• มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ

    เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้ อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • แนวทางที่ถูกต้องในการรับรู้ความคิดขณะนั่งสมาธิ

    เมื่อคุณนั่งสมาธิและเกิดความคิดแทรกขึ้นมา มี 2 วิธีที่ใช้ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับสมาธิของคุณและเป้าหมายในการปฏิบัติ

    1. ถ้าคุณเป็นมือใหม่หรือฝึกสมาธิในช่วงแรก

    ให้ "รับรู้" ว่ากำลังคิด แต่ไม่ต้องตามความคิดนั้นไป

    เมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิด ให้ใช้สติ "รู้ว่ากำลังคิด" แล้วค่อยๆ ดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ

    ไม่ต้องกังวลว่าคิดเรื่องอะไร เพราะถ้าตามความคิดไป จะยิ่งฟุ้งซ่าน

    ใช้วิธีสังเกตว่า "ตอนนี้รู้สึกยังไง?" – ถ้ารู้สึกเครียดหรือฟุ้งซ่าน ให้ปรับลมหายใจให้ผ่อนคลาย


    ตัวอย่าง:

    เผลอคิดเรื่องงาน → รู้ทันว่า "คิดเรื่องงาน" → กลับมาที่ลมหายใจ

    เผลอคิดเรื่องอดีต → รู้ทันว่า "คิดถึงอดีต" → กลับมาที่ลมหายใจ


    2. ถ้าคุณมีสติและสมาธิมากขึ้นแล้ว

    สามารถ ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อศึกษาว่าความคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร

    ไม่ใช่การ "คิดต่อ" แต่เป็นการ "สังเกต" ความคิด เหมือนเป็นคนนอกที่ดูความคิดเคลื่อนไหว

    ดูว่า ความคิดไม่เที่ยง มันมาแล้วก็ไปเอง

    ถ้าเห็นว่าความคิดนั้นเกี่ยวกับอารมณ์สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ให้สังเกตต่อว่าอารมณ์นั้นก็เปลี่ยนไป


    ตัวอย่าง:

    นึกถึงอดีตที่ทำให้ทุกข์ → สังเกตว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร → เห็นว่ามันอยู่ไม่นานและจางไปเอง

    คิดเรื่องอนาคตแล้วตื่นเต้น → สังเกตว่าความตื่นเต้นมาแล้วหายไปเอง



    ---

    สรุปแนวปฏิบัติที่เหมาะสม:

    ✔ มือใหม่: เมื่อรู้ว่าคิด ให้รับรู้ แล้วกลับมาที่ลมหายใจทันที
    ✔ ระดับกลางขึ้นไป: ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อเห็นว่ามันเกิดขึ้นและดับไปเอง
    ✔ ถ้าเริ่มฟุ้งมาก: ให้กลับมาสังเกตลมหายใจและความรู้สึก (สุข/ทุกข์)

    เป้าหมายสูงสุด:
    เห็นความคิดเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา แล้วจิตจะปล่อยวางได้ง่ายขึ้นเอง

    แนวทางที่ถูกต้องในการรับรู้ความคิดขณะนั่งสมาธิ เมื่อคุณนั่งสมาธิและเกิดความคิดแทรกขึ้นมา มี 2 วิธีที่ใช้ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับสมาธิของคุณและเป้าหมายในการปฏิบัติ 1. ถ้าคุณเป็นมือใหม่หรือฝึกสมาธิในช่วงแรก ให้ "รับรู้" ว่ากำลังคิด แต่ไม่ต้องตามความคิดนั้นไป เมื่อรู้ตัวว่าเผลอคิด ให้ใช้สติ "รู้ว่ากำลังคิด" แล้วค่อยๆ ดึงจิตกลับมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องกังวลว่าคิดเรื่องอะไร เพราะถ้าตามความคิดไป จะยิ่งฟุ้งซ่าน ใช้วิธีสังเกตว่า "ตอนนี้รู้สึกยังไง?" – ถ้ารู้สึกเครียดหรือฟุ้งซ่าน ให้ปรับลมหายใจให้ผ่อนคลาย ตัวอย่าง: เผลอคิดเรื่องงาน → รู้ทันว่า "คิดเรื่องงาน" → กลับมาที่ลมหายใจ เผลอคิดเรื่องอดีต → รู้ทันว่า "คิดถึงอดีต" → กลับมาที่ลมหายใจ 2. ถ้าคุณมีสติและสมาธิมากขึ้นแล้ว สามารถ ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อศึกษาว่าความคิดเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร ไม่ใช่การ "คิดต่อ" แต่เป็นการ "สังเกต" ความคิด เหมือนเป็นคนนอกที่ดูความคิดเคลื่อนไหว ดูว่า ความคิดไม่เที่ยง มันมาแล้วก็ไปเอง ถ้าเห็นว่าความคิดนั้นเกี่ยวกับอารมณ์สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ให้สังเกตต่อว่าอารมณ์นั้นก็เปลี่ยนไป ตัวอย่าง: นึกถึงอดีตที่ทำให้ทุกข์ → สังเกตว่าความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร → เห็นว่ามันอยู่ไม่นานและจางไปเอง คิดเรื่องอนาคตแล้วตื่นเต้น → สังเกตว่าความตื่นเต้นมาแล้วหายไปเอง --- สรุปแนวปฏิบัติที่เหมาะสม: ✔ มือใหม่: เมื่อรู้ว่าคิด ให้รับรู้ แล้วกลับมาที่ลมหายใจทันที ✔ ระดับกลางขึ้นไป: ตามดูความคิดอย่างเป็นกลาง เพื่อเห็นว่ามันเกิดขึ้นและดับไปเอง ✔ ถ้าเริ่มฟุ้งมาก: ให้กลับมาสังเกตลมหายใจและความรู้สึก (สุข/ทุกข์) เป้าหมายสูงสุด: เห็นความคิดเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเรา แล้วจิตจะปล่อยวางได้ง่ายขึ้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าพเจ้ายังไม่อยากถูกปล้นเอาความเป็นมนุษย์ออกไปจากตัวเองมากไปกว่านี้ ต่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่คนเลวนัก คือพอมีความดีในตัวอยู่บ้างแม้นไม่มาก อย่างน้อยก็ไม่ซื้อลอตเตอรี่ ไม่เล่นหวย ไม่เล่นพนันบอล ไม่ส่งชิงโชคทายผลกีฬาและล่ารางวัล ไม่เล่นไพ่ ไม่แทงม้า ไม่หวังลาภลอยจากการพนันทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพราะมีเงินเยอะแล้ว แต่เพราะรู้ว่าการพนันคือผีร้าย คือปีศาจ ถ้าลองยอมให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์ซะแล้ว มันก็จะอาละวาดทำลายล้างให้เรา รวมถึงคนรอบข้างและสังคมกลายเป็นดินแดนแห่งอนารยะ ดังนั้นจึงไม่ยินดีอยากให้เมืองไทยต้องเลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่

    เท่าที่ในปัจจุบันก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว ในโลกโซเชียลเต็มไปด้วยสื่อซาตานที่แทรกซึมทั่วทุกหัวระแหง เลื่อนดูอะไรในสมาร์ตโฟนจะต้องเห็นพวกสัญลักษณ์แอบแฝงของนายทุนและแก๊งโจรมิจฉาชีพเหล่านี้เกร่อเต็มไปหมด แล้วคนไทยนี้ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนกันอย่างที่เรียกว่าอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ประชากรน้อยกว่าประเทศอื่นอีกหลายประเทศ แม้แต่เด็กเล็กที่ไม่ควรต้องใช้ก็ยังมีสมาร์ตโฟน ที่พ่อแม่ผู้รังแกลูกหยิบยื่นให้ ด้วยเหตุนี้เยาวชนลูกหลานที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อความชั่วที่ซ่อนมาหลากหลายรูปแบบ จึงง่ายมากต่อการตกเป็นเหยื่อขบวนการเหล่านี้ ที่จ้องจะดึงคนรุ่นใหม่ที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกท่าน ให้หลงตกไปอยู่ในนรกของการพนัน

    บางทีมันหลอกล่อมาสารพัดในลักษณะของเกมออนไลน์ การแลกเงินจริงเป็นเงินในเกม การสะสมไอเทม การซื้อสารพัดที่เมื่อเด็กหลงเข้าไปเล่นเข้าสักครั้ง ความหวังที่จะหลุดออกมาได้นั้นยากเย็นกว่าเข็นครกขึ้นเขา ยิ่งติดยิ่งห้ามใจไม่ได้ อยากหาอยากมีไปแข่งไปอวดเพื่อน มันคือปากเหวแห่งหายนะโดยแท้ ที่แน่นอนคือหากยังปล่อยให้มีการเกิดขึ้นของบ่อนกาสิโนหลายแห่งทั้วประเทศ อนาคตที่ข้าพเจ้าไม่กล้าคิดจะเกิดขึ้นและมาถึงในไม่ช้า

    เราอาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกปล้นฆ่าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ภายในบ้านหรือนอกบ้านจากคนทุกเพศทุกวัย เพราะเมื่อใดที่คนไม่มีเงิน แล้วยังติดหนี้การพนัน มันผู้นั้นย่อมขายจิตวิญญาณให้แก่ปีศาจไปแล้ว และสามารถทำได้ทุกสิ่งที่คนปกติไม่กล้าทำ เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้

    มีเมียมีลูกยังสามารถขายแลกเงินได้ พ่อแม่ญาติพี่น้องมีหรือจะสน แม้แต่ชีวิตตนก็ยังขายตัวเป็นทาสได้ มีที่ดินก็หมดที่ดิน มีทรัพย์สินใดก็หมด เมื่อสิ้นทุกอย่างทีนี้แหละ จะเริ่มปล้นชิงวิ่งราว ขโมยสารพัด คดีทำร้ายร่างกาย ปล้น ฆ่า จะเต็มบ้านเมืองมากกว่าเดิมอย่างทวีคูณ สุดท้ายคนเป็นพ่อแม่หรือคนในครอบครัวของผีพนันก็จะได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความทุกข์ทับถมใจหนักหน่วงจะถ่วงความเจริญทางธรรมของคนให้ลดน้อยถอยลง แล้วสังคมโดยรวมก็จะมีแต่ความสาหัสของบาดแผลจากพิษภัยของการพนันจนยากกอบกู้ ให้ดูประเทศเพื่อนบ้านรายล้อมรอบเราว่าเขามีสภาพอย่างไรเถิด อนาคตเราอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น

    ถ้ามีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย จะเกิดนักพนันอายุน้อยขึ้นมาอีกมากมายอย่างน่ากลัว เมื่อเขาเหล่านั้นที่ยังไม่มีรายได้กลายเป็นทายาทผีพนัน ประเทศชาติก็มีแต่จะมุ่งหน้าเข้าหาความฉิบหายล่มจมในท้ายที่สุด

    ในฐานะที่ข้าพเจ้ายังเป็นพุทธมามกะที่ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่เคารพของตนไปจนตลอดชีวิต หากยังยินดีกับการเล่นพนันอยู่ อยากให้เกิดบ่อนกาสิโนขึ้นแบบถูกกฎหมายในประเทศ นั่นแสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนผู้ทุรยศต่อสถาบันศาสนาที่ตนเคารพนับถือ และต่อพระศาสดา เป็นคนอกตัญญู เป็นความละอายแก่ใจตนจนเกินกว่าจะกล้าเรียกตนเป็นพุทธศาสนิกชน สู้เป็นคนไม่นับถือศาสนาเสียเลยยังดีกว่า

    เพราะศาสนาพุทธ จะไม่มีทางยอมฮั้ว อี๋อ๋อ ซูฮก ซูเอี๋ย กะลิ้มกะเหลี่ย ปากมันเลียริมฝีปาก น้ำลายไหลยืดย้อย กับความกระสันอยากในเม็ดเงินที่มาจากการพนันทั้งหลายเป็นอันขาด ไม่ว่าจะชาตินี้หรืออีกกี่ชาติ

    #คัดค้านบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย
    #thaitimes
    #บทความ
    #ข้อคิด
    #ต้านบ่อนกาสิโน
    #สร้างป่าดีกว่าสร้างบ่อน
    ข้าพเจ้ายังไม่อยากถูกปล้นเอาความเป็นมนุษย์ออกไปจากตัวเองมากไปกว่านี้ ต่อให้มั่นใจว่าไม่ใช่คนเลวนัก คือพอมีความดีในตัวอยู่บ้างแม้นไม่มาก อย่างน้อยก็ไม่ซื้อลอตเตอรี่ ไม่เล่นหวย ไม่เล่นพนันบอล ไม่ส่งชิงโชคทายผลกีฬาและล่ารางวัล ไม่เล่นไพ่ ไม่แทงม้า ไม่หวังลาภลอยจากการพนันทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพราะมีเงินเยอะแล้ว แต่เพราะรู้ว่าการพนันคือผีร้าย คือปีศาจ ถ้าลองยอมให้ตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุบาทว์ซะแล้ว มันก็จะอาละวาดทำลายล้างให้เรา รวมถึงคนรอบข้างและสังคมกลายเป็นดินแดนแห่งอนารยะ ดังนั้นจึงไม่ยินดีอยากให้เมืองไทยต้องเลวร้ายไปมากกว่าที่เป็นอยู่ เท่าที่ในปัจจุบันก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว ในโลกโซเชียลเต็มไปด้วยสื่อซาตานที่แทรกซึมทั่วทุกหัวระแหง เลื่อนดูอะไรในสมาร์ตโฟนจะต้องเห็นพวกสัญลักษณ์แอบแฝงของนายทุนและแก๊งโจรมิจฉาชีพเหล่านี้เกร่อเต็มไปหมด แล้วคนไทยนี้ใช้โทรศัพท์สมาร์ตโฟนกันอย่างที่เรียกว่าอันดับต้น ๆ ของโลก ทั้งที่ประชากรน้อยกว่าประเทศอื่นอีกหลายประเทศ แม้แต่เด็กเล็กที่ไม่ควรต้องใช้ก็ยังมีสมาร์ตโฟน ที่พ่อแม่ผู้รังแกลูกหยิบยื่นให้ ด้วยเหตุนี้เยาวชนลูกหลานที่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อความชั่วที่ซ่อนมาหลากหลายรูปแบบ จึงง่ายมากต่อการตกเป็นเหยื่อขบวนการเหล่านี้ ที่จ้องจะดึงคนรุ่นใหม่ที่เป็นแก้วตาดวงใจของพวกท่าน ให้หลงตกไปอยู่ในนรกของการพนัน บางทีมันหลอกล่อมาสารพัดในลักษณะของเกมออนไลน์ การแลกเงินจริงเป็นเงินในเกม การสะสมไอเทม การซื้อสารพัดที่เมื่อเด็กหลงเข้าไปเล่นเข้าสักครั้ง ความหวังที่จะหลุดออกมาได้นั้นยากเย็นกว่าเข็นครกขึ้นเขา ยิ่งติดยิ่งห้ามใจไม่ได้ อยากหาอยากมีไปแข่งไปอวดเพื่อน มันคือปากเหวแห่งหายนะโดยแท้ ที่แน่นอนคือหากยังปล่อยให้มีการเกิดขึ้นของบ่อนกาสิโนหลายแห่งทั้วประเทศ อนาคตที่ข้าพเจ้าไม่กล้าคิดจะเกิดขึ้นและมาถึงในไม่ช้า เราอาจเป็นคนหนึ่งที่ถูกปล้นฆ่าได้ตลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ภายในบ้านหรือนอกบ้านจากคนทุกเพศทุกวัย เพราะเมื่อใดที่คนไม่มีเงิน แล้วยังติดหนี้การพนัน มันผู้นั้นย่อมขายจิตวิญญาณให้แก่ปีศาจไปแล้ว และสามารถทำได้ทุกสิ่งที่คนปกติไม่กล้าทำ เพื่อจะหาเงินมาใช้หนี้ มีเมียมีลูกยังสามารถขายแลกเงินได้ พ่อแม่ญาติพี่น้องมีหรือจะสน แม้แต่ชีวิตตนก็ยังขายตัวเป็นทาสได้ มีที่ดินก็หมดที่ดิน มีทรัพย์สินใดก็หมด เมื่อสิ้นทุกอย่างทีนี้แหละ จะเริ่มปล้นชิงวิ่งราว ขโมยสารพัด คดีทำร้ายร่างกาย ปล้น ฆ่า จะเต็มบ้านเมืองมากกว่าเดิมอย่างทวีคูณ สุดท้ายคนเป็นพ่อแม่หรือคนในครอบครัวของผีพนันก็จะได้รับผลแห่งกรรมนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความทุกข์ทับถมใจหนักหน่วงจะถ่วงความเจริญทางธรรมของคนให้ลดน้อยถอยลง แล้วสังคมโดยรวมก็จะมีแต่ความสาหัสของบาดแผลจากพิษภัยของการพนันจนยากกอบกู้ ให้ดูประเทศเพื่อนบ้านรายล้อมรอบเราว่าเขามีสภาพอย่างไรเถิด อนาคตเราอาจจะแย่ยิ่งกว่านั้น ถ้ามีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย จะเกิดนักพนันอายุน้อยขึ้นมาอีกมากมายอย่างน่ากลัว เมื่อเขาเหล่านั้นที่ยังไม่มีรายได้กลายเป็นทายาทผีพนัน ประเทศชาติก็มีแต่จะมุ่งหน้าเข้าหาความฉิบหายล่มจมในท้ายที่สุด ในฐานะที่ข้าพเจ้ายังเป็นพุทธมามกะที่ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งที่เคารพของตนไปจนตลอดชีวิต หากยังยินดีกับการเล่นพนันอยู่ อยากให้เกิดบ่อนกาสิโนขึ้นแบบถูกกฎหมายในประเทศ นั่นแสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนผู้ทุรยศต่อสถาบันศาสนาที่ตนเคารพนับถือ และต่อพระศาสดา เป็นคนอกตัญญู เป็นความละอายแก่ใจตนจนเกินกว่าจะกล้าเรียกตนเป็นพุทธศาสนิกชน สู้เป็นคนไม่นับถือศาสนาเสียเลยยังดีกว่า เพราะศาสนาพุทธ จะไม่มีทางยอมฮั้ว อี๋อ๋อ ซูฮก ซูเอี๋ย กะลิ้มกะเหลี่ย ปากมันเลียริมฝีปาก น้ำลายไหลยืดย้อย กับความกระสันอยากในเม็ดเงินที่มาจากการพนันทั้งหลายเป็นอันขาด ไม่ว่าจะชาตินี้หรืออีกกี่ชาติ #คัดค้านบ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย #thaitimes #บทความ #ข้อคิด #ต้านบ่อนกาสิโน #สร้างป่าดีกว่าสร้างบ่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความรักในสังสารวัฏ

    ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์

    แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย


    ---

    อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก"

    1. ทุกข์
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา
    ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป


    2. สมุทัย
    เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก)
    เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง


    3. นิโรธ
    ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง
    เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ


    4. มรรค
    ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ

    พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง

    ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง

    ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว





    ---

    วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก

    1. ดูใจตนเอง
    เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป


    2. เห็นอารมณ์ตามจริง
    มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น


    3. พิจารณาอนิจจัง
    ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง


    4. ฝึกปล่อยวาง

    ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา

    เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์





    ---

    จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ

    เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด

    จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป
    จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน

    "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"

    ความรักในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร ความรักเป็นเพียงสิ่งลวงที่ดูเหมือนจะให้ความอบอุ่น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ อนิจจัง และ ทุกขัง เพราะไม่ว่าจะสมหวังหรือผิดหวัง ความรักก็มักนำมาซึ่งความยึดมั่น และความยึดมั่นนี้เองที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ แม้รักแท้ดูเหมือนมั่นคง แต่สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก ไม่ว่าจะด้วยความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือความตาย --- อริยสัจ 4 เบื้องต้น ผ่านอาการ "อกหัก" 1. ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก หรือการไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา ทุกข์ในอาการอกหัก คือ ความเศร้า ความว้าเหว่ และการถวิลหาความรักที่จากไป 2. สมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา (ความทะยานอยาก) เราอยากให้คนรักอยู่กับเรา อยากให้เขาทำให้เรามีความสุข อยากให้ความสัมพันธ์เป็นไปตามที่เราคาดหวัง 3. นิโรธ ความดับทุกข์เกิดจากการปล่อยวาง ยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง เมื่อเรามองเห็นทุกข์และสาเหตุอย่างแจ่มชัด เราจะค่อยๆ คลายความยึดติด และพบกับความสงบในใจ 4. มรรค ทางสู่ความดับทุกข์ คือการเจริญ สติ และ สมาธิ พิจารณาอารมณ์และความคิดของตนเอง ฝึกสังเกตอาการยึดมั่นและปล่อยวาง ใช้ปัญญาเห็นว่า ความรักและความทุกข์ทั้งปวงเป็นของชั่วคราว --- วิธีเจริญสติ เพื่อปล่อยวางความรักที่พลัดพราก 1. ดูใจตนเอง เมื่อเกิดความเศร้า ให้พิจารณาว่าอารมณ์นั้นเป็นเพียง สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นชั่วคราว แล้วมันจะผ่านไป 2. เห็นอารมณ์ตามจริง มองว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความคิดถึงหรือความเศร้า เป็นเพียง "ปรากฏการณ์" ที่จิตปรุงแต่งขึ้น 3. พิจารณาอนิจจัง ความรักที่เคยทำให้สุขใจ สุดท้ายก็กลายเป็นทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง 4. ฝึกปล่อยวาง ยอมรับว่า คนรักที่จากไป ไม่ได้เป็นของเรา เห็นว่าความยึดติดนั้นนำมาซึ่งความทุกข์ --- จากความรัก สู่ความวิเวกอันสงบ เมื่อเราสามารถปล่อยวางความรักหรือความยึดมั่นได้ จิตใจจะเริ่มรู้สึกเบาสบาย และสงบเย็น นี่คือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งพาใครหรือสิ่งใด จงฝึกเห็นความรักในฐานะธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป จงปลื้มใจในความวิเวก และค้นพบอิสรภาพทางใจแทน "เมื่อเราไม่ยึดติดในความรัก เราจะมอบความรักที่แท้จริงให้แก่ตนเองได้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำถามนี้ชี้ให้เห็นว่า การแผ่เมตตาอย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบและเป็นสุขก่อน และไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นสุขหรือเมตตาได้ทันทีหากยังมีโทสะหรือความเกลียดชังตกค้างอยู่ในใจ คุณอาจลองพิจารณาและปรับกระบวนการแผ่เมตตาให้ถูกต้องดังนี้:


    ---

    1. เริ่มต้นจากการ "รู้ตัวเอง"

    ก่อนจะแผ่เมตตา ให้ถามตัวเองก่อนว่า ใจเราสงบและเป็นสุขหรือยัง?

    หากใจยังร้อน ยังโกรธ หรือยังมีความไม่พอใจอยู่ อย่าเพิ่งพยายามแผ่เมตตา เพราะนั่นอาจกลายเป็นการ "แผ่ความร้อน" หรือ "แผ่ความทุกข์" ออกไปโดยไม่รู้ตัว


    แทนที่จะแผ่เมตตา ให้เริ่มด้วยการพิจารณา ความรู้สึกของตัวเอง ก่อน เช่น:

    ทำไมเราถึงโกรธหรือเกลียด?

    เรารู้สึกอย่างไรเมื่อโกรธ? ทุกข์ไหม?

    เมื่อเข้าใจว่าความโกรธทำให้เราทุกข์ เราจะเริ่มมีแรงจูงใจที่จะ "ปล่อยวาง" ความโกรธนั้น




    ---

    2. สร้างสุขในใจเป็นพื้นฐาน

    ก่อนแผ่เมตตา ให้ทำจิตใจตัวเองให้สงบและเป็นสุขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น:

    การนั่งสมาธิและกำหนดลมหายใจเข้า-ออก

    การนึกถึงสิ่งดีๆ หรือคนที่เรารักและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ

    การระลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้ใจสงบและมั่นคง


    เมื่อจิตใจเริ่มสงบและเป็นสุข คุณจะรู้สึก "พร้อมที่จะแผ่เมตตา" อย่างแท้จริง



    ---

    3. การแผ่เมตตาอย่างถูกต้อง

    การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การส่งความสุขในใจออกไป ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงการท่องบทสวดมนต์แบบกลไก

    หากยังมีความรู้สึกเกลียดชังอยู่ การแผ่เมตตาแบบเจาะจง (เช่น แผ่ให้คนที่เราเกลียด) อาจทำได้ยาก แนะนำให้เริ่มจาก:

    1. แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน:

    อธิษฐานขอให้ตัวเองมีความสุข ปราศจากทุกข์ และหลุดพ้นจากความโกรธ



    2. แผ่เมตตาให้คนที่เรารัก:

    นึกถึงคนที่เรารักและรู้สึกดีด้วย เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แล้วส่งความปรารถนาดีให้พวกเขา



    3. แผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดเป็นลำดับสุดท้าย:

    เมื่อใจเริ่มสงบและเบาลง ค่อยลองแผ่เมตตาให้คนที่เรามีปัญหาด้วย โดยไม่ต้องบังคับใจตัวเอง






    ---

    4. ฝึก "ปล่อยวาง" แทนการบังคับให้เมตตา

    หากยังแผ่เมตตาไม่ได้ ให้เริ่มด้วยการ "ไม่ยึดติด" กับความเกลียดก่อน

    แค่รู้ว่าเรายังเกลียดเขาอยู่ก็พอ ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้เมตตา

    ค่อยๆ ฝึกปล่อยวางความคิดลบ และบอกตัวเองว่า "การเกลียดเขาไม่ได้ทำให้เราเป็นสุข"




    ---

    5. สังเกตผลของการแผ่เมตตา

    การแผ่เมตตาที่ถูกต้องจะทำให้ ใจเราสงบและเบาสบายขึ้น

    หากแผ่เมตตาแล้วรู้สึกหนักใจหรือเกลียดมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะใจเรายังไม่พร้อม ให้กลับมาสงบจิตใจตัวเองก่อน


    เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ความโกรธหรือเกลียดที่มีต่อคนอื่นจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยไม่ต้องเร่งรัด



    ---

    สรุป: แผ่เมตตาอย่างมีสุขเป็นทุน

    การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การสร้างสุขในใจตัวเอง

    อย่าฝืนแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดในทันที แต่ให้เริ่มจากการทำใจสงบ และแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน

    เมื่อทำบ่อยๆ ใจจะเริ่มปล่อยวางและรู้สึกเมตตาต่อผู้อื่นได้เองตามธรรมชาติ.


    คำถามนี้ชี้ให้เห็นว่า การแผ่เมตตาอย่างแท้จริงต้องเริ่มต้นจากใจที่สงบและเป็นสุขก่อน และไม่สามารถบังคับจิตใจให้เป็นสุขหรือเมตตาได้ทันทีหากยังมีโทสะหรือความเกลียดชังตกค้างอยู่ในใจ คุณอาจลองพิจารณาและปรับกระบวนการแผ่เมตตาให้ถูกต้องดังนี้: --- 1. เริ่มต้นจากการ "รู้ตัวเอง" ก่อนจะแผ่เมตตา ให้ถามตัวเองก่อนว่า ใจเราสงบและเป็นสุขหรือยัง? หากใจยังร้อน ยังโกรธ หรือยังมีความไม่พอใจอยู่ อย่าเพิ่งพยายามแผ่เมตตา เพราะนั่นอาจกลายเป็นการ "แผ่ความร้อน" หรือ "แผ่ความทุกข์" ออกไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะแผ่เมตตา ให้เริ่มด้วยการพิจารณา ความรู้สึกของตัวเอง ก่อน เช่น: ทำไมเราถึงโกรธหรือเกลียด? เรารู้สึกอย่างไรเมื่อโกรธ? ทุกข์ไหม? เมื่อเข้าใจว่าความโกรธทำให้เราทุกข์ เราจะเริ่มมีแรงจูงใจที่จะ "ปล่อยวาง" ความโกรธนั้น --- 2. สร้างสุขในใจเป็นพื้นฐาน ก่อนแผ่เมตตา ให้ทำจิตใจตัวเองให้สงบและเป็นสุขด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น: การนั่งสมาธิและกำหนดลมหายใจเข้า-ออก การนึกถึงสิ่งดีๆ หรือคนที่เรารักและทำให้เรารู้สึกอบอุ่นใจ การระลึกถึงพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เพื่อให้ใจสงบและมั่นคง เมื่อจิตใจเริ่มสงบและเป็นสุข คุณจะรู้สึก "พร้อมที่จะแผ่เมตตา" อย่างแท้จริง --- 3. การแผ่เมตตาอย่างถูกต้อง การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การส่งความสุขในใจออกไป ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงการท่องบทสวดมนต์แบบกลไก หากยังมีความรู้สึกเกลียดชังอยู่ การแผ่เมตตาแบบเจาะจง (เช่น แผ่ให้คนที่เราเกลียด) อาจทำได้ยาก แนะนำให้เริ่มจาก: 1. แผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน: อธิษฐานขอให้ตัวเองมีความสุข ปราศจากทุกข์ และหลุดพ้นจากความโกรธ 2. แผ่เมตตาให้คนที่เรารัก: นึกถึงคนที่เรารักและรู้สึกดีด้วย เช่น ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท แล้วส่งความปรารถนาดีให้พวกเขา 3. แผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดเป็นลำดับสุดท้าย: เมื่อใจเริ่มสงบและเบาลง ค่อยลองแผ่เมตตาให้คนที่เรามีปัญหาด้วย โดยไม่ต้องบังคับใจตัวเอง --- 4. ฝึก "ปล่อยวาง" แทนการบังคับให้เมตตา หากยังแผ่เมตตาไม่ได้ ให้เริ่มด้วยการ "ไม่ยึดติด" กับความเกลียดก่อน แค่รู้ว่าเรายังเกลียดเขาอยู่ก็พอ ไม่ต้องพยายามบังคับตัวเองให้เมตตา ค่อยๆ ฝึกปล่อยวางความคิดลบ และบอกตัวเองว่า "การเกลียดเขาไม่ได้ทำให้เราเป็นสุข" --- 5. สังเกตผลของการแผ่เมตตา การแผ่เมตตาที่ถูกต้องจะทำให้ ใจเราสงบและเบาสบายขึ้น หากแผ่เมตตาแล้วรู้สึกหนักใจหรือเกลียดมากขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะใจเรายังไม่พร้อม ให้กลับมาสงบจิตใจตัวเองก่อน เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ความโกรธหรือเกลียดที่มีต่อคนอื่นจะค่อยๆ ลดลงเอง โดยไม่ต้องเร่งรัด --- สรุป: แผ่เมตตาอย่างมีสุขเป็นทุน การแผ่เมตตาเริ่มต้นจาก การสร้างสุขในใจตัวเอง อย่าฝืนแผ่เมตตาให้คนที่เราเกลียดในทันที แต่ให้เริ่มจากการทำใจสงบ และแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อน เมื่อทำบ่อยๆ ใจจะเริ่มปล่อยวางและรู้สึกเมตตาต่อผู้อื่นได้เองตามธรรมชาติ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 158 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 60
    คนชั่วมันไม่มีวันร้องไห้หรอก เพราะมันไม่เคยมีความทุกข์ ได้พบเจอกับความทุกข์ มันมีแต่ความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นที่มันกลั่นแกล้งรังแกเขา และมันก็ไม่เคยพบเจอกับความทุกข์บนความสุขของผู้อื่นที่มันกลั่นแกล้งรังแกเขาอีกด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เคย และไม่คิดที่จะเข้าใจจิตใจของผู้อื่นว่ามันรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อถูกมันกลั่นแกล้งรังแกเขาเลยเสียด้วยซ้ำไปนั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 60 คนชั่วมันไม่มีวันร้องไห้หรอก เพราะมันไม่เคยมีความทุกข์ ได้พบเจอกับความทุกข์ มันมีแต่ความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นที่มันกลั่นแกล้งรังแกเขา และมันก็ไม่เคยพบเจอกับความทุกข์บนความสุขของผู้อื่นที่มันกลั่นแกล้งรังแกเขาอีกด้วย เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เคย และไม่คิดที่จะเข้าใจจิตใจของผู้อื่นว่ามันรู้สึกอย่างไรบ้าง เมื่อถูกมันกลั่นแกล้งรังแกเขาเลยเสียด้วยซ้ำไปนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
    สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ
    ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้
    สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ
    Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้ สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 181 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ
    นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
    เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
    คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง
    แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง
    สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 165 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 34
    ผู้ใดไร้ธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนชั่ว และมีความทุกข์
    ผู้ใดมีธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนดี และมีความสุข
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 34 ผู้ใดไร้ธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนชั่ว และมีความทุกข์ ผู้ใดมีธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนดี และมีความสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทกลอนเกี่ยวกับธรรมชาติที่ฉันแต่งขึ้นเองในอดีต
    ธรรมชาติที่สวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความหวัง
    สายลม ช่วยพัดพาความทุกข์ไป
    เมฆฝน คอยอยู่เคียงข้างกันยามเหงาใจ
    มองท้องฟ้าแล้ว คิดถึงบุคคลซึ่งเป็นที่รัก
    แสงแดด สาดส่องนำทางเรา
    สายฟ้า ฟาดอริศัตรูพินาศสิ้น
    ดวงดาว จุดประกายความฝัน
    ตราบใดที่ดวงจันทร์ยังคงอยู่ ฉันก็จะยังคงอยู่คู่กับดวงจันทร์
    สายน้ำ ช่วยหล่อเลี้ยงกายและใจ
    บทกลอนเกี่ยวกับธรรมชาติที่ฉันแต่งขึ้นเองในอดีต ธรรมชาติที่สวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความหวัง สายลม ช่วยพัดพาความทุกข์ไป เมฆฝน คอยอยู่เคียงข้างกันยามเหงาใจ มองท้องฟ้าแล้ว คิดถึงบุคคลซึ่งเป็นที่รัก แสงแดด สาดส่องนำทางเรา สายฟ้า ฟาดอริศัตรูพินาศสิ้น ดวงดาว จุดประกายความฝัน ตราบใดที่ดวงจันทร์ยังคงอยู่ ฉันก็จะยังคงอยู่คู่กับดวงจันทร์ สายน้ำ ช่วยหล่อเลี้ยงกายและใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 8
    คนชั่วที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนดี มันไม่มีวันที่จะมีความสุขความเจริญได้หรอก
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 8 คนชั่วที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนดี มันไม่มีวันที่จะมีความสุขความเจริญได้หรอก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 3
    คนที่ดีเท่านั้น ที่มีความสุขอยู่เสมอ
    คนที่ชั่วเท่านั้น ที่มีความทุกข์อยู่เสมอ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 3 คนที่ดีเท่านั้น ที่มีความสุขอยู่เสมอ คนที่ชั่วเท่านั้น ที่มีความทุกข์อยู่เสมอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสุขที่แท้จริง
    บางครั้งคนเราคิดว่าความสุขนั้นจีรังยั่งยืน บางคนก็ว่ามันไม่จีรังยั่งยืน บ้างก็ว่ามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปตามคำสอนของศาสนา แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขนั้นมันขึ้นอยู่กับใจของเรา และมันก็มีทั้งชั่วคราวและยั่งยืนทั้งสองแบบนั่นเอง
    ความสุขที่แท้จริงนั้นมันสามารถที่จะเป็นไปได้เสมอมาและเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับใจของเรา หลวงตาบัวฯท่านได้เคยสอนพวกเราทั้งหลายเอาไว้ว่า ใจเรานั้นไม่เคยตาย มันมีทั้งสวรรค์และนรก เราจึงควรที่จะเร่งกระทำการสั่งสมความดีบุญกุศลบุญบารมีเอาไว้ให้มากๆ เพราะกรรมหรือการกระทำของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดว่า ในชาติภพหน้านั้นเราจะได้ไปอยู่ ณ ที่ใดและจะได้ไปเกิดไปเป็นอะไรกัน ฉะนั้นหลวงตาบัวฯท่านถึงได้เฝ้าบอกพวกเราทั้งหลาย และย้ำนักย้ำหนาว่า สวรรค์มี นรกมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นิพพานมีจริง พรหมโลกมีจริง ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ให้พวกเราจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ หลวงตาบัวฯท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น ขนาดหลวงตาบัวฯท่านเป็นพระอรหันต์ยังว่าไว้อย่างนั้นเลย แล้วพวกเราตัวเท่าหนู เป็นใครเก่งมาจากไหนถึงจะไม่เชื่อท่านเล่า นี่คือหลักธรรมคำสอนที่หลวงตาบัวฯท่านได้ว่าเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพละสังขารไปนั่นเอง
    ความสุขที่แท้จริงคือ การตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงแรกๆนั้นให้เราตั้งสัจจะตั้งใจตั้งมั่นกับตนเองให้ได้ก่อนว่า เราจะทำตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตนเองได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด และถ้าหากว่าเราได้เลินเล่อเผลอเลอละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับไป เราก็ควรที่จะต้องได้รับการลงโทษทัณฑ์ด้วยตัวของเราเองด้วย โดยโทษทัณฑ์ที่เราจะได้รับนั้น ในตอนแรกๆและหรือครั้งแรกๆนั้น เราอาจจะควรที่จะได้รับไปเป็นแบบเบาๆไปก่อน แต่ถ้าเราได้ทำการละเมิดไปบ่อยครั้งๆเข้า เราก็ต้องควรที่จะได้รับกับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งมันยากและน่ากลัว แต่อย่าได้ไปท้อแท้และท้อถอย แต่ให้เราพยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เราได้ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ และอย่าได้ไปท้อถอยกับความชั่วที่มีในจิตใจของตนเอง นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆที่ผมได้เคยประพฤติปฏิบัติมานั่นเอง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราที่เราได้มุ่งหวังคาดหวังเอาไว้นั่นเอง และสุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านได้เข้าใจและลองนำไปทำกันดูกันนะครับ
    ความสุขที่แท้จริง บางครั้งคนเราคิดว่าความสุขนั้นจีรังยั่งยืน บางคนก็ว่ามันไม่จีรังยั่งยืน บ้างก็ว่ามีทั้งความสุขและความทุกข์ปะปนกันไปตามคำสอนของศาสนา แต่สำหรับผมแล้ว ความสุขนั้นมันขึ้นอยู่กับใจของเรา และมันก็มีทั้งชั่วคราวและยั่งยืนทั้งสองแบบนั่นเอง ความสุขที่แท้จริงนั้นมันสามารถที่จะเป็นไปได้เสมอมาและเสมอไป แต่มันขึ้นอยู่กับใจของเรา หลวงตาบัวฯท่านได้เคยสอนพวกเราทั้งหลายเอาไว้ว่า ใจเรานั้นไม่เคยตาย มันมีทั้งสวรรค์และนรก เราจึงควรที่จะเร่งกระทำการสั่งสมความดีบุญกุศลบุญบารมีเอาไว้ให้มากๆ เพราะกรรมหรือการกระทำของตัวเราจะเป็นตัวกำหนดว่า ในชาติภพหน้านั้นเราจะได้ไปอยู่ ณ ที่ใดและจะได้ไปเกิดไปเป็นอะไรกัน ฉะนั้นหลวงตาบัวฯท่านถึงได้เฝ้าบอกพวกเราทั้งหลาย และย้ำนักย้ำหนาว่า สวรรค์มี นรกมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นิพพานมีจริง พรหมโลกมีจริง ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ให้พวกเราจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจนะ หลวงตาบัวฯท่านว่าเอาไว้อย่างนั้น ขนาดหลวงตาบัวฯท่านเป็นพระอรหันต์ยังว่าไว้อย่างนั้นเลย แล้วพวกเราตัวเท่าหนู เป็นใครเก่งมาจากไหนถึงจะไม่เชื่อท่านเล่า นี่คือหลักธรรมคำสอนที่หลวงตาบัวฯท่านได้ว่าเอาไว้ก่อนที่ท่านจะมรณภาพละสังขารไปนั่นเอง ความสุขที่แท้จริงคือ การตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตนเองได้ประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เราได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงแรกๆนั้นให้เราตั้งสัจจะตั้งใจตั้งมั่นกับตนเองให้ได้ก่อนว่า เราจะทำตามกฎระเบียบข้อบังคับที่ตนเองได้ตั้งเอาไว้อย่างเคร่งครัด และถ้าหากว่าเราได้เลินเล่อเผลอเลอละเมิดกฎระเบียบข้อบังคับไป เราก็ควรที่จะต้องได้รับการลงโทษทัณฑ์ด้วยตัวของเราเองด้วย โดยโทษทัณฑ์ที่เราจะได้รับนั้น ในตอนแรกๆและหรือครั้งแรกๆนั้น เราอาจจะควรที่จะได้รับไปเป็นแบบเบาๆไปก่อน แต่ถ้าเราได้ทำการละเมิดไปบ่อยครั้งๆเข้า เราก็ต้องควรที่จะได้รับกับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น ซึ่งมันยากและน่ากลัว แต่อย่าได้ไปท้อแท้และท้อถอย แต่ให้เราพยายามทำให้ได้ในสิ่งที่เราได้ตั้งมั่นกับตนเองเอาไว้ และอย่าได้ไปท้อถอยกับความชั่วที่มีในจิตใจของตนเอง นี่เป็นแค่ตัวอย่างง่ายๆที่ผมได้เคยประพฤติปฏิบัติมานั่นเอง เพื่อความสุขที่แท้จริงในใจของเราที่เราได้มุ่งหวังคาดหวังเอาไว้นั่นเอง และสุดท้ายนี้ผมขอให้ทุกท่านได้เข้าใจและลองนำไปทำกันดูกันนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไฮโซกับโลโซ
    ความแตกต่างระหว่างไฮโซกับโลโซนั้นดูเหมือนว่ามันจะมีมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไรเลย ที่ต่างกันจริงๆนั้นก็คือ การยึดมั่นถือมั่นในอัตตาที่มีมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง
    คนเรา ถึงจะเป็นไฮโซแต่ทำตัวสมถะติดดินก็ทำได้ เอาอย่างในหลวงท่านสอนให้พอเพียงนั่นไง และถ้าเค้าคนนั้นเป็นคนดีด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะเอาทรัพย์สินเงินทองที่มีไปทำบุญช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนทุกข์ยาก ก็จะได้ทั้งบุญกุศลและบุญบารมีอย่างในหลวงท่าน และได้อริยทรัพย์อันยิ่งใหญ่ก็คือบุญติดตามไปในชาติภพหน้าด้วย
    ส่วนคนไฮโซที่เค้าอวดร่ำอวดรวยก็ช่างเขาเถอะ สักวันเค้าก็ต้องจนอยู่ดี โดยเฉพาะจนบุญกุศลบุญบารมีและจนใจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
    ส่วนคนที่เป็นพวกโลโซ แต่อยู่อย่างพอเพียง พอดี พอมี พอกิน ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานโดยไม่มีความทุกข์เดือดร้อนกายใจ แต่โลโซบางพวกที่จะพูดถึงนี่สิ ช่างน่าสงสาร น่าเวทนา น่าสังเวชใจยิ่งนัก พอดีไม่มี อยากได้อยากมีอย่างเค้าแต่ทุนตัวเองก็ไม่มี ก็ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเค้ามา ลำพองตัวเอง อวดข้าว อวดของ ว่ามีอย่างคนอื่นเขา ทั้งๆที่ตนเองต้องเดือดร้อนในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งคนจำพวกนี้ก็มีเยอะนะในสังคมเรา
    สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ข้อคิดคุณผู้อ่านว่า สิ่งใดดีก็ควรเอาไปเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ซึ่งแบบอย่างที่ดีที่พวกเราเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ ในหลวง ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเอง
    จงพอดี พอมี พอเพียง พออยู่ พอกิน แล้วเราจะไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า
    ไฮโซกับโลโซ ความแตกต่างระหว่างไฮโซกับโลโซนั้นดูเหมือนว่ามันจะมีมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้แตกต่างกันมากมายอะไรเลย ที่ต่างกันจริงๆนั้นก็คือ การยึดมั่นถือมั่นในอัตตาที่มีมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง คนเรา ถึงจะเป็นไฮโซแต่ทำตัวสมถะติดดินก็ทำได้ เอาอย่างในหลวงท่านสอนให้พอเพียงนั่นไง และถ้าเค้าคนนั้นเป็นคนดีด้วยแล้วล่ะก็ ก็จะเอาทรัพย์สินเงินทองที่มีไปทำบุญช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนทุกข์ยาก ก็จะได้ทั้งบุญกุศลและบุญบารมีอย่างในหลวงท่าน และได้อริยทรัพย์อันยิ่งใหญ่ก็คือบุญติดตามไปในชาติภพหน้าด้วย ส่วนคนไฮโซที่เค้าอวดร่ำอวดรวยก็ช่างเขาเถอะ สักวันเค้าก็ต้องจนอยู่ดี โดยเฉพาะจนบุญกุศลบุญบารมีและจนใจ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ส่วนคนที่เป็นพวกโลโซ แต่อยู่อย่างพอเพียง พอดี พอมี พอกิน ก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานโดยไม่มีความทุกข์เดือดร้อนกายใจ แต่โลโซบางพวกที่จะพูดถึงนี่สิ ช่างน่าสงสาร น่าเวทนา น่าสังเวชใจยิ่งนัก พอดีไม่มี อยากได้อยากมีอย่างเค้าแต่ทุนตัวเองก็ไม่มี ก็ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นเค้ามา ลำพองตัวเอง อวดข้าว อวดของ ว่ามีอย่างคนอื่นเขา ทั้งๆที่ตนเองต้องเดือดร้อนในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งคนจำพวกนี้ก็มีเยอะนะในสังคมเรา สุดท้ายนี้ผมอยากจะให้ข้อคิดคุณผู้อ่านว่า สิ่งใดดีก็ควรเอาไปเป็นแบบอย่าง สิ่งใดที่ไม่ดีก็ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ ซึ่งแบบอย่างที่ดีที่พวกเราเห็นได้อย่างชัดเจนนั่นก็คือ ในหลวง ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเอง จงพอดี พอมี พอเพียง พออยู่ พอกิน แล้วเราจะไม่เดือดร้อนในภายภาคหน้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 91 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตมารสังหาร
    การที่จะมีจิตมารสังหารนั้นไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้มาโดยง่ายนัก
    คนที่มีจิตมารสังหารนั้นมีอยู่สองประเภท คือ
    1.ผู้ที่ผ่านพ้นความทุกข์ทรมานมาอย่างแสนสาหัส โดยจะเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทำร้าย ทั้งทางกาย,วาจา และใจมาเนิ่นนานหลายวัน เดือน ปีก็ตาม
    2.ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนที่แสนสาหัสยิ่งยวดโดยให้เป็นผู้ที่ฆ่า ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ ของรักของตนเองหรือของคนอื่นก็ตาม
    ทั้งสองประเภทนั้นถูกเรียกชื่อกันต่างๆนาๆทั่วไป เช่น เรียกว่า นักฆ่า,มือสังหาร,เพชฌฆาต เป็นต้น
    โดยจิตมารสังหารถือว่าเป็นขั้นที่สองจากจิตสังหารนั่นเอง มีทั้งคุณและโทษ แต่จะใช้งานเพื่อปกป้อง หรือ ทำลาย เท่านั้นเอง
    จิตมารสังหาร การที่จะมีจิตมารสังหารนั้นไม่ยาก แต่มันก็ไม่ได้มาโดยง่ายนัก คนที่มีจิตมารสังหารนั้นมีอยู่สองประเภท คือ 1.ผู้ที่ผ่านพ้นความทุกข์ทรมานมาอย่างแสนสาหัส โดยจะเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ ทำร้าย ทั้งทางกาย,วาจา และใจมาเนิ่นนานหลายวัน เดือน ปีก็ตาม 2.ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนที่แสนสาหัสยิ่งยวดโดยให้เป็นผู้ที่ฆ่า ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ ของรักของตนเองหรือของคนอื่นก็ตาม ทั้งสองประเภทนั้นถูกเรียกชื่อกันต่างๆนาๆทั่วไป เช่น เรียกว่า นักฆ่า,มือสังหาร,เพชฌฆาต เป็นต้น โดยจิตมารสังหารถือว่าเป็นขั้นที่สองจากจิตสังหารนั่นเอง มีทั้งคุณและโทษ แต่จะใช้งานเพื่อปกป้อง หรือ ทำลาย เท่านั้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 39 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่(เรื่องของคนดีกับคนชั่วที่มีความรู้สึกที่แตกต่างกัน)
    "คนดีเท่านั้นที่มีความสุขเสมอ คนชั่วเท่านั้นที่มีความทุกข์เสมอ"
    มันเป็นสัจธรรมอย่างแท้จริง
    คำคมใหม่(เรื่องของคนดีกับคนชั่วที่มีความรู้สึกที่แตกต่างกัน) "คนดีเท่านั้นที่มีความสุขเสมอ คนชั่วเท่านั้นที่มีความทุกข์เสมอ" มันเป็นสัจธรรมอย่างแท้จริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหวัง
    คนทั่วไปอาจจะคิดว่าความหวังไม่ใช่สิ่งสำคัญสักเท่าไหร่ในการมีชีวิตอยู่ของคนเรา
    แต่แท้ที่จริงแล้วความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า
    น้อยคนนักที่จะมีความหวังอันเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆที่กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น คนที่สามารถปลุกเร้ากำลังใจขึ้นมาทำให้กลับมามีความหวังขึ้นมาได้อีกครั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นได้กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกินไปแล้วนั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นกำลังตกอยู่ในห้วงหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง
    คนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแก่การมีชีวิตอยู่ มันเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยไปในตัว เมือเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดอาลัยอาวรในชีวิต รันทดชีวิต เกิดความรู้สึกว่าในชั่วชีวิตนี้นั้นมันไม่เหลืออะไรให้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายก็จะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรืออาจจะถึงขั้นพาลพลอยพาคนอื่นเดือดร้อน ฆ่าคนอื่นตายตามไปด้วย เพราะเกิดความรู้สึก เหงา ว้าแหว่ ที่ตัวเองตายไปแล้วไม่มีใครตายไปเป็นเพื่อนกับตนเองในโลกหน้าด้วยนั่นเอง
    ความรู้สึกนี้นันเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแทบทุกคนก็ล้วนเคยประสบพบเจอกับความรู้สึกนี้มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะในชั่วชีวิตของคนเราคนหนึ่งนั้นก็ต้องพบเจอกับความสุขความทุกข์มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะไม่เคยมีประสบการณ์ความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียวด้านเดียวไปชั่วทั้งชีวิตหรอกจริงมั้ย
    การคว้าความหวังมาไว้ในกำมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยเสียทีเดียว เค้าคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบจากเบื้องบนมาอย่างแสนสาหัสมากมาย กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของตนเองว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อดี ถ้าเค้าสามารถค้นหาคำตอบแห่งชีวิตของตนเองได้ เค้าคนนั้นก็จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม และก็สาสามารถคว้าความหวังมาไว้ในกำมือของตัวเองได้นั่นเอง
    สุดท้ายนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านว่า
    1.คุณคิดว่าคุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง?
    2.คุณได้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและหรือเพื่อใครแล้วหรือยัง?
    3.คุณจะดำเนินชีวิตของคุณต่อไปอย่างไรในอนาคต ตราบจนกระทั่งคุณได้หมดลมหายใจและตายไป?
    4.เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะยังมีความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าอยู่อีกมั้ย?
    สุดท้ายนี้ ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า
    ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตอยู่ของคนเราจริงๆ
    ความหวัง คนทั่วไปอาจจะคิดว่าความหวังไม่ใช่สิ่งสำคัญสักเท่าไหร่ในการมีชีวิตอยู่ของคนเรา แต่แท้ที่จริงแล้วความหวังเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า น้อยคนนักที่จะมีความหวังอันเต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง หรือตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆที่กำลังประสบพบเจออยู่ในขณะนั้น ท่ามกลางความท้อแท้สิ้นหวังนั้น คนที่สามารถปลุกเร้ากำลังใจขึ้นมาทำให้กลับมามีความหวังขึ้นมาได้อีกครั้งนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้นั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นได้กำกุญแจแห่งชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง ส่วนผู้ที่ถูกความท้อแท้สิ้นหวังกลืนกินไปแล้วนั้น มันก็เท่ากับว่าเค้าผู้นั้นกำลังตกอยู่ในห้วงหุบเหวแห่งความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง คนเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตนี้มีค่าแก่การมีชีวิตอยู่ มันเหมือนเป็นการให้กำลังใจตัวเองด้วยไปในตัว เมือเกิดความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหมดอาลัยอาวรในชีวิต รันทดชีวิต เกิดความรู้สึกว่าในชั่วชีวิตนี้นั้นมันไม่เหลืออะไรให้อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว สุดท้ายก็จะคิดสั้น ฆ่าตัวตาย หรืออาจจะถึงขั้นพาลพลอยพาคนอื่นเดือดร้อน ฆ่าคนอื่นตายตามไปด้วย เพราะเกิดความรู้สึก เหงา ว้าแหว่ ที่ตัวเองตายไปแล้วไม่มีใครตายไปเป็นเพื่อนกับตนเองในโลกหน้าด้วยนั่นเอง ความรู้สึกนี้นันเกิดขึ้นได้กับทุกคน และแทบทุกคนก็ล้วนเคยประสบพบเจอกับความรู้สึกนี้มาด้วยกันทั้งนั้น เพราะในชั่วชีวิตของคนเราคนหนึ่งนั้นก็ต้องพบเจอกับความสุขความทุกข์มาด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่จะไม่เคยมีประสบการณ์ความสุขหรือความทุกข์แต่เพียงอย่างเดียวด้านเดียวไปชั่วทั้งชีวิตหรอกจริงมั้ย การคว้าความหวังมาไว้ในกำมือนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลยเสียทีเดียว เค้าคนนั้นจะต้องผ่านการทดสอบจากเบื้องบนมาอย่างแสนสาหัสมากมาย กว่าจะรู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของตนเองว่าควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า ในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อดี ถ้าเค้าสามารถค้นหาคำตอบแห่งชีวิตของตนเองได้ เค้าคนนั้นก็จะเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม และก็สาสามารถคว้าความหวังมาไว้ในกำมือของตัวเองได้นั่นเอง สุดท้ายนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านว่า 1.คุณคิดว่าคุณรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตของตัวเองแล้วหรือยัง? 2.คุณได้ค้นพบคำตอบของการมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรและหรือเพื่อใครแล้วหรือยัง? 3.คุณจะดำเนินชีวิตของคุณต่อไปอย่างไรในอนาคต ตราบจนกระทั่งคุณได้หมดลมหายใจและตายไป? 4.เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความท้อแท้สิ้นหวัง คุณจะยังมีความหวังและกำลังใจอันเต็มเปี่ยมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าอยู่อีกมั้ย? สุดท้ายนี้ ผมสามารถบอกกับคุณได้ว่า ความหวังเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำรงชีวิตอยู่ของคนเราจริงๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุดมการณ์ของฉัน
    อุดมการณ์ของฉันก็คือ สืบทอด สานต่อ เจตจำนงของบรรพชน ธำรงไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
    “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ที่พยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อคนอื่นที่เค้ามีความทุกข์ ให้พวกเค้าได้คลายทุกข์โศก ได้มีความหวังกำลังใจ ที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป ก็เท่านั้นเอง”
    อุดมการณ์ของฉัน อุดมการณ์ของฉันก็คือ สืบทอด สานต่อ เจตจำนงของบรรพชน ธำรงไว้ซึ่ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ค้ำจุนคนดี กำราบคนชั่ว ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ให้ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข “ฉันเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง ที่พยายามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพื่อคนอื่นที่เค้ามีความทุกข์ ให้พวกเค้าได้คลายทุกข์โศก ได้มีความหวังกำลังใจ ที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป ก็เท่านั้นเอง”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสร้างสายใยแห่งความผูกพัน: กุศลและอกุศลในความสัมพันธ์

    สิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันสร้างสายใยแห่งความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้า ร้องเพลง หรือสวดมนต์ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่สะท้อนมิติทางจิตใจ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของกิจกรรมนั้น


    ---

    1. กินเหล้า: สายใยอารมณ์ดิบ

    ลักษณะ: การดื่มเหล้าสร้างความผูกพันในทางที่ขาดสติ เกิดจากอารมณ์มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และมักพ่วงด้วยความบิดเบี้ยวทางเหตุผล

    ผลลัพธ์:

    รักง่าย โกรธง่าย เพราะอารมณ์เป็นตัวนำ มากกว่าเหตุผล

    น้ำใจที่เกิดขึ้นมักผันผวน ไม่แน่นอน

    พื้นฐานความสัมพันธ์ขาดความมั่นคง พร้อมจะเปลี่ยนไปตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์




    ---

    2. ร้องเพลง: สายใยแห่งความรื่นเริง

    ลักษณะ: การร้องเพลงร่วมกันสร้างพลังชีวิตอันสดใส เกิดความสามัคคีและอารมณ์สุขสันต์ร่วมกัน

    ผลลัพธ์:

    เกิดความยินดีที่พร้อมจะปรองดองและช่วยเหลือกัน

    แต่หากขาดสมดุลหรือไม่ได้มีความสุขร่วมกันต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งความน้อยใจหรือเหินห่างได้

    ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับบรรยากาศและอารมณ์ชั่วขณะ




    ---

    3. สวดมนต์: สายใยแห่งความสว่าง

    ลักษณะ: การสวดมนต์สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยถักทอกระแสจิตให้ผาสุก สงบ และสติแจ่มใส

    ผลลัพธ์:

    เกิดความผูกพันในอารมณ์เย็นรื่นและพร้อมเกื้อกูลกันในทางเจริญ

    ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จะถูกแก้ไขได้เร็ว เพราะมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน

    สายใยที่สร้างขึ้นมีแนวโน้มจะนำพาสู่ความรุ่งเรืองและความสุขที่ยั่งยืน




    ---

    4. ปัจจัยสำคัญของสายใย: สว่างและมืด

    สายใยสว่าง (กุศล):

    พื้นฐาน: น้ำใจ, ศีล, และสติ

    ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานร่วมกัน


    สายใยมืด (อกุศล):

    พื้นฐาน: ความตระหนี่, ทุศีล, และการขาดสติ

    ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และมีแนวโน้มล้มเหลวในชีวิตหรือธุรกิจ




    ---

    บทสรุป: การถักทอสายใยที่มีคุณภาพ

    การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นฐานจิตใจที่เกื้อกูลกัน

    หากเน้น เกื้อกูลกันในทางสว่าง ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นแสงสว่างที่สร้างความสุขและความสำเร็จ

    หากเน้น เบียดเบียนกันในทางมืด ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นเงาที่ทำให้ชีวิตถดถอย


    เลือกกิจกรรม เลือกวิถีใจ และเลือกการสร้างสายใยให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อความสุขและความเจริญในระยะยาว.

    การสร้างสายใยแห่งความผูกพัน: กุศลและอกุศลในความสัมพันธ์ สิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันสร้างสายใยแห่งความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้า ร้องเพลง หรือสวดมนต์ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่สะท้อนมิติทางจิตใจ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของกิจกรรมนั้น --- 1. กินเหล้า: สายใยอารมณ์ดิบ ลักษณะ: การดื่มเหล้าสร้างความผูกพันในทางที่ขาดสติ เกิดจากอารมณ์มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และมักพ่วงด้วยความบิดเบี้ยวทางเหตุผล ผลลัพธ์: รักง่าย โกรธง่าย เพราะอารมณ์เป็นตัวนำ มากกว่าเหตุผล น้ำใจที่เกิดขึ้นมักผันผวน ไม่แน่นอน พื้นฐานความสัมพันธ์ขาดความมั่นคง พร้อมจะเปลี่ยนไปตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์ --- 2. ร้องเพลง: สายใยแห่งความรื่นเริง ลักษณะ: การร้องเพลงร่วมกันสร้างพลังชีวิตอันสดใส เกิดความสามัคคีและอารมณ์สุขสันต์ร่วมกัน ผลลัพธ์: เกิดความยินดีที่พร้อมจะปรองดองและช่วยเหลือกัน แต่หากขาดสมดุลหรือไม่ได้มีความสุขร่วมกันต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งความน้อยใจหรือเหินห่างได้ ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับบรรยากาศและอารมณ์ชั่วขณะ --- 3. สวดมนต์: สายใยแห่งความสว่าง ลักษณะ: การสวดมนต์สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยถักทอกระแสจิตให้ผาสุก สงบ และสติแจ่มใส ผลลัพธ์: เกิดความผูกพันในอารมณ์เย็นรื่นและพร้อมเกื้อกูลกันในทางเจริญ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จะถูกแก้ไขได้เร็ว เพราะมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน สายใยที่สร้างขึ้นมีแนวโน้มจะนำพาสู่ความรุ่งเรืองและความสุขที่ยั่งยืน --- 4. ปัจจัยสำคัญของสายใย: สว่างและมืด สายใยสว่าง (กุศล): พื้นฐาน: น้ำใจ, ศีล, และสติ ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานร่วมกัน สายใยมืด (อกุศล): พื้นฐาน: ความตระหนี่, ทุศีล, และการขาดสติ ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และมีแนวโน้มล้มเหลวในชีวิตหรือธุรกิจ --- บทสรุป: การถักทอสายใยที่มีคุณภาพ การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นฐานจิตใจที่เกื้อกูลกัน หากเน้น เกื้อกูลกันในทางสว่าง ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นแสงสว่างที่สร้างความสุขและความสำเร็จ หากเน้น เบียดเบียนกันในทางมืด ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นเงาที่ทำให้ชีวิตถดถอย เลือกกิจกรรม เลือกวิถีใจ และเลือกการสร้างสายใยให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อความสุขและความเจริญในระยะยาว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • คู่รัก: ตัวแปรสำคัญของใจและชีวิต

    1. การเลือกคู่รัก = การเลือกใจตัวเอง
    การใช้ชีวิตร่วมกันกับคนรัก ไม่ใช่เพียงการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเองบางส่วนเพื่อความเข้ากันได้ เช่น

    ปรับวิธีพูดคุยและแก้ไขความขัดแย้งด้วยเหตุผล

    ปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิต เช่น จะอยู่เพื่อครอบครัวเล็กหรือใหญ่

    ปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมกัน


    2. คนรัก: อิทธิพลสำคัญในชีวิต

    ด้านลบ: คนรักอาจเป็นตัวกระตุ้นให้นิสัยแย่ๆ ของคุณรุนแรงขึ้น เช่น

    ยุยงให้โกหก หรือปั่นหัวให้เกิดความทุกข์

    ทำให้คุณเจ้าอารมณ์หรือเกิดความเครียดจากนิสัยไม่ดีของเขา


    ด้านบวก: คนรักสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ เช่น

    สร้างนิสัยการช่วยเหลือ การทำบุญ หรือการเสียสละ

    เป็นแบบอย่างของการควบคุมอารมณ์และการคิดบวก



    3. คนรัก: ตัวแปรที่เปลี่ยนกรรม
    การใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่ดีสามารถเปลี่ยนกรรมของคุณได้:

    หากเขาแสดงออกถึงความมีเมตตา คุณอาจซึมซับนิสัยดีๆ นั้นมาโดยไม่รู้ตัว

    หากเขามีวิธีคิดที่ทำให้คุณเห็นคุณค่าของชีวิต คุณอาจพัฒนาตัวเองและกรรมของคุณไปในทางที่ดีขึ้น


    4. การเลือกคู่รักที่ดี

    มองลึกกว่าภายนอก: อย่าดูแค่ลักษณะภายนอก แต่ให้ดูพฤติกรรมและวิธีคิด

    มองหาคนที่พัฒนาไปด้วยกัน: เลือกคนที่ช่วยเสริมให้คุณดีขึ้น และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน


    5. สรุป:
    การเลือกคู่รักที่ดีเท่ากับการเลือกใจของตัวเอง เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมทั้งคุณและเขาให้เป็นคนที่ดีขึ้น เป็นแรงผลักดันให้คุณเติบโตในชีวิตและจิตใจ และเปลี่ยนกรรมที่ติดตัวมาให้กลายเป็นสิ่งดีงามในระยะยาว.

    คู่รัก: ตัวแปรสำคัญของใจและชีวิต 1. การเลือกคู่รัก = การเลือกใจตัวเอง การใช้ชีวิตร่วมกันกับคนรัก ไม่ใช่เพียงการแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ แต่ยังเป็นการปรับเปลี่ยนตัวเองบางส่วนเพื่อความเข้ากันได้ เช่น ปรับวิธีพูดคุยและแก้ไขความขัดแย้งด้วยเหตุผล ปรับวิธีคิดเกี่ยวกับเป้าหมายชีวิต เช่น จะอยู่เพื่อครอบครัวเล็กหรือใหญ่ ปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับการอยู่ร่วมกัน 2. คนรัก: อิทธิพลสำคัญในชีวิต ด้านลบ: คนรักอาจเป็นตัวกระตุ้นให้นิสัยแย่ๆ ของคุณรุนแรงขึ้น เช่น ยุยงให้โกหก หรือปั่นหัวให้เกิดความทุกข์ ทำให้คุณเจ้าอารมณ์หรือเกิดความเครียดจากนิสัยไม่ดีของเขา ด้านบวก: คนรักสามารถเป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ เช่น สร้างนิสัยการช่วยเหลือ การทำบุญ หรือการเสียสละ เป็นแบบอย่างของการควบคุมอารมณ์และการคิดบวก 3. คนรัก: ตัวแปรที่เปลี่ยนกรรม การใช้ชีวิตร่วมกับคนรักที่ดีสามารถเปลี่ยนกรรมของคุณได้: หากเขาแสดงออกถึงความมีเมตตา คุณอาจซึมซับนิสัยดีๆ นั้นมาโดยไม่รู้ตัว หากเขามีวิธีคิดที่ทำให้คุณเห็นคุณค่าของชีวิต คุณอาจพัฒนาตัวเองและกรรมของคุณไปในทางที่ดีขึ้น 4. การเลือกคู่รักที่ดี มองลึกกว่าภายนอก: อย่าดูแค่ลักษณะภายนอก แต่ให้ดูพฤติกรรมและวิธีคิด มองหาคนที่พัฒนาไปด้วยกัน: เลือกคนที่ช่วยเสริมให้คุณดีขึ้น และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน 5. สรุป: การเลือกคู่รักที่ดีเท่ากับการเลือกใจของตัวเอง เพราะความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยส่งเสริมทั้งคุณและเขาให้เป็นคนที่ดีขึ้น เป็นแรงผลักดันให้คุณเติบโตในชีวิตและจิตใจ และเปลี่ยนกรรมที่ติดตัวมาให้กลายเป็นสิ่งดีงามในระยะยาว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 327 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมู่บ้านคราฟท์ในฝัน#3
    ....
    การสร้างหมู่บ้านที่จะมีไว้จรรโลงใจ จำเป็นจะต้องป้องกันภัยที่ก่อให้เกิดความหดหู่ เช่น ภัยน้ำท่วม พื้นที่หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เคยประสบภัยจากน้ำเมื่อครั้งปีท่วมใหญ่ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะปรับเป็นพื้นที่ราบสูง
    ....
    ผลที่ได้คือสูงอย่างสบายใจ สูงเห็นวิวบึงน้ำที่ชุ่มเย็น สูงสูดกลิ่นดอกข้าวยามลมโชย สูงเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ใจของแขกแก้วที่จะมาเยือน และสูงพอที่จะคว้าความสุขมาเยือน เพราะที่นี่สูง...เพื่อเสพรับอิสระภาพ
    #หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้ อยู่ที่นี่ ที่สิงห์บุรี^^
    หมู่บ้านคราฟท์ในฝัน#3 .... การสร้างหมู่บ้านที่จะมีไว้จรรโลงใจ จำเป็นจะต้องป้องกันภัยที่ก่อให้เกิดความหดหู่ เช่น ภัยน้ำท่วม พื้นที่หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เคยประสบภัยจากน้ำเมื่อครั้งปีท่วมใหญ่ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะปรับเป็นพื้นที่ราบสูง .... ผลที่ได้คือสูงอย่างสบายใจ สูงเห็นวิวบึงน้ำที่ชุ่มเย็น สูงสูดกลิ่นดอกข้าวยามลมโชย สูงเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ใจของแขกแก้วที่จะมาเยือน และสูงพอที่จะคว้าความสุขมาเยือน เพราะที่นี่สูง...เพื่อเสพรับอิสระภาพ #หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้ อยู่ที่นี่ ที่สิงห์บุรี^^
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมู่บ้านคราฟท์ในฝัน#3
    ....
    การสร้างหมู่บ้านที่จะมีไว้จรรโลงใจ จำเป็นจะต้องป้องกันภัยที่ก่อให้เกิดความหดหู่ เช่น ภัยน้ำท่วม พื้นที่หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เคยประสบภัยจากน้ำเมื่อครั้งปีท่วมใหญ่ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะปรับเป็นพื้นที่ราบสูง
    ....
    ผลที่ได้คือสูงอย่างสบายใจ สูงเห็นวิวบึงน้ำที่ชุ่มเย็น สูงสูดกลิ่นดอกข้าวยามลมโชย สูงเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ใจของแขกแก้วที่จะมาเยือน และสูงพอที่จะคว้าความสุขมาเยือน เพราะที่นี่สูง...เพื่อเสพรับอิสระภาพ
    #หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้ อยู่ที่นี่ ที่สิงห์บุรี^^
    หมู่บ้านคราฟท์ในฝัน#3 .... การสร้างหมู่บ้านที่จะมีไว้จรรโลงใจ จำเป็นจะต้องป้องกันภัยที่ก่อให้เกิดความหดหู่ เช่น ภัยน้ำท่วม พื้นที่หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ เคยประสบภัยจากน้ำเมื่อครั้งปีท่วมใหญ่ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะปรับเป็นพื้นที่ราบสูง .... ผลที่ได้คือสูงอย่างสบายใจ สูงเห็นวิวบึงน้ำที่ชุ่มเย็น สูงสูดกลิ่นดอกข้าวยามลมโชย สูงเพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ใจของแขกแก้วที่จะมาเยือน และสูงพอที่จะคว้าความสุขมาเยือน เพราะที่นี่สูง...เพื่อเสพรับอิสระภาพ #หมู่บ้านคราฟท์ในฝันแห่งนี้ อยู่ที่นี่ ที่สิงห์บุรี^^
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง


    ---

    วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา

    1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น

    ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น

    ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์

    ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง



    2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา

    หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา

    การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด





    ---

    ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น

    หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ:

    นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี

    ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

    ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์



    ---

    การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์

    ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม

    เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล

    เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี



    ---

    สรุป

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.

    การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การตอบแทนบุญคุณของพระองค์ที่สมบูรณ์ที่สุดคือการ ปฏิบัติธรรมเป็นบูชา เพราะพระองค์ทรงมุ่งหมายให้สัตว์โลกหลุดพ้นจากความทุกข์ และการปฏิบัติธรรมคือหนทางที่นำไปสู่จุดมุ่งหมายนี้โดยตรง --- วิธีปฏิบัติธรรมเป็นบูชา 1. เริ่มต้นด้วยการทำจิตดีๆ ให้เกิดขึ้น ด้วยทาน: เปิดใจด้วยการแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยศีล: รักษาความประพฤติของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยสมาธิและสติ: ฝึกเจริญสติ รู้กายรู้ใจจนกระจ่างในความไม่เที่ยง 2. การถวายจิตดีๆ เป็นบูชา หากสามารถทำจิตให้สงบและเบาสบายได้แม้เพียงชั่วครู่ ก็น้อมนำจิตดีๆ นั้นถวายแทนการบูชา การปฏิบัติที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ของตัวเรา คือสิ่งที่ทำให้พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยที่สุด --- ทางเลือกสำหรับผู้เริ่มต้น หากยังไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ลึกซึ้งนัก ก็สามารถแสดงความกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าได้ด้วยการ: นำรูปหรือพระพุทธรูปมาบูชา เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจในการปฏิบัติดี ทำบุญ ถวายทาน หรือร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ศึกษาและเผยแผ่คำสอนของพระองค์ --- การตอบแทนคุณครูบาอาจารย์ ปฏิบัติตามคำสอน: งดเว้นจากสิ่งไม่ดีและลงมือปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน: ช่วยสืบทอดคำสอนของท่านให้กว้างไกล เคารพและระลึกถึงท่าน: ด้วยการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี --- สรุป การตอบแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์เริ่มต้นได้จากใจจริง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ขอเพียงมีความตั้งใจจริง และลงมือทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุกการกระทำที่ดีงาม ล้วนถือเป็นการตอบแทนคุณอันสมบูรณ์แล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 291 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความทุกข์
    และความสุข
    เป็นเหมือนโรคติดต่อ

    จากหนังสือ |ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ

    #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน
    #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก
    #ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ
    ความทุกข์ และความสุข เป็นเหมือนโรคติดต่อ จากหนังสือ |ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ #หนอนแว่นคลับ #รีวิวหนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #ทัศนคติ #Thaitimes #ความคิดเชิงบวก #ความสุขมันมียากขนาดนั้นเลยเหรอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสุขและความพอใจที่แท้จริง

    การเข้าใจธรรมชาติของ ความอยาก และการเจริญสติรู้เท่าทันจิตใจเป็นหัวใจสำคัญของการปลดเปลื้องตัวเองจากความทุกข์


    ---

    1. ต้นเหตุของความทุกข์คือความอยาก

    ความอยากในกาม: การปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ความอยากมี อยากเป็น: การดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ปรารถนา

    ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น: การปฏิเสธหรือผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ


    สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เกิดความกระวนกระวายและทุกข์อย่างต่อเนื่อง


    ---

    2. ความอยากทำให้จิตเพี้ยน

    มองสิ่งที่อยากได้ผิดเพี้ยน: เมื่ออยากได้มาก สิ่งนั้นจะดูดีเกินจริง มีเสน่ห์เกินจริง

    ความหลงที่เกิดจากความอยาก: จิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยากจะฟุ้งซ่าน ขาดความเป็นกลาง และไร้เหตุผล

    เมื่อได้มาแล้ว ความอยากนั้นจะลดลง และค่าของสิ่งที่ได้มาเริ่มจางหาย กลายเป็นธรรมดา



    ---

    3. การเจริญสติรู้ทันความอยาก

    สังเกตความอยาก: เมื่อความอยากเกิดขึ้น ให้รู้ทันว่าความอยากนั้นกำลังทำให้จิตใจผิดเพี้ยน

    เห็นธรรมชาติของจิต: เห็นว่าจิตแปรปรวนไปตามความอยาก และสุดท้ายจะลงเอยด้วยความรู้สึก “เฉยๆ”

    สติชั้นสูง: การสังเกตความอยากจนเกิดความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ จะทำให้จิตสงบและลดการยึดมั่น



    ---

    4. วิธีฝึกใจให้พอจริง

    ฝึกมองสิ่งที่มีด้วยใจเปิดกว้าง: เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ปรุงแต่ง

    ยอมรับความธรรมดา: ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว เห็นมันตามที่เป็น ไม่ใช่ตามที่ใจปรุงแต่ง

    อยู่กับปัจจุบัน: หายใจเข้า-ออก พร้อมกับรู้ตัวในสิ่งที่ทำในขณะนั้น



    ---

    สรุป

    ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการฝึกจิตให้รู้เท่าทันความอยาก และไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ การรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และการมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะทำให้คุณพบกับความสงบสุขและความอิ่มเอมในชีวิตอย่างยั่งยืน!

    ความสุขและความพอใจที่แท้จริง การเข้าใจธรรมชาติของ ความอยาก และการเจริญสติรู้เท่าทันจิตใจเป็นหัวใจสำคัญของการปลดเปลื้องตัวเองจากความทุกข์ --- 1. ต้นเหตุของความทุกข์คือความอยาก ความอยากในกาม: การปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความอยากมี อยากเป็น: การดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ปรารถนา ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น: การปฏิเสธหรือผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เกิดความกระวนกระวายและทุกข์อย่างต่อเนื่อง --- 2. ความอยากทำให้จิตเพี้ยน มองสิ่งที่อยากได้ผิดเพี้ยน: เมื่ออยากได้มาก สิ่งนั้นจะดูดีเกินจริง มีเสน่ห์เกินจริง ความหลงที่เกิดจากความอยาก: จิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยากจะฟุ้งซ่าน ขาดความเป็นกลาง และไร้เหตุผล เมื่อได้มาแล้ว ความอยากนั้นจะลดลง และค่าของสิ่งที่ได้มาเริ่มจางหาย กลายเป็นธรรมดา --- 3. การเจริญสติรู้ทันความอยาก สังเกตความอยาก: เมื่อความอยากเกิดขึ้น ให้รู้ทันว่าความอยากนั้นกำลังทำให้จิตใจผิดเพี้ยน เห็นธรรมชาติของจิต: เห็นว่าจิตแปรปรวนไปตามความอยาก และสุดท้ายจะลงเอยด้วยความรู้สึก “เฉยๆ” สติชั้นสูง: การสังเกตความอยากจนเกิดความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ จะทำให้จิตสงบและลดการยึดมั่น --- 4. วิธีฝึกใจให้พอจริง ฝึกมองสิ่งที่มีด้วยใจเปิดกว้าง: เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ปรุงแต่ง ยอมรับความธรรมดา: ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว เห็นมันตามที่เป็น ไม่ใช่ตามที่ใจปรุงแต่ง อยู่กับปัจจุบัน: หายใจเข้า-ออก พร้อมกับรู้ตัวในสิ่งที่ทำในขณะนั้น --- สรุป ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการฝึกจิตให้รู้เท่าทันความอยาก และไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ การรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และการมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะทำให้คุณพบกับความสงบสุขและความอิ่มเอมในชีวิตอย่างยั่งยืน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts