• เรื่องราวของผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีกับที่ปรึกษาชาวจีน อาจถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ระดับตุ่มสิว เมื่อเทียบกับเรื่องราวของอุตสาหกรรมโดยทุนจีนที่ปักหลักอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี.จากที่มูลนิธิบูรณะนิเวศเราติดตามประเด็นการพัฒนาอุตสาหกรรมและปัญหามลพิษที่ จ.ปราจีนบุรีมาหลายปี เราพูดกันเล่นๆ แบบอิงความจริงว่า อีกไม่นาน จังหวัดนี้อาจไม่เหลือ “ปรา” และกลายเป็น “จีนบุรี” อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วในบางจุดบางพื้นที่.ยกตัวอย่างที่ทางเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศเคยนำเสนอไปแล้วก็คือกรณีของนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 8 ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .นิคมฯ ดังกล่าวมีความเป็นจีนเต็มเปี่ยม บางโรงงานไม่มีภาษาไทยในป้ายชื่อด้วยซ้ำไป ไม่นับองค์ประกอบความเป็นจีนอื่นๆ อีกมากมาย.ที่สำคัญคือ นิคมฯ แห่งนี้เสมือนจะได้รับการวางรากฐานให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการให้สิทธิประโยชน์หลากหลายมิติแก่นักลงทุน นอกจากการลดหย่อนและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี ยังได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือวัสดุจำเป็นต่างๆ รวมทั้งเปิดให้นักลงทุนสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินถาวร 100% นำส่งเงินตราต่างประเทศได้ อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและสมาชิกในครอบครัวทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย และอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยในประเทศไทย ฯลฯ.อย่างไรก็ตาม ในโลกของการลงทุนอุตสาหกรรมโดยทุนจีนนั้น สำหรับมูลนิธิบูรณะนิเวศแล้ว เราคิดว่าศัพท์คำว่า “ศูนย์เหรียญ” ยังไม่สามารถอธิบายความเป็นจริงได้ครบถ้วน เพราะประเทศไทยจะไม่เพียงไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของทุนจีนลักษณะนี้ แต่ยังจะต้องแบกรับภาระด้านมลพิษและผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทิ้งไว้อีกด้วย จึงมิใช่เพียงเป็นศูนย์หรือเสมอตัว หากแต่เป็นระดับติดลบเลยทีเดียว .อีกประการหนึ่ง จีนในปราจีนฯ ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะเป็น “จีนเทา” หรือไม่ ยังไม่ชัดเจนเท่ากับความเป็น “จีนกร่าง”.เห็นได้ชัดเจนจากกรณีอาณาจักรโรงงานรีไซเคิลของทุนจีน ณ บ้านหนองหอย หมู่ที่ 10 ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่แม้ถูกหน่วยงานราชการตรวจพบแล้วว่ากระทำผิด แต่ก็ยังดื้อแพ่งฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงานและคำสั่งอายัดเครื่องจักรและวัตถุดิบต่างๆ อย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งแน่นอนว่า ทางเพจเรานำเสนอเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน.นอกจากนั้น ในเชิงภาพรวม ทางเพจยังได้นำเสนอเนื้อหาภายใต้หัวข้อ “จับตามลพิษปราจีนฯ” โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 และแน่นอนว่าเราอยากชวนให้ช่วยกันจับตาต่อไป เผื่อจะสามารถรักษา “ปรา” เอาไว้ได้......เรื่องโดย ปานรักษ์ วัฒกะวงศ์ มูลนิธิบูรณะนิเวศ .อ่านเรื่องราวมลพิษปราจีนบุรีเพิ่มเติมได้ตาม link ด้านล่าง.บริษัททีแอนด์ทีเวสท์ฯ รีไซเคิลครอบจักรวาลของทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0grDtaaYztvhuL73ojoDUvYw9CDNPTLZtqzhDQKSbwiki3eDcdnSNuGVJzzkKbjmql.เปิด “ระบบละลายโลหะด้วยกรด” ของบริษัทรีไซเคิลทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0sMBK6exKVCbs9gfhRqGDcHNWPFJe3y7vDF5P7DaPVSBfPrQptLvkpTYrFq2n1bsHl.ย้อนดูผลงานรีไซเคิลทุนจีน บจ.ทีแอนด์ทีเวสท์ฯ: ทำในสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต ส่วนสิ่งที่ต้องทำตามเงื่อนไขการอนุญาต-ไม่ทำhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02LaaHnQHsj8DAxusYpQjyHPNNZWA8qv7fFWEYkK5smy4fdQ6J3CBLx96BTPzPbk7pl.ทำความรู้จักนิคมอุตสาหกรรมจีนแท้ “บ่อทอง 33” https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0pv5YWoqW2twUGomN3u5sBe4H98Gm43k7MTDHXmeRbyoz65xKF4EetLT1Rn2CHkLJl.ชวนเอาปากกามาวง ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ “ของนำเข้า”?https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02wwDL98b9ZaK4NnPaiUbdbzicHzQgrx1H3DTPAYcpZzK4fxSRSfc1xcHiV7ZqMQWCl.ชวนดู “ความเป็นจีน” ทั้งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดและที่แฝงเร้น ภายในอาณาจักรอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ ม.10 บ้านหนองหอย ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0AvSJr99yYvzSoc3yoB3Jhgvuv8Qw2UudYXJKcaAMZSJBTeZzZkfp24EwHh464K5Fl.เปิดภาพบ่อรองรับกากอุตสาหกรรมจากโรงงานรีไซเคิล ณ หนองหอย ผลพวงการลงทุนของทุนจีนที่ฝากไว้ในแผ่นดินไทยแบบนิรันดร์กาลhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid032raXyU59Z4EByprUuaDgDYPCcp7Mvw2YyrDZfzLdHU93JKwQ4gjoq1bc45F9xeB6l
    เรื่องราวของผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีกับที่ปรึกษาชาวจีน อาจถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ระดับตุ่มสิว เมื่อเทียบกับเรื่องราวของอุตสาหกรรมโดยทุนจีนที่ปักหลักอยู่ในจังหวัดปราจีนบุรี.จากที่มูลนิธิบูรณะนิเวศเราติดตามประเด็นการพัฒนาอุตสาหกรรมและปัญหามลพิษที่ จ.ปราจีนบุรีมาหลายปี เราพูดกันเล่นๆ แบบอิงความจริงว่า อีกไม่นาน จังหวัดนี้อาจไม่เหลือ “ปรา” และกลายเป็น “จีนบุรี” อย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้วในบางจุดบางพื้นที่.ยกตัวอย่างที่ทางเพจมูลนิธิบูรณะนิเวศเคยนำเสนอไปแล้วก็คือกรณีของนิคมอุตสาหกรรมบ่อทอง 33 ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 8 ต.บ่อทอง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี .นิคมฯ ดังกล่าวมีความเป็นจีนเต็มเปี่ยม บางโรงงานไม่มีภาษาไทยในป้ายชื่อด้วยซ้ำไป ไม่นับองค์ประกอบความเป็นจีนอื่นๆ อีกมากมาย.ที่สำคัญคือ นิคมฯ แห่งนี้เสมือนจะได้รับการวางรากฐานให้เป็นนิคมอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการให้สิทธิประโยชน์หลากหลายมิติแก่นักลงทุน นอกจากการลดหย่อนและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี ยังได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือวัสดุจำเป็นต่างๆ รวมทั้งเปิดให้นักลงทุนสามารถถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินถาวร 100% นำส่งเงินตราต่างประเทศได้ อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศและสมาชิกในครอบครัวทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย และอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยในประเทศไทย ฯลฯ.อย่างไรก็ตาม ในโลกของการลงทุนอุตสาหกรรมโดยทุนจีนนั้น สำหรับมูลนิธิบูรณะนิเวศแล้ว เราคิดว่าศัพท์คำว่า “ศูนย์เหรียญ” ยังไม่สามารถอธิบายความเป็นจริงได้ครบถ้วน เพราะประเทศไทยจะไม่เพียงไม่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านอุตสาหกรรมของทุนจีนลักษณะนี้ แต่ยังจะต้องแบกรับภาระด้านมลพิษและผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ถูกทิ้งไว้อีกด้วย จึงมิใช่เพียงเป็นศูนย์หรือเสมอตัว หากแต่เป็นระดับติดลบเลยทีเดียว .อีกประการหนึ่ง จีนในปราจีนฯ ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะเป็น “จีนเทา” หรือไม่ ยังไม่ชัดเจนเท่ากับความเป็น “จีนกร่าง”.เห็นได้ชัดเจนจากกรณีอาณาจักรโรงงานรีไซเคิลของทุนจีน ณ บ้านหนองหอย หมู่ที่ 10 ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ที่แม้ถูกหน่วยงานราชการตรวจพบแล้วว่ากระทำผิด แต่ก็ยังดื้อแพ่งฝ่าฝืนคำสั่งปิดโรงงานและคำสั่งอายัดเครื่องจักรและวัตถุดิบต่างๆ อย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งแน่นอนว่า ทางเพจเรานำเสนอเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน.นอกจากนั้น ในเชิงภาพรวม ทางเพจยังได้นำเสนอเนื้อหาภายใต้หัวข้อ “จับตามลพิษปราจีนฯ” โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 และแน่นอนว่าเราอยากชวนให้ช่วยกันจับตาต่อไป เผื่อจะสามารถรักษา “ปรา” เอาไว้ได้......เรื่องโดย ปานรักษ์ วัฒกะวงศ์ มูลนิธิบูรณะนิเวศ .อ่านเรื่องราวมลพิษปราจีนบุรีเพิ่มเติมได้ตาม link ด้านล่าง.บริษัททีแอนด์ทีเวสท์ฯ รีไซเคิลครอบจักรวาลของทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0grDtaaYztvhuL73ojoDUvYw9CDNPTLZtqzhDQKSbwiki3eDcdnSNuGVJzzkKbjmql.เปิด “ระบบละลายโลหะด้วยกรด” ของบริษัทรีไซเคิลทุนจีนhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0sMBK6exKVCbs9gfhRqGDcHNWPFJe3y7vDF5P7DaPVSBfPrQptLvkpTYrFq2n1bsHl.ย้อนดูผลงานรีไซเคิลทุนจีน บจ.ทีแอนด์ทีเวสท์ฯ: ทำในสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาต ส่วนสิ่งที่ต้องทำตามเงื่อนไขการอนุญาต-ไม่ทำhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02LaaHnQHsj8DAxusYpQjyHPNNZWA8qv7fFWEYkK5smy4fdQ6J3CBLx96BTPzPbk7pl.ทำความรู้จักนิคมอุตสาหกรรมจีนแท้ “บ่อทอง 33” https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0pv5YWoqW2twUGomN3u5sBe4H98Gm43k7MTDHXmeRbyoz65xKF4EetLT1Rn2CHkLJl.ชวนเอาปากกามาวง ตรงไหนบ้างที่ไม่ใช่ “ของนำเข้า”?https://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid02wwDL98b9ZaK4NnPaiUbdbzicHzQgrx1H3DTPAYcpZzK4fxSRSfc1xcHiV7ZqMQWCl.ชวนดู “ความเป็นจีน” ทั้งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดและที่แฝงเร้น ภายในอาณาจักรอุตสาหกรรมรีไซเคิลที่ตั้งอยู่ ม.10 บ้านหนองหอย ต.ศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรีhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid0AvSJr99yYvzSoc3yoB3Jhgvuv8Qw2UudYXJKcaAMZSJBTeZzZkfp24EwHh464K5Fl.เปิดภาพบ่อรองรับกากอุตสาหกรรมจากโรงงานรีไซเคิล ณ หนองหอย ผลพวงการลงทุนของทุนจีนที่ฝากไว้ในแผ่นดินไทยแบบนิรันดร์กาลhttps://www.facebook.com/EarthEcoAlert/posts/pfbid032raXyU59Z4EByprUuaDgDYPCcp7Mvw2YyrDZfzLdHU93JKwQ4gjoq1bc45F9xeB6l
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว

  • ..นี้ก็ด้วย
    ..แผนสร้างความแตกแยก
    ..การจัดการที่ดีคือกรมแรงงานต้องจัดการ,เช่นนั้นจะส่งเสริมระบบการศึกษาทำไม.
    ..วุฒิการศึกษาใครบอกว่าไม่จำเป็น นี้การสร้างคุณค่ามนุษย์ในตัวด้วย มิใช่การแบ่งชั้นแบ่งสถานะ,แค่คือคุณค่าความพยายามของเขาที่ต่อสู้จนได้วุฒิการศึกษามา คุณภาพชีวิตเขาต้องอัพเกรดตามวุฒิถูกแล้ว,นี้คือการส่งเสริมคนให้ด้อยค่าตกต่ำลง,หรือล่อลวงคนเป็นทาสระบบง่ายด้วย ควบคุมชนชั้นแรงงานค่าทาส ไม่ยกระดับคนยกระดับจิตใจคนด้วย,กดราคาค่าจ้างแรงงานก็ด้วย วุฒิต่ำๆค่าจ้างถูกๆกิจการค้ากำไรเขามองทะลุอยู่แล้ว,สร้างวลีบิดเบือนด้วย ให้ค่าคนวุฒิไม่สูง ตีค่าคนวุฒิสูงด้อยค่าในตัวล่ะ,เรากำลังถูกหลอกให้หลงทางตามทุนโรงงานกิจการสร้าง,หน้าที่รัฐคืออย่านำเขาแรงงานต่างด้าวมาทำงานที่ไทย เมื่อโรงงานในไทยกล้าเปิดกิจการ คนไทยต้องได้รับจ้างก่อน วุฒิป.เอก วุฒิป.โท ป.ตรี ต้องได้ทำงานทุกๆคนไทยจนมาถึง ปวส.ปวช. ม.6 ม.3 ป.6 ครบทุกๆวุฒิ ทะเบียนคนจบวุฒิการศึกษาต้องมีในไทย ,สถานะการมีงานทำต้องมีในกรมแรงงานด้วย,พร้อมอัพเกรดวุฒิ&ทักษะฝีมือช่วยนักศึกษาประชาชนคนไทยให้เหมาะสมในอาชีพที่ต้องการทำ,โรงงานใดๆขาดวุฒิอะไรต้องงานคนงานแบบไหน กิจการนั้นต้องประสานมาที่กรมแรงงานทางตรงเพื่อจัดสรรคัดกรองคนตอบสนองคนงาน&บริหารจัดการภาคแรงงานระดับของชาติไทยให้สมดุลกันและช่วยคุ้มครองสถานะงานคนไทยเราได้ด้วย,มิใช้กิจการโรงงานมาลดดุลอำนาจ ลดค่าด้อยค่าวุฒิการศึกษาเรเวลใดๆลดหรือเพิ่มค่าให้แตกความสามัคคีกันในประเทศไทย,เช่นสายปกครองก็ผูกขาดสายปกครองแบบโรงเรียนทหารโรงเรียนตำรวจ จบมาผูกขาดสถานะชนชั้นปกครองขึ้นทำงานขึ้นดำรงตำแหน่งตามสายทำงานผูกขาดนั้นๆ ต่างจากประชาชนต้องดิ้นรนกันเองตามยาถากรรม,ส่วนสายปกครอง มีทั้งเส้นสายโควต้า&ระบบอุปถัมภพอีก เจ้าขุนมูลนายเชื้อตระกูลนั้นนี้วงศ์สกุลใครมันอีกส่งลูกหลานตนเข้ายึดครองดำรงไว้ซึ่งสถานะตนในอำนาจปกครองหน่วยงานนั้นๆก็ว่า ลูกหลานประชาชนตาสีตาสาน้อยคนนะจะหลุดเข้าระบบอำนาจตำแหน่งนี้ เครือญาติเครือวงศ์สกุลใครเป็นเจ้าของเดิมเก่าใหม่จึงยอมกันยาก,พะสาตำแหน่งงานราชการอื่นๆคนใครคนมันอีก,การสอบต่างๆสุดท้ายจริงๆคือกำแพงกีดกันประชาชนตาดำๆมิให้เข้าไปในวงจรอุบาทก์ตนนั้นล่ะขัดขวางการแดกประเทศผูกขาดความร่ำรวยมั่งคั่งก็ได้,อาทิ บ่อน้ำมัน บ่อทองคำ ประมูลงานหลวงงานรัฐต่างๆเมื่อสืบเชื้อสายความสัมพันธ์จริงๆมันผลประโยชน์ตกทอดลงตระกูลใครมันที่เป็นเส้นสายกันหมดแล้ว,
    ..วุฒิการศึกษาจริงๆสำคัญมาก ไม่ใช่พวกซื้อวุฒิมานะ พวกนี้กว่าจะจบการศึกษาเข้าเจอหลากหลายสถานะการณ์ คนดีก็เจอแบบดี คนชั่วก็เจอแบบชั่ว ทั้งคนดีคนชั่วเจอทั้งแบบดีแบบชั่ว คนสร้างเป็นคนเป็นมนุษย์ออกมา สร้างคุณภาพคนขึ้นผ่านการศึกษาที่ดี ครูดี สำนักดี ก็ออกมาดี สุดท้ายชาติก็ดีแข็งแกร่งด้วยคนดีการศึกษาดีแยกดีเลวชั่วออกจากคุณภาพการศึกษาที่เพาะตนออกมาสู่สังคมชาติชุมชนตน,
    ..การศึกษาแม้จริงไม่ต้องมีวุฒิค้ำประกัน,แต่มันคือสมมุติที่ต้องเบิกทางเริ่มต้นก่อน,ส่วนทักษะชำนาญชีพใดๆก็จากการรู้ผิดถูกที่ศึกษาจริงผ่านมานั้นเอง,เขาจะเริ่มประยุกต์ปรับปรุงเองล่ะ,จึงเป็นเกณฑ์ขั้นต้นที่ดี,ส่วนเข้าไปแล้ว เจ้าของกิจการก็คนปกติธรรมดานี้ล่ะเพียงมีตังมากกว่าเท่านั้น,จะจ้างอัพเงินเดือนเพิ่มหรือลดก็สิทธิ์คนจ้าง,ชอบไม่ชอบใครก็ไม่จ้างแค่นั้น,แต่วุฒิการศึกษาไม่ใช่หน้าที่คนจ้างจะไปลดค่าด้อยค่าคุณวุฒิเขา หรือกิจการนั้นๆก็ด้วย,และการจ้างงานทั้งหมด กรมแรงงานต้องควบคุมกิจการบริษัททั้งหมดที่เปิดทำการในประเทศไทย,จำนวนคนงาน แรงงานที่ต้องการก่อนสร้างโรงงาน กิจการนั้นๆมุ่งการรับรู้แล้วต้องส่งหนังสือตรงถึงกรมแรงงานและต้องการกำลังคนแรงงานเท่าใดมากน้อยขนาดไหน วุฒิอะไรออกมา,แล้วกรมแรงงานจึงตอบกลับไปว่าจะจัดสรรหาให้สนองตอบครบแบบใด,มีเป้าหมายวางแผนแบบใดๆโดยมุ่งเน้นว่าทุกๆวุฒิการศึกษาที่ทุกๆคนไทยเล่าเรียนมาต้องมีสถานะได้งานทำก่อนอันดับแรกมิใช่ต่างชาติต่างด้าวได้งานมำก่อนคนไทยจนคนไทยตกงาน,ถ้าโรงงานต้องการแรงงานถูกค่าจ้างต่ำๆก็ยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการใดๆที่ออกให้ไปหากไม่รับแรงงานคนไทยก่อนที่กรมแรงงานส่งคนงานตรงให้ไป,ก็ให้ไปสร้างโรงงานสร้างกิจการที่ประเทศแรงงานต่ำแรงงานถูกๆที่คนต่างด้าวนั้นอยู่ในประเทศเขาแทนอย่ามาตั้งโรงงานบนแผ่นดินไทยหากต้องการแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานจากประเทศตนที่ย้ายมาตั้งในไทย แบบจีนแบบพม่า โรงงานนั้นในบนแผ่นดินไทยเต็มไปด้วยแรงงานพม่าเขมร,โรงงานจีนก็เต็มไปด้วยคนจีน,บริษัทอยู่ในไทยแต่คนงานคือแรงงานต่างด้าวเต็มโรงงาน,คนไทยถูกด้อยค่าทัังค่าจ้างทั้งไม่เอาวุฒิที่สูง จบสูงเพราะค่าแรงแพงจ้างไม่ไหว,นี้ไม่ใช่ปัญหาประเทศไทยคนงานไทยวุฒิการศึกษาไทย แต่คือปัญหากิจการนั้นๆจะกดขี่คุณภาพแรงงานคนไทย วุฒิการศึกษาไทย,และหน่วยงานรัฐเราสามารถกำหนดการจ้างงานได้,เช่นชำแหละไก่ โรงงานทั่วประเทศรับขึ้นต่ำวุฒิป.ตรีเท่านั้นเป็นต้น.ส่วน ม.6 ม.3 ปวช. ปวส.รัฐจะบริหารจัดสรรจัดหาจัดการเอง ควบคุมเอง,นั้นคือรัฐค้ำประกันการมีงานทำจริงของคนวุฒิที่ว่า อาจทำงานในภาคหน่วยงานรัฐเองที่กระจายอยู่เต็มประเทศ นอกจากวุฒิป.ตรี โท เอก ที่สอบเข้าราชการได้ปกติอยู่แล้ว คนวุฒินี้จะมีภูมิป้องกันตนเอง ไร้กดขี่แรงงานง่ายๆด้วยภายในประเทศไทยเรา ต่างจากวุฒิป.6 ม.3 ม.6 ปวช.หรือปวส. การกดขี่ค่าจ้างค่าแรงจากเอกชนย่อมเสี่ยงสูงกว่าทั้งอ้างว่าเอกชนสามารถจ้างใช้แรงงานได้ในราคาต่ำราคาถูกนั้นเอง,ภาวะตกงานภายในประเทศจะสิ้นสุดทันที นอกจากห้ามนำเข้าแรงงานต่างด้าวมาทำงานก่อนแรงงานคนไทยที่ต้องได้งานทำจนครบคนไทยจริงก่อน,ขาดจริงจึงกรมแรงงานอนุญาตนำเข้าแรงงานต่างชาติต่างด้าวมาทดแทนแรงงานคนไทยที่ขาดไปด้วย,กรมแรงงานหรือรัฐบาลเราบริหารจัดการผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น และตั้งแต่สถานศึกษาผลิตคนด้วยจนถึงกระบวนการสร้างคนเพื่อมุ่งสัมมาอาชีพต่างๆออกคืนสู่สังคมใหญ่ภาพรวมระดับประเทศ,เราจะเห็นตัวเลขแรงงานที่ตกงานทั้งหมดได้ชัด เห็นตัวเลขที่คนไทยได้งานได้จริง,เห็นสถานะการเงินความมั่นคงทางสัมมาอาชีพคนไทยได้ทั่วถึงและพร้อมเข้าช่วยเหลือคนไทยนั้นๆที่อยู่ในสถานะที่ผิดปกติไปเช่นตกงานขาดรายได้ อาชีพนั้นไม่เหมาะกับสุขภาพร่างกายแก่งานที่ทำปัจจุบัน สลับปรับเปลี่ยนให้คนไทยทุกๆคนยืนด้วยขาตนเองได้จริง พึ่งพาตนเองได้แท้,จนถึงขั้นหนึ่งที่สามารถเป็นเจ้าของจ้างตนเองทำงานเองมีรายได้เองมั่นคงในอาชีพตนที่แสวงหาจะเป็น อาทิคนเกษตรผสมผสานพอเพียง สร้างรายได้เข้าบ้านจากสวนจานาจากที่ดินตนเองอาจกว่าเดือนละแสนบาทต่อเดือนเป็นต้นในพื้นที่ไม่กี่ไร่ของตนเอง ,หรือออกจากโรงงานบริษัทกิจการต่างๆมาทำสัมมาอาชีพตนเองค้าขายเปิดร้านทั่วไปขายอาหารเครื่องใช้ใดๆขายแผงปลาแผงผักผลไม้ทุเรียนรายได้กว่าล้านบาทต่อปีก็สามารถทำได้ นั้นคือกรมแรงงานมิใช่ส่งเสริมแรงงานทักษาอาชีพ ยังสนับสนุนเงินทุนสร้างอาชีพด้วย มิใช่แสวงหาประโยชน์แบบแบงค์ปล่อยเงินกู้สร้างอาชีพ เป็นหนี้เป็นงูกินหางมิสามารถหลุดพ้นอิสระภาพได้.
    ..วุฒิการศึกษาคือการยกระดับจิตใจยกคุณค่าของชีวิตและคุณค่ามนุษย์ความเป็นคนเป็นมนุษย์ได้ ,มีนัยยะดีๆมากมายจากการกว่าจะมาแห่งวุฒิการศึกษานั้นๆของใครมัน,และนี้คือเป้าหมายการทำลายคุณค่าคนคุณค่ามนุษย์ด้อยค่าคนด้อยค่ามนุษย์ในอนาคตด้วยนำหุ่นยนต์AIเข้ามาทดแทนคนงานแรงงานคนแรงงานมนุษย์ในอนาคต,จึงทำลายวลีวุฒิการศึกษาก่อน ด้อยค่าวุฒิการศึกษาก่อน,เสมือนทำลายอะไรง่ายๆต่อไปอย่างสบายๆในอนาคตต่อคุณค่ามนุษย์ โรงงานมากมายจะทดแทนด้วยหุ่นยนต์หรือAIมากมายหลากหลายสไตล์,วุฒิการศึกษาจึงเป็นการยกเรเวลคุณค่ามนุษย์ในสายสัมพันธุ์ความเป็นมนุษย์ในตัว,เมื่อแต่ละกิจการโรงงานทำสำเร็จ ด้อยค่าใช้วุฒิที่จ้างงานราคาต่ำราคาถูกสำเร็จ แผนการนำเข้าหุ่นยนต์ทดแทนแรงงานถูกในโรงงานต่างๆบริษัทกิจการต่างๆที่ด้อยค่าจะสำเร็จโดยง่าย.แล้วเราจะใช้สมมุติอะไรดูสถานะคุณค่ามนุษย์เป็นพื้นฐาน แล้วเราจะส่งลูกหลานเล่าเรียนไปทำซากอะไร,การปกครองด้วยจะมีไว้ให้คนอื่นตีตรากฎหมายออกมาปกครองเราทำไมตลอดเวลา,ตลอดอนาคตอันใกล้AIมันก็เขียนกฎหมายตีตราออกมาบังคับผู้คนได้แล้วโดยง่ายๆด้วย.,นั้นยิ่งตอกย้ำว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนไทยและทั้งโลกจะถูกปกครองด้วยAIหุ่นยนต์แล้วใช่หรือไม่.ทั้งมันจะฝังชิปใส่สมองมนุษย์อีกล่ะ ต่อไปไม่ต้องไปโรงเรียนเอาวุฒิล่ะ อยากรู้อะไรโหลดเข้าสมองเลย กึ่งมนุษย์กึ่งหุ่นยนต์ล่ะ,และอนาคตชัดเจนว่า สงครามหุ่นยนต์เกิดขึ้นแน่นอน,หนักกว่าสงครามสมัยถือมีดถือดาบหรือระเบิดๆแบบปัจจุบันอีก,โลกนี้อาจถือทำลายภายในพลิกตาก็ว่า.ดังนั้นจึงจรรโลงคุณค่าสถานะสมมุติการบ่งบอกการมีตังตนของคุณค่ามนุษย์แบบเราๆในยุคเวลาเรานี้เถอะ อีก100ปี อีก2-3พันปีนับจากนี้คงอีกเรื่องแล้ว,วิถีสัมมาขีวิตแบบพอดีพอดีเพียงพอและพอเพียงจึงสมสถานะคนไทยเรามาก,เราต้องสร้างชาติไทยเราเอง มิใช่แรงงานต่างด้าวบริษัทต่างชาติที่ถือหุ้นในรูปบริษัทต่างๆที่ตั้งบนแผ่นดินไทยเรามาสร้างชาติให้คนไทยเราเองนะ,ก็บริษัทพวกนี้ล่ะเหี้ยๆทั้งนั้นเกิดขึ้นมา ดูราคาน้ำมันสิแพงๆมั้ย ยุบ&ถีบบริษัทนี้ออกจากแผ่นดินไทยสิ ราคาน้ำมันคืนเป็นของคนไทยเลย ขายราคาต่ำๆแบยอิหร่านลิตรละ1-2บาทก็ได้,รถยนต์ค่าขนส่งไปมาไหนๆจะไม่แพง ต้นทุนฐานจะต่ำ แข่งขันจะเป็นเชิงบวกแก่คนไทยที่ค้าขายกับต่างชาติ,ระดับจิตใจผู้คนทั้งชาติจะเย็นเลยล่ะ.ไม่ดิ้นรนบ้าคลั่งใช้หนี้สาระพัดใช้จ่ายในภาระต่างๆจนแทบตายก็ยังไม่พอก็ว่าในแบบปัจจุบันซึ่งโลกก็โคตรเศรษฐกิจพังปกติอยู่แล้ว,

    ..เราต้องรีเซ็ตใหม่จริงๆ วัตถุดิบสมบัติชาติแบบทรัพยากรมีค่ามากมายต้องได้คืนมาจริงด้วย,มิใช่ยังถูกปล้นชิงแบบในปัจจุบัน ยึดอำนาจกว่าสิบครั้งเสียของหมด,บ่อน้ำมันบ่อทองคำไม่เคยได้คืนมาเลย,ขุดเจาะดูดกลั่นขายเองก็ได้ ทองคำก็ขุดเข้าคลังสำรองประเทศไปสิ เสือกยกให้คนอื่น เหี้ยจริงๆ.

    https://youtube.com/shorts/np7PPSH7bKc?si=GdvFcFFOIUM3X4Y5

    ..นี้ก็ด้วย ..แผนสร้างความแตกแยก ..การจัดการที่ดีคือกรมแรงงานต้องจัดการ,เช่นนั้นจะส่งเสริมระบบการศึกษาทำไม. ..วุฒิการศึกษาใครบอกว่าไม่จำเป็น นี้การสร้างคุณค่ามนุษย์ในตัวด้วย มิใช่การแบ่งชั้นแบ่งสถานะ,แค่คือคุณค่าความพยายามของเขาที่ต่อสู้จนได้วุฒิการศึกษามา คุณภาพชีวิตเขาต้องอัพเกรดตามวุฒิถูกแล้ว,นี้คือการส่งเสริมคนให้ด้อยค่าตกต่ำลง,หรือล่อลวงคนเป็นทาสระบบง่ายด้วย ควบคุมชนชั้นแรงงานค่าทาส ไม่ยกระดับคนยกระดับจิตใจคนด้วย,กดราคาค่าจ้างแรงงานก็ด้วย วุฒิต่ำๆค่าจ้างถูกๆกิจการค้ากำไรเขามองทะลุอยู่แล้ว,สร้างวลีบิดเบือนด้วย ให้ค่าคนวุฒิไม่สูง ตีค่าคนวุฒิสูงด้อยค่าในตัวล่ะ,เรากำลังถูกหลอกให้หลงทางตามทุนโรงงานกิจการสร้าง,หน้าที่รัฐคืออย่านำเขาแรงงานต่างด้าวมาทำงานที่ไทย เมื่อโรงงานในไทยกล้าเปิดกิจการ คนไทยต้องได้รับจ้างก่อน วุฒิป.เอก วุฒิป.โท ป.ตรี ต้องได้ทำงานทุกๆคนไทยจนมาถึง ปวส.ปวช. ม.6 ม.3 ป.6 ครบทุกๆวุฒิ ทะเบียนคนจบวุฒิการศึกษาต้องมีในไทย ,สถานะการมีงานทำต้องมีในกรมแรงงานด้วย,พร้อมอัพเกรดวุฒิ&ทักษะฝีมือช่วยนักศึกษาประชาชนคนไทยให้เหมาะสมในอาชีพที่ต้องการทำ,โรงงานใดๆขาดวุฒิอะไรต้องงานคนงานแบบไหน กิจการนั้นต้องประสานมาที่กรมแรงงานทางตรงเพื่อจัดสรรคัดกรองคนตอบสนองคนงาน&บริหารจัดการภาคแรงงานระดับของชาติไทยให้สมดุลกันและช่วยคุ้มครองสถานะงานคนไทยเราได้ด้วย,มิใช้กิจการโรงงานมาลดดุลอำนาจ ลดค่าด้อยค่าวุฒิการศึกษาเรเวลใดๆลดหรือเพิ่มค่าให้แตกความสามัคคีกันในประเทศไทย,เช่นสายปกครองก็ผูกขาดสายปกครองแบบโรงเรียนทหารโรงเรียนตำรวจ จบมาผูกขาดสถานะชนชั้นปกครองขึ้นทำงานขึ้นดำรงตำแหน่งตามสายทำงานผูกขาดนั้นๆ ต่างจากประชาชนต้องดิ้นรนกันเองตามยาถากรรม,ส่วนสายปกครอง มีทั้งเส้นสายโควต้า&ระบบอุปถัมภพอีก เจ้าขุนมูลนายเชื้อตระกูลนั้นนี้วงศ์สกุลใครมันอีกส่งลูกหลานตนเข้ายึดครองดำรงไว้ซึ่งสถานะตนในอำนาจปกครองหน่วยงานนั้นๆก็ว่า ลูกหลานประชาชนตาสีตาสาน้อยคนนะจะหลุดเข้าระบบอำนาจตำแหน่งนี้ เครือญาติเครือวงศ์สกุลใครเป็นเจ้าของเดิมเก่าใหม่จึงยอมกันยาก,พะสาตำแหน่งงานราชการอื่นๆคนใครคนมันอีก,การสอบต่างๆสุดท้ายจริงๆคือกำแพงกีดกันประชาชนตาดำๆมิให้เข้าไปในวงจรอุบาทก์ตนนั้นล่ะขัดขวางการแดกประเทศผูกขาดความร่ำรวยมั่งคั่งก็ได้,อาทิ บ่อน้ำมัน บ่อทองคำ ประมูลงานหลวงงานรัฐต่างๆเมื่อสืบเชื้อสายความสัมพันธ์จริงๆมันผลประโยชน์ตกทอดลงตระกูลใครมันที่เป็นเส้นสายกันหมดแล้ว, ..วุฒิการศึกษาจริงๆสำคัญมาก ไม่ใช่พวกซื้อวุฒิมานะ พวกนี้กว่าจะจบการศึกษาเข้าเจอหลากหลายสถานะการณ์ คนดีก็เจอแบบดี คนชั่วก็เจอแบบชั่ว ทั้งคนดีคนชั่วเจอทั้งแบบดีแบบชั่ว คนสร้างเป็นคนเป็นมนุษย์ออกมา สร้างคุณภาพคนขึ้นผ่านการศึกษาที่ดี ครูดี สำนักดี ก็ออกมาดี สุดท้ายชาติก็ดีแข็งแกร่งด้วยคนดีการศึกษาดีแยกดีเลวชั่วออกจากคุณภาพการศึกษาที่เพาะตนออกมาสู่สังคมชาติชุมชนตน, ..การศึกษาแม้จริงไม่ต้องมีวุฒิค้ำประกัน,แต่มันคือสมมุติที่ต้องเบิกทางเริ่มต้นก่อน,ส่วนทักษะชำนาญชีพใดๆก็จากการรู้ผิดถูกที่ศึกษาจริงผ่านมานั้นเอง,เขาจะเริ่มประยุกต์ปรับปรุงเองล่ะ,จึงเป็นเกณฑ์ขั้นต้นที่ดี,ส่วนเข้าไปแล้ว เจ้าของกิจการก็คนปกติธรรมดานี้ล่ะเพียงมีตังมากกว่าเท่านั้น,จะจ้างอัพเงินเดือนเพิ่มหรือลดก็สิทธิ์คนจ้าง,ชอบไม่ชอบใครก็ไม่จ้างแค่นั้น,แต่วุฒิการศึกษาไม่ใช่หน้าที่คนจ้างจะไปลดค่าด้อยค่าคุณวุฒิเขา หรือกิจการนั้นๆก็ด้วย,และการจ้างงานทั้งหมด กรมแรงงานต้องควบคุมกิจการบริษัททั้งหมดที่เปิดทำการในประเทศไทย,จำนวนคนงาน แรงงานที่ต้องการก่อนสร้างโรงงาน กิจการนั้นๆมุ่งการรับรู้แล้วต้องส่งหนังสือตรงถึงกรมแรงงานและต้องการกำลังคนแรงงานเท่าใดมากน้อยขนาดไหน วุฒิอะไรออกมา,แล้วกรมแรงงานจึงตอบกลับไปว่าจะจัดสรรหาให้สนองตอบครบแบบใด,มีเป้าหมายวางแผนแบบใดๆโดยมุ่งเน้นว่าทุกๆวุฒิการศึกษาที่ทุกๆคนไทยเล่าเรียนมาต้องมีสถานะได้งานทำก่อนอันดับแรกมิใช่ต่างชาติต่างด้าวได้งานมำก่อนคนไทยจนคนไทยตกงาน,ถ้าโรงงานต้องการแรงงานถูกค่าจ้างต่ำๆก็ยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการใดๆที่ออกให้ไปหากไม่รับแรงงานคนไทยก่อนที่กรมแรงงานส่งคนงานตรงให้ไป,ก็ให้ไปสร้างโรงงานสร้างกิจการที่ประเทศแรงงานต่ำแรงงานถูกๆที่คนต่างด้าวนั้นอยู่ในประเทศเขาแทนอย่ามาตั้งโรงงานบนแผ่นดินไทยหากต้องการแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานจากประเทศตนที่ย้ายมาตั้งในไทย แบบจีนแบบพม่า โรงงานนั้นในบนแผ่นดินไทยเต็มไปด้วยแรงงานพม่าเขมร,โรงงานจีนก็เต็มไปด้วยคนจีน,บริษัทอยู่ในไทยแต่คนงานคือแรงงานต่างด้าวเต็มโรงงาน,คนไทยถูกด้อยค่าทัังค่าจ้างทั้งไม่เอาวุฒิที่สูง จบสูงเพราะค่าแรงแพงจ้างไม่ไหว,นี้ไม่ใช่ปัญหาประเทศไทยคนงานไทยวุฒิการศึกษาไทย แต่คือปัญหากิจการนั้นๆจะกดขี่คุณภาพแรงงานคนไทย วุฒิการศึกษาไทย,และหน่วยงานรัฐเราสามารถกำหนดการจ้างงานได้,เช่นชำแหละไก่ โรงงานทั่วประเทศรับขึ้นต่ำวุฒิป.ตรีเท่านั้นเป็นต้น.ส่วน ม.6 ม.3 ปวช. ปวส.รัฐจะบริหารจัดสรรจัดหาจัดการเอง ควบคุมเอง,นั้นคือรัฐค้ำประกันการมีงานทำจริงของคนวุฒิที่ว่า อาจทำงานในภาคหน่วยงานรัฐเองที่กระจายอยู่เต็มประเทศ นอกจากวุฒิป.ตรี โท เอก ที่สอบเข้าราชการได้ปกติอยู่แล้ว คนวุฒินี้จะมีภูมิป้องกันตนเอง ไร้กดขี่แรงงานง่ายๆด้วยภายในประเทศไทยเรา ต่างจากวุฒิป.6 ม.3 ม.6 ปวช.หรือปวส. การกดขี่ค่าจ้างค่าแรงจากเอกชนย่อมเสี่ยงสูงกว่าทั้งอ้างว่าเอกชนสามารถจ้างใช้แรงงานได้ในราคาต่ำราคาถูกนั้นเอง,ภาวะตกงานภายในประเทศจะสิ้นสุดทันที นอกจากห้ามนำเข้าแรงงานต่างด้าวมาทำงานก่อนแรงงานคนไทยที่ต้องได้งานทำจนครบคนไทยจริงก่อน,ขาดจริงจึงกรมแรงงานอนุญาตนำเข้าแรงงานต่างชาติต่างด้าวมาทดแทนแรงงานคนไทยที่ขาดไปด้วย,กรมแรงงานหรือรัฐบาลเราบริหารจัดการผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น และตั้งแต่สถานศึกษาผลิตคนด้วยจนถึงกระบวนการสร้างคนเพื่อมุ่งสัมมาอาชีพต่างๆออกคืนสู่สังคมใหญ่ภาพรวมระดับประเทศ,เราจะเห็นตัวเลขแรงงานที่ตกงานทั้งหมดได้ชัด เห็นตัวเลขที่คนไทยได้งานได้จริง,เห็นสถานะการเงินความมั่นคงทางสัมมาอาชีพคนไทยได้ทั่วถึงและพร้อมเข้าช่วยเหลือคนไทยนั้นๆที่อยู่ในสถานะที่ผิดปกติไปเช่นตกงานขาดรายได้ อาชีพนั้นไม่เหมาะกับสุขภาพร่างกายแก่งานที่ทำปัจจุบัน สลับปรับเปลี่ยนให้คนไทยทุกๆคนยืนด้วยขาตนเองได้จริง พึ่งพาตนเองได้แท้,จนถึงขั้นหนึ่งที่สามารถเป็นเจ้าของจ้างตนเองทำงานเองมีรายได้เองมั่นคงในอาชีพตนที่แสวงหาจะเป็น อาทิคนเกษตรผสมผสานพอเพียง สร้างรายได้เข้าบ้านจากสวนจานาจากที่ดินตนเองอาจกว่าเดือนละแสนบาทต่อเดือนเป็นต้นในพื้นที่ไม่กี่ไร่ของตนเอง ,หรือออกจากโรงงานบริษัทกิจการต่างๆมาทำสัมมาอาชีพตนเองค้าขายเปิดร้านทั่วไปขายอาหารเครื่องใช้ใดๆขายแผงปลาแผงผักผลไม้ทุเรียนรายได้กว่าล้านบาทต่อปีก็สามารถทำได้ นั้นคือกรมแรงงานมิใช่ส่งเสริมแรงงานทักษาอาชีพ ยังสนับสนุนเงินทุนสร้างอาชีพด้วย มิใช่แสวงหาประโยชน์แบบแบงค์ปล่อยเงินกู้สร้างอาชีพ เป็นหนี้เป็นงูกินหางมิสามารถหลุดพ้นอิสระภาพได้. ..วุฒิการศึกษาคือการยกระดับจิตใจยกคุณค่าของชีวิตและคุณค่ามนุษย์ความเป็นคนเป็นมนุษย์ได้ ,มีนัยยะดีๆมากมายจากการกว่าจะมาแห่งวุฒิการศึกษานั้นๆของใครมัน,และนี้คือเป้าหมายการทำลายคุณค่าคนคุณค่ามนุษย์ด้อยค่าคนด้อยค่ามนุษย์ในอนาคตด้วยนำหุ่นยนต์AIเข้ามาทดแทนคนงานแรงงานคนแรงงานมนุษย์ในอนาคต,จึงทำลายวลีวุฒิการศึกษาก่อน ด้อยค่าวุฒิการศึกษาก่อน,เสมือนทำลายอะไรง่ายๆต่อไปอย่างสบายๆในอนาคตต่อคุณค่ามนุษย์ โรงงานมากมายจะทดแทนด้วยหุ่นยนต์หรือAIมากมายหลากหลายสไตล์,วุฒิการศึกษาจึงเป็นการยกเรเวลคุณค่ามนุษย์ในสายสัมพันธุ์ความเป็นมนุษย์ในตัว,เมื่อแต่ละกิจการโรงงานทำสำเร็จ ด้อยค่าใช้วุฒิที่จ้างงานราคาต่ำราคาถูกสำเร็จ แผนการนำเข้าหุ่นยนต์ทดแทนแรงงานถูกในโรงงานต่างๆบริษัทกิจการต่างๆที่ด้อยค่าจะสำเร็จโดยง่าย.แล้วเราจะใช้สมมุติอะไรดูสถานะคุณค่ามนุษย์เป็นพื้นฐาน แล้วเราจะส่งลูกหลานเล่าเรียนไปทำซากอะไร,การปกครองด้วยจะมีไว้ให้คนอื่นตีตรากฎหมายออกมาปกครองเราทำไมตลอดเวลา,ตลอดอนาคตอันใกล้AIมันก็เขียนกฎหมายตีตราออกมาบังคับผู้คนได้แล้วโดยง่ายๆด้วย.,นั้นยิ่งตอกย้ำว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนไทยและทั้งโลกจะถูกปกครองด้วยAIหุ่นยนต์แล้วใช่หรือไม่.ทั้งมันจะฝังชิปใส่สมองมนุษย์อีกล่ะ ต่อไปไม่ต้องไปโรงเรียนเอาวุฒิล่ะ อยากรู้อะไรโหลดเข้าสมองเลย กึ่งมนุษย์กึ่งหุ่นยนต์ล่ะ,และอนาคตชัดเจนว่า สงครามหุ่นยนต์เกิดขึ้นแน่นอน,หนักกว่าสงครามสมัยถือมีดถือดาบหรือระเบิดๆแบบปัจจุบันอีก,โลกนี้อาจถือทำลายภายในพลิกตาก็ว่า.ดังนั้นจึงจรรโลงคุณค่าสถานะสมมุติการบ่งบอกการมีตังตนของคุณค่ามนุษย์แบบเราๆในยุคเวลาเรานี้เถอะ อีก100ปี อีก2-3พันปีนับจากนี้คงอีกเรื่องแล้ว,วิถีสัมมาขีวิตแบบพอดีพอดีเพียงพอและพอเพียงจึงสมสถานะคนไทยเรามาก,เราต้องสร้างชาติไทยเราเอง มิใช่แรงงานต่างด้าวบริษัทต่างชาติที่ถือหุ้นในรูปบริษัทต่างๆที่ตั้งบนแผ่นดินไทยเรามาสร้างชาติให้คนไทยเราเองนะ,ก็บริษัทพวกนี้ล่ะเหี้ยๆทั้งนั้นเกิดขึ้นมา ดูราคาน้ำมันสิแพงๆมั้ย ยุบ&ถีบบริษัทนี้ออกจากแผ่นดินไทยสิ ราคาน้ำมันคืนเป็นของคนไทยเลย ขายราคาต่ำๆแบยอิหร่านลิตรละ1-2บาทก็ได้,รถยนต์ค่าขนส่งไปมาไหนๆจะไม่แพง ต้นทุนฐานจะต่ำ แข่งขันจะเป็นเชิงบวกแก่คนไทยที่ค้าขายกับต่างชาติ,ระดับจิตใจผู้คนทั้งชาติจะเย็นเลยล่ะ.ไม่ดิ้นรนบ้าคลั่งใช้หนี้สาระพัดใช้จ่ายในภาระต่างๆจนแทบตายก็ยังไม่พอก็ว่าในแบบปัจจุบันซึ่งโลกก็โคตรเศรษฐกิจพังปกติอยู่แล้ว, ..เราต้องรีเซ็ตใหม่จริงๆ วัตถุดิบสมบัติชาติแบบทรัพยากรมีค่ามากมายต้องได้คืนมาจริงด้วย,มิใช่ยังถูกปล้นชิงแบบในปัจจุบัน ยึดอำนาจกว่าสิบครั้งเสียของหมด,บ่อน้ำมันบ่อทองคำไม่เคยได้คืนมาเลย,ขุดเจาะดูดกลั่นขายเองก็ได้ ทองคำก็ขุดเข้าคลังสำรองประเทศไปสิ เสือกยกให้คนอื่น เหี้ยจริงๆ. https://youtube.com/shorts/np7PPSH7bKc?si=GdvFcFFOIUM3X4Y5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความทัศนะจากเพจเฟซบุ๊ก'อ้ายจง‘ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาชาวจีน" โดยผู้ว่าฯ จึงเป็นเรื่องที่ (ทุกคนควร) จับตามอง?.ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการแต่งตั้งนักธุรกิจชาวจีนให้เป็น "ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามว่า "โปร่งใสหรือไม่?" "จำเป็นแค่ไหน?" และ "ไม่มีคนไทยที่เหมาะสมกว่าหรือ?" .แม้คำสั่งแต่งตั้งจะระบุว่า เพื่อ "ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ" แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะไม่แน่ชัดถึง "ประเด็นอะไร?" "เหตุผลเพิ่มเติมคืออะไร" ดังนั้นกลับยิ่งสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ โดยเฉพาะเมื่อที่ปรึกษาคนดังกล่าวเป็น "ชาวต่างชาติ" และ "ชาวจีน" ในบริบทที่มีความอ่อนไหวหลายมิติ.หากวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าและบริบทที่เป็นไปได้ จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ .โดยเฉพาะจีนที่มีบทบาทในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในภูมิภาคนี้ การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวจีนอาจสะท้อนถึงความพยายามของผู้ว่าฯ ในการเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยตรง .ถ้ามองในมุมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฉพาะถ้อยคำในคำสั่งที่ระบุว่า "ให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ" โดยไม่ระบุชัดว่า "ประเด็นใด" ทำให้เกิดความคลุมเครือและสร้างข้อกังขาต่อสาธารณะ.อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการจ้างชาวต่างชาติให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายแรงงานแล้ว ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ที่ถูกต้องและระบุขอบเขตงานชัดเจน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดอยู่ในกลุ่มอาชีพสงวน เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การทำงานราชการ หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความมั่นคง หากการแต่งตั้งนี้ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความเสียหายในระดับระบบราชการ.ต้องย้ำด้วยว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจไทย แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐยังปล่อยให้บางกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายสามารถแทรกตัวหรือมีบทบาทในหน่วยงานราชการได้โดยไม่ตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งระบบ และยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของชาวต่างชาติกลุ่มที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย.ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประวัติของกรณีชาวจีนที่เข้ามาทำกิจกรรมแปลกๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก้ำกึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวการจ้างตำรวจไทยนำขบวนรถหรู การอบรมอาสาตำรวจให้ชาวจีน หรือแม้กระทั่งการใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ หากปล่อยให้กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า "มีเงิน ก็ทำอะไรก็ได้ในไทย" ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ.เพราะฉะนั้น ความโปร่งใสจึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นหลักประกันพื้นฐานของความไว้วางใจในระบบสาธารณะ .การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างชาติในระดับจังหวัดอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ #แต่ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวอย่างของกระบวนการที่ยึดหลักความโปร่งใสอย่างแท้จริง เพราะหากเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบได้ ทุกกลยุทธ์การดึงดูดนักลงทุน หรือการพัฒนาใดๆ ก็จะไร้ผลในระยะยาว.และในอีกแง่มุมหนึ่ง หากมีเหตุผลที่ต้องแต่งตั้งชาวต่างชาติหรือชาวจีนเป็นที่ปรึกษาจริง ๆ เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าฯ ที่จะใช้ดุลยพินิจ .แต่จะยิ่งดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น หากมี "ที่ปรึกษาชาวไทย" ทำงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล สื่อสารเชิงวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคไทยกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งรากฐานของสังคมไทยเอง.สุดท้าย ความโปร่งใสต้องเกิดในทุกระดับของสังคมไทย ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ใช่แค่ในนโยบายส่วนกลาง แต่ต้องสะท้อนออกมาให้เห็นจริงในทุกการตัดสินใจของทุกจังหวัด ทุกตำแหน่ง และทุกคำสั่ง เพราะนั่นคือรากฐานของความเชื่อมั่นและความยั่งยืนด้วยความเคารพ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รายงานข่าวจากเพจCH7HD News ถามหาความเหมาะสม! หลังเอกสารหลุดคำสั่งผู้ว่าฯปราจีนบุรี แต่งตั้ง "ชายชาวจีน" เป็นที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อการบริการขับเคลื่อนงานของจังหวัด โดย เอกสารสำคัญที่เผยแพร่แพร่ในโซเชียลตั้งแต่ค่ำวานที่ผ่านมา(29 เม.ย.68) เป็นคำสั่ง 2 ฉบับ ลงนาม โดยนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 คือ คำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาจังหวัด 5ปี (พ.ศ.2566-2570) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยยิ่งขึ้น โดยลำดับที่1-4 เป็นคนไทย ส่วน ลำดับที่ 5 เป็นคนจีน และ คำสั่งแจ้งบุคคลในลำดับที่ 5 เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี หลังเป็นข่าว ปรากฏว่า ล่าสุดวันที่ 30 เมษายน เวลา 7.00 น. ผู้ว่าฯปราจีนบุรีได้ออกคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง"ชาวจีน"เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯแล้ว หลังจากเพจเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า คำชี้แจงจากผู้ว่าปราจีนบุรี.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี โฟนอินชี้แจงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางหอการค้าจังหวัดเสนอมา ตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย เลยแต่งตั้งเพื่อให้เกียรติมาช่วยงานจังหวัด ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว .พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาคนจีนมาลงทุนในจังหวัดเยอะ รวมถึงชาวต่างชาติด้วย นำรายได้มาสู่ประเทศปีหนึ่งกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหน้าที่ของผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นจะคอยจะคอยช่วยประสานงานในส่วนนักลงทุน หรือที่มาจากทางประเทศบ้านเขาในเรื่องการสื่อสาร มิติการค้าและมิติอื่นๆ ตามความประสงค์ของหอการค้าจังหวัด พร้อมขออภัย ในความไม่เหมาะสมและเป็นที่น่าเป็นห่วงจึงได้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    บทความทัศนะจากเพจเฟซบุ๊ก'อ้ายจง‘ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า ทำไมการแต่งตั้ง "ที่ปรึกษาชาวจีน" โดยผู้ว่าฯ จึงเป็นเรื่องที่ (ทุกคนควร) จับตามอง?.ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข่าวการแต่งตั้งนักธุรกิจชาวจีนให้เป็น "ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง หลายคนตั้งคำถามว่า "โปร่งใสหรือไม่?" "จำเป็นแค่ไหน?" และ "ไม่มีคนไทยที่เหมาะสมกว่าหรือ?" .แม้คำสั่งแต่งตั้งจะระบุว่า เพื่อ "ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางในประเด็นที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการ" แต่ต้องยอมรับนะครับว่า ค่อนข้างจะคลุมเครือ เพราะไม่แน่ชัดถึง "ประเด็นอะไร?" "เหตุผลเพิ่มเติมคืออะไร" ดังนั้นกลับยิ่งสร้างคำถามมากกว่าคำตอบ โดยเฉพาะเมื่อที่ปรึกษาคนดังกล่าวเป็น "ชาวต่างชาติ" และ "ชาวจีน" ในบริบทที่มีความอ่อนไหวหลายมิติ.หากวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าและบริบทที่เป็นไปได้ จังหวัดปราจีนบุรีตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ประเทศไทยต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ .โดยเฉพาะจีนที่มีบทบาทในนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในภูมิภาคนี้ การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวจีนอาจสะท้อนถึงความพยายามของผู้ว่าฯ ในการเชื่อมโยงกับกลุ่มทุนจีนเพื่อสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจโดยตรง .ถ้ามองในมุมนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของกลยุทธ์ในการพัฒนาจังหวัด แต่ประเด็นที่หลายคนคาใจอยู่ที่ความไม่ชัดเจนของข้อมูล โดยเฉพาะถ้อยคำในคำสั่งที่ระบุว่า "ให้คำปรึกษาในประเด็นต่างๆ" โดยไม่ระบุชัดว่า "ประเด็นใด" ทำให้เกิดความคลุมเครือและสร้างข้อกังขาต่อสาธารณะ.อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือข้อกฎหมายและข้อจำกัดในการจ้างชาวต่างชาติให้ทำงานในประเทศไทย ซึ่งตามกฎหมายแรงงานแล้ว ชาวต่างชาติต้องมีใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ที่ถูกต้องและระบุขอบเขตงานชัดเจน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับงานที่จัดอยู่ในกลุ่มอาชีพสงวน เช่น การให้คำปรึกษาทางกฎหมาย การทำงานราชการ หรืออื่นๆ ที่มีผลต่อความมั่นคง หากการแต่งตั้งนี้ไม่ได้ดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นช่องโหว่สำคัญที่นำไปสู่ความเสียหายในระดับระบบราชการ.ต้องย้ำด้วยว่า คนต่างชาติที่เข้ามาทำงานหรือใช้ชีวิตในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็มีจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวจีนที่ลงทุน สร้างงาน สร้างรายได้ และมีบทบาทสำคัญในภาคเศรษฐกิจไทย แต่ในขณะเดียวกัน หากรัฐยังปล่อยให้บางกลุ่มที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายสามารถแทรกตัวหรือมีบทบาทในหน่วยงานราชการได้โดยไม่ตรวจสอบ ก็จะกลายเป็นภัยเงียบที่กระทบทั้งระบบ และยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของชาวต่างชาติกลุ่มที่ตั้งใจทำงานอย่างสุจริตด้วย.ที่ผ่านมาประเทศไทยมีประวัติของกรณีชาวจีนที่เข้ามาทำกิจกรรมแปลกๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก้ำกึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการรีวิวการจ้างตำรวจไทยนำขบวนรถหรู การอบรมอาสาตำรวจให้ชาวจีน หรือแม้กระทั่งการใช้วีซ่าผิดประเภทเพื่ออยู่อาศัยหรือทำธุรกิจ หากปล่อยให้กรณีเหล่านี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการควบคุมที่จริงจัง จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่า "มีเงิน ก็ทำอะไรก็ได้ในไทย" ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ.เพราะฉะนั้น ความโปร่งใสจึงไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่เป็นหลักประกันพื้นฐานของความไว้วางใจในระบบสาธารณะ .การแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างชาติในระดับจังหวัดอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ #แต่ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ ตรวจสอบได้ และเป็นตัวอย่างของกระบวนการที่ยึดหลักความโปร่งใสอย่างแท้จริง เพราะหากเราไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในระบบได้ ทุกกลยุทธ์การดึงดูดนักลงทุน หรือการพัฒนาใดๆ ก็จะไร้ผลในระยะยาว.และในอีกแง่มุมหนึ่ง หากมีเหตุผลที่ต้องแต่งตั้งชาวต่างชาติหรือชาวจีนเป็นที่ปรึกษาจริง ๆ เพื่อช่วยวางกลยุทธ์ด้านการลงทุนหรือเศรษฐกิจ ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของผู้ว่าฯ ที่จะใช้ดุลยพินิจ .แต่จะยิ่งดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น หากมี "ที่ปรึกษาชาวไทย" ทำงานควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้เกิดการถ่วงดุล สื่อสารเชิงวัฒนธรรม และสร้างความเข้าใจร่วมกันระหว่างภาคไทยกับต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทิ้งรากฐานของสังคมไทยเอง.สุดท้าย ความโปร่งใสต้องเกิดในทุกระดับของสังคมไทย ตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ใช่แค่ในนโยบายส่วนกลาง แต่ต้องสะท้อนออกมาให้เห็นจริงในทุกการตัดสินใจของทุกจังหวัด ทุกตำแหน่ง และทุกคำสั่ง เพราะนั่นคือรากฐานของความเชื่อมั่นและความยั่งยืนด้วยความเคารพ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 รายงานข่าวจากเพจCH7HD News ถามหาความเหมาะสม! หลังเอกสารหลุดคำสั่งผู้ว่าฯปราจีนบุรี แต่งตั้ง "ชายชาวจีน" เป็นที่ปรึกษา ทำหน้าที่แนะแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญเป็นประโยชน์ต่อการบริการขับเคลื่อนงานของจังหวัด โดย เอกสารสำคัญที่เผยแพร่แพร่ในโซเชียลตั้งแต่ค่ำวานที่ผ่านมา(29 เม.ย.68) เป็นคำสั่ง 2 ฉบับ ลงนาม โดยนายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 คือ คำสั่งจังหวัดปราจีนบุรี ที่ 1327/2568 ลงนามเมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 แต่งตั้งที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี 5 คน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาจังหวัด 5ปี (พ.ศ.2566-2570) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยยิ่งขึ้น โดยลำดับที่1-4 เป็นคนไทย ส่วน ลำดับที่ 5 เป็นคนจีน และ คำสั่งแจ้งบุคคลในลำดับที่ 5 เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่างๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร และการขับเคลื่อนงานของจังหวัดปราจีนบุรี หลังเป็นข่าว ปรากฏว่า ล่าสุดวันที่ 30 เมษายน เวลา 7.00 น. ผู้ว่าฯปราจีนบุรีได้ออกคำสั่งยกเลิกแต่งตั้ง"ชาวจีน"เป็นที่ปรึกษาผู้ว่าฯแล้ว หลังจากเพจเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า คำชี้แจงจากผู้ว่าปราจีนบุรี.นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี โฟนอินชี้แจงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์แต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งทางหอการค้าจังหวัดเสนอมา ตรวจสอบแล้วไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัย เลยแต่งตั้งเพื่อให้เกียรติมาช่วยงานจังหวัด ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว .พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาคนจีนมาลงทุนในจังหวัดเยอะ รวมถึงชาวต่างชาติด้วย นำรายได้มาสู่ประเทศปีหนึ่งกว่า 3 แสนล้านบาท ส่วนหน้าที่ของผู้ได้รับการแต่งตั้งนั้นจะคอยจะคอยช่วยประสานงานในส่วนนักลงทุน หรือที่มาจากทางประเทศบ้านเขาในเรื่องการสื่อสาร มิติการค้าและมิติอื่นๆ ตามความประสงค์ของหอการค้าจังหวัด พร้อมขออภัย ในความไม่เหมาะสมและเป็นที่น่าเป็นห่วงจึงได้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • พักนี้ก็ต้องเลิกเสพข่าวการเมืองไปก่อน แต่คนใกล้ตัวเปิดโหนกระแส เรื่องเล่าเมื่อไหร่ก็ได้ของสอระยัตและไก่อ่อนพาสัส แต่ส่วนตัวผมคงไม่คิดอะไรมาก เพราะเรื่องเล่าจากรายการพวกนั้นผมไม่ได้มีเอี่ยวอะไรหรอก แต่ก็รำคาญอยู่ดี แต่อย่าได้ไปสนใจ สนใจแค่ว่าทำตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ตอนนี้นั่งดูเรื่องเล่าเซ้าซี้ของชัยโสโร อย่างฮา
    เพิ่งกลับมาจากออฟฟิศ แต่ออฟฟิศที่นั่นบรรยากาศก็ดีสุดๆแล้วนะ ดีกว่าที่เคยเป็นลูกจ้างในหน่วยงานราชการจากองค์กรอิสระตาม รธน. ตั้งเยอะเลย ที่ผมทำอยู่ตอนนี้เป็นเอกชน ไม่ใช่งาน รก. รูทีน จับฉ่าย แต่ก็ได้ทำงานและความท้าทายอีกเพียบเลยครับ ความรู้ ไอเดีย ได้มามากโขเลยครัย
    พักนี้ก็ต้องเลิกเสพข่าวการเมืองไปก่อน แต่คนใกล้ตัวเปิดโหนกระแส เรื่องเล่าเมื่อไหร่ก็ได้ของสอระยัตและไก่อ่อนพาสัส แต่ส่วนตัวผมคงไม่คิดอะไรมาก เพราะเรื่องเล่าจากรายการพวกนั้นผมไม่ได้มีเอี่ยวอะไรหรอก แต่ก็รำคาญอยู่ดี แต่อย่าได้ไปสนใจ สนใจแค่ว่าทำตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ตอนนี้นั่งดูเรื่องเล่าเซ้าซี้ของชัยโสโร อย่างฮา เพิ่งกลับมาจากออฟฟิศ แต่ออฟฟิศที่นั่นบรรยากาศก็ดีสุดๆแล้วนะ ดีกว่าที่เคยเป็นลูกจ้างในหน่วยงานราชการจากองค์กรอิสระตาม รธน. ตั้งเยอะเลย ที่ผมทำอยู่ตอนนี้เป็นเอกชน ไม่ใช่งาน รก. รูทีน จับฉ่าย แต่ก็ได้ทำงานและความท้าทายอีกเพียบเลยครับ ความรู้ ไอเดีย ได้มามากโขเลยครัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการ มิให้ได้คุณภาพงานราชกาก และผู้บริหารต้องรับผิดชอบ เพราะโครงการที่ถูกทิ้งงาน ส่งผลเสียต่อรัฐและเงินภาษีของประชาชนมากกว่าที่คิด
    #7ดอกจิก
    ♣ ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานราชการ มิให้ได้คุณภาพงานราชกาก และผู้บริหารต้องรับผิดชอบ เพราะโครงการที่ถูกทิ้งงาน ส่งผลเสียต่อรัฐและเงินภาษีของประชาชนมากกว่าที่คิด #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • 18 เมษายน 2568 -อดีต รมว.คลัง สมหมาย ภาษี ได้เขียนบทความเรื่องนี้ “สตง. กับพระพิโรธของพระสยามเทวาธิราช” การพังทลายของอาคารสูงเหยียดฟ้าของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือที่เรียกว่า สตง. ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากที่สุดในรอบกว่าร้อยปีของประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จนมีผู้เสียชีวิตถึงร่วม 100 คน จนเกิดเป็นข่าวถึงขั้นดราม่าของสื่อทุกประเภทต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้.ข่าวที่พรั่งพรูออกมานั้นเป็นที่สนใจของผู้คนทุกคนระดับแม้ว่าจะยังเป็นเรื่องราวที่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดได้ในขณะนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่คละคลุ้งเกี่ยวกับสารพัดทุจริตคอร์รัปชั่นที่คนไทยไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย.สตง. สำหรับประเทศไทย คือหน่วยงานอิสระที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็นรายปีเหมือนส่วนราชการอื่นๆ และเป็นหน่วยงานที่ทั้งสำนักงบประมาณและส่วนราชการอื่นๆ ให้ความเกรงใจมากเป็นพิเศษ.โดยศักดิ์ศรีของงานที่ต้องรับผิดชอบดูแลหน่วยงานรัฐของประเทศให้ดูบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีธรรมาภิบาลสูง และเป็นหน่วยงานที่ไม่ประพฤติผิดประพฤติชั่ว สตง.จึงถือเป็นฟางสีทองเส้นสุดท้ายที่คอยแยกแยะกันความดีของหน่วยงานราชการทั้งหลายที่หาได้ยากขึ้นทุกวันในประเทศนี้ออกมาให้ประชาชนเห็น.ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราถูกตราหน้าจากหน่วยงานระดับนานาชาติที่เป็นผู้วัดความมากน้อยของการคอร์รัปชั่นของ 180 ประเทศทั่วโลกเป็นประจำปี ที่ได้ให้ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perspective Index หรือ CPI) แก่ไทยสูงกว่าลำดับ 100 เป็นส่วนใหญ่ โดยในปีล่าสุดที่ผ่านมานี้ ไทยเราได้ถึงลำดับ 107 ดีกว่าประเทศลาวแค่ลำดับเดียวเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการตกต่ำสุดๆของรัฐบาลไทยในการดูแลการคอร์รัปชั่นของประเทศ.ถ้าหากดราม่าเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นของ สตง. ต้องจบลงอย่างที่เป็นข่าว นั่นก็หมายถึงความมอดไหม้ของฟางสีทองเส้นสุดท้ายของประเทศชาติอย่างน่าอเนจอนาถที่สุด แล้วประเทศไทยเราจะเอาเรื่องธรรมาภิบาลไปพูดกับนานาชาติในเวทีข้างนอกได้อย่างไรหรือ.ในฐานะที่ผมเป็นคนประเภทที่ชอบ “ตื่นรู้สู้โกง” ตามคำขวัญขององค์กรต่อสู้คอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หรือ Anti-Corruption Organization of Thailand – ACT คนหนึ่ง ก็ได้พยายามที่จะนำเรื่องนี้มาคิดหลายตลบว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร และเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางเกิดที่ประเทศเพื่อนบ้านห่างออกไปร่วม 1,000 กม. ทำไมหายนะจึงเกิดกับอาคารสูงของ สตง. เพียงแห่งเดียว.ในที่สุดถึงวันที่ผมได้เขียนบทความชิ้นนี้ ผมได้คิดว่าสิ่งอันน่าอับอายของ สตง. ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากแทบไม่อยากพูดคุยกับชาวต่างชาติอื่นใด ดูเหมือนจะเป็นอาการ “พระพิโรธของพระสยามเทวาธิราชอันเป็นที่เคารพนับถือของคนไทยค่อนประเทศ” ที่ได้เฝ้าดูความเป็นไปของบ้านเมืองเรื่องการคอร์รัปชั่นของส่วนราชการที่ขยายวงไปแทบทั่วทุกหน่วยงานเป็นแน่แท้ มันไม่ใช่เป็นเหตุบังเอิญใดๆ ทั้งสิ้น .ผมคิดไปเรื่อย ติดตามเรื่องไปเรื่อย เรื่องดราม่าของการประพฤติมิชอบของ สตง.นี้ ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลนี้ มันเป็นเรื่องสืบเนื่องตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วๆมาอย่างน้อยก็ตั้ง 7 - 8 ปีที่ผ่านมา และก็โยงใยกับผู้ว่าการและคณะกรรมการของ สตง. ตั้งแต่สมัยโน้นเป็นลำดับมา.สำหรับรัฐบาลปัจจุบันของไทยขณะนี้ ก็ขอให้เร่งการสอบสวนความผิดต่างๆให้เร็วที่สุด และควรคิดหาหนทางปรับการกำกับดูแล สตง. ในอนาคตให้กลับมาขาวสะอาดเป็นเส้นฟางสีทองให้ได้ ทั้งนี้ ขออย่าได้ย่ามใจว่าพฤติกรรมของผู้หลักผู้ใหญ่ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีลงมาจะเป็นข่าวใหญ่โตในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นแบบดราม่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้นะครับ.ท่านต้องไม่ละเลยต่อการตื่นตัวของคนไทยระดับปัญญาชนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นล้วนเป็นผู้ตื่นรู้สู้โกงกันทั้งนั้น ตราบใดที่ยังเป็นคลื่นโต้น้ำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อนคาสิโนหรือเรื่องโครงการใหญ่โตอื่นๆที่มีการเตรียมให้เกิดในรัฐบาลนี้ หากถึงฤดูน้ำลดเมื่อไหร่ ขอได้โปรดระวังตอที่มันจะผุดขึ้นมาด้วยก็แล้วกัน
    18 เมษายน 2568 -อดีต รมว.คลัง สมหมาย ภาษี ได้เขียนบทความเรื่องนี้ “สตง. กับพระพิโรธของพระสยามเทวาธิราช” การพังทลายของอาคารสูงเหยียดฟ้าของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือที่เรียกว่า สตง. ตอนเกิดแผ่นดินไหวที่รุนแรงมากที่สุดในรอบกว่าร้อยปีของประเทศไทย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 จนมีผู้เสียชีวิตถึงร่วม 100 คน จนเกิดเป็นข่าวถึงขั้นดราม่าของสื่อทุกประเภทต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้.ข่าวที่พรั่งพรูออกมานั้นเป็นที่สนใจของผู้คนทุกคนระดับแม้ว่าจะยังเป็นเรื่องราวที่ยังไม่ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดได้ในขณะนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่คละคลุ้งเกี่ยวกับสารพัดทุจริตคอร์รัปชั่นที่คนไทยไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย.สตง. สำหรับประเทศไทย คือหน่วยงานอิสระที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเป็นรายปีเหมือนส่วนราชการอื่นๆ และเป็นหน่วยงานที่ทั้งสำนักงบประมาณและส่วนราชการอื่นๆ ให้ความเกรงใจมากเป็นพิเศษ.โดยศักดิ์ศรีของงานที่ต้องรับผิดชอบดูแลหน่วยงานรัฐของประเทศให้ดูบริสุทธิ์ ยุติธรรม มีธรรมาภิบาลสูง และเป็นหน่วยงานที่ไม่ประพฤติผิดประพฤติชั่ว สตง.จึงถือเป็นฟางสีทองเส้นสุดท้ายที่คอยแยกแยะกันความดีของหน่วยงานราชการทั้งหลายที่หาได้ยากขึ้นทุกวันในประเทศนี้ออกมาให้ประชาชนเห็น.ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราถูกตราหน้าจากหน่วยงานระดับนานาชาติที่เป็นผู้วัดความมากน้อยของการคอร์รัปชั่นของ 180 ประเทศทั่วโลกเป็นประจำปี ที่ได้ให้ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perspective Index หรือ CPI) แก่ไทยสูงกว่าลำดับ 100 เป็นส่วนใหญ่ โดยในปีล่าสุดที่ผ่านมานี้ ไทยเราได้ถึงลำดับ 107 ดีกว่าประเทศลาวแค่ลำดับเดียวเท่านั้น ถือได้ว่าเป็นการตกต่ำสุดๆของรัฐบาลไทยในการดูแลการคอร์รัปชั่นของประเทศ.ถ้าหากดราม่าเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นของ สตง. ต้องจบลงอย่างที่เป็นข่าว นั่นก็หมายถึงความมอดไหม้ของฟางสีทองเส้นสุดท้ายของประเทศชาติอย่างน่าอเนจอนาถที่สุด แล้วประเทศไทยเราจะเอาเรื่องธรรมาภิบาลไปพูดกับนานาชาติในเวทีข้างนอกได้อย่างไรหรือ.ในฐานะที่ผมเป็นคนประเภทที่ชอบ “ตื่นรู้สู้โกง” ตามคำขวัญขององค์กรต่อสู้คอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หรือ Anti-Corruption Organization of Thailand – ACT คนหนึ่ง ก็ได้พยายามที่จะนำเรื่องนี้มาคิดหลายตลบว่ามันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร และเหตุของแผ่นดินไหวครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางเกิดที่ประเทศเพื่อนบ้านห่างออกไปร่วม 1,000 กม. ทำไมหายนะจึงเกิดกับอาคารสูงของ สตง. เพียงแห่งเดียว.ในที่สุดถึงวันที่ผมได้เขียนบทความชิ้นนี้ ผมได้คิดว่าสิ่งอันน่าอับอายของ สตง. ที่ทำให้คนไทยจำนวนมากแทบไม่อยากพูดคุยกับชาวต่างชาติอื่นใด ดูเหมือนจะเป็นอาการ “พระพิโรธของพระสยามเทวาธิราชอันเป็นที่เคารพนับถือของคนไทยค่อนประเทศ” ที่ได้เฝ้าดูความเป็นไปของบ้านเมืองเรื่องการคอร์รัปชั่นของส่วนราชการที่ขยายวงไปแทบทั่วทุกหน่วยงานเป็นแน่แท้ มันไม่ใช่เป็นเหตุบังเอิญใดๆ ทั้งสิ้น .ผมคิดไปเรื่อย ติดตามเรื่องไปเรื่อย เรื่องดราม่าของการประพฤติมิชอบของ สตง.นี้ ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาลนี้ มันเป็นเรื่องสืบเนื่องตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วๆมาอย่างน้อยก็ตั้ง 7 - 8 ปีที่ผ่านมา และก็โยงใยกับผู้ว่าการและคณะกรรมการของ สตง. ตั้งแต่สมัยโน้นเป็นลำดับมา.สำหรับรัฐบาลปัจจุบันของไทยขณะนี้ ก็ขอให้เร่งการสอบสวนความผิดต่างๆให้เร็วที่สุด และควรคิดหาหนทางปรับการกำกับดูแล สตง. ในอนาคตให้กลับมาขาวสะอาดเป็นเส้นฟางสีทองให้ได้ ทั้งนี้ ขออย่าได้ย่ามใจว่าพฤติกรรมของผู้หลักผู้ใหญ่ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีลงมาจะเป็นข่าวใหญ่โตในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นแบบดราม่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลนี้นะครับ.ท่านต้องไม่ละเลยต่อการตื่นตัวของคนไทยระดับปัญญาชนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นล้วนเป็นผู้ตื่นรู้สู้โกงกันทั้งนั้น ตราบใดที่ยังเป็นคลื่นโต้น้ำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ่อนคาสิโนหรือเรื่องโครงการใหญ่โตอื่นๆที่มีการเตรียมให้เกิดในรัฐบาลนี้ หากถึงฤดูน้ำลดเมื่อไหร่ ขอได้โปรดระวังตอที่มันจะผุดขึ้นมาด้วยก็แล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 438 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ คลังหวังเสริมแกร่งสถานะการคลังด้วยการถลุงงบกว่า 10 ล้าน ให้ข้าราชการแข็งแรง สงสัยจะส่งคนไปแข่งโอลิมปิก ซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า 24 ตัว ตัวละ 2.3 แสนบาท หน่วยงานราชการที่ใช้เงินหลวงเหมือนเงินตัวเอง ค่าไฟฟ้าห้องฟิตเนสก็ใช้ภาษีประชาชนจ่าย
    #7ดอกจิก
    ♣ คลังหวังเสริมแกร่งสถานะการคลังด้วยการถลุงงบกว่า 10 ล้าน ให้ข้าราชการแข็งแรง สงสัยจะส่งคนไปแข่งโอลิมปิก ซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า 24 ตัว ตัวละ 2.3 แสนบาท หน่วยงานราชการที่ใช้เงินหลวงเหมือนเงินตัวเอง ค่าไฟฟ้าห้องฟิตเนสก็ใช้ภาษีประชาชนจ่าย #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • พักนี้ไม่ค่อยมีเวลาดูข่าวที่เหมือนว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย แต่คนรอบข้างชอบเปิดสื่อกระแสหลักที่โปรตะวันตก 100% โปรส้ม 100% โปรแดง 100% จนผมเริ่มรู้แล้วว่างูพิษที่ร้ายที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหนก็คนรอบข้างไม่ว่าจะคนในครอบครัว คนสนิท สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ไว้ใจตัวเอง เชื่อมั่นกับใจตัวเอง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากไม่ค่อยมานั่งตัดพ้อว่า Environment รอบตัวเราไม่เอื้ออำนวย และเป็นพิษแก่จิตใจเรา และทางครอบครัวบีบบังคับเรามากจนเกินไป คือกลับบ้านยาวๆช่วงโควิตไม่ได้มาช่วยงานเพื่อนใช้ชีวิตคนหอจนผมต้องเสียเพื่อนดีๆไป เพื่อนที่เคยคบอย่างดิบดีสุดท้ายกลายเป็นตัดเพื่อนซะงั้น โทษครอบครัวไม่ได้ โทษเพื่อนก็ไม่ได้ โทษศักยภาพและแนวความคิดตัวเองว่ายังไม่ดีพอ ที่ยังไม่ดีพอเพราะหลงไหลกับธุรกิจเครือข่ายสุดท้ายก็แค่เรื่องขายฝันเพ้อฝัน และแนวคิดหาบน้ำเทียบกับแนวคิดทำงานหวังอัพตำแหน่ง หรือทำงานไม่หวังตำแหน่ง สุดท้าย ร่างกายเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว และ แนวคิดทำงานแบบทำท่อส่งน้ำ ถ้าจะเทียบกับธุรกิจเครือข่าย สำหรับพวกเขาที่ยังทำธุรกิจเครือข่าย คือ ใช่ สำหรับผม คือ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ 100% แต่ถ้าจะทำแนวคิดท่าส่งน้ำ-เครื่องสูบน้ำ ไม่ต้องหาบน้ำไปมาให้เหนื่อยเหมือนทำงานประจำหรือทำงานเยี่ยงทาส ยังไงก็ต้องสร้างงานเป็นของตัวเอง สร้างหน้าโปรไฟล์และหน้าร้านออนไลนร์เพื่อขายงานตัวเอง ขายผลงาน ทำฟรีแลนซ์ไปเรื่อยๆ ไม่ก็ทำเป็นสตาร์ทอัพ วางแผนการใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด จะได้มีเวลาเที่ยวกินพักเล่นเกมส์รีแลกซ์ทำคอนเทนต์ได้สบายๆ
    สังคมแบบครอบครัวผมไม่ใช่แค่ทำงานประจำเพียงอย่างเดียว จะให้กู้ในระบบบ้าง นอกระบบบ้าง ให้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และมากำกับการใช้เงินของเรา แบบนี้มันไม่ถูก มันไม่ยุติธรรม ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่ต้องมากำหนดชีวิตเราจนเราไม่สามารถมีตัวเป็นของตัวเองได้ หรือจนเราสูญเสียตัวตนที่แท้จริงไปเลย คือรับช่วงสืบทอดสิ่งที่ครอบครับเขาทำกัน หลักๆคือ มูเตลู สุดท้ายผมก็ไม่จำเป็นต้องเป๊ะเหมือนคนในครอบครัวทุกคน และจะได้ไม่ต้องสูญเสียตัวตนเพราะกับดักกตัญญู ความต้องการครอบครัวที่ไม่สอดคล้องกับยุคโลกาภิวัฒน์
    คนรอบข้างไม่ว่าจะคนในครอบครัวหรือคนสนิทก็เปลี่ยนใจอยากให้ผมทำงานในสภาพแวดล้อมที่ผมไม่ชอบที่สุด ก่อนหน้านั้นคนรอบข้างยังไฟเขียวอยู่เลยว่าให้ผมทำงานเป็นสตาร์ทอัพก็ได้ รับงานเอกชนก็ได้ ช่วงโควิดระบาดใหม่ๆทางคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวเองก็เถอะ คงไม่อยากให้ผมใช้ชีวิตคนเดียวในหอ ด้วยความหวังดี ด้วยความเป็นห่วง คือกลัวว่าผมจะใช้ชีวิตอิสระทำอาชีพอิสระขนาดนั้นเลย เลยต้องจำกัดกรอบให้ผมต้องเป็นลูกจ้างเท่านั้น หรือรับราชการเท่านั้น ชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้เนี่ย เรื่องนอกตัวเรื่องที่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและเอี่ยว ผมก็ไม่เสพ ไม่ดู ดูและเสพเรื่องที่น่าสนใจอย่างข่าวเกมส์ ข่าวเฟรมเวิร์กโปรแกรมมิ่ง ข่าวเทคโนโลยีจากจีนและรัสเซียจะดีกว่า เพราะตอนนี้ข่าวประท้วงอีลอนแม่งดังกว่าข่าวเทคโนโลยีสุดล้ำนวัตกรรมสุดลึกของจีนอีก สื่อกระแสหลักก็ขยันประโคมกันเข้าไป ตามกำลังทุนเงินยิวอย่างร็อดไชล์ร็อกกี้เฟลเลอร์และแบล็กร็อคไง
    บอกเลย ครอบครัวเปลี่ยนไปจากที่ก่อนหน้านี้เคยให้ผมทำงานแล้วแต่ที่ผมอยากจะทำ เดี๋ยวนี้กลายเป็นให้ลูกสอบงานราชการ สอบบรรจุ สอบไม่ได้ก็ต้องเป็นลูกจ้าง คือจบสายอาชีวะสะเต็ม ระดับนี้แล้วจะให้ทำงานเยี่ยงวัวควายเยี่ยงทาสขี้ข้ากรรมกรจับกังเลยหรือไง ได้ยินคำว่าโตเป็นควายแล้วทีไร ผมนึกไม่อยากทนอยู่เป็นวัวควายให้เขาทุกครั้งเลยนะครับ
    สุดท้ายนี้ปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวคิดแบบนี้กับผม คือเปลี่ยนความคิดไปเปลี่ยนความคิดมาจนคิดจะให้ผมเป็นไปตามที่ครอบครัวต้องการ ทั้งๆที่ผมไม่เต็มใจอยู่แล้ว มันก็มาจากสื่อกระแสหลักที่โปรตะวันตก 100% ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว จริงแท้แน่ชัดอยู่ 100% แล้วนะครับ
    พักนี้ไม่ค่อยมีเวลาดูข่าวที่เหมือนว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตผมเลยแม้แต่น้อย แต่คนรอบข้างชอบเปิดสื่อกระแสหลักที่โปรตะวันตก 100% โปรส้ม 100% โปรแดง 100% จนผมเริ่มรู้แล้วว่างูพิษที่ร้ายที่สุดไม่ใช่ใครที่ไหนก็คนรอบข้างไม่ว่าจะคนในครอบครัว คนสนิท สุดท้ายก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ไว้ใจตัวเอง เชื่อมั่นกับใจตัวเอง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากไม่ค่อยมานั่งตัดพ้อว่า Environment รอบตัวเราไม่เอื้ออำนวย และเป็นพิษแก่จิตใจเรา และทางครอบครัวบีบบังคับเรามากจนเกินไป คือกลับบ้านยาวๆช่วงโควิตไม่ได้มาช่วยงานเพื่อนใช้ชีวิตคนหอจนผมต้องเสียเพื่อนดีๆไป เพื่อนที่เคยคบอย่างดิบดีสุดท้ายกลายเป็นตัดเพื่อนซะงั้น โทษครอบครัวไม่ได้ โทษเพื่อนก็ไม่ได้ โทษศักยภาพและแนวความคิดตัวเองว่ายังไม่ดีพอ ที่ยังไม่ดีพอเพราะหลงไหลกับธุรกิจเครือข่ายสุดท้ายก็แค่เรื่องขายฝันเพ้อฝัน และแนวคิดหาบน้ำเทียบกับแนวคิดทำงานหวังอัพตำแหน่ง หรือทำงานไม่หวังตำแหน่ง สุดท้าย ร่างกายเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว และ แนวคิดทำงานแบบทำท่อส่งน้ำ ถ้าจะเทียบกับธุรกิจเครือข่าย สำหรับพวกเขาที่ยังทำธุรกิจเครือข่าย คือ ใช่ สำหรับผม คือ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่ 100% แต่ถ้าจะทำแนวคิดท่าส่งน้ำ-เครื่องสูบน้ำ ไม่ต้องหาบน้ำไปมาให้เหนื่อยเหมือนทำงานประจำหรือทำงานเยี่ยงทาส ยังไงก็ต้องสร้างงานเป็นของตัวเอง สร้างหน้าโปรไฟล์และหน้าร้านออนไลนร์เพื่อขายงานตัวเอง ขายผลงาน ทำฟรีแลนซ์ไปเรื่อยๆ ไม่ก็ทำเป็นสตาร์ทอัพ วางแผนการใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด จะได้มีเวลาเที่ยวกินพักเล่นเกมส์รีแลกซ์ทำคอนเทนต์ได้สบายๆ สังคมแบบครอบครัวผมไม่ใช่แค่ทำงานประจำเพียงอย่างเดียว จะให้กู้ในระบบบ้าง นอกระบบบ้าง ให้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และมากำกับการใช้เงินของเรา แบบนี้มันไม่ถูก มันไม่ยุติธรรม ชีวิตใครชีวิตมัน ไม่ต้องมากำหนดชีวิตเราจนเราไม่สามารถมีตัวเป็นของตัวเองได้ หรือจนเราสูญเสียตัวตนที่แท้จริงไปเลย คือรับช่วงสืบทอดสิ่งที่ครอบครับเขาทำกัน หลักๆคือ มูเตลู สุดท้ายผมก็ไม่จำเป็นต้องเป๊ะเหมือนคนในครอบครัวทุกคน และจะได้ไม่ต้องสูญเสียตัวตนเพราะกับดักกตัญญู ความต้องการครอบครัวที่ไม่สอดคล้องกับยุคโลกาภิวัฒน์ คนรอบข้างไม่ว่าจะคนในครอบครัวหรือคนสนิทก็เปลี่ยนใจอยากให้ผมทำงานในสภาพแวดล้อมที่ผมไม่ชอบที่สุด ก่อนหน้านั้นคนรอบข้างยังไฟเขียวอยู่เลยว่าให้ผมทำงานเป็นสตาร์ทอัพก็ได้ รับงานเอกชนก็ได้ ช่วงโควิดระบาดใหม่ๆทางคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวเองก็เถอะ คงไม่อยากให้ผมใช้ชีวิตคนเดียวในหอ ด้วยความหวังดี ด้วยความเป็นห่วง คือกลัวว่าผมจะใช้ชีวิตอิสระทำอาชีพอิสระขนาดนั้นเลย เลยต้องจำกัดกรอบให้ผมต้องเป็นลูกจ้างเท่านั้น หรือรับราชการเท่านั้น ชีวิตต้องมาเจออะไรแบบนี้เนี่ย เรื่องนอกตัวเรื่องที่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและเอี่ยว ผมก็ไม่เสพ ไม่ดู ดูและเสพเรื่องที่น่าสนใจอย่างข่าวเกมส์ ข่าวเฟรมเวิร์กโปรแกรมมิ่ง ข่าวเทคโนโลยีจากจีนและรัสเซียจะดีกว่า เพราะตอนนี้ข่าวประท้วงอีลอนแม่งดังกว่าข่าวเทคโนโลยีสุดล้ำนวัตกรรมสุดลึกของจีนอีก สื่อกระแสหลักก็ขยันประโคมกันเข้าไป ตามกำลังทุนเงินยิวอย่างร็อดไชล์ร็อกกี้เฟลเลอร์และแบล็กร็อคไง บอกเลย ครอบครัวเปลี่ยนไปจากที่ก่อนหน้านี้เคยให้ผมทำงานแล้วแต่ที่ผมอยากจะทำ เดี๋ยวนี้กลายเป็นให้ลูกสอบงานราชการ สอบบรรจุ สอบไม่ได้ก็ต้องเป็นลูกจ้าง คือจบสายอาชีวะสะเต็ม ระดับนี้แล้วจะให้ทำงานเยี่ยงวัวควายเยี่ยงทาสขี้ข้ากรรมกรจับกังเลยหรือไง ได้ยินคำว่าโตเป็นควายแล้วทีไร ผมนึกไม่อยากทนอยู่เป็นวัวควายให้เขาทุกครั้งเลยนะครับ สุดท้ายนี้ปัจจัยที่ทำให้ครอบครัวคิดแบบนี้กับผม คือเปลี่ยนความคิดไปเปลี่ยนความคิดมาจนคิดจะให้ผมเป็นไปตามที่ครอบครัวต้องการ ทั้งๆที่ผมไม่เต็มใจอยู่แล้ว มันก็มาจากสื่อกระแสหลักที่โปรตะวันตก 100% ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว จริงแท้แน่ชัดอยู่ 100% แล้วนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 386 มุมมอง 0 รีวิว
  • ได้ลากไส้หน่วยงานราชการกันอีกแล้ว boi สักแต่ให้การส่งเสริมให้ยกเว้นภาษีกับไอ้หยวน แต่ไม่มีปัญญาตรวจสอบคุณภาพการผลิต ยกเว้นภาษีให้มันมากี่ปีแล้วล่ะ เสียหายไปเท่าไหร่ ถ้าไม่เกิดเหตุก็ไม่มีวันรู้ว่าไปยกเว้นภาษีให้โรงงานแบบนี้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ได้ลากไส้หน่วยงานราชการกันอีกแล้ว boi สักแต่ให้การส่งเสริมให้ยกเว้นภาษีกับไอ้หยวน แต่ไม่มีปัญญาตรวจสอบคุณภาพการผลิต ยกเว้นภาษีให้มันมากี่ปีแล้วล่ะ เสียหายไปเท่าไหร่ ถ้าไม่เกิดเหตุก็ไม่มีวันรู้ว่าไปยกเว้นภาษีให้โรงงานแบบนี้ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิตาเลียนไทย แจ้งตลาดหลักทรัพย์ แสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียจากเหตุตึก สตง.ถล่ม พร้อมให้ความช่วยเหลือ และชดเชยเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ มั่นใจไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างอื่นๆ ของบริษัท

    วันนี้ ( 31 มี.ค.) บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ส่งเอกสารชี้แจงถึงกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 31 มีนาคม 2568 ความว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เป็นเหตุทำให้โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างถล่มเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย และผู้บาดเจ็บ

    บริษัทฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้า ไอที่ดี-ซีอาร์อีซี ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสีย ผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว

    บริษัทได้ดำเนินการจัดทีมวิศวกร เครื่องจักรกลต่างๆ ร่วมสนับสนุนกับหน่วยงานราชการในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกับทุกภาคส่วน จะดำเนินการแก้ไขในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และจะเร่งให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการชดเชยเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและการรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต่อไป

    ในการนี้ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างโครงการอื่นๆ ของบริษัท หากมีความคืบหน้าบริษัทจะเรียนชี้แจงให้ทราบเป็นระยะต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030527

    #MGROnline #อิตาเลียนไทย #ตลาดหลักทรัพย์ #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.#แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    อิตาเลียนไทย แจ้งตลาดหลักทรัพย์ แสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสียจากเหตุตึก สตง.ถล่ม พร้อมให้ความช่วยเหลือ และชดเชยเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต-บาดเจ็บ มั่นใจไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างอื่นๆ ของบริษัท • วันนี้ ( 31 มี.ค.) บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ส่งเอกสารชี้แจงถึงกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ลงวันที่ 31 มีนาคม 2568 ความว่า สืบเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา เป็นเหตุทำให้โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่อยู่ระหว่างดำเนินงานก่อสร้างถล่มเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย และผู้บาดเจ็บ • บริษัทฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการร่วมค้า ไอที่ดี-ซีอาร์อีซี ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้สูญเสีย ผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว • บริษัทได้ดำเนินการจัดทีมวิศวกร เครื่องจักรกลต่างๆ ร่วมสนับสนุนกับหน่วยงานราชการในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนกับทุกภาคส่วน จะดำเนินการแก้ไขในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และจะเร่งให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการชดเชยเยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและการรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต่อไป • ในการนี้ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) มั่นใจว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้างโครงการอื่นๆ ของบริษัท หากมีความคืบหน้าบริษัทจะเรียนชี้แจงให้ทราบเป็นระยะต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000030527 • #MGROnline #อิตาเลียนไทย #ตลาดหลักทรัพย์ #สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน #สตง.#แผ่นดินไหว #ไทยแผ่นดินไหว #แผ่นดินไหวไทย #กรุงเทพแผ่นดินไหว #กรุงเทพมหานคร #ประเทศไทย #เมียนมา #bkkearthquake #BangkokEarthquake #ThailandEarthquake
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 703 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ สำนักงานราชการแบบไหน มีห้องอาบน้ำผู้บริหาร จัดซื้อฝักบัวอาบน้ำ 44 ชุด ชุดละหมื่นกว่า รวมเกือบ 5 แสนบาท มีก๊อกน้ำอ่างล่างหน้าผู้บริหาร ชุดละ 8,000 กว่าอีก 98 ชุด องค์กรแบบนี้ ล้างหน้าที่ก๊อกล้างตีนก็พอ
    #7ดอกจิก
    ♣ สำนักงานราชการแบบไหน มีห้องอาบน้ำผู้บริหาร จัดซื้อฝักบัวอาบน้ำ 44 ชุด ชุดละหมื่นกว่า รวมเกือบ 5 แสนบาท มีก๊อกน้ำอ่างล่างหน้าผู้บริหาร ชุดละ 8,000 กว่าอีก 98 ชุด องค์กรแบบนี้ ล้างหน้าที่ก๊อกล้างตีนก็พอ #7ดอกจิก
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 160 มุมมอง 0 รีวิว
  • เดาข้อสอบ ตอบยังไง? ให้แม่นเวอร์! ยอดผู้สมัครสอบ อปท. 438,277 คน รอบแรกบรรจุ 1 ธ.ค. 8,439 คน สถ.โกยค่าสมัครกว่า 188 ล้าน เทคนิคสอบ อปท. 2568 ที่ต้องรู้ 📚🔥

    ✨ Unlock เคล็ดลับสอบติด อปท. พร้อมเจาะลึกเทคนิคเดาข้อสอบแบบมือโปร

    📌 เจาะลึกการสอบ อปท. 2568 ตั้งแต่ขั้นตอนการสอบ รายละเอียดตำแหน่ง เทคนิคการเตรียมตัว ไปจนถึง "เดาข้อสอบ" อย่างไรให้แม่นเวอร์ พร้อมเทคนิคแบบจิตวิทยา ที่จะช่วยให้สอบผ่านได้แบบมืออาชีพ!

    อปท. 2568 ปีทองของคนอยากเป็นข้าราชการ 🎯 ปีนี้ถือเป็นโอกาสทอง ของผู้ที่มีความฝันอยากเป็น "ข้าราชการท้องถิ่น" หรือที่รู้จักกันในชื่อการสอบ อปท. ซึ่งมีผู้สมัครกว่า 438,277 คนทั่วประเทศ 😲

    โดยในรอบแรก จะมีการบรรจุเข้ารับราชการในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 จำนวนถึง 8,439 อัตรา และที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ "ค่าสมัครสอบ" ที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถรวบรวมได้กว่า 188 ล้านบาท 💸

    แต่…ด้วยจำนวนผู้สมัครมหาศาล การสอบให้ผ่านจึงไม่ใช่เรื่องง่าย! โดยเฉพาะเมื่อมี "กฎเหล็ก" อย่าง ต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษอย่างน้อย 10 จาก 20 ข้อ ถึงจะผ่านภาค ก 😱

    🤔 อปท. ย่อมาจาก องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุเป็น ข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ภายใต้การดูแลของ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย

    สาเหตุที่คนแห่สมัครกันเยอะ? เพราะ...
    🏢 เป็นงานราชการ มีความมั่นคง
    💰 เงินเดือนและสวัสดิการดี
    📍 ทำงานในพื้นที่บ้านเกิดได้
    ⏳ ขึ้นบัญชีได้นานถึง 2 ปี ขยายได้อีก 30 วัน

    ขั้นตอนสำคัญของการสอบ อปท. 2568 📅
    2 ก.ค. 2568 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ
    19 ก.ค. 2568 สอบภาค ก และ ข
    1 ต.ค. 2568 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ค
    18-19 ต.ค. 2568 สอบสัมภาษณ์ ภาค ค
    31 ต.ค. 2568 ประกาศบัญชีผู้สอบแข่งขันได้
    3-7 พ.ย. 2568 รายงานตัว และเลือกสถานที่
    1 ธ.ค. 2568 บรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ

    📝 อย่าลืมบันทึกวันสำคัญไว้ให้ดี!

    กลุ่มภาคที่เปิดสอบ และตำแหน่งยอดฮิต 🎯
    🗺️ กลุ่มภาค 10 โซนทั่วประเทศ
    มีตั้งแต่ ภาคเหนือ เขต 1–2, ภาคกลาง เขต 1–3, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1–3, ไปจนถึง ภาคใต้ เขต 1–2 โดยแต่ละพื้นที่เปิดสอบในตำแหน่งต่างกัน ตามอัตราว่าง

    📋 ประเภทของตำแหน่งที่เปิดสอบ
    - ครูผู้ช่วย 👩‍🏫👨‍🏫 ป.ตรี 4 ปี เริ่มต้น 16,560 บาท ป.ตรี 5 ปี เริ่มต้น 17,380 บาท

    - ตำแหน่งประเภททั่วไป วุฒิ ปวช./ปวท./ปวส. เช่น เจ้าพนักงานธุรการ, เจ้าพนักงานการคลัง ฯลฯ เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 – 12,730 บาท

    - ตำแหน่งประเภทวิชาการ วุฒิปริญญาตรี เช่น นักวิชาการเงิน, วิศวกรโยธา, นักทรัพยากรบุคคล ฯลฯ เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท

    💡 ตำแหน่งยอดฮิตที่มีอัตรารับมากสุดคือ “นักวิชาการตรวจสอบภายใน” ถึง 779 อัตราเลยทีเดียว!

    ✍️ การสอบแบ่งออกเป็น 3 ภาค

    🔸 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน
    - วิเคราะห์เหตุผล 30 คะแนน
    - กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 30 คะแนน
    - ภาษาไทย 20 คะแนน
    - ภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องได้อย่างน้อย 10 คะแนน

    🔸 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สมัคร เช่น
    - นักวิชาการศึกษา → พัฒนาหลักสูตร
    - นักพัฒนาชุมชน → กฎหมายพัฒนาชุมชน
    - นักบัญชี → การเงิน-บัญชี

    🔸 ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน
    - บุคลิกภาพ
    - ทัศนคติ
    - ความสามารถในการสื่อสาร
    - ความเหมาะสมกับตำแหน่ง

    เทคนิคเตรียมสอบ อปท. แบบจับมือทำ 📖
    ✅ วางแผนอ่านหนังสือล่วงหน้า อย่ารอใกล้วันสอบ! ควรวางแผนเตรียมตัว ล่วงหน้าอย่างน้อย 3-4 เดือน แบ่งเวลาอ่านให้ครอบคลุมทั้งภาค ก และ ข

    ✅ อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ระเบียบราชการท้องถิ่น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ

    ✅ ฝึกทำข้อสอบเก่า ค้นหาแนวข้อสอบ อปท. จากปีเก่า ๆ มาฝึกให้คล่อง ฝึกทำโจทย์วันละ 20–30 ข้อทุกวัน ✍️

    ✅ ภาษาอังกฤษต้องไม่พลาด เน้น Reading comprehension ศัพท์พื้นฐาน และ Grammar เบื้องต้น ฝึกโจทย์แบบ multiple choice

    🔥 เทคนิคเดาข้อสอบให้แม่นเวอร์! ไม่ต้องงม ไม่ต้องมั่ว 🤖 เมื่อเจอข้อสอบที่ “คิดไม่ออก” หรือ “ไม่มั่นใจ” ใช้เทคนิคเหล่านี้ ช่วยให้เดาอย่างมีหลักการ ได้แม่นยำขึ้น!

    🎯 เทคนิคที่ 1 ตัดตัวเลือกสุดโต่ง ระวังคำว่า “เสมอ”, “ทั้งหมด”, “ไม่มีข้อยกเว้น”, “ห้ามโดยเด็ดขาด” เพราะมักผิด ❌

    🎯 เทคนิคที่ 2 คำที่ให้ความยืดหยุ่นมักจะถูก คำว่า “มักจะ”, “อาจจะ”, “บางครั้ง” มักถูกมากกว่า ✅

    🎯 เทคนิคที่ 3 สแกนคำถาม – คำตอบที่คล้ายกัน ถ้ามีคำจากคำถามโผล่ในคำตอบ = โอกาสถูกสูง!

    🎯 เทคนิคที่ 4 เดาตามแพทเทิร์น ถ้าต้องเดาจริง ๆ → เลือก “ข” หรือ “ค” เพราะมักเป็นตำแหน่งกลางที่ผู้ออกข้อสอบนิยมใช้

    🎯 เทคนิคที่ 5 ตัวเลือกยาวมักถูก เพราะอาจารย์มักใส่รายละเอียดมาก ในคำตอบที่ถูก 📝

    ❌ ข้อห้ามเด็ดขาดในการทำข้อสอบ
    - อย่าทิ้งข้อ – ตอบดีกว่าเว้น!
    - อย่าเปลี่ยนคำตอบไปมา ถ้าไม่มีเหตุผลชัดเจน
    - อย่ามองข้ามคำว่า “ไม่ใช่” หรือ “ยกเว้น” ในคำถาม

    📚 เตรียมตัววันนี้ พรุ่งนี้สอบติด! 🌈 การสอบ อปท. 2568 คือโอกาสครั้งใหญ่ของใครหลายคน และยิ่งมีเทคนิคที่ดี + เตรียมตัวอย่างเป็นระบบ = โอกาส “สอบติด” ก็สูงขึ้นตามไปด้วย! 💪

    ไม่ว่าจะเป็น… วางแผนอ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบเก่า รู้เทคนิคเดาข้อสอบแบบมีหลักการ ทั้งหมดนี้คืออาวุธสำคัญ ที่ต้องมีในการสอบครั้งนี้!

    ✨ ขอให้โชคดีในการสอบ และได้เป็นข้าราชการในฝัน! ✨

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311115 มี.ค. 2568

    📌 #สอบอปท2568 #แนวข้อสอบราชการ #เดาข้อสอบแม่นเวอร์ #เทคนิคสอบราชการ #สอบภาคก #สอบภาคข #ภาษาอังกฤษอปท #สอบราชการ2568 #สมัครงานราชการ #สอบสัมภาษณ์อปท
    เดาข้อสอบ ตอบยังไง? ให้แม่นเวอร์! ยอดผู้สมัครสอบ อปท. 438,277 คน รอบแรกบรรจุ 1 ธ.ค. 8,439 คน สถ.โกยค่าสมัครกว่า 188 ล้าน เทคนิคสอบ อปท. 2568 ที่ต้องรู้ 📚🔥 ✨ Unlock เคล็ดลับสอบติด อปท. พร้อมเจาะลึกเทคนิคเดาข้อสอบแบบมือโปร 📌 เจาะลึกการสอบ อปท. 2568 ตั้งแต่ขั้นตอนการสอบ รายละเอียดตำแหน่ง เทคนิคการเตรียมตัว ไปจนถึง "เดาข้อสอบ" อย่างไรให้แม่นเวอร์ พร้อมเทคนิคแบบจิตวิทยา ที่จะช่วยให้สอบผ่านได้แบบมืออาชีพ! อปท. 2568 ปีทองของคนอยากเป็นข้าราชการ 🎯 ปีนี้ถือเป็นโอกาสทอง ของผู้ที่มีความฝันอยากเป็น "ข้าราชการท้องถิ่น" หรือที่รู้จักกันในชื่อการสอบ อปท. ซึ่งมีผู้สมัครกว่า 438,277 คนทั่วประเทศ 😲 โดยในรอบแรก จะมีการบรรจุเข้ารับราชการในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 จำนวนถึง 8,439 อัตรา และที่น่าจับตาไม่แพ้กันคือ "ค่าสมัครสอบ" ที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถรวบรวมได้กว่า 188 ล้านบาท 💸 แต่…ด้วยจำนวนผู้สมัครมหาศาล การสอบให้ผ่านจึงไม่ใช่เรื่องง่าย! โดยเฉพาะเมื่อมี "กฎเหล็ก" อย่าง ต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษอย่างน้อย 10 จาก 20 ข้อ ถึงจะผ่านภาค ก 😱 🤔 อปท. ย่อมาจาก องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นการสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุเป็น ข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ภายใต้การดูแลของ กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย สาเหตุที่คนแห่สมัครกันเยอะ? เพราะ... 🏢 เป็นงานราชการ มีความมั่นคง 💰 เงินเดือนและสวัสดิการดี 📍 ทำงานในพื้นที่บ้านเกิดได้ ⏳ ขึ้นบัญชีได้นานถึง 2 ปี ขยายได้อีก 30 วัน ขั้นตอนสำคัญของการสอบ อปท. 2568 📅 2 ก.ค. 2568 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ 19 ก.ค. 2568 สอบภาค ก และ ข 1 ต.ค. 2568 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ค 18-19 ต.ค. 2568 สอบสัมภาษณ์ ภาค ค 31 ต.ค. 2568 ประกาศบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ 3-7 พ.ย. 2568 รายงานตัว และเลือกสถานที่ 1 ธ.ค. 2568 บรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ 📝 อย่าลืมบันทึกวันสำคัญไว้ให้ดี! กลุ่มภาคที่เปิดสอบ และตำแหน่งยอดฮิต 🎯 🗺️ กลุ่มภาค 10 โซนทั่วประเทศ มีตั้งแต่ ภาคเหนือ เขต 1–2, ภาคกลาง เขต 1–3, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1–3, ไปจนถึง ภาคใต้ เขต 1–2 โดยแต่ละพื้นที่เปิดสอบในตำแหน่งต่างกัน ตามอัตราว่าง 📋 ประเภทของตำแหน่งที่เปิดสอบ - ครูผู้ช่วย 👩‍🏫👨‍🏫 ป.ตรี 4 ปี เริ่มต้น 16,560 บาท ป.ตรี 5 ปี เริ่มต้น 17,380 บาท - ตำแหน่งประเภททั่วไป วุฒิ ปวช./ปวท./ปวส. เช่น เจ้าพนักงานธุรการ, เจ้าพนักงานการคลัง ฯลฯ เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 – 12,730 บาท - ตำแหน่งประเภทวิชาการ วุฒิปริญญาตรี เช่น นักวิชาการเงิน, วิศวกรโยธา, นักทรัพยากรบุคคล ฯลฯ เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท 💡 ตำแหน่งยอดฮิตที่มีอัตรารับมากสุดคือ “นักวิชาการตรวจสอบภายใน” ถึง 779 อัตราเลยทีเดียว! ✍️ การสอบแบ่งออกเป็น 3 ภาค 🔸 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน - วิเคราะห์เหตุผล 30 คะแนน - กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 30 คะแนน - ภาษาไทย 20 คะแนน - ภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องได้อย่างน้อย 10 คะแนน 🔸 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่สมัคร เช่น - นักวิชาการศึกษา → พัฒนาหลักสูตร - นักพัฒนาชุมชน → กฎหมายพัฒนาชุมชน - นักบัญชี → การเงิน-บัญชี 🔸 ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน - บุคลิกภาพ - ทัศนคติ - ความสามารถในการสื่อสาร - ความเหมาะสมกับตำแหน่ง เทคนิคเตรียมสอบ อปท. แบบจับมือทำ 📖 ✅ วางแผนอ่านหนังสือล่วงหน้า อย่ารอใกล้วันสอบ! ควรวางแผนเตรียมตัว ล่วงหน้าอย่างน้อย 3-4 เดือน แบ่งเวลาอ่านให้ครอบคลุมทั้งภาค ก และ ข ✅ อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ระเบียบราชการท้องถิ่น พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดฯ ✅ ฝึกทำข้อสอบเก่า ค้นหาแนวข้อสอบ อปท. จากปีเก่า ๆ มาฝึกให้คล่อง ฝึกทำโจทย์วันละ 20–30 ข้อทุกวัน ✍️ ✅ ภาษาอังกฤษต้องไม่พลาด เน้น Reading comprehension ศัพท์พื้นฐาน และ Grammar เบื้องต้น ฝึกโจทย์แบบ multiple choice 🔥 เทคนิคเดาข้อสอบให้แม่นเวอร์! ไม่ต้องงม ไม่ต้องมั่ว 🤖 เมื่อเจอข้อสอบที่ “คิดไม่ออก” หรือ “ไม่มั่นใจ” ใช้เทคนิคเหล่านี้ ช่วยให้เดาอย่างมีหลักการ ได้แม่นยำขึ้น! 🎯 เทคนิคที่ 1 ตัดตัวเลือกสุดโต่ง ระวังคำว่า “เสมอ”, “ทั้งหมด”, “ไม่มีข้อยกเว้น”, “ห้ามโดยเด็ดขาด” เพราะมักผิด ❌ 🎯 เทคนิคที่ 2 คำที่ให้ความยืดหยุ่นมักจะถูก คำว่า “มักจะ”, “อาจจะ”, “บางครั้ง” มักถูกมากกว่า ✅ 🎯 เทคนิคที่ 3 สแกนคำถาม – คำตอบที่คล้ายกัน ถ้ามีคำจากคำถามโผล่ในคำตอบ = โอกาสถูกสูง! 🎯 เทคนิคที่ 4 เดาตามแพทเทิร์น ถ้าต้องเดาจริง ๆ → เลือก “ข” หรือ “ค” เพราะมักเป็นตำแหน่งกลางที่ผู้ออกข้อสอบนิยมใช้ 🎯 เทคนิคที่ 5 ตัวเลือกยาวมักถูก เพราะอาจารย์มักใส่รายละเอียดมาก ในคำตอบที่ถูก 📝 ❌ ข้อห้ามเด็ดขาดในการทำข้อสอบ - อย่าทิ้งข้อ – ตอบดีกว่าเว้น! - อย่าเปลี่ยนคำตอบไปมา ถ้าไม่มีเหตุผลชัดเจน - อย่ามองข้ามคำว่า “ไม่ใช่” หรือ “ยกเว้น” ในคำถาม 📚 เตรียมตัววันนี้ พรุ่งนี้สอบติด! 🌈 การสอบ อปท. 2568 คือโอกาสครั้งใหญ่ของใครหลายคน และยิ่งมีเทคนิคที่ดี + เตรียมตัวอย่างเป็นระบบ = โอกาส “สอบติด” ก็สูงขึ้นตามไปด้วย! 💪 ไม่ว่าจะเป็น… วางแผนอ่านหนังสือ ฝึกทำข้อสอบเก่า รู้เทคนิคเดาข้อสอบแบบมีหลักการ ทั้งหมดนี้คืออาวุธสำคัญ ที่ต้องมีในการสอบครั้งนี้! ✨ ขอให้โชคดีในการสอบ และได้เป็นข้าราชการในฝัน! ✨ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 311115 มี.ค. 2568 📌 #สอบอปท2568 #แนวข้อสอบราชการ #เดาข้อสอบแม่นเวอร์ #เทคนิคสอบราชการ #สอบภาคก #สอบภาคข #ภาษาอังกฤษอปท #สอบราชการ2568 #สมัครงานราชการ #สอบสัมภาษณ์อปท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 813 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Dr.Pete Peerapar “ห้องคอนโดที่เช่าแตกร้าว เสียหาย จนอยู่ไม่ได้ ใครมีหน้าที่ต้องซ่อม และผู้เช่าบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ ?เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวาน หากห้องที่เราเช่าอยู่เสียหาย แบบนี้เรามีสิทธิอย่างไรบ้างตามกฎหมายมาลองไล่เรียงข้อกฎหมาย และทำความเข้าใจสิทธิของเรากันดูครับ......✅ สัญญาเช่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า #สัญญาเช่า คือ สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (ผู้ให้เช่า) ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อีกฝ่าย (ผู้เช่า) #ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด และผู้เช่าตกลงจะจ่ายค่าเช่าให้แสดงว่า สาระสำคัญของสัญญาเช่า คือ การส่งมอบทรัพย์สินให้อีกฝ่ายผู้เช่าได้ใช้ หรือ ได้รับประโยชน์นั่นเองหมายความว่า หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่านั้นก็เป็นอันยกเลิกแต่ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน แบบนี้ผู้เช่าสามารถขอลดค่าเช่าลงตามส่วน หรือ จะเลิกสัญญาก็ได้ หากไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินที่เช่าได้ตามความมุ่งหมายที่เข้าทำสัญญาเช่าอธิบายแบบภาษาบ้าน ๆ คือกรณีที่ 1 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น พังไปทั้งหมด แบบนี้สัญญาเช่าเลิกทันที เพราะ ทรัพย์สินที่เช่า ไม่เหลืออยู่แล้วกรณีที่ 2 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น แตกร้าว เสียหาย แบบนี้ก็จะต้องพิจารณาก่อนว่า ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เพื่อให้ผู้เช่าสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ กรณีนี้ก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะเลิกสัญญากันได้แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ เช่น หน่วยงานราชการประกาศว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัย แม้ห้องจะยังไม่ได้พังไป แต่ผู้เช่าก็ไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ตามความมุ่งหมาย (เข้าไปอยู่อาศัย) กรณีนี้ ผู้เช่าก็สามารถเลิกสัญญาได้ทันทีทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องความปลอดภัยนี้ คนที่จะบอกว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้าคู่สัญญาเถียงกันอาจจะหาข้อยุติไม่ได้ คนที่จะช่วยชี้ขาดได้ คือ คนกลางอย่างหน่วยงานราชการ หรือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต.......✅ ถ้ายังอยู่ได้ แต่ห้องแตกร้าว แบบนี้ใครต้องจ่ายค่าซ่อมโดยหลักแล้ว ฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าซ่อม แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย (เหตุที่ไม่มีใครสามารถป้องกันได้) เช่น แผ่นดินไหว แบบนี้จะถือว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดเลยเราก็จะต้องว่ากันไปตามหลักกฎหมายเรื่องการเช่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีแรก ถ้าโดยความจำเป็นและสมควรเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่า หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องซ่อมใหญ่ เช่น ห้องแตกร้าว เพดานพัง ประตูพัง แบบนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่ากรณีที่สอง ถ้าเป็นการบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อย เช่น หลอดไฟขาด ผนังเป็นรอยเล็กน้อย แบบนี้ตามกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของผู้เช่าดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวาน เราต้องพิจารณากันก่อนว่า เป็นกรณีที่ซ่อมใหญ่ หรือซ่อมเล็ก ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการซ่อมเล็ก แบบนี้ ผู้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง......✅ ประกันคอนโด คุ้มครองแผ่นดินไหว หรือไม่ขอแถมเรื่องประกันให้อีกสักเรื่องหลายคอนโด ท่านอาจจะเคยเห็นนิติบุคคลขออนุมัติทำประกันอัคคีภัยไว้ตอนประชุมลูกบ้านส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัย หรือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk) ที่นิติบุคคลทำนั้น มักจะมีความคุ้มครองในเรื่องความเสียหายอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวอยู่แล้วดังนั้น หากคอนโดเสียหาย แตกร้าว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกันก็จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ทั้งหมดแต่ท่านเจ้าของห้องอย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะ ที่บอกว่าประกันรับผิดชอบให้นั้น หมายถึง เขารับผิดชอบในส่วนกลางของคอนโดเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายในห้องของท่าน เว้นแต่ส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารเพราะ กรณีทรัพย์สิน หรือเฟอร์นิเจอร์ของท่านเสียหาย หรือบุบสลาย ประกันของส่วนกลางจะไม่คุ้มครองด้วย หากจะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีที่ท่านเจ้าของห้องมีการทำประกันภัยในส่วนของท่านเพิ่มเติมอีกกรมธรรม์หนึ่งหลายท่านที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการทำประกัน ก็อาจจะได้ตระหนักถึงความสำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้นนี่แหละครับ....ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นเพียงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แต่เพื่อน ๆ จะต้องไปดูข้อความโดยละเอียดในสัญญาเช่า และกรมธรรม์ประกันภัย ที่ท่านมีด้วยอีกครั้งที่สำคัญและอยากฝากไว้ คือ ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าในยามที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญกว่าการที่เราจะมุ่งเอาชนะกันด้วยข้อกฎหมาย https://www.facebook.com/share/p/16NCZE8YFL/?mibextid=wwXIfr
    รีโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก Dr.Pete Peerapar “ห้องคอนโดที่เช่าแตกร้าว เสียหาย จนอยู่ไม่ได้ ใครมีหน้าที่ต้องซ่อม และผู้เช่าบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ ?เพื่อน ๆ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวาน หากห้องที่เราเช่าอยู่เสียหาย แบบนี้เรามีสิทธิอย่างไรบ้างตามกฎหมายมาลองไล่เรียงข้อกฎหมาย และทำความเข้าใจสิทธิของเรากันดูครับ......✅ สัญญาเช่าเราต้องเข้าใจก่อนว่า #สัญญาเช่า คือ สัญญาที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ (ผู้ให้เช่า) ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าให้อีกฝ่าย (ผู้เช่า) #ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด และผู้เช่าตกลงจะจ่ายค่าเช่าให้แสดงว่า สาระสำคัญของสัญญาเช่า คือ การส่งมอบทรัพย์สินให้อีกฝ่ายผู้เช่าได้ใช้ หรือ ได้รับประโยชน์นั่นเองหมายความว่า หากผู้เช่าไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าได้ สัญญาเช่านั้นก็เป็นอันยกเลิกแต่ถ้าเสียหายเพียงบางส่วน แบบนี้ผู้เช่าสามารถขอลดค่าเช่าลงตามส่วน หรือ จะเลิกสัญญาก็ได้ หากไม่สามารถใช้สอยทรัพย์สินที่เช่าได้ตามความมุ่งหมายที่เข้าทำสัญญาเช่าอธิบายแบบภาษาบ้าน ๆ คือกรณีที่ 1 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น พังไปทั้งหมด แบบนี้สัญญาเช่าเลิกทันที เพราะ ทรัพย์สินที่เช่า ไม่เหลืออยู่แล้วกรณีที่ 2 ถ้าคอนโดที่เราเช่าอยู่นั้น แตกร้าว เสียหาย แบบนี้ก็จะต้องพิจารณาก่อนว่า ความเสียหายดังกล่าวสามารถซ่อมแซมแก้ไขได้หรือไม่ถ้าแก้ไขได้ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรีบดำเนินการแก้ไขซ่อมแซม เพื่อให้ผู้เช่าสามารถกลับเข้าไปอยู่อาศัยได้ตามปกติ กรณีนี้ก็อาจยังไม่ถึงขั้นที่จะเลิกสัญญากันได้แต่ถ้าแก้ไขไม่ได้ เช่น หน่วยงานราชการประกาศว่าอาคารนี้ไม่ปลอดภัย แม้ห้องจะยังไม่ได้พังไป แต่ผู้เช่าก็ไม่สามารถเข้าไปใช้สอยได้ตามความมุ่งหมาย (เข้าไปอยู่อาศัย) กรณีนี้ ผู้เช่าก็สามารถเลิกสัญญาได้ทันทีทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องความปลอดภัยนี้ คนที่จะบอกว่าปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ถ้าคู่สัญญาเถียงกันอาจจะหาข้อยุติไม่ได้ คนที่จะช่วยชี้ขาดได้ คือ คนกลางอย่างหน่วยงานราชการ หรือ วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต.......✅ ถ้ายังอยู่ได้ แต่ห้องแตกร้าว แบบนี้ใครต้องจ่ายค่าซ่อมโดยหลักแล้ว ฝ่ายที่ทำให้เกิดความเสียหายจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าซ่อม แต่ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัย (เหตุที่ไม่มีใครสามารถป้องกันได้) เช่น แผ่นดินไหว แบบนี้จะถือว่าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดเลยเราก็จะต้องว่ากันไปตามหลักกฎหมายเรื่องการเช่า ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณี ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น กรณีแรก ถ้าโดยความจำเป็นและสมควรเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเช่า หรือ เรียกง่าย ๆ ว่า ต้องซ่อมใหญ่ เช่น ห้องแตกร้าว เพดานพัง ประตูพัง แบบนี้จะเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่ากรณีที่สอง ถ้าเป็นการบำรุงรักษาตามปกติและเพื่อซ่อมแซมเพียงเล็กน้อย เช่น หลอดไฟขาด ผนังเป็นรอยเล็กน้อย แบบนี้ตามกฎหมายจะเป็นหน้าที่ของผู้เช่าดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นในห้องจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวาน เราต้องพิจารณากันก่อนว่า เป็นกรณีที่ซ่อมใหญ่ หรือซ่อมเล็ก ถ้าเป็นการซ่อมใหญ่ ผู้ให้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการซ่อมเล็ก แบบนี้ ผู้เช่าก็จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง......✅ ประกันคอนโด คุ้มครองแผ่นดินไหว หรือไม่ขอแถมเรื่องประกันให้อีกสักเรื่องหลายคอนโด ท่านอาจจะเคยเห็นนิติบุคคลขออนุมัติทำประกันอัคคีภัยไว้ตอนประชุมลูกบ้านส่วนใหญ่ประกันอัคคีภัย หรือ ประกันความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk) ที่นิติบุคคลทำนั้น มักจะมีความคุ้มครองในเรื่องความเสียหายอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวอยู่แล้วดังนั้น หากคอนโดเสียหาย แตกร้าว จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ประกันก็จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ทั้งหมดแต่ท่านเจ้าของห้องอย่าพึ่งดีใจนะครับ เพราะ ที่บอกว่าประกันรับผิดชอบให้นั้น หมายถึง เขารับผิดชอบในส่วนกลางของคอนโดเท่านั้น ไม่รวมถึงความเสียหายในห้องของท่าน เว้นแต่ส่วนที่เป็นโครงสร้างของอาคารเพราะ กรณีทรัพย์สิน หรือเฟอร์นิเจอร์ของท่านเสียหาย หรือบุบสลาย ประกันของส่วนกลางจะไม่คุ้มครองด้วย หากจะได้รับความคุ้มครอง ต้องเป็นกรณีที่ท่านเจ้าของห้องมีการทำประกันภัยในส่วนของท่านเพิ่มเติมอีกกรมธรรม์หนึ่งหลายท่านที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของการทำประกัน ก็อาจจะได้ตระหนักถึงความสำคัญเมื่อเกิดเหตุขึ้นนี่แหละครับ....ทั้งหมดที่เล่าไป เป็นเพียงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แต่เพื่อน ๆ จะต้องไปดูข้อความโดยละเอียดในสัญญาเช่า และกรมธรรม์ประกันภัย ที่ท่านมีด้วยอีกครั้งที่สำคัญและอยากฝากไว้ คือ ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างผู้เช่าและผู้ให้เช่าในยามที่เกิดเหตุเช่นนี้ เป็นสิ่งสำคัญกว่าการที่เราจะมุ่งเอาชนะกันด้วยข้อกฎหมาย https://www.facebook.com/share/p/16NCZE8YFL/?mibextid=wwXIfr
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 518 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชป.เร่งตรวจสอบ หลังเกิดแผ่นดินไหวพม่า ยืนยันไม่กระทบเขื่อนกรมชลประทาน

    กรมชลประทาน เร่งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนกรมชลประทาน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ที่ความลึก 10 กิโลเมตร เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 28 มี.ค. 68 โดยมีจุดศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ซึ่งมีผลต่อประเทศไทย นั้น จากการตรวจวัดค่าอัตราเร่ง (ค่าวัดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว)ที่วัดได้ที่เขื่อนของกรมชลประทาน พบว่ามีค่าที่ตรวจวัดได้อยู่ระหว่าง 0.00505 -0.01647g ซึ่งค่าที่ตรวจวัดได้ดังกล่าวไม่เกินค่าตามมาตราฐานการออกแบบของกรมชลประทานและตามหลักการขององค์กรเขื่อนใหญ่ระหว่างชาติ (ICOLD) กำหนดไ้ว้เพื่อรองรับอัตราเร่ง (ค่าวัดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว) คือไม่เกิน 0.2 g ดั้งนั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน

    ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ออกแบบเขื่อนทุกแห่ง ให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวไว้ด้วยค่าที่สูงสุดของความเสี่ยงในพื้นที่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการตรวจสอบและติดตามข้อมูลทางสถิติของค่าความเร่งสูงสุดที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาประเมินเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น รวมทั้งแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเขื่อน เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อน มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในความปลอดภัยแข็งแรงของเขื่อนตลอดเวลา

    อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมชลประทาน ได้สั่งการให้เตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ ที่พร้อมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังและ ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000029988

    #MGROnline #เขื่อน #กรมชลประทาน #แผ่นดินไหว
    ชป.เร่งตรวจสอบ หลังเกิดแผ่นดินไหวพม่า ยืนยันไม่กระทบเขื่อนกรมชลประทาน • กรมชลประทาน เร่งตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อนกรมชลประทาน หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.7 ที่ความลึก 10 กิโลเมตร เมื่อเวลา 13.20 น. ของวันที่ 28 มี.ค. 68 โดยมีจุดศูนย์กลางที่ประเทศเมียนมา ซึ่งมีผลต่อประเทศไทย นั้น จากการตรวจวัดค่าอัตราเร่ง (ค่าวัดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว)ที่วัดได้ที่เขื่อนของกรมชลประทาน พบว่ามีค่าที่ตรวจวัดได้อยู่ระหว่าง 0.00505 -0.01647g ซึ่งค่าที่ตรวจวัดได้ดังกล่าวไม่เกินค่าตามมาตราฐานการออกแบบของกรมชลประทานและตามหลักการขององค์กรเขื่อนใหญ่ระหว่างชาติ (ICOLD) กำหนดไ้ว้เพื่อรองรับอัตราเร่ง (ค่าวัดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว) คือไม่เกิน 0.2 g ดั้งนั้น เหตุการณ์แผ่นดินไหวดังกล่าว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน • ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ออกแบบเขื่อนทุกแห่ง ให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวไว้ด้วยค่าที่สูงสุดของความเสี่ยงในพื้นที่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการตรวจสอบและติดตามข้อมูลทางสถิติของค่าความเร่งสูงสุดที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำมาประเมินเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น รวมทั้งแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเขื่อน เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อน มีความมั่นใจและเชื่อมั่นในความปลอดภัยแข็งแรงของเขื่อนตลอดเวลา • อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมชลประทาน ได้สั่งการให้เตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ ที่พร้อมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังและ ติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000029988 • #MGROnline #เขื่อน #กรมชลประทาน #แผ่นดินไหว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 454 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความนี้พูดถึงเทคนิคการเข้ารหัสยุคใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระบบข้อมูล ตั้งแต่ Blockchain ที่สร้างความโปร่งใส ไปจนถึง Fully Homomorphic Encryption ที่ช่วยให้คำนวณข้อมูลได้โดยไม่ต้องถอดรหัส การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปกป้องข้อมูล แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลในอนาคต

    Blockchain:
    - นอกจากการใช้งานในสกุลเงินดิจิทัล ยังสามารถนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความโปร่งใส เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรร่วม หรือระบบการตัดสินใจในกลุ่มที่มีความหลากหลาย.

    Private Information Retrieval:
    - อัลกอริทึมที่ทำให้การค้นหาในฐานข้อมูลไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ค้นหา เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการปกป้องความเป็นส่วนตัว เช่น องค์กรการเงินหรือหน่วยงานราชการ.

    Post-quantum Cryptography:
    - การพัฒนาอัลกอริทึมใหม่เพื่อเตรียมรับมือกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่อาจแทรกแซงระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิม.

    Fully Homomorphic Encryption (FHE):
    - นวัตกรรมที่ทำให้สามารถดำเนินการคำนวณข้อมูลโดยไม่ต้องถอดรหัส ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการประมวลผลในองค์กร.

    https://www.csoonline.com/article/3850791/7-cutting-edge-encryption-techniques-for-reimagining-data-security.html
    บทความนี้พูดถึงเทคนิคการเข้ารหัสยุคใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระบบข้อมูล ตั้งแต่ Blockchain ที่สร้างความโปร่งใส ไปจนถึง Fully Homomorphic Encryption ที่ช่วยให้คำนวณข้อมูลได้โดยไม่ต้องถอดรหัส การพัฒนาเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปกป้องข้อมูล แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลในอนาคต Blockchain: - นอกจากการใช้งานในสกุลเงินดิจิทัล ยังสามารถนำไปใช้ในระบบที่ต้องการความโปร่งใส เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรร่วม หรือระบบการตัดสินใจในกลุ่มที่มีความหลากหลาย. Private Information Retrieval: - อัลกอริทึมที่ทำให้การค้นหาในฐานข้อมูลไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ค้นหา เหมาะสำหรับระบบที่ต้องการปกป้องความเป็นส่วนตัว เช่น องค์กรการเงินหรือหน่วยงานราชการ. Post-quantum Cryptography: - การพัฒนาอัลกอริทึมใหม่เพื่อเตรียมรับมือกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่อาจแทรกแซงระบบเข้ารหัสแบบดั้งเดิม. Fully Homomorphic Encryption (FHE): - นวัตกรรมที่ทำให้สามารถดำเนินการคำนวณข้อมูลโดยไม่ต้องถอดรหัส ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการประมวลผลในองค์กร. https://www.csoonline.com/article/3850791/7-cutting-edge-encryption-techniques-for-reimagining-data-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    7 cutting-edge encryption techniques for reimagining data security
    From private information retrieval to federated learning, new approaches to securing information are not only resulting in practical data security solutions but also ways of rethinking data foundations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่อยากคบ"กระติก" ให้การพิเรนทร์จนพิรุธ : [NEWS UPDATE]

    นายฉันท์ชนะ ยิ้มสาย หรือ ฮิปโป เพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของแตงโมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นานกว่า 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ถามความสัมพันธ์ว่ารู้จักกับบุคคลอื่นที่ดีเอสไอต้องการทราบข้อมูลหรือไม่ ให้ข้อมูลการซื้อโทรศัพท์ของแตงโม และประเด็นเพิ่มที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นการให้ข้อมูลละเอียดกว่าที่ผ่านมา สบายใจที่หน่วยงานราชการเข้ามา ทุกคนต้องการความจริง มองคดีมีพิรุธไปหมด มีหลายคำถามในใจ ให้การพิเรนทร์จนเป็นพิรุธ ยืนยัน ไม่ได้คุยกับกระติก เจอครั้งสุดท้ายที่นิติเวช ในแชตกลุ่มกระติกถูกทุกคนรุมถามและต่อว่า “ทำไมใจดำทิ้งเพื่อน” ทำให้กระติกออกจากกลุ่มไลน์ ตนไม่อยากคบเป็นเพื่อน เชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น

    -สว.พร้อมแจงฟอกเงิน

    -เร่งสอบทุจริตเลือก สว.

    -อย่าช้าตั้งทีมรับมือ"ทรัมป์"

    -ดัน พ.ร.บ.เกม ชิงเค้กตลาด
    ไม่อยากคบ"กระติก" ให้การพิเรนทร์จนพิรุธ : [NEWS UPDATE] นายฉันท์ชนะ ยิ้มสาย หรือ ฮิปโป เพื่อนสนิทและผู้จัดการส่วนตัวของแตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของแตงโมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นานกว่า 5 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ถามความสัมพันธ์ว่ารู้จักกับบุคคลอื่นที่ดีเอสไอต้องการทราบข้อมูลหรือไม่ ให้ข้อมูลการซื้อโทรศัพท์ของแตงโม และประเด็นเพิ่มที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นการให้ข้อมูลละเอียดกว่าที่ผ่านมา สบายใจที่หน่วยงานราชการเข้ามา ทุกคนต้องการความจริง มองคดีมีพิรุธไปหมด มีหลายคำถามในใจ ให้การพิเรนทร์จนเป็นพิรุธ ยืนยัน ไม่ได้คุยกับกระติก เจอครั้งสุดท้ายที่นิติเวช ในแชตกลุ่มกระติกถูกทุกคนรุมถามและต่อว่า “ทำไมใจดำทิ้งเพื่อน” ทำให้กระติกออกจากกลุ่มไลน์ ตนไม่อยากคบเป็นเพื่อน เชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำอะไรก็ต้องได้รับผลของการกระทำนั้น -สว.พร้อมแจงฟอกเงิน -เร่งสอบทุจริตเลือก สว. -อย่าช้าตั้งทีมรับมือ"ทรัมป์" -ดัน พ.ร.บ.เกม ชิงเค้กตลาด
    Like
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1342 มุมมอง 64 0 รีวิว
  • “กัณวีร์” โต้ “ทวี” หยุดด้อยค่าหลักฐานจดหมายอุยกูร์ แล้วพูดความจริง เดือดจัดนัดสื่อพรุ่งนี้โชว์เอกสารเต็มตอนเที่ยง เล็งขอเปิดชวเลขบันทึกถ้อยคำหน่วยงานเกี่ยวข้อง บอกเองมีประเทศไหนบ้างรอรับเป็นประเทศที่ 3 ลั่น ดูซิใครพูดความจริง แจงเพิ่งออกมาแฉเพราะกังวลความสัมพันธ์กับ ตม. กลัวเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้

    วันที่ 3 มี.ค. 2568 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่าจดหมายของชาวอุยกูร์ไม่เคยออกมาจากราชทัณฑ์ ว่า เป็นการพยายามบิดเบือนประเด็นที่สำคัญที่สุด เกี่ยวกับการผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศ ตอนนี้มีความพยายามชี้แจงของทางราชการ โดยบอกว่าเขามีความสมัครใจกลับต้นทาง ซึ่งตามมาตรฐานสากลจะต้องมีหลักฐานว่าเขาสมัครใจเอง เราต้องจำเป็นที่จะได้รับฟังจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพราะตอนนี้ ไม่รู้ว่า 40 คนอยู่ไหนแล้ว มันเป็นการพูดข้างเดียวของฝ่ายรัฐบาลไทยและจีน ซึ่งฝ่ายจีนเขาก็ไม่ได้พูดด้วยว่าสมัครใจ เขาบอกว่าประเทศไทยส่งกลับ เพราะกลุ่มคนพวกนี้ถูกอาชญากรรมข้ามชาติพาเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แต่ไทยบอกว่าเขาสมัครใจกลับเอง

    “คุณทวี พยายามจะด้อยค่าหลักฐานที่พี่มีจริง กระดาษที่มีลายน้ำของกรมราชทัณฑ์คลองเปรม มันไม่ได้ออกมาจากกรมราชทัณฑ์ พี่ไม่เคยบอกว่ากรมราชทัณฑ์ออกหนังสือฉบับนี้ออกมา คุณเป็นถึงรัฐมนตรี คุณผิดประเด็นอย่างนี้ได้อย่างไร นี่คือเรื่องใหญ่เรื่องโต ที่เวทีระหว่างประเทศเขามองอยู่ คุณมาเก็บเรื่องสารัตถะอย่างนี้ พยายามด้อยค่าเอกสารของพี่ฉบับนี้ โดยที่พี่มีหลักฐานตัวจริง พรุ่งนี้พี่จะนำไปเสนอที่สภา มีการจัดเสวนาขึ้น พี่จะเอาฉบับตัวจริงไปยื่นให้กับทุกคนได้เห็น เชิญพี่น้องสื่อมวลชนไปดูด้วยว่าพรุ่งนี้ ก่อนเที่ยง จะเอามาโชว์” นายกัณวีร์ กล่าว

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000020602

    #MGROnline #จดหมายอุยกูร์
    “กัณวีร์” โต้ “ทวี” หยุดด้อยค่าหลักฐานจดหมายอุยกูร์ แล้วพูดความจริง เดือดจัดนัดสื่อพรุ่งนี้โชว์เอกสารเต็มตอนเที่ยง เล็งขอเปิดชวเลขบันทึกถ้อยคำหน่วยงานเกี่ยวข้อง บอกเองมีประเทศไหนบ้างรอรับเป็นประเทศที่ 3 ลั่น ดูซิใครพูดความจริง แจงเพิ่งออกมาแฉเพราะกังวลความสัมพันธ์กับ ตม. กลัวเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ • วันที่ 3 มี.ค. 2568 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่าจดหมายของชาวอุยกูร์ไม่เคยออกมาจากราชทัณฑ์ ว่า เป็นการพยายามบิดเบือนประเด็นที่สำคัญที่สุด เกี่ยวกับการผลักดันชาวอุยกูร์กลับประเทศ ตอนนี้มีความพยายามชี้แจงของทางราชการ โดยบอกว่าเขามีความสมัครใจกลับต้นทาง ซึ่งตามมาตรฐานสากลจะต้องมีหลักฐานว่าเขาสมัครใจเอง เราต้องจำเป็นที่จะได้รับฟังจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพราะตอนนี้ ไม่รู้ว่า 40 คนอยู่ไหนแล้ว มันเป็นการพูดข้างเดียวของฝ่ายรัฐบาลไทยและจีน ซึ่งฝ่ายจีนเขาก็ไม่ได้พูดด้วยว่าสมัครใจ เขาบอกว่าประเทศไทยส่งกลับ เพราะกลุ่มคนพวกนี้ถูกอาชญากรรมข้ามชาติพาเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แต่ไทยบอกว่าเขาสมัครใจกลับเอง • “คุณทวี พยายามจะด้อยค่าหลักฐานที่พี่มีจริง กระดาษที่มีลายน้ำของกรมราชทัณฑ์คลองเปรม มันไม่ได้ออกมาจากกรมราชทัณฑ์ พี่ไม่เคยบอกว่ากรมราชทัณฑ์ออกหนังสือฉบับนี้ออกมา คุณเป็นถึงรัฐมนตรี คุณผิดประเด็นอย่างนี้ได้อย่างไร นี่คือเรื่องใหญ่เรื่องโต ที่เวทีระหว่างประเทศเขามองอยู่ คุณมาเก็บเรื่องสารัตถะอย่างนี้ พยายามด้อยค่าเอกสารของพี่ฉบับนี้ โดยที่พี่มีหลักฐานตัวจริง พรุ่งนี้พี่จะนำไปเสนอที่สภา มีการจัดเสวนาขึ้น พี่จะเอาฉบับตัวจริงไปยื่นให้กับทุกคนได้เห็น เชิญพี่น้องสื่อมวลชนไปดูด้วยว่าพรุ่งนี้ ก่อนเที่ยง จะเอามาโชว์” นายกัณวีร์ กล่าว • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000020602 • #MGROnline #จดหมายอุยกูร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง

    ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10)

    Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง)

    บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้)

    เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง

    ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034

    ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร

    เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน

    ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย

    ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป

    ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน

    คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872)

    อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย

    เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง

    ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร

    ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9
    https://www.sohu.com/a/394407332_100120829
    https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://www.guoxue.com/?p=42472
    https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html
    https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5
    https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10) Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง) บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034 ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872) อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9 https://www.sohu.com/a/394407332_100120829 https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://www.guoxue.com/?p=42472 https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5 https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1190 มุมมอง 0 รีวิว
  • สองวันหลังยกเลิกงานที่ไม่ไหวจะเคลียร์ ทำต่อไม่ไหว คือจะทำเท่าที่ทำได้ แต่อยากให้ผมแก้ปัญหาคนเดียว และอีกปัจจัยนึงคือเพื่อนโปรแกรมเมอร์ที่ประสบการณ์มากกว่าเขาไม่ว่างกัน คือผมไปขอความช่วยเหลือเพื่อศึกษาจากรุ่นพี่ก็ไม่ได้ ให้ผมแก้ แต่กว่าจะได้เงินมาก็ไส้แห้งพอดี ได้เงินก็ได้มาน้อยมาก จนผมตัดสินใจยกเลิกไม่รับงานมันไปทำอย่างอื่นที่ตอบโจทย์กว่านี้ดีกว่า แต่สุดท้ายต้องยกเลิกเพราะทำต่อไปไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่ค่อยมีใครโทรตามไปแก้ คือลูกค้าเขาเอือมระอาและโกรธแค้นผมมากที่ผมทำงานของคนที่จ้างผม(เขามีลูกค้าของเขาและเป็นลูกค้าของลูกค้าของผม)จนคนที่จ้างผมอมขี้ฟันลูกค้ามาด่าและแทงใจดำ จนผมนอยด์และดิ่ง ทนกับมันมานาน เกรงใจคนในครอบครัวมานาน แน่นอนครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนนานแล้ว และกกลับบ้านเกิดก็ไม่ใช่เซฟโซนอีก เพราะทุกคนในครอบครัวกดดันให้ผมสอบงานราชการซึ่งไม่ใช่ทางผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมสอบ กพ. เพื่อเป็นทางผ่านไปสอบ TOEIC รอบแก้แค้นแทน และ CU-TEP ต่อ เพื่อสร้างตัวตนที่ดีกว่านี้ แต่ผมสามารถอยู่ยืนได้ด้วยลำแข้งลำขาตนเองได้ แต่ผมคงกร่อยต่อไปไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ที่จะปลูกต้นกล้าผักกาดที่เบียดกันอยู่ต่อขอหยุดทำไปก่อนเพราะทางบ้านเขาเริ่มไม่พอใจผมแล้ว เลยต้องหยุดทำไว้ก่อนเพื่อลดแรงเสียดทานก่อนที่จะบานปลายและรุนแรงไปมากกว่านี้ แต่ทนอยู่กับทางบ้านและครอบครัวที่ทั้งครอบครัวไม่ถูกกับผมเพื่ออนาคตวันข้างหน้าและถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริงๆและเด็ดขาดชัดเจนว่าจะไม่อยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างอยู่ ผมไม่ตัดตัวเองออกจากครอบครัว ถึงทั้งครอบครัวจะตัดผมเพราะผมคือมะเร็งเนื้อร้ายก็ตัดไป เพราะก่อนจะทำเพื่อครอบครัว ทำเพื่อตัวเองก่อน ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ครอบครัวกดดัน ตัวเองก็พยายามจะไม่ตามครอบครัวไปทุกเรื่องจนผมเสียความเป็นตัวตน เงินหาใหม่ได้ หาเมื่อไหร่ก็ได้ งานเราสร้างมาเองได้ ไม่ต้องฝากประวัติเพื่อทำงานเป็นลูกจ้างใคร คือทางบ้านเขาติดมูหนักมากจนเขาพยายามห้ามไม่ให้กินเนื้อวัว สุดท้ายก็ต้องกิน ส่วนเรื่องกินเนื้อแพะฟรีไม่ได้กิน ไม่รู้ทางบ้านกับครอบครัวเขาเคร่งมูจัดอะไรนักหนา ผมนับถือแค่พุทธโดยแก่นแท้ แต่มูมากเกินไปกฎเกณฑ์มากเกินไปจนผมรู้สึกแพนิก หวาดระแวง แบบผ่อนส่งไปแล้ว
    สองวันหลังยกเลิกงานที่ไม่ไหวจะเคลียร์ ทำต่อไม่ไหว คือจะทำเท่าที่ทำได้ แต่อยากให้ผมแก้ปัญหาคนเดียว และอีกปัจจัยนึงคือเพื่อนโปรแกรมเมอร์ที่ประสบการณ์มากกว่าเขาไม่ว่างกัน คือผมไปขอความช่วยเหลือเพื่อศึกษาจากรุ่นพี่ก็ไม่ได้ ให้ผมแก้ แต่กว่าจะได้เงินมาก็ไส้แห้งพอดี ได้เงินก็ได้มาน้อยมาก จนผมตัดสินใจยกเลิกไม่รับงานมันไปทำอย่างอื่นที่ตอบโจทย์กว่านี้ดีกว่า แต่สุดท้ายต้องยกเลิกเพราะทำต่อไปไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่ค่อยมีใครโทรตามไปแก้ คือลูกค้าเขาเอือมระอาและโกรธแค้นผมมากที่ผมทำงานของคนที่จ้างผม(เขามีลูกค้าของเขาและเป็นลูกค้าของลูกค้าของผม)จนคนที่จ้างผมอมขี้ฟันลูกค้ามาด่าและแทงใจดำ จนผมนอยด์และดิ่ง ทนกับมันมานาน เกรงใจคนในครอบครัวมานาน แน่นอนครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนนานแล้ว และกกลับบ้านเกิดก็ไม่ใช่เซฟโซนอีก เพราะทุกคนในครอบครัวกดดันให้ผมสอบงานราชการซึ่งไม่ใช่ทางผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมสอบ กพ. เพื่อเป็นทางผ่านไปสอบ TOEIC รอบแก้แค้นแทน และ CU-TEP ต่อ เพื่อสร้างตัวตนที่ดีกว่านี้ แต่ผมสามารถอยู่ยืนได้ด้วยลำแข้งลำขาตนเองได้ แต่ผมคงกร่อยต่อไปไม่ได้แล้ว พรุ่งนี้ที่จะปลูกต้นกล้าผักกาดที่เบียดกันอยู่ต่อขอหยุดทำไปก่อนเพราะทางบ้านเขาเริ่มไม่พอใจผมแล้ว เลยต้องหยุดทำไว้ก่อนเพื่อลดแรงเสียดทานก่อนที่จะบานปลายและรุนแรงไปมากกว่านี้ แต่ทนอยู่กับทางบ้านและครอบครัวที่ทั้งครอบครัวไม่ถูกกับผมเพื่ออนาคตวันข้างหน้าและถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริงๆและเด็ดขาดชัดเจนว่าจะไม่อยู่ร่วมกัน ต่างคนต่างอยู่ ผมไม่ตัดตัวเองออกจากครอบครัว ถึงทั้งครอบครัวจะตัดผมเพราะผมคือมะเร็งเนื้อร้ายก็ตัดไป เพราะก่อนจะทำเพื่อครอบครัว ทำเพื่อตัวเองก่อน ตัวเองยังเอาไม่รอดเลย ครอบครัวกดดัน ตัวเองก็พยายามจะไม่ตามครอบครัวไปทุกเรื่องจนผมเสียความเป็นตัวตน เงินหาใหม่ได้ หาเมื่อไหร่ก็ได้ งานเราสร้างมาเองได้ ไม่ต้องฝากประวัติเพื่อทำงานเป็นลูกจ้างใคร คือทางบ้านเขาติดมูหนักมากจนเขาพยายามห้ามไม่ให้กินเนื้อวัว สุดท้ายก็ต้องกิน ส่วนเรื่องกินเนื้อแพะฟรีไม่ได้กิน ไม่รู้ทางบ้านกับครอบครัวเขาเคร่งมูจัดอะไรนักหนา ผมนับถือแค่พุทธโดยแก่นแท้ แต่มูมากเกินไปกฎเกณฑ์มากเกินไปจนผมรู้สึกแพนิก หวาดระแวง แบบผ่อนส่งไปแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้

    จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร?

    นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว

    ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม)

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง

    ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น

    ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์)

    ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด

    ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น

    ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html
    https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec
    https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942
    http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml
    https://www.sohu.com/a/221802957_752265
    https://www.sohu.com/a/365940296_348930

    บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้ จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร? นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์) ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942 http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml https://www.sohu.com/a/221802957_752265 https://www.sohu.com/a/365940296_348930 บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    《延禧攻略》全集-电视剧-免费在线观看
    电视剧《延禧攻略》高清免费在线播放,延禧攻略是是由惠楷栋;温德光导演,由秦岚,聂远,张嘉倪,吴谨言主演的中国大陆电视剧,剧情:乾隆六年,少女魏璎珞为寻求长姐死亡真相,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 869 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เสียงผมเริ่มแข็งมากขึ้นจากการที่ถูกตามจิกให้แก้งานทั้งวันทั้งคืนมานานแล้วเพราะทำงานให้มันไปกว่าจะได้เงินก็ไส้แห้งพอดี ดีไม่ดีก็ได้เงินน้อยกว่านั้น ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ เข้าส่วนลึกของก้นบิ้งของหัวใจ แต่ผมเลือกเกิดไม่ได้ก็จริง แต่ผมเกิดมาในครอบครัวที่รับราชการแต่ผมไม่อยากรับราชการ เพราะเคยทำงานราชการในฐานะลูกจ้างมา 2 ครั้งแล้วเจอระบบงานที่ไม่เป็นธรรม ผู้ใหญ่โยนงาน มีตำแหน่งธุรการก็ทำงานโคตรจับฉ่าย มีตำแหน่งไม่ใช่ธุรการ จะเป็น พัสดุ คอม หรือ นิติกร ก็ต้องทำงานธุรการ OT ก็ได้โคตรน้อย บางวันก็ไม่ได้เลย บัดซบฉิบหาย ระบบโหล่ยโท่ย ไม่ได้เรื่อง เป็นผู้น้อยก็ไม่กล้าตัดสินใจ ถ้ากล้าตัดสินใจปุ๊ป โดนไล่ออกทันทีอย่างไร้ความปราณี ผิดจริยธรรม ผิดลักษณะการเป็น ขรก.มีให้เห็นเยอะแยะแต่ผู้ใหญ่ก็มีเยอะ โยนงานอย่างเดียว นั่งสบายๆ โถ่ไอ้สัส ร้องเรียนไปก็เงียบเป็นป่าช้า ระบบเน่ามานานแล้ว ไม่มีใครกล้าตัดสินใจ เกรงใจผู้ใหญ่ทำ...อะไรก็กล้าตัดสินใจเปลี่ยนทั้งระบบสิ ไม่ใช่ก้มหัวให้ผู้ใหญ่แหกกฎระเบียบ ขรก. มากดขี่ร่ำไป ผมไม่ได้ผิดที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นข้าราชการ แต่ผิดที่ผมสอบราชการไม่ได้ ไม่คิดสอบบรรจุราชการ ต้องการทำงานฟรีแลนซ์ เงินเกษียณก็น้อยลงๆ บำนาญ สส. เยอะกว่าบำนาญ ขรก. อีก ไม่อยากให้ระบบสังคมบัดซบนี้มากระทำให้ผมต้องเสียผู้เสียคนอีกแล้ว ผมคือส่วนเกินของครอบครัว ผมคือมะเร็งเนื้อร้อยของครอบครัว ผมคือคนที่ครอบครัวไม่เก็บไว้เป็นภาระ ปรสิตหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ผมอยากอยู่คนเดียว หากินคนเดียว ยืนด้วยแข้งขาตัวเอง ดีไม่ดีผมอาจต้องแยกย้ายไปต่างคนต่างอยู่ ไม่แน่ผมอาจอยู่กับแฟนหรือคนที่ไว้ใจได้ แต่ผมตั้งใจจะตัดขาดกับอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้สภาพจิตใจผมย่ำแย่ ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซน หลายคนพูดมานานแล้ว สุดท้ายผมต้องรักตัวเองและเชื่อมั่นตัวเอง ไม่ต้องไปตามใครหรอก
    วันนี้เสียงผมเริ่มแข็งมากขึ้นจากการที่ถูกตามจิกให้แก้งานทั้งวันทั้งคืนมานานแล้วเพราะทำงานให้มันไปกว่าจะได้เงินก็ไส้แห้งพอดี ดีไม่ดีก็ได้เงินน้อยกว่านั้น ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ เข้าส่วนลึกของก้นบิ้งของหัวใจ แต่ผมเลือกเกิดไม่ได้ก็จริง แต่ผมเกิดมาในครอบครัวที่รับราชการแต่ผมไม่อยากรับราชการ เพราะเคยทำงานราชการในฐานะลูกจ้างมา 2 ครั้งแล้วเจอระบบงานที่ไม่เป็นธรรม ผู้ใหญ่โยนงาน มีตำแหน่งธุรการก็ทำงานโคตรจับฉ่าย มีตำแหน่งไม่ใช่ธุรการ จะเป็น พัสดุ คอม หรือ นิติกร ก็ต้องทำงานธุรการ OT ก็ได้โคตรน้อย บางวันก็ไม่ได้เลย บัดซบฉิบหาย ระบบโหล่ยโท่ย ไม่ได้เรื่อง เป็นผู้น้อยก็ไม่กล้าตัดสินใจ ถ้ากล้าตัดสินใจปุ๊ป โดนไล่ออกทันทีอย่างไร้ความปราณี ผิดจริยธรรม ผิดลักษณะการเป็น ขรก.มีให้เห็นเยอะแยะแต่ผู้ใหญ่ก็มีเยอะ โยนงานอย่างเดียว นั่งสบายๆ โถ่ไอ้สัส ร้องเรียนไปก็เงียบเป็นป่าช้า ระบบเน่ามานานแล้ว ไม่มีใครกล้าตัดสินใจ เกรงใจผู้ใหญ่ทำ...อะไรก็กล้าตัดสินใจเปลี่ยนทั้งระบบสิ ไม่ใช่ก้มหัวให้ผู้ใหญ่แหกกฎระเบียบ ขรก. มากดขี่ร่ำไป ผมไม่ได้ผิดที่เกิดมาในครอบครัวที่เป็นข้าราชการ แต่ผิดที่ผมสอบราชการไม่ได้ ไม่คิดสอบบรรจุราชการ ต้องการทำงานฟรีแลนซ์ เงินเกษียณก็น้อยลงๆ บำนาญ สส. เยอะกว่าบำนาญ ขรก. อีก ไม่อยากให้ระบบสังคมบัดซบนี้มากระทำให้ผมต้องเสียผู้เสียคนอีกแล้ว ผมคือส่วนเกินของครอบครัว ผมคือมะเร็งเนื้อร้อยของครอบครัว ผมคือคนที่ครอบครัวไม่เก็บไว้เป็นภาระ ปรสิตหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ผมอยากอยู่คนเดียว หากินคนเดียว ยืนด้วยแข้งขาตัวเอง ดีไม่ดีผมอาจต้องแยกย้ายไปต่างคนต่างอยู่ ไม่แน่ผมอาจอยู่กับแฟนหรือคนที่ไว้ใจได้ แต่ผมตั้งใจจะตัดขาดกับอะไรก็ตามแต่ที่ทำให้สภาพจิตใจผมย่ำแย่ ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซน หลายคนพูดมานานแล้ว สุดท้ายผมต้องรักตัวเองและเชื่อมั่นตัวเอง ไม่ต้องไปตามใครหรอก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 488 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น

    📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️

    การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️

    🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568
    การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่

    ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร
    - มีสัญชาติไทย 🇹🇭
    - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ
    - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥
    - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน
    - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓

    🚨 ข้อกำหนดพิเศษ
    - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨
    - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน

    📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
    การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป

    🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร
    ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน
    ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
    ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง
    ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว
    ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี
    ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี
    ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี
    ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล

    📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร
    🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท

    🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ

    🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ

    📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568
    การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่
    📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน
    - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน
    - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน
    - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน
    - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ!

    📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน
    -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร

    🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน
    เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร

    📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568
    🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์:
    ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com
    📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง

    🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร
    ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸
    ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔
    ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠
    ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓
    ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง
    ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖

    📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB

    💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ
    - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท
    - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท
    📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้

    📍 ช่องทางชำระเงิน:
    - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦
    - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲
    - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย
    🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น!

    📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ
    📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่
    📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com

    🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน!
    🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน
    📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า
    🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย

    🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง
    ✅ ท่องศัพท์
    ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า
    ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ

    🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ
    🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง

    🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ
    😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ

    🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀

    📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่
    🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568

    📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท
    สมัครสอบ อปท. 2568 ทุกเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับ การสอบแข่งขันเป็นข้าราชการท้องถิ่น 📢 ข่าวดีสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)! กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (กสถ.) ได้ออกประกาศรับสมัครสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุบุคคลเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยเปิดรับสมัคร ระหว่างวันที่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ผ่านระบบออนไลน์ 🖥️ การสอบครั้งนี้ เป็นโอกาสสำคัญ สำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในหน่วยงานท้องถิ่นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดังนั้นผู้สมัคร ควรศึกษาข้อมูลรายละเอียด ให้ครบถ้วนก่อนทำการสมัคร ✍️ 🔎 คุณสมบัติของผู้สมัครสอบ อปท. 2568 การสมัครสอบแข่งขันครั้งนี้ มีกฎเกณฑ์และคุณสมบัติ ที่ต้องพิจารณาอย่างเคร่งครัด มาดูกันว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ ✅ คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร - มีสัญชาติไทย 🇹🇭 - อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่สมัครสอบ - ไม่เป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 🏥 - ไม่เป็นผู้ต้องหาคดีอาญา หรือถูกตัดสิทธิ์สอบราชการมาก่อน - ต้องจบการศึกษาภายในวันปิดรับสมัคร 28 มีนาคม 2568 🎓 🚨 ข้อกำหนดพิเศษ - ผู้สมัครจะต้องสอบผ่านวิชาภาษาอังกฤษ ไม่น้อยกว่า 10 ข้อจาก 20 ข้อ ✨ - บัญชีรายชื่อผู้สอบผ่านมีอายุ 2 ปี และสามารถขยายได้ไม่เกิน 30 วัน 📌 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร การสอบ อปท. 2568 แบ่งออกเป็น 10 กลุ่มภาค/เขต ทั่วประเทศ ซึ่งแต่ละกลุ่มภาค จะมีตำแหน่งที่เปิดรับแตกต่างกันไป 🔸 กลุ่มภาคที่เปิดรับสมัคร ภาคเหนือ เขต 1 เชียงราย, เชียงใหม่, น่าน, พะเยา, แพร่, แม่ฮ่องสอน, ลำปาง, และลำพูน ภาคเหนือ เขต 2 กำแพงเพชร, ตาก, นครสวรรค์, พิจิตร, พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี ภาคกลาง เขต 1 ชัยนาท, นนทบุรี, ปทุมธานี, พระนครศรีอยุธยา, ลพบุรี, สระบุรี, สิงห์บุรี และอ่างทอง ภาคกลาง เขต 2 จันทบุรี, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ตราด, นครนายก, ปราจีนบุรี, ระยอง, สมุทรปราการ และสระแก้ว ภาคกลาง เขต 3 กาญจนบุรี, นครปฐม, ประจวบคีรีขันธ์ , เพชรบุรี, ราชบุรี, สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร และสุพรรณบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 1 กาฬสินธุ์, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์ และมหาสารคาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 2 มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สุรินทร์, อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 3 นครพนม, บึงกาฬ, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู และอุดรธานี ภาคใต้ เขต 1 กระบี่, ชุมพร, นครศรีธรรมราช, พังงา , ภูเก็ต, ระนอง และสุราษฎร์ธานี ภาคใต้ เขต 2 ตรัง, นราธิวาส, ปัตตานี, พัทลุง, ยะลา, สงขลา และสตูล 📋 ตำแหน่งที่เปิดรับสมัคร 🔹 ตำแหน่งครูผู้ช่วย ปริญาญาตรี 4 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 16,560 บาท ปริญญาตรี 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 17,380 บาท 🔹 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ปวช. เงินเดือนเริ่มต้น 10,340 บาท ปวท. เงินเดือนเริ่มต้น 11,960 บาท ปวส. เงินเดือนเริ่มต้น 12,730 บาท เช่น เจ้าพนักงานธุรการ เจ้าพนักงานทะเบียน เจ้าพนักงานการคลัง เจ้าพนักงานพัสดุ เจ้าพนักงานจัดเก็บรายได้ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ เจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว เจ้าพนักงานการเกษตร เจ้าพนักงานสวนสาธารณะ เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานสุขาภิบาล สัตวแพทย์ เจ้าพนักงานฉุกเฉินการแพทย์ นายช่างโยธา นายช่างเขียนแบบ นายช่างสำรวจ นายช่างผังเมือง นายช่างเครื่องกล นายช่างไฟฟ้า เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชน เจ้าพนักงานเทศกิจ เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี ฯลฯ 🔹 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ปริญญาตรี เงินเดือนเริ่มต้น 16,600 บาท เช่น นักจัดการงานทั่วไป นักทรัพยากรบุคคล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน นักจัดการงานทะเบียนและบัตร นิคิกร นักวิชาการคอมพิวเตอร์ นักวิชาการศึกษา นักวิชาการเงินและบัญชี นักวิชาการคลัง นักวิชาการจัดเก็บรายได้ นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน นักประชาสัมพันธ์ นักพัฒนาการท่องเที่ยว นักวิชาการเกษตร นักวิชาการสวนสาธารณะ นักวิชาการสาธารณสุข นักวิชาการสิ่งแวดล้อม นายสัตวแพทย์ นักฉุกเฉินการแพทย์ สถาปนิก วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรไฟฟ้า วิทศวกรสุขาภิบาล นักจัดการงานช่าง นักสังคมสงเคราะห์ นักวิชาการศึกษา นักพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ นักสันทนาการ นักพัฒนาการกีฬา นักจัดการงานเทศกิจ นักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ 📖 รายละเอียดการสอบ อปท. 2568 การสอบแข่งขัน จะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ได้แก่ 📝 ภาค ก ความรู้ทั่วไป 100 คะแนน - ความสามารถด้านการวิเคราะห์ และสรุปเหตุผล 30 คะแนน - ความรู้พื้นฐาน เกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ และกฎหมายท้องถิ่น 30 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาไทย 20 คะแนน - ความสามารถด้านภาษาอังกฤษ 20 คะแนน ต้องผ่านอย่างน้อย 10 ข้อจาก 20 ข้อ! 📚 ภาค ข ความรู้เฉพาะตำแหน่ง 100 คะแนน -เป็นข้อสอบเกี่ยวกับความรู้ ที่ใช้เฉพาะในตำแหน่งที่สมัคร 🗣️ ภาค ค สัมภาษณ์ 100 คะแนน เป็นการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง เช่น ทัศนคติ บุคลิกภาพ และความสามารถในการสื่อสาร 📝 วิธีสมัครสอบ อปท. 2568 🔹 สมัครผ่านทางออนไลน์ 📱 ที่เว็บไซต์: ➡️ https://dla-local2568.thaijobjob.com 📅 เปิดรับสมัครตั้งแต่ 7 - 28 มีนาคม 2568 ตลอด 24 ชั่วโมง 🗂️ เอกสารที่ต้องใช้สมัคร ✅ รูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้ว 📸 ✅ สำเนาบัตรประชาชน 🆔 ✅ สำเนาทะเบียนบ้าน 🏠 ✅ สำเนาวุฒิการศึกษา Transcript 🎓 ✅ สำเนาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ สำหรับบางตำแหน่ง ✅ เอกสารทางทหาร สด.8 หรือ สด.9 🪖 📌 อัปโหลดไฟล์ PDF เท่านั้น! ไฟล์ต้องมีขนาดไม่เกิน 1 MB 💰 ค่าธรรมเนียมการสมัครสอบ - ค่าธรรมเนียมสอบ 400 บาท - ค่าธรรมเนียมธนาคาร และค่าบริการ 30 บาท 📌 รวมทั้งสิ้น 430 บาท ไม่สามารถขอคืนเงินได้ 📍 ช่องทางชำระเงิน: - เคาน์เตอร์ธนาคารกรุงไทย 🏦 - แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT หรือ เป๋าตัง 📲 - ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย 🛑 ชำระเงินภายในวันที่ 7 - 29 มีนาคม 2568 เท่านั้น! 📢 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ 📆 ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบภาค ก และ ข พร้อมวัน-เวลา-สถานที่สอบ ได้ที่ 📌 เว็บไซต์ https://dla-local2568.thaijobjob.com 🔑 เคล็ดลับเตรียมสอบ อปท. ให้สอบผ่าน! 🔥 ศึกษาหลักสูตรการสอบ ให้ครบถ้วน 📖 อ่านแนวข้อสอบ และทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 🔥 ฝึกทำข้อสอบเก่า 🔍 ฝึกทำข้อสอบปีที่ผ่านมา เพื่อจับแนวทางที่ออกบ่อย 🔥 ฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง ✅ ท่องศัพท์ ✅ ฝึกทำข้อสอบแกรมม่า ✅ อ่านบทความภาษาอังกฤษ 🔥 จัดตารางอ่านหนังสือ 🗓️ แบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง 🔥 พักผ่อนให้เพียงพอ 😴 นอนให้ครบ 6-8 ชั่วโมงก่อนสอบ 🔚 📍 การสอบ อปท. 2568 เป็นโอกาสดี สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับราชการ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่าพลาด! สมัครสอบได้ระหว่าง 7 - 28 มีนาคม 2568 ทางออนไลน์เท่านั้น 🚀 📌 ติดตามข่าวสาร และอัปเดตข้อมูลการสอบได้ที่ 🔗 https://dla-local2568.thaijobjob.com ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 202022 ก.พ. 2568 📢 #สอบอปท2568 #สมัครสอบราชการ #งานราชการ #สอบท้องถิ่น #เตรียมสอบอปท #DLA #สมัครสอบออนไลน์ #งานข้าราชการ #สอบราชการ2025 #สอบภาษาอังกฤษอปท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2664 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว
    .
    ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID
    .
    คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ
    .
    รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง
    .
    อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว
    .
    รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน
    .
    "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.)
    .
    เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้
    .
    ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!"
    .
    ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์
    .
    กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย
    .
    การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง
    .
    ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน
    .
    ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาสหรัฐฯรายหนึ่ง ตัดสินไฟเขียวชั่วคราวให้ลูกจ้างของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ราวๆ 2,700 คน ที่ถูกรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่ง "พักงาน" ให้กลับมาทำงาน ในความเคลื่อนไหวระงับแผนการหนึ่งๆที่เล็งเป้ายุบองค์กรดังกล่าว . ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ คาร์ล นิโคลส์ ในวอชิงตัน ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยทรัมป์ครั้งดำรงตำแหน่งสมัยแรก อนุมัติบางส่วนคำร้องจากสภาพแรงงานลูกจ้างรัฐบาลใหญ่ที่ในสหรัฐฯและสมาคมแรงงานบริการต่างชาติแห่งหนึ่ง ที่ยื่นฟ้องความพยายามของรัฐบาลในการปิด USAID . คำสั่งของนิโคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นการขัดขวางรัฐบาลทรัมป์จากการดำเนินการตามแผนที่สั่ง "พักงาน" ลูกจ้างของ USAID ราวๆ 2,200 คน " เริ่มตั้งแต่วันเสาร์(8ก.พ.) และคืนสถานะลูกจ้างราวๆ 500 คน ที่ถูกให้ออกจากงาน นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาของศาลยังห้ามรัฐบาลจากการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของ USAID ที่ประจำการอยู่นอกสหรัฐฯ . รายงานข่าวระบุว่าผู้พิพากษา นิโคลส์ จะพิจารณาคำร้องหนึ่งๆที่ขอให้ระงับแผนของทรัมป์ในระยะยาว ระหว่างกระบวนพิจารณาที่จะมีขึ้นในวันพุธ(12ก.พ.) โดยผู้พิพากษานิโคลส์ เขียนในคำสั่งว่าสหภาพแรงงานแสดงให้เห็นว่าพวกลูกจ้างจะได้รับผลกระทบอย่างที่แก้ไขไม่ได้ หากว่าศาลไม่เข้าแทรกแซง . อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานิโคลส์ปฏิเสธคำร้องอื่นๆจากสหภาพ ที่ขอกลับมาเปิดทำการอาคารของ USAID และคืนชีพเงินทุนต่างๆสำหรับเงินช่วยเหลือและสัญญาต่างๆที่ทางองค์กรแหงนี้อนุมัติไปแล้ว . รัฐบาลของทรัมป์ระบุในหนังสือแจ้งที่ส่งถึงคนงานขององค์กรความช่วยเหลือต่างประเทศแห่งนี้เมื่อวันพฤหัสบดี(6ก.พ.) ว่าจะคงลูกจ้างที่จำเป็นของ USAID ไว้เพียง 611 ราย จากจำนวนที่มีทั้งหมดทั่วโลกมากกว่า 10,000 คน . "การลดพนักงานครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับการปิดสำนักงาน บีบบังคับโยกย้ายบุลคลต่างๆเหล่านี้ ถือเป็นการกระทำภายใต้การใช้อำนาจบริหารที่เกินขอบเขต ละเมิดหลักการแบ่งแยกอำนาจ" คาร์ลา กิลไบรด์ ทนายความของสหภาพแรงงาน บอกกับศาลระหว่างการพิจารณาคำร้องเมื่อวันศุกร์(7ก.พ.) . เบรตต์ ชูเมต เจ้าหน้าที่รายหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม ให้ปากคำกับผู้พิพากษานิโคลส์ ว่าลูกจ้างราว 2,000 คนของ USAID จะถูกพักงานภายใต้แผนการต่างๆของรัฐบาล เพิ่มเติมจาก 500 คน ที่ถูกสั่งพักงานไปก่อนหน้านี้ . ทรัมป์ โพสต์ข้อความเป็นทรัสต์โซเชียล สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเองในวันศุกร์(7ก.พ.) กล่าวหา USAID ว่าคอรัปชันและฉ้อฉลในการใช้จ่ายเงิน แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ เขาบอกว่าการคอรัปชันใน USAID "อยู่ในระดับที่เคยพบเห็นมาก่อน ปิดมันซะ!" . ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ทรัมป์ ออกคำสั่งให้ระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่สหรัฐฯมอบให้แก่ต่างประเทศ เพื่อรับประกันว่ามันจะสอดคล้องกับ "นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน" ของเขา นับตั้งแต่นั้นความยุ่งเหยิงก็ห้อมล้อม USAID ซึ่งจัดสรรเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ทั่วโลก หลายพันล้านดอลลาร์ . กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติการทั่วโลก หลังทรัมป์มีคำสั่งบริหาร ผลก็คือระงับเงินช่วยเหลือทั้งหมดที่มอบแก่ต่างชาติ ยกเว้นแต่ความช่วยเหลือฉุกเฉินด้านอาหาร มันทำให้โครงการต่างๆของ USAID ที่ครอบคลุมถึงความช่วยเหลือปกป้องชีวิตผู้คนทั่วโลกต้องหยุดชะงัก ในความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้คนล้มตาย . การตรวจสอบหน่วยงานแห่งนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีนักธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกับทรัมป์รายนี้ เป็นหัวหอกในความพยายามของประธานาธิบดี ในการความเทอะทะในงานราชการของรัฐบาลกลาง . ในปี 2023 สหรัฐฯใช้จ่ายเงิน 72,000 ล้านดอลลาร์ บางส่วนผ่าน USAID ในด้านความช่วยเหลือต่างๆทั่วโลก ไล่ตั้งแต่สุขภาพของพวกผู้หญิงในดินแดนความขัดแย้ง ไปจนถึงการเข้าถึงน้ำสะอาด การรักษาโรคเอชไอวี/เอดส์ ความมั่นคงทางพลังงานและต่อต้านคอรัปชัน . ทั้งนี้ในปี 2024 ทาง USAID ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่สหประชาชาติ (UN) ติดตามผลคิดเป็น 42% ของทั้งหมด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000012937 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1709 มุมมอง 0 รีวิว
  • โพลเผย "คนกรุง" 3 ใน 4 ชี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรงมาก
    "รัฐ-กทม." ไร้ประสิทธิภาพ-รถฟรีไม่ช่วยแก้ปัญหา
    .
    วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กรุงเทพฯ เมืองในฝุ่น” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27-28 มกราคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า ชาวกทม. มากกว่า 90% ชี้ปัญหารุนแรงถึงรุนแรงมาก, รถเมล์-รถไฟฟ้าฟรีช่วยแก้ปัญหาได้น้อย, ส่วนใหญ่ชี้หน่วยงานภาครัฐ-กทม. ไร้ประสิทธิภาพโดยเฉพาะ กรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร
    .
    สำหรับคำถามและผลการสำรวจที่น่าสนใจมีดังนี้คือ
    .
    เมื่อถามประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึงความรุนแรงของวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พบว่า
    ร้อยละ 74.43 ระบุว่า มีความรุนแรงมาก
    ร้อยละ 18.55 ระบุว่า ค่อนข้างมีความรุนแรง
    ร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความรุนแรง
    ร้อยละ 1.14 ระบุว่า ไม่มีความรุนแรงเลย
    .
    ขณะที่ความคิดเห็นต่อการสั่งการหรือขอความร่วมมือให้ปิดสถานศึกษาและทำงานที่บ้าน (Work from Home) ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า
    ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร
    ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก
    ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย
    ร้อยละ 8.47 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก
    .
    ในประเด็นการให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้า BTS - MRT ฟรี 7 วัน ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า
    ร้อยละ 34.89 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก
    ร้อยละ 33.89 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย
    ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร
    ร้อยละ 6.72 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก
    .
    ส่วนคำถามเรื่องประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่า
    ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
    ร้อยละ 35.34 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพเลย
    ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
    ร้อยละ 3.13 ระบุว่า มีประสิทธิภาพมาก
    .
    เมื่อถามถึงหน่วยงานที่ประชาชนคาดหวังให้แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า
    ร้อยละ 41.15 ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษ
    ร้อยละ 34.27 ระบุว่า กรุงเทพมหานคร
    ร้อยละ 27.02 ระบุว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร
    ร้อยละ 20.23 ระบุว่า กรมการขนส่งทางบก
    ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ไม่มีความหวังกับหน่วยงานราชการใดๆ
    ร้อยละ 16.34 ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรม
    ร้อยละ 13.89 ระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
    ร้อยละ 12.67 ระบุว่า สำนักนายกรัฐมนตรี
    ร้อยละ 12.44 ระบุว่า กระทรวงมหาดไทย
    ร้อยละ 10.46 ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    ร้อยละ 9.39 ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ
    ร้อยละ 8.70 ระบุว่า กระทรวงกลาโหม
    ร้อยละ 8.47 ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์
    ร้อยละ 7.79 ระบุว่า กระทรวงการคลัง
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000010602
    โพลเผย "คนกรุง" 3 ใน 4 ชี้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รุนแรงมาก "รัฐ-กทม." ไร้ประสิทธิภาพ-รถฟรีไม่ช่วยแก้ปัญหา . วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กรุงเทพฯ เมืองในฝุ่น” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27-28 มกราคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า ชาวกทม. มากกว่า 90% ชี้ปัญหารุนแรงถึงรุนแรงมาก, รถเมล์-รถไฟฟ้าฟรีช่วยแก้ปัญหาได้น้อย, ส่วนใหญ่ชี้หน่วยงานภาครัฐ-กทม. ไร้ประสิทธิภาพโดยเฉพาะ กรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร . สำหรับคำถามและผลการสำรวจที่น่าสนใจมีดังนี้คือ . เมื่อถามประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครถึงความรุนแรงของวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ช่วงหลายวันที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 74.43 ระบุว่า มีความรุนแรงมาก ร้อยละ 18.55 ระบุว่า ค่อนข้างมีความรุนแรง ร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความรุนแรง ร้อยละ 1.14 ระบุว่า ไม่มีความรุนแรงเลย . ขณะที่ความคิดเห็นต่อการสั่งการหรือขอความร่วมมือให้ปิดสถานศึกษาและทำงานที่บ้าน (Work from Home) ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร ร้อยละ 33.21 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย ร้อยละ 8.47 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก . ในประเด็นการให้ประชาชนใช้บริการรถเมล์และรถไฟฟ้า BTS - MRT ฟรี 7 วัน ช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 34.89 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก ร้อยละ 33.89 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้พอสมควร ร้อยละ 6.72 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก . ส่วนคำถามเรื่องประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง พบว่า ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 35.34 ระบุว่า ไม่มีประสิทธิภาพเลย ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ร้อยละ 3.13 ระบุว่า มีประสิทธิภาพมาก . เมื่อถามถึงหน่วยงานที่ประชาชนคาดหวังให้แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร พบว่า ร้อยละ 41.15 ระบุว่า กรมควบคุมมลพิษ ร้อยละ 34.27 ระบุว่า กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 27.02 ระบุว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ร้อยละ 20.23 ระบุว่า กรมการขนส่งทางบก ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ไม่มีความหวังกับหน่วยงานราชการใดๆ ร้อยละ 16.34 ระบุว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ร้อยละ 13.89 ระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 12.67 ระบุว่า สำนักนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 12.44 ระบุว่า กระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 10.46 ระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศ ร้อยละ 8.70 ระบุว่า กระทรวงกลาโหม ร้อยละ 8.47 ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 7.79 ระบุว่า กระทรวงการคลัง . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000010602
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1004 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชีวิตในงานราชการหรืองานประจำแบบนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าทำงานแบบซื่อตรงโปร่งใสโอกาสเติบโตคงน้อยมาก เป็นนายตัวเองผู้ใหญ่ก็พยายามดูถูกเพื่อให้ผมวางมือจากงานนายตัวเองหรืองานอิสระหันหัวไปทำงานเยี่ยงโคกระบือและเป็นนายตัวเองตอนหลังเกษียณก็ไม่คุ้มเพราะทำงานหนักทนนายด่าจนร่างกายเสื่อมจนอายุไม่ยืนยาวถึง 120 ปี อาจสิ้นใจก่อน 80 ปีก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะเป็นนายตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เป็นลูกจ้างมีแต่โดนกินแรงฟรี เงินก็น้อย โอทีก็แทบไม่ได้
    ชีวิตในงานราชการหรืองานประจำแบบนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าทำงานแบบซื่อตรงโปร่งใสโอกาสเติบโตคงน้อยมาก เป็นนายตัวเองผู้ใหญ่ก็พยายามดูถูกเพื่อให้ผมวางมือจากงานนายตัวเองหรืองานอิสระหันหัวไปทำงานเยี่ยงโคกระบือและเป็นนายตัวเองตอนหลังเกษียณก็ไม่คุ้มเพราะทำงานหนักทนนายด่าจนร่างกายเสื่อมจนอายุไม่ยืนยาวถึง 120 ปี อาจสิ้นใจก่อน 80 ปีก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะเป็นนายตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เป็นลูกจ้างมีแต่โดนกินแรงฟรี เงินก็น้อย โอทีก็แทบไม่ได้
    ระทึกขวัญ ลูกน้องชักปืนรัวยิงหัวหน้างานฯดับกลางห้องทำงาน สปก.น่าน ก่อนยิงตัวเองตาม คาดขัดแย้งเรื่องงาน ทะเลาะกันบ่อย บานปลาย จนกลายเป็นเหตุสุดสลด

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008562

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts