• เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง

    Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว”

    Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก”

    หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม

    Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต”

    แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำจาก Mark Cuban
    “The first thing you have to do is learn AI”
    ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก
    เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต

    การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede
    เคยใช้ AI แค่แทน Google Search
    หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที
    บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน”

    ข้อมูลจาก Harvard
    อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น
    คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล
    เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC

    วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI
    ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity
    ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ
    ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว” Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก” หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต” แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว ✅ คำแนะนำจาก Mark Cuban ➡️ “The first thing you have to do is learn AI” ➡️ ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก ➡️ เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต ✅ การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede ➡️ เคยใช้ AI แค่แทน Google Search ➡️ หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที ➡️ บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ✅ ข้อมูลจาก Harvard ➡️ อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ➡️ คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล ➡️ เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC ✅ วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI ➡️ ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity ➡️ ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Billionaire entrepreneur has some words for people who don’t want to learn AI
    Mark Cuban has a salty warning for people who are avoiding getting started on learning to use AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง”

    Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง

    เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ

    แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2

    เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

    ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง
    เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน
    ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์
    สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow

    ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง
    การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
    การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ
    การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย
    การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory)
    การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่
    ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น

    ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ
    การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack
    ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้

    ความเปราะบางของระบบประสาท
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว
    หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ”
    ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน
    การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม

    https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    🎙️ เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง” Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2 เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ✅ ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง ➡️ เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน ➡️ ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์ ➡️ สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow ✅ ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ➡️ การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ ➡️ การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย ➡️ การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory) ➡️ การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ ➡️ ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ ⛔ การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack ⛔ ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้ ‼️ ความเปราะบางของระบบประสาท ⛔ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว ⛔ หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้ ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ” ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน ⛔ การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    WWW.HENRIKKARLSSON.XYZ
    Almost anything you give sustained attention to will begin to loop on itself and bloom
    When people talk about the value of paying attention and slowing down, they often make it sound prudish and monk-like. But we shouldn’t forget how interesting and overpoweringly pleasurable sustained attention can be.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19

    ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6]

    **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ Choawalit Chotwattanaphong เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron Choawalit Chotwattanaphong เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ Choawalit Chotwattanaphong

    ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน Choawalit Chotwattanaphong เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ Choawalit Chotwattanaphong

    มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส Choawalit Chotwattanaphong ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ Choawalit Chotwattanaphong

    **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13]

    **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16]

    สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18]

    โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน.

    https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0
    https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4

    https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    ✍️ความไม่โปร่งใส, ความกังวลด้านความปลอดภัย และข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวัคซีน COVID-19 ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ได้พัฒนาไปในทิศทางที่มีการตั้งคำถามและเรียกร้องความโปร่งใสมากขึ้นจากหลายฝ่าย **ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องให้บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ เช่น Pfizer และ Moderna เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยา COVID-19 ทันที** โดยระบุว่าประชาชนสมควรได้รับเห็นหลักฐาน [1, 2] ทรัมป์ยังตั้งข้อสงสัยต่อโครงการ Operation Warp Speed ของตัวเอง โดยขอให้มีการตรวจสอบว่าโครงการเร่งพัฒนาวัคซีนนี้ "ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่" หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น [1, 4] ข้อเรียกร้องนี้เกิดขึ้นพร้อมกับข่าวที่ปรากฏในรายงานของคณะกรรมการตุลาการของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ชี้ว่าอาจมีการชะลอการทดสอบวัคซีนโดยเจตนา ซึ่งอาจส่งผลต่อการประกาศความสำเร็จของวัคซีนหลังการเลือกตั้งปี 2020 [5, 6] **การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการคือบทบาทของ Robert F. Kennedy Jr. (RFK Jr.) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (HHS)** RFK Jr. ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ตั้งคำถามเรื่องวัคซีน ได้เริ่มทบทวนและยกเลิกการลงทุนในการพัฒนาวัคซีน mRNA 22 รายการ [1] เขากล่าวว่า **วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพต่ำในการต่อสู้กับไวรัสที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเนื่องจากการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว** ซึ่งทำให้วัคซีนไม่สามารถป้องกันได้เมื่อเกิดการกลายพันธุ์เพียงครั้งเดียว เช่นกรณีของเชื้อ Omicron [1] เขายังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่วัคซีนเหล่านี้อาจส่งเสริมการกลายพันธุ์และยืดเวลาการระบาดใหญ่ได้ [1] ความกังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา **RFK Jr. อ้างว่าวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในบางกรณี** โดยอ้างอิงข้อมูลการชันสูตรพลิกศพที่ระบุว่าวัคซีนเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 73.9% ในกลุ่มผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน [1] เขายังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงถึงการที่ไม่มี "คำเตือนกล่องดำ" (blackbox warning) เรื่องการเสียชีวิตในเอกสารกำกับวัคซีน แม้ว่ากฎหมายของ FDA จะกำหนดไว้ [1] มีการเน้นย้ำถึง **การขาด Informed Consent (การยินยอมเข้ารับการรักษาโดยได้รับข้อมูลครบถ้วน) อย่างรุนแรง** ผู้ป่วยหลายราย รวมถึง Dr. Walscott แพทย์ที่ได้รับบาดเจ็บจากวัคซีนยืนยันว่าไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงและโปร่งใส [1] ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือเรื่องราวของ Crystal Cordingley ที่เชื่อว่าลูกชายของเธอ Corbin เสียชีวิตจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยพบความเสียหายในสมองที่คล้ายกับกรณี SIDS [9, 10] เธอถูกปฏิเสธข้อมูลและ Informed Consent และพบว่ากุมารแพทย์ได้ยื่นรายงาน VAERS โดยที่เธอไม่ทราบ [10] นอกจากนี้ ยังมีข้อกล่าวหาว่าหน่วยงานเช่น American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ถูกควบคุมโดย HHS เพื่อผลักดันวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ [1] **ความเป็นพิษของ Spike Protein ก็เป็นประเด็นที่น่าจับตา** Dr. Robert Sullivan วิสัญญีแพทย์ผู้ได้รับผลกระทบ ได้เปิดเผยประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับการเกิดความดันโลหิตสูงในปอด (Pulmonary Hypertension) หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 และการสูญเสียความจุปอดไปครึ่งหนึ่ง [7, 8] เขากล่าวถึงงานวิจัยที่คาดการณ์ว่า Spike Protein สามารถทำลายหลอดเลือดในปอดและรกได้ [8] และ Dr. Ryan Cole พยาธิแพทย์ได้สังเกตเห็นว่าปัญหาลิ่มเลือดในผู้ป่วย "แย่ลงมาก" หลังจากการฉีดวัคซีนทางพันธุกรรม โดยมีรายงานการเสียชีวิตฉับพลันและโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยอายุน้อย [11] การบรรยายยังเสนอว่า **"Long COVID" อาจเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อน และอาการต่างๆ เช่น สมองล้าและปัญหาทางระบบประสาท อาจเกิดจาก Spike Protein ที่ผลิตโดยวัคซีน mRNA** [12] วัคซีน mRNA ที่ได้รับการดัดแปลงยังพบว่าสามารถคงอยู่ในร่างกายได้นานหลายเดือนและพบได้ในเนื้องอก ซึ่งอาจนำไปสู่โรคแพ้ภูมิตัวเอง [13] **ระบบการแพทย์และหน่วยงานสาธารณสุขเองก็ตกอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก** ระบบ VAERS (Vaccine Adverse Event Reporting System) ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่แพทย์ และมักไม่มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดการรายงาน [8] นอกจากนี้ ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากวัคซีน และ "ต้นทุนที่ซ่อนอยู่ของการบาดเจ็บ" ก็ไม่ได้รับการศึกษาหรือสอนในโรงเรียนแพทย์ [7, 12] มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ CDC ถึงกับทำลายหลักฐานที่เชื่อมโยงวัคซีน MMR กับออทิซึมในเด็กชายชาวแอฟริกัน-อเมริกัน [15, 16] สถานการณ์ล่าสุดนี้สะท้อนให้เห็นถึง **ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และความไว้วางใจของประชาชนในหน่วยงานรัฐบาลและระบบการแพทย์** โดยการตัดสินใจทางการแพทย์ทั้งหมดต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Informed Consent ที่แท้จริง [17] มีการคาดการณ์เชิงสมมติฐานว่าหากไม่มีการบังคับใช้คำสั่งให้ฉีดวัคซีน การระบาดใหญ่อาจถูกควบคุมได้เร็วกว่าโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเสี่ยงสูงและให้ไวรัสแพร่กระจายในกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ [6, 18] โดยสรุป สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นสำหรับการตรวจสอบข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์อย่างโปร่งใส การให้ความสำคัญกับ Informed Consent และการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากวัคซีน COVID-19 อย่างละเอียดถี่ถ้วน. https://www.youtube.com/live/4-JxzRRgdy0 https://youtu.be/-Y2d_4BSGP4 https://www.facebook.com/share/16v8B1t4by/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI : คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส

    เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต

    เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout และการซื้อขายออนไลน์ เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น แพทย์ นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า

    เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม

    ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน

    ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร

    ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI

    เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป

    1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป

    2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา

    3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer

    เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ

    สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เส้นทางใหม่ในโลกการทำงานยุค AI 🤖: 📚 คู่มือเชิงกลยุทธ์สำหรับคนไทยวัย 45 ปี 🙎‍♂️ ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานอย่างรวดเร็ว การถูกให้ออกจากงานหรือถูกบังคับเกษียณก่อนกำหนดในวัย 45 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนยังต้องแบกรับภาระครอบครัวและความรับผิดชอบสูงสุดในชีวิต กลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและสร้างความช็อกให้กับคนทำงานจำนวนมาก ความรู้สึกสิ้นหวัง🤞 การตั้งคำถามกับคุณค่าในตัวเอง และความรู้สึกด้อยค่าที่ว่า "ทำมา 10 ปีแต่ไม่รอด" ล้วนเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่เข้าใจได้และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ไม่ใช่ความล้มเหลวส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานระดับโลก🌏 รายงานนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นมากกว่าแค่ข้อมูล แต่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะช่วยให้ผู้ที่กำลังเผชิญวิกฤตนี้สามารถตั้งหลักและก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง โดยเปลี่ยนมุมมองจากจุดจบไปสู่จุดเปลี่ยนที่เต็มเปี่ยมด้วยโอกาส 🌞 เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้หลายคนต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน" ⁉️ มักผุดขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อ AI กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดเกมในตลาดแรงงานไทย 🙏 ซึ่งกำลังเผชิญกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มาจาก AI เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ เช่น สังคมสูงวัย 👴 ในประเทศรายได้สูงและการเพิ่มขึ้นของแรงงานในประเทศรายได้ต่ำ ตลอดจนความผันผวนทางเศรษฐกิจ📉 ตามรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศหรือ ILO คาดการณ์ว่าในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ตำแหน่งงานในไทยมากกว่า 44% หรือราว 17 ล้านตำแหน่ง มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็นพลังที่กำลังปรับโครงสร้างการจ้างงานอย่างถอนรากถอนโคน โดยเฉพาะงานที่ต้องทำซ้ำๆ และงานประจำ ซึ่งแรงงานวัยกลางคนจำนวนมากรับผิดชอบอยู่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลของทักษะในตลาดแรงงาน แม้จะมีคนว่างงานมาก แต่พวกเขาก็ขาดทักษะที่จำเป็นสำหรับงานใหม่ที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น การทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้คนทำงานมองเห็นปัญหาในมุมกว้างและวางแผนพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในอนาคต 🔮 เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น การจำแนกอาชีพตามระดับความเสี่ยงจาก AI ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมักเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมประจำหรือการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เป็นระบบอัตโนมัติได้ง่าย เช่น พนักงานแคชเชียร์หรือพนักงานขายหน้าร้านที่ถูกแทนที่ด้วยระบบ self-checkout 🏧 และการซื้อขายออนไลน์ 🌐 เจ้าหน้าที่บริการลูกค้าหรือพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ chatbot 🤖 และระบบตอบรับอัตโนมัติสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง พนักงานป้อนและประมวลผลข้อมูลที่ระบบ OCR และ AI สามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ พนักงานขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงคนขับรถที่รถยนต์ไร้คนขับ 🚗 และโดรนส่งของกำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และพนักงานบัญชีที่โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปและ AI สามารถบันทึกและประมวลผลข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นยำ ในทางตรงกันข้าม อาชีพที่ทนทานต่อ AI และกำลังเติบโตมักต้องใช้ทักษะเชิงมนุษย์ชั้นสูงที่ซับซ้อนและเลียนแบบได้ยาก เช่น 🧑‍⚕️ แพทย์ 👩‍🔬นักจิตวิทยา และพยาบาลที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง ประสบการณ์ การตัดสินใจที่ซับซ้อน และความเข้าใจมนุษย์ 👩‍🏫 ครู-อาจารย์ที่ต้องใช้ทักษะการสอนที่ละเอียดอ่อน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการสร้างแรงบันดาลใจ นักกฎหมายที่ต้องคิดเชิงวิเคราะห์ซับซ้อน 🛜 การสื่อสาร และการตัดสินใจในบริบทละเอียดอ่อน นักพัฒนา AI Data Scientist และ AI Ethicist ที่เป็นผู้สร้างและควบคุมเทคโนโลยีเอง โดยต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และทักษะเฉพาะทางระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญด้าน soft skills ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร ภาวะผู้นำ และการจัดการอารมณ์ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่แค่รายการอาชีพ แต่เป็นแผนที่กลยุทธ์ที่ชี้ทิศทางของตลาดแรงงาน คุณค่าของมนุษย์ในยุค AI อยู่ที่ทักษะที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ซึ่งจะช่วยให้คนทำงานวางแผนอัปสกิลหรือรีสกิลไปสู่อาชีพที่ยั่งยืนกว่า เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก การตั้งหลักอย่างมีสติและกลยุทธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเริ่มจากจัดการคลื่นอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา 🧘 การถูกให้ออกจากงานอย่างกะทันหันอาจนำมาซึ่งความสับสน โกรธ สูญเสีย และด้อยค่า ผู้ที่เคยผ่านสถานการณ์นี้แนะนำให้ยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นและให้เวลาตัวเองจัดการ โดยวิธีต่างๆ เช่น พูดคุยกับคนรอบข้างเพื่อรับกำลังใจและมุมมองใหม่ เขียนระบายความรู้สึกเพื่อจัดระเบียบความคิดและลดภาระจิตใจ หรือฝึกสมาธิและโยคะเพื่อทำให้จิตใจสงบ ลดความวิตกกังวล และตัดสินใจได้ดีขึ้น การปล่อยวางความคิดที่ว่าต้องชนะทุกเกมหรือชีวิตต้องเป็นไปตามแผนจะช่วยลดความกดดันและเปิดโอกาสให้คิดหาทางออกใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ การให้กำลังใจตัวเองและไม่ยอมแพ้จะเป็นพลังที่นำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทรงพลังกว่าเดิม 💪 ต่อจากนั้นคือการจัดการเรื่องสำคัญเร่งด่วนอย่างสิทธิประโยชน์และแผนการเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องในช่วงเปลี่ยนผ่าน การใช้สิทธิจากกองทุนประกันสังคมเป็นขั้นตอนสำคัญ โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 6 เดือนภายใน 15 เดือนก่อนว่างงาน และต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานภายใน 30 วันนับจากวันที่ออกจากงาน มิเช่นนั้นจะไม่ได้รับสิทธิย้อนหลัง การขึ้นทะเบียนสามารถทำออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางาน เช่น e-service.doe.go.th หรือ empui.doe.go.th โดยลงทะเบียนผู้ใช้ใหม่ กรอกข้อมูลส่วนตัว วันที่ออกจากงาน สาเหตุ และยืนยันตัวตนด้วยรหัสหลังบัตรประชาชน จากนั้นเลือกเมนูขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานและกรอกข้อมูลการทำงานล่าสุด หลังจากนั้นยื่นเอกสารที่สำนักงานประกันสังคม เช่น แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนว่างงาน (สปส. 2-01/7) สำเนาบัตรประชาชน หนังสือรับรองการออกจากงาน (ถ้ามี) และสำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคารที่ร่วมรายการ สุดท้ายต้องรายงานตัวทุกเดือนผ่านช่องทางออนไลน์ ข้อควรระวังคือผู้ที่มีอายุเกิน 55 ปีจะไม่ได้รับเงินทดแทนว่างงาน แต่ต้องใช้สิทธิเบี้ยชราภาพแทน 💷💶💵 ถัดมาคือการประเมินตนเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อค้นหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่สั่งสม การถูกเลิกจ้างในวัย 45 ปีไม่ได้หมายถึงคุณค่าหมดสิ้น แต่กลับกัน อายุและประสบการณ์คือทุนมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด ปัญหาที่แท้จริงคือทัศนคติที่ต้องปรับเปลี่ยน องค์กรยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคนที่เปิดใจเรียนรู้และทำงานร่วมกับคนต่างวัย การเปลี่ยนจากการพูดถึงลักษณะงานไปสู่การบอกเล่าความสำเร็จที่จับต้องได้จะสร้างความน่าเชื่อถือ ทักษะที่นำไปปรับใช้ได้หรือ transferable skills คือขุมทรัพย์ของคนวัยนี้ เช่น ทักษะการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจากประสบการณ์ยาวนานที่ทำให้มองปัญหาได้อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอด้วยตัวอย่างปัญหาที่เคยแก้ไขพร้อมขั้นตอนวิเคราะห์และผลลัพธ์จริง 📊 ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีมจากประสบการณ์นำทีมโครงการใหญ่ โดยระบุรายละเอียดเช่นนำทีม 10 คนลดต้นทุนได้ 15% ทักษะการสื่อสารและความฉลาดทางอารมณ์จากการประสานงาน เจรจา และจัดการความขัดแย้ง โดยเล่าเรื่องที่แสดงถึงความเข้าใจผู้อื่น และการสร้างเครือข่ายจากความสัมพันธ์ในอุตสาหกรรม โดยใช้เพื่อขอคำแนะนำหรือหาโอกาสงาน การประยุกต์ทักษะเหล่านี้จะเปลี่ยนจุดอ่อนเรื่องอายุให้เป็นจุดแข็งที่ไม่เหมือนใคร 🧍‍♂️ ในโลกการทำงานที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การยกระดับทักษะเพื่อการแข่งขันในยุคใหม่จึงจำเป็น โดยการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือกุญแจสู่ความอยู่รอด 🏫 มีแหล่งฝึกอบรมมากมายในไทยทั้งภาครัฐและเอกชน เริ่มจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหรือ DSD ที่ให้บริการฝึกอบรมหลากหลายทั้งหลักสูตรระยะสั้นสำหรับรีสกิลและอัปสกิล เช่น หลักสูตร AI สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คอมพิวเตอร์อย่าง Excel และ Power BI งานช่างอย่างช่างเดินสายไฟฟ้า และอาชีพอิสระอย่างทำอาหารไทย สามารถตรวจสอบและสมัครผ่านเว็บไซต์ dsd.go.th หรือ onlinetraining.dsd.go.th 🌐 ต่อมาคือศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภายใต้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวที่เปิดหลักสูตรฟรีเช่นการดูแลผู้สูงอายุและเสริมสวย และกรมการจัดหางานที่มีกิจกรรมแนะแนวอาชีพสำหรับผู้ว่างงาน สำหรับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยหลายแห่งอย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เปิดหลักสูตรสะสมหน่วยกิตสำหรับรีสกิลและอัปสกิล ส่วนแพลตฟอร์มเอกชนอย่าง FutureSkill และ SkillLane 🕸️ นำเสนอคอร์สทักษะแห่งอนาคตทั้ง hard skills ด้านเทคโนโลยี ข้อมูล ธุรกิจ และ soft skills สำหรับทำงานร่วมกับ AI เมื่อพร้อมทั้งอารมณ์และทักษะ การกำหนดแผนปฏิบัติการ 3 เส้นทางสู่ความสำเร็จจะเป็นขั้นตอนต่อไป 1️⃣ เส้นทางแรกคือการกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยใช้ประสบการณ์เป็นแต้มต่อ 👩‍💻 เทคนิคเขียนเรซูเม่สำหรับวัยเก๋าคือหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ทำให้ถูกเหมารวมอย่างปีจบการศึกษา ใช้คำสร้างความน่าเชื่อถือเช่นมีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี และเน้นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม การสร้างโปรไฟล์ LinkedIn เพื่อนำเสนอประสบการณ์อย่างมืออาชีพ และใช้เครือข่ายอย่างเพื่อนร่วมงานเก่าหรือ head hunter เพื่อเปิดโอกาสงานที่ไม่ได้ประกาศทั่วไป 2️⃣ เส้นทางที่สองคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระอย่างฟรีแลนซ์หรือคอนซัลแทนต์ 👨‍🏭 ซึ่งเหมาะกับผู้มีประสบการณ์สูงและต้องการกำหนดเวลาทำงานเอง อาชีพที่น่าสนใจเช่นที่ปรึกษาธุรกิจสำหรับองค์กรขนาดเล็ก นักเขียนหรือนักแปลอิสระที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ตรวจสอบเนื้อหาละเอียดอ่อน และนักบัญชีหรือนักการเงินอิสระสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การเตรียมพร้อมคือสร้างพอร์ตโฟลิโอที่น่าเชื่อถือเพราะผลงานสำคัญกว่าวุฒิการศึกษา 3️⃣ เส้นทางที่สามคือการเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวขนาดเล็กจากงานอดิเรก 🏓 โดยใช้เทคโนโลยีลดต้นทุน เช่นขายของออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ LINE เพื่อเข้าถึงลูกค้าทั่วประเทศ หรือเป็น influencer หรือ YouTuber โดยใช้ประสบการณ์สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า ไอเดียธุรกิจที่ลงทุนน้อยและเหมาะสม เช่นธุรกิจอาหารและบริการอย่างทำอาหารหรือขนมขายจากบ้าน ขายของตลาดนัด หรือบริการดูแลผู้สูงอายุและสัตว์เลี้ยง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์อย่างขายเสื้อผ้าหรือเป็นตัวแทนขายประกัน ธุรกิจที่ปรึกษาหรือฟรีแลนซ์อย่างที่ปรึกษาองค์กร นักเขียนอิสระ หรือที่ปรึกษาการเงิน และธุรกิจสร้างสรรค์อย่างปลูกผักปลอดสารพิษ งานฝีมือศิลปะ หรือเป็น influencer เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ การดูเรื่องราวความสำเร็จจากผู้ที่ก้าวข้ามมาแล้วจะช่วยให้เห็นว่าการเริ่มต้นใหม่ในวัย 45 ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ เช่น Henry Ford ที่ประสบความสำเร็จกับรถยนต์ Model T ในวัย 45 ปี Colonel Sanders ที่เริ่มแฟรนไชส์ KFC ในวัย 62 ปี หรือในไทยอย่างอดีตผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาดที่ถูกเลิกจ้างแต่ผันตัวเป็นผู้ค้าอิสระและประสบความสำเร็จ เรื่องราวเหล่านี้แสดงว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข และความมุ่งมั่นคือกุญแจ 🗝️ สุดท้าย การเผชิญกับการถูกบังคับเกษียณในวัย 45 ปีไม่ใช่จุดจบแต่เป็นใบเบิกทางสู่บทบาทใหม่ที่ทรงคุณค่า ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติคือตั้งสติจัดการอารมณ์ ใช้สิทธิประโยชน์ให้เต็มที่ ประเมินคุณค่าจากประสบการณ์ ยกระดับทักษะอย่างต่อเนื่อง และสำรวจทางเลือกใหม่ๆ ท้ายที่สุด วัย 45 ปีคือช่วงเวลาที่ทรงพลังที่สุดในการนำประสบการณ์กว่าสองทศวรรษไปสร้างคุณค่าใหม่ให้ชีวิตและสังคมอย่างยั่งยืน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • Burner Phone 101 – เมื่อการปกป้องตัวตนเริ่มต้นจากการตั้งคำถาม

    ในโลกที่ทุกการเคลื่อนไหวของเราถูกติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือ Rebecca Williams จัดเวิร์กช็อป “Burner Phone 101” เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่า “การไม่ใช้โทรศัพท์” หรือ “ใช้โทรศัพท์แบบไม่ผูกตัวตน” อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในบางสถานการณ์

    เธอเริ่มต้นด้วยการตั้ง “เป้าหมายลับ” ของเวิร์กช็อป เช่น การเข้าใจขีดจำกัดของ burner phone และการเชื่อมโยงกับแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัวในชีวิตประจำวัน โดยเน้นว่า “การไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัว” และ “ไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำร้ายผู้อื่น” คือหลักสำคัญ

    จากนั้นผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ: คุณกำลังปกป้องอะไร? จากใคร? และถ้าล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้น? ซึ่งช่วยให้การเลือกใช้ burner phone หรือเทคนิคอื่น ๆ มีเป้าหมายชัดเจน

    ในส่วนของสมาร์ตโฟน Rebecca อธิบายว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีตัวระบุหลายชั้น เช่น IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนแทบเป็นไปไม่ได้ และยังเก็บข้อมูล 4 หมวดหลัก ได้แก่ ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา ซึ่งสามารถถูกเข้าถึงได้ผ่าน spyware, forensic tools หรือแม้แต่คำสั่งศาล

    เธอแนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN แทน biometrics, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ (GPS/Wi-Fi/Bluetooth), และใช้ระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัย เช่น GrapheneOS หรือ Lockdown Mode บน iOS

    เมื่อพูดถึง burner phone เธอแบ่งออกเป็น 4 ประเภท: โทรศัพท์เติมเงิน, การหมุน SIM, dumb phones, และการใช้ VoIP/VPN เพื่อหลอก metadata โดยเน้นว่า “ไม่มีวิธีใดที่นิรนาม 100%” แต่ทุกวิธีมีประโยชน์หากใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    เวิร์กช็อป Burner Phone 101 จัดขึ้นที่ Brooklyn Public Library โดย Rebecca Williams
    เป้าหมายคือเรียนรู้การใช้ burner phone และแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัว
    ใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ เพื่อเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสม
    สมาร์ตโฟนมีตัวระบุ IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนเป็นเรื่องยาก
    ข้อมูลที่เก็บในโทรศัพท์แบ่งเป็น 4 หมวด: ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา
    แนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ
    สำหรับ Android: ใช้ GrapheneOS, F-Droid, ปิด Google Location History
    สำหรับ iPhone: ใช้ Lockdown Mode, ปิด Siri, ล้างข้อมูลหลังใส่รหัสผิด 10 ครั้ง
    Burner phone แบ่งเป็น 4 ประเภท: เติมเงิน, หมุน SIM, dumb phone, VoIP/VPN
    การตั้งค่า burner phone ควรซื้อด้วยเงินสด, ไม่ใช้บัญชีส่วนตัว, และหมุน SIM
    “ไม่มีโทรศัพท์เลย” อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบางสถานการณ์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    IMSI คือรหัสผู้ใช้ที่ผูกกับ SIM ส่วน IMEI คือรหัสเครื่องที่ติดตัวอุปกรณ์
    forensic tools เช่น Cellebrite และ GrayKey สามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ได้แม้ถูกล็อก
    Faraday bag สามารถบล็อกสัญญาณชั่วคราว แต่ไม่ป้องกันเมื่อเปิดใช้งาน
    การใช้ VoIP เช่น Google Voice หรือ MySudo ช่วยลดการเปิดเผยเบอร์จริง
    GrapheneOS เป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัยและไม่ผูกกับ Google
    Lockdown Mode บน iOS 16+ ปิดฟีเจอร์ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจาก spyware

    https://rebeccawilliams.info/burner-phone-101/
    🎙️ Burner Phone 101 – เมื่อการปกป้องตัวตนเริ่มต้นจากการตั้งคำถาม ในโลกที่ทุกการเคลื่อนไหวของเราถูกติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือ Rebecca Williams จัดเวิร์กช็อป “Burner Phone 101” เพื่อให้ผู้คนเข้าใจว่า “การไม่ใช้โทรศัพท์” หรือ “ใช้โทรศัพท์แบบไม่ผูกตัวตน” อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าในบางสถานการณ์ เธอเริ่มต้นด้วยการตั้ง “เป้าหมายลับ” ของเวิร์กช็อป เช่น การเข้าใจขีดจำกัดของ burner phone และการเชื่อมโยงกับแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัวในชีวิตประจำวัน โดยเน้นว่า “การไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัว” และ “ไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อทำร้ายผู้อื่น” คือหลักสำคัญ จากนั้นผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ: คุณกำลังปกป้องอะไร? จากใคร? และถ้าล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้น? ซึ่งช่วยให้การเลือกใช้ burner phone หรือเทคนิคอื่น ๆ มีเป้าหมายชัดเจน ในส่วนของสมาร์ตโฟน Rebecca อธิบายว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีตัวระบุหลายชั้น เช่น IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนแทบเป็นไปไม่ได้ และยังเก็บข้อมูล 4 หมวดหลัก ได้แก่ ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา ซึ่งสามารถถูกเข้าถึงได้ผ่าน spyware, forensic tools หรือแม้แต่คำสั่งศาล เธอแนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN แทน biometrics, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ (GPS/Wi-Fi/Bluetooth), และใช้ระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัย เช่น GrapheneOS หรือ Lockdown Mode บน iOS เมื่อพูดถึง burner phone เธอแบ่งออกเป็น 4 ประเภท: โทรศัพท์เติมเงิน, การหมุน SIM, dumb phones, และการใช้ VoIP/VPN เพื่อหลอก metadata โดยเน้นว่า “ไม่มีวิธีใดที่นิรนาม 100%” แต่ทุกวิธีมีประโยชน์หากใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ เวิร์กช็อป Burner Phone 101 จัดขึ้นที่ Brooklyn Public Library โดย Rebecca Williams ➡️ เป้าหมายคือเรียนรู้การใช้ burner phone และแนวทางปกป้องความเป็นส่วนตัว ➡️ ใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงผ่านคำถาม 3 ข้อ เพื่อเลือกวิธีป้องกันที่เหมาะสม ➡️ สมาร์ตโฟนมีตัวระบุ IMSI และ IMEI ที่ทำให้การไม่เปิดเผยตัวตนเป็นเรื่องยาก ➡️ ข้อมูลที่เก็บในโทรศัพท์แบ่งเป็น 4 หมวด: ตัวตน, ตำแหน่ง, การสื่อสาร, และเนื้อหา ➡️ แนะนำเทคนิคป้องกัน เช่น ใช้ PIN, ปิด cloud backup, ใช้ Signal, ปิดวิทยุ ➡️ สำหรับ Android: ใช้ GrapheneOS, F-Droid, ปิด Google Location History ➡️ สำหรับ iPhone: ใช้ Lockdown Mode, ปิด Siri, ล้างข้อมูลหลังใส่รหัสผิด 10 ครั้ง ➡️ Burner phone แบ่งเป็น 4 ประเภท: เติมเงิน, หมุน SIM, dumb phone, VoIP/VPN ➡️ การตั้งค่า burner phone ควรซื้อด้วยเงินสด, ไม่ใช้บัญชีส่วนตัว, และหมุน SIM ➡️ “ไม่มีโทรศัพท์เลย” อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบางสถานการณ์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ IMSI คือรหัสผู้ใช้ที่ผูกกับ SIM ส่วน IMEI คือรหัสเครื่องที่ติดตัวอุปกรณ์ ➡️ forensic tools เช่น Cellebrite และ GrayKey สามารถดึงข้อมูลจากโทรศัพท์ได้แม้ถูกล็อก ➡️ Faraday bag สามารถบล็อกสัญญาณชั่วคราว แต่ไม่ป้องกันเมื่อเปิดใช้งาน ➡️ การใช้ VoIP เช่น Google Voice หรือ MySudo ช่วยลดการเปิดเผยเบอร์จริง ➡️ GrapheneOS เป็นระบบปฏิบัติการที่เน้นความปลอดภัยและไม่ผูกกับ Google ➡️ Lockdown Mode บน iOS 16+ ปิดฟีเจอร์ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจาก spyware https://rebeccawilliams.info/burner-phone-101/
    REBECCAWILLIAMS.INFO
    Burner Phone 101
    Hosted by the Brooklyn Public Library, this Burner Phone 101 workshop introduced participants to phone-related risk modeling, privacy-protective smartphone practices, the full spectrum of burner phone options, and when to leave phones behind entirely.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'เดชอิศม์' ฉาว! สั่งนายอำเภอสงขลาสลับคิวต้อนรับสนามบินทุกสัปดาห์ เกิดเสียงวิจารณ์หนักเรื่องความเหมาะสม-เพิ่มภาระงานท้องถิ่น ผู้ว่าฯออกหนังสือสั่งการเอง ด้านข้าราชการตั้งคำถามกระทบงานมั่นคง-พัฒนาชุมชนหรือไม่
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078366

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    'เดชอิศม์' ฉาว! สั่งนายอำเภอสงขลาสลับคิวต้อนรับสนามบินทุกสัปดาห์ เกิดเสียงวิจารณ์หนักเรื่องความเหมาะสม-เพิ่มภาระงานท้องถิ่น ผู้ว่าฯออกหนังสือสั่งการเอง ด้านข้าราชการตั้งคำถามกระทบงานมั่นคง-พัฒนาชุมชนหรือไม่ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000078366 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 771 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล

    ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น

    Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ

    การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง

    เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft

    นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม

    จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
    Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015
    Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร
    ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft

    เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025
    Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store
    Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว
    การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล

    ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI
    Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman
    ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม
    สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ”

    การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT
    Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5
    Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk
    Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    🧠 เมื่ออดีตพันธมิตรถูกแปรเปลี่ยนเป็นศัตรู: Elon Musk vs Sam Altman กับสงคราม AI ที่ลุกลามสู่โลกโซเชียล ในเดือนสิงหาคม 2025 ความขัดแย้งระหว่าง Elon Musk และ Sam Altman กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง หลังจากที่ Musk กล่าวหาว่า Apple ลำเอียงในการจัดอันดับแอปใน App Store โดยให้ ChatGPT ของ OpenAI อยู่เหนือกว่า Grok ซึ่งเป็นแชตบอทของ xAI บริษัทที่ Musk ก่อตั้งขึ้น Musk ระบุว่า Apple กระทำการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างชัดเจน และประกาศว่าจะดำเนินคดีทางกฎหมายทันที ขณะที่ Altman ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่า Musk เองก็เคยปรับอัลกอริธึมของแพลตฟอร์ม X เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและบริษัทในเครือ การโต้ตอบกันบนแพลตฟอร์ม X กลายเป็นการปะทะกันอย่างดุเดือด โดย Muskเรียก Altman ว่า “คนโกหก” และอ้างว่าโพสต์ของ Altman ได้รับยอดวิวมากกว่าโพสต์ของเขา แม้จะมีผู้ติดตามมากกว่าถึง 50 เท่า Altman ตอบกลับด้วยการท้าทายให้ Musk เซ็นรับรองว่าไม่เคยปรับอัลกอริธึมเพื่อทำร้ายคู่แข่ง เบื้องหลังของความขัดแย้งนี้ย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อ Musk ถอนตัวจากบอร์ดของ OpenAI และกล่าวหาว่าองค์กรละทิ้งพันธกิจเดิมในการสร้าง AI เพื่อมนุษยชาติ โดยหันไปเน้นผลกำไรร่วมกับ Microsoft นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ Musk แชร์ภาพหน้าจอจาก ChatGPT ที่ตอบว่า “Elon Musk” น่าเชื่อถือกว่า Altman แต่ผู้ใช้หลายคนพบว่า หากตั้งคำถามใหม่หรือปรับบริบทก่อนถาม คำตอบจะเปลี่ยนเป็น “Sam Altman” ซึ่งสะท้อนถึงความอ่อนไหวของ AI ต่อการตั้งคำถาม ✅ จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง ➡️ Musk และ Altman ร่วมก่อตั้ง OpenAI ในปี 2015 ➡️ Musk ถอนตัวจากบอร์ดในปี 2018 ด้วยเหตุผลด้านทิศทางองค์กร ➡️ ความขัดแย้งทวีความรุนแรงเมื่อ OpenAI ร่วมมือกับ Microsoft ✅ เหตุการณ์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Musk กล่าวหา Apple ว่าลำเอียงต่อ ChatGPT ใน App Store ➡️ Altman ตอบโต้โดยกล่าวหาว่า Musk ปรับอัลกอริธึม X เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ➡️ การโต้ตอบกลายเป็นการด่าทอกันอย่างเปิดเผยบนโซเชียล ✅ ประเด็นเรื่องความน่าเชื่อถือของ AI ➡️ Musk แชร์ภาพ ChatGPT ตอบว่าเขาน่าเชื่อถือกว่า Altman ➡️ ผู้ใช้หลายคนพบว่า AI เปลี่ยนคำตอบตามบริบทของคำถาม ➡️ สะท้อนถึงความอ่อนไหวของโมเดลต่อการตั้งคำถามและการ “ป้อนคำ” ✅ การเปรียบเทียบ Grok กับ ChatGPT ➡️ Musk อ้างว่า Grok ดีกว่า GPT-5 ➡️ Altmanไม่ตอบตรง แต่เน้นโจมตีพฤติกรรมของ Musk ➡️ Grok เคยถูกวิจารณ์เรื่องการให้ข้อมูลเท็จและเนื้อหาขัดแย้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/039you-liar039-elon-musk-and-sam-altman039s-ai-battle-erupts-on-social-media
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกดิจิทัล: เมื่อ “บ้านของเรา” อาจไม่ใช่ที่ดีที่สุดสำหรับข้อมูลของเรา

    ลองจินตนาการว่าคุณซื้อหนังสือดิจิทัลจาก Kindle มา 400 เล่ม แล้ววันหนึ่ง Amazon ประกาศว่าไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์เหล่านั้นมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้อีกต่อไป คุณยังเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น—แปลว่าคุณไม่ได้ “เป็นเจ้าของ” หนังสือเหล่านั้นจริงๆ แต่แค่ “เช่า” สิทธิ์ในการอ่าน

    นี่คือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอยู่หรือเปล่า?” และนำไปสู่การทดลองของผู้เขียนบทความ ที่ตัดสินใจสร้าง “คลาวด์ส่วนตัว” ขึ้นมาเองในบ้าน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์เก่าและซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น Immich (แทน Google Photos), Nextcloud (แทน Google Drive), Jellyfin (แทน Netflix) และ Audiobookshelf (แทน Audible)

    แต่หลังจากลงทุนลงแรงไปหลายสัปดาห์ เขากลับพบว่าแม้จะได้อิสระและความเป็นเจ้าของ แต่การดูแลระบบทั้งหมดด้วยตัวเองนั้น “ไม่ใช่อนาคตที่เหมาะกับทุกคน”

    Amazon ปรับนโยบาย Kindle: ผู้ใช้ไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์หนังสือได้อีก
    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น
    Amazon เปลี่ยนคำว่า “ซื้อหนังสือ” เป็น “ซื้อสิทธิ์การใช้งาน”

    แนวคิด Self-Hosting คือการตั้งเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ด้วยตัวเอง
    ใช้ฮาร์ดแวร์ของตนเอง ติดตั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน
    ดูแลความปลอดภัย การสำรองข้อมูล และการอัปเดตทั้งหมดด้วยตัวเอง

    ผู้เขียนสร้างคลาวด์ส่วนตัวด้วยเซิร์ฟเวอร์ Lenovo และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส
    ใช้ Proxmox, Docker, Snapraid, MergerFS และ Tailscale
    ติดตั้งบริการต่างๆ เช่น Immich, Jellyfin, Nextcloud และ Audiobookshelf

    ข้อดีของ Self-Hosting คือความเป็นเจ้าของและความยืดหยุ่น
    ไม่มีการเก็บข้อมูลโดยบริษัทใหญ่
    สามารถปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ

    Self-Hosting ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคสูงและเวลามาก
    การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ใช้เวลาหลายสัปดาห์
    ต้องเข้าใจ Docker, Linux, VPN และระบบไฟล์

    ความผิดพลาดในการตั้งค่าอาจทำให้ข้อมูลสูญหายหรือระบบล่ม
    ไม่มีทีมซัพพอร์ตเหมือนบริการคลาวด์
    ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองเมื่อเกิดปัญหา

    การดูแลระบบอย่างต่อเนื่องเป็นภาระที่ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
    ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์และตรวจสอบความปลอดภัยสม่ำเสมอ
    หากไม่มีเวลาหรือความรู้ อาจกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์

    แม้จะปลอดภัยจากบริษัทใหญ่ แต่ก็เสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หากตั้งค่าไม่ดี
    การเปิดพอร์ตหรือใช้รหัสผ่านอ่อนอาจถูกแฮกได้ง่าย
    ต้องมีระบบสำรองข้อมูลและไฟร์วอลล์ที่ดี

    https://www.drewlyton.com/story/the-future-is-not-self-hosted/
    🏠 เรื่องเล่าจากโลกดิจิทัล: เมื่อ “บ้านของเรา” อาจไม่ใช่ที่ดีที่สุดสำหรับข้อมูลของเรา ลองจินตนาการว่าคุณซื้อหนังสือดิจิทัลจาก Kindle มา 400 เล่ม แล้ววันหนึ่ง Amazon ประกาศว่าไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์เหล่านั้นมาเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ได้อีกต่อไป คุณยังเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น—แปลว่าคุณไม่ได้ “เป็นเจ้าของ” หนังสือเหล่านั้นจริงๆ แต่แค่ “เช่า” สิทธิ์ในการอ่าน นี่คือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามว่า “เรายังเป็นเจ้าของข้อมูลของตัวเองอยู่หรือเปล่า?” และนำไปสู่การทดลองของผู้เขียนบทความ ที่ตัดสินใจสร้าง “คลาวด์ส่วนตัว” ขึ้นมาเองในบ้าน โดยใช้เซิร์ฟเวอร์เก่าและซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส เช่น Immich (แทน Google Photos), Nextcloud (แทน Google Drive), Jellyfin (แทน Netflix) และ Audiobookshelf (แทน Audible) แต่หลังจากลงทุนลงแรงไปหลายสัปดาห์ เขากลับพบว่าแม้จะได้อิสระและความเป็นเจ้าของ แต่การดูแลระบบทั้งหมดด้วยตัวเองนั้น “ไม่ใช่อนาคตที่เหมาะกับทุกคน” ✅ Amazon ปรับนโยบาย Kindle: ผู้ใช้ไม่สามารถดาวน์โหลดไฟล์หนังสือได้อีก ➡️ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหนังสือได้ผ่านแอป Kindle เท่านั้น ➡️ Amazon เปลี่ยนคำว่า “ซื้อหนังสือ” เป็น “ซื้อสิทธิ์การใช้งาน” ✅ แนวคิด Self-Hosting คือการตั้งเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ด้วยตัวเอง ➡️ ใช้ฮาร์ดแวร์ของตนเอง ติดตั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน ➡️ ดูแลความปลอดภัย การสำรองข้อมูล และการอัปเดตทั้งหมดด้วยตัวเอง ✅ ผู้เขียนสร้างคลาวด์ส่วนตัวด้วยเซิร์ฟเวอร์ Lenovo และซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้ Proxmox, Docker, Snapraid, MergerFS และ Tailscale ➡️ ติดตั้งบริการต่างๆ เช่น Immich, Jellyfin, Nextcloud และ Audiobookshelf ✅ ข้อดีของ Self-Hosting คือความเป็นเจ้าของและความยืดหยุ่น ➡️ ไม่มีการเก็บข้อมูลโดยบริษัทใหญ่ ➡️ สามารถปรับแต่งระบบได้ตามต้องการ ‼️ Self-Hosting ต้องใช้ความรู้ทางเทคนิคสูงและเวลามาก ⛔ การตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์และบริการต่างๆ ใช้เวลาหลายสัปดาห์ ⛔ ต้องเข้าใจ Docker, Linux, VPN และระบบไฟล์ ‼️ ความผิดพลาดในการตั้งค่าอาจทำให้ข้อมูลสูญหายหรือระบบล่ม ⛔ ไม่มีทีมซัพพอร์ตเหมือนบริการคลาวด์ ⛔ ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเองเมื่อเกิดปัญหา ‼️ การดูแลระบบอย่างต่อเนื่องเป็นภาระที่ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ต้องอัปเดตซอฟต์แวร์และตรวจสอบความปลอดภัยสม่ำเสมอ ⛔ หากไม่มีเวลาหรือความรู้ อาจกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ ‼️ แม้จะปลอดภัยจากบริษัทใหญ่ แต่ก็เสี่ยงจากการโจมตีไซเบอร์หากตั้งค่าไม่ดี ⛔ การเปิดพอร์ตหรือใช้รหัสผ่านอ่อนอาจถูกแฮกได้ง่าย ⛔ ต้องมีระบบสำรองข้อมูลและไฟร์วอลล์ที่ดี https://www.drewlyton.com/story/the-future-is-not-self-hosted/
    WWW.DREWLYTON.COM
    The Future is NOT Self-Hosted
    Hey friends 👋, A few months ago, Amazon announced that Kindle users would no longer be able to download and back up their book libraries to their computers. Thankfully, I still have access to my library because I saw this video by Jared Henderson warning of the change and downloaded all
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักเรียนไทยยุค AI: อยู่รอดอย่างไรในโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิม?
    โลกยุคใหม่ไม่ได้รอใครอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อนวัตกรรมอย่าง AI เข้ามามีบทบาทในแทบทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การเรียน ไปจนถึงการทำงานในอนาคต และนักเรียนไทยจะต้องไม่ใช่แค่ “ปรับตัว” แต่ต้อง “เปลี่ยนวิธีคิด” เพื่อให้อยู่รอดและเติบโตในโลกที่ AI ครองเวที

    แล้วนักเรียนต้องพัฒนาอะไรบ้าง?
    1️⃣. AI Literacy – ทักษะความรู้เรื่อง AI
    ไม่ใช่แค่ใช้ ChatGPT ได้ แต่ต้องเข้าใจว่า AI ทำงานอย่างไร มีข้อดี ข้อจำกัด และ “อคติ” อย่างไรบ้าง นักเรียนต้องฝึกคิดแบบวิพากษ์ ไม่เชื่อทุกอย่างที่ AI บอกมา ต้องกล้าตั้งคำถาม และตรวจสอบแหล่งข้อมูลให้เป็น

    2️⃣. ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา
    AI เก่งในเรื่อง “การจำและประมวลผล” แต่การตั้งคำถาม การตีความ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ยังเป็นทักษะของมนุษย์ นักเรียนควรฝึกคิดในเชิงลึก ฝึกตั้งสมมุติฐาน ทดลอง และปรับปรุง ไม่ใช่แค่หาคำตอบเร็วๆ จากอินเทอร์เน็ต

    3️⃣. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
    AI ช่วยเราคิดได้ แต่ไม่สามารถ “คิดแทนเราได้หมด” การสร้างผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เขียนเรื่องราว แต่งเพลง ทำโครงการนวัตกรรม หรือผลงานศิลปะ ยังคงต้องใช้พลังความคิดของมนุษย์อย่างแท้จริง

    4️⃣. การทำงานร่วมกันกับ AI และมนุษย์
    นักเรียนในยุคนี้ต้องทำงานเป็นทีม ทั้งกับคนและกับเทคโนโลยี ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรใช้ AI ช่วย และเมื่อไรควรใช้หัวใจของมนุษย์ เช่น การฟังเพื่อน ความเข้าใจอารมณ์ หรือการทำโปรเจกต์ร่วมกัน

    5️⃣. จริยธรรมและความรับผิดชอบ
    การใช้ AI อย่างถูกจริยธรรมเป็นเรื่องใหญ่ เช่น ไม่คัดลอกเนื้อหาที่ AI สร้างมาโดยไม่เข้าใจ การเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่น และรู้เท่าทัน Deepfake หรือข้อมูลบิดเบือนที่อาจเจอในชีวิตประจำวัน

    AI คือเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู
    หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน หรือทำให้คนไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่ในความเป็นจริง AI คือ “เครื่องมือ” ที่ดีมาก ถ้าเราใช้เป็น มันจะช่วยให้เราเก่งขึ้น ไม่ใช่ถูกแทนที่

    เช่น:
    - นักเรียนสามารถใช้ AI ช่วยสรุปบทเรียน ติวสอบ หรือสร้างไอเดียสำหรับโปรเจกต์
    - ครูสามารถใช้ AI ช่วยตรวจข้อสอบ วางแผนบทเรียน และมีเวลาสอนนักเรียนแบบใกล้ชิดขึ้น
    - โรงเรียนหลายแห่งก็เริ่มใช้ AI อย่าง SplashLearn, ChatGPT หรือ Writable เพื่อช่วยให้การเรียนสนุกและเข้าถึงได้มากขึ้น

    แต่อย่าลืมความเสี่ยง
    แม้ว่า AI จะช่วยได้มาก แต่ก็มีความท้าทาย เช่น:
    - ความเครียดจากการอยู่กับหน้าจอนานๆ
    - ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือมีอคติจาก AI
    - ความเหลื่อมล้ำเรื่องอุปกรณ์และทักษะในบางพื้นที่ของประเทศ

    ดังนั้น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และภาครัฐต้องร่วมมือกัน สร้างระบบการเรียนรู้ที่ปลอดภัย เท่าเทียม และพัฒนาความรู้รอบด้านไปพร้อมกัน

    สรุปง่ายๆ สำหรับนักเรียนไทยในยุค AI:
    - อย่าใช้ AI แค่ “ให้มันทำให้” แต่ต้อง “ใช้มันเพื่อให้เราเก่งขึ้น”
    - พัฒนาให้รอบด้าน ทั้งสมอง จิตใจ และจริยธรรม
    - ฝึกเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะเทคโนโลยีจะไม่หยุดรอเราแน่นอน

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🎓 นักเรียนไทยยุค AI: อยู่รอดอย่างไรในโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิม? โลกยุคใหม่ไม่ได้รอใครอีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อนวัตกรรมอย่าง AI เข้ามามีบทบาทในแทบทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การเรียน ไปจนถึงการทำงานในอนาคต และนักเรียนไทยจะต้องไม่ใช่แค่ “ปรับตัว” แต่ต้อง “เปลี่ยนวิธีคิด” เพื่อให้อยู่รอดและเติบโตในโลกที่ AI ครองเวที ✅ แล้วนักเรียนต้องพัฒนาอะไรบ้าง? 1️⃣. AI Literacy – ทักษะความรู้เรื่อง AI ไม่ใช่แค่ใช้ ChatGPT ได้ แต่ต้องเข้าใจว่า AI ทำงานอย่างไร มีข้อดี ข้อจำกัด และ “อคติ” อย่างไรบ้าง นักเรียนต้องฝึกคิดแบบวิพากษ์ ไม่เชื่อทุกอย่างที่ AI บอกมา ต้องกล้าตั้งคำถาม และตรวจสอบแหล่งข้อมูลให้เป็น 2️⃣. ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา AI เก่งในเรื่อง “การจำและประมวลผล” แต่การตั้งคำถาม การตีความ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ยังเป็นทักษะของมนุษย์ นักเรียนควรฝึกคิดในเชิงลึก ฝึกตั้งสมมุติฐาน ทดลอง และปรับปรุง ไม่ใช่แค่หาคำตอบเร็วๆ จากอินเทอร์เน็ต 3️⃣. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) AI ช่วยเราคิดได้ แต่ไม่สามารถ “คิดแทนเราได้หมด” การสร้างผลงานที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น เขียนเรื่องราว แต่งเพลง ทำโครงการนวัตกรรม หรือผลงานศิลปะ ยังคงต้องใช้พลังความคิดของมนุษย์อย่างแท้จริง 4️⃣. การทำงานร่วมกันกับ AI และมนุษย์ นักเรียนในยุคนี้ต้องทำงานเป็นทีม ทั้งกับคนและกับเทคโนโลยี ต้องรู้ว่าเมื่อไรควรใช้ AI ช่วย และเมื่อไรควรใช้หัวใจของมนุษย์ เช่น การฟังเพื่อน ความเข้าใจอารมณ์ หรือการทำโปรเจกต์ร่วมกัน 5️⃣. จริยธรรมและความรับผิดชอบ การใช้ AI อย่างถูกจริยธรรมเป็นเรื่องใหญ่ เช่น ไม่คัดลอกเนื้อหาที่ AI สร้างมาโดยไม่เข้าใจ การเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่น และรู้เท่าทัน Deepfake หรือข้อมูลบิดเบือนที่อาจเจอในชีวิตประจำวัน 📌 AI คือเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน หรือทำให้คนไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แต่ในความเป็นจริง AI คือ “เครื่องมือ” ที่ดีมาก ถ้าเราใช้เป็น มันจะช่วยให้เราเก่งขึ้น ไม่ใช่ถูกแทนที่ เช่น: - นักเรียนสามารถใช้ AI ช่วยสรุปบทเรียน ติวสอบ หรือสร้างไอเดียสำหรับโปรเจกต์ - ครูสามารถใช้ AI ช่วยตรวจข้อสอบ วางแผนบทเรียน และมีเวลาสอนนักเรียนแบบใกล้ชิดขึ้น - โรงเรียนหลายแห่งก็เริ่มใช้ AI อย่าง SplashLearn, ChatGPT หรือ Writable เพื่อช่วยให้การเรียนสนุกและเข้าถึงได้มากขึ้น 🚨 แต่อย่าลืมความเสี่ยง แม้ว่า AI จะช่วยได้มาก แต่ก็มีความท้าทาย เช่น: - ความเครียดจากการอยู่กับหน้าจอนานๆ - ข้อมูลที่ผิดพลาดหรือมีอคติจาก AI - ความเหลื่อมล้ำเรื่องอุปกรณ์และทักษะในบางพื้นที่ของประเทศ ดังนั้น นักเรียน ครู ผู้ปกครอง และภาครัฐต้องร่วมมือกัน สร้างระบบการเรียนรู้ที่ปลอดภัย เท่าเทียม และพัฒนาความรู้รอบด้านไปพร้อมกัน 💡 สรุปง่ายๆ สำหรับนักเรียนไทยในยุค AI: - อย่าใช้ AI แค่ “ให้มันทำให้” แต่ต้อง “ใช้มันเพื่อให้เราเก่งขึ้น” - พัฒนาให้รอบด้าน ทั้งสมอง จิตใจ และจริยธรรม - ฝึกเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะเทคโนโลยีจะไม่หยุดรอเราแน่นอน #ลุงเขียนหลานอ่าน
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระผู้ใหญ่ใฝ่ราคะ เย่อกามในผ้าเหลือง

    ยุคเสื่อมพระพุทธศาสนาไทย จากเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง นครปฐม ติดพันสาวเว็บพนัน สู่ปรากฎการณ์ที่พิธีกรข่าว วารินทร์ สัจจเดว ตั้งขึ้นว่า "วันอาสาราคะลาสึกบูชา" พระสงฆ์ที่ครองสมณศักดิ์ระดับสูงหลายคณะภาค ร่วมใช้สีกาคนเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย พร้อมใจกันลาสิกขาโดยละม่อม หลังตำรวจตรวจยึดโทรศัพท์จากสีกา พบภาพสัมพันธ์ต้องห้ามกว่า 8 หมื่นไฟล์ การันตีด้วยผลงานเจ้าอาวาสวัดดังทั่วไทย ไล่ตั้งแต่วัดตรีทศเทพ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ วัดพระพุทธฉาย สระบุรี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฉะเชิงเทรา หนังสือพิมพ์หัวสีไทยรัฐถึงกับใช้คำว่า "เย่อกามในผ้าเหลือง"

    ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดยหลวงตาเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. เช็กหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างสีกากอล์ฟ วัย 35 ปี สาวคนสนิทอดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ หรือเจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร วัย 54 ปี ลาสิกขาสายฟ้าแลบที่ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. แล้วพบว่าสีกากอล์ฟมีเซ็กซ์กับพระชั้นผู้ใหญ่อีกหลายรูป ตรวจค้นบ้านพบจีวรนับสิบผืน เมื่อยึดมือถือ 5 เครื่องไปตรวจสอบเป็นต้องผงะ พบคลิปพระผู้ใหญ่เย่อกามกว่า 8 หมื่นภาพ ชุดสืบสวนต้องดูกันตาแฉะ เพื่อนำไปขยายผลดำเนินคดี

    ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง แต่เมื่อเป็นปลาตัวใหญ่เลยเหม็นนานกว่า สังคมไทยในฐานะเมืองพุทธถึงกับเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา บางคนถึงกับเลิกเข้าวัด เลิกบริจาคเงินให้กับวัด หันไปบริจาคให้โรงพยาบาลและโรงเรียนแทน ขณะเดียวกัน ยังมีการตั้งคำถามถึงการที่สาธุชนถวายเงินให้กับพระโดยตรง รวมทั้งการจัดงานประจำปีและงานบุญต่างๆ ที่ทำรายได้จากการประมูลร้านค้า และเงินบริจาคที่เป็นเงินสดจำนวนมหาศาล กลายเป็นการสร้างความมั่งคั่งแก่พระชั้นผู้ใหญ่บางรูป ต่อยอดสู่การเป็นพุทธพาณิชย์เต็มตัว ลืมเลือนแม้แต่บทสวดมนต์ "อะระหะโต ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส"

    พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ เตือนใจว่า แม้พระชั้นผู้ใหญ่รู้ธรรมะสูงก็ยังพลั้งเผลอได้ จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ความสุขชั่วคราวจากการทุจริต การทำชั่วบางอย่างนำไปสู่ความล่มจม เป็นบทเรียนสอนให้ไม่ประมาท มีสติ เกิดปัญญา จะไม่นับถือพระก็ได้แต่อย่าทิ้งพระรัตนตรัย การบูชาที่แท้จริงคือการปฏิบัติบูชา อย่าเพียงแค่บูชาดอกไม้ธูปเทียน ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ระบุว่า ถือเป็นเรื่องรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ปัจจัยมาจาก 3 ส. คือ สติ สตางค์ และสล็อต พร้อมขอชาวพุทธอย่าทิ้งศาสนาไว้ข้างหลัง อนาคตสังคมอาจวิกฤต

    #Newskit
    พระผู้ใหญ่ใฝ่ราคะ เย่อกามในผ้าเหลือง ยุคเสื่อมพระพุทธศาสนาไทย จากเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง นครปฐม ติดพันสาวเว็บพนัน สู่ปรากฎการณ์ที่พิธีกรข่าว วารินทร์ สัจจเดว ตั้งขึ้นว่า "วันอาสาราคะลาสึกบูชา" พระสงฆ์ที่ครองสมณศักดิ์ระดับสูงหลายคณะภาค ร่วมใช้สีกาคนเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย พร้อมใจกันลาสิกขาโดยละม่อม หลังตำรวจตรวจยึดโทรศัพท์จากสีกา พบภาพสัมพันธ์ต้องห้ามกว่า 8 หมื่นไฟล์ การันตีด้วยผลงานเจ้าอาวาสวัดดังทั่วไทย ไล่ตั้งแต่วัดตรีทศเทพ วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ วัดพระพุทธฉาย สระบุรี วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฉะเชิงเทรา หนังสือพิมพ์หัวสีไทยรัฐถึงกับใช้คำว่า "เย่อกามในผ้าเหลือง" ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดยหลวงตาเต่า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. เช็กหลักฐานความสัมพันธ์ระหว่างสีกากอล์ฟ วัย 35 ปี สาวคนสนิทอดีตพระเทพวชิรปาโมกข์ หรือเจ้าคุณอาชว์ อดีตเจ้าอาวาสวัดตรีทศเทพวรวิหาร วัย 54 ปี ลาสิกขาสายฟ้าแลบที่ จ.หนองคาย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. แล้วพบว่าสีกากอล์ฟมีเซ็กซ์กับพระชั้นผู้ใหญ่อีกหลายรูป ตรวจค้นบ้านพบจีวรนับสิบผืน เมื่อยึดมือถือ 5 เครื่องไปตรวจสอบเป็นต้องผงะ พบคลิปพระผู้ใหญ่เย่อกามกว่า 8 หมื่นภาพ ชุดสืบสวนต้องดูกันตาแฉะ เพื่อนำไปขยายผลดำเนินคดี ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง แต่เมื่อเป็นปลาตัวใหญ่เลยเหม็นนานกว่า สังคมไทยในฐานะเมืองพุทธถึงกับเสื่อมศรัทธาในพระพุทธศาสนา บางคนถึงกับเลิกเข้าวัด เลิกบริจาคเงินให้กับวัด หันไปบริจาคให้โรงพยาบาลและโรงเรียนแทน ขณะเดียวกัน ยังมีการตั้งคำถามถึงการที่สาธุชนถวายเงินให้กับพระโดยตรง รวมทั้งการจัดงานประจำปีและงานบุญต่างๆ ที่ทำรายได้จากการประมูลร้านค้า และเงินบริจาคที่เป็นเงินสดจำนวนมหาศาล กลายเป็นการสร้างความมั่งคั่งแก่พระชั้นผู้ใหญ่บางรูป ต่อยอดสู่การเป็นพุทธพาณิชย์เต็มตัว ลืมเลือนแม้แต่บทสวดมนต์ "อะระหะโต ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส" พระไพศาล วิสาโล วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ เตือนใจว่า แม้พระชั้นผู้ใหญ่รู้ธรรมะสูงก็ยังพลั้งเผลอได้ จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ความสุขชั่วคราวจากการทุจริต การทำชั่วบางอย่างนำไปสู่ความล่มจม เป็นบทเรียนสอนให้ไม่ประมาท มีสติ เกิดปัญญา จะไม่นับถือพระก็ได้แต่อย่าทิ้งพระรัตนตรัย การบูชาที่แท้จริงคือการปฏิบัติบูชา อย่าเพียงแค่บูชาดอกไม้ธูปเทียน ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (พยอม กัลยาโณ) วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี ระบุว่า ถือเป็นเรื่องรุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี ปัจจัยมาจาก 3 ส. คือ สติ สตางค์ และสล็อต พร้อมขอชาวพุทธอย่าทิ้งศาสนาไว้ข้างหลัง อนาคตสังคมอาจวิกฤต #Newskit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 793 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ
    ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว

    ////////////////////

    วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย
    โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม
    อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย
    และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา

    ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย
    นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้

    ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น
    อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก

    อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    ตู่น้องพี่ที่กล้าหาญ ‘สนธิ’รับ ‘จตุพร’เป็นศิษย์น้อง แสวงจุดร่วม ‘ทักษิณ’เลว //////////////////// วันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, นายทนง ขันทอง, นายนพรัตน์ พรวนสุข, นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประพันธุ์ และนายคูณมี จัดเวที “ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งที่ 2/2568” ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย โดยนายจตุพร เข้าสวมกอดนายสนธิ และกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ลิ้มทองกูล ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมือประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ และก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของนายสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนติดโควิด-19 แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของนายปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม อย่างไรก็ตามวันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาตนจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร ตนผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ตนประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับตนเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย และขณะนี้มีการตั้งคำถามว่านายทักษิณ จะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งตนไม่อยากให้หนีอยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนและนายสนธิ ได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนนายทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่ และหัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับนายทักษิณ คือการปฎิบัติ 2 มาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งนายทักษิณได้ทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนได้หูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 66 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของนายทักษิณครบถ้วน สิ่งที่เสียไปคือการได้รัฐบาลแบบนี้ และเราได้เห็นการเปลือยตัวอย่างล่อนจ้อนของนายทักษิณ และเชื่อว่าหาคนไปตายแทบจะไม่เห็นในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงควรมาเริ่มต้นความถูกต้องให้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้านแต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนมีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง ตนรู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่ ทั้งนี้หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้ ทั้งนี้ตนกับทนายนกเขา จัดรายการมา 2 ปี เพื่ออธิบายว่าหากประชาชนไม่สามัคคีกันเราไม่มีทางเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ได้รวมถึงถ้าประชาชนถูกปลุกปั่นให้ทะเลาะกัน วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดในกกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก อย่างไรก็ตามตลอด 2 ปีที่ผ่านมา กับสองนายกรัฐมนตรีมีอะไรที่ดีขึ้นบ้าง และนโยบายที่หาเสียงสามารถทำได้จริงหรือไม่ ทั้งลดค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ค่าไฟฟ้าทันที ไฟฟ้า 20 บาททุกสาย รวมถึงแจกเงินหมื่นผ่สนดิจิทัลวอลเล็ต ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ความจริงที่กล้าลวง เพราะคิดว่าประชาชนประเทศนี้อะไรก็ได้ วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ตนและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับนายสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยพบวิธีเจาะระบบ AI Chatbots ให้ช่วยเหลือในการก่ออาชญากรรม

    นักวิจัยจาก Ben Gurion University ค้นพบ "Universal Jailbreak" ซึ่งสามารถ หลอก AI Chatbots ให้ละเมิดข้อจำกัดด้านจริยธรรมและกฎหมาย โดยใช้ เทคนิคการตั้งคำถามแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการแฮ็ก, การผลิตยาเสพติด, การฉ้อโกง และอื่น ๆ

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Universal Jailbreak
    นักวิจัยสามารถหลอก AI Chatbots ให้ให้ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย
    - รวมถึง วิธีแฮ็ก Wi-Fi, การผลิตยาเสพติด และการฉ้อโกงทางการเงิน

    เทคนิคที่ใช้คือการตั้งคำถามในรูปแบบสมมติ เช่น "ฉันกำลังเขียนบทภาพยนตร์เกี่ยวกับแฮ็กเกอร์..."
    - ทำให้ AI ตอบคำถามโดยไม่ตรวจจับว่าเป็นคำขอที่ผิดกฎหมาย

    AI Chatbots เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude ต่างได้รับผลกระทบจากเทคนิคนี้
    - แสดงให้เห็นว่า ข้อจำกัดด้านจริยธรรมของ AI ยังมีช่องโหว่

    นักวิจัยแจ้งบริษัท AI เกี่ยวกับช่องโหว่นี้ แต่บางบริษัทไม่ตอบสนอง
    - บางบริษัท มองว่าไม่ใช่ข้อบกพร่องทางเทคนิคที่สามารถแก้ไขได้ง่าย

    มี AI บางตัวที่ถูกออกแบบมาให้ไม่มีข้อจำกัดด้านจริยธรรมโดยเจตนา
    - เรียกว่า "Dark LLMs" ซึ่งช่วยเหลือในการก่ออาชญากรรมโดยตรง

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/people-are-tricking-ai-chatbots-into-helping-commit-crimes
    นักวิจัยพบวิธีเจาะระบบ AI Chatbots ให้ช่วยเหลือในการก่ออาชญากรรม นักวิจัยจาก Ben Gurion University ค้นพบ "Universal Jailbreak" ซึ่งสามารถ หลอก AI Chatbots ให้ละเมิดข้อจำกัดด้านจริยธรรมและกฎหมาย โดยใช้ เทคนิคการตั้งคำถามแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้สามารถ ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการแฮ็ก, การผลิตยาเสพติด, การฉ้อโกง และอื่น ๆ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ Universal Jailbreak ✅ นักวิจัยสามารถหลอก AI Chatbots ให้ให้ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย - รวมถึง วิธีแฮ็ก Wi-Fi, การผลิตยาเสพติด และการฉ้อโกงทางการเงิน ✅ เทคนิคที่ใช้คือการตั้งคำถามในรูปแบบสมมติ เช่น "ฉันกำลังเขียนบทภาพยนตร์เกี่ยวกับแฮ็กเกอร์..." - ทำให้ AI ตอบคำถามโดยไม่ตรวจจับว่าเป็นคำขอที่ผิดกฎหมาย ✅ AI Chatbots เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude ต่างได้รับผลกระทบจากเทคนิคนี้ - แสดงให้เห็นว่า ข้อจำกัดด้านจริยธรรมของ AI ยังมีช่องโหว่ ✅ นักวิจัยแจ้งบริษัท AI เกี่ยวกับช่องโหว่นี้ แต่บางบริษัทไม่ตอบสนอง - บางบริษัท มองว่าไม่ใช่ข้อบกพร่องทางเทคนิคที่สามารถแก้ไขได้ง่าย ✅ มี AI บางตัวที่ถูกออกแบบมาให้ไม่มีข้อจำกัดด้านจริยธรรมโดยเจตนา - เรียกว่า "Dark LLMs" ซึ่งช่วยเหลือในการก่ออาชญากรรมโดยตรง https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/people-are-tricking-ai-chatbots-into-helping-commit-crimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์ประกาศสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธ "Golden Dome" ของสหรัฐฯ มูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์แล้ว คิดเป็นเงินไทยกว่า 5,770,000 ล้านบาท

    การตัดสินใจสร้างโกลเดน โดมของสหรัฐฯ มีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก "ไอออน โดม" (Iron Dome) ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล ที่อิสราเอลได้ใช้ยิงสกัดจรวดและขีปนาวุธมาตั้งแต่ปี 2011 หรือ 14 ปีมาแล้ว

    ด้านเฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐกล่าวยกย่อง "Golden Dome" ว่าเป็นเครื่องป้องกันขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธพิสัยไกล และความเร็วเหนือเสียง แม้ว่าจะยิงมาจากอีกฟากของโลก หรือจะยิงมาจากอวกาศก็ตาม


    อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีการตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของ "Golden Dome" ว่าจะสามารถรับมือในการป้องกันขีปนาวุธราคาถูก และโดรนขนาดเล็กได้หรือไม่
    ทรัมป์ประกาศสร้างระบบป้องกันขีปนาวุธ "Golden Dome" ของสหรัฐฯ มูลค่า 175,000 ล้านดอลลาร์แล้ว คิดเป็นเงินไทยกว่า 5,770,000 ล้านบาท การตัดสินใจสร้างโกลเดน โดมของสหรัฐฯ มีแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก "ไอออน โดม" (Iron Dome) ระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอล ที่อิสราเอลได้ใช้ยิงสกัดจรวดและขีปนาวุธมาตั้งแต่ปี 2011 หรือ 14 ปีมาแล้ว ด้านเฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐกล่าวยกย่อง "Golden Dome" ว่าเป็นเครื่องป้องกันขีปนาวุธร่อน ขีปนาวุธพิสัยไกล และความเร็วเหนือเสียง แม้ว่าจะยิงมาจากอีกฟากของโลก หรือจะยิงมาจากอวกาศก็ตาม อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมีการตั้งคำถามถึงคุณสมบัติของ "Golden Dome" ว่าจะสามารถรับมือในการป้องกันขีปนาวุธราคาถูก และโดรนขนาดเล็กได้หรือไม่
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 21 0 รีวิว
  • หนังสือพิมพ์ Il Foglio ของอิตาลีได้ทดลองใช้ AI ในการเขียนบทความทั้งหมดในส่วนเสริมพิเศษ 4 หน้าเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในโลก โดยการทดลองนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน แม้ว่า AI จะมีความสามารถในการเขียนบทความที่มีความลึกซึ้งและมีอารมณ์ขัน แต่บรรณาธิการยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่นักข่าว และจะถูกใช้เพื่อเสริมสร้างคุณภาพของงานข่าว

    AI ถูกใช้ในการเขียนบทความทั้งหมดในส่วนเสริมพิเศษ
    - การทดลองนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน
    - AI ถูกใช้ในการเขียนบทความในหัวข้อที่หนังสือพิมพ์ไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เช่น ดาราศาสตร์

    AI มีความสามารถในการเขียนบทความที่มีอารมณ์ขันและลึกซึ้ง
    - บรรณาธิการระบุว่า AI มี ความสามารถในการเขียนบทความที่มีอารมณ์ขันอย่างเป็นธรรมชาติ
    - AI สามารถวิเคราะห์หนังสือที่มีความยาว 700 หน้าและสร้างบทวิจารณ์ที่ลึกซึ้งในเวลาเพียงไม่กี่นาที

    AI จะไม่แทนที่นักข่าว แต่จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพของงานข่าว
    - บรรณาธิการยืนยันว่า AI จะช่วยให้นักข่าวสามารถ ค้นหาแง่มุมใหม่ๆ และสร้างสรรค์งานที่มีความลึกซึ้งมากขึ้น
    - AI จะสร้างงานสำหรับผู้ที่มีความสามารถในการตั้งคำถามและใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ

    Il Foglio วางแผนที่จะใช้ AI ในการเขียนบทความบางส่วนในอนาคต
    - หนังสือพิมพ์จะเพิ่มส่วนที่เขียนโดย AI สัปดาห์ละครั้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/italian-newspaper-gives-free-rein-to-ai-admires-its-irony
    หนังสือพิมพ์ Il Foglio ของอิตาลีได้ทดลองใช้ AI ในการเขียนบทความทั้งหมดในส่วนเสริมพิเศษ 4 หน้าเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในโลก โดยการทดลองนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน แม้ว่า AI จะมีความสามารถในการเขียนบทความที่มีความลึกซึ้งและมีอารมณ์ขัน แต่บรรณาธิการยืนยันว่า AI จะไม่แทนที่นักข่าว และจะถูกใช้เพื่อเสริมสร้างคุณภาพของงานข่าว ✅ AI ถูกใช้ในการเขียนบทความทั้งหมดในส่วนเสริมพิเศษ - การทดลองนี้ช่วยเพิ่มยอดขายและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้อ่าน - AI ถูกใช้ในการเขียนบทความในหัวข้อที่หนังสือพิมพ์ไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เช่น ดาราศาสตร์ ✅ AI มีความสามารถในการเขียนบทความที่มีอารมณ์ขันและลึกซึ้ง - บรรณาธิการระบุว่า AI มี ความสามารถในการเขียนบทความที่มีอารมณ์ขันอย่างเป็นธรรมชาติ - AI สามารถวิเคราะห์หนังสือที่มีความยาว 700 หน้าและสร้างบทวิจารณ์ที่ลึกซึ้งในเวลาเพียงไม่กี่นาที ✅ AI จะไม่แทนที่นักข่าว แต่จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพของงานข่าว - บรรณาธิการยืนยันว่า AI จะช่วยให้นักข่าวสามารถ ค้นหาแง่มุมใหม่ๆ และสร้างสรรค์งานที่มีความลึกซึ้งมากขึ้น - AI จะสร้างงานสำหรับผู้ที่มีความสามารถในการตั้งคำถามและใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ Il Foglio วางแผนที่จะใช้ AI ในการเขียนบทความบางส่วนในอนาคต - หนังสือพิมพ์จะเพิ่มส่วนที่เขียนโดย AI สัปดาห์ละครั้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/italian-newspaper-gives-free-rein-to-ai-admires-its-irony
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Italian newspaper gives free rein to AI, admires its irony
    ROME (Reuters) - Artificial intelligence can write a great book review and is good at irony, but it won't replace quality journalism, said the editor of an Italian newspaper at the forefront of AI experimentation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • MITRE ได้รับการขยายสัญญาจาก CISA เพื่อดำเนินโครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ต่อไปอีก 11 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าโครงการอาจถูกยกเลิกเนื่องจากการตัดงบประมาณ

    CISA ขยายสัญญา MITRE เพื่อดำเนินโครงการ CVE ต่อไปอีก 11 เดือน
    - โครงการ CVE เป็นมาตรฐานสำคัญในการ ระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - การขยายสัญญาช่วยให้มี การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบบ และลดผลกระทบต่อชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์

    ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ CVE
    - นักวิชาการด้านความปลอดภัยบางคนกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่พันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการสนับสนุนโครงการนี้
    - มีการเสนอให้ตั้ง CVE Foundation เพื่อให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากผู้สนับสนุนทั่วโลก

    MITRE อาจต้องหาทางออกอื่นหากไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม
    - มีการตั้งคำถามว่า MITRE จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ด้วยเงินทุนของตัวเองหรือไม่
    - อาจมีความเป็นไปได้ที่ สหภาพยุโรปจะเข้ามาสนับสนุนโครงการแทน

    ความสำคัญของโครงการ CVE ต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์
    - CVE เป็น ฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับ ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Cyber Threat Intelligence และ Endpoint Detection

    https://www.zdnet.com/article/why-the-cve-database-for-tracking-security-flaws-nearly-went-dark-and-what-happens-next/
    MITRE ได้รับการขยายสัญญาจาก CISA เพื่อดำเนินโครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ต่อไปอีก 11 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าโครงการอาจถูกยกเลิกเนื่องจากการตัดงบประมาณ ✅ CISA ขยายสัญญา MITRE เพื่อดำเนินโครงการ CVE ต่อไปอีก 11 เดือน - โครงการ CVE เป็นมาตรฐานสำคัญในการ ระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - การขยายสัญญาช่วยให้มี การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบบ และลดผลกระทบต่อชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ CVE - นักวิชาการด้านความปลอดภัยบางคนกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่พันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการสนับสนุนโครงการนี้ - มีการเสนอให้ตั้ง CVE Foundation เพื่อให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากผู้สนับสนุนทั่วโลก ✅ MITRE อาจต้องหาทางออกอื่นหากไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม - มีการตั้งคำถามว่า MITRE จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ด้วยเงินทุนของตัวเองหรือไม่ - อาจมีความเป็นไปได้ที่ สหภาพยุโรปจะเข้ามาสนับสนุนโครงการแทน ✅ ความสำคัญของโครงการ CVE ต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์ - CVE เป็น ฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับ ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Cyber Threat Intelligence และ Endpoint Detection https://www.zdnet.com/article/why-the-cve-database-for-tracking-security-flaws-nearly-went-dark-and-what-happens-next/
    WWW.ZDNET.COM
    Why the CVE database for tracking security flaws nearly went dark - and what happens next
    Expired US government funding nearly disrupted this global security system. How can we prevent this from happening again in 11 months?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 324 มุมมอง 0 รีวิว
  • MITRE ได้รับการขยายสัญญาจาก CISA เพื่อดำเนินโครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ต่อไปอีก 11 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าโครงการอาจถูกยกเลิกเนื่องจากการตัดงบประมาณ

    CISA ขยายสัญญา MITRE เพื่อดำเนินโครงการ CVE ต่อไปอีก 11 เดือน
    - โครงการ CVE เป็นมาตรฐานสำคัญในการ ระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    - การขยายสัญญาช่วยให้มี การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบบ และลดผลกระทบต่อชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์

    ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ CVE
    - นักวิชาการด้านความปลอดภัยบางคนกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่พันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการสนับสนุนโครงการนี้
    - มีการเสนอให้ตั้ง CVE Foundation เพื่อให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากผู้สนับสนุนทั่วโลก

    MITRE อาจต้องหาทางออกอื่นหากไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม
    - มีการตั้งคำถามว่า MITRE จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ด้วยเงินทุนของตัวเองหรือไม่
    - อาจมีความเป็นไปได้ที่ สหภาพยุโรปจะเข้ามาสนับสนุนโครงการแทน

    ความสำคัญของโครงการ CVE ต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์
    - CVE เป็น ฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับ ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Cyber Threat Intelligence และ Endpoint Detection

    https://www.csoonline.com/article/3964168/mitre-funding-still-in-up-in-the-air-say-experts.html
    MITRE ได้รับการขยายสัญญาจาก CISA เพื่อดำเนินโครงการ Common Vulnerabilities and Exposures (CVE) ต่อไปอีก 11 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีความกังวลว่าโครงการอาจถูกยกเลิกเนื่องจากการตัดงบประมาณ ✅ CISA ขยายสัญญา MITRE เพื่อดำเนินโครงการ CVE ต่อไปอีก 11 เดือน - โครงการ CVE เป็นมาตรฐานสำคัญในการ ระบุช่องโหว่ด้านความปลอดภัย - การขยายสัญญาช่วยให้มี การเปลี่ยนผ่านที่เป็นระบบ และลดผลกระทบต่อชุมชนความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโครงการ CVE - นักวิชาการด้านความปลอดภัยบางคนกังวลว่า สหรัฐฯ อาจไม่ใช่พันธมิตรที่เชื่อถือได้ในการสนับสนุนโครงการนี้ - มีการเสนอให้ตั้ง CVE Foundation เพื่อให้มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายจากผู้สนับสนุนทั่วโลก ✅ MITRE อาจต้องหาทางออกอื่นหากไม่มีการต่อสัญญาเพิ่มเติม - มีการตั้งคำถามว่า MITRE จะสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ด้วยเงินทุนของตัวเองหรือไม่ - อาจมีความเป็นไปได้ที่ สหภาพยุโรปจะเข้ามาสนับสนุนโครงการแทน ✅ ความสำคัญของโครงการ CVE ต่ออุตสาหกรรมความปลอดภัยไซเบอร์ - CVE เป็น ฐานข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถจัดการช่องโหว่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - ใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับ ผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัย เช่น Cyber Threat Intelligence และ Endpoint Detection https://www.csoonline.com/article/3964168/mitre-funding-still-in-up-in-the-air-say-experts.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    MITRE funding still in up in the air, say experts
    The US is “not a reliable partner” in supporting the CVE database, says one analyst; CVE board members establish the CVE Foundation in response.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 313 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amazon ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้บริหารในปี 2024 โดยพบว่า Jeff Bezos อดีต CEO ของบริษัทได้รับค่าตอบแทนรวมมากกว่าผู้บริหารคนปัจจุบัน Andy Jassy แม้ว่าจะมีเงินเดือนที่ต่ำกว่า

    Jeff Bezos ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงกว่า Andy Jassy
    - เงินเดือนของ Bezos อยู่ที่ 81,840 ดอลลาร์ ในปี 2024
    - Andy Jassy ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า Bezos ถึง 4.5 เท่า
    - อย่างไรก็ตาม Bezos ได้รับ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย 1.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าตอบแทนรวมของเขาสูงขึ้น

    ค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของ Amazon
    - CEO ของ AWS Matt Garman ได้รับเงินเดือน 358,750 ดอลลาร์
    - CFO Brian Olsavsky, CEO ของ Amazon Stores Douglas Herrington และ Chief Global Affairs & Legal Officer David Zapolsky ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Jassy

    การประชุมผู้ถือหุ้นและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ
    - มีการเสนอให้ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    - มีข้อเสนอให้ รายงานผลกระทบของศูนย์ข้อมูลและบรรจุภัณฑ์
    - คณะกรรมการบริษัทลงมติ ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีมาตรการที่เพียงพออยู่แล้ว

    ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม
    ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos
    - Amazon ให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos เป็นสิ่งจำเป็นและสมเหตุสมผล
    - อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้

    ความโปร่งใสในการบริหารของ Amazon
    - การปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดข้อกังวลในกลุ่มนักลงทุน
    - ต้องติดตามว่า Amazon จะมีการปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตหรือไม่

    แนวโน้มของค่าตอบแทนผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Microsoft มีแนวโน้มให้ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงขึ้น
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/amazon-paid-out-more-to-jeff-bezos-than-its-actual-ceo-in-2024
    Amazon ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนของผู้บริหารในปี 2024 โดยพบว่า Jeff Bezos อดีต CEO ของบริษัทได้รับค่าตอบแทนรวมมากกว่าผู้บริหารคนปัจจุบัน Andy Jassy แม้ว่าจะมีเงินเดือนที่ต่ำกว่า ✅ Jeff Bezos ได้รับค่าตอบแทนรวมสูงกว่า Andy Jassy - เงินเดือนของ Bezos อยู่ที่ 81,840 ดอลลาร์ ในปี 2024 - Andy Jassy ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่า Bezos ถึง 4.5 เท่า - อย่างไรก็ตาม Bezos ได้รับ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัย 1.6 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้ค่าตอบแทนรวมของเขาสูงขึ้น ✅ ค่าตอบแทนของผู้บริหารระดับสูงของ Amazon - CEO ของ AWS Matt Garman ได้รับเงินเดือน 358,750 ดอลลาร์ - CFO Brian Olsavsky, CEO ของ Amazon Stores Douglas Herrington และ Chief Global Affairs & Legal Officer David Zapolsky ได้รับเงินเดือน 365,000 ดอลลาร์ เช่นเดียวกับ Jassy ✅ การประชุมผู้ถือหุ้นและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ - มีการเสนอให้ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก - มีข้อเสนอให้ รายงานผลกระทบของศูนย์ข้อมูลและบรรจุภัณฑ์ - คณะกรรมการบริษัทลงมติ ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าบริษัทมีมาตรการที่เพียงพออยู่แล้ว ⚠️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ต้องติดตาม ℹ️ ค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos - Amazon ให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านความปลอดภัยของ Bezos เป็นสิ่งจำเป็นและสมเหตุสมผล - อย่างไรก็ตาม มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความจำเป็นของค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้ ℹ️ ความโปร่งใสในการบริหารของ Amazon - การปฏิเสธข้อเสนอเกี่ยวกับการรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้เกิดข้อกังวลในกลุ่มนักลงทุน - ต้องติดตามว่า Amazon จะมีการปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในอนาคตหรือไม่ ℹ️ แนวโน้มของค่าตอบแทนผู้บริหารในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี - บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google และ Microsoft มีแนวโน้มให้ค่าตอบแทนผู้บริหารสูงขึ้น - อาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างค่าตอบแทนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด https://www.techradar.com/pro/amazon-paid-out-more-to-jeff-bezos-than-its-actual-ceo-in-2024
    WWW.TECHRADAR.COM
    Amazon paid out more to Jeff Bezos than its actual CEO in 2024
    Former CEO Jeff Bezos is still costing Amazon millions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 รีวิว
  • US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์

    จุดเริ่มต้นการละเมิด:
    - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ
    - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การตอบสนองของ OCC:
    - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที
    - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA)
    - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์

    บทเรียนที่สำคัญ:
    - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ

    David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

    Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว”

    https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    US Office of the Comptroller of the Currency (OCC) หน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแห่งชาติในสหรัฐฯ ได้เผชิญการโจมตีไซเบอร์อย่างรุนแรงจนเกิดช่องโหว่ในระบบอีเมลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ทำให้มีการเข้าถึงข้อมูลสำคัญกว่า 150,000 อีเมล เหตุการณ์นี้ถูกจัดว่าเป็นการละเมิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ จุดเริ่มต้นการละเมิด: - OCC พบ พฤติกรรมผิดปกติ ระหว่างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin) และ Mailbox ของผู้ใช้งานในระบบ - การโจมตีนี้ถูกยืนยันว่าเป็น Unauthorized Activity และส่งผลให้มีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การตอบสนองของ OCC: - หน่วยงานปิดบัญชีผู้ดูแลระบบที่ถูกเจาะระบบทันที - เรียกทีมภายนอกมาตรวจสอบปัญหา พร้อมรายงานเหตุการณ์ให้กับ Cybersecurity and Infrastructure Security Agency (CISA) - มีการแจ้งข้อมูลต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ✅ บทเรียนที่สำคัญ: - มีการตั้งคำถามว่าหน่วยงานที่มีความสำคัญระดับนี้ได้รับ ทรัพยากรที่เพียงพอ ในการป้องกันภัยไซเบอร์หรือไม่ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า IT Team ของหน่วยงานอาจขาดแคลนงบประมาณและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ David Shipley นักวิเคราะห์ความปลอดภัยไซเบอร์ชี้ว่า การละเมิดครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนสำคัญ ที่เน้นย้ำว่าความพยายามในการป้องกันภัยไซเบอร์ในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความกดดันมหาศาล ทั้งในด้านการลดทรัพยากรและการจัดการกฎหมายที่เกี่ยวข้อง Shipley กล่าวว่า “การโจมตีที่กล้าหาญแบบนี้ แสดงถึงความพยายามของผู้โจมตีที่มีความมั่นใจอย่างสูง รวมถึงความท้าทายที่ระบบป้องกันต้องเผชิญในการยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าว” https://www.csoonline.com/article/3957698/occ-email-system-breach-described-as-stunning-serious.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    OCC email system breach described as ‘stunning, serious’
    Agency that regulates all US national banks alerted Congress Tuesday about ‘unusual interactions’ involving system administrative account.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • 8 เม.ย. ฟังคำพิพากษา!
    “ไตรรัตน์” ฟ้อง 4 กสทช. ลงมติปลด ”กลั่นแกล้ง?“
    ไม่ใช่แค่เรื่องใครถูก-ผิด แต่สะท้อนความเหลวแหลกของระบบ!

    วันที่ 8 เมษายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ฟ้องกรรมการ กสทช. 4 ราย ประกอบด้วย
    พล.อ.ท. ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ
    รศ.ดร. ศุภัช ศุภชลาศัย
    รศ.ดร. สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์​
    และ ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต
    ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีมติปลดเขาออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช.

    ดูเผิน ๆ อาจคิดว่าเป็นความขัดแย้งภายในระหว่าง รักษาการเลขาฯ กับ 4 กรรมการกสทช.เสียงข้างมาก แต่คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบุคคล มันกำลังฉายภาพโครงสร้างองค์กรที่พังจากภายใน และระบบที่ออกแบบให้ “ไม่มีใครสอบใครได้จริง”



    เมื่อเสียงข้างมากพยายามสอบปัญหา… แต่ระบบไม่อนุญาตให้สอบ

    ต้นเรื่องเริ่มจากการอุดหนุนเงิน 600 ล้านบาท จากกองทุน กทปส.
    เพื่อให้ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022
    โดยมีข้อตกลงใน MOU ว่า ผู้รับใบอนุญาตทุกประเภทต้องได้รับสิทธิเท่าเทียม
    แต่ภายหลัง กกท. กลับไปทำ MOU แยกกับกลุ่มทรู โดยให้สิทธิพิเศษเฉพาะบางแพลตฟอร์ม นำไปสู่ เหตุการณ์ “จอดำ” ทั่วประเทศ และการตั้งคำถามเรื่องความไม่เท่าเทียมทางการออกอากาศ

    ในรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุชัดว่า
    การดำเนินการของสำนักงาน กสทช. อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ และมติบอร์ด และ ชื่อของนายไตรรัตน์ ซึ่งทำหน้าที่รักษาการเลขาฯ ปรากฏอยู่ในกระบวนการรับรู้และอนุมัติ

    กรรมการ กสทช. 4 คน จึงมีมติให้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย
    แต่กลับพบว่าตามระเบียบ กสทช. ผู้ที่มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการสอบสวนคือ “เลขาธิการ กสทช.” ซึ่งในขณะนั้นก็คือ… นายไตรรัตน์ ที่นั่งรักษาการฯ อยู่ และประธานบอร์ด กสทช. ไม่ลงนาม กลายเป็นประเด็นที่ใช้โต้แย้งและนำไปสู่การฟ้องคดีว่า 4 กสทช.ใช้อำนาจมิชอบกลั่นแกล้ง

    แต่ถามว่าถ้าระเบียบเป็นแบบนี้แล้วใครจะสอบรักษาการเลขาฯ ได้ ยิ่งถ้าประธาน กสทช.กับเลขาฯ เป็นคอหอยกับลูกกระเดือก กลไกการตรวจสอบภายในของสำนักงาน กสทช. จะเดินหน้าได้อย่างไร?

    ที่มา : https://thepublisherth.com/070468-1/
    8 เม.ย. ฟังคำพิพากษา! “ไตรรัตน์” ฟ้อง 4 กสทช. ลงมติปลด ”กลั่นแกล้ง?“ ไม่ใช่แค่เรื่องใครถูก-ผิด แต่สะท้อนความเหลวแหลกของระบบ! วันที่ 8 เมษายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ฟ้องกรรมการ กสทช. 4 ราย ประกอบด้วย พล.อ.ท. ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ รศ.ดร. ศุภัช ศุภชลาศัย รศ.ดร. สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์​ และ ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีมติปลดเขาออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. ดูเผิน ๆ อาจคิดว่าเป็นความขัดแย้งภายในระหว่าง รักษาการเลขาฯ กับ 4 กรรมการกสทช.เสียงข้างมาก แต่คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบุคคล มันกำลังฉายภาพโครงสร้างองค์กรที่พังจากภายใน และระบบที่ออกแบบให้ “ไม่มีใครสอบใครได้จริง” ⸻ เมื่อเสียงข้างมากพยายามสอบปัญหา… แต่ระบบไม่อนุญาตให้สอบ ต้นเรื่องเริ่มจากการอุดหนุนเงิน 600 ล้านบาท จากกองทุน กทปส. เพื่อให้ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022 โดยมีข้อตกลงใน MOU ว่า ผู้รับใบอนุญาตทุกประเภทต้องได้รับสิทธิเท่าเทียม แต่ภายหลัง กกท. กลับไปทำ MOU แยกกับกลุ่มทรู โดยให้สิทธิพิเศษเฉพาะบางแพลตฟอร์ม นำไปสู่ เหตุการณ์ “จอดำ” ทั่วประเทศ และการตั้งคำถามเรื่องความไม่เท่าเทียมทางการออกอากาศ ในรายงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุชัดว่า การดำเนินการของสำนักงาน กสทช. อาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ และมติบอร์ด และ ชื่อของนายไตรรัตน์ ซึ่งทำหน้าที่รักษาการเลขาฯ ปรากฏอยู่ในกระบวนการรับรู้และอนุมัติ กรรมการ กสทช. 4 คน จึงมีมติให้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย แต่กลับพบว่าตามระเบียบ กสทช. ผู้ที่มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการสอบสวนคือ “เลขาธิการ กสทช.” ซึ่งในขณะนั้นก็คือ… นายไตรรัตน์ ที่นั่งรักษาการฯ อยู่ และประธานบอร์ด กสทช. ไม่ลงนาม กลายเป็นประเด็นที่ใช้โต้แย้งและนำไปสู่การฟ้องคดีว่า 4 กสทช.ใช้อำนาจมิชอบกลั่นแกล้ง แต่ถามว่าถ้าระเบียบเป็นแบบนี้แล้วใครจะสอบรักษาการเลขาฯ ได้ ยิ่งถ้าประธาน กสทช.กับเลขาฯ เป็นคอหอยกับลูกกระเดือก กลไกการตรวจสอบภายในของสำนักงาน กสทช. จะเดินหน้าได้อย่างไร? ที่มา : https://thepublisherth.com/070468-1/
    THEPUBLISHERTH.COM
    8 เม.ย. ฟังคำพิพากษา ! “ไตรรัตน์” ฟ้อง 4 กสทช. ลงมติปลด ”กลั่นแกล้ง?“ ไม่ใช่แค่เรื่องใครถูก-ผิด แต่สะท้อนความเหลวแหลกของระบบ!
    วันที่ 8 เมษายน 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาคดีที่ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ฟ้องกรรมการ กสทช. 4 ราย ประกอบด้วยพล.อ.ท. ดร. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญรศ.ดร. ศุภัช ศุภชลาศัยรศ.ดร. สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์​และ ศ.กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูตในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีมติปลดเขาออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช. ดูเผิน ๆ อาจคิดว่าเป็นความขัดแย้งภายในระหว่าง รักษาการเลขาฯ กับ 4 กรรมการกสทช.เสียงข้างมาก แต่คดีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องบุคคล มันกำลังฉายภาพโครงสร้างองค์กรที่พังจากภายใน และระบบที่ออกแบบให้ “ไม่มีใครสอบใครได้จริง” ⸻ เมื่อเสียงข้างมากพยายามสอบปัญหา… แต่ระบบไม่อนุญาตให้สอบ ต้นเรื่องเริ่มจากการอุดหนุนเงิน 600 ล้านบาท จากกองทุน กทปส.เพื่อให้ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2022โดยมีข้อตกลงใน MOU ว่า ผู้รับใบอนุญาตทุกประเภทต้องได้รับสิทธิเท่าเทียมแต่ภายหลัง กกท. กลับไปทำ MOU
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 656 มุมมอง 0 รีวิว
  • หนังสือ"หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" จะเปิดเผยเคล็ดลับหยุดคิดมาก!
    รู้สึกไหมว่า... ความคิดที่ไม่หยุดยั้งกำลังครอบงำจิตใจคุณ? ความวิตกกังวลที่แฝงตัวอยู่ในทุกการตัดสินใจและการกระทำ ทำให้ชีวิตประจำวันรู้สึกหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความเครียด?
    ถ้าคำตอบคือ "ใช่!" หนังสือ "หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" คือคำตอบที่คุณกำลังมองหา!

    ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้พบกับเทคนิคและวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้คุณหยุดคิดมาก ลดความวิตกกังวล และสร้างชีวิตที่สงบและมีคุณภาพมากขึ้น!

    เทคนิคการฝึกสติ
    การหายใจเพื่อผ่อนคลาย
    การเขียนบันทึกเพื่อระบายความคิด
    การตั้งคำถามเพื่อหยุดความคิดที่ไม่จำเป็น
    เริ่มต้นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณวันนี้!

    ลดราคา จาก 289 บาท เหลือ 199 บาท
    ก่อนวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้เท่านั้น!
    รับไฟล์ PDF อ่านได้ทันทีหลังโอนเงิน ไม่ต้องรอนานครับ!

    สั่งซื้อหนังสือวันนี้ที่ Line ID: nithit_hacot

    และค้นพบเทคนิคที่สามารถช่วยให้คุณรับมือกับความคิดและความเครียดในทุกสถานการณ์!
    #หยุดคิดมาก #ลดความวิตกกังวล #ชีวิตสงบ #หนังสือจิตวิทยา #พัฒนาตนเอง #ทักษะการคิด #ทักษะการตั้งคำถาม
    📚 หนังสือ"หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" จะเปิดเผยเคล็ดลับหยุดคิดมาก! 📚 รู้สึกไหมว่า... ความคิดที่ไม่หยุดยั้งกำลังครอบงำจิตใจคุณ? 🤯 ความวิตกกังวลที่แฝงตัวอยู่ในทุกการตัดสินใจและการกระทำ ทำให้ชีวิตประจำวันรู้สึกหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความเครียด? ถ้าคำตอบคือ "ใช่!" หนังสือ "หยุดคิดมาก: เทคนิคการจัดการความคิดเพื่อลดความวิตกกังวล" คือคำตอบที่คุณกำลังมองหา! ✨ ในหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้พบกับเทคนิคและวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้คุณหยุดคิดมาก ลดความวิตกกังวล และสร้างชีวิตที่สงบและมีคุณภาพมากขึ้น! 💡 🧘‍♂️ เทคนิคการฝึกสติ 🧘‍♀️ การหายใจเพื่อผ่อนคลาย 📓 การเขียนบันทึกเพื่อระบายความคิด ❓ การตั้งคำถามเพื่อหยุดความคิดที่ไม่จำเป็น เริ่มต้นก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณวันนี้! 🔥 ลดราคา จาก 289 บาท เหลือ 199 บาท ก่อนวันที่ 30 เมษายน 2568 นี้เท่านั้น! 📌 รับไฟล์ PDF อ่านได้ทันทีหลังโอนเงิน ไม่ต้องรอนานครับ! 🔗 สั่งซื้อหนังสือวันนี้ที่ Line ID: nithit_hacot และค้นพบเทคนิคที่สามารถช่วยให้คุณรับมือกับความคิดและความเครียดในทุกสถานการณ์! #หยุดคิดมาก #ลดความวิตกกังวล #ชีวิตสงบ #หนังสือจิตวิทยา #พัฒนาตนเอง #ทักษะการคิด #ทักษะการตั้งคำถาม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 713 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทรัมป์จอมแสบ! ใส่รูปลายเซ็นต์ที่เกิดจากการเซ็นต์อัตโนมัติ แทนที่รูปของไบเดน

    ก่อนหน้านี้ เพิ่งมีการเปิดเผยว่าไบเดนใช้ 'ลายเซ็นอัตโนมัติ' เพื่อลงนามในเอกสารของฝ่ายบริหาร "ทุกฉบับ" เท่าที่หน่วยงานกำกับดูแลสามารถค้นหาและวิเคราะห์ได้ ทำให้เกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของคำสั่งของเขา รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพทางปัญญา (Cognitive Health) ของเขาในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

    ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการตั้งคำถามมากมายว่า แท้จริงแล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายของสหรัฐฯ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

    แอนดรูว์ เบลีย์ อัยการสูงสุดของรัฐมิสซูรีต้องการให้กระทรวงยุติธรรมสอบสวนอย่างเป็นทางการ ถึงการใช้ลายเซ็นอัตโนมัติของไบเดน ว่ามีใครได้ประโยชน์จากการบริหารราชการของไบเดน และอาจหมายรวมถึงการ ผลักดันนโยบายสุดโต่งโดยที่ไบเดนอาจไม่รู้และอาจไม่ได้เห็นชอบหรือไม่ ซึ่งอาจถือเป็นการโมฆะทางกฎหมาย ตามมุมมองของเบลีย์
    ทรัมป์จอมแสบ! ใส่รูปลายเซ็นต์ที่เกิดจากการเซ็นต์อัตโนมัติ แทนที่รูปของไบเดน ก่อนหน้านี้ เพิ่งมีการเปิดเผยว่าไบเดนใช้ 'ลายเซ็นอัตโนมัติ' เพื่อลงนามในเอกสารของฝ่ายบริหาร "ทุกฉบับ" เท่าที่หน่วยงานกำกับดูแลสามารถค้นหาและวิเคราะห์ได้ ทำให้เกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของคำสั่งของเขา รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพทางปัญญา (Cognitive Health) ของเขาในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการตั้งคำถามมากมายว่า แท้จริงแล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายของสหรัฐฯ ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แอนดรูว์ เบลีย์ อัยการสูงสุดของรัฐมิสซูรีต้องการให้กระทรวงยุติธรรมสอบสวนอย่างเป็นทางการ ถึงการใช้ลายเซ็นอัตโนมัติของไบเดน ว่ามีใครได้ประโยชน์จากการบริหารราชการของไบเดน และอาจหมายรวมถึงการ ผลักดันนโยบายสุดโต่งโดยที่ไบเดนอาจไม่รู้และอาจไม่ได้เห็นชอบหรือไม่ ซึ่งอาจถือเป็นการโมฆะทางกฎหมาย ตามมุมมองของเบลีย์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 537 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ"บุกกลางวง หาความจริงจากปาก"อู๊ด" : [THE MESSAGE]

    นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ขณะที่ นายกิตติภัฎ ธนาสนธิราช หรือ อู๊ด ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือ และ นายธนกฤต วงศ์สุวรรณ หรือ บอล เจ้าของโรงเก็บเรือ NBC กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยนายอู๊ดและนายบอลยกมือไหว้ขอโทษนายปานเทพ ในสิ่งที่ได้กล่าวพาดพิงล่วงเกิน ซึ่งนายปานเทพ ระบุ ไม่ได้ถือโทษโกรธใคร สิ่งที่ทำในฐานะสื่อมวลชนก็ยังไม่ได้กล่าวหาใคร เป็นการตั้งคำถาม ซึ่งคำถามในส่วนของนายอู๊ดกับนายบอลมีเรื่องเดียวคือ มีความสัมพันธ์กับคนบนเรือทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้จักคนแวดวงเรือ แต่ในฐานะคนกลางต้องได้รับการตรวจสอบจากคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับคนบนเรือด้วย และต้องการให้ชี้แจงเรื่องเวลา GPS ของเรือบริเวณใต้สะพานซังฮี้ ที่ปรากฏเป็นเวลา 22.11 น. ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลของตำรวจที่อ้างว่าเวลาอยู่ที่ 22.18 น. หากนายอู๊ดไม่รับรู้ตรงนี้ ก็แสดงว่าตำรวจเป็นคนจัดการ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนเวลาที่ไม่สัมพันธ์กับ GPS ของเรือ
    "ปานเทพ"บุกกลางวง หาความจริงจากปาก"อู๊ด" : [THE MESSAGE] นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เดินทางไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ขณะที่ นายกิตติภัฎ ธนาสนธิราช หรือ อู๊ด ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือ และ นายธนกฤต วงศ์สุวรรณ หรือ บอล เจ้าของโรงเก็บเรือ NBC กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยนายอู๊ดและนายบอลยกมือไหว้ขอโทษนายปานเทพ ในสิ่งที่ได้กล่าวพาดพิงล่วงเกิน ซึ่งนายปานเทพ ระบุ ไม่ได้ถือโทษโกรธใคร สิ่งที่ทำในฐานะสื่อมวลชนก็ยังไม่ได้กล่าวหาใคร เป็นการตั้งคำถาม ซึ่งคำถามในส่วนของนายอู๊ดกับนายบอลมีเรื่องเดียวคือ มีความสัมพันธ์กับคนบนเรือทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้จักคนแวดวงเรือ แต่ในฐานะคนกลางต้องได้รับการตรวจสอบจากคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับคนบนเรือด้วย และต้องการให้ชี้แจงเรื่องเวลา GPS ของเรือบริเวณใต้สะพานซังฮี้ ที่ปรากฏเป็นเวลา 22.11 น. ซึ่งไม่ตรงกับข้อมูลของตำรวจที่อ้างว่าเวลาอยู่ที่ 22.18 น. หากนายอู๊ดไม่รับรู้ตรงนี้ ก็แสดงว่าตำรวจเป็นคนจัดการ ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ เพราะเป็นการเปลี่ยนเวลาที่ไม่สัมพันธ์กับ GPS ของเรือ
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1176 มุมมอง 59 0 รีวิว
  • 20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ

    แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที

    แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก

    สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน
    หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ

    1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ
    รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด
    เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ
    การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง

    2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ
    ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน

    3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร

    รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน

    ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง

    เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง
    หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น

    2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต

    ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น

    แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท

    ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น

    เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน

    1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน
    การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน

    2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
    พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

    3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ
    การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ

    การรับมือในอนาคต
    ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ
    เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน
    สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ

    เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น

    การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568

    #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ 1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง 2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน 3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย 1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น 2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน 1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน 2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ การรับมือในอนาคต ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568 #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1415 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิธีอ่านหนังสือให้จำได้สไตล์คนเกาหลี

    1. อ่านแบบ Active Reading

    คนเกาหลีเน้นการอ่านแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่อ่านผ่าน ๆ แต่ตั้งคำถามกับเนื้อหา เช่น
    • “ผู้เขียนกำลังบอกอะไร?”
    • “ประเด็นนี้สำคัญยังไงกับชีวิตฉัน?”
    การตั้งคำถามช่วยให้สมองประมวลผลเนื้อหาและจดจำได้ดีขึ้น

    2. สรุปย่อด้วยวิธี Note-Taking แบบ Cornell

    เขียนสรุปแบบแบ่งช่อง
    • ช่องใหญ่สำหรับจดเนื้อหา
    • ช่องเล็กสำหรับสรุปหรือใส่คำถามสำคัญ
    วิธีนี้ช่วยจัดระเบียบความคิด และทำให้ทบทวนได้ง่าย

    3. ใช้เทคนิค “Chunking” แบ่งเนื้อหาเป็นส่วนเล็ก ๆ

    แทนที่จะอ่านยาว ๆ ทั้งบท คนเกาหลีมักแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนสั้น ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เช่น อ่าน 2-3 ย่อหน้า แล้วหยุดทบทวน

    4. ใช้สีเน้นข้อความแบบมีความหมาย

    ใช้ปากกาไฮไลต์สีต่าง ๆ เพื่อเน้นจุดสำคัญ เช่น
    • สีเหลือง: ข้อความสำคัญ
    • สีฟ้า: คำถามที่ต้องคิด
    • สีชมพู: เนื้อหาที่อยากกลับมาทบทวน
    สีช่วยกระตุ้นการเชื่อมโยงในสมอง ทำให้จดจำได้เร็วขึ้น

    5. เล่าให้ตัวเองหรือคนอื่นฟัง

    คนเกาหลีชอบทบทวนเนื้อหาโดยการพูดออกมา การเล่าทำให้สมองต้องเรียบเรียงความรู้ใหม่ ซึ่งช่วยเสริมความจำ

    6. อ่านซ้ำแบบ Spaced Repetition

    ทบทวนหนังสือในช่วงเวลาที่ห่างกัน เช่น
    • วันแรกหลังอ่าน
    • 3 วันถัดมา
    • 1 สัปดาห์ถัดไป
    วิธีนี้ช่วยให้ข้อมูลฝังลึกในความทรงจำระยะยาว

    7. จำด้วยภาพและแผนภูมิ

    คนเกาหลีใช้ Mind Mapping หรือการวาดภาพแทนข้อความ เช่น
    • สร้างแผนภูมิความสัมพันธ์
    • วาดภาพแนวคิด
    วิธีนี้ช่วยให้สมองจดจำข้อมูลเชิงซ้อนได้ดีกว่าการอ่านตัวหนังสือล้วน ๆ

    8. พักสมองอย่างมีคุณภาพ

    การอ่านต่อเนื่องนานเกินไปทำให้สมองล้า คนเกาหลีมักใช้เทคนิค Pomodoro เช่น
    • อ่าน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที
    การพักนี้ช่วยให้สมองฟื้นตัวและพร้อมรับข้อมูลใหม่

    9. ใช้ชีวิตประจำวันช่วยเสริม

    คนเกาหลีมักเชื่อมโยงเนื้อหาในหนังสือกับชีวิตจริง เช่น ถ้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับภาษา ก็จะพยายามนำคำศัพท์มาใช้ในชีวิตประจำวัน

    10. อ่านในที่เงียบสงบและมีบรรยากาศดี

    คนเกาหลีให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม เช่น อ่านในห้องสมุดหรือคาเฟ่ที่สงบ การมีพื้นที่ที่เหมาะสมช่วยให้สมองจดจ่อและรับข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
    วิธีอ่านหนังสือให้จำได้สไตล์คนเกาหลี 1. อ่านแบบ Active Reading คนเกาหลีเน้นการอ่านแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่อ่านผ่าน ๆ แต่ตั้งคำถามกับเนื้อหา เช่น • “ผู้เขียนกำลังบอกอะไร?” • “ประเด็นนี้สำคัญยังไงกับชีวิตฉัน?” การตั้งคำถามช่วยให้สมองประมวลผลเนื้อหาและจดจำได้ดีขึ้น 2. สรุปย่อด้วยวิธี Note-Taking แบบ Cornell เขียนสรุปแบบแบ่งช่อง • ช่องใหญ่สำหรับจดเนื้อหา • ช่องเล็กสำหรับสรุปหรือใส่คำถามสำคัญ วิธีนี้ช่วยจัดระเบียบความคิด และทำให้ทบทวนได้ง่าย 3. ใช้เทคนิค “Chunking” แบ่งเนื้อหาเป็นส่วนเล็ก ๆ แทนที่จะอ่านยาว ๆ ทั้งบท คนเกาหลีมักแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนสั้น ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ เช่น อ่าน 2-3 ย่อหน้า แล้วหยุดทบทวน 4. ใช้สีเน้นข้อความแบบมีความหมาย ใช้ปากกาไฮไลต์สีต่าง ๆ เพื่อเน้นจุดสำคัญ เช่น • สีเหลือง: ข้อความสำคัญ • สีฟ้า: คำถามที่ต้องคิด • สีชมพู: เนื้อหาที่อยากกลับมาทบทวน สีช่วยกระตุ้นการเชื่อมโยงในสมอง ทำให้จดจำได้เร็วขึ้น 5. เล่าให้ตัวเองหรือคนอื่นฟัง คนเกาหลีชอบทบทวนเนื้อหาโดยการพูดออกมา การเล่าทำให้สมองต้องเรียบเรียงความรู้ใหม่ ซึ่งช่วยเสริมความจำ 6. อ่านซ้ำแบบ Spaced Repetition ทบทวนหนังสือในช่วงเวลาที่ห่างกัน เช่น • วันแรกหลังอ่าน • 3 วันถัดมา • 1 สัปดาห์ถัดไป วิธีนี้ช่วยให้ข้อมูลฝังลึกในความทรงจำระยะยาว 7. จำด้วยภาพและแผนภูมิ คนเกาหลีใช้ Mind Mapping หรือการวาดภาพแทนข้อความ เช่น • สร้างแผนภูมิความสัมพันธ์ • วาดภาพแนวคิด วิธีนี้ช่วยให้สมองจดจำข้อมูลเชิงซ้อนได้ดีกว่าการอ่านตัวหนังสือล้วน ๆ 8. พักสมองอย่างมีคุณภาพ การอ่านต่อเนื่องนานเกินไปทำให้สมองล้า คนเกาหลีมักใช้เทคนิค Pomodoro เช่น • อ่าน 25 นาที แล้วพัก 5 นาที การพักนี้ช่วยให้สมองฟื้นตัวและพร้อมรับข้อมูลใหม่ 9. ใช้ชีวิตประจำวันช่วยเสริม คนเกาหลีมักเชื่อมโยงเนื้อหาในหนังสือกับชีวิตจริง เช่น ถ้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับภาษา ก็จะพยายามนำคำศัพท์มาใช้ในชีวิตประจำวัน 10. อ่านในที่เงียบสงบและมีบรรยากาศดี คนเกาหลีให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม เช่น อ่านในห้องสมุดหรือคาเฟ่ที่สงบ การมีพื้นที่ที่เหมาะสมช่วยให้สมองจดจ่อและรับข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 500 มุมมอง 0 รีวิว
  • การตั้งคำถามที่ใช่! สำหรับงานขายและงานบริหาร
    การตั้งคำถามที่ใช่! สำหรับงานขายและงานบริหาร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 627 มุมมอง 4 0 รีวิว
Pages Boosts