• **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร**

    เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ

    ---------

    3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย

    1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ

    จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ

    ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี

    2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน

    ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน

    การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป

    3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ

    นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้"

    อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น

    ---------

    การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้

    ---------

    หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง

    และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน

    ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ

    นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้"

    ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ

    ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB

    ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/

    ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ!

    #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร** เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ --------- 3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย 1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี 2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป 3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้" อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น --------- การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้ --------- หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้" ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/ ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ! #TheSignature #BangkokCraftmanship #การจัดการ #การค้าออนไลน์ที่แท้จริง #supershe #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 516 Views 0 Reviews
  • **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร**

    เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ

    ---------

    3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย

    1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ

    จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ

    ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี

    2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน

    ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน

    การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป

    3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ

    นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้"

    อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น

    ---------

    การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้

    ---------

    หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง

    และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน

    ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ

    นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้"

    ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ

    ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB

    ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/

    ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ!
    **อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ แต่คิดไม่ออก ไม่รู้ต้องเลือกอย่างไร** เป็นสิ่งที่ตัวผมเองต้องพบเจอทุกครั้ง ในเวลาที่อยากให้ของขวัญ คนที่เรารัก เราเคารพ ผมจึงเรียบเรียงโพสต์นี้ขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทาง ช่วยในการ เลือกของขวัญ ให้ผู้รับประทับใจ --------- 3 แนวทาง ในการเลือกของขวัญให้ ผู้รับประทับใจ จาการสำรวจ ผู้ได้รับของขวัญในประเทศไทย 1. ของขวัญที่ ตรงกับความสนใจ และ ความชอบของผู้รับ จากผลสำรวจโดยศูนย์วิจัยพฤติกรรมผู้บริโภค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2565) พบว่าผู้รับจะรู้สึกประทับใจมากที่สุดหากของขวัญที่ได้รับสะท้อนความสนใจส่วนตัวหรือสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็น "งานอดิเรกที่พวกเขาทำเป็นประจำ" "สิ่งของที่พวกเขาสะสม" หรือ "สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหลงใหลในบางเรื่อง" การที่ผู้ให้สละเวลา "สำหรับการคิดถึงความชอบของผู้รับ" จึงเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันและแสดงถึงความใส่ใจได้อย่างดี 2. ของขวัญที่ มีคุณค่า หรือ มีประโยชน์ในการใช้งาน ผลสำรวจจากบริษัทวิจัยการตลาด InsightAsia (2564) แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบของขวัญ "ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง หรือ มีความคุ้มค่า" ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน หรือ สินค้าที่มีประโยชน์ในการใช้งานเฉพาะด้าน การให้ของขวัญที่มีประโยชน์ "ช่วยให้ผู้รับรู้สึกว่าของขวัญมีคุณค่าในระยะยาว และสามารถนำไปใช้ได้ตามความต้องการ" ทำให้ของขวัญนั้นเป็นมากกว่าของฝากทั่วไป 3. ของขวัญที่ ใส่ใจในบรรจุภัณฑ์ และ การนำเสนอ นอกจากตัวของขวัญเองแล้ว ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (2565) ยังชี้ให้เห็นว่าผู้รับให้ความสำคัญกับการนำเสนอและบรรจุภัณฑ์ของของขวัญที่ได้รับ "การห่อหรือจัดบรรจุภัณฑ์ที่ดูสวยงามใส่ใจในรายละเอียด" ช่วยเพิ่มความรู้สึกตื่นเต้น และทำให้ "ผู้รับรู้สึกถึงความเอาใจใส่จากผู้ให้" อีกทั้ง การ "เพิ่มคำบรรยาย" หรือ "การ์ดที่สื่อความหมาย" ยิ่งช่วยสามารถเพิ่มคุณค่าให้ของขวัญและทำให้ผู้รับรู้สึกพิเศษยิ่งขึ้น --------- การเลือกของขวัญที่ทำให้ผู้รับประทับใจนั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป สิ่งสำคัญคือการใส่ใจในความชอบและความสนใจของผู้รับ ให้ของขวัญที่มีประโยชน์ในการใช้งาน และใส่ใจการให้ของขวัญด้วยบรรจุภัณฑ์และการ์ด ก็สามารถทำให้ผู้รับประทับใจได้ --------- หากคุณกำลังมองหาของขวัญ ที่ดูเรียบหรู ปราณีต ทำด้วยความใส่ใจ แต่ราคาไม่แพง และ เป็นของขวัญ ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น Passport Holder ที่จะช่วยป้องกันความเสียหายของพาสปอร์ต และช่วยจัดการเอกสารเดินทางต่างๆ หรือ เป็น Card Holder ที่ช่วยจัดการบัตรต่างๆ มีหลายรูปแบบให้เลือก หรือ กระเป๋าเครื่องหนังคุณภาพสูงอื่นๆ ที่ช่วยจัดการสิ่งของต่างๆ ได้จริง ในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง Vegan Leather คุณภาพสูง ออกแบบด้วยความใส่ใจใน "รายละเอียด การจัดการ" จาก The Signature อาจเป็นคำตอบ ของคุณ นอกจากนี้ สำหรับ งานแต่งงาน งานเกษียณอายุ หรือ ของขวัญสำหรับองค์กร The Signature ยังมีบริการรับผลิต ปั๊มโลโก้ ของคุณ ให้ผู้รับ "ได้นึกถึงคุณทุกครั้ง ที่หยิบสินค้าขึ้นมาใช้" ยินดีให้คำปรึกษา จัดเซ็ตของขวัญ สำหรับโอกาสพิเศษ ของคุณ ติดต่อได้ที่ โทร. 0892248802 (แอม) ช่องทางติดต่อออนไลน์ https://linkbio.co/6110917URkCFB ดูตัวอย่างสินค้าของขวัญได้ที่ https://www.instagram.com/p/DCLb6DRPeca/ ให้ The Signature เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความประทับใจครั้งสำคัญของคุณ!
    0 Comments 0 Shares 270 Views 0 Reviews
  • "Steve Jobs" กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทรงพลังที่สุด คือ "นักเล่าเรื่อง" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้วิธีเล่าเรื่องที่ดี และนี่คือ 13 เทคนิค การเล่าเรื่องที่จะทำให้โดดเด่นทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตของคุณ..

    —————————

    🔥 มาร่วมฟังมุมมองพร้อมเปิดโอกาสการลงทุนของคุณไปกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจ้าของฉายา "Warren Buffett เมืองไทย" นักลงทุนระดับตำนาน ได้ในงาน Follow The Future 2024 - Unravel The New Era พร้อมพบกับวิทยากรระดับประเทศอีกมากมาย อาทิ "ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี, "บรรยง พงษ์พานิช" นักการเงินชั้นแนวหน้าผู้ผ่านทุกสนามธุรกิจการเงินระดับโลก

    #ห้ามพลาดแล้วพบกันวันที่ 30 พ.ย. 2567 ณ สมาคมราชกรีฑาสโมสร ร่วมพบปะเพื่อนนักลงทุน ทานอาหารเย็นและ Networking 💥 เปิดขายบัตร Early Bird ราคาพิเศษแล้ววันนี้!! รายละเอียดซื้อบัตร ใน Comment

    —————————

    🔵 1) ให้"เริ่มด้วยประโยคที่น่าสนใจ"
    • ทำให้ผู้ฟังได้ฟังประโยคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟังได้

    🔵 2) "สร้างแรงบันดาลใจ" ในประโยคสุดท้าย
    • ให้ผู้ฟังของคุณได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ

    🔵 3) เล่าเรื่องอย่าง "เชื่อมต่อกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่"
    • ข้อเสนอที่มีต่อผู้ฟัง ควรมีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือแบ่งปันกับลูกค้าของคุณ

    —————————

    🔵 4) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ฟัง
    • ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเรา แบรนด์เรา และทำให้รู้สึกพิเศษ

    🔵 5) เน้นย้ำถึงปัญหา
    • ระบุถึงปัญหาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และเล่าถึงการแก้ปัญหาของเราหรือแบรนด์ จะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจกับผลลัพธ์ของแบรนด์

    🔵 6) ทำให้กลุ่มผู้ฟังรู้สึกเป็นส่วนตัว (Personal)
    • ให้ผู้ชมของคุณได้เห็นถึงเบื้องหลัง กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์

    —————————

    🔵 7) ใช้กลยุทธ์ การ"เล่าซ้ำที่ไม่ซ้ำ"
    • เน้นย้ำและเล่าซ้ำถึงข้อความสำคัญของคุณอย่างสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน่าจดจำ

    🔵 8 ) ทำให้เห็นมากกว่าพูด
    • ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับผลลัพธ์ หรือข้อเสนอต่าง ๆ จนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

    🔵 9) ฝึกฝนอย่างไม่หยยุดยั้ง
    • การเล่าที่ดีเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างใจ

    —————————

    🔵 10) สร้างตัวร้ายในเรื่อง
    • วาดภาพจินตนาการบางสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนั้นล้มเหลว และโชว์หรือเล่าถึงสนับสนุนเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

    🔵 11) ใช้ความเงียบเป็นบางช่วงขณะที่เล่าเรื่อง
    • อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้ผู้ชมได้มีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ซึมซับถึงประโยคหรือข้อความที่คุณเล่า "ความเงียบ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอด"

    🔵 12) สร้างความคาดหวังให้ผู้ฟัง
    • นอกจากทำให้มีประสบการณ์ที่ดี หรือมีส่วนร่วมด้วยแล้วนั้น การเรียงลำดับเรื่องที่สร้างความคาดหวัง จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟัง อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ

    🔵 13) เล่าไอเดียที่ยากของเราให้เข้าใจง่าย
    • ทำเรื่องเล่าให้เข้าใจง่าย ทั้งด้านการใช้การคำ การเรียงลำดับเรื่อง "ให้เด็ก อายุ 5 ขวบเข้าใจในไอเดียของคุณ" ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

    ที่มา: @matt_gray_

    #BusinessTomorrow #FollowtheFuture2024
    "Steve Jobs" กล่าวไว้ว่า บุคคลที่ทรงพลังที่สุด คือ "นักเล่าเรื่อง" คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้วิธีเล่าเรื่องที่ดี และนี่คือ 13 เทคนิค การเล่าเรื่องที่จะทำให้โดดเด่นทั้งในเรื่องธุรกิจและชีวิตของคุณ.. ————————— 🔥 มาร่วมฟังมุมมองพร้อมเปิดโอกาสการลงทุนของคุณไปกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เจ้าของฉายา "Warren Buffett เมืองไทย" นักลงทุนระดับตำนาน ได้ในงาน Follow The Future 2024 - Unravel The New Era พร้อมพบกับวิทยากรระดับประเทศอีกมากมาย อาทิ "ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย" อดีตรองนายกรัฐมนตรี, "บรรยง พงษ์พานิช" นักการเงินชั้นแนวหน้าผู้ผ่านทุกสนามธุรกิจการเงินระดับโลก #ห้ามพลาดแล้วพบกันวันที่ 30 พ.ย. 2567 ณ สมาคมราชกรีฑาสโมสร ร่วมพบปะเพื่อนนักลงทุน ทานอาหารเย็นและ Networking 💥 เปิดขายบัตร Early Bird ราคาพิเศษแล้ววันนี้!! รายละเอียดซื้อบัตร ใน Comment ————————— 🔵 1) ให้"เริ่มด้วยประโยคที่น่าสนใจ" • ทำให้ผู้ฟังได้ฟังประโยคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการฟังได้ 🔵 2) "สร้างแรงบันดาลใจ" ในประโยคสุดท้าย • ให้ผู้ฟังของคุณได้รับแรงบันดาลใจและมีแรงจูงใจในการดำเนินการต่อ 🔵 3) เล่าเรื่องอย่าง "เชื่อมต่อกับวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่" • ข้อเสนอที่มีต่อผู้ฟัง ควรมีวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั่นคือแบ่งปันกับลูกค้าของคุณ ————————— 🔵 4) สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ฟัง • ทำให้ผู้ฟังหรือผู้ชมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับเรา แบรนด์เรา และทำให้รู้สึกพิเศษ 🔵 5) เน้นย้ำถึงปัญหา • ระบุถึงปัญหาให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และเล่าถึงการแก้ปัญหาของเราหรือแบรนด์ จะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจกับผลลัพธ์ของแบรนด์ 🔵 6) ทำให้กลุ่มผู้ฟังรู้สึกเป็นส่วนตัว (Personal) • ให้ผู้ชมของคุณได้เห็นถึงเบื้องหลัง กระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์ ————————— 🔵 7) ใช้กลยุทธ์ การ"เล่าซ้ำที่ไม่ซ้ำ" • เน้นย้ำและเล่าซ้ำถึงข้อความสำคัญของคุณอย่างสร้างสรรค์ โดยหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำ เพื่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าน่าจดจำ 🔵 8 ) ทำให้เห็นมากกว่าพูด • ให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับผลลัพธ์ หรือข้อเสนอต่าง ๆ จนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 🔵 9) ฝึกฝนอย่างไม่หยยุดยั้ง • การเล่าที่ดีเป็นผลมาจากการฝึกฝนอย่างใจ ————————— 🔵 10) สร้างตัวร้ายในเรื่อง • วาดภาพจินตนาการบางสิ่งที่จะทำให้อุตสาหกรรมนั้นล้มเหลว และโชว์หรือเล่าถึงสนับสนุนเพื่อให้ผู้ชมได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง 🔵 11) ใช้ความเงียบเป็นบางช่วงขณะที่เล่าเรื่อง • อย่าเร่งรีบจนเกินไป ให้ผู้ชมได้มีช่วงเวลาขณะหนึ่งที่ซึมซับถึงประโยคหรือข้อความที่คุณเล่า "ความเงียบ ก็ถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สุดยอด" 🔵 12) สร้างความคาดหวังให้ผู้ฟัง • นอกจากทำให้มีประสบการณ์ที่ดี หรือมีส่วนร่วมด้วยแล้วนั้น การเรียงลำดับเรื่องที่สร้างความคาดหวัง จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟัง อยากดูต่อไปเรื่อย ๆ 🔵 13) เล่าไอเดียที่ยากของเราให้เข้าใจง่าย • ทำเรื่องเล่าให้เข้าใจง่าย ทั้งด้านการใช้การคำ การเรียงลำดับเรื่อง "ให้เด็ก อายุ 5 ขวบเข้าใจในไอเดียของคุณ" ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่มา: @matt_gray_ #BusinessTomorrow #FollowtheFuture2024
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • Thrilled to have earned my Certified Professional Mentor (CPM) credential from International Mentoring Center! Looking forward to applying this knowledge.

    อีกหนึ่งใน Milestone ด้านวิชาชีพ วันนี้ได้รับข่าวดีที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รับใบรับรอง Certified Professional Mentor (CPM) จาก International Mentoring Center! ตั้งตารอที่จะนำความรู้เหล่านี้ไปใช้

    https://credentials.mentoringcenter.org/credentials/928f9622-f4a1-4926-a585-cac209a32d15

    ยินดีรับใช้ในทุกหน่วยงานครับ
    #lifelonglearning
    #achievement
    #certifier
    Thrilled to have earned my Certified Professional Mentor (CPM) credential from International Mentoring Center! Looking forward to applying this knowledge. อีกหนึ่งใน Milestone ด้านวิชาชีพ วันนี้ได้รับข่าวดีที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้รับใบรับรอง Certified Professional Mentor (CPM) จาก International Mentoring Center! ตั้งตารอที่จะนำความรู้เหล่านี้ไปใช้ https://credentials.mentoringcenter.org/credentials/928f9622-f4a1-4926-a585-cac209a32d15 ยินดีรับใช้ในทุกหน่วยงานครับ #lifelonglearning #achievement #certifier
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • วันนี้คงต้องเร่งทำสิ่งที่คั่งค้างส่วนตัวให้เสร็จภายในวันนี้ให้ได้ แม้จะมีคนบอกให้ผมสอบบรรจุ ผมบอกเลยว่า คงทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมชอบทำงานอิสระเพื่อที่จะมีเวลาในชีวิตส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ชีวิตส่วนตัวผมคือ เขียนโปรแกรม ศึกษาเนื้อเรื่องที่ชื่นชอบและรู้สึกตื่นเต้นและคิดค้นสร้างเกมส์ครับ
    วันนี้คงต้องเร่งทำสิ่งที่คั่งค้างส่วนตัวให้เสร็จภายในวันนี้ให้ได้ แม้จะมีคนบอกให้ผมสอบบรรจุ ผมบอกเลยว่า คงทำอย่างนั้นไม่ได้ ผมชอบทำงานอิสระเพื่อที่จะมีเวลาในชีวิตส่วนตัวมากยิ่งขึ้น ชีวิตส่วนตัวผมคือ เขียนโปรแกรม ศึกษาเนื้อเรื่องที่ชื่นชอบและรู้สึกตื่นเต้นและคิดค้นสร้างเกมส์ครับ
    0 Comments 0 Shares 89 Views 0 Reviews
  • การเข้าใจชีวิตไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเราหันกลับมาสำรวจที่จิตของเราเอง ว่าจิตกำลัง "ยึด" หรือ "ไม่ยึด" สิ่งต่างๆ ปริศนาที่เคยยุ่งยากก็จะค่อยๆ คลี่คลายออกเป็นคำตอบที่เรียบง่าย

    หลายครั้งเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อได้มาจริงๆ กลับรู้สึกว่างเปล่า สาเหตุไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะจิตของเราเหนื่อยล้าจากการยึดเกาะและตะกาย เมื่อได้มาแล้วจึงหมดแรงในการยึดถือ และความรู้สึกที่ว่างเปล่านั้นคือสัญญาณว่าจิตไม่ยึดสิ่งนั้นอีกต่อไป

    ในบางครั้งที่เรารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่ไม่นานก็รู้สึกเบื่อ สาเหตุมาจากจิตได้ถอนตัวจากสภาพยึด เมื่อหมดแรงในการยึดถือ จิตก็อยากถอยห่างจากสิ่งนั้น หรือแม้กระทั่งผลักไส

    ถ้าเราไม่สังเกตเห็นความเป็นไปของจิต เมื่อได้มาสิ่งสมใจมากๆ เราอาจเริ่มงงงันและเคว้งคว้าง ถามตัวเองว่า "ฉันต้องการอะไรจากชีวิตจริงๆ?" คำถามเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความจริงในชีวิต ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องการคืออะไร

    ลองเริ่มสังเกตง่ายๆ ว่า แม้แต่ลมหายใจที่เป็นของธรรมดาและไม่มีใครยึดถือ เรายังไม่สามารถทิ้งมันได้ ลมหายใจสอนเราว่า จิตที่ไม่ยึด แต่ก็ไม่ทิ้ง นั้นเป็นอย่างไร จิตที่สงบและสมดุลจะไม่ตะกายหรือยึดมั่นในสิ่งใดจนเหนื่อยล้า

    เมื่อเราเริ่มเห็นจิตในรูปแบบต่างๆ ทั้งจิตที่ยึดและจิตที่ปล่อย เราจะเกิดสติและเข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุให้ยึด และอะไรเป็นเหตุให้ปล่อย เราจะไม่ยึดหรือปล่อยสิ่งใดแบบงงๆ อีกต่อไป จิตจะสว่างขึ้น เกิดปัญญาเห็นความจริงว่า ความอยากและความยึดถือเป็นสิ่งชั่วคราว ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องปล่อยวาง

    เมื่อเห็นเช่นนี้ จิตจะเริ่มสงบ หิวน้อยลง กระวนกระวายน้อยลง เพราะเข้าใจว่า ความสงบระงับนั้นแหละคือความอิ่มเต็มที่แท้จริงในชีวิต
    การเข้าใจชีวิตไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หากเราหันกลับมาสำรวจที่จิตของเราเอง ว่าจิตกำลัง "ยึด" หรือ "ไม่ยึด" สิ่งต่างๆ ปริศนาที่เคยยุ่งยากก็จะค่อยๆ คลี่คลายออกเป็นคำตอบที่เรียบง่าย หลายครั้งเราพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อได้มาจริงๆ กลับรู้สึกว่างเปล่า สาเหตุไม่ใช่เพราะสิ่งนั้นไม่ดีพอ แต่เป็นเพราะจิตของเราเหนื่อยล้าจากการยึดเกาะและตะกาย เมื่อได้มาแล้วจึงหมดแรงในการยึดถือ และความรู้สึกที่ว่างเปล่านั้นคือสัญญาณว่าจิตไม่ยึดสิ่งนั้นอีกต่อไป ในบางครั้งที่เรารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่ไม่นานก็รู้สึกเบื่อ สาเหตุมาจากจิตได้ถอนตัวจากสภาพยึด เมื่อหมดแรงในการยึดถือ จิตก็อยากถอยห่างจากสิ่งนั้น หรือแม้กระทั่งผลักไส ถ้าเราไม่สังเกตเห็นความเป็นไปของจิต เมื่อได้มาสิ่งสมใจมากๆ เราอาจเริ่มงงงันและเคว้งคว้าง ถามตัวเองว่า "ฉันต้องการอะไรจากชีวิตจริงๆ?" คำถามเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาความจริงในชีวิต ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องการคืออะไร ลองเริ่มสังเกตง่ายๆ ว่า แม้แต่ลมหายใจที่เป็นของธรรมดาและไม่มีใครยึดถือ เรายังไม่สามารถทิ้งมันได้ ลมหายใจสอนเราว่า จิตที่ไม่ยึด แต่ก็ไม่ทิ้ง นั้นเป็นอย่างไร จิตที่สงบและสมดุลจะไม่ตะกายหรือยึดมั่นในสิ่งใดจนเหนื่อยล้า เมื่อเราเริ่มเห็นจิตในรูปแบบต่างๆ ทั้งจิตที่ยึดและจิตที่ปล่อย เราจะเกิดสติและเข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุให้ยึด และอะไรเป็นเหตุให้ปล่อย เราจะไม่ยึดหรือปล่อยสิ่งใดแบบงงๆ อีกต่อไป จิตจะสว่างขึ้น เกิดปัญญาเห็นความจริงว่า ความอยากและความยึดถือเป็นสิ่งชั่วคราว ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องปล่อยวาง เมื่อเห็นเช่นนี้ จิตจะเริ่มสงบ หิวน้อยลง กระวนกระวายน้อยลง เพราะเข้าใจว่า ความสงบระงับนั้นแหละคือความอิ่มเต็มที่แท้จริงในชีวิต
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • การสำรวจจิตเพื่อทำความเข้าใจอาการ "ยึด" และ "ไม่ยึด" เป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายปริศนาต่างๆ ในชีวิต เมื่อเรายึดถือสิ่งใดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือสิ่งที่ปรารถนา พอได้มาจริงๆ กลับรู้สึกว่างเปล่า จิตเกิดอาการหมดแรงในการตะกาย ยึดสิ่งนั้น และกลายเป็นความรู้สึกไม่พอใจหรือเบื่อหน่าย

    ในทางกลับกัน บางครั้งเราไม่ได้พยายามมากนัก แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกยึดถือก็อ่อนแรงลง จิตก็เริ่มถอนตัว อยากปล่อยทิ้งสิ่งนั้นไป ความรู้สึกเหล่านี้เป็นธรรมชาติของจิตที่ยึดและปล่อย เมื่อจิตยึดจนเต็มที่แล้วก็จะมีแรงถอย หรือเบื่อหน่ายในที่สุด

    การไม่เข้าใจจิตที่ยึดและไม่ยึด อาจทำให้เกิดความสับสนและเคว้งคว้าง ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร สิ่งที่ได้มาคือสิ่งที่สำคัญจริงหรือไม่ แต่ถ้าเราหยุดพิจารณาและเริ่มเจริญสติ เราจะเห็นว่าจิตที่ไม่ยึดและไม่ทิ้ง เช่น การหายใจเข้าออกที่เราไม่ยึดถือ แต่ก็ไม่สามารถทิ้งได้ เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตที่สมดุล

    การสังเกตจิตที่ยึดและจิตที่ปล่อย ทำให้เรามีสติรู้ทันว่า ความยึดถือเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะหมดแรงจับ เมื่อเราเห็นจิตในลักษณะนี้บ่อยๆ จิตจะเริ่มเกิดปัญญา รู้ทันว่าแรงยึดถือไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ความสงบและอิ่มเต็มคือความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ตลอดเวลา

    เมื่อจิตสว่าง รู้จักธรรมชาติของการยึดและการปล่อย จิตจะหิวน้อยลงและกระวนกระวายน้อยลง เพราะเข้าใจความจริงว่า ความสงบระงับนั้นเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุด
    การสำรวจจิตเพื่อทำความเข้าใจอาการ "ยึด" และ "ไม่ยึด" เป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายปริศนาต่างๆ ในชีวิต เมื่อเรายึดถือสิ่งใดมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือสิ่งที่ปรารถนา พอได้มาจริงๆ กลับรู้สึกว่างเปล่า จิตเกิดอาการหมดแรงในการตะกาย ยึดสิ่งนั้น และกลายเป็นความรู้สึกไม่พอใจหรือเบื่อหน่าย ในทางกลับกัน บางครั้งเราไม่ได้พยายามมากนัก แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกยึดถือก็อ่อนแรงลง จิตก็เริ่มถอนตัว อยากปล่อยทิ้งสิ่งนั้นไป ความรู้สึกเหล่านี้เป็นธรรมชาติของจิตที่ยึดและปล่อย เมื่อจิตยึดจนเต็มที่แล้วก็จะมีแรงถอย หรือเบื่อหน่ายในที่สุด การไม่เข้าใจจิตที่ยึดและไม่ยึด อาจทำให้เกิดความสับสนและเคว้งคว้าง ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร สิ่งที่ได้มาคือสิ่งที่สำคัญจริงหรือไม่ แต่ถ้าเราหยุดพิจารณาและเริ่มเจริญสติ เราจะเห็นว่าจิตที่ไม่ยึดและไม่ทิ้ง เช่น การหายใจเข้าออกที่เราไม่ยึดถือ แต่ก็ไม่สามารถทิ้งได้ เป็นธรรมชาติที่แท้จริงของจิตที่สมดุล การสังเกตจิตที่ยึดและจิตที่ปล่อย ทำให้เรามีสติรู้ทันว่า ความยึดถือเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราว ที่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะหมดแรงจับ เมื่อเราเห็นจิตในลักษณะนี้บ่อยๆ จิตจะเริ่มเกิดปัญญา รู้ทันว่าแรงยึดถือไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ความสงบและอิ่มเต็มคือความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่การยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ตลอดเวลา เมื่อจิตสว่าง รู้จักธรรมชาติของการยึดและการปล่อย จิตจะหิวน้อยลงและกระวนกระวายน้อยลง เพราะเข้าใจความจริงว่า ความสงบระงับนั้นเป็นความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุด
    0 Comments 0 Shares 138 Views 0 Reviews
  • #แทนคุณแผ่นดิน

    🤠คำนำ🤠

    “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ

    หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา

    🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠

    สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา

    เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง

    ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ

    🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠

    ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้

    สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ

    หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี

    🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠

    ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ

    เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ

    “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    #แทนคุณแผ่นดิน 🤠คำนำ🤠 “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา 🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠 สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠 ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี 🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠 ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 Comments 0 Shares 582 Views 0 Reviews
  • คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว…

    ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!!

    จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ
    พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย
    แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี
    ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov
    นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม
    แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน
    เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์……
    ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่
    พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……)
    ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…)
    เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว
    โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว
    และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี
    คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน
    การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท
    แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…)

    แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน
    เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย……
    ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์

    เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น

    หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40%
    แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity
    เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย
    หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า
    “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……”

    วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้……

    “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?”
    ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง……
    เยลซินกล่าวต่อว่า………
    “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า
    ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง
    ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…?

    ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……”

    ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า
    “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง”

    เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า……
    “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?”
    ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า
    วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…”

    ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้
    เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว
    การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน
    นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม
    นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว
    นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส
    เผลอๆจะถูกล้างเอง…
    นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น
    นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที…

    ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!!

    วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา
    พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23%
    พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13%
    ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว……

    เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี
    เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน
    ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ
    เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่

    เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000
    ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า……

    “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย……
    ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ
    เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ

    แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา………
    รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง
    มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา
    สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…”

    เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย………

    ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่
    เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..”
    ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB
    เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์

    ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้
    ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ
    ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า……

    “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……”

    ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ
    ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น……
    เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!!

    คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน
    เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ
    กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน
    สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน
    แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง
    ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน
    และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ

    ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว… ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!! จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์…… ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่ พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……) ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…) เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…) แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย…… ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์ เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40% แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……” วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้…… “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?” ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง…… เยลซินกล่าวต่อว่า……… “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…? ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……” ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง” เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า…… “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?” ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…” ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้ เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส เผลอๆจะถูกล้างเอง… นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที… ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!! วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23% พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13% ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว…… เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่ เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000 ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า…… “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย…… ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา……… รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…” เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย……… ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่ เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..” ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์ ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้ ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า…… “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……” ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น…… เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!! คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 768 Views 0 Reviews
  • วิวพลาดเหรียญทอง แต่ชนะใจคนไทย

    การแข่งขันแบดมินตัน ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 8 ของโลก พบกับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น มืออันดับ 2 ของโลก จากเดนมาร์ก แม้จะไม่สามารถเอาชนะความแข็งแกร่งของหนุ่มโคนมวัย 30 ปี จบการแข่งขันทำได้แค่เหรียญเงิน ตามที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ออกมาเมื่อดูจากสถิติการแข่งขันที่ผ่านมา

    แต่สำหรับนักแบดมินตันหนุ่มวัยเพียง 23 ปี มาไกลขนาดนี้ ถือว่าชนะใจคนไทยทั้งประเทศ

    ช่วงค่ำวันที่ 5 ส.ค. ตามเวลาในไทย คนไทยทั้งประเทศต่างส่งแรงใจเชียร์ วิว กุลวุฒิ ทั่วทุกมุมเมือง แม้จะไม่ถึงขั้นถนนในกรุงเทพฯ โล่ง ตามคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนที่เคยดู เขาทราย แกแล็คซี่ ขึ้นชกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกในปี 2534 บนหน้าจอโทรทัศน์ ในยุคที่ความบันเทิงที่เข้าถึงทุกครัวเรือนมีเพียงวิทยุ และโทรทัศน์แอนะล็อกที่มีเพียงไม่กี่ช่องเท่านั้น

    วันที่วิว กุลวุฒิ ชิงเหรียญทอง ศูนย์การค้าหลายแห่ง ต่างถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอโฆษณา ราวกับทีวีจอยักษ์ ให้คนไทยได้ร่วมลุ้นไปพร้อมกัน ขณะที่แพลตฟอร์ม OTT ก็มีผู้คนเข้าถึงจำนวนมาก ทำเอาแอปพลิเคชันชมการถ่ายทอดสดอย่าง AIS Play ล่มอีกครั้งในช่วงเวลาสำคัญ จากที่เคยล่มเมื่อคราวถ่ายทอดสด THE MATCH Bangkok Century Cup 2022 เมื่อปี 2565

    แต่ที่คนไทยยิ้มได้ก็คือ แม้ วิว กุลวุฒิ จะไม่ได้เหรียญทองกลับมา แต่ทุกคนมีความสุขมากกว่าเสียดาย เพราะสิ่งที่วิว กุลวุฒิ ได้แข่งขันนั้นมาไกลเกินกว่าที่คาดหวัง แม้จะอยู่ในยุคที่การบริโภคสื่อมีหลากหลาย ไม่ได้ใจจดใจจ่ออยู่ที่หน้าปัดวิทยุหรือจอตู้เหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อถึงคราวชิงเหรียญทองโอลิมปิก เดิมพันศักดิ์ศรีของประเทศ กลายเป็นที่สนใจของคนไทยทั้งประเทศทันที

    วิว กุลวุฒิ ยอมรับว่าทั้งรูปแบบเกม สมาธิ และชั้นเชิงต่างๆ เป็นรองทุกอย่าง ยอมรับว่า วิคเตอร์ ยังคงเป็นสุดยอดนักแบดมินตันอยู่ดี ตนรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าปกติ และวิคเตอร์วางรูปแบบเกมได้อย่างดี อีกทั้งตนมีจังหวะที่เร่งตัวเอง ทำให้ผิดพลาดมากขึ้น และทำให้แต้มไหล แต่โดยรวมสำหรับโอลิมปิกครั้งแรกค่อนข้างโอเค

    "แต่ถ้าเป็นไปได้ อีก 4 ปีข้างหน้าก็อยากจะคว้าเหรียญทอง" วิว กุลวุฒิ กล่าว

    วิว กุลวุฒิ กล่าวว่า มารอบนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้หวังเหรียญอยู่แล้ว เพราะถ้าดูจากการแบ่งสาย หลายคนมองว่าจะแพ้ตั้งแต่เจอ ฉี ยู่ฉี นักแบดมินตันทีมชาติจีน มืออันดับ 1 ของโลก ในรอบ 8 คนสุดท้าย เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งและเป็นมือหนึ่งของโลก พอตนสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก็มีความสุขมาก ถึงไม่ได้เหรียญทอง แต่ก็รู้สึกมีความสุข"

    "ขอบคุณแฟนๆ ชาวไทยที่ส่งกำลังใจเชียร์ผม รวมถึงทัพนักกีฬาไทยแบดมินตัน วันนี้ผมก็ทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อีก 4 ข้างหน้าเราเจอกัน"

    นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกระแสการเล่นแบดมินตัน หวังว่าจะมีมากขึ้น แบดมินตันก็มีเยาวชนเริ่มเล่นเยอะขึ้น หลังจากนี้ถ้ามีเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้วงการแบดมินตันมีช้างเผือกขึ้นมาใหม่ คอยต่อยอดจากรุ่นพี่ที่อายุมากขึ้น พร้อมฝากว่าอยากให้มีเป้าหมาย วางเป้าหมายของตัวเองก่อนว่าอยากไปจุดไหน ต้องเหนื่อย ต้องอดทน มุ่งมั่นตั้งใจ ถ้าทำได้ก็จะประสบความสำเร็จ

    วิว กุลวุฒิ คว้าเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรก ของกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย เป็นสมาคมกีฬาที่ 4 ต่อจากมวยสากลสมัครเล่น ยกน้ำหนัก และเทควันโด นับตั้งแต่ทีมชาติไทยส่งนักกีฬาแบดมินตัน ไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ตั้งแต่ปี 2535 หรือเมื่อ 32 ปีก่อน โดยมีนักกีฬารับใช้ชาติไปแล้ว 35 คน แม้จะไม่สามารถคว้าเหรียญมาได้ แต่ความหวังก็ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

    เหนือสิ่งอื่นใด วิว กุลวุฒิ ก็ได้สร้างความสุขให้กับคนไทย และแฟนกีฬาแบดมินตัน รวมทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ตั้งแต่โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ที่มีแม่ปุก กมลา ทองกร ผู้ก่อตั้งและประธานโรงเรียน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งโค้ชเป้ ภัทพล เงินศรีสุข และนักแบดมินตันรุ่นพี่อย่าง เมย์ รัชนก อินทนนท์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้วิวมีวันนี้

    ขณะที่เฟซบุ๊ก "Kunlavut Vitidsarn - กุลวุฒิ วิทิตศานต์" แอดมินยังคงกล่าววรรคทองเรียกเสียงเชียร์จากคอกีฬาชาวไทย ว่า "คนตีไม่เคยท้อ คนเชียร์อย่าเพิ่งทิ้ง ประวัติศาสตร์เพิ่งเริ่มเขียนครับ"

    #Newskit #ViewKunlavut #Olympic2024
    วิวพลาดเหรียญทอง แต่ชนะใจคนไทย การแข่งขันแบดมินตัน ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง วิว กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 8 ของโลก พบกับ วิคเตอร์ อเซลเซ่น มืออันดับ 2 ของโลก จากเดนมาร์ก แม้จะไม่สามารถเอาชนะความแข็งแกร่งของหนุ่มโคนมวัย 30 ปี จบการแข่งขันทำได้แค่เหรียญเงิน ตามที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ออกมาเมื่อดูจากสถิติการแข่งขันที่ผ่านมา แต่สำหรับนักแบดมินตันหนุ่มวัยเพียง 23 ปี มาไกลขนาดนี้ ถือว่าชนะใจคนไทยทั้งประเทศ ช่วงค่ำวันที่ 5 ส.ค. ตามเวลาในไทย คนไทยทั้งประเทศต่างส่งแรงใจเชียร์ วิว กุลวุฒิ ทั่วทุกมุมเมือง แม้จะไม่ถึงขั้นถนนในกรุงเทพฯ โล่ง ตามคำบอกเล่าของคนรุ่นก่อนที่เคยดู เขาทราย แกแล็คซี่ ขึ้นชกป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกในปี 2534 บนหน้าจอโทรทัศน์ ในยุคที่ความบันเทิงที่เข้าถึงทุกครัวเรือนมีเพียงวิทยุ และโทรทัศน์แอนะล็อกที่มีเพียงไม่กี่ช่องเท่านั้น วันที่วิว กุลวุฒิ ชิงเหรียญทอง ศูนย์การค้าหลายแห่ง ต่างถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอโฆษณา ราวกับทีวีจอยักษ์ ให้คนไทยได้ร่วมลุ้นไปพร้อมกัน ขณะที่แพลตฟอร์ม OTT ก็มีผู้คนเข้าถึงจำนวนมาก ทำเอาแอปพลิเคชันชมการถ่ายทอดสดอย่าง AIS Play ล่มอีกครั้งในช่วงเวลาสำคัญ จากที่เคยล่มเมื่อคราวถ่ายทอดสด THE MATCH Bangkok Century Cup 2022 เมื่อปี 2565 แต่ที่คนไทยยิ้มได้ก็คือ แม้ วิว กุลวุฒิ จะไม่ได้เหรียญทองกลับมา แต่ทุกคนมีความสุขมากกว่าเสียดาย เพราะสิ่งที่วิว กุลวุฒิ ได้แข่งขันนั้นมาไกลเกินกว่าที่คาดหวัง แม้จะอยู่ในยุคที่การบริโภคสื่อมีหลากหลาย ไม่ได้ใจจดใจจ่ออยู่ที่หน้าปัดวิทยุหรือจอตู้เหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อถึงคราวชิงเหรียญทองโอลิมปิก เดิมพันศักดิ์ศรีของประเทศ กลายเป็นที่สนใจของคนไทยทั้งประเทศทันที วิว กุลวุฒิ ยอมรับว่าทั้งรูปแบบเกม สมาธิ และชั้นเชิงต่างๆ เป็นรองทุกอย่าง ยอมรับว่า วิคเตอร์ ยังคงเป็นสุดยอดนักแบดมินตันอยู่ดี ตนรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าปกติ และวิคเตอร์วางรูปแบบเกมได้อย่างดี อีกทั้งตนมีจังหวะที่เร่งตัวเอง ทำให้ผิดพลาดมากขึ้น และทำให้แต้มไหล แต่โดยรวมสำหรับโอลิมปิกครั้งแรกค่อนข้างโอเค "แต่ถ้าเป็นไปได้ อีก 4 ปีข้างหน้าก็อยากจะคว้าเหรียญทอง" วิว กุลวุฒิ กล่าว วิว กุลวุฒิ กล่าวว่า มารอบนี้ จริงๆ ก็ไม่ได้หวังเหรียญอยู่แล้ว เพราะถ้าดูจากการแบ่งสาย หลายคนมองว่าจะแพ้ตั้งแต่เจอ ฉี ยู่ฉี นักแบดมินตันทีมชาติจีน มืออันดับ 1 ของโลก ในรอบ 8 คนสุดท้าย เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งและเป็นมือหนึ่งของโลก พอตนสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก็มีความสุขมาก ถึงไม่ได้เหรียญทอง แต่ก็รู้สึกมีความสุข" "ขอบคุณแฟนๆ ชาวไทยที่ส่งกำลังใจเชียร์ผม รวมถึงทัพนักกีฬาไทยแบดมินตัน วันนี้ผมก็ทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อีก 4 ข้างหน้าเราเจอกัน" นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกระแสการเล่นแบดมินตัน หวังว่าจะมีมากขึ้น แบดมินตันก็มีเยาวชนเริ่มเล่นเยอะขึ้น หลังจากนี้ถ้ามีเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้วงการแบดมินตันมีช้างเผือกขึ้นมาใหม่ คอยต่อยอดจากรุ่นพี่ที่อายุมากขึ้น พร้อมฝากว่าอยากให้มีเป้าหมาย วางเป้าหมายของตัวเองก่อนว่าอยากไปจุดไหน ต้องเหนื่อย ต้องอดทน มุ่งมั่นตั้งใจ ถ้าทำได้ก็จะประสบความสำเร็จ วิว กุลวุฒิ คว้าเหรียญโอลิมปิกเหรียญแรก ของกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย เป็นสมาคมกีฬาที่ 4 ต่อจากมวยสากลสมัครเล่น ยกน้ำหนัก และเทควันโด นับตั้งแต่ทีมชาติไทยส่งนักกีฬาแบดมินตัน ไปแข่งขันในกีฬาโอลิมปิก ตั้งแต่ปี 2535 หรือเมื่อ 32 ปีก่อน โดยมีนักกีฬารับใช้ชาติไปแล้ว 35 คน แม้จะไม่สามารถคว้าเหรียญมาได้ แต่ความหวังก็ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เหนือสิ่งอื่นใด วิว กุลวุฒิ ก็ได้สร้างความสุขให้กับคนไทย และแฟนกีฬาแบดมินตัน รวมทั้งผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ตั้งแต่โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ที่มีแม่ปุก กมลา ทองกร ผู้ก่อตั้งและประธานโรงเรียน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งโค้ชเป้ ภัทพล เงินศรีสุข และนักแบดมินตันรุ่นพี่อย่าง เมย์ รัชนก อินทนนท์ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้วิวมีวันนี้ ขณะที่เฟซบุ๊ก "Kunlavut Vitidsarn - กุลวุฒิ วิทิตศานต์" แอดมินยังคงกล่าววรรคทองเรียกเสียงเชียร์จากคอกีฬาชาวไทย ว่า "คนตีไม่เคยท้อ คนเชียร์อย่าเพิ่งทิ้ง ประวัติศาสตร์เพิ่งเริ่มเขียนครับ" #Newskit #ViewKunlavut #Olympic2024
    Like
    Love
    5
    0 Comments 1 Shares 1113 Views 0 Reviews
  • มีอะไรให้ลุ้นบ่อยเกินไปมั๊ย
    ลุง ณุ เอาให้ดีๆนะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #รู้สึกตื่นเต้น
    #รู้สึกลุ้น
    #เอาดีๆ
    #จั๊กกะแร้แปียก
    มีอะไรให้ลุ้นบ่อยเกินไปมั๊ย ลุง ณุ เอาให้ดีๆนะ #คิงส์โพธิ์แดง #รู้สึกตื่นเต้น #รู้สึกลุ้น #เอาดีๆ #จั๊กกะแร้แปียก
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews