• แผนชั่ว ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 1
    อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง ทำชั่วได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับชั่วธรรมดา จนถึง ชั่วจนเหลือเชื่อ เพื่อจะได้ตามที่ตนเองต้องการ แผนชั่วของนักล่าใบตองแห้ง ซับซ้อน ซ่อนลึก แถมสร้างเรื่องกลบ จนดูแทบไม่ออกว่า เรื่องไหน เป็นเรื่องจริง เรื่องไหน เป็นเรื่องลวง
    ประมาณปี ค.ศ.2006 ขณะที่ George Clooney พระเอกหนังฮอลลีวู้ดคนดัง ความหล่อใกล้เคียงลุงนิทาน กำลังเดินทำหน้าหล่ออยู่ที่ซูดานใต้ เพื่อไปช่วยชาวซูดาน ที่กำลังหนีภัยสงครามกลางเมือง โดยมีนักข่าวซีเอนเอน เดินตามประกบพระเอกรูปหล่อทุกฝีก้าว ทำหน้าที่รายงานข่าว แบบรายนาที
    พระเอกกำลังเล่นบทดาราใจบุญ ดังแล้วไม่ลืมคนลำบาก เดินเข้าไปหาชาวซูดาน ที่กำลังนอนอยู่กลางดิน กินแต่ทราย พระเอกทำมาดนุ่ม ก้มไปอุ้มเด็ก ที่ขี้มูกกำลังไหลย้อย ต่อมา พระเอกก็ทำหน้าเครียด คุยกับหญิงชาวซูดาน ที่กำลังปัดแมงวันว่อน พระเอกบอกกำลังจะตั้งมูลนิธิเพื่อมาช่วยชาวซูดานนะ รอหน่อย อย่าเพิ่งหิวตายนะจ้ะ พระเอกยังบอกอีกว่า กำลังชวนเพื่อนดาราใจบุญอีกหลายสิบ ให้มาช่วยกันจัดคอนเสิตร์ เอาเงินมาช่วยชาวซูดานใต้ ฯลฯ สาระพัดจะมีรายงานข่าว เกี่ยวกับพระเอกรูปหล่อ กับชาวซูดานใต้ที่น่าสงสาร
    แต่ ซีเอนเอน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ของนักล่าใบตองแห้ง ไม่เสนอข่าวเล่าให้ชัดสักหน่อย ว่าทำไมชาวซูดานใต้ ถึงบ้านแตกสาแหรกหลุดขนาดนั้น
    ในปี ค.ศ.1994 จีนเปลี่ยนชั้นจากประเทศที่ส่งนำ้มันออก กลายเป็นประเทศ ที่ต้องสั่งน้ำมันเข้า การเปลี่ยนชั้นแบบนี้ของจีน ไม่ดีกับจีนนัก เห็นชัดว่า ความมั่นคงของจีนคงผูกติดกับเรื่องน้ำมันอย่างน่าเป็นห่วง และก็ทำให้ บรรดานักล่ารุ่นใหม่รุ่นเก่าได้ที รีบหาทางปิดกั้น ไม่ให้จีนเข้าถึงแหล่งน้ำมันในโลก ไม่ว่าแหล่งนั้นจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพวกนักล่าใบตองแห้ง ใบตองสด
    จีนโตไว ยิ่งกว่าไก่ได้ฮอร์โมน ประมาณว่า ในปี ค.ศ.2030 หรือเร็วกว่านั้น จีน อาจมีรถยนตร์ มากกว่าอเมริกา เสียด้วยซ้ำ จีนจึงต้องการน้ำมันมากจริงๆ แต่ใช่ว่าจีนไม่รับรู้ถึงความต้องการของตนเอง จีนเข้าใจเรื่องความต้องการใช้น้ำมันว่าเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” เป็นอันดับหนึ่งของชาติ
    ประมาณต้นปี ค.ศ.1999 ข่าวการลงทุนของจีนในซูดาน เกี่ยวกับการสำรวจแหล่งน้ำมัน ทำให้นักล่าใบตองแห้งตาโต ถล่นออกมานอกเบ้า หูผึ่งบาน แต่ยังเก็บอาการ แค่ติดตามดูผลจากดาวเทียม ที่รีบจัดการย้ายตำแหน่ง เอามาจ่อซูดานเรียงกันเป็นตับ ไม่นาน ก็มีข่าวว่า จีนค้นพบแหล่งน้ำมันแล้วที่เมืองดาฟูร์ Darfur ที่อยู่ในซูดานใต้ และมีแผนจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 900 ไมล์ จากแหล่งน้ำมันในซูดานใต้ ไปยังท่าเรือซูดาน เพื่อไปออกทะเลแดง ไปลงถังน้ำมัน เพื่อส่งไปจีน ครบถ้วนกระบวนการ อาเฮียถอนหายใจดังเฮือก
    ข่าวนี้ ทำให้นักล่าใบตองแห้งและอังกฤษชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แทบจะลงดิ้นกลิ้งกับพื้นด้วยความขัดใจ มันทำได้ยังไง มันหลุดมือพวกเราไปได้อย่างไร แบบนี้แผนการสร้าง กับดักท่อ รัดคอซูดาน ต้องรีบดำเนินการด่วน
    เดือนเมษายน ค.ศ.2005 รัฐมนตรีพลังงานของซูดานประกาศ ที่คาร์ทูม Khartoum เมืองหลวงของซูดานว่า เราพบแหล่งน้ำมันใหญ่ ที่ทางใต้ของเมืองดาร์ฟู Darfur ซึ่งคาดว่าจะทำการผลิตน้ำมันได้ประมาณ 5 แสน บาเรลต่อวัน ในไม่กี่สัปดาห์นี้ นักธรณีวิทยาคาดว่า จะเป็นแหล่งน้ำมันที่ยาวจากดาร์ฟูไปถึงเพื่อนบ้านอย่างชาด Chad และแคเมอรูน Cameroon แหล่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุด ที่พบนอกประเทศซาอุดิอารเบีย… (อ่านนิทานเรื่องนี้ จะได้รสอร่อยขึ้น ถ้าดูแผนที่ประกอบนะครับ)
    หลังจากการขุดเจอน้ำมันที่ดาร์ฟู จีนเร่งเดินสาย ผูกข้อมือกับชาวอาฟริกา อย่างจริงจัง และจริงใจ ด้วยการเสนอเงินกู้ระยะยาว แบบเงินช่วยเหลือคือไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเงื่อนไงผูกมัด ไม่บังคับว่าจะต้องขายสมบัติเก่า หรือแปรรูปบ้าบออะไร แค่ให้เอาเงินไปพัฒนา สร้างสาธารณูประโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน ตามอัธยาศัยของผู้กู้ ไม่มีการขู่ ไม่มีการบีบ มันเป็นหนังคนละม้วน เงื่อนไขคนละชุด กับของพวกก๊วนหน้าเลือด ใจดำ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ World Bank, IMF
    สำหรับซูดาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ที่เจอแหล่งน้ำมัน จีนลงทุนในซูดานไปแล้ว เป็นจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ส่วนบริษัท China National Petroleum Company (CNPC) ร่วมลงทุนในการขุดสำรวจน้ำม้นกับซูดาน เป็นจำนวน 5 พันล้านเหรียญ และจีนยังถือหุ้นอีก 50% ในโรงกลั่นน้ำมันที่ คาร์ทูมร่วมกับรัฐบาลซูดานอีกด้วย และจีนได้ทำสัญญาสั่งน้ำมันล่วงหน้าจากซูดาน เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งใจป้ำจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ให้เห็นว่าจีนเอาจริง ซื้อจริง รวยจริง ต่างกับค่ายอื่น ที่ดูเหมือน จะรวยแค่ลมปาก
    ทันทีที่มีข่าวนี้ออกไป กองกำลังจากไหนไม่รู้ ผุดขึ้นมาเต็มทะเลทราย ไล่ไปตั้งแต่ แนวเขตแดนของ ชาด ที่อยู่ติดกับซูดาน เป็นกองกำลังที่ติดอาวุธอย่างดี ของตะวันตก หลังจากนั้น ก็มีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืน ตลอดไปทั้งภูมิภาค คราวนี้ วอชิงตัน และ กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ยี่ห้อซีเอนเอน ต่างประโคมข่าวทั้งวัน ว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ดาร์ฟู Darfur Genocide ทั้งหมด ที่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ตีปีบโหมข่าว ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเอากองทัพนาโต้ เข้าไปอยู่เต็มซูดานใต้ เพื่อดูแลความสงบ
    จำไว้ให้ดีนะครับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” เป็นข้ออ้างของ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง และสมุน ขี้ข้ารับใช้ทั้งหลาย ชอบเอามาใช้อ้าง เวลาเสียเปรียบ หรือเวลาจะเอาเปรียบ หรือเวลาอะไรก็ได้ เพื่อจะเอากองกำลังของตัวเองเข้าไปในบ้านของคนอื่นว่ากำลังมีเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน ก็มาจากการสร้างเรื่องของพวกเอ็งทั้งนั้นแหละ แมวถูกหมาไล่กัด ก็เป็นเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเหมือนกันนะ
    ท่อส่งน้ำมัน ที่จีนสร้างในซูดาน ส่วนใหญ่อยู่ทางซูดานใต้ มีแหล่งสำรวจใหญ่แหล่งเดียวอยู่ ที่ทางซูดานเหนือ ทางเหนือของซูดานมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคาร์ทูม ควบคุมโดยรัฐบาลที่เป็นอิสลาม อเมริกาพยายามสร้างสงครามกลางเมือง แบ่งซูดานเป็น 2 ส่วน ซูดานเหนือกับซูดานใต้ โดยอเมริกา เล็งยึดซูดานใต้ มาเป็นของพวกตัว และเป็นการถีบจีนออกจากแหล่งทรัพยากรใหญ่ ที่สามารถจะช่วยจีนได้แยะ (ถ้าจีนได้ไป) เรื่องนี้ นักล่าใบตองแห้งกับพวกยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อาเฮียชักหายใจไม่โล่ง
    พระเอกหนัง George Cloony เลยต้องไปเข้าฉาก แสดงบทดาราใจบุญ อยู่ที่ซูดานใต้ ใช้พระเอกรูปหล่อใจบุญ ทำหน้าที่ตีข่าว ประกาศให้โลกสนใจ และหลงเชื่อว่า กำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เกิดขึ้นในซูดานใต้ มีคนใจร้ายกำลังฆ่าคนบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ผลเร็วกว่า เอานักข่าวธรรมดา เดินเซไปเซมา รายงานข่าว ก็เรื่องมันด่วน รอช้าได้ที่ไหน เดี๋ยวอาเฮีย เขาเอาไปหมด
    มันเล่นแบบหนังฮอลลีวู้ด เอาดารามาแสดงได้จริงๆ แน่จริงๆ ไอ้ใบตองแห้ง

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 1 อเมริกา นักล่าใบตองแห้ง ทำชั่วได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ระดับชั่วธรรมดา จนถึง ชั่วจนเหลือเชื่อ เพื่อจะได้ตามที่ตนเองต้องการ แผนชั่วของนักล่าใบตองแห้ง ซับซ้อน ซ่อนลึก แถมสร้างเรื่องกลบ จนดูแทบไม่ออกว่า เรื่องไหน เป็นเรื่องจริง เรื่องไหน เป็นเรื่องลวง ประมาณปี ค.ศ.2006 ขณะที่ George Clooney พระเอกหนังฮอลลีวู้ดคนดัง ความหล่อใกล้เคียงลุงนิทาน กำลังเดินทำหน้าหล่ออยู่ที่ซูดานใต้ เพื่อไปช่วยชาวซูดาน ที่กำลังหนีภัยสงครามกลางเมือง โดยมีนักข่าวซีเอนเอน เดินตามประกบพระเอกรูปหล่อทุกฝีก้าว ทำหน้าที่รายงานข่าว แบบรายนาที พระเอกกำลังเล่นบทดาราใจบุญ ดังแล้วไม่ลืมคนลำบาก เดินเข้าไปหาชาวซูดาน ที่กำลังนอนอยู่กลางดิน กินแต่ทราย พระเอกทำมาดนุ่ม ก้มไปอุ้มเด็ก ที่ขี้มูกกำลังไหลย้อย ต่อมา พระเอกก็ทำหน้าเครียด คุยกับหญิงชาวซูดาน ที่กำลังปัดแมงวันว่อน พระเอกบอกกำลังจะตั้งมูลนิธิเพื่อมาช่วยชาวซูดานนะ รอหน่อย อย่าเพิ่งหิวตายนะจ้ะ พระเอกยังบอกอีกว่า กำลังชวนเพื่อนดาราใจบุญอีกหลายสิบ ให้มาช่วยกันจัดคอนเสิตร์ เอาเงินมาช่วยชาวซูดานใต้ ฯลฯ สาระพัดจะมีรายงานข่าว เกี่ยวกับพระเอกรูปหล่อ กับชาวซูดานใต้ที่น่าสงสาร แต่ ซีเอนเอน กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ของนักล่าใบตองแห้ง ไม่เสนอข่าวเล่าให้ชัดสักหน่อย ว่าทำไมชาวซูดานใต้ ถึงบ้านแตกสาแหรกหลุดขนาดนั้น ในปี ค.ศ.1994 จีนเปลี่ยนชั้นจากประเทศที่ส่งนำ้มันออก กลายเป็นประเทศ ที่ต้องสั่งน้ำมันเข้า การเปลี่ยนชั้นแบบนี้ของจีน ไม่ดีกับจีนนัก เห็นชัดว่า ความมั่นคงของจีนคงผูกติดกับเรื่องน้ำมันอย่างน่าเป็นห่วง และก็ทำให้ บรรดานักล่ารุ่นใหม่รุ่นเก่าได้ที รีบหาทางปิดกั้น ไม่ให้จีนเข้าถึงแหล่งน้ำมันในโลก ไม่ว่าแหล่งนั้นจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกับพวกนักล่าใบตองแห้ง ใบตองสด จีนโตไว ยิ่งกว่าไก่ได้ฮอร์โมน ประมาณว่า ในปี ค.ศ.2030 หรือเร็วกว่านั้น จีน อาจมีรถยนตร์ มากกว่าอเมริกา เสียด้วยซ้ำ จีนจึงต้องการน้ำมันมากจริงๆ แต่ใช่ว่าจีนไม่รับรู้ถึงความต้องการของตนเอง จีนเข้าใจเรื่องความต้องการใช้น้ำมันว่าเป็นเรื่องที่ “ต้องจัดการ” เป็นอันดับหนึ่งของชาติ ประมาณต้นปี ค.ศ.1999 ข่าวการลงทุนของจีนในซูดาน เกี่ยวกับการสำรวจแหล่งน้ำมัน ทำให้นักล่าใบตองแห้งตาโต ถล่นออกมานอกเบ้า หูผึ่งบาน แต่ยังเก็บอาการ แค่ติดตามดูผลจากดาวเทียม ที่รีบจัดการย้ายตำแหน่ง เอามาจ่อซูดานเรียงกันเป็นตับ ไม่นาน ก็มีข่าวว่า จีนค้นพบแหล่งน้ำมันแล้วที่เมืองดาฟูร์ Darfur ที่อยู่ในซูดานใต้ และมีแผนจะสร้างท่อส่งน้ำมัน ยาว 900 ไมล์ จากแหล่งน้ำมันในซูดานใต้ ไปยังท่าเรือซูดาน เพื่อไปออกทะเลแดง ไปลงถังน้ำมัน เพื่อส่งไปจีน ครบถ้วนกระบวนการ อาเฮียถอนหายใจดังเฮือก ข่าวนี้ ทำให้นักล่าใบตองแห้งและอังกฤษชาวเกาะใหญ่ เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย แทบจะลงดิ้นกลิ้งกับพื้นด้วยความขัดใจ มันทำได้ยังไง มันหลุดมือพวกเราไปได้อย่างไร แบบนี้แผนการสร้าง กับดักท่อ รัดคอซูดาน ต้องรีบดำเนินการด่วน เดือนเมษายน ค.ศ.2005 รัฐมนตรีพลังงานของซูดานประกาศ ที่คาร์ทูม Khartoum เมืองหลวงของซูดานว่า เราพบแหล่งน้ำมันใหญ่ ที่ทางใต้ของเมืองดาร์ฟู Darfur ซึ่งคาดว่าจะทำการผลิตน้ำมันได้ประมาณ 5 แสน บาเรลต่อวัน ในไม่กี่สัปดาห์นี้ นักธรณีวิทยาคาดว่า จะเป็นแหล่งน้ำมันที่ยาวจากดาร์ฟูไปถึงเพื่อนบ้านอย่างชาด Chad และแคเมอรูน Cameroon แหล่งนี้ อาจจะเป็นแหล่งน้ำมันใหญ่ที่สุด ที่พบนอกประเทศซาอุดิอารเบีย… (อ่านนิทานเรื่องนี้ จะได้รสอร่อยขึ้น ถ้าดูแผนที่ประกอบนะครับ) หลังจากการขุดเจอน้ำมันที่ดาร์ฟู จีนเร่งเดินสาย ผูกข้อมือกับชาวอาฟริกา อย่างจริงจัง และจริงใจ ด้วยการเสนอเงินกู้ระยะยาว แบบเงินช่วยเหลือคือไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีเงื่อนไงผูกมัด ไม่บังคับว่าจะต้องขายสมบัติเก่า หรือแปรรูปบ้าบออะไร แค่ให้เอาเงินไปพัฒนา สร้างสาธารณูประโภค ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน ตามอัธยาศัยของผู้กู้ ไม่มีการขู่ ไม่มีการบีบ มันเป็นหนังคนละม้วน เงื่อนไขคนละชุด กับของพวกก๊วนหน้าเลือด ใจดำ ธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ World Bank, IMF สำหรับซูดาน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 ที่เจอแหล่งน้ำมัน จีนลงทุนในซูดานไปแล้ว เป็นจำนวน 1 หมื่น 5 พันล้านเหรียญ ส่วนบริษัท China National Petroleum Company (CNPC) ร่วมลงทุนในการขุดสำรวจน้ำม้นกับซูดาน เป็นจำนวน 5 พันล้านเหรียญ และจีนยังถือหุ้นอีก 50% ในโรงกลั่นน้ำมันที่ คาร์ทูมร่วมกับรัฐบาลซูดานอีกด้วย และจีนได้ทำสัญญาสั่งน้ำมันล่วงหน้าจากซูดาน เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งใจป้ำจ่ายเงินล่วงหน้าด้วย ให้เห็นว่าจีนเอาจริง ซื้อจริง รวยจริง ต่างกับค่ายอื่น ที่ดูเหมือน จะรวยแค่ลมปาก ทันทีที่มีข่าวนี้ออกไป กองกำลังจากไหนไม่รู้ ผุดขึ้นมาเต็มทะเลทราย ไล่ไปตั้งแต่ แนวเขตแดนของ ชาด ที่อยู่ติดกับซูดาน เป็นกองกำลังที่ติดอาวุธอย่างดี ของตะวันตก หลังจากนั้น ก็มีข่าวปล้น ฆ่า ข่มขืน ตลอดไปทั้งภูมิภาค คราวนี้ วอชิงตัน และ กระป๋องใส่สีย้อมข่าว ยี่ห้อซีเอนเอน ต่างประโคมข่าวทั้งวัน ว่าเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่ดาร์ฟู Darfur Genocide ทั้งหมด ที่กระป๋องใส่สีย้อมข่าวใบใหญ่ ตีปีบโหมข่าว ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจว่า เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเอากองทัพนาโต้ เข้าไปอยู่เต็มซูดานใต้ เพื่อดูแลความสงบ จำไว้ให้ดีนะครับ “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” เป็นข้ออ้างของ ไอ้นักล่าใบตองแห้ง และสมุน ขี้ข้ารับใช้ทั้งหลาย ชอบเอามาใช้อ้าง เวลาเสียเปรียบ หรือเวลาจะเอาเปรียบ หรือเวลาอะไรก็ได้ เพื่อจะเอากองกำลังของตัวเองเข้าไปในบ้านของคนอื่นว่ากำลังมีเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธ์กัน ก็มาจากการสร้างเรื่องของพวกเอ็งทั้งนั้นแหละ แมวถูกหมาไล่กัด ก็เป็นเรื่องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเหมือนกันนะ ท่อส่งน้ำมัน ที่จีนสร้างในซูดาน ส่วนใหญ่อยู่ทางซูดานใต้ มีแหล่งสำรวจใหญ่แหล่งเดียวอยู่ ที่ทางซูดานเหนือ ทางเหนือของซูดานมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองคาร์ทูม ควบคุมโดยรัฐบาลที่เป็นอิสลาม อเมริกาพยายามสร้างสงครามกลางเมือง แบ่งซูดานเป็น 2 ส่วน ซูดานเหนือกับซูดานใต้ โดยอเมริกา เล็งยึดซูดานใต้ มาเป็นของพวกตัว และเป็นการถีบจีนออกจากแหล่งทรัพยากรใหญ่ ที่สามารถจะช่วยจีนได้แยะ (ถ้าจีนได้ไป) เรื่องนี้ นักล่าใบตองแห้งกับพวกยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อาเฮียชักหายใจไม่โล่ง พระเอกหนัง George Cloony เลยต้องไปเข้าฉาก แสดงบทดาราใจบุญ อยู่ที่ซูดานใต้ ใช้พระเอกรูปหล่อใจบุญ ทำหน้าที่ตีข่าว ประกาศให้โลกสนใจ และหลงเชื่อว่า กำลังมีการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ เกิดขึ้นในซูดานใต้ มีคนใจร้ายกำลังฆ่าคนบริสุทธิ์ แบบนี้ได้ผลเร็วกว่า เอานักข่าวธรรมดา เดินเซไปเซมา รายงานข่าว ก็เรื่องมันด่วน รอช้าได้ที่ไหน เดี๋ยวอาเฮีย เขาเอาไปหมด มันเล่นแบบหนังฮอลลีวู้ด เอาดารามาแสดงได้จริงๆ แน่จริงๆ ไอ้ใบตองแห้ง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 16
    ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น
    และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย
    สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์
    ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ
    หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน
    เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร …
    การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น
    และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน
    แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ
    กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ
    ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา
    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ..
    สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ…
    คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ
    เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน)
    MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า
    นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง
    และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ
    นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980
    ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง
    นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน
    กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน
    นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา
    มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 16 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 16 ในปี ค.ศ.1941 ธุรกิจต่างชาติในญี่ปุ่น อยู่ในมืออเมริกา ถึง 3 ใน 4 และ เจ้าพ่ออเมริกาในญี่ปุ่น ก่อนปี ค.ศ.1941 คือ เจ พี มอร์แกน กับกลุ่มทุนอเมริกัน ที่เป็นฉากหน้าให้กับ รอทไชลด์ Rothschild บรรดาฑูตอเมริกัน ประจำญี่ปุ่น ในช่วงนั้น ส่วนใหญ่มาจากสายของมอร์แกน เช่น W Camaron Forbes นอกจากเป็นฑูตแล้ว ยังเป็นกรรมการคนหนึ่ง ของมอร์แกน ด้วย ส่วนอีกคน ที่มีบทบาทมาก คือ Joseph Grew (ที่มีเมีย ดองกับเมีย Jack Mogan) จึงไม่แปลก ที่กลุ่มมอร์แกนและอังกฤษ จะครอบญี่ปุ่น โดยการจับมือกับกลุ่มมิตซุย Mitsui ตระกูลใหญ่มากของญี่ปุ่น ที่ครอบงำธุรกิจในญี่ปุ่นอยู่แล้ว แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งสร้างอาณาจักรจาก (การปล้น) ทรัพยากร ไม่ใช่ จากธุรกิจการ (ปล้น) เงินและทำอุตสาหกรรมอย่างมอร์แกน คงไม่นั่งเฉยๆ ปล่อยให้ มอร์แกนและพวกพ้องอังกฤษ คาบเอาเอเซียแปซิฟิกไปง่ายๆ เขาตั้งใจ ยืนยัน และมุ่งมั่นว่า อเมริกา แต่ผู้เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ครองโลก “โดยไม่แบ่งกับใคร” และมันต้องเป็นอเมริกา ภายใต้การครอบงำ ชักใยของเขาและพวกเท่านั้น ไม่ใช่ ใครอื่น และด้วยความตั้งใจ อย่างมุ่งมั่น เช่นนั้น ร้อกกี้เฟลเลอร์ ก็พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อขยี้ และเขี่ย กลุ่มพันธมิตร ระหว่างมอร์แกน อังกฤษ (และมิตซุย ในกรณีของญี่ปุ่น) ให้แตกกระจุย สำหรับ การยึดเอเซียแปซิฟิก ร้อกกี้เฟลเลอร์ เริ่มต้นด้วยการใช้เครือข่ายของ Standard Oil ของเขา และมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่ไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่จีน ตั้งแต่ปี ค.ศ.1913 และร่วมมือกับตระกูล Harriman เจ้าพ่อ ทางรถไฟ ที่ร่ำรวยจากสร้างทางรถไฟในอเมริกายังไม่พอ จึงไปบุกตลาดจีน ช่วงเวลาใกล้เคียงกับร้อกกี้เฟลเลอร์ ตัวจักรใหญ่ ที่เดินสายจัดการตามแผนที่วางคือ สำนักงานฏหมายประจำตระกูลของร้อกกี้เฟลเลอร์ คือ Sullivan and Cromwell ท่านที่เคยอ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษ คงพอจำได้ว่า ทางการของอเมริกา เจอบันทีก การจ่ายเงิน ของสำนักงานนี้ให้แก่ ซุนยัดเซ็น รวมทั้งข้อตกลงของซุนยัดเซ็น ที่จะมอบสัมปทานให้ เมื่อปฏิวัติจีนสำเร็จ หัวหน้าทนายใหญ่ ของสำนักงาน Sullivan and Cromwell คือ นาย John Foster Dulles ซึ่งต่อมา ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธานาธิบดี Eisenhower ไอเซนฮาว มีนโยบายคัดค้านระบอบคอมมิวนิสม์ อย่างชนิดหัวชนฝา มันคงพออธิบายให้เราได้บ้างเกี่ยวกับตอนจบของ ซุนยัดเซ็น และขอเพิ่มเติมว่า ซุนยัดเซ็นนั้น ในตอนท้ายที่ป่วยและเสียชีวิตนั้น เขาป่วย และเสียชีวิตที่เมืองจีน ในสถานพยาบาล ที่มูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์เป็นเจ้าของ ส่วนน้องชายของ John คือ Allan ก็ได้เป็นผู้อำนวยการ CIA สมัย Eisenhower เช่นเดียวกัน เรื่องของ Sullivan And Cromwell น่าจะมาเขียนเป็นเรื่องปล้น ภาคพิศดาร … การใช้สำนักงานกฏหมาย หรือตัวทนายความ ไม่ใช่เรื่องแปลก สมัยนี้ก็ยังใช้กันอยู่ ถ้าจำกันได้ ไอ้โจรร้ายบ้านเรา มันก็ใช้ทนายไปทำทุกเรื่อง โดยเฉพาะไอ้พวกขี้ลืม ชอบเอาห่อขนมก้อนใหญ่ๆ ไปลืมทิ้งไว้ที่โน่นที่นี่ ส่วนไอ้พวกนักล้อบบี้ฝรั่ง ที่ชอบมาสร้างเรื่องระยำในบ้านเรา ก็ทนายทั้งนั้นครับ น่าเสียดายจริงๆ เป็นวิชาชีพที่ช่วยคนได้มาก คนโบราณท่านถึงให้เกียรติเรียกหมอความ แต่ก็มีที่เอาอาชีพที่ดี มาช่วยคนชั่วกัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ นี่ ก็น่าจะเป็นเจ้าของโรงฟอกย้อมต้วจริง เขาคิดเครื่องมือฟอกย้อม soft power ได้อย่างฝั่งรากลึก แม้จะเป็นรากเทียม แต่ดูเหมือน เมื่อฝังลงไปแล้ว จะทำลายรากจริงได้ด้วยการสร้างรากเทียมของเขา ตั้งแต่การสร้างมหาวิทยาลัย การคิดหลักสูตร เจาะลึกไปในแต่ละท้องที่ ที่เรียกว่า area studies ให้รู้จุดอ่อน จุดแข็งของเหยื่อแต่ละราย และถ้าสังเกตกันให้ดี ขบวนการล้มเจ้า ทำลายความมั่นคงของประเทศเรา ส่วนใหญ่ ก็เริ่มมาจากไอ้พวกอาจารย์ ที่ไปเรียนวิชาเฉพาะ area studies และบางคน ก็ยังสอนวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่นอเมริกา และญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ เพราะสถาบันกษัตริย์ เป็นจุดแข็ง เป็นความมั่นคงอย่างสำคัญของประเทศเรา มันอยากจะกินเรา ครอบเรา มันก็ใช้วิธีการ บ่อนทำลายจุดแข็งนั้น และอีกวิธีการ ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ที่เรียกว่า consent management วิธีจัดการให้คนยินยอม และเห็นพ้องด้วย ตามเหตุผลที่เขา “สร้าง” ขึ้นมาให้เราหลงเชื่อ ผมเขียนเรื่องพวกนี้ไว้ในนิทานเรื่องแกะรอยนักล่า ช่วยประหยัดเวลาคนแก่ ไปเอามาอ่านกันหน่อย จะได้เข้าใจว่า เขาฝังรากเทียมให้เราอย่างไร ถึงแก้ยากแก้เย็นนัก จนลืมรากเหง้าของแท้ของเรากัน แต่ร้อกกี้เฟลเลอร์ ไม่ใช่นักการเงิน (แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร Chase Manhattan ที่เคยใหญ่คับโลก รวมทั้งในเมืองไทย ช่วงสงครามเวียตนาม และหลังจากนั้น ) เขาเป็นคนชอบวิทยาศาสตร์ จึงค้นคิดสูตรครองโลกเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่ากลัวกว่า ด้านการเงิน การเงินพอแก้เกมกันได้ แต่ด้านวิทยาศาสตร์ เช่น การเกษตร พันธุ์ จีเอ็มโอ การตอนพันธุ์ การคัดสายพันธุ์มนุษย์ ซึ่งรวมถึงอาวุธร้ายรูปแบบต่างนั้น สร้างความเสียหายต่อชีวิต และบ้านเมืองสูงนัก การแก้ทำไม่ได้ง่าย (มีเขียนอยู่ในนิทานเรื่อง มายากลยุทธ) บ้านเรา ก็ขายเมล็ดพันธ์ทางเกษตร และผลผลิต แบบจีเอ็มโอ GMO ทั้งนั้น ซึ่งเป็นการทำลายสายพันธ์อย่างยิ่ง และต้นทุนสูง สร้างหนี้ให้เกษตรกรอย่างน่าสงสาร ขณะเดียวกัน ชีวิตและสุขภาพ ของกินผลิตผล ของจีเอ็มโอ ก็น่าเป็นห่วง ใครขาย ใครปล่อยให้ขาย จะทำลายกันถึงไหน…ใครมีดาบอาญาสิทธิ อยู่ในมือ ก็หันมาดูบ้าง เรื่องใหญ่นะครับ กลับมาที่ญี่ปุ่น ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น แม้อเมริกา จะมาทีหลังอังกฤษหลายสิบปี แต่อเมริกาก็สามารถแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ได้ผลอย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเครื่องมือฟอกย้อม แบบ ฝังรากเทียมนี่แหละ ก่อนที่จะมีหน่วยงานข่าวกรอง หรือหน่วยสืบราชการลับ การหาข่าว ข้อมูล หรือสร้างเครือข่ายในประเทศเป้าหมาย ก็มักจะทำโดยพระ ผู้สอนศาสนา มิชชั่นนารี หรือหน่วยงานที่มาในรูปของการให้ความร่วมมือ การส่งเสริมทางสังคม วัฒนธรรม การศึกษา ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 อเมริกา ทดลองวิธีหาเหยื่อแบบใหม่ อเมริกา สร้าง Young Men’s Christian Association หรือ YMCA ส่งหนุ่มน้อยเดินสายไปทั่วทุกแห่ง เพื่อสังสรร และชวนเล่นกีฬา มีแต่คนเอ็นดู ทำให้อเมริกาได้ข้อมูล และสร้างเครือข่ายตามที่ต้องการ บ้านเราก็มีมาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านนิทานคงเกิดไม่ทันกัน YMCA รุ่นแรก มาบ้านเราตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้ามาตั้งสำนักงานอยู่แถวถนนวรจักร พอสมัยสงครามเวียตนาม ก็ย้ายมาอยู่แถวถนนสาธร สถานที่กว้างขวาง มีคอร์ตเทนนิส โรงหนังโรงละคร ขนาดเล็ก เพื่อนำวัฒนธรรม หรือข้อมูล ที่อเมริกาต้องการฝังหัว ให้แก่สังคมไทย ส่วนที่อเมริกาเลือกแล้วว่า จะเป็นประโยชน์แก่ตัว หลังสงครามเวียตนาม เข้าใจว่า เปลี่ยนรูปแบบ ไม่ใช้ YMCA เพราะเชยไปแล้ว เปลี่ยนไปใช้แบบพันธ์ผสม มีตั้งแต่ สื่อ นักวิชาการ ครูบาอาจารย์ จนมาถึงนักเคลื่อนไหว เอ็นจีโอ นักสิทธิมนุษยชน ไปจนถึง คนคุมกำเนิด เฮ้อ.. สำหรับท่านที่อ่านนิทาน ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว คงจำได้ว่า อเมริกาก็ส่ง YMCA เข้าไปในรัสเซีย ช่วงที่กำลังสร้างปฏิวัติให้รัสเซียในปี ค.ศ.1917 รวมทั้ง ส่งเข้าไปในจีน หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบใหม่ๆ แปลว่า อเมริกา มีแผนการ คิดกินรวบ ตั้งแต่รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น และเอเซียแปซิฟิกมานานแล้ว ไม่ต่างกับอังกฤษ เพียงแต่อเมริกา รอเวลากิน โดยดูตัวอย่างการกินของอังกฤษ ที่แม้จะดูเฉียบคม แต่ก็ทำให้เหยื่อตื่นและเชื่องยาก อเมริกาจึงคิดวิธีกินเหยื่อแบบใหม่ ชนิดเหยื่อเปิดบ้านนอนรอ… คนที่ถือธง นำ YMCA เข้ามาที่ญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1917 ชื่อ Frank Buchman เขาเข้ามาทำความรู้จักกับสังคมญี่ปุ่น ส่วนที่กำลังเห่อฝรั่ง สมาชิก YMCA ญี่ปุ่น มีตั้งแต่ ตระกูลใหญ่ อย่างสุมิโตโม และ มิตซุย ซึ่งเป็นเจ้าพ่อ บรรษัทใหญ่ ที่ผูกขาดธุรกิจของญี่ปุ่น และ บารอน ไออิชิ ชิบุซาวะ Eiichi Shibusawa นักธุรกิจใหญ่อีกคน ซึ่งเป็นคริสเตียน ที่มีความสนิทสนม และมีเครือข่ายกับทั้งฝั่งอังกฤษ และอเมริกา เป็นหัวหน้าสหภาพการค้าของญี่ปุ่น และเป็นผู้ริเริ่มตั้งคณะนิติศาสตร์ ที่ใช้หลักกฏหมายของเยอรมันขึ้น ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว คุ้นๆ ไหมครับ เมื่อ ใช้ YMCA แทรกเข้าไปหาข้อมูล และสร้างเครือข่ายได้หลายปีกำลังดี นาย Frank Buchman ก็ไปจากญี่ปุ่น คราวนี้เขาไปตั้งสถาบันชื่อประหลาด Moral Rearmament Movement (MRA) เป็นขบวนการล้างสมองที่น่ากลัวมาก และกลับมาในญี่ปุ่นอีกครั้งในช่วงปี ค.ศ.1920 คราวนี้ เครือข่าย MRA ในญี่ปุ่นขยายใหญ่กว่าสมัยเป็น YMCA กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาให้การสนับสนุน MRA เต็มที่ และในที่สุด MRA ก็เป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่ง ที่อเมริกา โดยร้อกกี้เฟลเลอร์ และ ซีไอเอ ใช้สร้างและควบคุม เครือข่ายของตนในญี่ปุ่น (ในปี คศ 1930 MRA มีเครือข่ายอยู่ใน 2 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น และเยอรมัน) MRA เริ่มเข้าไปสร้างเครือข่าย ในมหาวิทยาลัยโตเกียว ที่มีนักศึกษาด้านกฏหมาย และเศรษฐศาสตร์ ตามทฤษฏีของ เยอรมัน และสร้างความคิดต่อต้านการเคลื่อนไหวของกรรมกร ผู้ที่สนับสนุนการต่อต้านกรรมกรอย่างเปิดเผย คือ นาย ซาซากาวา Sasagawa Ryoichi ซึ่งเป็นนักโทษร่วมรุ่น กับ นายคิชิ ที่คุก Sugamo และจูงมือออกจากคุกมาพร้อมกัน กับนายโคโดมะ ยากูซ่า นายซาซากาวา นั้น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยไปร่วมประชุมกับฮิตเล่อร์ และมุสโสลินี ที่พยายามสร้างเครือข่ายการร่วมมือระหว่าง ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ และนาซี เยอรมัน เพื่อต่อต้านโซเวียต มันเป็นโปรแกรมเดียวกับที่ MRA เสนอ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแผนสลับข้าง และผู้ที่เป็นตัวเชื่อมสำคัญ ระหว่าง MRA หรืออเมริกากับกองทัพญี่ปุ่น ก็คือ นาย ซาซากาวา คนนี้เอง เขาเป็นพวกชาตินิยมหัวรุนแรง และได้ชื่อว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น ชักใยประเทศญี่ปุ่นอยู่ถึง 50 ปี ตั้งแต่ช่วง ปี ค.ศ.1930 -1980 ซาซากาวา เป็นชาวเมือง Minoo อยู่ใกล้ๆ กับ Osaka ร่ำรวยขึ้นมาจาการเก็งกำไรเรื่องข้าว ในปี ค.ศ.1927 ซาซากาวา ตั้งกลุ่มชื่อ Kokubosha หรือ National Defense Society และปี ค.ศ.1931 ตั้งอีกกลุ่มชื่อ Kokusui-Taihuto หรือ Mass Party of the Patriotic Peoples ทั้ง 2 สมาคม เป็นพวกขวาจัด ชาตินิยมรุนแรง นายซาซากาวา สร้างกองกำลังของตัวเองหลายหมื่นคน (น่าจะเป็นยากูซ่าแทบทั้งนั้น) นอกจากมีกองกำลังแล้ว เขายังมีเครื่องบินอีก 20 ลำ แถมลงทุนสร้างสนามบินส่วนตัวใกล้เมืองโอซากา ทั้งหมดเพื่อใช้ในการเข้าไปปฏืบัติการในจีน เพื่อปล้น และยึดทรัพยากร ขนทอง และเพชรจากจีนด้วยเครื่องบินของเขา เที่ยวละหลายสิบกระสอบ รวมทั้งฝิ่น หลายครั้ง 2 สมาคมของซาซากาวา ร่วมปฏิบัติการกับยากูซ่ากลุ่มมังกรดำ ที่นำโดย นายโคดามะ Yoshio Kodama ที่เป็นเพื่อนกัน และเป็นพวกขวาจัด และชาตินิยมเหมือนกัน กลุ่มชาตินิยมเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่กับกองทัพญี่ปุ่นที่แมนจูเรีย และ มองโกเลีย โดยการรู้เห็นและสนับสนุนของกองทัพ รวมถึงรัฐบาลด้วย ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ มีส่วนกับพฤติกรรม ที่ทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น มากน้อยแค่ไหน นาย ซาซากาวา นั้น เป็นผู้ที่มีเสียงดังฟังชัดว่า อยู่ฝ่ายประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับนายโคดามะ และในช่วงที่การเมืองญี่ปุ่นแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ในช่วงก่อนปี ค.ศ.1931 นักการเมืองระดับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพถูกเก็บเป็นว่าเล่น ข่าวว่า เป็นฝีมือกลุ่มในสังกัดของ นายซาซากาวา เกือบทั้งสิ้น และด้วยเงินทุนของนายซาซากาวา ที่ได้มาจากการปล้นจีน ทิศทางของรัฐบาลญี่ปุ่น ก็จึงยิ่งเอียงมาทางให้กองทัพญี่ปุ่น ยกกำลังลงมาทางใต้ และมาบุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในที่สุดกองทัพญี่ปุ่น ก็ตัดสินใจ ยกกำลังลงมาทางใต้ บุกเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จริงๆ มันเป็นการตัดสินใจภายใต้คำแนะนำ ของ นาย Tsuji Masanobu นักยุทธศาสตร์คนสำคัญประจำกองทัพ ความสำคัญของเขา น่าจะมีมากกว่าระดับกองทัพด้วยซ้ำ มีข่าวว่า ภายหลัง เขามาวางยุทธศาสตร์การรบและตั้งกองบัญชาการอยู่ทางใต้ของบ้านเรา มันเป็นการตัดสินใจที่สอดคล้อง และก็เป็นไปตามโครงการ War and Peace Studies ของ CFR ที่ทำการศึกษาวางแผน อยู่ถึง 2 ปี ในช่วง คศ 1939-1940 ภายใต้การอำนายการของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 427 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขออภัยที่ข่าวสารไปไม่ถึงคุณ

    สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา และจังหวัดภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา หลายภาคส่วนต่างทำหน้าที่แก้ไขปัญหาสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับสื่อมวลชนแต่ละสำนัก ต่างทำหน้าที่นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย และประสานความช่วยเหลือกับภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสล้มผังรายการปกติ จัดรายการพิเศษ "มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568" ตั้งแต่ 05.30 ถึง 24.00 น.

    ขณะที่ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ปรับผังรายการและขยายการรายงานสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี รวมทั้งสื่อวิทยุและสื่อออนไลน์ในเครือข่ายสื่อรัฐ ไม่นับรวมความทุ่มเทของสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ ต่างเหน็ดเหนื่อยและเสียสละไม่แพ้กัน

    แต่เนื่องจากปัจจุบันระบบ Algorithm ของโซเชียลมีเดียตะวันตก มักจะเลือกนำเสนอในสิ่งที่ผู้ใช้สนใจเป็นหลัก ทำให้ไม่ทราบว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น เข้าใจผิดว่าสื่อมวลชนไม่ทำหน้าที่ เริ่มจากอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตาม 1.7 ล้านราย ระบุว่า "อยากให้สื่อเสนอข่าวน้ำท่วมก่อนค่ะ ดาราเป็นหนี้ใดๆ ให้เขาหาเงินใช้หนี้ไป เพราะตอนนี้ทั่วพื้นที่หาดใหญ่มีทั้งเด็กทารกและคนชราติดอยู่ในพื้นที่รอหน่วยงานไปช่วยเหลือเยอะมากๆ ค่ะ"

    สื่อมวลชนต่างพากันวิจารณ์เป็นจำนวนมาก สุดท้ายอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวขอโทษสื่อมวลชนทุกคน ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่สบายใจ คนที่นำเสนออยู่แล้วไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ได้โพสต์เพื่อล่าแม่มด ชวนทะเลาะหรือทำให้เกิดความแตกแยก แค่อยากทำให้คนสนใจน้ำท่วมมากขึ้นสักคน ก็บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว และได้แก้ไขต้นโพสต์เพื่อความสบายใจ ตรงจุดประสงค์ที่จะสื่อมากขึ้น และไม่ทำให้เป็นการกล่าวโทษใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

    แต่สำหรับ "นารา เครปกะเทย" หรือนายอนิวัต ประทุมถิ่น อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ผู้ติดตามมากกว่า 2.4 ล้านคน กลับระบุว่า "สื่อช่วยหยุดลงข่าวดาราเรื่องเงินได้แล้วค่ะ แล้วมาช่วยลงข่าวน้ำท่วมภาคใต้หน่อยค่ะ มีคนเดือดร้อนมากมาย คิดเสียว่าเขาคือพ่อแม่เราเนอะ" ปรากฎว่ามีแฟนคลับต่างพากันคอมเมนต์เห็นด้วย แม้จะมีคนทักท้วงว่า คิดอะไรไม่ออก ด่าสื่อไว้ก่อน สื่อเขาทำข่าว ลงพื้นที่กันหมดแล้ว แต่กลับตอบคำถามอีกอย่าง

    นี่คือผลเสียของอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียตะวันตกที่ระบบอัลกอริทึมครอบงำผู้คนในชีวิตประจำวัน กลายเป็นการปิดหูปิดตาทางอ้อม ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่า ประเทศไทยเวลานี้กำลังเกิดหายนะอะไรขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้

    #Newskit
    ขออภัยที่ข่าวสารไปไม่ถึงคุณ สถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จ.สงขลา และจังหวัดภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา หลายภาคส่วนต่างทำหน้าที่แก้ไขปัญหาสถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ เช่นเดียวกับสื่อมวลชนแต่ละสำนัก ต่างทำหน้าที่นำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย และประสานความช่วยเหลือกับภาคส่วนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสล้มผังรายการปกติ จัดรายการพิเศษ "มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568" ตั้งแต่ 05.30 ถึง 24.00 น. ขณะที่ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์ และบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ปรับผังรายการและขยายการรายงานสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) และสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอต เอชดี รวมทั้งสื่อวิทยุและสื่อออนไลน์ในเครือข่ายสื่อรัฐ ไม่นับรวมความทุ่มเทของสื่อมวลชนสำนักอื่นๆ ต่างเหน็ดเหนื่อยและเสียสละไม่แพ้กัน แต่เนื่องจากปัจจุบันระบบ Algorithm ของโซเชียลมีเดียตะวันตก มักจะเลือกนำเสนอในสิ่งที่ผู้ใช้สนใจเป็นหลัก ทำให้ไม่ทราบว่าบ้านเมืองกำลังเกิดอะไรขึ้น เข้าใจผิดว่าสื่อมวลชนไม่ทำหน้าที่ เริ่มจากอินฟลูเอนเซอร์รายหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตาม 1.7 ล้านราย ระบุว่า "อยากให้สื่อเสนอข่าวน้ำท่วมก่อนค่ะ ดาราเป็นหนี้ใดๆ ให้เขาหาเงินใช้หนี้ไป เพราะตอนนี้ทั่วพื้นที่หาดใหญ่มีทั้งเด็กทารกและคนชราติดอยู่ในพื้นที่รอหน่วยงานไปช่วยเหลือเยอะมากๆ ค่ะ" สื่อมวลชนต่างพากันวิจารณ์เป็นจำนวนมาก สุดท้ายอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวขอโทษสื่อมวลชนทุกคน ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่สบายใจ คนที่นำเสนออยู่แล้วไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ได้โพสต์เพื่อล่าแม่มด ชวนทะเลาะหรือทำให้เกิดความแตกแยก แค่อยากทำให้คนสนใจน้ำท่วมมากขึ้นสักคน ก็บรรลุเป้าหมายของตนแล้ว และได้แก้ไขต้นโพสต์เพื่อความสบายใจ ตรงจุดประสงค์ที่จะสื่อมากขึ้น และไม่ทำให้เป็นการกล่าวโทษใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่สำหรับ "นารา เครปกะเทย" หรือนายอนิวัต ประทุมถิ่น อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง ผู้ติดตามมากกว่า 2.4 ล้านคน กลับระบุว่า "สื่อช่วยหยุดลงข่าวดาราเรื่องเงินได้แล้วค่ะ แล้วมาช่วยลงข่าวน้ำท่วมภาคใต้หน่อยค่ะ มีคนเดือดร้อนมากมาย คิดเสียว่าเขาคือพ่อแม่เราเนอะ" ปรากฎว่ามีแฟนคลับต่างพากันคอมเมนต์เห็นด้วย แม้จะมีคนทักท้วงว่า คิดอะไรไม่ออก ด่าสื่อไว้ก่อน สื่อเขาทำข่าว ลงพื้นที่กันหมดแล้ว แต่กลับตอบคำถามอีกอย่าง นี่คือผลเสียของอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียตะวันตกที่ระบบอัลกอริทึมครอบงำผู้คนในชีวิตประจำวัน กลายเป็นการปิดหูปิดตาทางอ้อม ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่า ประเทศไทยเวลานี้กำลังเกิดหายนะอะไรขึ้น กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินแก้ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดใจ “ดร.สฤษฎ์พงษ์“ ปธ.กมธ.MOU 43-44 : คนเคาะข่าว 25-11-68
    : ดร.สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานกมธ.วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู 2543 และ 2544
    ดำเนินรายการ นงวดี ถนิมมาลย์

    https://www.youtube.com/watch?v=fTs8au6Jk30
    เปิดใจ “ดร.สฤษฎ์พงษ์“ ปธ.กมธ.MOU 43-44 : คนเคาะข่าว 25-11-68 : ดร.สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานกมธ.วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู 2543 และ 2544 ดำเนินรายการ นงวดี ถนิมมาลย์ https://www.youtube.com/watch?v=fTs8au6Jk30
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซีไอเอ็มบีไทยขอลา ยกเลิกบริการบัตรเดบิตในไทย

    ผู้ใช้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี พร้อมกับบัตรเดบิตชิลดี ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดขายฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดอายุบัตร ถอนเงินสดฟรีทุกตู้ ATM ทั่วไทยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และตู้ ATM ธนาคารในกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มากกว่า 5,900 เครื่อง รวมทั้งลูกค้าบัตรเดบิตซีไอเอ็มบีไทยทุกประเภท อาจต้องเตรียมเก็บบัตรไว้ในลิ้นชัก

    เมื่อธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทยอยแจ้งลูกค้าที่เข้ามาสอบถามผ่านเฟซบุ๊กของธนาคาร ว่า บัตรเดบิต ซีไอเอ็มบี ไทย จะสิ้นสุดการให้บริการในวันที่ 3 เม.ย. 2569 เป็นต้นไป เพื่อความสะดวกและต่อเนื่องในการทำธุรกรรมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นอกจากการถอนเงินสดผ่านสาขาของธนาคารแล้ว สามารถใช้บริการแอปฯ CIMB THAI เพื่อทำธุรกรรมถอนเงินไม่ใช้บัตรที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป

    ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ออกบัตรเดบิตรองรับระบบวีซ่า เพย์เวฟ (VISA Paywave) เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 คิดค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2562 ชูจุดขายดอกเบี้ย 2% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตทุกอย่าง ยกเว้นกรณีบัตรหาย กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. 2563 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเดบิต ชิลดี ระหว่างนั้น ธนาคารก็ประกาศยกเลิกบริการตู้เอทีเอ็ม และเอทีเอ็มแบบทรีอินวันในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่บัตรเดบิตของธนาคารยังสามารถทำรายการได้ฟรีผ่านตู้ ATM ทุกธนาคารทั่วไทย ไม่มีค่าธรรมเนียม

    ผลกระทบที่ตามมา หนึ่งในนั้นคือนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ผ่านมาสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคาร CIMB และ CIMB Islamic ได้ฟรี แต่เมื่อไม่มีบัตรเดบิตซีไอเอ็มบี ไทย ในปีหน้า อาจต้องหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้บัญชีและบัตรเดบิตธนาคารยูโอบี ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด หรือสอบถามยอดเงิน ได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารยูโอบีที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ก็มีค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นต่ำ 50 ริงกิต หรือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าประเทศมาเลเซีย

    #Newskit
    ซีไอเอ็มบีไทยขอลา ยกเลิกบริการบัตรเดบิตในไทย ผู้ใช้บริการบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชิลดี พร้อมกับบัตรเดบิตชิลดี ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีจุดขายฟรีค่าธรรมเนียมรายปีตลอดอายุบัตร ถอนเงินสดฟรีทุกตู้ ATM ทั่วไทยไม่จำกัดจำนวนครั้ง และตู้ ATM ธนาคารในกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มากกว่า 5,900 เครื่อง รวมทั้งลูกค้าบัตรเดบิตซีไอเอ็มบีไทยทุกประเภท อาจต้องเตรียมเก็บบัตรไว้ในลิ้นชัก เมื่อธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทยอยแจ้งลูกค้าที่เข้ามาสอบถามผ่านเฟซบุ๊กของธนาคาร ว่า บัตรเดบิต ซีไอเอ็มบี ไทย จะสิ้นสุดการให้บริการในวันที่ 3 เม.ย. 2569 เป็นต้นไป เพื่อความสะดวกและต่อเนื่องในการทำธุรกรรมกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย นอกจากการถอนเงินสดผ่านสาขาของธนาคารแล้ว สามารถใช้บริการแอปฯ CIMB THAI เพื่อทำธุรกรรมถอนเงินไม่ใช้บัตรที่เครื่องเอทีเอ็ม ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ออกบัตรเดบิตรองรับระบบวีซ่า เพย์เวฟ (VISA Paywave) เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2558 คิดค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดิจิทัล ซีไอเอ็มบี ไทย เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2562 ชูจุดขายดอกเบี้ย 2% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ฟรีค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตทุกอย่าง ยกเว้นกรณีบัตรหาย กระทั่งวันที่ 21 ก.ค. 2563 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ชิลดี ซีไอเอ็มบี ไทย และบัตรเดบิต ชิลดี ระหว่างนั้น ธนาคารก็ประกาศยกเลิกบริการตู้เอทีเอ็ม และเอทีเอ็มแบบทรีอินวันในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่บัตรเดบิตของธนาคารยังสามารถทำรายการได้ฟรีผ่านตู้ ATM ทุกธนาคารทั่วไทย ไม่มีค่าธรรมเนียม ผลกระทบที่ตามมา หนึ่งในนั้นคือนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนหนึ่ง ที่นิยมไปท่องเที่ยวประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่กลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ผ่านมาสามารถกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มธนาคาร CIMB และ CIMB Islamic ได้ฟรี แต่เมื่อไม่มีบัตรเดบิตซีไอเอ็มบี ไทย ในปีหน้า อาจต้องหาทางเลือกอื่น เช่น ใช้บัญชีและบัตรเดบิตธนาคารยูโอบี ซึ่งฟรีค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด หรือสอบถามยอดเงิน ได้จากตู้เอทีเอ็มของธนาคารยูโอบีที่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่ก็มีค่าธรรมเนียมรายปี 300 บาท หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องแลกเงินที่สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ขั้นต่ำ 50 ริงกิต หรือที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเข้าประเทศมาเลเซีย #Newskit
    Like
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัญญานะ
    ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัญญานะ เนื้อว่าน ๑๐๘ ผสมผงพุทธคุณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ปี2547 // พระดีพิธีใหญ่ พระมีประสบการณ์ สามจังหวัดชาดแดนใต้ หายากครับ..... โดยพระราชทานให้แก่ประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหารและพลเรือน ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณโดดเด่นด้านแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ และคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้. เมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ เจรจาธุรกิจง่าย ช่วยในการค้าขายดี ผู้คนรักใคร่เอ็นดู โชคลาภ อำนาจวาสนาบารมี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องบริหาร **

    ** ในหลวงรัชกาลที่ 9 รุ่นสัญญานะ หลังพระแก้วมรกต ปี2547...พระมีประสบการณ์ สามจังหวัดชาดแดนใต้ หายากครับ..โดยพระราชทานให้แก่ประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหารและพลเรือน ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 จัดสร้าง "สัญญานะ" ใน พ.ศ 2547 เพื่อคุ้มครอง ช่วยให้ปลอดภัยจากภยันอันตรายต่างๆ ช่วยให้เรารอดออกมาในเวลาคับขัน ป้องกันภัยธรรมชาติ การเจ็บไข้ ป้องกันโรคภัย โดยพระราชทานให้แก่ประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหารและพลเรือน ที่ปฏิบัติงานใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ให้เป็นขวัญกำลังใจ ประสบการณ์ คือ ตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิงเสียชีวิต ๒ คน และได้วิทยุขอกำลังเสริม จากโรงพักแห่งหนึ่ง ระหว่างทางไปโดนผู้ก่อการร้ายซุ่มยิงระหว่างทางด้วยปืนอาร์ก้าและเอ็ม ๑๖ เข้าด้านข้างรถตรงกระจกหน้าเป็นแนวยาว ตำรวจในรถรอดเพราะแขวน " ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัญญานะ " **

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัญญานะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัญญานะ เนื้อว่าน ๑๐๘ ผสมผงพุทธคุณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ปี2547 // พระดีพิธีใหญ่ พระมีประสบการณ์ สามจังหวัดชาดแดนใต้ หายากครับ..... โดยพระราชทานให้แก่ประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหารและพลเรือน ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ // พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณโดดเด่นด้านแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ช่วยป้องกันภัยธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ และคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้. เมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ เจรจาธุรกิจง่าย ช่วยในการค้าขายดี ผู้คนรักใคร่เอ็นดู โชคลาภ อำนาจวาสนาบารมี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องบริหาร ** ** ในหลวงรัชกาลที่ 9 รุ่นสัญญานะ หลังพระแก้วมรกต ปี2547...พระมีประสบการณ์ สามจังหวัดชาดแดนใต้ หายากครับ..โดยพระราชทานให้แก่ประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหารและพลเรือน ที่ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 จัดสร้าง "สัญญานะ" ใน พ.ศ 2547 เพื่อคุ้มครอง ช่วยให้ปลอดภัยจากภยันอันตรายต่างๆ ช่วยให้เรารอดออกมาในเวลาคับขัน ป้องกันภัยธรรมชาติ การเจ็บไข้ ป้องกันโรคภัย โดยพระราชทานให้แก่ประชาชน ข้าราชการ ตำรวจ ทหารและพลเรือน ที่ปฏิบัติงานใน ๓ จังหวัดชายแดนใต้ให้เป็นขวัญกำลังใจ ประสบการณ์ คือ ตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิงเสียชีวิต ๒ คน และได้วิทยุขอกำลังเสริม จากโรงพักแห่งหนึ่ง ระหว่างทางไปโดนผู้ก่อการร้ายซุ่มยิงระหว่างทางด้วยปืนอาร์ก้าและเอ็ม ๑๖ เข้าด้านข้างรถตรงกระจกหน้าเป็นแนวยาว ตำรวจในรถรอดเพราะแขวน " ในหลวงรัชกาลที่ 9 สัญญานะ " ** ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว

    ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท

    MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี

    บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก"

    อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว

    สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง

    #Newskit
    หุ้น MRDIYT ประกันสังคมอาจเจ็บตัว ทำเอานักลงทุนใจหายใจคว่ำ เมื่อหุ้น MRDIYT ของบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร้านค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ สัญชาติมาเลเซีย เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 พ.ย. เป็นวันแรก ปรากฎว่าเปิดการซื้อขายที่ 7.05 บาท ต่ำกว่าราคาจองซื้อแบบ IPO ซึ่งกำหนดไว้ที่ 8.60 บาท หรือประมาณ 18% ก่อนที่ราคาจะขยับในระดับ 8 บาท สูงที่สุด 8.70 บาท ก่อนปิดการซื้อขายที่ราคา 8.60 บาท เท่ากับราคาจองซื้อ มูลค่าการซื้อขาย 4,698.30 ล้านบาท MRDIYT ประกอบธุรกิจร้านมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2559 ปัจจุบันมีสาขา 1,027 แห่ง ใน 77 จังหวัด ระดมทุนจากการเสนอขายหุ้นครั้งแรก 5,600 ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้สินและเงินกู้ยืมที่มีอยู่ของบริษัทฯ รวมถึงเงินกู้ยืมจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย 2,058.40 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขา ลงทุนบริษัทย่อย ซื้อที่ดินสำหรับคลังสินค้าเพิ่มเติม 500 ล้านบาท และใช้เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียน 721.30 ถึง 845.40 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่ระดมทุนสูงที่สุดในรอบ 3 ปี บทความของ สุนันท์ ศรีจันทรา ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน 360 ตั้งข้อสังเกตว่า หุ้น MRDIYT ได้รับความสนใจสูง เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท แต่การนำหุ้นจำนวน 655 ล้านหุ้น เสนอขายในราคา 8.60 บาท โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) ประมาณ 23 เท่า "ถือว่าเป็นราคาขายที่ไม่ถูกนัก" อีกด้านหนึ่ง ยังมีประเด็นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่บางรายนำหุ้น 553 ล้านหุ้น จาก 1,230 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 21% ของทุนจดทะเบียน ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน สำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล หรือ "นำหุ้นไปจำนำ" และเตรียมขายหุ้นในวันแรกที่หุ้นเข้าซื้อขายอีก 4.07% ในราคาเดียวกับราคาที่เสนอขายนักลงทุน นอกจากนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังเป็นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนหุ้นมูลค่าเพิ่มรายใหญ่บางคนจะหลีกเลี่ยง เพราะกลัวความเสี่ยงจากต่างชาติขายหุ้นทิ้ง หรือถ่ายเทเงินกลับบ้าน ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในหุ้นหลายตัว สิ่งที่น่าเป็นห่วงนอกเหนือจากหุ้น MRDIYT ต่ำกว่าราคาจองแล้ว พบว่าหนึ่งในผู้ถิอหุ้น คือ สำนักงานประกันสังคม จองซื้อผ่านทาง บลจ.ทาลิส 8,678,100 หุ้น และ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อีก 1,225,400 หุ้น รวมแล้ว 9,903,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 85,170,100 บาท คนที่เจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ประกันตนกว่า 24.8 ล้านราย เพราะกลายเป็นการนำเงินของผู้ประกันตนไปซื้อหุ้นที่ไม่รู้อนาคตว่าจะรุ่งหรือร่วง #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 513 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร้านค้ารับเงินนักท่องเที่ยวจีน สแกนพร้อมเพย์ได้แล้ว

    ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นประจำควรรู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศการเปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นำร่อง 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และจะมีธนาคารเข้าร่วมให้บริการเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป

    โดยร้านค้าที่มี QR Code ซึ่งธนาคารจัดพิมพ์ให้ หรือแอปพลิเคชันรับเงินผ่าน QR Code สำหรับร้านค้า และเครื่องรูดบัตร EDC ที่รองรับ Thai QR Payment สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีน โดยสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Alipay, WeChat Pay และธนาคารจีนที่มี UnionPay ไปยัง Thai QR Payment โดยตรงเพื่อชำระเป็นเงินหยวน ก่อนที่จะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอัตโนมัติ และร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท โดยไม่ต้องสมัครและสร้าง QR Code ของ Alipay หรือ WeChat Pay แยกต่างหากอีกต่อไป

    มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็นธนาคารรับชำระดุล (Settlement Bank) ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่าง เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) กับ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้ให้บริการ Alipay จากจีน

    ประโยชน์ของบริการ Cross-border Payment ระหว่างไทยและจีน ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 มีผู้มาเยือนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนกว่า 6.7 ล้านคน รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน และชาวจีนที่อาศัยอยู่ระยะยาวในไทย สามารถใช้จ่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินหรือเปิดบัญชีธนาคารในไทย ครอบคลุมหลากหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งรับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และลาว สามารถสแกนจ่ายในไทยได้แล้วก่อนหน้านี้

    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก ยังคงใช้ Promptpay QR Code สำหรับรับเงินโอนเฉพาะบุคคลจากโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก ไม่รองรับบริการ Cross-border Payment ทำให้ไม่สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รณรงค์ให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย

    #Newskit
    ร้านค้ารับเงินนักท่องเที่ยวจีน สแกนพร้อมเพย์ได้แล้ว ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าและบริการ ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นประจำควรรู้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศการเปิดให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่าน QR Code ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา นำร่อง 6 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และจะมีธนาคารเข้าร่วมให้บริการเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป โดยร้านค้าที่มี QR Code ซึ่งธนาคารจัดพิมพ์ให้ หรือแอปพลิเคชันรับเงินผ่าน QR Code สำหรับร้านค้า และเครื่องรูดบัตร EDC ที่รองรับ Thai QR Payment สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวจีน โดยสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชัน Alipay, WeChat Pay และธนาคารจีนที่มี UnionPay ไปยัง Thai QR Payment โดยตรงเพื่อชำระเป็นเงินหยวน ก่อนที่จะแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอัตโนมัติ และร้านค้าจะได้รับเป็นเงินบาท โดยไม่ต้องสมัครและสร้าง QR Code ของ Alipay หรือ WeChat Pay แยกต่างหากอีกต่อไป มีรายงานว่า ธนาคารกรุงไทยจะทำหน้าที่เป็นธนาคารรับชำระดุล (Settlement Bank) ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่าง เนชั่นแนล ไอทีเอ็มเอ็กซ์ (NITMX) ผู้ให้บริการระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) กับ แอนท์ อินเตอร์เนชันแนล ผู้ให้บริการ Alipay จากจีน ประโยชน์ของบริการ Cross-border Payment ระหว่างไทยและจีน ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งในปี 2567 มีผู้มาเยือนเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนกว่า 6.7 ล้านคน รวมทั้งนักลงทุนชาวจีน และชาวจีนที่อาศัยอยู่ระยะยาวในไทย สามารถใช้จ่ายในประเทศไทย โดยไม่จำเป็นต้องแลกเงินหรือเปิดบัญชีธนาคารในไทย ครอบคลุมหลากหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งรับประทานอาหาร ช้อปปิ้ง และท่องเที่ยว ที่ผ่านมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง และลาว สามารถสแกนจ่ายในไทยได้แล้วก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมาก ยังคงใช้ Promptpay QR Code สำหรับรับเงินโอนเฉพาะบุคคลจากโมบายแบงกิ้งเป็นหลัก ไม่รองรับบริการ Cross-border Payment ทำให้ไม่สามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ ซึ่งที่ผ่านมามีธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รณรงค์ให้ร้านค้าสามารถรับเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน เช่น อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รองรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 718 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102729

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000102729 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 309 มุมมอง 0 รีวิว
  • วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102731

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    วุฒิสภายืดเวลาอีก 90 วัน ศึกษาเอ็มโอยู ไทย–กัมพูชา ปี 2543–2544 ชี้ข้อกฎหมายซับซ้อน เสี่ยงกระทบความมั่นคงชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000102731 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • SME D Bank สนับสนุนเอสเอ็มอี 3 ไตรมาสแรก ทะลุ 5.7 หมื่นล้าน สอดรับนโยบาย "Quick Big Win"
    https://www.thai-tai.tv/news/22071/
    ..
    #ไทยไท #SMEDBank #QuickBigWin #สินเชื่อSME #NPLs #3ลดปลดหนี้

    SME D Bank สนับสนุนเอสเอ็มอี 3 ไตรมาสแรก ทะลุ 5.7 หมื่นล้าน สอดรับนโยบาย "Quick Big Win" https://www.thai-tai.tv/news/22071/ .. #ไทยไท #SMEDBank #QuickBigWin #สินเชื่อSME #NPLs #3ลดปลดหนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 252 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลี่ เท็ต กรรมการบริหารของบริษัทเอฟเอสเอ็ม โฮลดิ้ง ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯโยงเขากับปฏิบัติการสแกมทางไบเซอร์ที่มีฐานในกัมพูชา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000101147

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    หลี่ เท็ต กรรมการบริหารของบริษัทเอฟเอสเอ็ม โฮลดิ้ง ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯโยงเขากับปฏิบัติการสแกมทางไบเซอร์ที่มีฐานในกัมพูชา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000101147 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 471 มุมมอง 0 รีวิว
  • SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบาย "Quick Big Win" รัฐบาล จัดมหกรรม "3 ลด ปลดหนี้" อุ้มเอสเอ็มอีกลุ่มเปราะบาง
    https://www.thai-tai.tv/news/21986/
    .
    #ไทยไท #SMEDBank #มหกรรมแก้ไขหนี้ #QuickBigWin #เอสเอ็มอี #ลดภาระหนี้ #กระทรวงการคลัง

    SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบาย "Quick Big Win" รัฐบาล จัดมหกรรม "3 ลด ปลดหนี้" อุ้มเอสเอ็มอีกลุ่มเปราะบาง https://www.thai-tai.tv/news/21986/ . #ไทยไท #SMEDBank #มหกรรมแก้ไขหนี้ #QuickBigWin #เอสเอ็มอี #ลดภาระหนี้ #กระทรวงการคลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 310 มุมมอง 0 รีวิว
  • นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบันทึกความเข้าใจ(MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ฉบับปี 2543 และ ฉบับปี 2544 ได้ฝากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ต้องระมัดระวัง รัฐบาลต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น อย่าตั้งรับอย่างเดียว เพราะกัมพูชาใช้ทุกเวทีระหว่างประเทศ
    รมว.ต่างประเทศ ต้องไปแก้ไข การรุกจะทำให้กองทัพทำงานง่ายขึ้น สถานะของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก เรามีบทบาทได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนที่รัฐบาลพิจารณาทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู มีข้อกังวลมาก เป็นเรื่องไม่ง่ายในการทำความเข้าใจกับประชาชน การให้ข้อมูลต่อประชาชนเพื่อตัดสินใจ จะทำให้กัมพูชารู้ข้อมูล ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรค รัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ชัดเจนว่า ถ้ายกเลิกเอ็มโอยูโดยการตัดสินของประชาชน ไทยจะเดินไปแบบไหน ยุทธศาสตร์กรณีไม่มีเอ็มโอยูคืออะไร ซึ่งจะทำให้ประชาชนตัดสินใจได้ว่าควรเดินในรูปแบบใด หรือจะใช้ข้อตกลง
    นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบันทึกความเข้าใจ(MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ฉบับปี 2543 และ ฉบับปี 2544 ได้ฝากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ต้องระมัดระวัง รัฐบาลต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น อย่าตั้งรับอย่างเดียว เพราะกัมพูชาใช้ทุกเวทีระหว่างประเทศ รมว.ต่างประเทศ ต้องไปแก้ไข การรุกจะทำให้กองทัพทำงานง่ายขึ้น สถานะของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก เรามีบทบาทได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ส่วนที่รัฐบาลพิจารณาทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู มีข้อกังวลมาก เป็นเรื่องไม่ง่ายในการทำความเข้าใจกับประชาชน การให้ข้อมูลต่อประชาชนเพื่อตัดสินใจ จะทำให้กัมพูชารู้ข้อมูล ซึ่งจะเป็นปัญหาและอุปสรรค รัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ชัดเจนว่า ถ้ายกเลิกเอ็มโอยูโดยการตัดสินของประชาชน ไทยจะเดินไปแบบไหน ยุทธศาสตร์กรณีไม่มีเอ็มโอยูคืออะไร ซึ่งจะทำให้ประชาชนตัดสินใจได้ว่าควรเดินในรูปแบบใด หรือจะใช้ข้อตกลง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 434 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ไทย-ลาว มิตรภาพแน่นแฟ้น

    แม้รัฐบาลจะมีอายุการทำงานเพียงแค่ 4 เดือน และสถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่การเดินทางไปเยือนประเทศลาว ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและคณะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ต.ค.) ในวาระครอบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ครบ 75 ปี ในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าลาวยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่วางใจได้ ธงชาติไทยสลับกับธงชาติลาวบริเวณประตูไช แลนด์มาร์คสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ เป็นภาพที่คนไทยและชาวลาวต่างรู้สึกเป็นบวก เพราะเป็นชาติที่คนไทยแทบไม่ต้องแปลภาษาก็สื่อสารกันง่าย เปรียบดังมองตาก็รู้ใจ

    การเดินทางมาเยือนลาวในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอนุทินลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและลาว 1 ฉบับ ได้แก่ เอ็มโอยูระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และธนาคารส่งเสริมกสิกรรมแห่ง สปป.ลาว รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงิน 10 ล้านบาท สำหรับโครงการความร่วมมือสกัดกั้นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติด ไทย-ลาว การส่งมอบเซรุ่มแก้พิษงู มูลค่า 875,000 บาท อุปกรณ์พัฒนาและฝึกอาชีพแรงงาน มูลค่า 1.49 ล้านบาท ความช่วยเหลือทางวิชาการ สำหรับงานออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาระบบประปาระยะที่ 2 มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท

    นอกจากนี้ ยังยกระดับความร่วมมือกับลาวในด้านต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแลนด์ล็อกเป็นแลนด์ลิงก์ เชื่อมโยงด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ และความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น การเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมช้ามชาติ ยาเสพติด ฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ โดยการตั้งศูนย์ Contact point และศูนย์ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน การบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขงโดยใช้เทคโนโลยี ตามยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ยืนยันการจัดประชุม COOP ครั้งที่ 8 ส่งเสริมการค้าชายแดน เอสเอ็มอี ตั้งเป้าหมายการค้าที่ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2570 สนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และแผนยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ไทย-ลาวอย่างครบวงจร ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียว โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ระหว่างทั้งสองประเทศ

    อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยและ สปป.ลาว เตรียมร่วมกันเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ ในช่วงปลายปี 2568 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ระหว่างไทยกับลาวและภูมิภาคอินโดจีน ไปยังท่าเรือน้ำลึกในประเทศเวียดนาม เช่น ท่าเรือสากลลาว-เวียด หรือท่าเรือหวุงอ๋าง จังหวัดฮาติงห์ ถือเป็นทางออกสู่ทะเลที่ใกล้ที่สุดของลาว และเชื่อมต่อทางตอนใต้ของประเทศจีน

    #Newskit
    ไทย-ลาว มิตรภาพแน่นแฟ้น แม้รัฐบาลจะมีอายุการทำงานเพียงแค่ 4 เดือน และสถานการณ์ความขัดแย้งกับกัมพูชายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่การเดินทางไปเยือนประเทศลาว ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและคณะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ต.ค.) ในวาระครอบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ลาว ครบ 75 ปี ในปี 2568 แสดงให้เห็นว่าลาวยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่วางใจได้ ธงชาติไทยสลับกับธงชาติลาวบริเวณประตูไช แลนด์มาร์คสำคัญของนครหลวงเวียงจันทน์ เป็นภาพที่คนไทยและชาวลาวต่างรู้สึกเป็นบวก เพราะเป็นชาติที่คนไทยแทบไม่ต้องแปลภาษาก็สื่อสารกันง่าย เปรียบดังมองตาก็รู้ใจ การเดินทางมาเยือนลาวในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอนุทินลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างรัฐบาลไทยและลาว 1 ฉบับ ได้แก่ เอ็มโอยูระหว่างธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) และธนาคารส่งเสริมกสิกรรมแห่ง สปป.ลาว รวมทั้งการสนับสนุนทางการเงิน 10 ล้านบาท สำหรับโครงการความร่วมมือสกัดกั้นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติด ไทย-ลาว การส่งมอบเซรุ่มแก้พิษงู มูลค่า 875,000 บาท อุปกรณ์พัฒนาและฝึกอาชีพแรงงาน มูลค่า 1.49 ล้านบาท ความช่วยเหลือทางวิชาการ สำหรับงานออกแบบรายละเอียดโครงการพัฒนาระบบประปาระยะที่ 2 มูลค่าประมาณ 30 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังยกระดับความร่วมมือกับลาวในด้านต่างๆ เพื่อเปลี่ยนแลนด์ล็อกเป็นแลนด์ลิงก์ เชื่อมโยงด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ และความร่วมมือด้านอื่นๆ เช่น การเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรมช้ามชาติ ยาเสพติด ฉ้อโกงออนไลน์ การค้ามนุษย์ โดยการตั้งศูนย์ Contact point และศูนย์ช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามแดน การบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขงโดยใช้เทคโนโลยี ตามยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) ยืนยันการจัดประชุม COOP ครั้งที่ 8 ส่งเสริมการค้าชายแดน เอสเอ็มอี ตั้งเป้าหมายการค้าที่ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2570 สนับสนุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ก่อสร้างสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ และแผนยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ไทย-ลาวอย่างครบวงจร ส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียว โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากแผงโซลาร์เซลล์ระหว่างทั้งสองประเทศ อีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยและ สปป.ลาว เตรียมร่วมกันเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) จังหวัดบึงกาฬ ในช่วงปลายปี 2568 เพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ระหว่างไทยกับลาวและภูมิภาคอินโดจีน ไปยังท่าเรือน้ำลึกในประเทศเวียดนาม เช่น ท่าเรือสากลลาว-เวียด หรือท่าเรือหวุงอ๋าง จังหวัดฮาติงห์ ถือเป็นทางออกสู่ทะเลที่ใกล้ที่สุดของลาว และเชื่อมต่อทางตอนใต้ของประเทศจีน #Newskit
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 854 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนละครึ่งพลัสยุคอนุทิน หวังเศรษฐกิจไทยไม่ติดหล่ม

    หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงข่าวเปิดตัวโครงการทันที แม้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะประกาศให้เป็นนโยบายเรือธงเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจ แต่นายเอกนิติยอมรับว่า วัตถุประสงค์หลักเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยติดหล่ม เพราะทิศทางมีแนวโน้มติดลบ ขยายตัวชะลอลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.3-0.4% ของจีดีพี

    โครงการนี้ใช้งบประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท กับงบฉุกเฉิน 19,000 ล้านบาท ให้ประชาชนสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 20 ล้านสิทธิ สแกนจ่ายผ่าน G Wallet บนแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" กับร้านค้า ร้านอาหาร สินค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการ โดยรัฐบาลสนับสนุน 50% สูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน โดยผู้ที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะได้รับสิทธิสนับสนุน 2,400 บาท ส่วนผู้ที่ไม่ได้ยื่นแบบภาษีจะได้รับสิทธิสนับสนุน 2,000 บาท

    ประชาชนสามารถลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 20-26 ต.ค. หรือจนกว่าจะครบ 20 ล้านสิทธิ จากนั้นเติมเงินเข้า G Wallet และใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ถึง 31 ธ.ค. เวลา 06.00-23.00 น. ส่วนร้านค้าฟู้ดเดลิเวอรี ใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. โดยต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย. ก่อนเวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ​

    สำหรับร้านค้าถุงเงินที่เคยได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ร้านค้าธงฟ้าฯ ของบุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และสหกรณ์ รวมทั้งร้านค้าโครงการกรุงเทพแผงลอย ที่ผ่านเกณฑ์ตามเงื่อนไขโครงการ ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สามารถกดยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขได้ที่เมนู "คนละครึ่งพลัส" บนแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ส่วนร้านค้าใหม่ รวมทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยอดขายน้อยกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี สามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยสมัครร้านค้าถุงเงินของธนาคารกรุงไทย และสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส

    อนึ่ง โครงการคนละครึ่งเฟส 5 เมื่อปี 2565 มีผู้ใช้สิทธิ 24.02 ล้านคน ยอดใช้จ่ายรวม 36,704.80 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 18,696.10 ล้านบาท เงินที่รัฐร่วมจ่าย 18,008.70 ล้านบาท โดยพบว่าใช้จ่ายร้านอาหารและเครื่องดื่มมากที่สุด 41.72% รองลงมาคือร้านค้าทั่วไป 31.51% ร้านธงฟ้าฯ 20.21% ร้านโอทอป 4.82% ร้านบริการ 1.62% และกิจการขนส่งสาธารณะ 0.13%

    #Newskit
    คนละครึ่งพลัสยุคอนุทิน หวังเศรษฐกิจไทยไม่ติดหล่ม หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่งพลัส ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง แถลงข่าวเปิดตัวโครงการทันที แม้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะประกาศให้เป็นนโยบายเรือธงเพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจ แต่นายเอกนิติยอมรับว่า วัตถุประสงค์หลักเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยติดหล่ม เพราะทิศทางมีแนวโน้มติดลบ ขยายตัวชะลอลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.3-0.4% ของจีดีพี โครงการนี้ใช้งบประมาณ 44,000 ล้านบาท โดยใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท กับงบฉุกเฉิน 19,000 ล้านบาท ให้ประชาชนสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ที่ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 20 ล้านสิทธิ สแกนจ่ายผ่าน G Wallet บนแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" กับร้านค้า ร้านอาหาร สินค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการ โดยรัฐบาลสนับสนุน 50% สูงสุดไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน โดยผู้ที่ยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะได้รับสิทธิสนับสนุน 2,400 บาท ส่วนผู้ที่ไม่ได้ยื่นแบบภาษีจะได้รับสิทธิสนับสนุน 2,000 บาท ประชาชนสามารถลงทะเบียนผ่านแอปฯ เป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 20-26 ต.ค. หรือจนกว่าจะครบ 20 ล้านสิทธิ จากนั้นเติมเงินเข้า G Wallet และใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ถึง 31 ธ.ค. เวลา 06.00-23.00 น. ส่วนร้านค้าฟู้ดเดลิเวอรี ใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. โดยต้องใช้สิทธิครั้งแรกภายในวันที่ 11 พ.ย. ก่อนเวลา 23.00 น. เพื่อไม่ให้โดนตัดสิทธิตามเงื่อนไขโครงการ​ สำหรับร้านค้าถุงเงินที่เคยได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 5 (ปี 2565) ร้านค้าธงฟ้าฯ ของบุคคลธรรมดา วิสาหกิจชุมชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และสหกรณ์ รวมทั้งร้านค้าโครงการกรุงเทพแผงลอย ที่ผ่านเกณฑ์ตามเงื่อนไขโครงการ ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ สามารถกดยอมรับข้อตกลงและเงื่อนไขได้ที่เมนู "คนละครึ่งพลัส" บนแอปพลิเคชัน "ถุงเงิน" ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ส่วนร้านค้าใหม่ รวมทั้งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยอดขายน้อยกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี สามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยสมัครร้านค้าถุงเงินของธนาคารกรุงไทย และสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส อนึ่ง โครงการคนละครึ่งเฟส 5 เมื่อปี 2565 มีผู้ใช้สิทธิ 24.02 ล้านคน ยอดใช้จ่ายรวม 36,704.80 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 18,696.10 ล้านบาท เงินที่รัฐร่วมจ่าย 18,008.70 ล้านบาท โดยพบว่าใช้จ่ายร้านอาหารและเครื่องดื่มมากที่สุด 41.72% รองลงมาคือร้านค้าทั่วไป 31.51% ร้านธงฟ้าฯ 20.21% ร้านโอทอป 4.82% ร้านบริการ 1.62% และกิจการขนส่งสาธารณะ 0.13% #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 801 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต "จ่าเอ็ม" จำเลยคดียิง "ลิม กิมยา" นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาเสียชีวิตย่านถนนข้าวสาร พร้อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ภรรยา 1.79 ล้านบาท ส่วนคนขับรถรับจ้างไปส่งที่คลองหาด จ.สระแก้ว ศาลยกฟ้อง เพราะไม่ปรากฎว่ามีเจตนาพิเศษ และค่าจ้างไปส่งเป็นราคาสมเหตุสมผล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094654

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ศาลอาญาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต "จ่าเอ็ม" จำเลยคดียิง "ลิม กิมยา" นักการเมืองฝ่ายค้านกัมพูชาเสียชีวิตย่านถนนข้าวสาร พร้อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ภรรยา 1.79 ล้านบาท ส่วนคนขับรถรับจ้างไปส่งที่คลองหาด จ.สระแก้ว ศาลยกฟ้อง เพราะไม่ปรากฎว่ามีเจตนาพิเศษ และค่าจ้างไปส่งเป็นราคาสมเหตุสมผล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094654 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 683 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญหลวงพ่อสุระหลังหลวงปู่ถัด รุ่นแรก วัดตาแปด จ.สงขลา ปี2536
    เหรียญหลวงพ่อสุระหลังหลวงปู่ถัด รุ่นแรก วัดตาแปด ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ปี2536 //พระดีพิธีใหญ่ เหรียญมีประสบการณ์ มหาอุด คงกะพันชาตรี // พระสถาพสวยยมาก เดิมๆๆ พระไม่ถูกใช้ครับ ประสบการณ์สูง พบเห็นน้อย // รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** ประสบการณ์ ยิง ปืน ระเบิด หยุดเอ็ม 16 ของ ผู้ก่อความไม่สงบ กระสุนไม่ระคายผิว ช่วยชีวิตทหาร-ตํารวจ สามจังหวัดขายแดนภาคใต้ มามากกแล้วครับ...!!!

    ** พุทธคุณ คุ้มครองป้องกันภัย เมตตามหานิยม เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พระดูง่าย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญหลวงพ่อสุระหลังหลวงปู่ถัด รุ่นแรก วัดตาแปด จ.สงขลา ปี2536 เหรียญหลวงพ่อสุระหลังหลวงปู่ถัด รุ่นแรก วัดตาแปด ต.ท่าม่วง อ.เทพา จ.สงขลา ปี2536 //พระดีพิธีใหญ่ เหรียญมีประสบการณ์ มหาอุด คงกะพันชาตรี // พระสถาพสวยยมาก เดิมๆๆ พระไม่ถูกใช้ครับ ประสบการณ์สูง พบเห็นน้อย // รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** ประสบการณ์ ยิง ปืน ระเบิด หยุดเอ็ม 16 ของ ผู้ก่อความไม่สงบ กระสุนไม่ระคายผิว ช่วยชีวิตทหาร-ตํารวจ สามจังหวัดขายแดนภาคใต้ มามากกแล้วครับ...!!! ** พุทธคุณ คุ้มครองป้องกันภัย เมตตามหานิยม เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง การเงิน โชคลาภค้าขาย เรียกทรัพย์ อุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง เจริญในหน้าที่การงานคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ พระดูง่าย หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาประหารชีวิต "จ่าเอ็ม"มือยิง "คิม ยาลิม"อดีตฝ่ายค้านกัมพูชา จำคุก 8เดือนข้อหายิงปืนในที่สาธารณะและจำคุก6 เดือนข้อหาพาอาวุธปืน แต่สารภาพลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคนขับรถพิพากษายกฟ้อง เหตุไม่มีหลักฐานว่ามีเจตนาพิเศษพาจำเลยที่ 1 หลบหนี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000094603

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ศาลอาญาประหารชีวิต "จ่าเอ็ม"มือยิง "คิม ยาลิม"อดีตฝ่ายค้านกัมพูชา จำคุก 8เดือนข้อหายิงปืนในที่สาธารณะและจำคุก6 เดือนข้อหาพาอาวุธปืน แต่สารภาพลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนคนขับรถพิพากษายกฟ้อง เหตุไม่มีหลักฐานว่ามีเจตนาพิเศษพาจำเลยที่ 1 หลบหนี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000094603 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 603 มุมมอง 0 รีวิว
  • ควน สุดารี (Khuon Sudary) ประธานสภาแห่งชาติเขมร แจ้งกับ โอลิวิเยร์ ริชาร์ด เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำกัมพูชา ว่าความขัดแย้งด้านชายแดนในปัจจุบันระหว่างกัมพูชาและไทย มีบ่อเกิดจากการที่ไทยไม่ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศส-สยาม(แผนที่ไทยลงนามกับฝรั่งเศส) และล้มเหลวในการยึดถือต่อบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ปี ค.ศ.2000(พ.ศ.2543) ระหว่าง 2 ชาติ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000094039

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    ควน สุดารี (Khuon Sudary) ประธานสภาแห่งชาติเขมร แจ้งกับ โอลิวิเยร์ ริชาร์ด เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำกัมพูชา ว่าความขัดแย้งด้านชายแดนในปัจจุบันระหว่างกัมพูชาและไทย มีบ่อเกิดจากการที่ไทยไม่ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศส-สยาม(แผนที่ไทยลงนามกับฝรั่งเศส) และล้มเหลวในการยึดถือต่อบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ปี ค.ศ.2000(พ.ศ.2543) ระหว่าง 2 ชาติ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000094039 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 395 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะสามารถคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถ้าหากเขาหยุดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ในกาซา จากความเห็นของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000091282

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะสามารถคว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถ้าหากเขาหยุดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ในกาซา จากความเห็นของประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000091282 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 567 มุมมอง 0 รีวิว
  • ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา
    ==================

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    =================================

    นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น

    …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ

    ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท)

    ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ

    - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว

    - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9

    ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี

    ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่

    ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย
    ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9

    ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ

    ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

    ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา

    ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน

    ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า

    ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง)

    ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย"

    ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

    ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย

    ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก

    ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

    ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

    ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ
    ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ

    ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
    อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    ~เปิดลับ การบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัติร์ย์ ตั้งแต่ปี2550เป็นต้นมา ================== ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ================================= นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุด…เกิดขึ้นมากผิดปกติ …มีการเปิดเผย… ไม่เกรงกลัว…โดย กลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์…ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น …แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ …โดยเฉพาะในสหรัฐ ~ ด้วยการป้อนชุดข้อมูล…ที่ดูเหมือนจริง…แต่เป็นความเท็จ …ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้…จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง…และบริษัทประชาสัมพันธ์ …ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ 30.3 ล้านบาท) ~ เพื่อไปล็อบบี้…สมาชิกรัฐสภา…และรัฐบาลอเมริกัน…เพื่อผลทางการเมืองของตน… อย่างไรก็ดี …ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น… คือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น…อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ~ ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐ…ทวีความเข้มแข็งมากขึ้น… มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย …เขียนบทความภาษาต่างๆ… ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่ง…คือ - เจ.เค. แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความ…โจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามสถาบันกษัตริย์ว่า เป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" สลับกันมาหลายปีแล้ว - อีกคนหนึ่ง คือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่า… ได้รับการว่าจ้าง…ให้มาทำงานด้านนี้ และ…เป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ “อากง” มาเขียนโจมตี ม.112 …เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในรัชกาลที่ 9 ~ในความเป็นจริง… คนพวกนี้…ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย… แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย…สายสาธารณรัฐ…ที่คนไทยรู้จักดี ~ ในกลางปี 2556 …นักล็อบบี้พวกนี้…วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ…ในที่ประชุมประจำปี…ของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)… ซึ่งมีคนไทย…ที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์…มีอิทธิพลอยู่ ~ การอภิปรายดังกล่าว…มีเป้าหมาย…มุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทย…ในรัชกาลที่ 9 เป็นการเฉพาะ …รวมทั้ง…มีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง…โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ ……ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐาน…จากห้องสมุดมหาวิทยาลัย ……รัฐสภาของสหรัฐ ……ที่ดูเผินๆ แล้วน่าเชื่อถือ …หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน…… เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 9 ~ ก่อนหน้านี้…เมื่อปี 2554 …ในวาระครบ 7 รอบ 84 พรรษา…ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 …นักล็อบบี้อเมริกัน…ได้ส่งชุดข้อมูล…ที่ปั้นแต่งขึ้น…จนทำให้สมาชิกสภาสหรัฐหลงเชื่อ ~ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ…พยายามหลีกเลี่ยง…ไม่ส่งหนังสือถวายพระพร…ตามที่เคยปฏิบัติมา …จนสภาสูง…ต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน ……สะท้อนให้เห็นว่า…… นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกัน……ทำงานให้กับนายจ้างคนไทยที่ไม่ชอบสถาบันกษัตริย์อย่างได้ผล ……ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด …และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย… ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน ~ ไม่เพียงแต่เท่านั้น …สถาบันบางแห่งของสหรัฐ …เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ……คิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท และ…อีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ……ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ …ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา ~ โดยอ้างว่า…เพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่…กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะ เป็นสถาบันที่มีสิทธิเหนือประชาชน ~ นักล็อบบี้เหล่านี้…ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่ง…หรือหลายชุด ……และไปเคลื่อนไหวชักจูง… ชี้นำ… โน้มน้าว…ให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทะกรรมที่ว่า ~ สถาบันสูงสุดของไทย หรือ สถาบันกษัตริย์นั้น…เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ……สถาบันกษัตริย์ไทย…ทำลายสิทธิมนุษยชน …อ้างว่า…ปัญหาของเมืองไทย……ไม่ใช่เรื่องการเมือง…… แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ ……ที่กษัตริย์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาน……เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น “ทางออก” ของชาติ (จากการเลือกตั้ง เพื่อเป็นประมุขของรัฐ หรือ เป็นประธานาธิบดี นั่นเอง) ~ พวกนี้…พยายามป้อนข้อมูล…ให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า “สถาบันไม่สู้แล้ว” เพราะ…ถ้าสถาบันไม่สู้ …สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น…นอกจากจะยืนข้างฝ่ายประชาธิปไตย…ที่อยู่ตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์… และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศ…ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน…ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุด ตลอดมา …หากสหรัฐ…และประเทศเหล่านี้…สรุปว่า ฝ่ายสถาบันกษัตริย์แพ้แน่ …สหรัฐและประเทศเหล่านี้…ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ…ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ ที่ถือเป็น "ฝ่ายประชาธิปไตย" ~ อย่างไรก็ดี …ฝ่ายสถาบันกษัตริย์…ส่งสัญญาน…มาหลายครั้งแล้วว่า “ยังสู้” และ “ไม่ยอมแพ้” โดยเฉพาะ…ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555 ที่ประชาชนชาวไทย…ได้ไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ อย่างมืดฟ้ามัวดิน…เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร …สะท้อนให้เห็นว่า …ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แม้จะปรากฏ “แรงเฉื่อย” ในสถาบันทหาร และ รัฐบาลในยุคนั้นก็ตาม จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้น…ที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ……ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้ ~ รัฐบาลชุดก่อน…เคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา …อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง “ศูนย์ไทยศึกษา” และ “เพื่อนประเทศไทย” เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่…ปรากฏว่า ……ศูนย์เหล่านี้……กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด ……และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น…… ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปอีกด้วย ~ ไทยถูกคุกคาม…ด้วยสงครามยุคใหม่ …ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 และ…สถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ สงครามไซเบอร์ …สงครามทั้งสามนี้…มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ …แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ~ ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา…เป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ …มีข่าวว่า สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ …ที่เรียกว่า “แบล็ควอเตอร์” ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย …โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ …เบี้ยเลี้ยงต่างหาก …เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ …ซึ่งอเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก …และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว ~ อันตรายที่เกิดขึ้น…ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้น……เป็นเรื่องจริง…และหนักหนา ……ชาติและสถาบัน……กำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง ……สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศ…เป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ ~ บทความนี้……ไม่ต้องการให้คนไทย…ไปต่อต้านสหรัฐ …เพียงแต่ขอให้เพื่อนคนไทย…อย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติ…และราชบัลลังก์เท่านั้น …ปัญหาของประเทศไทย…ต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก …เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้าย……ในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ ……ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า ……สถาบันสูงสุดยังสู้ ……และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ ขอบคุณเจ้าของภาพบทความและคนโพสครับ ~ เรียบเรียงจากบทความของ คุณภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 769 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอ็มมานูเอล มาครง" ผู้นำฝรั่งเศส ประกาศรับรองสถานะรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการแล้ว
    "เอ็มมานูเอล มาครง" ผู้นำฝรั่งเศส ประกาศรับรองสถานะรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • งานวิจัยล่าสุด: "วัคซีน" โควิด-19 เชื่อมโยงกับอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรง ต่อระบบประสาทส่วนกลาง 63 รายการ

    เกณฑ์ความปลอดภัยที่ CDC/FDA ละเมิด เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 ทำลายกำแพงกั้นเลือด-สมอง ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคสมองอักเสบ โรคพรีออน ฝีในสมอง การติดเชื้อเริม และอื่นๆ

    https://thefocalpoints.com/p/breaking-study-covid-19-vaccines

    _________________________________

    การฉีดวัคซีนโควิด-19 mRNA: ความหมายโดยนัย
    สำหรับระบบประสาทส่วนกลาง

    Kirstin Cosgrove BM, CCRA#, เจมส์ เอ ธอร์ป เอ็มดี, แคลร์ โรเจอร์ส เอ็มเอสพาส, พีเอ-ซี" สตีเวน แฮตฟิล เอ็มดี4, นิโคลัส ฮัลเชอร์, เอ็มพีเอช*, ปีเตอร์ เอ แมคคัลโลว์ เอ็มดีเอ็มเอฟ"

    COVID-19 วัคซีน ทำให้เกิดภาวะชะงักงัน ของเส้นกั้นเลือด-สมอง

    ผลร้ายแรง

    · เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (แบคทีเรียหรือไวรัส)
    · โรคสมองอักเสบ (ภูมิอันโนมัติ หรือติดเชื้อ)
    · กลุ่มอาการกำเริบของโรคเริม
    · การเกิดฝีในสมอง
    · การติดเชื้อไขสันหลังและเยื่อหุ้มสมอง
    · โรคประสาทเสื่อมที่หายาก หรือโรคต่างๆ ที่คล้าย ไพรออน

    รูปที่ 1. COVID-19 การสลายตัวของแนวกั้นเลือด-สมอง ที่เกิดจากวัคซีน และผลที่ก่อให้เกิดโรค
    งานวิจัยล่าสุด: "วัคซีน" โควิด-19 เชื่อมโยงกับอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรง ต่อระบบประสาทส่วนกลาง 63 รายการ เกณฑ์ความปลอดภัยที่ CDC/FDA ละเมิด เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 ทำลายกำแพงกั้นเลือด-สมอง ทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคสมองอักเสบ โรคพรีออน ฝีในสมอง การติดเชื้อเริม และอื่นๆ https://thefocalpoints.com/p/breaking-study-covid-19-vaccines _________________________________ การฉีดวัคซีนโควิด-19 mRNA: ความหมายโดยนัย สำหรับระบบประสาทส่วนกลาง Kirstin Cosgrove BM, CCRA#, เจมส์ เอ ธอร์ป เอ็มดี, แคลร์ โรเจอร์ส เอ็มเอสพาส, พีเอ-ซี" สตีเวน แฮตฟิล เอ็มดี4, นิโคลัส ฮัลเชอร์, เอ็มพีเอช*, ปีเตอร์ เอ แมคคัลโลว์ เอ็มดีเอ็มเอฟ" COVID-19 วัคซีน ทำให้เกิดภาวะชะงักงัน ของเส้นกั้นเลือด-สมอง ผลร้ายแรง · เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (แบคทีเรียหรือไวรัส) · โรคสมองอักเสบ (ภูมิอันโนมัติ หรือติดเชื้อ) · กลุ่มอาการกำเริบของโรคเริม · การเกิดฝีในสมอง · การติดเชื้อไขสันหลังและเยื่อหุ้มสมอง · โรคประสาทเสื่อมที่หายาก หรือโรคต่างๆ ที่คล้าย ไพรออน รูปที่ 1. COVID-19 การสลายตัวของแนวกั้นเลือด-สมอง ที่เกิดจากวัคซีน และผลที่ก่อให้เกิดโรค
    THEFOCALPOINTS.COM
    BREAKING STUDY: COVID-19 "Vaccines" Linked to 63 Serious Central Nervous System Adverse Events
    CDC/FDA safety thresholds breached as COVID shots disrupt the blood–brain barrier, unleashing meningitis, encephalitis, prion disease, brain abscesses, herpes reactivations, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) แห่งฝรั่งเศส และ ภริยา "บริจิตต์ มาครง" (Brigitte Macron) เตรียมควงคู่กันส่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริจิตต์ เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย
    .
    คู่รักประธานาธิบดีได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทแคนเดซ โอเวนส์ (Candace Owens) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง หลังจากที่เธอเผยแพร่ความเชื่อของตนที่ว่าบริจิตต์เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้บริจิตต์เสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับความเห็นดังกล่าว
    .
    ทอม แคลร์ (Tom Clare) ทนายความของบริจิตต์และมาครง กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับพอดแคสต์ BBC เรื่อง "Fame Under Fire" ว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริจิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง
    .
    ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แคนเดซ โอเวนส์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันสายอนุรักษ์นิยม กล่าวหา่ บริจิตต์ มาครง ภริยาของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ว่า “เป็นผู้ชาย” อย่างแน่นอน โดยเธอกล้าเดิมพันด้วย “ชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมด” ของเธอเลยทีเดียว
    .
    "บริจิตต์ มาครง" มีชื่อเต็มว่า "บริจิตต์ มารี-โคลด ทรอญอซ์ (Brigitte Marie-Claude Trogneux) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1953

    สำหรับเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบัน พบกับ "บริจิตต์ มาครง" ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองอาเมียง (Amiens) ประเทศฝรั่งเศส

    ในตอนนั้นเธอมีอายุประมาณ 40 ปี และเป็นครูสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสและการละครอยู่ที่โรงเรียน La Providence ส่วน เอ็มมานูเอล มาครง เป็นนักเรียนมัธยมอายุ 15 ปี มาเรียนการแสดงกับเธอ ต่อมาได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากครอบครัวและสังคมอยู่มากก็ตาม จนในที่สุดทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2007


    ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) แห่งฝรั่งเศส และ ภริยา "บริจิตต์ มาครง" (Brigitte Macron) เตรียมควงคู่กันส่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริจิตต์ เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย . คู่รักประธานาธิบดีได้ยื่นฟ้องหมิ่นประมาทแคนเดซ โอเวนส์ (Candace Owens) อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง หลังจากที่เธอเผยแพร่ความเชื่อของตนที่ว่าบริจิตต์เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้บริจิตต์เสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับความเห็นดังกล่าว . ทอม แคลร์ (Tom Clare) ทนายความของบริจิตต์และมาครง กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับพอดแคสต์ BBC เรื่อง "Fame Under Fire" ว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริจิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง . ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แคนเดซ โอเวนส์ ผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันสายอนุรักษ์นิยม กล่าวหา่ บริจิตต์ มาครง ภริยาของประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ว่า “เป็นผู้ชาย” อย่างแน่นอน โดยเธอกล้าเดิมพันด้วย “ชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมด” ของเธอเลยทีเดียว . 👉"บริจิตต์ มาครง" มีชื่อเต็มว่า "บริจิตต์ มารี-โคลด ทรอญอซ์ (Brigitte Marie-Claude Trogneux) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1953 👉สำหรับเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนปัจจุบัน พบกับ "บริจิตต์ มาครง" ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ที่เมืองอาเมียง (Amiens) ประเทศฝรั่งเศส 👉ในตอนนั้นเธอมีอายุประมาณ 40 ปี และเป็นครูสอนวิชาภาษาฝรั่งเศสและการละครอยู่ที่โรงเรียน La Providence ส่วน เอ็มมานูเอล มาครง เป็นนักเรียนมัธยมอายุ 15 ปี มาเรียนการแสดงกับเธอ ต่อมาได้พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากครอบครัวและสังคมอยู่มากก็ตาม จนในที่สุดทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2007
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 535 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts