• เมือมีเพื่อนๆถามมาด่วน ว่าความชุ่มชื้น สำคัญแค่ไหน
    สนใจเซรั่ม และ ไนท์ครีม ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว สามารถติดต่อตามสั่งซื้อช่องทางนี้ได้เลยค่ะ
    👇👇
    direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP
    LINE OFFICIAL: @lookatme_bp
    Tiktok: look@me by BP
    Shopee:look@me by BP
    #look@me #lookatmebyBP #serum #glow&smootheningantiagingserum #facial #serum #skincare #glow #dayserum #glassskin #ผิวโกลว์ #ผิวชุ่มชื้น #สกินแคร์ #ผิวกระจ่างใส #รูขุมขนกระชับ #รูขุมขนเล็กลง #ริ้วรอยตื้นขึ้น #คุมมัน #ลดการเกิดสิว #ลดการระคายเคือง #สารต้านอนุมูลอิสระ #nightcream #nightboosterintensivebrighteningskincream #คุมมัน #ผลัดเซลล์ผิว #กระตุ้นการสร้างคลอลาเจน #สร้างสารต้านอนุมูลอิสระ #รีวิวบิ้วตี้
    เมือมีเพื่อนๆถามมาด่วน ว่าความชุ่มชื้น สำคัญแค่ไหน สนใจเซรั่ม และ ไนท์ครีม ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว สามารถติดต่อตามสั่งซื้อช่องทางนี้ได้เลยค่ะ 👇👇 direct IG Instagram: lookatmebybp facebook fanpage: Look At Me by BP LINE OFFICIAL: @lookatme_bp Tiktok: look@me by BP Shopee:look@me by BP #look@me #lookatmebyBP #serum #glow&smootheningantiagingserum #facial #serum #skincare #glow #dayserum #glassskin #ผิวโกลว์ #ผิวชุ่มชื้น #สกินแคร์ #ผิวกระจ่างใส #รูขุมขนกระชับ #รูขุมขนเล็กลง #ริ้วรอยตื้นขึ้น #คุมมัน #ลดการเกิดสิว #ลดการระคายเคือง #สารต้านอนุมูลอิสระ #nightcream #nightboosterintensivebrighteningskincream #คุมมัน #ผลัดเซลล์ผิว #กระตุ้นการสร้างคลอลาเจน #สร้างสารต้านอนุมูลอิสระ #รีวิวบิ้วตี้
    0 Comments 0 Shares 543 Views 5 0 Reviews
  • ✨LARIMER ลาริแมร์ อัญมณีแห่งท้องทะเล
    Pearl Powder ✨

    💜 LARIMER LARIMER Soft Gel Soap 🧼
    Facial Soap🧼
    💜💮สบู่เซรั่มล้างหน้า แร่ทองคำและผงมุก สบู่เนื้อนุ่มนิ่ม เพราะ LARIMER ยกสารสกัดมาทั่งมหาสมุทรเลยคร้า สารสกัดทั้งหมด 9 ชนิด ทองคำ, ไข่มุก, สาหร่ายแดง, พลงตอล, คลอลาเจน, องุ่น, ไนอะซีนนาไมท, Vitamic B3, ดอกกล้วยไม้ไทย..
    🧼เนื้อสบู่สูตรเจลเข้มข้น ล้างหน้าไปด้วยและบำรุงผิวไปในด้วย เหมือนทาเซรั่ม และมาส์กหน้า เพราะสารสกัดต่างๆๆ จะเข้าซึมไปในรูขุมขน ที่กำลังเปิดอยู่ด้วยการล้างหน้า และสารสกัดตัวอื่นๆ จะช้วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ผิวหน้าแข็งแรง ปรับสีผิวที่หมองคล่ำ ให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ.

    💮💜✨6 ขั้นตอนการล้างหน้า อย่างถูกวิธี
    💜1 ล้างมือให้สะอาด
    💜2 เช็ดเครื่องสำอางให้หมด
    💜3 ชโลมหน้าให้เปียก
    💜4 ใช้สบู่ล้างหน้า LARIMER วนครีมฟองทั่วใบหน้าถึงลำคอ
    💜5 มาส์กทิ้งไว้ 1-2นาที
    💜6 ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด

    LARIMER Soft Gel Soap 🧼
    Facial Soap🧼
    ใบรับจดแจ้งเลขที่ : 10-1-6700032766
    ขนาด 55g ราคา 350 บ

    🎊🎉โปรโมชั่น
    🛒1ก้อน ราคา 290.--
    🚛ค่าส่ง40.--

    🛒 2 ก้อน ราคา 598.--
    🚛 ส่งฟรี

    🛒 5 ก้อน แถม 1 ก้อน แถมสบู่อาบน้ำ MONOI เพิ่มอีก 1ก้อน และถุงตาข่ายตีฟอง 1ใบ
    ราคา 1495.-- 🚛ส่งฟรี

    📍 ช่องทางการจัดจำหน่าย
    🛒 ช้อปออนไลน์
    💬 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทักเลยค่ะ

    🌟🌸สนใจ รับสมัคเป็นตัวแทน
    จำหน่าย และ รีวิว Inbox เลยค่ะ🌟🌸
    ✨LARIMER ลาริแมร์ อัญมณีแห่งท้องทะเล Pearl Powder ✨ 💜 LARIMER LARIMER Soft Gel Soap 🧼 Facial Soap🧼 💜💮สบู่เซรั่มล้างหน้า แร่ทองคำและผงมุก สบู่เนื้อนุ่มนิ่ม เพราะ LARIMER ยกสารสกัดมาทั่งมหาสมุทรเลยคร้า สารสกัดทั้งหมด 9 ชนิด ทองคำ, ไข่มุก, สาหร่ายแดง, พลงตอล, คลอลาเจน, องุ่น, ไนอะซีนนาไมท, Vitamic B3, ดอกกล้วยไม้ไทย.. 🧼เนื้อสบู่สูตรเจลเข้มข้น ล้างหน้าไปด้วยและบำรุงผิวไปในด้วย เหมือนทาเซรั่ม และมาส์กหน้า เพราะสารสกัดต่างๆๆ จะเข้าซึมไปในรูขุมขน ที่กำลังเปิดอยู่ด้วยการล้างหน้า และสารสกัดตัวอื่นๆ จะช้วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ผิวหน้าแข็งแรง ปรับสีผิวที่หมองคล่ำ ให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ. 💮💜✨6 ขั้นตอนการล้างหน้า อย่างถูกวิธี 💜1 ล้างมือให้สะอาด 💜2 เช็ดเครื่องสำอางให้หมด 💜3 ชโลมหน้าให้เปียก 💜4 ใช้สบู่ล้างหน้า LARIMER วนครีมฟองทั่วใบหน้าถึงลำคอ 💜5 มาส์กทิ้งไว้ 1-2นาที 💜6 ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด LARIMER Soft Gel Soap 🧼 Facial Soap🧼 ใบรับจดแจ้งเลขที่ : 10-1-6700032766 ขนาด 55g ราคา 350 บ 🎊🎉โปรโมชั่น 🛒1ก้อน ราคา 290.-- 🚛ค่าส่ง40.-- 🛒 2 ก้อน ราคา 598.-- 🚛 ส่งฟรี 🛒 5 ก้อน แถม 1 ก้อน แถมสบู่อาบน้ำ MONOI เพิ่มอีก 1ก้อน และถุงตาข่ายตีฟอง 1ใบ ราคา 1495.-- 🚛ส่งฟรี 📍 ช่องทางการจัดจำหน่าย 🛒 ช้อปออนไลน์ 💬 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทักเลยค่ะ 🌟🌸สนใจ รับสมัคเป็นตัวแทน จำหน่าย และ รีวิว Inbox เลยค่ะ🌟🌸
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • ฝากสินค้า แบร์นด์ ใหม่ ชื่อ ลาน LAN

    MONOI Extra Rish Oil Soap
    🧼Body Soap
    สบู่น้ำมันสารสกัดธรรมชาติ
    ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290

    LARIMER Soft Gel Soap
    🧼Facial Soap🧼
    สบู่กลีเซอรีนแท้ 100%
    Facial Soap🧼
    ใบจดแจ้งเลขที่ : 10-1-6700032766

    🚩LAN MONOI โมนอยด์
    Extra Rich Oil Soap : โมนอยด์เกิดจากการส่วนผสมจากธรรมชาติ 2 ชนิดด้วยกัน ดอกตาฮิติ กลีบดอกของต้น Tahitian Gardenias หรือดอก Tiara นั้นเอง และน้ำมันมะพร้าว บ่มหมักเข้าด้วยกัน สกัดเย็น Extra Virgin และ ลูกพลับญี่ปุ่น, โรสแมรี่, เซียร์บัตเตอร์, Coconut butter.
    🌺คุณสมบัติเด่น เป็นน้ำมันที่เปี่ยมทั้งคุณค่าบำรุง รวมทั้งกลิ่นหอมนวล การทำให้ผิวชุ่มขื้นแม้ผิวแห้งมาก ทำให้ผิวเงางาม
    🌺เคล็ดลับความงามของหนุ่มสาวชาว โพลินิเซียนชาวตาฮิติ

    🌸ผิวแพ้ง่ายใช้ได้หายห่วง🌸
    ❌ไม่มีสารกันเสีย
    ❌ปราศจากSLS/SLES
    🌸🌸เนื้อสัมผัสขณะอาบน้ำ วิปครีม
    ฟองนม ครีมละเอียด หอมละมุน
    ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290
    ขนาด 80g 💰ราคา 220 บ.
    🎉โปรโมชั่น 199.-
    🚚ค่่ส่ง 40.-

    🚩LARIMER ลาริแมร์
    LARIMER Soft Gel Soap🧼
    Facial Soap🧼สบู่เซรัมล้างหน้า
    ใบรับจดแจ้งเลขที่ : 10-1-6700032766
    ขนาด 55g 💰ราคา 350 .-
    🎉โปรโมชั่น 220.-
    🚚ค่าส่ง 40.-
    🗾 LARIMER สบู่เซรั่มล้างหน้า ที่จบทุกปัญหาผิว ด้วยพลังแห่ง สุดยอดสารสกัดเข้มข้น
    🗾LARIMER สบู่เซรัมล้างหน้า ผงแร่ทองคำและผงมุก สบู่เนื้อนุ่มนิ่ม เพราะ LARIMER ยกสารสกัดมาทั่งมหาสมุทร มีสารสกัดทั้งหมด 9 ชนิด ทองคำ, ไข่มุก, สาหร่ายแดง, พลงตอล, คลอลาเจน, องุ่น, ไนอะซีนนาไมท, Vitamic B3, ดอกกล้วยไม้..
    ✨เนื้อสบู่สูตรเจลเข้มข้น ล้างหน้าไปด้วยและบำรุงผิวไปในด้วย เหมือนทาเซรั่ม ไปในตัว เพราะ ผงแร่ทองคำและมุกจะเข้าซึมไปในรูขุมขน ที่กำลังเปิดอยู่ด้วยการล้างหน้า และสารสกัดตัวอื่นๆ จะช้วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ผิวหน้าแข็งแรง ปรับสีผิวที่หมองคล่ำ ให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
    ✨6 ขั้นตอนการล้างหน้า อย่างถูกวิธี
    💜1 ล้างมือให้สะอาด
    💜2 เช็ดเครื่องสำอางให้หมด
    💜3 ชโลมหน้าให้เปียก
    💜4 ใช้สบู่ล้างหน้า LARIMER วนครีมฟองถึงลำคอ
    💜5 มาส์กทิ้งไว้้1-2นาที
    💜6 ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด
    ช่องทางการสั่งซื้อ มีโปรโมชั่นลดราคา กดติดตามที่นี้เลยค่ะ👇⬇️
    🛒Shopee:
    lan Thailand
    lan_thailand
    🛒Facebook :
    LAN THAILAND , Chanandhron Keadiam
    ติดตามเพจด้วยค่ะ
    ฝากสินค้า แบร์นด์ ใหม่ ชื่อ ลาน LAN MONOI Extra Rish Oil Soap 🧼Body Soap สบู่น้ำมันสารสกัดธรรมชาติ ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290 LARIMER Soft Gel Soap 🧼Facial Soap🧼 สบู่กลีเซอรีนแท้ 100% Facial Soap🧼 ใบจดแจ้งเลขที่ : 10-1-6700032766 🚩LAN MONOI โมนอยด์ Extra Rich Oil Soap : โมนอยด์เกิดจากการส่วนผสมจากธรรมชาติ 2 ชนิดด้วยกัน ดอกตาฮิติ กลีบดอกของต้น Tahitian Gardenias หรือดอก Tiara นั้นเอง และน้ำมันมะพร้าว บ่มหมักเข้าด้วยกัน สกัดเย็น Extra Virgin และ ลูกพลับญี่ปุ่น, โรสแมรี่, เซียร์บัตเตอร์, Coconut butter. 🌺คุณสมบัติเด่น เป็นน้ำมันที่เปี่ยมทั้งคุณค่าบำรุง รวมทั้งกลิ่นหอมนวล การทำให้ผิวชุ่มขื้นแม้ผิวแห้งมาก ทำให้ผิวเงางาม 🌺เคล็ดลับความงามของหนุ่มสาวชาว โพลินิเซียนชาวตาฮิติ 🌸ผิวแพ้ง่ายใช้ได้หายห่วง🌸 ❌ไม่มีสารกันเสีย ❌ปราศจากSLS/SLES 🌸🌸เนื้อสัมผัสขณะอาบน้ำ วิปครีม ฟองนม ครีมละเอียด หอมละมุน ใบจดแจ้งเลขที่ : 72-1-6700021290 ขนาด 80g 💰ราคา 220 บ. 🎉โปรโมชั่น 199.- 🚚ค่่ส่ง 40.- 🚩LARIMER ลาริแมร์ LARIMER Soft Gel Soap🧼 Facial Soap🧼สบู่เซรัมล้างหน้า ใบรับจดแจ้งเลขที่ : 10-1-6700032766 ขนาด 55g 💰ราคา 350 .- 🎉โปรโมชั่น 220.- 🚚ค่าส่ง 40.- 🗾 LARIMER สบู่เซรั่มล้างหน้า ที่จบทุกปัญหาผิว ด้วยพลังแห่ง สุดยอดสารสกัดเข้มข้น 🗾LARIMER สบู่เซรัมล้างหน้า ผงแร่ทองคำและผงมุก สบู่เนื้อนุ่มนิ่ม เพราะ LARIMER ยกสารสกัดมาทั่งมหาสมุทร มีสารสกัดทั้งหมด 9 ชนิด ทองคำ, ไข่มุก, สาหร่ายแดง, พลงตอล, คลอลาเจน, องุ่น, ไนอะซีนนาไมท, Vitamic B3, ดอกกล้วยไม้.. ✨เนื้อสบู่สูตรเจลเข้มข้น ล้างหน้าไปด้วยและบำรุงผิวไปในด้วย เหมือนทาเซรั่ม ไปในตัว เพราะ ผงแร่ทองคำและมุกจะเข้าซึมไปในรูขุมขน ที่กำลังเปิดอยู่ด้วยการล้างหน้า และสารสกัดตัวอื่นๆ จะช้วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น ผิวหน้าแข็งแรง ปรับสีผิวที่หมองคล่ำ ให้กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ ✨6 ขั้นตอนการล้างหน้า อย่างถูกวิธี 💜1 ล้างมือให้สะอาด 💜2 เช็ดเครื่องสำอางให้หมด 💜3 ชโลมหน้าให้เปียก 💜4 ใช้สบู่ล้างหน้า LARIMER วนครีมฟองถึงลำคอ 💜5 มาส์กทิ้งไว้้1-2นาที 💜6 ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ช่องทางการสั่งซื้อ มีโปรโมชั่นลดราคา กดติดตามที่นี้เลยค่ะ👇⬇️ 🛒Shopee: lan Thailand lan_thailand 🛒Facebook : LAN THAILAND , Chanandhron Keadiam ติดตามเพจด้วยค่ะ
    0 Comments 0 Shares 318 Views 0 Reviews
  • เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและสมาร์ทโฟนกำลังจะเข้ามาแทนที่หนังสือเดินทางแบบกระดาษในอนาคตครับ

    หลายประเทศกำลังทดลองระบบการเดินทางที่ไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง เช่น ฟินแลนด์, แคนาดา, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, อิตาลี, สหรัฐอเมริกา, และอินเดีย แนวคิดหลักคือการใช้ Digital Travel Credential (DTC) ซึ่งพัฒนาโดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) โดย DTC ประกอบด้วยสองส่วนหลัก: ส่วนเสมือนที่เก็บข้อมูลในชิปหนังสือเดินทางแบบดั้งเดิม และส่วนที่เก็บในสมาร์ทโฟนของผู้เดินทาง. ส่วนเหล่านี้ถูกเชื่อมโยงด้วยการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย

    แม้ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดเวลาการตรวจสอบตัวตนที่สนามบิน แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าระบบเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูล

    https://www.techspot.com/news/106123-facial-recognition-smartphones-set-replace-passports-airports-worldwide.html
    เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าและสมาร์ทโฟนกำลังจะเข้ามาแทนที่หนังสือเดินทางแบบกระดาษในอนาคตครับ หลายประเทศกำลังทดลองระบบการเดินทางที่ไม่ต้องใช้หนังสือเดินทาง เช่น ฟินแลนด์, แคนาดา, เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, อิตาลี, สหรัฐอเมริกา, และอินเดีย แนวคิดหลักคือการใช้ Digital Travel Credential (DTC) ซึ่งพัฒนาโดยองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) โดย DTC ประกอบด้วยสองส่วนหลัก: ส่วนเสมือนที่เก็บข้อมูลในชิปหนังสือเดินทางแบบดั้งเดิม และส่วนที่เก็บในสมาร์ทโฟนของผู้เดินทาง. ส่วนเหล่านี้ถูกเชื่อมโยงด้วยการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย แม้ว่าการใช้เทคโนโลยีนี้จะช่วยลดเวลาการตรวจสอบตัวตนที่สนามบิน แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญบางคนเตือนว่าระบบเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดข้อมูล https://www.techspot.com/news/106123-facial-recognition-smartphones-set-replace-passports-airports-worldwide.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Passports may soon become obsolete as facial recognition and smartphones take over
    In the coming years, the traditional paper passport, a document that has been a cornerstone of international travel for over a century, may soon become obsolete. In...
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • สแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง เขาทำกันยังไง?

    เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ท่าอากาศยานในสังกัด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้นำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล หรือไบโอเมตริกซ์ (Biometric) มาใช้ ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อลดขั้นตอนการเช็คบัตรโดยสาร นำร่องเฉพาะผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic) ใช้งานได้ก่อน จากนั้นในวันที่ 1 ธ.ค. 2567 จะพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ (International)

    Newskit มีโอกาสเดินทางด้วยเครื่องบินไปต่างจังหวัดเมื่อวันก่อน พบว่าที่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบิน พนักงานภาคพื้นจะทำการลงทะเบียนข้อมูลจากบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง ก่อนที่จะให้ผู้โดยสารถ่ายรูปกับกล้องเพียง 1 ครั้งเป็นอันเสร็จสิ้น ก่อนหน้านี้จะให้ติดสติกเกอร์สีฟ้าไว้ แต่ปัจจุบันจะเขียนคำว่า "BIO" (ไบโอ) บนบัตรโดยสารเพื่อระบุว่าผ่านการลงทะเบียนใบหน้าแล้ว ส่วนคนที่เช็กอินผ่านเครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) หลังจากเช็กอินเสร็จแล้วจะให้สแกนบาร์โค้ด เสียบบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง และสแกนใบหน้า 1 ครั้งเป็นอันเสร็จสิ้น ระบบจะจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและเอกสารการเดินทางเอาไว้

    สิ่งที่เห็นผลจากระบบไบโอเมตริกซ์ก็คือ จุดแรก จุดตรวจเอกสารการเดินทาง จากเดิมจะแสดงบัตรโดยสารพร้อมบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางให้ตรงกับใบหน้า เปลี่ยนเป็นเข้าไปสแกนใบหน้าในช่อง Face Registration หรือ Biometric แล้วเดินไปยังจุดตรวจค้นได้ทันที เปรียบเหมือนเวลาขับรถขึ้นทางด่วนที่เข้าช่องเงินสดกับช่อง EASY PASS จุดที่สอง คือทางออกขึ้นเครื่อง หลังจากเรียกผู้โดยสารตามโซนแถวที่นั่งพิเศษแล้ว สามารถเข้าช่อง Face Registration หรือ Biometric เพื่อขึ้นเครื่องได้ทันที โดยไม่ต้องแสดงบัตรโดยสารพร้อมบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางแก่เจ้าหน้าที่อีก

    อย่างไรก็ตาม แม้สนามบิน ทอท.ทั้ง 6 แห่งจะติดตั้งระบบไบโอเมตริกซ์เสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ยังเปิดใช้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์กับทุกสนามบินของ ทอท.ยังมีบางแห่งที่บางสายการบินยังให้ใช้ระบบเดิม สำหรับข้อมูลผู้โดยสาร ได้แก่ บัตรโดยสาร บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง และภาพถ่ายใบหน้าผู้โดยสาร ทอท.จะเก็บข้อมูลไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นจะทำลายข้อมูลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (กฎหมาย PDPA) ซึ่งระยะยาว ทอท.จะพัฒนาระบบเพื่อจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไว้ยาวนาน แต่มีความปลอดภัยและผ่านขั้นตอนกฎหมาย PDPA ต่อไป

    #Newskit
    สแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง เขาทำกันยังไง? เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ท่าอากาศยานในสังกัด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ จ.สงขลา ได้นำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล หรือไบโอเมตริกซ์ (Biometric) มาใช้ ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition เพื่อลดขั้นตอนการเช็คบัตรโดยสาร นำร่องเฉพาะผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic) ใช้งานได้ก่อน จากนั้นในวันที่ 1 ธ.ค. 2567 จะพร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ (International) Newskit มีโอกาสเดินทางด้วยเครื่องบินไปต่างจังหวัดเมื่อวันก่อน พบว่าที่เคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบิน พนักงานภาคพื้นจะทำการลงทะเบียนข้อมูลจากบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง ก่อนที่จะให้ผู้โดยสารถ่ายรูปกับกล้องเพียง 1 ครั้งเป็นอันเสร็จสิ้น ก่อนหน้านี้จะให้ติดสติกเกอร์สีฟ้าไว้ แต่ปัจจุบันจะเขียนคำว่า "BIO" (ไบโอ) บนบัตรโดยสารเพื่อระบุว่าผ่านการลงทะเบียนใบหน้าแล้ว ส่วนคนที่เช็กอินผ่านเครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (CUSS) หลังจากเช็กอินเสร็จแล้วจะให้สแกนบาร์โค้ด เสียบบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง และสแกนใบหน้า 1 ครั้งเป็นอันเสร็จสิ้น ระบบจะจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและเอกสารการเดินทางเอาไว้ สิ่งที่เห็นผลจากระบบไบโอเมตริกซ์ก็คือ จุดแรก จุดตรวจเอกสารการเดินทาง จากเดิมจะแสดงบัตรโดยสารพร้อมบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางให้ตรงกับใบหน้า เปลี่ยนเป็นเข้าไปสแกนใบหน้าในช่อง Face Registration หรือ Biometric แล้วเดินไปยังจุดตรวจค้นได้ทันที เปรียบเหมือนเวลาขับรถขึ้นทางด่วนที่เข้าช่องเงินสดกับช่อง EASY PASS จุดที่สอง คือทางออกขึ้นเครื่อง หลังจากเรียกผู้โดยสารตามโซนแถวที่นั่งพิเศษแล้ว สามารถเข้าช่อง Face Registration หรือ Biometric เพื่อขึ้นเครื่องได้ทันที โดยไม่ต้องแสดงบัตรโดยสารพร้อมบัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทางแก่เจ้าหน้าที่อีก อย่างไรก็ตาม แม้สนามบิน ทอท.ทั้ง 6 แห่งจะติดตั้งระบบไบโอเมตริกซ์เสร็จสิ้นแล้ว แต่ก็ยังเปิดใช้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์กับทุกสนามบินของ ทอท.ยังมีบางแห่งที่บางสายการบินยังให้ใช้ระบบเดิม สำหรับข้อมูลผู้โดยสาร ได้แก่ บัตรโดยสาร บัตรประชาชนหรือหนังสือเดินทาง และภาพถ่ายใบหน้าผู้โดยสาร ทอท.จะเก็บข้อมูลไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นจะทำลายข้อมูลตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (กฎหมาย PDPA) ซึ่งระยะยาว ทอท.จะพัฒนาระบบเพื่อจัดเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไว้ยาวนาน แต่มีความปลอดภัยและผ่านขั้นตอนกฎหมาย PDPA ต่อไป #Newskit
    Like
    Haha
    3
    0 Comments 0 Shares 695 Views 0 Reviews
  • Prepare For The Lavish World Of Bridgerton With Regency Period Words

    This spring may be a bit steamier than usual, thanks to the return of the hit Netflix show Bridgerton. This Regency romance with a modern twist took audiences by storm last year with its unpredictable plot, historical setting, and very attractive cast of characters. If you watched the first season last year or you’re catching up now, you may find yourself wondering what some of the historical language in the show actually means. Bridgerton, like a lot of period dramas, is not 100% historically accurate, but the language, costumes, and customs on display do have real roots in the past. Here are 16 words you need to know to get ready for season two and become fluent in the language of Bridgerton.

    viscount
    You’ve likely heard of a count, but after catching up on Bridgerton, you may be wondering: what in the world is a viscount? We’ve got your back. A viscount is “a nobleman next below an earl or count and next above a baron.” It’s a hereditary title that was first recorded in English in the mid to late 1300s within a peerage or nobility system. You could think of it as a “vice count,” since it’s believed to have come from the equivalent in Old French, visconte.

    rake
    In the world of Regency romance, a rake is not a gardening tool. It’s an insult dating back to the 1600s that means “a dissolute or immoral person, especially a man who indulges in vices or lacks sexual restraint.” It comes from rakehell, an alteration of the Middle English rakel, meaning “rash, rough, coarse, hasty.” Rakes are the “bad boys” of the Bridgerton era. Of course, on TV, that may be a part of their appeal.

    promenade
    In 2022, you might make a relationship Instagram official. In the 1800s, you were likely to promenade. Promenade is a verb that means “to conduct or display in or as if in a promenade; parade.” This might mean taking a public walk with the object of your affection to make your courtship known, as Daphne and the Duke of Hastings do in season one. Fun fact: the word prom comes directly from promenade.

    duke
    You’ve likely heard the title of duke, but what do they actually do? A duke, in historical British society, is “a nobleman holding the highest hereditary title outside the royal family, ranking immediately below a prince and above a marquis.” Dukes hold the highest social rank in British peerage, with the female equivalent being a duchess. This term, which dates back to the 1100s, comes from the Medieval Latin dux, or “hereditary ruler of a small state.”

    countenance
    Countenance sounds like another fancy title, but it actually refers to “appearance, especially the look or expression of the face.” For example: The duke could scarcely hide his intrigue behind his serene countenance.

    Historically, countenance is related to control and the idea of keeping one’s cool, especially in polite society. Though it refers more generally to one’s facial expression today, countenance comes from the Old French contenance, or “behavior, bearing.” The Old French noun comes from the Latin noun continentia “self-control, restraint.”

    coming out
    In the 19th century, coming out meant something different than it does today. It was customary for young women at the time to come out, or have “a debut into society, especially a formal debut by a debutante.” This typically involved a special ball or series or balls and parties. Essentially, this debut was a signal to the community that the woman was ready for courtship and marriage.

    ton
    When you hear talk of “the ton” on Bridgerton, they aren’t mispronouncing the word town. Ton means “fashionable society,” particularly high class society during the Regency era. The word comes from le bon ton, a French phrase meaning “good or elegant form or style.” Members of the ton were generally upper class, wealthy, and respected.

    Regency
    Bridgerton is an example of a regency romance, a genre of historical romance set during the Regency era. Regency, in this sense, means “characteristic of or relating to the Regency periods in France or the United Kingdom or to the styles of architecture, furniture, art, literature, etc, produced in them.” This time period is generally believed to fall between 1811–1820.

    season
    The season is a big deal to the fictional characters in Bridgerton, but they aren’t necessarily referring to winter, spring, summer, or fall. More likely, they are referring to the social season, or “a period of fashionable social events in a particular place.” The season was a time for coming out, social events, and marriages. It’s thought to have taken place from early spring until around Christmas time.

    sire
    Today, sire is a respectful, if a little old-fashioned, form of address. But when the word is used in Bridgerton, it’s more likely meant in the archaic sense: “to beget; procreate as the father.” Men at this time were expected to “sire an heir” to secure their lineage and place in high society.

    modiste
    Any lady fit for a Bridgerton-style ball must have a modiste on hand. That’s an older term for “a female maker of or dealer in women’s fashionable attire.” As you may have guessed, English speakers borrowed the word modiste from French. In the Regency era, a modiste could not only make clothes, but also advise women on what was fashionable and appropriate for various events.

    courses
    Even Regency-era women had to worry about Aunt Flo crashing the party. Courses is an older, fancier way of saying “menses,” or a period. In the Bridgerton time period, the presence or absence of someone’s period was essentially the only way of determining whether or not she could bear children or was pregnant, so much is made of courses by the women on the show.

    high in the instep
    If you wanted to drop a sick burn on someone in the 1800s, you might say they were high in the instep. The instep is “the arched upper surface of the human foot between the toes and the ankle,” and accusing someone of being high in the instep was a way of saying they’re conceited, arrogant, or haughty.

    virtue
    In modern times, we think of virtue as personal morals or values. Historically, the term was mostly about sex. Virtue meant “chastity; virginity”, especially in reference to women and girls. It was considered of the utmost importance for a woman to “keep her virtue” until marriage. The word entered English in the late 1100s, and it can be traced to the Latin virtūs, or “manliness.”

    trousseau
    Bridgerton is part romance and part historical fashion education. A trousseau is “an outfit of clothing, household linen, etc., for a bride.” The word comes from Old French trusse, literally “a little bundle.” In some instances, a trousseau may also have included jewelry and other items and been a part of a woman’s dowry. While dowries aren’t a part of modern wedding traditions, some brides still prepare a trousseau of things they intend to wear throughout their wedding festivities.

    swoon
    Now that your vocabulary is ready for the next season of Bridgerton, it’s time to let the swooning commence. To swoon means “to enter a state of hysterical rapture or ecstasy.” Whether you have a favorite duke, duchess, viscount, or modiste, chances are you’ll be acting out this term at least a few times when they appear on screen. Keep in mind that swoon comes from the Middle English swonen, or “to faint.” You may want to binge-watch carefully.

    Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Prepare For The Lavish World Of Bridgerton With Regency Period Words This spring may be a bit steamier than usual, thanks to the return of the hit Netflix show Bridgerton. This Regency romance with a modern twist took audiences by storm last year with its unpredictable plot, historical setting, and very attractive cast of characters. If you watched the first season last year or you’re catching up now, you may find yourself wondering what some of the historical language in the show actually means. Bridgerton, like a lot of period dramas, is not 100% historically accurate, but the language, costumes, and customs on display do have real roots in the past. Here are 16 words you need to know to get ready for season two and become fluent in the language of Bridgerton. viscount You’ve likely heard of a count, but after catching up on Bridgerton, you may be wondering: what in the world is a viscount? We’ve got your back. A viscount is “a nobleman next below an earl or count and next above a baron.” It’s a hereditary title that was first recorded in English in the mid to late 1300s within a peerage or nobility system. You could think of it as a “vice count,” since it’s believed to have come from the equivalent in Old French, visconte. rake In the world of Regency romance, a rake is not a gardening tool. It’s an insult dating back to the 1600s that means “a dissolute or immoral person, especially a man who indulges in vices or lacks sexual restraint.” It comes from rakehell, an alteration of the Middle English rakel, meaning “rash, rough, coarse, hasty.” Rakes are the “bad boys” of the Bridgerton era. Of course, on TV, that may be a part of their appeal. promenade In 2022, you might make a relationship Instagram official. In the 1800s, you were likely to promenade. Promenade is a verb that means “to conduct or display in or as if in a promenade; parade.” This might mean taking a public walk with the object of your affection to make your courtship known, as Daphne and the Duke of Hastings do in season one. Fun fact: the word prom comes directly from promenade. duke You’ve likely heard the title of duke, but what do they actually do? A duke, in historical British society, is “a nobleman holding the highest hereditary title outside the royal family, ranking immediately below a prince and above a marquis.” Dukes hold the highest social rank in British peerage, with the female equivalent being a duchess. This term, which dates back to the 1100s, comes from the Medieval Latin dux, or “hereditary ruler of a small state.” countenance Countenance sounds like another fancy title, but it actually refers to “appearance, especially the look or expression of the face.” For example: The duke could scarcely hide his intrigue behind his serene countenance. Historically, countenance is related to control and the idea of keeping one’s cool, especially in polite society. Though it refers more generally to one’s facial expression today, countenance comes from the Old French contenance, or “behavior, bearing.” The Old French noun comes from the Latin noun continentia “self-control, restraint.” coming out In the 19th century, coming out meant something different than it does today. It was customary for young women at the time to come out, or have “a debut into society, especially a formal debut by a debutante.” This typically involved a special ball or series or balls and parties. Essentially, this debut was a signal to the community that the woman was ready for courtship and marriage. ton When you hear talk of “the ton” on Bridgerton, they aren’t mispronouncing the word town. Ton means “fashionable society,” particularly high class society during the Regency era. The word comes from le bon ton, a French phrase meaning “good or elegant form or style.” Members of the ton were generally upper class, wealthy, and respected. Regency Bridgerton is an example of a regency romance, a genre of historical romance set during the Regency era. Regency, in this sense, means “characteristic of or relating to the Regency periods in France or the United Kingdom or to the styles of architecture, furniture, art, literature, etc, produced in them.” This time period is generally believed to fall between 1811–1820. season The season is a big deal to the fictional characters in Bridgerton, but they aren’t necessarily referring to winter, spring, summer, or fall. More likely, they are referring to the social season, or “a period of fashionable social events in a particular place.” The season was a time for coming out, social events, and marriages. It’s thought to have taken place from early spring until around Christmas time. sire Today, sire is a respectful, if a little old-fashioned, form of address. But when the word is used in Bridgerton, it’s more likely meant in the archaic sense: “to beget; procreate as the father.” Men at this time were expected to “sire an heir” to secure their lineage and place in high society. modiste Any lady fit for a Bridgerton-style ball must have a modiste on hand. That’s an older term for “a female maker of or dealer in women’s fashionable attire.” As you may have guessed, English speakers borrowed the word modiste from French. In the Regency era, a modiste could not only make clothes, but also advise women on what was fashionable and appropriate for various events. courses Even Regency-era women had to worry about Aunt Flo crashing the party. Courses is an older, fancier way of saying “menses,” or a period. In the Bridgerton time period, the presence or absence of someone’s period was essentially the only way of determining whether or not she could bear children or was pregnant, so much is made of courses by the women on the show. high in the instep If you wanted to drop a sick burn on someone in the 1800s, you might say they were high in the instep. The instep is “the arched upper surface of the human foot between the toes and the ankle,” and accusing someone of being high in the instep was a way of saying they’re conceited, arrogant, or haughty. virtue In modern times, we think of virtue as personal morals or values. Historically, the term was mostly about sex. Virtue meant “chastity; virginity”, especially in reference to women and girls. It was considered of the utmost importance for a woman to “keep her virtue” until marriage. The word entered English in the late 1100s, and it can be traced to the Latin virtūs, or “manliness.” trousseau Bridgerton is part romance and part historical fashion education. A trousseau is “an outfit of clothing, household linen, etc., for a bride.” The word comes from Old French trusse, literally “a little bundle.” In some instances, a trousseau may also have included jewelry and other items and been a part of a woman’s dowry. While dowries aren’t a part of modern wedding traditions, some brides still prepare a trousseau of things they intend to wear throughout their wedding festivities. swoon Now that your vocabulary is ready for the next season of Bridgerton, it’s time to let the swooning commence. To swoon means “to enter a state of hysterical rapture or ecstasy.” Whether you have a favorite duke, duchess, viscount, or modiste, chances are you’ll be acting out this term at least a few times when they appear on screen. Keep in mind that swoon comes from the Middle English swonen, or “to faint.” You may want to binge-watch carefully. Copyright 2024, XAKKHRA, All Rights Reserved.
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1010 Views 0 Reviews
  • UPDATE: เริ่ม 1 ธ.ค. นี้ เดินทางผ่าน 6 สนามบินใช้ระบบ Biometric สแกนหน้าเช็กอิน คาดประชาชนได้รับความสะดวกและรวดเร็วขึ้น
    .
    วันนี้ (29 ตุลาคม) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า AOT นำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร โดยพัฒนาและทดสอบระบบให้มีความพร้อมในการใช้งาน เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
    .
    รวมทั้งจะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวของแต่ละจุดบริการภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.), ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.), ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.), ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)
    .
    ซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ผู้โดยสารภายในประเทศสามารถใช้งานได้ก่อน และในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 พร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้โดยสารจำเป็นต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล
    .
    สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนใช้งานเมื่อมาเช็กอินที่สนามบิน โดยมี 2 วิธี ได้แก่
    .
    1. เช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ผู้โดยสารแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบ Biometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร (เครื่อง CUTE) โดยระบบจะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบ
    .
    2. เช็กอินที่เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) โดยหลังจากเช็กอินเสร็จแล้วให้ผู้โดยสารเลือกสายการบินที่เดินทาง ต่อด้วยเลือก Enrollment จากนั้นสแกน Barcode จากบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) เสียบหนังสือเดินทาง (Passport) หรือบัตรประชาชน และสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถือเป็นการเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ซึ่งระบบจะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบเช่นเดียวกัน
    .
    ซึ่งเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ถือว่าผู้โดยสารให้ความยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้โดยสารจะโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (เครื่อง CUBD) ตลอดจนผ่านจุดตรวจค้น รวมทั้งขั้นตอนขึ้นเครื่อง ไม่ต้องแสดง Passport และ Boarding Pass อีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยินยอมให้ใช้ข้อมูล Biometric สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
    .
    ดร.กีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า AOT มั่นใจว่าระบบ Biometric มีความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ทั้งผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศ จะได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ใช้เวลาน้อยในแต่ละจุดบริการ ทำให้ผู้โดยสารมีเวลาเพียงพอที่จะเดินเล่น เลือกซื้อสินค้าปลอดอากรและของฝาก รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจากที่ผ่านมา AOT มีการติดตั้งระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง หรือ CUPPS (Common Use Passenger Processing System) ที่สนับสนุนการให้บริการทั้งหมด 5 ระบบ
    .
    ได้แก่ 1. เครื่อง CUTE (เครื่องตรวจบัตรโดยสารซึ่งใช้งานโดยเจ้าหน้าที่สายการบิน) 2. เครื่อง CUSS (เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ) 3. เครื่อง CUBD เครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ 4. ระบบ PVS (Passenger Validation System) สำหรับตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร และ 5. ระบบ SBG (Self-Boarding Gate) หรือระบบประตูทางออกขึ้นเครื่อง
    .
    โดยทั้ง 5 ระบบดังกล่าวติดตั้งเพื่อรองรับระบบ Biometric ไว้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อระบบทั้งหมด 6 ระบบมีการใช้งานและเชื่อมต่อกันอย่างครอบคลุม จะทำให้ข้อมูลต่างๆ ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายอย่างสมบูรณ์
    .
    ดร.กีรติ กล่าวว่า ในส่วนของปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.82% และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.01% ขณะที่มีเที่ยวบินรวม 732,690 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.5% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 416,190 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 29.63% และเที่ยวบินภายในประเทศ 316,500 เที่ยวบิน ลดลง 0.73%
    .
    โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีผู้โดยสาร 60 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24.04% และมีเที่ยวบิน 346,680 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 17.88% ส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง มีผู้โดยสาร 29.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.25% และมีเที่ยวบิน 197,250 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.47% ด้านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีผู้โดยสาร 8.82 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.14% และมีเที่ยวบิน 57,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.68% สำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีผู้โดยสาร 1.9 ล้านคน ลดลง 1.96% และมีเที่ยวบิน 12,260 เที่ยวบิน ลดลง 3.37%
    .
    ขณะที่ท่าอากาศยานภูเก็ต มีผู้โดยสาร 16.40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25.94% และมีเที่ยวบิน 98,710 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 19.97% และท่าอากาศยานหาดใหญ่ มีผู้โดยสาร 3.03 ล้านคน ลดลง 5.14% และมีเที่ยวบิน 19,730 เที่ยวบิน ลดลง 5.84% ทั้งนี้ มีผู้โดยสารแยกตามสัญชาติ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, รัสเซีย และญี่ปุ่น
    .
    ดร.กีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการจัดสรรตารางบินฤดูหนาว 2024/2025 (W2024/2025) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT มีเที่ยวบินได้รับการจัดสรรเวลารวม 370,239 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวในปีที่ผ่านมา (W2023/2024) 22.1% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 222,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 33.1% เที่ยวบินภายในประเทศ 147,459 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.5% ทั้งนี้ มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งระหว่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น 23% และเส้นทางระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารเดินทางเข้าประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน, มาเลเซีย, อินเดีย, สิงคโปร์ และฮ่องกง
    .
    สำหรับปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ในปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 - กันยายน 2568) AOT คาดว่าจะผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศประมาณ 78.61 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.17% และผู้โดยสารภายในประเทศประมาณ 51.36 คน เพิ่มขึ้น 10.18% ขณะที่คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศประมาณ 453,750 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.02% และเที่ยวบินภายในประเทศประมาณ 354,530 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.02%
    .
    โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 64.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.40% และมีเที่ยวบินประมาณ 376,820 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.69% ส่วนท่าอากาศยานดอนเมืองมีผู้โดยสารประมาณ 33.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.91% และมีเที่ยวบินประมาณ 223,200 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.00%
    .
    #สนามบิน
    #TheStandardNews
    UPDATE: เริ่ม 1 ธ.ค. นี้ เดินทางผ่าน 6 สนามบินใช้ระบบ Biometric สแกนหน้าเช็กอิน คาดประชาชนได้รับความสะดวกและรวดเร็วขึ้น . วันนี้ (29 ตุลาคม) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า AOT นำระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System: Biometric) ด้วยเทคโนโลยี Facial Recognition มาใช้ในการระบุตัวตนของผู้โดยสาร โดยพัฒนาและทดสอบระบบให้มีความพร้อมในการใช้งาน เพื่อช่วยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและรวดเร็วยิ่งขึ้น . รวมทั้งจะช่วยลดระยะเวลาในการรอคิวของแต่ละจุดบริการภายในท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.), ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.), ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.), ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) . ซึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ผู้โดยสารภายในประเทศสามารถใช้งานได้ก่อน และในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 พร้อมใช้งานสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ผู้โดยสารจำเป็นต้องยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล . สำหรับผู้โดยสารที่ต้องการใช้งานระบบ Biometric สามารถลงทะเบียนใช้งานเมื่อมาเช็กอินที่สนามบิน โดยมี 2 วิธี ได้แก่ . 1. เช็กอินที่เคาน์เตอร์เช็กอิน ผู้โดยสารแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินให้ลงทะเบียนใบหน้าในระบบ Biometric ผ่านเครื่องตรวจบัตรโดยสาร (เครื่อง CUTE) โดยระบบจะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบ . 2. เช็กอินที่เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (เครื่อง CUSS) โดยหลังจากเช็กอินเสร็จแล้วให้ผู้โดยสารเลือกสายการบินที่เดินทาง ต่อด้วยเลือก Enrollment จากนั้นสแกน Barcode จากบัตรโดยสารขึ้นเครื่อง (Boarding Pass) เสียบหนังสือเดินทาง (Passport) หรือบัตรประชาชน และสแกนใบหน้าเป็นขั้นตอนสุดท้าย ถือเป็นการเสร็จสิ้นการลงทะเบียน ซึ่งระบบจะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลใบหน้าและข้อมูลเอกสารการเดินทางของผู้โดยสารในรูปแบบของ Token ไว้ในระบบเช่นเดียวกัน . ซึ่งเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ถือว่าผู้โดยสารให้ความยินยอมให้ใช้ข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลแล้ว ดังนั้นเมื่อผู้โดยสารจะโหลดกระเป๋าสัมภาระผ่านเครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (เครื่อง CUBD) ตลอดจนผ่านจุดตรวจค้น รวมทั้งขั้นตอนขึ้นเครื่อง ไม่ต้องแสดง Passport และ Boarding Pass อีกต่อไป ทั้งนี้ เป็นการยินยอมให้ใช้ข้อมูล Biometric สำหรับการเดินทางเพียงครั้งเดียวเท่านั้น . ดร.กีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า AOT มั่นใจว่าระบบ Biometric มีความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ทั้งผู้โดยสารภายในประเทศและระหว่างประเทศ จะได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ใช้เวลาน้อยในแต่ละจุดบริการ ทำให้ผู้โดยสารมีเวลาเพียงพอที่จะเดินเล่น เลือกซื้อสินค้าปลอดอากรและของฝาก รับประทานอาหาร หรือพักผ่อนหย่อนใจ เนื่องจากที่ผ่านมา AOT มีการติดตั้งระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง หรือ CUPPS (Common Use Passenger Processing System) ที่สนับสนุนการให้บริการทั้งหมด 5 ระบบ . ได้แก่ 1. เครื่อง CUTE (เครื่องตรวจบัตรโดยสารซึ่งใช้งานโดยเจ้าหน้าที่สายการบิน) 2. เครื่อง CUSS (เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ) 3. เครื่อง CUBD เครื่องรับกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ 4. ระบบ PVS (Passenger Validation System) สำหรับตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร และ 5. ระบบ SBG (Self-Boarding Gate) หรือระบบประตูทางออกขึ้นเครื่อง . โดยทั้ง 5 ระบบดังกล่าวติดตั้งเพื่อรองรับระบบ Biometric ไว้เรียบร้อยแล้ว และเมื่อระบบทั้งหมด 6 ระบบมีการใช้งานและเชื่อมต่อกันอย่างครอบคลุม จะทำให้ข้อมูลต่างๆ ถูกเชื่อมโยงเข้าสู่เครือข่ายอย่างสมบูรณ์ . ดร.กีรติ กล่าวว่า ในส่วนของปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ในปีงบประมาณ 2567 (ตุลาคม 2566 - กันยายน 2567) มีผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 119.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 19.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 72.67 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.82% และผู้โดยสารภายในประเทศ 46.62 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.01% ขณะที่มีเที่ยวบินรวม 732,690 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 14.5% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 416,190 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 29.63% และเที่ยวบินภายในประเทศ 316,500 เที่ยวบิน ลดลง 0.73% . โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีผู้โดยสาร 60 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24.04% และมีเที่ยวบิน 346,680 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 17.88% ส่วนท่าอากาศยานดอนเมือง มีผู้โดยสาร 29.15 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.25% และมีเที่ยวบิน 197,250 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 11.47% ด้านท่าอากาศยานเชียงใหม่ มีผู้โดยสาร 8.82 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.14% และมีเที่ยวบิน 57,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.68% สำหรับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีผู้โดยสาร 1.9 ล้านคน ลดลง 1.96% และมีเที่ยวบิน 12,260 เที่ยวบิน ลดลง 3.37% . ขณะที่ท่าอากาศยานภูเก็ต มีผู้โดยสาร 16.40 ล้านคน เพิ่มขึ้น 25.94% และมีเที่ยวบิน 98,710 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 19.97% และท่าอากาศยานหาดใหญ่ มีผู้โดยสาร 3.03 ล้านคน ลดลง 5.14% และมีเที่ยวบิน 19,730 เที่ยวบิน ลดลง 5.84% ทั้งนี้ มีผู้โดยสารแยกตามสัญชาติ 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, รัสเซีย และญี่ปุ่น . ดร.กีรติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการจัดสรรตารางบินฤดูหนาว 2024/2025 (W2024/2025) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT มีเที่ยวบินได้รับการจัดสรรเวลารวม 370,239 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากฤดูหนาวในปีที่ผ่านมา (W2023/2024) 22.1% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 222,780 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 33.1% เที่ยวบินภายในประเทศ 147,459 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.5% ทั้งนี้ มีแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งระหว่างประเทศและในประเทศเพิ่มขึ้น 23% และเส้นทางระหว่างประเทศที่มีผู้โดยสารเดินทางเข้าประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน, มาเลเซีย, อินเดีย, สิงคโปร์ และฮ่องกง . สำหรับปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT ในปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 - กันยายน 2568) AOT คาดว่าจะผู้โดยสารมาใช้บริการรวมกว่า 129.97 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศประมาณ 78.61 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8.17% และผู้โดยสารภายในประเทศประมาณ 51.36 คน เพิ่มขึ้น 10.18% ขณะที่คาดว่าจะมีเที่ยวบินรวมประมาณ 808,280 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.32% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศประมาณ 453,750 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 9.02% และเที่ยวบินภายในประเทศประมาณ 354,530 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.02% . โดยเฉพาะที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 64.44 ล้านคน เพิ่มขึ้น 7.40% และมีเที่ยวบินประมาณ 376,820 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.69% ส่วนท่าอากาศยานดอนเมืองมีผู้โดยสารประมาณ 33.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 13.91% และมีเที่ยวบินประมาณ 223,200 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 13.00% . #สนามบิน #TheStandardNews
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 473 Views 0 Reviews