• กลับมาคุยกันต่อถึงภาพที่ 9 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี

    ภาพที่เราจะคุยกันในวันนี้มีชื่อว่า ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ (樊姬谏猎 / ฝานจีเตือนสติให้หยุดล่าสัตว์) ถูกพระราชทานไปที่พระตำหนักหย่งเหอกง ภาพจริงหน้าตาอย่างไร Storyฯ หาไม่พบเพราะมันสูญหายไปแล้ว ภาพที่นำมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกัน แต่มีชื่อเรียกว่า ‘ฝานจีก่านจวง’ (ฝานจีดลใจจวงหวาง) ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของภาพม้วนยาว ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ) ผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอกที่มี 9 ตอนจากเดิม 12 ตอน

    Storyฯ เคยกล่าวถึงภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้มาบ้างแล้วในบทความก่อนๆ เกี่ยวกับกงซวิ่นถู แต่ไม่ได้เล่าว่า ภาพทั้ง 12 ตอนของ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้วาดขึ้นตามเนื้อหาจากบันทึก ‘เลี่ยหนี่ว์จ้วน’ (列女传 / บันทึกเรื่องราวสตรีตัวอย่าง) ที่จัดทำขึ้นในสมัยฮั่นตะวันตกโดยหลี่เซี่ยง แบ่งเป็น 7 หมวดรวมเหตุการณ์ที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่างของจรรยาที่สตรีพึงมี จัดเป็นงานวรรณกรรมจำพวก ‘เหวินเหยียนเหวิน’ หรืองานวรรณกรรมภาษาโบราณ ปัจจุบันเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจมากขึ้นถึงมุมมองของสังคมในสมัยนั้น

    ‘ฝานจี’ ที่กล่าวถึงในภาพ ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ นี้ก็เป็นพระธิดาของกษัตริย์ผู้ครองแคว้นฝานและเป็นพระภรรยาของฉู่จวงหวาง (จวงอ๋อง) กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ในสมัยชุนชิว (ประมาณ 613-691 ปีก่อนคริสตกาล) จวงหวางแห่งแคว้นฉู่นี้ต่อมาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในห้าของผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยชุนชิว หรือที่เรียกว่า ‘ชุนชิวอู่ป้า’ (霸 /ป้า แปลได้ประมาณว่า เจ้าผู้ครองโลก)

    หลี่เซี่ยงเคยเขียนถึงจวงหวางไว้ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี”

    ฝานจีไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรที่จะช่วยจวงหวางยึดครองอาณาจักร ที่นางได้รับการยกย่องอย่างนี้เป็นเพราะนางคอยเตือนสติให้จวงหวางใส่ใจการบริหารบ้านเมือง ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องใดหรือใครจนทำให้ละเลยการบริหารบ้านเมือง แม้แต่สนมนางในฝานจีก็เป็นคนคัดเลือกเอง เพราะต้องการให้คนใกล้ชิดจวงหวางล้วนเป็นคนที่มีจรรยาและวางตัวได้ดี ไม่ยั่วยวนฉู่จวงหวางให้ลุ่มหลงมัวเมา (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้)

    มีหลายเหตุการณ์เกี่ยวกับการเตือนสติของฝานจีได้รับการบันทึกไว้และเล่ากันต่อมา แต่ ‘ผลงานสำคัญ’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอัครมหาเสนาบดีอวี๋ชิวจื่อ เขาเป็นขุนนางที่มีฝีมือและจงรักภักดี เป็นที่เคารพยกย่องและมีอิทธิพลมากในราชสำนัก... ว่ากันว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งจวงหวางโปรดปรานอวี๋ชิวจื่อมากจนเสวนาด้วยจนดึกดื่นทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งฝานจีเห็นจวงหวางกลับดึกมากจึงถามไถ่สาเหตุ จวงหวางตอบว่าอวี๋ซิวจื่อคนนี้มิเพียงฉลาดปราดเปรื่อง หากยังจงรักภักดี จึงชอบเสวนาด้วย แต่ฝานจีกลับหัวเราะขบขันแล้วยกตัวอย่างว่า ตัวนางเองก็เป็นที่โปรดปรานของจวงหวาง แต่ยังไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งจวงหวางไว้กับตนเพียงผู้เดียว หากแต่ยังช่วยสรรหาหญิงที่งามพร้อมจรรยามาช่วยดูแลปรนนิบัติ อวี๋ซิวจื่อผู้นี้แม้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่สิบปีที่ผ่านมาไม่เปิดโอกาสให้คนดีมีฝีมือนอกแวดวงของเขาเข้ามารับราชการ เสนอชื่อแต่เพียงคนใกล้ชิดและลูกศิษย์ให้เจริญก้าวหน้าไม่ลงโทษหนักแม้ทำผิด จะเรียกว่าจงรักภักดีทำเพื่อคุณประโยชน์ของประเทศได้อย่างไร?

    เป็นเรื่องเล่าต่อมาอีกว่า วันรุ่งขึ้นจวงหวางเล่าให้อวี๋ซิวจื่อฟังถึงคำพูดของฝานจี อวี๋ซิวจื่อได้ยินก็ฉุกใจคิดคล้อยตาม รู้สึกละอายใจจนเก็บตัวเงียบหลายวัน หลังจากนั้นเขาสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือใหม่ๆ เข้าราชสำนัก สุดท้ายค้นพบและเสนอชื่อซุนซูเอ้าให้มารับหน้าที่อัครมหาเสนาบดีแทนตน จากนั้นก็ขอเกษียณจากราชการ

    เหตุการณ์นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนโฉมแคว้นฉู่ ซุนซูเอ้าผู้นี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองและอัครมหาเสนาบดีที่เก่งกาจที่สุดในยุคสมัยนั้น เขาวางตนสมถะ ชี้นำให้จวงหวางยึดถือความสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้คำปรึกษาที่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจการเมืองและการทหาร กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แคว้นฉู่เจริญยิ่งใหญ่จนกลายเป็นหนึ่งในห้าแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดในสมัยนั้น

    จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี”

    เหตุการณ์ที่เล่าถึงในภาพกงซวิ่นถูนี้ เป็นการกล่าวถึงสมัยที่ฉู่จวงหวางขึ้นครองราชย์แคว้นฉู่ใหม่ๆ หลงรักการล่าสัตว์จนละเลยกิจการบ้านเมือง ฝานจีทั้งเตือนทั้งหว่านล้อมให้รามือหันมาดูแลบ้านเมืองเท่าไหร่ก็ไม่ใส่ใจ สุดท้ายนางจึงงดกินเนื้อสัตว์เป็นการประท้วงจนจวงหวางได้คิด เลิกเห็นการล่าสัตว์เป็นเรื่องบันเทิงและหันกลับมาให้เวลากับการบริหารบ้านเมือง

    ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘อี๋เจาซูเจิ้น’ (仪昭淑慎) แปลได้ประมาณว่า โอบอ้อมอารีมีสติ รักษาไว้ซึ่งจรรยาและพิธีการอันดีงาม Storyฯ เหมือนผ่านตาว่าวรรคนี้มีการพูดถึงและอธิบายไว้ในละครเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> ด้วย

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://zhuanlan.zhihu.com/p/40578846
    https://kknews.cc/zh-hk/news/m6lqj5g.html#google_vignette
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/列女传/869659
    http://www.guoxue.com/?people=fanji
    https://baike.baidu.com/item/樊姬/10584406
    http://dzrb.dzng.com/articleContent/17_1032125.html
    https://hk.epochtimes.com/news/2018-05-29/28583343
    https://baike.baidu.com/item/孙叔敖/669927

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ฝานจี #ฉู่จวงหวาง #ชุนชิวอู่ป้า #ฝานจีเจี้ยนเลี่ย #หนีว์สื่อเจิน #เลี่ยหนี่ว์จ้วน #หลี่เซี่ยง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    กลับมาคุยกันต่อถึงภาพที่ 9 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี ภาพที่เราจะคุยกันในวันนี้มีชื่อว่า ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ (樊姬谏猎 / ฝานจีเตือนสติให้หยุดล่าสัตว์) ถูกพระราชทานไปที่พระตำหนักหย่งเหอกง ภาพจริงหน้าตาอย่างไร Storyฯ หาไม่พบเพราะมันสูญหายไปแล้ว ภาพที่นำมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกัน แต่มีชื่อเรียกว่า ‘ฝานจีก่านจวง’ (ฝานจีดลใจจวงหวาง) ซึ่งเป็นตอนหนึ่งของภาพม้วนยาว ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ) ผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอกที่มี 9 ตอนจากเดิม 12 ตอน Storyฯ เคยกล่าวถึงภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้มาบ้างแล้วในบทความก่อนๆ เกี่ยวกับกงซวิ่นถู แต่ไม่ได้เล่าว่า ภาพทั้ง 12 ตอนของ ‘หนีว์สื่อเจิน’ นี้วาดขึ้นตามเนื้อหาจากบันทึก ‘เลี่ยหนี่ว์จ้วน’ (列女传 / บันทึกเรื่องราวสตรีตัวอย่าง) ที่จัดทำขึ้นในสมัยฮั่นตะวันตกโดยหลี่เซี่ยง แบ่งเป็น 7 หมวดรวมเหตุการณ์ที่ถูกยกมาเป็นตัวอย่างของจรรยาที่สตรีพึงมี จัดเป็นงานวรรณกรรมจำพวก ‘เหวินเหยียนเหวิน’ หรืองานวรรณกรรมภาษาโบราณ ปัจจุบันเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ชนรุ่นหลังเข้าใจมากขึ้นถึงมุมมองของสังคมในสมัยนั้น ‘ฝานจี’ ที่กล่าวถึงในภาพ ‘ฝานจีเจี้ยนเลี่ย’ นี้ก็เป็นพระธิดาของกษัตริย์ผู้ครองแคว้นฝานและเป็นพระภรรยาของฉู่จวงหวาง (จวงอ๋อง) กษัตริย์แห่งแคว้นฉู่ในสมัยชุนชิว (ประมาณ 613-691 ปีก่อนคริสตกาล) จวงหวางแห่งแคว้นฉู่นี้ต่อมาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในห้าของผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัยชุนชิว หรือที่เรียกว่า ‘ชุนชิวอู่ป้า’ (霸 /ป้า แปลได้ประมาณว่า เจ้าผู้ครองโลก) หลี่เซี่ยงเคยเขียนถึงจวงหวางไว้ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี” ฝานจีไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไรที่จะช่วยจวงหวางยึดครองอาณาจักร ที่นางได้รับการยกย่องอย่างนี้เป็นเพราะนางคอยเตือนสติให้จวงหวางใส่ใจการบริหารบ้านเมือง ไม่หลงไหลเคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องใดหรือใครจนทำให้ละเลยการบริหารบ้านเมือง แม้แต่สนมนางในฝานจีก็เป็นคนคัดเลือกเอง เพราะต้องการให้คนใกล้ชิดจวงหวางล้วนเป็นคนที่มีจรรยาและวางตัวได้ดี ไม่ยั่วยวนฉู่จวงหวางให้ลุ่มหลงมัวเมา (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) มีหลายเหตุการณ์เกี่ยวกับการเตือนสติของฝานจีได้รับการบันทึกไว้และเล่ากันต่อมา แต่ ‘ผลงานสำคัญ’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอัครมหาเสนาบดีอวี๋ชิวจื่อ เขาเป็นขุนนางที่มีฝีมือและจงรักภักดี เป็นที่เคารพยกย่องและมีอิทธิพลมากในราชสำนัก... ว่ากันว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งจวงหวางโปรดปรานอวี๋ชิวจื่อมากจนเสวนาด้วยจนดึกดื่นทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งฝานจีเห็นจวงหวางกลับดึกมากจึงถามไถ่สาเหตุ จวงหวางตอบว่าอวี๋ซิวจื่อคนนี้มิเพียงฉลาดปราดเปรื่อง หากยังจงรักภักดี จึงชอบเสวนาด้วย แต่ฝานจีกลับหัวเราะขบขันแล้วยกตัวอย่างว่า ตัวนางเองก็เป็นที่โปรดปรานของจวงหวาง แต่ยังไม่คิดจะเหนี่ยวรั้งจวงหวางไว้กับตนเพียงผู้เดียว หากแต่ยังช่วยสรรหาหญิงที่งามพร้อมจรรยามาช่วยดูแลปรนนิบัติ อวี๋ซิวจื่อผู้นี้แม้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่สิบปีที่ผ่านมาไม่เปิดโอกาสให้คนดีมีฝีมือนอกแวดวงของเขาเข้ามารับราชการ เสนอชื่อแต่เพียงคนใกล้ชิดและลูกศิษย์ให้เจริญก้าวหน้าไม่ลงโทษหนักแม้ทำผิด จะเรียกว่าจงรักภักดีทำเพื่อคุณประโยชน์ของประเทศได้อย่างไร? เป็นเรื่องเล่าต่อมาอีกว่า วันรุ่งขึ้นจวงหวางเล่าให้อวี๋ซิวจื่อฟังถึงคำพูดของฝานจี อวี๋ซิวจื่อได้ยินก็ฉุกใจคิดคล้อยตาม รู้สึกละอายใจจนเก็บตัวเงียบหลายวัน หลังจากนั้นเขาสรรหาและคัดเลือกคนดีมีฝีมือใหม่ๆ เข้าราชสำนัก สุดท้ายค้นพบและเสนอชื่อซุนซูเอ้าให้มารับหน้าที่อัครมหาเสนาบดีแทนตน จากนั้นก็ขอเกษียณจากราชการ เหตุการณ์นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสำคัญของการเปลี่ยนโฉมแคว้นฉู่ ซุนซูเอ้าผู้นี้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในนักการเมืองและอัครมหาเสนาบดีที่เก่งกาจที่สุดในยุคสมัยนั้น เขาวางตนสมถะ ชี้นำให้จวงหวางยึดถือความสุขของประชาชนเป็นที่ตั้ง ให้คำปรึกษาที่ดีทั้งด้านเศรษฐกิจการเมืองและการทหาร กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แคว้นฉู่เจริญยิ่งใหญ่จนกลายเป็นหนึ่งในห้าแคว้นที่เข้มแข็งที่สุดในสมัยนั้น จึงเป็นที่มาของวลีที่ว่า “ความยิ่งใหญ่ของฉู่จวงหวาง คือผลงานของฝานจี” เหตุการณ์ที่เล่าถึงในภาพกงซวิ่นถูนี้ เป็นการกล่าวถึงสมัยที่ฉู่จวงหวางขึ้นครองราชย์แคว้นฉู่ใหม่ๆ หลงรักการล่าสัตว์จนละเลยกิจการบ้านเมือง ฝานจีทั้งเตือนทั้งหว่านล้อมให้รามือหันมาดูแลบ้านเมืองเท่าไหร่ก็ไม่ใส่ใจ สุดท้ายนางจึงงดกินเนื้อสัตว์เป็นการประท้วงจนจวงหวางได้คิด เลิกเห็นการล่าสัตว์เป็นเรื่องบันเทิงและหันกลับมาให้เวลากับการบริหารบ้านเมือง ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘อี๋เจาซูเจิ้น’ (仪昭淑慎) แปลได้ประมาณว่า โอบอ้อมอารีมีสติ รักษาไว้ซึ่งจรรยาและพิธีการอันดีงาม Storyฯ เหมือนผ่านตาว่าวรรคนี้มีการพูดถึงและอธิบายไว้ในละครเรื่อง <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> ด้วย (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://zhuanlan.zhihu.com/p/40578846 https://kknews.cc/zh-hk/news/m6lqj5g.html#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/列女传/869659 http://www.guoxue.com/?people=fanji https://baike.baidu.com/item/樊姬/10584406 http://dzrb.dzng.com/articleContent/17_1032125.html https://hk.epochtimes.com/news/2018-05-29/28583343 https://baike.baidu.com/item/孙叔敖/669927 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ฝานจี #ฉู่จวงหวาง #ชุนชิวอู่ป้า #ฝานจีเจี้ยนเลี่ย #หนีว์สื่อเจิน #เลี่ยหนี่ว์จ้วน #หลี่เซี่ยง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • บขส.เปิดเส้นทางสนามบิน ไปหัวหิน-พัทยา

    ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. จะเปิดให้บริการรถโดยสารระบบขนส่งเสริม (Feeder) เส้นทางจากท่าอากาศยานเชื่อมต่อไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างรถโดยสารสาธารณะกับท่าอากาศยาน กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลัก และเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวภายในประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ได้แก่

    1. ท่าอากาศยานดอนเมือง-พัทยา จ.ชลบุรี ระยะทาง 162 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 155 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 30 นาที ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง

    2. ท่าอากาศยานดอนเมือง-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 216 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 200 บาท ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 30 นาที เฉพาะเที่ยวไป รถจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าวัดหัวหิน ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์ และสถานีเดินรถหัวหิน

    3. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-พัทยา ระยะทาง 127 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 122 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง

    สามารถตรวจสอบเวลาเดินรถ และจองตั๋วโดยสารได้ทางเว็บไซต์ https://tcl99web.transport.co.th

    • จากสนามบินดอนเมือง เลือกจังหวัด "กรุงเทพมหานคร" เลือกต้นทาง "ท่าอากาศยานดอนเมือง"

    • จากสนามบินสุวรรณภูมิ เลือกจังหวัด "สมุทรปราการ" เลือกต้นทาง "สุวรรณภูมิ(สนามบิน)021344099"

    • จากพัทยา เลือกจังหวัด "ชลบุรี" เลือกต้นทาง "พัทยา(กลาง) 038231142"

    • จากหัวหิน เลือกจังหวัด "ประจวบคีรีขันธ์" เลือกต้นทาง "หัวหิน032-511230"

    จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จะอยู่ที่อาคาร Service Hall ชั้น 1 ติดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ด้านทิศเหนือของสนามบินดอนเมือง

    จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะอยู่ที่ประตู 8 ชั้น 1 อาคารผู้โดยสาร โทร. 0-2134-4099

    จุดขึ้นรถที่เมืองพัทยา เที่ยวกลับ อยู่ที่ถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออก ระหว่างแยกพัทยาเหนือและแยกพัทยากลาง โทร. 0-3823-1142

    จุดขึ้นรถที่หัวหิน เที่ยวกลับ มี 2 จุด ได้แก่ สถานีเดินรถหัวหิน ถนนเพชรเกษม บริเวณแยกพุทธไชโย ซอยหัวหิน 91 ห่างจากสวนน้ำวานา นาวา ประมาณ 1 กิโลเมตร โทร. 0-3251-1230 และศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์

    การเปิดเส้นทางเดินรถดังกล่าว ผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ สามารถต่อรถทัวร์ไปหัวหินและพัทยาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นรถที่หมอชิต 2 อีกต่อไป รวมทั้งจากหัวหินไปดอนเมือง และจากพัทยาไปดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิโดยตรง ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น

    สอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ บขส. โทร. 0-2936-3660 หรือไลน์ @TCL99

    #Newskit
    บขส.เปิดเส้นทางสนามบิน ไปหัวหิน-พัทยา ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. จะเปิดให้บริการรถโดยสารระบบขนส่งเสริม (Feeder) เส้นทางจากท่าอากาศยานเชื่อมต่อไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างรถโดยสารสาธารณะกับท่าอากาศยาน กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลัก และเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวภายในประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ได้แก่ 1. ท่าอากาศยานดอนเมือง-พัทยา จ.ชลบุรี ระยะทาง 162 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 155 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 30 นาที ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง 2. ท่าอากาศยานดอนเมือง-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 216 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 200 บาท ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 30 นาที เฉพาะเที่ยวไป รถจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าวัดหัวหิน ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์ และสถานีเดินรถหัวหิน 3. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-พัทยา ระยะทาง 127 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 122 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง สามารถตรวจสอบเวลาเดินรถ และจองตั๋วโดยสารได้ทางเว็บไซต์ https://tcl99web.transport.co.th • จากสนามบินดอนเมือง เลือกจังหวัด "กรุงเทพมหานคร" เลือกต้นทาง "ท่าอากาศยานดอนเมือง" • จากสนามบินสุวรรณภูมิ เลือกจังหวัด "สมุทรปราการ" เลือกต้นทาง "สุวรรณภูมิ(สนามบิน)021344099" • จากพัทยา เลือกจังหวัด "ชลบุรี" เลือกต้นทาง "พัทยา(กลาง) 038231142" • จากหัวหิน เลือกจังหวัด "ประจวบคีรีขันธ์" เลือกต้นทาง "หัวหิน032-511230" จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จะอยู่ที่อาคาร Service Hall ชั้น 1 ติดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ด้านทิศเหนือของสนามบินดอนเมือง จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะอยู่ที่ประตู 8 ชั้น 1 อาคารผู้โดยสาร โทร. 0-2134-4099 จุดขึ้นรถที่เมืองพัทยา เที่ยวกลับ อยู่ที่ถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออก ระหว่างแยกพัทยาเหนือและแยกพัทยากลาง โทร. 0-3823-1142 จุดขึ้นรถที่หัวหิน เที่ยวกลับ มี 2 จุด ได้แก่ สถานีเดินรถหัวหิน ถนนเพชรเกษม บริเวณแยกพุทธไชโย ซอยหัวหิน 91 ห่างจากสวนน้ำวานา นาวา ประมาณ 1 กิโลเมตร โทร. 0-3251-1230 และศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์ การเปิดเส้นทางเดินรถดังกล่าว ผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ สามารถต่อรถทัวร์ไปหัวหินและพัทยาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นรถที่หมอชิต 2 อีกต่อไป รวมทั้งจากหัวหินไปดอนเมือง และจากพัทยาไปดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิโดยตรง ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น สอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ บขส. โทร. 0-2936-3660 หรือไลน์ @TCL99 #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีข่าวล่าสุดจากการประชุม 2025 China RISC-V Ecosystem Conference ที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2025 โดยบริษัท SOPHGO ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรุ่นที่พัฒนาขึ้นจากชิป SG2044 ซึ่งเป็นชิปประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และการประมวลผล AI นอกจากนี้ SOPHGO ยังได้นำเสนอการพัฒนาในด้านการรวมกันของสถาปัตยกรรม RISC-V และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ก้าวหน้าอย่างมาก

    รองประธานของ SOPHGO RISC-V ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับ "การบุกเบิกของ RISC-V ด้วย AI: การรวมกันและนวัตกรรมเฮเทอโรจีนัส" (heterogeneous) โดยได้เน้นถึงความสำเร็จในการรวมสถาปัตยกรรม RISC-V กับเทคโนโลยี AI ซึ่งได้เปิดทางให้การประมวลผลและการใช้พลังงานคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รวมถึงการพัฒนาโมเดลการทำนายขนาดใหญ่

    SOPHGO ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป SG2044 แบ่งเป็น 3 ซีรีส์ ได้แก่:
    1) เซิร์ฟเวอร์การประมวลผล SRA3-40: รองรับการประมวลผลหลายแกน และการคำนวณที่แม่นยำหลากหลายรูปแบบ
    2) เซิร์ฟเวอร์การเก็บข้อมูล SRB3-40: รองรับไดรฟ์หลายตัว ความจุใหญ่ และการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูง
    3) เซิร์ฟเวอร์รวมการทำงาน SRM3-40: รองรับการทำนายโมเดลขนาดใหญ่ พลังการประมวลผลสูง และประหยัดพลังงาน

    เซิร์ฟเวอร์รุ่น SRA3-40 จะเป็นเซิร์ฟเวอร์ RISC-V สมรรถนะสูงรุ่นแรกที่รวมเข้ากับเฟรมเวิร์ก DeepSeek อย่างลึกซึ้ง การใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป RISC-V นี้จะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับบริษัทที่ต้องการใช้พลังการประมวลผลในระดับสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการการคำนวณที่รวดเร็วและแม่นยำ

    ในงานแสดงสินค้าที่จัดขึ้น SOPHGO ได้มีการแสดงสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายการใช้งานของ RISC-V ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูงและเทอร์มินัลอัจฉริยะ

    การพัฒนาเทคโนโลยีของ SOPHGO นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการก้าวสู่การเป็นผู้นำในด้านการรวมเทคโนโลยี RISC-V และ AI

    https://www.techpowerup.com/333496/sophgo-unveils-new-products-at-the-2025-china-risc-v-ecosystem-conference
    มีข่าวล่าสุดจากการประชุม 2025 China RISC-V Ecosystem Conference ที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 27-28 กุมภาพันธ์ 2025 โดยบริษัท SOPHGO ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรุ่นที่พัฒนาขึ้นจากชิป SG2044 ซึ่งเป็นชิปประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในเซิร์ฟเวอร์และการประมวลผล AI นอกจากนี้ SOPHGO ยังได้นำเสนอการพัฒนาในด้านการรวมกันของสถาปัตยกรรม RISC-V และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ก้าวหน้าอย่างมาก รองประธานของ SOPHGO RISC-V ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับ "การบุกเบิกของ RISC-V ด้วย AI: การรวมกันและนวัตกรรมเฮเทอโรจีนัส" (heterogeneous) โดยได้เน้นถึงความสำเร็จในการรวมสถาปัตยกรรม RISC-V กับเทคโนโลยี AI ซึ่งได้เปิดทางให้การประมวลผลและการใช้พลังงานคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล รวมถึงการพัฒนาโมเดลการทำนายขนาดใหญ่ SOPHGO ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์สมรรถนะสูงรุ่นใหม่ที่ใช้ชิป SG2044 แบ่งเป็น 3 ซีรีส์ ได้แก่: 1) เซิร์ฟเวอร์การประมวลผล SRA3-40: รองรับการประมวลผลหลายแกน และการคำนวณที่แม่นยำหลากหลายรูปแบบ 2) เซิร์ฟเวอร์การเก็บข้อมูล SRB3-40: รองรับไดรฟ์หลายตัว ความจุใหญ่ และการโอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูง 3) เซิร์ฟเวอร์รวมการทำงาน SRM3-40: รองรับการทำนายโมเดลขนาดใหญ่ พลังการประมวลผลสูง และประหยัดพลังงาน เซิร์ฟเวอร์รุ่น SRA3-40 จะเป็นเซิร์ฟเวอร์ RISC-V สมรรถนะสูงรุ่นแรกที่รวมเข้ากับเฟรมเวิร์ก DeepSeek อย่างลึกซึ้ง การใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ชิป RISC-V นี้จะเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับบริษัทที่ต้องการใช้พลังการประมวลผลในระดับสูง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการการคำนวณที่รวดเร็วและแม่นยำ ในงานแสดงสินค้าที่จัดขึ้น SOPHGO ได้มีการแสดงสินค้าและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ดึงดูดความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายการใช้งานของ RISC-V ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การประมวลผลประสิทธิภาพสูงและเทอร์มินัลอัจฉริยะ การพัฒนาเทคโนโลยีของ SOPHGO นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการก้าวสู่การเป็นผู้นำในด้านการรวมเทคโนโลยี RISC-V และ AI https://www.techpowerup.com/333496/sophgo-unveils-new-products-at-the-2025-china-risc-v-ecosystem-conference
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SOPHGO Unveils New Products at the 2025 China RISC-V Ecosystem Conference
    On February 27-28, the 2025 China RISC-V Ecosystem Conference was grandly held at the Zhongguancun International Innovation Center in Beijing. As a core promoter in the RISC-V field, SOPHGO was invited to deliver a speech and prominently launch a series of new products based on the SG2044 chip, shar...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • ASUS ได้เปิดตัว ExpertCenter PN54 ซึ่งเป็นมินิพีซี Copilot+ ที่ใช้หน่วยประมวลผล AMD Ryzen AI 300 Series โดยการ์ดกราฟิก AMD Radeon ก็มาพร้อมกับพีซีรุ่นนี้ด้วย

    ExpertCenter PN54 ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานที่ต้องใช้ข้อมูลมากและแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เช่น การสร้างเนื้อหาด้วย AI การคอมไพล์โค้ด การวิเคราะห์ข้อมูล และการประชุม ด้วยหน่วยประมวลผล AMD Ryzen AI 300 Series รุ่นใหม่ที่มีแรมในชิปเพิ่มขึ้นถึง 50% และใช้เทคโนโลยี AMD Zen 5 ที่ออกแบบมาจากหน่วยประมวลผลเดสก์ท็อป ทำให้พีซีนี้มีประสิทธิภาพสูงและรองรับการทำงานที่หลากหลาย

    นอกจากนี้ ExpertCenter PN54 ยังมีการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมมาก เช่น WiFi 7, Bluetooth 5.4, และพอร์ต USB ถึง 6 พอร์ต รวมถึงยังรองรับการแสดงผลถึง 4 หน้าจอ 4K ทำให้การใช้งานในพื้นที่จำกัดหรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวสามารถทำได้ง่ายขึ้น

    จุดเด่นคือคุณสมบัติ AI ของ Copilot+ ที่สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การค้นหาข้อความและอีเมลเก่า การแปลคำบรรยายแบบเรียลไทม์ถึง 44 ภาษา และการสร้างงานศิลปะกราฟิกด้วยการพิมพ์คำสั่งง่าย ๆ คุณสมบัติเหล่านี้สามารถเปิดใช้งานได้ผ่านปุ่ม Copilot หรือใช้คำสั่งเสียงผ่านลำโพงและไมโครโฟนในตัว

    ที่น่าสนใจคือ ExpertCenter PN54 มีการออกแบบที่แข็งแรงทนทานและผ่านการทดสอบความคงทนในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อย่างเข้มงวด รวมถึงยังมีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย เช่น การล็อกอินด้วยลายนิ้วมือและเทคโนโลยี Trusted Platform Module (TPM) เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและการปกป้องข้อมูลสำคัญ

    https://www.techpowerup.com/333490/asus-intros-expertcenter-pn54-copilot-mini-pc-with-amd-ryzen-ai-300-series-processors
    ASUS ได้เปิดตัว ExpertCenter PN54 ซึ่งเป็นมินิพีซี Copilot+ ที่ใช้หน่วยประมวลผล AMD Ryzen AI 300 Series โดยการ์ดกราฟิก AMD Radeon ก็มาพร้อมกับพีซีรุ่นนี้ด้วย ExpertCenter PN54 ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานที่ต้องใช้ข้อมูลมากและแอปพลิเคชันที่ใช้ AI เช่น การสร้างเนื้อหาด้วย AI การคอมไพล์โค้ด การวิเคราะห์ข้อมูล และการประชุม ด้วยหน่วยประมวลผล AMD Ryzen AI 300 Series รุ่นใหม่ที่มีแรมในชิปเพิ่มขึ้นถึง 50% และใช้เทคโนโลยี AMD Zen 5 ที่ออกแบบมาจากหน่วยประมวลผลเดสก์ท็อป ทำให้พีซีนี้มีประสิทธิภาพสูงและรองรับการทำงานที่หลากหลาย นอกจากนี้ ExpertCenter PN54 ยังมีการเชื่อมต่อที่ครอบคลุมมาก เช่น WiFi 7, Bluetooth 5.4, และพอร์ต USB ถึง 6 พอร์ต รวมถึงยังรองรับการแสดงผลถึง 4 หน้าจอ 4K ทำให้การใช้งานในพื้นที่จำกัดหรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวสามารถทำได้ง่ายขึ้น จุดเด่นคือคุณสมบัติ AI ของ Copilot+ ที่สามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การค้นหาข้อความและอีเมลเก่า การแปลคำบรรยายแบบเรียลไทม์ถึง 44 ภาษา และการสร้างงานศิลปะกราฟิกด้วยการพิมพ์คำสั่งง่าย ๆ คุณสมบัติเหล่านี้สามารถเปิดใช้งานได้ผ่านปุ่ม Copilot หรือใช้คำสั่งเสียงผ่านลำโพงและไมโครโฟนในตัว ที่น่าสนใจคือ ExpertCenter PN54 มีการออกแบบที่แข็งแรงทนทานและผ่านการทดสอบความคงทนในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ อย่างเข้มงวด รวมถึงยังมีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย เช่น การล็อกอินด้วยลายนิ้วมือและเทคโนโลยี Trusted Platform Module (TPM) เพื่อป้องกันการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาตและการปกป้องข้อมูลสำคัญ https://www.techpowerup.com/333490/asus-intros-expertcenter-pn54-copilot-mini-pc-with-amd-ryzen-ai-300-series-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    ASUS Intros ExpertCenter PN54 Copilot+ mini PC with AMD Ryzen AI 300 Series Processors
    ASUS today announced ExpertCenter PN54, a high-performance Copilot+ mini PC powered by AMD Ryzen AI 300 Series processors and AMD Radeon graphics. ExpertCenter PN54 offers extensive connectivity, including WiFi 7 and Bluetooth 5.4, and is able to support up to four 4K displays. This mini PC enables ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020634
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000020634
    MGRONLINE.COM
    MEA เปิดรับสมัคร “โครงการทดลองเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าอัตรา TOU โดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับบ้านอยู่อาศัย” เริ่ม 10 มี.ค. 2568 นี้
    MEA หรือการไฟฟ้านครหลวง เปิดรับสมัครเข้าร่วม “โครงการทดลองเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าอัตรา TOU โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (สำหรับบ้านอยู่อาศัย)” เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทราบถึงค่าไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงหากปรับเปลี่ยนประเภทการใช้ไฟฟ้าเป็นอัตราต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 68 มุมมอง 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ดำน้ำสำรวจจุดที่เรือบาร์จชนปะการัง "เกาะทะลุ" ได้รับความเสียหาย​แนวยาวกว่า 50 เมตร ล่าสุด​ อช.แห่งชาติอ่าวสยาม ​(เตรียมการ)​ แจ้งความที่ สภ.บางสะพานน้อย​แล้ว

    วันนี้ (3 มี.ค.)​ นายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์​ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิดำน้ำบันทึกภาพจุดที่​เรือบรรทุกสินค้าปูนซีเมนต์โซ่สมอเรือที่ลากจูงเรือบาร์จขาด ส่งผลให้เรือบาร์จทั้ง 3 ลำไปชนกับแนวปะการังและโขดหิน ทำให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง หน้าเกาทะลุ จ.ประจวบฯ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที 26 กุมภาพันธ์ ​68 ที่ผ่านมา เพื่อเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล พบทั้ง​ปะการังแตกหัก​เห็นได้อย่างชัดเจนกินพื้นที่ความยาวประมาณ 60-70 เมตร ความกว้างประมาณ 3-5 เมตร เป็นแนวโค้งตั้งแต่หน้าบ่อเต่ายาวไปทางอ่าวเทียนครับ

    โดยล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายเอกฤทธิ์​ ดวงมาลา​ หน.อช.อ่าวสยาม (เตรียมการ)​ แจ้งว่าได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความที่​สภ.บางสะพานน้อย​เพื่อดำเนินการกับผู้ที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายแล้ว

    ทั้งนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ แจ้งการดำเนินการมาที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยแจ้งประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานในพื้นที่ เรียบร้อยแล้ว และให้ผู้ควบคุมเรือมาพบเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000020534

    #MGROnline #ปะการัง #เกาะทะลุ
    เจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ดำน้ำสำรวจจุดที่เรือบาร์จชนปะการัง "เกาะทะลุ" ได้รับความเสียหาย​แนวยาวกว่า 50 เมตร ล่าสุด​ อช.แห่งชาติอ่าวสยาม ​(เตรียมการ)​ แจ้งความที่ สภ.บางสะพานน้อย​แล้ว • วันนี้ (3 มี.ค.)​ นายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์​ เลขาธิการมูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม​ ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิดำน้ำบันทึกภาพจุดที่​เรือบรรทุกสินค้าปูนซีเมนต์โซ่สมอเรือที่ลากจูงเรือบาร์จขาด ส่งผลให้เรือบาร์จทั้ง 3 ลำไปชนกับแนวปะการังและโขดหิน ทำให้เกิดความเสียหายต่อปะการัง หน้าเกาทะลุ จ.ประจวบฯ ซึ่งเหตุเกิดเมื่อวันที 26 กุมภาพันธ์ ​68 ที่ผ่านมา เพื่อเก็บไว้เป็นฐานข้อมูล พบทั้ง​ปะการังแตกหัก​เห็นได้อย่างชัดเจนกินพื้นที่ความยาวประมาณ 60-70 เมตร ความกว้างประมาณ 3-5 เมตร เป็นแนวโค้งตั้งแต่หน้าบ่อเต่ายาวไปทางอ่าวเทียนครับ • โดยล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายเอกฤทธิ์​ ดวงมาลา​ หน.อช.อ่าวสยาม (เตรียมการ)​ แจ้งว่าได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความที่​สภ.บางสะพานน้อย​เพื่อดำเนินการกับผู้ที่ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติได้รับความเสียหายแล้ว • ทั้งนี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ แจ้งการดำเนินการมาที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยแจ้งประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานในพื้นที่ เรียบร้อยแล้ว และให้ผู้ควบคุมเรือมาพบเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000020534 • #MGROnline #ปะการัง #เกาะทะลุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 86 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชักแม่น้ำแจงเศรษฐกิจไม่โต 'แพทองธาร' อ้างลงทุนน้อย วอนขอความเชื่อมั่น
    .
    ณ จุดนี้ต้องบอกว่าปัจจัยแวดล้อมดูจะไม่เป็นประโยชน์ต่อตัว 'แพทองธาร ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี เท่าใดนัก โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ประกาศออกมาไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัฐบาลตั้งความหวังเอาไว้ จึงส่งผลต่อมายังตลาดหุ้นของไทยที่ตัวเลขแดงกันเกือบทั้งกระดาน
    .
    ในเรื่องนี้ แพทองธาร อธิบายผ่านรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” #EmpoweringThais ตอนหนึ่งว่า อยากพูดเรื่องของเศรษฐกิจมีตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ซึ่งมีหลายฝ่ายรู้สึกกังวลว่าเศรษฐกิจของเราไม่โต และรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน ซึ่งความจริงแล้วเศรษฐกิจภาพใหญ่ไตรมาส4 ปี 2567 จีดีพีเราขึ้น 3.2% รวมทั้งหมด ทั้งปีจีดีพีขึ้นอยู่ที่ 2.5% แค่ไตรมาส 4 อย่างเดียวขึ้นพอสมควร เกิดจากนโยบายฟรีวีซ่า การลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)
    .
    "แต่มีคำถามว่าทำไมประเทศของเราจีดีพีขึ้นน้อย รั้งท้ายอาเซียน เพราะความจริง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ หากเราไม่ทำให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้า เราจะตามคนอื่นไม่ทัน ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องดันจีดีพีประเทศไทยขึ้นด้วยกัน ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนดันต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย" นายกฯ ระบุ
    .
    "ก็ขอกำลังใจเยอะๆบางทีก็มีท้อบ้าง แต่ว่าไม่ท้อนานแน่นอน สู้ค่ะ ประเทศยังต้องการพัฒนา การผลักดันอีกเยอะ คนยังต้องการการสนับสนุนอีกเยอะ ดิฉันเองวันนี้ที่มีโอกาสเป็นนายกฯทำหน้าที่เต็มที่ที่สุด เพราะฉะนั้นปีแห่งโอกาส ทุกคนต้องมีความหวังและต้องได้รับโอกาสแน่นอน”
    .
    ด้าน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” จำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วย โดยเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก
    .
    ส่วนความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก
    .............
    Sondhi X
    ชักแม่น้ำแจงเศรษฐกิจไม่โต 'แพทองธาร' อ้างลงทุนน้อย วอนขอความเชื่อมั่น . ณ จุดนี้ต้องบอกว่าปัจจัยแวดล้อมดูจะไม่เป็นประโยชน์ต่อตัว 'แพทองธาร ชินวัตร' นายกรัฐมนตรี เท่าใดนัก โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ภายหลังตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ประกาศออกมาไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัฐบาลตั้งความหวังเอาไว้ จึงส่งผลต่อมายังตลาดหุ้นของไทยที่ตัวเลขแดงกันเกือบทั้งกระดาน . ในเรื่องนี้ แพทองธาร อธิบายผ่านรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” #EmpoweringThais ตอนหนึ่งว่า อยากพูดเรื่องของเศรษฐกิจมีตัวเลขจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ซึ่งมีหลายฝ่ายรู้สึกกังวลว่าเศรษฐกิจของเราไม่โต และรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน ซึ่งความจริงแล้วเศรษฐกิจภาพใหญ่ไตรมาส4 ปี 2567 จีดีพีเราขึ้น 3.2% รวมทั้งหมด ทั้งปีจีดีพีขึ้นอยู่ที่ 2.5% แค่ไตรมาส 4 อย่างเดียวขึ้นพอสมควร เกิดจากนโยบายฟรีวีซ่า การลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) . "แต่มีคำถามว่าทำไมประเทศของเราจีดีพีขึ้นน้อย รั้งท้ายอาเซียน เพราะความจริง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เราไม่ค่อยมีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ หากเราไม่ทำให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้า เราจะตามคนอื่นไม่ทัน ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องดันจีดีพีประเทศไทยขึ้นด้วยกัน ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนดันต้องใช้ความร่วมมือจากทุกฝ่าย" นายกฯ ระบุ . "ก็ขอกำลังใจเยอะๆบางทีก็มีท้อบ้าง แต่ว่าไม่ท้อนานแน่นอน สู้ค่ะ ประเทศยังต้องการพัฒนา การผลักดันอีกเยอะ คนยังต้องการการสนับสนุนอีกเยอะ ดิฉันเองวันนี้ที่มีโอกาสเป็นนายกฯทำหน้าที่เต็มที่ที่สุด เพราะฉะนั้นปีแห่งโอกาส ทุกคนต้องมีความหวังและต้องได้รับโอกาสแน่นอน” . ด้าน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” จำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วย โดยเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก . ส่วนความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก ............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    8
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 749 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง

    เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้

    ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้

    เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร

    มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น

    ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง

    ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้

    หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl)

    หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง

    พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา

    แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า

    ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง

    เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา

    เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.jitapuji.com/5258.html
    https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》
    https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://kknews.cc/news/8yly6nl.html
    https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette
    https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394
    https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499
    https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7
    https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx

    #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    ผ่านกันมานานเป็นเดือนกับบทความชุดเรื่องราวสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถู (宫训图) จากละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ยังคุยกันไม่ครบสิบสองภาพ แต่ขอคั่นเปลี่ยนเรื่องคุยกันบ้าง เรื่องที่จะคุยในวันนี้ไม่เกี่ยวกับละครหรือนวนิยาย แต่เป็นเรื่องเล่าจากเพลงที่ Storyฯ ชอบมากเพลงหนึ่ง เพลงนี้โด่งดังในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2018 เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์เพราะมีกลิ่นอายของงิ้วแฝงอยู่ มีชื่อว่า ‘ชึหลิง’ (赤伶) หรือ ‘นักแสดงสีชาด’ ร้องโดย HITA แต่งเนื้อร้องโดย ชิงเยี่ยน (清彦) ดนตรีโดย หลี่เจี้ยนเหิง (李建衡) ต่อมามีหลายคนนำมาขับร้อง ทั้งที่เปลี่ยนเนื้อร้องและทั้งที่ใช้เนื้อร้องเดิม เชื่อว่าคงมีเพื่อนเพจบางท่านเคยได้ยิน แต่ Storyฯ มั่นใจว่าน้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องราวที่แฝงไว้ในเพลงนี้ ‘หลิง’ หมายถึงนักแสดงละครงิ้ว ส่วน ‘ชึ’ แปลตรงตัวว่าสีแดงชาด และอาจย่อมาจากคำว่า ‘ชึซิน’ ที่แปลว่าใจที่จงรักภักดีหรือปณิธานแรงกล้า ชื่อเพลงที่สั้นเพียงสองอักษรแต่มีความหมายสองชั้น เนื้อเพลงก็แฝงความหมายสองสามชั้นเช่นกัน เนื้อเพลงค่อนข้างยาว Storyฯ ขอแปลไว้ในรูปภาพที่สองแทน บางคำแปลอย่างตรงตัวเพื่อให้เพื่อนเพจได้ตีความและเห็นถึงเสน่ห์ของความหมายหลายชั้นของเพลงนี้ เรื่องราวเบื้องหลังของเนื้อเพลง ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นอิงประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นเข้าบุกและยึดครองหลายพื้นที่ของจีน กล่าวถึงนักแสดงงิ้วนามว่า เผยเยี่ยนจือ ที่โด่งดังในเมืองอันหย่วน เขาถูกทหารญี่ปุ่นเชิญแกมบังคับให้ขึ้นแสดงงิ้ว โดยขู่ว่าหากเขาไม่ยอมแสดง ทหารก็จะเผาโรงละครทิ้ง แต่เผยเยี่ยนจือรับคำอย่างไม่อิดออดและรับจัดแสดงเรื่อง ‘พัดดอกท้อ’ (桃花扇 / เถาฮวาซ่าน) ในคืนที่แสดงนั้น เผยเยี่ยนจืออยู่บนเวทีร้องออกมาว่า “จุดไฟ” กว่าทหารญี่ปุ่นจะรู้ตัวก็ถูกกักอยู่ในโรงละครที่ลุกเป็นไฟ เพราะก่อนหน้านี้คณะละครได้ราดน้ำมันเตรียมวางเพลิงไว้แล้ว ไฟลามไปเรื่อยๆ ทหารญี่ปุ่นพยายามหนีตายแต่หนีไม่พ้น ละครงิ้วก็แสดงไปเรื่อยๆ จวบจนลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคณะละคร มันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยใช้เผยเยี่ยนจือเป็นตัวแทนความรักชาติของประชาชนคนธรรมดา แต่เสน่ห์ของเพลงนี้คือความหมายหลายชั้นของคำที่ใช้ ยังมีอีกสองประเด็นที่จะทำให้เราเข้าใจเพลงนี้ได้ดียิ่งขึ้น ประเด็นแรกคือปูมหลังทางวัฒนธรรม มีวลีจีนโบราณกล่าวไว้ว่า ‘นางคณิกาไร้ใจ นักแสดงไร้คุณธรรม’ ซึ่งมีบริบททางสังคมที่ดูถูกนักแสดงว่าเป็นชนชั้นต่ำ ทำทุกอย่างได้เพื่อความอยู่รอด เราจะเห็นในเนื้อเพลงนี้ว่า นักแสดงละครรำพันว่าแม้ตัวเองด้อยค่า แต่มิใช่ไร้ใจภักดีต่อชาติบ้านเมือง ประเด็นที่สองคือเรื่องราวของ ‘พัดดอกท้อ’ มันเป็นละครงิ้วในสมัยชิงที่นิยมแสดงกันมาจวบปัจจุบัน เป็นเรื่องราวรักรันทดของหลี่เซียงจวินและโหวฟางอวี้ หลี่เซียงจวินเป็นคณิกาชื่อดังสมัยปลายราชวงศ์หมิง อันเป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักวุ่นวาย ขุนนางทุจริตมากมาย ชาวบ้านเดือดร้อน ทั้งยังถูกรุกรานจากแมนจู นางเป็นหนึ่งในสุดยอดแปดนางคณิกาแห่งแม่น้ำฉินหวย เช่นเดียวกับหลิ่วหรูซื่อที่ Storyฯ เคยเขียนถึง (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid0yKKz9BJs6VheqVhGF7RAW67QKyFaA3PEVX5j9zxCpdd4VCaNpFdXo3pbB2xkAS2wl) หลี่เซียงจวินเป็นลูกขุนนางที่ได้รับโทษเพราะไปมีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริต ถูกเชื่อมโยงกลายเป็นต่อต้านราชสำนัก จึงถูกขายไปอยู่หอนางโลมเมื่ออายุเพียงแปดขวบ แต่ยังโชคดีที่แม่เล้ารับเป็นบุตรบุญธรรม จึงโตมาอย่างเพียบพร้อมด้านการศึกษาและความสามารถทางดนตรี เน้นขายศิลปะไม่ขายตัว นางพบรักกับโหวฟางอวี้ซึ่งเป็นราชบัณฑิตมาจากตระกูลขุนนาง แต่เพราะพ่อของเขามีส่วนพัวพันกับขบวนการต่อต้านขุนนางทุจริตและถูกกวาดล้างเช่นกัน ทางบ้านจึงตกอับยากจน ถึงขนาดต้องยืมเงินเพื่อนมาประมูลซื้อ ‘คืนแรก’ ของหลี่เซียงจวินเมื่อนางอายุครบสิบหกปี (เป็นธรรมเนียมของนางคณิกาสมัยนั้น เมื่ออายุสิบหกหากยังเป็นสาวพรหมจรรย์จะต้องเปิดประมูลซื้อตัว เป็นโอกาสที่จะได้แต่งงานเป็นฝั่งฝาไปกับผู้ชนะการประมูล แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นได้เพียงอนุภรรยา) ต่อมาทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันในหอนางโลมนั้นเอง พวกเขามารู้ความจริงทีหลังว่า เงินก้อนที่ยืมเพื่อนมานั้น จริงๆ แล้วเป็นเงินของหร่วนต้าเฉิง ขุนนางใจโหดที่กวาดล้างขบวนการต่อต้านราชสำนัก หร่วนต้าเฉิงประสงค์ใช้เงินก้อนนี้มาดึงโหวฟางอวี้เข้าเป็นพวกเพราะชื่นชมในความรู้ความสามารถของเขา แต่ทั้งคู่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับหร่วนต้าเฉิง หลี่เซียงจวินจึงขายเครื่องประดับเอาเงินมาใช้หนี้ สร้างความโกรธแค้นให้หร่วนต้าเฉิงไม่น้อย เขาแก้แค้นด้วยการยัดเยียดข้อหาจับกลุ่มเพื่อนของโหวฟางอวี้ขังคุก โหวฟางอวี้ตัดสินใจหนีไปเข้าร่วมกับกองกำลังรักชาติ ก่อนไปเขามอบพัดเป็นของแทนใจให้นาง หร่วนต้าเฉิงจึงเอาความแค้นมาลงที่หลี่เซียงจวินแทน เขาวางแผนบีบให้นางแต่งไปเป็นอนุของขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้ แต่นางเอาหัวชนเสาจนเลือดสาดไปบนพัดสลบไป เกิดเป็นคดีความใหญ่โตแต่ก็นับว่าหนีรอดจากการแต่งงานครั้งนี้ได้ ต่อมาเพื่อนของโหวฟางอวี้ได้วาดลายดอกท้อทับไปบนรอยเลือดบนพัด เกิดเป็นชื่อ ‘พัดดอกท้อ’ นี้ขึ้นมา แต่เรื่องยังไม่จบ สุดท้ายหร่วนต้าเฉิงวางแผนทำให้หลี่เซียงจวินถูกรับเข้าวังเป็นสนม เมื่อพระราชวังถูกตีแตก นางหนีรอดออกมาได้แต่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้คลาดกันกับโหวฟางอวี้ที่ย้อนกลับมาหานาง เรื่องเล่าบั้นปลายชีวิตของนางมีหลายเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นหนึ่งคือต่อมานางป่วยหนักจนตาย ทิ้งไว้เพียงพัดที่เปื้อนเลือดให้โหวฟางอวี้ดูต่างหน้า ส่วนโหวฟางอวี้นั้นอยู่กับกองกำลังรักชาติ แต่สุดท้ายชาติล่มสลาย บั้นปลายชีวิตไม่เหลือใคร จึงปลงผมออกบวช วรรคที่ถูกพูดเป็นงิ้วในเพลงนักแสดงสีชาดนี้ สื่อถึงการปล่อยวางความรักหญิงชาย เป็นวรรคที่ยกมาจากบทละครงิ้วเรื่องพัดดอกท้อในตอนที่เขาออกบวชนี้เอง เพลงหนึ่งเพลงกับเรื่องราวซ้อนกันสองชั้น บนเวทีแสดงเรื่องราวรักรันทดพลัดพรากให้คนชม นักแสดงอยู่บนเวทีก็มองดูเรื่องราวบ้านเมืองที่เกิดขึ้นข้างล่างเวที ส่วนคนฟังอย่างเราก็ดูทั้งเรื่องราวบนและล่างเวที คงจะกล่าวได้ว่า ‘นักแสดงสีชาด’ เป็นเพลงที่สะท้อนถึงสัจธรรมชีวิต... แท้จริงแล้วโลกเรานี้คือละคร เรามองคนอื่น คนอื่นก็มองเรา เข้าใจความหมายและเรื่องราวแล้ว ลองอ่านคำแปลเนื้อเพลงอีกครั้งและเชิญเพื่อนเพจอินกับเพลงกันได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=wIyq_jTZsBY&list=WL&index=245 หรือหาฟังเวอร์ชั่นอื่นได้ด้วยชื่อเพลง 赤伶 ค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://www.jitapuji.com/5258.html https://www.art-mate.net/doc/63311?name=千珊粵劇工作坊《桃花扇》 https://ppfocus.com/0/en57cfaab.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://kknews.cc/news/8yly6nl.html https://www.sohu.com/a/475761718_120934298#google_vignette https://baike.baidu.com/item/侯方域/380394 https://baike.baidu.com/item/桃花扇/5499 https://shidian.baike.com/wikiid/7245205732429414461?prd=mobile&anchor=lj2jc6p91rp7 https://so.gushiwen.cn/guwen/bookv_46653FD803893E4F8F70CCD565152E14.aspx #ชึหลิง #HITA #หลี่เซียงจวิน #โหวเซียงอวี้ #พัดดอกท้อ #เถาฮวาซ่าน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายการการจัดงาน เทศกาล กิจกรรม ระหว่างวันที่ 2 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2568

    หมายเหตุ:
    * อัปเดทล่าสุด วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 15.34 น.
    * สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีแอคเคาท์ Thaitimes จะปรากฏเฉพาะภาพที่โพสต์ในอัลบั้ม ซึ่งเป็นภาพปฏิทิน และจะไม่เห็นภาพโฆษณาการจัดงานในช่องความเห็น (comment) ท่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกำหนดการจัดงานล่วงหน้าแบบรายเดือนได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Fair Billboard
    รายการการจัดงาน เทศกาล กิจกรรม ระหว่างวันที่ 2 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2568 หมายเหตุ: * อัปเดทล่าสุด วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2568 เวลา 15.34 น. * สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีแอคเคาท์ Thaitimes จะปรากฏเฉพาะภาพที่โพสต์ในอัลบั้ม ซึ่งเป็นภาพปฏิทิน และจะไม่เห็นภาพโฆษณาการจัดงานในช่องความเห็น (comment) ท่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกำหนดการจัดงานล่วงหน้าแบบรายเดือนได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Fair Billboard
    Like
    1
    21 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    จากการสำรวจนิด้าโพลเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.58 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 12.82 ระบุว่า พอใจมาก ด้านความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.60 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.28 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 13.36 ระบุว่า พอใจมาก สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 25.04 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น และร้อยละ 12.29 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความพึงพอใจของประชาชนต่อการทำงานในแต่ละกระทรวงของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน พบว่า กระทรวงสาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 32.45 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 17.02 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.29 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 32.14 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.25 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 15.04 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพลังงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 14.11 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการคลัง ตัวอย่าง ร้อยละ 33.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.79 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.75 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 21.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.44 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.29 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 13.21 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 6.41 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 20.46 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.55 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.52 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.70 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 22.14 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงวัฒนธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 31.53 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.54 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 17.94 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.04 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.08 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 12.29 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.51 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงมหาดไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 24.27 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 1.53 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.99 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.91 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงอุตสาหกรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 30.92 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.01 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 11.68 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงยุติธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 32.90 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 27.02 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 24.50 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 11.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงคมนาคม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.03 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.37 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.92 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.21 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวอย่าง ร้อยละ 33.44 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 31.00 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 19.69 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.76 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 5.11 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงแรงงาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.80 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 25.65 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 25.42 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.53 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงกลาโหม ตัวอย่าง ร้อยละ 36.56 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 28.63 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 21.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 10.31 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ รองลงมา ร้อยละ 26.49 ระบุว่า ไม่พอใจเลย ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 9.39 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳

    📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥

    🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

    ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล!
    🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
    ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ
    ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย
    ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน
    ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย
    ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน

    💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง

    🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า
    ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
    ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง
    ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง

    ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ
    ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม

    🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง?
    ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥

    ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️

    ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢

    💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔

    🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่
    ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท
    ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย
    ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ

    ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข
    📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ
    ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน
    ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน
    ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ
    ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว

    📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม!

    🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳

    💬 คำถามคือ
    ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป?
    ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน?

    ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔

    📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่ 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳ 📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥 🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล! 🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน 💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง 🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม 🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง? ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥 ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️ ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢 💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔 🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่ ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง 📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข 📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว 📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม! 🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳ 💬 คำถามคือ ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป? ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน? ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔 📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเก็บมุกในจีนโบราณ

    สวัสดีค่ะ ผ่านบทความยาวๆ กันมาหลายสัปดาห์ วันนี้มาคุยกันสั้นหน่อยเกี่ยวกับการเก็บมุก เพื่อนเพจที่ได้ดู <ม่านมุกม่านหยก> คงจะจำได้ถึงเรื่องราวตอนเปิดเรื่องที่นางเอกเป็นทาสเก็บมุก และในฉากดำน้ำเก็บมุกจะเห็นว่าทาสเก็บมุกทุกคนมีถุงทรายช่วยถ่วงให้ลงน้ำได้เร็วขึ้น แต่ทุกคนดำน้ำได้ลึกมากและอึดมากจนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในสมัยก่อนเขาดำน้ำเก็บมุกกันอย่างนี้จริงๆ หรือ

    การดำน้ำเก็บมุกมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัด แต่ไข่มุกเป็นของบรรณาการที่ต้องส่งเข้าวังมาแต่โบราณโดยในสมัยฉินมีการกล่าวถึงอย่างชัดเจน และในเอกสารสมัยราชวงศ์ฮั่นก็มีการกล่าวถึงการเก็บมุกในฝั่งทะเลตอนใต้ในเขตการปกครองที่เรียกว่า ‘เหอผู่’ ปัจจุบันคือแถบตอนใต้ของมณฑลก่วงซี ว่ากันว่าชาวบ้านในแถบพื้นที่นั้นไม่มีอาชีพอื่นเลยนอกจากเก็บมุก และเด็กเริ่มฝึกลงทะเลดำน้ำตั้งแต่อายุสิบขวบ

    การเก็บมุกในทะเลมีมาเรื่อยตลอดทุกยุคสมัย ยกเว้นในสมัยซ่งที่มีการประกาศห้ามลงทะเลเก็บมุกเพราะอันตรายเกินไปและมีการพัฒนามุกน้ำจืดและเรือเก็บหอยมุก แต่เมื่อพ้นสมัยซ่งก็กลับมาใช้คนลงทะเลเก็บมุกกันอีก โดยเฉพาะในสมัยหมิงการเก็บมุกทำกันอย่างขยันขันแข็ง มีคนเก็บมุกกว่าแปดพันคน จนทำให้จำนวนมุกที่เก็บได้มากสุดและจำนวนคนเก็บมุกตายมากสุดในประวัติศาสตร์จีน ทำเอามุกทะเลธรรมชาติร่อยหรอจนในสมัยชิงหันมาใช้ ‘มุกตะวันออก’ ซึ่งก็คือมุกน้ำจืดที่เก็บจากบริเวณแม่น้ำซงหัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

    ว่ากันว่ากรรมวิธีการดำน้ำเก็บมุกในทะเลไม่ได้เปลี่ยนไปมากตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมัน แต่เอกสารบรรยายเกี่ยวกับวิธีการเก็บมุกมีน้อยมาก และเอกสารที่คนมักใช้อ้างอิงคือบันทึก ‘เทียนกงคายอู้’ (天工开物 /The Exploitation of the Works of Nature) ซึ่งเป็นหนังสือสมัยหมิงจัดทำขึ้นโดยซ่งอิงซิงเมื่อปีค.ศ. 1637 หนังสือเล่มนี้บรรยายถึงกว่า 300 อาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกรรมวิธีการผลิตที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการเก็บมุกด้วย

    จริงๆ แล้ว ‘เทียนกงคายอู้’ เป็นเอกสารบรรยาย แต่ต่อมามีคนอิงเอกสารนี้จัดวาดเป็นภาพขึ้นในหลากหลายเวอร์ชั่น Storyฯ เอาเวอร์ชั่นที่คนส่วนใหญ่อ้างอิงเพราะใกล้เคียงกับคำบรรยายมากที่สุดมาให้ดู (รูปประกอบ 2)

    ‘เทียนกงคายอู้’ อธิบายไว้ว่า... เรือเก็บมุกจะรูปทรงอ้วนกว่าเรืออื่นและหัวมน บนเรือมีฟางมัดเป็นแผ่น เมื่อผ่านน้ำวนให้โยนแผ่นฟางลงไป เรือก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย... คนเก็บมุกลงน้ำพร้อมตะกร้าไผ่ เอวถูกมัดไว้กับเชือกยาวที่ถูกยึดไว้บนเรือ... คนเก็บมุกมีหลอดโค้งทำจากดีบุก ปลายหลอดเสียบเข้าที่จมูกและใช้ถุงหนังนิ่มพันรอบคอและซอกหูเพื่อช่วยหายใจ... คนที่ดำลงได้ลึกจริงๆ สามารถลงไปถึงสี่ห้าร้อยฉื่อ (ประมาณ 90-115 เมตร) เพื่อเก็บหอยมุกใส่ตะกร้า เมื่ออากาศใกล้หมดก็จะกระตุกเชือกให้คนข้างบนดึงขึ้นไป เมื่อขึ้นไปแล้วต้องรีบเอาผืนหนังต้มร้อนมาห่อตัวให้อุ่นเพื่อจะได้ไม่แข็งตาย

    ในหนังสือ ‘เทียนคายกงอู้’ ไม่ได้บรรยายไว้ว่าคนเก็บมุกแต่งกายอย่างไร แต่ข้อมูลอื่นรวมถึงภาพวาดหลายเวอร์ชั่นแสดงให้เห็นว่าในสมัยโบราณนั้น คนเก็บมุกใช้หินมัดไว้ที่เอวเพื่อถ่วงให้จมเร็วขึ้นและลงน้ำโดยไม่ใส่เสื้อผ้าเลย โดยปกติแล้วคนเก็บมุกออกเรือด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กและจับคู่กันเช่นพ่อลูกหรือพี่น้องชายผลัดกันดึงเชือกผลัดกันดำลงไป

    แม้ว่าการบรรยายข้างต้นจะพอให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกเหมือน Storyฯ ว่าคำบรรยายในหนังสือยังมีประเด็นชวนสงสัยอีก เป็นต้นว่า ท่อหายใจกับถุงหนังต่อเข้ากันอย่างไร? กันน้ำได้อย่างไร? อากาศในถุงหนังคือคนเป่าเข้าไป? ฯลฯ แต่จนใจที่ Storyฯ หาข้อมูลเพิ่มเติมไม่พบ เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็รบกวนมาเล่าสู่กันฟังนะคะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g62771163/the-story-of-pearl-girl/
    https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm
    https://news.bjd.com.cn/read/2021/07/23/134795t172.html
    https://baike.baidu.com/item/天工开物/29312
    https://core.ac.uk/download/pdf/323959493.pdf

    #ม่านมุกม่านหยก #มุกทะเลใต้ #การเก็บมุก #คนเก็บมุก #ไฉ่จู #สาระจีน
    การเก็บมุกในจีนโบราณ สวัสดีค่ะ ผ่านบทความยาวๆ กันมาหลายสัปดาห์ วันนี้มาคุยกันสั้นหน่อยเกี่ยวกับการเก็บมุก เพื่อนเพจที่ได้ดู <ม่านมุกม่านหยก> คงจะจำได้ถึงเรื่องราวตอนเปิดเรื่องที่นางเอกเป็นทาสเก็บมุก และในฉากดำน้ำเก็บมุกจะเห็นว่าทาสเก็บมุกทุกคนมีถุงทรายช่วยถ่วงให้ลงน้ำได้เร็วขึ้น แต่ทุกคนดำน้ำได้ลึกมากและอึดมากจนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าในสมัยก่อนเขาดำน้ำเก็บมุกกันอย่างนี้จริงๆ หรือ การดำน้ำเก็บมุกมีมาแต่สมัยใดไม่ปรากฏชัด แต่ไข่มุกเป็นของบรรณาการที่ต้องส่งเข้าวังมาแต่โบราณโดยในสมัยฉินมีการกล่าวถึงอย่างชัดเจน และในเอกสารสมัยราชวงศ์ฮั่นก็มีการกล่าวถึงการเก็บมุกในฝั่งทะเลตอนใต้ในเขตการปกครองที่เรียกว่า ‘เหอผู่’ ปัจจุบันคือแถบตอนใต้ของมณฑลก่วงซี ว่ากันว่าชาวบ้านในแถบพื้นที่นั้นไม่มีอาชีพอื่นเลยนอกจากเก็บมุก และเด็กเริ่มฝึกลงทะเลดำน้ำตั้งแต่อายุสิบขวบ การเก็บมุกในทะเลมีมาเรื่อยตลอดทุกยุคสมัย ยกเว้นในสมัยซ่งที่มีการประกาศห้ามลงทะเลเก็บมุกเพราะอันตรายเกินไปและมีการพัฒนามุกน้ำจืดและเรือเก็บหอยมุก แต่เมื่อพ้นสมัยซ่งก็กลับมาใช้คนลงทะเลเก็บมุกกันอีก โดยเฉพาะในสมัยหมิงการเก็บมุกทำกันอย่างขยันขันแข็ง มีคนเก็บมุกกว่าแปดพันคน จนทำให้จำนวนมุกที่เก็บได้มากสุดและจำนวนคนเก็บมุกตายมากสุดในประวัติศาสตร์จีน ทำเอามุกทะเลธรรมชาติร่อยหรอจนในสมัยชิงหันมาใช้ ‘มุกตะวันออก’ ซึ่งก็คือมุกน้ำจืดที่เก็บจากบริเวณแม่น้ำซงหัวทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ว่ากันว่ากรรมวิธีการดำน้ำเก็บมุกในทะเลไม่ได้เปลี่ยนไปมากตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมัน แต่เอกสารบรรยายเกี่ยวกับวิธีการเก็บมุกมีน้อยมาก และเอกสารที่คนมักใช้อ้างอิงคือบันทึก ‘เทียนกงคายอู้’ (天工开物 /The Exploitation of the Works of Nature) ซึ่งเป็นหนังสือสมัยหมิงจัดทำขึ้นโดยซ่งอิงซิงเมื่อปีค.ศ. 1637 หนังสือเล่มนี้บรรยายถึงกว่า 300 อาชีพที่เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและกรรมวิธีการผลิตที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการเก็บมุกด้วย จริงๆ แล้ว ‘เทียนกงคายอู้’ เป็นเอกสารบรรยาย แต่ต่อมามีคนอิงเอกสารนี้จัดวาดเป็นภาพขึ้นในหลากหลายเวอร์ชั่น Storyฯ เอาเวอร์ชั่นที่คนส่วนใหญ่อ้างอิงเพราะใกล้เคียงกับคำบรรยายมากที่สุดมาให้ดู (รูปประกอบ 2) ‘เทียนกงคายอู้’ อธิบายไว้ว่า... เรือเก็บมุกจะรูปทรงอ้วนกว่าเรืออื่นและหัวมน บนเรือมีฟางมัดเป็นแผ่น เมื่อผ่านน้ำวนให้โยนแผ่นฟางลงไป เรือก็จะผ่านไปได้อย่างปลอดภัย... คนเก็บมุกลงน้ำพร้อมตะกร้าไผ่ เอวถูกมัดไว้กับเชือกยาวที่ถูกยึดไว้บนเรือ... คนเก็บมุกมีหลอดโค้งทำจากดีบุก ปลายหลอดเสียบเข้าที่จมูกและใช้ถุงหนังนิ่มพันรอบคอและซอกหูเพื่อช่วยหายใจ... คนที่ดำลงได้ลึกจริงๆ สามารถลงไปถึงสี่ห้าร้อยฉื่อ (ประมาณ 90-115 เมตร) เพื่อเก็บหอยมุกใส่ตะกร้า เมื่ออากาศใกล้หมดก็จะกระตุกเชือกให้คนข้างบนดึงขึ้นไป เมื่อขึ้นไปแล้วต้องรีบเอาผืนหนังต้มร้อนมาห่อตัวให้อุ่นเพื่อจะได้ไม่แข็งตาย ในหนังสือ ‘เทียนคายกงอู้’ ไม่ได้บรรยายไว้ว่าคนเก็บมุกแต่งกายอย่างไร แต่ข้อมูลอื่นรวมถึงภาพวาดหลายเวอร์ชั่นแสดงให้เห็นว่าในสมัยโบราณนั้น คนเก็บมุกใช้หินมัดไว้ที่เอวเพื่อถ่วงให้จมเร็วขึ้นและลงน้ำโดยไม่ใส่เสื้อผ้าเลย โดยปกติแล้วคนเก็บมุกออกเรือด้วยกันเป็นกลุ่มเล็กและจับคู่กันเช่นพ่อลูกหรือพี่น้องชายผลัดกันดึงเชือกผลัดกันดำลงไป แม้ว่าการบรรยายข้างต้นจะพอให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกเหมือน Storyฯ ว่าคำบรรยายในหนังสือยังมีประเด็นชวนสงสัยอีก เป็นต้นว่า ท่อหายใจกับถุงหนังต่อเข้ากันอย่างไร? กันน้ำได้อย่างไร? อากาศในถุงหนังคือคนเป่าเข้าไป? ฯลฯ แต่จนใจที่ Storyฯ หาข้อมูลเพิ่มเติมไม่พบ เพื่อนเพจท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมก็รบกวนมาเล่าสู่กันฟังนะคะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://www.harpersbazaar.com/tw/culture/drama/g62771163/the-story-of-pearl-girl/ https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.epochtimes.com/gb/18/3/14/n10216310.htm https://news.bjd.com.cn/read/2021/07/23/134795t172.html https://baike.baidu.com/item/天工开物/29312 https://core.ac.uk/download/pdf/323959493.pdf #ม่านมุกม่านหยก #มุกทะเลใต้ #การเก็บมุก #คนเก็บมุก #ไฉ่จู #สาระจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนมีนาคม 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข

    ในเดือน มีนาคมเป็นเดือน กี้ เบ้านักษัตร เถาะ พลังไม้ ธาตุดิน ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน
    ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการลงทุนลงแรง พัฒนาต่อยอด การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง สิ่งประดิษฐ์ สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ต สถานบันเทิง

    ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนเถาะ จะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน

    https://youtu.be/LiK3ts9-Sas

    ดูดวง 12 นักษัตร เดือนกุมภาพันธ์ 2568
    00:00 บทนำ
    01:20 ดวง ปีชวด (หนู)
    03:14 ดวง ปีฉลู (วัว)
    05:06 ดวง ปีขาล (เสือ)
    07:00 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย)
    08:40 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่)
    10:34 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก)
    12:37 ดวง ปีมะเมีย (ม้า)
    14:06 ดวง ปีมะแม (แพะ)
    16:00 ดวง ปีวอก (ลิง)
    18:04ข ดวง ปีระกา (ไก่)
    19:51 ดวง ปีจอ (หมา)
    21:37 ดวง ปีกุน (หมู)

    คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 5 มีนาคมถึงวันที่ 3 เมษายน 2568
    คำทำนายของพื้นดวงชะตา ในเดือนมีนาคม 2568 ของคนที่เกิดในแต่ละปีนักษัตร ทั้ง 12 ราศี ว่าพื้นดวงชะตาของแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกหรือด้านลบอย่างไร เรื่องใดโดดเด่นและเรื่องใดต้องระมัดระวังแก้ไข ในเดือน มีนาคมเป็นเดือน กี้ เบ้านักษัตร เถาะ พลังไม้ ธาตุดิน ตามหลักโป้ยหยี่ซีเถียวโหราศาสตร์จีน พลังของปีและพลังธาตุของเดือนส่งเสริมกัน ส่งผลให้ในเดือนนี้มีพลังแห่งการลงทุนลงแรง พัฒนาต่อยอด การขยายงาน ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง สิ่งประดิษฐ์ สินค้าการเกษตร การเพาะปลูก ร้านอาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ต สถานบันเทิง ในเดือนนี้ คนที่เกิดในนักษัตรที่มีพลังธาตุสอดคล้องกับเดือนเถาะ จะได้รับผลดีและหากนักษัตรใด มีพื้นดวงขัดแย้ง ก็ต้องระวังผลเสียที่เข้ากระทบ เช่นกัน https://youtu.be/LiK3ts9-Sas ดูดวง 12 นักษัตร เดือนกุมภาพันธ์ 2568 00:00 บทนำ 01:20 ดวง ปีชวด (หนู) 03:14 ดวง ปีฉลู (วัว) 05:06 ดวง ปีขาล (เสือ) 07:00 ดวง ปีเถาะ (กระต่าย) 08:40 ดวง ปีมะโรง (งูใหญ่) 10:34 ดวง ปีมะเส็ง (งูเล็ก) 12:37 ดวง ปีมะเมีย (ม้า) 14:06 ดวง ปีมะแม (แพะ) 16:00 ดวง ปีวอก (ลิง) 18:04ข ดวง ปีระกา (ไก่) 19:51 ดวง ปีจอ (หมา) 21:37 ดวง ปีกุน (หมู) คำทำนายนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ วันที่ 5 มีนาคมถึงวันที่ 3 เมษายน 2568
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 95 มุมมอง 0 รีวิว
  • ABI Research ได้ทำการคาดการณ์เกี่ยวกับตลาดเทคโนโลยีในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยระบุถึงเทคโนโลยีที่กำลังจะเติบโตและจะหดตัว โดยสิ่งที่น่าสนใจคือการคาดการณ์ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) จะเติบโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงเครื่องมือจัดการข้อมูลที่จะสร้างมูลค่ามากมาย

    ==เทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว==
    1) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs): จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 35% เนื่องจากการใช้งานเพิ่มขึ้นในซอฟต์แวร์องค์กรต่างๆ
    2) เครื่องมือจัดการข้อมูล: การเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์จะสร้างโอกาสมูลค่ามากกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029
    3) อุปกรณ์สมาร์ทโฮม: คาดว่าอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในบ้านจะเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี และมีการจัดส่งถึง 500 ล้านหน่วย
    4) แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses): คาดว่าการใช้แว่นตาอัจฉริยะในการทำงานจะเติบโตขึ้น โดยมียอดส่งถึง 20.23 ล้านหน่วยในปี 2029
    5) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid Robots): คาดว่าจะมีการส่งออกถึง 180,000 หน่วยต่อปีภายในปี 2030 เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงและความต้องการในด้านการบริการและบันเทิง
    6) ซอฟต์แวร์และบริการด้านความปลอดภัย: ความต้องการซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนเครือข่าย 5G และบริการที่เกี่ยวข้องจะเติบโตอย่างมาก
    7) ระบบการจัดการคลังสินค้า: คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการวางแผนและวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    8) การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับประสิทธิภาพการดำเนินงาน: การแก้ปัญหาด้านข้อมูลจะเติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี เนื่องจากความสำคัญของการใช้ข้อมูลและความโปร่งใสในการดำเนินงาน

    ==เทคโนโลยีที่อาจมีการหดตัวหรือลดลง==
    1) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์: แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 แต่การส่งแท็บเล็ตคาดว่าจะลดลงอย่างช้าๆ จนถึงปี 2029
    2) สมาร์ทโฟน: คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะเติบโตแบบไม่ต่อเนื่องเนื่องจากความต้องการที่ลดลงและรอบการเปลี่ยนทดแทนที่ยาวขึ้น
    3) ชิปเซ็ต CPU ของดาต้าเซ็นเตอร์: ส่วนแบ่งตลาดจะลดลงจาก 26% เป็น 18% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
    4) บล็อกเชนอุตสาหกรรม: รายได้จะลดลง 2% ต่อปีเนื่องจากแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้
    5) ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Cloud Hyperscalers): คาดว่าจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากศูนย์ข้อมูลท้องถิ่นที่มีความเข้าใจในข้อบังคับท้องถิ่น
    6) ฮาร์ดแวร์ด้านความปลอดภัย: อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 7% เนื่องจากมีซอฟต์แวร์ที่ทำงานแทนฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม
    7) ซอฟต์แวร์การโปรแกรมหุ่นยนต์แบบออฟไลน์: คาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กเผชิญกับความท้าทาย
    8) อุปกรณ์ VR แบบมีสายและมือถือ: การส่งออกของอุปกรณ์เหล่านี้จะคงที่และคิดเป็นเพียง 34% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2029

    การคาดการณ์นี้แสดงถึงทิศทางของตลาดเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางแผนการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ

    https://www.zdnet.com/article/this-5-year-tech-industry-forecast-predicts-some-surprising-winners-and-losers/
    ABI Research ได้ทำการคาดการณ์เกี่ยวกับตลาดเทคโนโลยีในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยระบุถึงเทคโนโลยีที่กำลังจะเติบโตและจะหดตัว โดยสิ่งที่น่าสนใจคือการคาดการณ์ว่าโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) จะเติบโตขึ้นอย่างมาก รวมถึงเครื่องมือจัดการข้อมูลที่จะสร้างมูลค่ามากมาย ==เทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็ว== 1) โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs): จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 35% เนื่องจากการใช้งานเพิ่มขึ้นในซอฟต์แวร์องค์กรต่างๆ 2) เครื่องมือจัดการข้อมูล: การเติบโตของเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) และปัญญาประดิษฐ์จะสร้างโอกาสมูลค่ามากกว่า 200 พันล้านดอลลาร์ในปี 2029 3) อุปกรณ์สมาร์ทโฮม: คาดว่าอุปกรณ์สำหรับความปลอดภัยและความสะดวกสบายในบ้านจะเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี และมีการจัดส่งถึง 500 ล้านหน่วย 4) แว่นตาอัจฉริยะ (Smart Glasses): คาดว่าการใช้แว่นตาอัจฉริยะในการทำงานจะเติบโตขึ้น โดยมียอดส่งถึง 20.23 ล้านหน่วยในปี 2029 5) หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ (Humanoid Robots): คาดว่าจะมีการส่งออกถึง 180,000 หน่วยต่อปีภายในปี 2030 เนื่องจากต้นทุนที่ลดลงและความต้องการในด้านการบริการและบันเทิง 6) ซอฟต์แวร์และบริการด้านความปลอดภัย: ความต้องการซอฟต์แวร์ความปลอดภัยบนเครือข่าย 5G และบริการที่เกี่ยวข้องจะเติบโตอย่างมาก 7) ระบบการจัดการคลังสินค้า: คาดว่าจะมีการลงทุนถึง 8.6 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับการสนับสนุนจากการวางแผนและวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น 8) การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับประสิทธิภาพการดำเนินงาน: การแก้ปัญหาด้านข้อมูลจะเติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี เนื่องจากความสำคัญของการใช้ข้อมูลและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ==เทคโนโลยีที่อาจมีการหดตัวหรือลดลง== 1) แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์: แม้ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2024 แต่การส่งแท็บเล็ตคาดว่าจะลดลงอย่างช้าๆ จนถึงปี 2029 2) สมาร์ทโฟน: คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนจะเติบโตแบบไม่ต่อเนื่องเนื่องจากความต้องการที่ลดลงและรอบการเปลี่ยนทดแทนที่ยาวขึ้น 3) ชิปเซ็ต CPU ของดาต้าเซ็นเตอร์: ส่วนแบ่งตลาดจะลดลงจาก 26% เป็น 18% ในอีก 5 ปีข้างหน้า 4) บล็อกเชนอุตสาหกรรม: รายได้จะลดลง 2% ต่อปีเนื่องจากแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ไม่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้ 5) ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Cloud Hyperscalers): คาดว่าจะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากศูนย์ข้อมูลท้องถิ่นที่มีความเข้าใจในข้อบังคับท้องถิ่น 6) ฮาร์ดแวร์ด้านความปลอดภัย: อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ 7% เนื่องจากมีซอฟต์แวร์ที่ทำงานแทนฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม 7) ซอฟต์แวร์การโปรแกรมหุ่นยนต์แบบออฟไลน์: คาดว่ารายได้จะเติบโตเฉลี่ย 8.5% ต่อปี ทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ขนาดเล็กเผชิญกับความท้าทาย 8) อุปกรณ์ VR แบบมีสายและมือถือ: การส่งออกของอุปกรณ์เหล่านี้จะคงที่และคิดเป็นเพียง 34% ของการส่งออกทั้งหมดในปี 2029 การคาดการณ์นี้แสดงถึงทิศทางของตลาดเทคโนโลยีในอนาคต ซึ่งผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อวางแผนการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ https://www.zdnet.com/article/this-5-year-tech-industry-forecast-predicts-some-surprising-winners-and-losers/
    WWW.ZDNET.COM
    This 5-year tech industry forecast predicts some surprising winners - and losers
    Here's what will be hot or not in technology markets over the next five years, as projected by ABI Research. Do you agree?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง

    ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10)

    Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง)

    บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้)

    เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง

    ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034

    ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร

    เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน

    ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย

    ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป

    ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน

    คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872)

    อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย

    เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง

    ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร

    ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9
    https://www.sohu.com/a/394407332_100120829
    https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html
    http://www.guoxue.com/?p=42472
    https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html
    https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5
    https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    มาถึงรูปที่ 8 ของ 12 กงซวิ่นถู (宫训图) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก โดยเป็นภาพที่เล่าเรื่องราวของพระภรรยาในประวัติศาสตร์ที่ถูกจารึกไว้ซึ่งคุณงามความดี วันนี้เราคุยกันถึงภาพที่แขวนในพระตำหนักเหยียนสี่กง ในละครเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่พระทับของลิ่งเฟย (เว่ยอิงหลัว) ซึ่งก็คือฮองเฮาเซี่ยวอี๋ฉุน ฮองเฮาองค์ที่สามของเฉียนหลงฮ่องเต้ แต่... ในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 ซึ่งเป็นปีที่จัดทำกงซวิ่นถูกขึ้นนั้น ในละครเว่ยอิงหลัวเพิ่งเข้าวังเป็นนางกำนัลยังไม่ได้เป็นสนม (ในประวัติศาสตร์จริงเชื่อว่านางเข้าถวายตัวเป็นนางกำนัลในช่วงรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6-9 ได้รับการแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหรินในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 10) Storyฯ หาไม่พบว่าในปีที่จัดทำกงซวิ่นถูนั้น พระตำหนักเหยียนสี่กงเป็นที่ประทับของพระองค์ใด แต่ภาพที่ถูกพระราชทานมายังพระตำหนักนี้คือภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ (曹后重农图 / เฉาฮองเฮาให้ความสำคัญกับการเกษตร) แต่ภาพจริงสูญหายไปแล้ว ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพเรื่องราวเดียวกันจากสมัยองค์คังซี เป็นผลงานของช่างวาดหลวงเจียวปิ่งเจิน มีชื่อว่า ‘จิ้งย่วนจ้งกู่’ (禁苑种谷/ เพาะเมล็ดพืชในพระราชวัง) บุคคลที่ถูกกล่าวถึงในภาพก็คือเฉาฮองเฮาในจักรพรรดิซ่งเหรินจง (จักรพรรดิองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ซ่ง) เพื่อนเพจบางท่านอาจคุ้นเคยกับเรื่องราวของเฉาฮองเฮาจากละครเรื่อง <วังเดียวดาย> วันนี้เรามาคุยกันเกี่ยวกับสตรีผู้ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในฮองเฮาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีนคนนี้ (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์ในบทความนี้) เฉาฮองเฮา (ค.ศ. 1016-1079) นามเดิมในละคร <วังเดียวดาย> คือเฉาตานซู แต่ Storyฯ หาข้อมูลไม่พบว่านี่ใช่นามเดิมที่ถูกต้องหรือไม่ ทราบแต่ว่านางมาจากตระกูลเรืองอำนาจ เป็นบุตรีของเฉาฉี่ซึ่งมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสูงในกรมราชสำนักและเป็นหลานปู่ของแม่ทัพเฉาปินซึ่งเป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญในการก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง ซ่งเหรินจงเดิมทีมีฮองเฮาอยู่แล้วคือกัวฮองเฮา แต่ภายหลังจากหลิวเอ๋อไทเฮาสิ้นชีพลง ซ่งเหรินจงสั่งปลดกัวฮองเฮาด้วยข้ออ้างว่านางไม่สามารถมีบุตรสืบสกุลให้ได้ เหล่าขุนนางจึงเสนอชื่อธิดาสกุลเฉาวัยสิบแปดปีผู้นี้เป็นฮองเฮา ว่ากันว่าซ่งเหรินจงไม่ชอบนาง แต่นางกลับเป็นที่ถูกใจของฮุ่ยหยางไทเฮา เพราะนางไม่สวยเย้ายวน ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้มัวเมาจนละเลยหน้าที่การงาน สุดท้ายนางได้รับการสถาปนาเป็นฮองเฮาในปีค.ศ. 1034 ในบันทึกประวัติศาสตร์ซ่ง (宋史) จารึกถึงนางไว้ว่าเป็นคนมีเมตตาโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับการเกษตร มักปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหมในวังเพื่อพัฒนาการเกษตร เฉาฮองเฮาถูกยกย่องว่าวางตนได้ดีเยี่ยม และนางระมัดระวังไม่ก้าวก่ายงานราชการ ไม่เคยพบปะกับคนในตระกูลเฉาตามลำพังให้เป็นที่สงสัยหรือเปิดโอกาสให้เป็นครหาได้ว่าตระกูลเฉาใช้อำนาจในทางที่ผิด แม้แต่ญาติของนางบางคนยังถึงขนาดขอลดตำแหน่งราชการลงหรือขอลาออกจากตำแหน่งสำคัญภายหลังจากที่นางได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฮองเฮาแล้ว และตลอดเวลาที่นางดำรงตำแหน่งนี้ ตระกูลเฉาพยายามหลีกเลี่ยงไม่รับตำแหน่งขุนนางระดับสูงใดๆ นอกจากนี้ นางยังวางตัวอย่างสงบในวังหลัง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เคร่งครัดเรื่องกฎเกณฑ์ในวัง ฉลาดใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพจากทั้งฝ่ายนอกและฝ่ายใน ซ่งเหรินจงไม่ได้รักและโปรดปรานนาง และมีหลายครั้งที่คิดจะปลดนางเพื่อยกกุ้ยเฟยคนโปรดขึ้นแทน แต่เพราะนางวางตัวได้ไร้ที่ติ อีกทั้งปกครองวังหลังได้ดี สุดท้ายซ่งเหรินจงจึงไม่ได้ปลดนางและยังต้องให้เกียรตินางเป็นอย่างดีอีกด้วย ต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดิซ่งอิงจง ซ่งอิงจงป่วยหนักภายหลังจากขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน นางในฐานะไทเฮาถูกเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนและออกว่าราชการหลังม่าน แต่มักหารือด้วยกับเหล่าขุนนาง ไม่ใช้อำนาจโดยพละการ จนงานราชการผ่านไปได้ด้วยดี หนึ่งปีให้หลังองค์ซ่งอิงจงหายป่วย เฉาไทเฮาก็คืนอำนาจบริหารบ้านเมืองให้ฮ่องเต้ บ้างว่านางเสนอคืนอำนาจเอง บ้างก็ว่านางถูกบีบโดยเหล่าขุนนาง ในรัชสมัยของซ่งอิงจงสี่ปีนี้ แม้ซ่งอิงจงมีความขัดแย้งกับนางมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่จนทำให้สถานะของนางคลอนแคลนหรือความยำเกรงในตัวนางหายไป ในรัชสมัยขององค์ซ่งเสินจง นางเป็นไทฮองไทเฮาก็ได้รับความเคารพรักอย่างมากจากซ่งเสินจง นางยังคงวางตัวอย่างระมัดระวังเช่นเดิม แต่ในรัชสมัยของซ่งอิงจงนี้ มีเรื่องราวที่นางมีบทบาทต่อชีวิตของคนสองคนในราชสำนักที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของจีน คนแรกก็คือ อัครมหาเสนาบดีหวางอันสือ เขาคือนักปฏิรูปด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่แนวทางปฏิรูปของเขาทำไปได้ประมาณ 3-4 ปีก็ได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ว่ากันว่าเฉาไทฮองไทเฮาก็เป็นหนึ่งในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง แต่นางก็ชื่นชมในความสามารถของหวางอันสือ เมื่อสถานการณ์ราชสำนักตึงเครียดถึงขีดสุด ซ่งเสินจงเองก็หวั่นไหวกับความคิดที่จะล้มเลิกแผนปฏิรูปนี้ นางได้แนะนำซ่งเสินจงว่า หวางอันสือมีศัตรูในราชสำนักมากเกินไป หากต้องการรักษาชีวิตคนผู้นี้ไว้ ควรให้ออกจากราชการไปหลบพายุทางการเมืองสักพักแล้วค่อยกลับมาใหม่ แต่สุดท้ายหวางอันสือเลือกที่จะไม่มารับราชการอีกเลย (หมายเหตุ Storyฯ เคยเขียนถึงเรื่องที่เขาแต่งบทกกวี ‘เหมยฮวา’ มาแล้ว อ่านย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/672174234910872) อีกบุคคลหนึ่งคือซูซึ หรือซูตงปอ (กวีเอกสมัยนั้น) เขาถูกจำคุกเนื่องจากเขียนบทประพันธ์พาดพิงวิจารณ์เรื่องปฏิรูปข้างต้น ว่ากันว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุดของซูตงปอ ในช่วงเวลานั้น เฉาไทฮองไทเฮาป่วยหนัก ก่อนตายนางได้บอกกับซ่งเสินจงว่า ซูซึผู้นี้ เมื่อครั้งที่สอบราชบัณฑิตในรัชสมัยของซ่งเหรินจง ซ่งเหรินจงเคยบอกว่าเขาผู้นี้มีความสามารถพอที่จะเป็นถึงอัครเสนาบดีในอนาคตได้ และนางไม่อยากให้เขาต้องหมดอนาคตอยู่ในคุกด้วยเรื่องการเมือง สุดท้ายซูตงปอได้รับการปล่อยออกจากคุกและถูกลดตำแหน่งและให้ไปประจำที่เมืองหางโจว เรียกได้ว่า หากไม่ใช่เพราะนาง ชาวจีนอาจไม่มีโอกาสได้เห็นคุณงามความดีของขุนนางที่ชื่อซูซึที่หางโจว หรือผลงานวรรณกรรมอันมีค่าของซูตงปอต่อไปอีกเลย เมื่อนางสิ้นชีพลงด้วยวัยหกสิบสี่ปี องค์ซ่งเสินจงเศร้าโศกเป็นอย่างมาก เขาปรับระดับคนจากตระกูลเฉาขึ้นเป็นขุนนางระดับสูงกว่าสี่สิบคน และแต่งตั้งย้อนหลังให้เป็นฉือเซิ่งกวงเซี่ยนฮองเฮา เพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของนาง ภาพ ‘เฉาโฮ่วจ้งหนง’ นี้บรรยายถึงกิจกรรมประจำวันของเฉาฮองเฮาตั้งแต่เมื่อครั้งเข้าวังใหม่ๆ ซึ่งก็คือการเพาะปลูกธัญพืชและเลี้ยงหนอนไหม และภาพนี้ถูกตีความว่าหมายถึงความขยันหมั่นเพียร ส่วนป้ายที่องค์เฉียนหลงพระราชทานไปคู่กับภาพนี้เขียนไว้ว่า ‘เซิ่นจ้านเวยอิน’ (慎赞徽音) แปลได้ประมาณว่า ความระมัดระวังตนนำมาซึ่งความเคารพยกย่อง เป็นประโยคที่สะท้อนได้ดีถึงชีวิตของสตรีที่อดทนและเฉลียวฉลาดคนนี้... เฉาฮองเฮาไม่ได้รับความรักความโปรดปรานจากสามี ไม่มีลูก และไม่เคยใช้ตระกูลเฉาเป็นฐานอำนาจ แต่ตลอดชีวิตในวังเกือบห้าสิบปีผ่านสามรัชสมัย นางกลับได้รับความเคารพยำเกรงด้วยคุณงามความดีและการวางตัวของนางเอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=114318e9a8c1c9eee79397a9 https://www.sohu.com/a/394407332_100120829 https://baike.baidu.com/item/清焦秉贞绘禁苑种谷图/386137 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: http://www.takungpao.com/culture/237140/2019/1207/387125.html http://www.guoxue.com/?p=42472 https://www.duguoxue.com/ershisishi/12686.html https://www.soundofhope.org/post/472643?lang=b5 https://www.silpa-mag.com/history/article_23090#google_vignette #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฉาฮองเฮา #ซ่งเหรินจง #วังเดียวดาย #หวางอันสือ #ซูตงปอ #เฉาโฮ่วจ้งหนง #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • 39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี

    🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543

    นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน

    🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP)

    📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย
    - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519
    - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529

    นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก

    🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่
    ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา
    ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ
    ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
    ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม"

    📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด

    🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃

    📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม

    🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ

    🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้

    💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️

    🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน

    👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน"
    ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม

    ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก
    1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน
    2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ
    3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน

    เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

    🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"?
    🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า

    👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก

    👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา

    💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้

    📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ"

    🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ
    ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร?
    ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่?
    ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?
    ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้?

    แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน

    🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก
    📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน
    📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529
    📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน
    📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568

    #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    39 ปี ลอบสังหารนายกสวีเดน "อูลอฟ พัลเมอ" คดีปริศนาที่ใช้เวลาสืบสวนนาน 34 ปี 🕵️‍♂️ เหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำประเทศ ที่เป็นปริศนายาวนานที่สุดในโลก ย้อนไปเมื่อ 39 ปี ที่ผ่านมา ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 สวีเดนต้องเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่อ "อูลอฟ พัลเมอ" (Olof Palme) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม คดีนี้ใช้เวลาสืบสวนนานถึง 34 ปี ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะประกาศปิดคดี โดยมีการตั้งข้อสงสัยว่า "สตีก เอ็งสเตริม" (Stig Engström) เป็นผู้ก่อเหตุ แต่เจ้าตัวเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 นี่คือหนึ่งในคดีฆาตกรรมทางการเมือง ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และยังคงเป็นที่ถกเถียง ในแวดวงกฎหมายและสื่อมวลชน มาจนถึงปัจจุบัน 🔎 นายกรัฐมนตรีสวีเดน ผู้ทรงอิทธิพลและขั้วขัดแย้ง ✨ "สเวน อูลอฟ โยอาคิม พัลเมอ" (Sven Olof Joachim Palme) เกิดเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2470 เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสวีเดน และเป็นผู้นำของพรรคสังคมประชาธิปไตยสวีเดน (Social Democrats - SAP) 📌 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย - วาระแรก พ.ศ. 2512 - 2519 - วาระที่สอง พ.ศ. 2525 - 2529 นายกพัลเมอเป็นนักการเมืองที่มีแนวคิดก้าวหน้า สนับสนุนสิทธิแรงงาน สวัสดิการสังคม และต่อต้านสงคราม มีนโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ขั้วมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา หรือสหภาพโซเวียต ทำให้ถูกมองว่า เป็นบุคคลที่ "แตกต่าง" ในเวทีการเมืองโลก 🌍 นักการเมืองที่กล้าท้าทายอำนาจโลก นายกพัลเมอเป็นผู้นำชาวตะวันตกคนแรกที่ ✅ เดินทางไปเยือนคิวบา และพบกับ "ฟิเดล คาสโตร" หลังการปฏิวัติคิวบา ✅ วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม และการปกครองแบบเผด็จการ ✅ ต่อต้านระบอบแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ ✅ เปรียบเทียบการทิ้งระเบิดฮานอยของสหรัฐฯ กับ "อาชญากรรมสงคราม" 📢 ความกล้าของนายกพัลเมอ ทำให้มีทั้งผู้สนับสนุนและศัตรูมากมาย และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ที่นำไปสู่การลอบสังหารในท้ายที่สุด 🔫 คืนสังหาร 28 กุมภาพันธ์ 2529 คืนวันศุกร์ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์สวีเดนตลอดกาล 🌃 📍 เหตุเกิดที่ถนนสเวียแวเกน (Sveavägen) หนึ่งในถนนที่คึกคักที่สุด ของกรุงสต็อกโฮล์ม 🚶‍♂️ ไม่มีการ์ดคุ้มกัน ในคืนนั้น นายกพัลเมอและภรรยา "ลิสเบต พัลเมอ" (Lisbeth Palme) ตัดสินใจไปชมภาพยนตร์ "The Mozart Brothers" โดย ไม่ได้มีบอดี้การ์ดไปด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนายกพัลเมอ 🕵️‍♂️ มือปืนลอบสังหาร เวลา 23.21 น. นายกพัลเมอและภรรยา เดินออกจากโรงภาพยนตร์ มือปืนเดินปรี่เข้ามาจากด้านหลัง และจ่อยิงนายกพัลเมอเข้ากลางหลังหนึ่งนัด ด้วยปืนลูกโม่ .357 แม็กนัม เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ และจ่อยิงภรรยานายกพัลเมออีกหนึ่งนัด แล้วหลบหนีไป โดยไม่มีใครสามารถจับตัวได้ 💥 การลอบสังหารครั้งนี้ เป็นการฆาตกรรมผู้นำประเทศสวีเดนครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2335 ใช้เวลาสืบสวนที่ยาวนาน 34 ปี 🏛️ 🔍 การสอบสวนครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์สวีเดน มีพยานถูกสอบปากคำหลายพันคน บุคคลที่ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย มากกว่า 130 ราย คดีนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบตำรวจ และกฎหมายของสวีเดน 👤 ผู้ต้องสงสัยรายแรก "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" ปี 2531 ตำรวจจับกุม "คริสเตอร์ เพ็ตเตอช็อน" (Christer Pettersson) ชายติดยาในพื้นที่ และศาลตัดสินว่า มีความผิดฐานฆาตกรรม ❌ แต่ภายหลัง ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสิน และปล่อยตัวเขาเป็นอิสระ เนื่องจาก 1️⃣ ไม่มีหลักฐานชัดเจน 2️⃣ อาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่เคยถูกพบ 3️⃣ แรงจูงใจในการสังหารไม่ชัดเจน เพ็ตเตอช็อนเสียชีวิตในปี 2547 ทำให้การสืบสวน หวนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง 🛑 ปิดคดีในปี 2563: ฆาตกรคือ "สกันเดียแมน"? 🔎 ในเดือน มิถุนายน 2563 คณะอัยการสวีเดนประกาศว่า 👉 สตีก เอ็งสเตริม (Stig Engström) หรือ "สกันเดียแมน" เป็นผู้ต้องสงสัยหลัก 👨‍💼 "สกันเดียแมน" เป็นนักออกแบบกราฟิก ทำงานที่บริษัท "สกันเดีย" (Skandia) ใกล้ที่เกิดเหตุ มีทักษะในการใช้ปืน ได้วิพากษ์วิจารณ์นายกพัลเมออย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีปัญหาด้านการเงิน และติดสุรา 💀 แต่ปัญหาคือ เอ็งสเตริมเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ทำให้ ไม่มีทางนำตัวมาพิจารณาคดีในชั้นศาลได้ 📢 "การสืบสวนจึงถูกปิด โดยไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ" 🤔 คำถามที่ยังไร้คำตอบ ❓ แรงจูงใจของฆาตกรคืออะไร? ❓ เป็นแผนลอบสังหาร จากรัฐบาลเผด็จการหรือไม่? ❓ มีองค์กรลับอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า? ❓ เหตุใดตำรวจถึงใช้เวลานานถึง 34 ปี ในการสรุปคดีนี้? แม้ว่าอัยการจะปิดคดีนี้ไปแล้ว แต่ข้อสงสัยมากมายยังคงอยู่ ทำให้เหตุการณ์นี้กลายเป็น "ปริศนาแห่งสวีเดน" ที่จะถูกพูดถึงไปอีกนาน 🔥 คดีฆาตกรรมที่สะเทือนโลก 📌 "อูลอฟ พัลเมอ" เป็นนายกฯ ที่มีอุดมการณ์ชัดเจน 📌 ถูกลอบสังหารกลางกรุงสต็อกโฮล์ม ในปี 2529 📌 คดีนี้สืบสวนนาน 34 ปี ก่อนสรุปว่า "สตีก เอ็งสเตริม" เป็นมือปืน 📌 คดีถูกปิด แต่คำถามมากมาย ยังคงไม่มีคำตอบ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 282037 ก.พ. 2568 #OlofPalme #ฆาตกรรมปริศนา #ลอบสังหาร #คดีดัง #สวีเดน #TrueCrime
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ปราชญ์ สามสี' เปิดแฟ้มลับ! เมื่อ World Uyghur Congress รับเงินสหรัฐฯ เพื่อปั้นข่าวลวงโจมตีจีน
    https://www.thai-tai.tv/news/17434/
    'ปราชญ์ สามสี' เปิดแฟ้มลับ! เมื่อ World Uyghur Congress รับเงินสหรัฐฯ เพื่อปั้นข่าวลวงโจมตีจีน https://www.thai-tai.tv/news/17434/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    by Tyler Durden
    Friday, Feb 28, 2025
    Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute,

    In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years.



    Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit.

    If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point.

    This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation.

    Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves.

    Where Did the Gold at Fort Knox Come From?
    In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.”

    That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad.

    Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold.

    So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934.

    Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.”

    The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold.

    The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds
    Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie.

    Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain:

    By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient.

    So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.”

    In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today.

    Defaulting on International Gold Obligations
    Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.”

    US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies
    The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.”

    Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold.

    If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends.

    https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans by Tyler Durden Friday, Feb 28, 2025 Authored by Ryan McMaken via The Mises Institute, In recent days, President Donald Trump, Elon Musk, Senator Rand Paul, and some others have pressed for an audit of the US gold reserves, with a special focus on the gold at Fort Knox. This is perfectly reasonable given that the US gold reserves - which are the property of the US Treasury and not the Federal Reserve - have not undergone even a partial audit in at least forty years. Part of the reason for the audit is to discover if any of the gold has been stolen. The US Mint, the government agency that acts as custodian of the gold, has reported for many years that the official size of the gold reserve is 8,133.46 metric tons of gold. Since there has been no audit in so many decades, though, the Mint’s position is essentially “trust us, bro.” Trusting federal bureaucrats has never been a particularly wise policy, and this is why there are ongoing demands for some sort of transparent audit. If the total size of the US’s gold holdings is revealed to be a number below the official number, then it will just be the latest reminder that there a great many thieves and incompetents among the people running the US federal government. After all, if there is less gold than reported in the US gold reserves, it was presumably stolen at some point. This would be a fitting destiny for the US government’s gold since much of that was stolen to begin with. When I say “stolen,” I don’t even mean in the sense that “taxation is theft” and that the US bought the gold using tax dollars. In truth, the way the US Treasury acquired much of its gold hoard is even more underhanded than ordinary taxation. Rather, it is likely that most of the gold at Fort Knox, as with the US regime’s gold in general, is gold stolen from ordinary Americans as a part of Franklin Roosevelt’s efforts to end the gold standard and confiscate private gold holdings in the United States. That is, the US gold reserves are a legacy of the way the US government reneged on its promises to redeem US dollars in gold. Rather than pay out the gold that was owed to holders of US dollars, the US government hoarded it instead. That stolen gold is what the auditors will be counting if the US government ever allows an honest accounting of the Treasury’s gold reserves. Where Did the Gold at Fort Knox Come From? In his 1994 article for The Journal of Economic Education, economist William C. Wood writes that “the Fort Knox depository is now an artifact of gold standard days.“ He then adds, “The gold currently in Fort Knox came from the melting of Depression-era gold coins, from lend-lease arrangements in War II, and from government operations under the gold standard.” That reference to “Depression-era gold coins” is telling. Most of those gold coins were likely the coins confiscated from private owners by the US government following Roosevelt’s Executive Order 6102 which outlawed the private ownership of gold. Few Americans owned gold bars, of course, and the gold that was in non-institutional private hands was mostly gold coin. Roosevelt’s edict required that private citizens hand this gold over to the US government in exchange for what was effectively below-market prices. And what if you would rather not give up your property to the US government? Too bad. Moreover, private banks and the central bank held gold in the form of coins for dollar holders who, prior to confiscation, would occasionally present US dollars for redemption in gold. This is, in part, the gold in Fort Knox that that Wood classifies as gold held for “government operations under the gold standard.” After 1933, however, banks did not need to hold onto any gold coins for this purpose since Roosevelt’s effort to end the gold standard included a prohibition on banks paying out gold. So, these coins ceased to have an immediate market value among banks. Where did all these gold coins end up? Most ended up with the US Treasury after the Treasury seized the Federal Reserve’s gold in 1934. Evidence of this can be found in the nature of the gold that is now held at Fort Knox. Wood further explains that the gold there is not the type of gold usually found in gold bars used for international transactions: “The gold resulting from melting of coinage has considerably lower quality than the ‘fine’ or ‘good delivery’ gold commonly used in international trade. The majority of the gold in Fort Knox is the lower-quality coin gold.” The legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933, however. Much of the gold that is in the US gold reserves today is gold that would have been paid out to the private sector had the US government not reneged in its promises to pay war bonds in gold. The 1934 Default on Gold-Based Liberty Bonds Every time there is a debate over the so-called “debt ceiling,” various servants of the US regime like Jerome Powell or Janet Yellen claim that “the United States has never defaulted.” This is a lie. Arguably, it was a default, in the broad sense, when Roosevelt’s regime refused to make good on its obligations to dollar holders under the gold standard. The US also defaulted in a formal and legal sense when it refused to pay its World War I Liberty Bonds in gold as promised. Specifically, in 1934, the United States defaulted on the fourth Liberty Bond. The contracts between debtor and creditor on these bonds was clear. The bonds were to be payable in gold. This presented a big problem for the US, which was facing big debts into the 1930s after the First World War. As described by John Chamberlain: By the time Franklin Roosevelt entered office in 1933, the interest payments alone were draining the treasury of gold; and because the treasury had only $4.2 billion in gold it was obvious there would be no way to pay the principal when it became due in 1938, not to mention meet expenses and other debt obligations. These other debt obligations were substantial. Ever since the 1890s the Treasury had been gold short and had financed this deficit by making new bond issues to attract gold for paying the interest of previous issues. The result was that by 1933 the total debt was $22 billion and the amount of gold needed to pay even the interest on it was soon going to be insufficient. So how did the US government deal with this? Chamberlain notes “Roosevelt decided to default on the whole of the domestically-held debt by refusing to redeem in gold to Americans.” In other words, thanks to its profligate deficit spending, the US government was running out of gold by the early 1930s. So, the regime defaulted on the gold bonds. The gold that would have passed into private hands was hoarded by the federal government and declared off limits to the public. Much of that gold remains in the US gold reserves today. Defaulting on International Gold Obligations Not all of the US Treasury’s gold is stolen from ordinary Americans. Some is stolen from foreign governments. Another illustration of the dishonesty of the “we never defaulted” narrative is the fact that the US government defaulted in 1971 on its obligations to foreign government under the Bretton Woods system. That is, rather than pay what was owed to foreign governments, the US government once again decided to steal this gold and simply said “tough luck” to everyone with a legal claim to the gold. Or, as Treasury Secretary John Connally said at the time, the dollar “is our currency, but it’s your problem.” US Gold Reserves: A Legacy of Theft and Lies The gold reserve was never supposed to be a static, untouchable hoard of the US federal government, as it is now. It was supposed to be there for Americans and other users of dollars who traded in their dollars for gold. Gold was supposed to flow in and out. Then, the US government slammed the doors of the federal gold vaults shut and declared “the gold is all ours forever.” Like most everything else the US government “owns,” the gold in the US gold reserves is there due to many years of lies, gaslighting, and deception. The gold is there because the US regime defaulted on its debts and reneged on its promises to back dollars in gold. If a true auditing team is ever allowed to actually examine the US regime’s gold, it will be examining the evidence of crimes from long ago. The auditors will be counting the gold stolen from our ancestors to enrich the state and its friends. https://www.zerohedge.com/precious-metals/gold-fort-knox-was-stolen-americans
    WWW.ZEROHEDGE.COM
    The Gold At Fort Knox Was Stolen From Americans
    ...the legacy of the US regime’s gold theft is not limited to the coins that happened to be in private hands in 1933...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับแสดงดนตรี พร้อมเครื่องเสียง เพลงยุค 70-2000 เพลงตามกระแสปัจจุบันไทยสากล copyshow ติดต่อ0855534194 phoenix band
    รับแสดงดนตรี พร้อมเครื่องเสียง เพลงยุค 70-2000 เพลงตามกระแสปัจจุบันไทยสากล copyshow ติดต่อ0855534194 phoenix band
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • Framework ได้เปิดตัวพีซีแบบตั้งโต๊ะรุ่นแรกของบริษัท ซึ่งเป็นระบบ mini-ITX ที่ใช้โปรเซสเซอร์ตระกูล Ryzen AI Max ของ AMD โดยพีซี Framework Desktop มาพร้อมกับทางเลือกโปรเซสเซอร์สองรุ่นคือ Ryzen AI Max 385 (8 คอร์ / 16 เธรด) หรือ AI Max+ 395 (16 คอร์ / 32 เธรด) และมีกราฟิก Radeon 8060S รวมถึงรองรับหน่วยความจำ LPDDR5x สูงสุดถึง 128 GB

    อย่างไรก็ตาม, ส่วนประกอบสำคัญเช่น CPU, GPU และหน่วยความจำถูกบัดกรีลงบนเมนบอร์ด ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่ Framework เคยส่งเสริมในเรื่องของสิทธิในการซ่อมแซม (right to repair) ความยืดหยุ่นในการอัปเกรดถูกลดลง เนื่องจากต้องการรองรับการผ่านช่องสัญญาณหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงถึง 256 GB/s

    แต่ผู้ใช้ยังสามารถเลือกใช้ตัวเคส Mini-ITX ของ Framework หรือหาเคสที่เข้ากันเองได้ นอกจากนี้ Framework ยังมีการร่วมมือกับ Cooler Master และ Noctua ในการพัฒนาพัดลม และผู้ใช้ยังสามารถเลือกพัดลมที่ต้องการเองได้เช่นกัน

    Framework กล่าวว่าจะมีคู่มือการติดตั้งและวิดีโอแนะนำเพื่อช่วยผู้ใช้ใหม่ในการเริ่มต้นใช้งาน พีซี Framework Desktop สามารถสั่งจองล่วงหน้าได้แล้ว โดยราคาเริ่มต้นที่ $1,099 สำหรับเครื่องที่มาพร้อมกับ Ryzen AI Max 385 และหน่วยความจำ 32 GB และสูงสุดถึง $1,999 สำหรับรุ่นที่มี Ryzen AI Max+ 395 และหน่วยความจำ 128 GB

    นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการสั่งจองเฉพาะคอมโบ CPU, เมนบอร์ด และหน่วยความจำในราคาเริ่มต้นที่ $799 สำหรับพีซีที่สั่งจองในขณะนี้คาดว่าจะเริ่มจัดส่งในไตรมาสที่สามของปี 2025

    https://www.techspot.com/news/106934-framework-first-ever-desktop-pc-packs-amd-ryzen.html
    Framework ได้เปิดตัวพีซีแบบตั้งโต๊ะรุ่นแรกของบริษัท ซึ่งเป็นระบบ mini-ITX ที่ใช้โปรเซสเซอร์ตระกูล Ryzen AI Max ของ AMD โดยพีซี Framework Desktop มาพร้อมกับทางเลือกโปรเซสเซอร์สองรุ่นคือ Ryzen AI Max 385 (8 คอร์ / 16 เธรด) หรือ AI Max+ 395 (16 คอร์ / 32 เธรด) และมีกราฟิก Radeon 8060S รวมถึงรองรับหน่วยความจำ LPDDR5x สูงสุดถึง 128 GB อย่างไรก็ตาม, ส่วนประกอบสำคัญเช่น CPU, GPU และหน่วยความจำถูกบัดกรีลงบนเมนบอร์ด ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่ Framework เคยส่งเสริมในเรื่องของสิทธิในการซ่อมแซม (right to repair) ความยืดหยุ่นในการอัปเกรดถูกลดลง เนื่องจากต้องการรองรับการผ่านช่องสัญญาณหน่วยความจำที่มีความเร็วสูงถึง 256 GB/s แต่ผู้ใช้ยังสามารถเลือกใช้ตัวเคส Mini-ITX ของ Framework หรือหาเคสที่เข้ากันเองได้ นอกจากนี้ Framework ยังมีการร่วมมือกับ Cooler Master และ Noctua ในการพัฒนาพัดลม และผู้ใช้ยังสามารถเลือกพัดลมที่ต้องการเองได้เช่นกัน Framework กล่าวว่าจะมีคู่มือการติดตั้งและวิดีโอแนะนำเพื่อช่วยผู้ใช้ใหม่ในการเริ่มต้นใช้งาน พีซี Framework Desktop สามารถสั่งจองล่วงหน้าได้แล้ว โดยราคาเริ่มต้นที่ $1,099 สำหรับเครื่องที่มาพร้อมกับ Ryzen AI Max 385 และหน่วยความจำ 32 GB และสูงสุดถึง $1,999 สำหรับรุ่นที่มี Ryzen AI Max+ 395 และหน่วยความจำ 128 GB นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการสั่งจองเฉพาะคอมโบ CPU, เมนบอร์ด และหน่วยความจำในราคาเริ่มต้นที่ $799 สำหรับพีซีที่สั่งจองในขณะนี้คาดว่าจะเริ่มจัดส่งในไตรมาสที่สามของปี 2025 https://www.techspot.com/news/106934-framework-first-ever-desktop-pc-packs-amd-ryzen.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Framework's first-ever desktop PC packs AMD's Ryzen AI Max, priced from $1,099
    Notably, the components are soldered into place – not exactly what you'd expect from a company that champions the right to repair movement. In fact, a standard...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 48 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ซึ่งก่อนหน้านี้ Storyฯ เคยคุยถึงภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ แห่งพระตำหนักหย่งโซ่วกงว่าเป็นภาพตอนหนึ่งของภาพม้วนยาวที่มีชื่อเรียกว่าภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ)

    ภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ เป็นผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งเดิมมี 12 ตอนแต่สูญหายไปแล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอก 9 ตอน มีความยาวเกือบ 3.5 เมตร มีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 52-7 ก่อนคริสตกาล) โดยภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ นั้นกล่าวถึงเมื่อครั้งฮั่นเฉิงตี้เสด็จประพาสทอดพระเนตรสัตว์สู้กัน โดยมีนางในและพระโอรสตามเสด็จ (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/750792533715708)

    วันนี้คุยกันถึงอีกภาพที่เกี่ยวข้องกัน คือภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ (婕妤当熊图 / เจี๋ยอวี๋ขวางหมี) เป็นภาพที่แขวนไว้ที่พระตำหนักเสียนฝูกง ดูเหมือนในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> จะไม่ได้บอกไว้ว่าใครประทับอยู่ที่พระตำหนักนี้ แต่ในประวัติศาสตร์จริง สมัยองค์เฉียนหลงนั้น พระตำหนักเสียนฝูกงนี้เคยถูกใช้เป็นที่ประทับขององค์เฉียนหลงก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปประทับที่พระที่นั่งหยั่งซินเตี้ยน

    หน้าตาของภาพนี้เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่นำมาให้ดูในรูปประกอบ 1(กลาง) เป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยองค์คังซีโดยช่างวาดหลวงจินคุน ส่วนภาพที่วาดขึ้นในสมัยขององค์เฉียนหลงนั้น คือรูปประกอบ 1(ขวา) ซึ่งทรงให้ช่างวาดหลวงวาดขึ้นใหม่เมื่อปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 30 ภายหลังจากเกิดเรื่องราวของฮองเฮาอูลาน่าลาตัดผม (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์)

    แต่ก่อนจะคุยเรื่องภาพวาด ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ สองภาพในสมัยเฉียนหลง คงต้องคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่กล่าวถึงในภาพเสียก่อน ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวมีต้นตอมาจากอีกตอนหนึ่งของภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ (ดูรูปประกอบ 2)

    เจี๋ยอวี๋เป็นตำแหน่งพระสนม แล้วเจี๋ยอวี๋ที่กล่าวถึงในภาพคือใคร?

    นางคือเฝิงเจี๋ยอวี๋ เป็นพระสนมในองค์ฮั่นหยวนตี้ (ครองราชย์ปี 48-33 ก่อนคริสตกาล คือพระบิดาขององค์ฮั่นเฉิงตี้ที่กล่าวถึงในภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’) นามเดิมว่าเฝิงเยวี่ยน ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นจาวอี๋ บันทึกเกี่ยวกับฮั่นหยวนตี้มีไม่มากเพราะไม่ได้มีผลงานสร้างชื่ออะไรมาก ที่เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินถึงก็คือทรงส่งหวางเจาจวินไปแต่งงานเพื่อผูกมิตรกับเผ่าซวงหนู และชีวประวัติเกี่ยวกับเฝิงเจี๋ยอวี๋เองก็มีไม่มาก นอกจากกล่าวไว้ว่ามาจากตระกูลเฝิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่มากด้วยความสามารถและอำนาจ ตัวพระนางเองก็เป็นที่โปรดปรานนักขององค์ฮั่นหยวนตี้ ต่อมาบุตรชายเป็นอ๋องครองแคว้นจงซาน พระนางดำรงพระยศไทเฮาแห่งแคว้นจงซาน

    เรื่องราวที่กล่าวถึงในภาพนั้น คือเหตุการณ์ที่ฮั่นหยวนตี้ไปดูสัตว์สู้กัน (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) จู่ๆ มีหมีดำโผล่มาและทำท่าว่าจะจู่โจมถึงที่ประทับของฮั่นหยวนตี้ นอกเหนือจากราชองครักษ์แล้ว ผู้ที่ตามเสด็จล้วนพยายามหนีตาย แต่เฝิงเจี๋ยอวี๋กลับถลันขึ้นหน้าเอาตัวเองไปขวางไว้ระหว่างองค์ฮั่นหยวนตี้กับหมีดำ สุดท้ายนางไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะว่าราชองครักษ์ฆ่าหมีได้สำเร็จ ครั้นฮั่นหยวนตี้ถามว่าทำไมนางถึงไม่กลัวหมี นางตอบว่า หมีเมื่อจับได้คนหนึ่งคนก็จะไม่จู่โจมคนอื่น นางกลัวว่าหมีจะจู่โจมถึงตัวฮั่นหยวนตี้ จึงคิดพลีชีพเป็นเหยื่อล่อหมีแทน เรื่องนี้ทำให้ฮั่นหยวนตี้รักนางมากขึ้นกว่าเดิมและยิ่งทำให้นางเป็นที่เกลียดชังของคู่แข่งในวังหลังยิ่งขึ้นไปอีก กลายเป็นเรื่องราวความกล้าหาญและความจงรักภักดีที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์

    ความนัยที่แฝงไว้ในภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ ขององค์เฉียนหลงนี้ก็คือความกล้าหาญ และป้ายอักษรที่คู่กันกับภาพนี้คือ ‘เน่ยจื๋อชินเฟิ่ง’ (内职钦奉) แปลได้ประมาณว่า ชื่นชมยกย่องฝ่ายใน

    แต่... อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 30 ภายหลังจากเหตุการณ์ฮองเฮาสกุลอูลาน่าลาตัดผม องค์เฉียนหลงได้ให้ช่างวาดหลวงจินถิงเปียววาดภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ ขึ้นอีกภาพหนึ่ง มีการเล่าขานกันต่อมาว่า จากที่เดิมองค์เฉียนหลงยกย่องเฝิงเจี๋ยอวี๋ว่ากล้าหาญ กลับกลายเป็นดูถูกเสียดสีว่า เฝิงเจี๋ยอวี๋ไม่เจียมตัว ไม่มีความสามารถก็ยังจะรนหาที่ตาย เป็นการเสียสละแบบโง่ๆ เพื่อสร้างความเด่นความดีให้กับตนเอง ควรเป็นที่น่าละอายของราชสกุล โดยประพันธ์ขึ้นเป็นบทกวีและให้ช่างวาดวาดขึ้นใหม่ให้ได้อารมณ์ตามบทกวีนี้

    ว่ากันว่าภาพเดิมที่วาดขึ้นในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 พร้อมกับภาพกงซวิ่นถูอื่นนั้น สะท้อนความองอาจกล้าหาญของเฝิงเยวี่ยน (ให้อารมณ์คล้ายคลึงกับภาพ ‘เฝิงเยวี่ยนขวางหมี’ ที่เป็นผลงานเก่าในสมัยองค์คังซีที่ Storyฯ แปะมาให้ดู) แต่ภาพใหม่ให้ความรู้สึกว่าเฝิงเยวี่ยนดูบอบบางไร้ความน่าเกรงขาม สะท้อนถึงความรนหาที่ตายอย่างโง่ๆ ตามบทกวี ภาพใหม่นี้วาดเสร็จในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 31 ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม

    ข้อเท็จจริงเบื้องหลังภาพที่วาดขึ้นใหม่เป็นเช่นนี้หรือไม่ Storyฯ ก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่เรื่องของเฝิงเยวี่ยนที่ใช้ตัวเองมาขวางหมีไว้ยังคงเป็นเรื่องเล่าขานกันต่อมาในแง่ความกล้าหาญและความจงรักภักดี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    http://ent.sina.com.cn/v/m/2018-08-10/doc-ihhnunsq6262060.shtml
    https://topimage.design/images/5f2ec355ccb56d496c4eeaa4.html
    https://baike.baidu.com/item/女史箴图
    https://www.tongyangapp.com/standard/sdetail?id=7056912
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/冯媛/3311193
    https://new.qq.com/rain/a/20210618A034TY00
    https://www.youtube.com/watch?v=SsSfNW9c2mM

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฝิงเจี๋ยอวี๋ #เฝิงเยวี่ยน #ฮั่นหยวนตี้ #เฝิงเจี๋ยอวี๋ขวางหมี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ซึ่งก่อนหน้านี้ Storyฯ เคยคุยถึงภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ แห่งพระตำหนักหย่งโซ่วกงว่าเป็นภาพตอนหนึ่งของภาพม้วนยาวที่มีชื่อเรียกว่าภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ (女史箴图 / ข้าราชสำนักหญิงเตือนสติ) ภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ เป็นผลงานของกู้ข่ายจือ ซึ่งเดิมมี 12 ตอนแต่สูญหายไปแล้ว ปัจจุบันเหลือเพียงฉบับคัดลอก 9 ตอน มีความยาวเกือบ 3.5 เมตร มีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ปี 52-7 ก่อนคริสตกาล) โดยภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’ นั้นกล่าวถึงเมื่อครั้งฮั่นเฉิงตี้เสด็จประพาสทอดพระเนตรสัตว์สู้กัน โดยมีนางในและพระโอรสตามเสด็จ (https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/750792533715708) วันนี้คุยกันถึงอีกภาพที่เกี่ยวข้องกัน คือภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ (婕妤当熊图 / เจี๋ยอวี๋ขวางหมี) เป็นภาพที่แขวนไว้ที่พระตำหนักเสียนฝูกง ดูเหมือนในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> จะไม่ได้บอกไว้ว่าใครประทับอยู่ที่พระตำหนักนี้ แต่ในประวัติศาสตร์จริง สมัยองค์เฉียนหลงนั้น พระตำหนักเสียนฝูกงนี้เคยถูกใช้เป็นที่ประทับขององค์เฉียนหลงก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปประทับที่พระที่นั่งหยั่งซินเตี้ยน หน้าตาของภาพนี้เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่นำมาให้ดูในรูปประกอบ 1(กลาง) เป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยองค์คังซีโดยช่างวาดหลวงจินคุน ส่วนภาพที่วาดขึ้นในสมัยขององค์เฉียนหลงนั้น คือรูปประกอบ 1(ขวา) ซึ่งทรงให้ช่างวาดหลวงวาดขึ้นใหม่เมื่อปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 30 ภายหลังจากเกิดเรื่องราวของฮองเฮาอูลาน่าลาตัดผม (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) แต่ก่อนจะคุยเรื่องภาพวาด ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ สองภาพในสมัยเฉียนหลง คงต้องคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่กล่าวถึงในภาพเสียก่อน ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวมีต้นตอมาจากอีกตอนหนึ่งของภาพ ‘หนีว์สื่อเจิน’ (ดูรูปประกอบ 2) เจี๋ยอวี๋เป็นตำแหน่งพระสนม แล้วเจี๋ยอวี๋ที่กล่าวถึงในภาพคือใคร? นางคือเฝิงเจี๋ยอวี๋ เป็นพระสนมในองค์ฮั่นหยวนตี้ (ครองราชย์ปี 48-33 ก่อนคริสตกาล คือพระบิดาขององค์ฮั่นเฉิงตี้ที่กล่าวถึงในภาพ ‘ปันจีฉือเหนี่ยน’) นามเดิมว่าเฝิงเยวี่ยน ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นจาวอี๋ บันทึกเกี่ยวกับฮั่นหยวนตี้มีไม่มากเพราะไม่ได้มีผลงานสร้างชื่ออะไรมาก ที่เพื่อนเพจอาจเคยได้ยินถึงก็คือทรงส่งหวางเจาจวินไปแต่งงานเพื่อผูกมิตรกับเผ่าซวงหนู และชีวประวัติเกี่ยวกับเฝิงเจี๋ยอวี๋เองก็มีไม่มาก นอกจากกล่าวไว้ว่ามาจากตระกูลเฝิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่มากด้วยความสามารถและอำนาจ ตัวพระนางเองก็เป็นที่โปรดปรานนักขององค์ฮั่นหยวนตี้ ต่อมาบุตรชายเป็นอ๋องครองแคว้นจงซาน พระนางดำรงพระยศไทเฮาแห่งแคว้นจงซาน เรื่องราวที่กล่าวถึงในภาพนั้น คือเหตุการณ์ที่ฮั่นหยวนตี้ไปดูสัตว์สู้กัน (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) จู่ๆ มีหมีดำโผล่มาและทำท่าว่าจะจู่โจมถึงที่ประทับของฮั่นหยวนตี้ นอกเหนือจากราชองครักษ์แล้ว ผู้ที่ตามเสด็จล้วนพยายามหนีตาย แต่เฝิงเจี๋ยอวี๋กลับถลันขึ้นหน้าเอาตัวเองไปขวางไว้ระหว่างองค์ฮั่นหยวนตี้กับหมีดำ สุดท้ายนางไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะว่าราชองครักษ์ฆ่าหมีได้สำเร็จ ครั้นฮั่นหยวนตี้ถามว่าทำไมนางถึงไม่กลัวหมี นางตอบว่า หมีเมื่อจับได้คนหนึ่งคนก็จะไม่จู่โจมคนอื่น นางกลัวว่าหมีจะจู่โจมถึงตัวฮั่นหยวนตี้ จึงคิดพลีชีพเป็นเหยื่อล่อหมีแทน เรื่องนี้ทำให้ฮั่นหยวนตี้รักนางมากขึ้นกว่าเดิมและยิ่งทำให้นางเป็นที่เกลียดชังของคู่แข่งในวังหลังยิ่งขึ้นไปอีก กลายเป็นเรื่องราวความกล้าหาญและความจงรักภักดีที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ความนัยที่แฝงไว้ในภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ ขององค์เฉียนหลงนี้ก็คือความกล้าหาญ และป้ายอักษรที่คู่กันกับภาพนี้คือ ‘เน่ยจื๋อชินเฟิ่ง’ (内职钦奉) แปลได้ประมาณว่า ชื่นชมยกย่องฝ่ายใน แต่... อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 30 ภายหลังจากเหตุการณ์ฮองเฮาสกุลอูลาน่าลาตัดผม องค์เฉียนหลงได้ให้ช่างวาดหลวงจินถิงเปียววาดภาพ ‘เจี๋ยอวี๋ตั่งสยง’ ขึ้นอีกภาพหนึ่ง มีการเล่าขานกันต่อมาว่า จากที่เดิมองค์เฉียนหลงยกย่องเฝิงเจี๋ยอวี๋ว่ากล้าหาญ กลับกลายเป็นดูถูกเสียดสีว่า เฝิงเจี๋ยอวี๋ไม่เจียมตัว ไม่มีความสามารถก็ยังจะรนหาที่ตาย เป็นการเสียสละแบบโง่ๆ เพื่อสร้างความเด่นความดีให้กับตนเอง ควรเป็นที่น่าละอายของราชสกุล โดยประพันธ์ขึ้นเป็นบทกวีและให้ช่างวาดวาดขึ้นใหม่ให้ได้อารมณ์ตามบทกวีนี้ ว่ากันว่าภาพเดิมที่วาดขึ้นในรัชศกเฉียนหลงปีที่ 6 พร้อมกับภาพกงซวิ่นถูอื่นนั้น สะท้อนความองอาจกล้าหาญของเฝิงเยวี่ยน (ให้อารมณ์คล้ายคลึงกับภาพ ‘เฝิงเยวี่ยนขวางหมี’ ที่เป็นผลงานเก่าในสมัยองค์คังซีที่ Storyฯ แปะมาให้ดู) แต่ภาพใหม่ให้ความรู้สึกว่าเฝิงเยวี่ยนดูบอบบางไร้ความน่าเกรงขาม สะท้อนถึงความรนหาที่ตายอย่างโง่ๆ ตามบทกวี ภาพใหม่นี้วาดเสร็จในปีรัชศกเฉียนหลงปีที่ 31 ปัจจุบันเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์พระราชวังต้องห้าม ข้อเท็จจริงเบื้องหลังภาพที่วาดขึ้นใหม่เป็นเช่นนี้หรือไม่ Storyฯ ก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่เรื่องของเฝิงเยวี่ยนที่ใช้ตัวเองมาขวางหมีไว้ยังคงเป็นเรื่องเล่าขานกันต่อมาในแง่ความกล้าหาญและความจงรักภักดี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: http://ent.sina.com.cn/v/m/2018-08-10/doc-ihhnunsq6262060.shtml https://topimage.design/images/5f2ec355ccb56d496c4eeaa4.html https://baike.baidu.com/item/女史箴图 https://www.tongyangapp.com/standard/sdetail?id=7056912 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/冯媛/3311193 https://new.qq.com/rain/a/20210618A034TY00 https://www.youtube.com/watch?v=SsSfNW9c2mM #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #เฝิงเจี๋ยอวี๋ #เฝิงเยวี่ยน #ฮั่นหยวนตี้ #เฝิงเจี๋ยอวี๋ขวางหมี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กทารก 6 คนในเขตฉนวนกาซาเสียชีวิตจากหนาวตายมาตั้งแต่วันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เชื่อตัวเลขจะพุ่งถ้าสิ่งของบรรเทาทุกข์ยังไม่ส่งเพิ่ม แต่หมอรวมเจ้าหน้าที่การแพทย์อย่างน้อย 160 คนโดนจับและถูกทรมานในคุกอิสราเอล
    .
    CNN ของสหรัฐฯ รายงานวันอังคาร (25 ก.พ.) ว่า เจ้าหน้าที่การแพทย์เปิดเผยว่าตั้งแต่วันอาทิตย์ (23) เป็นต้นมามีทารกไม่ต่ำกว่า 6 คนต้องเสียชีวิตจากโรคภาวะตัวเย็น (hypothermia)
    .
    นายแพทย์ซาอิด ซาเลห์ (Saeed Salah) ผู้อำนวยการแพทย์ประจำโรงพยาบาล PFBS ทางตอนเหนือของกาซาเตือนถึงจำนวนตัวเลขที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็กทารกที่เสี่ยงป่วยจากภาวะตัวเย็นเกินระหว่างต้องเผชิญฤดูหนาวที่โหดร้ายภายในเต็นท์ผู้ลี้ภัยที่ปกป้องความหนาวไม่ได้หลังบ้านที่อาศัยโดยกองทัพอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทุกวันจนพังพินาศ
    .
    ในตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีทารกปาเลสไตน์ 8 คนถูกส่งมาที่โรงพยาบาลในกาซา ซิตี้ นายแพทย์ซาลาห์กล่าว และเสริมว่า จากจำนวนทั้งหมดมี 3 คนถูกส่งเข้าห้อง ICU ส่วนอีก 3 คนเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมงที่มาถึง
    .
    และในวันอังคาร (25) ทารกคนที่ 4 ที่มีอายุแค่ 69 คนตายข้ามคืนที่ผ่านมา และไกลออกไปทางใต้มีทารกอีก 2 คนต้องจบชีวิตจากอาการภาวะตัวเย็นที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ (Nasser Hospital) ในข่าน ยูนิส (Khan Younis)
    .
    CNN รายงานภาพแม่ปาเลสไตน์คนหนึ่งนำลูกชายวัย 2 เดือน ยูซาฟ (Yousaf) มาที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ ทางใต้ของกาซาในวันอังคาร (25)
    .
    นายแพทย์ซาลาห์ยืนยันว่า ต้องมีคาราวานบรรเทาทุกข์เข้าเขตฉนวนกาซาเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเต็นท์และเชื้อเพลิงเพื่อนำความอบอุ่นมาให้ประชาชน
    .
    เขายืนยันว่า การเพิ่มสิ่งของบรรเทาทุกข์จะช่วยหยุดหายนะและการเสียชีวิตของทารกจากโรคภาวะตัวเย็นและโรคหิมะกัด
    .
    อ้างอิงจากกระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานวันอังคาร (25) ตัวเลขปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 48,348 คน และอีกจำนวน
    111,761 คนได้รับบาดเจ็บ
    .
    ขณะเดียวกันอ้างอิงจากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ OCHA มีโรงพยาบาล 20 แห่งจากทั้งหมด 35 แห่งนั้นสามารถทำงานได้แค่บางส่วน
    .
    แต่กลับกลายเป็นว่ามีเจ้าหน้าที่การแพทย์จากกาซาไม่ต่ำกว่า 160 คน รวมหมอกว่า 20 คนเชื่อว่าโดนจับตัวไปและกำลังอยู่ในเรือนจำเทลอาวีฟ
    .
    เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันอังคาร (25) ว่า องค์กรจับตาเจ้าหน้าที่การแพทย์ HWW (Healthcare Workers Watch) ซึ่งเป็นองค์กร NGO ทางการแพทย์ปาเลสไตน์แถลงยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่การแพทย์ 162 คนยังคงอยู่ในเรือนจำอิสราเอล รวมไปถึงแพทย์อาวุโสมากที่สุดบางส่วนของกาซา และอีกจำนวน 24 คนได้หายตัวไปหลังจากถูกนำออกไปจากโรงพยาบาลระหว่างมีการปะทะ
    .
    องค์การอนามัยโลก WHO ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกอย่างสูงเกี่ยวกับความเป็นอยู่และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่การแพทย์ปาเลสไตน์เหล่านี้ในเรือนจำอิสราเอล หลังมีรายงานออกมาว่า พวกเขาตกเป็นเป้าโดนทรมานและความรุนแรงประจำภายในคุก
    .
    WHO แถลงว่าสามารถยืนยันได้ว่ามีเจ้าหน้าที่การแพทย์ 297 คนจากเขตฉนวนกาซาถูกควบคุมตัวโดยกองทัพอิสราเอลตั้งแต่สงครามเริ่มเปิดฉาก
    .
    แต่ทว่า HWW อ้างว่าตัวเลข 297 คนนั้นต่ำกว่าตัวเลขที่ทางองค์การ NGO การแพทย์ปาเลสไตน์สามารถยืนยันได้อยู่ที่ 339 คน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019212
    ..............
    Sondhi X
    เด็กทารก 6 คนในเขตฉนวนกาซาเสียชีวิตจากหนาวตายมาตั้งแต่วันอาทิตย์ (23 ก.พ.) เชื่อตัวเลขจะพุ่งถ้าสิ่งของบรรเทาทุกข์ยังไม่ส่งเพิ่ม แต่หมอรวมเจ้าหน้าที่การแพทย์อย่างน้อย 160 คนโดนจับและถูกทรมานในคุกอิสราเอล . CNN ของสหรัฐฯ รายงานวันอังคาร (25 ก.พ.) ว่า เจ้าหน้าที่การแพทย์เปิดเผยว่าตั้งแต่วันอาทิตย์ (23) เป็นต้นมามีทารกไม่ต่ำกว่า 6 คนต้องเสียชีวิตจากโรคภาวะตัวเย็น (hypothermia) . นายแพทย์ซาอิด ซาเลห์ (Saeed Salah) ผู้อำนวยการแพทย์ประจำโรงพยาบาล PFBS ทางตอนเหนือของกาซาเตือนถึงจำนวนตัวเลขที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็กทารกที่เสี่ยงป่วยจากภาวะตัวเย็นเกินระหว่างต้องเผชิญฤดูหนาวที่โหดร้ายภายในเต็นท์ผู้ลี้ภัยที่ปกป้องความหนาวไม่ได้หลังบ้านที่อาศัยโดยกองทัพอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทุกวันจนพังพินาศ . ในตลอดช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีทารกปาเลสไตน์ 8 คนถูกส่งมาที่โรงพยาบาลในกาซา ซิตี้ นายแพทย์ซาลาห์กล่าว และเสริมว่า จากจำนวนทั้งหมดมี 3 คนถูกส่งเข้าห้อง ICU ส่วนอีก 3 คนเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมงที่มาถึง . และในวันอังคาร (25) ทารกคนที่ 4 ที่มีอายุแค่ 69 คนตายข้ามคืนที่ผ่านมา และไกลออกไปทางใต้มีทารกอีก 2 คนต้องจบชีวิตจากอาการภาวะตัวเย็นที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ (Nasser Hospital) ในข่าน ยูนิส (Khan Younis) . CNN รายงานภาพแม่ปาเลสไตน์คนหนึ่งนำลูกชายวัย 2 เดือน ยูซาฟ (Yousaf) มาที่โรงพยาบาลนาสเซอร์ ทางใต้ของกาซาในวันอังคาร (25) . นายแพทย์ซาลาห์ยืนยันว่า ต้องมีคาราวานบรรเทาทุกข์เข้าเขตฉนวนกาซาเพิ่มขึ้น รวมไปถึงเต็นท์และเชื้อเพลิงเพื่อนำความอบอุ่นมาให้ประชาชน . เขายืนยันว่า การเพิ่มสิ่งของบรรเทาทุกข์จะช่วยหยุดหายนะและการเสียชีวิตของทารกจากโรคภาวะตัวเย็นและโรคหิมะกัด . อ้างอิงจากกระทรวงสาธารณสุขกาซารายงานวันอังคาร (25) ตัวเลขปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 48,348 คน และอีกจำนวน 111,761 คนได้รับบาดเจ็บ . ขณะเดียวกันอ้างอิงจากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ OCHA มีโรงพยาบาล 20 แห่งจากทั้งหมด 35 แห่งนั้นสามารถทำงานได้แค่บางส่วน . แต่กลับกลายเป็นว่ามีเจ้าหน้าที่การแพทย์จากกาซาไม่ต่ำกว่า 160 คน รวมหมอกว่า 20 คนเชื่อว่าโดนจับตัวไปและกำลังอยู่ในเรือนจำเทลอาวีฟ . เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันอังคาร (25) ว่า องค์กรจับตาเจ้าหน้าที่การแพทย์ HWW (Healthcare Workers Watch) ซึ่งเป็นองค์กร NGO ทางการแพทย์ปาเลสไตน์แถลงยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่การแพทย์ 162 คนยังคงอยู่ในเรือนจำอิสราเอล รวมไปถึงแพทย์อาวุโสมากที่สุดบางส่วนของกาซา และอีกจำนวน 24 คนได้หายตัวไปหลังจากถูกนำออกไปจากโรงพยาบาลระหว่างมีการปะทะ . องค์การอนามัยโลก WHO ออกแถลงการณ์แสดงความวิตกอย่างสูงเกี่ยวกับความเป็นอยู่และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่การแพทย์ปาเลสไตน์เหล่านี้ในเรือนจำอิสราเอล หลังมีรายงานออกมาว่า พวกเขาตกเป็นเป้าโดนทรมานและความรุนแรงประจำภายในคุก . WHO แถลงว่าสามารถยืนยันได้ว่ามีเจ้าหน้าที่การแพทย์ 297 คนจากเขตฉนวนกาซาถูกควบคุมตัวโดยกองทัพอิสราเอลตั้งแต่สงครามเริ่มเปิดฉาก . แต่ทว่า HWW อ้างว่าตัวเลข 297 คนนั้นต่ำกว่าตัวเลขที่ทางองค์การ NGO การแพทย์ปาเลสไตน์สามารถยืนยันได้อยู่ที่ 339 คน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000019212 .............. Sondhi X
    Sad
    Angry
    Like
    9
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2151 มุมมอง 0 รีวิว
  • 33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย

    🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ

    ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹
    "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง

    เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น

    🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่"

    📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ สาวกาฬสินธุ์
    ✔ รักสองแผ่นดิน
    ✔ ขอแล้วไม่แต่ง

    ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

    🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535
    📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ

    💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน

    🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก

    👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ

    🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย

    📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน

    🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน"

    🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน

    🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้

    🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง

    📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่
    ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน
    ✔ วอนพี่มีรักเดียว
    ✔ รักสองแผ่นดิน

    🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่

    🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568

    🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    33 ปี สิ้นราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” ตำนานอาถรรพ์ที่ไม่มีวันจางหาย 🕯️ ย้อนไปเมื่อ 33 ปี ที่ผ่านมา เช้ามืดวันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 วันแห่งความสูญเสียของวงการหมอลำไทย เมื่อราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากเหตุการณ์รถปิกอัพยางแตก เสียหลักข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่อำเภอเมืองศรีสะเกษ ขณะกำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ของอาชีพนักร้องลูกทุ่งหมอลำ ⭐ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ดาวรุ่งที่ดับแสงก่อนวัยอันควร จากสาวน้อยบ้านนา...สู่ราชินีหมอลำเสียงกำมะหยี่ 🔹 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" หรือชื่อจริง "นางสาวสุพิณ เหมวิจิตร" เกิดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2514 ที่บ้านเมย ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้อง 14 คน แม้จะเรียนจบเพียงระดับประถมศึกษาปีที่ 6 แต่มีความฝันที่จะเป็นศิลปิน และมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง เมื่ออายุ 16 ปี อันนี่ได้ก้าวเข้าสู่วงการหมอลำ เป็นนางเอกหมอลำให้กับคณะชื่อดังหลายคณะ ก่อนจะได้รับโอกาสครั้งสำคัญ ในการเซ็นสัญญาบันทึกเสียงกับ "เยนาวี่ โปรโมชั่น" โดยใช้ชื่อในการแสดงว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากนักร้องดัง "ฮันนี่-ภัสสร บุณยเกียรติ" ที่กำลังโด่งดังในยุคนั้น 🎤 จุดสูงสุดของอาชีพนักร้อง ในปี 2534 ฮันนี่เปิดตัวด้วยอัลบั้มแรก "น้ำตาหล่นบนที่นอน" ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับฉายา "ราชินีหมอลำสาวเสียงกำมะหยี่" 📀 ผลงานเพลงเด่น ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ สาวกาฬสินธุ์ ✔ รักสองแผ่นดิน ✔ ขอแล้วไม่แต่ง ด้วยความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น ฮันนี่จึงได้เปิดวงดนตรีของตัวเอง เพื่อเดินสายแสดงคอนเสิร์ต ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ 🚗 โศกนาฏกรรมเช้ามืด 26 กุมภาพันธ์ 2535 📅 วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 เวลา 04.30 น. ขณะเดินทางกลับจากการแสดง ที่อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ รถปิกอัพที่โดยสารมา ประสบอุบัติเหตุยางแตก เสียหลักพุ่งข้ามเลนตกถนนพลิกคว่ำ ที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 226 สายศรีสะเกษ - อุบลราชธานี ช่วงกิโลเมตรที่ 10-11 บริเวณตำบลหนองแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 💔 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" คอหักเสียชีวิตคาที่ ขณะอายุเพียง 21 ปี 4 เดือน 4 วัน 🎗️ จุดเกิดเหตุได้มีการสร้างศาลอนุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง และในทุกๆ ปี จะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตรำลึก 👻 อาถรรพ์ “ฮันนี่ ศรีอีสาน” กับเรื่องเล่าขนหัวลุก หลังการเสียชีวิตของฮันนี่ ได้เกิดเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับวิญญาณ ที่ยังคงวนเวียนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ 🚘 เห็นเวทีคอนเสิร์ตลอยกลางทาง หลายคนที่ขับรถผ่านบริเวณจุดเกิดเหตุในช่วง ตี 1 ถึงตี 2 เล่าว่าเคยเห็น เวทีคอนเสิร์ตที่มีแสงสีเสียงอลังการ คล้ายกับมีงานแสดง แต่เมื่อเข้าไปใกล้กลับ ไม่มีอะไรอยู่เลย 📿อาถรรพ์ของทรัพย์สินเธอ มีเรื่องเล่าว่า ผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวน นำทรัพย์สินจากที่เกิดเหตุไป ต่างพากันมีอันเป็นไปทุกราย ไม่เว้นแม้กระทั่งนายตำรวจ ที่พบศพเธอเป็นคนแรก ซึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เสียชีวิตแบบไม่คาดคิด หลังจากนั้นไม่นาน 🌙 เสียงร้องเพลงยามค่ำคืน มีชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงได้ยิน เสียงร้องเพลงแว่วมาในช่วงกลางดึก โดยเฉพาะเพลง "น้ำตาหล่นบนที่นอน" 🙏 ย้ายศาลจากศรีสะเกษสู่กาฬสินธุ์ ใน ปี 2558 มีการย้ายศาลฮันนี่ จากจุดเกิดเหตุในศรีสะเกษ กลับไปที่บ้านเกิดที่กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ หลังจากพี่สาวของฮันนี่ "คำศรี เหมวิจิตร" อ้างว่าวิญญาณของฮันนี่ ไปเข้าฝันพระอาจารย์ประจักษ์ ขอให้ช่วยนำดวงวิญญาณกลับบ้าน 🔹 พิธีกรรมย้ายศาล ต้องทำถึง 3 ครั้ง ถึงจะสามารถขอวิญญาณของฮันนี่ กลับมาได้ 🎼 มรดกทางดนตรีที่ยังคงอยู่ แม้ว่า "ฮันนี่ ศรีอีสาน" จะจากไปนาน 33 ปี แต่บทเพลงยังคงเป็นที่จดจำ และมีศิลปินหลายคน ได้นำบทเพลงของฮันนี่มาร้องใหม่ รวมถึงศิลปินแห่งชาติอย่าง "บานเย็น รากแก่น" ที่นำเพลงของฮันนี่กลับมาขับร้องอีกครั้ง 📀 เพลงของฮันนี่ที่ถูกนำมาร้องใหม่ ได้แก่ ✔ น้ำตาหล่นบนที่นอน ✔ วอนพี่มีรักเดียว ✔ รักสองแผ่นดิน 🏆 "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ตำนานที่ไม่มีวันลืม ฮันนี่เป็นศิลปินที่มีครบทุกคุณสมบัติ ทั้งเสียงดี รูปร่างหน้าตาสวย และมีเสน่ห์ในการแสดง หลายคนเชื่อว่า ถ้าฮันนี่ยังมีชีวิตอยู่ อาจกลายเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ 🎶 แม้เวลาจะผ่านไป 33 ปี แต่ชื่อของ "ฮันนี่ ศรีอีสาน" ยังคงอยู่ในหัวใจของแฟนเพลง และยังคงเป็นตำนานของวงการหมอลำไทย 🕊️💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 260931 ก.พ. 2568 🔖 #ฮันนี่ศรีอีสาน #ตำนานหมอลำ #น้ำตาหล่นบนที่นอน #อาถรรพ์ฮันนี่ #หมอลำไทย #ข่าวดังในอดีต #อุบัติเหตุหมอลำ #ราชินีเสียงกำมะหยี่ #ลูกทุ่งหมอลำ #วงการลูกทุ่ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้

    จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร?

    นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว

    ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม)

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง

    ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว

    ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น

    ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์)

    ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด

    ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น

    ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html
    https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette

    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c
    https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec
    https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942
    http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml
    https://www.sohu.com/a/221802957_752265
    https://www.sohu.com/a/365940296_348930

    บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351

    #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    วันนี้ยังคงคุยกันเรื่องสิบสองภาพวาด ‘กงซวิ่นถู’ (宫训图 แปลตรงตัวว่า พระราชวัง+คำสอน+ภาพ) ที่ในละคร <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> ฮ่องเต้เฉียนหลงได้ทรงพระราชทานให้บรรดาพระภรรยาแห่งสิบสองตำหนัก ภาพที่จะคุยกันคือภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ (昭容评诗图) ที่แขวนอยู่ในตำหนักอี้คุนกง ซึ่ง Storyฯ ก็จำไม่ได้แล้วว่าในเรื่อง <เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่> นี้ อี้คุนกงเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์ไหน แต่ใน <หรูอี้จอมนางเคียงบัลลังก์> นั้น นี่เป็นพระตำหนักของหรูอี้ จาวหรงเป็นหนึ่งในตำแหน่งพระสนมเอก แล้วจาวหรงที่กล่าวถึงในภาพนี้คือใคร? นางคือซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ (ค.ศ. 664-710) ผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสตรีที่ปราดเปรื่องที่สุดแห่งราชวงศ์ถัง แม้มิได้เป็นขุนนางฝ่ายนอกแต่บทบาทและอิทธิพลทางการเมืองของนางมีไม่น้อย จนได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘จิงกั๋วจ่ายเซี่ยง’ (แปลตรงตัวว่า ผ้าโพกผมสตรี + อัครมหาเสนาบดี หรือหมายความว่า อัครมหาเสนาบดีหญิงนั่นเอง) นางมีผลงานด้านวรรณกรรมมากมายที่ยังสืบทอดมาจนปัจจุบัน เพิ่งมีคนโพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวของนางไปเมื่อไม่นานมานี้ (ดูได้ตามลิ้งค์ข้างล่าง) Storyฯ ก็จะพยายามเล่าให้ไม่ซ้ำกันนะคะ ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นหลานปู่ของซ่างกวนอี๋ กวีและอัครเสนาบดีในสมัยถังเกาจง ชีวิตของนางผ่านร้อนผ่านหนาวไม่น้อย เนื่องจากซ่างกวนอี๋และตระกูลถูกลงโทษโดยพระนางบูเช็กเทียน (สมัยยังเป็นเพียงฮองเฮา) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ซึ่งอายุเพียงขวบกว่าก็ต้องโทษตามมารดากลายเป็นทาสหลวงรับใช้อยู่ในส่วนของวังหลังที่เรียกว่า ‘เยี่ยถิง’ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลความเป็นอยู่ของเหล่าสนมและนางกำนัล แต่ภายใต้การดูแลสั่งสอนของมารดา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์อ่านหนังสือนับไม่ถ้วน ทั้งบทกวี บทความ ประวัติศาสตร์และบันทึกงานราชการของฝ่ายใน โตขึ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและทำงานคล่องแคล่ว ต่อมาพระนางบูเช็กเทียนผ่านตาบทประพันธ์ของนาง (ขออภัยไม่ใช้ราชาศัพท์) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์จึงถูกเรียกให้ไปเข้าเฝ้า ตอนนั้นเป็นรัชสมัยของถังจงจงและพระนางบูเช็กเทียนกุมอำนาจในฐานะไทเฮา ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์มีอายุเพียงสิบสามย่างสิบสี่ปี นางต้องแต่งบทความตอบโจทย์ต่อหน้าพระนางและทำได้อย่างดี ทั้งในแง่เนื้อหาและทักษะภาษา เป็นที่ถูกใจของพระนางบูเช็กเทียน จึงได้รับการปลดสถานะทาสและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชสำนักหญิงรับผิดชอบงานด้านประกาศและพระราชเสาวนีย์ โดยมีตำแหน่งไฉเหริน (แต่ไม่ได้เป็นสนม) ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน นางรับผิดชอบงานราชโองการและรับฎีกาของพระนางทั้งหมดภายหลังจากทรงยึดอำนาจตั้งตนเป็นจักรพรรดินี อีกทั้งพระนางยังหารือราชกิจกับนางบ่อยครั้ง แม้มีเหตุการณ์ขัดขืนพระราชโองการอยู่ครั้งหนึ่งแต่ก็ยังได้รับการไว้ชีวิตเพราะพระนางบูเช็กเทียนเสียดายในความรู้ความสามารถของนาง ต่อมาองค์ถังจงจงยึดบัลลังก์คืนมาจากบูเช็กเทียนได้ ก็รับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์เป็นพระสนมโดยยังคงรับหน้าที่ยกร่างพระราชโองการและงานราชเลขาเหมือนเดิม เรื่องราวสมัยที่นางเป็นพระสนมก็จะดูจะอีรุงตุงนังไม่แพ้เรื่องเกมการเมืองสมัยบูเช็กเทียน ประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่านางสนิทกับอู่ซานซือ (หลานของบูเช็กเทียน) และชักนำให้อู่ซานซือมาเป็นพวกร่วมกับเหวยฮองเฮาและกลายเป็นขุนนางมือขวาของถังจงจง เป็นหนึ่งสายของขุมอำนาจด้านการเมือง แต่บทความต่างประเทศเขียนเจาะจงว่านางเป็นชู้กับอู่ซานซือ และเขาก็เป็นชู้กับเหวยฮองเฮาอีกด้วย ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร Storyฯ ก็ไม่ทราบได้ แต่เรื่องราวการชิงอำนาจและตัวละครที่เกี่ยวข้องในยุคสมัยนั้นก็มีมากจนไม่สามารถเอามาเล่าให้ฟังหมด ขอสรุปสั้นๆ เพียงว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ใช้ชีวิตด้วยชั้นเชิงในการรักษาสมดุลและช่วงชิงอำนาจ และสุดท้ายก็จบชีวิตลงด้วยเกมการเมืองดังกล่าว ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ไม่เพียงฉลาดแต่ยังโฉมงาม นางจึงเป็นที่โปรดปรานของถังจงจง ได้รับการปรับระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นถึงจาวหรง นางเป็นคนที่คอยชี้นำให้องค์ถังจงจงเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความรู้เข้ามารับใช้ราชสำนักมากขึ้นและส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างกว้างขวาง อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อสไตล์ของบทกวีในสมัยนั้น ภายใต้บรรยากาศที่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่มีความรู้และความสามารถด้านอักษรนี้ องค์ถังจงจงจึงมักจัดงานเลี้ยงขึ้นเพื่อให้ข้าราชสำนักสังสรรค์และแสดงความสามารถกัน และเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในภาพ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนึ่งในงานเลี้ยงดังกล่าวที่ถูกจัดขึ้นที่สระคุนหมิง มีเหล่าข้าราชสำนักร่วมแต่งบทกวีกว่า 100 บทภายใต้หัวข้อ ‘ชุน’ (วสันต์) ในงานเลี้ยงนี้ องค์ถังจงจงให้ซ่างกวนจาวหรงเป็นคนตัดสินคัดเลือกบทกวีที่ดีที่สุด มีการบรรยายฉากนี้ไว้ว่า นางนั่งอ่านบทกวีอยู่บนหอ ข้าราชสำนักรอฟังผลอยู่ข้างล่าง ครั้นเห็นกระดาษโปรยปรายลงมาก็พากันไปตามหาจนได้บทกวีของตัวเองคืนมา เหลืออยู่เพียงสองคนที่หาบทความของตนเองไม่เจอ คือเสิ่นเฉวียนชีและซ่งจือเวิ่น รอกันอีกสักพัก กระดาษแผ่นสุดท้ายก็ปลิวลงมา ปรากฏเป็นผลงานของเสิ่นเฉวียนชี ถือว่าซ่งจือเวิ่นเป็นผู้ชนะ โดยซ่างกวนเจาหรงวิจารณ์ไว้ว่า บทกวีของทั้งสองคนนั้น เนื้อหาใจความสูสีกันเพราะเป็นการบรรยายถึงบรรยากาศของงานเลี้ยงได้อย่างไพเราะและวรรคแรกเปิดตัวได้อย่างงดงามไม่แพ้กัน แต่ของเสิ่นเฉวียนชีนั้น วรรคท้ายใช้ภาษาในเชิงถ่อมตน ทำให้พลังของภาษาหดหาย ในขณะที่วรรคท้ายของซ่งจือเวิ่นนั้น แม้บทกวีจบลงแต่ให้ความหวัง ทำให้พลังของบทความคงอยู่ จึงเหนือชั้นกว่าของเสิ่นเฉวียนซีอยู่หนึ่งขั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ได้รับการจดจำในแง่ที่ว่า ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ฉลาดในการวิจารณ์ เข้าใจถึงแก่นความหมายและมีทักษะด้านภาษาอย่างยิ่งยวด ผลงานที่โดดเด่นของซ่างกวนหว่านเอ๋อร์คือการเป็นผู้ดูแลและปรับปรุงหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในรัชสมัยของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน คือ ‘ซิวเหวินก่วน’ (修文馆 ต่อมาภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น จาวเหวินก่วน / 昭文馆) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลหนังสือบันทึกต่างๆ และเป็นสำนักศึกษาหลวงเปิดการเรียนการสอนโดยแต่งตั้งขุนนางที่มีชื่อฝ่ายบุ๋นหลายคนมาเป็นอาจารย์ที่นี่ ภายใต้การดูแลของนาง หน่วยงานนี้จึงมีบทบาทและน้ำหนักในราชสำนักมากขึ้น ภาพ ‘จาวหรงผิงซือ’ หรือ ‘จาวหรงตัดสินบทกวี’ นี้ ถูกตีความว่า หมายถึงการศึกษา ภาพนี้จริงแท้หน้าแต่เป็นอย่างไร Storyฯ ก็หาไม่พบ ภาพที่แปะมาให้ดูเป็นภาพวาดเกี่ยวกับเหตุการณ์เดียวกันแต่มีชื่อเรียกว่า ‘หว่านเอ๋อร์ตัดสินบทกวี’ ส่วนป้ายที่ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงพระราชทานไปที่อี้คุนกงพร้อมกับภาพนี้เขียนว่า ‘อี้กงหว่านซุ่น’ (懿恭婉顺) แปลได้ประมาณว่า เคารพพระราชเสาวนีย์ คล้อยตามอย่างละมุนละม่อม (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://waptv.sogou.com/teleplay/orswyzlqnrqxsxzwgmydsnjzbhi5h3h3xgs4fva.html https://kknews.cc/zh-sg/history/4bb8n3x.html#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://wapbaike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=abb5f0b7bf81f3dcd9c7745c https://baike.baidu.com/tashuo/browse/content?id=08b8cb852955ec63d33764ec https://baike.baidu.com/item/上官婉儿/26942 http://collection.sina.com.cn/plfx/20130924/1618128246.shtml https://www.sohu.com/a/221802957_752265 https://www.sohu.com/a/365940296_348930 บทความเกี่ยวกับซ่างกวนหว่านเอ๋อร์: https://www.facebook.com/groups/288237788323632/permalink/1649073795573351 #เล่ห์รักตำหนักเหยียนสี่ #ซ่างกวนหว่านเอ๋อร์ #บูเช็กเทียน #จาวหรงตัดสินบทกวี #กงซวิ่นถู #เฉียนหลงสิบสองภาพวาด
    《延禧攻略》全集-电视剧-免费在线观看
    电视剧《延禧攻略》高清免费在线播放,延禧攻略是是由惠楷栋;温德光导演,由秦岚,聂远,张嘉倪,吴谨言主演的中国大陆电视剧,剧情:乾隆六年,少女魏璎珞为寻求长姐死亡真相,...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์

    📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

    🚨 ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา

    🔍 การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534
    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
    วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย

    🏛️ รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์
    1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท
    2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช
    3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา
    4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ
    5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์
    6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์
    7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง
    8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ
    9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร
    🔟 นายไพศาล กุมาลย์วิสัย

    💬 แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก

    🏛️ คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์
    📌 ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ

    🗣️ “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ”

    🗣️ “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง”

    ⚖️ จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535
    🔥 เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช.

    📌 เหตุการณ์สำคัญ:
    เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี
    17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง
    พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก

    🎤 พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

    ⚖️ ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536
    📌 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

    ⚖️ วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า
    ✅ คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
    ✅ ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา

    📌 ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน

    🔎 บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย
    📢 3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
    1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม

    2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง

    3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง

    📌 34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย
    📍 การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ
    📍 แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
    📍 ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568

    🔗 #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    34 ปี ตรวจสอบทรัพย์สิน "10 รัฐมนตรี" จากยึดทรัพย์สู่พฤษภาทมิฬ! ศาลฎีกาสั่งเพิกถอน... คำสั่งยึดทรัพย์ 📌 ย้อนรอยประวัติศาสตร์การเมืองไทยเมื่อ 34 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ได้ออกคำสั่งจัดตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) ภายใต้การนำของ พลเอกสิทธิ จิรโรจน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีเป้าหมาย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนักการเมือง ในรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ว่ามีการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ 🚨 ผลจากการตรวจสอบ รสช. ได้มีคำสั่ง ยึดทรัพย์รัฐมนตรี 10 ราย ซึ่งกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ ที่เชื่อมโยงไปสู่ความไม่พอใจ ของประชาชน จนกระทั่งนำไปสู่ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และการฟ้องร้องในศาลฎีกา ในเวลาต่อมา 🔍 การตรวจสอบทรัพย์สินนักการเมือง ในปี 2534 📅 เหตุการณ์สำคัญ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. ก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2534 รสช. แต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) โดย คตส. ตรวจสอบนักการเมือง 25 ราย และมีคำสั่ง ยึดทรัพย์ 10 ราย 🏛️ รายชื่อรัฐมนตรีที่ถูกยึดทรัพย์ 1️⃣ นายเสนาะ เทียนทอง 62.7 ล้านบาท 2️⃣ นายมนตรี พงษ์พานิช 3️⃣ นายบรรหาร ศิลปอาชา 4️⃣ นายณรงค์ วงศ์วรรณ 5️⃣ พล.ต.ท. วิโรจน์ เปาอินทร์ 6️⃣ นายสุธี อากาศฤกษ์ 7️⃣ พล.อ. เหรียญ ดิษฐบรรจง 8️⃣ นายชัยเชต สุนทรพิพิธ 9️⃣ นายอำนวย วงศ์วิเชียร 🔟 นายไพศาล กุมาลย์วิสัย 💬 แม้ว่านักการเมืองบางราย จะพยายามต่อสู้เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่กระบวนการยึดทรัพย์ ก็สร้าง ผลกระทบต่อชื่อเสียง และภาพลักษณ์เป็นอย่างมาก 🏛️ คำให้การจากป๋าเหนาะ "เสนาะ เทียนทอง" หนึ่งในผู้ถูกยึดทรัพย์ 📌 ป๋าเหนาะเป็นหนึ่งในนักการเมือง ที่ถูกยึดทรัพย์ 62.7 ล้านบาท เจ้าตัวเล่าว่าไม่ได้พยายาม "วิ่งเต้น" เพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา และเลือกที่จะต่อสู้ตามกระบวนการ 🗣️ “ตอนนั้นผมมีเงินแค่ 30 ล้าน และเป็นเงินเก่าของผมเอง ไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ” 🗣️ “แม้จะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี แต่ผมไม่ได้เซ็นหนังสืออะไรเลย เพราะผมมองว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” ⚖️ จากการยึดทรัพย์ สู่ พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 🔥 เหตุการณ์บานปลาย จากความไม่พอใจของประชาชน ต่อรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำ รสช. 📌 เหตุการณ์สำคัญ: เมษายน 2535 รัฐบาลประกาศให้ พลเอกสุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี 17 พฤษภาคม 2535 ประชาชนเดินขบวนต่อต้าน เกิดการสลายการชุมนุมรุนแรง พฤษภาทมิฬ 2535 มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก 🎤 พลเอก สุจินดา ออกมาประกาศ "ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติ" และลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ⚖️ ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ศ. 2536 📌 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ นักการเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่าคำสั่งของ รสช. และ คตส. เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ⚖️ วันที่ 26 มีนาคม 2536 ศาลฎีกาตัดสินว่า ✅ คำสั่งยึดทรัพย์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ✅ ให้ เพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ และคืนทรัพย์สินทั้งหมด ให้กับผู้ถูกกล่าวหา 📌 ผลกระทบของคำตัดสิน สะท้อนให้เห็นถึงการใช้อำนาจของ รสช. ที่อาจเกินขอบเขต ทำให้รัฐประหาร และการใช้อำนาจยึดทรัพย์ กลายเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมาย และสิทธิประชาชน 🔎 บทเรียนจากอดีต สู่อนาคตการเมืองไทย 📢 3 ประเด็นที่ต้องเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ 1️⃣ "อำนาจ" ต้องมาพร้อม "ความชอบธรรม" การใช้กฎหมายตรวจสอบนักการเมือง เป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องโปร่งใสและยุติธรรม 2️⃣ ประชาชนคือพลังขับเคลื่อนประชาธิปไตย การลุกขึ้นต่อต้าน ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ สะท้อนพลังของประชาชน ในการปกป้องสิทธิของตนเอง 3️⃣ การเมืองไทยต้องก้าวข้ามวังวนอำนาจ หากการเมืองไทยยังคงมีการรัฐประหาร และใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคตอีกครั้ง 📌 34 ปี แห่งบทเรียนทางการเมืองไทย 📍 การตรวจสอบทรัพย์สินในปี 2534 เป็นจุดเริ่มต้นของ "เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ครั้งสำคัญ 📍 แม้สุดท้ายศาลฎีกา จะสั่งเพิกถอนคำสั่งยึดทรัพย์ แต่บทเรียนจากอดีต ยังคงส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน 📍 ประชาชนต้องตื่นตัว และตรวจสอบอำนาจรัฐเสมอ เพื่อป้องกันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 251309 ก.พ. 2568 🔗 #ประวัติศาสตร์การเมืองไทย #พฤษภาทมิฬ #รัฐประหาร2534 #ตรวจสอบทรัพย์สิน #เสนาะเทียนทอง #ยึดทรัพย์รัฐมนตรี #ศาลฎีกา #ประชาธิปไตยไทย #รสช #สุจินดาคราประยูร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts