• Namewee แร็ปเปอร์มาเลย์ฯ ถูกกล่าวหาคดียาเสพติด

    กลายเป็นข่าวดังในมาเลเซียและเอเชีย เมื่อ เนมวี (Namewee) หรือนายวี เหมิง จือ (Wee Meng Chee) แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักแสดงชาวมาเลเซียวัย 41 ปี ถูกตั้งข้อหาเสพและครอบครองยาเสพติด ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นิวสเตรทไทมส์ (NST) เปิดเผยว่า ดาโต๊ะ ฟาดิล มาร์ซุส ผู้บัญชาการตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์ ยืนยันว่าเจ้าตัวถูกจับกุมเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ต.ค. ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง จากการตรวจค้นพบยาเม็ด 9 เม็ด ซึ่งสงสัยว่าเป็นยาอี (Ecstasy) นอกจากนี้ ผลตรวจสารเสพติดในร่างกายของนายวี พบสารแอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน เคตามีน และ THC

    เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายวีถูกตั้งข้อหา 2 ข้อหา ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดอันตราย ว่าด้วยการครอบครองและการเสพยาเสพติดของมาเลเซีย โดยมาตรา 39A(1) โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโบยไม่เกิน 9 ครั้ง หากศาลพิพากษาว่ามีความผิด ส่วนมาตรา 15(1)(a) ว่าด้วยการเสพยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนายวีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัว โดยมีผู้ค้ำประกันหนึ่งรายต่อหนึ่งข้อหา ศาลกำหนดวงเงินประกันตัวไว้ที่ 4,000 ริงกิตต่อข้อหา รวม 8,000 ริงกิต (ประมาณ 62,000 บาท) และนัดฟังการพิจารณาคดีในวันที่ 18 ธ.ค.

    ด้านเจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยันว่าไม่ได้เสพและครอบครองยาเสพติด อย่างมากก็แค่ดื่มสุราบ่อยเท่านั้น รอให้รายงานของตำรวจออกมาก็จะรู้ความจริง คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน ที่ยังไม่ตอบก่อนหน้านี้เพราะคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาตนยังถูกแบล็กเมล์ พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงการเสียชีวิตของอินฟลูเอนเซอร์สาวแนวเซ็กซี่ Nurse Goddess (เทพธิดาพยาบาล) คือ น.ส.ไอริส เซียะ (Iris Hsieh) ชาวไต้หวันวัย 31 ปี ที่เสียชีวิตในโรงแรมเดียวกันนี้ ว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และตำหนิว่ารถพยาบาลมาช้าเกือบ 1 ชั่วโมงอีกด้วย

    สำหรับเนมวี เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองมัวร์ รัฐยะโฮร์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการสื่อสารมวลชน ที่มหาวิทยาลัยหมิงชวน ไต้หวัน มีชื่อเสียงในไทยจากเพลง Thai Love Song และ Thai Cha Cha ฟีเจอริ่งกับ บี้ เดอะสกา (นายกฤษณ์ บุญญะรัง) เผยแพร่เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาเคยมีข้อกล่าวหาเรื่องมิวสิควิดีโอเพลง Oh My God ถูกวิจารณ์ว่าดูหมิ่นความอ่อนไหวทางศาสนา และการออกเพลง Fragile ล้อเลียนชาตินิยมจีนและประเด็นทางการเมืองละเอียดอ่อน กลายเป็นเพลงต้องห้ามในจีน

    #Newskit
    Namewee แร็ปเปอร์มาเลย์ฯ ถูกกล่าวหาคดียาเสพติด กลายเป็นข่าวดังในมาเลเซียและเอเชีย เมื่อ เนมวี (Namewee) หรือนายวี เหมิง จือ (Wee Meng Chee) แร็ปเปอร์ นักร้อง และนักแสดงชาวมาเลเซียวัย 41 ปี ถูกตั้งข้อหาเสพและครอบครองยาเสพติด ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นิวสเตรทไทมส์ (NST) เปิดเผยว่า ดาโต๊ะ ฟาดิล มาร์ซุส ผู้บัญชาการตำรวจกรุงกัวลาลัมเปอร์ ยืนยันว่าเจ้าตัวถูกจับกุมเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ต.ค. ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง จากการตรวจค้นพบยาเม็ด 9 เม็ด ซึ่งสงสัยว่าเป็นยาอี (Ecstasy) นอกจากนี้ ผลตรวจสารเสพติดในร่างกายของนายวี พบสารแอมเฟตามีน เมทแอมเฟตามีน เคตามีน และ THC เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายวีถูกตั้งข้อหา 2 ข้อหา ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดอันตราย ว่าด้วยการครอบครองและการเสพยาเสพติดของมาเลเซีย โดยมาตรา 39A(1) โทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 5 ปี และโบยไม่เกิน 9 ครั้ง หากศาลพิพากษาว่ามีความผิด ส่วนมาตรา 15(1)(a) ว่าด้วยการเสพยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 ริงกิต หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งนายวีให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการประกันตัว โดยมีผู้ค้ำประกันหนึ่งรายต่อหนึ่งข้อหา ศาลกำหนดวงเงินประกันตัวไว้ที่ 4,000 ริงกิตต่อข้อหา รวม 8,000 ริงกิต (ประมาณ 62,000 บาท) และนัดฟังการพิจารณาคดีในวันที่ 18 ธ.ค. ด้านเจ้าตัวโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ยืนยันว่าไม่ได้เสพและครอบครองยาเสพติด อย่างมากก็แค่ดื่มสุราบ่อยเท่านั้น รอให้รายงานของตำรวจออกมาก็จะรู้ความจริง คาดว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือน ที่ยังไม่ตอบก่อนหน้านี้เพราะคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวน ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาตนยังถูกแบล็กเมล์ พร้อมกันนี้ ยังกล่าวถึงการเสียชีวิตของอินฟลูเอนเซอร์สาวแนวเซ็กซี่ Nurse Goddess (เทพธิดาพยาบาล) คือ น.ส.ไอริส เซียะ (Iris Hsieh) ชาวไต้หวันวัย 31 ปี ที่เสียชีวิตในโรงแรมเดียวกันนี้ ว่า รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง และตำหนิว่ารถพยาบาลมาช้าเกือบ 1 ชั่วโมงอีกด้วย สำหรับเนมวี เป็นชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เกิดที่เมืองมัวร์ รัฐยะโฮร์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการสื่อสารมวลชน ที่มหาวิทยาลัยหมิงชวน ไต้หวัน มีชื่อเสียงในไทยจากเพลง Thai Love Song และ Thai Cha Cha ฟีเจอริ่งกับ บี้ เดอะสกา (นายกฤษณ์ บุญญะรัง) เผยแพร่เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมาเคยมีข้อกล่าวหาเรื่องมิวสิควิดีโอเพลง Oh My God ถูกวิจารณ์ว่าดูหมิ่นความอ่อนไหวทางศาสนา และการออกเพลง Fragile ล้อเลียนชาตินิยมจีนและประเด็นทางการเมืองละเอียดอ่อน กลายเป็นเพลงต้องห้ามในจีน #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมียกำนันลี ออกตัวป้องนายกสุดเลิฟ ลั่นท่านนายกพูดความจริง คนไทยรับไม่ได้! (3/11/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กำนันลี #อนุทิน #การเมืองไทย #รัฐบาลไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    เมียกำนันลี ออกตัวป้องนายกสุดเลิฟ ลั่นท่านนายกพูดความจริง คนไทยรับไม่ได้! (3/11/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #กำนันลี #อนุทิน #การเมืองไทย #รัฐบาลไทย #ดราม่าการเมือง #ข่าวร้อน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ความจริงสิ่งของบริจาค จากทหารหน้าแนว : [NEWS UPDATE]
    พลตรีณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดความจริงจากทหารหน้าแนวกรณีสิ่งของบริจาค การของบประมาณต้องทำแผนล่วงหน้า 2 ปี ส่วนใหญ่เป็นงบด้านกำลังพล งบพัฒนา เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดเร็วมาก ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นจึงไม่ได้ตั้งงบไว้ ส่วนงบกลางใช้เวลา 3-6 เดือน ผมอยู่หน้างานพี่น้องทุกสารทิศถามคำแรกคือ ทหารขาดอะไรบ้างอยากช่วย หน้าแนวส่วนใหญ่ต้องการของใช้ส่วนตัว หลายพื้นที่ถนนเข้าไม่ถึง น้ำ อาหารส่งยากลำบาก บางฐานต้องเดินลงจากเขามารับอาหาร 2-3 ชม. คนไทยรู้ก็อยากบริจาคเงินให้ตัดถนน เราไม่อยากรับเงินก็ขอรับเป็นสิ่งของ น้ำมันหรือวัสดุ หน้างานต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้กำลังพลสะดวก ปลอดภัย เป้าหมายคือบรรลุภารกิจก่อน เมื่อจบศึกเราทำบัญชีสิ่งของที่รับมาให้โปร่งใส พี่น้องคนไทยเป็นพลังหนุนเราทั้งชาติ เราต้องทำหน้าที่ให้สุดกำลังในฐานะตัวแทนคนทั้งชาติ



    ทหารกัมพูชาขวางเก็บระเบิด

    อาเซียนรุกปราบสแกมเมอร์

    เขมรชิงพบฮังการีตัดหน้าไทย

    แรงหนุนเอเชีย-แปซิฟิก
    ความจริงสิ่งของบริจาค จากทหารหน้าแนว : [NEWS UPDATE] พลตรีณัฎฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 เปิดความจริงจากทหารหน้าแนวกรณีสิ่งของบริจาค การของบประมาณต้องทำแผนล่วงหน้า 2 ปี ส่วนใหญ่เป็นงบด้านกำลังพล งบพัฒนา เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดเร็วมาก ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นจึงไม่ได้ตั้งงบไว้ ส่วนงบกลางใช้เวลา 3-6 เดือน ผมอยู่หน้างานพี่น้องทุกสารทิศถามคำแรกคือ ทหารขาดอะไรบ้างอยากช่วย หน้าแนวส่วนใหญ่ต้องการของใช้ส่วนตัว หลายพื้นที่ถนนเข้าไม่ถึง น้ำ อาหารส่งยากลำบาก บางฐานต้องเดินลงจากเขามารับอาหาร 2-3 ชม. คนไทยรู้ก็อยากบริจาคเงินให้ตัดถนน เราไม่อยากรับเงินก็ขอรับเป็นสิ่งของ น้ำมันหรือวัสดุ หน้างานต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้กำลังพลสะดวก ปลอดภัย เป้าหมายคือบรรลุภารกิจก่อน เมื่อจบศึกเราทำบัญชีสิ่งของที่รับมาให้โปร่งใส พี่น้องคนไทยเป็นพลังหนุนเราทั้งชาติ เราต้องทำหน้าที่ให้สุดกำลังในฐานะตัวแทนคนทั้งชาติ ทหารกัมพูชาขวางเก็บระเบิด อาเซียนรุกปราบสแกมเมอร์ เขมรชิงพบฮังการีตัดหน้าไทย แรงหนุนเอเชีย-แปซิฟิก
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • MSI คว้ารางวัล GOOD DESIGN 2025 กับ Cubi NUC AI Series: เล็กแต่ล้ำ ยั่งยืนแต่แรง!

    ถ้าคุณคิดว่า Mini PC คือแค่กล่องเล็ก ๆ สำหรับงานเบา ๆ… MSI ขอเปลี่ยนความคิดนั้นด้วย Cubi NUC AI Series ที่คว้ารางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ไปครอง ด้วยดีไซน์กะทัดรัดเพียง 0.51 หรือ 0.826 ลิตร แต่อัดแน่นด้วยพลัง AI และความยั่งยืนแบบจัดเต็ม

    Cubi NUC AI+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้รองรับ Copilot+ PC พร้อมฟีเจอร์ AI บนเครื่องโดยตรง เช่น การควบคุมด้วยเสียงผ่านไมค์และลำโพงในตัว มีพอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ 2.5G และปุ่มเปิดเครื่องแบบสแกนนิ้วเพื่อความปลอดภัย เหมาะกับทั้งนักธุรกิจ นักการศึกษา และสายงานที่ต้องการความคล่องตัว

    ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือความใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 37.25%, บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และใช้วัสดุเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% ทั้งหมดนี้ทำให้ Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบที่คิดถึงโลก

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม:
    GOOD DESIGN AWARD เป็นรางวัลจากญี่ปุ่นที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม
    Copilot+ PC คือมาตรฐานใหม่ของ Windows ที่เน้นการประมวลผล AI บนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์
    Mini PC กำลังเป็นเทรนด์ในองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่และพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง

    MSI Cubi NUC AI Series ได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025
    โดดเด่นด้านดีไซน์, ฟังก์ชัน และความยั่งยืน
    ขนาดเล็กเพียง 0.51–0.826 ลิตร แต่ประสิทธิภาพสูง

    รองรับ Copilot+ PC และ AI บนเครื่อง
    มีไมค์และลำโพงในตัวสำหรับควบคุมด้วยเสียง
    พอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ และปุ่มสแกนนิ้ว

    ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม
    ใช้พลาสติกรีไซเคิล 37.25% ในตัวเครื่อง
    บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และรีไซเคิลได้ 100%

    เหมาะกับการใช้งานในยุคใหม่
    ตอบโจทย์นักธุรกิจ, นักการศึกษา และสายงาน AI
    เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่ยั่งยืนและทรงพลัง

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Mini PC
    หลายคนยังคิดว่า Mini PC ใช้งานได้แค่เบื้องต้น
    ความจริงคือสามารถรองรับงาน AI และธุรกิจได้เต็มรูปแบบ

    ความเสี่ยงจากการละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุปกรณ์ไอที
    การใช้วัสดุที่ไม่รีไซเคิลอาจเพิ่มขยะอิเล็กทรอนิกส์
    การออกแบบที่ไม่ยั่งยืนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว

    Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่ Mini PC แต่เป็น “Mini Revolution” ที่รวมพลัง AI กับหัวใจสีเขียวไว้ในกล่องเล็ก ๆ ที่ทรงพลัง

    https://www.techpowerup.com/342551/msi-cubi-nuc-ai-series-wins-good-design-award-2025-for-innovation-and-sustainability
    🏆 MSI คว้ารางวัล GOOD DESIGN 2025 กับ Cubi NUC AI Series: เล็กแต่ล้ำ ยั่งยืนแต่แรง! ถ้าคุณคิดว่า Mini PC คือแค่กล่องเล็ก ๆ สำหรับงานเบา ๆ… MSI ขอเปลี่ยนความคิดนั้นด้วย Cubi NUC AI Series ที่คว้ารางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ไปครอง ด้วยดีไซน์กะทัดรัดเพียง 0.51 หรือ 0.826 ลิตร แต่อัดแน่นด้วยพลัง AI และความยั่งยืนแบบจัดเต็ม Cubi NUC AI+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้รองรับ Copilot+ PC พร้อมฟีเจอร์ AI บนเครื่องโดยตรง เช่น การควบคุมด้วยเสียงผ่านไมค์และลำโพงในตัว มีพอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ 2.5G และปุ่มเปิดเครื่องแบบสแกนนิ้วเพื่อความปลอดภัย เหมาะกับทั้งนักธุรกิจ นักการศึกษา และสายงานที่ต้องการความคล่องตัว ที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือความใส่ใจสิ่งแวดล้อม: ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล 37.25%, บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และใช้วัสดุเยื่อกระดาษรีไซเคิล 100% ทั้งหมดนี้ทำให้ Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการออกแบบที่คิดถึงโลก 💡 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม: 💠 GOOD DESIGN AWARD เป็นรางวัลจากญี่ปุ่นที่เน้นการออกแบบเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่ความสวยงาม 💠 Copilot+ PC คือมาตรฐานใหม่ของ Windows ที่เน้นการประมวลผล AI บนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ 💠 Mini PC กำลังเป็นเทรนด์ในองค์กรที่ต้องการลดพื้นที่และพลังงาน แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง ✅ MSI Cubi NUC AI Series ได้รับรางวัล GOOD DESIGN AWARD 2025 ➡️ โดดเด่นด้านดีไซน์, ฟังก์ชัน และความยั่งยืน ➡️ ขนาดเล็กเพียง 0.51–0.826 ลิตร แต่ประสิทธิภาพสูง ✅ รองรับ Copilot+ PC และ AI บนเครื่อง ➡️ มีไมค์และลำโพงในตัวสำหรับควบคุมด้วยเสียง ➡️ พอร์ต Thunderbolt, LAN คู่ และปุ่มสแกนนิ้ว ✅ ความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ➡️ ใช้พลาสติกรีไซเคิล 37.25% ในตัวเครื่อง ➡️ บรรจุภัณฑ์ผ่านการรับรอง FSC และรีไซเคิลได้ 100% ✅ เหมาะกับการใช้งานในยุคใหม่ ➡️ ตอบโจทย์นักธุรกิจ, นักการศึกษา และสายงาน AI ➡️ เป็นตัวอย่างของการออกแบบที่ยั่งยืนและทรงพลัง ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Mini PC ⛔ หลายคนยังคิดว่า Mini PC ใช้งานได้แค่เบื้องต้น ⛔ ความจริงคือสามารถรองรับงาน AI และธุรกิจได้เต็มรูปแบบ ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยเรื่องสิ่งแวดล้อมในอุปกรณ์ไอที ⛔ การใช้วัสดุที่ไม่รีไซเคิลอาจเพิ่มขยะอิเล็กทรอนิกส์ ⛔ การออกแบบที่ไม่ยั่งยืนส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรในระยะยาว Cubi NUC AI Series ไม่ใช่แค่ Mini PC แต่เป็น “Mini Revolution” ที่รวมพลัง AI กับหัวใจสีเขียวไว้ในกล่องเล็ก ๆ ที่ทรงพลัง 🌱💻 https://www.techpowerup.com/342551/msi-cubi-nuc-ai-series-wins-good-design-award-2025-for-innovation-and-sustainability
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    MSI Cubi NUC AI Series Wins GOOD DESIGN AWARD 2025 for Innovation and Sustainability
    MSI proudly announces that its Cubi NUC AI Series mini PCs have been honored with the GOOD DESIGN AWARD 2025, recognizing its excellence in design, functionality, and commitment to sustainability. The MSI Cubi NUC AI Series is built for the era of AI-driven computing, all within a compact chassis of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bluetooth อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด! เปิดเผยภัยเงียบจากการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้ พร้อมวิธีป้องกันแบบมือโปร

    เรื่องราวนี้จะพาคุณไปสำรวจความจริงที่หลายคนมองข้ามเกี่ยวกับการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้บนอุปกรณ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หูฟัง หรือสมาร์ทวอทช์ — ความสะดวกที่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว!

    Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น — เชื่อมต่อหูฟัง ส่งไฟล์ หรือใช้อุปกรณ์เสริมแบบไร้สาย แต่ความสะดวกนี้แฝงด้วยภัยเงียบที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน

    เมื่อคุณเปิด Bluetooth ทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน อุปกรณ์ของคุณจะกลายเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ที่สามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น “Bluesnarfing” หรือ “Bluejacking” เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณโดยไม่ต้องขออนุญาต แม้แต่ร้านค้าก็สามารถใช้ Bluetooth beacon เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียด

    ที่น่าตกใจคือ แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ติดตามตำแหน่งของคุณแบบเรียลไทม์ และที่แย่กว่านั้นคือ คุณอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลของคุณถูกขโมยไปแล้ว!

    วิธีป้องกันภัย Bluetooth แบบมือโปร
    ปิด Bluetooth เมื่อไม่ใช้งาน โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ
    ปิดฟีเจอร์ “Auto-reconnect” เพื่อป้องกันการเชื่อมต่ออัตโนมัติ
    ตั้งค่า Bluetooth ให้เป็น “Undiscoverable” เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นอุปกรณ์ของคุณ
    อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปฯ อยู่เสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่จาก BlueBorne
    อย่ารับคำขอเชื่อมต่อ Bluetooth ที่ไม่รู้จัก
    ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปฯ ที่ใช้ Bluetooth ว่าเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง
    ใช้ VPN เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ

    https://www.slashgear.com/2009834/bluetooth-security-explained-risks-need-know-if-left-one-all-the-time/
    📡 Bluetooth อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด! เปิดเผยภัยเงียบจากการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้ พร้อมวิธีป้องกันแบบมือโปร เรื่องราวนี้จะพาคุณไปสำรวจความจริงที่หลายคนมองข้ามเกี่ยวกับการเปิด Bluetooth ทิ้งไว้บนอุปกรณ์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ หูฟัง หรือสมาร์ทวอทช์ — ความสะดวกที่มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว! Bluetooth เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น — เชื่อมต่อหูฟัง ส่งไฟล์ หรือใช้อุปกรณ์เสริมแบบไร้สาย แต่ความสะดวกนี้แฝงด้วยภัยเงียบที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อคุณเปิด Bluetooth ทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน อุปกรณ์ของคุณจะกลายเป็นเป้าหมายของแฮกเกอร์ที่สามารถใช้เทคนิคต่างๆ เช่น “Bluesnarfing” หรือ “Bluejacking” เพื่อเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณโดยไม่ต้องขออนุญาต แม้แต่ร้านค้าก็สามารถใช้ Bluetooth beacon เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างละเอียด ที่น่าตกใจคือ แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน บัญชีธนาคาร หรือแม้แต่ติดตามตำแหน่งของคุณแบบเรียลไทม์ และที่แย่กว่านั้นคือ คุณอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลของคุณถูกขโมยไปแล้ว! 🛡️ วิธีป้องกันภัย Bluetooth แบบมือโปร 🎗️ ปิด Bluetooth เมื่อไม่ใช้งาน โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ 🎗️ ปิดฟีเจอร์ “Auto-reconnect” เพื่อป้องกันการเชื่อมต่ออัตโนมัติ 🎗️ ตั้งค่า Bluetooth ให้เป็น “Undiscoverable” เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นอุปกรณ์ของคุณ 🎗️ อัปเดตระบบปฏิบัติการและแอปฯ อยู่เสมอ เพื่อป้องกันช่องโหว่จาก BlueBorne 🎗️ อย่ารับคำขอเชื่อมต่อ Bluetooth ที่ไม่รู้จัก 🎗️ ตรวจสอบสิทธิ์ของแอปฯ ที่ใช้ Bluetooth ว่าเข้าถึงข้อมูลอะไรบ้าง 🎗️ ใช้ VPN เพื่อเพิ่มชั้นความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ https://www.slashgear.com/2009834/bluetooth-security-explained-risks-need-know-if-left-one-all-the-time/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Is Bluetooth Secure? Risks You Need To Know If You Leave It On Your Devices All The Time - SlashGear
    You probably use Bluetooth to connect any number of things to your computer and/or cell phone, but is it actually safe to leave your Bluetooth enabled?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 1

    เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ

    แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่

    มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย

    (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี
    ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา

    จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย)

    กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่

    แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 2

    หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า

    “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย

    เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา

    เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ!

    เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
    “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก

    หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง

    “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..”
    นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ

    สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า

    “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้”

    คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร

    นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง

    หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ

    นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 3

    Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild

    ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป

    เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา

    เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน

    นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้:

    ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา”
    Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง
    ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

    นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง

    จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 4

    Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ

    ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว
    แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย

    วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง

    New York
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 1 เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย) กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 2 หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ! เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..” นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้” คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 3 Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้: ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา” Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 4 Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง New York
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กยุคนี้ ที่เกิดไม่ทัน ความจริงก็ไม่ผิด
    .
    เขาไม่รู้ว่า พอเขาเกิดมา มันก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว เพราะอะไร...
    .
    ก่อนหน้านั้น มันมีปัญหา และ ไม่ใช่นักการเมือง ที่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ และ เงินงบประมาณ ที่เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างใกล้ชิด
    .
    แต่เป็น สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น ในหลวงรัชการที่ 9 และ พระองค์อื่นๆ ที่ เดินทางไปตามที่ต่างๆทั่วประเทศ เดินทางข้ามเขาเป็นลูกๆ บางที่รถเข้าไปไม่ถึงก็ต้องเดิน
    .
    ยุคนั้น ประชาชนทั่วประเทศได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา...
    .
    เขาเลย รักพระองค์ท่าน และ เข้าใจถึงความสำคัญของ สถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    สถาบันพระมหากษัตริย์ มอง ประชาชนเป็นลูกหลาน เมื่อประชาชนมีปัญหา ท่านจะต้องเข้าไปแก้ไขให้ทันที
    .
    น้ำท่วม รอข้าราชการที่หยุด เสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ ต้องทำทันที เพราะทุกข์ของประชาชนไม่ได้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย
    .
    สิ่งนี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิง กับสิ่งที่ นักการเมืองเป็น ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม
    .
    คนยุคนั้น ไม่ได้รัก ไม่ได้หลง โดยไม่มีเหตุผล อย่างที่มีคนปั่นกันในโซเชียลยุคนี้หรอกครับ...
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=PPw-DjFAQYc
    เด็กยุคนี้ ที่เกิดไม่ทัน ความจริงก็ไม่ผิด . เขาไม่รู้ว่า พอเขาเกิดมา มันก็มีพร้อมทุกอย่างแล้ว เพราะอะไร... . ก่อนหน้านั้น มันมีปัญหา และ ไม่ใช่นักการเมือง ที่มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ และ เงินงบประมาณ ที่เข้ามาช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างใกล้ชิด . แต่เป็น สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็น ในหลวงรัชการที่ 9 และ พระองค์อื่นๆ ที่ เดินทางไปตามที่ต่างๆทั่วประเทศ เดินทางข้ามเขาเป็นลูกๆ บางที่รถเข้าไปไม่ถึงก็ต้องเดิน . ยุคนั้น ประชาชนทั่วประเทศได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา... . เขาเลย รักพระองค์ท่าน และ เข้าใจถึงความสำคัญของ สถาบันพระมหากษัตริย์ . สถาบันพระมหากษัตริย์ มอง ประชาชนเป็นลูกหลาน เมื่อประชาชนมีปัญหา ท่านจะต้องเข้าไปแก้ไขให้ทันที . น้ำท่วม รอข้าราชการที่หยุด เสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้ ต้องทำทันที เพราะทุกข์ของประชาชนไม่ได้หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย . สิ่งนี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิง กับสิ่งที่ นักการเมืองเป็น ไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม . คนยุคนั้น ไม่ได้รัก ไม่ได้หลง โดยไม่มีเหตุผล อย่างที่มีคนปั่นกันในโซเชียลยุคนี้หรอกครับ... . https://www.youtube.com/watch?v=PPw-DjFAQYc
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์

    บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน

    สาระสำคัญจากบทความ
    ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง

    Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม

    หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม

    ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

    แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น

    เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet
    กรอง Spam และตรวจสอบความจริง
    mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม
    CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา

    สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง
    phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด
    Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ

    ปกป้องการท่องเว็บ
    DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam
    RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง

    ข้อคิดจากผู้เขียน
    แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว”

    https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    🧠📉 บทความ “The Internet is Dying” เตือนภัยอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ที่ถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และเนื้อหา AI จนสูญเสียความเป็นมนุษย์ บทความโดย Theena Kumaragurunathan ชี้ว่าเกือบครึ่งของทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตในปี 2025 เป็นบอท และหากปล่อยไว้โดยไม่ควบคุม อาจนำไปสู่ “Zombie Internet” ที่ไร้ชีวิตและความจริงร่วมกัน 🧩 สาระสำคัญจากบทความ 💠 ความทรงจำในยุคอินเทอร์เน็ตแรกเริ่ม ผู้เขียนเล่าย้อนถึงปี 2001 ที่อินเทอร์เน็ตเปิดโลกแห่งความรู้และแรงบันดาลใจให้เขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยเน้นว่าอินเทอร์เน็ตยุคนั้นเต็มไปด้วยความจริงใจจากผู้ใช้จริง 💠 Dead Internet Theory คืออะไร? ทฤษฎีนี้ระบุว่าอินเทอร์เน็ตเริ่ม “ตาย” ตั้งแต่ปลายยุค 2010s เมื่อเนื้อหาถูกครอบงำด้วยบอท, SEO Spam และ AI-generated content จนผู้ใช้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ไม่สดใสเหมือนเดิม 💠 หลักฐานจากงานวิจัย งานของ Bevendorff et al. พบว่าเว็บไซต์รีวิวสินค้าส่วนใหญ่เต็มไปด้วย SEO Spam และเนื้อหา AI ที่ไม่มีความจริงใจ ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาในวงกว้าง เช่น ความแตกแยกทางการเมืองและสังคม 💠 ผลกระทบของ misinformation เนื้อหาเทียมจาก AI ทำให้ผู้คนสูญเสีย “ความจริงร่วมกัน” และสร้างความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา 💠 แนวทางฟื้นฟูอินเทอร์เน็ต งานวิจัยของ Campante et al. เสนอว่าเมื่อผู้คนตระหนักถึงภัยของเนื้อหาเทียม พวกเขาจะให้คุณค่ากับแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากขึ้น 🛠️ เครื่องมือและแนวทางต้าน Zombie Internet 💠 กรอง Spam และตรวจสอบความจริง 🎗️ mosparo, ASSP, Anubis: ป้องกันบอทและสแปม 🎗️ CAI SDK, iVerify, Disinfo Toolbox: ตรวจสอบแหล่งข่าวและเนื้อหา 💠 สร้างชุมชนออนไลน์ที่แท้จริง 🎗️ phpBB, Discourse: ฟอรั่มแบบเปิด 🎗️ Fediverse (Mastodon, Lemmy): โซเชียลแบบกระจายอำนาจ 💠 ปกป้องการท่องเว็บ 🎗️ DuckDuckGo, Searx: เสิร์ชแบบไม่ติด SEO Spam 🎗️ RSS และ curated communities: เข้าถึงเนื้อหาจากแหล่งที่เชื่อถือได้โดยตรง 🧭 ข้อคิดจากผู้เขียน แทนที่จะเขียนคำไว้อาลัยให้กับอินเทอร์เน็ตที่เขาไม่รู้จักอีกต่อไป ผู้เขียนเลือกส่งสารถึง “ตัวเองในวัย 18 ปี” ว่า “ยังมีทางที่ดีกว่า และมันอยู่ในมือคุณแล้ว” https://news.itsfoss.com/internet-is-dying/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Internet is Dying. We Can Still Stop It
    Almost 50% of all internet traffic are non-human already. Unchecked, it could lead to a zombie internet.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว.

    ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ.

    ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้,

    ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด.

    ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที.

    #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้.

    #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย.

    #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก

    #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว. ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ. ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้, ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด. ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที. #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้. #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย. #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย. https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    @adithepchawla01

    Biometric Clip 1 of 3 สแกนหน้า ความปลอดภัย หรือการควบคุม?

    ♬ original sound - อดิเทพ จาวลาห์ - อดิเทพ จาวลาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 238 มุมมอง 0 รีวิว
  • บ่ายนี้ “ไทย-กัมพูชา” จ่อลงนามแผนปฏิบัติการถอนอาวุธ 3 เฟส ด้านกองทัพไทยย้ำเดินหน้าสันติภาพชายแดน รอดูการแสดงความจริงใจจากกัมพูชา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104020

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    บ่ายนี้ “ไทย-กัมพูชา” จ่อลงนามแผนปฏิบัติการถอนอาวุธ 3 เฟส ด้านกองทัพไทยย้ำเดินหน้าสันติภาพชายแดน รอดูการแสดงความจริงใจจากกัมพูชา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104020 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 332 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.16

    คดีคือเรื่องราวหรือข้อพิพาทที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ภายใต้การพิจารณาของศาล ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่แก่นแท้ของมันคือการแสวงหาความจริงและการยุติความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน สัญญา หรือครอบครัว หรือเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่เกี่ยวกับความผิดต่อรัฐและสังคม เมื่อเรื่องใดก็ตามถูกยกระดับเป็นคดี นั่นหมายความว่าหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความชอบธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินชะตากรรม เป็นการเปลี่ยนจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือสาธารณะไปสู่การตัดสินโดยผู้ทรงอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสันติสุขในสังคม กระบวนการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและสิทธิเสรีภาพของทุกคน

    บทบาทของคดีในสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการตีความและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม คดีแต่ละคดีไม่เพียงแต่จะยุติข้อพิพาทเฉพาะหน้าระหว่างคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในวงกว้างอีกด้วย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การยื่นฟ้อง การสืบพยาน การพิจารณาข้อเท็จจริง ไปจนถึงการตัดสิน ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมและที่มาที่ไปของคดีต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อรักษาสิทธิของตนเองและตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    ดังนั้น คดีจึงมิใช่เพียงแค่ชื่อเรียกของเรื่องราวความขัดแย้ง แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยุติธรรมในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดที่กฎหมายได้ลงมาสัมผัสกับชีวิตจริงของประชาชน เปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคม และยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกข้อพิพาท ทุกความขัดแย้ง มีที่มา มีการพิจารณา และมีบทสรุปที่ถูกกำหนดโดยหลักนิติธรรม นำไปสู่การจัดระเบียบและดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขอย่างยั่งยืนในที่สุด
    บทความกฎหมาย EP.16 คดีคือเรื่องราวหรือข้อพิพาทที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ภายใต้การพิจารณาของศาล ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่แก่นแท้ของมันคือการแสวงหาความจริงและการยุติความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน สัญญา หรือครอบครัว หรือเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่เกี่ยวกับความผิดต่อรัฐและสังคม เมื่อเรื่องใดก็ตามถูกยกระดับเป็นคดี นั่นหมายความว่าหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความชอบธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินชะตากรรม เป็นการเปลี่ยนจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือสาธารณะไปสู่การตัดสินโดยผู้ทรงอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสันติสุขในสังคม กระบวนการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและสิทธิเสรีภาพของทุกคน บทบาทของคดีในสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการตีความและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม คดีแต่ละคดีไม่เพียงแต่จะยุติข้อพิพาทเฉพาะหน้าระหว่างคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในวงกว้างอีกด้วย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การยื่นฟ้อง การสืบพยาน การพิจารณาข้อเท็จจริง ไปจนถึงการตัดสิน ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมและที่มาที่ไปของคดีต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อรักษาสิทธิของตนเองและตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น คดีจึงมิใช่เพียงแค่ชื่อเรียกของเรื่องราวความขัดแย้ง แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยุติธรรมในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดที่กฎหมายได้ลงมาสัมผัสกับชีวิตจริงของประชาชน เปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคม และยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกข้อพิพาท ทุกความขัดแย้ง มีที่มา มีการพิจารณา และมีบทสรุปที่ถูกกำหนดโดยหลักนิติธรรม นำไปสู่การจัดระเบียบและดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขอย่างยั่งยืนในที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความจริงมีหนึ่งเดียว คืนนั้นไม่มี
    ความจริงมีหนึ่งเดียว คืนนั้นไม่มี
    เสด็จสู่สวรรคาลัย Ep317 (live)

    SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep317 (live)
    น้อมส่งสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง‘พระแม่แห่งแผ่นดิน‘

    สมัครสมาชิก membership ความจริงมีหนึ่งเดียว ช่อง SONDHITALK บน YouTube ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk

    คลิก https://www.youtube.com/watch?v=fViUjNEe4gQ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • กมธ.ทหาร เดือด!!! รักชนก จี้ กัน จอมพลัง ส่งเอกสารขอความอนุเคราะห์จาก ทบ. ให้ กมธ. ตรวจสอบความจริงทั้งหมด
    https://www.thai-tai.tv/news/22129/
    .
    #ไทยไท #กมธทหาร #กันจอมพลัง #แผงเกราะ #บริจาคยุทธภัณฑ์ #กองทัพบก #วิโรจน์ลักขณาอดิศร
    กมธ.ทหาร เดือด!!! รักชนก จี้ กัน จอมพลัง ส่งเอกสารขอความอนุเคราะห์จาก ทบ. ให้ กมธ. ตรวจสอบความจริงทั้งหมด https://www.thai-tai.tv/news/22129/ . #ไทยไท #กมธทหาร #กันจอมพลัง #แผงเกราะ #บริจาคยุทธภัณฑ์ #กองทัพบก #วิโรจน์ลักขณาอดิศร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสด็จสู่สวรรคาลัย Ep317 (live)

    SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep317 (live)
    น้อมส่งสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง‘พระแม่แห่งแผ่นดิน‘

    สมัครสมาชิก membership ความจริงมีหนึ่งเดียว ช่อง SONDHITALK บน YouTube ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk

    คลิก https://www.youtube.com/watch?v=fViUjNEe4gQ
    🔴 เสด็จสู่สวรรคาลัย Ep317 (live) • SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep317 (live) น้อมส่งสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง‘พระแม่แห่งแผ่นดิน‘ • สมัครสมาชิก membership ความจริงมีหนึ่งเดียว ช่อง SONDHITALK บน YouTube ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk • คลิก https://www.youtube.com/watch?v=fViUjNEe4gQ
    Like
    Haha
    10
    4 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 447 มุมมอง 0 รีวิว
  • บัตรทอง-ระหว่างสปสช.กับหมอ ฝ่ายไหนที่พูดความจริง?

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000103901
    บัตรทอง-ระหว่างสปสช.กับหมอ ฝ่ายไหนที่พูดความจริง? บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก>> https://mgronline.com/daily/detail/9680000103901
    MGRONLINE.COM
    บัตรทอง-ระหว่างสปสช.กับหมอ ฝ่ายไหนที่พูดความจริง?
    ความขัดแย้งระหว่างหมอกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไม่ใช่เพียงข้อถกเถียงเรื่องเงิน หรือระบบเบิกจ่าย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 44 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 2 “ป้ายปลอม”
    ตอน 1

    ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง

    หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents”

    Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า

    นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม
    เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า

    “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน
    สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ

    ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น)

    Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks

    เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร

    ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ

    แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง

    ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation

    นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย

    ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน

    ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้
    Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    26 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ป้ายปลอม นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 2 “ป้ายปลอม” ตอน 1 ต้นปี ค.ศ.1918 นาย Edgar Sisson ผู้แทนของคณะกรรมาธิการ ด้านข้อมูลสาธารณะ (US Committee on Public Information ของอเมริกา) มาสำรวจและตรวจสอบหลักฐานที่เมือง Petrograd เนื่องจากมีข่าวว่าพวก Bolsheviks ซึ่งบุคคลหลายกลุ่มในอเมริกากำลังสนับสนุนนั้น เป็นพวกเยอรมัน ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับอังกฤษอย่างยิ่ง หลังจากสำรวจเสร็จ นาย Edgar Sission ก็หอบเอาเอกสารของรัสเซียมัดใหญ่ ซึ่งอ้างว่ามีข้อพิสูจน์ว่า Trotsky และ Lenin และพวกปฏิวัติ Bolsheviks ทั้งก๊วนเป็นสายลับของรัฐบาลเยอรมัน เอกสารเหล่านั้น ต่อมาเรียกว่า “Sission Documents” Sission Documents ถูกขนขึ้นเรือมาอย่างเร่งรีบและปิดลับ เพื่อนำส่งไปที่กรุงวอซิงตัน ให้คณะกรรมการ National Board for Historical Service ทำการพิสูจน์ว่าเอกสารทั้งมัดใหญ่นั่น เป็นของแท้ หรือเป็นของปลอม ถูกแต่งมาต้มกันหรือเปล่า นักประวัติศาสตร์ชื่อดัง 2 คน J. Franklin Jameson และ Samuel N. Harper ถูกเรียกมาทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อย เขาแบ่งเอกสารออกเป็น 3 กลุ่ม เกี่ยวกับเอกสารกลุ่ม 1 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 สรุปว่า “เราได้ตรวจสอบด้วยความระมัดระวังในทุกด้าน ตามที่นักเรียนประวัติศาสตร์จะรู้จักและใช้เป็นแนวทาง จากการตรวจสอบหลักฐานดังกล่าว เราไม่มีความลังเลที่จะประกาศว่า เราไม่มีเหตุผลที่จะตั้งข้อสงสัย ถึงความเป็นของแท้ของเอกสาร 53 ชิ้นนี้” แปลว่า พวกเขามีความเห็นว่า เอกสาร 52 ชิ้นนั้น เป็นของแท้ แต่นักวิชาการ ต้องพูดให้เข้าใจยากไว้ก่อน สำหรับเอกสารกลุ่ม 2 นักประวัติศาสตร์ทั้ง 2 มั่นใจน้อยลง แต่ก็ไม่ใช้คำว่า เป็นเอกสารปลอม พวกเขาให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นสำเนาของเอกสารต้นฉบับ ส่วน เอกสารกลุ่ม 3 พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลย ในความจริงแท้ของเอกสาร แต่ก็ยังไม่อยากที่จะเรียกว่าเป็นเอกสารปลอม ขอดูต่อไป (เผื่อจะมีอะไรมาทำให้ชัดขึ้นว่า แท้หรือปลอม ทำนองนั้น) Sission Documents ถูกนำไปพิมพ์โดย Committee on Public Information ซึ่งประธานคือ George Creel ซึ่งปรากฏภายหลังว่า เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนขบวนการ Bolsheviks เมื่อเอกสารออกไปสู่สาธารณะ บรรดาสื่ออเมริกันส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเป็นเอกสารจริง เว้นแต่ New York Evening Post ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของโดย Thomas W. Lamont หุ้นส่วนของกลุ่ม Morgan หนังสือพิมพ์ Evening Post ถึงกับท้าทายความเป็นของแท้ของเอกสาร ต่อมาภายหลัง Sission Documents มีการตรวจสอบใหม่ และผลปรากฏว่าเอกสารเกือบทั้งหมด เป็นของปลอม ! ข้อผิดพลาดที่ปรากฏในเอกสารส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของความไม่สอดคล้องในการสะกดชื่อ วันที่อ้าง ตราประทับ ฯลฯ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ระมัดระวังของผู้ทำเอกสาร หรือใช้มืออ่อนหัดในตลาดการปลอมเอกสารมาดำเนินการ แต่ Sission Documents นี้ ก็ถูกนำมาใช้อ้างในงานค้นคว้าศึกษา เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียของพวก Bolsheviks มากมาย และโดยทั่วไปแม้จะเป็นเอกสารปลอม แต่เหตุการณ์ที่อ้างไว้ในเอกสาร ส่วนใหญ่เป็นเหตการณ์จริง ที่น่าสนใจคือ เอกสารทั้งหมดถูกส่งไปให้ Edgar Sisson โดย Alexander Gumberg (หรือที่รู้จักกันในชื่อ Berg ซึ่งชื่อจริงคือ Michael Gruzenberg) ซึ่งตัวแทนของ Bolsheviks ในสแกนดิเนเวีย และต่อมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษของ Chase National Bank ของตระกูล Rockefeller และนาย Floyd Odium ของ Atlas Corporation นี่มันซ้อนกันหลายชั้นจนน่างง และตัวละครชักทยอยโผล่หัวมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งงงนะครับ นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงตอนมันยกร่องเลย ส่วนพวก Bolsheviks เอง ไม่ยอมรับเอกสารเหล่านี้ รวมทั้ง John Reed คอลัมนิสต์ชื่อดัง ซึ่งกินเงินเดือนจากนิตยสาร Metropolitan ซึ่งเป็นของ J.P. Morgan ก็ไม่ยอมรับเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการของ Gumberg ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของ Sission โดยการจัดการปลอมเอกสารขึ้นมา หรืออาจจะเป็นความคิดของ Gumberg หรือ Creel ที่ทำขึ้น เหมือนเป็นเครื่องหมายปลอม บอกเส้นทาง..ให้คนที่คิดติดตามเรื่อง เลี้ยวผิด และหลงทาง ก็เป็นได้ Sission Documents ถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า เยอรมันกับพวก Bolsheviks เกี่ยวข้องกัน หรือร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และถูกเอามาใช้เป็นข้อพิสูจน์ว่า มันเป็นการร่วมมือระหว่างพวกยิวกับพวก Bolsheviks แต่ที่สำคัญ เอกสารนี้ ได้ถูกใช้เป็นม่านควัน เอามาบังสายตาชาวบ้านทั่วไป ให้พร่ามัว มองไม่เห็นความจริง หรือเข้าใจความจริง ไขว้เขวไปอีกด้วย ทำให้เกิดสับสนจนเบื่อ แล้วเลิกติดตาม สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 26 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 4 – 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 4

    หลังจากนายTrotsky ออกเดินทางจากนครนิวยอร์คได้ไม่นาน เมื่อเรือ S S Kristainiafjord มาถึงเมือง Halifax ประเทศแคนาดา ในวันที่ 3 เมษายน 1917 Trotsky ก็ถูกทางการแคนาดานำตัวขึ้นจากเรือ คราวนี้เขาถูกตั้งข้อหาว่า เป็นนักโทษสงครามชาวเยอรมัน และถูกคุมตัวไว้ที่เมือง Amherst ที่ ค่ายกักกันนักโทษเยอรมัน ไม่ใช่อยู่คุกแบบชั้นหนี่งอีกแล้ว ส่วนเมียของ Trotsky และลูก อีก 2 คน รวมทั้งพรรคพวกอีก 5 คน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นคนรัสเซีย ก็ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกันนี้ด้วย

    เจ้าหน้าที่แคนาดาได้บันทึกราย ละเอียดเกี่ยวกับ Trotsky ไว้ในแบบฟอร์ม LB-1V หมายเลข 1098 ว่า “อายุ 37 ปี ลี้ภัยการเมือง อาชีพสื่อ เกิดที่เมือง Gromskty, Chuson รัสเซีย สัญชาติรัสเซีย” และTrotsky ได้เขียนชื่อเต็มของตัวเองในแบบฟอร์ม ว่า Leon Bromstein Trotsky

    Trotsky และคณะ ถูกให้นำตัวขึ้นจากเรือ S S Kristainiafjord โดยคำสั่งทางโทรเลขลงวันที่ 29 มี ค 1917 ส่งมาจากกองทัพเรือของอังกฤษ ทีลอนดอน มาที่ด่าน Halifax ในโทรเลขระบุว่า

    “ให้นำขึ้นจากเรือและคุมตัวไว้ เพื่อรอคำสั่ง เนื่องจากพวกสังคมนิยมกลุ่มนี้ กำลังเดินทางเพื่อไปทำการปฏิวัติรัฐบาลรัสเซียชุดปัจจุบัน โดย Trotsky รับเงินจำนวน 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกสังคมนิยมเยอรมัน”

    หลังจากรับโทรเลขของกองทัพเรือ กัปตัน O M Makins ก็แจ้งกลับไปทาง Halifax เมื่อวันที่ 1 เม.ย 1917 ว่า ได้ตรวจดูผู้โดยสารชาวรัสเซียที่มากับเรือ S S Kristainiafjord แล้ว พบว่ามี 6 คน ที่บอกว่าตนเองเป็นพวกสังคมนิยม และกัปตันเตรียมที่จะเชิญคนพวกนี้ขึ้นไปจากเรือ พร้อมด้วยเมียนาย Trotsky และลูก 2 คน เมื่อถึงเมือง Halifax

    วันที่ 7 เม.ย. 1917 เจ้าหน้าที่เมือง Ottawa บันทึกเกี่ยวกับเรื่องการกักตัวพวกสังคมนิยมชาวรัสเซียว่า ” เราได้รับโทรเลขยาวเหยียด จากกงสุลรัสเซียประจำ Montreal ประท้วง การกักตัวบุคคลดังกล่าว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยกงสุลใหญ่รัสเซียประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเราจะต้องปล่อยตัวพวกเขา เมื่อมีข้อพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นพวกสัมพันธมิตร ”

    (หมายเหตุ: ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้ง ที่ 1 รัสเซีย อยู่ฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ที่เรียกกันว่า ฝ่าย “สัมพันธมิตร” เพื่อรบ กับอีกฝ่าย ที่นำโดย เยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ )

    ข้อมูลชักเริ่มไปคนละทาง
    นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขจากทนายความในนิวยอร์ค ชื่อ N. Aleinikoff แจ้งไปยัง R.M. Coulter นายด่านที่เมือง Ottawa “ชาวรัสเซียลี้ภัยทางการเมือง ถูกกักตัวที่ Halifax และอยู่ค่ายกักกัน Amherst โปรดตรวจสอบสาเหตุของการกักตัว และแจ้งรายชื่อมาด้วย เชื่อว่าในฐานะเป็นผู้รักเสรีภาพ คุณคงจะดูแลพวกเขาอย่างดี”

    วันที่ 11 เม.ย. R.M. Coulter โทรเลขกลับไปหานาย Aleinikoff ว่า “ได้รับโทรเลขแล้ว จะเขียนกลับไปหาบ่ายนี้ คุณคงได้รับพรุ่งนี้เย็น”

    จดหมายของ R.M. Coulter ถึง Aleinikoff มีข้อความน่าสนใจ “……พวกเขาต้องสงสัยว่า โฆษณาชวนเชื่อให้คัดค้านรัฐบาลรัสเซียปัจจุบัน และถูกสงสัยว่า เป็นสายลับของเยอรมัน แต่พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกอ้าง พวกเขาไม่ได้ถูกกักตัวโดยแคนาดา แต่เป็นคำสั่งมาจากนายใหญ่ที่อังกฤษ และเราจะดูแลเขาอย่างดี….”

    Aleinikoff ติดต่อกับ Coulter อีกหลายครั้ง เพื่อบอกว่าตนเองสนิทสนมกับ Trotsky เป็นอย่างดี และการที่กลุ่มของ Trotsky แสดงอาการที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ก็เพราะไม่พอใจการกระทำของรัสเซียสมัยซาร์ ต่อพวกยิว แต่ขณะนี้พวกเขาก็ดูจะไม่มีปฏิกริยารุนแรงต่อผู้บริหารปัจจุบันของรัสเซีย(หมายถึงกลุ่ม Kerensky) จึงขอให้ Coulter ช่วยหาทางติดต่อพูดกับนายใหญ่ต ่อไปด้วย ในที่สุด R.M. Coulter ก็ส่งจดหมายทั้งหมดของ Aleinikoff ไปให้นายใหญ่ของตน คือ Major General Willoughby Gwatkin ที่แคนาดา ให้พิจารณา

    วันที่ 21 เม.ย. Gwatkin แจ้ง Coulter ว่า “เพื่อนของเรา พวกสังคมนิยมชาวรัสเซีย จะได้รับการปล่อยตัว และจะมีการจัดการให้พวกเขาเดินทางไปยุโรป ผู้ที่อนุมัติการปล่อยตัวกลุ่ม Trotsky คือนายใหญ่ที่ลอนดอน หวังว่าข่าวนี้คงเป็นที่พอใจกับทางนิวยอร์คอย่างยิ่ง”

    นาย Trotsky นี่ นอกจากน่าสงสัยว่า มีปลอกคอแล้ว เขาคงมีเส้นใหญ่อีกด้วย Coulter และ Gwatkin ถึงออกแรงเต็มที่ เพื่อให้ปล่อยตัว

    พวกเขาเกี่ยว หรือพัวพัน กันอย่างไร ?!!

    จากเอกสารที่ทางแคนาดา เปิดเผยภายหลังระบุว่า Coulter เป็นแพทย์ชาวไอริช จบแพทย์จากสก๊อตแลนด์ ส่วน Major General Willoughby Gwatkin เป็นทหารอังกฤษ ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่แคนาดา ตั้งแต่ ค.ศ.1905 ถึง 1918 ดูแล้วยังไม่เห็นความเชื่อมโยง ความเกี่ยว ความพัน ที่จะต้องให้ทั้ง 2 คน ช่วยกันออกแรง ให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนายTrotsky

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ”

    ตอน 5
    เรื่องการปล่อยตัวนาย Trotsky มันน่าสงสัย แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาชี้แจง ผ่านไปปีกว่า มีคนขี้สงสัย ออกมาเขียนทวง

    ในปี ค.ศ.1918 Colonel John Bayne Maclean นักธุรกิจชาวแคนาดา เจ้าของโรงพิมพ์ใหญ่ และมีความคุ้นเคยอย่างดี กับพวกข่าวกรองของแคนาดา ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนบทความเมื่อปี ค.ศ.1918 ลงในนิตยสารของเขาเอง เรื่อง “Why did We let Trotsky Go?” ทำไมเราถึงปล่อยตัว Trotsky?

    ใครคือ Trotsky ? Maclean บอกว่า Trotsky ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนเยอรมัน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษารัสเซียเสียอีก เขาอยู่ในกลุ่ม “Black Bond” ของเยอรมัน แต่ภายหลังเล่นละครว่า ถูกไล่ออกมาจากเบอร์ลินในปี ค.ศ.1914 แล้วมาโผล่อยู่ที่อเมริกา เพื่อรวบรวมพรรคพวกที่อเมริกาและแคนาดา จากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นรัสเซีย แต่ความจริง คนพวกนั้นเป็นเยอรมันกับออสเตรีย เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย

    นาย Maclean บรรยายต่อไปว่า: ทางการอังกฤษ รู้จากพรรคพวกที่เป็นคนรัสเซียว่า ทั้ง Kerensky, Lenin และหัวหน้าย่อยๆลงมา ต่างได้รับค่าจ้างจากเยอรมันทั้งนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 และมารู้ข้อมูลเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1916 ว่า Trotsky หลบมาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้น กลุ่ม Bomb Squad ของอเมริกา ก็ตามต่อ ต้นปี ค.ศ. 1916 มีรายงานหลุดมาว่า มีเจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่ง กำลังนั่งเรือเพื่อมานิวยอร์ค ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษประกบติดคนเยอรมันดังกล่าว ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ Halifax ภายหลังมีการขอโทษที่กักตัวไว้ และในที่สุดก็ปล่อยตัวไป ฝ่ายข่าวกรองไม่ยอมปล่อยมือ ทำการแกะรอยตามต่อ ไปพบตัวอยู่ในสำนักพิมพ์เก่าๆ แถวนิวยอร์คใช้ชื่อว่า Trotsky และรู้ว่าชื่อจริงคือ Braustein และเป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่คนรัสเซีย

    Maclean บอกว่า เงินลึกลับ 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกเยอรมันในนิวยอร์ค และการปล่อยตัว Trotsky มาจากคำขอร้องของ Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษเข้าใจว่า การปฏิวัติของ Kerensky จะทำให้รัสเซียยังอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตร และร่วมกันต่อสู้เยอรมัน แต่หลังจากมีการปล่อยตัว Trotsky ไปแล้วหลายเดือน ทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ที่รัสเซียและสามารถพูดภาษารัสเซียได้ รายงานไปทางลอนดอนและวอชิงตันว่า Kerensky เองก็เป็นคนเยอรมัน !
    ข่าวของนาย Maclean นี่ สงสัยต้องกรองแยะหน่อย

    ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือมาจากวงในระดับสูง ว่า Trotsky ได้ รับการปล่อยตัวจากคำร้องขอ ของสถานฑูตอังกฤษในวอชิงตัน ซึ่งถูกขอร้องโดยกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งทำการแทนใครบางคน…อีกต่อหนึ่ง ฝ่ายแคนาดาถูกสั่งให้แจ้งแก่สื่อว่า การปล่อยตัว Trotsky เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา

    ข่าวนี้จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่น่าสนใจกว่าข่าวของนาย Maclean

    ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Trotsky เท่าที่มีจนถึงตอนนี้ มาจากหลายฝ่ายและดูสับสน แต่ก็พอจับความได้ว่า นาย Trotsky กำลังเดินทางจากนิวยอร์คไป Petrograd (คือเมือง St Petersberg ในปัจจุบัน) ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา ที่มีการอ้างว่า ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกาเป็นคนจัดการให้ โดยมีการพูดกันว่า นาย Trotsky จะไปทำการปฏิวัติรัสเซีย ให้สมบูรณ์ (ปฏิวัติรอบ 2 ?) ส่วนรัฐบาลอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัว Trotsky จากแคนาดา ในเดือน เม.ย. 1917 ด้วยเหตุผลใดยังไม่รู้

    ส่วนนาย Cranes คงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย ด้านหนึ่ง คงเชื่อมกับ Lincoln Steffens และอีกด้านอาจจะเชื่อมกับ Trotsky ขณะที่ Cranes ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ลูกชายของ Cranes เป็นผู้ช่วย ของรัฐมนตรีต่างประเทศ Robert Lansing ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างยิ่ง และ Cranes คนพ่อ ได้รับการรายงานเกี่ยวกับปฏิวัติบอลเซวิกอย่างละเอียดจากทางการ นอกจากนี้ Cranes น่าจะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

    ความน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเชื่อมโยง ของบุคคลด้านอเมริกา กับTrotsky นักปฏิวัติรัสเซียเท่านั้น แต่การที่ Trotsky บอกว่า รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional ของ Kerensky คงเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราว และเหมือนจะมีการปฏิวัติซ้ำตามมานั้น ตกลงมันเป็นเรื่องรู้กันอยู่ มวยล้มต้มคนดู ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ

    แต่ประเด็นสำคัญ ที่ต้องตามดูอย่างยิ่งคือ ตกลง Trotsky ทำการปฏิวัติรัสเซียให้ใคร มันเป็นการปฏิวัติ ตามอุดมการณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาเป็นเพียง “ผู้รับจ้าง” ให้ทำการปฏิวัติ และถ้าเป็น “ผู้รับจ้าง” ใครเป็นผู้จ้างเขา และผู้จ้าง Trotsky ทำไปเพื่ออะไร หรือ Trotsky เล่นบท 2 หน้า

    มีรายงานวันที่ 20 มีนาคม 1918 จากมอสโคว์ จากข่าวของ นสพ รัสเซีย Russkoe Slovo ว่า ได้มีการสัมภาษณ์ Trotsky ซึ่งพูดชัดเจนว่า การเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โซเวียตไม่มีทางเป็นมิตรกับพวกทุนนิยมอย่างอเมริกา มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ และเป็นไปไม่ได้ ที่อเมริกาจะมาสร้างสัมพันธ์กับเรา ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะคบค้ากับประเทศที่เป็นสังคมนายทุน

    ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานมาจากทางมอสโคว์เช่นเดียวกัน เป็นโทรเลขลงวันที่ 17 มีนาคม 1918 จากฑูต Francis ของอเมริกา ที่ประจำอยู่ที่รัสเซีย แจ้งไปทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาว่า “Trotsky ขอให้ทางเราส่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมา 5 คน เพื่อมาช่วยสำรวจกองทัพ รวมทั้งส่งคนและสิ่งของมาเพื่อจัดการเรื่องทางรถไฟ”

    โทรเลขดังกล่าวของฑูต Francis ดูเป็นการขัดและสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ของ Trotsky ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – สร้างฉากปฏิวัติ 4 – 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 4 หลังจากนายTrotsky ออกเดินทางจากนครนิวยอร์คได้ไม่นาน เมื่อเรือ S S Kristainiafjord มาถึงเมือง Halifax ประเทศแคนาดา ในวันที่ 3 เมษายน 1917 Trotsky ก็ถูกทางการแคนาดานำตัวขึ้นจากเรือ คราวนี้เขาถูกตั้งข้อหาว่า เป็นนักโทษสงครามชาวเยอรมัน และถูกคุมตัวไว้ที่เมือง Amherst ที่ ค่ายกักกันนักโทษเยอรมัน ไม่ใช่อยู่คุกแบบชั้นหนี่งอีกแล้ว ส่วนเมียของ Trotsky และลูก อีก 2 คน รวมทั้งพรรคพวกอีก 5 คน ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นคนรัสเซีย ก็ถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายกักกันนี้ด้วย เจ้าหน้าที่แคนาดาได้บันทึกราย ละเอียดเกี่ยวกับ Trotsky ไว้ในแบบฟอร์ม LB-1V หมายเลข 1098 ว่า “อายุ 37 ปี ลี้ภัยการเมือง อาชีพสื่อ เกิดที่เมือง Gromskty, Chuson รัสเซีย สัญชาติรัสเซีย” และTrotsky ได้เขียนชื่อเต็มของตัวเองในแบบฟอร์ม ว่า Leon Bromstein Trotsky Trotsky และคณะ ถูกให้นำตัวขึ้นจากเรือ S S Kristainiafjord โดยคำสั่งทางโทรเลขลงวันที่ 29 มี ค 1917 ส่งมาจากกองทัพเรือของอังกฤษ ทีลอนดอน มาที่ด่าน Halifax ในโทรเลขระบุว่า “ให้นำขึ้นจากเรือและคุมตัวไว้ เพื่อรอคำสั่ง เนื่องจากพวกสังคมนิยมกลุ่มนี้ กำลังเดินทางเพื่อไปทำการปฏิวัติรัฐบาลรัสเซียชุดปัจจุบัน โดย Trotsky รับเงินจำนวน 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกสังคมนิยมเยอรมัน” หลังจากรับโทรเลขของกองทัพเรือ กัปตัน O M Makins ก็แจ้งกลับไปทาง Halifax เมื่อวันที่ 1 เม.ย 1917 ว่า ได้ตรวจดูผู้โดยสารชาวรัสเซียที่มากับเรือ S S Kristainiafjord แล้ว พบว่ามี 6 คน ที่บอกว่าตนเองเป็นพวกสังคมนิยม และกัปตันเตรียมที่จะเชิญคนพวกนี้ขึ้นไปจากเรือ พร้อมด้วยเมียนาย Trotsky และลูก 2 คน เมื่อถึงเมือง Halifax วันที่ 7 เม.ย. 1917 เจ้าหน้าที่เมือง Ottawa บันทึกเกี่ยวกับเรื่องการกักตัวพวกสังคมนิยมชาวรัสเซียว่า ” เราได้รับโทรเลขยาวเหยียด จากกงสุลรัสเซียประจำ Montreal ประท้วง การกักตัวบุคคลดังกล่าว เนื่องจากบุคคลดังกล่าว ถือพาสปอร์ตที่ออกโดยกงสุลใหญ่รัสเซียประจำเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา และเราจะต้องปล่อยตัวพวกเขา เมื่อมีข้อพิสูจน์ว่า พวกเขาไม่ได้เป็นชาวเยอรมัน แต่เป็นพวกสัมพันธมิตร ” (หมายเหตุ: ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้ง ที่ 1 รัสเซีย อยู่ฝ่ายเดียวกับอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ ที่เรียกกันว่า ฝ่าย “สัมพันธมิตร” เพื่อรบ กับอีกฝ่าย ที่นำโดย เยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี ฯลฯ ) ข้อมูลชักเริ่มไปคนละทาง นอกจากนี้ ยังมีโทรเลขจากทนายความในนิวยอร์ค ชื่อ N. Aleinikoff แจ้งไปยัง R.M. Coulter นายด่านที่เมือง Ottawa “ชาวรัสเซียลี้ภัยทางการเมือง ถูกกักตัวที่ Halifax และอยู่ค่ายกักกัน Amherst โปรดตรวจสอบสาเหตุของการกักตัว และแจ้งรายชื่อมาด้วย เชื่อว่าในฐานะเป็นผู้รักเสรีภาพ คุณคงจะดูแลพวกเขาอย่างดี” วันที่ 11 เม.ย. R.M. Coulter โทรเลขกลับไปหานาย Aleinikoff ว่า “ได้รับโทรเลขแล้ว จะเขียนกลับไปหาบ่ายนี้ คุณคงได้รับพรุ่งนี้เย็น” จดหมายของ R.M. Coulter ถึง Aleinikoff มีข้อความน่าสนใจ “……พวกเขาต้องสงสัยว่า โฆษณาชวนเชื่อให้คัดค้านรัฐบาลรัสเซียปัจจุบัน และถูกสงสัยว่า เป็นสายลับของเยอรมัน แต่พวกเขาคงไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกอ้าง พวกเขาไม่ได้ถูกกักตัวโดยแคนาดา แต่เป็นคำสั่งมาจากนายใหญ่ที่อังกฤษ และเราจะดูแลเขาอย่างดี….” Aleinikoff ติดต่อกับ Coulter อีกหลายครั้ง เพื่อบอกว่าตนเองสนิทสนมกับ Trotsky เป็นอย่างดี และการที่กลุ่มของ Trotsky แสดงอาการที่ดูเหมือนไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ก็เพราะไม่พอใจการกระทำของรัสเซียสมัยซาร์ ต่อพวกยิว แต่ขณะนี้พวกเขาก็ดูจะไม่มีปฏิกริยารุนแรงต่อผู้บริหารปัจจุบันของรัสเซีย(หมายถึงกลุ่ม Kerensky) จึงขอให้ Coulter ช่วยหาทางติดต่อพูดกับนายใหญ่ต ่อไปด้วย ในที่สุด R.M. Coulter ก็ส่งจดหมายทั้งหมดของ Aleinikoff ไปให้นายใหญ่ของตน คือ Major General Willoughby Gwatkin ที่แคนาดา ให้พิจารณา วันที่ 21 เม.ย. Gwatkin แจ้ง Coulter ว่า “เพื่อนของเรา พวกสังคมนิยมชาวรัสเซีย จะได้รับการปล่อยตัว และจะมีการจัดการให้พวกเขาเดินทางไปยุโรป ผู้ที่อนุมัติการปล่อยตัวกลุ่ม Trotsky คือนายใหญ่ที่ลอนดอน หวังว่าข่าวนี้คงเป็นที่พอใจกับทางนิวยอร์คอย่างยิ่ง” นาย Trotsky นี่ นอกจากน่าสงสัยว่า มีปลอกคอแล้ว เขาคงมีเส้นใหญ่อีกด้วย Coulter และ Gwatkin ถึงออกแรงเต็มที่ เพื่อให้ปล่อยตัว พวกเขาเกี่ยว หรือพัวพัน กันอย่างไร ?!! จากเอกสารที่ทางแคนาดา เปิดเผยภายหลังระบุว่า Coulter เป็นแพทย์ชาวไอริช จบแพทย์จากสก๊อตแลนด์ ส่วน Major General Willoughby Gwatkin เป็นทหารอังกฤษ ถูกส่งให้มาประจำอยู่ที่แคนาดา ตั้งแต่ ค.ศ.1905 ถึง 1918 ดูแล้วยังไม่เห็นความเชื่อมโยง ความเกี่ยว ความพัน ที่จะต้องให้ทั้ง 2 คน ช่วยกันออกแรง ให้มีการปล่อยตัวกลุ่มนายTrotsky นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 1 “สร้างฉากปฏิวัติ” ตอน 5 เรื่องการปล่อยตัวนาย Trotsky มันน่าสงสัย แต่ไม่มีฝ่ายใดออกมาชี้แจง ผ่านไปปีกว่า มีคนขี้สงสัย ออกมาเขียนทวง ในปี ค.ศ.1918 Colonel John Bayne Maclean นักธุรกิจชาวแคนาดา เจ้าของโรงพิมพ์ใหญ่ และมีความคุ้นเคยอย่างดี กับพวกข่าวกรองของแคนาดา ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาเขียนบทความเมื่อปี ค.ศ.1918 ลงในนิตยสารของเขาเอง เรื่อง “Why did We let Trotsky Go?” ทำไมเราถึงปล่อยตัว Trotsky? ใครคือ Trotsky ? Maclean บอกว่า Trotsky ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนเยอรมัน เขาพูดภาษาเยอรมันได้ดีกว่าภาษารัสเซียเสียอีก เขาอยู่ในกลุ่ม “Black Bond” ของเยอรมัน แต่ภายหลังเล่นละครว่า ถูกไล่ออกมาจากเบอร์ลินในปี ค.ศ.1914 แล้วมาโผล่อยู่ที่อเมริกา เพื่อรวบรวมพรรคพวกที่อเมริกาและแคนาดา จากกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นรัสเซีย แต่ความจริง คนพวกนั้นเป็นเยอรมันกับออสเตรีย เพื่อไปทำการปฏิวัติที่รัสเซีย นาย Maclean บรรยายต่อไปว่า: ทางการอังกฤษ รู้จากพรรคพวกที่เป็นคนรัสเซียว่า ทั้ง Kerensky, Lenin และหัวหน้าย่อยๆลงมา ต่างได้รับค่าจ้างจากเยอรมันทั้งนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 และมารู้ข้อมูลเพิ่มเติมในปี ค.ศ.1916 ว่า Trotsky หลบมาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ค จากนั้น กลุ่ม Bomb Squad ของอเมริกา ก็ตามต่อ ต้นปี ค.ศ. 1916 มีรายงานหลุดมาว่า มีเจ้าหน้าที่เยอรมันคนหนึ่ง กำลังนั่งเรือเพื่อมานิวยอร์ค ฝ่ายข่าวกรองอังกฤษประกบติดคนเยอรมันดังกล่าว ซึ่งถูกกักตัวไว้ที่ Halifax ภายหลังมีการขอโทษที่กักตัวไว้ และในที่สุดก็ปล่อยตัวไป ฝ่ายข่าวกรองไม่ยอมปล่อยมือ ทำการแกะรอยตามต่อ ไปพบตัวอยู่ในสำนักพิมพ์เก่าๆ แถวนิวยอร์คใช้ชื่อว่า Trotsky และรู้ว่าชื่อจริงคือ Braustein และเป็นคนเยอรมัน ไม่ใช่คนรัสเซีย Maclean บอกว่า เงินลึกลับ 1 หมื่นเหรียญ มาจากพวกเยอรมันในนิวยอร์ค และการปล่อยตัว Trotsky มาจากคำขอร้องของ Kerensky ซึ่งพวกอังกฤษเข้าใจว่า การปฏิวัติของ Kerensky จะทำให้รัสเซียยังอยู่ในกลุ่มสัมพันธมิตร และร่วมกันต่อสู้เยอรมัน แต่หลังจากมีการปล่อยตัว Trotsky ไปแล้วหลายเดือน ทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ที่รัสเซียและสามารถพูดภาษารัสเซียได้ รายงานไปทางลอนดอนและวอชิงตันว่า Kerensky เองก็เป็นคนเยอรมัน ! ข่าวของนาย Maclean นี่ สงสัยต้องกรองแยะหน่อย ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือมาจากวงในระดับสูง ว่า Trotsky ได้ รับการปล่อยตัวจากคำร้องขอ ของสถานฑูตอังกฤษในวอชิงตัน ซึ่งถูกขอร้องโดยกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ซึ่งทำการแทนใครบางคน…อีกต่อหนึ่ง ฝ่ายแคนาดาถูกสั่งให้แจ้งแก่สื่อว่า การปล่อยตัว Trotsky เป็นไปตามคำสั่งของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา ข่าวนี้จริงหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่น่าสนใจกว่าข่าวของนาย Maclean ข้อมูลเกี่ยวกับนาย Trotsky เท่าที่มีจนถึงตอนนี้ มาจากหลายฝ่ายและดูสับสน แต่ก็พอจับความได้ว่า นาย Trotsky กำลังเดินทางจากนิวยอร์คไป Petrograd (คือเมือง St Petersberg ในปัจจุบัน) ด้วยพาสปอร์ตของอเมริกา ที่มีการอ้างว่า ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกาเป็นคนจัดการให้ โดยมีการพูดกันว่า นาย Trotsky จะไปทำการปฏิวัติรัสเซีย ให้สมบูรณ์ (ปฏิวัติรอบ 2 ?) ส่วนรัฐบาลอังกฤษ มีส่วนสำคัญในการปล่อยตัว Trotsky จากแคนาดา ในเดือน เม.ย. 1917 ด้วยเหตุผลใดยังไม่รู้ ส่วนนาย Cranes คงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญคนหนึ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติในรัสเซีย ด้านหนึ่ง คงเชื่อมกับ Lincoln Steffens และอีกด้านอาจจะเชื่อมกับ Trotsky ขณะที่ Cranes ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ลูกชายของ Cranes เป็นผู้ช่วย ของรัฐมนตรีต่างประเทศ Robert Lansing ที่ได้รับการไว้วางใจอย่างยิ่ง และ Cranes คนพ่อ ได้รับการรายงานเกี่ยวกับปฏิวัติบอลเซวิกอย่างละเอียดจากทางการ นอกจากนี้ Cranes น่าจะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ความน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การเชื่อมโยง ของบุคคลด้านอเมริกา กับTrotsky นักปฏิวัติรัสเซียเท่านั้น แต่การที่ Trotsky บอกว่า รัฐบาลเฉพาะกาล Provisional ของ Kerensky คงเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลชั่วคราว และเหมือนจะมีการปฏิวัติซ้ำตามมานั้น ตกลงมันเป็นเรื่องรู้กันอยู่ มวยล้มต้มคนดู ตั้งแต่ต้นอย่างนั้นหรือ แต่ประเด็นสำคัญ ที่ต้องตามดูอย่างยิ่งคือ ตกลง Trotsky ทำการปฏิวัติรัสเซียให้ใคร มันเป็นการปฏิวัติ ตามอุดมการณ์ของตัวเขาเอง หรือเขาเป็นเพียง “ผู้รับจ้าง” ให้ทำการปฏิวัติ และถ้าเป็น “ผู้รับจ้าง” ใครเป็นผู้จ้างเขา และผู้จ้าง Trotsky ทำไปเพื่ออะไร หรือ Trotsky เล่นบท 2 หน้า มีรายงานวันที่ 20 มีนาคม 1918 จากมอสโคว์ จากข่าวของ นสพ รัสเซีย Russkoe Slovo ว่า ได้มีการสัมภาษณ์ Trotsky ซึ่งพูดชัดเจนว่า การเป็นพันธมิตรกับอเมริกาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ โซเวียตไม่มีทางเป็นมิตรกับพวกทุนนิยมอย่างอเมริกา มันเป็นการทรยศต่ออุดมการณ์ และเป็นไปไม่ได้ ที่อเมริกาจะมาสร้างสัมพันธ์กับเรา ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะคบค้ากับประเทศที่เป็นสังคมนายทุน ในขณะเดียวกัน ก็มีรายงานมาจากทางมอสโคว์เช่นเดียวกัน เป็นโทรเลขลงวันที่ 17 มีนาคม 1918 จากฑูต Francis ของอเมริกา ที่ประจำอยู่ที่รัสเซีย แจ้งไปทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาว่า “Trotsky ขอให้ทางเราส่งเจ้าหน้าที่อเมริกันมา 5 คน เพื่อมาช่วยสำรวจกองทัพ รวมทั้งส่งคนและสิ่งของมาเพื่อจัดการเรื่องทางรถไฟ” โทรเลขดังกล่าวของฑูต Francis ดูเป็นการขัดและสวนทางกับการให้สัมภาษณ์ของ Trotsky ต้องมีฝ่ายหนึ่งที่พูดไม่จริง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 292 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพบกเผยไทยพร้อมส่งตัว 18 เชลยศึกกลับตามหลักกติกาสากล แต่กัมพูชาต้องร่วมมือ 4 ข้อประเด็นสำคัญด้วยความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมก่อน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103170

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    กองทัพบกเผยไทยพร้อมส่งตัว 18 เชลยศึกกลับตามหลักกติกาสากล แต่กัมพูชาต้องร่วมมือ 4 ข้อประเด็นสำคัญด้วยความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมก่อน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103170 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 286 มุมมอง 0 รีวิว
  • Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง”

    Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว

    จุดเด่นของ Grokipedia

    สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์
    ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด
    ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม

    จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ
    แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่
    Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า”

    เน้นความจริงและลดอคติ
    Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ
    Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์

    มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน
    หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0”
    Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต

    อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk
    หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ
    ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด

    ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม
    ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา
    ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข

    เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง
    รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง
    บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia

    ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ
    ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์
    ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android

    https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    📚🤖 Grokipedia เปิดตัว: สารานุกรม AI จาก Elon Musk ที่หวังโค่น Wikipedia ด้วย “ความจริง” Elon Musk เปิดตัว Grokipedia — สารานุกรมออนไลน์ที่สร้างโดย AI จากบริษัท xAI — โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่แทน Wikipedia ที่เขามองว่ามีอคติทางการเมืองและขาดความเป็นกลาง โดย Grokipedia ใช้โมเดล Grok ในการสร้างและตรวจสอบเนื้อหาอัตโนมัติ พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชัน 0.1 แล้ว ✅ จุดเด่นของ Grokipedia ✅ สร้างโดย AI ไม่ใช่มนุษย์ ➡️ ใช้โมเดล Grok จาก xAI สร้างและตรวจสอบบทความทั้งหมด ➡️ ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิดเหมือน Wikipedia แต่ผู้ใช้สามารถส่งคำแนะนำแก้ไขผ่านฟอร์ม ✅ จำนวนบทความเริ่มต้นกว่า 885,000 รายการ ➡️ แม้ยังน้อยกว่า Wikipedia (7 ล้าน+) แต่ถือว่าเริ่มต้นด้วยขนาดใหญ่ ➡️ Musk ระบุว่าเวอร์ชัน 1.0 จะ “ดีกว่า Wikipedia 10 เท่า” ✅ เน้นความจริงและลดอคติ ➡️ Musk วิจารณ์ Wikipedia ว่า “woke” และมีการเลือกแหล่งข่าวที่มีอคติ ➡️ Grokipedia ตั้งเป้าให้เป็นแหล่งข้อมูลที่ “จริงทั้งหมด” แม้ยอมรับว่าอาจไม่สมบูรณ์ ✅ มีการใช้เนื้อหาจาก Wikipedia ในบางส่วน ➡️ หลายบทความมีข้อความแจ้งว่า “เนื้อหานี้ดัดแปลงจาก Wikipedia ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-SA 4.0” ➡️ Musk ยอมรับว่า Grok ยังใช้ Wikipedia เป็นแหล่งข้อมูล และจะพยายามลดการพึ่งพาในอนาคต ✅ อินเตอร์เฟซเรียบง่ายและมืดตามสไตล์ Musk ➡️ หน้าเว็บมีช่องค้นหาเดียวบนพื้นหลังสีดำ ➡️ ไม่มีโฆษณา ไม่มีระบบแก้ไขแบบเปิด ‼️ ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือยังเป็นคำถาม ⛔ ไม่มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบเนื้อหา ⛔ ขาดการอ้างอิงแบบ in-line และประวัติการแก้ไข ‼️ เนื้อหาบางส่วนอาจมีอคติทางการเมือง ⛔ รายงานจากหลายสื่อพบว่า Grokipedia มีการนำเสนอข้อมูลในบางหัวข้อ เช่น เพศ หรือบุคคลสาธารณะ ด้วยมุมมองที่โน้มเอียง ⛔ บทความเกี่ยวกับ Musk เองมีเนื้อหายกย่องมากกว่าที่ปรากฏใน Wikipedia ‼️ ยังไม่รองรับหลายภาษาและไม่มีแอปมือถือ ⛔ ใช้งานได้เฉพาะผ่านเว็บไซต์ ⛔ ยังไม่มีแผนเปิดตัวแอป iOS หรือ Android https://securityonline.info/grokipedia-launches-elon-musks-xai-debuts-ai-encyclopedia-to-rival-wikipedia/
    SECURITYONLINE.INFO
    Grokipedia Launches: Elon Musk's xAI Debuts AI Encyclopedia to Rival Wikipedia
    Elon Musk's xAI launched Grokipedia, an AI-generated encyclopedia powered by Grok that aims to challenge Wikipedia's bias with transparent sourcing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เลขาติ่ง" รับไม่ได้ สจ.พรรคประชาชนทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาว ลั่นนำเรื่องให้นายทะเบียนพรรคพิจารณา-ส่งทนายช่วยเหลือเหยื่อ แจงเจ้าตัวอ้างคำสั่งผู้ใหญ่ห้ามคุยสื่อไม่เป็นความจริง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103014

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    "เลขาติ่ง" รับไม่ได้ สจ.พรรคประชาชนทำร้ายร่างกายอดีตแฟนสาว ลั่นนำเรื่องให้นายทะเบียนพรรคพิจารณา-ส่งทนายช่วยเหลือเหยื่อ แจงเจ้าตัวอ้างคำสั่งผู้ใหญ่ห้ามคุยสื่อไม่เป็นความจริง อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103014 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (3)

    ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย

    ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์

    John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง

    ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน

    ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild
    ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain

    กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย

    อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว

    ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง

    เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (4)

    ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้

    ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก
    แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย

    สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน

    ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง

    แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง

    ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม

    และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว

    กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ
    สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน

    ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    21 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (3) ก่อนปี คศ 1882 โลกรู้จัก น้ำมันเหนียวๆ ดำๆ ที่เรา เรียกว่า ปิโตรเลียมแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้าง และยังไม่รู้ว่า มันเป็นของมีค่ามหาศาล ถึงขนาดที่ฝ่ายที่อยากได้ หรือฝ่ายที่ไม่อยากให้ใครได้ไป พร้อมที่จะสร้างเรื่อง เพื่อทำสงครามฆ่าฟันประชาชนเจ้าของประเทศที่เป็นเจ้าของน้ำมันดำๆ เหนียวๆ นี้ ให้ตายเป็นเบือและประเทศเขาพินาศย่อยยับ อย่างไม่รู้สึกผิดและละอายแม้แต่น้อย ปี คศ 1853 ชาวเยอรมันชื่อ Stohwasser เป็นผู้ใช้เทคนิค ผลิตน้ำมันตะเกียง จากน้ำมันที่เรียกว่า ” rock oil” เพราะมันจะไหลออกมาจากก้อนหิน ในแหล่งที่มีน้ำมัน เช่นที่ Titusville ที่ รัฐ Pennsyvania หรือ ที่ Baku ของรัสเซีย หรือที่ Galicia ที่ขณะนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปแลนด์ John D Rockefeller คนโคตรรวยตัวแสบของอเมริกา คงได้ยินเรื่องน้ำมันตะเกียงของ เยอรมัน จึงตั้งบริษัทน้ำมัน The Standard Oil Company ขึ้นในปี คศ 1870 เพื่อขายน้ำมันตะเกียงบ้าง รวมทั้งน้ำมัน ที่นำมาใช้ผสมกับตัวยา เพื่อเป็นยารักษาโรค มันเป็นน้ำมันชนิดราคาถูก แต่ก็ทำให้ Rockefeller รวยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน เพราะเขาเล่นใช้วิธีผูกขาด และบี้ราคาคูแข่ง จนอยูไม่ได้และต้องขายกิจการให้เขาในราคาถูก ดีกว่าเจ๊งจนไม่เหลือแม้แต่กางเกง ดูเหมือนคนขายปุ๋ย ขายไก่แถวบ้านสมันน้อย ก็นำวิธีนี้มาใช้ บี้มันทุกกิจการ คนค้าขายคนเล็ก คนน้อย จึงต้องถอยร่น หร่อยหรอ และหายไปในที่สุด เหลือแต่รายใหญ่ยักษ์ครอบงำเกือบทั้งประเทศ รวย และก็เลว ไม่ต่างกัน ในขณะเดียวกับที่ Standard Oil ของ Rockefeller กำลังก้าวหน้า เขมือบคู่แข่งในอเมริกาไปเรื่อยๆ เจ้าพ่อของอีกฝั่งหนึ่งของมหา สมุทรแอตแลนติก ตระกูล Rothschild จมูกไว ก็เข้าไปขุดเจาะน้ำมันที่ Baku ใน Azerbaijun ของรัสเซีย ในปี คศ 1880 Rothschild มีโรงกลั่นน้ำมันใน Baku ประมาณ 200 แห่ง Rothschild ซึ่งมีรากเหง้ามาจากยิว ไม่ได้ไปขุดน้ำมันแต่ลำพัง ขนเอาบรรดาญาติพี่น้องของตระกูล ที่กระจายอยู่ในเมืองต่างๆของยุโรป เข้าไปค้าขาย และขยายพันธ์อยู่ในรัสเซียด้วย เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอใจให้แก่ซาร์นิโคลัสแห่งรัสเซีย ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่าไม่ชอบยิว และไม่ชอบใจ Rothschild ปี คศ 1882 กัปตัน Fisher แห่งกองทัพเรืออังกฤษ พยายามชักชวน ให้กองทัพเรืออังกฤษ เปลี่ยนเครื่องยนต์เรือรบ จากใช้ถ่านหิน เป็นใช้น้ำมัน ซึ่งจะทำให้เรือรบน้ำหนักเบาลง และวิ่งได้เร็วขึ้น Fisher ไม่ได้เป็นรายแรก ที่คิดติดเครื่องให้เรือวิ่งด้วยน้ำมันแทนถ่านหิน รัสเซียก็ใช้มาแล้ว เป็นเรือกลไฟเติมน้ำมัน ที่รัสเซียเรียกว่า “mazut” วิ่งควันโขมงอยู่บริเวณทะเลสาป Caspain กัปตัน Fisher ทำการบ้านอย่างเคร่งเครียด ถึงข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างการใช้เครื่องยนต์ ที่ใช้น้ำมันกับใช้ถ่านหิน ในที่สุด กองทัพเรืออังกฤษก็เห็นด้วย ที่จะเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะ ถ้าทำสำเร็จ ไม่ใช่แค่กองทัพเรือของอังกฤษจะยิ่งกว่าใหญ่เท่านั้น มันคงจะทำให้ความฝัน ที่จะครองโลกไปตลอดกาลนานของอังกฤษ เป็นความจริงอีกด้วย อังกฤษคิดหนัก ฝันนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร ในเมื่ออังกฤษไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แม้แต่แหล่งเดียว ส่วนน้ำมันที่ Baku ของรัสเซีย ก็ทำท่าจะมีปัญหาประดังกันมา เรื่องแรก Rothschild ไม่ได้มีจมูกไวคนเดียว Rockefeller ก็มีคนตามดมกลิ่นให้เหมือนกัน ประมาณปี คศ. 1884 Rockefeller จึงเข้าไปใน Baku ช่วงแรก 2 ค่ายแข่งกันขุด แย่งกันขาย ผลปรากฏว่า อาการหนักทั้งคู่ น้ำมันล้นตลาด และราคาตก 2 เจ้าพ่อจึงจับมือตกลงกัน แบ่งเขต แบ่งโควต้ากันเอง ทำเหมือน Baku เป็นที่ดินสาธารณะ ไม่มีเจ้าของ ไม่เห็นหัวซาร์นิโคลัส เจ้าของตัวจริง เรื่องเอายิวไปแพร่พันธ์อยูใน รัสเซีย ก็ทำให้ซาร์นิโคลัส เหม็นหน้า Rothschild พอแล้ว นี่ Rothschild รวมหัวกับ Rockefelker ทำข้อตกลง เรื่องการขุดและขายน้ำมันที่ Baku อย่างนี้ ซาร์จะรับไหวหรือ เขาเฉี่ยวหัวเอา เหมือนไม่เห็นหัวเจ้าของ นโยบายส่งยิวออกนอกรัสเซีย จึงเริ่มเป็นรูปธรรม และแน่นอน นโยบายนี้ จึงเป็นการสร้างความขุ่น แค้นเคือง อาฆาต ไว้กับหลายกลุ่ม หลายคน เมื่อโอกาสจะครอบครอง แหล่งน้ำมันที่รัสเซีย ไม่ง่ายอย่างที่คิด อังกฤษจึงต้องหาเสาหลักที่สามต่อไป อย่างเร่งด่วน นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (4) ในปี คศ 1902 เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า บริเวณอาณาจักรออตโตมาน ที่เรียกกันว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) คือ อิรัคและคูเวตในปัจจุบันนี้แหละ เต็มไปด้วยแหล่งน้ำมันปิโตรเลียม แต่ละแหล่งจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน และจะเข้าไปถึงแหล่งได้อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แค่การเจอแหล่งน้ำมันนี้ ก็ทำให้บรรดานักชิงน้ำมัน อยากเป็นเจ้าของปั้ม คิดแผนกันวุ่นไปหมด จนถึงทุกวันนี้ ย้ำ จนถึงทุกวันนี้ ในที่สุด ปี คศ 1905 อังกฤษ ซึ่งใช้สายลับระดับใกล้เคียง 007 นาย Sidney Reilly ตามสืบจนรู้ว่า นาย William Knox d’Arcy วิศวกรชาวออสเตรเลีย และเป็นนักสำรวจธรณีวิทยาสมัครเล่น ซึ่งมีข่าวว่าเจอน้ำมัน ที่วิหารเก่าแก่แถวเมืองโบราณของอิหร่าน และเทียวไปเทียวมาที่ลอนดอน เพื่อหาเงินกู้มาใช้ในการขุดน้ำมัน ซึ่งโอกาสได้เงินกู้ ริบหรี่มาก แต่นาย d’Arcy นับว่ายังมีโชค เนื่องจากเขาเป็นวิศวกร จึงมีโอกาสได้รับใช้ Shah Muzaffar กษัตริย์เปอร์เซีย (อิหร่าน ปัจจุบัน) ซึ่งเพิ่งขึ้นมาครองบัลลังก์ในตอนนั้น และมีความตั้งใจที่จะพัฒนาประ เทศ โดยการสร้างทางรถไฟ ปี คศ 1901 Shah ตอบแทน d’Arcy ในการให้คำปรึกษาต่างๆ ด้วยการให้สัมปทานอายุ 60 ปี ที่จะขุดเจาะแผ่นดินส่วนไหนของเปอร์เซียก็ได้ ขุดเจออะไร ก็ให้ตกเป็นทรัพย์สินของนาย d’Arcy เขาจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ Shah ไป สองหมื่นเหรียญ พร้อมตกลงแบ่งให้ Shah 16 เปอร์เซนต์ของรายรับที่จะได้ มันเป็นสัมปทาน ที่ตกทอดถึงทายาท และผู้รับโอนด้วย สายลับ Reilly ปลอมตัวเป็นพระ เพราะรู้ว่า นาย d’Arcy เป็นคนเคร่งศาสนา เขาเกลี้ยกล่อม หว่านล้อม จนในที่สุด นาย d’Arcy ซึ่งกำลังจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับกลุ่มธนาคารฝรั่งเศส ของพวก Rothschild เปลี่ยนใจ โอนสัมปทานให้พระปลอมแทน นาย d’Arcy คงนึกว่าได้ทำบุญกับพระเจ้า คงคิดไม่ต่างกับพวกที่ทำบุญกับพระปลอม ที่มาจากวัดจานบิน ได้แหล่งน้ำมาแล้ว 1 รายการ แต่คงไม่พอ สำหรับจะใช้เพื่อเป็นอาวุธครองโลก อังกฤษสายตายาวไกล มองจ้อง และจองเอาไว้ ทั่วทั้งตะวันออกกลาง โดยเฉพาะแถบ Mosul อังกฤษ รู้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่ไม่น่าจะนานเกินรอ อังกฤษมีแผนเรียบร้อยแล้ว แค่รอจังหวะเวลาบางเรื่องเท่านั้นเอง แต่ใช่ว่ามีแต่อังกฤษ ที่คิดครองแหล่งน้ามัน เยอรมันเองก็คิด อาจจะต่างกันที่วิธีการ หรือกลยุทธ เท่านั้นเอง ประมาณปี คศ 1870 อุตสาหกรรมของอังกฤษ นำหน้าเยอรมัน ชนิดทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น ในความเห็นของอังกฤษขณะนั้น เยอรมันไม่มีทีท่า ว่าจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เรียกว่าไม่อยู่ในสายตาของอังกฤษ เอาเลย แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 30 ปี อุตสาหกรรมของเยอรมัน โตเร็วเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรือ การผลิตเหล็ก การไฟฟ้า เครื่องจักร เคมี ปุ๋ย ยารักษาโรคฯลฯ และทำให้เยอรมันเอง ก็ต้องการน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิต ในการทำอุตสาหกรรม และในขณะนั้น เยอรมัน ก็ไม่ต่างกับอังกฤษ ที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตนเอง เยอรมันต้องพึ่งน้ำมันของ Standard Oil จึงอยู่ในกำมือของ Rockefeller จนหน้าเขียว เยอรมันจะทนหน้าเขียวไปตลอด ก็คงไม่ไหว กลุ่มอุตสาหกรรมและการเงินของเยอรมัน นำโดย Deutsche Bank จึงเจรจา กับรัฐบาลของออตโตมาน เพื่อรับสร้างทางรถไฟ ที่จะวิ่งจาก กรุงคอนแสตนติโนเปิล เมืองหลวงของออตโตมาน ข้ามผ่านอนาโตเลีย เป็นเส้นทางที่เยอรมันวางแผน จะให้ไปถึงเมือง แบกแดด เป็นเส้นทางที่ผ่านแหล่งน้ำมันใหญ่ไปตลอดสาย ข่าวนี้ ทำให้อังกฤษเครียดอย่างยิ่ง และถึงกับนอนฝันร้าย เมื่อมีรายงานข่าวว่า ระหว่างสร้างทางรถไฟ สัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน กับออตโตมาน ก็กระชับแน่นขึ้น แน่นขึ้น ไปเรื่อยๆ สัมพันธ์คงกระชับกันแน่นจริง ในที่สุดออตโตมาน ก็ตกลง ให้เยอรมันสร้างทางรถไฟยาว ไปถึงแบกแดด ทางรถไฟสาย Berlin Bagdad ยาว 2,500 ไมล์ ฝันร้ายของอังกฤษ กลายเป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องจริงที่ดีเกินความ ฝัน ของเยอรมัน เพราะ ในปี 1912 จากการเจรจาของ Deutsche Bank ออตโตมานเกิดใจดี แถมให้สิทธิ 2 ข้างทาง (right of way) กว้าง 20 กิโลเมตร ยาวตลอดเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะไปถึง Mosul หรือ อืรัค ในปัจจุบัน แก่เยอรมัน ข่าวนี้ทำให้อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ถึงกับยืนไม่อยู่ เข่าทรุดทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง เท้าทั้ง 2 ข้าง จากนิ้วก้อยถึงนิ้วโป้ง ทำท่าจะรับน้ำหนักต่อไปอีกไม่ไหว จะให้ดีแบบนี้ ต้องมี 4 เท้า ถึงจะยืนอยู่ได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 21 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลลิกาถามเดือด อนุทินลงนามกระทำการอุกอาจ อย่าโหนผ้าขาวดำ "ปิดความจริงไม่ได้" (28/10/68)
    .
    #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #มัลลิกา #อนุทิน #การเมืองไทย #MOU43 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    มัลลิกาถามเดือด อนุทินลงนามกระทำการอุกอาจ อย่าโหนผ้าขาวดำ "ปิดความจริงไม่ได้" (28/10/68) . #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #มัลลิกา #อนุทิน #การเมืองไทย #MOU43 #ชายแดนไทยกัมพูชา #ข่าวด่วน #newsupdate #ข่าวtiktok
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.13

    กฎหมายแพ่งนั้นเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติ ชื่อเรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจในเรื่องใกล้ตัวที่เราทุกคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ความจริงแล้วกฎหมายแพ่งมิใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ตรงกันข้ามมันคือกรอบกติกาที่เข้ามาจัดระเบียบและคุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล ให้เกิดความเป็นธรรมและสามารถคาดการณ์ได้ในการดำเนินชีวิต บทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางที่ช่วยให้การติดต่อสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และส่วนตัวเป็นไปอย่างราบรื่น

    สาระสำคัญของกฎหมายแพ่งครอบคลุมเรื่องพื้นฐานและสำคัญยิ่งในชีวิตของเรา อาทิ เรื่องสัญญาที่เป็นข้อตกลงและพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นหัวใจของการทำธุรกิจและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทุกวัน ตั้งแต่การซื้อขายสินค้า การจ้างงาน ไปจนถึงการกู้ยืมเงิน ล้วนต้องอาศัยหลักการของสัญญาเพื่อความเชื่อมั่นและบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย นอกจากนี้กฎหมายแพ่งยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เช่นที่ดินหรือบ้าน ตลอดจนสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ทำให้บุคคลมีความมั่นคงและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ตนหามาได้อย่างชอบธรรม การสืบมรดกก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่กฎหมายแพ่งเข้ามาจัดการอย่างละเอียด เพื่อให้การส่งต่อทรัพย์สินและหน้าที่ความรับผิดชอบไปยังทายาทเป็นไปอย่างยุติธรรมและลดข้อพิพาทภายในครอบครัว ด้วยเหตุนี้กฎหมายแพ่งจึงเป็นมากกว่าเพียงบทบัญญัติ แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่นคงและคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกคนอย่างแท้จริง

    การตระหนักรู้และทำความเข้าใจในหลักการของกฎหมายแพ่ง เช่น เรื่องสัญญา ทรัพย์สิน และมรดก จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความรู้นี้จะช่วยให้เราสามารถปกป้องสิทธิของตนเอง ปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง และแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีสติและถูกหลักกฎหมาย ดังนั้นกฎหมายแพ่งจึงเป็นกฎหมายที่สร้างสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่ส่วนบุคคล เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุขและเท่าเทียม หากเราทุกคนให้ความสนใจและเคารพในกฎกติกานี้ สังคมของเราก็จะมีความมั่นคงและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน
    บทความกฎหมาย EP.13 กฎหมายแพ่งนั้นเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติ ชื่อเรื่องนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการทำความเข้าใจในเรื่องใกล้ตัวที่เราทุกคนต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ความจริงแล้วกฎหมายแพ่งมิใช่เรื่องไกลตัวหรือซับซ้อนอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ตรงกันข้ามมันคือกรอบกติกาที่เข้ามาจัดระเบียบและคุ้มครองความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล ให้เกิดความเป็นธรรมและสามารถคาดการณ์ได้ในการดำเนินชีวิต บทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางที่ช่วยให้การติดต่อสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และส่วนตัวเป็นไปอย่างราบรื่น สาระสำคัญของกฎหมายแพ่งครอบคลุมเรื่องพื้นฐานและสำคัญยิ่งในชีวิตของเรา อาทิ เรื่องสัญญาที่เป็นข้อตกลงและพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นหัวใจของการทำธุรกิจและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ทุกวัน ตั้งแต่การซื้อขายสินค้า การจ้างงาน ไปจนถึงการกู้ยืมเงิน ล้วนต้องอาศัยหลักการของสัญญาเพื่อความเชื่อมั่นและบังคับใช้ได้ตามกฎหมาย นอกจากนี้กฎหมายแพ่งยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์เช่นที่ดินหรือบ้าน ตลอดจนสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ทำให้บุคคลมีความมั่นคงและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสิ่งที่ตนหามาได้อย่างชอบธรรม การสืบมรดกก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่กฎหมายแพ่งเข้ามาจัดการอย่างละเอียด เพื่อให้การส่งต่อทรัพย์สินและหน้าที่ความรับผิดชอบไปยังทายาทเป็นไปอย่างยุติธรรมและลดข้อพิพาทภายในครอบครัว ด้วยเหตุนี้กฎหมายแพ่งจึงเป็นมากกว่าเพียงบทบัญญัติ แต่เป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่นคงและคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองทุกคนอย่างแท้จริง การตระหนักรู้และทำความเข้าใจในหลักการของกฎหมายแพ่ง เช่น เรื่องสัญญา ทรัพย์สิน และมรดก จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความรู้นี้จะช่วยให้เราสามารถปกป้องสิทธิของตนเอง ปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง และแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีสติและถูกหลักกฎหมาย ดังนั้นกฎหมายแพ่งจึงเป็นกฎหมายที่สร้างสมดุลระหว่างสิทธิและหน้าที่ส่วนบุคคล เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุขและเท่าเทียม หากเราทุกคนให้ความสนใจและเคารพในกฎกติกานี้ สังคมของเราก็จะมีความมั่นคงและเป็นธรรมอย่างยั่งยืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ”

    บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก

    คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง
    การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง
    ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต
    การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์

    ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ
    ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี

    ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน
    ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ
    การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล

    สิ่งที่ไม่ควรทำตาม
    ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง
    หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ
    ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์

    ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด

    https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    📝 “ความไม่จริงใจในการใช้ AI เขียนบทความ” บทความนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนที่ผิดหวังและไม่พอใจเมื่อพบว่าเนื้อหาที่ตนอ่านนั้นถูกสร้างขึ้นโดย AI โดยไม่มีความพยายามหรือความตั้งใจจากผู้เขียนเลย ผู้เขียนมองว่า การใช้ AI เขียนบทความโดยไม่ใส่ความเป็นตัวตนหรือประสบการณ์จริงของมนุษย์ เป็นการลดคุณค่าของการสื่อสาร และทำให้ผู้อ่านรู้สึกเหมือนถูกหลอก ✅ คุณค่าของการเขียนด้วยตัวเอง ➡️ การเขียนด้วยตนเองสะท้อนความคิด ประสบการณ์ และอารมณ์ที่แท้จริง ➡️ ความผิดพลาดในการเขียนคือโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ➡️ การกล้าแสดงความไม่สมบูรณ์แบบคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีเสน่ห์ ✅ ความสำคัญของการขอความช่วยเหลือ ➡️ ไม่ควรกลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ➡️ การเรียนรู้ร่วมกันทำให้เกิดความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดี ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ➡️ ผู้อ่านต้องการรู้จัก “ตัวตน” ของผู้เขียน ไม่ใช่แค่เนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างไร้จิตวิญญาณ ➡️ การเขียนคือการเปิดใจ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูล ‼️ สิ่งที่ไม่ควรทำตาม ⛔ ใช้ AI เขียนบทความทั้งหมดโดยไม่ใส่ความคิดหรือประสบการณ์ของตนเอง ⛔ หลีกเลี่ยงการเขียนเพียงเพื่อ “ให้มีเนื้อหา” โดยไม่สนใจคุณภาพหรือความจริงใจ ⛔ ปิดกั้นตัวเองจากการเรียนรู้ผ่านความผิดพลาด เพราะกลัวจะดูไม่สมบูรณ์ 💡 ข้อคิดจากบทความนี้: AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรใช้แทน “หัวใจ” ของผู้เขียน การเขียนที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้อง “จริงใจ” และ “มีตัวตน” เพราะนั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงเรากับผู้อ่านได้ดีที่สุด https://blog.pabloecortez.com/its-insulting-to-read-your-ai-generated-blog-post/
    BLOG.PABLOECORTEZ.COM
    It's insulting to read your AI-generated blog post
    It seems so rude and careless to make me, a person with thoughts, ideas, humor, contradictions and life experience to read something spit out by the equivale...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts