• #ความรักของผู้หญิงเกิดวันอังคาร

    เธออาจจะไม่ค่อยสุขสมหวังเรื่องความรักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่จะสร้างวิบากกรรมเรื่องความรักไว้มาก เช่นมีเรื่องทำผิดศีลข้อที่ 3 บางคนมีแฟน แต่ก็แสดงตัวว่าตัวเองโสด และอาจจะมีการคบคุยหลายคน หรือมีเกณฑ์ที่จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุคคลหลายคนด้วย ผู้หญิงเกิดวันนี้เป็นคนที่แต่งตัวดี พิถีพิถันในการแต่งตัว ไม่ว่าจะไปไหนเสื้อผ้า หน้า ผม ต้องดี มีความเข้ากัน จัดว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ ก็จะมีคนเข้ามาคบหาพูดคุยอยู่หลายคนและส่วนใหญ่ก็จะมาหวังผลประโยชน์จากเธอทั้งนั้นโดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ ผู้หญิงที่เกิดวันนี้เป็นคนที่สบายๆไม่ซีเรียส ใครที่คุยกับเขาได้ทุกเรื่อง เป็นคนง่ายๆสบายๆ ก็จะเข้ากันได้และมีความถูกคอถูกใจกันเป็นอย่างดี เธอชอบคนที่แต่งตัวดี หน้าตาดี รูปร่างดี เช่นหุ่นนักกีฬา เธอจะไม่ชอบคนอ้วน จะชอบคนที่มีความสามารถพิเศษ เช่น ร้องเพลงเพราะ วาดภาพเก่ง เล่นดนตรีเก่ง ในเรื่องของความรักนั้น เธอจะเป็นคนที่มีความทุกข์ไม่นาน เพราะเป็นคนใจแข็ง สามารถตัดใจได้อย่างเลือดเย็น ถ้าใครไม่รักเธอแล้วเธอพร้อมจะไป หรือถ้าเธอมีคนอื่นแล้ว เธอก็จะตัดแฟนของเธอแบบไม่มีเยื่อใย เธอจะเป็นผู้หญิงแบบเด็ดขาด ไม่ชอบอะไรที่คาราคาซัง เช่นถ้ามีคนอื่นก็ให้บอก แต่อย่าให้จับได้ หรือคิดไปเอง หรือหลอกคบกับเธอ เพราะถ้าเธอรู้ความจริงแล้วเธอก็จะเกลียดมาก ผู้ชายในสเปคของเธอนั้นชอบผู้ชายที่มีความขยัน หรืออาจจะชอบคนในเครื่องแบบ ชอบคนโด่งดัง ชอบคนที่มีชื่อเสียง ชอบคนที่มีความโดดเด่นมีเอกลักษณ์ และคนที่เข้ามาคบหานั้นจะต้องให้อิสระกับเธอด้วย ต้องไม่จุกจิกจู้จี้ วุ่นวายชีวิตเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้เธอมีความอึดอัดใจ เรื่องฐานะการเงินของคู่ครองนั้น เธออาจจะไม่ได้แคร์เท่าไหร่ แต่ขอแค่อย่ามาเดือดร้อนเรื่องเงินเธอก็เป็นพอ เธอเน้นความจริงใจเป็นหลัก แต่ดวงชะตาความรักของเธอนั้นก็อาจจะไม่ได้เรียกว่าสุขสมหวังแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีโอกาสที่จะมีความรักแบบไปเรื่อยๆมากกว่า เช่นอยู่เป็นโสด แล้วมีคนเข้ามาคบคุยเรื่อยๆ เข้ามาแล้วก็ออกไป ไม่เหมาะกับอยู่กับใครแบบถาวร เพราะพื้นฐานเธอก็มีความเจ้าชู้ และมนุษย์สัมพันธ์ดี จึงมีคนเข้าหามาก และเป็นคนเบื่อง่ายด้วย จึงไม่เหมาะที่จะมีคู่ครองแบบถาวร
    --------
    #ดูดวง #ดูดวงแม่นๆ #หมอดูแม่นๆ
    #ดูดวงแบบโทรคุย #ดูดวงไพ่ยิปซี #ดูดวงจิตสัมผัส #ดูดวงทางแชท
    #ดูดวงคำถามละ 9 บาท
    สนใจดูดวง แอดไลน์ @342shvrt
    #ความรักของผู้หญิงเกิดวันอังคาร เธออาจจะไม่ค่อยสุขสมหวังเรื่องความรักเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่จะสร้างวิบากกรรมเรื่องความรักไว้มาก เช่นมีเรื่องทำผิดศีลข้อที่ 3 บางคนมีแฟน แต่ก็แสดงตัวว่าตัวเองโสด และอาจจะมีการคบคุยหลายคน หรือมีเกณฑ์ที่จะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุคคลหลายคนด้วย ผู้หญิงเกิดวันนี้เป็นคนที่แต่งตัวดี พิถีพิถันในการแต่งตัว ไม่ว่าจะไปไหนเสื้อผ้า หน้า ผม ต้องดี มีความเข้ากัน จัดว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ ก็จะมีคนเข้ามาคบหาพูดคุยอยู่หลายคนและส่วนใหญ่ก็จะมาหวังผลประโยชน์จากเธอทั้งนั้นโดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ ผู้หญิงที่เกิดวันนี้เป็นคนที่สบายๆไม่ซีเรียส ใครที่คุยกับเขาได้ทุกเรื่อง เป็นคนง่ายๆสบายๆ ก็จะเข้ากันได้และมีความถูกคอถูกใจกันเป็นอย่างดี เธอชอบคนที่แต่งตัวดี หน้าตาดี รูปร่างดี เช่นหุ่นนักกีฬา เธอจะไม่ชอบคนอ้วน จะชอบคนที่มีความสามารถพิเศษ เช่น ร้องเพลงเพราะ วาดภาพเก่ง เล่นดนตรีเก่ง ในเรื่องของความรักนั้น เธอจะเป็นคนที่มีความทุกข์ไม่นาน เพราะเป็นคนใจแข็ง สามารถตัดใจได้อย่างเลือดเย็น ถ้าใครไม่รักเธอแล้วเธอพร้อมจะไป หรือถ้าเธอมีคนอื่นแล้ว เธอก็จะตัดแฟนของเธอแบบไม่มีเยื่อใย เธอจะเป็นผู้หญิงแบบเด็ดขาด ไม่ชอบอะไรที่คาราคาซัง เช่นถ้ามีคนอื่นก็ให้บอก แต่อย่าให้จับได้ หรือคิดไปเอง หรือหลอกคบกับเธอ เพราะถ้าเธอรู้ความจริงแล้วเธอก็จะเกลียดมาก ผู้ชายในสเปคของเธอนั้นชอบผู้ชายที่มีความขยัน หรืออาจจะชอบคนในเครื่องแบบ ชอบคนโด่งดัง ชอบคนที่มีชื่อเสียง ชอบคนที่มีความโดดเด่นมีเอกลักษณ์ และคนที่เข้ามาคบหานั้นจะต้องให้อิสระกับเธอด้วย ต้องไม่จุกจิกจู้จี้ วุ่นวายชีวิตเรื่องส่วนตัวมากเกินไป เพราะจะทำให้เธอมีความอึดอัดใจ เรื่องฐานะการเงินของคู่ครองนั้น เธออาจจะไม่ได้แคร์เท่าไหร่ แต่ขอแค่อย่ามาเดือดร้อนเรื่องเงินเธอก็เป็นพอ เธอเน้นความจริงใจเป็นหลัก แต่ดวงชะตาความรักของเธอนั้นก็อาจจะไม่ได้เรียกว่าสุขสมหวังแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมีโอกาสที่จะมีความรักแบบไปเรื่อยๆมากกว่า เช่นอยู่เป็นโสด แล้วมีคนเข้ามาคบคุยเรื่อยๆ เข้ามาแล้วก็ออกไป ไม่เหมาะกับอยู่กับใครแบบถาวร เพราะพื้นฐานเธอก็มีความเจ้าชู้ และมนุษย์สัมพันธ์ดี จึงมีคนเข้าหามาก และเป็นคนเบื่อง่ายด้วย จึงไม่เหมาะที่จะมีคู่ครองแบบถาวร -------- #ดูดวง #ดูดวงแม่นๆ #หมอดูแม่นๆ #ดูดวงแบบโทรคุย #ดูดวงไพ่ยิปซี #ดูดวงจิตสัมผัส #ดูดวงทางแชท #ดูดวงคำถามละ 9 บาท สนใจดูดวง แอดไลน์ @342shvrt
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 74 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
    ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

    ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

    หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
    วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
    ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

    ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
    ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

    เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
    และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

    เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
    และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
    เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
    ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

    อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
    และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
    และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
    แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
    วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
    คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
    “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
    และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
    ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
    Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

    แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
    ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
    เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
    “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

    วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
    ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
    ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

    ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
    ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
    กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

    เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
    จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
    แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

    คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
    กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
    เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

    ในนามของพระเจ้า
    ลงชื่อ Shamil Basayev

    ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

    การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
    ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

    ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

    วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
    ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
    เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
    คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
    เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

    เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
    อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
    ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
    ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
    เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
    แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
    โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

    วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
    พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
    ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

    ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
    เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
    เพราะเขาได้ประกาศว่า……
    “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
    คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

    พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

    ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
    รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
    ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
    ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
    ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

    Wiwanda W. Vichit
    หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชุดผ้าไทยใครใส่ก็สวย สั่งได้ที่ช่อง ตต. ชื่อ ผ้าไทยงาม หรือค้นหาคำว่า phathaiham (รูปผู้หญิงใส่เสื้อสีขาวแขนระบายสั้น)
    #ชุดไทย #ชุดผ้าไทย #ชุดไทยประยุกต์ #ชุดไทยแฟชั่น #ผู้หญิง #แต่งตัว #ไลฟ์สไตล์
    ชุดผ้าไทยใครใส่ก็สวย สั่งได้ที่ช่อง ตต. ชื่อ ผ้าไทยงาม หรือค้นหาคำว่า phathaiham (รูปผู้หญิงใส่เสื้อสีขาวแขนระบายสั้น) #ชุดไทย #ชุดผ้าไทย #ชุดไทยประยุกต์ #ชุดไทยแฟชั่น #ผู้หญิง #แต่งตัว #ไลฟ์สไตล์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 68 0 รีวิว
  • เครือข่าย อาจมพวงทอง ประท้วงถูกห้ามจัดงานเปิดตัวหนังสือ มาเรียกร้องสิทธิ แต่งตัวไม่เคารพสถานที่ หรือรับงานด่วนเพิ่งลุกจากที่นอน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    เครือข่าย อาจมพวงทอง ประท้วงถูกห้ามจัดงานเปิดตัวหนังสือ มาเรียกร้องสิทธิ แต่งตัวไม่เคารพสถานที่ หรือรับงานด่วนเพิ่งลุกจากที่นอน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Haha
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 รีวิว
  • ㊗️🏮มาแล้ว จากโป๊ยเซียน
    📌“จงอ่านเนื้อเรื่องแล้วเดาว่าเป็นงานของนักเขียนจีนท่านไหนของห้องสมุด!”

    .
    เริ่ม!!!

    -------------

    .
    📌 อากาศเดือนแปดร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวัน มีแต่ตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะเย็นสบายขึ้นบ้าง

    ช่วงเวลาที่เงียบสงัด จวนสกุลเฟ่ยคล้ายกับมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุม รอบจวนเงียบสงัดเสียจนรู้สึกถึงความผิดปกติ
    รอบเรือนใหญ่กลับมีแสงไฟสว่างจ้า ระเบียงทางเดินนอกห้องยังมีคนรับใช้ยืนก้มหน้าก้มตาเงียบ ๆ อยู่เป็นแถวยาว ทุกคนยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการเงยหน้าขึ้นมอง
    ความเงียบเชียบของค่ำคืนนี้ดูคล้ายกับปกติ แต่ก็เหมือนจะไม่ปกติ
    นอกห้องสงบเงียบ แต่ในห้องกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
    ห้องด้านในมืดสลัว มีสิ่งของตกเกลื่อนบนพื้นห้อง
    เครื่องกระเบื้องที่ตกอยู่บนพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยังมีเชิงเทียน ยังมีม้านั่งที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ
    เสียงครางของสตรีผสานไปกับเสียงหายใจหนักหน่วงของบุรุษ ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายราคะอบอวลไปทั่วห้อง
    ร่างของหลี่อันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับชุบตัวอยู่บ่อน้ำ เรือนร่างที่เปลือยเปล่าคุกเข่าโน้มตัวไปด้านหน้าอยู่บนเตียง เสียงหายใจคล้ายติดขัด
    เอวเล็กขาวของเนางถูกรวบอยู่ในฝ่ามือใหญ่ที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็ก ร่างกายท่อนล่างถูกรุกรานด้วยท่อนเนื้อขนาดใหญ่จนตัวของนางโน้มตัวไปด้านหน้าเป็นจังหวะ ทรวงอกที่เต็มอิ่มไหวไปตามแรงจนเห็นเป็นเนื้อเคลื่อนไหวเป็นระลอก
    ชายหนุ่มเร่งความเร็วไปตามอารมณ์โดยมิได้ใส่ใจกับเรื่องอื่นใด
    “ช้า ช้าหน่อย ใต้ ใต้เท้า...” เสียงของหลี่อันขาดเป็นห้วง ๆ
    นี่เป็นการสูญเสียพรหมจรรย์ครั้งแรก นางยังรับมือไม่ทันอีกทั้งเขายังไม่ให้โอกาสนางได้ปรับตัวก็ช่วงชิงความบริสุทธิ์ของนางไปแล้ว
    นางบิดตัวด้วยความรู้สึกอึดอัด หวังจะลดความคับแน่นที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับตรงกันข้าม ยิ่งทำให้ชายที่อยู่ด้านหลังเร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวอยู่ร่างของนางมากขึ้น
    หลี่อันเปล่งเสียงร้องอย่างตกใจ
    ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งบีบเค้นหน้าอกที่อวบอิ่ม เนื้อหน้าอกที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะรวบได้เพียงแค่ฝ่ามือเดียวทะลักไหลออกมาตามง่ามนิ้ว ยอดอกที่ชูชันสัมผัสถูกฝ่ามือหยาบกระด้าง ความเจ็บปวดระคนความเสียวซ่านเหมือนเปลวไฟและน้ำแข็งที่เกิดขึ้นพร้อมกันทำให้ตัวนางบีบรัดสิ่งแปลกปลอมจนทำให้อาวุธที่อยู่ในร่างของนางเคลื่อนตัวได้ลำบาก
    หน้าผากของชายหนุ่มมีเหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ไหลลงมาข้างแก้ม ตกมาถึงสะโพกของหลี่อัน
    เสียงทุ้มห้าวดังคล้ายเสียงเตือน “อย่าเกร็ง”
    หลี่อันหันกลับไปมอง ดวงตาเรียวยาวที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลายามนี้หรี่แคบ ปลายคางและต้นคอเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน
    สายตาของหลี่อันเลื่อนลงมาด้านล่าง เหงื่อจากต้นคอไหลลงมาเรื่อย ๆ จนถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เห็นเป็นลอนชัดเจน รวมเข้ากับเหงื่อที่อยู่บริเวณนั้นแล้วไหลลงไปรวมกันด้านล่าง
    สีหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความงดงามของเรือนร่าง กระตุ้นให้หว่างขาของนางชุ่มฉ่ำ หล่อลื่นให้ชายหนุ่มเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง
    แรงกระแทกทำให้ร่างของหลี่อันเคลื่อนตัวไปด้านหน้าราวกับปลาที่คิดจะกระโดดขึ้นจากน้ำ ริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเพื่อช่วยให้หายใจได้ดีขึ้น
    ความร้อนระอุที่เกิดขึ้นร้อนจนนางทนไม่ไหว มีน้ำตาเอ่ออยู่ขอบตา มือซ้ายจับผ้าม่านข้างเตียงเอาไว้ แรงดึงทำให้ผ้าม่านขาดติดมือ
    เสียงผ้าขาดถูกกลบด้วยเสียงเนื้อกระทบเนื้อ
    ทั้งร้อนแรงทั้งรุนแรง
    ความรู้สึกเสียวซ่านแผ่กระจายไปทีละน้อย อารมณ์เริ่มดำดิ่งไปกับจังหวะการรุกเข้ารุกออกของคนที่อยู่ด้านหลัง
    เสียงร้องด้วยความสุขสมยามถึงจุดสุดยอดดังออกจากปากหลี่อัน ก่อนร่างของนางจะอ่อนระทวยฟุบลงอยู่บนผ้าห่ม หน้าอกนุ่มนิ่มถูกทับจนแทบจะเปลี่ยนรูป
    การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มทั้งเร็วทั้งแรง จนกระทั่งถึงจุดที่ปลดปล่อยธารร้อนออกมา
    เสียงหายใจแรงของคนทั้งสองดังประสานกัน ส่วนที่ยังประสานกันอยู่ก็ยังคงสอดประสานกันอยู่
    หลี่อันรู้สึกสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนเริ่มรู้สึกตัว นางดีใจที่ยุติเสียที ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคิดว่าตัวเองคงถูกหามออกไปเป็นแน่
    แต่นางมิได้สังเกตถึงชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง ว่าสายตาของเขาจับจ้องยู่ที่สะโพกกลมกลึงที่ยามนี้เป็นสีแดงเข้ม ก่อนเลื่อนสายตามองยังส่วนที่ยังประสานกันอยู่
    หลี่อันสะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ได้ถึงงสิ่งที่ยังอยู่ในร่างของนางเริ่มพองตัวขึ้นอีกครั้ง
    แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เอวบางถูกมือสองข้างรวบเอาไว้ ก่อนจับตัวนางยกสูง บริเวณอ่อนนุ่มที่เพิ่งรับศึกหนักไปเมื่อครู่ ถูกท่อนเนื้อแข็งแรงดันเข้ามาด้านในอีกครั้ง
    “ใต้ ใต้เท้า ไม่ ไม่ ข้าน้อย ไม่ไหวแล้ว...” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งสั่นเครือจนแทบจะฟังไม่เป็นคำ
    แต่ชายหนุ่มมิได้ใส่ใจ ยังคงกระทำไปตามอำเภอใจ เสียงทุ้มห้าวแหบแห้งดังเพียงว่า “ไม่ไหวก็ต้องทน”
    เสียงห้าวทุ้มที่ถูกเค้นออกมานั้นเต็มไปด้วยความเย็นกระด้าง ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง
    หลี่อันได้แต่ส่งเสียงสะอื้นไปตามจังหวะการกระแทก นางก่นด่าคนที่อยู่ด้านหลังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ความจริงนางอยากจะด่าเขาออกเสียงด้วยซ้ำ
    แต่เมื่อคิดถึงคนที่อยู่ด้านหลังเป็นขุนนางกังฉินที่มีความโหดร้ายอำมหิต เดาความคิดไม่ได้ นางไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้
    นางกลัวเพียงว่า ถ้าด่าออกไป เขาจะจับนางหักคอเสียก่อน ดังนั้นนางกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองด่าออกไป
    ผ่านไปอย่างนี้สองชั่วยามกว่า กว่าพายุจะสงบลงได้
    ขณะสะลึมสะลือ ไร้เรี่ยวแรง มีเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นอย่างไม่ไยดีว่า “เตรียมน้ำ”
    ไม่นานหลังจากนั้นประตูห้องถูกเปิดออก ภายในห้องมืดสลัว มีสาวใช้ถือตะเกียง ยกน้ำเข้ามาในห้อง
    ตะเกียงและถังน้ำถูกวางไว้ดีแล้ว สาวใช้ทั้งหลายถอยออกไปอย่างเงียบกริบ ราวกับไม่เคยมีใครเข้ามาแต่อย่างใด
    เปลวไฟไหวไปมา หลี่อันรับรู้ได้ว่า ชายที่อยู่ด้านหลังลงจากเตียง นางเงยหน้ามองตาม เห็นแผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ที่มีเหงื่อจับอยู่เป็นชั้น
    คล้ายกับรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องทำให้ชายหนุ่มหันหลังกลับ
    ใบหน้าของเขาหล่อเหลา หากแววตาเต็มไปด้วยความเย็นกระด้างที่แฝงแววอำมหิต
    หลี่อันรับรู้ได้ถึงแรงกดดันเที่แผ่กระจายออกจากตัวของเขาได้อย่างชัดเจนทำให้นางรีบก้มหน้า หลบตา เปล่งเสียงอ่อน ๆ ขึ้นว่า “ใต้เท้า”
    ชายหนุ่มดึงสายตากลับมา เม้มริมฝีปากเดินออกไปด้านนอก
    เขาเช็ดตัวอย่างลวก ๆ สวมเสื้อผ้าแล้วค่อยออกไปจากห้อง
    ทันทีที่ประตูห้องปิดเข้าหากัน หลี่อันลอบถอนหายใจ ความหวาดหวั่นที่มีอยู่เมื่อครู่หายวับไปทันที
    นางนอนอยู่บนเตียงที่ยุ่งเหยิงอย่างเหม่อลอย ดวงตาจับจ้องอยู่บนเพดานเตียง
    กลิ่นความใคร่ยังอบอวลอยู่ในห้องจนทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
    หลี่อันแทบไม่มีเรี่ยวแรง เริ่มปวดศีรษะจึงมิได้สนใจกับกลิ่นเหล่านี้ แต่นางรู้สึกอะไรบางอย่างขาดหายไป เป็นสิ่งที่สำคัญมากแต่นางก็นึกไม่ออก
    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้มีสาวใช้เข้ามาสองคน
    สาวใช้ทั้งสองเป็นสาวใช้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดหลี่อัน
    สาวใช้หยุดยืนอยู่นอกผ้าม่าน เตือนเบา ๆ ว่า “อนุเก้า ควรกลับเรือนฉงอันได้แล้วเจ้าค่ะ”
    หลี่อันจับผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้แล้วลุกขึ้นนั่งปัดผ้าม่านออกอย่างไร้เรี่ยวแรง มองสาวใช้ทั้งสองก่อนออกคำสั่งเสียงแผ่วว่า “ช่วยประคองข้าหน่อย”
    สาวใช้ทั้งสองเข้ามาประคอง เมื่อเห็นจ้ำแดง ๆ ตามเนื้อตัวของหลี่อันแล้วก็หน้าแดงก่ำ
    พวกนางไม่กล้ามองให้มากกว่านั้น สาวใช้นางหนึ่งเดินไหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา แต่ปรากฏว่าขาดวิ่นจนใส่ไม่ได้ รีบเอ่ยว่า “บ่าวจะกลับไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาเจ้าค่ะ”
    หลี่อันมองเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งแล้วพลันนึกไปถึงสองชั่วยามก่อนที่นางจะเข้ามาในห้อง
    เวลาก่อนยามหนึ่ง หนึ่งเค่อ พ่อบ้านมาหานางที่เรือนฉงอันอย่างรีบร้อน บอกให้นางไปรับใช้ที่เรือนใหญ่
    พ่อบ้านให้นางเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งเค่อ เดินนำหน้าพานางไปยังเรือนใหญ่
    เมื่อมาถึงก็ให้นางเข้าในห้องที่มืดสลัว
    เมื่อเข้ามาในห้อง นางเห็นสภาพเละเทะบนพื้นได้อย่างเลือนราง
    ไม่เพียงในห้องจะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู ในความมืดมิดยังมีความรู้สึกที่อึดอัด ยังมีบรรยากาศที่ร้อนระอุแฝงอยู่
    นางเงยหน้ามองสภาพภายในห้องอย่างตั้งใจ จากความมืดมิดเห็นห้องด้านในที่มีม่านทิ้งตัวแบ่งเขตแดนอยู่หลางชั้น เห็นเงาราง ๆ นั่งอยู่ขอบเตียง
    ยังมีเสียงหายใจหนักแรงๆ ดังมาจากหลังผ้าม่านพร้อมกับมีกลิ่นอายบางอย่างที่นางบรรยายไม่ภถูก
    หลี่อันยืนอยู่หน้าผ้าม่านเนื้อบาง ลังเลไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ใต้เท้า”
    คนที่อยู่ด้านในย่อมไม่อาจเป็นใครอื่นนอกจาก “สามี” ของนาง
    ขุนนางใหญ่ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการสำนักตุลาการทหาร... เสวียนเฟิง
    ชายที่นั่งอยู่หลังผ้าม่านเงยหน้าขึ้นมองหลี่อัน
    แม้จะมีผ้าม่านขวางอยู่หลายชั้นแต่หลี่อันรับรู้ได้ถึงสายตาร้อนแรงที่มองมา
    แม้สายตานั้นจะร้อนแรงแต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับมีแต่ความเย็นยะเยือกราวกับอยู่ท่ามกลางสายหมอกในเหมันตฤดูอีกทั้งยังมีรังสีอำมหิตแฝงอยู่
    หลี่อันตัวเกร็งด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที
    เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มีเสียงทุ้มต่ำดังผ่านผ้าม่าน “เข้ามา”
    หลี่อันลังเลไปเล็กน้อยสุดท้ายยังคงปัดผ้าม่านที่ขวางกั้น เข้าไปห้องด้านใน
    แม้นางจะมองเพียงแวบเดียวแต่ก็เข้าใจถึงสถานการณ์ภายในได้เป็นอย่างดี
    ห้องภายในและภายนอกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ภายนอกมีแต่สิ่งของเกลื่อนพื้น แต่ด้านในกลับสะอาดเรียบร้อย เพียงแต่มีบรรยากาศอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หลี่อันมิได้สบสายตากับเขา นางหลุบตาเล็กน้อย เห็นแผ่นอกแข็งแรงที่ถูกใต้เสื้อตัวในที่ถูกแหวกออกจนกว้าง …
    เขานั่งแยกขาออกจากกัน วางมือสองข้างที่เห็นเส้นเอ็นเด่นชัดอยู่บนหน้าตัก มีสิ่งหนึ่งที่น่าตระหนกชูชันอยู่เบื้องหน้า
    หลี่อันลอบกลืนน้ำลาย นางไม่กล้าสอดส่ายสายตาไปเรื่อยเปื่อย รีบก้มหน้ามองพื้น
    ทว่าชายที่นั่งอยู่กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
    หลี่อันยืนก้มหน้าอยู่ห่างจากชายผู้นั้นสองก้าว รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาที่ร่างของตน
    “เข้าจวนเมื่อใด” เขาถาม
    น้ำเสียงห้าวทุ้มดังกระทบโสตประสาท หลี่อันจำต้องตอบกลับ “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเข้าจวนเมื่อครึ่งปีก่อนเจ้าค่ะ”
    หลังจากตอบคำถามไปแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความเงียบงัน
    แม้จะเป็นเวลาเพียงสั้น ๆ แต่กลับยาวนานในความรู้สึก
    หลังจากนั้นไม่นาน ข้อมือของหลี่อันถูกฝ่ามือร้อนระอุดึงเข้ามาอยู่ชิดแผงอกกว้างที่มีเหงื่อออกเต็ม
    ร้อน!
    ไม่ใช่อุณหภูมิที่คนทั่วไปควรจะมี
    แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่แต่หลี่อันกลับวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน
    ภายในห้องที่อยู่ในสภาพเละเทะนั้น เห็นได้ว่าเป็นฝีมือของเขาผู้นี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ
    หลี่อันคาดเดาอย่างคนใจกล้าอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า เขาผู้นี้คงถูกคนวางยาปลุกกำหนัดเข้าให้แล้ว
    แต่คนที่มีความระมัดระวังตัวสูงอย่างเสวียนเฟิงเหตุใดจึงตกหลุมพรางได้
    นางยังไม่ทันได้ขบคิดต่อไป เสวียนเฟิงจับข้อมือสองข้างของนางผูกเข้าด้วยกัน
    หลี่อันตกใจ คิดจะขัดขืน หากข้อมือของนางถูกจับเอาไว้แน่
    “อย่าขยับ!” เสียงตวาดดังขึ้น ฝ่ามือที่แข็งแรงข้างหนึ่งเปลี่ยนตำแหน่งมาจับต้นคอของนางแทน
    ความร้อนจากฝ่ามือแข็งแรงทำให้หลี่อันตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัวแต่อย่างใด
    เมื่อนึกได้ว่า คนอย่างเสวียนเฟิงไม่เคยให้ใครเข้าใกล้ตัวเขาได้ อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นขุนนางใหญ่ มีคนลอบสังหารอยู่ตลอดเวลา การกระทำของเขาเช่นนี้แสดงว่าไม่เชื่อใจนาง
    เรื่องที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่รู้กัน
    หลี่อันเลื่อนสายตาจากเสื้อผ้าขาดวิ่นที่สาวใช้ถืออยู่ มาดูข้อมือที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ พลางมองไปยังอ่างน้ำอุ่นที่ยังไม่มีใครใช้ภายในห้อง
    จากนั้นออกคำสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะเช็ดตัวสักหน่อย”
    ห้องนี้มิใช่ห้องนอนของใต้เท้าเสวียน สาวใช้ทั้งสองล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
    หลี่อันปรับลมหายใจอยู่หลายครั้งก่อนลงจากเตียง เดินไปหน้าที่วางอ่างน้ำอย่างเชื่องช้า หยิบผ้าแห้งที่วางอยู่ข้าง ๆ มาชุบน้ำ บิดหมาด ๆ เช็ดร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ตามเนื้อตัวอย่างเบามือ
    ขณะที่เช็ดตัวอยู่นั้น ความคิดของหลี่อันล่องลอยไปไกล
    นี่เป็นประสบการณ์บนเตียงครั้งแรก แต่เหตุใดหลังจากผ่านไปแล้ว นางจึงได้มีความเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้
    หลี่อันเกิดความสงสัยในตัวเองขึ้นมาไม่น้อย
    หรือเพราะก่อนนี้ที่นางอยู่ในหอฟงเยว่ได้รับการอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องหญิงชายมาโดยเฉพาะ จึงทำให้นางมิได้ตื่นตระหนกมากนัก
    หลี่อันมาจากหอฟงเยว่ที่เป็นสถานเริงรมย์ มีแต่ความต่ำต้อย แต่ว่านางจำอะไรไม่ได้
    สองเดือนก่อน ในงานวันเกิดของเสวียนเฟิง มีคนร้ายเข้ามาลอบสังหารเขา
    เกิดความวุ่นวายภายในงานเลี้ยง สร้างความตื่นกลัวให้กับทุกคนที่อยู่ในงาน มีเพียงเสวียนเฟิงที่นั่งดื่มสุราราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ส่วนนางถูกใครไม่รู้ผลักจนตกบันไดระหว่างที่ชุลมุนจนศีรษะแตกมีเลือดไหลออกมา จากนั้นเมื่อนางรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็จำเรื่องอะไรไม่ได้แล้ว
    นางไม่ได้บอกใครเรื่องที่ตนเองสูญเสียความจำ
    หลี่อันคอยสังเกตดูเหตุการณ์ต่าง ๆ หลังจากผ่านไปอีกหลายวันก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้
    อดีตฮ่องเต้สวรรคต ได้แต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตุลาการทหารเสวียนเฟิงเป็นขุนนางผู้สำเร็จราชการ
    เสวียนเฟิงที่มีตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการมีความเด็ดขาดอำมหิต กุมอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่ ดังนั้นขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักไม่มีใครไม่เกรงกลัวเขา คนที่คิดจะเอาชีวิตของเขาจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน
    ในขณะเดียวกันคนที่คิดจะประจบเอาใจเขาก็มีไม่น้อยเช่นกัน
    คนที่คิดเอาใจเสวียนเฟิงย่อมหนีไม่พ้นการมอบเงินทองของมีค่า ไปจนถึงหญิงงาม
    หลี่อันเป็นหญิงงามที่ถูกผู้ช่วยเจ้าเมืองหวายโจวส่งมาให้เสวียนเฟิงเพื่อประจบเอาใจ ตอนนั้นภายในจวนสกุลเสวียนมีอนุแปดคนแล้ว หลี่อันเป็นคนที่เก้า
    ด้วยอุปนิสัยของเสวียนเฟิง เขาเป็นคนที่มีความระแวง ไม่เข้าใกล้หญิงสาวคนใด อย่าว่าแต่หลี่อัน แม้แต่หญิงงามแปดคนที่อยู่มาก่อนนางก็ยังไม่มีใครได้ร่วมเตียงกับเขามาก่อน
    ไม่ว่าจะเป็นหญิงงามหรือเป็นของมีค่าใด ๆ เสวียนเฟิงไม่เคยปฏิเสธ ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงได้ส่งหญิงงาม ส่งสิ่งของให้เสวียนเฟิงด้วยความคิดที่ว่า หญิงงามที่ตนเองส่งให้นั้นเป็นที่สนใจของเขา
    หลังจากหลี่อันความจำเสื่อมจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองเดือน สองเดือนที่ผ่านมา นางเคยพบเสวียนเฟิงครั้งเดียว ส่วนคืนนี้เป็นครั้งที่สอง
    ที่นางถูกเรียกตัวมาพบเขาคืนนี้คงเป็นเพราะสองเดือนก่อนในงานเลี้ยงวันเกิดของเขา ในบรรดาหญิงงามสิบคนที่อยู่ในงานเลี้ยงมีนางเพียงคนเดียวที่หกล้ม ได้รับบาดเจ็บ นางคิดว่าเสวียนเฟิงคงจำนางได้จากเรื่องนั้น
    เมื่อเช็ดตัวดีแล้ว สาวใช้นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้
    หลี่อันแต่งตัวเรียบร้อยค่อยออกจากห้อง
    ยามสาม แล้ว ท้องฟ้าเริ่มเห็นแสงรำไร ด้านนอกดูเหมือนจะไร้ผู้คน แต่หลี่อันรับรู้ได้ว่า มิได้มีความเงียบงันเหมือนกับที่เห็นภายนอก
    สาวใช้ประคองตัวนางเดินออกมาที่ระเบียงทางเดิน ก่อนลงบันไดหินอย่างเชื่องช้า
    ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ทำให้อากาศภายนอกค่อนข้างเย็น สาวใช้คนหนึ่งนำเสื้อคลุมเนื้อบางคลุมบนตัวหลี่อัน
    เมื่อออกจากเรือนใหญ่ สาวใช้ที่ชื่อว่าลวี่หลัวประคองตัวหลี่อัน ส่วนปี้อวี้เดินถือโคมไฟส่องทางอยู่ด้านหน้า
    ลวี่หลัวพ่นลมหายใจออกอย่างระมัดระวังก่อนกระซิบว่า “อนุเก้า ตอนที่บ่าวกลับไปหยิบเสื้อผ้ามาให้ท่าน ได้ให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว”
    หลี่อันรับคำเบา ๆ น้ำเสียงของนางเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
    สาวใช้สองคนนี้ถูกส่งมารับใช้หลี่อันตอนที่นางเข้ามาในจวนไม่นาน ทั้งสองคนนี้คอยรับใช้นางได้ครึ่งปีแล้ว
    เดิมทีสาวใช้ทั้งสองมีความตื่นเต้นดีใจที่เจ้านายของตนได้รับใช้ใกล้ชิดใต้เท้าจริง ๆ เป็นคนแรก แต่เมื่อเห็นร่อยรองตามตัวของอนุเก้าแล้ว ความดีใจที่มีมาก่อนหน้านี้ก็หายวับไป
    พวกนางลืมไปเสียสนิทว่า ใต้เท้าเป็นคนที่ไร้ความเมตตา ไร้ความเห็นใจผู้อื่น
    ยามปกติเขาก็เป็นคนน่ากลัวอยู่แล้ว แล้วเรื่องบนเตียงจะไม่ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่หรือ!
    คิดไปคิดมา สาวใช้ทั้งสองรู้สึกเสียใจจนน้ำตาคลออยู่ขอบตา
    คืนนี้ อนุเก้าคงจะทรมานไม่น้อย
    ถ้าเกิดต่อไปใต้เท้ายังเรียกหาอนุเก้าอีก นางจะต้องรับความทรมานไปอีกเท่าไร

    ❤️ เป็นไฟล์ดิบแปลสด ยังไม่ผ่านพิสูจน์อักษรคำผิดเพียบ
    ❤️ มีการเปลี่ยนชื่อพระนาง สถานที่ ไม่ให้เดาถูก 555

    .
    ㊗️🏮มาแล้ว จากโป๊ยเซียน 📌“จงอ่านเนื้อเรื่องแล้วเดาว่าเป็นงานของนักเขียนจีนท่านไหนของห้องสมุด!” . เริ่ม!!! ------------- . 📌 อากาศเดือนแปดร้อนอบอ้าวตลอดทั้งวัน มีแต่ตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะเย็นสบายขึ้นบ้าง ช่วงเวลาที่เงียบสงัด จวนสกุลเฟ่ยคล้ายกับมีม่านหมอกบาง ๆ ปกคลุม รอบจวนเงียบสงัดเสียจนรู้สึกถึงความผิดปกติ รอบเรือนใหญ่กลับมีแสงไฟสว่างจ้า ระเบียงทางเดินนอกห้องยังมีคนรับใช้ยืนก้มหน้าก้มตาเงียบ ๆ อยู่เป็นแถวยาว ทุกคนยืนอย่างสงบนิ่ง ไม่มีการพูดคุย ไม่มีการเงยหน้าขึ้นมอง ความเงียบเชียบของค่ำคืนนี้ดูคล้ายกับปกติ แต่ก็เหมือนจะไม่ปกติ นอกห้องสงบเงียบ แต่ในห้องกลับแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ห้องด้านในมืดสลัว มีสิ่งของตกเกลื่อนบนพื้นห้อง เครื่องกระเบื้องที่ตกอยู่บนพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ยังมีเชิงเทียน ยังมีม้านั่งที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เสียงครางของสตรีผสานไปกับเสียงหายใจหนักหน่วงของบุรุษ ภายในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายราคะอบอวลไปทั่วห้อง ร่างของหลี่อันเปียกโชกไปด้วยเหงื่อราวกับชุบตัวอยู่บ่อน้ำ เรือนร่างที่เปลือยเปล่าคุกเข่าโน้มตัวไปด้านหน้าอยู่บนเตียง เสียงหายใจคล้ายติดขัด เอวเล็กขาวของเนางถูกรวบอยู่ในฝ่ามือใหญ่ที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็ก ร่างกายท่อนล่างถูกรุกรานด้วยท่อนเนื้อขนาดใหญ่จนตัวของนางโน้มตัวไปด้านหน้าเป็นจังหวะ ทรวงอกที่เต็มอิ่มไหวไปตามแรงจนเห็นเป็นเนื้อเคลื่อนไหวเป็นระลอก ชายหนุ่มเร่งความเร็วไปตามอารมณ์โดยมิได้ใส่ใจกับเรื่องอื่นใด “ช้า ช้าหน่อย ใต้ ใต้เท้า...” เสียงของหลี่อันขาดเป็นห้วง ๆ นี่เป็นการสูญเสียพรหมจรรย์ครั้งแรก นางยังรับมือไม่ทันอีกทั้งเขายังไม่ให้โอกาสนางได้ปรับตัวก็ช่วงชิงความบริสุทธิ์ของนางไปแล้ว นางบิดตัวด้วยความรู้สึกอึดอัด หวังจะลดความคับแน่นที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่ได้กลับตรงกันข้าม ยิ่งทำให้ชายที่อยู่ด้านหลังเร่งความเร็วในการเคลื่อนตัวอยู่ร่างของนางมากขึ้น หลี่อันเปล่งเสียงร้องอย่างตกใจ ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งบีบเค้นหน้าอกที่อวบอิ่ม เนื้อหน้าอกที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะรวบได้เพียงแค่ฝ่ามือเดียวทะลักไหลออกมาตามง่ามนิ้ว ยอดอกที่ชูชันสัมผัสถูกฝ่ามือหยาบกระด้าง ความเจ็บปวดระคนความเสียวซ่านเหมือนเปลวไฟและน้ำแข็งที่เกิดขึ้นพร้อมกันทำให้ตัวนางบีบรัดสิ่งแปลกปลอมจนทำให้อาวุธที่อยู่ในร่างของนางเคลื่อนตัวได้ลำบาก หน้าผากของชายหนุ่มมีเหงื่อเม็ดใหญ่ ๆ ไหลลงมาข้างแก้ม ตกมาถึงสะโพกของหลี่อัน เสียงทุ้มห้าวดังคล้ายเสียงเตือน “อย่าเกร็ง” หลี่อันหันกลับไปมอง ดวงตาเรียวยาวที่อยู่บนใบหน้าหล่อเหลายามนี้หรี่แคบ ปลายคางและต้นคอเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน สายตาของหลี่อันเลื่อนลงมาด้านล่าง เหงื่อจากต้นคอไหลลงมาเรื่อย ๆ จนถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่เห็นเป็นลอนชัดเจน รวมเข้ากับเหงื่อที่อยู่บริเวณนั้นแล้วไหลลงไปรวมกันด้านล่าง สีหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและความงดงามของเรือนร่าง กระตุ้นให้หว่างขาของนางชุ่มฉ่ำ หล่อลื่นให้ชายหนุ่มเคลื่อนตัวได้อีกครั้ง แรงกระแทกทำให้ร่างของหลี่อันเคลื่อนตัวไปด้านหน้าราวกับปลาที่คิดจะกระโดดขึ้นจากน้ำ ริมฝีปากสีสดเผยอขึ้นเพื่อช่วยให้หายใจได้ดีขึ้น ความร้อนระอุที่เกิดขึ้นร้อนจนนางทนไม่ไหว มีน้ำตาเอ่ออยู่ขอบตา มือซ้ายจับผ้าม่านข้างเตียงเอาไว้ แรงดึงทำให้ผ้าม่านขาดติดมือ เสียงผ้าขาดถูกกลบด้วยเสียงเนื้อกระทบเนื้อ ทั้งร้อนแรงทั้งรุนแรง ความรู้สึกเสียวซ่านแผ่กระจายไปทีละน้อย อารมณ์เริ่มดำดิ่งไปกับจังหวะการรุกเข้ารุกออกของคนที่อยู่ด้านหลัง เสียงร้องด้วยความสุขสมยามถึงจุดสุดยอดดังออกจากปากหลี่อัน ก่อนร่างของนางจะอ่อนระทวยฟุบลงอยู่บนผ้าห่ม หน้าอกนุ่มนิ่มถูกทับจนแทบจะเปลี่ยนรูป การเคลื่อนไหวของชายหนุ่มทั้งเร็วทั้งแรง จนกระทั่งถึงจุดที่ปลดปล่อยธารร้อนออกมา เสียงหายใจแรงของคนทั้งสองดังประสานกัน ส่วนที่ยังประสานกันอยู่ก็ยังคงสอดประสานกันอยู่ หลี่อันรู้สึกสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะก่อนเริ่มรู้สึกตัว นางดีใจที่ยุติเสียที ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคิดว่าตัวเองคงถูกหามออกไปเป็นแน่ แต่นางมิได้สังเกตถึงชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง ว่าสายตาของเขาจับจ้องยู่ที่สะโพกกลมกลึงที่ยามนี้เป็นสีแดงเข้ม ก่อนเลื่อนสายตามองยังส่วนที่ยังประสานกันอยู่ หลี่อันสะดุ้งเฮือก เมื่อรับรู้ได้ถึงงสิ่งที่ยังอยู่ในร่างของนางเริ่มพองตัวขึ้นอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว เอวบางถูกมือสองข้างรวบเอาไว้ ก่อนจับตัวนางยกสูง บริเวณอ่อนนุ่มที่เพิ่งรับศึกหนักไปเมื่อครู่ ถูกท่อนเนื้อแข็งแรงดันเข้ามาด้านในอีกครั้ง “ใต้ ใต้เท้า ไม่ ไม่ ข้าน้อย ไม่ไหวแล้ว...” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งสั่นเครือจนแทบจะฟังไม่เป็นคำ แต่ชายหนุ่มมิได้ใส่ใจ ยังคงกระทำไปตามอำเภอใจ เสียงทุ้มห้าวแหบแห้งดังเพียงว่า “ไม่ไหวก็ต้องทน” เสียงห้าวทุ้มที่ถูกเค้นออกมานั้นเต็มไปด้วยความเย็นกระด้าง ไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง หลี่อันได้แต่ส่งเสียงสะอื้นไปตามจังหวะการกระแทก นางก่นด่าคนที่อยู่ด้านหลังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ความจริงนางอยากจะด่าเขาออกเสียงด้วยซ้ำ แต่เมื่อคิดถึงคนที่อยู่ด้านหลังเป็นขุนนางกังฉินที่มีความโหดร้ายอำมหิต เดาความคิดไม่ได้ นางไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านี้ นางกลัวเพียงว่า ถ้าด่าออกไป เขาจะจับนางหักคอเสียก่อน ดังนั้นนางกัดริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองด่าออกไป ผ่านไปอย่างนี้สองชั่วยามกว่า กว่าพายุจะสงบลงได้ ขณะสะลึมสะลือ ไร้เรี่ยวแรง มีเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นอย่างไม่ไยดีว่า “เตรียมน้ำ” ไม่นานหลังจากนั้นประตูห้องถูกเปิดออก ภายในห้องมืดสลัว มีสาวใช้ถือตะเกียง ยกน้ำเข้ามาในห้อง ตะเกียงและถังน้ำถูกวางไว้ดีแล้ว สาวใช้ทั้งหลายถอยออกไปอย่างเงียบกริบ ราวกับไม่เคยมีใครเข้ามาแต่อย่างใด เปลวไฟไหวไปมา หลี่อันรับรู้ได้ว่า ชายที่อยู่ด้านหลังลงจากเตียง นางเงยหน้ามองตาม เห็นแผ่นหลังกว้างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ที่มีเหงื่อจับอยู่เป็นชั้น คล้ายกับรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องทำให้ชายหนุ่มหันหลังกลับ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา หากแววตาเต็มไปด้วยความเย็นกระด้างที่แฝงแววอำมหิต หลี่อันรับรู้ได้ถึงแรงกดดันเที่แผ่กระจายออกจากตัวของเขาได้อย่างชัดเจนทำให้นางรีบก้มหน้า หลบตา เปล่งเสียงอ่อน ๆ ขึ้นว่า “ใต้เท้า” ชายหนุ่มดึงสายตากลับมา เม้มริมฝีปากเดินออกไปด้านนอก เขาเช็ดตัวอย่างลวก ๆ สวมเสื้อผ้าแล้วค่อยออกไปจากห้อง ทันทีที่ประตูห้องปิดเข้าหากัน หลี่อันลอบถอนหายใจ ความหวาดหวั่นที่มีอยู่เมื่อครู่หายวับไปทันที นางนอนอยู่บนเตียงที่ยุ่งเหยิงอย่างเหม่อลอย ดวงตาจับจ้องอยู่บนเพดานเตียง กลิ่นความใคร่ยังอบอวลอยู่ในห้องจนทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว หลี่อันแทบไม่มีเรี่ยวแรง เริ่มปวดศีรษะจึงมิได้สนใจกับกลิ่นเหล่านี้ แต่นางรู้สึกอะไรบางอย่างขาดหายไป เป็นสิ่งที่สำคัญมากแต่นางก็นึกไม่ออก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ครั้งนี้มีสาวใช้เข้ามาสองคน สาวใช้ทั้งสองเป็นสาวใช้ที่คอยรับใช้ใกล้ชิดหลี่อัน สาวใช้หยุดยืนอยู่นอกผ้าม่าน เตือนเบา ๆ ว่า “อนุเก้า ควรกลับเรือนฉงอันได้แล้วเจ้าค่ะ” หลี่อันจับผ้าห่มคลุมตัวเอาไว้แล้วลุกขึ้นนั่งปัดผ้าม่านออกอย่างไร้เรี่ยวแรง มองสาวใช้ทั้งสองก่อนออกคำสั่งเสียงแผ่วว่า “ช่วยประคองข้าหน่อย” สาวใช้ทั้งสองเข้ามาประคอง เมื่อเห็นจ้ำแดง ๆ ตามเนื้อตัวของหลี่อันแล้วก็หน้าแดงก่ำ พวกนางไม่กล้ามองให้มากกว่านั้น สาวใช้นางหนึ่งเดินไหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา แต่ปรากฏว่าขาดวิ่นจนใส่ไม่ได้ รีบเอ่ยว่า “บ่าวจะกลับไปหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่มาเจ้าค่ะ” หลี่อันมองเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งแล้วพลันนึกไปถึงสองชั่วยามก่อนที่นางจะเข้ามาในห้อง เวลาก่อนยามหนึ่ง หนึ่งเค่อ พ่อบ้านมาหานางที่เรือนฉงอันอย่างรีบร้อน บอกให้นางไปรับใช้ที่เรือนใหญ่ พ่อบ้านให้นางเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งเค่อ เดินนำหน้าพานางไปยังเรือนใหญ่ เมื่อมาถึงก็ให้นางเข้าในห้องที่มืดสลัว เมื่อเข้ามาในห้อง นางเห็นสภาพเละเทะบนพื้นได้อย่างเลือนราง ไม่เพียงในห้องจะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดู ในความมืดมิดยังมีความรู้สึกที่อึดอัด ยังมีบรรยากาศที่ร้อนระอุแฝงอยู่ นางเงยหน้ามองสภาพภายในห้องอย่างตั้งใจ จากความมืดมิดเห็นห้องด้านในที่มีม่านทิ้งตัวแบ่งเขตแดนอยู่หลางชั้น เห็นเงาราง ๆ นั่งอยู่ขอบเตียง ยังมีเสียงหายใจหนักแรงๆ ดังมาจากหลังผ้าม่านพร้อมกับมีกลิ่นอายบางอย่างที่นางบรรยายไม่ภถูก หลี่อันยืนอยู่หน้าผ้าม่านเนื้อบาง ลังเลไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ใต้เท้า” คนที่อยู่ด้านในย่อมไม่อาจเป็นใครอื่นนอกจาก “สามี” ของนาง ขุนนางใหญ่ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ อีกทั้งยังเป็นผู้บัญชาการสำนักตุลาการทหาร... เสวียนเฟิง ชายที่นั่งอยู่หลังผ้าม่านเงยหน้าขึ้นมองหลี่อัน แม้จะมีผ้าม่านขวางอยู่หลายชั้นแต่หลี่อันรับรู้ได้ถึงสายตาร้อนแรงที่มองมา แม้สายตานั้นจะร้อนแรงแต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับมีแต่ความเย็นยะเยือกราวกับอยู่ท่ามกลางสายหมอกในเหมันตฤดูอีกทั้งยังมีรังสีอำมหิตแฝงอยู่ หลี่อันตัวเกร็งด้วยความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มีเสียงทุ้มต่ำดังผ่านผ้าม่าน “เข้ามา” หลี่อันลังเลไปเล็กน้อยสุดท้ายยังคงปัดผ้าม่านที่ขวางกั้น เข้าไปห้องด้านใน แม้นางจะมองเพียงแวบเดียวแต่ก็เข้าใจถึงสถานการณ์ภายในได้เป็นอย่างดี ห้องภายในและภายนอกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ภายนอกมีแต่สิ่งของเกลื่อนพื้น แต่ด้านในกลับสะอาดเรียบร้อย เพียงแต่มีบรรยากาศอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก หลี่อันมิได้สบสายตากับเขา นางหลุบตาเล็กน้อย เห็นแผ่นอกแข็งแรงที่ถูกใต้เสื้อตัวในที่ถูกแหวกออกจนกว้าง … เขานั่งแยกขาออกจากกัน วางมือสองข้างที่เห็นเส้นเอ็นเด่นชัดอยู่บนหน้าตัก มีสิ่งหนึ่งที่น่าตระหนกชูชันอยู่เบื้องหน้า หลี่อันลอบกลืนน้ำลาย นางไม่กล้าสอดส่ายสายตาไปเรื่อยเปื่อย รีบก้มหน้ามองพื้น ทว่าชายที่นั่งอยู่กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย หลี่อันยืนก้มหน้าอยู่ห่างจากชายผู้นั้นสองก้าว รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็งมาที่ร่างของตน “เข้าจวนเมื่อใด” เขาถาม น้ำเสียงห้าวทุ้มดังกระทบโสตประสาท หลี่อันจำต้องตอบกลับ “เรียนใต้เท้า ข้าน้อยเข้าจวนเมื่อครึ่งปีก่อนเจ้าค่ะ” หลังจากตอบคำถามไปแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความเงียบงัน แม้จะเป็นเวลาเพียงสั้น ๆ แต่กลับยาวนานในความรู้สึก หลังจากนั้นไม่นาน ข้อมือของหลี่อันถูกฝ่ามือร้อนระอุดึงเข้ามาอยู่ชิดแผงอกกว้างที่มีเหงื่อออกเต็ม ร้อน! ไม่ใช่อุณหภูมิที่คนทั่วไปควรจะมี แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่แต่หลี่อันกลับวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน ภายในห้องที่อยู่ในสภาพเละเทะนั้น เห็นได้ว่าเป็นฝีมือของเขาผู้นี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติ หลี่อันคาดเดาอย่างคนใจกล้าอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า เขาผู้นี้คงถูกคนวางยาปลุกกำหนัดเข้าให้แล้ว แต่คนที่มีความระมัดระวังตัวสูงอย่างเสวียนเฟิงเหตุใดจึงตกหลุมพรางได้ นางยังไม่ทันได้ขบคิดต่อไป เสวียนเฟิงจับข้อมือสองข้างของนางผูกเข้าด้วยกัน หลี่อันตกใจ คิดจะขัดขืน หากข้อมือของนางถูกจับเอาไว้แน่ “อย่าขยับ!” เสียงตวาดดังขึ้น ฝ่ามือที่แข็งแรงข้างหนึ่งเปลี่ยนตำแหน่งมาจับต้นคอของนางแทน ความร้อนจากฝ่ามือแข็งแรงทำให้หลี่อันตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับตัวแต่อย่างใด เมื่อนึกได้ว่า คนอย่างเสวียนเฟิงไม่เคยให้ใครเข้าใกล้ตัวเขาได้ อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นขุนนางใหญ่ มีคนลอบสังหารอยู่ตลอดเวลา การกระทำของเขาเช่นนี้แสดงว่าไม่เชื่อใจนาง เรื่องที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่รู้กัน หลี่อันเลื่อนสายตาจากเสื้อผ้าขาดวิ่นที่สาวใช้ถืออยู่ มาดูข้อมือที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ พลางมองไปยังอ่างน้ำอุ่นที่ยังไม่มีใครใช้ภายในห้อง จากนั้นออกคำสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าจะเช็ดตัวสักหน่อย” ห้องนี้มิใช่ห้องนอนของใต้เท้าเสวียน สาวใช้ทั้งสองล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หลี่อันปรับลมหายใจอยู่หลายครั้งก่อนลงจากเตียง เดินไปหน้าที่วางอ่างน้ำอย่างเชื่องช้า หยิบผ้าแห้งที่วางอยู่ข้าง ๆ มาชุบน้ำ บิดหมาด ๆ เช็ดร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ตามเนื้อตัวอย่างเบามือ ขณะที่เช็ดตัวอยู่นั้น ความคิดของหลี่อันล่องลอยไปไกล นี่เป็นประสบการณ์บนเตียงครั้งแรก แต่เหตุใดหลังจากผ่านไปแล้ว นางจึงได้มีความเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ หลี่อันเกิดความสงสัยในตัวเองขึ้นมาไม่น้อย หรือเพราะก่อนนี้ที่นางอยู่ในหอฟงเยว่ได้รับการอบรมสั่งสอนเกี่ยวกับเรื่องหญิงชายมาโดยเฉพาะ จึงทำให้นางมิได้ตื่นตระหนกมากนัก หลี่อันมาจากหอฟงเยว่ที่เป็นสถานเริงรมย์ มีแต่ความต่ำต้อย แต่ว่านางจำอะไรไม่ได้ สองเดือนก่อน ในงานวันเกิดของเสวียนเฟิง มีคนร้ายเข้ามาลอบสังหารเขา เกิดความวุ่นวายภายในงานเลี้ยง สร้างความตื่นกลัวให้กับทุกคนที่อยู่ในงาน มีเพียงเสวียนเฟิงที่นั่งดื่มสุราราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนนางถูกใครไม่รู้ผลักจนตกบันไดระหว่างที่ชุลมุนจนศีรษะแตกมีเลือดไหลออกมา จากนั้นเมื่อนางรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็จำเรื่องอะไรไม่ได้แล้ว นางไม่ได้บอกใครเรื่องที่ตนเองสูญเสียความจำ หลี่อันคอยสังเกตดูเหตุการณ์ต่าง ๆ หลังจากผ่านไปอีกหลายวันก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ อดีตฮ่องเต้สวรรคต ได้แต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตุลาการทหารเสวียนเฟิงเป็นขุนนางผู้สำเร็จราชการ เสวียนเฟิงที่มีตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการมีความเด็ดขาดอำมหิต กุมอำนาจทางการทหารส่วนใหญ่ ดังนั้นขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักไม่มีใครไม่เกรงกลัวเขา คนที่คิดจะเอาชีวิตของเขาจึงมีมากมายนับไม่ถ้วน ในขณะเดียวกันคนที่คิดจะประจบเอาใจเขาก็มีไม่น้อยเช่นกัน คนที่คิดเอาใจเสวียนเฟิงย่อมหนีไม่พ้นการมอบเงินทองของมีค่า ไปจนถึงหญิงงาม หลี่อันเป็นหญิงงามที่ถูกผู้ช่วยเจ้าเมืองหวายโจวส่งมาให้เสวียนเฟิงเพื่อประจบเอาใจ ตอนนั้นภายในจวนสกุลเสวียนมีอนุแปดคนแล้ว หลี่อันเป็นคนที่เก้า ด้วยอุปนิสัยของเสวียนเฟิง เขาเป็นคนที่มีความระแวง ไม่เข้าใกล้หญิงสาวคนใด อย่าว่าแต่หลี่อัน แม้แต่หญิงงามแปดคนที่อยู่มาก่อนนางก็ยังไม่มีใครได้ร่วมเตียงกับเขามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นหญิงงามหรือเป็นของมีค่าใด ๆ เสวียนเฟิงไม่เคยปฏิเสธ ดังนั้นคนเหล่านั้นจึงได้ส่งหญิงงาม ส่งสิ่งของให้เสวียนเฟิงด้วยความคิดที่ว่า หญิงงามที่ตนเองส่งให้นั้นเป็นที่สนใจของเขา หลังจากหลี่อันความจำเสื่อมจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองเดือน สองเดือนที่ผ่านมา นางเคยพบเสวียนเฟิงครั้งเดียว ส่วนคืนนี้เป็นครั้งที่สอง ที่นางถูกเรียกตัวมาพบเขาคืนนี้คงเป็นเพราะสองเดือนก่อนในงานเลี้ยงวันเกิดของเขา ในบรรดาหญิงงามสิบคนที่อยู่ในงานเลี้ยงมีนางเพียงคนเดียวที่หกล้ม ได้รับบาดเจ็บ นางคิดว่าเสวียนเฟิงคงจำนางได้จากเรื่องนั้น เมื่อเช็ดตัวดีแล้ว สาวใช้นำเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้ หลี่อันแต่งตัวเรียบร้อยค่อยออกจากห้อง ยามสาม แล้ว ท้องฟ้าเริ่มเห็นแสงรำไร ด้านนอกดูเหมือนจะไร้ผู้คน แต่หลี่อันรับรู้ได้ว่า มิได้มีความเงียบงันเหมือนกับที่เห็นภายนอก สาวใช้ประคองตัวนางเดินออกมาที่ระเบียงทางเดิน ก่อนลงบันไดหินอย่างเชื่องช้า ท้องฟ้ายังไม่สว่างดี ทำให้อากาศภายนอกค่อนข้างเย็น สาวใช้คนหนึ่งนำเสื้อคลุมเนื้อบางคลุมบนตัวหลี่อัน เมื่อออกจากเรือนใหญ่ สาวใช้ที่ชื่อว่าลวี่หลัวประคองตัวหลี่อัน ส่วนปี้อวี้เดินถือโคมไฟส่องทางอยู่ด้านหน้า ลวี่หลัวพ่นลมหายใจออกอย่างระมัดระวังก่อนกระซิบว่า “อนุเก้า ตอนที่บ่าวกลับไปหยิบเสื้อผ้ามาให้ท่าน ได้ให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้แล้ว” หลี่อันรับคำเบา ๆ น้ำเสียงของนางเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง สาวใช้สองคนนี้ถูกส่งมารับใช้หลี่อันตอนที่นางเข้ามาในจวนไม่นาน ทั้งสองคนนี้คอยรับใช้นางได้ครึ่งปีแล้ว เดิมทีสาวใช้ทั้งสองมีความตื่นเต้นดีใจที่เจ้านายของตนได้รับใช้ใกล้ชิดใต้เท้าจริง ๆ เป็นคนแรก แต่เมื่อเห็นร่อยรองตามตัวของอนุเก้าแล้ว ความดีใจที่มีมาก่อนหน้านี้ก็หายวับไป พวกนางลืมไปเสียสนิทว่า ใต้เท้าเป็นคนที่ไร้ความเมตตา ไร้ความเห็นใจผู้อื่น ยามปกติเขาก็เป็นคนน่ากลัวอยู่แล้ว แล้วเรื่องบนเตียงจะไม่ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่หรือ! คิดไปคิดมา สาวใช้ทั้งสองรู้สึกเสียใจจนน้ำตาคลออยู่ขอบตา คืนนี้ อนุเก้าคงจะทรมานไม่น้อย ถ้าเกิดต่อไปใต้เท้ายังเรียกหาอนุเก้าอีก นางจะต้องรับความทรมานไปอีกเท่าไร ❤️ เป็นไฟล์ดิบแปลสด ยังไม่ผ่านพิสูจน์อักษรคำผิดเพียบ ❤️ มีการเปลี่ยนชื่อพระนาง สถานที่ ไม่ให้เดาถูก 555 .
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 366 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!!

    ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!!

    จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง
    และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB
    ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ
    ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น
    นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์
    แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา

    วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด
    โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ
    การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ
    แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996
    ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ
    ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่
    เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม……
    จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ
    เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์
    ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน

    เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน
    เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย
    การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า
    “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……”
    ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่
    และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว
    เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย
    ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้
    ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน……

    ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว

    ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม
    ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน
    หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม

    วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก
    ชายขอบกรุงมอสโคว์
    พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า
    “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…”
    ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส
    ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า
    เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov
    แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง
    จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ
    แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า
    “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…”

    เยลซินถามขึ้นมาว่า
    “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..”
    ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น
    แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ”
    “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง”
    “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…”
    “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน”

    วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า
    “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย
    และมีความสามารถเหลือล้น”

    ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!!
    มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว
    อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!
    ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว
    และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……”
    วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้

    ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko
    แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก
    และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด
    ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ …
    เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร
    ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง…
    และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!!

    ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม
    สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ

    ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ

    วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny
    ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว
    ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า
    “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?”
    ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า
    “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…”

    หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า..
    “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!”
    ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด……
    และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…”
    คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย

    วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า…
    วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน
    วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny
    ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก
    เขาให้สัมภาษณ์ว่า……
    เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้
    มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……”
    นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……”
    “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……”

    *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996
    ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000
    ที่รัสเซียได้ชัยชนะ……
    แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS
    บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร..

    NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน
    ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……???

    Wiwanda W. Vichit
    มาร่วมแสดงความยินดีกับท่านนายกรัฐมนตรีพี่ปูหน่อยค่าาาา….ติ่งขาาาาา……!!!! ตอนเก้า………บุญหล่นทับ……จนนักเลงสายลับรับแทบไม่ทัน……!!! จากกรณีท่านอัยการ ทำให้มีการปลดออกอีกหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง บางคนก็มีการไว้หน้า เช่น เสนอให้ไปทำงานที่สถานทูตที่เดนมาร์คบ้าง ฟินแลนด์บ้าง และเยลซินได้มอบหมายให้ปูตินดูแลรับผิดชอบในฝ่ายอารักขาส่วนตัวควบคู่ไปกับเป็นผู้อำนวยการของ FSB ปูตินได้ถือโอกาสนี้…ขออำนาจเด็ดขาดในการบริหารงานและตัดสินใจ ซึ่งเขาก็ได้ตามนั้น นั่นเท่ากับ……ปูตินได้เข้ามาอยู่ใน”วงใน” ของเยลซินไปโดยปริยาย ในระยะเวลาเพียงสองปีครึ่งของการทำงานในมอสโคว์ แต่เวลาในการผงาดของปูติน มันเป็นเวลาเดียวกันกับความอ่อนเปลี้ยของเยลซิน ที่รุมเร้าด้วยสุขภาพ และความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพของทีมที่เลือกมา วันที่ 5 มีนาคม 1999 ได้เกิดเหตุขึ้น นายพล Gennady Shpigun แห่งกระทรวงกลาโหม ที่ได้มีภาระกิจที่เมือง Grozny, Chechen (Chechen Republic of Ichkeria) ได้ถูกลักพาตัวไปเมื่อทันที่ที่ถึงสนามบิน โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากคลุมหน้าคลุมตา พร้อมอาวุธเต็มพิกัด โดยปรกติสถานะการณ์ในเชเชนนั้น ร้อนระอุมาตั้งแต่หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นเอกราชในปี 1991 จากรัสเซีย แต่ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆ การต่อต้านจึงลุกฮือขึ้นอีก ในปี 1993 เยลซินจึงให้นายพล Lebed ขี้เก๊กยกทัพไปปราบ แต่ปรากฏว่าแพ้ยับกลับมาในปี 1996 ทางเชเชนก็เสียหายไม่น้อย บ้านเมืองพังพินาศ ทำได้แค่สงบศึก ต่างคนต่างอยู่ เพราะต่างก็เสียทหารไปจำนวนมาก แต่รัสเซียยังคอยแทรกแซง หรือกำไว้แบบหลวม…… จึงได้เกิดขบวนการต่อต้านรัสเซีย ที่ก่อความไม่สงบ มีการจับตัวคนนั้นคนนี้ไปบ่อยๆ เพียงแต่คราวนี้เหิมเกริม……อุกอาจจับตัวรัฐมนตรีกลาโหมไป พร้อมเรียกร้องค่าไถ่ตัวถึง สิบห้าล้านยูเอสดอลล่าร์ ตามาด้วยการระเบิดที่ใจกลางเมือง Vladikavkas ทางคอเคซัส มีคนตายถึง 60 คน เยลซินสั่งการให้ปูตินและ Seigei Stepashin นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งมาหมาดๆ ( แทน Yevgeny Primakov) ให้ไปดูสถานะการณ์ที่เมือง Vladikavkas โดยด่วน เพื่อไปพบกับ Aslan Maskhadov ประธานาธิบดีเชเชนที่ยังมีสัมพันธภาพที่ดีกับรัสเซีย การไปพบครั้งนี้ อัสลานได้มีทีท่าแปลกๆ เขาพูดว่า “ได้ข่าวมาว่า ทางรัสเซียได้มอบหมายให้”หน่วยงานพิเศษ” จะเข้ามาปฎิบัติการสังหารผม เพื่อที่จะได้เป็นข้ออ้างที่จะประกาศเป็นสถานะการณ์ฉุกเฉิน แล้วยกทัพเข้ามาควบคุมพื้นที่ ……” ปูตินได้ยินดังนั้น…โกรธจนหูกระดิก เพราะไอ้หน่วยงานพิเศษที่ว่านั้น มันก็หมายถึง FSB ที่เขาดูแลอยู่ และอีกประการหนึ่ง ในเรื่องที่รัสเซียแพ้สงครามในเชเชนทั้งๆที่มีกำลังมากกว่าถึงสามเท่านั้น มันก็น่าอับอายพออยู่แล้ว เป็นอันว่า….เรื่องการเจรจานั้น……เลิกคิดไปได้เลย ถึงแม้ว่า……จะตระหนักดีในความจริงที่ว่า รัสเซียจะไม่ได้รบกับกบฏเชเชน แต่…มันอาจจะเป็นการรบกับ NATO ศัตรูดั้งเดิมก็ได้ ที่ทำให้ปูตินต้องหาทางเจรจากับเยลซิน…… ฝ่ายกลาโหมได้ตั้งรับแนวปะทะ ฝ่ายกบฏเชเชนได้ล่วงล้ำไปใน Dagestan และได้รับข่าวร้ายว่าได้พบกับร่างที่หมดลมหายใจของนายพล Shpigun ที่ถูกลักพาตัวไปแล้ว ทางกองทัพรัสเซียได้ทำการเตรียมการมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปูตินได้เดินทางไปพบกับกองกำลังของรัสเซียที่รัฐดาเกสถาน หลายครั้งเพื่อความมั่นใจว่า แม่ทัพ Anatoly Kvashnin มีความพร้อม วันที่ 5 สิงหาคม เยลซินได้มีคำสั่งให้ปูตินเข้าพบในบ้านพัก ชายขอบกรุงมอสโคว์ พอนั่งลงเสร็จ เยลซินได้จ้องหน้าปูติน และกล่าวขึ้นมาว่า “ฉันตัดสินใจแล้วนะ ที่เรียกเธอมาในวันนี้ คือ ฉันอยากจะแต่งตั้งเธอให้เป็นนายกรัฐมนตรี…” ปูตินเงียบไปอึดใจหนึ่ง ฟังเยลซินได้บรรยายปัญหาของภาระของรัสเซียแบกไว้ในคอเคซัส ให้ปูตินฟัง ถึงเรื่อง เศรษฐกิจ สภาพเงินเฟ้อ และที่เขากังวลเป็นอย่างมากคือ ปัญหาของโครงสร้างและบุคลากรสภาที่ไม่แข็งแรงพอกับการที่จะมีเลือกตั้งในสี่เดือนข้างหน้า เขาเคยมีความหวังกับ Yury Luzhkov หรือไม่ก็ Yevgeny Primakov แต่ต้องมาพบกับหลังบ้านของ Luzhkov ทำธุรกิจที่อิงการเมือง จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพอดมื้อกินมื้อ แถมตัวสามี Yury ก็เถียงแทนเมียฉอดๆ ว่า “ก็ชั้นทำงานให้กับเครมลิน…ไม่ได้ทำเพื่อชาติ…” เยลซินถามขึ้นมาว่า “เธอจะทำได้ไหม ทำในสิ่งที่ฉันต้องการที่จะเห็น นั่นคือ พาประเทศชาติของเราให้เจริญอยู่ยงอย่างแข็งแรงต่อไป..” ปูตินอึกอัก “กระผมไม่แน่ใจ เรื่องงาน กระผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าจะต้องไปหาเสียง……ไปโฆษณาตัวเอง กระผมไม่ชอบ” “นั่นไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เป็นธุระของทางเราเอง” “ถ้าเช่นนั้น ก็แล้วแต่ท่านจะกรุณา…” “ไม่ต้องกังวล เธอเตรียมตัวไว้ได้เลย เพราะเธอจะไปไกลกว่านี้แน่นอน” วันที่ 9 สิงหาคม เยลซินได้ออกทีวี ประกาศว่า “เราได้เลือกได้บุคคลที่เหมาะสมที่จะมาทำงานรับใช้ประเทศชาติแล้ว ขอให้ท่านเชื่อใจได้เลยว่า เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากมาย และมีความสามารถเหลือล้น” ข่าวนี้ได้สร้างความฮือฮาประหลาดใจกับทุกคนในเครมลิน ที่ส่วนใหญ่มองไปในด้านลบ เพราะ ปูตินไอ้หน้าจืดเนี่ยนะ………นายกรัฐมนตรี ?!!! มีประสบการณ์อะไรมา……นี่เท่ากับว่าส่งมาลงนรก หมดอนาคตต่อไปเชียว อย่างมากก็สามเดือน จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ช่วงนั้นเป็นช่วงที่หนักหน่วงของปูติน เพราะวลาดิเมียร์ผู้พ่ออยู่ในสภาพเจ็บหนัก ที่เขาต้องไปเยี่ยมเดือนละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนมาเรีย มารดาได้จากไปเมื่อสองปีที่แล้ว และทุกครั้งที่พ่อเห็นเขา…พ่อจะพูดว่า ….”ลูกชายของพ่อ เจ้าช่างเหมือนกับซาร์เลยเชียวนะ……” วลาดิเมียร์ได้ถึงแก่กรรมในวันที่ 2 สิงหาคม ไม่ทันที่จะได้รับรู้ว่าลูกชายจะได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีในกาลอันใกล้ ปูตินเองก็มานั่งทบทวนดู ว่า อนาคตเขาอาจจะไม่ต่างไปจากเหล่าอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆของเยลซิน ที่ล้วนมีอายุราชการสั้น สามเดือน หกเดือน เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ Stepashin, Ptimakov และ Kiriyenko แต่อีกใจหนึ่ง เขาก็คิดว่า ช่างมันประไร เขามีอายุเพียงสี่สิบหก และจะได้รับงานที่เป็นการท้าทายความสามารถ มีอำนาจเด็ดขาด ที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ โดยเฉพาะเรื่องสงครามที่เชเชน ที่เขาจะต้องกู้ชื่อเสียงกลับมาให้ได้ … เท่ากับว่า……เขาไม่ได้ลงทุนอะไรเลย และเขาได้คิดถึงในสมัยที่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่วิ่งเข้าวิ่งออกในอาคารสงเคราะห์ ที่ไม่เคยกลัวใคร ไม่เคยรอเสียเวลาในการถกเถียง….เปิดฉากปะทะก่อนทุกครั้ง… และครั้งนี้…ในคอเคซัส….เขาจะไปให้พวกมันเห็นว่านรกมีจริงงงง……!!! ปูตินได้รับการผ่านในการเสนอชื่อในสภาเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคม สิ่งแรกที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆทำ คือ แต่งตัวลำลอง บินไปชายแดนเชเชน ไปพบปะพูดคุยกับทหารหาญ ไปมอบเหรียญกล้าหาญ ทางฝ่ายกบฏเชเชนได้ทำการท้าทายอำนาจใหม่อย่างเหิมเกริม นั่นคือการวางระเบิดอพาร์ตเมนต์ในเมือง Volgodonsk มีคนเสียชีวิตนับสิบ วันที่ 23 สิงหาคม ฝูงบินจากรัสเซียส่งเข้าไปถล่มถึงกลางกรุง Grozny ถล่มโรงกลั่นน้ำมันจนราบเป็นหน้ากลอง เป็นการถล่มแบบนอกตำรายุทธการ เพราะมาแบบล้างแค้นสถานเดียว ปูตินอยู่สังเกตการณ์ทั้งหมด มีนักข่าวไปถามว่า “บอมบ์เพื่อหวังผลอะไร..?” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เพราะปูตินพูดจาด้วยภาษานักเลงแบบที่ได้ยินตามมุมถนน เขาตอบว่า “เบื่อโคตรๆ ที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำซากแบบนี้ เราถล่มเฉพาะจุดที่เรารู้ว่าพวกไอ้เลวนั่นมันสุมหัวอยู่กัน โทษทีนะ ถ้าพบว่ามันนั่งอยู่ในส้วม ก็จะส่งมันลงท่อไปตรงนั้นเลย…” หลังจากที่ถล่มจนราบแล้ว วันที่ 29 กันยายน ปูตินได้ถามกับ ประธานาธิบดีเชเชน Aslan Maskhadov ว่า.. “ถ้านายพร้อมที่จะเจรจา……เรามีทางเลือกให้สถานเดียวคือ ส่งตัวไอ้อาชญากรสงคราม Basayev กับ Khattab และไอ้พวกหัวกระทิตามบัญชีรายชื่อทั้งหลายมา และ นี่ไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยน……แต่เป็นคำสั่ง..!!” ทางอัสลาน ก็ได้แต่ปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด…… และเรื่องที่จะส่งตัว คนพวกนั้นก็ทำไม่ได้อีก เพราะมันจะกลายเป็นการหักหลังกัน…” คือสรุปว่า….เขาเลือกที่จะอยู่ตรงข้ามกับรัสเซีย วันรุ่งขึ้น…กองทัพรัสเซียกว่า แปดหมื่นนายบุกประชิดเชเชน มีสำรองไว้อีก 93,000 แทบจะเป็นขนาดเดียวกันกับที่รัสเซียบุกอาฟกานิสถาน ที่ใหญ่กว่าเชเชนสี่สิบเท่า… วันที่ 1 ตุลาคม รัสเซียไม่ยอมรับรัฐบาลของอัสลาน วันที่ 5 ตุลาคม…รัสเซียเข้าครองพื้นที่กว่าครึ่งของทางเหนือ และ วันต่อมาก็ข้ามแม่น้ำไปยังเมืองหลวง Grozny ปูตินไม่ยอมเสียกำลังทหารในการบุก เขาให้สัมภาษณ์ว่า…… เราใช้การส่งฝูงบินโจมตีเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทหาร เอาไว้เข้าตามเก็บกวาดให้เรียบ เพราะการรบสมัยใหม่นี้ มีเครื่องทุ่นแรงเยอะ ไม่ใช่อย่างสมัยสงครามโลก……” นักข่าวถามว่า “ ถ้าฝูงบินไม่สำเร็จผลล่ะ……” “เราก็ชนะอยู่ดี………เพราะในตำราของเรา……ไม่มีคำว่า…ถ้า……” *** สงครามเชเชนครั้งนี้คือครั้งที่สอง จาก ครั้งแรกในปี1996 ครั้งนี้เริ่มในวันที่ 7 สิงหาคม 1999 ถึง 30 เมษายน 2000 ที่รัสเซียได้ชัยชนะ…… แต่ยังมีการปราบปรามกลุ่มต่อต้าน ที่มารูปของการก่อวินาศกรรมอีก ตั้งแต่ ปี 2000-2009 ที่หัวหน้าใหญ่อย่าง Aslan Maskhadov (อดีตประธานาธิบดี) ที่หนีไปอยู่ในถ้ำ ยังถูกตามเก็บจนหมด ส่วนเหล่าลูกน้องก็สลายตัวไปปนอยู่ในกลุ่มของ ISIS บัดนี้ คือ สาธารณรัฐเชเชน (หรือ เซซเนีย) คือ สาธารณรัฐหนึ่งของรัสเซีย ที่มี นายกรัฐมนตรี คือ Ramzan Kadyrov เป็นลูกชายของอดีตประธานาธิบดีคนแรกของเชเชน Akhmad Kadyrov ที่ได้มีโอกาสเป็น ประธานาธิบดีเพียงไม่กี่เดือน ก็ถูกลอบสังหาร.. NATO ได้ยื่นมือเข้ามาตามเคยในการที่จะเรียกร้องหาความยุติธรรม และเรื่องเจรจาสงบศึก ทางรัสเซียก็ย้อนกลับไปว่า แล้วกองทัพนาโต้ที่เข้าไปบอมบ์ Kosovo เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (1999) มีชาวยูโกสลาฟตายกว่า 500 คน ไหนล่ะ…ความยุติธรรม……??? Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 679 มุมมอง 0 รีวิว
  • UGG
    Women's Calle Lace Sand / Pink Dusk Runners Shoes Leather (1125391)
    Size. US 9W /UK 7 /EUR 40 /26 cm

    🔥Price : 850฿

    รองเท้าวิ่ง UGG รุ่น Calle สไตล์สปอร์ตแบบผูกเชือก สำหรับสวมใส่ในถนน มีพื้นรองเท้า Treadlite by UGG™ แบบแม็กซิมัลลิสต์พร้อมยางที่ทนทานที่ปลายเท้าและส้นรองเท้าเพื่อการยึดเกาะเป็นพิเศษ ดีไซน์ดูโดดเด่น มีน้ำหนักที่เบาพื้นผลิตจากนีโอพรีน (EVA Foam)และผ้าตาข่าย เพิ่มความโดดเด่นให้กับทุกการแต่งตัว เข้ากันได้กับทุกอย่าง ตั้งแต่เดนิมไปจนถึงเดรสและเสื้อผ้าสำหรับเล่นกีฬา

    🔹Coated leather, Mesh upper
    🔹Pull tab, Hot-melt TPU overlay
    🔹Polyester laces
    🔹Textile lining
    🔹Textile sockliner
    🔹Foam footbed
    🔹Treadlite by UGG™ outsole with rubber toe and heel
    🔹UGG® logo pull tab
    UGG Women's Calle Lace Sand / Pink Dusk Runners Shoes Leather (1125391) Size. US 9W /UK 7 /EUR 40 /26 cm 🔥Price : 850฿ รองเท้าวิ่ง UGG รุ่น Calle สไตล์สปอร์ตแบบผูกเชือก สำหรับสวมใส่ในถนน มีพื้นรองเท้า Treadlite by UGG™ แบบแม็กซิมัลลิสต์พร้อมยางที่ทนทานที่ปลายเท้าและส้นรองเท้าเพื่อการยึดเกาะเป็นพิเศษ ดีไซน์ดูโดดเด่น มีน้ำหนักที่เบาพื้นผลิตจากนีโอพรีน (EVA Foam)และผ้าตาข่าย เพิ่มความโดดเด่นให้กับทุกการแต่งตัว เข้ากันได้กับทุกอย่าง ตั้งแต่เดนิมไปจนถึงเดรสและเสื้อผ้าสำหรับเล่นกีฬา 🔹Coated leather, Mesh upper 🔹Pull tab, Hot-melt TPU overlay 🔹Polyester laces 🔹Textile lining 🔹Textile sockliner 🔹Foam footbed 🔹Treadlite by UGG™ outsole with rubber toe and heel 🔹UGG® logo pull tab
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • VUDU
    Men’s Genuine Leather LORENZO Boat Shoes
    Group : LORET
    Style : LORENZO
    Color : Mahogany
    (Made in PORTUGAL 🇵🇹 )
    Size. EUR 45 /29(29.5) cm
    ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ Good Condition

    🔥 Price : 890฿

    รองเท้าหนังสไตล์คนเมืองแบรนด์เทรนด์ใหม่จากโปรตุเกส VUDU SHOES คู่นี้เป็นรองเท้าที่ผลิตในประเทศโปรตุเกสซะด้วย เป็น "ไอเทมที่ต้องมี" ผสมผสานระหว่างหนังแนปป้าฟอกคุณภาพสูงที่นุ่มเป็นพิเศษ และหนังกลับทาน้ำมัน ดีไซน์เรียบง่ายแต่ดูดีในลุควินเทจ ที่ให้ความสบายในการสวมใส่และทนทานต่อการใช้งาน เข้ากับทุกสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย เหมาะสำหรับการสวมใส่ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การออกไปเที่ยว หรือการพักผ่อนอยู่ที่บ้าน

    ✅ คำแนะนำในการดูแลรักษารองเท้าหนัง VUDU SHOES :-
    ใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดรองเท้าเป็นประจำ
    หากรองเท้าเปียก ให้ใช้ผ้าแห้งซับน้ำออกทันที
    หลีกเลี่ยงการวางรองเท้าไว้ในที่ที่มีความร้อนสูงหรือความชื้นสูง
    หากรองเท้ามีรอยขีดข่วน ให้ใช้ครีมขัดรองเท้าเพื่อซ่อมแซม
    VUDU Men’s Genuine Leather LORENZO Boat Shoes Group : LORET Style : LORENZO Color : Mahogany (Made in PORTUGAL 🇵🇹 ) Size. EUR 45 /29(29.5) cm ⭐️⭐️⭐️⭐️⭐️ Good Condition 🔥 Price : 890฿ รองเท้าหนังสไตล์คนเมืองแบรนด์เทรนด์ใหม่จากโปรตุเกส VUDU SHOES คู่นี้เป็นรองเท้าที่ผลิตในประเทศโปรตุเกสซะด้วย เป็น "ไอเทมที่ต้องมี" ผสมผสานระหว่างหนังแนปป้าฟอกคุณภาพสูงที่นุ่มเป็นพิเศษ และหนังกลับทาน้ำมัน ดีไซน์เรียบง่ายแต่ดูดีในลุควินเทจ ที่ให้ความสบายในการสวมใส่และทนทานต่อการใช้งาน เข้ากับทุกสไตล์การแต่งตัวได้หลากหลาย เหมาะสำหรับการสวมใส่ในทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การออกไปเที่ยว หรือการพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ✅ คำแนะนำในการดูแลรักษารองเท้าหนัง VUDU SHOES :- ใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดรองเท้าเป็นประจำ หากรองเท้าเปียก ให้ใช้ผ้าแห้งซับน้ำออกทันที หลีกเลี่ยงการวางรองเท้าไว้ในที่ที่มีความร้อนสูงหรือความชื้นสูง หากรองเท้ามีรอยขีดข่วน ให้ใช้ครีมขัดรองเท้าเพื่อซ่อมแซม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • BLACKSTONE
    Men’s Genuine Leather Boat Shoes
    Size. US 9 /EUR 42 /26.5(27) cm

    🔥 Price : 690฿

    รองเท้าหนังแท้ทรง Boat Shoes แบรนด์คุณภาพจากประเทศเนเธอร์แลนด์ วัสดุและการตัดเย็บดีมาก อัพเปอร์ทั้งภายนอกภายในใช้หนังแท้เกรดพรีเมี่ยม มาพร้อมปลอกนวมหุ้มข้อด้วยหนังแท้ช่วยให้ใส่กระชับข้อเท้า แผ่นรองพื้นรองเท้าเป็นยางปิดด้วยหนังแท้ พื้นรองเท้าด้านนอกเป็นยางและหนังกลับ สภาพโดยรวม 85%+ ทรงนี้ใส่เท่สามารถแมทช์กับสไตล์การแต่งตัวทั้งแบบทางการ และไม่ทางการได้

    👉 เรื่องราว :-
    🔹ปี 1926 : บริษัทการค้าหนังของ J.A. de Bruijn ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Gouda ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีภารกิจในการจัดหาหนังคุณภาพดีที่สุดให้กับผู้ผลิตและช่างทำรองเท้าในท้องถิ่น
    🔹ปี 1992 : Blackstone Footwear ก่อตั้งขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยการออกแบบและผลิตรองเท้าทำงานคุณภาพสูง ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของแบรนด์
    🔹ปี 2003 : Blackstone ได้ขยายการผลิตเพื่อเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ โดยนำเสนอชุดรองเท้าและแฟชั่นเพิ่มเติม ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกของแฟชั่นและรองเท้า
    🔹ปี 2010 : Blackstone ได้กลับมาที่จุดเริ่มต้น โดยเน้นการใช้หนังธรรมชาติและออกแบบรองเท้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค
    🔹ปี 2018 : Blackstone ได้แนะนำรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ใหม่ๆ เช่น รองเท้าหนังแกะและรองเท้า 6" Original boot ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง
    🔹ปี 2023 : Blackstone ได้ประกาศการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ของแบรนด์และการมีอยู่ทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
    BLACKSTONE Men’s Genuine Leather Boat Shoes Size. US 9 /EUR 42 /26.5(27) cm 🔥 Price : 690฿ รองเท้าหนังแท้ทรง Boat Shoes แบรนด์คุณภาพจากประเทศเนเธอร์แลนด์ วัสดุและการตัดเย็บดีมาก อัพเปอร์ทั้งภายนอกภายในใช้หนังแท้เกรดพรีเมี่ยม มาพร้อมปลอกนวมหุ้มข้อด้วยหนังแท้ช่วยให้ใส่กระชับข้อเท้า แผ่นรองพื้นรองเท้าเป็นยางปิดด้วยหนังแท้ พื้นรองเท้าด้านนอกเป็นยางและหนังกลับ สภาพโดยรวม 85%+ ทรงนี้ใส่เท่สามารถแมทช์กับสไตล์การแต่งตัวทั้งแบบทางการ และไม่ทางการได้ 👉 เรื่องราว :- 🔹ปี 1926 : บริษัทการค้าหนังของ J.A. de Bruijn ก่อตั้งขึ้นที่เมือง Gouda ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีภารกิจในการจัดหาหนังคุณภาพดีที่สุดให้กับผู้ผลิตและช่างทำรองเท้าในท้องถิ่น 🔹ปี 1992 : Blackstone Footwear ก่อตั้งขึ้น โดยเริ่มต้นด้วยการออกแบบและผลิตรองเท้าทำงานคุณภาพสูง ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของแบรนด์ 🔹ปี 2003 : Blackstone ได้ขยายการผลิตเพื่อเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ โดยนำเสนอชุดรองเท้าและแฟชั่นเพิ่มเติม ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในโลกของแฟชั่นและรองเท้า 🔹ปี 2010 : Blackstone ได้กลับมาที่จุดเริ่มต้น โดยเน้นการใช้หนังธรรมชาติและออกแบบรองเท้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค 🔹ปี 2018 : Blackstone ได้แนะนำรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ใหม่ๆ เช่น รองเท้าหนังแกะและรองเท้า 6" Original boot ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูง 🔹ปี 2023 : Blackstone ได้ประกาศการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่เพื่อเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ของแบรนด์และการมีอยู่ทั่วโลก โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 263 มุมมอง 0 รีวิว
  • อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน

    เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ

    จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน

    และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ

    ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี

    วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ
    .
    .
    .
    นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น

    ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน

    อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ

    วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า

    พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป

    โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว

    เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก

    แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง

    ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด

    แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย)

    แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า

    เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon"

    เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง
    .
    .
    .
    ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที

    ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล

    และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา

    ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American)

    แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย

    นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย

    แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน

    และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
    .
    .
    .
    พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู

    ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา

    ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด

    โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“

    จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม

    ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด

    พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน

    ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง

    โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน
    .
    .
    .
    บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย

    เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่

    พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่

    ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า

    เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้

    พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน

    ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง

    ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว

    รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“

    รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ

    จะเอาไม่เอาก็บอกมา

    ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป

    ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย

    แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ

    ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน

    แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่

    ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี

    ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย
    .
    .
    .
    ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย

    อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ

    ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้

    มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย

    อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“

    .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย.....

    ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ

    https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA
    https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS
    https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX

    นัทแนะ
    อ่านเอาเรื่อง Ep.75: มอร์มอน เมื่อเช้านี้ระหว่างที่ผมรถติดอยู่แถวๆบ้าน สายตาก็เหลือบไปเห็นฝรั่งวัยหนุ่ม 2 คน ท่าทางดี แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่บนรถสองแถวครับ จากประสบการณ์นั้น มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าพ่อหนุ่มสองคนนี้เป็นพวกเผยแพร่ศาสนาคริสต์ และผมคิดว่าเป็นนิกายมอร์มอน (Mormon) เพราะการแต่งตัวสไตล์เสื้อเชิ้ตแขนสั้น ผูกไท สะพายกระเป๋าดำและมีป้ายชื่อสีดำอันใหญ่ๆนี่ ดูยังไงก็มอร์มอน และน่าจะเป็นชาวอเมริกัน เพราะพวกมอร์มอนนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกัน เพราะนิกายมอร์มอนนั้นกำเนิดในอเมริกาครับ ตอนสมัยที่ผมได้ไปเรียนอยู่ที่อเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมเคยเจอวัยรุ่นมอร์มอนมาเคาะประตูบ้านและชวนไปเข้าลัทธิกับเขา ได้ฟังเขาเล่าเรื่องของมอร์มอนแล้วก็สนุกดี วันนี้ก็ผมจึงไปค้นคว้าหาเรื่องของพวกมอร์มอนมาเล่าสู่กันฟังสนุกๆครับ . . . นิกายมอร์มอนนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกาเพิ่งจะประกาศอิสรภาพแยกตัวจากอังกฤษใหม่ๆครับ นั่นก็คือ ช่วงประมาณ ค.ศ.1800 โน่น ความน่าสนใจของนิกายนี้ ก็คือ ผู้ที่เป็นศาสดาหรือผู้นำสารของพระเจ้านั้นเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวนิวยอร์คชื่อ “โจเซฟ สมิธ” ซึ่งโจเซฟผู้นี้เขาไม่ได้มีการศึกษาอะไร แต่เป็นเด็กที่รักการค้นหาขุดหาสมบัติในสวนหลังบ้าน อันนี้เราก็ต้องเข้าใจบริบทในยุคนั้นด้วยนิดนึงครับ เพราะอเมริกานั้นเป็นดินแดนโลกใหม่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องการขุดหาสมบัติลึกลับของโจรสลัดหรือขุมทรัพย์โบราณก็ยังแพร่หลายครับ วันหนึ่งระหว่างที่เด็กชายโจเซฟวัย 15 ขวบนี้กำลังหาโน่นนี่อยู่ในป่าหลังบ้าน ก็ให้บังเอิญได้ไปพบกับร่างมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์สองร่างกำลังลอยอยู่ และบอกกับโจเซฟว่า ร่างหนึ่งคือพระเจ้าและอีกร่างคือพระเยซูบุตรของพระเจ้า พระเจ้าบอกกับโจเซฟว่า บรรดานิกายศาสนาคริสต์และศาสนาทั้งหลายที่มีอยู่บนโลกนี้นั้นล้วนแต่เสื่อมโทรมทั้งสิ้น และพระเจ้าได้บอกให้โจเซฟเตรียมตัวที่จะสร้างดินแดนที่วันหนึ่งพระเยซูจะกลับมาพิพากษาคนบาป โจเซฟเจอดังนี้แล้ว ก็กลับบ้านมาแต่ก็ไม่ได้คิดจะบอกอะไรใคร ได้แต่เก็บไว้เป็นความลับส่วนตัว เวลาผ่านไปอีกสามปี เมื่อโจเซฟอายุได้ 18 ปี ก็ได้มีเทวดาองค์หนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นในห้องของโจเซฟ เทวดาบอกกับโจเซฟว่าให้เดินไปที่เนินเขาใกล้ๆบ้านแล้วจะได้พบกับแผ่นทองคำจารึกข้อความสำคัญที่อยากจะให้โจเซฟเอามาเผยแพร่ต่อมนุษย์โลก แน่นอนว่าโจเซฟก็ทำตามนั้น และเขาก็ได้พบกับแผ่นทองคำปึกใหญ่ๆจริงๆ บนแผ่นทองคำนั้นจารึกด้วยภาษาฮีบรูโบราณซึ่งโจเซฟอ่านไม่ออก แต่เขาก็เอากลับมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วก็เล่าเรื่องให้พ่อแม่พี่น้องและภรรยาฟัง ซึ่งทุกคนก็เชื่อเขาสนิทใจโดยไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้โจเซฟก็ไม่ได้ให้ใครได้เห็นแผ่นจารึกทองคำนี้เลยนะครับ และเมื่อโจเซฟคิดจะแปลข้อความจากแผ่นทองคำนี้เป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะใช้วิธีขึงผ้าม่านหนาๆใหญ่ๆกั้นระหว่างตัวเขากับคนจดบันทึก (ซึ่งบางทีก็เป็นภรรยาเขาหรือไม่ก็น้องชาย) แล้วโจเซฟก็จะใช้เครื่องมือวิเศษที่สามารถมองข้อความบนแผ่นทองคำให้ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ โจเซฟก็จะอ่านให้คนจดบันทึกไปเรื่อยๆ ทำอย่างนี้อยู่ราวๆสามเดือน ก็ได้หนังสือขนาดความยาว 800 กว่าหน้า เรียกว่า “เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน - The Book of Mormon" เมื่อโจเซฟตรวจทานหนังสือเล่มนี้เสร็จแล้ว เขาก็จัดการส่งคืนแผ่นทองคำต้นฉบับนี้ให้เทวดาองค์เดิมไป เป็นอันว่าไม่เคยมีใครได้เห็นแผ่นทองคำนี้นอกจากโจเซฟเอง . . . ความน่าสนใจก็คือ โจเซฟนั้นเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษาอะไร แต่สามารถแต่งหนังสือขึ้นความยาว 800 กว่าหน้านี้ได้ก็ถือว่าเก่ง แม้ว่าภายหลังจะมีผู้พบว่า เนื้อหาในหลายๆส่วนนั้นลอกจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมาแบบ copy and paste ก็ตามที ถ้าเราสังเกตดีๆ โจเซฟเขาไม่ได้ตั้งชื่อหนังสือเขาว่า ”มอร์มอนไบเบิ้ล“ แต่เรียกว่า ”เดอะบุ๊คออฟมอร์มอน“ นะครับ เพราะเขาคิดว่าลัทธิของเขาคือลัทธิใหม่ ไม่ได้เกี่ยวกับไบเบิ้ล และในเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนนี้ โจเซฟเขาเขียนเล่าไว้ว่า เมื่อราวๆ 600 ปีก่อนสมัยพระเยซูนั้น มีชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้หลบหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินข้ามทะเลทรายและขึ้นเรือรอนแรมมาจนกระทั่งถึงอเมริกา ชาวยิวกลุ่มนี้ได้เดินทางเข้ามาพำนักอาศัยอยู่ในแผ่นดินอเมริกาและเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นบรรพบุรุษชาวชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native American) แน่นอนว่าเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น การตรวจดีเอ็นเอของชนพื้นเมืองอเมริกันก็พบว่าไม่ได้มีเชื้อสายยิวเลยแม้แต่น้อย นอกนั้นในบุ๊คออฟมอร์มอนยังบอกอีกว่า หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนตายไปนั้น พระองค์ยังได้มาปรากฏตัวอยู่ที่อเมริกาด้วย แต่เอาเถิดครับ....ไม่ว่าเรื่องราวจะพิสดารเพียงใด เมื่อโจเซฟประกาศลัทธิใหม่ออกไป ประกอบกับว่าเขาเป็นคนมีวาทศิลป์ดี โน้มน้าวคนได้เก่ง ก็ปรากฏว่ามีผู้เชื่อถือลัทธิมอร์มอนของโจเซฟอยู่หลายพันคน และอีกครั้งที่ผมอยากจะขอให้ท่านผู้อ่านนึกภาพว่า นี่คือเหตุการณ์เมื่อ 200 ปีก่อน ที่คนอเมริกันคือชาวยุโรปที่อพยพมาค้นหาโลกใหม่ การที่พวกเขาจะเริ่มต้นกับลัทธิความเชื่อใหม่บนแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากความเชื่อเดิมที่พวกเขาละทิ้งมา ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร . . . พ่อหนุ่มโจเซฟในวัย 26 ปีได้ประกาศกับสาวกของตัวเองว่า พระเจ้าได้ขอให้โจเซฟและชาวมอร์มอนสร้างแผ่นดินใหม่ที่เรียกว่า “ไซออน - Zion" เพื่อรอรับการกลับมาของพระเยซู ซึ่งการจะทำดั่งนี้ได้ ชาวมอร์มอนทั้งหลายจะต้องเดินทางอพยพไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ว่าแล้วโจเซฟกับชาวมอร์มอนหลายพันคนก็ออกเดินทางจากนิวยอร์คไปยังรัฐโอไฮโอแล้วก็เริ่มสร้างเมือง แต่สร้างได้สักพักก็โดนชาวเมืองที่เขาอาศัยอยู่เดิมเขาขับไล่ด้วยความที่เป็นพวกลัทธิประหลาด โจเซฟและพวกก็อพยพอีกรอบ คราวนี้เดินทางกันต่อมาที่เมืองแจ็คสันวิลล์ รัฐมิสซูรี ทีนี้โจเซฟได้ประกาศว่า ”ที่นี่แหละที่เราจะสร้างเมืองไซออนของเราขึ้นมา เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับสวนสวรรค์อีเดนของพระเจ้า“ จำนวนชาวมอร์มอนเริ่มขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังขยันก่อสร้างกันเสียอีก เพราะโจเซฟเขาได้ออกแบบผังเมืองเป็นรูปกริด (Grid) บล็อคๆสี่เหลี่ยมเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ชาวมิสซูรีเดิมเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าบ้านเรือนของตัวเองจะโดนพวกมอร์มอนยึดเรียบ ก็เลยขับไล่พวกมอร์มอน แล้วก็เกิดการรบพุ่งกันจริงจังขึ้นจนกระทั่งผู้ว่าการรัฐมิสซูรีต้องประกาศสงครามกันดุเดือด พวกมอร์มอนก็จึงต้องย้ายอีก..... คราวนี้ไปอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ใกล้ๆกับเมืองชิคาโก ทีนี่แหละครับที่โจเซฟชะตาขาด เพราะเมื่อตัวเองเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้นก็กำเริบถึงขนาดลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเริ่มใช้กำลังทหารของตัวเองไปทำลายโรงพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทความต่อต้านพวกมอร์มอน ผู้ว่าการรัฐอิลลินอยส์จึงจับตัวโจเซฟและน้องชายมาขังตัวไว้ ปรากฏว่าโดนฝูงชนบุกเข้าไปถึงห้องขัง ยิงโจเซฟตายขณะที่พยายามกระโดดหนีออกจากชั้นสอง โจเซฟ สมิธตายในวัยเพียง 34 ปี มีสาวกเป็นชาวมอร์มอนอยู่นับหมื่นคน . . . บรรดาชาวมอร์มอนทั้งหลายก็อพยพอีกรอบ คราวนี้ระหกระเหินมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันตกเรื่อยๆจนกระทั่งไปถึงดินแดนหุบเขาอันกว้างใหญ่ที่ครอบคลุมรัฐยูท่าห์ รัฐอริโซน่า รัฐโคโลราโด และรัฐแคลิฟอร์เนีย เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่มีชื่อรัฐเช่นนี้ เพราะดินแดนที่ผมเขียนไปข้างต้นนั้นยังคงเป็นของเม็กซิโกเขา และมีชนพื้นเมืองอเมริกันอาศัยกันอยู่ พวกมอร์มอนมาถึงปุ๊บ ก็เร่งรีบสร้างเมืองกันทันทีเพราะเขาเชื่อกันว่าใกล้จะถึงวันที่พระเยซูจะมาถึงเต็มแก่ ทั้งนี้เราก็ต้องยกย่องในความสามารถในทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมของพวกมอร์มอน ที่เขาสามารถสร้างเมือง โบสถ์ โรงเรียน โรงเหล็ก เหมืองและระบบระบายน้ำขึ้นมาได้จากดินแดนอันว่างเปล่า เมืองของพวกมอร์มอนขยายตัวกันอย่างรวดเร็ว และรูปแบบของเมืองก็ยังคงเป็นแบบกริด (Grid) หรือบล็อคสี่เหลี่ยมๆเป็นระเบียบตามแบบที่โจเซฟ สมิธออกแบบไว้ พวกมอร์มอนเรียกเมืองของเขาว่า “เดเซเร็ท - Deseret" อันเป็นภาษาโบราณแปลว่า ”รังผึ้ง“ ครับ อันสื่อความหมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันชุมชนที่ทำงานร่วมกัน ที่เมืองเดเซเร็ทนี้ พวกมอร์มอนเขาเริ่มออกสกุลเงิน ธนบัตร เริ่มออกกฎหมายของตัวเอง มีภาษาเขียนของตัวเอง ทีนี้รัฐบาลกลางสหรัฐเริ่มชักจะเหล่สายตามาที่พวกมอร์มอนอีกรอบ เพราะชักจะเริ่มทำทีท่าคล้ายๆจะแยกเป็นประเทศต่างหาก ไม่ขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว รัฐบาลก็เลยเรียกผู้นำของมอร์มอนในเวลานั้น คือ นายบริกแฮม ยัง (Brigham Young) ไปคุยด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่ นายยังเขาบอกว่า เขาจะยังอยู่กับอเมริกานี่แหละ แต่เขาขอดินแดนทั้งหมดตั้งขึ้นเป็นรัฐใหม่เรียกว่า ”รัฐเดเซเร็ท“ รัฐบาลอเมริกาไปนั่งดูแล้ว ก็คิดว่าให้ไม่ได้ เพราะดินแดนที่นายยังขอมานั้นกว้างใหญ่ขนาดครอบคลุมถึง 6 รัฐในปัจจุบัน ก็เลยบอกนายยังไปว่าให้ได้แค่พื้นที่เท่ากับรัฐยูท่าในปัจจุบันเท่านั้นแหละ จะเอาไม่เอาก็บอกมา ซึ่งนายยังก็ยอมตามนั้น รัฐบาลก็เลยตั้งให้นายยังเป็นผู้ว่าการรัฐคนแรกไป ทุกวันนี้ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปเที่ยวที่เมืองซอลท์เลกซิตี้ รัฐยูท่า ก็จะเห็นระบบการออกแบบบ้านเมืองตามสไตล์ของพวกมอร์มอนครับ เป็นกริดและมีระเบียบเรียบร้อย แต่ช้าก่อน....เวรกรรมของพวกมอร์มอนยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะยังมีพฤติกรรมหลายๆอย่างของมอร์มอนที่ชนอเมริกันส่วนใหญ่รับไม่ได้ หนึ่งในนั้นคือ “การแต่งงานมีหลายเมีย - Polygamy” เพราะชนอเมริกันนั้นมองว่าการมีเมียหลายๆคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบของการใช้แรงงานทาสแบบกลายๆ ทีนี้ตามกฎของมอร์มอนในเวลานั้น การแต่งงานมีเมียหลายคนนั้นคือส่วนหนึ่งของการเตรียมตัวไปสู่สรวงสวรรค์ อย่างนายโจเซฟ สมิธนั้นก็มีเมียมากถึง 40 คน ส่วนนายบริกแฮม ยังนั้นมีเมียเยอะถึง 50 กว่าคน แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วกฎหมายของพวกมอร์มอนก็ถูกลบทิ้งไปหมดสิ้น ทิ้งไว้แต่ความเชื่อในลัทธิมอร์มอนที่ยังคงเข้มแข็งอยู่ ที่รัฐยูท่านั้นยังเป็นหนึ่งในรัฐที่ความเป็นมอร์มอนเข้มแข็ง วิทยาลัยสอนศาสนามอร์มอนก็ยังคงมีอยู่ โบสถ์มอร์มอนก็ยังมี ทุกวันนี้ที่รัฐนิวยอร์ค ก็ยังคงมีการจัดพิธีเฉลิมฉลองและการแสดงตรงเนินเขา “คูโมรา - Cumorah" ที่โจเซฟ สมิธได้ไปพบกับแผ่นจารึกทองคำอันเป็นกำเนิดของหนังสือเดอะบุ๊คออฟมอร์มอนกันอยู่เลย . . . ผมเองก็เคยได้หนังสือมอร์มอนนี้มาเหมือนกัน แต่เสียดายว่าทิ้งไว้ที่อเมริกา ไม่ได้เอากลับมาเมืองไทยด้วย อ้อ.... เกร็ดเล็กๆที่อยากแถมไว้ก็คือ ที่อนุสาวรีย์ “วอชิงตัน มอนิวเม้นท์” ที่เป็นรูปแท่งหินสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตันดีซีน่ะครับ ตรงฐานของอนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้นจากก้อนอิฐใหญ่ๆที่นำมาจากทุกรัฐทั่วสหรัฐอเมริกา อิฐแต่ละก้อนก็จะมีสลักสัญลักษณ์และชื่อรัฐของเขาเอาไว้ มีอยู่รัฐหนึ่งที่ไม่ยอมใช้ชื่อรัฐตัวเอง แน่นอนว่าคือ ”รัฐยูท่า“ เพราะเขาใช้ชื่อว่า “เดเซเร็ท - Deseret" แบบดั้งเดิมและสลักเป็นรูปรังผึ้งขนาดใหญ่ และมีดวงตาของพระเจ้ามองลงมายังรังผึ้งของเขาด้วย อันเป็นการแสดงออกว่า ”เราคือมอร์มอนนะจ๊ะ“ .....เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เขียนยาวเหยียดไปหน่อยต้องขออภัย..... ใครสนใจเรื่องนี้ลองเข้าไปชมตามยูทูบวิดีโอข้างล่างนี้ได้เลยครับ https://youtu.be/hUW7j9GmXjI?si=3Mbhr_4mIJ15AoIA https://youtu.be/aTMsfOcHiJg?si=700kX_fdK2uUdJPS https://youtu.be/vJzRAiqg4zg?si=QhybEsnWh3GXeAgX นัทแนะ
    Like
    2
    6 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3193 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่ไงผลักดันกฏหมาย ทำtankได้ร่างกายกรู คะหรี่เสรี เอวีถูกกฏหมาย
    เพราะพวกแม่ม ไฝ่หมกมุ่นเรื่องพวกนี้จริงๆ
    รายละเอียดข่าว ตามนี้
    วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า จากกรณี 'ครูบี' (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง ) อายุ 42 ปี ครูสาวท่านหนึ่ง ปัจจุบันรับราชการอยู่ในจังหวัดปทุมธานีได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าเมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมา ได้ถูกนักการเมืองดังในอยุธยา (ปัจจุบันเป็นผู้สมัครนายก อบจ.อยุธยา ในนามพรรคก้าวไกล) ทราบภายหลังว่าเป็นคน ทำร้ายร่างกายเมื่อหลายปีก่อน โดยมีการถ่ายคลิปหลักฐานเก็บไว้ และแจ้งความกับตำรวจ สภ.มหาราชไปแล้ว แต่คดีไม่คืบ โดยขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นใครชื่อและนามสกุลอะไร ที่มาทำร้ายจนเพิ่งได้มาเห็นภาพจากทางโซเชียลว่าผู้ที่ทำร้ายตนเป็นนักนักการเมือง ซึ่งตนจำได้อย่างแม่นยำ จึงศึกษาจากผู้รู้กฎหมายพบว่าคดียังไม่ขาดอายุความ จึงต้องการทวงความเป็นธรรมที่ค้างคานานมาร่วม 5 ปี ทั้งนี้ในช่วงเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความไว้แล้วพร้อมทั้งมีผลการตรวจแพทย์ยืนยันเป็นเอกสารราชการทั้งหมดจึงเข้าพบตำรวจเพื่อแจ้งว่าผู้ที่ทำร้ายตนเองเป็นใคร แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพาไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง
    .
    ทั้งนี้ ครูบี กล่าวว่าในวันที่เกิดเหตุ นั้นตนได้พาเด็กไปทำกิจกรรมทางนาฏศิลป์ในงานแห่งหนึ่ง ในอำเภอมหาราช จังหวัดอยุธยาแล้วมีนักการเมืองคนนี้มาคุยใกล้ๆ ด้านหลังเวที ตนก็แจ้งว่าขอให้ไปคุยโทรศัพท์ที่อื่นเพราะมีน้องที่เป็นเด็กผู้หญิงหลายคนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวชุดไทยกันอยู่ น้องๆ กลัวว่าอาจจะโป๊ หรือมีภาพหลุดออกไปได้
    .
    ซึ่งนักการเมืองคนดังกล่าวก็เดินหายไป แต่พักหนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมกับพูดว่า "รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?" แต่ตนเองก็พยายามหลบหลีกเพราะไม่อยากมีปัญหา แต่พอเริ่มเปิดการแสดงไปไม่ถึง 1 นาที นักการเมืองคนดังกล่าว ก็ขึ้นไปบนเวทีและสั่งหยุดการแสดง และเกิดการพูดจาโวยวายทะเลาะกัน สุดท้ายมาจบที่ตนเองไปยืนตรงหน้าศาลาที่พัก แล้วก็โดนนักการเมืองคนดังกล่าวกระโดดถีบ และท้าให้ไปแจ้งความ ซึ่งเธอก็ไปแจ้งความ แต่ขณะนั้นคดีก็เงียบไปจากตำรวจในพื้นที่ แถมยังถูกตอบกลับมาด้วยว่า "รู้ไหมคนที่คุณแจ้งความเป็นใคร"
    .
    โดย ในวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตนเองได้เข้าให้ปากคำตำรวจที่ สภ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งครูสาวยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด สาเหตุที่แจ้งความนั้นต้องการความถูกต้องและไม่อยากให้จังหวัดอยุธยาต้องนักการเมืองที่มีพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้หญิงแบบนี้และขอยืนยันว่าไม่การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นแต่ก็กลัวมากเพราะเขา ประกาศว่ามีพรรคการเมืองใหญ่หนุนหลังอยู่ และทางนายกรุณพล เทียนสุวรรณ (เพชร) รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า คนดังกล่าวในคลิปไม่ได้ผ่านขั้นตอนใดๆของพรรคที่สนับสนุน อย่างที่บอกทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เขาก็ใช้สีส้มและพยายามทำให้คนเข้าใจผิดว่าพรรคเป็นคนส่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเลย เพราะมติพรรคไม่มีการ สนับสนุนคนลงชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระอยุธยาในนามตัวแทนของพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการตักเตือนไปถึง ส.ส. ก้าวไกล ในจังหวัดอยุธยา ในการวางตัวการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ซึ่งตนเองก็สบายใจชื้นแต่ก็รู้สึกกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นเตรียมเข้าร้องเรียนกับมูลนิธิต่างๆเพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยไม่คาดคิดได้
    -------------------------------‬
    แหล่งข่าว
    https://siamrath.co.th/n/553167
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #พิธาคิโอ้
    #นายกว่าว
    นี่ไงผลักดันกฏหมาย ทำtankได้ร่างกายกรู คะหรี่เสรี เอวีถูกกฏหมาย เพราะพวกแม่ม ไฝ่หมกมุ่นเรื่องพวกนี้จริงๆ รายละเอียดข่าว ตามนี้ วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า จากกรณี 'ครูบี' (ขอสงวนชื่อและนามสกุลจริง ) อายุ 42 ปี ครูสาวท่านหนึ่ง ปัจจุบันรับราชการอยู่ในจังหวัดปทุมธานีได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าเมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมา ได้ถูกนักการเมืองดังในอยุธยา (ปัจจุบันเป็นผู้สมัครนายก อบจ.อยุธยา ในนามพรรคก้าวไกล) ทราบภายหลังว่าเป็นคน ทำร้ายร่างกายเมื่อหลายปีก่อน โดยมีการถ่ายคลิปหลักฐานเก็บไว้ และแจ้งความกับตำรวจ สภ.มหาราชไปแล้ว แต่คดีไม่คืบ โดยขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นใครชื่อและนามสกุลอะไร ที่มาทำร้ายจนเพิ่งได้มาเห็นภาพจากทางโซเชียลว่าผู้ที่ทำร้ายตนเป็นนักนักการเมือง ซึ่งตนจำได้อย่างแม่นยำ จึงศึกษาจากผู้รู้กฎหมายพบว่าคดียังไม่ขาดอายุความ จึงต้องการทวงความเป็นธรรมที่ค้างคานานมาร่วม 5 ปี ทั้งนี้ในช่วงเกิดเหตุได้เข้าแจ้งความไว้แล้วพร้อมทั้งมีผลการตรวจแพทย์ยืนยันเป็นเอกสารราชการทั้งหมดจึงเข้าพบตำรวจเพื่อแจ้งว่าผู้ที่ทำร้ายตนเองเป็นใคร แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพาไปตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้ง . ทั้งนี้ ครูบี กล่าวว่าในวันที่เกิดเหตุ นั้นตนได้พาเด็กไปทำกิจกรรมทางนาฏศิลป์ในงานแห่งหนึ่ง ในอำเภอมหาราช จังหวัดอยุธยาแล้วมีนักการเมืองคนนี้มาคุยใกล้ๆ ด้านหลังเวที ตนก็แจ้งว่าขอให้ไปคุยโทรศัพท์ที่อื่นเพราะมีน้องที่เป็นเด็กผู้หญิงหลายคนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวชุดไทยกันอยู่ น้องๆ กลัวว่าอาจจะโป๊ หรือมีภาพหลุดออกไปได้ . ซึ่งนักการเมืองคนดังกล่าวก็เดินหายไป แต่พักหนึ่งก็เดินกลับมาพร้อมกับพูดว่า "รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?" แต่ตนเองก็พยายามหลบหลีกเพราะไม่อยากมีปัญหา แต่พอเริ่มเปิดการแสดงไปไม่ถึง 1 นาที นักการเมืองคนดังกล่าว ก็ขึ้นไปบนเวทีและสั่งหยุดการแสดง และเกิดการพูดจาโวยวายทะเลาะกัน สุดท้ายมาจบที่ตนเองไปยืนตรงหน้าศาลาที่พัก แล้วก็โดนนักการเมืองคนดังกล่าวกระโดดถีบ และท้าให้ไปแจ้งความ ซึ่งเธอก็ไปแจ้งความ แต่ขณะนั้นคดีก็เงียบไปจากตำรวจในพื้นที่ แถมยังถูกตอบกลับมาด้วยว่า "รู้ไหมคนที่คุณแจ้งความเป็นใคร" . โดย ในวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตนเองได้เข้าให้ปากคำตำรวจที่ สภ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งครูสาวยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด สาเหตุที่แจ้งความนั้นต้องการความถูกต้องและไม่อยากให้จังหวัดอยุธยาต้องนักการเมืองที่มีพฤติกรรมที่ทำร้ายผู้หญิงแบบนี้และขอยืนยันว่าไม่การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นแต่ก็กลัวมากเพราะเขา ประกาศว่ามีพรรคการเมืองใหญ่หนุนหลังอยู่ และทางนายกรุณพล เทียนสุวรรณ (เพชร) รองโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่า คนดังกล่าวในคลิปไม่ได้ผ่านขั้นตอนใดๆของพรรคที่สนับสนุน อย่างที่บอกทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เขาก็ใช้สีส้มและพยายามทำให้คนเข้าใจผิดว่าพรรคเป็นคนส่ง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเลย เพราะมติพรรคไม่มีการ สนับสนุนคนลงชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระอยุธยาในนามตัวแทนของพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีการตักเตือนไปถึง ส.ส. ก้าวไกล ในจังหวัดอยุธยา ในการวางตัวการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ซึ่งตนเองก็สบายใจชื้นแต่ก็รู้สึกกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นเตรียมเข้าร้องเรียนกับมูลนิธิต่างๆเพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยไม่คาดคิดได้ -------------------------------‬ แหล่งข่าว https://siamrath.co.th/n/553167 #คิงส์โพธิ์แดง #พิธาคิโอ้ #นายกว่าว
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว