• Intel Diamond Rapids – ซีพียูเซิร์ฟเวอร์ 192 คอร์ พร้อมรองรับ AI และงานหนักระดับองค์กร

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ Diamond Rapids ในปี 2026 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Oak Stream โดยใช้สถาปัตยกรรม Panther Cove และกระบวนการผลิต Intel 18A ที่ทันสมัยที่สุดของบริษัท

    รุ่นสูงสุดของ Diamond Rapids จะมี 4 compute tiles โดยแต่ละ tile มี 48 คอร์ รวมเป็น 192 คอร์ต่อซ็อกเก็ต และสามารถใช้งานแบบ quad-socket ได้ ทำให้เซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องมีคอร์รวมสูงสุดถึง 768 คอร์

    รองรับเทคโนโลยีใหม่:
    - ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 9324
    - PCIe 6.0 และ CXL 3.0 สำหรับเชื่อมต่อ accelerator และ storage
    - รองรับ DDR5 แบบ 16 ช่อง พร้อม MRDIMM ที่ความเร็ว 12800MT/s
    - Instruction set ใหม่ Intel APX และ AMX engine รุ่นอัปเกรด
    - รองรับการประมวลผล AI inference ด้วย native FP8 และ TF32

    Intel ยังเตรียมเปิดตัว Jaguar Shores AI accelerator ควบคู่กัน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์ที่พร้อมใช้งานกับ AI เต็มรูปแบบ

    https://www.techradar.com/pro/want-a-quad-socket-server-with-768-cores-sure-intels-192-core-diamond-rapids-xeon-cpu-will-deliver-that-in-2026-but-i-wonder-whether-it-will-be-too-little-too-late
    Intel Diamond Rapids – ซีพียูเซิร์ฟเวอร์ 192 คอร์ พร้อมรองรับ AI และงานหนักระดับองค์กร 🏢 Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ Diamond Rapids ในปี 2026 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม Oak Stream โดยใช้สถาปัตยกรรม Panther Cove และกระบวนการผลิต Intel 18A ที่ทันสมัยที่สุดของบริษัท รุ่นสูงสุดของ Diamond Rapids จะมี 4 compute tiles โดยแต่ละ tile มี 48 คอร์ รวมเป็น 192 คอร์ต่อซ็อกเก็ต และสามารถใช้งานแบบ quad-socket ได้ ทำให้เซิร์ฟเวอร์หนึ่งเครื่องมีคอร์รวมสูงสุดถึง 768 คอร์ รองรับเทคโนโลยีใหม่: - ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 9324 - PCIe 6.0 และ CXL 3.0 สำหรับเชื่อมต่อ accelerator และ storage - รองรับ DDR5 แบบ 16 ช่อง พร้อม MRDIMM ที่ความเร็ว 12800MT/s - Instruction set ใหม่ Intel APX และ AMX engine รุ่นอัปเกรด - รองรับการประมวลผล AI inference ด้วย native FP8 และ TF32 Intel ยังเตรียมเปิดตัว Jaguar Shores AI accelerator ควบคู่กัน เพื่อสร้างแพลตฟอร์มเซิร์ฟเวอร์ที่พร้อมใช้งานกับ AI เต็มรูปแบบ https://www.techradar.com/pro/want-a-quad-socket-server-with-768-cores-sure-intels-192-core-diamond-rapids-xeon-cpu-will-deliver-that-in-2026-but-i-wonder-whether-it-will-be-too-little-too-late
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากเงียบหายไปนานกว่า 30 ปี Commodore กลับมาอีกครั้งภายใต้การบริหารใหม่โดยกลุ่มผู้หลงใหลในเทคโนโลยีย้อนยุค นำโดย Christian ‘Peri Fractic’ Simpson ผู้ก่อตั้งช่อง Retro Recipes ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ชั่วคราวของบริษัท

    Commodore 64 Ultimate เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่การจำลองด้วยซอฟต์แวร์ แต่ใช้ชิป AMD Artix-7 FPGA เพื่อสร้างเมนบอร์ดแบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับเกม ตลับ และอุปกรณ์เสริมกว่า 10,000 รายการจากยุค 80s/90s ได้จริง

    มีให้เลือก 3 รุ่น:
    - BASIC Beige ($299): รุ่นพื้นฐาน ไม่มีไฟตกแต่ง
    - Starlight Edition ($349): เคสโปร่งแสง พร้อมคีย์บอร์ดเรืองแสงแบบโต้ตอบเสียง
    - Founders Edition ($499): เคสโปร่งแสงสีอำพัน พร้อมของสะสมทองคำ 24k และหมายเลขซีเรียลพิเศษ

    สเปกเด่น:
    - RAM 128MB DDR2, Flash 16MB
    - รองรับไฟล์ .D64, .TAP, .PRG ฯลฯ
    - วิดีโอ HDMI 1080p, S-Video, RGB
    - เสียง SID แท้ + FPGA emulation
    - พอร์ตครบ: USB-A, USB-C, MicroSD, Ethernet, Wi-Fi, Cartridge, Joystick ฯลฯ
    - คีย์บอร์ดกลไก Gateron Pro 3.0 พร้อมไฟ RGB 70 จุด

    แถมฟรี:
    - คู่มือแบบเข้าใจง่าย
    - USB Cassette Drive 64GB พร้อมเกมคลาสสิกกว่า 50 เกม
    - สติกเกอร์และของสะสม

    แม้จะเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่การจัดส่งจะเริ่มเร็วที่สุดในเดือนตุลาคม และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการซื้อกิจการ Commodore ที่ยังไม่ปิดดีลอย่างสมบูรณ์

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/the-commodore-64-ultimate-computer-is-the-companys-first-hardware-release-in-over-30-years-pre-orders-start-at-usd299
    หลังจากเงียบหายไปนานกว่า 30 ปี Commodore กลับมาอีกครั้งภายใต้การบริหารใหม่โดยกลุ่มผู้หลงใหลในเทคโนโลยีย้อนยุค นำโดย Christian ‘Peri Fractic’ Simpson ผู้ก่อตั้งช่อง Retro Recipes ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CEO ชั่วคราวของบริษัท Commodore 64 Ultimate เป็นคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่การจำลองด้วยซอฟต์แวร์ แต่ใช้ชิป AMD Artix-7 FPGA เพื่อสร้างเมนบอร์ดแบบดั้งเดิมขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับเกม ตลับ และอุปกรณ์เสริมกว่า 10,000 รายการจากยุค 80s/90s ได้จริง มีให้เลือก 3 รุ่น: - BASIC Beige ($299): รุ่นพื้นฐาน ไม่มีไฟตกแต่ง - Starlight Edition ($349): เคสโปร่งแสง พร้อมคีย์บอร์ดเรืองแสงแบบโต้ตอบเสียง - Founders Edition ($499): เคสโปร่งแสงสีอำพัน พร้อมของสะสมทองคำ 24k และหมายเลขซีเรียลพิเศษ สเปกเด่น: - RAM 128MB DDR2, Flash 16MB - รองรับไฟล์ .D64, .TAP, .PRG ฯลฯ - วิดีโอ HDMI 1080p, S-Video, RGB - เสียง SID แท้ + FPGA emulation - พอร์ตครบ: USB-A, USB-C, MicroSD, Ethernet, Wi-Fi, Cartridge, Joystick ฯลฯ - คีย์บอร์ดกลไก Gateron Pro 3.0 พร้อมไฟ RGB 70 จุด แถมฟรี: - คู่มือแบบเข้าใจง่าย - USB Cassette Drive 64GB พร้อมเกมคลาสสิกกว่า 50 เกม - สติกเกอร์และของสะสม แม้จะเปิดให้พรีออเดอร์แล้ว แต่การจัดส่งจะเริ่มเร็วที่สุดในเดือนตุลาคม และยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการซื้อกิจการ Commodore ที่ยังไม่ปิดดีลอย่างสมบูรณ์ https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/the-commodore-64-ultimate-computer-is-the-companys-first-hardware-release-in-over-30-years-pre-orders-start-at-usd299
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The Commodore 64 Ultimate computer is the company's first hardware release in over 30 years — pre-orders start at $299
    No software emulation, this 'faithful recreation of the original motherboard' runs on an AMD Artix 7 FPGA.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์

    RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense”

    บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision)

    CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก

    RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics

    บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ

    ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ
    - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek
    - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision
    - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก
    - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ
    - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics
    - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE
    - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ
    - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย
    - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน
    - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต
    - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    RealSense แยกตัวจาก Intel – รับทุน 50 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างอนาคต AI และหุ่นยนต์ RealSense ซึ่งเป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีด้านกล้องตรวจจับความลึก (depth cameras) ได้ประกาศแยกตัวออกจาก Intel อย่างเป็นทางการ และจะดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทอิสระ โดยยังคงใช้ชื่อเดิม “RealSense” บริษัทได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek Innovation Fund เพื่อขยายตลาดและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และระบบคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) CEO ของ RealSense, Nadav Orbach กล่าวว่า “เราจะใช้ความเป็นอิสระนี้เพื่อเร่งนวัตกรรมและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว” พร้อมระบุว่าเทคโนโลยีของบริษัทถูกใช้งานใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก RealSense มีลูกค้ากว่า 3,000 รายทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรด้าน computer vision มากกว่า 80 รายการ โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรด้าน AI และหุ่นยนต์ รวมถึงทีมขายและการตลาด เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาด edge AI และระบบจดจำใบหน้าในสถานที่สาธารณะ ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่รองรับ Power over Ethernet และใช้ชิป Vision SoC V5 ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการนำไปใช้งานในอุปกรณ์จำนวนมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - RealSense แยกตัวจาก Intel และกลายเป็นบริษัทอิสระ - ได้รับเงินลงทุน Series A จำนวน 50 ล้านดอลลาร์จาก Intel Capital และ MediaTek - มุ่งเน้นด้าน AI, หุ่นยนต์, ไบโอเมตริกซ์ และ computer vision - เทคโนโลยีของ RealSense ถูกใช้ใน 60% ของหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ทั่วโลก - มีลูกค้ากว่า 3,000 ราย และถือครองสิทธิบัตรกว่า 80 รายการ - พันธมิตรสำคัญ ได้แก่ ANYbotics, Eyesynth, Fit:Match และ Unitree Robotics - ผลิตภัณฑ์ล่าสุดคือกล้อง D555 ที่ใช้ Vision SoC V5 และรองรับ PoE - บริษัทกำลังขยายทีมวิศวกรและทีมขายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การแยกตัวจาก Intel อาจทำให้ RealSenseต้องเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรและการบริหารจัดการ - การแข่งขันในตลาด computer vision และ edge AI รุนแรงขึ้น โดยมีผู้เล่นรายใหญ่หลายราย - การนำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าไปใช้ในพื้นที่สาธารณะอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของประชาชน - การพึ่งพาเงินลงทุนจากบริษัทใหญ่ อาจมีข้อจำกัดด้านทิศทางธุรกิจในอนาคต - การนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมากต้องใช้เวลาและการทดสอบที่เข้มงวด https://www.tomshardware.com/tech-industry/realsense-completes-spin-out-from-intel-gets-usd50-million-in-funding-from-intel-capital-and-mediatek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • When To Use “I” Or “Me”

    Is it “my friends and I” or “my friends and me”? Both I and me are pronouns. But there’s a clear difference between the two: I is what is known as a subject pronoun, and me is an object pronoun.

    So what exactly does that mean?

    The difference between I and me
    The pronoun I can be used as the subject of a sentence, and me can only be used as the object of one. I can perform an action, while me can only have actions performed upon it.

    When to use I
    A subject pronoun can replace the noun (person, place, or thing) that’s performing the action (or verb) in any sentence. I is most often used as the subject of a verb. I can do things. You can say things like “I ran” or “I sneezed.” This rules applies when there is more than one noun as the subject. For example: Jennifer and I researched Isabel Allende for class. How do you know whether to use I or me here? First, ignore Jennifer and. Consider each pronoun individually. Is “I researched” or “me researched” correct? The answer is “I researched.” So I is the right pronoun to use in this case.

    Traditionally, the use of I is also appropriate when it follows a linking verb like is, was, or were. Linking verbs express a state of being rather than describing an action. They’re usually paired with subject pronouns. Technically, that means saying it is I is correct, but English speakers tend to use it is me informally as well.

    Examples of I in a sentence
    I fixed the remote control. (subject)
    My husband and I checked into the hotel. (subject)
    Could I speak to Vanessa? – It is I. (after a linking verb)

    When to use me
    An object pronoun may replace a sentence’s direct object, indirect object, or the object of the preposition. The object pronoun me is typically used as the direct or indirect object of a sentence. It receives the action of the verb or shows the result of the action. So you shouldn’t really say “Me ran.” You can say “My dog ran to me,” because in this case me is receiving the action of the dog running.

    As we’ve already noted, the use of me is also appropriate following a linking verb like is, was, or were.

    Examples of me in a sentence
    My grandfather bought me a book. (object)
    Give me the money. (object)
    Albert, is that you? – Yes, it’s me. (after a linking verb)

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    When To Use “I” Or “Me” Is it “my friends and I” or “my friends and me”? Both I and me are pronouns. But there’s a clear difference between the two: I is what is known as a subject pronoun, and me is an object pronoun. So what exactly does that mean? The difference between I and me The pronoun I can be used as the subject of a sentence, and me can only be used as the object of one. I can perform an action, while me can only have actions performed upon it. When to use I A subject pronoun can replace the noun (person, place, or thing) that’s performing the action (or verb) in any sentence. I is most often used as the subject of a verb. I can do things. You can say things like “I ran” or “I sneezed.” This rules applies when there is more than one noun as the subject. For example: Jennifer and I researched Isabel Allende for class. How do you know whether to use I or me here? First, ignore Jennifer and. Consider each pronoun individually. Is “I researched” or “me researched” correct? The answer is “I researched.” So I is the right pronoun to use in this case. Traditionally, the use of I is also appropriate when it follows a linking verb like is, was, or were. Linking verbs express a state of being rather than describing an action. They’re usually paired with subject pronouns. Technically, that means saying it is I is correct, but English speakers tend to use it is me informally as well. Examples of I in a sentence I fixed the remote control. (subject) My husband and I checked into the hotel. (subject) Could I speak to Vanessa? – It is I. (after a linking verb) When to use me An object pronoun may replace a sentence’s direct object, indirect object, or the object of the preposition. The object pronoun me is typically used as the direct or indirect object of a sentence. It receives the action of the verb or shows the result of the action. So you shouldn’t really say “Me ran.” You can say “My dog ran to me,” because in this case me is receiving the action of the dog running. As we’ve already noted, the use of me is also appropriate following a linking verb like is, was, or were. Examples of me in a sentence My grandfather bought me a book. (object) Give me the money. (object) Albert, is that you? – Yes, it’s me. (after a linking verb) © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • NEX395 คือ Mini PC ที่ดูเหมือน SSD Enclosure มากกว่า Desktop — มีช่องระบายอากาศเต็มตัวเครื่องและดีไซน์บางผิดคาดจากเครื่องที่ใช้ APU แรงขนาดนี้

    ภายในใช้ Strix Halo APU ซึ่งมี
    - 16 คอร์ / 32 เธรด
    - GPU แบบในตัวคือ Radeon 8060S (แรงกว่า RX 7600 XT!)
    - รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X)

    แต่น่าสงสัยมาก: ไม่มีข้อมูลเรื่อง cooling, ระบบจัดการความร้อน, หรือแม้แต่ layout ภายในของบอร์ด! → ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า: นี่ใช้งานแบบ full-load ได้จริงไหม? หรือแค่เร่งแรงเพื่อโชว์เฉย ๆ

    แม้จะมีช่อง HDMI, DisplayPort, USB-A, USB-C และ Ethernet 2 ช่อง — แต่ไม่มีพอร์ต OCuLink สำหรับต่อ eGPU แบบเต็มสปีด → มีขาย eGPU เพิ่มแยก โดยใช้ Radeon RX 7600 XT (แต่จริง ๆ GPU ในตัวแรงกว่าอีก!)

    ราคาไม่เปิดเผย แต่จากการเปรียบเทียบกับรุ่นคล้าย ๆ เช่น HP Z2 Mini G1a และ GMKTEC EVO-X2 ก็น่าจะอยู่ที่ $1,500–$2,000

    AOOSTAR NEX395 เป็น Mini PC ใช้ AMD Ryzen AI MAX+ 395 (Strix Halo APU)  
    • CPU 16-core / 32-thread / Boost 5.1GHz  
    • GPU ในตัวคือ Radeon 8060S แบบใหม่  
    • รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X)

    ดีไซน์ตัวเครื่องแปลกตา → เหมือน SSD Dock มากกว่า PC  
    • ถือในมือได้ / น้ำหนักเบา / มีพอร์ตครบ

    มี GPU ในตัว + ขาย eGPU เพิ่ม → แต่ eGPU ใช้ RX 7600 XT ที่สเปกต่ำกว่า GPU ในตัวอีก

    ไม่มีข้อมูลเรื่องการระบายความร้อนหรือโครงสร้างภายใน

    พอร์ตเชื่อมต่อหลัก:  
    • USB-A 4 ช่อง / USB-C / HDMI / DisplayPort / Ethernet 2 ช่อง / พาวเวอร์ input แยก

    คาดว่าราคาอาจอยู่ในช่วง $1500–$2000  
    • เทียบกับรุ่นที่มี GPU ภายนอก / เน้น AI เช่น HP Z2 Mini หรือ GMKTEC

    ไม่มีข้อมูลระบบระบายความร้อนเลย → อาจมีปัญหาเรื่อง thermal throttling หากใช้งานหนัก

    ตัว GPU ใน APU (Radeon 8060S) สเปกแรงกว่า eGPU ที่ขายแยก (RX 7600 XT) → ทำให้การต่อ eGPU ดูไม่คุ้มค่า

    ไม่มีพอร์ต OCuLink หรือการเชื่อมต่อ PCIe เร็วสำหรับ eGPU → อาจเกิดคอขวดถ้าใช้งานกราฟิกจากภายนอก

    ดีไซน์บางเบาแม้จะใช้ APU ระดับ workstation → ทำให้สงสัยว่าสามารถให้ประสิทธิภาพเต็มรูปแบบได้หรือไม่

    ไม่มีข้อมูล storage, fan layout หรือแม้แต่ motherboard ที่ใช้จริง → อาจทำให้ผู้ใช้สาย dev/AI ที่ต้องการความเสถียรลังเล

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-looking-ai-max-395-mini-pc-that-ive-ever-seen-and-you-can-apparently-hold-it-comfortably-in-the-palm-of-your-hand
    NEX395 คือ Mini PC ที่ดูเหมือน SSD Enclosure มากกว่า Desktop — มีช่องระบายอากาศเต็มตัวเครื่องและดีไซน์บางผิดคาดจากเครื่องที่ใช้ APU แรงขนาดนี้ ภายในใช้ Strix Halo APU ซึ่งมี - 16 คอร์ / 32 เธรด - GPU แบบในตัวคือ Radeon 8060S (แรงกว่า RX 7600 XT!) - รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X) แต่น่าสงสัยมาก: ไม่มีข้อมูลเรื่อง cooling, ระบบจัดการความร้อน, หรือแม้แต่ layout ภายในของบอร์ด! → ทำให้ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามว่า: นี่ใช้งานแบบ full-load ได้จริงไหม? หรือแค่เร่งแรงเพื่อโชว์เฉย ๆ แม้จะมีช่อง HDMI, DisplayPort, USB-A, USB-C และ Ethernet 2 ช่อง — แต่ไม่มีพอร์ต OCuLink สำหรับต่อ eGPU แบบเต็มสปีด → มีขาย eGPU เพิ่มแยก โดยใช้ Radeon RX 7600 XT (แต่จริง ๆ GPU ในตัวแรงกว่าอีก!) ราคาไม่เปิดเผย แต่จากการเปรียบเทียบกับรุ่นคล้าย ๆ เช่น HP Z2 Mini G1a และ GMKTEC EVO-X2 ก็น่าจะอยู่ที่ $1,500–$2,000 ✅ AOOSTAR NEX395 เป็น Mini PC ใช้ AMD Ryzen AI MAX+ 395 (Strix Halo APU)   • CPU 16-core / 32-thread / Boost 5.1GHz   • GPU ในตัวคือ Radeon 8060S แบบใหม่   • รองรับ RAM สูงสุด 128GB (น่าจะเป็น LPDDR5X) ✅ ดีไซน์ตัวเครื่องแปลกตา → เหมือน SSD Dock มากกว่า PC   • ถือในมือได้ / น้ำหนักเบา / มีพอร์ตครบ ✅ มี GPU ในตัว + ขาย eGPU เพิ่ม → แต่ eGPU ใช้ RX 7600 XT ที่สเปกต่ำกว่า GPU ในตัวอีก ✅ ไม่มีข้อมูลเรื่องการระบายความร้อนหรือโครงสร้างภายใน ✅ พอร์ตเชื่อมต่อหลัก:   • USB-A 4 ช่อง / USB-C / HDMI / DisplayPort / Ethernet 2 ช่อง / พาวเวอร์ input แยก ✅ คาดว่าราคาอาจอยู่ในช่วง $1500–$2000   • เทียบกับรุ่นที่มี GPU ภายนอก / เน้น AI เช่น HP Z2 Mini หรือ GMKTEC ‼️ ไม่มีข้อมูลระบบระบายความร้อนเลย → อาจมีปัญหาเรื่อง thermal throttling หากใช้งานหนัก ‼️ ตัว GPU ใน APU (Radeon 8060S) สเปกแรงกว่า eGPU ที่ขายแยก (RX 7600 XT) → ทำให้การต่อ eGPU ดูไม่คุ้มค่า ‼️ ไม่มีพอร์ต OCuLink หรือการเชื่อมต่อ PCIe เร็วสำหรับ eGPU → อาจเกิดคอขวดถ้าใช้งานกราฟิกจากภายนอก ‼️ ดีไซน์บางเบาแม้จะใช้ APU ระดับ workstation → ทำให้สงสัยว่าสามารถให้ประสิทธิภาพเต็มรูปแบบได้หรือไม่ ‼️ ไม่มีข้อมูล storage, fan layout หรือแม้แต่ motherboard ที่ใช้จริง → อาจทำให้ผู้ใช้สาย dev/AI ที่ต้องการความเสถียรลังเล https://www.techradar.com/pro/this-is-the-weirdest-looking-ai-max-395-mini-pc-that-ive-ever-seen-and-you-can-apparently-hold-it-comfortably-in-the-palm-of-your-hand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในวันที่คนรุ่นใหม่ใช้คริปโตมากกว่าเงินสด และการบินไม่ใช่แค่เรื่องของ “จองผ่านบัตรเครดิต” อีกต่อไป → Emirates เตรียมเปิดรับ “ผู้โดยสารยุค Web3” ผ่านความร่วมมือกับ Crypto.com → โดยให้ใช้บริการ Crypto.com Pay เพื่อจ่ายค่าโดยสารและบริการอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของ Emirates

    Adnan Kazim (รองประธานฝ่ายการพาณิชย์ของ Emirates) บอกว่า → กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าหน้าใหม่ที่มีความถนัดด้านเทคโนโลยี และชอบใช้เงินดิจิทัล” → ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชีย

    บริการนี้จะเริ่มใช้จริง “ในปีหน้า” → โดยรวมเข้ากับแพลตฟอร์มการจอง–การชำระเงินของ Emirates → ช่วยเปิดประตูสู่เศรษฐกิจแบบไร้พรมแดน และเร่งการยอมรับคริปโตในภาคธุรกิจสายการบินเป็นครั้งแรก

    Emirates Airline ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นกับ Crypto.com เพื่อรองรับการจ่ายเงินด้วยคริปโต  
    • ใช้แพลตฟอร์ม “Crypto.com Pay”  
    • ชำระค่าโดยสาร, บริการเสริม, หรือสินค้าในเครือ Emirates ได้

    บริการจะเริ่มใช้จริงในปี 2026  • เป็นครั้งแรกที่สายการบินระดับโลกเปิดให้ใช้ crypto payment แบบเป็นทางการ

    กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าที่ถนัดเทคโนโลยี–ชอบคริปโต–ต้องการการเดินทางที่ไร้พรมแดน”  
    • เน้นตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง, กลุ่มคน Gen Z, นักลงทุนสาย Web3

    Emirates เคยมีบทบาทในนวัตกรรมด้าน loyalty program มาก่อน → จึงไม่แปลกที่เลือกนำคริปโตมาเป็นช่องทางใหม่

    ยังไม่มีรายละเอียดว่าการชำระจะรองรับสกุลใดบ้าง เช่น BTC, ETH, CRO หรือ stablecoin แบบ USDC/USDT  
    • ผู้ใช้ควรติดตามข้อมูลจาก Crypto.com ก่อนใช้งานจริง

    การชำระเงินด้วยคริปโตยังมีความผันผวนสูง → อาจต้องใช้ระบบ lock rate, หรือมี conversion fee ในแต่ละประเทศ

    หากกฎหมายของบางประเทศไม่รองรับ crypto → อาจยังใช้งานไม่ได้ทั่วโลก

    ยังไม่แน่ชัดว่าการคืนเงิน (refund) จะดำเนินการผ่านระบบคริปโตหรือ fiat → ส่งผลต่อ UX ของผู้โดยสาร

    ความร่วมมือยังอยู่ในขั้นต้น → ต้องรอติดตามว่าระบบจะ integrate เข้ากับ Emirates ได้ seamless แค่ไหน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/dubai039s-emirates-signs-preliminary-deal-to-add-crypto-to-payments
    ในวันที่คนรุ่นใหม่ใช้คริปโตมากกว่าเงินสด และการบินไม่ใช่แค่เรื่องของ “จองผ่านบัตรเครดิต” อีกต่อไป → Emirates เตรียมเปิดรับ “ผู้โดยสารยุค Web3” ผ่านความร่วมมือกับ Crypto.com → โดยให้ใช้บริการ Crypto.com Pay เพื่อจ่ายค่าโดยสารและบริการอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของ Emirates Adnan Kazim (รองประธานฝ่ายการพาณิชย์ของ Emirates) บอกว่า → กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าหน้าใหม่ที่มีความถนัดด้านเทคโนโลยี และชอบใช้เงินดิจิทัล” → ซึ่งเป็นกลุ่มที่กำลังเติบโตอย่างมากในตลาดตะวันออกกลาง, ยุโรป และเอเชีย บริการนี้จะเริ่มใช้จริง “ในปีหน้า” → โดยรวมเข้ากับแพลตฟอร์มการจอง–การชำระเงินของ Emirates → ช่วยเปิดประตูสู่เศรษฐกิจแบบไร้พรมแดน และเร่งการยอมรับคริปโตในภาคธุรกิจสายการบินเป็นครั้งแรก ✅ Emirates Airline ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นกับ Crypto.com เพื่อรองรับการจ่ายเงินด้วยคริปโต   • ใช้แพลตฟอร์ม “Crypto.com Pay”   • ชำระค่าโดยสาร, บริการเสริม, หรือสินค้าในเครือ Emirates ได้ ✅ บริการจะเริ่มใช้จริงในปี 2026  • เป็นครั้งแรกที่สายการบินระดับโลกเปิดให้ใช้ crypto payment แบบเป็นทางการ ✅ กลุ่มเป้าหมายคือ “ลูกค้าที่ถนัดเทคโนโลยี–ชอบคริปโต–ต้องการการเดินทางที่ไร้พรมแดน”   • เน้นตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง, กลุ่มคน Gen Z, นักลงทุนสาย Web3 ✅ Emirates เคยมีบทบาทในนวัตกรรมด้าน loyalty program มาก่อน → จึงไม่แปลกที่เลือกนำคริปโตมาเป็นช่องทางใหม่ ‼️ ยังไม่มีรายละเอียดว่าการชำระจะรองรับสกุลใดบ้าง เช่น BTC, ETH, CRO หรือ stablecoin แบบ USDC/USDT   • ผู้ใช้ควรติดตามข้อมูลจาก Crypto.com ก่อนใช้งานจริง ‼️ การชำระเงินด้วยคริปโตยังมีความผันผวนสูง → อาจต้องใช้ระบบ lock rate, หรือมี conversion fee ในแต่ละประเทศ ‼️ หากกฎหมายของบางประเทศไม่รองรับ crypto → อาจยังใช้งานไม่ได้ทั่วโลก ‼️ ยังไม่แน่ชัดว่าการคืนเงิน (refund) จะดำเนินการผ่านระบบคริปโตหรือ fiat → ส่งผลต่อ UX ของผู้โดยสาร ‼️ ความร่วมมือยังอยู่ในขั้นต้น → ต้องรอติดตามว่าระบบจะ integrate เข้ากับ Emirates ได้ seamless แค่ไหน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/dubai039s-emirates-signs-preliminary-deal-to-add-crypto-to-payments
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Dubai's Emirates signs preliminary deal to add crypto to payments
    DUBAI (Reuters) -Emirates has signed a preliminary deal with Crypto.com that will allow its customers to make payments through the crypto trading platform's payment service, the Gulf carrier's parent company said in a statement on Wednesday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อก่อน ถ้าเรียนคอมฯ ก็ต้องเรียนเขียนโค้ด จดจำ syntax จัดการอัลกอริธึม…แต่วันนี้ AI อย่าง Copilot, ChatGPT หรือ Claude ก็ “เขียนให้เราได้หมด” → ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “จำเป็นไหมที่นักศึกษายังต้องเรียนเขียนโค้ดจาก 0?”

    จากรายงานของ TechSpot พบว่า:
    - หลายมหาวิทยาลัย เช่น Carnegie Mellon University (CMU) กำลัง “รีเซ็ต” หลักสูตร
    - เน้น “การคิดเชิงระบบ + ความเข้าใจพื้นฐาน AI” มากกว่าทักษะเชิงเทคนิคล้วน ๆ
    - นักศึกษาเริ่มใช้ AI เป็น “ไม้เท้า” แต่อาจลืมว่า “ยังต้องรู้ว่ากำลังเดินไปไหน”

    บางวิชาก็อนุญาตให้ใช้ AI ได้ตั้งแต่ปีแรก → สุดท้ายพบว่า นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน แล้ว “ไม่เข้าใจโค้ดครึ่งหนึ่งที่ได้มา” → ทำให้หลายคนเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนเขียนโค้ดเอง

    ผลกระทบยังไปไกลถึงตลาดแรงงาน → งานสาย software entry-level ถูกลดลงอย่างชัดเจน (ลด 65% ในรอบ 3 ปี ตามข้อมูลของ CompTIA) → นักศึกษาที่เคยคิดว่า “เรียนคอม = จบแล้วได้เงินเดือนดี” ก็เริ่มวางแผนเรียน minor ด้านอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ความมั่นคงปลอดภัย, ปัญญาสังคม, หรือการเมือง

    มีข้อเสนอว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นเหมือน “วิชาศิลปศาสตร์ยุคใหม่” ที่ต้องผสานทักษะด้านเทคนิค + ความคิดเชิงวิพากษ์ + การสื่อสาร เพื่ออยู่รอดในยุคที่ AI เป็นเพื่อนร่วมงานทุกที่

    หลายมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ปรับหลักสูตรคอมพิวเตอร์ เน้น “AI literacy” และ “computational thinking”  
    • ลดการเน้น syntax ของภาษาโปรแกรม  
    • สนับสนุนวิชาข้ามศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ + ชีววิทยา, คอมฯ + นโยบาย

    Carnegie Mellon University เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง  
    • บางวิชาอนุญาตให้นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน  
    • แต่พบว่า AI ทำให้ “หลงทาง” และไม่เข้าใจโค้ดจริง  
    • ทำให้นักศึกษาหลายคนกลับมาสนใจเรียน code อย่างตั้งใจอีกครั้ง

    NSF จัดโครงการ ‘Level Up AI’ เพื่อร่วมกำหนด “พื้นฐานด้าน AI” สำหรับนักศึกษาสายคอม  
    • ร่วมมือกับสมาคมวิจัย (Computing Research Association) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ  
    • ระยะโครงการ 18 เดือน

    แนวโน้ม: คอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นวิชา “พื้นฐาน” ที่เหมือนศิลปศาสตร์ยุคใหม่  
    • ต้องใช้ทักษะคิดวิเคราะห์–สื่อสาร–เข้าใจสังคมควบคู่กับเทคนิค

    หลายคนใช้ AI ช่วย coding แต่เริ่มระวังไม่ให้ใช้จน “ทื่อ” หรือไม่มีพื้นฐาน

    https://www.techspot.com/news/108574-universities-rethinking-computer-science-curriculum-response-ai-tools.html
    เมื่อก่อน ถ้าเรียนคอมฯ ก็ต้องเรียนเขียนโค้ด จดจำ syntax จัดการอัลกอริธึม…แต่วันนี้ AI อย่าง Copilot, ChatGPT หรือ Claude ก็ “เขียนให้เราได้หมด” → ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “จำเป็นไหมที่นักศึกษายังต้องเรียนเขียนโค้ดจาก 0?” จากรายงานของ TechSpot พบว่า: - หลายมหาวิทยาลัย เช่น Carnegie Mellon University (CMU) กำลัง “รีเซ็ต” หลักสูตร - เน้น “การคิดเชิงระบบ + ความเข้าใจพื้นฐาน AI” มากกว่าทักษะเชิงเทคนิคล้วน ๆ - นักศึกษาเริ่มใช้ AI เป็น “ไม้เท้า” แต่อาจลืมว่า “ยังต้องรู้ว่ากำลังเดินไปไหน” บางวิชาก็อนุญาตให้ใช้ AI ได้ตั้งแต่ปีแรก → สุดท้ายพบว่า นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน แล้ว “ไม่เข้าใจโค้ดครึ่งหนึ่งที่ได้มา” → ทำให้หลายคนเริ่มกลับไปตั้งใจเรียนเขียนโค้ดเอง ผลกระทบยังไปไกลถึงตลาดแรงงาน → งานสาย software entry-level ถูกลดลงอย่างชัดเจน (ลด 65% ในรอบ 3 ปี ตามข้อมูลของ CompTIA) → นักศึกษาที่เคยคิดว่า “เรียนคอม = จบแล้วได้เงินเดือนดี” ก็เริ่มวางแผนเรียน minor ด้านอื่น ๆ เพิ่ม เช่น ความมั่นคงปลอดภัย, ปัญญาสังคม, หรือการเมือง มีข้อเสนอว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นเหมือน “วิชาศิลปศาสตร์ยุคใหม่” ที่ต้องผสานทักษะด้านเทคนิค + ความคิดเชิงวิพากษ์ + การสื่อสาร เพื่ออยู่รอดในยุคที่ AI เป็นเพื่อนร่วมงานทุกที่ ✅ หลายมหาวิทยาลัยสหรัฐฯ ปรับหลักสูตรคอมพิวเตอร์ เน้น “AI literacy” และ “computational thinking”   • ลดการเน้น syntax ของภาษาโปรแกรม   • สนับสนุนวิชาข้ามศาสตร์ เช่น คอมพิวเตอร์ + ชีววิทยา, คอมฯ + นโยบาย ✅ Carnegie Mellon University เป็นหนึ่งในผู้นำการเปลี่ยนแปลง   • บางวิชาอนุญาตให้นักศึกษาใช้ AI ทำการบ้าน   • แต่พบว่า AI ทำให้ “หลงทาง” และไม่เข้าใจโค้ดจริง   • ทำให้นักศึกษาหลายคนกลับมาสนใจเรียน code อย่างตั้งใจอีกครั้ง ✅ NSF จัดโครงการ ‘Level Up AI’ เพื่อร่วมกำหนด “พื้นฐานด้าน AI” สำหรับนักศึกษาสายคอม   • ร่วมมือกับสมาคมวิจัย (Computing Research Association) และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ   • ระยะโครงการ 18 เดือน ✅ แนวโน้ม: คอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นวิชา “พื้นฐาน” ที่เหมือนศิลปศาสตร์ยุคใหม่   • ต้องใช้ทักษะคิดวิเคราะห์–สื่อสาร–เข้าใจสังคมควบคู่กับเทคนิค ✅ หลายคนใช้ AI ช่วย coding แต่เริ่มระวังไม่ให้ใช้จน “ทื่อ” หรือไม่มีพื้นฐาน https://www.techspot.com/news/108574-universities-rethinking-computer-science-curriculum-response-ai-tools.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Universities are rethinking computer science curriculum in response to AI tools
    Generative AI is making its presence felt across academia, but its impact is most pronounced in computer science. The introduction of AI assistants by major tech companies...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • MXene เป็นวัสดุโครงสร้างบางเพียงอะตอมเดียว ที่ถูกขนานนามว่า “วัสดุมหัศจรรย์” → เพราะมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่น นำไฟฟ้า ทนความร้อน ใช้เป็นฉนวนแม่เหล็ก ตัวเก็บพลังงาน และแม้แต่สารหล่อลื่นสำหรับอวกาศ

    แต่ปัญหาหลักคือ วิธีผลิตแบบเดิมต้องใช้กรดไฮโดรฟลูออริก (HF) ที่อันตรายและยากต่อการจัดการ — ทำให้การผลิตในระดับอุตสาหกรรมแทบเกิดขึ้นไม่ได้

    ทีมจาก TU Wien เลยพัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้ไฟฟ้า (electrochemistry) และ สารเคมีที่ปลอดภัยกว่าอย่าง NaBF₄ + HCl → พร้อมปรับกระแสไฟให้เป็นแบบ "พัลส์สั้น" เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาและขจัดชั้นอะลูมิเนียมออกจากโครงสร้าง MAX ได้แม่นยำ → ได้ผลผลิตเป็น “Electrochemical MXene” หรือ EC-MXene โดยไม่ก่อให้เกิดของเสียอันตราย

    ผลที่ได้คือผลิต MXene ได้ สูงถึง 60% ต่อรอบ → คุณภาพดีขึ้น, ไม่มีของเสีย, ทำซ้ำได้, และอาจประยุกต์ใช้ในระบบขนาดเล็กอย่าง “เครื่องครัวในอนาคตก็พิมพ์วัสดุนี้ได้”

    MXene เป็นวัสดุ 2 มิติที่บางระดับอะตอม → มีศักยภาพสูงในด้าน:  
    • แบตเตอรี่–ตัวเก็บพลังงาน  
    • การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI shielding)  
    • ตัวหล่อลื่นระดับนาโนในอุตสาหกรรมและอวกาศ  
    • ตัวตรวจวัดเซนเซอร์

    เทคนิคใหม่ใช้ไฟฟ้า + NaBF₄ + HCl → ไม่ใช้กรด HF ที่เป็นพิษอีกต่อไป

    ใช้พัลส์ไฟฟ้าแบบคาโทดสั้น (cathodic pulsing) เพื่อเร่งการแยกอะลูมิเนียมจากชั้น MAX

    สามารถผลิต EC-MXene ได้สูงถึง 60% โดยไม่มีของเสีย

    ผลการทดสอบผ่านหลายเทคนิค เช่น SEM, EDX, AFM, XRD, XPS ฯลฯ เพื่อยืนยันโครงสร้าง–ความบริสุทธิ์

    ทีมวิจัยหวังให้กระบวนการนี้ “ง่ายพอจะทำในครัวบ้าน” และขยายสู่การผลิตทั่วไปได้ในอนาคต

    https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-can-finally-be-built-safely-with-this-new-method/
    MXene เป็นวัสดุโครงสร้างบางเพียงอะตอมเดียว ที่ถูกขนานนามว่า “วัสดุมหัศจรรย์” → เพราะมีคุณสมบัติพิเศษมากมาย เช่น นำไฟฟ้า ทนความร้อน ใช้เป็นฉนวนแม่เหล็ก ตัวเก็บพลังงาน และแม้แต่สารหล่อลื่นสำหรับอวกาศ แต่ปัญหาหลักคือ วิธีผลิตแบบเดิมต้องใช้กรดไฮโดรฟลูออริก (HF) ที่อันตรายและยากต่อการจัดการ — ทำให้การผลิตในระดับอุตสาหกรรมแทบเกิดขึ้นไม่ได้ ทีมจาก TU Wien เลยพัฒนาเทคนิคใหม่ที่ใช้ไฟฟ้า (electrochemistry) และ สารเคมีที่ปลอดภัยกว่าอย่าง NaBF₄ + HCl → พร้อมปรับกระแสไฟให้เป็นแบบ "พัลส์สั้น" เพื่อช่วยเร่งปฏิกิริยาและขจัดชั้นอะลูมิเนียมออกจากโครงสร้าง MAX ได้แม่นยำ → ได้ผลผลิตเป็น “Electrochemical MXene” หรือ EC-MXene โดยไม่ก่อให้เกิดของเสียอันตราย ผลที่ได้คือผลิต MXene ได้ สูงถึง 60% ต่อรอบ → คุณภาพดีขึ้น, ไม่มีของเสีย, ทำซ้ำได้, และอาจประยุกต์ใช้ในระบบขนาดเล็กอย่าง “เครื่องครัวในอนาคตก็พิมพ์วัสดุนี้ได้” ✅ MXene เป็นวัสดุ 2 มิติที่บางระดับอะตอม → มีศักยภาพสูงในด้าน:   • แบตเตอรี่–ตัวเก็บพลังงาน   • การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI shielding)   • ตัวหล่อลื่นระดับนาโนในอุตสาหกรรมและอวกาศ   • ตัวตรวจวัดเซนเซอร์ ✅ เทคนิคใหม่ใช้ไฟฟ้า + NaBF₄ + HCl → ไม่ใช้กรด HF ที่เป็นพิษอีกต่อไป ✅ ใช้พัลส์ไฟฟ้าแบบคาโทดสั้น (cathodic pulsing) เพื่อเร่งการแยกอะลูมิเนียมจากชั้น MAX ✅ สามารถผลิต EC-MXene ได้สูงถึง 60% โดยไม่มีของเสีย ✅ ผลการทดสอบผ่านหลายเทคนิค เช่น SEM, EDX, AFM, XRD, XPS ฯลฯ เพื่อยืนยันโครงสร้าง–ความบริสุทธิ์ ✅ ทีมวิจัยหวังให้กระบวนการนี้ “ง่ายพอจะทำในครัวบ้าน” และขยายสู่การผลิตทั่วไปได้ในอนาคต https://www.neowin.net/news/the-miracle-material-can-finally-be-built-safely-with-this-new-method/
    WWW.NEOWIN.NET
    The "miracle material" can finally be built safely with this new method
    The "miracle material" is called so because of its nature, and scientists have now found a way to create it safely.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่:

    1. **สหรัฐอเมริกา:**
    * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control)

    2. **จีน:**
    * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย
    * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ

    3. **รัสเซีย:**
    * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ
    * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น

    4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:**
    * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ
    * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS)

    **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม
    2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้
    3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี
    4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
    5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง

    **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:**

    1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ
    2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต
    3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ
    4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):**
    * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน
    * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น
    5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา
    6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ

    **สรุป:**
    สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    ปัจจุบัน **เทคโนโลยีทางทหารที่ร้​ววและแม่นยำ (Rapid and Precise Military Technology)** เป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันประเทศ ประเทศที่ถือว่าเป็นผู้นำในสาขานี้ ได้แก่: 1. **สหรัฐอเมริกา:** * **จุดแข็ง:** ลงทุนมหาศาลใน R&D, นำโด่งด้านอาวุธไฮเปอร์โซนิก (Hypersonic Weapons - เร็วเหนือเสียงมาก), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น THAAD, Aegis), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติในสงคราม, การรบด้วยเครือข่าย (Network-Centric Warfare), โดรนรบ (UCAVs) ขั้นสูง (เช่น MQ-9 Reaper, XQ-58 Valkyrie), และดาวเทียมลาดตระเวนแม่นยำสูง * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การพัฒนาอาวุธพลังงานนำทาง (Directed Energy Weapons) เช่น เลเซอร์, การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการตัดสินใจทางการทหาร (JADC2 - Joint All-Domain Command and Control) 2. **จีน:** * **จุดแข็ง:** พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเน้นการทุ่มงบประมาณและขโมยเทคโนโลยี, นำโด่งในด้านขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลาง (SRBMs/MRBMs) ที่แม่นยำ, อาวุธไฮเปอร์โซนิก (เช่น DF-ZF), ระบบต่อต้านดาวเทียม (ASAT) และต่อต้านขีปนาวุธ, โดรนรบจำนวนมากและก้าวหน้า (เช่น Wing Loong, CH-series), และกำลังพัฒนากองเรือทะเลหลวงที่ทันสมัย * **ความก้าวหน้าล่าสุด:** การทดสอบอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่สร้างความประหลาดใจให้วงการ, การขยายขีดความสามารถทางไซเบอร์และอวกาศ 3. **รัสเซีย:** * **จุดแข็ง:** แม้เศรษฐกิจมีข้อจำกัด แต่ยังคงเน้นการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เพื่อรักษาความสมดุล, มีอาวุธไฮเปอร์โซนิกที่ประจำการแล้ว (เช่น Kinzhal, Avangard), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (เช่น S-400, S-500), ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) ที่ทรงพลัง, และขีปนาวุธพิสัยใกล้-กลางแม่นยำ * **สถานะปัจจุบัน:** การรุกรานยูเครนส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการผลิตและอาจชะลอการพัฒนาบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นการใช้ขีปนาวุธแม่นยำ (และความท้าทายของมัน) รวมถึงสงครามอิเล็กทรอนิกส์อย่างเข้มข้น 4. **ประเทศอื่นๆ ที่มีความก้าวหน้า:** * **อิสราเอล:** เป็นสุดยอดด้านเทคโนโลยีโดรน (UAVs/UCAVs), ระบบป้องกันขีปนาวุธ (Iron Dome, David's Sling, Arrow), สงครามไซเบอร์, ระบบ C4ISR (Command, Control, Communications, Computers, Intelligence, Surveillance, and Reconnaissance) และเทคโนโลยีภาคพื้นดินแม่นยำ * **สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, เยอรมนี (และสหภาพยุโรป):** มีความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะระบบอากาศยาน (รบกริปเพน, ราฟาเอล), เรือดำน้ำ, ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ร่วมกับ NATO), เทคโนโลยีไซเบอร์ และกำลังร่วมมือกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น ระบบอากาศยานรุ่นต่อไป (FCAS), รถถังหลักใหม่ (MGCS) **ผลดีของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันประเทศ:** ป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงทีและแม่นยำกว่าเดิม 2. **ลดความเสียหายพลเรือน (ในทางทฤษฎี):** ความแม่นยำสูง *ควรจะ* ลดการโจมตีพลาดเป้าและความสูญเสียของพลเรือนได้ 3. **เพิ่มขีดความสามารถในการป้องปราม:** การมีอาวุธที่รวดเร็ว แม่นยำ และยากต่อการสกัดกั้น (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) ทำให้ศัตรูต้องคิดหนักก่อนจะโจมตี 4. **เพิ่มประสิทธิภาพในการรบ:** ระบบ C4ISR และเครือข่ายการรบช่วยให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ 5. **ลดความสูญเสียของทหาร:** การใช้โดรนหรือระบบอัตโนมัติสามารถลดการส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อันตรายโดยตรง **ผลเสียและความท้าทายของเทคโนโลยีทางทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ:** 1. **ความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางการ bewaffnung (Arms Race):** ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งเร่งพัฒนาตาม นำไปสู่การแข่งขันที่สิ้นเปลืองและเพิ่มความตึงเครียดระหว่างประเทศ 2. **ความท้าทายด้านเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Stability):** อาวุธที่รวดเร็วมาก (เช่น ไฮเปอร์โซนิก) และระบบป้องกันขีปนาวุธ อาจลดเวลาในการตัดสินใจตอบโต้ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีครั้งแรก (First Strike) ในช่วงวิกฤต 3. **ความซับซ้อนของสงครามไซเบอร์และอวกาศ:** เทคโนโลยีทหารสมัยใหม่พึ่งพาระบบดิจิทัล ดาวเทียม และเครือข่ายการสื่อสาร ซึ่งเปราะบางต่อการโจมตีทางไซเบอร์และการทำสงครามในอวกาศ 4. **ความท้าทายด้านจริยธรรมและกฎหมาย (โดยเฉพาะระบบอัตโนมัติ):** * **อาวุธอัตโนมัติร้ายแรง (Lethal Autonomous Weapons Systems - LAWS):** การที่เครื่องจักรตัดสินใจใช้กำลังร้ายแรงโดยมนุษย์ควบคุมน้อยเกินไป ก่อให้เกิดคำถามจริยธรรมใหญ่หลวงเรื่องความรับผิดชอบ การควบคุม และการปกป้องพลเรือน * **การลดอุปสรรคในการใช้กำลัง:** ความแม่นยำและความ "สะอาด" (ในทางทฤษฎี) ของอาวุธอาจทำให้ผู้นำทางการเมืองตัดสินใจใช้กำลังทางทหารได้ง่ายขึ้น 5. **ค่าใช้จ่ายมหาศาล:** การวิจัย พัฒนา และจัดหาอาวุธเทคโนโลยีสูงเหล่านี้ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ซึ่งอาจเบียดบังงบประมาณสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา 6. **ความเสี่ยงต่อการแพร่กระจาย:** เทคโนโลยีบางส่วนอาจรั่วไหลหรือถูกถ่ายทอดไปยังรัฐหรือกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาคต่างๆ **สรุป:** สหรัฐฯ จีน และรัสเซีย เป็นผู้นำหลักในเทคโนโลยีการทหารที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอิสราเอลและชาติยุโรปชั้นนำเป็นผู้เล่นสำคัญในด้านเฉพาะทาง แม้เทคโนโลยีเหล่านี้จะเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันประเทศ ป้องปราม และ *มีศักยภาพ* ในการลดความเสียหายพลเรือนได้อย่างมาก แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความเสี่ยงครั้งใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กัน ทั้งในด้านการแข่งขัน bewaffnung เสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ จริยธรรม (โดยเฉพาะเรื่องอาวุธอัตโนมัติ) และงบประมาณ การบริหารจัดการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทหารควบคู่ไปกับการทูตและการควบคุม bewaffnung จึงมีความสำคัญยิ่งต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 329 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Your” vs. “You’re”: How To Choose The Right Word

    Did you know English is frequently cited as a very hard language to learn? Hmm, we wonder why?

    Well, its difficulty explains the mistakes we all make when speaking. But writing in English has its own unique set of challenges. One of the most common mistakes is telling you’re and your apart.

    They look similar, right? Even if they sound the same and look like fraternal twins, they serve two distinct and different purposes.

    When to use you’re

    Let’s take a look at you’re first.

    You’re is a contraction of the phrase you are. Easy enough to remember. Here’s how it looks in a few sentences:

    • You’re my best friend!
    • I think you’re the perfect match for the job.
    • Make sure you’re healthy.

    Any of these sentences would read the exact same way if you are replaced you’re.

    When to use your

    Your is a possessive adjective used to show ownership. It is not a contraction. Your is usually followed by a noun (including gerunds).

    Take these sentences, for example:

    • Your hair looks great today!
    • I wish I had your energy.
    • Has all your running around made you tired?

    If you added you are in the place of your in these sentences, they would not make sense.

    Why isn’t there an apostrophe for the possessive your?

    A big reason why people get these confused is the association of apostrophes with possession, such as:

    • That is George’s dog.
    • Susan’s cake won the baking competition.

    And that makes it easy to forget the differences between your and you’re when in the thick of writing. But don’t fret, there are ways to remember whether you need your or you’re.

    Tips

    Your first line of defense is to stop the mistake before it reaches the page. Identify which of the words has the apostrophe.

    Step 2: reread your writing and say “you are” instead of using the contraction. This editing tip will snuff out most misuse of the two words.

    Let’s test your new skills. Can you identify if your and you’re are used correctly in these sentences?

    • Your so talented at playing you’re piano.
    • It’s important you express your emotions.
    • Washing your clothes is necessary.

    Both your and you’re are incorrectly used in the first sentence; they should be switched. It should look like this instead: You’re so talented at playing your piano. In the second sentence, your is the correct word to use. The third sentence is correct. How did you do?

    Thankfully, once you understand the key differences, the correct use of these terms should be the least of your worries. You can move on to other more challenging and frequently mixed-up pairs, like affect vs. effect, complement vs. compliment, or even infamous vs. notorious!

    In no time, you’ll have conquered the English language.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Your” vs. “You’re”: How To Choose The Right Word Did you know English is frequently cited as a very hard language to learn? Hmm, we wonder why? Well, its difficulty explains the mistakes we all make when speaking. But writing in English has its own unique set of challenges. One of the most common mistakes is telling you’re and your apart. They look similar, right? Even if they sound the same and look like fraternal twins, they serve two distinct and different purposes. When to use you’re Let’s take a look at you’re first. You’re is a contraction of the phrase you are. Easy enough to remember. Here’s how it looks in a few sentences: • You’re my best friend! • I think you’re the perfect match for the job. • Make sure you’re healthy. Any of these sentences would read the exact same way if you are replaced you’re. When to use your Your is a possessive adjective used to show ownership. It is not a contraction. Your is usually followed by a noun (including gerunds). Take these sentences, for example: • Your hair looks great today! • I wish I had your energy. • Has all your running around made you tired? If you added you are in the place of your in these sentences, they would not make sense. Why isn’t there an apostrophe for the possessive your? A big reason why people get these confused is the association of apostrophes with possession, such as: • That is George’s dog. • Susan’s cake won the baking competition. And that makes it easy to forget the differences between your and you’re when in the thick of writing. But don’t fret, there are ways to remember whether you need your or you’re. Tips Your first line of defense is to stop the mistake before it reaches the page. Identify which of the words has the apostrophe. Step 2: reread your writing and say “you are” instead of using the contraction. This editing tip will snuff out most misuse of the two words. Let’s test your new skills. Can you identify if your and you’re are used correctly in these sentences? • Your so talented at playing you’re piano. • It’s important you express your emotions. • Washing your clothes is necessary. Both your and you’re are incorrectly used in the first sentence; they should be switched. It should look like this instead: You’re so talented at playing your piano. In the second sentence, your is the correct word to use. The third sentence is correct. How did you do? Thankfully, once you understand the key differences, the correct use of these terms should be the least of your worries. You can move on to other more challenging and frequently mixed-up pairs, like affect vs. effect, complement vs. compliment, or even infamous vs. notorious! In no time, you’ll have conquered the English language. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพลงดี บรรยากาศใช่ สุขภาพก็ต้องดีด้วย!
    ที่บูธ โปรไวต้า ในงาน BOYdPOD Our Songs Together Concert
    เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และกิจกรรมสนุก ๆ
    แถมได้ดื่มเครื่องดื่มโพรไบโอติก สดชื่น สุขภาพดีไปพร้อมกัน

    #โปรไวต้า #BOYdPODConcert #สุขภาพดีระหว่างอินกับเพลง
    #TPIHealthcare #เครื่องดื่มโพรไบโอติก #ดื่มทุกวันดีทุกวัน
    🎶 เพลงดี บรรยากาศใช่ สุขภาพก็ต้องดีด้วย! ที่บูธ โปรไวต้า ในงาน BOYdPOD Our Songs Together Concert เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และกิจกรรมสนุก ๆ แถมได้ดื่มเครื่องดื่มโพรไบโอติก สดชื่น สุขภาพดีไปพร้อมกัน 🍊✨ #โปรไวต้า #BOYdPODConcert #สุขภาพดีระหว่างอินกับเพลง #TPIHealthcare #เครื่องดื่มโพรไบโอติก #ดื่มทุกวันดีทุกวัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Good morning sweetheart.
    Good morning sweetheart.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 78 มุมมอง 0 รีวิว
  • TerraMar เกาะ Epstein การค้ามนุษย์เด็ก การกินเนื้อคน และเพชร

    อย่าลืมเหตุผลที่เราเริ่มต้น
    มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กเสมอมา และยังคงเกี่ยวกับเด็ก

    อาชญากรรมต่อเด็กของเรา

    การทหารเป็นหนทางเดียว

    ไม่มีข้อตกลง

    เราทุกคนมีความรับผิดชอบในการปกป้องเด็กทั่วโลก

    #SpecialQForces
    #EXPOSEthePEDOSendoftheCABAL

    NCSWIC 🕊

    https://rumble.com/v2powy6-terramar-epstein-island-they-eat-our-children-and-after-melt-child-down-int.html

    https://www.memetrunk.com/save-the-children/post/terramar-epstien-island-child-trafficking-cannibalism-and-diamonds-BH7nuB6ANqHaDH4
    TerraMar เกาะ Epstein การค้ามนุษย์เด็ก การกินเนื้อคน และเพชร อย่าลืมเหตุผลที่เราเริ่มต้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กเสมอมา และยังคงเกี่ยวกับเด็ก อาชญากรรมต่อเด็กของเรา การทหารเป็นหนทางเดียว ไม่มีข้อตกลง เราทุกคนมีความรับผิดชอบในการปกป้องเด็กทั่วโลก #SpecialQForces #EXPOSEthePEDOSendoftheCABAL NCSWIC 💞🌹🕊🌍💫 https://rumble.com/v2powy6-terramar-epstein-island-they-eat-our-children-and-after-melt-child-down-int.html https://www.memetrunk.com/save-the-children/post/terramar-epstien-island-child-trafficking-cannibalism-and-diamonds-BH7nuB6ANqHaDH4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    2 นายพล หน่วยอารักขา “ฮุน เซน” ถูกศาลฝรั่งเศสฟ้อง ฐานอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กลางกรุงพนมเปญ12 มีนาคม 2568ศาลฝรั่งเศสเปิดคดี “ฆ่าหมู่ 1997” กลางกรุงพนมเปญ — 2 นายพลเขมร อดีตบอดี้การ์ดของ “ฮุน เซน” ถูกไต่สวน!ฆ่าหมู่กลางกรุงพนมเปญ 1997 — ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!30 มีนาคม 1997 — ผู้ประท้วงรวมตัวที่สวนสาธารณะฝั่งตรงข้ามรัฐสภากัมพูชา เพื่อเรียกร้องให้ยุติ “ตุลาการใต้ตีน” ของระบอบฮุน เซนจู่ ๆ เกิดระเบิดหลายลูกปะทุใส่ฝูงชนเสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 150 ราย — เลือดสาดทั่วสวนพยานหลายคนเล่าว่า “มือระเบิดวิ่งเข้าไปหาหน่วยอารักขาฮุน เซน” ที่ใส่ชุดปราบจลาจลครบมือ — แต่กลับปล่อยให้พวกเขาหลบหนี!รอน แอบนีย์ พลเมืองสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้บาดเจ็บสาหัส ทำให้ FBI ส่งทีมสอบสวนทันทีรายงาน FBI ถูกเปิดเผยในปี 2009แต่…ไม่มีใครถูกจับแม้แต่คนเดียว!จนกระทั่งปี 2021 ศาลฝรั่งเศสออกหมายจับ:• ฮิง บุน เหียง — รองผู้บัญชาการกองทัพ และหัวหน้าหน่วยอารักขาครอบครัวฮุน เซน• ฮุย พิเซธ — รัฐมนตรีช่วยกลาโหม และรองหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ฮุน มาเนต” ลูกชายฮุน เซนคดีนี้เริ่มจากคำร้องของ “แซม เรนซี” และภรรยาในฝรั่งเศสศาลฝรั่งเศสเคยออกหมายเรียกตัว “ฮุน เซน” ด้วยแต่รัฐบาลฝรั่งเศสกลับบล็อก โดยอ้างว่า “ผู้นำรัฐบาลมีเอกสิทธิ์คุ้มกันตามกฎหมาย”Brad Adams อดีตเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนแห่ง UN เล่าว่า“ผมไปถึงสวนหลังเหตุระเบิดแค่ 10 นาที…ศพเกลื่อนพื้นทหารยังขัดขวางไม่ให้ช่วยคนเจ็บตำรวจมาถึงทีหลังก็ยืนดูเฉย ๆ…สุดท้าย คนธรรมดานั่นแหละที่ช่วยกันหามคนเจ็บ”ฮิง บุน เหียง ยืนยันกับ RFA ว่า “จะไม่ไปศาล และไม่ส่งทนาย”พร้อมท้าทายว่า: “ไม่มีรูปผมโยนระเบิด แล้วคุณจะจับผมได้ยังไง?”ปี 2018 สหรัฐฯ คว่ำบาตร “ฮิง บุน เหียง” จากเหตุการณ์นี้ รวมถึงอีกหลายคดีทำร้ายประชาชนมือเปล่าขณะที่ฮุย พิเซธ ยอมรับกับ FBI ว่าเขาคือคนสั่งส่งกำลังทหารจากกองพลที่ 70 มาล้อมสวนในวันเกิดเหตุ⸻ฆ่าหมู่ต่อหน้าประชาชน — แต่ไม่มีใครต้องรับผิดรัฐบาลฮุน เซนไม่เคยสอบสวนใคร — มีแต่ปิดปากแต่โลกไม่ลืม — และความจริงจะไม่ตาย#CSI_LA #ฆ่าหมู่1997 #ฝรั่งเศสลากขึ้นศาล #ฮุนเซน #หน่วยฆ่าประชาชน #CambodiaMassacre #GrenadeAttack2 Generals from Hun Sen’s Bodyguard Unit Indicted by French Court for Role in Phnom Penh MassacreMarch 12, 2025A French court has officially opened a case over the 1997 Phnom Penh massacre — putting two Cambodian generals, both former bodyguards of Hun Sen, on trial in absentia.Phnom Penh Massacre, 1997 — Not a Single Person Has Ever Been ArrestedMarch 30, 1997 — Protesters gathered at a park across from the Cambodian National Assembly to denounce Hun Sen’s authoritarian judiciary.Suddenly, several grenades were hurled into the crowd.At least 16 people were killed and more than 150 were injured — blood stained the ground.Eyewitnesses say the grenade-throwers ran toward Hun Sen’s fully equipped bodyguards, who allowed them to escape without pursuit.Ron Abney, a U.S. citizen, was among those seriously injured — prompting the FBI to send investigators to Cambodia.The FBI report was declassified in 2009.But no one was ever arrested.It wasn’t until 2021 that France issued arrest warrants for:• Hing Bun Hieng — Now Deputy Commander-in-Chief of the Armed Forces and head of Hun Sen’s family bodyguard unit• Huy Piseth — Secretary of State at the Ministry of Defense and Deputy Chief of Staff to Hun Manet, Hun Sen’s son→ The case was launched after a legal complaint by Sam Rainsy and his wife, both living in exile in France.The French court initially summoned Hun Sen himself — but the French government blocked the warrant, citing diplomatic immunity laws protecting heads of government.Brad Adams, a former U.N. human rights officer, recalled:“I arrived at the park about 10 minutes after the blast — bodies were everywhere.Soldiers interfered with rescue efforts.Police arrived later but just stood around.It was civilians who carried the injured to safety.”Hing Bun Hieng told RFA he will not appear in court or send a lawyer, saying:“Sam Rainsy has accused me for over 30 years with no real evidence.Are there any photos of me ordering the grenade attack?”In 2018, the U.S. government sanctioned Hing Bun Hieng over this attack and other incidents involving violence against unarmed civilians.Meanwhile, Huy Piseth admitted to the FBI that he had ordered the 70th Brigade to be deployed to the park on the day of the attack.⸻A massacre in broad daylight — and no one has been held accountable.The Hun Sen regime never investigated — only silenced.But the world has not forgotten — and the truth will not die.#CSI_LA #PhnomPenhMassacre1997 #FranceOpensTrial #HunSen #Impunity #Cambodia #GrenadeAttack #JusticeDelayed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 462 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อก่อนระบบป้องกันไซเบอร์มักเน้นพวก firewall, antivirus, การตั้งรหัสผ่านให้แข็งแรง — แต่ตอนนี้พวกนั้นไม่พอแล้ว เพราะคนร้ายไม่แฮ็กเข้ามาเหมือนเดิม แต่ “ล็อกอินเหมือนเป็นพนักงานจริง!”

    บริษัทวิจัยอย่าง CrowdStrike เผยว่า เวลาที่คนร้ายใช้แพร่กระจายตัวภายในองค์กร (breakout time) เร็วสุดอยู่ที่แค่ “51 วินาที” เท่านั้น! ซึ่งเร็วเกินกว่าที่ระบบแจ้งเตือนหรือทีมจะวิเคราะห์ได้ทัน

    อีกทั้งตอนนี้ยังมีภัยแบบใหม่ ๆ เช่น:
    - AI ใช้เรียนรู้พฤติกรรมพนักงาน แล้วเลียนแบบมาขอสิทธิ์เข้าระบบ
    - ผู้ไม่ประสงค์ดีเจาะจุดอ่อนคลาวด์ที่ไม่มีระบบแบ่งสิทธิ์ชัดเจน
    - ระบบตรวจสอบแบบ “รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแจ้ง” ไม่ทันอีกต่อไป

    ทีมความปลอดภัยยุคใหม่ต้องใช้เทคนิคพวก anomaly detection — ตรวจจับ “พฤติกรรมแปลก” ที่ไม่ตรงกับโปรไฟล์ปกติ เช่น

    ทำไมคนแผนกบัญชีถึงเข้าระบบของ DevOps? ทำไมระบบจากออฟฟิศ A ถึงยิงคำสั่งไปเครื่องในออฟฟิศ B?

    ไม่ใช่แค่นั้นครับ — แม้จะจับได้แล้ว การจัดการผู้บุกรุกก็ยังยาก เพราะถ้า “ตัดเร็วเกิน” ระบบธุรกิจอาจล่ม ถ้าช้าไป ข้อมูลอาจหลุดออกไปหมด → นักวิจัยจึงแนะนำให้เตรียม “แผน containment แบบผ่าตัดจุด” ที่แยกบาง subnet ได้ ไม่ต้องสั่งล่มทั้งเครือข่าย

    สุดท้ายคือ “การวิเคราะห์หลังเหตุการณ์” ต้องละเอียดมากขึ้น — โดยเฉพาะถ้าใช้ SIEM แบบใหม่ที่เก็บ log ได้เพียงพอ และดูไทม์ไลน์ทุกจุดที่ผู้บุกรุกแตะ

    https://www.csoonline.com/article/4009236/cisos-must-rethink-defense-playbooks-as-cybercriminals-move-faster-smarter.html
    เมื่อก่อนระบบป้องกันไซเบอร์มักเน้นพวก firewall, antivirus, การตั้งรหัสผ่านให้แข็งแรง — แต่ตอนนี้พวกนั้นไม่พอแล้ว เพราะคนร้ายไม่แฮ็กเข้ามาเหมือนเดิม แต่ “ล็อกอินเหมือนเป็นพนักงานจริง!” บริษัทวิจัยอย่าง CrowdStrike เผยว่า เวลาที่คนร้ายใช้แพร่กระจายตัวภายในองค์กร (breakout time) เร็วสุดอยู่ที่แค่ “51 วินาที” เท่านั้น! ซึ่งเร็วเกินกว่าที่ระบบแจ้งเตือนหรือทีมจะวิเคราะห์ได้ทัน อีกทั้งตอนนี้ยังมีภัยแบบใหม่ ๆ เช่น: - AI ใช้เรียนรู้พฤติกรรมพนักงาน แล้วเลียนแบบมาขอสิทธิ์เข้าระบบ - ผู้ไม่ประสงค์ดีเจาะจุดอ่อนคลาวด์ที่ไม่มีระบบแบ่งสิทธิ์ชัดเจน - ระบบตรวจสอบแบบ “รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแจ้ง” ไม่ทันอีกต่อไป ทีมความปลอดภัยยุคใหม่ต้องใช้เทคนิคพวก anomaly detection — ตรวจจับ “พฤติกรรมแปลก” ที่ไม่ตรงกับโปรไฟล์ปกติ เช่น ทำไมคนแผนกบัญชีถึงเข้าระบบของ DevOps? ทำไมระบบจากออฟฟิศ A ถึงยิงคำสั่งไปเครื่องในออฟฟิศ B? ไม่ใช่แค่นั้นครับ — แม้จะจับได้แล้ว การจัดการผู้บุกรุกก็ยังยาก เพราะถ้า “ตัดเร็วเกิน” ระบบธุรกิจอาจล่ม ถ้าช้าไป ข้อมูลอาจหลุดออกไปหมด → นักวิจัยจึงแนะนำให้เตรียม “แผน containment แบบผ่าตัดจุด” ที่แยกบาง subnet ได้ ไม่ต้องสั่งล่มทั้งเครือข่าย สุดท้ายคือ “การวิเคราะห์หลังเหตุการณ์” ต้องละเอียดมากขึ้น — โดยเฉพาะถ้าใช้ SIEM แบบใหม่ที่เก็บ log ได้เพียงพอ และดูไทม์ไลน์ทุกจุดที่ผู้บุกรุกแตะ https://www.csoonline.com/article/4009236/cisos-must-rethink-defense-playbooks-as-cybercriminals-move-faster-smarter.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs must rethink defense playbooks as cybercriminals move faster, smarter
    Facing faster, stealthier intruders, CISOs are under pressure to modernize their cybersecurity strategies, toolsets, and tactics. From detection to post-mortem, here are key points of renewed emphasis.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hello, would you like to have breakfast together?
    Hello, would you like to have breakfast together?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดยทั่วไปแล้ว การสกัดทองจากแร่หรือแผงวงจร (PCB) ต้องพึ่งสารเคมีสุดอันตรายอย่าง “ไซยาไนด์” หรือ “ปรอท” ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อม แถมยังเกิดมลพิษข้ามพรมแดนในหลายประเทศ

    ทีมวิจัยจาก Flinders คิดต่าง — พวกเขาใช้สาร TCCA (Trichloroisocyanuric acid) ซึ่งโดยปกติใช้ในงานฆ่าเชื้อหรือบำบัดน้ำ มาทำหน้าที่ละลายทองคำออกจากแหล่งขยะอิเล็กทรอนิกส์

    แล้วจับทองด้วย “โพลิเมอร์กำมะถันชนิดใหม่” ที่จะจับเฉพาะทอง (ไม่จับโลหะอื่น) พอจับเสร็จ ก็เอาไปเผาหรือแยกเคมีเพื่อคืนทองที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 99%!

    ไฮไลต์อยู่ตรงนี้:
    - โพลิเมอร์นี้ รีไซเคิลได้ ใช้ซ้ำได้หลายรอบ
    - ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเยอะ
    - ไม่มีของเสียพิษเหมือนระบบเดิม
    - เหมาะกับทั้ง “งานเหมืองใหม่” และ “รีไซเคิลทองจากขยะ”

    ใช้ TCCA แทนไซยาไนด์ในการสกัดทอง  
    • TCCA เป็นสารปลอดภัย ราคาถูก ใช้ในน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป  
    • ละลายทองออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ใช้โพลิเมอร์กำมะถันชนิดพิเศษจับทองจากสารละลาย  
    • โพลิเมอร์นี้จับเฉพาะทอง — ไม่จับโลหะอื่น ๆ ที่ละลายมาด้วย  
    • สามารถทำให้ได้ทองความบริสุทธิ์สูง >99%

    โพลิเมอร์สามารถรีไซเคิลได้หลายรอบ  
    • ลดต้นทุน ไม่ต้องใช้สารใหม่ทุกครั้ง
    • ลดการใช้ทรัพยากรและของเสีย

    กระบวนการใช้ไฟฟ้าน้อยและไม่มีการปล่อยปรอท/ไซยาไนด์  
    • ปลอดภัยทั้งต่อคนทำและสิ่งแวดล้อม  
    • เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนา, ชุมชนขุดทองแบบ artisanal mining

    ทีมวิจัยนำโดย Dr. Max Mann, Dr. Thomas Nicholls, Dr. Harshal Patel และ Dr. Lynn Lisboa  
    • ทดสอบด้วยขยะอิเล็กทรอนิกส์จริงและของเสียจากห้องแล็บ  
    • ได้ผลลัพธ์เป็นทองบริสุทธิ์จาก “ภูเขาขยะ”

    ทองยังเป็นโลหะที่โลกต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ  
    • ในวงการอิเล็กทรอนิกส์, ชิป, การแพทย์ และ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/safer-faster-and-cheaper-way-to-extract-gold-at-99-percent-purity-from-electronic-waste-detailed-method-uses-a-sanitizing-reagent-and-a-novel-polymer-to-recover-gold-from-pcbs
    โดยทั่วไปแล้ว การสกัดทองจากแร่หรือแผงวงจร (PCB) ต้องพึ่งสารเคมีสุดอันตรายอย่าง “ไซยาไนด์” หรือ “ปรอท” ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งคนและสิ่งแวดล้อม แถมยังเกิดมลพิษข้ามพรมแดนในหลายประเทศ ทีมวิจัยจาก Flinders คิดต่าง — พวกเขาใช้สาร TCCA (Trichloroisocyanuric acid) ซึ่งโดยปกติใช้ในงานฆ่าเชื้อหรือบำบัดน้ำ มาทำหน้าที่ละลายทองคำออกจากแหล่งขยะอิเล็กทรอนิกส์ แล้วจับทองด้วย “โพลิเมอร์กำมะถันชนิดใหม่” ที่จะจับเฉพาะทอง (ไม่จับโลหะอื่น) พอจับเสร็จ ก็เอาไปเผาหรือแยกเคมีเพื่อคืนทองที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 99%! ไฮไลต์อยู่ตรงนี้: - โพลิเมอร์นี้ รีไซเคิลได้ ใช้ซ้ำได้หลายรอบ - ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าเยอะ - ไม่มีของเสียพิษเหมือนระบบเดิม - เหมาะกับทั้ง “งานเหมืองใหม่” และ “รีไซเคิลทองจากขยะ” ✅ ใช้ TCCA แทนไซยาไนด์ในการสกัดทอง   • TCCA เป็นสารปลอดภัย ราคาถูก ใช้ในน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไป   • ละลายทองออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ใช้โพลิเมอร์กำมะถันชนิดพิเศษจับทองจากสารละลาย   • โพลิเมอร์นี้จับเฉพาะทอง — ไม่จับโลหะอื่น ๆ ที่ละลายมาด้วย   • สามารถทำให้ได้ทองความบริสุทธิ์สูง >99% ✅ โพลิเมอร์สามารถรีไซเคิลได้หลายรอบ   • ลดต้นทุน ไม่ต้องใช้สารใหม่ทุกครั้ง • ลดการใช้ทรัพยากรและของเสีย ✅ กระบวนการใช้ไฟฟ้าน้อยและไม่มีการปล่อยปรอท/ไซยาไนด์   • ปลอดภัยทั้งต่อคนทำและสิ่งแวดล้อม   • เหมาะกับประเทศกำลังพัฒนา, ชุมชนขุดทองแบบ artisanal mining ✅ ทีมวิจัยนำโดย Dr. Max Mann, Dr. Thomas Nicholls, Dr. Harshal Patel และ Dr. Lynn Lisboa   • ทดสอบด้วยขยะอิเล็กทรอนิกส์จริงและของเสียจากห้องแล็บ   • ได้ผลลัพธ์เป็นทองบริสุทธิ์จาก “ภูเขาขยะ” ✅ ทองยังเป็นโลหะที่โลกต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ   • ในวงการอิเล็กทรอนิกส์, ชิป, การแพทย์ และ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/safer-faster-and-cheaper-way-to-extract-gold-at-99-percent-purity-from-electronic-waste-detailed-method-uses-a-sanitizing-reagent-and-a-novel-polymer-to-recover-gold-from-pcbs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • แทนที่หมอจะต้องผ่าตัดเปิดหน้าอกแบบเดิม ๆ โดยการเลื่อยกระดูกหน้าอกออก ทีมศัลยแพทย์ของ Baylor ใช้ “หุ่นยนต์ศัลยกรรมขั้นสูง” ควบคุมจากคอนโซลภายนอก เพื่อสั่งให้แขนหุ่นยนต์ขนาดเล็กเข้าไปเจาะจงที่จุดต่าง ๆ รอบช่องอก โดย ไม่ต้องแตะกระดูกหน้าอกแม้แต่นิดเดียว

    ข้อดีคือ:
    - ผู้ป่วยเจ็บน้อยกว่า
    - เสียเลือดน้อยกว่า
    - แผลหายเร็วกว่า และที่สำคัญคือ
    - ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของผู้ป่วยเปลี่ยนหัวใจที่ต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน

    หมอที่นำทีมชื่อว่า ดร. Kenneth Liao ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกด้านผ่าตัดหัวใจด้วยหุ่นยนต์มานาน กล่าวว่าความแม่นยำและการเคลื่อนไหวของแขนหุ่นยนต์ "สามารถทำสิ่งที่มือมนุษย์ทำไม่ได้ในพื้นที่จำกัด"

    ในการผ่าตัด เข้าทางช่อง preperitoneal space (ช่องว่างใต้อก) แล้วค่อย ๆ ดึงหัวใจเดิมออกและใส่หัวใจใหม่เข้าไปอย่างแม่นยำ — ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเปิดอกเลย

    ผู้ป่วยเป็นชายวัย 45 ปีที่เป็นโรคหัวใจระยะสุดท้าย เขาฟื้นตัวเร็วมาก ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลแค่เดือนเดียว และกลับบ้านได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

    เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแบบใช้หุ่นยนต์เต็มรูปแบบ (fully robotic) ครั้งแรกของสหรัฐฯ  
    • ดำเนินการโดย Baylor St. Luke’s Medical Center, Houston  
    • ใช้หุ่นยนต์ควบคุมจากคอนโซลผ่านแผลเล็ก แทนการเปิดอก

    คนไข้เป็นชายวัย 45 ปีที่ป่วยด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวระยะรุนแรง  
    • นอนโรงพยาบาลมาหลายเดือนก่อนทำการผ่าตัด  
    • ฟื้นตัวเร็วหลังผ่าตัด โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

    หุ่นยนต์ศัลยกรรมสามารถเคลื่อนไหวในมุมที่มือคนทำไม่ได้  
    • ช่วยผ่าตัดในพื้นที่แคบได้อย่างแม่นยำ  
    • ลดอาการปวด, ลดเลือดออก, ลดการต้องใช้เลือดสำรอง

    การผ่าตัดผ่านช่อง preperitoneal space ช่วยหลีกเลี่ยงการตัดกระดูกหน้าอก  
    • ลดผลกระทบด้านโครงสร้างร่างกายและการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด

    โรงพยาบาลคาดว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูเร็วขึ้น  
    • มีแผนขยายการใช้หุ่นยนต์ในศัลยกรรมหัวใจอย่างแพร่หลาย

    https://www.techspot.com/news/108477-us-surgeons-complete-first-ever-heart-transplant-using.html
    แทนที่หมอจะต้องผ่าตัดเปิดหน้าอกแบบเดิม ๆ โดยการเลื่อยกระดูกหน้าอกออก ทีมศัลยแพทย์ของ Baylor ใช้ “หุ่นยนต์ศัลยกรรมขั้นสูง” ควบคุมจากคอนโซลภายนอก เพื่อสั่งให้แขนหุ่นยนต์ขนาดเล็กเข้าไปเจาะจงที่จุดต่าง ๆ รอบช่องอก โดย ไม่ต้องแตะกระดูกหน้าอกแม้แต่นิดเดียว ข้อดีคือ: - ผู้ป่วยเจ็บน้อยกว่า - เสียเลือดน้อยกว่า - แผลหายเร็วกว่า และที่สำคัญคือ - ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากของผู้ป่วยเปลี่ยนหัวใจที่ต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน หมอที่นำทีมชื่อว่า ดร. Kenneth Liao ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกด้านผ่าตัดหัวใจด้วยหุ่นยนต์มานาน กล่าวว่าความแม่นยำและการเคลื่อนไหวของแขนหุ่นยนต์ "สามารถทำสิ่งที่มือมนุษย์ทำไม่ได้ในพื้นที่จำกัด" ในการผ่าตัด เข้าทางช่อง preperitoneal space (ช่องว่างใต้อก) แล้วค่อย ๆ ดึงหัวใจเดิมออกและใส่หัวใจใหม่เข้าไปอย่างแม่นยำ — ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องเปิดอกเลย ผู้ป่วยเป็นชายวัย 45 ปีที่เป็นโรคหัวใจระยะสุดท้าย เขาฟื้นตัวเร็วมาก ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลแค่เดือนเดียว และกลับบ้านได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ✅ เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจแบบใช้หุ่นยนต์เต็มรูปแบบ (fully robotic) ครั้งแรกของสหรัฐฯ   • ดำเนินการโดย Baylor St. Luke’s Medical Center, Houston   • ใช้หุ่นยนต์ควบคุมจากคอนโซลผ่านแผลเล็ก แทนการเปิดอก ✅ คนไข้เป็นชายวัย 45 ปีที่ป่วยด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวระยะรุนแรง   • นอนโรงพยาบาลมาหลายเดือนก่อนทำการผ่าตัด   • ฟื้นตัวเร็วหลังผ่าตัด โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ✅ หุ่นยนต์ศัลยกรรมสามารถเคลื่อนไหวในมุมที่มือคนทำไม่ได้   • ช่วยผ่าตัดในพื้นที่แคบได้อย่างแม่นยำ   • ลดอาการปวด, ลดเลือดออก, ลดการต้องใช้เลือดสำรอง ✅ การผ่าตัดผ่านช่อง preperitoneal space ช่วยหลีกเลี่ยงการตัดกระดูกหน้าอก   • ลดผลกระทบด้านโครงสร้างร่างกายและการเคลื่อนไหวหลังผ่าตัด ✅ โรงพยาบาลคาดว่าเทคโนโลยีนี้จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูเร็วขึ้น   • มีแผนขยายการใช้หุ่นยนต์ในศัลยกรรมหัวใจอย่างแพร่หลาย https://www.techspot.com/news/108477-us-surgeons-complete-first-ever-heart-transplant-using.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US surgeons complete first-ever heart transplant using robotics
    The patient, a 45-year-old man hospitalized for months with severe heart failure, became the first in the United States to receive a heart transplant using a minimally...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร
    แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46

    ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า

    1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย]

    วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า:

    "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม"

    เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ

    2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม

    , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้

    3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

    Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร

    กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC"

    Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2)

    Bora Touch ทนายความ

    The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates:

    1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam.

    Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises:

    "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam Suliman Hlantam set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam"

    Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ.

    Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia.

    Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid.

    Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand.

    Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land.

    Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC."

    Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    เนื้อหาใน TOR ปี 2546 ที่เป็นหลักฐานว่ารัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200000 ตามความเห็นทนายเขมร แม้แต่การเจรจา JBC ครั้งที่ผ่านมา ก็ยังยืนยันจะดำเนินการต่อตาม TOR46 ข้อกำหนดอ้างอิงและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและกำหนดเขตแดนร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย (TOR) ลงวันที่ 23 มีนาคม 2546 กำหนดว่า 1.1.3 แผนที่ซึ่งเป็นผลงานการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมาธิการการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] ซึ่งแยกตามอนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] (ต่อไปนี้จะเรียกว่า " แผนที่1:200,000") และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อนุสัญญาปี 1904 และสนธิสัญญาปี 1907 ระหว่างฝรั่งเศส [ กัมพูชา] และสยาม [ไทย] วรรคที่ 10 ของข้อกำหนดอ้างอิงเน้นย้ำว่า: "TOR นี้ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าทางกฎหมายของข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างฝรั่งเศสและสยามเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน หรือต่อมูลค่าของแผนที่ของคณะกรรมาธิการกำหนดเขตแดนระหว่างอินโดจีน ( กัมพูชา) และสยาม (ประเทศไทย) ที่จัดทำขึ้นภายใต้อนุสัญญาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1904 และสนธิสัญญาเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 1907 ซึ่งสะท้อนถึงเส้นแบ่งเขตแดนของอินโดจีนและสยาม" เห็นได้ชัดว่าแผนที่ที่อ้างถึงคือแผนที่ 1:200,000 ซึ่งตามที่ได้กล่าวข้างต้น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าถูกต้องในปี 1962 และถือเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 1904 (และ 1907) ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่อยู่ในสถานะที่จะยืนยัน ว่า แผนที่1:200,000 (ซึ่งแผนที่หนึ่งเรียกว่าแผนที่ ภาคผนวก I หรือ ภาคผนวกI ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) ไม่ถูกต้อง ไม่มีฐานทางกฎหมายสำหรับข้อกล่าวอ้างดังกล่าว และข้อกล่าวอ้างดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับและจะไม่บังคับใช้คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติ 2. กัมพูชายังยอมรับในคำประกาศดังกล่าวว่าคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 ไม่ได้ตัดสินในประเด็นเส้นแบ่งเขตระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาBora Touch: ตรงกันข้ามกับข้อกล่าวอ้างของประเทศไทย ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินอย่างชัดเจนว่าแผนที่ 1:200,000 (รวมถึงแผนที่ภาคผนวก I หรือแผนที่แดนเกร็ก) ถูกต้องและเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาในปี 2447 และ 2450 เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศยอมรับและตัดสินว่าแผนที่ ดังกล่าว ซึ่งเป็นผลจากการกำหนดเขตแดนของ คณะกรรมาธิการร่วมฝรั่งเศส-สยาม , มีผลบังคับใช้และเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนเพราะเรื่องนี้ได้รับการตัดสินแล้ว ( แผนที่ได้รับการตัดสินว่ามีผลบังคับใช้) คำถามนี้ไม่จำเป็นต้องได้รับคำตอบเนื่องจากกำหนดโดยแผนที่ดังที่นักวิชาการ Kieth Highet (1987) ชี้ให้เห็นว่า: "ศาลตัดสินว่าเนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในแผนที่ได้รับการยอมรับ จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบตำแหน่งทางกายภาพของเขตแดนที่ได้มาจากเงื่อนไขของสนธิสัญญา" ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินในประเด็นเรื่องเขตแดนโดยตัดสินว่าแผนที่ นั้น มีผลบังคับใช้ 3.ไทยยืนกรานว่าเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในดินแดนไทย และเรียกร้องให้กัมพูชาถอดทั้งเจดีย์และธงกัมพูชาที่โบกสะบัดอยู่เหนือเจดีย์ เป็นการตอกย้ำการประท้วงหลายครั้งที่ประเทศไทยได้ยื่นต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นในพระเจดีย์และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนแต่เป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย Bora Touch:ตามแผนที่ 1:200,000 (หรือ แผนที่ส่วน Dangkrek หรือภาคผนวกI ) ปราสาทพระวิหารและที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตรอยู่ภายในอาณาเขตของกัมพูชาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ไทยและกัมพูชาเห็นพ้องกันว่าพระเจดีย์ "Keo Sikha Kiri Svara" ตั้งอยู่ในที่ดินแปลงขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร กระทรวงต่างประเทศของไทย: 4.กระทรวงฯ ยืนยันคำมั่นสัญญาของไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนทั้งหมดกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธีภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) การกำหนดเส้นแบ่งเขตบริเวณปราสาทพระวิหารยังอยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของ JBC" Bora Touch: การที่ไทยกล่าวว่าใช้กฎหมายระหว่างประเทศในเรื่องนี้ถือเป็นการเข้าใจผิด ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี 2505 อย่างชัดเจน จึงถือเป็นการละเมิดมาตรา 94(1) ของกฎบัตรสหประชาชาติ/ กัมพูชาร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อขอใช้มาตรการที่เหมาะสมต่อไทย: มาตรา 94(2) Bora Touch ทนายความ The Terms of Reference and Master Plan for the Joint Survey and Demarcation of Land Boundary between Cambodia and Thailand (TOR) of 23 March 2003 stipulates: 1.1.3. Maps which are the results of the Demarcation Works of the Commissions of Delimitation of boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand].. sep up under the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand] (theferafter referred to as "the maps of 1:200,000") and other documents relating to the application of the Convention of 1904 and the Treaty of 1907 between France [Cambodia] and Siam [Thailand]. Paragraph 10 of the Terms of Reference emphasises: "This TOR is without prejudice to the legal value of the previous agreements between France and Siam concerning the delimitation of boundary, nor to the value of the Maps of the Commissions of the Delimitation of Boundary between Indochina [Cambodia] and Siam [Thailand] set up under the Convention of 13 February 1904 and the Treaty of 23 March 1907, reflecting the boundary line of Indochina and Siam" Clearly the maps referred to are the 1:200,000 map(s) which, as mentioned above, the ICJ in 1962 ruled to be valid and forms part of the 1904 (and 1907) treaties. Thailand is therefore not in a position to assert that the 1:200,000 maps (one of which is known as Dangrek Section or Annex I map in which the PreahVihear Temple is situated) are not valid. There is no legal basis for such an assertion and to make such an assertion would amount to saying that, in contravention of the UN Charter, Thailand does not accept and will not enforce the Judgment of the ICJ. Thai FM: 2. Cambodia also admitted in the aforementioned declaration that the decision of the International Court of Justice (ICJ) of 1962 did not rule on the question of the boundary line between Thailand and Cambodia. Bora Touch: Contrary to Thailand's assertion, in 1962 the ICJ ruled unambiguously that the 1:200,000 maps (the Dangrek Section or Annex I Map included) is valid and is a part of the 1904 and 1907 treaties. Since the ICJ accepted and ruled that the map(s), which is the result of the boundary demarcation of the French-Siamese Joint Commissions, is valid and a part the treaties, the ICJ decided that it was unnecessary to rule on the question of boundary because the matter was decided (the map was ruled to be valid). The question did not need an answer as it was determined by the map(s). As scholar Kieth Highet (1987) pointed out: "the Court held that since the location indicated in the map had been accepted, it was unncessary to examine the physical location of boundary as derived from the terms of the Treaty". The ICJ did rule on the boundary question by ruling that map was valid. Thai FM: 3. Thailand maintains that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated on Thai territory, and demands that Cambodia remove both the pagoda and the Cambodian flag flying over the pagoda. This is a reiteration of the many protests that Thailand has submitted to Cambodia regarding the activities carried out in the pagoda and the surrounding area, all of which constitute violations of sovereignty and territorial integrity of the Kingdom of Thailand. Bora Touch: According to the 1:200,000 map (or the Dangkrek Section or Annex I map), the Preah Vihear Temple and the 4.6 sq km parcel of land undisputedly are inside Cambodian territory. Thailand and Cambodia agree that the "Keo Sikha Kiri Svara" Pagoda is situated in the 4.6 sqkm parcel of land. Thai FM: 4. The Ministry reaffirms Thailand's commitment to resolving all boundary issues with Cambodia in accordance with international law through peaceful means under the framework of the Thai-Cambodian Joint Commission on Demarcation for Land Boundary (JBC). The determination of the boundary line in the area of the Temple of Phra Viharn [Preah Vihear Temple] is still subject to ongoing negotiation under the framework of the JBC." Bora Touch: It is misleading for Thailand to say it applies international law in this regard. It obviously failed to perform the obligations as stipulated under the ICJ Judgment of 1962. It thus has violated article 94(1) of the UN Charter/. Cambodia complains to the UN Security Council for appropriate measures against Thailand: Art 94(2).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference?

    The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin).

    Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three.

    How do you use their, there, and they’re?

    These three words serve many functions.

    When to use their

    Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in:

    • They left their cell phones at home.

    Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone:

    • Someone left their book on the table.

    When to use there

    There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do.

    • She is there now.

    There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause:

    • There is still hope.

    When to use they’re

    They’re is a contraction of the words they and are.

    •They’re mastering the differences between three homophones!

    Take a hint from the spelling!

    If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each:

    • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession.
    • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal.
    • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use.

    © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    “Their” vs. “There” vs. “They’re”: Do You Know The Difference? The trio of their, there, and they’re can flummox writers of all levels. It’s confusing; they are homophones, meaning they have the same pronunciation (sound) but differ in meaning and derivation (origin). Even though they sound the same, they aren’t spelled the same … cue the noticeable errors! Let’s explore the correct usages of the three. How do you use their, there, and they’re? These three words serve many functions. When to use their Their is the possessive case of the pronoun they, meaning belonging to them. As in: • They left their cell phones at home. Their is generally plural, but it is increasingly accepted in place of the singular his or her after words such as someone: • Someone left their book on the table. When to use there There is an adverb that means in or at that place. In this sense, there is essentially the opposite of here. This is what’s known as an adverb of place, which answers the question where an action is taking place. Many common adverbs end in -ly, like quickly, usually, and completely, but not all adverbs do. • She is there now. There is also used as a pronoun introducing the subject of a sentence or clause: • There is still hope. When to use they’re They’re is a contraction of the words they and are. •They’re mastering the differences between three homophones! Take a hint from the spelling! If you find yourself coming up blank when trying to determine which one to use, take a hint from the spelling of each: • There has the word heir in it, which can act as a reminder that the term indicates possession. • There has the word here in it. There is the choice when talking about places, whether figurative or literal. • They’re has an apostrophe, which means it’s the product of two words: they are. If you can substitute they are into your sentence and retain the meaning, then they’re is the correct homophone to use. © 2025, Aakkhra, All rights reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
    ทรงฉลองพระองค์ไทยสากล ผ้าไหมพื้นเรียบ
    .
    ผ้าไหมพื้นเรียบ เป็นการทอแบบขัด เป็นวิธีการเบื้องต้นของการทอผ้าทุกชนิด คือมีเส้นพุ่งและเส้นยืนซึ่งอาจเป็นเส้นเดียวกันหรือต่างสีกัน ซึ่งจะทำให้เกิดลวดลายในเนื้อผ้าต่างกัน เช่น การทอเส้นยืนสลับสีก็จะเกิดผ้าลายริ้วทางยาว หรือถ้าทอเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ผ้าลายขวาง การทอเส้นยืนและเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ลายตาราง เป็นต้น ผ้าไหมที่ใช้เทคนิคการทอขัด เรียงตามความหนาของเนื้อผ้า เช่น ไม่ได้มีการควบเส้นใยเพิ่มเข้าไป ผ้าไหมสองเส้น หมายถึง ผ้าไหมที่ทอขัดด้วยเส้นยืนเส้นเดียว ส่วนเส้นพุ่งจะมีการควบเส้นไหมเพิ่มเป็นสองเส้น เนื้อผ้าจะมีความหนามากกว่าผ้าไหมหนึ่งเส้น
    ----
    HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEARS
    ROYAL ATTIRE IN THAI SILK
    .
    Thai silk is a polished weave. It is the basic method of weaving all kinds. That is, there is a weft line and a stand line, which may be the same line or different colors. This will cause patterns in different fabrics, for example, weaving warp lines and alternating colors will produce long stripes. Or if weaving the weft lines and alternating colors, we will get a striped fabric. The weaving of warp and weft lines alternating colors will result in a grid pattern, etc. Silk that uses polished weaving techniques. Sorted according to the thickness of the fabric, for example, without adding more fibers. Two-strand silk refers to silk that is woven with a single warp thread. As for the weft line, there will be two more silk threads merged. The fabric will be one strand thicker than silk.
    ____________________________________
    #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida
    Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงฉลองพระองค์ไทยสากล ผ้าไหมพื้นเรียบ . ผ้าไหมพื้นเรียบ เป็นการทอแบบขัด เป็นวิธีการเบื้องต้นของการทอผ้าทุกชนิด คือมีเส้นพุ่งและเส้นยืนซึ่งอาจเป็นเส้นเดียวกันหรือต่างสีกัน ซึ่งจะทำให้เกิดลวดลายในเนื้อผ้าต่างกัน เช่น การทอเส้นยืนสลับสีก็จะเกิดผ้าลายริ้วทางยาว หรือถ้าทอเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ผ้าลายขวาง การทอเส้นยืนและเส้นพุ่งสลับสีก็จะได้ลายตาราง เป็นต้น ผ้าไหมที่ใช้เทคนิคการทอขัด เรียงตามความหนาของเนื้อผ้า เช่น ไม่ได้มีการควบเส้นใยเพิ่มเข้าไป ผ้าไหมสองเส้น หมายถึง ผ้าไหมที่ทอขัดด้วยเส้นยืนเส้นเดียว ส่วนเส้นพุ่งจะมีการควบเส้นไหมเพิ่มเป็นสองเส้น เนื้อผ้าจะมีความหนามากกว่าผ้าไหมหนึ่งเส้น ---- HER MAJESTY QUEEN SUTHIDA WEARS ROYAL ATTIRE IN THAI SILK . Thai silk is a polished weave. It is the basic method of weaving all kinds. That is, there is a weft line and a stand line, which may be the same line or different colors. This will cause patterns in different fabrics, for example, weaving warp lines and alternating colors will produce long stripes. Or if weaving the weft lines and alternating colors, we will get a striped fabric. The weaving of warp and weft lines alternating colors will result in a grid pattern, etc. Silk that uses polished weaving techniques. Sorted according to the thickness of the fabric, for example, without adding more fibers. Two-strand silk refers to silk that is woven with a single warp thread. As for the weft line, there will be two more silk threads merged. The fabric will be one strand thicker than silk. ____________________________________ #พระราชินีสุทิดา #苏提达王后 #QueenSuthida Cr. FB : สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี : We Love Her Majesty Queen Suthida Fanpage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครที่รู้จัก Raspberry Pi ก็คงคุ้นกับคำว่า SBC (Single-Board Computer) — คือคอมพิวเตอร์ย่อส่วนที่ประกอบทุกอย่างไว้บนแผ่นเดียว มีพอร์ตครบ ใช้ต่อใช้งานได้เลย ซึ่งปกติพวกนี้จะใช้ชิป ARM แบบเบา ๆ

    แต่ de next-RAP8 จาก AAEON มัน “ยกระดับทั้งวงการ” เพราะใช้ Intel Core i3/i5/i7 รุ่น U-Series (15W) ได้จริง บนบอร์ดขนาด 84 x 55 mm — แค่กว้างยาวกว่า Raspberry Pi 5 ไม่กี่มิล!

    สิ่งที่น่าทึ่งคือสเปกมันเทียบกับโน้ตบุ๊ก mid-range ได้เลย:
    - CPU สูงสุดถึง i7-1365UE (10 คอร์ / 12 เทรด)
    - RAM LPDDR5x สูงสุด 16GB
    - iGPU Intel Iris Xe รองรับ media acceleration
    - พอร์ต Ethernet x2, USB 3.2 Gen 2, HDMI, GPIO, และ M.2 สำหรับใส่ Wi-Fi/4G/SSD
    - มีโมดูลเสริมของ AAEON สำหรับ AI acceleration และการเชื่อมต่อแบบพิเศษ (ผ่าน PCIe/FPC)

    แต่แน่นอน มันไม่ได้ออกแบบมาสำหรับใช้เป็นคอมพิวเตอร์สำนักงานทั่วไป เพราะต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคเยอะ โดยเฉพาะการต่อกับอุปกรณ์ในโรงงาน, หุ่นยนต์, หรือโดรนแบบ custom

    de next-RAP8 จาก AAEON เป็น SBC ขนาด 84mm x 55mm ที่มาพร้อม Intel Core 13th Gen  
    • รองรับ Core i3-1315UE, i5-1335UE หรือ i7-1365UE  
    • ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W เทียบกับพีซีขนาดใหญ่

    สเปกเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ระดับโน้ตบุ๊ก:  
    • RAM LPDDR5x สูงสุด 16GB  
    • iGPU Iris Xe รองรับการประมวลผล media และกราฟิกเบา ๆ

    การเชื่อมต่อครบครัน:  
    • Ethernet 2.5GbE และ 1GbE, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.2a, 12V DC  
    • 40-pin header รองรับ GPIO, USB 2.0, RS-232/422/485, SMBus/I2C

    รองรับ M.2 2280 และ FPC connector สำหรับต่อ AI module, SSD หรือ Wi-Fi/4G  
    • มีโมดูลเสริม เช่น PER-T642 หรือ PER-R41P สำหรับเพิ่มพลัง AI หรืออุปกรณ์ industrial

    ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระบบ edge computing, หุ่นยนต์, โดรน, คีออส, หรือ embedded system อื่น ๆ  
    • รองรับการทำงานในพื้นที่จำกัดที่ต้องใช้กำลังประมวลผลสูง

    https://www.techradar.com/pro/this-intel-core-i7-motherboard-is-probably-the-worlds-most-powerful-sbc-and-yet-it-is-as-small-as-the-raspberry-pi-5
    ใครที่รู้จัก Raspberry Pi ก็คงคุ้นกับคำว่า SBC (Single-Board Computer) — คือคอมพิวเตอร์ย่อส่วนที่ประกอบทุกอย่างไว้บนแผ่นเดียว มีพอร์ตครบ ใช้ต่อใช้งานได้เลย ซึ่งปกติพวกนี้จะใช้ชิป ARM แบบเบา ๆ แต่ de next-RAP8 จาก AAEON มัน “ยกระดับทั้งวงการ” เพราะใช้ Intel Core i3/i5/i7 รุ่น U-Series (15W) ได้จริง บนบอร์ดขนาด 84 x 55 mm — แค่กว้างยาวกว่า Raspberry Pi 5 ไม่กี่มิล! สิ่งที่น่าทึ่งคือสเปกมันเทียบกับโน้ตบุ๊ก mid-range ได้เลย: - CPU สูงสุดถึง i7-1365UE (10 คอร์ / 12 เทรด) - RAM LPDDR5x สูงสุด 16GB - iGPU Intel Iris Xe รองรับ media acceleration - พอร์ต Ethernet x2, USB 3.2 Gen 2, HDMI, GPIO, และ M.2 สำหรับใส่ Wi-Fi/4G/SSD - มีโมดูลเสริมของ AAEON สำหรับ AI acceleration และการเชื่อมต่อแบบพิเศษ (ผ่าน PCIe/FPC) แต่แน่นอน มันไม่ได้ออกแบบมาสำหรับใช้เป็นคอมพิวเตอร์สำนักงานทั่วไป เพราะต้องใช้ความรู้เชิงเทคนิคเยอะ โดยเฉพาะการต่อกับอุปกรณ์ในโรงงาน, หุ่นยนต์, หรือโดรนแบบ custom ✅ de next-RAP8 จาก AAEON เป็น SBC ขนาด 84mm x 55mm ที่มาพร้อม Intel Core 13th Gen   • รองรับ Core i3-1315UE, i5-1335UE หรือ i7-1365UE   • ใช้พลังงานต่ำเพียง 15W เทียบกับพีซีขนาดใหญ่ ✅ สเปกเทียบเท่าคอมพิวเตอร์ระดับโน้ตบุ๊ก:   • RAM LPDDR5x สูงสุด 16GB   • iGPU Iris Xe รองรับการประมวลผล media และกราฟิกเบา ๆ ✅ การเชื่อมต่อครบครัน:   • Ethernet 2.5GbE และ 1GbE, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.2a, 12V DC   • 40-pin header รองรับ GPIO, USB 2.0, RS-232/422/485, SMBus/I2C ✅ รองรับ M.2 2280 และ FPC connector สำหรับต่อ AI module, SSD หรือ Wi-Fi/4G   • มีโมดูลเสริม เช่น PER-T642 หรือ PER-R41P สำหรับเพิ่มพลัง AI หรืออุปกรณ์ industrial ✅ ออกแบบมาเพื่อใช้งานในระบบ edge computing, หุ่นยนต์, โดรน, คีออส, หรือ embedded system อื่น ๆ   • รองรับการทำงานในพื้นที่จำกัดที่ต้องใช้กำลังประมวลผลสูง https://www.techradar.com/pro/this-intel-core-i7-motherboard-is-probably-the-worlds-most-powerful-sbc-and-yet-it-is-as-small-as-the-raspberry-pi-5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ

    เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน

    และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ

    ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร”

    5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI:
    1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม  
    • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร  
    • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics  
    • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE

    2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ  
    • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials  
    • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection  
    • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด

    3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย  
    • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity  
    • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว

    4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย  
    • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ  
    • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI  
    • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย

    5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”  
    • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม  
    • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature

    https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    ตอนแรกหลายองค์กรคิดว่า “ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่แล้ว” น่าจะพอเอาอยู่กับ AI — เพราะก็มี patch, มี asset inventory, มี firewall อยู่แล้ว แต่วันนี้กลายเป็นว่า... AI คือสัตว์คนละสายพันธุ์เลยครับ เพราะ AI ขยายพื้นที่โจมตีออกไปถึง API, third-party, supply chain และยังมีความเสี่ยงใหม่แบบเฉพาะตัว เช่น model poisoning, prompt injection, data inference ซึ่งไม่เคยต้องรับมือในโลก legacy มาก่อน และแม้ว่าองค์กรจะลงทุนกับ AI อย่างหนัก แต่เกือบครึ่ง (46%) ของโครงการ AI ถูกหยุดกลางคันหรือไม่เคยได้ไปถึง production ด้วยซ้ำ — ส่วนใหญ่เกิดจากความล้มเหลวในด้าน governance, ความเสี่ยง, ข้อมูลไม่สะอาด และขาดทีมที่เข้าใจ AI จริง ๆ ข่าวนี้จึงเสนอบทบาทใหม่ 5 แบบที่ CISO ต้องกลายร่างเป็น: “นักกฎหมาย, นักวิเคราะห์, ครู, นักวิจัย และนักสร้างพันธมิตร” ✅ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ CISO ต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยของ AI: ✅ 1. เริ่มทุกอย่างด้วยโมเดล AI Governance ที่แข็งแรงและครอบคลุม   • ต้องมี alignment ระหว่างทีมธุรกิจ–เทคโนโลยีว่า AI จะใช้ทำอะไร และใช้อย่างไร   • สร้าง framework ที่รวม ethics, compliance, transparency และ success metrics   • ใช้แนวทางจาก NIST AI RMF, ISO/IEC 42001:2023, UNESCO AI Ethics, RISE และ CARE ✅ 2. พัฒนา “มุมมองความเสี่ยงของ AI” ที่ต่อเนื่องและลึกกว่าระบบปกติ   • สร้าง AI asset inventory, risk register, และ software bill of materials   • ติดตามภัยคุกคามเฉพาะ AI เช่น data leakage, model drift, prompt injection   • ใช้ MITRE ATLAS และตรวจสอบ vendor + third-party supply chain อย่างใกล้ชิด ✅ 3. ขยายนิยาม “data integrity” ให้ครอบคลุมถึงโมเดล AI ด้วย   • ไม่ใช่แค่ข้อมูลไม่โดนแก้ไข แต่รวมถึง bias, fairness และ veracity   • เช่นเคยมีกรณี Amazon และ UK ใช้ AI ที่กลายเป็นอคติทางเพศและสีผิว ✅ 4. ยกระดับ “AI literacy” ให้ทั้งองค์กรเข้าใจและใช้งานอย่างปลอดภัย   • เริ่มจากทีม Security → Dev → ฝ่ายธุรกิจ   • สอน OWASP Top 10 for LLMs, Google’s SAIF, CSA Secure AI   • End user ต้องรู้เรื่อง misuse, data leak และ deepfake ด้วย ✅ 5. มอง AI Security แบบ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “อัตโนมัติเต็มขั้น”   • ใช้ AI ช่วย triage alert, คัด log, วิเคราะห์ risk score แต่ยังต้องมีคนคุม   • พิจารณาผู้ให้บริการ AI Security อย่างรอบคอบ เพราะหลายเจ้าแค่ “แปะป้าย AI” แต่ยังไม่ mature https://www.csoonline.com/article/4011384/the-cisos-5-step-guide-to-securing-ai-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s 5-step guide to securing AI operations
    Security leaders must become AI cheerleaders, risk experts, data stewards, teachers, and researchers. Here’s how to lead your organization toward more secure and effective AI use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง

    ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด

    หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ
    พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้  

    มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข
    AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม

    การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม
    AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา  

    สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ
    การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้  

    AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน
    แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)  

    การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก
    AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ  

    หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI
    ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI  

    นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  

    พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม

    มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม
    แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม

    ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา
    คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง  

    เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม
    ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต  

    ความยึดมั่นถือมั่นและมายา
    แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้  

    ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม
    มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา  

    นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"  

    สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน

    จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:  

    1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว  

    2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง  

    3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น  

    4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา  

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    เทคโนโลยี AI กับแนวทางศาสนาพุทธ: จุดบรรจบและความขัดแย้ง ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง AI กับหลักปรัชญาและจริยธรรมของพุทธศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็น รายงานฉบับนี้จะสำรวจจุดที่ AI สามารถเสริมสร้างและสอดคล้องกับพุทธธรรม รวมถึงประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรม เพื่อนำเสนอแนวทางในการพัฒนาและใช้ AI อย่างมีสติและเป็นประโยชน์สูงสุด ☸️☸️ หลักการพื้นฐานของพุทธศาสนา: แก่นธรรมเพื่อความเข้าใจ พุทธศาสนามุ่งเน้นการพ้นทุกข์ โดยสอนให้เข้าใจธรรมชาติของทุกข์และหนทางดับทุกข์ผ่านหลักอริยสัจสี่ (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) หนทางแห่งมรรคประกอบด้วยองค์แปดประการ แก่นธรรมสำคัญอื่นๆ ได้แก่ ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) การปฏิบัติอยู่บนพื้นฐานของไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา) การพัฒนาปัญญาต้องอาศัยสติ, โยนิโสมนสิการ, และปัญญา กฎแห่งกรรมและปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักการสำคัญที่อธิบายความสัมพันธ์เชิงเหตุผล พุทธศาสนาเชื่อว่าโลกนี้เกิดขึ้นเองจากกฎธรรมชาติ 5 ประการ หรือนิยาม 5 พรหมวิหารสี่ (เมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา) เป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมความปรารถนาดีต่อสรรพชีวิต เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้าทรงเน้นย้ำถึงทางสายกลาง โดยมอง AI เป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "แพ" สอดคล้องกับทางสายกลางนี้   🤖 มิติที่ AI สอดคล้องกับพุทธธรรม: ศักยภาพเพื่อประโยชน์สุข AI มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการเผยแผ่ การศึกษา และการปฏิบัติธรรม การประยุกต์ใช้ AI เพื่อการเผยแผ่พระธรรม AI มีบทบาทสำคัญในการเผยแผ่คำสอนทางพุทธศาสนาให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น "พระสงฆ์ AI" หรือ "พระโพธิสัตว์ AI" อย่าง Mindar ในญี่ปุ่น และ "เสียนเอ๋อร์" ในจีน การใช้ AI ในการแปลงพระไตรปิฎกเป็นดิจิทัลและการแปลพระคัมภีร์ด้วยเครื่องมืออย่าง DeepL ช่วยเพิ่มความเร็วและความแม่นยำ ทำให้เนื้อหาเข้าถึงได้ง่ายขึ้นทั่วโลก AI ช่วยให้การเผยแผ่ธรรม "สะดวก มีประสิทธิภาพ และน่าดึงดูดมากขึ้น รวมถึงขยายขอบเขตการเข้าถึงให้เกินกว่าข้อจำกัดทางพื้นที่และเวลาแบบดั้งเดิม" ซึ่งสอดคล้องกับหลัก กรุณา   👓 สื่อใหม่และประสบการณ์เสมือนจริง: การสร้างสรรค์รูปแบบการเรียนรู้และปฏิบัติ การนำเทคโนโลยีสื่อใหม่ เช่น จอ AI, VR และ AR มาใช้ในการสร้างประสบการณ์พุทธศาสนาเสมือนจริง เช่น "Journey to the Land of Buddha" ของวัดฝอกวงซัน ช่วยดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี VR ช่วยอำนวยความสะดวกในการสร้าง "ความเห็นอกเห็นใจ" การพัฒนาแพลตฟอร์มการบูชาออนไลน์และพิธีกรรมทางไซเบอร์ เช่น "Light Up Lamps Online" และเกม "Fo Guang GO" ช่วยให้ผู้ศรัทธาสามารถปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและเยี่ยมชมวัดเสมือนจริงได้จากทุกที่ การใช้ VR/AR เพื่อ "ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ" และ "Sati-AI" สำหรับการทำสมาธิเจริญสติ สามารถสร้างสภาพแวดล้อมจำลองที่เอื้อต่อการทำสมาธิและสติได้   🙆‍♂️ AI ในฐานะเครื่องมือเพื่อการปฏิบัติและพัฒนาตน แอปพลิเคชัน AI เช่น NORBU, Buddha Teachings, Buddha Wisdom App ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางที่มีคุณค่าในการศึกษาและปฏิบัติธรรม โดยให้การเข้าถึงคลังข้อความพุทธศาสนาขนาดใหญ่, บทเรียนส่วนบุคคล, คำแนะนำในการทำสมาธิ, และการติดตามความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ แชทบอทเหล่านี้มีความสามารถในการตอบคำถามและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาในชีวิตจริง AI สามารถทำให้การเข้าถึงข้อมูลและคำแนะนำเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถศึกษาและปฏิบัติด้วยตนเองได้อย่างมีพลังมากขึ้น สิ่งนี้สอดคล้องกับหลักธรรมของพุทธศาสนาเรื่อง อัตตา หิ อัตตโน นาโถ (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)   🧪 การวิจัยและเข้าถึงข้อมูลพระธรรม: การเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึก AI ช่วยให้นักวิจัยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่, ค้นหารูปแบบ, และสร้างแบบจำลองเพื่อทำความเข้าใจพระคัมภีร์และหลักธรรมได้เร็วขึ้นและดีขึ้น สามารถใช้ AI ในการค้นหาอ้างอิง, เปรียบเทียบข้อความข้ามภาษา, และให้บริบท ด้วยการทำให้งานวิจัยเป็นไปโดยอัตโนมัติ AI ช่วยให้นักวิชาการและผู้ปฏิบัติสามารถใช้เวลามากขึ้นในการทำโยนิโสมนสิการ   ☸️ หลักจริยธรรมพุทธกับการพัฒนา AI ข้อกังวลทางจริยธรรมที่กว้างที่สุดคือ AI ควรสอดคล้องกับหลักอหิงสา (ไม่เบียดเบียน) ของพุทธศาสนา นักวิชาการ Somparn Promta และ Kenneth Einar Himma แย้งว่าการพัฒนา AI สามารถถือเป็นสิ่งที่ดีในเชิงเครื่องมือเท่านั้น พวกเขาเสนอว่าเป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการก้าวข้ามความปรารถนาและสัญชาตญาณที่ขับเคลื่อนด้วยการเอาชีวิตรอด การกล่าวถึง "อหิงสา" และ "การลดความทุกข์" เสนอหลักการเหล่านี้เป็นพารามิเตอร์การออกแบบภายในสำหรับ AI   นักคิด Thomas Doctor และคณะ เสนอให้นำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" ซึ่งเป็นการให้คำมั่นที่จะบรรเทาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มาเป็นหลักการชี้นำในการออกแบบระบบ AI แนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" (intelligence as care) ได้รับแรงบันดาลใจจากปณิธานพระโพธิสัตว์ โดยวางตำแหน่ง AI ให้เป็นเครื่องมือในการแสดงความห่วงใยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   พุทธศาสนาเน้นย้ำว่าสรรพสิ่งล้วน "เกิดขึ้นพร้อมอาศัยกัน" (ปฏิจจสมุปบาท) และ "ไม่มีตัวตน" (อนัตตา) ซึ่งนำไปสู่การยืนยันถึง "ความสำคัญอันดับแรกของความสัมพันธ์" แนวคิด "กรรม" อธิบายถึงการทำงานร่วมกันของเหตุและผลหลายทิศทาง การนำสิ่งนี้มาประยุกต์ใช้กับ AI หมายถึงการตระหนักว่าระบบ AI เป็น "ศูนย์รวมของการเปลี่ยนแปลงเชิงสัมพันธ์ภายในเครือข่ายของการกระทำที่มีนัยสำคัญทางศีลธรรม" การ "วิวัฒน์ร่วม" ของมนุษย์และ AI บ่งชี้ว่าเส้นทางการพัฒนาของ AI นั้นเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับของมนุษยชาติ ดังนั้น "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" จึงไม่ใช่แค่ปัญหาทางเทคนิค แต่เป็นภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเชิงกรรม ‼️ มิติที่ AI ขัดแย้งกับพุทธธรรม: ความท้าทายเชิงปรัชญาและจริยธรรม แม้ AI จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีประเด็นความขัดแย้งเชิงปรัชญาและจริยธรรมที่สำคัญกับพุทธธรรม 👿 ปัญหาเรื่องจิตสำนึกและอัตตา คำถามสำคัญคือระบบ AI สามารถถือเป็นสิ่งมีชีวิต (sentient being) ตามคำจำกัดความของพุทธศาสนาได้หรือไม่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องจิตสำนึก (consciousness) และการเกิดใหม่ (rebirth) "คุณภาพของควาเลีย" (qualia quality) หรือความสามารถในการรับรู้และรู้สึกนั้นยังระบุได้ยากใน AI การทดลองทางความคิด "ห้องจีน" แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการพิจารณาว่าปัญญาที่ไม่ใช่ชีวภาพสามารถมีจิตสำนึกได้หรือไม่ หาก AI ไม่สามารถประสบกับความทุกข์หรือบ่มเพาะปัญญาได้ ก็ไม่สามารถเดินตามหนทางสู่การตรัสรู้ได้อย่างแท้จริง   🛣️ เจตจำนงเสรีและกฎแห่งกรรม ความตั้งใจ (volition) ใน AI ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบของคำสั่ง "ถ้า...แล้ว..." นั้น แทบจะไม่มีลักษณะของเจตจำนงเสรีหรือแม้แต่ทางเลือกที่จำกัด ตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา ทางเลือกที่จำกัดเป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (deterministic behavior) ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ หาก AI ขาดทางเลือกที่แท้จริง ก็ไม่สามารถสร้างกรรมได้ในลักษณะเดียวกับสิ่งมีชีวิต   🍷 ความยึดมั่นถือมั่นและมายา แนวคิดของการรวมร่างกับ AI เพื่อประโยชน์ที่รับรู้ได้ เช่น การมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น มีความน่าดึงดูดใจ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าการรวมร่างดังกล่าวอาจเป็น "กับดัก" หรือ "นรก" เนื่องจากความยึดมั่นถือมั่นและการขาดความสงบ กิเลสของมนุษย์ (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) และกลไกตลาดก็ยังคงสามารถนำไปสู่ความทุกข์ได้แม้ในสภาวะ AI ขั้นสูง การแสวงหา "การอัปเกรด" ที่ขับเคลื่อนด้วยตัณหา สามารถทำให้วัฏจักรแห่งความทุกข์ดำเนินต่อไปได้   🤥 ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและการบิดเบือนพระธรรม มีความเสี่ยงที่ AI จะสร้างข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและ "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ดังที่เห็นได้จากกรณีของ Suzuki Roshi Bot AI ขาด "บริบทระดับที่สอง" และความสามารถในการยืนยันข้อเท็จจริง ทำให้มันเป็นเพียง "นกแก้วที่ฉลาดมาก" ความสามารถของ AI ในการสร้าง "ความเหลวไหลที่สอดคล้องกัน" ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสัมมาทิฏฐิและสัมมาวาจา   นอกจากนี้ ยังมีศักยภาพที่ "Strong AI" จะก่อให้เกิดวิกฤตทางจริยธรรมและนำไปสู่ "ลัทธิวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" "เทคโนโลยี-ธรรมชาติ" (techno-naturalism) ลดทอนปัญญามนุษย์ให้เหลือเพียงกระแสข้อมูล ซึ่งขัดแย้งกับพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยมที่เน้นความเป็นมนุษย์และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งกับประเพณีการปฏิบัติที่เน้น "ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของกายและจิต"   สุดท้ายนี้ มีอันตรายที่การนำ AI มาใช้ในการปฏิบัติพุทธศาสนาอาจเปลี่ยนจุดเน้นจากการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณที่แท้จริงไปสู่ผลประโยชน์นิยมหรือการมีส่วนร่วมที่ผิวเผิน จากข้อพิจารณาทั้งหมดนี้ การเดินทางบน "ทางสายกลาง" จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการเผชิญหน้ากับยุค AI สำหรับพุทธศาสนา การดำเนินการนี้ต้องอาศัย:   1️⃣ การพัฒนา AI ที่มีรากฐานทางจริยธรรม: AI ควรถูกออกแบบและพัฒนาโดยยึดมั่นในหลักการอหิงสา และการลดความทุกข์ ควรนำ "ปณิธานพระโพธิสัตว์" และแนวคิด "ปัญญาแห่งการดูแล" มาเป็นพิมพ์เขียว   2️⃣ การตระหนักถึง "ความเป็นเครื่องมือ" ของ AI: พุทธศาสนาควรมอง AI เป็นเพียง "แพ" หรือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางสู่การหลุดพ้น ไม่ใช่จุดหมายปลายทางในตัวเอง   3️⃣ การบ่มเพาะปัญญามนุษย์และสติ: แม้ AI จะมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลมหาศาล แต่ไม่สามารถทดแทนปัญญาที่แท้จริง จิตสำนึก หรือเจตจำนงเสรีของมนุษย์ได้ การปฏิบัติธรรม การเจริญสติ และการใช้โยนิโสมนสิการยังคงเป็นสิ่งจำเป็น   4️⃣ การส่งเสริม "ค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่ง": การแก้ไข "ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการจัดเรียงคุณค่า" ของ AI จำเป็นต้องมีการบ่มเพาะค่านิยมร่วมที่แข็งแกร่งในหมู่มนุษยชาติ ซึ่งมีรากฐานมาจากความเมตตาและปัญญา   #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยไหมครับที่ติด Wi-Fi กลางแจ้งแล้วฝนตกทีไรกลัวมันพัง? TP-Link เขาเลยออก Access Point ตัวนี้มาแบบ “ติดตั้งแล้วลืมไปได้เลย” เพราะมันอึดระดับ “จุ่มน้ำลึก 1.5 เมตรก็ยังรอด” (ถึงแม้ Wi-Fi จะใช้ใต้น้ำไม่ได้ก็ตาม )

    เจ้านี่ใช้มาตรฐาน Wi-Fi 7 แบบ Tri-band แรงสูงสุดถึง 9.3 Gbps!
    - 6 GHz ได้สูงสุด 5.76 Gbps
    - 5 GHz ได้ 2.88 Gbps
    - 2.4 GHz ก็ยังมีที่ 688 Mbps

    พื้นที่ครอบคลุมอยู่ที่ประมาณ 300 ตารางเมตร ต่อจุดติดตั้ง และถ้าอยากเพิ่มระยะก็เอาหลายเครื่องมาเชื่อมกันเป็น Mesh Network ได้เลย แถมยังรองรับ Power over Ethernet (PoE) ทำให้ไม่ต้องเดินสายไฟเพิ่มอีกต่างหาก

    ตัวกล่องมาพร้อมอุปกรณ์ติดตั้งครบครัน ทั้งขายึด, ซีลยาง, และฝาครอบกันฝนสำหรับพอร์ต — คือออกแบบให้ทนแดดฝนจริงจัง ไม่ใช่แค่ลุคถึก ๆ เท่านั้น

    TP-Link เปิดตัว EAP772-Outdoor Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 7  
    • ใช้เทคโนโลยี Tri-band รวมสปีดสูงสุด 9.3 Gbps  
    • ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ตร.ม. ต่อเครื่อง

    ทนทานต่อสภาพอากาศด้วยมาตรฐาน IP68 (กันฝุ่น/จมน้ำลึกได้)  
    • วางกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องกลัวฝนหรือหิมะ  
    • พอร์ตมีซีลกันน้ำเพิ่มความแน่นหนา

    รองรับ Power over Ethernet (PoE)  
    • ไม่ต้องเดินสายไฟแยก ติดตั้งง่ายขึ้นมาก  
    • มีขายึดสำหรับติดผนัง/เสาติดตั้งในกล่อง

    ทำงานร่วมกับระบบ Omada ของ TP-Link และบริหารจัดการผ่านคลาวด์ได้  
    • ขยายเป็น Mesh Network ได้ง่าย ๆ สำหรับพื้นที่กว้าง

    วางจำหน่ายแล้วในราคา $249.99 (ประมาณ 9,200 บาท)  
    • พร้อมใช้งานกับ Access Point ตัวอื่นในซีรีส์เดียวกัน เช่น EAP772 รุ่นเพดาน

    https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-releases-usd250-wi-fi-7-access-point-that-can-be-submerged-in-1-5-meters-of-water-without-issue-the-heavy-duty-wireless-router-boasts-an-ip68-rating-six-antennas-and-poe
    เคยไหมครับที่ติด Wi-Fi กลางแจ้งแล้วฝนตกทีไรกลัวมันพัง? TP-Link เขาเลยออก Access Point ตัวนี้มาแบบ “ติดตั้งแล้วลืมไปได้เลย” เพราะมันอึดระดับ “จุ่มน้ำลึก 1.5 เมตรก็ยังรอด” (ถึงแม้ Wi-Fi จะใช้ใต้น้ำไม่ได้ก็ตาม 😄) เจ้านี่ใช้มาตรฐาน Wi-Fi 7 แบบ Tri-band แรงสูงสุดถึง 9.3 Gbps! - 6 GHz ได้สูงสุด 5.76 Gbps - 5 GHz ได้ 2.88 Gbps - 2.4 GHz ก็ยังมีที่ 688 Mbps พื้นที่ครอบคลุมอยู่ที่ประมาณ 300 ตารางเมตร ต่อจุดติดตั้ง และถ้าอยากเพิ่มระยะก็เอาหลายเครื่องมาเชื่อมกันเป็น Mesh Network ได้เลย แถมยังรองรับ Power over Ethernet (PoE) ทำให้ไม่ต้องเดินสายไฟเพิ่มอีกต่างหาก ตัวกล่องมาพร้อมอุปกรณ์ติดตั้งครบครัน ทั้งขายึด, ซีลยาง, และฝาครอบกันฝนสำหรับพอร์ต — คือออกแบบให้ทนแดดฝนจริงจัง ไม่ใช่แค่ลุคถึก ๆ เท่านั้น ✅ TP-Link เปิดตัว EAP772-Outdoor Access Point มาตรฐาน Wi-Fi 7   • ใช้เทคโนโลยี Tri-band รวมสปีดสูงสุด 9.3 Gbps   • ครอบคลุมพื้นที่กว่า 300 ตร.ม. ต่อเครื่อง ✅ ทนทานต่อสภาพอากาศด้วยมาตรฐาน IP68 (กันฝุ่น/จมน้ำลึกได้)   • วางกลางแจ้งได้โดยไม่ต้องกลัวฝนหรือหิมะ   • พอร์ตมีซีลกันน้ำเพิ่มความแน่นหนา ✅ รองรับ Power over Ethernet (PoE)   • ไม่ต้องเดินสายไฟแยก ติดตั้งง่ายขึ้นมาก   • มีขายึดสำหรับติดผนัง/เสาติดตั้งในกล่อง ✅ ทำงานร่วมกับระบบ Omada ของ TP-Link และบริหารจัดการผ่านคลาวด์ได้   • ขยายเป็น Mesh Network ได้ง่าย ๆ สำหรับพื้นที่กว้าง ✅ วางจำหน่ายแล้วในราคา $249.99 (ประมาณ 9,200 บาท)   • พร้อมใช้งานกับ Access Point ตัวอื่นในซีรีส์เดียวกัน เช่น EAP772 รุ่นเพดาน https://www.tomshardware.com/networking/routers/tp-link-releases-usd250-wi-fi-7-access-point-that-can-be-submerged-in-1-5-meters-of-water-without-issue-the-heavy-duty-wireless-router-boasts-an-ip68-rating-six-antennas-and-poe
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts