ์คำตัดสิน
    - ระบุว่า เทคโนโลยีของบริษัทมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาชญากรรมและก่อการร้าย

    ‼️ Pegasus spyware สามารถพัฒนาให้โจมตีผ่านข้อความได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ
    - เทคโนโลยีของ NSO Group ยังคงมีความสามารถในการเจาะระบบที่ซับซ้อนขึ้น

    ‼️ NSO Group เคยถูกดำเนินคดีโดย Apple และถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ
    - ในปี 2021 Apple ฟ้อง NSO Group ฐานเจาะระบบ iPhone
    - รัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ NSO Group เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคง

    https://www.neowin.net/news/israeli-spyware-maker-nso-group-fined-167m-for-whatsapp-spyware-attack/
    NSO Group บริษัทผู้ผลิตสปายแวร์จากอิสราเอล ถูกปรับเป็นเงิน 167 ล้านดอลลาร์ หลังจากศาลตัดสินว่าบริษัทละเมิดกฎหมายไซเบอร์โดยใช้ Pegasus spyware โจมตีผู้ใช้ WhatsApp คดีนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 เมื่อ NSO Group ใช้ช่องโหว่ในระบบโทรศัพท์ของ WhatsApp เพื่อแอบติดตั้ง Pegasus บนอุปกรณ์ของเป้าหมายโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ ซึ่งเป็น การโจมตีแบบ zero-click ✅ NSO Group ถูกปรับ 167 ล้านดอลลาร์จากการใช้ Pegasus spyware โจมตีผู้ใช้ WhatsApp - คดีนี้เริ่มต้นในปี 2019 และสิ้นสุดในปี 2025 - ศาลตัดสินว่า NSO Group ละเมิดกฎหมายไซเบอร์ของสหรัฐฯ ✅ Pegasus spyware สามารถติดตั้งบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ - ใช้ช่องโหว่ใน ระบบโทรศัพท์ของ WhatsApp - เพียงแค่ โทรหาผู้ใช้ แม้ไม่ได้รับสาย Spyware ก็สามารถติดตั้งได้ ✅ WhatsApp ได้แจ้งเตือนผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบและแก้ไขช่องโหว่ในปี 2019 - อัปเดตระบบเพื่อป้องกันการโจมตี - แจ้งเตือน 1,400 ผู้ใช้ที่ตกเป็นเป้าหมาย ✅ Meta วางแผนบริจาคเงินค่าปรับให้กับองค์กรด้านสิทธิทางดิจิทัล - เพื่อช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีสอดแนม ✅ NSO Group ยืนยันว่าบริษัทจะอุทธรณ์คำตัดสิน - ระบุว่า เทคโนโลยีของบริษัทมีบทบาทสำคัญในการป้องกันอาชญากรรมและก่อการร้าย ‼️ Pegasus spyware สามารถพัฒนาให้โจมตีผ่านข้อความได้โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ดำเนินการใด ๆ - เทคโนโลยีของ NSO Group ยังคงมีความสามารถในการเจาะระบบที่ซับซ้อนขึ้น ‼️ NSO Group เคยถูกดำเนินคดีโดย Apple และถูกขึ้นบัญชีดำโดยรัฐบาลสหรัฐฯ - ในปี 2021 Apple ฟ้อง NSO Group ฐานเจาะระบบ iPhone - รัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำ NSO Group เนื่องจากเป็นภัยต่อความมั่นคง https://www.neowin.net/news/israeli-spyware-maker-nso-group-fined-167m-for-whatsapp-spyware-attack/
    WWW.NEOWIN.NET
    Israeli spyware maker NSO Group fined $167M for WhatsApp spyware attack
    Meta has won over $167 million from NSO Group following a 6-year battle over the Israeli firm's Pegasus spyware.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • Arctic ได้อัปเดตระบบ MX Authenticity Check ซึ่งเป็น ระบบตรวจสอบความแท้ของสารนำความร้อน ผ่าน QR Code แบบขูด เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว

    บริษัทระบุว่า การปลอมแปลงสารนำความร้อนกำลังเพิ่มขึ้น และต้องการให้ลูกค้า มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ Arctic ของแท้ โดยกระบวนการตรวจสอบใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที

    ✅ Arctic อัปเดตระบบ MX Authenticity Check เพื่อป้องกันสารนำความร้อนปลอม
    - ใช้ QR Code แบบขูด เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว
    - กระบวนการตรวจสอบใช้เวลาเพียง ไม่กี่วินาที

    ✅ การปลอมแปลงสารนำความร้อนกำลังเพิ่มขึ้น
    - Arctic ต้องการให้ลูกค้า มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ของแท้
    - สารนำความร้อนมีบทบาทสำคัญในการ ถ่ายเทความร้อนจาก CPU ไปยังฮีตซิงก์

    ✅ กระบวนการตรวจสอบมี 4 ขั้นตอน
    - ตรวจสอบ ซีลของผลิตภัณฑ์
    - ขูดเพื่อเผย QR Code
    - สแกน QR Code ด้วยมือถือ
    - ตรวจสอบความแท้ผ่านเว็บไซต์ของ Arctic

    ✅ Arctic MX-4 และ MX-6 เป็นสารนำความร้อนที่ได้รับความนิยม
    - ใช้ในการทดสอบ CPU ของ Tom's Hardware
    - มีคุณสมบัติ ช่วยให้การถ่ายเทความร้อนมีประสิทธิภาพสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/to-combat-counterfeit-thermal-paste-arctic-rolls-out-scratch-off-qr-code-authentication
    Arctic ได้อัปเดตระบบ MX Authenticity Check ซึ่งเป็น ระบบตรวจสอบความแท้ของสารนำความร้อน ผ่าน QR Code แบบขูด เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว บริษัทระบุว่า การปลอมแปลงสารนำความร้อนกำลังเพิ่มขึ้น และต้องการให้ลูกค้า มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ Arctic ของแท้ โดยกระบวนการตรวจสอบใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที ✅ Arctic อัปเดตระบบ MX Authenticity Check เพื่อป้องกันสารนำความร้อนปลอม - ใช้ QR Code แบบขูด เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ของตนได้อย่างรวดเร็ว - กระบวนการตรวจสอบใช้เวลาเพียง ไม่กี่วินาที ✅ การปลอมแปลงสารนำความร้อนกำลังเพิ่มขึ้น - Arctic ต้องการให้ลูกค้า มั่นใจว่าได้รับผลิตภัณฑ์ของแท้ - สารนำความร้อนมีบทบาทสำคัญในการ ถ่ายเทความร้อนจาก CPU ไปยังฮีตซิงก์ ✅ กระบวนการตรวจสอบมี 4 ขั้นตอน - ตรวจสอบ ซีลของผลิตภัณฑ์ - ขูดเพื่อเผย QR Code - สแกน QR Code ด้วยมือถือ - ตรวจสอบความแท้ผ่านเว็บไซต์ของ Arctic ✅ Arctic MX-4 และ MX-6 เป็นสารนำความร้อนที่ได้รับความนิยม - ใช้ในการทดสอบ CPU ของ Tom's Hardware - มีคุณสมบัติ ช่วยให้การถ่ายเทความร้อนมีประสิทธิภาพสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/thermal-paste/to-combat-counterfeit-thermal-paste-arctic-rolls-out-scratch-off-qr-code-authentication
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    To combat counterfeit thermal paste, Arctic updates scratch-off QR code authentication
    The MX Authenticity Check online QR-code-based system will confirm whether your Arctic-branded MX-4 or MX-6 thermal compound purchase is genuine.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้ประกาศว่า CUDA Toolkit รุ่นถัดไปจะไม่รองรับสถาปัตยกรรม Maxwell, Pascal และ Volta ซึ่งหมายความว่า นักพัฒนาจะไม่สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่รองรับ GPU เหล่านี้ได้อีกต่อไป

    แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะ ไม่ส่งผลต่อไดรเวอร์ GeForce แต่จะมีผลต่อ การคอมไพล์โค้ดและการใช้ไลบรารี CUDA เช่น cuBLAS และ cuDNN ซึ่งจะไม่รองรับ GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรมเหล่านี้อีกต่อไป

    ✅ CUDA Toolkit รุ่นถัดไปจะไม่รองรับสถาปัตยกรรม Maxwell, Pascal และ Volta
    - นักพัฒนาจะ ไม่สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่รองรับ GPU เหล่านี้ได้อีกต่อไป
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ส่งผลต่อไดรเวอร์ GeForce

    ✅ การคอมไพล์โค้ดและการใช้ไลบรารี CUDA จะได้รับผลกระทบ
    - ไลบรารีเช่น cuBLAS และ cuDNN จะไม่รองรับ GPU Maxwell, Pascal และ Volta
    - นักพัฒนาต้อง เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมใหม่ เช่น Ampere หรือ Blackwell

    ✅ Maxwell, Pascal และ Volta เป็นสถาปัตยกรรมที่มีบทบาทสำคัญในอดีต
    - Maxwell (2014) ใช้ใน GTX 900 Series และ Nintendo Switch รุ่นแรก
    - Pascal (2016) เป็นพื้นฐานของ GTX 1080 Ti และ Tesla P4
    - Volta (2017) เปิดตัว Tensor Cores และเป็นรากฐานของ AI acceleration

    ✅ Nvidia ยังไม่ได้ระบุวันที่แน่นอนสำหรับการเปิดตัว CUDA Toolkit รุ่นใหม่
    - คาดว่าจะเป็น CUDA 13.x แต่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนรุ่นย่อยใน 12.9.x

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-to-drop-cuda-support-for-maxwell-pascal-and-volta-gpus-with-the-next-major-toolkit-release
    Nvidia ได้ประกาศว่า CUDA Toolkit รุ่นถัดไปจะไม่รองรับสถาปัตยกรรม Maxwell, Pascal และ Volta ซึ่งหมายความว่า นักพัฒนาจะไม่สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่รองรับ GPU เหล่านี้ได้อีกต่อไป แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะ ไม่ส่งผลต่อไดรเวอร์ GeForce แต่จะมีผลต่อ การคอมไพล์โค้ดและการใช้ไลบรารี CUDA เช่น cuBLAS และ cuDNN ซึ่งจะไม่รองรับ GPU ที่ใช้สถาปัตยกรรมเหล่านี้อีกต่อไป ✅ CUDA Toolkit รุ่นถัดไปจะไม่รองรับสถาปัตยกรรม Maxwell, Pascal และ Volta - นักพัฒนาจะ ไม่สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่รองรับ GPU เหล่านี้ได้อีกต่อไป - การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่ส่งผลต่อไดรเวอร์ GeForce ✅ การคอมไพล์โค้ดและการใช้ไลบรารี CUDA จะได้รับผลกระทบ - ไลบรารีเช่น cuBLAS และ cuDNN จะไม่รองรับ GPU Maxwell, Pascal และ Volta - นักพัฒนาต้อง เปลี่ยนไปใช้สถาปัตยกรรมใหม่ เช่น Ampere หรือ Blackwell ✅ Maxwell, Pascal และ Volta เป็นสถาปัตยกรรมที่มีบทบาทสำคัญในอดีต - Maxwell (2014) ใช้ใน GTX 900 Series และ Nintendo Switch รุ่นแรก - Pascal (2016) เป็นพื้นฐานของ GTX 1080 Ti และ Tesla P4 - Volta (2017) เปิดตัว Tensor Cores และเป็นรากฐานของ AI acceleration ✅ Nvidia ยังไม่ได้ระบุวันที่แน่นอนสำหรับการเปิดตัว CUDA Toolkit รุ่นใหม่ - คาดว่าจะเป็น CUDA 13.x แต่ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนรุ่นย่อยใน 12.9.x https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-to-drop-cuda-support-for-maxwell-pascal-and-volta-gpus-with-the-next-major-toolkit-release
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google กำลังก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วยโครงการ "100 Zeros" ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Range Media Partners โดยมีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมเทคโนโลยีและปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์

    โครงการนี้จะช่วยให้ Google มีบทบาทในวงการบันเทิง โดยสนับสนุนทั้ง ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี นอกจากนี้ Google ยังต้องการให้ ตัวละครในภาพยนตร์ใช้ Android แทน iPhone เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้ชม

    ✅ Google เปิดตัวโครงการ "100 Zeros" เพื่อเข้าสู่วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์
    - เป็นความร่วมมือกับ Range Media Partners
    - มีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมเทคโนโลยีและปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์

    ✅ สนับสนุนทั้งภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
    - Google หวังว่า โครงการนี้จะช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์นำเทคโนโลยีของ Google ไปใช้
    - รวมถึง Immersive View ใน Maps และเครื่องมือ AI ต่าง ๆ

    ✅ Google ต้องการให้ตัวละครในภาพยนตร์ใช้ Android แทน iPhone
    - เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้ชม
    - อย่างไรก็ตาม Google ระบุว่าไม่ต้องการบังคับให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ของตนในภาพยนตร์

    ✅ YouTube จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้
    - Google ต้องการขายโครงการให้กับ สตูดิโอและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแบบดั้งเดิม

    ✅ โครงการ AI On Screen จะช่วยพัฒนาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ AI
    - Google และ Range จะใช้เวลา 18 เดือนในการพัฒนาและผลิตภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI

    https://www.techspot.com/news/107814-google-launches-100-zeros-movie-tv-venture-boost.html
    Google กำลังก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วยโครงการ "100 Zeros" ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Range Media Partners โดยมีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมเทคโนโลยีและปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ โครงการนี้จะช่วยให้ Google มีบทบาทในวงการบันเทิง โดยสนับสนุนทั้ง ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี นอกจากนี้ Google ยังต้องการให้ ตัวละครในภาพยนตร์ใช้ Android แทน iPhone เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้ชม ✅ Google เปิดตัวโครงการ "100 Zeros" เพื่อเข้าสู่วงการภาพยนตร์และโทรทัศน์ - เป็นความร่วมมือกับ Range Media Partners - มีเป้าหมายเพื่อ ส่งเสริมเทคโนโลยีและปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ✅ สนับสนุนทั้งภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี - Google หวังว่า โครงการนี้จะช่วยให้ผู้สร้างภาพยนตร์นำเทคโนโลยีของ Google ไปใช้ - รวมถึง Immersive View ใน Maps และเครื่องมือ AI ต่าง ๆ ✅ Google ต้องการให้ตัวละครในภาพยนตร์ใช้ Android แทน iPhone - เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ในกลุ่มผู้ชม - อย่างไรก็ตาม Google ระบุว่าไม่ต้องการบังคับให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ของตนในภาพยนตร์ ✅ YouTube จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ - Google ต้องการขายโครงการให้กับ สตูดิโอและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแบบดั้งเดิม ✅ โครงการ AI On Screen จะช่วยพัฒนาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ AI - Google และ Range จะใช้เวลา 18 เดือนในการพัฒนาและผลิตภาพยนตร์สั้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI https://www.techspot.com/news/107814-google-launches-100-zeros-movie-tv-venture-boost.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Google launches "100 Zeros" movie and TV venture to boost its brand image
    Range Media Partners, the talent firm and production company that produced Longlegs and A Complete Unknown, has been tasked with finding both scripted and unscripted projects that...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จาก Oregon State University ได้ค้นพบ แบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่ ที่สามารถ นำไฟฟ้าได้ โดยใช้ เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ยากในสิ่งมีชีวิต

    แบคทีเรียชนิดนี้มีชื่อว่า Candidatus Electrothrix yaqonensis ซึ่งถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน โดยมีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน และสามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร

    ✅ Candidatus Electrothrix yaqonensis เป็นแบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่
    - ถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน
    - มีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน

    ✅ สามารถนำไฟฟ้าได้โดยใช้เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล
    - เส้นใยมี ร่องผิวที่กว้างกว่าสายเคเบิลแบคทีเรียชนิดอื่นถึงสามเท่า
    - ช่วยให้สามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร

    ✅ มีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลทางเคมีของตะกอน
    - สามารถ เชื่อมต่อออกซิเจนหรือนิเตรตที่อยู่บนพื้นผิวตะกอนกับซัลไฟด์ที่อยู่ลึกลงไป
    - ช่วยให้เกิด ปฏิกิริยารีดอกซ์ในระยะทางที่ไกลขึ้น

    ✅ มีศักยภาพในการนำไปใช้ในเทคโนโลยีชีวภาพและการบำบัดสิ่งแวดล้อม
    - สามารถ ใช้ในการกำจัดมลพิษจากตะกอน
    - อาจเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา อุปกรณ์ชีวอิเล็กทรอนิกส์ใหม่

    https://www.techspot.com/news/107808-scientists-discover-new-electricity-conducting-bacterium-oregon-mudflats.html
    นักวิทยาศาสตร์จาก Oregon State University ได้ค้นพบ แบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่ ที่สามารถ นำไฟฟ้าได้ โดยใช้ เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ยากในสิ่งมีชีวิต แบคทีเรียชนิดนี้มีชื่อว่า Candidatus Electrothrix yaqonensis ซึ่งถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน โดยมีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน และสามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร ✅ Candidatus Electrothrix yaqonensis เป็นแบคทีเรียสายเคเบิลชนิดใหม่ - ถูกค้นพบใน พื้นที่โคลนของอ่าว Yaquina Bay รัฐโอเรกอน - มีโครงสร้างเป็น เส้นใยยาวที่เชื่อมต่อเซลล์รูปแท่งเข้าด้วยกัน ✅ สามารถนำไฟฟ้าได้โดยใช้เส้นใยที่มีส่วนประกอบของนิกเกิล - เส้นใยมี ร่องผิวที่กว้างกว่าสายเคเบิลแบคทีเรียชนิดอื่นถึงสามเท่า - ช่วยให้สามารถ ส่งผ่านอิเล็กตรอนได้ในระยะทางหลายเซนติเมตร ✅ มีบทบาทสำคัญในการปรับสมดุลทางเคมีของตะกอน - สามารถ เชื่อมต่อออกซิเจนหรือนิเตรตที่อยู่บนพื้นผิวตะกอนกับซัลไฟด์ที่อยู่ลึกลงไป - ช่วยให้เกิด ปฏิกิริยารีดอกซ์ในระยะทางที่ไกลขึ้น ✅ มีศักยภาพในการนำไปใช้ในเทคโนโลยีชีวภาพและการบำบัดสิ่งแวดล้อม - สามารถ ใช้ในการกำจัดมลพิษจากตะกอน - อาจเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนา อุปกรณ์ชีวอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ https://www.techspot.com/news/107808-scientists-discover-new-electricity-conducting-bacterium-oregon-mudflats.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Scientists discover electricity-conducting bacteria with nickel-based fibers
    Scientists have identified a new species of bacteria in the mudflats of Oregon's Yaquina Bay that is capable of conducting electricity, a property uncommon among living organisms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว
  • สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องชีวประวัติ วันนี้เลยมาคุยให้ฟังถึงเรื่องราวของคนในตำนานอีกคู่หนึ่ง

    เพื่อนเพจที่ได้ติดตามละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> คงจำได้ถึงหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทเด่นคือเฟิ่งชีอู๋ ประมุขตระกูลเฟิ่งแห่งยงโจวผู้ดำรงตำแหน่ง ‘ซ่างซู’ (ขุนนางระดับเสนาธิการ) ในฉากที่นางได้เข้าพบกับท่านชายสองเฟิงหลันซี (พระเอก) ได้แสดงการสวามิภักดิ์ผ่านการเปรียบเปรยถึงซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวิน

    ความมีอยู่ว่า...
    ท่านชายสอง: ซือหม่าเซียงหรูต้องกักตัวเพราะป่วย เช่นเดียวกับข้า ตัวอยู่ในที่มืดมิด
    เฟิ่งชีอู๋: แทนที่จะอยู่ในที่มืด มิสู้จุดโคมเดินทาง หากท่านคิดเป็นซือหม่าเซียงหรู ข้ายอมเป็นจั๋วเหวินจวิน (ภรรยาของซือหม่าเซียงหรู) จุดโคมให้ท่าน
    - ถอดบทสนทนาจะละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ตามซับไทย

    หากใครไม่ทราบเรื่องราวของซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวินคงจะไม่เข้าใจความนัยของบทสนทนาข้างต้นนี้ วันนี้เลยนำเรื่องราวของทั้งคู่มาเล่าให้ฟังอย่างย่อ

    ซือหม่าเซียงหรู (179-117 ปีก่อนคริสตกาล สมัยราชวงศ์ฮั่น) เป็นคนพื้นเพเสฉวน สันทัดด้านอักษรและดนตรีจนได้เป็นอาจารย์ ต่อมาเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อหาหนทางเข้ารับราชการ แต่ด้วยพื้นเพครอบครัวยากจนจึงไม่ได้รับความสนใจนัก สุดท้ายถอดใจอำลาเมืองหลวงไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลิงฉยงตามคำชวนของสหายนามว่า ‘หวางจี๋’ เป็นผู้ว่าการเขตหลิงฉยง

    ที่หลิงฉยง ซือหม่าเซียงหรูแสร้งทำเป็นป่วย วันๆ ไม่ยอมพบใคร โดยมีหวางจี๋คอยไปเยี่ยมเยียนทุกวัน จนเกิดเป็นภาพลักษณ์ว่าซือหม่าเซียงหรูเป็นแขกพิเศษของหวางจี๋ ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย

    หนึ่งในนั้นคือคหบดีพ่อค้านามว่า ‘จั๋วหวางซุน’ เขามีลูกสาวคือจั๋วเหวินจวิน นางออกเรือนไปได้ไม่นานก็เป็นหม้ายจึงกลับมาอยู่กับบิดา ยามนั้นนางอายุเพียงสิบเจ็ด เลื่องชื่อด้วยโฉมงามและความสามารถด้านการดนตรีและโคลงกลอน

    อยู่มาวันหนึ่งจั๋วหวางซุนได้จัดงานเลี้ยงขึ้นโดยตั้งใจเชิญหวางจี๋และซือหม่าเซียงหรูมาเป็นแขก หวางจี๋ถึงขนาดไปเชิญซือหม่าเซียงหรูด้วยตนเอง เขาจึงยอมมาร่วมงาน และเพื่อเป็นการสนองการต้อนรับอันอบอุ่น เขาบรรเลงเพลงพิณ ‘หงส์วอนหาคู่’

    การเล่นพิณครั้งนี้ ไม่ว่าเป็นแผนหรือไม่ แต่ผลก็คือจั๋วเหวินจวินที่มาแอบดูเขาที่หลังฉากและได้ยินเพลงพิณขอรักของเขาเข้าก็ตกหลุมรัก คืนนั้นนางหนีตามเขากลับไปเมืองหลวง ที่นั่นจั๋วเหวินจวินค้นพบความจริงแล้วว่าเขายากจนมาก บ้านของเขามีเพียงสี่ผนังที่ว่างเปล่า แต่นางก็ไม่ทิ้งเขา ใช้ชีวิตแบบกัดก้อนเกลือกินอยู่กับเขาโดยอาศัยเงินและเครื่องประดับที่นางพกติดตัวมา ส่วนจั๋วหวางซุนเมื่อได้ข่าวก็ทั้งอับอายทั้งเสียใจถึงกับตัดขาดไม่ยอมให้เงินช่วยเหลือลูกสาวแม้แต่แดงเดียว

    ต่อมาเงินหมด จั๋วเหวินจวินคิดแล้วว่าอยู่เมืองหลวงต่อไปก็ไม่มีหนทาง จึงชวนซือหม่าเซียงหรูกลับมาที่เมืองหลิงฉยง พวกเขาขายรถม้าซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายเพื่อเปิดร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งช่วยกันทำมาหากิน ทั้งสองทำงานหนักแต่ก็ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข สุดท้ายจั๋วหวางซุนใจอ่อนจึงมอบเงินและบ่าวให้จำนวนไม่น้อยเป็นเงินรับขวัญเขยคนนี้ พอที่ทั้งสองจะกลับไปเมืองหลวงซื้อที่ดินและใช้ชีวิตได้อย่างคนมีอันจะกิน

    ในช่วงเวลานั้นเอง บทประพันธ์ ‘จื่อซวีฟู่’ ของซือหม่าเซียงหรูเป็นที่ชื่นชอบขององค์ฮั่นอู่ตี้ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ติดตามใกล้ชิด ต่อมาหน้าที่การงานยิ่งเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นคนเนื้อหอม จึงเกิดความคิดที่จะรับอนุ แต่ต่อมาจั๋วเหวินจวินแต่งกลอนทำให้เขารำลึกถึงความหลังและเปลี่ยนความคิด (Storyฯ เคยคุยถึงเรื่อง ‘ลำนำผมขาว’ นี้ไปแล้ว ไปหาอ่านย้อนหลังนะคะ)

    ดังนั้น บทสนทนาละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ข้างต้น ไม่เพียงแต่แสดงเจตจำนงของเฟิ่งชีอู๋ที่จะยอมเป็นภรรยาของพระเอก หากแต่ยังสะท้อนถึงความนัยว่า นางยอมใช้ทุกสิ่งอย่างที่นางมีเพื่อช่วยสนับสนุนเขา ไม่ทิ้งไม่หนี จะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดโดยไม่แคร์ว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร

    Storyฯ คิดว่านี่เป็นคำสวามิภักดิ์ที่จริงใจที่สุดเท่าที่สตรีนางหนึ่งจะมอบให้ชายใดได้แล้ว เพื่อนเพจคิดเหมือนกันไหม?

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://auete.com/Tv/wangju/qieshitianxia/
    https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/6ggbbpm.html
    https://kknews.cc/history/y39v3qk.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/卓文君/823759
    http://history.sina.com.cn/his/zl/2014-09-29/1551102344_2.shtml
    http://www.renwugushi.com/qinhan/a1043.html
    https://www.gugong.net/wenhua/34904.html

    #เทียบท้าปฐพี #เฟิ่งชีอู๋ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู #กวีเอกราชวงศ์ฮั่น
    สัปดาห์ที่แล้วคุยเรื่องชีวประวัติ วันนี้เลยมาคุยให้ฟังถึงเรื่องราวของคนในตำนานอีกคู่หนึ่ง เพื่อนเพจที่ได้ติดตามละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> คงจำได้ถึงหนึ่งในตัวละครที่มีบทบาทเด่นคือเฟิ่งชีอู๋ ประมุขตระกูลเฟิ่งแห่งยงโจวผู้ดำรงตำแหน่ง ‘ซ่างซู’ (ขุนนางระดับเสนาธิการ) ในฉากที่นางได้เข้าพบกับท่านชายสองเฟิงหลันซี (พระเอก) ได้แสดงการสวามิภักดิ์ผ่านการเปรียบเปรยถึงซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวิน ความมีอยู่ว่า... ท่านชายสอง: ซือหม่าเซียงหรูต้องกักตัวเพราะป่วย เช่นเดียวกับข้า ตัวอยู่ในที่มืดมิด เฟิ่งชีอู๋: แทนที่จะอยู่ในที่มืด มิสู้จุดโคมเดินทาง หากท่านคิดเป็นซือหม่าเซียงหรู ข้ายอมเป็นจั๋วเหวินจวิน (ภรรยาของซือหม่าเซียงหรู) จุดโคมให้ท่าน - ถอดบทสนทนาจะละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ตามซับไทย หากใครไม่ทราบเรื่องราวของซือหม่าเซียงหรูและจั๋วเหวินจวินคงจะไม่เข้าใจความนัยของบทสนทนาข้างต้นนี้ วันนี้เลยนำเรื่องราวของทั้งคู่มาเล่าให้ฟังอย่างย่อ ซือหม่าเซียงหรู (179-117 ปีก่อนคริสตกาล สมัยราชวงศ์ฮั่น) เป็นคนพื้นเพเสฉวน สันทัดด้านอักษรและดนตรีจนได้เป็นอาจารย์ ต่อมาเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อหาหนทางเข้ารับราชการ แต่ด้วยพื้นเพครอบครัวยากจนจึงไม่ได้รับความสนใจนัก สุดท้ายถอดใจอำลาเมืองหลวงไปอาศัยอยู่ที่เมืองหลิงฉยงตามคำชวนของสหายนามว่า ‘หวางจี๋’ เป็นผู้ว่าการเขตหลิงฉยง ที่หลิงฉยง ซือหม่าเซียงหรูแสร้งทำเป็นป่วย วันๆ ไม่ยอมพบใคร โดยมีหวางจี๋คอยไปเยี่ยมเยียนทุกวัน จนเกิดเป็นภาพลักษณ์ว่าซือหม่าเซียงหรูเป็นแขกพิเศษของหวางจี๋ ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือคหบดีพ่อค้านามว่า ‘จั๋วหวางซุน’ เขามีลูกสาวคือจั๋วเหวินจวิน นางออกเรือนไปได้ไม่นานก็เป็นหม้ายจึงกลับมาอยู่กับบิดา ยามนั้นนางอายุเพียงสิบเจ็ด เลื่องชื่อด้วยโฉมงามและความสามารถด้านการดนตรีและโคลงกลอน อยู่มาวันหนึ่งจั๋วหวางซุนได้จัดงานเลี้ยงขึ้นโดยตั้งใจเชิญหวางจี๋และซือหม่าเซียงหรูมาเป็นแขก หวางจี๋ถึงขนาดไปเชิญซือหม่าเซียงหรูด้วยตนเอง เขาจึงยอมมาร่วมงาน และเพื่อเป็นการสนองการต้อนรับอันอบอุ่น เขาบรรเลงเพลงพิณ ‘หงส์วอนหาคู่’ การเล่นพิณครั้งนี้ ไม่ว่าเป็นแผนหรือไม่ แต่ผลก็คือจั๋วเหวินจวินที่มาแอบดูเขาที่หลังฉากและได้ยินเพลงพิณขอรักของเขาเข้าก็ตกหลุมรัก คืนนั้นนางหนีตามเขากลับไปเมืองหลวง ที่นั่นจั๋วเหวินจวินค้นพบความจริงแล้วว่าเขายากจนมาก บ้านของเขามีเพียงสี่ผนังที่ว่างเปล่า แต่นางก็ไม่ทิ้งเขา ใช้ชีวิตแบบกัดก้อนเกลือกินอยู่กับเขาโดยอาศัยเงินและเครื่องประดับที่นางพกติดตัวมา ส่วนจั๋วหวางซุนเมื่อได้ข่าวก็ทั้งอับอายทั้งเสียใจถึงกับตัดขาดไม่ยอมให้เงินช่วยเหลือลูกสาวแม้แต่แดงเดียว ต่อมาเงินหมด จั๋วเหวินจวินคิดแล้วว่าอยู่เมืองหลวงต่อไปก็ไม่มีหนทาง จึงชวนซือหม่าเซียงหรูกลับมาที่เมืองหลิงฉยง พวกเขาขายรถม้าซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายเพื่อเปิดร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่งช่วยกันทำมาหากิน ทั้งสองทำงานหนักแต่ก็ใช้ชีวิตคู่อย่างมีความสุข สุดท้ายจั๋วหวางซุนใจอ่อนจึงมอบเงินและบ่าวให้จำนวนไม่น้อยเป็นเงินรับขวัญเขยคนนี้ พอที่ทั้งสองจะกลับไปเมืองหลวงซื้อที่ดินและใช้ชีวิตได้อย่างคนมีอันจะกิน ในช่วงเวลานั้นเอง บทประพันธ์ ‘จื่อซวีฟู่’ ของซือหม่าเซียงหรูเป็นที่ชื่นชอบขององค์ฮั่นอู่ตี้ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ติดตามใกล้ชิด ต่อมาหน้าที่การงานยิ่งเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นคนเนื้อหอม จึงเกิดความคิดที่จะรับอนุ แต่ต่อมาจั๋วเหวินจวินแต่งกลอนทำให้เขารำลึกถึงความหลังและเปลี่ยนความคิด (Storyฯ เคยคุยถึงเรื่อง ‘ลำนำผมขาว’ นี้ไปแล้ว ไปหาอ่านย้อนหลังนะคะ) ดังนั้น บทสนทนาละครเรื่อง <เทียบท้าปฐพี> ข้างต้น ไม่เพียงแต่แสดงเจตจำนงของเฟิ่งชีอู๋ที่จะยอมเป็นภรรยาของพระเอก หากแต่ยังสะท้อนถึงความนัยว่า นางยอมใช้ทุกสิ่งอย่างที่นางมีเพื่อช่วยสนับสนุนเขา ไม่ทิ้งไม่หนี จะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปตลอดโดยไม่แคร์ว่าผู้อื่นจะมองอย่างไร Storyฯ คิดว่านี่เป็นคำสวามิภักดิ์ที่จริงใจที่สุดเท่าที่สตรีนางหนึ่งจะมอบให้ชายใดได้แล้ว เพื่อนเพจคิดเหมือนกันไหม? (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://auete.com/Tv/wangju/qieshitianxia/ https://kknews.cc/zh-cn/entertainment/6ggbbpm.html https://kknews.cc/history/y39v3qk.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/卓文君/823759 http://history.sina.com.cn/his/zl/2014-09-29/1551102344_2.shtml http://www.renwugushi.com/qinhan/a1043.html https://www.gugong.net/wenhua/34904.html #เทียบท้าปฐพี #เฟิ่งชีอู๋ #จั๋วเหวินจวิน #ซือหม่าเซียงหรู #กวีเอกราชวงศ์ฮั่น
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชนวนปะทุเดือดชายแดนไทย-สปป.ลาว ความสุ่มเสี่ยงความมั่นคงลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่จะลุกลามรอบไทย

    เสียงปืนลั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และนับเป็นปัญหาเฉพาะในแผ่นดินลาวที่ไม่ได้มีชายแดนติดกับเมียนมาร์ การปะทะเริ่มเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในฝั่ง สปป.ลาว บริเวณค่ายภูผาหม่น เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันกรมทหารพรานที่ 31 และกองกำลังผาเมือง ตรึงกำลังเฝ้าระวัง

    ทั้งแถบชายแดนทยอดปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 68 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะฝั่งตรงข้ามมีการใช้อาวุธปืนขนาด 7.62 ใช้สำหรับปืนอาก้า และอาวุธหนักกระทั่งมีเจ้าหน้าทีทหารของสปป.ลาวเสียชีวิต

    ความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์นี้คือจุดเริ่มที่ต้องสืบสาวหาต้นตอต้นเหตุ เพราะพื้นที่สถานการณ์ติดกับชายแดนไทยอย่างมาก

    The Analyzt ขอนำเสนอข้อมูลประกอบความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยที่ติดกับจังหวัดเชียงราย ที่จะไม่เป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอนาคต

    1. การวิเคราะห์สถานการณ์
    บริบททางประวัติศาสตร์และสาเหตุที่อาจเป็นไปได้:

    สงครามกลางเมืองลาว (พ.ศ. 2502-2518): ในอดีต ลาวตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างฝ่ายปะเทดลาว (คอมมิวนิสต์) และรัฐบาลราชอาณาจักรลาว โดยมีมหาอำนาจในสงครามเย็น (สหรัฐฯ และสหภาพโซเวีย ศูนย์กลางของการสู้รบอยู่ในพื้นที่เช่น แขวงเชียงขวาง ซึ่งกองพันปะเทดลาวเคยตั้งมั่น. สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ เช่น เวียดนามเหนือและสหรัฐฯ

    ความขัดแย้งชาติพันธุ์: ลาวตอนเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ชาวม้ง ลาวสูง และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเนื่องจากความต้องการปกครองตนเองหรือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม.
    ยาเสพติดและการค้ามนุษย์: พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (รอยต่อระหว่างลาว เมียนมา และไทย) เป็นแหล่งผลิตและลักลอบขนส่งยาเสพติด เช่น ไอซ์และยาบ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะระหว่างกลุ่มค้ายาและกองกำลังรัฐบาล

    ข้อพิพาทชายแดน: ความไม่ชัดเจนของเขตแดนในลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งเคยเกิดข้อพิพาทในอดีต.

    อิทธิพลจากเพื่อนบ้าน: สถานการณ์ในเมียนมา เช่น การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น KIA, MNDAA) อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังลาวตอนเหนือ

    กลุ่มกองกำลังที่อาจเกี่ยวข้อง:

    กองทัพประชาชนลาว (LPAF): เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของลาว มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและปกป้องพรมแดน อาจเกี่ยวข้องหากมีการปะทะกับกลุ่มค้ายาหรือกลุ่มกบฏ.

    กลุ่มชาติพันธุ์: เช่น ชาวม้งหรือกลุ่มลาวสูง ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับเล็กน้อย.

    กลุ่มค้ายาเสพติด: กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้ลาวตอนเหนือเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด มักปะทะกับกองกำลังรัฐบาลหรือทหารไทยบริเวณชายแดน.

    กลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล: แม้ว่าปะเทดลาวจะสิ้นสุดบทบาทในฐานะกองกำลังติดอาวุธหลังสงครามกลางเมือง แต่กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลอาจยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างไกล.

    แนวโน้มในอนาคต:
    การปะทะจากยาเสพติด: พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนจะยังคงเป็นจุดร้อนของการค้ายา ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะเป็นระยะๆ ระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มค้ายา.

    ผลกระทบจากเมียนมา: หากสถานการณ์ในเมียนมา (เช่น ปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง) ทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว สร้างความตึงเครียดในพื้นที่.

    ความร่วมมือในภูมิภาค: ลาวอาจเพิ่มความร่วมมือกับจีนและไทยในการควบคุมยาเสพติดและความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจลดการปะทะในระยะยาว.

    ข้อพิพาทแม่น้ำโขง: ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนในแม่น้ำโขงอาจทวีความรุนแรงหากมีการอ้างสิทธิ์ในเกาะกลางน้ำหรือทรัพยากรในแม่น้ำ.

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
    ความเชื่อมโยงด้านพลังงานระหว่างลาวและไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหนี้สินของลาวและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว

    รายงานระบุว่าลาวมีหนี้สูงและต้องชำระหนี้ต่อจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้า Opportunities for Development Cooperation in Lao Strategic Sectors | CSIS. นอกจากนี้ การอพยพแรงงานจากลาวอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานในไทย แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดทางสังคม

    ความเชื่อมโยงทางพลังงาน: ลาวถูกเรียกว่า "แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากส่งออกไฟฟ้าจากเขื่อนไฮโดรพาวเวอร์ไปยังไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย Energy in Laos - Wikipedia.

    การค้าข้ามพรมแดน: ลาวและไทยมีความเชื่อมโยงผ่านการค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค หากลาวประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการลงทุนหรือการชะลอตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาจส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของไทย เช่น จังหวัดเชียงรายและหนองคาย Laos - The World Factbook

    การปรับตัวของระบบการค้าในภูมิภาคอาจเกิดการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุนไทยอาจลดการพึ่งพาเส้นทางผ่านลาวไปยังจีน โดยหันไปใช้เส้นทางอื่นมากขึ้นอาจมีการพัฒนาเส้นทางการค้าทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง

    แรงงานข้ามชาติ: ปัญหาเศรษฐกิจในลาวอาจทำให้มีแรงงานชาวลาวเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับนายจ้างไทย แต่ในทางกลับกันอาจสร้างความตึงเครียดทางสังคมและแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของไทย BTI 2024 Laos Country Report: BTI 2024.
    ท่าทีของไทยและการประเมินสถานการณ์

    ท่าทีของไทย
    ไทยมีแนวโน้มร่วมมือกับลาวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ:

    การปราบปรามยาเสพติด: ไทยและลาวมีความร่วมมือกันในการปราบปรามยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ เช่น การจัดตั้งจุดตรวจชายแดนร่วมและการลาดตระเวนร่วม Fighting drug trafficking in the Golden Triangle: a UN Resident Coordinator blog | UN News. นอกจากนี้ ไทยยังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC เพื่อลดการลักลอบขนยา Thai authorities and UNODC meet about precursor chemical trafficking in the Golden Triangle - UNODC.

    ความร่วมมือด้านพลังงาน: ไทยยังคงเป็นตลาดหลักในการซื้อไฟฟ้าจากลาว และอาจผลักดันการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนร่วมกันเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม Alternative Development Pathways for Thailand’s Sustainable Electricity Trade with Laos • Stimson Center

    การเตรียมพร้อมรับมือ: ไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันชายแดน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่สงบในลาว Guide to Investigating Organized Crime in the Golden Triangle — Introduction.

    มิติความมั่นคง: ดูเหมือนว่าปัญหายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีการผลิตและลักลอบขนส่งเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนเส้นทางผ่านลาวและกลับเข้ามาในไทย Asia's infamous Golden Triangle and the soldiers tracking down the drug smugglers who rule its narcotics trade - ABC News.

    นอกจากนี้ หากสถานการณ์ในเมียนมาทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้มีกลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมายังไทยเพิ่มขึ้น.

    การค้ายาเสพติด: ดูเหมือนว่าการค้ายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีตลาดเพิ่มขึ้นในภูมิภาค Q&A: The opium surge in Southeast Asia’s ‘Golden Triangle’ | Drugs News | Al Jazeera.

    ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและลาวจะยังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แต่ไทยควรพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนในลาวด้วย Locked In – Why Thailand Buys Electricity from Laos | Earth Journalism Network.

    ความมั่นคงชายแดน: ไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือกับลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เมียนมาและจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงข้ามพรมแดน Lao delegation explores renewable energy in Thailand | Partnerships for Infrastructure.

    ข้อสรุป
    สถานการณ์ในลาวตอนเหนือกำลังส่งผลกระทบและจะยังคงส่งผลต่อไทยในหลายมิติ หากประเมินแล้วสถานการณ์ในลาวตอนเหนือมีผลกระทบต่อไทยทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการค้ายาเสพติดและความเชื่อมโยงด้านพลังงาน ไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดนและพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาในลาวอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ


    การอ้างอิง:
    Laotian Civil War - Wikipedia
    Insurgency in Laos - Wikipedia
    Unprecedented Protests Are Putting Laos in Uncharted Waters | Council on Foreign Relations
    Assessment for Hmong in Laos | Refworld
    Laos | History, Flag, Map, Capital, Population, & Facts | Britannica
    From jungles to suburbs, warlord led Hmong struggle | Reuters
    Apocalypse Laos: The devastating legacy of the ‘Secret War’ | CEPR
    Laos country profile - BBC News
    Violence Flares in Laos | Council on Foreign Relations
    Laos: Latest News and Updates | South China Morning Post
    Collateral Damage: The Legacy of the Secret War in Laos | The Economic Journal | Oxford Academic
    Laos | AP News






    ชนวนปะทุเดือดชายแดนไทย-สปป.ลาว ความสุ่มเสี่ยงความมั่นคงลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนที่จะลุกลามรอบไทย เสียงปืนลั่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และนับเป็นปัญหาเฉพาะในแผ่นดินลาวที่ไม่ได้มีชายแดนติดกับเมียนมาร์ การปะทะเริ่มเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในฝั่ง สปป.ลาว บริเวณค่ายภูผาหม่น เมืองปากทา แขวงบ่อแก้ว ตรงข้ามอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันกรมทหารพรานที่ 31 และกองกำลังผาเมือง ตรึงกำลังเฝ้าระวัง ทั้งแถบชายแดนทยอดปิดแหล่งท่องเที่ยวจุดชมวิวภูชี้ฟ้า ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 68 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะฝั่งตรงข้ามมีการใช้อาวุธปืนขนาด 7.62 ใช้สำหรับปืนอาก้า และอาวุธหนักกระทั่งมีเจ้าหน้าทีทหารของสปป.ลาวเสียชีวิต ความสุ่มเสี่ยงของสถานการณ์นี้คือจุดเริ่มที่ต้องสืบสาวหาต้นตอต้นเหตุ เพราะพื้นที่สถานการณ์ติดกับชายแดนไทยอย่างมาก The Analyzt ขอนำเสนอข้อมูลประกอบความเป็นไปได้ในการวิเคราะห์สถานการณ์นี้ที่จะส่งผลต่อความมั่นคงชายแดนฝั่งตะวันออกของไทยที่ติดกับจังหวัดเชียงราย ที่จะไม่เป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอนาคต 1. การวิเคราะห์สถานการณ์ บริบททางประวัติศาสตร์และสาเหตุที่อาจเป็นไปได้: สงครามกลางเมืองลาว (พ.ศ. 2502-2518): ในอดีต ลาวตอนเหนือเป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบอย่างหนักระหว่างฝ่ายปะเทดลาว (คอมมิวนิสต์) และรัฐบาลราชอาณาจักรลาว โดยมีมหาอำนาจในสงครามเย็น (สหรัฐฯ และสหภาพโซเวีย ศูนย์กลางของการสู้รบอยู่ในพื้นที่เช่น แขวงเชียงขวาง ซึ่งกองพันปะเทดลาวเคยตั้งมั่น. สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และฝ่ายโลกเสรี รวมถึงการแทรกแซงจากต่างชาติ เช่น เวียดนามเหนือและสหรัฐฯ ความขัดแย้งชาติพันธุ์: ลาวตอนเหนือเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลาย เช่น ชาวม้ง ลาวสูง และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลกลางเนื่องจากความต้องการปกครองตนเองหรือความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคม. ยาเสพติดและการค้ามนุษย์: พื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (รอยต่อระหว่างลาว เมียนมา และไทย) เป็นแหล่งผลิตและลักลอบขนส่งยาเสพติด เช่น ไอซ์และยาบ้า ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะระหว่างกลุ่มค้ายาและกองกำลังรัฐบาล ข้อพิพาทชายแดน: ความไม่ชัดเจนของเขตแดนในลุ่มแม่น้ำโขงระหว่างลาวและไทยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียด โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะกลางน้ำ ซึ่งเคยเกิดข้อพิพาทในอดีต. อิทธิพลจากเพื่อนบ้าน: สถานการณ์ในเมียนมา เช่น การสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ (เช่น KIA, MNDAA) อาจส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังลาวตอนเหนือ กลุ่มกองกำลังที่อาจเกี่ยวข้อง: กองทัพประชาชนลาว (LPAF): เป็นกองทัพอย่างเป็นทางการของลาว มีบทบาทในการรักษาความมั่นคงภายในและปกป้องพรมแดน อาจเกี่ยวข้องหากมีการปะทะกับกลุ่มค้ายาหรือกลุ่มกบฏ. กลุ่มชาติพันธุ์: เช่น ชาวม้งหรือกลุ่มลาวสูง ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้เพื่อปกครองตนเอง อาจยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับเล็กน้อย. กลุ่มค้ายาเสพติด: กลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ใช้ลาวตอนเหนือเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติด มักปะทะกับกองกำลังรัฐบาลหรือทหารไทยบริเวณชายแดน. กลุ่มกบฏหรือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล: แม้ว่าปะเทดลาวจะสิ้นสุดบทบาทในฐานะกองกำลังติดอาวุธหลังสงครามกลางเมือง แต่กลุ่มเล็กๆ ที่ไม่พอใจรัฐบาลอาจยังคงเคลื่อนไหวในพื้นที่ห่างไกล. แนวโน้มในอนาคต: การปะทะจากยาเสพติด: พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนจะยังคงเป็นจุดร้อนของการค้ายา ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะเป็นระยะๆ ระหว่างกองกำลังรัฐบาลและกลุ่มค้ายา. ผลกระทบจากเมียนมา: หากสถานการณ์ในเมียนมา (เช่น ปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มพันธมิตร 3 พี่น้อง) ทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนเข้าสู่ลาว สร้างความตึงเครียดในพื้นที่. ความร่วมมือในภูมิภาค: ลาวอาจเพิ่มความร่วมมือกับจีนและไทยในการควบคุมยาเสพติดและความมั่นคงชายแดน ซึ่งอาจลดการปะทะในระยะยาว. ข้อพิพาทแม่น้ำโขง: ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนในแม่น้ำโขงอาจทวีความรุนแรงหากมีการอ้างสิทธิ์ในเกาะกลางน้ำหรือทรัพยากรในแม่น้ำ. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยงด้านพลังงานระหว่างลาวและไทยเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ปัญหาหนี้สินของลาวและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเขื่อนอาจเป็นความเสี่ยงในระยะยาว รายงานระบุว่าลาวมีหนี้สูงและต้องชำระหนี้ต่อจีน ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการผลิตไฟฟ้า Opportunities for Development Cooperation in Lao Strategic Sectors | CSIS. นอกจากนี้ การอพยพแรงงานจากลาวอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานในไทย แต่ก็อาจสร้างความตึงเครียดทางสังคม ความเชื่อมโยงทางพลังงาน: ลาวถูกเรียกว่า "แบตเตอรี่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" เนื่องจากส่งออกไฟฟ้าจากเขื่อนไฮโดรพาวเวอร์ไปยังไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย Energy in Laos - Wikipedia. การค้าข้ามพรมแดน: ลาวและไทยมีความเชื่อมโยงผ่านการค้าข้ามพรมแดน โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภค หากลาวประสบปัญหาเศรษฐกิจ เช่น การลดลงของการลงทุนหรือการชะลอตัวของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาจส่งผลให้การค้าข้ามพรมแดนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจของชุมชนในพื้นที่ชายแดนของไทย เช่น จังหวัดเชียงรายและหนองคาย Laos - The World Factbook การปรับตัวของระบบการค้าในภูมิภาคอาจเกิดการปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าและการลงทุนไทยอาจลดการพึ่งพาเส้นทางผ่านลาวไปยังจีน โดยหันไปใช้เส้นทางอื่นมากขึ้นอาจมีการพัฒนาเส้นทางการค้าทางทะเลเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง แรงงานข้ามชาติ: ปัญหาเศรษฐกิจในลาวอาจทำให้มีแรงงานชาวลาวเข้ามาทำงานในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนแรงงานให้กับนายจ้างไทย แต่ในทางกลับกันอาจสร้างความตึงเครียดทางสังคมและแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการของไทย BTI 2024 Laos Country Report: BTI 2024. ท่าทีของไทยและการประเมินสถานการณ์ ท่าทีของไทย ไทยมีแนวโน้มร่วมมือกับลาวในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ: การปราบปรามยาเสพติด: ไทยและลาวมีความร่วมมือกันในการปราบปรามยาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำ เช่น การจัดตั้งจุดตรวจชายแดนร่วมและการลาดตระเวนร่วม Fighting drug trafficking in the Golden Triangle: a UN Resident Coordinator blog | UN News. นอกจากนี้ ไทยยังทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNODC เพื่อลดการลักลอบขนยา Thai authorities and UNODC meet about precursor chemical trafficking in the Golden Triangle - UNODC. ความร่วมมือด้านพลังงาน: ไทยยังคงเป็นตลาดหลักในการซื้อไฟฟ้าจากลาว และอาจผลักดันการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนร่วมกันเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม Alternative Development Pathways for Thailand’s Sustainable Electricity Trade with Laos • Stimson Center การเตรียมพร้อมรับมือ: ไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันชายแดน เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดและเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันผลกระทบจากความไม่สงบในลาว Guide to Investigating Organized Crime in the Golden Triangle — Introduction. มิติความมั่นคง: ดูเหมือนว่าปัญหายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีการผลิตและลักลอบขนส่งเพิ่มขึ้น รายงานระบุว่ากลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว เช่น การเปลี่ยนเส้นทางผ่านลาวและกลับเข้ามาในไทย Asia's infamous Golden Triangle and the soldiers tracking down the drug smugglers who rule its narcotics trade - ABC News. นอกจากนี้ หากสถานการณ์ในเมียนมาทวีความรุนแรง อาจส่งผลให้มีกลุ่มชาติพันธุ์หรือผู้ลี้ภัยเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนมายังไทยเพิ่มขึ้น. การค้ายาเสพติด: ดูเหมือนว่าการค้ายาเสพติดในสามเหลี่ยมทองคำจะยังคงเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะยาเสพติดสังเคราะห์ที่มีตลาดเพิ่มขึ้นในภูมิภาค Q&A: The opium surge in Southeast Asia’s ‘Golden Triangle’ | Drugs News | Al Jazeera. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ: ไทยและลาวจะยังคงมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านพลังงาน แต่ไทยควรพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากโครงการเขื่อนในลาวด้วย Locked In – Why Thailand Buys Electricity from Laos | Earth Journalism Network. ความมั่นคงชายแดน: ไทยควรเสริมสร้างความร่วมมือกับลาวและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เช่น เมียนมาและจีน เพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางความมั่นคงข้ามพรมแดน Lao delegation explores renewable energy in Thailand | Partnerships for Infrastructure. ข้อสรุป สถานการณ์ในลาวตอนเหนือกำลังส่งผลกระทบและจะยังคงส่งผลต่อไทยในหลายมิติ หากประเมินแล้วสถานการณ์ในลาวตอนเหนือมีผลกระทบต่อไทยทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากการค้ายาเสพติดและความเชื่อมโยงด้านพลังงาน ไทยควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันภัยคุกคามข้ามพรมแดนและพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาในลาวอย่างรอบคอบ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ การอ้างอิง: Laotian Civil War - Wikipedia Insurgency in Laos - Wikipedia Unprecedented Protests Are Putting Laos in Uncharted Waters | Council on Foreign Relations Assessment for Hmong in Laos | Refworld Laos | History, Flag, Map, Capital, Population, & Facts | Britannica From jungles to suburbs, warlord led Hmong struggle | Reuters Apocalypse Laos: The devastating legacy of the ‘Secret War’ | CEPR Laos country profile - BBC News Violence Flares in Laos | Council on Foreign Relations Laos: Latest News and Updates | South China Morning Post Collateral Damage: The Legacy of the Secret War in Laos | The Economic Journal | Oxford Academic Laos | AP News
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้กล่าวถึง การใช้ AI เพื่อช่วยชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบคำแนะนำจาก AI หลายตัว เช่น ChatGPT, Copilot, Gemini และ Claude AI เพื่อดูว่าแต่ละระบบให้คำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย

    นักเขียนได้ตั้งคำถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการชะลอวัยคืออะไร?" และพบว่า AI แต่ละตัวให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ChatGPT เน้นการออกกำลังกายและโภชนาการ, Copilot เน้นการดูแลสุขภาพจิตและการมีสังคม, Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับโภชนาการและการจัดการความเครียด, และ Gemini เน้นย้ำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ

    นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง Bryan Johnson นักธุรกิจที่ลงทุนมหาศาลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ✅ AI หลายตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย
    - ChatGPT เน้น การออกกำลังกายและโภชนาการ
    - Copilot เน้น สุขภาพจิตและการมีสังคม
    - Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับ โภชนาการและการจัดการความเครียด
    - Gemini เน้นย้ำว่า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ

    ✅ Bryan Johnson ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายเพื่อปรับปรุงสุขภาพ
    - เชื่อว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดีกว่าแพทย์ในอนาคต
    - ลงทุนมหาศาลเพื่อ ยืดอายุขัยของตัวเอง

    ✅ AI อาจมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพในอนาคต
    - อาจช่วย วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล
    - อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับ ศาสนาและการดูแลร่างกาย

    ℹ️ AI ไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ในปัจจุบัน
    - AI อาจให้คำแนะนำทั่วไป แต่ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้

    ℹ️ ข้อมูลที่ AI ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคน
    - AI ไม่สามารถรู้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น อาการแพ้หรือข้อจำกัดทางร่างกาย

    ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต
    - หาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพได้แม่นยำขึ้น อาจทำให้ การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-chatgpt-gemini-and-other-ais-how-to-combat-aging-and-only-one-did-the-right-thing
    บทความนี้กล่าวถึง การใช้ AI เพื่อช่วยชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพ โดยเปรียบเทียบคำแนะนำจาก AI หลายตัว เช่น ChatGPT, Copilot, Gemini และ Claude AI เพื่อดูว่าแต่ละระบบให้คำแนะนำอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย นักเขียนได้ตั้งคำถามว่า "วิธีที่ดีที่สุดในการชะลอวัยคืออะไร?" และพบว่า AI แต่ละตัวให้คำตอบที่แตกต่างกันไป เช่น ChatGPT เน้นการออกกำลังกายและโภชนาการ, Copilot เน้นการดูแลสุขภาพจิตและการมีสังคม, Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับโภชนาการและการจัดการความเครียด, และ Gemini เน้นย้ำว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ นอกจากนี้ บทความยังกล่าวถึง Bryan Johnson นักธุรกิจที่ลงทุนมหาศาลเพื่อยืดอายุขัยของตัวเอง โดยใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายของเขาเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ✅ AI หลายตัวให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการชะลอวัย - ChatGPT เน้น การออกกำลังกายและโภชนาการ - Copilot เน้น สุขภาพจิตและการมีสังคม - Claude AI ให้คำตอบเชิงวิชาการเกี่ยวกับ โภชนาการและการจัดการความเครียด - Gemini เน้นย้ำว่า ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ ✅ Bryan Johnson ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลร่างกายเพื่อปรับปรุงสุขภาพ - เชื่อว่า AI อาจให้คำแนะนำที่ดีกว่าแพทย์ในอนาคต - ลงทุนมหาศาลเพื่อ ยืดอายุขัยของตัวเอง ✅ AI อาจมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพในอนาคต - อาจช่วย วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล - อาจเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับ ศาสนาและการดูแลร่างกาย ℹ️ AI ไม่สามารถแทนที่แพทย์ได้ในปัจจุบัน - AI อาจให้คำแนะนำทั่วไป แต่ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคหรือให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้ ℹ️ ข้อมูลที่ AI ใช้อาจไม่เหมาะกับทุกคน - AI ไม่สามารถรู้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เช่น อาการแพ้หรือข้อจำกัดทางร่างกาย ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต - หาก AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพได้แม่นยำขึ้น อาจทำให้ การดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/i-asked-chatgpt-gemini-and-other-ais-how-to-combat-aging-and-only-one-did-the-right-thing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขามี "ความรู้สึกดี" ต่อ TikTok และพร้อมที่จะให้ ขยายเวลาการขายกิจการในสหรัฐฯ อีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยพยายามแบนแอปนี้ในสมัยดำรงตำแหน่ง

    กฎหมาย Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act ซึ่งผ่านการอนุมัติเมื่อปี 2024 ระบุว่า TikTok เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ และกำหนดให้ ByteDance ต้องขายกิจการในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 20 มกราคม 2025 มิฉะนั้นจะถูกแบน อย่างไรก็ตาม Trump ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อ เลื่อนการแบนออกไป 75 วัน และล่าสุดได้ให้ ขยายเวลาอีก 75 วัน ทำให้เส้นตายใหม่เป็น 19 มิถุนายน 2025

    Trump ให้เหตุผลว่า TikTok มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เขาได้รับคะแนนเสียงจากเยาวชน ในการเลือกตั้งปี 2024 โดยเขากล่าวว่า "ผมชนะคะแนนเสียงจากเยาวชนไป 36 จุด ซึ่งไม่เคยมีพรรครีพับลิกันคนไหนทำได้มาก่อน และผมมุ่งเน้นไปที่ TikTok"

    ✅ Trump ให้สัมภาษณ์ว่าเขามี "ความรู้สึกดี" ต่อ TikTok
    - พร้อมให้ ขยายเวลาการขายกิจการในสหรัฐฯ อีกครั้ง
    - เคยพยายามแบน TikTok ในสมัยดำรงตำแหน่ง

    ✅ กฎหมายกำหนดให้ ByteDance ต้องขายกิจการภายในวันที่ 20 มกราคม 2025
    - หากไม่ขาย TikTok จะถูกแบนในสหรัฐฯ
    - Trump ลงนามคำสั่งบริหาร เลื่อนการแบนออกไป 75 วัน

    ✅ Trump ให้ขยายเวลาอีก 75 วัน ทำให้เส้นตายใหม่เป็น 19 มิถุนายน 2025
    - ให้เหตุผลว่า TikTok มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เขาได้รับคะแนนเสียงจากเยาวชน
    - กล่าวว่า "ผมชนะคะแนนเสียงจากเยาวชนไป 36 จุด"

    ✅ มีรายงานว่าข้อตกลงขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ใกล้สำเร็จ
    - Trump ระบุว่า "เรามีข้อตกลงแล้ว"
    - กลุ่มนักลงทุนที่สนใจซื้อกิจการเป็น "บุคคลที่มีอิทธิพลและมีเงินทุนสูง"

    https://www.techspot.com/news/107799-trump-offers-tiktok-another-extension-has-warm-spot.html
    อดีตประธานาธิบดี Donald Trump ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขามี "ความรู้สึกดี" ต่อ TikTok และพร้อมที่จะให้ ขยายเวลาการขายกิจการในสหรัฐฯ อีกครั้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยพยายามแบนแอปนี้ในสมัยดำรงตำแหน่ง กฎหมาย Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act ซึ่งผ่านการอนุมัติเมื่อปี 2024 ระบุว่า TikTok เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ และกำหนดให้ ByteDance ต้องขายกิจการในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 20 มกราคม 2025 มิฉะนั้นจะถูกแบน อย่างไรก็ตาม Trump ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อ เลื่อนการแบนออกไป 75 วัน และล่าสุดได้ให้ ขยายเวลาอีก 75 วัน ทำให้เส้นตายใหม่เป็น 19 มิถุนายน 2025 Trump ให้เหตุผลว่า TikTok มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เขาได้รับคะแนนเสียงจากเยาวชน ในการเลือกตั้งปี 2024 โดยเขากล่าวว่า "ผมชนะคะแนนเสียงจากเยาวชนไป 36 จุด ซึ่งไม่เคยมีพรรครีพับลิกันคนไหนทำได้มาก่อน และผมมุ่งเน้นไปที่ TikTok" ✅ Trump ให้สัมภาษณ์ว่าเขามี "ความรู้สึกดี" ต่อ TikTok - พร้อมให้ ขยายเวลาการขายกิจการในสหรัฐฯ อีกครั้ง - เคยพยายามแบน TikTok ในสมัยดำรงตำแหน่ง ✅ กฎหมายกำหนดให้ ByteDance ต้องขายกิจการภายในวันที่ 20 มกราคม 2025 - หากไม่ขาย TikTok จะถูกแบนในสหรัฐฯ - Trump ลงนามคำสั่งบริหาร เลื่อนการแบนออกไป 75 วัน ✅ Trump ให้ขยายเวลาอีก 75 วัน ทำให้เส้นตายใหม่เป็น 19 มิถุนายน 2025 - ให้เหตุผลว่า TikTok มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เขาได้รับคะแนนเสียงจากเยาวชน - กล่าวว่า "ผมชนะคะแนนเสียงจากเยาวชนไป 36 จุด" ✅ มีรายงานว่าข้อตกลงขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ใกล้สำเร็จ - Trump ระบุว่า "เรามีข้อตกลงแล้ว" - กลุ่มนักลงทุนที่สนใจซื้อกิจการเป็น "บุคคลที่มีอิทธิพลและมีเงินทุนสูง" https://www.techspot.com/news/107799-trump-offers-tiktok-another-extension-has-warm-spot.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Trump offers TikTok another extension on ban, says he has a "warm spot" in his heart for the app
    At the start of last year, the Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act was passed, defining TikTok as being a threat to national security and...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • Eutelsat ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาวเทียม Franco-British ได้ประกาศเปลี่ยน CEO โดยแต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France ให้เข้ารับตำแหน่งแทน Eva Berneke ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2025

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม และมีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

    ✅ Eutelsat แต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher เป็น CEO คนใหม่
    - ปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France
    - จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิถุนายน 2025

    ✅ Eva Berneke ลงจากตำแหน่งหลังจากดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2022
    - เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านดาวเทียม

    ✅ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจ
    - มีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป
    - อาจมีการปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุน

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดาวเทียมและการสื่อสาร
    - อาจส่งผลต่อ การแข่งขันในตลาดดาวเทียมระดับโลก
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Eutelsat

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/05/eutelsat-appointed-jean-franois-fallacher-as-new-ceo
    Eutelsat ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดาวเทียม Franco-British ได้ประกาศเปลี่ยน CEO โดยแต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher ซึ่งปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France ให้เข้ารับตำแหน่งแทน Eva Berneke ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติม และมีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารครั้งนี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ✅ Eutelsat แต่งตั้ง Jean-Francois Fallacher เป็น CEO คนใหม่ - ปัจจุบันเป็น CEO ของ Orange France - จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 1 มิถุนายน 2025 ✅ Eva Berneke ลงจากตำแหน่งหลังจากดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2022 - เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านดาวเทียม ✅ Eutelsat ต้องการเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจ - มีบทบาทสำคัญใน การสื่อสารด้านกลาโหมของยุโรป - อาจมีการปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดนักลงทุน ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดาวเทียมและการสื่อสาร - อาจส่งผลต่อ การแข่งขันในตลาดดาวเทียมระดับโลก - อาจมีการเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Eutelsat https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/05/eutelsat-appointed-jean-franois-fallacher-as-new-ceo
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Eutelsat replaces CEO with Orange executive in surprise move
    PARIS (Reuters) - Franco-British satellite operator Eutelsat will replace its CEO with Orange executive Jean-Francois Fallacher, it said on Monday, in a surprise move by a company in the spotlight for its role in European defence communications.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • Duolingo กำลังปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็น AI-first โดยเน้นการใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาการเรียนรู้และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน

    Luis von Ahn ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Duolingo ระบุว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจจ้างงานและประเมินผลการทำงานของพนักงาน โดยบริษัทจะขยายทีมงานเฉพาะในกรณีที่ AI ไม่สามารถทำงานนั้นได้

    นอกจากนี้ Duolingo ยังมีแผนที่จะ ลดการใช้ผู้รับเหมา สำหรับงานที่ AI สามารถจัดการได้ และปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง AI-first

    ✅ Duolingo ปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็น AI-first
    - AI จะมีบทบาทสำคัญในการ สร้างเนื้อหาการเรียนรู้
    - บริษัทจะขยายทีมงานเฉพาะในกรณีที่ AI ไม่สามารถทำงานนั้นได้

    ✅ AI จะมีผลต่อการจ้างงานและการประเมินผลพนักงาน
    - ความสามารถในการใช้ AI จะเป็น ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจ้างงาน
    - AI จะถูกนำมาใช้ในการ ประเมินผลการทำงานของพนักงาน

    ✅ การลดการใช้ผู้รับเหมา
    - Duolingo จะ หยุดใช้ผู้รับเหมา สำหรับงานที่ AI สามารถจัดการได้
    - ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง AI-first

    ✅ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต
    - หากนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ อาจมีบริษัทอื่น นำแนวทาง AI-first มาใช้มากขึ้น
    - AI อาจกลายเป็น มาตรฐานใหม่ในการบริหารองค์กร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/04/duolingo039s-ai-policy-a-glimpse-of-future-ai-first-reality-for-workers
    Duolingo กำลังปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็น AI-first โดยเน้นการใช้ AI ในการสร้างเนื้อหาการเรียนรู้และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน Luis von Ahn ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Duolingo ระบุว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจจ้างงานและประเมินผลการทำงานของพนักงาน โดยบริษัทจะขยายทีมงานเฉพาะในกรณีที่ AI ไม่สามารถทำงานนั้นได้ นอกจากนี้ Duolingo ยังมีแผนที่จะ ลดการใช้ผู้รับเหมา สำหรับงานที่ AI สามารถจัดการได้ และปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง AI-first ✅ Duolingo ปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็น AI-first - AI จะมีบทบาทสำคัญในการ สร้างเนื้อหาการเรียนรู้ - บริษัทจะขยายทีมงานเฉพาะในกรณีที่ AI ไม่สามารถทำงานนั้นได้ ✅ AI จะมีผลต่อการจ้างงานและการประเมินผลพนักงาน - ความสามารถในการใช้ AI จะเป็น ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจจ้างงาน - AI จะถูกนำมาใช้ในการ ประเมินผลการทำงานของพนักงาน ✅ การลดการใช้ผู้รับเหมา - Duolingo จะ หยุดใช้ผู้รับเหมา สำหรับงานที่ AI สามารถจัดการได้ - ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทาง AI-first ✅ แนวโน้มของการพัฒนาในอนาคต - หากนโยบายนี้ประสบความสำเร็จ อาจมีบริษัทอื่น นำแนวทาง AI-first มาใช้มากขึ้น - AI อาจกลายเป็น มาตรฐานใหม่ในการบริหารองค์กร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/04/duolingo039s-ai-policy-a-glimpse-of-future-ai-first-reality-for-workers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Duolingo's AI policy a glimpse of future AI-first reality for workers
    The language-learning app Duolingo is significantly shifting its emphasis in hiring, productivity and corporate structures toward the use of artificial intelligence.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล
    รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand)

    ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน

    Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน)
    ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง

    ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ?
    -ทันโลก ทันเกม:
    ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร
    -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง:
    รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ
    -สร้างความคล่องตัว (Career Agility):
    เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต
    -แสดงความมุ่งมั่น:
    การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา

    มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential?
    การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ:
    -โปรไฟล์โดดเด่น:
    นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น:
    95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา
    -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ:
    97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing)

    ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ:
    นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี
    ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้!
    และ
    98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน
    -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน:
    นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน
    -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ:
    นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว

    ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ
    -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน:
    ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน
    -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า:
    เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย
    -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ:
    ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง
    -สร้างความมั่นใจ:
    การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง
    -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่:
    อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้

    Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก
    ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก:
    -รักษาความสดใหม่:
    ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค
    -สร้างความแตกต่าง:
    ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร
    -ลงทุนในตัวเอง:
    เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว

    สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน
    ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน

    การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ

    www.10-xconsulting.com
    Micro-credential: อาวุธลับอัปสกิล เพิ่มแต้มต่อให้คนทำงานยุคดิจิทัล รายงานล่าสุดจาก Coursera Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ในโลกการทำงานปัจจุบันที่หมุนเร็วตามเทคโนโลยีดิจิทัล การหยุดนิ่งอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง คนทำงานอย่างเราๆ ต่างต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างความก้าวหน้าในสายอาชีพ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนี้ "Micro-credential" หรือ "หน่วยกิตย่อย" ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณอัปเดตทักษะได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด เพิ่มโอกาสให้คุณโดดเด่นในตลาดแรงงาน Micro-credential คืออะไร? (ฉบับคนทำงาน) ลองนึกภาพการเข้าคอร์สออนไลน์สั้นๆ หลังเลิกงาน หรือในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) หรือแม้แต่ทักษะเฉพาะทางอย่าง Generative AI (GenAI) เมื่อเรียนจบและผ่านการวัดผล คุณจะได้รับใบรับรองหรือสัญลักษณ์ดิจิทัล (Badge) ที่ใช้ยืนยันกับหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัทใหม่ได้ว่า "ฉันมีทักษะนี้จริง" นี่แหละครับคือ Micro-credential – หลักสูตรเข้มข้น ยืดหยุ่น ใช้เวลาไม่นาน และเน้นทักษะที่เอาไปใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อยแต่อยากพัฒนาตัวเอง ทำไม Micro-credential ถึงสำคัญต่อเส้นทางอาชีพของคุณ? -ทันโลก ทันเกม: ช่วยให้คุณตามทันเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของคุณ ทำให้คุณยังคงเป็นที่ต้องการขององค์กร -ปิดจุดอ่อน เติมจุดแข็ง: รู้สึกว่าตัวเองขาดทักษะไหน หรืออยากเสริมความเชี่ยวชาญด้านใด ก็เลือกเรียนเพิ่มเติมได้ตรงประเด็น ไม่ต้องเสียเวลากับหลักสูตรยาวๆ -สร้างความคล่องตัว (Career Agility): เพิ่มทางเลือกให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนสายงานได้ง่ายขึ้นในอนาคต -แสดงความมุ่งมั่น: การมี Micro-credential บ่งบอกว่าคุณเป็นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้และกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเอง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมองหา มุมมองจากฝั่งนายจ้าง: ทำไมบริษัทถึงมองหาคนที่มี Micro-credential? การเข้าใจว่านายจ้างคิดอย่างไรจะช่วยให้คุณวางแผนพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น รายงานล่าสุดจาก Coursera (Micro-Credentials Impact Report 2025 - Thailand) ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมากครับ: -โปรไฟล์โดดเด่น: นายจ้างไทยถึง 98% มองว่า Micro-credential ทำให้เรซูเม่ของคุณน่าสนใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด -ตัดสินใจจ้างง่ายขึ้น: 95% ของนายจ้างมีการจ้างงานคนที่มี Micro-credential อย่างน้อยหนึ่งใบในปีที่ผ่านมา -ต่อรองเงินเดือนได้เปรียบ: 97% ยินดีเสนอเงินเดือนเริ่มต้นสูงขึ้นให้คนที่มี Micro-credential โดยเฉพาะสาย GenAI หรือหน่วยกิตที่เทียบโอนได้ (Credit-bearing) ทักษะเฉพาะทางคือแต้มต่อสำคัญ: นายจ้าง 98% มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีทักษะ GenAI มากกว่าคนที่ไม่มี ถึงขั้นที่ 95% อาจยอมเลือกคนประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีใบรับรอง GenAI มากกว่าคนเก๋าเกมแต่ขาดทักษะนี้! และ 98% ก็มีแนวโน้มจะเลือกคนที่มีหน่วยกิตเทียบโอนได้ มากกว่าคนที่ไม่มีเช่นกัน -ลดเวลา (และต้นทุน) สอนงาน: นายจ้าง 92% พบว่าพนักงานใหม่ที่มี Micro-credential ตรงสายงาน จะเรียนรู้งานได้เร็วขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุนการฝึกอบรมภายใน -ทักษะการสื่อสารยังคงสำคัญ: นอกจากทักษะเฉพาะทาง นายจ้างไทยยังเน้น "การสื่อสารทางธุรกิจ" ที่ดี เพราะต่อให้เก่งเทคโนโลยีแค่ไหน ถ้าสื่อสารไม่รู้เรื่อง งานก็เดินต่อลำบาก โดยเฉพาะในธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ประโยชน์โดยตรงต่อคนทำงานอย่างคุณ -เพิ่มโอกาสได้งานและเงินเดือน: ชัดเจนจากข้อมูลว่า Micro-credential ช่วยให้คุณได้เปรียบทั้งตอนสมัครงานและตอนต่อรองเงินเดือน -พัฒนาทักษะแบบเร่งรัด ตรงเป้า: เลือกเรียนเฉพาะสิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่จำเป็นต่องานในปัจจุบัน/อนาคต ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย -เรียนรู้ได้ตามสไตล์คุณ: ไม่ว่าจะเป็นหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หรือตอนพักเที่ยง ก็สามารถจัดสรรเวลาเรียนได้เอง -สร้างความมั่นใจ: การมีใบรับรองทักษะใหม่ๆ เพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการนำเสนอตัวเอง -เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่: อยากลองเปลี่ยนสายงาน? Micro-credential ช่วยปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นให้คุณได้ Micro-credential: เครื่องมือจัดการเส้นทางอาชีพเชิงรุก ในฐานะคนทำงาน การมองหา Micro-credential ไม่ใช่แค่การเรียนเพิ่ม แต่คือการ "บริหารจัดการเส้นทางอาชีพ" ของคุณในเชิงรุก: -รักษาความสดใหม่: ทำให้โปรไฟล์ของคุณทันสมัย ไม่ตกยุค -สร้างความแตกต่าง: ในสนามการแข่งขันที่รุนแรง ทักษะเฉพาะทางคือสิ่งที่ทำให้คุณไม่เหมือนใคร -ลงทุนในตัวเอง: เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อโอกาสและความก้าวหน้าในระยะยาว สถิติยืนยัน Micro-credential คือ Game Changer ของคนทำงาน ข้อมูลเชิงลึกจาก Coursera ตอกย้ำอย่างชัดเจนว่า Micro-credential ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนายจ้างในประเทศไทย สถิติที่น่าทึ่ง เช่น 98% ของนายจ้างมองว่าช่วยเสริมแกร่งใบสมัคร, 97% ยินดีจ่ายสูงขึ้นสำหรับผู้มีหน่วยกิตนี้, และความต้องการที่พุ่งสูงถึง 95-98% สำหรับผู้มีทักษะ GenAI หรือหน่วยกิตเทียบโอนได้ ล้วนชี้ให้เห็นว่า การมี Micro-credential สามารถสร้างความได้เปรียบที่จับต้องได้ทั้งในแง่โอกาสการจ้างงานและผลตอบแทน การมุ่งมั่นพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดการทำงานยุคใหม่ที่ต้องกล้าลอง กล้าเผชิญความท้าทาย และเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างรวดเร็ว สำหรับคนทำงานที่ต้องการเสริมสร้างทัศนคติแบบ "ล้มให้เร็ว สำเร็จให้ไวขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนเส้นทางอาชีพ การศึกษาแนวคิดเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้อย่างหนังสือ "Fail Fast Succeed More: ล้มให้เร็ว สำเร็จให้สุด" โดย 10X Consulting ก็อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเปิดมุมมองและสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองได้อย่างน่าสนใจครับ www.10-xconsulting.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging Choawalit Chotwattanaphong หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ Choawalit Chotwattanaphong https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    จากนักวิจัย AI ไทยที่ MIT ถึงบอร์ด AI เเห่งชาติ:ในฐานะที่พีพีเป็นนักวิจัย AI จากประเทศไทยที่ทำวิจัยใน frontier ของ Human-AI Interaction ที่ MIT เเละมีโอกาสร่วมมือกับบริษัทเเละสถาบัน AI ชั้นนำหลายๆที่ พีพีคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะนำประสบการณ์เเละสิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้เขียนออกมาเป็นไอเดียเผื่อจะเป็นประโยชน์กับบอร์ด AI เเห่งชาติ การที่รัฐบาลที่เล็งเห็นความสำคัญของ AI ในประเทศไทยเเละได้ตั้งบอร์ด AI เเห่งชาติ ซึ่งเป็นก้าวเเรกที่สำคัญมากๆ พีพีเลยอยากเเชร์มุมมองของ AI ในอนาคตจากในฝั่งงานวิจัย การศึกษา เเละชวนให้เห็นถึงคนไทยเก่งๆ ที่น่าจะช่วยกันสร้างอนาคตได้ครับ1) เราควรมอง AI อย่างไรในอนาคต?โดยส่วนตัวมองว่าพลังของ AI ไม่ใช่ตัวมันเองเเต่คือการที่ AI ไปเชื่อมกับสิ่งต่างๆ เเบบเดียวกับที่ internet หรือ social media กลายไปเป็น platform ที่อยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์กับ reality AI จะมีบทบาทอยู่เบื้องหลังอาหารที่เรากิน คนที่เราคบ สิ่งที่เราเสพ ความเชื่อที่เราเชื่อ ดังนั้นเราต้องตั้งคำถามว่าเราจะออกเเบบ AI ที่เป็นตัวบงการประสบการณ์ของมนุษย์เเบบไหน? เราต้องมอง AI ไม่ใช่เเค่โครงสร้างพื้นฐานอย่าง server หรือ data center เเต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ การมองเเบบนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามกับ AI ในมิติที่มากกว่าเเค่ “Artificial Intelligence” เเต่รวมไปถึง: AI ในฐานะ "Augmented Intuition” หรือ สัญชาติญาณใหม่ของมนุษย์ ที่อาจจะทำให้มนุษย์คิดได้ไกลขึ้นหรือเเคบลงขึ้นอยู่กับการออกเเบบวิธีการที่มนุษย์สัมพันกับ AI ตัวอย่าง เช่น งานวิจัยที่พีพีทำที่ MIT ใน project “Wearable Reasoner” ซึ่งเป็น AI ที่กระตุ้น critical thinking ของคนเวลาเจอข้อมูลต่างๆ ผ่านกระบวนการ nudging [1] หรือ AI ในฐานะ "Addictive Intelligence” หรือสิ่งเสพติดที่รู้จักมนุษย์คนนั้นดีกว่าตัวเค้าเอง เช่น AI companion ที่ถูกออกเเบบมาเเทนที่ความสัมพันธ์มนุษย์ เป็น romance scammer เเบบใหม่ที่อันตรายมาก [2] ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุด OpenAI ได้ทำวิจัยร่วมกับ MIT ในการศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ในวงกว้าง [3]เเละ AI ในฐานะ “Algorithmic Inequality” หรือตัวเร่งความเหลื่อมล้ำในสังคม งานวิจัยของ ดร Nattavudh Powdthavee โชว์ให้เห็นว่าในไทย AI คัดเลือกคนเข้าทำงานจากนามสกุลเเทนที่จะเป็นความสามารถซึ่งจะทำให้ช่องว่างระหว่างชนชั้นกว้างขึ้นเรื่อยๆ [4]ดังนั้นเวลาเรามอง AI เราต้องมองให้ไกลว่าเทคโนโลยี หรือ ธุรกิจเเต่มองให้เห็นผลกระทบต่อประสบการณ์ของมนุษย์ในหลายๆมิติ โดยเฉพาะมิติทางการศึกษาที่จะเป็นรากฐานของประเทศ2) เราควรออกเเบบการศึกษาในยุค AI อย่างไร?การที่หลายประเทศเข้าถึง internet ได้เเต่ไม่ได้ทำให้ทุกประเทศพัฒนาเท่ากัน ส่วนนึงเป็นเพราะผลลัพธ์ของเทคโนโลยีขึ้นกับวิธีที่คนใช้ด้วย ดังนั้น AI จะทำให้คนมีศักยภาพมากขึ้นหรือน้อยลงขึ้นกับ HI หรือ Human Intelligence ด้วย การศึกษาในยุค AI ควรมองไปไกลกว่าเเค่การใช้เป็น หรือ การสร้างคนเข้าสู่อุตสาหกรรม เพราะเครื่องมือเหล่านี้จะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ เเละอุตสาหกรรมวันนี้จะไม่ใช่อุตสาหกรรมในวันข้างหน้า Steve Jobs เคยกล่าวว่า technology is a bicycle for the mind ทุกๆเครื่องมือคือสิ่งที่สมองขับเคลื่อนไปเร็วขึ้น สิ่งที่เราต้องช่วยให้เด็กๆได้ขบคิดคือเค้าจะจะขับ AI ไปไหน เเละขับอย่างไรไม่ให้ชน การศึกษาในอนาคตในยุคที่ AI ทำให้เด็กๆเป็น “Cyborg Generation” คือคนที่ความคิดเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีตลอดเวลา เราควร focus ที่การทำให้เด็กๆมีความเป็นมนุษย์ รู้จักตัวเองมี meta-cognitive thinking คือคิดเกี่ยวกับการคิดได้ลึกซึ้งขึ้น เข้าใจว่าสิ่งภายนอกส่งผลกับความรู้สึกภายในอย่างไร เเละมีความกล้าที่จะนำความคิดนั้นออกมาเเสดงออกอย่างสร้างสรรค์ สิ่งนี้เเทบจะไม่เกี่ยวกับ AI เลยเเต่จะเป็นพื้นฐานให้เค้ารับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปได้ เมื่อโตขึ้นเราควรส่งเสริมให้เด็กๆ มองเห็นศักยภาพตัวเองกับโจทย์ที่ท้าทาย ซึ่งโจทย์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น climate change, ความเหลื่อมล้ำ, ปัญหาต่างๆจะไม่เเก้ตัวเอง เเละ AI ก็จะไม่เเก้สิ่งนี้ด้วยตัวมันเอง เราไม่ควรให้เด็กมองตัวเองผ่านอาชีพเเคบๆ ว่าเป็นหมอ วิศวะ หรืออะไรก็เเล้วเเต่ เเต่มองเป็นคนที่มีศักยภาพที่สามารถจะใช้เครื่องมือขยายศักยภาพตัวเองไปเเก้ปัญหาใหญ่ๆ เเละสร้างสิ่งที่มีคุณค่าได้ สิ่งสุดท้ายเลยคือเราต้องช่วยให้เด็กๆ ไม่ติดกับดักใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสพติด AI ที่ถูกออกเเบบมาให้มีความเสพติดมากขึ้น หรือ การรู้สึกหมดพลังเพราะเก่งไม่เท่ากับ AI เราต้องสร้าง narrative ใหม่ที่ช่วยให้เด็กรู้ทันกับความท้าทายในวันข้างหน้า3) ทิศทางของ AI ในอนาคต เเละไทย?เมื่อมองภาพใหญ่กว่านั้นว่าสิ่งที่จะเป็น next frontier ของ AI คืออะไร หลายๆคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องของ agent หรือ physical AI เเต่โดยส่วนตัวคิดว่าทั้ง agent หรือ physical AI เป็นปลายทาง สิ่งที่พื้นฐานที่สุดคือเรื่องของ mechanistic interpretability [5] หรือการพยายามเข้าใจ AI ลงไปในระดับกลไกผ่านการศึกษา cluster ของ neural networks ใน large models ซึ่งพีพีคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเพราะไม่ใช่เเค่เราจะเข้าใจ model มากขึ้นเเต่จะทำให้เราควบคุมโมเดลได้ดีขึ้นด้วย เช่น ถ้าเรารู้ว่า cluster ทำหน้าทีอะไร เราก็จะเช็คได้ว่ามี cluster ของ neurons ไม่พึงประสงค์ทำงานรึเปล่า (อาจจะลด hallucination ได้) หรือ เราสามารถปิด neuron cluster ในส่วนที่ไม่จำเป็นออกได้จะทำให้ลดทรัพยากรณ์เเละนำมาสู่ model ขนาดเล็กที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อมขึ้นได้ นี่คือเหตุผลว่าตอนนี้ยักใหญ่ในวงการ AI หลายๆที่เเข่งกันทำ interpretability เพราะมันจะลด lost, เพิ่ม trust, เเละ robutness ได้ อย่างที่ CEO ของ Anthropic ประกาศว่าจะต้องเปิด blackbox ของ AI ให้ได้ภายในปี 2027 [6]ในไทยการวิจัยด้านนี้อาจจะทำได้ยากเพราะต้องการ compute มหาศาล เเละโจทย์นี้เป็นโจทย์ใหญ่ของระดับโลก ดังนั้นสิ่งที่เราควรสนใจอาจจะเป็นเรื่องของ research เเละ innovation ที่ connect AI เพื่อเข้ามา enhance อุตสาหกรรมไทยให้มีมูลค่าสูงขึ้นผ่าน network ของ AI services ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว หรือ อาหาร วัฒนธรรม เเละ creative industry โดยสิ่งที่เราต้องทำคือต้องคิดเเตกต่างเเละไม่ยึดกับ AI เเบบเดิมๆที่เป็นมาพีพีได้รับเชิญจากทั้งรัฐบาลเเละเอกชนให้ไปเเชร์งานวิจัยเกี่ยวกับ Human-AI Interaction ที่เกาหลี 3 ครั้งในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความตื่นตัวเรื่อง AI กับ creative industry มาก ครั้งเเรกเป็นงานของรัฐบาลที่ focus เรื่อง AI & cultural innovation เเละอีกสองครั้งเป็นงานของ Busan International Fim Festival เเละ Busan AI Fim Festival ซึ่งทำให้เห็นว่าเกาหลีมองเรื่องของ AI ในฐานะ creative medium เเบบใหม่ที่จะสร้างงานสร้างสรรค์เเบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน (ไม่ใช่เเค่การเอา AI มาเเทนที่สื่อเเบบเดิม) เช่นการสร้าง interactive cinema ที่ทำให้ character ในภาพยนต์หรือ series ออกมาอยู่ในโลกจริงร่วมกับคนดูได้ เเถมยังกลายเป็น interfaces ที่ช่วยขายสินค้าเเละวัฒนธรรมเกาหลีได้อีก นี่เป็นตัวอย่างของการมอง AI เเละ network ของ AI เป็น infrastructure ที่ connect กับวัฒนธรรมเเละ soft power ได้ครับในไทยเองก็มีโปรเจคที่พีพีเกี่ยวข้องอยู่อย่าง Cyber Subin กับพี่ Pichet Klunchun [7] ที่พยายามใช้ AI ถอดรหัสวัฒนธรรมไทยออกมาซึ่งถูกเชิญไปนำเสนอเเละโชว์ทั่วโลกในฐานะงาน AI ที่เชื่อมโยงกับการสร้างศิลปะเเละวัฒนธรรมเเบบใหม่ ดังนั้นพีพีโดยส่วนตัวค่อนข้าง optimistic ว่าไทยสามารถมีบทบาทต่อวงการ AI โลกเเละสร้างมูลค่าให้เกิดขึ้นได้ในประเทศได้ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกต้อง เพราะไทยมีคนไทยเก่งๆ อีกมากมายที่อยู่เบื้องหลังวงการ AI ระดับโลกอย่าง ดร Supasorn Aek Suwajanakorn ที่เป็น pioneer ของ generative AI คนเเรกๆของโลก มี TED talk ที่คนดูเป็นล้าน [8] หรือ วีระ บุญจริง ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลัง Siri ที่กลายมาเป็น conversational AI ที่มีคนใช้ทั่วโลกอย่าง Apple [9] ล่าสุดพีพีไปงานประชุม Human-Computer Interaction ที่สำคัญที่สุดในสาขาเจอคนไทยเก่งๆ หลายคนที่อยู่ทั่วโลก หรือ ในภาคเอกชนก็คนเก่งๆ มากมายอย่างพี่ผลักดันวงการ AI ใน industry ของไทย ดังนั้นก็อยากฝากไปถึงบอร์ด AI เเห่งชาตินะครับว่าประเทศไทยจะมีอนาคตทางด้าน AI ได้เเน่ๆ ถ้าเรามอง AI ให้ครบทุกมิติ ออกเเบบการศึกษาในยุค AI เเบบ all of education เเละ education for all เเละรวมพลังเอาคนเก่งๆ มาช่วยกันครับ คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลพยายามทำถ้าตั้งใจให้เกิด impact จริงๆ เชื่อว่าจะพลิกประเทศไทยได้ครับ เพราะคำว่า Th[AI]land จะขาด AI ไปไม่ได้ครับ เป็นกำลังใจให้ครับ [1] https://www.media.mit.edu/projects/wearable-reasoner/overview/[2] https://mit-serc.pubpub.org/pub/iopjyxcx/release/2[3] https://openai.com/index/affective-use-study/[4] https://ui.adsabs.harvard.edu/abs/2025arXiv250119407P/abstract[5] https://www.neelnanda.io/mechanistic-interpretability/glossary[6] https://techsauce.co/news/anthropic-aims-to-unlock-ai-black-box-by-2027[7] https://cybersubin.media.mit.edu/[8] https://www.ted.com/speakers/supasorn_suwajanakorn[9] https://www.salika.co/2018/10/16/siri-artificial-intelligence-thai-owned/
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีนอย่างหนัก แม้ว่าจะมีความพยายามในการกระจายฐานการผลิตไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย แต่กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน

    ก่อนที่ Donald Trump จะเข้าสู่การเมือง Apple และพันธมิตรได้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ทั่วจีนเพื่อประกอบ iPhones ซึ่ง Trump เคยหาเสียงโดยสัญญาว่าจะบังคับให้ Apple ย้ายการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ แต่จนถึงปัจจุบัน Apple ยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลัก

    แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนของการผลิตไปยัง อินเดียและเวียดนาม แต่ Apple ยังคงต้องพึ่งพา ซัพพลายเชนของจีน ซึ่งมีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง

    ✅ Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีน
    - กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน
    - แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย

    ✅ ความพยายามในการกระจายฐานการผลิต
    - Apple ได้เริ่มผลิต iPhones ใน อินเดีย มากขึ้น
    - มีการลงทุนใน โรงงานผลิตชิ้นส่วนในเวียดนามและไทย

    ✅ บทบาทของจีนในซัพพลายเชนของ Apple
    - จีนมี เครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพสูง
    - Apple ยังคงต้องพึ่งพา แรงงานและเทคโนโลยีของจีน

    ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
    - การพึ่งพาจีนอาจส่งผลต่อ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    - หาก Apple ลดการผลิตในจีน อาจส่งผลต่อ เศรษฐกิจจีนและตลาดแรงงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/03/could-apple-exist-without-its-ties-to-china-probably-not
    Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีนอย่างหนัก แม้ว่าจะมีความพยายามในการกระจายฐานการผลิตไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย แต่กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน ก่อนที่ Donald Trump จะเข้าสู่การเมือง Apple และพันธมิตรได้สร้างโรงงานขนาดใหญ่ทั่วจีนเพื่อประกอบ iPhones ซึ่ง Trump เคยหาเสียงโดยสัญญาว่าจะบังคับให้ Apple ย้ายการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ แต่จนถึงปัจจุบัน Apple ยังคงพึ่งพาจีนเป็นหลัก แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนของการผลิตไปยัง อินเดียและเวียดนาม แต่ Apple ยังคงต้องพึ่งพา ซัพพลายเชนของจีน ซึ่งมีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง ✅ Apple ยังคงพึ่งพาการผลิตในจีน - กว่า 80% ของ iPhones ยังคงผลิตในจีน - แม้ว่าจะมีการย้ายบางส่วนไปยัง อินเดีย, เวียดนาม และไทย ✅ ความพยายามในการกระจายฐานการผลิต - Apple ได้เริ่มผลิต iPhones ใน อินเดีย มากขึ้น - มีการลงทุนใน โรงงานผลิตชิ้นส่วนในเวียดนามและไทย ✅ บทบาทของจีนในซัพพลายเชนของ Apple - จีนมี เครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีประสิทธิภาพสูง - Apple ยังคงต้องพึ่งพา แรงงานและเทคโนโลยีของจีน ✅ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก - การพึ่งพาจีนอาจส่งผลต่อ ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน - หาก Apple ลดการผลิตในจีน อาจส่งผลต่อ เศรษฐกิจจีนและตลาดแรงงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/03/could-apple-exist-without-its-ties-to-china-probably-not
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • ละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> เห็นมีคนถามหาหนังสือนิยายเรื่องนี้กัน วันนี้เลยมาคุยถึงบทประพันธ์ดั้งเดิมที่มีคนเขียนถึงไปแล้วบ้าง แต่หวังว่าจะให้มุมมองได้ในอีกแง่มุม

    จริงๆ แล้วไม่มีนิยายค่ะ ซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทละครโบราณสมัยราชวงศ์หยวน

    เรียกว่า ‘ละคร’ เพื่อนเพจอาจนึกภาพไม่ออก จริงๆ แล้วละครในสมัยนั้นคือสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกว่าอุปรากรจีนหรืองิ้วนั่นเอง ในสมัยราชวงศ์หยวนเรียกบทละครเหล่านี้ว่า ‘หยวนฉวี่’ (元曲 / เพลงงิ้วสมัยหยวน)

    บทงิ้วเรื่องนี้มีชื่อว่า < จ้าวพ่านเอ๋อร์เฟิงเยวี่ยจิ้วเฟิงเฉิน> (赵盼儿风月救风尘 แปลได้ประมาณว่า จ้าวพ่านเอ๋อร์ใช้มารยาสวาทช่วยหญิงคณิกา) หรือเรียกสั้นๆ ว่า <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นผลงานหนึ่งในกว่าหกสิบชิ้นของนักเขียนบทละครนามว่า ‘กวนฮ่านชิง’ (关汉卿 ปีค.ศ. 1222-1300) โดยปัจจุบันยังมีการแสดงอุปรากรจีนเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ (ดูรูปประกอบ)

    กวนฮ่านชิงถูกยกย่องให้เป็นที่หนึ่งของสี่ยอดนักเขียนบทอุปรากรจีนสมัยหยวน (元曲四大家) เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและก่อตั้งโรงเรียนและโรงละครหลายแห่ง เขาไม่ได้มีฐานะดี ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชนชั้นล่าง บทละครของเขาจึงมีความสมจริงและมีหลากหลายอรรถรส ตีแผ่ด้านมืดของสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น กวนฮ่านชิงเก่งเรื่องร้องรำทำเพลงและมีฝีมือด้านการดนตรี ดังนั้นละครของเขาส่วนใหญ่เป็น ‘จ๋าจวี้’ (杂剧 / Mixed Play) เรื่อง ‘จิ้วเฟิงเฉิน’ นี้ก็เช่นกัน

    อะไรคือ ‘จ๋าจวี้’? มันคือการแสดงละครที่มีการเอาบทพูดและบทกลอน การร้องเพลง ดนตรี การเต้นรำ และแม้กระทั่งบทบู๊มารวมกันในละครเรื่องเดียวกัน เป็นรูปแบบที่มีขึ้นตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ถัง และนิยมเป็นอย่างมากในสมัยซ่งและหยวน

    <จิ้วเฟิงเฉิน> มีทั้งหมด 4 องค์ มีฉากหลังเป็นยุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เรื่องราวโดยย่อก็คือนางคณิกา ‘จ้าวพ่านเอ๋อร์’ มีเพื่อนสนิทเป็นนางคณิกานามว่า ‘ซ่งอิ่งจาง’ ซึ่งเดิมมีคนที่ตกลงปลงใจด้วยอยู่แล้วแต่มาหลงคารมชายที่ร่ำรวยแต่เจ้าชู้นามว่า ‘โจวเส่อ’ จึงแต่งงานไปกับเขา แต่ชีวิตหลังแต่งงานขมขื่นนัก ถูกโจวเส่อด่าทอทุบตีเป็นประจำจนเจียนตาย จ้าวพ่านเอ๋อร์จึงมาช่วย นางใช้เสน่ห์และมารยาหญิงหลอกล่อจนโจวเส่อลุ่มหลงยอมเซ็นใบหย่ากับซ่งอิ่งจางเพื่อมาแต่งงานกับนาง แต่เมื่อนางได้หนังสือหย่าก็ช่วยซ่งอิ่งจางหนีไป โจวเส่อไปฟ้องร้องว่าโดนหลอกเลยถูกฟ้องกลับว่าเขาเป็นคนหลอกภรรยาคนอื่นมา สุดท้ายโจวเส่อถูกศาลตัดสินลงโทษ

    ทำไมละคร <จิ้วเฟิงเฉิน> เรื่องนี้จึงเป็นที่นิยมและโด่งดังมาก? Storyฯ จับใจความได้ดังนี้
     หลากหลายอรรถรส: เพราะเป็นละครแบบ ‘จ๋าจวี้’ จึงมีหลากหลายอรรถรส มีความรันทดของชีวิตหญิงคณิกาและชนชั้นล่าง แต่ก็มีการสอดแทรกมุขตลกไปเป็นระยะ อีกทั้งยังมีมุมมองของสังคมที่สมจริงและคนส่วนใหญ่สัมผัสได้
     ชัยชนะของชนชั้นล่าง: เป็นการชิงไหวชิงพริบและอาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของจ้าวพ่านเอ๋อร์ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นล่างและสตรีเพศที่ต่ำต้อย เอาชนะโจวเส่อซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นกดขี่ เป็นเรื่องราวที่สอดแทรกความเป็นฮีโร่เข้าไปในบุคคลธรรมดา
     เป็นบทเรียนต่อชนรุ่นหลัง: ผลงานของเขาเป็นอีกหนึ่งแหล่งความรู้ให้ชนรุ่นหลังเข้าใจถึงวัฒธรรมและสภาพสังคมในสมัยซ่งและหยวนได้ดี

    เท่าที่อ่านเรื่องย่อมา <สามบุปผาลิขิตฝัน> ดัดแปลงจาก <จิ้วเฟิงเฉิน> ไปมาก เช่น นางเอกในเรื่อง <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นนางคณิกาขายตัวจริงๆ และไม่ปรากฏรายละเอียดเรื่องราวความรักกับพระเอกเหมือนที่ดัดแปลงออกมาเป็นซีรีส์ <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่เห็นว่าซีรีส์ลงรายละเอียดวิถีชีวิตสมัยซ่งได้ดี และมีคนเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้มาเขียนเล่ากันไม่น้อย เพื่อนเพจที่เห็นอะไรน่าสนใจมาแบ่งปันกันฟังได้นะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    http://culture.qianlong.com/2020/1223/5179821.shtml
    http://www.518yp.com/jitexingzhang/3873.html
    http://www.xinhuanet.com/ent/20220606/a7a1df7f71fb4466a7aa39849e0c513e/c.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.52lishi.com/article/64952.html
    http://www.hwjyw.com/zhwh/ctwh/zgwx/zmzj/ydzj/200709/t20070929_8194.shtml
    https://www.hao86.com/shiren_view_9bb64f43ac9bb64f/
    https://www.toutiao.com/article/6808002291593904654/?&source=m_redirect&wid=1655353365341

    #สามบุปผาลิขิตฝัน #จ้าวพ่านเอ๋อร์ #เจ้าพานเอ๋อร์ #จิ้วเฟิงเฉิน #อุปรากรจีน #จ๋าจวี้ #ราชวงศ์หยวน #กวงฮั่นชิง #หยวนฉวี่
    ละครเรื่อง <สามบุปผาลิขิตฝัน> เห็นมีคนถามหาหนังสือนิยายเรื่องนี้กัน วันนี้เลยมาคุยถึงบทประพันธ์ดั้งเดิมที่มีคนเขียนถึงไปแล้วบ้าง แต่หวังว่าจะให้มุมมองได้ในอีกแง่มุม จริงๆ แล้วไม่มีนิยายค่ะ ซีรีส์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทละครโบราณสมัยราชวงศ์หยวน เรียกว่า ‘ละคร’ เพื่อนเพจอาจนึกภาพไม่ออก จริงๆ แล้วละครในสมัยนั้นคือสิ่งที่ปัจจุบันเราเรียกว่าอุปรากรจีนหรืองิ้วนั่นเอง ในสมัยราชวงศ์หยวนเรียกบทละครเหล่านี้ว่า ‘หยวนฉวี่’ (元曲 / เพลงงิ้วสมัยหยวน) บทงิ้วเรื่องนี้มีชื่อว่า < จ้าวพ่านเอ๋อร์เฟิงเยวี่ยจิ้วเฟิงเฉิน> (赵盼儿风月救风尘 แปลได้ประมาณว่า จ้าวพ่านเอ๋อร์ใช้มารยาสวาทช่วยหญิงคณิกา) หรือเรียกสั้นๆ ว่า <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นผลงานหนึ่งในกว่าหกสิบชิ้นของนักเขียนบทละครนามว่า ‘กวนฮ่านชิง’ (关汉卿 ปีค.ศ. 1222-1300) โดยปัจจุบันยังมีการแสดงอุปรากรจีนเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ (ดูรูปประกอบ) กวนฮ่านชิงถูกยกย่องให้เป็นที่หนึ่งของสี่ยอดนักเขียนบทอุปรากรจีนสมัยหยวน (元曲四大家) เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและก่อตั้งโรงเรียนและโรงละครหลายแห่ง เขาไม่ได้มีฐานะดี ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมชนชั้นล่าง บทละครของเขาจึงมีความสมจริงและมีหลากหลายอรรถรส ตีแผ่ด้านมืดของสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้น กวนฮ่านชิงเก่งเรื่องร้องรำทำเพลงและมีฝีมือด้านการดนตรี ดังนั้นละครของเขาส่วนใหญ่เป็น ‘จ๋าจวี้’ (杂剧 / Mixed Play) เรื่อง ‘จิ้วเฟิงเฉิน’ นี้ก็เช่นกัน อะไรคือ ‘จ๋าจวี้’? มันคือการแสดงละครที่มีการเอาบทพูดและบทกลอน การร้องเพลง ดนตรี การเต้นรำ และแม้กระทั่งบทบู๊มารวมกันในละครเรื่องเดียวกัน เป็นรูปแบบที่มีขึ้นตั้งแต่สมัยปลายราชวงศ์ถัง และนิยมเป็นอย่างมากในสมัยซ่งและหยวน <จิ้วเฟิงเฉิน> มีทั้งหมด 4 องค์ มีฉากหลังเป็นยุคสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ เรื่องราวโดยย่อก็คือนางคณิกา ‘จ้าวพ่านเอ๋อร์’ มีเพื่อนสนิทเป็นนางคณิกานามว่า ‘ซ่งอิ่งจาง’ ซึ่งเดิมมีคนที่ตกลงปลงใจด้วยอยู่แล้วแต่มาหลงคารมชายที่ร่ำรวยแต่เจ้าชู้นามว่า ‘โจวเส่อ’ จึงแต่งงานไปกับเขา แต่ชีวิตหลังแต่งงานขมขื่นนัก ถูกโจวเส่อด่าทอทุบตีเป็นประจำจนเจียนตาย จ้าวพ่านเอ๋อร์จึงมาช่วย นางใช้เสน่ห์และมารยาหญิงหลอกล่อจนโจวเส่อลุ่มหลงยอมเซ็นใบหย่ากับซ่งอิ่งจางเพื่อมาแต่งงานกับนาง แต่เมื่อนางได้หนังสือหย่าก็ช่วยซ่งอิ่งจางหนีไป โจวเส่อไปฟ้องร้องว่าโดนหลอกเลยถูกฟ้องกลับว่าเขาเป็นคนหลอกภรรยาคนอื่นมา สุดท้ายโจวเส่อถูกศาลตัดสินลงโทษ ทำไมละคร <จิ้วเฟิงเฉิน> เรื่องนี้จึงเป็นที่นิยมและโด่งดังมาก? Storyฯ จับใจความได้ดังนี้  หลากหลายอรรถรส: เพราะเป็นละครแบบ ‘จ๋าจวี้’ จึงมีหลากหลายอรรถรส มีความรันทดของชีวิตหญิงคณิกาและชนชั้นล่าง แต่ก็มีการสอดแทรกมุขตลกไปเป็นระยะ อีกทั้งยังมีมุมมองของสังคมที่สมจริงและคนส่วนใหญ่สัมผัสได้  ชัยชนะของชนชั้นล่าง: เป็นการชิงไหวชิงพริบและอาศัยความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของจ้าวพ่านเอ๋อร์ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นล่างและสตรีเพศที่ต่ำต้อย เอาชนะโจวเส่อซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นกดขี่ เป็นเรื่องราวที่สอดแทรกความเป็นฮีโร่เข้าไปในบุคคลธรรมดา  เป็นบทเรียนต่อชนรุ่นหลัง: ผลงานของเขาเป็นอีกหนึ่งแหล่งความรู้ให้ชนรุ่นหลังเข้าใจถึงวัฒธรรมและสภาพสังคมในสมัยซ่งและหยวนได้ดี เท่าที่อ่านเรื่องย่อมา <สามบุปผาลิขิตฝัน> ดัดแปลงจาก <จิ้วเฟิงเฉิน> ไปมาก เช่น นางเอกในเรื่อง <จิ้วเฟิงเฉิน> เป็นนางคณิกาขายตัวจริงๆ และไม่ปรากฏรายละเอียดเรื่องราวความรักกับพระเอกเหมือนที่ดัดแปลงออกมาเป็นซีรีส์ <สามบุปผาลิขิตฝัน> แต่เห็นว่าซีรีส์ลงรายละเอียดวิถีชีวิตสมัยซ่งได้ดี และมีคนเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้มาเขียนเล่ากันไม่น้อย เพื่อนเพจที่เห็นอะไรน่าสนใจมาแบ่งปันกันฟังได้นะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: http://culture.qianlong.com/2020/1223/5179821.shtml http://www.518yp.com/jitexingzhang/3873.html http://www.xinhuanet.com/ent/20220606/a7a1df7f71fb4466a7aa39849e0c513e/c.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.52lishi.com/article/64952.html http://www.hwjyw.com/zhwh/ctwh/zgwx/zmzj/ydzj/200709/t20070929_8194.shtml https://www.hao86.com/shiren_view_9bb64f43ac9bb64f/ https://www.toutiao.com/article/6808002291593904654/?&source=m_redirect&wid=1655353365341 #สามบุปผาลิขิตฝัน #จ้าวพ่านเอ๋อร์ #เจ้าพานเอ๋อร์ #จิ้วเฟิงเฉิน #อุปรากรจีน #จ๋าจวี้ #ราชวงศ์หยวน #กวงฮั่นชิง #หยวนฉวี่
    北昆《救风尘》亮相长安大戏院 且看赵盼儿“雪夜行路”-千龙网·中国首都网
    北昆《救风尘》亮相长安大戏院 且看赵盼儿“雪夜行路”
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD กำลังผลักดัน AI PC Initiative โดยเน้นการพัฒนา Ryzen AI PRO 300 Series ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน AI ในระดับองค์กร โดย AMD มองว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ จากเดิมที่เน้นการประมวลผลบนคลาวด์ ไปสู่การทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง

    Microsoft ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Copilot+ PC ซึ่งช่วยให้ AI สามารถทำงานบนเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคาดว่า ภายในปี 2028 AI PC จะคิดเป็น 93.9% ของยอดขายคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์

    AMD Ryzen AI PRO 300 Series ได้รับการออกแบบให้มี ประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ โดยผลการศึกษาจาก Signal65 พบว่าองค์กรที่ใช้ Ryzen AI 7 PRO 360 สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง $50 ล้าน เมื่อเทียบกับระบบคู่แข่ง

    ✅ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการใช้งานคอมพิวเตอร์
    - จากเดิมที่เน้นการประมวลผลบนคลาวด์ ไปสู่การทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง
    - Microsoft สนับสนุน Copilot+ PC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ AI บนเครื่อง

    ✅ แนวโน้มของตลาด AI PC
    - คาดว่า ภายในปี 2028 AI PC จะคิดเป็น 93.9% ของยอดขายคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์
    - Neural Processing Units (NPU) กำลังได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    ✅ Ryzen AI PRO 300 Series และข้อดีสำหรับองค์กร
    - มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ
    - ผลการศึกษาจาก Signal65 พบว่าองค์กรที่ใช้ Ryzen AI 7 PRO 360 สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง $50 ล้าน

    ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม IT
    - องค์กรต้องปรับตัวกับ Windows 11 และการเปลี่ยนผ่านสู่ AI
    - AMD เสนอทางเลือกที่มีความคุ้มค่าต่อการลงทุน

    https://www.techpowerup.com/336278/amd-discusses-importance-of-ai-pc-initiative-ryzen-ai-pro-300-series-ideal-for-enterprise
    AMD กำลังผลักดัน AI PC Initiative โดยเน้นการพัฒนา Ryzen AI PRO 300 Series ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน AI ในระดับองค์กร โดย AMD มองว่า AI กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้คอมพิวเตอร์ จากเดิมที่เน้นการประมวลผลบนคลาวด์ ไปสู่การทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง Microsoft ได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน Copilot+ PC ซึ่งช่วยให้ AI สามารถทำงานบนเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคาดว่า ภายในปี 2028 AI PC จะคิดเป็น 93.9% ของยอดขายคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ AMD Ryzen AI PRO 300 Series ได้รับการออกแบบให้มี ประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ โดยผลการศึกษาจาก Signal65 พบว่าองค์กรที่ใช้ Ryzen AI 7 PRO 360 สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง $50 ล้าน เมื่อเทียบกับระบบคู่แข่ง ✅ AI กำลังเปลี่ยนแปลงการใช้งานคอมพิวเตอร์ - จากเดิมที่เน้นการประมวลผลบนคลาวด์ ไปสู่การทำงานบนอุปกรณ์โดยตรง - Microsoft สนับสนุน Copilot+ PC เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ AI บนเครื่อง ✅ แนวโน้มของตลาด AI PC - คาดว่า ภายในปี 2028 AI PC จะคิดเป็น 93.9% ของยอดขายคอมพิวเตอร์เชิงพาณิชย์ - Neural Processing Units (NPU) กำลังได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ✅ Ryzen AI PRO 300 Series และข้อดีสำหรับองค์กร - มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ - ผลการศึกษาจาก Signal65 พบว่าองค์กรที่ใช้ Ryzen AI 7 PRO 360 สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง $50 ล้าน ✅ การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม IT - องค์กรต้องปรับตัวกับ Windows 11 และการเปลี่ยนผ่านสู่ AI - AMD เสนอทางเลือกที่มีความคุ้มค่าต่อการลงทุน https://www.techpowerup.com/336278/amd-discusses-importance-of-ai-pc-initiative-ryzen-ai-pro-300-series-ideal-for-enterprise
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    AMD Discusses Importance of AI PC Initiative - Ryzen AI PRO 300 Series Ideal for Enterprise
    One of the interesting long-term trends in the commercial market is the shift in how people are functionally using PCs. Over the past few years, AI has gone from a dinner party conversation piece to practical use cases. Hand-waved discussions of future benefits are now concrete benefits in the here-...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังพัฒนา Arc Xe3 "Celestial" GPU ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่ผ่าน ขั้นตอนการตรวจสอบก่อนผลิต (Pre-Silicon Validation) และเตรียมเข้าสู่กระบวนการ Tapeout เพื่อเริ่มการผลิตจริง

    Xe3 "Celestial" ถือเป็น สถาปัตยกรรมกราฟิกเจเนอเรชันใหม่ ที่มีการออกแบบ Xe cores, XMX matrix engines และ ray-tracing engines ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมและการประมวลผล AI

    Intel ใช้ แพลตฟอร์มตรวจสอบก่อนผลิต เพื่อให้ OEM และ IBV partners สามารถทดสอบสถาปัตยกรรมใหม่ได้ก่อนที่ชิปจริงจะถูกผลิต ซึ่งช่วยให้สามารถ ตรวจจับข้อผิดพลาดในการออกแบบได้เร็วขึ้น

    ✅ การตรวจสอบก่อนผลิต (Pre-Silicon Validation)
    - ใช้ แพลตฟอร์มจำลองฮาร์ดแวร์ เพื่อทดสอบความถี่และการใช้พลังงาน
    - ช่วยให้ OEM และ IBV partners สามารถทดสอบสถาปัตยกรรมใหม่ได้ก่อนผลิตจริง

    ✅ การออกแบบสถาปัตยกรรม Xe3
    - ประกอบด้วย Xe cores, XMX matrix engines และ ray-tracing engines
    - รองรับการใช้งานทั้ง กราฟิกแบบแยก (Discrete GPU) และกราฟิกสำหรับอุปกรณ์พกพา

    ✅ กระบวนการ Tapeout และการผลิตจริง
    - คาดว่า จะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025 หรือช่วงต้นปี 2026
    - ทีมวิศวกรกำลังปรับแต่ง power-frequency curve และ voltage optimization

    ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม GPU
    - Intel ต้องแข่งขันกับ AMD และ NVIDIA ในตลาดกราฟิกการ์ดระดับสูง
    - Xe3 อาจเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Intel มีบทบาทมากขึ้นในตลาด GPU

    https://www.techpowerup.com/336271/intel-arc-xe3-celestial-gpu-reaches-pre-silicon-validation-tapeout-next
    Intel กำลังพัฒนา Arc Xe3 "Celestial" GPU ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดรุ่นใหม่ที่ผ่าน ขั้นตอนการตรวจสอบก่อนผลิต (Pre-Silicon Validation) และเตรียมเข้าสู่กระบวนการ Tapeout เพื่อเริ่มการผลิตจริง Xe3 "Celestial" ถือเป็น สถาปัตยกรรมกราฟิกเจเนอเรชันใหม่ ที่มีการออกแบบ Xe cores, XMX matrix engines และ ray-tracing engines ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมและการประมวลผล AI Intel ใช้ แพลตฟอร์มตรวจสอบก่อนผลิต เพื่อให้ OEM และ IBV partners สามารถทดสอบสถาปัตยกรรมใหม่ได้ก่อนที่ชิปจริงจะถูกผลิต ซึ่งช่วยให้สามารถ ตรวจจับข้อผิดพลาดในการออกแบบได้เร็วขึ้น ✅ การตรวจสอบก่อนผลิต (Pre-Silicon Validation) - ใช้ แพลตฟอร์มจำลองฮาร์ดแวร์ เพื่อทดสอบความถี่และการใช้พลังงาน - ช่วยให้ OEM และ IBV partners สามารถทดสอบสถาปัตยกรรมใหม่ได้ก่อนผลิตจริง ✅ การออกแบบสถาปัตยกรรม Xe3 - ประกอบด้วย Xe cores, XMX matrix engines และ ray-tracing engines - รองรับการใช้งานทั้ง กราฟิกแบบแยก (Discrete GPU) และกราฟิกสำหรับอุปกรณ์พกพา ✅ กระบวนการ Tapeout และการผลิตจริง - คาดว่า จะเริ่มการผลิตจำนวนมากภายในสิ้นปี 2025 หรือช่วงต้นปี 2026 - ทีมวิศวกรกำลังปรับแต่ง power-frequency curve และ voltage optimization ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม GPU - Intel ต้องแข่งขันกับ AMD และ NVIDIA ในตลาดกราฟิกการ์ดระดับสูง - Xe3 อาจเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Intel มีบทบาทมากขึ้นในตลาด GPU https://www.techpowerup.com/336271/intel-arc-xe3-celestial-gpu-reaches-pre-silicon-validation-tapeout-next
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Arc Xe3 "Celestial" GPU Reaches Pre-Silicon Validation, Tapeout Next
    In December, we reported that Intel's next‑generation Arc graphics cards, based on the Xe3 "Celestial" IP, are finished. Tom Petersen of Intel confirmed that the Xe3 IP is baked, meaning that basic media engines, Xe cores, XMX matrix engines, ray‑tracing engines, and other parts of the gaming GPU ar...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple วางแผนที่จะจัดหาชิปมากกว่า 19 พันล้านตัว จากโรงงานในสหรัฐฯ ในปี 2025 โดย TSMC ในรัฐแอริโซนา จะผลิตชิปหลายสิบล้านตัวให้กับ Apple แม้ว่าชิประดับสูงสุดของ Apple จะยังคงผลิตในไต้หวัน

    Tim Cook CEO ของ Apple เปิดเผยว่า Apple มีซัพพลายเออร์มากกว่า 9,000 รายในสหรัฐฯ และกำลังลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 4 ปีข้างหน้าเพื่อขยายการดำเนินงานในหลายรัฐ รวมถึง มิชิแกน, เท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนา และเนวาดา

    แม้ว่าโรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในแอริโซนา จะผลิตชิปที่ใช้ 4nm และ 5nm-class nodes ซึ่งไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด แต่ Apple ยังคงมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ใช้ชิปเหล่านี้

    ✅ Apple จะจัดหาชิปมากกว่า 19 พันล้านตัวจากโรงงานในสหรัฐฯ
    - รวมถึง หลายสิบล้านตัวจาก TSMC ในแอริโซนา
    - Apple มี ซัพพลายเออร์มากกว่า 9,000 รายในสหรัฐฯ

    ✅ การลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ของ Apple
    - ขยายการดำเนินงานใน มิชิแกน, เท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนา และเนวาดา
    - ตั้งโรงงานใหม่ใน เท็กซัส เพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI

    ✅ บทบาทของ TSMC ในแอริโซนา
    - โรงงาน Fab 21 ผลิตชิปที่ใช้ 4nm และ 5nm-class nodes
    - Apple ยังคงมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ใช้ชิปเหล่านี้

    ✅ การผลิตชิประดับสูงสุดของ Apple
    - ชิปหลัก เช่น SoC, หน่วยความจำ และเซ็นเซอร์กล้อง ยังคงผลิตใน ไต้หวัน, สิงคโปร์, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/apple-expects-to-source-over-19-billion-chips-from-u-s-factories-this-year
    Apple วางแผนที่จะจัดหาชิปมากกว่า 19 พันล้านตัว จากโรงงานในสหรัฐฯ ในปี 2025 โดย TSMC ในรัฐแอริโซนา จะผลิตชิปหลายสิบล้านตัวให้กับ Apple แม้ว่าชิประดับสูงสุดของ Apple จะยังคงผลิตในไต้หวัน Tim Cook CEO ของ Apple เปิดเผยว่า Apple มีซัพพลายเออร์มากกว่า 9,000 รายในสหรัฐฯ และกำลังลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 4 ปีข้างหน้าเพื่อขยายการดำเนินงานในหลายรัฐ รวมถึง มิชิแกน, เท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนา และเนวาดา แม้ว่าโรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในแอริโซนา จะผลิตชิปที่ใช้ 4nm และ 5nm-class nodes ซึ่งไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุด แต่ Apple ยังคงมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ใช้ชิปเหล่านี้ ✅ Apple จะจัดหาชิปมากกว่า 19 พันล้านตัวจากโรงงานในสหรัฐฯ - รวมถึง หลายสิบล้านตัวจาก TSMC ในแอริโซนา - Apple มี ซัพพลายเออร์มากกว่า 9,000 รายในสหรัฐฯ ✅ การลงทุน 500 พันล้านดอลลาร์ของ Apple - ขยายการดำเนินงานใน มิชิแกน, เท็กซัส, แคลิฟอร์เนีย, แอริโซนา และเนวาดา - ตั้งโรงงานใหม่ใน เท็กซัส เพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI ✅ บทบาทของ TSMC ในแอริโซนา - โรงงาน Fab 21 ผลิตชิปที่ใช้ 4nm และ 5nm-class nodes - Apple ยังคงมีผลิตภัณฑ์จำนวนมากที่ใช้ชิปเหล่านี้ ✅ การผลิตชิประดับสูงสุดของ Apple - ชิปหลัก เช่น SoC, หน่วยความจำ และเซ็นเซอร์กล้อง ยังคงผลิตใน ไต้หวัน, สิงคโปร์, เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/apple-expects-to-source-over-19-billion-chips-from-u-s-factories-this-year
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่หมดอายุการใช้งานอาจมีบทบาทสำคัญในการ จัดเก็บพลังงานสำหรับบ้านหรือแม้แต่เมือง หากผู้ผลิตแบตเตอรี่เปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับสุขภาพและองค์ประกอบของแบตเตอรี่

    ปัจจุบัน EV กว่า 17 ล้านคันถูกขายทั่วโลกในปีที่ผ่านมา และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคันในปีนี้ ส่งผลให้เกิดความท้าทายใหม่เกี่ยวกับ การจัดการแบตเตอรี่ที่หมดอายุ ซึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุการใช้งาน 12-15 ปี แต่ข้อมูลจริงชี้ว่าอาจใช้งานได้นานกว่านั้นถึง 40%

    นักวิจัยระบุว่า แบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุยังคงมีพลังงานเหลืออยู่ และสามารถนำไปใช้กับ ยานพาหนะขนาดเล็ก, บ้าน หรือแม้แต่เมือง หากมีการเชื่อมต่อกันเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพแบตเตอรี่ยังคงเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากผู้ผลิตมักไม่เปิดเผยข้อมูลนี้

    ✅ ศักยภาพของแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุ
    - สามารถใช้กับ ยานพาหนะขนาดเล็ก, บ้าน หรือแม้แต่เมือง
    - อายุการใช้งานเฉลี่ย 12-15 ปี แต่บางกรณีอาจนานกว่านั้นถึง 40%

    ✅ ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่
    - ผู้ผลิตมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ สุขภาพแบตเตอรี่และองค์ประกอบทางเคมี
    - ทำให้การประเมินความสามารถในการนำกลับมาใช้ใหม่เป็นเรื่องยาก

    ✅ ความท้าทายในการรีไซเคิลแบตเตอรี่
    - แบตเตอรี่ EV มีแร่ธาตุสำคัญ เช่น นิกเกิล, โคบอลต์, ลิเธียม และแมงกานีส
    - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ต้องใช้พลังงานสูงและกระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อน

    ✅ แนวทางแก้ไขที่กำลังดำเนินการ
    - แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายในปี 2021 บังคับให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลแบตเตอรี่แก่ผู้รีไซเคิล
    - สหภาพยุโรปจะบังคับใช้ "Digital Passport" สำหรับแบตเตอรี่ EV ตั้งแต่ปี 2027

    https://www.techspot.com/news/107733-used-ev-batteries-could-power-vehicles-houses-or.html
    แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่หมดอายุการใช้งานอาจมีบทบาทสำคัญในการ จัดเก็บพลังงานสำหรับบ้านหรือแม้แต่เมือง หากผู้ผลิตแบตเตอรี่เปิดเผยข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับสุขภาพและองค์ประกอบของแบตเตอรี่ ปัจจุบัน EV กว่า 17 ล้านคันถูกขายทั่วโลกในปีที่ผ่านมา และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคันในปีนี้ ส่งผลให้เกิดความท้าทายใหม่เกี่ยวกับ การจัดการแบตเตอรี่ที่หมดอายุ ซึ่งโดยเฉลี่ยมีอายุการใช้งาน 12-15 ปี แต่ข้อมูลจริงชี้ว่าอาจใช้งานได้นานกว่านั้นถึง 40% นักวิจัยระบุว่า แบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุยังคงมีพลังงานเหลืออยู่ และสามารถนำไปใช้กับ ยานพาหนะขนาดเล็ก, บ้าน หรือแม้แต่เมือง หากมีการเชื่อมต่อกันเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพแบตเตอรี่ยังคงเข้าถึงได้ยาก เนื่องจากผู้ผลิตมักไม่เปิดเผยข้อมูลนี้ ✅ ศักยภาพของแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุ - สามารถใช้กับ ยานพาหนะขนาดเล็ก, บ้าน หรือแม้แต่เมือง - อายุการใช้งานเฉลี่ย 12-15 ปี แต่บางกรณีอาจนานกว่านั้นถึง 40% ✅ ปัญหาการเข้าถึงข้อมูลแบตเตอรี่ - ผู้ผลิตมักไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ สุขภาพแบตเตอรี่และองค์ประกอบทางเคมี - ทำให้การประเมินความสามารถในการนำกลับมาใช้ใหม่เป็นเรื่องยาก ✅ ความท้าทายในการรีไซเคิลแบตเตอรี่ - แบตเตอรี่ EV มีแร่ธาตุสำคัญ เช่น นิกเกิล, โคบอลต์, ลิเธียม และแมงกานีส - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ต้องใช้พลังงานสูงและกระบวนการทางเคมีที่ซับซ้อน ✅ แนวทางแก้ไขที่กำลังดำเนินการ - แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายในปี 2021 บังคับให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลแบตเตอรี่แก่ผู้รีไซเคิล - สหภาพยุโรปจะบังคับใช้ "Digital Passport" สำหรับแบตเตอรี่ EV ตั้งแต่ปี 2027 https://www.techspot.com/news/107733-used-ev-batteries-could-power-vehicles-houses-or.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Used EV batteries could power vehicles, houses or even towns – if their manufacturers share vital data
    Around the world, more and more electric vehicles are hitting the road. Last year, more than 17 million battery-electric and hybrid vehicles were sold. Early forecasts suggest...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts