• #นางนิดานามสกุลคุ๊กกี้อ้างอีกแล้ว
    สไตล์นางด่าไปข๋ายของไป
    อ้างข๋ายราคาทุน ทุ๊ย ทุนPONGเมิงสิ
    อ้างชื่อชาลีเอามาหาประโยชน์ตลอด
    แต่แอบลอบกัดชาลีตลอดเวลา
    เป็นมิตรกับอิปู ปกป้องอิปู
    แม้ความจริงจะปรากฏ ป่านนี้ยังป้องไม่เลิก
    4 ป้าจะด่าชาลียังไง อิดาก็พาสาวกไปอุดหนุนไปเชียร์
    ซ้ำยังกล่าวหาชาลีว่า ชาลีอาจจะผิดจริงเรื่อง 4 ป้า
    ยังไม่พอ อิแก่ด่าทุกคนที่เป็นแฟนคลับชล
    จนทุกวันนี้ คุยกันอยู่ไม่กี่ตัวเป็นหม๋าเหงา
    แถมใช้เงินอนาคต เอายอดไปใช้
    ของใหม่ได้ออเดอร์มาโปะยอดเก่า
    ตอนนี้งูกินหางพันกันนัว ขาดสภาพคล่อง
    ของที่สั่งช้าทีเป็นเดือน
    อินี่นะ มีแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว
    เอามิ๊จฉ๋าชีพอย่างอิผึ้งอิไผ่มาฟอกก็เอา
    เนียนข๋ายเค๊กให้มิ๊จฉ๋าชีพหวังได้คอม10เปอร์เซ็นต์ก็เอา
    อิดาหน้าเงิน อิดาหน้าไม่อาย
    ต่อไปนี้ เมิงอย่าหวังเข้าบ้านคู้บอนได้อีกเลย
    เค้าไม่เอาเมิงแล้ว แหม่โทรหาคนในบ้านหวังเอาไปอ้างอะดิ
    แหม่ อ้างเป็นแม่บุญธรรมชาลี ใครแต่งตั้งเมิงก่อน
    SANDAN อย่างเมิงอะ ใครอยากได้เป็นแม่
    เป็นเฮี้ยกรูยังไม่เลี้ยงเลย
    อิฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    #นางนิดานามสกุลคุ๊กกี้อ้างอีกแล้ว สไตล์นางด่าไปข๋ายของไป อ้างข๋ายราคาทุน ทุ๊ย ทุนPONGเมิงสิ อ้างชื่อชาลีเอามาหาประโยชน์ตลอด แต่แอบลอบกัดชาลีตลอดเวลา เป็นมิตรกับอิปู ปกป้องอิปู แม้ความจริงจะปรากฏ ป่านนี้ยังป้องไม่เลิก 4 ป้าจะด่าชาลียังไง อิดาก็พาสาวกไปอุดหนุนไปเชียร์ ซ้ำยังกล่าวหาชาลีว่า ชาลีอาจจะผิดจริงเรื่อง 4 ป้า ยังไม่พอ อิแก่ด่าทุกคนที่เป็นแฟนคลับชล จนทุกวันนี้ คุยกันอยู่ไม่กี่ตัวเป็นหม๋าเหงา แถมใช้เงินอนาคต เอายอดไปใช้ ของใหม่ได้ออเดอร์มาโปะยอดเก่า ตอนนี้งูกินหางพันกันนัว ขาดสภาพคล่อง ของที่สั่งช้าทีเป็นเดือน อินี่นะ มีแต่ผลประโยชน์อย่างเดียว เอามิ๊จฉ๋าชีพอย่างอิผึ้งอิไผ่มาฟอกก็เอา เนียนข๋ายเค๊กให้มิ๊จฉ๋าชีพหวังได้คอม10เปอร์เซ็นต์ก็เอา อิดาหน้าเงิน อิดาหน้าไม่อาย ต่อไปนี้ เมิงอย่าหวังเข้าบ้านคู้บอนได้อีกเลย เค้าไม่เอาเมิงแล้ว แหม่โทรหาคนในบ้านหวังเอาไปอ้างอะดิ แหม่ อ้างเป็นแม่บุญธรรมชาลี ใครแต่งตั้งเมิงก่อน SANDAN อย่างเมิงอะ ใครอยากได้เป็นแม่ เป็นเฮี้ยกรูยังไม่เลี้ยงเลย อิฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง3
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • พบ "วิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกฯ เป็นประธานกฤษฎีกาคณะพิเศษ พิจารณา กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขณะที่ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" อดีต ปธ.กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ นั่งเป็นกรรมการด้วย คาดเสร็จเร็วกว่า 50 วัน
    .
    วันนี้ (29 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... หรือ กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พร้อมทั้งส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับถ้อยคำให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 (เกี่ยวกับบริหารราชการแผ่นดิน) เป็นประธาน และมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 (เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐ) เป็นกรรมการด้วย
    .
    ขณะที่รัฐบาลได้ส่ง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ และนายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนเข้าไปร่วมประชุมคอยชี้แจงหลักการและแนวคิดของรัฐบาล โดยคณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และกระทรวงการมหาดไทย เข้าไปชี้แจงแล้ว ล่าสุดมีรายงานว่า จากการเร่งเดินหน้าเรื่องดังกล่าว อาจทำให้การพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จเร็วกว่ากรอบ 50 วัน ที่จะครบในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568
    .
    ขณะที่เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) นายปกรณ์​ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า การหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ในตอนนี้เรียกประชุม 3-4 ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เรียกกระทรวงการคลัง​ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแล้ว ซึ่งการหารือไม่ได้มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้​ อย่างเรื่องการรักษาการร่วม และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ได้มีประเด็นอะไร
    .
    ส่วนที่นายจุลพันธ์​ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง​ ระบุกฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% ลงไปในนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนที่กฤษฎีกามองว่าควรจะมีการบัญญัติสัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีการเขียนลงไปอย่างชัดเจน จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย นายปกรณ์เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่​นายจุลพันธ์มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติขนาดนั้น
    .
    ด้านนายจุล​พันธ์ปฏิเสธจะชี้แจงรายละเอียด ระบุเพียงว่า​ ไม่มีอะไร การพูดคุยคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษราบรื่นดี ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่ร่างกาสิโน โดยได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง และเป็นไปในแนวทางนโยบายแห่งรัฐ โดยสรุปว่านโยบายนี้คือองค์ประกอบของธุรกิจหลายรูปแบบ โดยรัฐบาลสามารถกำหนดได้ ซึ่งกาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับสัดส่วนกาสิโนไม่ได้มีการเขียนในกฎหมายตั้งแต่ต้น แต่อยู่ที่เจตจำนงของผู้กำหนดนโยบายในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเปิดกว้างเอาไว้ แต่หากต้องกำหนด เช่น ไม่เกิน 10% ก็สามารถดำเนินการได้​ ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด​ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถบริหารจัดการได้
    .
    ส่วนการไม่กำหนดสัดส่วนกาสิโนเข้าไปในกฎหมาย จะไม่เป็นช่องโหว่ทางกฎหมายนั้น นายจุล​พันธ์ยืนยันว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องกาสิโนรายละเอียดของสถานที่ก็จะยังไม่เขียนในรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย (ซูเปอร์บอร์ด) สถานบันเทิงครบวงจรในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะมาเป็นผู้บริหาร ซึ่งตามหลักโมเดลธุรกิจไม่เกิน 10% เพราะมาตรฐานทั่วโลกไม่เกิน 5% เช่น สิงคโปร์ มีสัดส่วนกาสิโน 3% ฉะนั้นอย่าจินตนาการเลยสิ่งที่มันไม่เป็นจริงและข้อเท็จจริง​ พร้อมยืนยันว่าไม่กังวล ที่ขณะนี้สังคมกำลังจับตา เพราะทำตามหน้าที่และขั้นตอน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009147
    ..............
    Sondhi X
    พบ "วิษณุ เครืองาม" อดีตรองนายกฯ เป็นประธานกฤษฎีกาคณะพิเศษ พิจารณา กม.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขณะที่ "บวรศักดิ์ อุวรรณโณ" อดีต ปธ.กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ นั่งเป็นกรรมการด้วย คาดเสร็จเร็วกว่า 50 วัน . วันนี้ (29 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... หรือ กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ พร้อมทั้งส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรับถ้อยคำให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายและคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษขึ้นมา 1 ชุด เพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยมีนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2 (เกี่ยวกับบริหารราชการแผ่นดิน) เป็นประธาน และมีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ในฐานะประธานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 13 (เกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐ) เป็นกรรมการด้วย . ขณะที่รัฐบาลได้ส่ง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ และนายฉัตริน จันทร์หอม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนเข้าไปร่วมประชุมคอยชี้แจงหลักการและแนวคิดของรัฐบาล โดยคณะกรรมการฯ ได้ประชุมกันไปแล้วหลายครั้ง รวมทั้งมีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และกระทรวงการมหาดไทย เข้าไปชี้แจงแล้ว ล่าสุดมีรายงานว่า จากการเร่งเดินหน้าเรื่องดังกล่าว อาจทำให้การพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จเร็วกว่ากรอบ 50 วัน ที่จะครบในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2568 . ขณะที่เมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) นายปกรณ์​ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า การหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษ ในตอนนี้เรียกประชุม 3-4 ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่เรียกกระทรวงการคลัง​ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือแล้ว ซึ่งการหารือไม่ได้มีอะไร ส่วนใหญ่เป็นไปตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้​ อย่างเรื่องการรักษาการร่วม และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ได้มีประเด็นอะไร . ส่วนที่นายจุลพันธ์​ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง​ ระบุกฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% ลงไปในนั้น นายปกรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนที่กฤษฎีกามองว่าควรจะมีการบัญญัติสัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีการเขียนลงไปอย่างชัดเจน จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย นายปกรณ์เห็นว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่​นายจุลพันธ์มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติขนาดนั้น . ด้านนายจุล​พันธ์ปฏิเสธจะชี้แจงรายละเอียด ระบุเพียงว่า​ ไม่มีอะไร การพูดคุยคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษราบรื่นดี ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่ร่างกาสิโน โดยได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง และเป็นไปในแนวทางนโยบายแห่งรัฐ โดยสรุปว่านโยบายนี้คือองค์ประกอบของธุรกิจหลายรูปแบบ โดยรัฐบาลสามารถกำหนดได้ ซึ่งกาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง สำหรับสัดส่วนกาสิโนไม่ได้มีการเขียนในกฎหมายตั้งแต่ต้น แต่อยู่ที่เจตจำนงของผู้กำหนดนโยบายในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเปิดกว้างเอาไว้ แต่หากต้องกำหนด เช่น ไม่เกิน 10% ก็สามารถดำเนินการได้​ ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด​ เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถบริหารจัดการได้ . ส่วนการไม่กำหนดสัดส่วนกาสิโนเข้าไปในกฎหมาย จะไม่เป็นช่องโหว่ทางกฎหมายนั้น นายจุล​พันธ์ยืนยันว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องกาสิโนรายละเอียดของสถานที่ก็จะยังไม่เขียนในรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย (ซูเปอร์บอร์ด) สถานบันเทิงครบวงจรในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะมาเป็นผู้บริหาร ซึ่งตามหลักโมเดลธุรกิจไม่เกิน 10% เพราะมาตรฐานทั่วโลกไม่เกิน 5% เช่น สิงคโปร์ มีสัดส่วนกาสิโน 3% ฉะนั้นอย่าจินตนาการเลยสิ่งที่มันไม่เป็นจริงและข้อเท็จจริง​ พร้อมยืนยันว่าไม่กังวล ที่ขณะนี้สังคมกำลังจับตา เพราะทำตามหน้าที่และขั้นตอน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000009147 .............. Sondhi X
    Like
    Wow
    Sad
    10
    4 Comments 0 Shares 1236 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอล "เบซาเลล สโมทริช" เรียกร้องให้มีการแต่งตั้งผู้ที่จะเข้าดำเนินการบุกยึดฉนวนกาซาอย่างเปบ็ดเสร็จเด็ดขาด แลำกำจัดฮามาสให้สิ้นซาก!

    “ตอนนี้เราต้องแต่งตั้งเสนาธิการฝ่ายรุกซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างชัดเจนและครบถ้วนโดยไม่ลังเลในภารกิจที่จะได้รับการกำหนดใหม่โดยผู้นำทางการเมือง นั่นคือการยึดครองฉนวนกาซาและป้องกันไม่ให้ฮามาสควบคุมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม”
    รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอิสราเอล "เบซาเลล สโมทริช" เรียกร้องให้มีการแต่งตั้งผู้ที่จะเข้าดำเนินการบุกยึดฉนวนกาซาอย่างเปบ็ดเสร็จเด็ดขาด แลำกำจัดฮามาสให้สิ้นซาก! “ตอนนี้เราต้องแต่งตั้งเสนาธิการฝ่ายรุกซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้อย่างชัดเจนและครบถ้วนโดยไม่ลังเลในภารกิจที่จะได้รับการกำหนดใหม่โดยผู้นำทางการเมือง นั่นคือการยึดครองฉนวนกาซาและป้องกันไม่ให้ฮามาสควบคุมความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม”
    Like
    1
    2 Comments 0 Shares 238 Views 23 0 Reviews
  • ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งยุติเรื่องสอบสวนวินัยร้ายแรงข้าราชการบางคน ปมทุจริตจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 7 โครงการ ระบุไม่มีหลักฐานบ่งชี้ อดีต ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ยังต้องสอบสวนต่อ 11 คน
    .
    วันนี้ (27 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งยุติเรื่อง กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงของข้าราชการกรุงเทพมหานคร ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสำหรับศูนย์นันทนาการฯ และศูนย์กีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) จำนวน 7 โครงการ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีราคาสูงเกินจากราคาตลาด ตามคำสั่ง กทม. ที่ 2364/2567 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา
    .
    เนื่องจากในชั้นสอบสวนไม่ปรากฎพยานหลักฐานใดบ่งชี้ว่า นายสมบูรณ์ หอมนาน อดีตผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว (ปัจจุบันย้ายไปเป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม) และข้าราชการรวม 19 ราย ได้กระทำการหรือสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กระทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้ง 7 โครงการ พฤติการณ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามสมควรแก่กรณีแล้ว จึงไม่ได้กระทำผิดวินัยในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เห็นควรยุติเรื่อง
    .
    จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 และมาตรา 52 (1) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ประกอบกับ มาตรา 93 วรรคสอง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ข้อ 63(1) และข้อ 72 ของกฎ ก.ก.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2565 จึงให้ยุติ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ยังมีคำสั่งกรุงเทพมหานคร เรื่อง พบข้อบกพร่องของข้าราชการอีก 10 ราย ซึ่งเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง มีโทษลดเงินเดือน 2% ระยะเวลา 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีข้าราชการ กทม. ต้องสอบสวนต่อ 11 คน
    .
    สำหรับการร้องเรียนการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ สำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท 2. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท 3. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท
    .
    4. โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท 5. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99 ล้านบาท 6. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 7. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท
    .
    โดยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 25 ราย และขยายผลข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีก 4 ราย รวม 29 ราย เมื่อผลการสอบสวนพบว่ามีมูล จึงรวบรวมข้อมูลส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่ปลัดกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อ ทั้ง 7 โครงการไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานปลัด กทม. พร้อมทั้งเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรง กระทั่งการสอบสวนแล้วเสร็จ จึงสรุปสำนวนรายงานต่อผู้ว่าฯ กทม. เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดนายชัชชาติมีคำสั่งยุติเรื่องและคำสั่งพบข้อบกพร่องดังกล่าว ซึ่งหลังสอบสวนพบว่ายังมีข้าราชการที่ต้องสอบสวนต่อ 11 คน ส่วนที่เหลือให้ยุติเรื่อง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008519
    .........
    Sondhi X
    ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สั่งยุติเรื่องสอบสวนวินัยร้ายแรงข้าราชการบางคน ปมทุจริตจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 7 โครงการ ระบุไม่มีหลักฐานบ่งชี้ อดีต ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ยังต้องสอบสวนต่อ 11 คน . วันนี้ (27 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งยุติเรื่อง กรณีการดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงของข้าราชการกรุงเทพมหานคร ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกายสำหรับศูนย์นันทนาการฯ และศูนย์กีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) จำนวน 7 โครงการ ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีราคาสูงเกินจากราคาตลาด ตามคำสั่ง กทม. ที่ 2364/2567 ลงวันที่ 1 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา . เนื่องจากในชั้นสอบสวนไม่ปรากฎพยานหลักฐานใดบ่งชี้ว่า นายสมบูรณ์ หอมนาน อดีตผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยว (ปัจจุบันย้ายไปเป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสิ่งแวดล้อม) และข้าราชการรวม 19 ราย ได้กระทำการหรือสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชา กระทำผิดขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้ง 7 โครงการ พฤติการณ์เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามสมควรแก่กรณีแล้ว จึงไม่ได้กระทำผิดวินัยในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เห็นควรยุติเรื่อง . จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 และมาตรา 52 (1) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ประกอบกับ มาตรา 93 วรรคสอง พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ข้อ 63(1) และข้อ 72 ของกฎ ก.ก.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ. 2565 จึงให้ยุติ ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ยังมีคำสั่งกรุงเทพมหานคร เรื่อง พบข้อบกพร่องของข้าราชการอีก 10 ราย ซึ่งเป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง มีโทษลดเงินเดือน 2% ระยะเวลา 1 เดือน อย่างไรก็ตาม ยังพบว่ามีข้าราชการ กทม. ต้องสอบสวนต่อ 11 คน . สำหรับการร้องเรียนการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม. จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ สำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท 2. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท 3. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท . 4. โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท 5. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99 ล้านบาท 6. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 7. โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท . โดยได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับข้าราชการที่เกี่ยวข้อง 25 ราย และขยายผลข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีก 4 ราย รวม 29 ราย เมื่อผลการสอบสวนพบว่ามีมูล จึงรวบรวมข้อมูลส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามกฎหมาย ขณะที่ปลัดกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อ ทั้ง 7 โครงการไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานปลัด กทม. พร้อมทั้งเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรง กระทั่งการสอบสวนแล้วเสร็จ จึงสรุปสำนวนรายงานต่อผู้ว่าฯ กทม. เรียบร้อยแล้ว ในที่สุดนายชัชชาติมีคำสั่งยุติเรื่องและคำสั่งพบข้อบกพร่องดังกล่าว ซึ่งหลังสอบสวนพบว่ายังมีข้าราชการที่ต้องสอบสวนต่อ 11 คน ส่วนที่เหลือให้ยุติเรื่อง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000008519 ......... Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    15
    3 Comments 0 Shares 1014 Views 1 Reviews
  • 'บิ๊กต่าย' ประกาศกฎเหล็ก โยกย้ายรอง ผบก.ต้องเป๊ะ
    .
    การแต่งตั้งนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการและรองจเรตำรวจ ลงมาถึงผู้บังคับการ วาระประจำปี 2567 เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆได้ไม่ทันไร เร็วๆนี้การแต่งตั้งนายตำรวจระดับรองผบก.คาดว่าน่าจะเป็นประเด็นร้อนแรงเช่นกัน มิเช่นนั้นพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คงไม่มีบันทึกข้อความลงวันที่ 24 มกราคม 2567 ถึงผบช. จตร.(หน.จต.) หรือตำแหน่งเทียบเท่าผบก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า เรื่อง กำชับและเตรียมความพร้อมการแต่งตั้งตั้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ลงมา วาระประจำปี 2567
    .
    ทั้งนี้ บันทึกดังกล่าวมีใจความว่า ด้วยขณะนี้ใกล้เข้าสู่ห้วงระยะเวลาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งระดับ รอง ผบก. ลงมา วาระประจำปี 2567 ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 ประกอบมติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ 8/2567 เมื่อ 7 ตุลาคม 2567 และครั้งที่ 1/2568 เมื่อ 10 มกราคม 2568 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำรวจระดับรอง ผบก. ลงมา ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ จึงกำชับให้ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการแต่งตั้งตั้งราชการตำรวจต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 อย่างเคร่งครัด โดยยึดถือความถูกต้องเป็นธรรม และมีความโปร่งใสในทุกกระบวนการ ดังนี้

    .
    1. การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ลงมาใน บช. ที่มิได้สังกัด สง.ผบ.ตร. เป็นอำนาจของ ผบช. สำหรับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในสังกัด สง.ผบ.ตร. เป็นอำนาจของ ผบ.ตร. นำข้อมูลการเสนอแต่งตั้งของหัวหน้าส่วนราชการระดับรองลงมา ที่ได้มีการพิจารณาเสนอในรูปคณะกรรมการตามที่กำหนด มาประกอบการพิจารณาด้วย หากมีความเห็นแตกต่างจากข้อมูลการเสนอแต่งตั้งของหัวหน้าส่วนราชการ ให้ชี้แจงเหตุผลต่อคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติพ.ศ.2565 มาตรา 79 และมาตรา 81
    .
    การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ให้พิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ ความประพฤติ ความรู้ความสามารถ ความชำนาญ ความถนัด ทักษะ ความสมัครใจทางราชการ และมุ่งหมายให้ผู้นั้นได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย โดยจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้ สำหรับการพิจารณาความรู้ความสามารถ ให้คำนึงถึงประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติ และผลการประเมินความพึงพอใจที่ประชาชนหรือผู้รับบริการได้รับจากการให้บริการของข้าราชการตำรวจประกอบด้วย ตามมาตรา 60(3) มาตรา 76 และมาตรา 82
    .

    2. การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ตร. สามารถใช้อำนาจทางปกครองดำเนินการกรณี ผบช. ใช้อำนาจสั่งแต่งตั้งโดยไม่เป็นธรรม หรือมีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่ ก.ตร. กำหนด หรือไม่ยึดถือความถูกต้องเป็นธรรมได้ โดยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการที่ ศปก.ตร. ตามข้อ 9 แห่งระเบียบ ตร. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายใน ตร.พ.ศ.2566 และจะมีการพิจารณาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว รวมถึงการพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
    .
    ทั้งนี้ หากมีข้าราชการตำรวจร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจแต่งตั้งของ ผบช. ที่ไม่เป็นธรรม และ ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยว่า ผบช. ผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดใน พ.ร.บ.นี้ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาลงโทษผู้นั้นโดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนอีกแล้วรายงานให้ ก.ตร. ทราบ และหาก ก.ตร. มีมติว่าการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการจงใจเพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด จะถือว่า ผบช. ผู้นั้นกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และผบ.ตร. จะดำเนินการลงโทษผู้นั้นตามมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 จึงแจ้งมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด
    .............
    Sondhi X
    'บิ๊กต่าย' ประกาศกฎเหล็ก โยกย้ายรอง ผบก.ต้องเป๊ะ . การแต่งตั้งนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการและรองจเรตำรวจ ลงมาถึงผู้บังคับการ วาระประจำปี 2567 เพิ่งผ่านไปสดๆร้อนๆได้ไม่ทันไร เร็วๆนี้การแต่งตั้งนายตำรวจระดับรองผบก.คาดว่าน่าจะเป็นประเด็นร้อนแรงเช่นกัน มิเช่นนั้นพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คงไม่มีบันทึกข้อความลงวันที่ 24 มกราคม 2567 ถึงผบช. จตร.(หน.จต.) หรือตำแหน่งเทียบเท่าผบก. ในสังกัด สง.ผบ.ตร. หรือตำแหน่งเทียบเท่า เรื่อง กำชับและเตรียมความพร้อมการแต่งตั้งตั้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ลงมา วาระประจำปี 2567 . ทั้งนี้ บันทึกดังกล่าวมีใจความว่า ด้วยขณะนี้ใกล้เข้าสู่ห้วงระยะเวลาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจดำรงตำแหน่งระดับ รอง ผบก. ลงมา วาระประจำปี 2567 ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนด ตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 ประกอบมติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ 8/2567 เมื่อ 7 ตุลาคม 2567 และครั้งที่ 1/2568 เมื่อ 10 มกราคม 2568 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเริ่มดำเนินการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำรวจระดับรอง ผบก. ลงมา ผบ.ตร. ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการตำรวจ จึงกำชับให้ผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการแต่งตั้งตั้งราชการตำรวจต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2567 อย่างเคร่งครัด โดยยึดถือความถูกต้องเป็นธรรม และมีความโปร่งใสในทุกกระบวนการ ดังนี้ . 1. การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ รอง ผบก. ลงมาใน บช. ที่มิได้สังกัด สง.ผบ.ตร. เป็นอำนาจของ ผบช. สำหรับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจในสังกัด สง.ผบ.ตร. เป็นอำนาจของ ผบ.ตร. นำข้อมูลการเสนอแต่งตั้งของหัวหน้าส่วนราชการระดับรองลงมา ที่ได้มีการพิจารณาเสนอในรูปคณะกรรมการตามที่กำหนด มาประกอบการพิจารณาด้วย หากมีความเห็นแตกต่างจากข้อมูลการเสนอแต่งตั้งของหัวหน้าส่วนราชการ ให้ชี้แจงเหตุผลต่อคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติพ.ศ.2565 มาตรา 79 และมาตรา 81 . การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น ให้พิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ ความประพฤติ ความรู้ความสามารถ ความชำนาญ ความถนัด ทักษะ ความสมัครใจทางราชการ และมุ่งหมายให้ผู้นั้นได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ด้านต่าง ๆ อย่างหลากหลาย โดยจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้ สำหรับการพิจารณาความรู้ความสามารถ ให้คำนึงถึงประวัติการรับราชการ ผลการปฏิบัติงาน ความประพฤติ และผลการประเมินความพึงพอใจที่ประชาชนหรือผู้รับบริการได้รับจากการให้บริการของข้าราชการตำรวจประกอบด้วย ตามมาตรา 60(3) มาตรา 76 และมาตรา 82 . 2. การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ตร. สามารถใช้อำนาจทางปกครองดำเนินการกรณี ผบช. ใช้อำนาจสั่งแต่งตั้งโดยไม่เป็นธรรม หรือมีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่ ก.ตร. กำหนด หรือไม่ยึดถือความถูกต้องเป็นธรรมได้ โดยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการที่ ศปก.ตร. ตามข้อ 9 แห่งระเบียบ ตร. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายใน ตร.พ.ศ.2566 และจะมีการพิจารณาตรวจสอบการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว รวมถึงการพิจารณาดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง . ทั้งนี้ หากมีข้าราชการตำรวจร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.ตร. อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจแต่งตั้งของ ผบช. ที่ไม่เป็นธรรม และ ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยว่า ผบช. ผู้นั้นไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดใน พ.ร.บ.นี้ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาลงโทษผู้นั้นโดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนอีกแล้วรายงานให้ ก.ตร. ทราบ และหาก ก.ตร. มีมติว่าการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการจงใจเพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด จะถือว่า ผบช. ผู้นั้นกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และผบ.ตร. จะดำเนินการลงโทษผู้นั้นตามมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 จึงแจ้งมาเพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด ............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Sad
    12
    0 Comments 0 Shares 1022 Views 0 Reviews
  • ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยเตรียมความพร้อมการแต่งตั้งระดับ รอง ผบก.ลงมา วาระประจำปี 2567 ย้ำชัดต้องปฏิบัติตามกฎหมาย-กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ อย่างเคร่งครัด ขู่ฟันวินัยร้ายแรง ผบช.ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008247

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยเตรียมความพร้อมการแต่งตั้งระดับ รอง ผบก.ลงมา วาระประจำปี 2567 ย้ำชัดต้องปฏิบัติตามกฎหมาย-กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งฯ อย่างเคร่งครัด ขู่ฟันวินัยร้ายแรง ผบช.ใช้อำนาจไม่เป็นธรรม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000008247 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    Wow
    13
    0 Comments 0 Shares 867 Views 0 Reviews
  • Meta กำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับ AI chatbot ของพวกเขา ซึ่งไม่สามารถระบุชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง (5555+ ขออนุญาต ขำ) ปัญหานี้ถูกยกระดับเป็นเรื่องเร่งด่วนหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ AI chatbot ของ Meta ยังคงระบุว่าโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีอยู่

    Meta ได้เริ่มกระบวนการฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้ที่เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดี นอกจากนี้ Meta ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ รวมถึงการยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐอเมริกา และการแต่งตั้ง Joel Kaplan เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทั่วโลกคนใหม่

    น่าสนใจที่เห็นว่า Meta กำลังพยายามปรับตัวและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้บริการ AI chatbot ของพวกเขามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ Meta มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/meta-seeks-urgent-fix-to-ai-chatbot039s-confusion-on-name-of-us-president
    Meta กำลังพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับ AI chatbot ของพวกเขา ซึ่งไม่สามารถระบุชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบันได้อย่างถูกต้อง (5555+ ขออนุญาต ขำ) ปัญหานี้ถูกยกระดับเป็นเรื่องเร่งด่วนหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการสาบานตนเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา แต่ AI chatbot ของ Meta ยังคงระบุว่าโจ ไบเดนเป็นประธานาธิบดีอยู่ Meta ได้เริ่มกระบวนการฉุกเฉินเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งเป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้ที่เกิดปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดี นอกจากนี้ Meta ยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ รวมถึงการยกเลิกโปรแกรมตรวจสอบข้อเท็จจริงในสหรัฐอเมริกา และการแต่งตั้ง Joel Kaplan เป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทั่วโลกคนใหม่ น่าสนใจที่เห็นว่า Meta กำลังพยายามปรับตัวและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อให้บริการ AI chatbot ของพวกเขามีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลให้ Meta มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/24/meta-seeks-urgent-fix-to-ai-chatbot039s-confusion-on-name-of-us-president
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta seeks urgent fix to AI chatbot's confusion on name of US president
    NEW YORK (Reuters) - The inability of Meta's AI chatbot to identify the current president of the United States was elevated to urgent status by the Facebook owner this week, requiring a fast fix, a person familiar with the issue said.
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • กระทรวงกลาโหมสหรัฐสร้างความประหลาดใจอย่างมาก ด้วยการประกาศแต่งตั้ง ไมเคิล พี. ดิมิโน (Michael P. DiMino) อดีตนักวิเคราะห์ของซีไอเอและเจ้าหน้าที่ต่อต้านการก่อการร้าย เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนโยบายตะวันออกกลางของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ผู้ซึ่งมีแนวคิดใช้นโยบายทางการทูตมากกว่าการทำสงคราม

    "ตำแหน่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการควบคุมทิศทางภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด โดยที่ดิมิโนจะเป็นผู้รับผิดชอบในการลงนามในข้อตกลงทางทหารต่างประเทศทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดหาอาวุธให้กับประเทศที่สนับสนุนสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงอิสราเอลด้วย"

    การแต่งตั้งครั้งนี้ส่งผลกระทบถึงอิสราเอลและอิหร่านโดยตรง ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าทรัมป์กำลังถอยห่างจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง "แต่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับอิสราเอล"

    เนื่องจากการแสดงออกของดิมิโนที่ผ่านมา เคยวิจารณ์รัฐบาลของไบเดนที่ล้มเหลวในการกดดันอิสราเอลให้เปิดการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังฉนวนกาซา ขณะเดียวกัน เขาก็ชื่นชมไบเดนเช่นกันที่ปฏิเสธเข้าร่วมในการโจมตีตอบโต้ของอิสราเอลต่ออิหร่านโดยตรง

    เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ดิมิโนเคยแสดงความเห็นเอาไว้ว่าตะวันออกกลางไม่ได้มีความสำคัญสำหรับผลประโยชน์ของสหรัฐอย่างแท้จริง และบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคนี้ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดแก่พวกเขาเช่นกัน นอกจากนี้ภัยคุกคามที่สำคัญของสหรัฐในภูมิภาคนี้ คือการทำให้มีความขัดแย้งกันน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยยิ่งดี

    ดิมิโนยังแสดงความเห็นอีกว่า เขายังมองไม่เห็นประเด็นในการทิ้งระเบิดกลุ่มฮูตีจากคำสั่งของไบเดน และเชื่อว่าการทูตเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับฉนวนกาซา

    นี่อาจเป็นก้าวใหม่ของสหรัฐที่มีบุคคลที่อาจเข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางที่เน้นด้านมนุษยธรรมมากขึ้น
    กระทรวงกลาโหมสหรัฐสร้างความประหลาดใจอย่างมาก ด้วยการประกาศแต่งตั้ง ไมเคิล พี. ดิมิโน (Michael P. DiMino) อดีตนักวิเคราะห์ของซีไอเอและเจ้าหน้าที่ต่อต้านการก่อการร้าย เข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายนโยบายตะวันออกกลางของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ผู้ซึ่งมีแนวคิดใช้นโยบายทางการทูตมากกว่าการทำสงคราม "ตำแหน่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการควบคุมทิศทางภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งหมด โดยที่ดิมิโนจะเป็นผู้รับผิดชอบในการลงนามในข้อตกลงทางทหารต่างประเทศทั้งหมดเกี่ยวกับการจัดหาอาวุธให้กับประเทศที่สนับสนุนสหรัฐฯ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงอิสราเอลด้วย" การแต่งตั้งครั้งนี้ส่งผลกระทบถึงอิสราเอลและอิหร่านโดยตรง ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าทรัมป์กำลังถอยห่างจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง "แต่อาจสร้างความไม่พอใจให้กับอิสราเอล" เนื่องจากการแสดงออกของดิมิโนที่ผ่านมา เคยวิจารณ์รัฐบาลของไบเดนที่ล้มเหลวในการกดดันอิสราเอลให้เปิดการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปยังฉนวนกาซา ขณะเดียวกัน เขาก็ชื่นชมไบเดนเช่นกันที่ปฏิเสธเข้าร่วมในการโจมตีตอบโต้ของอิสราเอลต่ออิหร่านโดยตรง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ดิมิโนเคยแสดงความเห็นเอาไว้ว่าตะวันออกกลางไม่ได้มีความสำคัญสำหรับผลประโยชน์ของสหรัฐอย่างแท้จริง และบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคนี้ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์ใดแก่พวกเขาเช่นกัน นอกจากนี้ภัยคุกคามที่สำคัญของสหรัฐในภูมิภาคนี้ คือการทำให้มีความขัดแย้งกันน้อยที่สุดหรือไม่มีเลยยิ่งดี ดิมิโนยังแสดงความเห็นอีกว่า เขายังมองไม่เห็นประเด็นในการทิ้งระเบิดกลุ่มฮูตีจากคำสั่งของไบเดน และเชื่อว่าการทูตเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับฉนวนกาซา นี่อาจเป็นก้าวใหม่ของสหรัฐที่มีบุคคลที่อาจเข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางที่เน้นด้านมนุษยธรรมมากขึ้น
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • เริ่มแล้ว!!
    พลเรือเอกหญิงลินดา ฟาแกน (Linda Fagan) ผู้บัญชาการหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐอเมริกา และยังเป็นพลเรือเอกหญิงระดับสี่ดาวคนแรกของหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐ ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่ละเลยการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยที่ชายแดนและเอาแต่เน้นนโยบายความเท่าเทียม หรือ DEI มากเกินไป
    DEI :
    D- Diversity (ความหลากหลาย)
    E- Equity (ความเท่าเทียม)
    I- Inclusion (การเปิดรับคนทุกคน)
    .
    นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวอีกหลายรายที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของไบเดน โดนไล่ออกไปแล้ว เช่น :
    - โฮเซ อันเดรส (Jose Andres) จากสภากีฬา ฟิตเนส และโภชนาการของประธานาธิบดี (President’s Council on Sports, Fitness and Nutrition)
    - พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ (Mark Milley) จากสภาที่ปรึกษาโครงสร้างพื้นฐานแห่งชาติ (the National Infrastructure Advisory Council)
    - ไบรอัน ฮุก (Brian Hook) จากสถาบันวิลสันเพื่อนักวิชาการ (the Wilson Center for Scholars)
    - คีชา แลนซ์ บอตทอมส์ (Keisha Lance Bottoms) จากสภาการส่งออกของประธานาธิบดี (the President’s Export Council)
    เริ่มแล้ว!! พลเรือเอกหญิงลินดา ฟาแกน (Linda Fagan) ผู้บัญชาการหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐอเมริกา และยังเป็นพลเรือเอกหญิงระดับสี่ดาวคนแรกของหน่วยยามชายฝั่งสหรัฐ ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่ละเลยการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยที่ชายแดนและเอาแต่เน้นนโยบายความเท่าเทียม หรือ DEI มากเกินไป DEI : D- Diversity (ความหลากหลาย) E- Equity (ความเท่าเทียม) I- Inclusion (การเปิดรับคนทุกคน) . นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวอีกหลายรายที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของไบเดน โดนไล่ออกไปแล้ว เช่น : - โฮเซ อันเดรส (Jose Andres) จากสภากีฬา ฟิตเนส และโภชนาการของประธานาธิบดี (President’s Council on Sports, Fitness and Nutrition) - พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ (Mark Milley) จากสภาที่ปรึกษาโครงสร้างพื้นฐานแห่งชาติ (the National Infrastructure Advisory Council) - ไบรอัน ฮุก (Brian Hook) จากสถาบันวิลสันเพื่อนักวิชาการ (the Wilson Center for Scholars) - คีชา แลนซ์ บอตทอมส์ (Keisha Lance Bottoms) จากสภาการส่งออกของประธานาธิบดี (the President’s Export Council)
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 235 Views 1 Reviews
  • ขอแสดงความยินดียิ่งกับ ท่านไพฑูรย์ มหาชื่นใจ และคุณนาย เนื่องในโอกาสได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย (ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 70/2568 ลงวันที่ 7 มกราคม 2568)
    13 มกราคม 2568
    ขอแสดงความยินดียิ่งกับ ท่านไพฑูรย์ มหาชื่นใจ และคุณนาย เนื่องในโอกาสได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย (ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 70/2568 ลงวันที่ 7 มกราคม 2568) 13 มกราคม 2568
    0 Comments 0 Shares 121 Views 4 0 Reviews
  • 10 ปี สิ้นวีรบุรุษสะพานมัฆวาน “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มือปราบกบฏยังเติร์ก

    ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญ ผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์การเมือง และการทหารของชาติไป นั่นคือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “บิ๊กซัน” วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย และปราบกบฏยังเติร์ก อย่างกล้าหาญ

    พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยตรีพิณ กำลังเอก และนางสาคร กำลังเอก ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยายามในการศึกษา

    การศึกษาของพลเอกอาทิตย์ เริ่มต้นที่โรงเรียนพรหมวิทยามูล ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร

    ด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร จึงได้เข้าศึกษาใน โรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 (ตทบ. 5) ระหว่างปี พ.ศ. 2487–2491 โดยรุ่นเดียวกันนี้ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นสำคัญ อาทิ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกบรรจบ บุนนาค

    วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนาน
    หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์โดดเด่นคือ การประท้วงใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนรวมตัวกัน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส

    ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์มียศเพียงร้อยเอก และเป็นหนึ่งในทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้สั่งห้ามทหาร ทำร้ายประชาชน โดยเด็ดขาด

    การเปิดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ให้ขบวนประท้วง เดินผ่านไปยังทำเนียบรัฐบาล ได้โดยสงบ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ และการใช้เหตุผลเหนือกำลังอาวุธ

    กบฏยังเติร์ก บทบาทผู้นำในช่วงวิกฤต
    อีกเหตุการณ์ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์ ได้รับการยกย่องคือ การเข้าร่วมปราบ กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 เมษายน พ.ศ. 2524

    กลุ่มกบฏซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนายทหารรุ่น “จปร. 7” มีเป้าหมายที่จะยึดอำนาจ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการเคลื่อนกำลังทหารถึง 42 กองพัน ถือว่าเป็นความพยายามรัฐประหาร ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย

    ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มกบฏ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และความไว้วางใจจากพลเอกเปรม

    ผลลัพธ์ของกบฏ
    การก่อกบฏสิ้นสุดลง โดยไม่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกเปรมสามารถจัดการสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มกบฏ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

    บทบาทของพลเอกอาทิตย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และในเวลาต่อมาได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก

    ความสัมพันธ์กับพลเอกเปรม จากมิตรสู่ความขัดแย้ง
    ในช่วงที่พลเอกเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกอาทิตย์ ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับตึงเครียดในช่วงปี พ.ศ. 2527 เมื่อพลเอกอาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล

    ความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การที่พลเอกอาทิตย์ ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2529 ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนแรง

    หลังเกษียณ ชีวิตในวงการการเมือง
    หลังจากเกษียณราชการ พลเอกอาทิตย์ได้เข้าสู่การเมือง โดยการก่อตั้ง พรรคปวงชนชาวไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ

    อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายชีวิตทางการเมือง กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535)

    การจากไปของ “บิ๊กซัน”
    พลเอกอาทิตย์ป่วยเรื้อรัง จากอาการติดเชื้อในปอด และเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ด้วยวัย 89 ปี

    พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ไทย ในหลายด้าน ทั้งในฐานะนักปกป้องประชาธิปไตย วีรบุรุษสะพานมัฆวาน และผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์การเมือง

    แม้จะมีช่วงเวลา ที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นในหน้าที่ และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังคงทำให้ชื่อของบิ๊กซัน เป็นที่จดจำ

    🎖️ ความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน! 🎖️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190919 ม.ค. 2568

    #บิ๊กซัน #อาทิตย์กำลังเอก #วีรบุรุษสะพานมัฆวาน #กบฏยังเติร์ก #ประวัติศาสตร์ไทย #ผู้นำแห่งชาติ #ไทยในอดีต #การเมืองไทย #กองทัพไทย #10ปีแห่งการจากไป
    10 ปี สิ้นวีรบุรุษสะพานมัฆวาน “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มือปราบกบฏยังเติร์ก ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ประเทศไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญ ผู้ทรงอิทธิพลในประวัติศาสตร์การเมือง และการทหารของชาติไป นั่นคือ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก หรือที่สื่อมวลชนขนานนามว่า “บิ๊กซัน” วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ผู้ซึ่งเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องระบอบประชาธิปไตย และปราบกบฏยังเติร์ก อย่างกล้าหาญ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เกิดเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ณ กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร้อยตรีพิณ กำลังเอก และนางสาคร กำลังเอก ชีวิตในวัยเด็ก เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และพยายามในการศึกษา การศึกษาของพลเอกอาทิตย์ เริ่มต้นที่โรงเรียนพรหมวิทยามูล ก่อนจะเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร (ปัจจุบันคือโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร) และสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลาย จากโรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร ด้วยความฝันที่จะเป็นทหาร จึงได้เข้าศึกษาใน โรงเรียนเตรียมทหารบก รุ่นที่ 5 (ตทบ. 5) ระหว่างปี พ.ศ. 2487–2491 โดยรุ่นเดียวกันนี้ยังมีเพื่อนร่วมรุ่นสำคัญ อาทิ พลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ และพลเอกบรรจบ บุนนาค วีรบุรุษสะพานมัฆวาน ช่วงเวลาแห่งการสร้างตำนาน หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์โดดเด่นคือ การประท้วงใหญ่ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประชาชนรวมตัวกัน เดินขบวนประท้วงการเลือกตั้ง ที่ถูกมองว่าไม่โปร่งใส ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์มียศเพียงร้อยเอก และเป็นหนึ่งในทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ตามคำสั่งของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งได้สั่งห้ามทหาร ทำร้ายประชาชน โดยเด็ดขาด การเปิดสะพานมัฆวานรังสรรค์ ให้ขบวนประท้วง เดินผ่านไปยังทำเนียบรัฐบาล ได้โดยสงบ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ และการใช้เหตุผลเหนือกำลังอาวุธ กบฏยังเติร์ก บทบาทผู้นำในช่วงวิกฤต อีกเหตุการณ์ ที่ทำให้ชื่อของพลเอกอาทิตย์ ได้รับการยกย่องคือ การเข้าร่วมปราบ กบฏยังเติร์ก หรือ กบฏเมษาฮาวาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1–3 เมษายน พ.ศ. 2524 กลุ่มกบฏซึ่งส่วนใหญ่ เป็นนายทหารรุ่น “จปร. 7” มีเป้าหมายที่จะยึดอำนาจ จากรัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยการเคลื่อนกำลังทหารถึง 42 กองพัน ถือว่าเป็นความพยายามรัฐประหาร ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ไทย ในขณะนั้น พลเอกอาทิตย์ ดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นกำลังสำคัญ ในการปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มกบฏ โดยได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และความไว้วางใจจากพลเอกเปรม ผลลัพธ์ของกบฏ การก่อกบฏสิ้นสุดลง โดยไม่มีการต่อสู้อย่างรุนแรง ฝ่ายรัฐบาล ภายใต้การนำของพลเอกเปรมสามารถจัดการสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว และกลุ่มกบฏ ต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ บทบาทของพลเอกอาทิตย์ในครั้งนี้ ส่งผลให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และในเวลาต่อมาได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก ความสัมพันธ์กับพลเอกเปรม จากมิตรสู่ความขัดแย้ง ในช่วงที่พลเอกเปรม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกอาทิตย์ ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง กลับตึงเครียดในช่วงปี พ.ศ. 2527 เมื่อพลเอกอาทิตย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ความขัดแย้งดังกล่าว นำไปสู่การที่พลเอกอาทิตย์ ถูกปลดจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ. 2529 ท่ามกลางกระแสการเมือง ที่ร้อนแรง หลังเกษียณ ชีวิตในวงการการเมือง หลังจากเกษียณราชการ พลเอกอาทิตย์ได้เข้าสู่การเมือง โดยการก่อตั้ง พรรคปวงชนชาวไทย และได้รับการแต่งตั้งเป็น รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายชีวิตทางการเมือง กลับเต็มไปด้วยความตึงเครียด โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ (พ.ศ. 2535) การจากไปของ “บิ๊กซัน” พลเอกอาทิตย์ป่วยเรื้อรัง จากอาการติดเชื้อในปอด และเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่อนิจกรรม เมื่อเวลา 06.20 น. ของวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 ด้วยวัย 89 ปี พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์ไทย ในหลายด้าน ทั้งในฐานะนักปกป้องประชาธิปไตย วีรบุรุษสะพานมัฆวาน และผู้นำในช่วงวิกฤตการณ์การเมือง แม้จะมีช่วงเวลา ที่ขัดแย้งกับผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่ความมุ่งมั่นในหน้าที่ และความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังคงทำให้ชื่อของบิ๊กซัน เป็นที่จดจำ 🎖️ ความทรงจำที่ไม่มีวันลบเลือน! 🎖️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 190919 ม.ค. 2568 #บิ๊กซัน #อาทิตย์กำลังเอก #วีรบุรุษสะพานมัฆวาน #กบฏยังเติร์ก #ประวัติศาสตร์ไทย #ผู้นำแห่งชาติ #ไทยในอดีต #การเมืองไทย #กองทัพไทย #10ปีแห่งการจากไป
    0 Comments 0 Shares 399 Views 0 Reviews
  • 19/1/68

    ข่าวร้ายร้อนๆรับปีใหม่เรื่องต่อสัมปทานทางด่วนให้เอกชนมาแล้วจ้า

    เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษ(กทพ.)ชุดใหม่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2567 พากันมา สวัสดีปีใหม่ดิฉัน และถือโอกาสพาคณะกรรมการชุดใหม่มาแนะนำตัว

    ดิฉันติดตามกรณีการล้วงใส้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งให้เอกชนรวย เรียกว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการเซาะกร่อนบ่อนทำลายโครงสร้างเศรษกิจพื้นฐานของชาติและประชาชนโดยแท้

    การทางพิเศษ (กทพ.)ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะถูกจ้องล้วงไส้กอบโกยกำไรผ่องถ่ายไปให้เอกชนอย่างต่อเนื่อง กรณีของ กทพ.คือการหาเหตุต่อสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่สิ้นสุด แทนที่หมดสัมปทานแล้วควรหยุดต่อสัมปทานให้เอกชนซึ่งได้กำไรร่ำรวยกันเกินสมควรแล้ว ให้โอกาสประชาชนได้ลดค่าทางด่วนลงไปบ้าง แต่ฝ่ายการเมืองร่วมมือกับฝ่ายบริหารจ้องต่อสัมปทานให้เอกชนหากินบนทางด่วนขูดเลือดประชาชนแบบชั่วกัลปวสาน โดยใช้อุบายแปะหน้าซองว่าต่อสัมปทานให้เอกชน แลกกับการได้ทางด่วนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีหนี้สาธารณะ พร้อมลดค่าผ่านทางให้อีก มีใครเชื่อบ้างว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อมูลเบื้องหลัง !?!

    มีข่าวว่า ผู้บริหารกทพ.เร่งร้อนจะต่อสัมปทานให้เอกชนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางพิเศษศรีรัช เรียกว่า double deck และจะลดค่าผ่านทางจาก 90 บาทให้เหลือแค่ 50 บาท นี่คือหน้าซองที่แปะป้ายไว้ให้ประชาชนเคลิบเคลิ้ม

    แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังที่ผู้บริโภคไม่ทราบ คือ การสร้างทางด่วนซ้อนขึ้นไปชั้นที่2 โดยบอกหน้าฉากว่าจะลดราคาให้ผู้บริโภคจาก 90 บาทเหลือ50 บาท แต่หลังฉากคือกทพ.ต้องแลกกับการแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก 10% ขยายเวลาต่อสัมปทานออกไปอีก 22 ปี ถึงพ.ศ.2601 ทั้งที่สัมปทานทางด่วนสายนี้จะหมดอายุในปี 2578 (อีก 10ปี ก็จะหมดสัมปทาน)

    ค่าก่อสร้างทางด่วนดับเบิ้ลเด็ค ลงทุนแค่ 30,000 กว่าล้าน

    แต่ถ้าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก็ต้องต่อสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 22ปี และ ให้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก10% คิดเป็นเงินที่ต้องแบ่งให้เอกชน เลขกลมๆก็ประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท

    ถ้า คูณ22 ปีก็ 150,000ล้านบาท !!!!

    ค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 มูลค่าแค่ 3 หมื่นล้านบาท แลกกับการเพิ่มค่าส่วนแบ่งรายได้ให้เอกชนอีก 1 แสนห้าหมื่นล้าน ตลอด 22ปี เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือต่อกลุ่มทุนเจ้าของสัมปทานเดิมร่วมกับกลุ่มการเมืองที่หากินอันเดอร์เทเบิ้ลกันแน่ ?!

    ก็ต้องถามผู้บริหารกทพ. และรัฐมนตรีคมนาคมของพรรครัฐบาล ว่าจะรีบร้อนอ้างการสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก่อนสัมปทานหมดในอีก10ปี ทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่ ?!?

    รสนา โตสิตระกูล
    15 มกราคม 2568

    https://www.facebook.com/share/p/19hszQVEM7/?mibextid=wwXIfr
    19/1/68 ข่าวร้ายร้อนๆรับปีใหม่เรื่องต่อสัมปทานทางด่วนให้เอกชนมาแล้วจ้า เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษ(กทพ.)ชุดใหม่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2567 พากันมา สวัสดีปีใหม่ดิฉัน และถือโอกาสพาคณะกรรมการชุดใหม่มาแนะนำตัว ดิฉันติดตามกรณีการล้วงใส้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งให้เอกชนรวย เรียกว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการเซาะกร่อนบ่อนทำลายโครงสร้างเศรษกิจพื้นฐานของชาติและประชาชนโดยแท้ การทางพิเศษ (กทพ.)ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะถูกจ้องล้วงไส้กอบโกยกำไรผ่องถ่ายไปให้เอกชนอย่างต่อเนื่อง กรณีของ กทพ.คือการหาเหตุต่อสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่สิ้นสุด แทนที่หมดสัมปทานแล้วควรหยุดต่อสัมปทานให้เอกชนซึ่งได้กำไรร่ำรวยกันเกินสมควรแล้ว ให้โอกาสประชาชนได้ลดค่าทางด่วนลงไปบ้าง แต่ฝ่ายการเมืองร่วมมือกับฝ่ายบริหารจ้องต่อสัมปทานให้เอกชนหากินบนทางด่วนขูดเลือดประชาชนแบบชั่วกัลปวสาน โดยใช้อุบายแปะหน้าซองว่าต่อสัมปทานให้เอกชน แลกกับการได้ทางด่วนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีหนี้สาธารณะ พร้อมลดค่าผ่านทางให้อีก มีใครเชื่อบ้างว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อมูลเบื้องหลัง !?! มีข่าวว่า ผู้บริหารกทพ.เร่งร้อนจะต่อสัมปทานให้เอกชนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางพิเศษศรีรัช เรียกว่า double deck และจะลดค่าผ่านทางจาก 90 บาทให้เหลือแค่ 50 บาท นี่คือหน้าซองที่แปะป้ายไว้ให้ประชาชนเคลิบเคลิ้ม แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังที่ผู้บริโภคไม่ทราบ คือ การสร้างทางด่วนซ้อนขึ้นไปชั้นที่2 โดยบอกหน้าฉากว่าจะลดราคาให้ผู้บริโภคจาก 90 บาทเหลือ50 บาท แต่หลังฉากคือกทพ.ต้องแลกกับการแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก 10% ขยายเวลาต่อสัมปทานออกไปอีก 22 ปี ถึงพ.ศ.2601 ทั้งที่สัมปทานทางด่วนสายนี้จะหมดอายุในปี 2578 (อีก 10ปี ก็จะหมดสัมปทาน) ค่าก่อสร้างทางด่วนดับเบิ้ลเด็ค ลงทุนแค่ 30,000 กว่าล้าน แต่ถ้าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก็ต้องต่อสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 22ปี และ ให้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก10% คิดเป็นเงินที่ต้องแบ่งให้เอกชน เลขกลมๆก็ประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท ถ้า คูณ22 ปีก็ 150,000ล้านบาท !!!! ค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 มูลค่าแค่ 3 หมื่นล้านบาท แลกกับการเพิ่มค่าส่วนแบ่งรายได้ให้เอกชนอีก 1 แสนห้าหมื่นล้าน ตลอด 22ปี เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือต่อกลุ่มทุนเจ้าของสัมปทานเดิมร่วมกับกลุ่มการเมืองที่หากินอันเดอร์เทเบิ้ลกันแน่ ?! ก็ต้องถามผู้บริหารกทพ. และรัฐมนตรีคมนาคมของพรรครัฐบาล ว่าจะรีบร้อนอ้างการสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก่อนสัมปทานหมดในอีก10ปี ทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่ ?!? รสนา โตสิตระกูล 15 มกราคม 2568 https://www.facebook.com/share/p/19hszQVEM7/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 262 Views 0 Reviews
  • โฆษก ตร.แจง ปมแต่งตั้ง พ.ต.อ.ไพรัตน์ รอง ผบก.อก.ภ.9 เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ โดยหน่วยเสนอเป็นผู้เหมาะสม อยู่ในกลุ่มอาวุโสร้อยละ 50 แม้ถูกออกหมายจับก็ยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะพรากสิทธิ์ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งตรวจสอบทุกมิติ หากพบมีมูลทางวินัยพร้อมจะดำเนินการต่อไป

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000005567

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โฆษก ตร.แจง ปมแต่งตั้ง พ.ต.อ.ไพรัตน์ รอง ผบก.อก.ภ.9 เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ โดยหน่วยเสนอเป็นผู้เหมาะสม อยู่ในกลุ่มอาวุโสร้อยละ 50 แม้ถูกออกหมายจับก็ยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะพรากสิทธิ์ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งตรวจสอบทุกมิติ หากพบมีมูลทางวินัยพร้อมจะดำเนินการต่อไป อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000005567 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    9
    3 Comments 0 Shares 983 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์เตรียมเลือก "ฌอน เคอร์แรน" (Sean Curran) เป็นผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ (U.S. Secret Service Director) คนใหม่ เพื่อตอบแทนความดีความชอบ!

    หลังจากที่ คิมเบอร์ลีย์ ชีเทิล ผู้อำนวยการคนเดิม ยอมรับถึงความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจลับหรือหน่วยงานรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีสหรัฐจากการปล่อยให้มีการลอบสังหารทรัมป์ถึงสองครั้ง ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ทรัมป์เตรียมแต่งตั้งฌอน เคอร์แรน หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยส่วนตัวของเขาเป็นผู้อำนวยการหน่วยงาน Secret Service คนใหม่

    หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหน่วย Secret Service มาเป็นเวลานานแล้ว หลังจากที่ความไว้วางใจที่มีต่อหน่วยงานนี้อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
    ทรัมป์เตรียมเลือก "ฌอน เคอร์แรน" (Sean Curran) เป็นผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีสหรัฐฯ (U.S. Secret Service Director) คนใหม่ เพื่อตอบแทนความดีความชอบ! หลังจากที่ คิมเบอร์ลีย์ ชีเทิล ผู้อำนวยการคนเดิม ยอมรับถึงความล้มเหลวของหน่วยงานตำรวจลับหรือหน่วยงานรักษาความปลอดภัยประธานาธิบดีสหรัฐจากการปล่อยให้มีการลอบสังหารทรัมป์ถึงสองครั้ง ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ทรัมป์เตรียมแต่งตั้งฌอน เคอร์แรน หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยส่วนตัวของเขาเป็นผู้อำนวยการหน่วยงาน Secret Service คนใหม่ หลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหน่วย Secret Service มาเป็นเวลานานแล้ว หลังจากที่ความไว้วางใจที่มีต่อหน่วยงานนี้อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • โฆษก ตร. แจงปมแต่งตั้ง "พ.ต.อ.ศิรสัณห์" อดีตผู้ต้องหาคดียิงวัดพระแก้ว ขึ้นเป็นผบก.กาฬสินธุ์ ชี้มีคุณสมบัติครบ หน่วยงานต้นสังกัดจึงเสนอขึ้นมา ส่วนเรื่องสอบวินัยยุติแล้ว

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004909

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โฆษก ตร. แจงปมแต่งตั้ง "พ.ต.อ.ศิรสัณห์" อดีตผู้ต้องหาคดียิงวัดพระแก้ว ขึ้นเป็นผบก.กาฬสินธุ์ ชี้มีคุณสมบัติครบ หน่วยงานต้นสังกัดจึงเสนอขึ้นมา ส่วนเรื่องสอบวินัยยุติแล้ว อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000004909 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Haha
    Angry
    Like
    11
    1 Comments 0 Shares 1214 Views 0 Reviews
  • รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้
    9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน

    1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน
    2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%)
    3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร
    4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ
    5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต.
    6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก
    7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า
    8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย”
    9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย
    10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star
    11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star
    12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี
    13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น
    14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง
    15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี
    16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น
    17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง
    18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ
    19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
    20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี
    20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา
    20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้)
    21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น
    22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ
    23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด
    ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล
    24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม
    25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย
    26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี
    27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล
    28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง
    29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง
    30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ
    31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง
    32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา
    33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม
    34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน…
    35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้
    36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ?
    37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ)
    38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ
    39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด
    40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ
    40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่……………
    40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่
    40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….”
    คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า
    40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน
    40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด
    40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ
    40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    รวบรวม 61ความระยำของ ทักษิณ บันทึกไว้ให้ลูกหลานมันจำ" 🧐เครดิต:ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ แชร์ให้โลกรู้ 9 ธค.นี้ 10.00 น.หน้าทำเนียบรัฐบาลไทยทุกคน 1. แก้ พรบ.สรรพสามิตโทรคมนาคม ให้เสียภาษีน้อยลง ได้ผลประโยชน์ 8,000 ล้าน 2. ลดสัมปทาน itv ได้ผลประโยชน์ 20,000 ล้าน แถมได้สถานีโทรทัศน์ที่เคยมีอุดมการณ์เปลี่ยนมาทำลายวัฒนธรรม โดยการเอาหนังเกาหลีมาฉาย และปิดสื่อความไม่ดีสร้างภาพดีๆให้ตัวเอง (กลุ่มชินคอร์ป ถือหุ้น itv 53%) 3. ตั้ง ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ. ก็ได้พี่ชายตนเองคุมทหาร 4. ตั้ง เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็น รอง ผบ.ตร. ก็ได้พี่เขยตนเองคุมตำรวจ 5. ตั้ง วาสนา เพิ่มลาภ เป็น ประธาน กกต ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กกต. 6. ตั้ง สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็น ผอ.กองสลาก ก็ได้ตำรวจพวกพ้องตัวเองคุม กองสลาก 7. ตั้ง คงศักดิ์ วันทนา เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามีลูกน้ำเพื่อนรักที่ช่วยแลกเช็คให้สมัยยังจนอยู่ก็ได้เพื่อนคุณหญิงอ้อ…มาคุมทุกเหล่า 8. กล่าวคําพูดท้าทายพวกก่อการร้ายในภาคใต้ว่าเป็นแค่โจรกระจอก อย่าไปใส่ใจ ทําให้เกิดความรุนแรงคนตายมากมายและหลุดปากด่าทหารว่า “สมควรตาย” 9. ปล่อยเงินกู้ให้พม่า 4,000ล้าน เพื่อนำมาเช่าช่องสัญญาณ IP Star ของตัวเอง ถึงกำหนดแล้วพม่ายังไม่ใช้หนี้เลย 10. เจรจาเซ็น FTA กับจีน ให้จีนนำเข้า หอม กระเทียม เข้ามาไม่เสียภาษี เกษตรกรที่ปลูกหอมปลูกกระเทียมทางเหนือก็ตายหมด ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่อง สัญญาณดาวเทียม IP Star 11. เจรจาเซ็น FTA กับออสเตรเลีย ให้นำเข้า นม ไวน์ เข้ามาไม่เสียภาษี ทำลายเหล้าไวน์พื้นบ้าน OTOP ทำลายนมพระราชดำริ ส่วนไทยได้ขายธุรกิจช่องสัญญาณ IP Star 12. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติส่งเสริมการลงทุนโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์ของ ชินแซทเทิลไลท์ โดยให้การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเฉพาะรายได้ที่ได้รับจากต่างประเทศ ทั้ง ๆที่เป็นกิจการที่ลงทุนเดิมอยู่แล้วไม่รู้ไปยกเว้นภาษีทำไม บริษัทจึงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้อีก 16,459 ล้านบาทต่อปี 13. แปรรูปขายหุ้น ปตท วันแรกเปิดขายหุ้นหมดภายใน 1 นาที 17 วินาที ตระกูลใครละที่ได้ซื้อหุ้นไปหลังจากแปรรูป น้ำมันก็แพงขึ้นทุกวัน ให้กองทุนน้ำมันของคนไทยขาดทุนกว่า 70,000 ล้านบาท แต่ ปตท ได้กำไรปี 2548 จำนวน 160,000 ล้านบาท แล้วกำไรแทนที่จะเป็นของรัฐก็กลายเป็นกำไรของตระกูลพวกถือหุ้น 14. ซุกหุ้นภาคแรกให้เมียตัวเองขึ้นศาลรับผิด ซุกหุ้นภาค 2 ให้ลูกชายตัวเองขึ้นศาลรับผิดไหนบอกว่ารักครอบครัวไง 15. บริษัทของลูกท่านได้เงินกู้ 5,000 ล้าน จาก ICT ดอกเบี้ย0% ไม่กำหนดเวลาชำระคืนแถมได้รับการเว้นภาษีจาก บีโอไอ อีกทำสวนสนุกได้รับการเว้นภาษี 16. ได้รับสัมปทานสื่อโฆษณาที่รถไฟใต้ดิน โดยที่ไม่ได้รับการเปิดประมูลเพื่อแข่งขันกับบริษัทอื่น 17. ทักษิณ สั่ง รมต. กลางวง ครม. ลดค่าเช่าพื้นที่ย่านสยามสแควร์ เปิดทางลูก-หลานเปิด สตูดิโอ – ร้านกาแฟ อ้างค่าเช่าแพงเกินจริง 18. ลดเงินค่ารถไฟฟ้า-ใต้ดิน พอดีกับงานสวนสนุกธุรกิจของลูกๆ สอดคล้องสนับสนุนกันพอดี บังเอิญจริงๆ 19. ทักษิณพูดว่า”จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย จะให้ความดูแลก่อน” น้ำท่วมภาคใต้ 5 วันแล้ว แต่ทักษิณไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวสร้างภาพ ไปเดินตลาดหาเสียง ทั้งๆที่มี สส อยู่เต็มสภาแล้วแต่ที่ต้องลงใต้ไปดูน้ำท่วมวันศุกร์เช้า เนื่องจากกลัวสนธิพูดตอนเย็นในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ 20. การที่มีพวกพ้องตัวเองเป็น กกต. จึงเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งให้สามารถโกงการเลือกตั้งเพิ่มขึ้นได้อีก 2 วิธี 20.1 ปั๊มตรายางอีกชุดรอเวลาเปลี่ยนกล่องบัตรได้ทุกเวลา 20.2 หมึกมีแบบล่องหน และ แบบโผล่ขึ้นมาได้ (ในทางเคมีสามารถทำได้) 21. ปิดข่าวเรื่องไข้หวัดนกทําให้ชาวบ้านที่ไม่ทราบต้องตายแล้วยังไปแสดงการกินไก่ไปหัวเราะไป เพื่อ ซีพี.นายทุนพรรคเท่านั้น 22. ทําให้เกิดการฆ่าตัดตอนประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 2000 คน จากการปราบยาบ้าสั่งฆ่าคนได้หน้าตาเฉย โหดร้ายทารุณ 23. ซุกหุ้นปั่นหุ้น ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้กับญาติพี่น้องเอาเงินไปฟอกต่างประเทศเอาเปรียบใน การทําธุรกิจผูกขาด ทั้งรับทั้งจ่ายใต้โต๊ะจนคนในวงการธุรกิจ เขารู้กันหมด ค้ากำไรเกินควร จนรํ่ารวยมหาศาล 24. โกงที่ดินวัดของสนามกอล์ฟอัลไพน์มีคนโกงที่ดินธรณีสงฆ์เอามาทำสนามกอล์ฟ แล้วทักษิณไปซื้อต่อทั้ง ๆ รู้ว่าที่ดินนั้นได้มา ไม่ถูกต้องเพราะไม่กลัวบาปกรรม 25. ประชาชนเสียรู้ทักษิณ เรียนฟรี 12 ปี นโยบายรัฐที่เปิดช่องให้โรงเรียนนำค่าใช้จ่ายอย่างอื่นมาเพิ่มแทนค่าเทอม นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่ได้เรียนฟรีอยู่ดี เป็นความล้มเหลวที่เห็นได้ชัดเจนของการปฎิรูปการศึกษาไทย ประชาชนจะถูกหลอกอีก 4 ปี เอาเข้าไป เป็นความจริงที่สุดเลย นี่คือการโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในโลกนี้ซึ่งหาดูไม่ได้ที่ไหนนอกจากประเทศไทยที่กฎหมายบอกว่าเรียนฟรี แต่ความจริงมีใครบ้างที่เรียนฟรีถามผู้ปกครองทุกคนดูได้เลย 26. ชั่วเวลาแค่ปีเศษ ๆ รัฐบาลชุดนี้ก็ทำให้สถานการณ์ภาคใต้ที่ร่มเย็นเป็นสุขมานานหลายสิบปี กลับร้อนระอุกลายเป็นแดนมิคสัญญี 27. เช่าน่านฟ้า เช่าผืนแผ่นดินไทย ราคาเช่าช่างถูกจัง มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ตนเองน่าจะรู้ดี ไหนบอกว่าแผ่นดินไทยจะไม่ให้หายแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไงใช้อำนาจจนเลยเถิดไม่เห็นด้วย คิดไงท่านนายก ที่ให้เช่า 15 ปี แถมมีเปลียนสัญญาได้ทุกๆ 5 ปี เหมือนทำธรุกิจเลยขอเชิญชาวไทยเรียกร้องอธิปไตยชาติไทยกลับมาด้วยขอให้มี สส สว ที่ยังพอมีความเป็นไทยที่มิใช่มีความเป็น ทรท. ช่วยกันคัดค้าน ล่ารายชื่อด้วยครับผมว่ามันเกี่ยวกันหมดแหละครับ ตั้งแต่ AIS (มือถือ) ไทยคม1 ไทยคม 2 IPstar ชินคอร์ป ธนาคาร ธุรกิจ การเมือง อยู่ในมือสิงคโปร์ทั้งหมดแล้วครับ ชัดเจน มีผลประโยชน์ทับซ้อนแหง๋ ไม่งั้นไม่งุบงิบกันทำหรอก อย่านึกว่าประชาชนโง่นะคุณ ยุคทักษิณคือ ยุคของเงินเหนือรัฐ ยุคตำรวจรังแกประชาชน ยุคทหารฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยุคความรุนแรงอยู่เหนือเหตุผล 28. ฉลาด อย่างตัวจับยาก เอาเงินหลวงไปหว่านให้รากหญ้าแล้ว ผ่านกระเป๋ารากหญ้าแบบเคาะกะลาให้หมาดีใจ ผ่านธุรกิจมือถือเข้ากระเป๋ามันเอง 29. ยุบสภาหนีความผิด เนื่องจากนายกองค์การนักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ ล่า 50,000 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง 30. ยุบสภาได้ยังไงไม่ได้มีปัญหาภายในสภาสักหน่อย อภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้ ฝ่ายค้านมีไม่พอ 31. วันที่ประกาศยุบสภาประกาศพร้อมกันว่าให้ไปเลือกตั้งวันที่ 2 เมษา ได้ยังไง รู้ได้ยังไง ไหนว่า กกต. เป็นกลางไง 32. คุณหญิงพจมาน อยากมีสมเด็จพระสังฆราชประจำตระกูลตัวเอง จึงให้นายวิษณุ เครืองา ลงนามแต่งตั้ง สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ วัดสระเกศ ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2547 เสมอกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนา อ้างว่า สมเด็จญาณฯ ทรงประชวร ไม่สามารถประกอบศาสนกิจได้ ทั้งๆที่มี VDO วันที่ 13 มีนาคม 2547 สมเด็จพระสังฆราชพระราชทานรางวัลให้กับเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนของมหามกุฏราชวิทยาลัยในการประกวดเรียงความเรื่อง สมเด็จพระสังฆราช 90 พรรษา 33. คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่า สตง. ตรวจเจอการทุจริตของรัฐบาลหลายเรื่อง ล่าสุดตรวจสอบเจอการทุจริต CTX ทางรัฐบาลจึงอ้างว่ากระบวนการสรรหา คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (ผู้ว่าการ สตง.) มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (ทั้งๆที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) คุณหญิงปิดห้องทำงานแล้ว ยังไปงัดห้องคุณหญิง คิดจะหาหลักฐานทุจริตที่ห้องคุณหญิง ต่อมาคนดีอย่างคุณหญิงก็ได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม 34. จัดซื้อเครื่องบินรบ ซู30 ตั้งงบประมาณไว้ 35,000 ล้าน ทั้งที่รัสเซียบอกว่าขายแค่ 20,000 ล้าน กะจะกินตั้ง 15,000 ล้าน เครื่องบินเป็นแบบบินระยะไกล เสียค่าซ่อมเยอะ (ไทยนี้รักสงบ) เราเป็นพวกบุกรุก หรือ ตั้งรับถ้าเราเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วจะซื้อเครื่องบินระยะไกลทำไม ให้ช่างทหารอากาศเลือกซื้อทำไมไม่ให้นักบินเป็นคนเลือก เพราะฝ่ายช่างอยู่ในความดูแลของ คงศักดิ์ วัณทนา สามีของเพื่อน คุณหญิงพจมาน… 35. ก่อนขายหุ้นบอกว่าจะไปพักผ่อนที่สิงคโปร์ 4 วัน เดินเล่นที่สิงคโปร์ไปเดินครึ่งวัน อย่างมากก็วันเดียวก็ไม่รู้จะไปเดิน ที่ไหนแล้วนี่ไปถึง 4 วันเจรจาขายหุ้น แต่โกหกประชาชนคนไทยว่าจะไปพักผ่อน บอกตรงๆก็ได้ 36. จัดซื้อ CTX ราคา ระหว่าง บทม.และใบแจ้งราคาสินค้าของบริษัท อินวิชั่นฯ เป็นเงินประมาณ 283,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 11.30 ล้านบาทต่อเครื่อง หากคิดรวม 26 เครื่อง เป็นเงิน 7.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 294.4 ล้านบาทซึ่ง “ส่วนต่าง”ราคานี้ถูกนำไปใช้บันทึกซ้ำซ้อน โดยอ้างว่าเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม ทั้งที่รวมอยู่ในราคา 35.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือประมาณ1,432 ล้านบาทกะจะกิน1,432 ล้าน – 294.4 ล้าน = ? 37. ร่วมทุนชินคอร์ปกับมาเลเซีย เปิดธุรกิจสายการบิน Low Cost แล้วสั่งยกเลิกเที่ยวบินการบินไทยที่ได้กำไร แล้วเอาสายการบินของตัวเองไปบินทับที่แทน ทำให้การบินไทยซึ่ง เป็นสายการบินของคนไทยขาดทุน แล้วทำหนังสือถึงหน่วยงานราชการว่านอกจากการบินไทยแล้ว สามารถใช้งบหลวงเบิกค่านั่งเครื่องบิน Low Cost ได้ด้วย แล้วยังขายหุ้น Low Cost ให้สิงคโปร์อีก ทำให้ Low Cost ที่มีเที่ยวบินที่กำไรดีที่สุด (แย่ง จากการบินไทย) เป็นเที่ยวบินของ มาเลเซีย+สิงคโปร์ (ขายชาติ) 38. โทรศัพท์เครื่องที่ระบบ 1900 “ไทยโมบาย” ของ ทีโอที มันให้ ทีโอทีตั้งเสาเฉพาะใน กทม. ส่วนในต่างจังหวัด มันไม่ยอมให้ตั้งเสาทั้งๆที่ ทีโอทีมีที่ดินอยู่มากมายในต่างจังหวัด มันสั่งให้ ระบบ 1900 ของทีโอที ในต่างจังหวัดใช้เสาสัญญาณของAISโดยโทร 3 บาท ทีโอที ต้องจ่ายให้ AIS 2 บาท ทีโอที ได้ 1 บาท ..สุดยอดไหมละ 39. ปี 2535 – วิ่งเต้นจนได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมโดยการสนับสนุนอย่างดีจากรัฐบาลเผด็จ การ รสช. โดยอิงความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ซึ่งก็ชดใช้บุญคุณมาจนถึงสนับสนุน 2 คนสนิทของท่านให้ได้ดีในยุคนี้คือ พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันท์ ได้เป็นรมว.กลาโหม และพล.อ.เรืองโรจน์ มหาสรานนท์ ได้เป็นผบ.สูงสุด 40. การพูดจาบจ้วงดูหมิ่นพระบรมฯ 40.1. สำนัก ราชเลขาฯ ขอให้รัฐบาลพิจารณาเครื่องบินราชพาหนะลำใหม่.. แทนลำเก่าที่ ชำรุดมากแล้ว …..ทักษิณ อ้างว่า ไม่มีงบประมาณ แต่สุดท้าย ซื้อเครื่องบินไทยคู่ฟ้าให้ตนเองและครอบครัวนั่งก่อน..จาก ข่าวที่น้องสาว ทักษิณใช้เครื่องบินไปฉลองวันเกิดที่เชียงใหม่…………… 40.2. ทักษิณ ชินวัตร ใช้อุโบสถวัดพระแก้วในการทำบุญประเทศ (แต่แต่งกายในชุดสบายๆ ไม่เป็นทางการ) ทั้งๆที่ประธานในการทำบุญระดับประเทศควรเป็นพระองค์ท่านมากกว่า…ที่ สำคัญอุโบสถวัดพระแก้วเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับประกอบ ศาสนพิธีของพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน.. ไม่มีการขอพระบรมราชานุญาต… .พอ มีคนรู้ทัน.. รีบขอพระบรมราชานุญาตย้อนหลัง… จนพระองค์ท่านออกมาตรัสใน วันที่ 4 ธันวาคมว่า นายกฯจะให้ท่านทำอะไรก็ทำให้หมด แต่ควรพิจารณาด้วยว่าสมควรหรือไม่ 40.3. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ”ผีที่ไหนจะจงรักภักดี….” คนระดับทักษิณ มีการศึกษาสูงพอ ผ่านงานพระราชพิธีมามากมาย..ย่อมควรรู้ดีว่าสมควรพูดเช่นนี้ หรือไม่….ถ้ามีปัญญาก็ควรพูดว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดี ใครเล่าที่จะจงรักภักดี มากกว่า 40.4. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ถ้าในหลวงมากระซิบข้างหู…(พูดว่าข้างหู) ว่าออกเถอะจะกราบบังคมลาทันที…คำหลังยังใช้ราชาศัพท์เป็น แต่คำหน้าไหงใช้คำว่ามากระซิบข้างหู… ทักษิณ ไม่ควรทำตัวเสมอพระองค์ท่าน 40.5. แม่ยายของทักษิณ กล่าวจาบจ้วงว่า บางทีตนอาจขอม็อบพระราชทานบ้าง คำว่า สิ่งพระราชทาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มงคล เป็นสิ่งที่ดีแต่คำว่า “ม็อบ” หมายถึง กลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องบางอย่าง พระองค์ท่านจะพระราชทานได้อย่าง ไร…ไม่สมควรพูด 40.6. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ตนเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าได้กลับมาอีกครั้งพระองค์ท่านต้อง …ใช้คำว่า “ต้อง” เซ็นให้ตนเป็นนายกฯอยู่วันยังค่ำ 40.7. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า โผทหารที่นายกฯเซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่…
    0 Comments 0 Shares 1029 Views 0 Reviews
  • 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 Comments 0 Shares 480 Views 0 Reviews
  • นับหนึ่งถึงอนาคต รถไฟฟ้าสายแรกปีนัง

    รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะมีรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายแรกเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังจากเมื่อเดือน มี.ค.2567 รัฐบาลกลางมาเลเซีย รับช่วงต่อจากรัฐบาลท้องถิ่นรัฐปีนัง พัฒนาโครงการรถไฟรางเบาสายมูเทียร่า ไลน์ (Mutiara Line) โดยแต่งตั้งบริษัท เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้พัฒนาโครงการ

    พิธีวางศิลาฤกษ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2568 บริเวณสถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธาน

    จากการลงพื้นที่ของ Newskit พบว่า สถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) ติดกับทางด่วนลิม ชอง ยู (Lim Chong Eu) ใกล้กับมัสยิดอัล บัคฮารี่ (Al Bukhary) และทางจักรยานเลียบชายทะเล บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะปีนัง เมื่อข้ามแม่น้ำปีนังไปแล้วจะเป็นสถานีแมคคัลลัม ก่อนแยกเป็นสองสาย แยกซ้ายไปสถานีคอมตาร์ แยกขวาข้ามทะเลไปสถานีปีนังเซ็นทรัล

    ก่อนที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 จะมีการลงนามสัญญาก่อสร้างช่วงคอมตาร์-เกาะซิลิคอน (Komtar-Silicon Island) ระยะทาง 24 กิโลเมตร รวม 19 สถานี มูลค่าประมาณ 8,310 ล้านริงกิต (64,000 ล้านบาท) โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสอาร์เอส ที่บริษัทก่อสร้างกามูดา (Gamuda) ถือหุ้น 60% เป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574

    ส่วนช่วงคอมตาร์-ปีนังเซ็นทรัล (Komtar-Penang Sentral) จากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ในเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านช่องแคบปีนัง ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค. 2568 และประกาศผลการประมูลในต้นปี 2569 ส่วนการประมูลระบบรถไฟฟ้าและการบำรุงรักษา กำลังดำเนินการ โดยมีกำหนดส่งข้อเสนอขั้นสุดท้ายในวันที่ 14 เม.ย. 2568

    นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญได้อย่างราบรื่น สนับสนุนโครงการ Penang Silicon Design @5km+ การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง และเขตอุตสาหกรรมเสรีบายัน เลอปาส (Bayan Lepas)

    อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณสถานีสุไหงนิบง (Sungai Nibong) ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการจัดงานเทศกาลประจำปี เพสต้า ปูเลา ปีนัง (Pesta Pulau Pinang) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2509 แต่ทาง MRT Corp ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ไม่มาก ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรองและพื้นที่พัฒนารอบสถานี (TOD) เท่านั้น

    #Newskit

    -----
    ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    นับหนึ่งถึงอนาคต รถไฟฟ้าสายแรกปีนัง รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย กำลังจะมีรถไฟฟ้ารางเบา (LRT) สายแรกเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังจากเมื่อเดือน มี.ค.2567 รัฐบาลกลางมาเลเซีย รับช่วงต่อจากรัฐบาลท้องถิ่นรัฐปีนัง พัฒนาโครงการรถไฟรางเบาสายมูเทียร่า ไลน์ (Mutiara Line) โดยแต่งตั้งบริษัท เอ็มอาร์ที คอร์ป (MRT Corp) ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด เป็นผู้พัฒนาโครงการ พิธีวางศิลาฤกษ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2568 บริเวณสถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นประธาน จากการลงพื้นที่ของ Newskit พบว่า สถานที่ก่อสร้างสถานีบันดาร์ ศรี ปีนัง (Bandar Sri Pinang) ติดกับทางด่วนลิม ชอง ยู (Lim Chong Eu) ใกล้กับมัสยิดอัล บัคฮารี่ (Al Bukhary) และทางจักรยานเลียบชายทะเล บริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะปีนัง เมื่อข้ามแม่น้ำปีนังไปแล้วจะเป็นสถานีแมคคัลลัม ก่อนแยกเป็นสองสาย แยกซ้ายไปสถานีคอมตาร์ แยกขวาข้ามทะเลไปสถานีปีนังเซ็นทรัล ก่อนที่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 2568 จะมีการลงนามสัญญาก่อสร้างช่วงคอมตาร์-เกาะซิลิคอน (Komtar-Silicon Island) ระยะทาง 24 กิโลเมตร รวม 19 สถานี มูลค่าประมาณ 8,310 ล้านริงกิต (64,000 ล้านบาท) โดยมีกลุ่มกิจการร่วมค้าเอสอาร์เอส ที่บริษัทก่อสร้างกามูดา (Gamuda) ถือหุ้น 60% เป็นผู้รับเหมาในการก่อสร้าง โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574 ส่วนช่วงคอมตาร์-ปีนังเซ็นทรัล (Komtar-Penang Sentral) จากสถานีแมคคัลลัม (Macallum) ในเมืองจอร์จทาวน์ ผ่านช่องแคบปีนัง ระยะทาง 5.8 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดประมูลในเดือน ก.ค. 2568 และประกาศผลการประมูลในต้นปี 2569 ส่วนการประมูลระบบรถไฟฟ้าและการบำรุงรักษา กำลังดำเนินการ โดยมีกำหนดส่งข้อเสนอขั้นสุดท้ายในวันที่ 14 เม.ย. 2568 นายแอนโทนี ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการวางแผนอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้สามารถเข้าถึงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่สำคัญได้อย่างราบรื่น สนับสนุนโครงการ Penang Silicon Design @5km+ การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติปีนัง และเขตอุตสาหกรรมเสรีบายัน เลอปาส (Bayan Lepas) อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง บริเวณสถานีสุไหงนิบง (Sungai Nibong) ซึ่งเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการจัดงานเทศกาลประจำปี เพสต้า ปูเลา ปีนัง (Pesta Pulau Pinang) มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2509 แต่ทาง MRT Corp ยืนยันว่าจะใช้พื้นที่ไม่มาก ก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงรองและพื้นที่พัฒนารอบสถานี (TOD) เท่านั้น #Newskit ----- ลุ้นรับฟรี บัตร Touch 'n Go มาเลเซีย สำหรับผู้อ่าน Newskit บน Thaitimes คลิก >>> https://forms.gle/sCSp9i1Ub9KDjYZg9
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 609 Views 0 Reviews
  • 718 ปี แห่งประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ปฐมกษัตริย์แห่งรัฐมอญ

    วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 หรือเมื่อ 718 ปี ที่ผ่านมา โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงถูกกล่าวถึง จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ การลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเจ้าวาเรรุ" กษัตริย์ผู้รวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุด แห่งยุคของพระองค์ แต่ยังสะท้อนถึง การเปลี่ยนผ่านของอำนาจ ในยุคที่แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเต็มไปด้วย การช่วงชิงราชบัลลังก์

    พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือที่ชาวมอญเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าวาเรรุ” ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งเมืองเมาะตะมะ (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเมียนมา) และทรงเป็นผู้นำ ที่รวบรวมชนชาติมอญ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในยุคที่อาณาจักรพุกาม กำลังล่มสลาย พระองค์ทรงครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 1830 - 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอำนาจในภูมิภาค

    พระเจ้าฟ้ารั่ว ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 1796 ภายใต้ชื่อ มะกะโท (แมะกะตู) พระองค์เป็นบุตรของบิดาชาวไทยใหญ่ และมารดาชาวมอญ ณ เมืองสะโตง (บริเวณตอนล่างของพม่า ในปัจจุบัน) การเดินทางของพระองค์ เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 พรรษา เมื่อมะกะโท เดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัย เพื่อค้าขาย ก่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ ในราชสำนักสุโขทัย

    จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ตำแหน่งขุนวังแห่งสุโขทัย
    เมื่อมะกะโทเดินทางมายังสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. 1815) พระองค์เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเข้ารับราชการ ในตำแหน่งควาญช้าง ด้วยความขยันและเฉลียวฉลาด มะกะโทสามารถสร้างความประทับใจ แก่พระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุด ได้รับตำแหน่งขุนวัง ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

    ช่วงเวลานี้เอง ที่พระองค์ได้พบรักกับ "เจ้านางสร้อยดาว" (หรือพระนามในพงศาวดารไทยว่า นางสุวรรณเทวี) ธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ทั้งสองแอบมีใจ ผูกสมัครรักใคร่ต่อกัน จนกระทั่งตัดสินใจ
    ลอบหนีออกจากสุโขทัย พร้อมทั้งข้าราชบริพารจำนวนมาก

    การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของมะกะโท แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ ของทั้งอาณาจักรมอญ และสุโขทัย

    ประกาศอิสรภาพจากพุกาม
    หลังจากที่มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว กลับมายังเมืองเมาะตะมะ พระองค์ได้เผชิญหน้ากับ "อลิมามาง" เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาณาจักรพุกาม ในปี พ.ศ. 1828 มะกะโทสามารถโค่นล้มอำนาจ ของอลิมามางได้สำเร็จ และในปี พ.ศ. 1830 พระองค์ได้ประกาศอิสรภาพ จากพุกาม พร้อมทั้งสถาปนาตนเองเป็น กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ

    ยุทธศาสตร์บริหารแผ่นดิน
    หลังจากขึ้นครองราชย์ พระเจ้าฟ้ารั่วใช้เวลากว่า 10 ปีในการรวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทรงจัดการศัตรูทางการเมือง จนหมดสิ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรทางการทูต กับราชวงศ์หยวนแห่งจีน เพื่อป้องกันการรุกราน จากมหาอำนาจภายนอก

    พระองค์ยังทรงชำระ "ประมวลกฎหมายวาเรรุ" ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรก ของอาณาจักรมอญ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และปกครองประชาชนอย่างยุติธรรม

    ลอบปลงพระชนม์
    แม้พระเจ้าฟ้ารั่ว จะประสบความสำเร็จ ในการสร้างอาณาจักรมอญ แต่พระองค์ไม่สามารถหลีกเลี่ยง วัฏจักรแห่งการชิงอำนาจได้ ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ ของพระเจ้าตะยาพยาแห่งหงสาวดี ซึ่งต้องการแก้แค้นให้กับพระบิดา ที่ถูกพระเจ้าฟ้ารั่วสำเร็จโทษ

    การสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของอาณาจักรมอญ ซึ่งภายหลัง ต้องเผชิญกับ ความแตกแยกทางการเมือง จนกระทั่งล่มสลาย

    ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฟ้ารั่วและสุโขทัย
    หนึ่งในเหตุการณ์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างอาณาจักรมอญ และสุโขทัยคือ การส่งพระราชสาสน์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปยังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอขมาในสิ่งที่พระองค์ล่วงละเมิด และยอมเป็นประเทศราช พระราชสาสน์ฉบับนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความเคารพ แต่ยังยืนยันถึงบทบาทของสุโขทัย ในฐานะมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาค

    มรดกพระเจ้าฟ้ารั่ว
    พระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงเป็น กษัตริย์ผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ให้กับแผ่นดินมอญ แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัย ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์โลก

    แม้ว่าพระองค์จะจากไป นานกว่า 718 ปี แต่เรื่องราวของพระเจ้าฟ้ารั่ว ยังคงสะท้อนถึงบทเรียน เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ ความอดทนต่ออุปสรรค และความสำคัญของการรวมพลัง เพื่อสร้างความมั่นคง ให้แก่แผ่นดิน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 142006 ม.ค. 2568

    #ประวัติศาสตร์มอญ #พระเจ้าฟ้ารั่ว #วาเรรุ #พ่อขุนรามคำแหง #ประวัติศาสตร์ไทย #อาณาจักรพุกาม #การปฏิวัติมอญ #ความสัมพันธ์ไทยมอญ #กษัตริย์มอญ #ย้อนอดีต
    718 ปี แห่งประวัติศาสตร์ ลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ปฐมกษัตริย์แห่งรัฐมอญ วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 หรือเมื่อ 718 ปี ที่ผ่านมา โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญ ทางประวัติศาสตร์ ที่ยังคงถูกกล่าวถึง จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ การลอบปลงพระชนม์ "พระเจ้าฟ้ารั่ว" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเจ้าวาเรรุ" กษัตริย์ผู้รวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงเป็นจุดสิ้นสุด แห่งยุคของพระองค์ แต่ยังสะท้อนถึง การเปลี่ยนผ่านของอำนาจ ในยุคที่แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังเต็มไปด้วย การช่วงชิงราชบัลลังก์ พระเจ้าฟ้ารั่ว หรือที่ชาวมอญเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าวาเรรุ” ทรงเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งเมืองเมาะตะมะ (ปัจจุบันคือเมืองในประเทศเมียนมา) และทรงเป็นผู้นำ ที่รวบรวมชนชาติมอญ ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในยุคที่อาณาจักรพุกาม กำลังล่มสลาย พระองค์ทรงครองราชย์ ระหว่างปี พ.ศ. 1830 - 1850 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอำนาจในภูมิภาค พระเจ้าฟ้ารั่ว ประสูติเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 1796 ภายใต้ชื่อ มะกะโท (แมะกะตู) พระองค์เป็นบุตรของบิดาชาวไทยใหญ่ และมารดาชาวมอญ ณ เมืองสะโตง (บริเวณตอนล่างของพม่า ในปัจจุบัน) การเดินทางของพระองค์ เริ่มต้นเมื่ออายุ 19 พรรษา เมื่อมะกะโท เดินทางไปยังอาณาจักรสุโขทัย เพื่อค้าขาย ก่อนจะเริ่มชีวิตใหม่ ในราชสำนักสุโขทัย จากเด็กเลี้ยงช้าง สู่ตำแหน่งขุนวังแห่งสุโขทัย เมื่อมะกะโทเดินทางมายังสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนบานเมือง (พ.ศ. 1815) พระองค์เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเข้ารับราชการ ในตำแหน่งควาญช้าง ด้วยความขยันและเฉลียวฉลาด มะกะโทสามารถสร้างความประทับใจ แก่พระเจ้าแผ่นดิน และในที่สุด ได้รับตำแหน่งขุนวัง ในรัชสมัย พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ช่วงเวลานี้เอง ที่พระองค์ได้พบรักกับ "เจ้านางสร้อยดาว" (หรือพระนามในพงศาวดารไทยว่า นางสุวรรณเทวี) ธิดาของพ่อขุนรามคำแหง ทั้งสองแอบมีใจ ผูกสมัครรักใคร่ต่อกัน จนกระทั่งตัดสินใจ ลอบหนีออกจากสุโขทัย พร้อมทั้งข้าราชบริพารจำนวนมาก การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงเปลี่ยนแปลงชีวิตของมะกะโท แต่ยังส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์ ของทั้งอาณาจักรมอญ และสุโขทัย ประกาศอิสรภาพจากพุกาม หลังจากที่มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว กลับมายังเมืองเมาะตะมะ พระองค์ได้เผชิญหน้ากับ "อลิมามาง" เจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากอาณาจักรพุกาม ในปี พ.ศ. 1828 มะกะโทสามารถโค่นล้มอำนาจ ของอลิมามางได้สำเร็จ และในปี พ.ศ. 1830 พระองค์ได้ประกาศอิสรภาพ จากพุกาม พร้อมทั้งสถาปนาตนเองเป็น กษัตริย์แห่งเมืองเมาะตะมะ ยุทธศาสตร์บริหารแผ่นดิน หลังจากขึ้นครองราชย์ พระเจ้าฟ้ารั่วใช้เวลากว่า 10 ปีในการรวบรวมแผ่นดินมอญ ให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทรงจัดการศัตรูทางการเมือง จนหมดสิ้น รวมถึงสร้างพันธมิตรทางการทูต กับราชวงศ์หยวนแห่งจีน เพื่อป้องกันการรุกราน จากมหาอำนาจภายนอก พระองค์ยังทรงชำระ "ประมวลกฎหมายวาเรรุ" ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรก ของอาณาจักรมอญ โดยมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคม และปกครองประชาชนอย่างยุติธรรม ลอบปลงพระชนม์ แม้พระเจ้าฟ้ารั่ว จะประสบความสำเร็จ ในการสร้างอาณาจักรมอญ แต่พระองค์ไม่สามารถหลีกเลี่ยง วัฏจักรแห่งการชิงอำนาจได้ ในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 1850 พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยพระราชโอรส 2 พระองค์ ของพระเจ้าตะยาพยาแห่งหงสาวดี ซึ่งต้องการแก้แค้นให้กับพระบิดา ที่ถูกพระเจ้าฟ้ารั่วสำเร็จโทษ การสิ้นพระชนม์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของอาณาจักรมอญ ซึ่งภายหลัง ต้องเผชิญกับ ความแตกแยกทางการเมือง จนกระทั่งล่มสลาย ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าฟ้ารั่วและสุโขทัย หนึ่งในเหตุการณ์ ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างอาณาจักรมอญ และสุโขทัยคือ การส่งพระราชสาสน์ ของพระเจ้าฟ้ารั่ว ไปยังพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อขอขมาในสิ่งที่พระองค์ล่วงละเมิด และยอมเป็นประเทศราช พระราชสาสน์ฉบับนี้ ไม่เพียงเป็นการแสดงความเคารพ แต่ยังยืนยันถึงบทบาทของสุโขทัย ในฐานะมหาอำนาจ ที่มีอิทธิพลต่อภูมิภาค มรดกพระเจ้าฟ้ารั่ว พระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงเป็น กษัตริย์ผู้สร้างความเป็นหนึ่งเดียว ให้กับแผ่นดินมอญ แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัย ที่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบทบาทสำคัญ ต่อประวัติศาสตร์โลก แม้ว่าพระองค์จะจากไป นานกว่า 718 ปี แต่เรื่องราวของพระเจ้าฟ้ารั่ว ยังคงสะท้อนถึงบทเรียน เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ ความอดทนต่ออุปสรรค และความสำคัญของการรวมพลัง เพื่อสร้างความมั่นคง ให้แก่แผ่นดิน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 142006 ม.ค. 2568 #ประวัติศาสตร์มอญ #พระเจ้าฟ้ารั่ว #วาเรรุ #พ่อขุนรามคำแหง #ประวัติศาสตร์ไทย #อาณาจักรพุกาม #การปฏิวัติมอญ #ความสัมพันธ์ไทยมอญ #กษัตริย์มอญ #ย้อนอดีต
    0 Comments 0 Shares 530 Views 0 Reviews
  • ป.ป.ช. แต่งตั้งที่ปรึกษาองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงและคณะฝ่ายเลขานุการ ช่วยไต่สวนและกำหนดแนวทางการไต่สวนคดี จนท.เอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003832

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ป.ป.ช. แต่งตั้งที่ปรึกษาองค์คณะไต่สวนข้อเท็จจริงและคณะฝ่ายเลขานุการ ช่วยไต่สวนและกำหนดแนวทางการไต่สวนคดี จนท.เอื้อประโยชน์ “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000003832 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    11
    1 Comments 1 Shares 1092 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลเกี่ยวกับการลาออกของ สมิธ ถูกระบุเอาไว้ในฟุตโน้ตของเอกสารดังกล่าว โดยบอกว่า สมิธ ได้ทำงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว และส่งรายงานชั้นความลับฉบับสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ก่อนที่จะ "แยกทาง" กับกระทรวงยุติธรรมสกรัฐฯ ในวันที่ 10 ม.ค.

    อดีตอัยการคดีอาชญากรรมสงครามผู้นี้ได้เป็นผู้สั่งฟ้อง ทรัมป์ ในคดีอาญา 2 จาก 4 คดีที่ ทรัมป์ ตกเป็นจำเลยหลังพ้นตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2021 ทว่าคดีทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักไปหลังผู้พิพากษาฟลอริดาที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ทรัมป์ ตัดสินยกฟ้องไปหนึ่ง และศาลสูงสุดสหรัฐฯ ที่มีผู้พิพากษา 3 คนที่ถูกแต่งตั้งโดย ทรัมป์ วินิจฉัยว่าอดีตผู้นำสหรัฐฯ ทุกคนมีสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีในการกระทำภายใต้อำนาจหน้าที่ (official acts) ทำให้ทั้ง 2 คดีนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนเลย

    หลังจากที่ ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปีที่แล้ว สมิธ ได้ประกาศยกฟ้อง ทรัมป์ ทั้ง 2 คดี โดยอ้างถึงจุดยืนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีในตำแหน่ง

    ในเอกสารคำร้องขอให้ศาลยกฟ้อง ทีมงานของ สมิธ ยังคงยืนยันว่าคดีเหล่านี้มีคุณค่า (merits) สมควรแก่การไต่สวน ทว่าการกลับขึ้นมามีอำนาจของ ทรัมป์ เท่านั้นที่ทำให้คดีไปต่อไม่ได้

    ด้านว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความยินดีกับข่าวการลาออกของ สมิธ ในวันอาทิตย์ (12) โดยโพสต์ Truth Social ว่า สมิธ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง และยังกล่าวหาอัยการผู้นี้ว่า "ทำลายชีวิตของผู้คนและครอบครัวจำนวนมากมาย"

    ทั้งนี้ การลาออกของ สมิธ จากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่หลายคนคาดหมายอยู่แล้ว เนื่องจาก ทรัมป์ ซึ่งออกมาด่าอัยการพิเศษผู้นี้ว่าเป็นพวก "วิกลจริต" (deranged) ประกาศชัดเจนว่าจะไล่ สมิธ ออกทันทีที่สาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. แถมยังขู่จะไล่เบี้ยแก้แค้นทั้ง สมิธ และบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนในการสอบสวนตนด้วย

    เมื่อปี 2023 ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งอดีตและในตำแหน่งคนแรกที่ถูกฟ้องคดีอาญา เริ่มจากคดีที่นิวยอร์กซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาพยายามปกปิดเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ในช่วงก่อนศึกเลือกตั้งปี 2016 จากนั้นก็ตามมาด้วยคำสั่งฟ้องของอัยการ สมิธ จากกรณีที่ ทรัมป์ เก็บเอกสารชั้นความลับไว้กับตัวอย่างผิดกฎหมายหลังพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี และพยายามล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งเป็นชนวนนำมาสู่เหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021

    อัยการในรัฐจอร์เจียยังมีการตั้งข้อหาเอาผิด ทรัมป์ ฐานพยายามล้มผลเลือกตั้งในรัฐดังกล่าวที่เขาเป็นฝ่ายแพ้ด้วย

    ที่มา : รอยเตอร์
    https://mgronline.com/around/detail/9680000003502?tbref=hp
    ข้อมูลเกี่ยวกับการลาออกของ สมิธ ถูกระบุเอาไว้ในฟุตโน้ตของเอกสารดังกล่าว โดยบอกว่า สมิธ ได้ทำงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว และส่งรายงานชั้นความลับฉบับสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ก่อนที่จะ "แยกทาง" กับกระทรวงยุติธรรมสกรัฐฯ ในวันที่ 10 ม.ค. อดีตอัยการคดีอาชญากรรมสงครามผู้นี้ได้เป็นผู้สั่งฟ้อง ทรัมป์ ในคดีอาญา 2 จาก 4 คดีที่ ทรัมป์ ตกเป็นจำเลยหลังพ้นตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ในปี 2021 ทว่าคดีทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักไปหลังผู้พิพากษาฟลอริดาที่ได้รับการแต่งตั้งโดย ทรัมป์ ตัดสินยกฟ้องไปหนึ่ง และศาลสูงสุดสหรัฐฯ ที่มีผู้พิพากษา 3 คนที่ถูกแต่งตั้งโดย ทรัมป์ วินิจฉัยว่าอดีตผู้นำสหรัฐฯ ทุกคนมีสิทธิคุ้มกันจากการถูกดำเนินคดีในการกระทำภายใต้อำนาจหน้าที่ (official acts) ทำให้ทั้ง 2 คดีนี้ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนเลย หลังจากที่ ทรัมป์ เอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปีที่แล้ว สมิธ ได้ประกาศยกฟ้อง ทรัมป์ ทั้ง 2 คดี โดยอ้างถึงจุดยืนของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธการดำเนินคดีกับประธานาธิบดีในตำแหน่ง ในเอกสารคำร้องขอให้ศาลยกฟ้อง ทีมงานของ สมิธ ยังคงยืนยันว่าคดีเหล่านี้มีคุณค่า (merits) สมควรแก่การไต่สวน ทว่าการกลับขึ้นมามีอำนาจของ ทรัมป์ เท่านั้นที่ทำให้คดีไปต่อไม่ได้ ด้านว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความยินดีกับข่าวการลาออกของ สมิธ ในวันอาทิตย์ (12) โดยโพสต์ Truth Social ว่า สมิธ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง และยังกล่าวหาอัยการผู้นี้ว่า "ทำลายชีวิตของผู้คนและครอบครัวจำนวนมากมาย" ทั้งนี้ การลาออกของ สมิธ จากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เป็นเรื่องที่หลายคนคาดหมายอยู่แล้ว เนื่องจาก ทรัมป์ ซึ่งออกมาด่าอัยการพิเศษผู้นี้ว่าเป็นพวก "วิกลจริต" (deranged) ประกาศชัดเจนว่าจะไล่ สมิธ ออกทันทีที่สาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. แถมยังขู่จะไล่เบี้ยแก้แค้นทั้ง สมิธ และบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนในการสอบสวนตนด้วย เมื่อปี 2023 ทรัมป์ กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งอดีตและในตำแหน่งคนแรกที่ถูกฟ้องคดีอาญา เริ่มจากคดีที่นิวยอร์กซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาพยายามปกปิดเรื่องการจ่ายเงินปิดปากดาราหนังผู้ใหญ่ในช่วงก่อนศึกเลือกตั้งปี 2016 จากนั้นก็ตามมาด้วยคำสั่งฟ้องของอัยการ สมิธ จากกรณีที่ ทรัมป์ เก็บเอกสารชั้นความลับไว้กับตัวอย่างผิดกฎหมายหลังพ้นตำแหน่งประธานาธิบดี และพยายามล้มผลเลือกตั้งปี 2020 ซึ่งเป็นชนวนนำมาสู่เหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. ปี 2021 อัยการในรัฐจอร์เจียยังมีการตั้งข้อหาเอาผิด ทรัมป์ ฐานพยายามล้มผลเลือกตั้งในรัฐดังกล่าวที่เขาเป็นฝ่ายแพ้ด้วย ที่มา : รอยเตอร์ https://mgronline.com/around/detail/9680000003502?tbref=hp
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 392 Views 0 Reviews
  • 11ม.ค.2568 เมื่อเวลา 19.00 น.ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กทม. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยถึงทิศทางการจัดกิจกรรม “ปีเช็คบิลป่วยทิพย์ชั้น 14 แพทยสภาถึงเวลารักษาความยุติธรรม หยุด-ระบอบชินวัตร หยุด-เอ็มโอยู 44 หยุด-บ่อนคาสิโน” ว่า จากที่เราประกาศชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค.67 ซึ่งเป็นวันเด็ก จนถึงวันนี้เราชุมนุมครอบรอบ 1 ปีพอดี การต่อสู้กับระบอบชินวัตรที่ผ่านมาของพวกเรา เห็นผลได้ชัดเจนจากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน รวมถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.คลัง ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติในการมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ดแบงค์ชาติ) ผ่านมาจนปีนี้มีเรื่องที่เราต้องติดตาม ตนอยากชวนให้ทุกคนเตรียมรองเท้าผ้าใบให้พร้อม ปีนี้เราจะเช็คบิลเทวดาชั้น 14 เพื่อสร้างระบบนิติรัฐ
    นิติธรรม

    นายพิชิต กล่าวต่อว่า เรามี 2 ข้อเรียกร้อง คือ 1.ขอให้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม แสดงความรับผิดชอบกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ไปช่วยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยการลาออก 2.เรียกร้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ลาออก จากกรณีเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ เป็นประธานบอร์แบงค์ชาติ จนไม่ผ่านคุณสมบัติ ขณะที่ 5 เรื่องที่ต้องคัดค้าน คือ 1.ยกเลิก MOU44 2.คัดค้านบ่อนคาสิโน 3.คัดค้านพนันออนไลน์ 4.เช่าที่ 99 ปี ที่เป็นการขายชาติ และ 5.คัดค้านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำให้ประเทศเสียหาย

    ส่วน 2 เรื่องที่ต้องให้กำลังใจ คือ 1.ให้กำลังใจป.ป.ช. เดินหน้าเอานักโทษมาติดคุกให้ได้ และ 2.ให้กำลังใจแพทยสภาในการเรียกเวชระเบียนมาตรวจสอบเพื่อผดุงจรรยาบรรณทางการแพทย์ แพทยสภาต้องฉีดยาความจริงให้ประเทศ อย่าไปเอื้อแพทย์ด้วยกันที่ทำผิด ทั้งนี้ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ขอให้ทุกคนใส่รองเท้าผ้าใบ เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เพื่อทวงถามเวชระเบียนจากโรงพยาบาลตำรวจ และวันที่ 15 ม.ค. จะเดินทางไปที่แพทยสภา ที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กำลังใจในการทวงถามเอกสารสำคัญเพื่อยืนยันอาการป่วยของนายทักษิณ แต่ถ้าในวันดังกล่าวแพทยสภาบอกว่ายังไม่ได้รับเอกสารใดๆ เราก็จะพร้อมใส่รองเท้าผ้าใบมาทวงถามที่ทำเนียบรัฐบาล

    นายพิชิต กล่าวว่า และอีก 1 เรื่องต้องจับตาที่จะเป็นชนวนในการเช็คบิลนายทักษิณ คือการที่นายทักษิณประกาศพาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาว กลับบ้านในเดือนเม.ย.นี้ ถ้ากลับมาแล้วเป็นนักโทษนางฟ้าเหมือนพี่ชาย เราก็เตรียมออกมาไล่รัฐบาลของน.ส.แพทองธารได้ทันที อย่างไรก็ตาม เรามีสิ่งต้องตามทวงถาม โดยเฉพาะกรณีชั้น 14 นอกเหนือจากการทำลายกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังทำลายประเทศเราด้วย ด้วยการที่มีบุคคลหนึ่งทำลายเสาหลักของระบบนิติรัฐ นิติธรรม นอกจากที่แพทยสภาแล้ว ผบ.ตร.ต้องสั่งการให้ส่งเวชระเบียนนายทักษิณไปที่ป.ป.ช.ที่มีการเรียกขอมาก่อนหน้านี้ด้วย เพราะตามหลักการแล้วหลักฐานอยู่ในมือตำรวจก็ต้องมาแสดง แต่ถ้ากลับทำลายหลักฐานเสียเอง หรือยับนิ่งเฉย ผบ.ตร.ก็ต้องลาออกด้วย

    นายพิชิต กล่าวต่อว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจเหนือรัฐ เป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ไปประกาศว่า จะนำกำลังไปบุกประเทศเพื่อนบ้าน ประกาศทุบค่าไฟ ใช้อำนาจอะไรสั่งการ วันนี้ประเทศไทยมีอำนาจซ้อนอำนาจ มีอำนาจเหนือรัฐ นายทักษิณใช้อำนาจเต็มที่ กลายเป็นรัฐบาลไม่กล้าใช้อำนาจรัฐ ขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันเด็ก มีเด็กๆไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถ่ายรูปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ตนบอกว่าเรามีเด็กนั่งเป็นนายกฯมานานหลายเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เด็กไปนั่งเก้าอี้นายกฯเลย ทุกวันนี้นายกฯยังเป็นนั่งอยู่ในเก้าอี้อยู่เลย นายกฯไม่มีผลงานอะไรเด่นเลยสักเรื่อง มีเด่นอยู่อย่างเดียว คือแต่งตัวให้ถูกเขาด่าได้ทุกวันทั้งประเทศ

    นายพิชิต กล่าวด้วยว่า ที่นายทักษิณ บอกว่าเป็นโรคเอ็นเปื่อย ทางการแพทย์ไม่มีระบุ มันมีที่ไหน มันไม่ใช่ลูกชิ้นเนื้อเปื่อย คนเป็นโรคเอ็นเปื่อยจะไปตีกอล์ฟออกแรงสวิงได้อย่างไร คนป่วยติดเตียง 180 วันออกมามันจะแข็งแรงได้อย่างไร และที่นายทักษิณ บอกว่ายังไงก็เอาเขากลับเข้าเรือนจำไม่ได้ เมื่อความจริงปรากฎ แนวร่วมเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดกองกฐินที่มาเรื่อยๆจะมาไหลรวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล มันหนีไม่ออก น.ส.แพทองธาร ก็ต้องรับผิดชอบทางการเมืองด้วยเช่นกัน

    “ที่นายทักษิณบอกว่าให้นำพนันออนไลน์ขึ้นมาบนดิน แล้วจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส บอกว่าสามารถทำได้ ทักษิณพูดรัฐมนตรีทำแบบนี้ไม่เรียกสั่งการครอบงำได้อย่างไร คนเห็นทั้งประเทศ ที่มองไม่เห็นอยู่ 5 คนคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. วันนี้กกต.เริ่มพูด การหาเสียงท้องถิ่นหากไปพูดนโยบายรัฐ สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย เข้าข่ายการซื้อเสียงผ่านนโยบายรัฐหรือไม่ เราก็ไปยื่นให้กกต.ตรวจสอบแล้ว ตามสิทธิ์ของประชาชนที่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ พอเข้าไปตรวจสอบ ก็หาว่าก่อความวุ่นวาย ตกลงจะให้เราจะนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกคุณโกงกันหรือไง พอเข้าไปตรวจสอบตามระบบ ก็บอกว่าจะฟ้องกลับ ผมก็ยินดี คดีผมเยอะแล้ว เพิ่มอีกคดีไม่เห็นเป็นอะไร“ แกนนำคปท. กล่าว

    ที่มา : แนวหน้า
    https://www.naewna.com/politic/852717?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR19m8JG0ju8L-nNUgU4KBHxiBlnVnUyNAETuDlRU-38FCSvoWDScdrkQ5A_aem_xZPNNwpQAvULZKuNZxIqKQ#nwrsmlxrnogt5ygxo7xkpqorilo2jdzh
    11ม.ค.2568 เมื่อเวลา 19.00 น.ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน กทม. นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยถึงทิศทางการจัดกิจกรรม “ปีเช็คบิลป่วยทิพย์ชั้น 14 แพทยสภาถึงเวลารักษาความยุติธรรม หยุด-ระบอบชินวัตร หยุด-เอ็มโอยู 44 หยุด-บ่อนคาสิโน” ว่า จากที่เราประกาศชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค.67 ซึ่งเป็นวันเด็ก จนถึงวันนี้เราชุมนุมครอบรอบ 1 ปีพอดี การต่อสู้กับระบอบชินวัตรที่ผ่านมาของพวกเรา เห็นผลได้ชัดเจนจากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน รวมถึงนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรมว.คลัง ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติในการมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (บอร์ดแบงค์ชาติ) ผ่านมาจนปีนี้มีเรื่องที่เราต้องติดตาม ตนอยากชวนให้ทุกคนเตรียมรองเท้าผ้าใบให้พร้อม ปีนี้เราจะเช็คบิลเทวดาชั้น 14 เพื่อสร้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม นายพิชิต กล่าวต่อว่า เรามี 2 ข้อเรียกร้อง คือ 1.ขอให้พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม แสดงความรับผิดชอบกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลข้าราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ที่ไปช่วยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยการลาออก 2.เรียกร้องให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ลาออก จากกรณีเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ เป็นประธานบอร์แบงค์ชาติ จนไม่ผ่านคุณสมบัติ ขณะที่ 5 เรื่องที่ต้องคัดค้าน คือ 1.ยกเลิก MOU44 2.คัดค้านบ่อนคาสิโน 3.คัดค้านพนันออนไลน์ 4.เช่าที่ 99 ปี ที่เป็นการขายชาติ และ 5.คัดค้านการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ทำให้ประเทศเสียหาย ส่วน 2 เรื่องที่ต้องให้กำลังใจ คือ 1.ให้กำลังใจป.ป.ช. เดินหน้าเอานักโทษมาติดคุกให้ได้ และ 2.ให้กำลังใจแพทยสภาในการเรียกเวชระเบียนมาตรวจสอบเพื่อผดุงจรรยาบรรณทางการแพทย์ แพทยสภาต้องฉีดยาความจริงให้ประเทศ อย่าไปเอื้อแพทย์ด้วยกันที่ทำผิด ทั้งนี้ ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เวลา 10.30 น. ขอให้ทุกคนใส่รองเท้าผ้าใบ เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) เพื่อทวงถามเวชระเบียนจากโรงพยาบาลตำรวจ และวันที่ 15 ม.ค. จะเดินทางไปที่แพทยสภา ที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กำลังใจในการทวงถามเอกสารสำคัญเพื่อยืนยันอาการป่วยของนายทักษิณ แต่ถ้าในวันดังกล่าวแพทยสภาบอกว่ายังไม่ได้รับเอกสารใดๆ เราก็จะพร้อมใส่รองเท้าผ้าใบมาทวงถามที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชิต กล่าวว่า และอีก 1 เรื่องต้องจับตาที่จะเป็นชนวนในการเช็คบิลนายทักษิณ คือการที่นายทักษิณประกาศพาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาว กลับบ้านในเดือนเม.ย.นี้ ถ้ากลับมาแล้วเป็นนักโทษนางฟ้าเหมือนพี่ชาย เราก็เตรียมออกมาไล่รัฐบาลของน.ส.แพทองธารได้ทันที อย่างไรก็ตาม เรามีสิ่งต้องตามทวงถาม โดยเฉพาะกรณีชั้น 14 นอกเหนือจากการทำลายกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังทำลายประเทศเราด้วย ด้วยการที่มีบุคคลหนึ่งทำลายเสาหลักของระบบนิติรัฐ นิติธรรม นอกจากที่แพทยสภาแล้ว ผบ.ตร.ต้องสั่งการให้ส่งเวชระเบียนนายทักษิณไปที่ป.ป.ช.ที่มีการเรียกขอมาก่อนหน้านี้ด้วย เพราะตามหลักการแล้วหลักฐานอยู่ในมือตำรวจก็ต้องมาแสดง แต่ถ้ากลับทำลายหลักฐานเสียเอง หรือยับนิ่งเฉย ผบ.ตร.ก็ต้องลาออกด้วย นายพิชิต กล่าวต่อว่า นายทักษิณ ใช้อำนาจเหนือรัฐ เป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ไปประกาศว่า จะนำกำลังไปบุกประเทศเพื่อนบ้าน ประกาศทุบค่าไฟ ใช้อำนาจอะไรสั่งการ วันนี้ประเทศไทยมีอำนาจซ้อนอำนาจ มีอำนาจเหนือรัฐ นายทักษิณใช้อำนาจเต็มที่ กลายเป็นรัฐบาลไม่กล้าใช้อำนาจรัฐ ขณะเดียวกันวันนี้เป็นวันเด็ก มีเด็กๆไปนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีถ่ายรูปด้วยความภาคภูมิใจ แต่ตนบอกว่าเรามีเด็กนั่งเป็นนายกฯมานานหลายเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เด็กไปนั่งเก้าอี้นายกฯเลย ทุกวันนี้นายกฯยังเป็นนั่งอยู่ในเก้าอี้อยู่เลย นายกฯไม่มีผลงานอะไรเด่นเลยสักเรื่อง มีเด่นอยู่อย่างเดียว คือแต่งตัวให้ถูกเขาด่าได้ทุกวันทั้งประเทศ นายพิชิต กล่าวด้วยว่า ที่นายทักษิณ บอกว่าเป็นโรคเอ็นเปื่อย ทางการแพทย์ไม่มีระบุ มันมีที่ไหน มันไม่ใช่ลูกชิ้นเนื้อเปื่อย คนเป็นโรคเอ็นเปื่อยจะไปตีกอล์ฟออกแรงสวิงได้อย่างไร คนป่วยติดเตียง 180 วันออกมามันจะแข็งแรงได้อย่างไร และที่นายทักษิณ บอกว่ายังไงก็เอาเขากลับเข้าเรือนจำไม่ได้ เมื่อความจริงปรากฎ แนวร่วมเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดกองกฐินที่มาเรื่อยๆจะมาไหลรวมกันที่ทำเนียบรัฐบาล มันหนีไม่ออก น.ส.แพทองธาร ก็ต้องรับผิดชอบทางการเมืองด้วยเช่นกัน “ที่นายทักษิณบอกว่าให้นำพนันออนไลน์ขึ้นมาบนดิน แล้วจากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส บอกว่าสามารถทำได้ ทักษิณพูดรัฐมนตรีทำแบบนี้ไม่เรียกสั่งการครอบงำได้อย่างไร คนเห็นทั้งประเทศ ที่มองไม่เห็นอยู่ 5 คนคือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือกกต. วันนี้กกต.เริ่มพูด การหาเสียงท้องถิ่นหากไปพูดนโยบายรัฐ สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย เข้าข่ายการซื้อเสียงผ่านนโยบายรัฐหรือไม่ เราก็ไปยื่นให้กกต.ตรวจสอบแล้ว ตามสิทธิ์ของประชาชนที่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ พอเข้าไปตรวจสอบ ก็หาว่าก่อความวุ่นวาย ตกลงจะให้เราจะนั่งอยู่เฉยๆ ปล่อยให้พวกคุณโกงกันหรือไง พอเข้าไปตรวจสอบตามระบบ ก็บอกว่าจะฟ้องกลับ ผมก็ยินดี คดีผมเยอะแล้ว เพิ่มอีกคดีไม่เห็นเป็นอะไร“ แกนนำคปท. กล่าว ที่มา : แนวหน้า https://www.naewna.com/politic/852717?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR19m8JG0ju8L-nNUgU4KBHxiBlnVnUyNAETuDlRU-38FCSvoWDScdrkQ5A_aem_xZPNNwpQAvULZKuNZxIqKQ#nwrsmlxrnogt5ygxo7xkpqorilo2jdzh
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 833 Views 0 Reviews
  • New York Post เผยถึงเหตุที่ #ทรัมป์ ต้องการ #กรีนแลนด์ ถึงขั้นบอกว่าถ้าจำเป็น ก็อาจจะต้องใช้กำลังทหารเพื่อผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งคำถามว่า “แต่ทำไมล่ะ”

    ทั้งนี้ เพราะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และมีวัตถุดิบสำคัญที่หาได้ยากจากที่อื่น

    ปัจจุบัน #สหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับ #จีน และ #รัสเซีย เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของ #ภูมิภาคอาร์กติก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์

    มี 2 เหตุผลหลัก ที่สหรัฐฯต้องการผนวกกรีนแลนด์
    - ประการแรกคือ แหล่งแร่หายากจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ

    - ประการที่สอง กรีนแลนด์มีสิทธิใน #อาร์กติก อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านการเดินเรือและทรัพยากรกำลังทวีความรุนแรงขึ้น

    สหรัฐฯ แข่งขันอย่างเงียบๆ กับจีนและรัสเซียในการเข้าถึงอาร์กติกมาหลายปีแล้ว โดยส่งเรือตัดน้ำแข็งทางทหารไปยังภูมิภาคนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจทุ่งทุนดราที่อุดมด้วยทรัพยากร

    ปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีนอย่างมาก

    ขณะที่แร่ธาตุหายากก็พบในอาร์กติกนอกเหนือจากในเอเชีย และใช้ในทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงอาวุธทำลายล้างสูง

    “ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ระบบพลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงพึ่งพาวัสดุที่สำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก”

    “[แร่ธาตุหายาก] ถูกใช้ในการป้องกันประเทศ เทคโนโลยี ขีปนาวุธ รถถัง ดาวเทียม เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และด้วยเหตุนี้ การรักษาความปลอดภัยจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ”

    การแข่งขันในอาร์กติกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่เคยทำให้ทรัพยากรต่างๆ แทบจะเข้าถึงไม่ได้ละลายลง

    "ภาวะโลกร้อนทำให้การเดินเรือในอาร์กติกมีอิสระมากขึ้น"

    แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ยังถูกแซงหน้าโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้จำกัด และมีเรือตัดน้ำแข็งจำนวนค่อนข้างน้อย

    ปัญหานี้สร้างความรำคาญให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนมานานแล้ว รวมถึง ส.ส. ไมค์ วอลซ์ (R-Fla.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์

    “ในอาร์กติกที่เราต้องแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ กองกำลังชายฝั่งต้องการเรือตัดน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งลำ! รัสเซียมีเป็นโหล!” เขาโพสต์บน X เมื่อปี 2017

    ปัจจุบัน กองกำลังชายฝั่งของสหรัฐฯมีเรือตัดน้ำแข็งเพียงสองลำ แต่เมื่อไม่นานมานี้ วอลซ์ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในรัฐสภาชุดที่ 119 ในการตอบกลับโพสต์บน X ที่เรียกร้องให้มีเรือตัดน้ำแข็ง “เพิ่มอีกสิบลำ”
    “นั่นคือแผน!” วอลซ์ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม

    การจัดหาเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มเติมและการซื้อกรีนแลนด์ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังสร้างโรงงานแปรรูปแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน
    แต่เนื่องจากสหรัฐฯ มีแร่ธาตุหายากเพียง 1.3% ของโลก ในขณะที่จีนมีมากถึง 70% "ตอนนี้เราจำเป็นต้องหาแร่ธาตุหายากเหล่านี้จากที่ใดสักแห่งเพื่อแปรรูปในประเทศ ... ซึ่งทำให้กรีนแลนด์มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื่องจากกรีนแลนด์อาจเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก"

    ทรัมป์ ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับซีกโลกตะวันตกในงานแถลงข่าวที่มาร์อาลาโก
    🎯กรีนแลนด์
    ทรัมป์บอกจะไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทางเศรษฐกิจหรือการทหารเพื่อยึดกรีนแลนด์หรือคลองปานามาออกไป “ไม่ ผมรับรองคุณไม่ได้หรอกว่าจะใช้กำลังทั้งสองอย่าง แต่ผมบอกได้ว่าเราต้องการมันเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ”

    🎯อ่าวเม็กซิโก
    ทรัมป์บอกจะขยายการขุดเจาะนอกชายฝั่ง “เราจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับการที่ไบเดนปิดทุกอย่างและกำจัดทรัพย์สินมูลค่า 50 ถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์ เราจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ซึ่งมีความหมายที่สวยงาม”

    🎯แคนาดา
    ทรัมป์บอก #แคนาดา อาจกลายเป็นรัฐที่ 51 โดยมีเวย์น เกรตสกี้ นักฮ็อกกี้ชื่อดังเป็นผู้ว่าการรัฐ “คุณสามารถกำจัดเส้นแบ่งที่วาดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้ และลองดูว่ามันเป็นอย่างไร และมันจะดีขึ้นมากสำหรับความมั่นคงของชาติด้วย “พวกเขาเป็นคนดี แต่เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านที่นี่เพื่อปกป้องมัน เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านต่อปีเพื่อดูแลแคนาดา เราสูญเสียดุลการค้า”

    🎯คลองปานามา
    “จีนเป็นผู้ดำเนินการ! จีน! และเรามอบคลองปานามาให้ปานามา” ทรัมป์กล่าว “เราไม่ได้มอบคลองนี้ให้จีน และพวกเขาใช้คลองนี้ในทางที่ผิด พวกเขาใช้ของขวัญนั้นในทางที่ผิด”

    ❌“ไม่ขาย”
    ความทะเยอทะยานของทรัมป์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในเดนมาร์ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ย้ำเมื่อวันอังคารว่าดินแดนนี้ “ไม่ขาย”

    “กรีนแลนด์เป็นของชาวกรีนแลนด์” นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซนแห่งเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก TV 2 “ในแง่หนึ่ง ผมยินดีที่อเมริกาสนใจกรีนแลนด์มากขึ้น แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่ชาวกรีนแลนด์เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต”

    “ในแง่ของการเป็นเจ้าของ เราอาจเห็นต่างกันได้มาก เพราะเรากำลังดำเนินการสร้างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยซึ่งก็คือกรีนแลนด์ และเราต้องการสร้างรัฐกรีนแลนด์” เฟนเคอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลอาณาเขตอาจเต็มใจทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในข้อตกลงการค้าโดยเสรี
    .
    ลิ้งค์ต้นทาง:
    https://web.facebook.com/share/p/15nuKPRz54/
    New York Post เผยถึงเหตุที่ #ทรัมป์ ต้องการ #กรีนแลนด์ ถึงขั้นบอกว่าถ้าจำเป็น ก็อาจจะต้องใช้กำลังทหารเพื่อผนวกกรีนแลนด์ ซึ่งทำให้ชาวอเมริกันหลายคนตั้งคำถามว่า “แต่ทำไมล่ะ” ทั้งนี้ เพราะกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ริมเส้นทางเดินเรือที่สำคัญ และมีวัตถุดิบสำคัญที่หาได้ยากจากที่อื่น ปัจจุบัน #สหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับ #จีน และ #รัสเซีย เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติของ #ภูมิภาคอาร์กติก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์ มี 2 เหตุผลหลัก ที่สหรัฐฯต้องการผนวกกรีนแลนด์ - ประการแรกคือ แหล่งแร่หายากจำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตอุปกรณ์ป้องกันประเทศและอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญ - ประการที่สอง กรีนแลนด์มีสิทธิใน #อาร์กติก อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐฯ มีสถานะที่แข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากการแข่งขันด้านการเดินเรือและทรัพยากรกำลังทวีความรุนแรงขึ้น สหรัฐฯ แข่งขันอย่างเงียบๆ กับจีนและรัสเซียในการเข้าถึงอาร์กติกมาหลายปีแล้ว โดยส่งเรือตัดน้ำแข็งทางทหารไปยังภูมิภาคนี้เพื่อปฏิบัติภารกิจสำรวจทุ่งทุนดราที่อุดมด้วยทรัพยากร ปัจจุบันสหรัฐฯ พึ่งพาแร่ธาตุหายากจากจีนอย่างมาก ขณะที่แร่ธาตุหายากก็พบในอาร์กติกนอกเหนือจากในเอเชีย และใช้ในทุกอย่างตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงอาวุธทำลายล้างสูง “ด้วยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า ระบบพลังงานหมุนเวียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่เพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงพึ่งพาวัสดุที่สำคัญอย่างมากในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจระดับโลก” “[แร่ธาตุหายาก] ถูกใช้ในการป้องกันประเทศ เทคโนโลยี ขีปนาวุธ รถถัง ดาวเทียม เรือรบ เครื่องบินขับไล่ และด้วยเหตุนี้ การรักษาความปลอดภัยจึงกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความมั่นคงของชาติ” การแข่งขันในอาร์กติกทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งที่เคยทำให้ทรัพยากรต่างๆ แทบจะเข้าถึงไม่ได้ละลายลง "ภาวะโลกร้อนทำให้การเดินเรือในอาร์กติกมีอิสระมากขึ้น" แต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ ก็ยังถูกแซงหน้าโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวได้จำกัด และมีเรือตัดน้ำแข็งจำนวนค่อนข้างน้อย ปัญหานี้สร้างความรำคาญให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนมานานแล้ว รวมถึง ส.ส. ไมค์ วอลซ์ (R-Fla.) ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของทรัมป์ “ในอาร์กติกที่เราต้องแข่งขันกันเพื่อทรัพยากรธรรมชาติ กองกำลังชายฝั่งต้องการเรือตัดน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งลำ! รัสเซียมีเป็นโหล!” เขาโพสต์บน X เมื่อปี 2017 ปัจจุบัน กองกำลังชายฝั่งของสหรัฐฯมีเรือตัดน้ำแข็งเพียงสองลำ แต่เมื่อไม่นานมานี้ วอลซ์ได้ให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มขึ้นในรัฐสภาชุดที่ 119 ในการตอบกลับโพสต์บน X ที่เรียกร้องให้มีเรือตัดน้ำแข็ง “เพิ่มอีกสิบลำ” “นั่นคือแผน!” วอลซ์ให้คำมั่นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม การจัดหาเรือตัดน้ำแข็งเพิ่มเติมและการซื้อกรีนแลนด์ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังสร้างโรงงานแปรรูปแร่ธาตุหายากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ต้องการลดการพึ่งพาจีน แต่เนื่องจากสหรัฐฯ มีแร่ธาตุหายากเพียง 1.3% ของโลก ในขณะที่จีนมีมากถึง 70% "ตอนนี้เราจำเป็นต้องหาแร่ธาตุหายากเหล่านี้จากที่ใดสักแห่งเพื่อแปรรูปในประเทศ ... ซึ่งทำให้กรีนแลนด์มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เนื่องจากกรีนแลนด์อาจเป็นแหล่งแร่ธาตุหายาก" ทรัมป์ ได้สรุปวิสัยทัศน์ของเขาสำหรับซีกโลกตะวันตกในงานแถลงข่าวที่มาร์อาลาโก 🎯กรีนแลนด์ ทรัมป์บอกจะไม่ตัดความเป็นไปได้ที่จะใช้กำลังทางเศรษฐกิจหรือการทหารเพื่อยึดกรีนแลนด์หรือคลองปานามาออกไป “ไม่ ผมรับรองคุณไม่ได้หรอกว่าจะใช้กำลังทั้งสองอย่าง แต่ผมบอกได้ว่าเราต้องการมันเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” 🎯อ่าวเม็กซิโก ทรัมป์บอกจะขยายการขุดเจาะนอกชายฝั่ง “เราจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับการที่ไบเดนปิดทุกอย่างและกำจัดทรัพย์สินมูลค่า 50 ถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์ เราจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโกเป็นอ่าวอเมริกา ซึ่งมีความหมายที่สวยงาม” 🎯แคนาดา ทรัมป์บอก #แคนาดา อาจกลายเป็นรัฐที่ 51 โดยมีเวย์น เกรตสกี้ นักฮ็อกกี้ชื่อดังเป็นผู้ว่าการรัฐ “คุณสามารถกำจัดเส้นแบ่งที่วาดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาตินั้นได้ และลองดูว่ามันเป็นอย่างไร และมันจะดีขึ้นมากสำหรับความมั่นคงของชาติด้วย “พวกเขาเป็นคนดี แต่เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านที่นี่เพื่อปกป้องมัน เราใช้เงินหลายร้อยพันล้านต่อปีเพื่อดูแลแคนาดา เราสูญเสียดุลการค้า” 🎯คลองปานามา “จีนเป็นผู้ดำเนินการ! จีน! และเรามอบคลองปานามาให้ปานามา” ทรัมป์กล่าว “เราไม่ได้มอบคลองนี้ให้จีน และพวกเขาใช้คลองนี้ในทางที่ผิด พวกเขาใช้ของขวัญนั้นในทางที่ผิด” ❌“ไม่ขาย” ความทะเยอทะยานของทรัมป์ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีในเดนมาร์ก ซึ่งนายกรัฐมนตรีเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ย้ำเมื่อวันอังคารว่าดินแดนนี้ “ไม่ขาย” “กรีนแลนด์เป็นของชาวกรีนแลนด์” นายกรัฐมนตรีเมตเตอ เฟรเดอริกเซนแห่งเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์เดนมาร์ก TV 2 “ในแง่หนึ่ง ผมยินดีที่อเมริกาสนใจกรีนแลนด์มากขึ้น แต่แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือเรื่องนี้ต้องเกิดขึ้นในลักษณะที่ชาวกรีนแลนด์เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” “ในแง่ของการเป็นเจ้าของ เราอาจเห็นต่างกันได้มาก เพราะเรากำลังดำเนินการสร้างประเทศที่มีอำนาจอธิปไตยซึ่งก็คือกรีนแลนด์ และเราต้องการสร้างรัฐกรีนแลนด์” เฟนเคอร์กล่าว พร้อมเสริมว่ารัฐบาลอาณาเขตอาจเต็มใจทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ในข้อตกลงการค้าโดยเสรี . ลิ้งค์ต้นทาง: https://web.facebook.com/share/p/15nuKPRz54/
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 715 Views 0 Reviews
  • การกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของทรัมป์ ส่งผลถึงมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อย่างชัดเจน

    เป็นที่ทราบกันดีว่า ซัคเคอร์เบิร์ก สนับสนุนเดโมแครตมาโดยตลอด แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Meta ดัน โจเอล คาแพลน ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายนโยบายที่สนับสนุนรีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ม.ค. เพิ่งแถลงว่า ได้แต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของอัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ ซึ่งเป็นเพื่อนใกล้ชิดของทรัมป์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทอีกด้วย

    ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอเมื่อวานนี้ว่า "เราไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มันมีความผิดพลาดมากมายมากเกินไป และเป็นการคัดครองมากเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับสู่รากเหง้าของเราเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก" ทั้งนี้มีรายงานว่า ซัคเคอร์เบิร์ก มีแผนนำระบบ "Community Notes" มาใช้ แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์
    การกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของทรัมป์ ส่งผลถึงมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อย่างชัดเจน เป็นที่ทราบกันดีว่า ซัคเคอร์เบิร์ก สนับสนุนเดโมแครตมาโดยตลอด แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Meta ดัน โจเอล คาแพลน ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายนโยบายที่สนับสนุนรีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ม.ค. เพิ่งแถลงว่า ได้แต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของอัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ ซึ่งเป็นเพื่อนใกล้ชิดของทรัมป์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัทอีกด้วย ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอเมื่อวานนี้ว่า "เราไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มันมีความผิดพลาดมากมายมากเกินไป และเป็นการคัดครองมากเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับสู่รากเหง้าของเราเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก" ทั้งนี้มีรายงานว่า ซัคเคอร์เบิร์ก มีแผนนำระบบ "Community Notes" มาใช้ แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 289 Views 0 Reviews
  • เมตา แพลตฟอร์มส์ บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ ยกเลิกโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ในสหรัฐฯ และลดข้อจำกัดการสนทนาในหัวข้อซึ่งเป็นที่ถกเถียงต่างๆ อย่างเช่นผู้อพยพและความเท่าเทียมทางเพศ ยอมจำนนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพวกหัวอนุรักษนิยมทั้งหลาย ในนั้นรวมถึงว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัย 2
    .
    ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงความทรงจำเมื่อเร็วๆ นี้ของเมตา ในแนวทางบริหารจัดการกับเนื้อหาทางการเมืองในบริการของพวกเขา และมีขึ้นในขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทส่งสัญญาณปรารถนาปรับความเข้าใจกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ
    .
    การเปลี่ยนแปลงจะครอบคลุมถึงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเธรดส์ ซึ่งเป็น 3 แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมตา ดัน โจเอล คาแพลน ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายนโยบายที่สนับสนุนรีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ และในวันจันทร์ (6 ม.ค.) แถลงว่า ได้แต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของอัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ และเพื่อนใกล้ชิดของทรัมป์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท
    .
    ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอว่า "เราไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มันมีความผิดพลาดมากมายมากเกินไป และเป็นการคัดครองมากเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับสู่รากเหง้าของเราเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก" ทั้งนี้มีรายงานว่า ซัคเคอร์เบิร์ก มีแผนนำระบบ "Community Notes"มาใช้ แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์
    .
    นอกจากนี้แล้ว เมตาจะโฟกัสไปที่ระบบอัตโนมัติในการลบ "เนื้อหาที่อ่อนไหวสูงและผิดกฎหมาย" อย่างเช่นก่อการร้ายและยาเสพติด ซัคเตอร์เบิร์กล่าว พร้อมระบุว่าจะหยุดสแกนเชิงรุกหาวาทกรรมแห่งความเกลียดชังและการละเมิดกฎรูปแบบอื่นๆ และจะทบทวนตรวจสอบโพสต์เหล่านั้น ตอบสนองต่อรายงานของผู้ใช้เท่านั้น
    .
    การถึงจุดจบของการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2016 สร้างความแปลกใจแก่องค์กรพันธมิตรทั้งหลาย "เราไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวนี้กำลังเกิดขึ้น และมันเป็นเรื่องช็อกสำหรับเรา ชัดเจนว่ามันจะส่งผลกระทบกับเรา" เจนซี สติลเลอร์ บรรณาธิการบริหารของ Check Your Fact ระบุ
    .
    คริสติน โรเบิร์ตส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเนื้อหาของ Gannett Media ระบุว่า "ความจริงและข้อเท็จจริงรับใช้ทุกๆ คน ไม่ใช่แค่ฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป เราทราบข่าวนี้พร้อมๆ กับทุกคนในวันนี้ มันส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชน เรากำลังประเมินสถานการณ์"
    .
    เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซัคเคอร์เบิร์ก แสดงความเสียใจต่อการกลั่นกรองเนื้อหาบางอย่างในหัวข้อต่างๆ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 นอกจากนี้แล้ว เมตายังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ากองทุนสาบานตนของทรัมป์ ความเคลื่อนไหวที่ต่างจากแนวทางปฏิบัติในอดีตของบริษัท
    .
    "นี่คือการก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ สำหรับการกลั่นกรองเนื้อหาในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เนื้อหาบิดเบือนข้อมูลและเป็นอันตรายที่เติบโตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา" จากความเห็นของ รอส เบอร์ลีย์ ผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Centre for Information Resilience "ความเคลื่อนไหวนี้ ดูเหมือนเป็นการเอาอกเอาใจทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นนโยบายที่ฉลาด"
    .
    สำหรับเวลานี้ เมตามีแผนเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เฉพาะตลาดสหรัฐฯ โดยยังไม่มีแผนยุติโปรแกรม fact-checking ในดินแดนอื่นๆ อย่างเช่นสหภาพยุโรป ที่จะใช้แนวทางกระตือรือร้นมากกว่าในการกำหนดกฎระเบียบกับบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย โฆษกบอกกับรอยเตอร์
    .
    ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับแผนยุติโปรแกรม fact-checking ของเมตา แพลตฟอร์มส์ โดยระบุว่า "พวกเขาก้าวหน้าไปมาก เมตา ชายผู้ชื่อ ซัคเคอร์เบิร์ก น่าประทับใจอย่างมก" ทรัมป์ระบุบางที ซัคเคอร์เบิร์ก อาจตอบสนองต่อเหตุคำขู่ต่างๆ ที่มีต่อตัวเขา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001966
    ..............
    Sondhi X
    เมตา แพลตฟอร์มส์ บริษัทสื่อสังคมออนไลน์ ยกเลิกโครงการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ในสหรัฐฯ และลดข้อจำกัดการสนทนาในหัวข้อซึ่งเป็นที่ถกเถียงต่างๆ อย่างเช่นผู้อพยพและความเท่าเทียมทางเพศ ยอมจำนนต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากพวกหัวอนุรักษนิยมทั้งหลาย ในนั้นรวมถึงว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เตรียมเข้ารับตำแหน่งเป็นสมัย 2 . ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงความทรงจำเมื่อเร็วๆ นี้ของเมตา ในแนวทางบริหารจัดการกับเนื้อหาทางการเมืองในบริการของพวกเขา และมีขึ้นในขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัทส่งสัญญาณปรารถนาปรับความเข้าใจกับว่าที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ . การเปลี่ยนแปลงจะครอบคลุมถึงเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และเธรดส์ ซึ่งเป็น 3 แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมตา ดัน โจเอล คาแพลน ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายนโยบายที่สนับสนุนรีพับลิกัน ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ และในวันจันทร์ (6 ม.ค.) แถลงว่า ได้แต่งตั้ง ดานา ไวท์ ซีอีโอของอัลติเมทไฟต์ติงแชมเปียนชิพ และเพื่อนใกล้ชิดของทรัมป์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท . ซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในวิดีโอว่า "เราไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่มันมีความผิดพลาดมากมายมากเกินไป และเป็นการคัดครองมากเกินไป มันถึงเวลาแล้วที่จะกลับสู่รากเหง้าของเราเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงออก" ทั้งนี้มีรายงานว่า ซัคเคอร์เบิร์ก มีแผนนำระบบ "Community Notes"มาใช้ แบบเดียวกับที่ใช้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ของอีลอน มัสก์ . นอกจากนี้แล้ว เมตาจะโฟกัสไปที่ระบบอัตโนมัติในการลบ "เนื้อหาที่อ่อนไหวสูงและผิดกฎหมาย" อย่างเช่นก่อการร้ายและยาเสพติด ซัคเตอร์เบิร์กล่าว พร้อมระบุว่าจะหยุดสแกนเชิงรุกหาวาทกรรมแห่งความเกลียดชังและการละเมิดกฎรูปแบบอื่นๆ และจะทบทวนตรวจสอบโพสต์เหล่านั้น ตอบสนองต่อรายงานของผู้ใช้เท่านั้น . การถึงจุดจบของการตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2016 สร้างความแปลกใจแก่องค์กรพันธมิตรทั้งหลาย "เราไม่รู้ว่าความเคลื่อนไหวนี้กำลังเกิดขึ้น และมันเป็นเรื่องช็อกสำหรับเรา ชัดเจนว่ามันจะส่งผลกระทบกับเรา" เจนซี สติลเลอร์ บรรณาธิการบริหารของ Check Your Fact ระบุ . คริสติน โรเบิร์ตส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเนื้อหาของ Gannett Media ระบุว่า "ความจริงและข้อเท็จจริงรับใช้ทุกๆ คน ไม่ใช่แค่ฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย และนั่นคือสิ่งที่เราจะต้องเดินหน้าต่อไป เราทราบข่าวนี้พร้อมๆ กับทุกคนในวันนี้ มันส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาคมตรวจสอบข้อเท็จจริงและสื่อมวลชน เรากำลังประเมินสถานการณ์" . เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ซัคเคอร์เบิร์ก แสดงความเสียใจต่อการกลั่นกรองเนื้อหาบางอย่างในหัวข้อต่างๆ ในนั้นรวมถึงโควิด-19 นอกจากนี้แล้ว เมตายังบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้ากองทุนสาบานตนของทรัมป์ ความเคลื่อนไหวที่ต่างจากแนวทางปฏิบัติในอดีตของบริษัท . "นี่คือการก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ สำหรับการกลั่นกรองเนื้อหาในช่วงเวลาหนึ่งๆ ที่เนื้อหาบิดเบือนข้อมูลและเป็นอันตรายที่เติบโตเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา" จากความเห็นของ รอส เบอร์ลีย์ ผู้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Centre for Information Resilience "ความเคลื่อนไหวนี้ ดูเหมือนเป็นการเอาอกเอาใจทางการเมือง มากกว่าที่จะเป็นนโยบายที่ฉลาด" . สำหรับเวลานี้ เมตามีแผนเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้เฉพาะตลาดสหรัฐฯ โดยยังไม่มีแผนยุติโปรแกรม fact-checking ในดินแดนอื่นๆ อย่างเช่นสหภาพยุโรป ที่จะใช้แนวทางกระตือรือร้นมากกว่าในการกำหนดกฎระเบียบกับบรรดาบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลาย โฆษกบอกกับรอยเตอร์ . ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับแผนยุติโปรแกรม fact-checking ของเมตา แพลตฟอร์มส์ โดยระบุว่า "พวกเขาก้าวหน้าไปมาก เมตา ชายผู้ชื่อ ซัคเคอร์เบิร์ก น่าประทับใจอย่างมก" ทรัมป์ระบุบางที ซัคเคอร์เบิร์ก อาจตอบสนองต่อเหตุคำขู่ต่างๆ ที่มีต่อตัวเขา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000001966 .............. Sondhi X
    Like
    8
    1 Comments 0 Shares 1150 Views 0 Reviews
More Results