• 1 มี.ค.2568 - กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไล่ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกจากทำเนียบขาว หลังจากโต้เถียงกัน ส่อแววล้มข้อตกลงสันติภาพ รวมทั้งข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายาก

    ล่าสุด รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ

    ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน

    1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย

    2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

    3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)

    4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้

    5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่

    1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว

    2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ

    3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล

    4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ

    5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ

    6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง

    ที่มา ไทยโพสต์
    1 มี.ค.2568 - กรณี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไล่ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกจากทำเนียบขาว หลังจากโต้เถียงกัน ส่อแววล้มข้อตกลงสันติภาพ รวมทั้งข้อตกลงการเข้าถึงแร่หายาก ล่าสุด รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน 1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย 2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) 4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ 5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ 6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่ 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง ที่มา ไทยโพสต์
    Like
    Love
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
    .
    ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน
    .
    1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย
    .
    2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
    .
    3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ)
    .
    4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้
    .
    5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ
    .
    6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่
    1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว
    2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ
    3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
    4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ
    5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ
    6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง
    .
    ผมเขียนเรื่องยูเครนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 at the beginning of the end ขอเอามาแปะอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ

    1. จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง https://thestandard.co/asean-and-hybrid-warfare/
    2. จากยูเครนสู่ปัตตานี กรณี Gerasimov Doctrine และแผนบันได 7 ขั้น https://www.the101.world/ukraine-to-pattani/
    .
    Cr. รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม
    คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ถอดบทเรียนยูเครน: เมื่อผู้นำไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ . ภาพความอัปยศอดสูที่ผู้นำยูเครน Zelenskyy ถูกเชิญไปรุมกินโต๊ะโดย ประธานาธิบดี Trump และรองประธานาธิบดี Vance รวมทั้งการเจรจาที่ชะงักงันและไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต้องประชาชนยูเครนที่สูญเสียทั้งชีวิต ดินแดน ทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือ อนาคต ทำให้เราต้องมาถอดบทเรียน . 1. ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศยูเครนมิได้เป็นตัวของตัวเองเนื่องจากถูกแทรกแซงผ่านกระบวนการการสงครามผสมผสาน (Hybrid Warfare) มาอย่างต่อเนื่อง ปั่นหัวให้ประชาชนยูเครนลุกฮือขึ้นมาอย่างน้อย 3 ครั้ง 1) Orange Revolution 2004/2005 2) Euro Maidan 2014 และ 3) การลงประชามติของประชาชนในคาบสมุทร Crimea เพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและในที่สุดขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทั้งหมดไม่ได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของประเทศ หากแต่ทั้งหมดเป็นเกมส์ของมหาอำนาจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายยุโรป+สหรัฐ หรือฝ่ายรัสเซีย . 2. ผู้นำของยูเครน ไม่ว่าจะเป็น Leonid Kuchma (1995-2005 โปรรัสเซีย), Viktor Yushchenko (2005-2010 โปร NATO), Viktor Yanukovych (2010-2014 โปรรัสเซีย), Petro Poroshenko (2014-2019) และ Volodymyr Zelenskyy (2019- ปัจจุบัน) แน่นอนว่า 2 คนสุดท้ายโปร NATO อย่างยิ่งยวด ล้วนทำให้เราเห็นว่าผู้นำที่เลือกข้าง ได้รับการสนับสนุนจากมหาอำนาจภายนอกไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ทำให้ตลอดมา แทนที่พวกเขาจะรักษาผลประโยชน์ของยูเครนเป็นหลัก พวกเขากลับต้องเอาอกเอาใจมหาอำนาจภายนอก และดึงยูเครนเข้าสู่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ . 3. ผลประโยชน์ของประเทศ ประกอบด้วย 4 ประเด็น 1) ความมั่นคงทางในมิติอำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงแบบ Non-Traditional Security ที่เน้นความมั่นคงของมนุษย์ 2) ความมั่งคั่งที่หมายถึงเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มีการเจริญเติบโต และมีการจัดสรรที่เป็นธรรม 3) การขยายพลังอำนาจของชาติในมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การทหาร และ สุดท้ายที่อาจจะสำคัญที่สุด นั่นคือ 4) ความภาคภูมิใจของชาติ (บางพื้นที่ บางชนชาติ อาจจะไม่ได้รับรองเป็นประเทศ อาจจะไม่มีแผ่นดิน แต่พวกเขาก็ยังคงมีความภาคภูมิใจในตนเอง ลองนึกถึง ชาวปาเลสไตน์ ชาวไต้หวัน กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ) . 4. แต่เมื่อผลประโยชน์ของชาติไม่ได้รับการรักษาผลประโยชน์ เพราะผู้นำต้องเลือกข้างรับใช้มหาอำนาจที่มีอิทธิพลเหนือกว่า เมื่อประชาชนถูกปลุกปั่นแทรกแซงให้เลือกข้าง ให้แตกแยก ในที่สุด อย่างกรณีของยูเครน ความมั่นคงก็กำลังสูญเสียดินแดน ซึ่งคงไม่สามารถกลับไปมีดินแดนเหมือนก่อนปี 2014 ได้ ในเรื่องความมั่งคั่ง คงไม่ต้องพูดถึง เพราะมหาอำนาจที่เคยสนับสนุนนั่นเองที่ตอนนี้กำลังจะกลับมาของสูบเลือด สูบทรัพยากร มิพักต้องพูดถึงพลังอำนาจในมิติต่างๆ ที่วันนี้ประชาชนยูเครนก็อ่อนแรง หมดกำลังใจ และในที่สุดผู้นำก็ถูกเรียกมาโดนรุมแบบไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ . 5. คำถามคือ สำหรับประเทศไทย เราต้องช่วยกันระวังอย่างยิ่งยวด อย่าให้มีใครมาแทรกแซง ปลุกปั่น ต้องคอยเฝ้าระวังให้ผู้นำรักษาผลประโยชน์ของชาติ อย่าให้เกิดผลประโยชน์ที่ขัดแย้งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ กับผลประโยชน์ส่วนตัว ผลประโยชน์ของครอบครัว และผลประโยชน์ทางธุรกิจ . 6. นาทีนี้เราต้องการทีมประเทศไทยที่ประกอบขึ้นจาก 6 เสาหลักที่ทำงานสอดประสานกัน อันได้แก่ 1. ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ ไม่สับสนในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศกับผลประโยชน์ของครอบครัวหรือของธุรกิจครอบครัว 2. ผู้ตัดสินใจทางนโยบายในระดับสูงที่มีความรู้ ความสามารถ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ กล้าตัดสินใจ และรับผิดชอบการตัดสินใจ 3. เจ้าหน้าที่รัฐ ที่ซื่อสัตย์ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล 4. นักวิชาการที่ทำงานหนักแบบสหสาขาวิชา ให้รู้ลึก รู้กว้าง รู้จริง และกล้าเปลืองตัวที่จะชี้นำสังคมผ่านการบริการวิชาการ 5. ภาคเอกชน (แน่นอนที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของธุรกิจ) และภาคประชาสังคม (ที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชน) ที่ต้องการมีส่วนร่วม ให้ข้อมูลสนับสนุนช่วยการตัดสินใจ 6. สื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง กล้าหาญที่จะตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลอย่างถูกต้อง ไม่ถูกบิดเบือนแทรกแซง . ผมเขียนเรื่องยูเครนเอาไว้นานแล้วตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2022 at the beginning of the end ขอเอามาแปะอีกครั้งเพื่อเป็นข้อมูลประกอบครับ 1. จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง https://thestandard.co/asean-and-hybrid-warfare/ 2. จากยูเครนสู่ปัตตานี กรณี Gerasimov Doctrine และแผนบันได 7 ขั้น https://www.the101.world/ukraine-to-pattani/ . Cr. รองศาสตราจารย์ ดร. ปิติ ศรีแสงนาม คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    THESTANDARD.CO
    จากยูเครนสู่อาเซียน: กรณีศึกษา Hybrid Warfare (สงครามผสมผสาน) ที่ไทยต้องเฝ้าระวัง
    การสงครามผสมผสาน การสงครามผสมผสาน หรือ Hybrid Warfare เป็นยุทธศาสตร์ทางทหารซึ่งใช้การสงครามทางการเมือง และผสมรวมการสงครามตามแบบ (Conventional Warfare)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://mgronline.com/politics/detail/9670000092959

    พระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง-พระราชินีทรงรับผู้สูญเสียเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ประกันพร้อมจ่าย 1 ล้านบาทต่อราย
    เผยแพร่: 2 ต.ค. 2567 13:43 ปรับปรุง: 2 ต.ค. 2567 13:43 โดย: ผู้จัดการออนไลน์

    เป็นพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวง-พระราชินี” ทรงห่วงใย ทรงสลดพระทัย รับผู้สูญเสีย เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ มหาดไทยพร้อมเยียวยาสูงสุด สำนักงานประกันภัยมอบ 1 ล้านกว่าบาทต่อราย เห็นต่างยกเลิก “ทัศนศึกษา” ชี้ไม่ใช่มูลเหตุ แต่สาเหตุ คือ คุณภาพรถมาตรฐานของคนขับรถ และการจัดรูปขบวนในการเดินทาง ถามเห็นคาตา รถบัสทำไมมีถังแก๊สนับสิบ ชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามีการละเมิด

    เมื่อเวลา 11.38 น. วันที่ 2 ต.ค.67 ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กล่าวถึงเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของคณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยา จ.อุทัยธานี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนต้องประกาศภัยพิบัติ จะพิจารณาเงินเยียวยาอย่างไรว่ า เหตุการณ์นี้ เรื่องของการช่วยเหลือตามพ.ร.บ.อุบัติภัย มีอยู่ ว่าเราจะช่วยเรื่องการทำขวัญ โดยสำนักงานประกันภัย ได้รายงานเบื้องต้นว่า จะมีเงินที่ชดเชยความเสียหายเหล่านี้ อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านกว่าบาทต่อราย ตนถามย้ำไปว่าต้องไม่มีเงื่อนไขอะไรอีก เพราะเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย แต่เราต้องเร่ง จ่ายเงินเยียวยานี้ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการว่าเรื่องนี้มีความเสียหายมาก เป็นเรื่องที่มีระดับความรุนแรงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเกณฑ์การเยียวยาจะต้องหาทางที่จะเยียวยาในระดับสูงสุด

    เมื่อถามถึง งตัวเลขอายุการใช้งานรถบัสที่เกิดเหตุ ที่ระบุว่ามีอายุ 54 ปี นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของทางกระทรวงคมนาคม ส่วนของกระทรวงมหาดไทย ดูในเรื่องของการให้การดูแลครอบครัวการจัดงานให้สมเกียรติ ในการนี้ เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ตนได้รับการแจ้งล่วงหน้ามาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ทรงมีความห่วงใย และทรงสลดพระทัย ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้แจ้งมาว่าพระองค์ท่านจะรับการจัดการเรื่องงานทั้งหมด ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ จะมีการพระราชทานเพลิงให้กับผู้ที่สูญเสียชีวิตไป โดยกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และตนได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ไปจัดการหน้างานให้สมเกียรติกับผู้วายชนม์ ซึ่งมีทั้งครู และนักเรียน

    เมื่อถามว่า ขณะนี้มี มีข้อถกเถียง เรื่องของการยกเลิกการทัศนศึกษา ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พรรคภูมิใจไทย กำกับดูแลอยู่จะทำอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้ว เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่าการไปทัศนศึกษา มันไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้คือเรื่องมาตรฐานของคนขับรถ มาตรฐานการจัดรูปขบวนในการเดินทาง คุณภาพของรถ อย่างกรณีนี้ เราต้องไปดู เพราะตนเห็นกับตาทำไมรถบัส 1คัน ถังแก๊สเยอะขนาดนี้นับๆดูเป็น 10 ถัง ซึ่งตนก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยอยู่กรมขนส่ง ก็ต้องไปดูก่อนว่ากฎหมายเขากำหนดไว้อย่างไร มีถังแก๊ซตั้งแต่หน้ารถ กลางรถ ท้ายรถ ข้างรถ จะเดินทางอะไรกันกะจะแบบไม่ต้องพักผ่อนกันเลยหรือ

    “โดยมองจากสายตา ที่ผมเคยเป็นวิศวกรคุมงานมาก่อน มองว่าควรจะมีแผ่นเหล็ก ที่คอยกั้นไม่ให้ประกายไฟถึงตัว คือจะต้องเซฟตี้มากกว่านี้ เป็นพื้นที่นิรภัย ผมมั่นใจว่ามาตรฐานของกรมขนส่งทางบก ของเรามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่ารถคันนี้ผ่านการตรวจสภาพมาอย่างไร ตำรวจก็คงจะต้องทำหน้าที่การสืบขยายผล แต่ที่เห็นถามว่าปลอดภัยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ปลอดภัยแน่นอน”นายอนุทิน กล่าว

    เมื่อถามว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง จะขับเคลื่อนเรื่องนี้แก้กฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นหน้าที่ของทุกคน เราต้องช่วยกันทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด กับลูก หลานของเราอย่างที่บอกการไปทัศนศึกษา เป็นสิ่งที่ดีไม่อย่างนั้นเด็กก็อยู่แต่ในห้องเรียน เห็นทุกอย่างจากรูป ไม่เห็นของจริง แต่การจัดรูปแบบทำอย่างไรให้ดีจริงๆ ก็มีกฎอยู่สามารถที่จะประสานขอรถตำรวจนำได้ รถทางหลวงนำได้ ต้องกำหนดเรื่องของความเร็วเรื่องของผู้ใหญ่ที่อยู่ในรถที่จะสามารถคอยให้การช่วยเหลือเด็กๆ และกำหนดจำนวนคนขับรถ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ก็คือรถ 1 คัน คน 1 คน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีผู้ช่วยคนขับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่รู้จักรถเลย มีแต่ครูกับนักเรียน พอเกิดเหตุการณ์ คนขับก็วิ่งลงมาดูก่อน ไม่มีผู้ช่วยลงมาคอยปลดล็อคเปิดประตูฉุกเฉิน ถีบหน้าต่างเป็นช่องทางฉุกเฉินเลย มันชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามีการละเมิด
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000092959 พระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง-พระราชินีทรงรับผู้สูญเสียเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ประกันพร้อมจ่าย 1 ล้านบาทต่อราย เผยแพร่: 2 ต.ค. 2567 13:43 ปรับปรุง: 2 ต.ค. 2567 13:43 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ เป็นพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวง-พระราชินี” ทรงห่วงใย ทรงสลดพระทัย รับผู้สูญเสีย เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ มหาดไทยพร้อมเยียวยาสูงสุด สำนักงานประกันภัยมอบ 1 ล้านกว่าบาทต่อราย เห็นต่างยกเลิก “ทัศนศึกษา” ชี้ไม่ใช่มูลเหตุ แต่สาเหตุ คือ คุณภาพรถมาตรฐานของคนขับรถ และการจัดรูปขบวนในการเดินทาง ถามเห็นคาตา รถบัสทำไมมีถังแก๊สนับสิบ ชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามีการละเมิด เมื่อเวลา 11.38 น. วันที่ 2 ต.ค.67 ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) กล่าวถึงเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของคณะครูและนักเรียนโรงเรียนวัดเขาพระยา จ.อุทัยธานี เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จนต้องประกาศภัยพิบัติ จะพิจารณาเงินเยียวยาอย่างไรว่ า เหตุการณ์นี้ เรื่องของการช่วยเหลือตามพ.ร.บ.อุบัติภัย มีอยู่ ว่าเราจะช่วยเรื่องการทำขวัญ โดยสำนักงานประกันภัย ได้รายงานเบื้องต้นว่า จะมีเงินที่ชดเชยความเสียหายเหล่านี้ อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านกว่าบาทต่อราย ตนถามย้ำไปว่าต้องไม่มีเงื่อนไขอะไรอีก เพราะเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับการสูญเสีย แต่เราต้องเร่ง จ่ายเงินเยียวยานี้ ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการว่าเรื่องนี้มีความเสียหายมาก เป็นเรื่องที่มีระดับความรุนแรงอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเกณฑ์การเยียวยาจะต้องหาทางที่จะเยียวยาในระดับสูงสุด เมื่อถามถึง งตัวเลขอายุการใช้งานรถบัสที่เกิดเหตุ ที่ระบุว่ามีอายุ 54 ปี นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของทางกระทรวงคมนาคม ส่วนของกระทรวงมหาดไทย ดูในเรื่องของการให้การดูแลครอบครัวการจัดงานให้สมเกียรติ ในการนี้ เราได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ตนได้รับการแจ้งล่วงหน้ามาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี ทรงมีความห่วงใย และทรงสลดพระทัย ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้แจ้งมาว่าพระองค์ท่านจะรับการจัดการเรื่องงานทั้งหมด ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ จะมีการพระราชทานเพลิงให้กับผู้ที่สูญเสียชีวิตไป โดยกระทรวงมหาดไทย ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และตนได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ไปจัดการหน้างานให้สมเกียรติกับผู้วายชนม์ ซึ่งมีทั้งครู และนักเรียน เมื่อถามว่า ขณะนี้มี มีข้อถกเถียง เรื่องของการยกเลิกการทัศนศึกษา ในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ ที่พรรคภูมิใจไทย กำกับดูแลอยู่จะทำอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ตนได้ยินคำนี้มาหลายครั้งแล้ว เมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ซึ่งตนคิดว่าการไปทัศนศึกษา มันไม่ใช่มูลเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้ขึ้น สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุนี้คือเรื่องมาตรฐานของคนขับรถ มาตรฐานการจัดรูปขบวนในการเดินทาง คุณภาพของรถ อย่างกรณีนี้ เราต้องไปดู เพราะตนเห็นกับตาทำไมรถบัส 1คัน ถังแก๊สเยอะขนาดนี้นับๆดูเป็น 10 ถัง ซึ่งตนก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยอยู่กรมขนส่ง ก็ต้องไปดูก่อนว่ากฎหมายเขากำหนดไว้อย่างไร มีถังแก๊ซตั้งแต่หน้ารถ กลางรถ ท้ายรถ ข้างรถ จะเดินทางอะไรกันกะจะแบบไม่ต้องพักผ่อนกันเลยหรือ “โดยมองจากสายตา ที่ผมเคยเป็นวิศวกรคุมงานมาก่อน มองว่าควรจะมีแผ่นเหล็ก ที่คอยกั้นไม่ให้ประกายไฟถึงตัว คือจะต้องเซฟตี้มากกว่านี้ เป็นพื้นที่นิรภัย ผมมั่นใจว่ามาตรฐานของกรมขนส่งทางบก ของเรามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ว่ารถคันนี้ผ่านการตรวจสภาพมาอย่างไร ตำรวจก็คงจะต้องทำหน้าที่การสืบขยายผล แต่ที่เห็นถามว่าปลอดภัยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ปลอดภัยแน่นอน”นายอนุทิน กล่าว เมื่อถามว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมือง จะขับเคลื่อนเรื่องนี้แก้กฎหมายในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นหน้าที่ของทุกคน เราต้องช่วยกันทำให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด กับลูก หลานของเราอย่างที่บอกการไปทัศนศึกษา เป็นสิ่งที่ดีไม่อย่างนั้นเด็กก็อยู่แต่ในห้องเรียน เห็นทุกอย่างจากรูป ไม่เห็นของจริง แต่การจัดรูปแบบทำอย่างไรให้ดีจริงๆ ก็มีกฎอยู่สามารถที่จะประสานขอรถตำรวจนำได้ รถทางหลวงนำได้ ต้องกำหนดเรื่องของความเร็วเรื่องของผู้ใหญ่ที่อยู่ในรถที่จะสามารถคอยให้การช่วยเหลือเด็กๆ และกำหนดจำนวนคนขับรถ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ก็คือรถ 1 คัน คน 1 คน ไม่มีอะไรเลย ไม่มีผู้ช่วยคนขับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ที่รู้จักรถเลย มีแต่ครูกับนักเรียน พอเกิดเหตุการณ์ คนขับก็วิ่งลงมาดูก่อน ไม่มีผู้ช่วยลงมาคอยปลดล็อคเปิดประตูฉุกเฉิน ถีบหน้าต่างเป็นช่องทางฉุกเฉินเลย มันชัดเจนอยู่แล้ว ว่ามีการละเมิด
    MGRONLINE.COM
    พระมหากรุณาธิคุณ ในหลวง-พระราชินีทรงรับผู้สูญเสียเหตุรถบัสนักเรียนไฟไหม้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ ประกันพร้อมจ่าย 1 ล้านบาทต่อราย
    เป็นพระมหากรุณาธิคุณ “ในหลวง-พระราชินี” ทรงห่วงใย ทรงสลดพระทัย รับผู้สูญเสีย เหตุการณ์รถบัสนักเรียนไฟไหม้ ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ มหาดไทยพร้อมเยียวยาสูงสุด สำนักงานประกันภัยมอบ 1 ล้านกว่าบาทต่อราย เห็นต่างยกเลิก “ทัศนศึกษา” ชี้ไ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 724 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฆ่าลูกไม่ลง! แม้รู้ว่าลูกจะเกิดมาพิการ ไม่ขอยุติการตั้งครรภ์ ทั้งแม่และตายายทุ่มเทดูแลหลานอย่างสุดกำลัง ถึงขั้นยอมออกจากงานประจำ-อดมื้อกินมื้อ พร้อมสู้เพื่อลูกอิ่ม!

    “ตอนช่วงประมาณ 8 เดือนกว่าเกือบ 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้ว หมอตรวจเจอความผิดปกติที่ศีรษะของน้อง มันไม่โตตามเกณฑ์ เหมือนมีน้ำ รักษาไม่ได้เลย ตอนนั้นยังไม่เจอความผิดปกติของขานะ เจอแค่หัวของน้อง หมอก็บอกว่า ยุติการตั้งครรภ์ไหม ก็ถามว่าทำยังไง คือเข้าไปตัดชิ้นส่วนของน้อง ทั้งๆ ที่น้องยังหายใจอยู่ พอได้ยิน หนูก็ช็อกแล้ว ทำใจไม่ได้”

    ไม่ใช่แค่ “ส้มแป้น” คณิศร แสงอุไร ผู้เป็นแม่ที่รับไม่ได้หากต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ตากับยายก็รู้สึกไม่ต่างกัน และไม่อยากสร้างบาปด้วยการจบชีวิตหลาน อยากให้หลานได้มีโอกาสลืมตาดูโลก “ให้เขาออกมาดีกว่า เพราะไหนๆ เขาก็อยากจะเกิดแล้ว ถ้าเกิดมาผิดรูปผิดร่างหรือจะเป็นยังไงก็หลานเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็บอกเขาเลยว่า เราขอไม่ยุติการตั้งครรภ์”

    ขณะที่ตาและยายพร้อมช่วยดูแลหลานพิการที่จะเกิดมา แต่ผู้เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเกิด กลับทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะคำว่าพิการ “วันที่รู้ช่วงใกล้คลอดว่า น้องไม่สมประกอบ น้องมีความผิดปกติ ก็โทรไปบอกเขาก่อน เขาก็รับรู้เรื่อง ..วันต่อมา เราก็โทรไปอีก ไม่รับสาย ..ตั้งแต่ที่ยังไม่คลอดจนคลอด ก็ติดต่อไม่ได้เลย หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเราพิการ”

    ปัจจุบัน “น้องบุญรักษา” อายุ 6 ขวบ มีภาวะหัวโตหรือที่เรียกว่า เด็กหัวบาตร และแขนขาพิการผิดรูป นั่งไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ ซึ่งผู้เป็นแม่และตายายไม่เคยคิดเสียใจกับสภาพที่น้องเป็น แต่ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสดูแลน้อง

    “(ถาม-ตอนเห็นหน้าน้องหลังคลอด คุณตารู้สึกยังไงบ้าง?) ไม่รู้สึกเสียใจ ยังไงก็เป็นหลานของเรา เราภูมิใจที่เขาเกิดมา และเลือกครอบครัวของเราที่จะเป็นผู้ดูแลเขา เราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดในชีวิตหนึ่งที่เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือน้อย ตรงนี้เราก็ทุ่มเทให้กับเขา”

    ความพิการและเจ็บป่วยของน้องบุญรักษาทำให้น้องต้องเข้า-ออก รพ.บ่อยๆ บางครั้งต้องอยู่ รพ.นานนับเดือน จึงส่งผลให้แม่ และตากับยาย ต้องทยอยลาออกจากงานประจำ เพื่อดูแลน้องบุญรักษา “ตอนนั้นยายทำงานร้านยาเป็นผู้ช่วยเภสัช เขาจ้างเราคนเดียว เราก็ผลัดกันลากับเจ้าส้มไปเฝ้าหลาน ทางเภสัชก็สงสารและเข้าใจ แต่ร้านเขาก็ต้องเปิดทุกวัน เราก็ขอลาออกก่อนแล้วกัน เพื่อให้ส้มยังทำงานได้ แต่สุดท้ายร่างกายเรามันก็รับไม่ไหว เพราะเป็นเนื้องอกและความดันด้วย ก็ต้องดึงเจ้าส้มมาเฝ้าอีก เพราะน้องอยู่ในห้องวิกฤต”

    “ก่อนคลอด หนูทำงานร้านเบอเกอร์ พอลาคลอด แล้วรู้ว่าลูกพิการ ช่วงนั้นน้องบุญรักษาต้องอยู่ที่ รพ. เกือบ 1 เดือนเต็มๆ แล้วลูกผิดปกติ เราเลยต้องขอลาออก”

    “ตอนแรกพ่อทำงานบริษัทอยู่ พอหลานเราต้องไป รพ.บ่อย เราต้องหยุดงานบ่อย ทางบริษัทก็ตำหนิ เราก็ออกจากงานมาดูแลหลาน แล้วก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับเพื่อพยุงไปก่อน เพราะมันเป็นพาหนะในการพาหลานเดินทางไป รพ.ด้วย”

    ไม่ใช่แค่รายได้หดหายหลังออกจากงานประจำทั้ง 3 คน แต่วิกฤตใหญ่ที่ตามมาคือบ้านถูกยึด เพราะส่งไม่ไหว “ช่วงนั้นแย่ บ้านโดนยึด โชคดีมีเพื่อนของยายเขาให้มาอยู่ที่นวนคร เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขาเลยให้ครอบครัวหนูไปอยู่ฟรีๆ ให้เราจ่ายแค่ค่าไฟค่าน้ำเอง ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนยายมากที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเพื่อนยาย ครอบครัวหนูคงต้องไปพึ่งวัด”

    ปัจจุบันส้มแป้นกับลูกๆ และตายายย้ายมาอยู่ที่ไทรน้อย จ.นนทบุรี โดยเธอช่วยตาหารายได้ด้วยการขายของออนไลน์ เช่น ขนมอบกรอบ และไส้กรอกอีสาน ซึ่งไส้กรอกอีสานทำเองทุกขั้นตอน หลังได้สูตรจากผู้ใจบุญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้จากการขายของออนไลน์และขับแท็กซี่ของตา ยังไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายของครอบครัว แม้อาศัยเบี้ยคนชราของยาย และเบี้ยพิการของน้องบุญรักษาแล้วก็ตาม

    “ตอนนี้รายได้จากการขายของยังพอบรรเทาด้วยการซื้อนม ซื้อแพมเพิสของน้องไปได้ ส่วนตัวของหนู ตา ยาย ไม่เป็นไร อดมื้อกินมื้อได้..”

    ขณะที่ตา ยอมรับว่า “รายได้จากการวิ่งแท็กซี่บางทีชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ติดค่าเช่าไว้ก่อน เราก็เอาเงินตรงนั้นมาหมุนในครอบครัวก่อน ..(ถาม-รายจ่ายหลักๆ ตอนนี้มีอะไรบ้าง?) ค่าบ้านค่าน้ำไฟ ค่าน้องต้นน้ำไปโรงเรียน ค่านม ค่าแพมเพิส และพวกยูนิซัน (ถาม-โห แสดงว่าน่าจะเกิดปัญหาขัดสนไหม?) ขัดสนแน่นอนเลย”

    ด้านน้องต้นน้ำ พี่สาวของน้องบุญรักษา ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี ยอมรับว่า เข้าใจดีถึงความยากลำบากของครอบครัว “(ถาม-หนูเข้าใจความลำบากไหมมันเป็นยังไง?) บางทีก็ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน (ถาม-ตอนนี้ต้นน้ำเรียนอยู่ชั้นไหน?) ป.5 (ถาม-ได้เกรดเท่าไหร่?) เกรด 4 (โห แล้วตอนนี้หนูเริ่มมีความฝัน โตขึ้นอยากเป็นอะไร เคยคิดไว้หรือยัง?) เป็นหมอ (ถาม-ทำไมล่ะ?) จะได้รักษาน้อง”

    ขณะที่ยาย แม้ปัจจุบันจะมีเนื้องอกที่บริเวณหลังหลายจุด แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษา เพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้หลานกินอิ่มมากกว่า

    ทุกคนสู้สุดตัว เพื่อน้องบุญรักษา ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงเรื่องนอน เพราะหมอเคยบอกว่า น้องบุญรักษาสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงพร้อมอดหลับอดนอนเพื่อน้อง “(ถาม-กลางคืนไม่มีใครได้นอนพร้อมกัน?) ไม่มี แบ่งกันหลับ เพราะน้องพร้อมที่จะชักตลอดเวลา พอเขาชักขึ้นมา เราต้องช่วยกันเลย...”

    หวังให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด!

    “ทุกๆ วัน แม่จะบอกน้องบุญรักษาอยู่กับแม่ก่อนนะ เพราะหมอบอกว่า น้องพร้อมไปได้ทุกเมื่อเลย เราต้องคอยดูน้องทุกวันทุกวินาทีว่า น้องยังหายใจไหม น้องเป็นอะไรไหม คือพยายามให้เขาอยู่สู้กับแม่ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าตอนไหนที่หนูไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หนูไปแบบไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบสบาย อย่าทรมานนะลูก ให้หนูไปตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่กับตายายนะ”

    6 ปีแล้วที่น้องบุญรักษาเกิดมาพร้อมกับความพิการ แม้น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่น้องคงรับรู้ได้ว่าทุกคนรักและห่วงน้องมากแค่ไหน หากน้องพูดได้ น้องคงอยากขอบคุณแม่ ตา และยายที่ตัดสินใจไม่ยุติการตั้งครรภ์ในวันนั้น

    ติดตามเรื่องราวความรักความทุ่มเทของแม่และตายายที่มีต่อน้องบุญรักษาได้
    ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “บุญรักษานะลูก”
    วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 9.00-9.30 น.
    ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211)

    และเฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กต็อก : ฅนจริงใจไม่ท้อ

    (หากท่านใดต้องการอุดหนุนขนมอบกรอบและไส้กรอกอีสานของส้มแป้น เพื่อให้มีทุนดูแลรักษาพยาบาลลูก ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก ต้นน้ำ บุญรักษา หรือโทรไปได้ที่ 099-278-3163 หากต้องการช่วยเหลือ โอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.คณิศร แสงอุไร เลขที่บัญชี 108-0-71624-6)

    #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #รักไม่มีเงื่อนไข #พิการ #สู้เพื่อหลาน
    ฆ่าลูกไม่ลง! แม้รู้ว่าลูกจะเกิดมาพิการ ไม่ขอยุติการตั้งครรภ์ ทั้งแม่และตายายทุ่มเทดูแลหลานอย่างสุดกำลัง ถึงขั้นยอมออกจากงานประจำ-อดมื้อกินมื้อ พร้อมสู้เพื่อลูกอิ่ม! “ตอนช่วงประมาณ 8 เดือนกว่าเกือบ 9 เดือน ใกล้จะคลอดแล้ว หมอตรวจเจอความผิดปกติที่ศีรษะของน้อง มันไม่โตตามเกณฑ์ เหมือนมีน้ำ รักษาไม่ได้เลย ตอนนั้นยังไม่เจอความผิดปกติของขานะ เจอแค่หัวของน้อง หมอก็บอกว่า ยุติการตั้งครรภ์ไหม ก็ถามว่าทำยังไง คือเข้าไปตัดชิ้นส่วนของน้อง ทั้งๆ ที่น้องยังหายใจอยู่ พอได้ยิน หนูก็ช็อกแล้ว ทำใจไม่ได้” ไม่ใช่แค่ “ส้มแป้น” คณิศร แสงอุไร ผู้เป็นแม่ที่รับไม่ได้หากต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่ตากับยายก็รู้สึกไม่ต่างกัน และไม่อยากสร้างบาปด้วยการจบชีวิตหลาน อยากให้หลานได้มีโอกาสลืมตาดูโลก “ให้เขาออกมาดีกว่า เพราะไหนๆ เขาก็อยากจะเกิดแล้ว ถ้าเกิดมาผิดรูปผิดร่างหรือจะเป็นยังไงก็หลานเรา เลือดเนื้อเชื้อไขของเรา เราก็บอกเขาเลยว่า เราขอไม่ยุติการตั้งครรภ์” ขณะที่ตาและยายพร้อมช่วยดูแลหลานพิการที่จะเกิดมา แต่ผู้เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเกิด กลับทอดทิ้งไปอย่างไม่ใยดีเพียงเพราะคำว่าพิการ “วันที่รู้ช่วงใกล้คลอดว่า น้องไม่สมประกอบ น้องมีความผิดปกติ ก็โทรไปบอกเขาก่อน เขาก็รับรู้เรื่อง ..วันต่อมา เราก็โทรไปอีก ไม่รับสาย ..ตั้งแต่ที่ยังไม่คลอดจนคลอด ก็ติดต่อไม่ได้เลย หลังจากที่รู้ว่าลูกสาวของเราพิการ” ปัจจุบัน “น้องบุญรักษา” อายุ 6 ขวบ มีภาวะหัวโตหรือที่เรียกว่า เด็กหัวบาตร และแขนขาพิการผิดรูป นั่งไม่ได้ ขับถ่ายเองไม่ได้ ซึ่งผู้เป็นแม่และตายายไม่เคยคิดเสียใจกับสภาพที่น้องเป็น แต่ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้มีโอกาสดูแลน้อง “(ถาม-ตอนเห็นหน้าน้องหลังคลอด คุณตารู้สึกยังไงบ้าง?) ไม่รู้สึกเสียใจ ยังไงก็เป็นหลานของเรา เราภูมิใจที่เขาเกิดมา และเลือกครอบครัวของเราที่จะเป็นผู้ดูแลเขา เราต้องดูแลเขาให้ดีที่สุดในชีวิตหนึ่งที่เขาอยู่กับเรา ไม่ว่าจะสั้นหรือน้อย ตรงนี้เราก็ทุ่มเทให้กับเขา” ความพิการและเจ็บป่วยของน้องบุญรักษาทำให้น้องต้องเข้า-ออก รพ.บ่อยๆ บางครั้งต้องอยู่ รพ.นานนับเดือน จึงส่งผลให้แม่ และตากับยาย ต้องทยอยลาออกจากงานประจำ เพื่อดูแลน้องบุญรักษา “ตอนนั้นยายทำงานร้านยาเป็นผู้ช่วยเภสัช เขาจ้างเราคนเดียว เราก็ผลัดกันลากับเจ้าส้มไปเฝ้าหลาน ทางเภสัชก็สงสารและเข้าใจ แต่ร้านเขาก็ต้องเปิดทุกวัน เราก็ขอลาออกก่อนแล้วกัน เพื่อให้ส้มยังทำงานได้ แต่สุดท้ายร่างกายเรามันก็รับไม่ไหว เพราะเป็นเนื้องอกและความดันด้วย ก็ต้องดึงเจ้าส้มมาเฝ้าอีก เพราะน้องอยู่ในห้องวิกฤต” “ก่อนคลอด หนูทำงานร้านเบอเกอร์ พอลาคลอด แล้วรู้ว่าลูกพิการ ช่วงนั้นน้องบุญรักษาต้องอยู่ที่ รพ. เกือบ 1 เดือนเต็มๆ แล้วลูกผิดปกติ เราเลยต้องขอลาออก” “ตอนแรกพ่อทำงานบริษัทอยู่ พอหลานเราต้องไป รพ.บ่อย เราต้องหยุดงานบ่อย ทางบริษัทก็ตำหนิ เราก็ออกจากงานมาดูแลหลาน แล้วก็ไปเช่าแท็กซี่มาขับเพื่อพยุงไปก่อน เพราะมันเป็นพาหนะในการพาหลานเดินทางไป รพ.ด้วย” ไม่ใช่แค่รายได้หดหายหลังออกจากงานประจำทั้ง 3 คน แต่วิกฤตใหญ่ที่ตามมาคือบ้านถูกยึด เพราะส่งไม่ไหว “ช่วงนั้นแย่ บ้านโดนยึด โชคดีมีเพื่อนของยายเขาให้มาอยู่ที่นวนคร เป็นบ้านที่ไม่มีใครอยู่ เขาเลยให้ครอบครัวหนูไปอยู่ฟรีๆ ให้เราจ่ายแค่ค่าไฟค่าน้ำเอง ก็ขอขอบพระคุณเพื่อนยายมากที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเพื่อนยาย ครอบครัวหนูคงต้องไปพึ่งวัด” ปัจจุบันส้มแป้นกับลูกๆ และตายายย้ายมาอยู่ที่ไทรน้อย จ.นนทบุรี โดยเธอช่วยตาหารายได้ด้วยการขายของออนไลน์ เช่น ขนมอบกรอบ และไส้กรอกอีสาน ซึ่งไส้กรอกอีสานทำเองทุกขั้นตอน หลังได้สูตรจากผู้ใจบุญ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรายได้จากการขายของออนไลน์และขับแท็กซี่ของตา ยังไม่ค่อยครอบคลุมรายจ่ายของครอบครัว แม้อาศัยเบี้ยคนชราของยาย และเบี้ยพิการของน้องบุญรักษาแล้วก็ตาม “ตอนนี้รายได้จากการขายของยังพอบรรเทาด้วยการซื้อนม ซื้อแพมเพิสของน้องไปได้ ส่วนตัวของหนู ตา ยาย ไม่เป็นไร อดมื้อกินมื้อได้..” ขณะที่ตา ยอมรับว่า “รายได้จากการวิ่งแท็กซี่บางทีชักหน้าไม่ถึงหลัง เราก็ติดค่าเช่าไว้ก่อน เราก็เอาเงินตรงนั้นมาหมุนในครอบครัวก่อน ..(ถาม-รายจ่ายหลักๆ ตอนนี้มีอะไรบ้าง?) ค่าบ้านค่าน้ำไฟ ค่าน้องต้นน้ำไปโรงเรียน ค่านม ค่าแพมเพิส และพวกยูนิซัน (ถาม-โห แสดงว่าน่าจะเกิดปัญหาขัดสนไหม?) ขัดสนแน่นอนเลย” ด้านน้องต้นน้ำ พี่สาวของน้องบุญรักษา ซึ่งเป็นเด็กเรียนดี ยอมรับว่า เข้าใจดีถึงความยากลำบากของครอบครัว “(ถาม-หนูเข้าใจความลำบากไหมมันเป็นยังไง?) บางทีก็ไม่มีตังค์ไปโรงเรียน (ถาม-ตอนนี้ต้นน้ำเรียนอยู่ชั้นไหน?) ป.5 (ถาม-ได้เกรดเท่าไหร่?) เกรด 4 (โห แล้วตอนนี้หนูเริ่มมีความฝัน โตขึ้นอยากเป็นอะไร เคยคิดไว้หรือยัง?) เป็นหมอ (ถาม-ทำไมล่ะ?) จะได้รักษาน้อง” ขณะที่ยาย แม้ปัจจุบันจะมีเนื้องอกที่บริเวณหลังหลายจุด แต่ก็ไม่ยอมไปหาหมอเพื่อตรวจรักษา เพราะอยากประหยัดค่าใช้จ่ายเพื่อให้หลานกินอิ่มมากกว่า ทุกคนสู้สุดตัว เพื่อน้องบุญรักษา ไม่ใช่แค่เรื่องกิน แต่รวมถึงเรื่องนอน เพราะหมอเคยบอกว่า น้องบุญรักษาสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ทุกคนจึงพร้อมอดหลับอดนอนเพื่อน้อง “(ถาม-กลางคืนไม่มีใครได้นอนพร้อมกัน?) ไม่มี แบ่งกันหลับ เพราะน้องพร้อมที่จะชักตลอดเวลา พอเขาชักขึ้นมา เราต้องช่วยกันเลย...” หวังให้ลูกมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด! “ทุกๆ วัน แม่จะบอกน้องบุญรักษาอยู่กับแม่ก่อนนะ เพราะหมอบอกว่า น้องพร้อมไปได้ทุกเมื่อเลย เราต้องคอยดูน้องทุกวันทุกวินาทีว่า น้องยังหายใจไหม น้องเป็นอะไรไหม คือพยายามให้เขาอยู่สู้กับแม่ให้ถึงที่สุด แต่ถ้าตอนไหนที่หนูไม่ไหวแล้ว ก็ขอให้หนูไปแบบไม่เจ็บไม่ปวด ไปแบบสบาย อย่าทรมานนะลูก ให้หนูไปตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของแม่กับตายายนะ” 6 ปีแล้วที่น้องบุญรักษาเกิดมาพร้อมกับความพิการ แม้น้องช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่น้องคงรับรู้ได้ว่าทุกคนรักและห่วงน้องมากแค่ไหน หากน้องพูดได้ น้องคงอยากขอบคุณแม่ ตา และยายที่ตัดสินใจไม่ยุติการตั้งครรภ์ในวันนั้น ติดตามเรื่องราวความรักความทุ่มเทของแม่และตายายที่มีต่อน้องบุญรักษาได้ ในรายการ ฅนจริงใจไม่ท้อ ตอน “บุญรักษานะลูก” วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2567 เวลา 9.00-9.30 น. ทางสถานีโทรทัศน์ News1 (IPM ช่อง 64 / PSI ช่อง 211) และเฟซบุ๊ก / ยูทูบ / ติ๊กต็อก : ฅนจริงใจไม่ท้อ (หากท่านใดต้องการอุดหนุนขนมอบกรอบและไส้กรอกอีสานของส้มแป้น เพื่อให้มีทุนดูแลรักษาพยาบาลลูก ติดต่อได้ที่เฟซบุ๊ก ต้นน้ำ บุญรักษา หรือโทรไปได้ที่ 099-278-3163 หากต้องการช่วยเหลือ โอนไปได้ที่ ธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี น.ส.คณิศร แสงอุไร เลขที่บัญชี 108-0-71624-6) #สู้ชีวิต #สู้เพื่อลูก #รักไม่มีเงื่อนไข #พิการ #สู้เพื่อหลาน
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1381 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่งความห่วงใยและกำลังใจ
    ด้วยรักและแบ่งปันครับชาวไทยที่เคารพรัก
    เพลง เราต้องช่วยกัน
    Shaw Sherry Duck (ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก)
    เรียบเรียง​ อ.สุพิษ​ เล็บขาว​&เฮียชอว์
    ขอขอบคุณ
    คลิปภาพจากสื่อทุกคลิป
    #เราต้องช่วยกัน #คนไทยไม่ทิ้งกัน
    #น้ำท่วม2567 #เชียงราย #น่าน #พะเยา #แพร่ #สุโขทัย#ภูเก็ต#กำลังใจ #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก
    ส่งความห่วงใยและกำลังใจ ด้วยรักและแบ่งปันครับชาวไทยที่เคารพรัก เพลง เราต้องช่วยกัน Shaw Sherry Duck (ชอว์ เชอร์รี่ดั๊ก) เรียบเรียง​ อ.สุพิษ​ เล็บขาว​&เฮียชอว์ ขอขอบคุณ คลิปภาพจากสื่อทุกคลิป #เราต้องช่วยกัน #คนไทยไม่ทิ้งกัน #น้ำท่วม2567 #เชียงราย #น่าน #พะเยา #แพร่ #สุโขทัย​ #ภูเก็ต​ #กำลังใจ #shawsherryduck #ชอว์เชอร์รี่ดั๊ก
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 776 มุมมอง 63 0 รีวิว