• “AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA รองรับฮาร์ดดิสก์ 70 ลูก — จุข้อมูลได้เกือบ 3PB พร้อมฟีเจอร์ระดับศูนย์ข้อมูลยุค AI”

    AIC ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรเปิดตัว SB407-VA เซิร์ฟเวอร์แบบ 4U ความหนาแน่นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ โดยจุดเด่นคือสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์และ SSD ได้รวมถึง 70 ลูก รองรับความจุรวมเกือบ 3PB (เปตะไบต์) แบบ raw storage

    ตัวเครื่องรองรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบ hot-swappable ได้ถึง 60 ช่อง, SSD ขนาด 2.5 นิ้วอีก 8 ช่อง และ M.2 อีก 2 ช่อง พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow, พัดลมสำรองแบบ hot-swap และแหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง

    ภายในใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 รองรับ DDR5 และ PCIe Gen5 ทำให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ได้หลากหลาย พร้อมช่อง PCIe Gen5 หลายช่องสำหรับการขยายระบบ

    แม้จะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวนมาก แต่ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มี SSD ขนาด 3.5 นิ้วเลย?” ซึ่งคำตอบคือ SSD ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เพราะชิปแฟลชและคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็กมาก การเพิ่มขนาดจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ก็หันมาใช้ SSD ขนาด 2.5 นิ้วเพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความจุต่อแร็ค

    ด้วยขนาด 434 x 853 x 176 มม. และน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม SB407-VA จึงเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่อัดแน่นทั้งพลังประมวลผลและความจุในพื้นที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อและการจัดการ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA แบบ 4U รองรับฮาร์ดดิสก์และ SSD รวม 70 ลูก
    รองรับ 60 ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว, 8 ช่อง SSD 2.5 นิ้ว และ 2 ช่อง M.2
    ใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 พร้อม DDR5 และ PCIe Gen5
    รองรับการเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA
    ระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow และพัดลมสำรอง hot-swap
    แหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียร
    ความจุรวมเกือบ 3PB แบบ raw storage
    ขนาดเครื่อง 434 x 853 x 176 มม. น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม
    เหมาะสำหรับงานด้าน AI, data analytics และ data lake ขนาดใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSD ขนาด 3.5 นิ้วไม่เป็นที่นิยม เพราะชิปแฟลชใช้พื้นที่น้อยและต้นทุนสูงหากขยายขนาด
    SSD ขนาด 2.5 นิ้วช่วยให้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มความจุในพื้นที่จำกัดได้ดีกว่า
    PCIe Gen5 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64GB/s เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง
    Xeon Scalable Gen 5 รองรับการประมวลผลแบบ multi-socket และ AI acceleration
    ระบบ hot-swap ช่วยให้เปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ลด downtime

    https://www.techradar.com/pro/you-can-put-70-ssds-and-hdds-in-this-case-to-deliver-almost-3pb-capacity-and-it-got-me-thinking-why-arent-there-any-3-5-inch-ssds
    🧮 “AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA รองรับฮาร์ดดิสก์ 70 ลูก — จุข้อมูลได้เกือบ 3PB พร้อมฟีเจอร์ระดับศูนย์ข้อมูลยุค AI” AIC ผู้ผลิตเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรเปิดตัว SB407-VA เซิร์ฟเวอร์แบบ 4U ความหนาแน่นสูง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานด้าน AI, การวิเคราะห์ข้อมูล และการจัดการคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ โดยจุดเด่นคือสามารถติดตั้งฮาร์ดดิสก์และ SSD ได้รวมถึง 70 ลูก รองรับความจุรวมเกือบ 3PB (เปตะไบต์) แบบ raw storage ตัวเครื่องรองรับฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วแบบ hot-swappable ได้ถึง 60 ช่อง, SSD ขนาด 2.5 นิ้วอีก 8 ช่อง และ M.2 อีก 2 ช่อง พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow, พัดลมสำรองแบบ hot-swap และแหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียรในการทำงานต่อเนื่อง ภายในใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 รองรับ DDR5 และ PCIe Gen5 ทำให้สามารถเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ได้หลากหลาย พร้อมช่อง PCIe Gen5 หลายช่องสำหรับการขยายระบบ แม้จะมีช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้วจำนวนมาก แต่ผู้เขียนบทความตั้งข้อสังเกตว่า “ทำไมไม่มี SSD ขนาด 3.5 นิ้วเลย?” ซึ่งคำตอบคือ SSD ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่มาก เพราะชิปแฟลชและคอนโทรลเลอร์มีขนาดเล็กมาก การเพิ่มขนาดจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพ และศูนย์ข้อมูลยุคใหม่ก็หันมาใช้ SSD ขนาด 2.5 นิ้วเพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความจุต่อแร็ค ด้วยขนาด 434 x 853 x 176 มม. และน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม SB407-VA จึงเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่อัดแน่นทั้งพลังประมวลผลและความจุในพื้นที่เดียว เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่พร้อมความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อและการจัดการ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AIC เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ SB407-VA แบบ 4U รองรับฮาร์ดดิสก์และ SSD รวม 70 ลูก ➡️ รองรับ 60 ช่องใส่ฮาร์ดดิสก์ 3.5 นิ้ว, 8 ช่อง SSD 2.5 นิ้ว และ 2 ช่อง M.2 ➡️ ใช้ซีพียู Intel Xeon Scalable Gen 4 และ Gen 5 พร้อม DDR5 และ PCIe Gen5 ➡️ รองรับการเชื่อมต่อ NVMe, SAS และ SATA ➡️ ระบบระบายความร้อนแบบ front-to-back airflow และพัดลมสำรอง hot-swap ➡️ แหล่งจ่ายไฟสำรอง 800W เพื่อความเสถียร ➡️ ความจุรวมเกือบ 3PB แบบ raw storage ➡️ ขนาดเครื่อง 434 x 853 x 176 มม. น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ➡️ เหมาะสำหรับงานด้าน AI, data analytics และ data lake ขนาดใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSD ขนาด 3.5 นิ้วไม่เป็นที่นิยม เพราะชิปแฟลชใช้พื้นที่น้อยและต้นทุนสูงหากขยายขนาด ➡️ SSD ขนาด 2.5 นิ้วช่วยให้ศูนย์ข้อมูลเพิ่มความจุในพื้นที่จำกัดได้ดีกว่า ➡️ PCIe Gen5 มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 64GB/s เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง ➡️ Xeon Scalable Gen 5 รองรับการประมวลผลแบบ multi-socket และ AI acceleration ➡️ ระบบ hot-swap ช่วยให้เปลี่ยนอุปกรณ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง ลด downtime https://www.techradar.com/pro/you-can-put-70-ssds-and-hdds-in-this-case-to-deliver-almost-3pb-capacity-and-it-got-me-thinking-why-arent-there-any-3-5-inch-ssds
    WWW.TECHRADAR.COM
    With 60 HDD bays and 8 SSD slots, AIC's SB407-VA delivers almost 3PB capacity
    AIC's SB407-VA server supports NVMe, SAS, SATA connectivity with scalable drive options
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • “J GROUP อ้างเจาะระบบ Dimensional Control Systems — ข้อมูลลูกค้า Boeing, Samsung, Siemens เสี่ยงหลุด”

    กลุ่มแฮกเกอร์หน้าใหม่ชื่อว่า “J GROUP” ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของบริษัท Dimensional Control Systems (DCS) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านวิศวกรรมคุณภาพที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตระดับโลก โดยมีลูกค้ารายใหญ่ เช่น Boeing, Samsung, Siemens, Volkswagen และ Philips Medical

    แฮกเกอร์ระบุว่าได้ขโมยข้อมูลกว่า 11GB ซึ่งรวมถึงเอกสารภายในที่ละเอียดอ่อน เช่น สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์, ไฟล์การตั้งค่าระบบ CAE, HPC และ PLM, ข้อมูลเมตาของลูกค้า, สิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้, รายงานการตรวจสอบ, เอกสารทางกฎหมาย และขั้นตอนการสำรองข้อมูลและสนับสนุนทางเทคนิค

    เพื่อพิสูจน์การโจมตี J GROUP ได้ปล่อยไฟล์ .txt และโฟลเดอร์บีบอัดที่มีตัวอย่างเอกสาร ซึ่งนักวิจัยจาก Cybernews ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีชื่อพนักงานและรายงานค่าใช้จ่าย แต่ยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของข้อมูลได้แน่ชัด และเตือนว่าแฮกเกอร์มักนำข้อมูลเก่ามาใช้ใหม่เพื่อสร้างแรงกดดัน

    DCS ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐมิชิแกน ยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเหตุการณ์นี้อย่างเป็นทางการ แต่หากข้อมูลที่หลุดเป็นของจริง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า ความมั่นคงของระบบ และสถานะทางกฎหมายของบริษัทอย่างรุนแรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    J GROUP อ้างว่าเจาะระบบของ Dimensional Control Systems และขโมยข้อมูล 11GB
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์, การตั้งค่าระบบ, เมตาของลูกค้า และเอกสารทางกฎหมาย
    มีการปล่อยไฟล์ตัวอย่างเพื่อพิสูจน์การโจมตี เช่น .txt และโฟลเดอร์บีบอัด
    Cybernews ตรวจสอบแล้วพบชื่อพนักงานและรายงานค่าใช้จ่าย แต่ยังไม่ยืนยันความถูกต้อง
    DCS ยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเหตุการณ์นี้
    DCS เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ 3DCS Variation Analyst ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต
    ลูกค้าของ DCS ได้แก่ Boeing, Siemens, Samsung, Volkswagen, Philips Medical ฯลฯ
    หากข้อมูลเป็นของจริง อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบและความเชื่อมั่นของลูกค้า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    3DCS Variation Analyst ใช้ในการจำลองความคลาดเคลื่อนของชิ้นส่วนก่อนการผลิต
    CAE, HPC และ PLM เป็นระบบที่ใช้ในงานวิศวกรรมขั้นสูงและการจัดการผลิตภัณฑ์
    การโจมตีแบบ ransomware มักใช้การขู่เปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่
    J GROUP เป็นกลุ่มแฮกเกอร์หน้าใหม่ที่เริ่มปรากฏในต้นปี 2025
    กลุ่มแฮกเกอร์บางกลุ่มเริ่มเปลี่ยนจากการเรียกค่าไถ่เป็นการขายข้อมูลให้ผู้เสนอราคาสูงสุด

    https://www.techradar.com/pro/security/hackers-claim-to-have-hit-third-part-provider-for-boeing-samsung-and-more
    🧨 “J GROUP อ้างเจาะระบบ Dimensional Control Systems — ข้อมูลลูกค้า Boeing, Samsung, Siemens เสี่ยงหลุด” กลุ่มแฮกเกอร์หน้าใหม่ชื่อว่า “J GROUP” ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของบริษัท Dimensional Control Systems (DCS) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านวิศวกรรมคุณภาพที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตระดับโลก โดยมีลูกค้ารายใหญ่ เช่น Boeing, Samsung, Siemens, Volkswagen และ Philips Medical แฮกเกอร์ระบุว่าได้ขโมยข้อมูลกว่า 11GB ซึ่งรวมถึงเอกสารภายในที่ละเอียดอ่อน เช่น สถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์, ไฟล์การตั้งค่าระบบ CAE, HPC และ PLM, ข้อมูลเมตาของลูกค้า, สิทธิ์การเข้าถึงของผู้ใช้, รายงานการตรวจสอบ, เอกสารทางกฎหมาย และขั้นตอนการสำรองข้อมูลและสนับสนุนทางเทคนิค เพื่อพิสูจน์การโจมตี J GROUP ได้ปล่อยไฟล์ .txt และโฟลเดอร์บีบอัดที่มีตัวอย่างเอกสาร ซึ่งนักวิจัยจาก Cybernews ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีชื่อพนักงานและรายงานค่าใช้จ่าย แต่ยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของข้อมูลได้แน่ชัด และเตือนว่าแฮกเกอร์มักนำข้อมูลเก่ามาใช้ใหม่เพื่อสร้างแรงกดดัน DCS ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐมิชิแกน ยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเหตุการณ์นี้อย่างเป็นทางการ แต่หากข้อมูลที่หลุดเป็นของจริง อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า ความมั่นคงของระบบ และสถานะทางกฎหมายของบริษัทอย่างรุนแรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ J GROUP อ้างว่าเจาะระบบของ Dimensional Control Systems และขโมยข้อมูล 11GB ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์, การตั้งค่าระบบ, เมตาของลูกค้า และเอกสารทางกฎหมาย ➡️ มีการปล่อยไฟล์ตัวอย่างเพื่อพิสูจน์การโจมตี เช่น .txt และโฟลเดอร์บีบอัด ➡️ Cybernews ตรวจสอบแล้วพบชื่อพนักงานและรายงานค่าใช้จ่าย แต่ยังไม่ยืนยันความถูกต้อง ➡️ DCS ยังไม่ออกมายืนยันหรือปฏิเสธเหตุการณ์นี้ ➡️ DCS เป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ 3DCS Variation Analyst ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต ➡️ ลูกค้าของ DCS ได้แก่ Boeing, Siemens, Samsung, Volkswagen, Philips Medical ฯลฯ ➡️ หากข้อมูลเป็นของจริง อาจกระทบต่อความมั่นคงของระบบและความเชื่อมั่นของลูกค้า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 3DCS Variation Analyst ใช้ในการจำลองความคลาดเคลื่อนของชิ้นส่วนก่อนการผลิต ➡️ CAE, HPC และ PLM เป็นระบบที่ใช้ในงานวิศวกรรมขั้นสูงและการจัดการผลิตภัณฑ์ ➡️ การโจมตีแบบ ransomware มักใช้การขู่เปิดเผยข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ ➡️ J GROUP เป็นกลุ่มแฮกเกอร์หน้าใหม่ที่เริ่มปรากฏในต้นปี 2025 ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์บางกลุ่มเริ่มเปลี่ยนจากการเรียกค่าไถ่เป็นการขายข้อมูลให้ผู้เสนอราคาสูงสุด https://www.techradar.com/pro/security/hackers-claim-to-have-hit-third-part-provider-for-boeing-samsung-and-more
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • “เพนตากอนลดการฝึกอบรมไซเบอร์ — ให้ทหาร ‘โฟกัสภารกิจหลัก’ ท่ามกลางภัยคุกคามดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น”

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่ถูกรีแบรนด์ใหม่ว่า “Department of War” ได้ออกบันทึกภายในที่สร้างความตกตะลึงในวงการความมั่นคงไซเบอร์ โดยมีคำสั่งให้ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล พร้อมยกเลิกการฝึกอบรมบางรายการ เช่น Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึกเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่จัดเป็นความลับ (CUI)

    รัฐมนตรีกลาโหม Pete Hegseth ระบุว่า การฝึกอบรมที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “การรบและชัยชนะ” ควรถูกลดทอนหรือยกเลิก เพื่อให้ทหารสามารถโฟกัสกับภารกิจหลักได้เต็มที่ โดยมีการเสนอให้ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรมบุคลากร

    แม้จะมีเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพ แต่การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์อย่างหนัก เช่น กรณีการรั่วไหลของข้อมูลจากกองทัพอากาศที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์จากจีน และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023

    ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ กระทรวงกลาโหมเพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ โดยกำหนดระดับความเข้มงวดในการจัดการข้อมูลตามความอ่อนไหวของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูขัดแย้งกับการลดการฝึกอบรมภายในของกำลังพล

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การลดการฝึกอบรมในช่วงที่ภัยคุกคามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นการตัดสินใจที่สั้นเกินไป และอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายในหรือความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัยในปัจจุบัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล
    ยกเลิก Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึก CUI
    ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรม
    เหตุผลคือเพื่อให้ทหารโฟกัสกับภารกิจหลักด้านการรบ
    การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้น
    กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังสอบสวนเหตุรั่วไหลของข้อมูลที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของจีน
    โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ถูกโจมตีเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023
    ก่อนหน้านี้เพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ที่เน้นความเข้มงวด
    การลดการฝึกอบรมขัดแย้งกับแนวโน้มการเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Controlled Unclassified Information (CUI) คือข้อมูลที่ไม่จัดเป็นลับแต่ยังต้องมีการควบคุม
    Privacy Act Training ช่วยให้ทหารเข้าใจการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
    การฝึกอบรมไซเบอร์ช่วยให้บุคลากรสามารถรับมือกับ phishing, malware และ insider threat ได้ดีขึ้น
    ระบบอัตโนมัติอาจช่วยลดภาระงาน แต่ไม่สามารถแทนความเข้าใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด
    การโจมตีไซเบอร์ในสงครามสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญ เช่นในกรณีรัสเซีย–ยูเครน และอิสราเอล–อิหร่าน

    https://www.techradar.com/pro/security/us-department-of-war-reduces-cybersecurity-training-tells-soldiers-to-focus-on-their-mission
    🛡️ “เพนตากอนลดการฝึกอบรมไซเบอร์ — ให้ทหาร ‘โฟกัสภารกิจหลัก’ ท่ามกลางภัยคุกคามดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น” ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่ถูกรีแบรนด์ใหม่ว่า “Department of War” ได้ออกบันทึกภายในที่สร้างความตกตะลึงในวงการความมั่นคงไซเบอร์ โดยมีคำสั่งให้ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล พร้อมยกเลิกการฝึกอบรมบางรายการ เช่น Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึกเกี่ยวกับข้อมูลที่ไม่จัดเป็นความลับ (CUI) รัฐมนตรีกลาโหม Pete Hegseth ระบุว่า การฝึกอบรมที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ “การรบและชัยชนะ” ควรถูกลดทอนหรือยกเลิก เพื่อให้ทหารสามารถโฟกัสกับภารกิจหลักได้เต็มที่ โดยมีการเสนอให้ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรมบุคลากร แม้จะมีเหตุผลเรื่องประสิทธิภาพ แต่การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กองทัพสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภัยคุกคามไซเบอร์อย่างหนัก เช่น กรณีการรั่วไหลของข้อมูลจากกองทัพอากาศที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแฮกเกอร์จากจีน และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023 ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่สัปดาห์ กระทรวงกลาโหมเพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ โดยกำหนดระดับความเข้มงวดในการจัดการข้อมูลตามความอ่อนไหวของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งดูขัดแย้งกับการลดการฝึกอบรมภายในของกำลังพล ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า การลดการฝึกอบรมในช่วงที่ภัยคุกคามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นการตัดสินใจที่สั้นเกินไป และอาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายในหรือความผิดพลาดจากมนุษย์ ซึ่งยังคงเป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัยในปัจจุบัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลดความถี่ของการฝึกอบรมด้านไซเบอร์สำหรับกำลังพล ➡️ ยกเลิก Privacy Act Training และลดความเข้มงวดของการฝึก CUI ➡️ ใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลแทนการฝึกอบรม ➡️ เหตุผลคือเพื่อให้ทหารโฟกัสกับภารกิจหลักด้านการรบ ➡️ การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นในช่วงที่มีภัยคุกคามไซเบอร์เพิ่มขึ้น ➡️ กองทัพอากาศสหรัฐฯ กำลังสอบสวนเหตุรั่วไหลของข้อมูลที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของจีน ➡️ โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ ถูกโจมตีเฉลี่ย 13 ครั้งต่อวินาทีในปี 2023 ➡️ ก่อนหน้านี้เพิ่งออกกฎใหม่สำหรับผู้รับเหมาด้านไซเบอร์ที่เน้นความเข้มงวด ➡️ การลดการฝึกอบรมขัดแย้งกับแนวโน้มการเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Controlled Unclassified Information (CUI) คือข้อมูลที่ไม่จัดเป็นลับแต่ยังต้องมีการควบคุม ➡️ Privacy Act Training ช่วยให้ทหารเข้าใจการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ การฝึกอบรมไซเบอร์ช่วยให้บุคลากรสามารถรับมือกับ phishing, malware และ insider threat ได้ดีขึ้น ➡️ ระบบอัตโนมัติอาจช่วยลดภาระงาน แต่ไม่สามารถแทนความเข้าใจของมนุษย์ได้ทั้งหมด ➡️ การโจมตีไซเบอร์ในสงครามสมัยใหม่มีบทบาทสำคัญ เช่นในกรณีรัสเซีย–ยูเครน และอิสราเอล–อิหร่าน https://www.techradar.com/pro/security/us-department-of-war-reduces-cybersecurity-training-tells-soldiers-to-focus-on-their-mission
    WWW.TECHRADAR.COM
    US Department of War reduces cybersecurity training, tells soldiers to focus on their mission
    Cybersecurity training is apparently no longer a priority for the US armed forces
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • “5G ยังไม่สุด แต่ 6G กำลังมา — Qualcomm, Verizon และ Meta ร่วมวางรากฐานสู่ยุค AI แบบไร้รอยต่อ”

    แม้ 5G จะยังไม่เข้าถึงศักยภาพเต็มที่ในหลายประเทศ แต่โลกเทคโนโลยีก็ไม่รอช้า ล่าสุด Qualcomm ได้ประกาศในงาน Snapdragon Summit 2025 ว่า “6G” กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจัง และจะเริ่มมีอุปกรณ์ “pre-commercial” ออกมาในปี 2028 ก่อนจะเข้าสู่การใช้งานจริงในช่วงปี 2030

    Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ระบุว่า 6G จะไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น แต่จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของยุค AI” โดยอุปกรณ์จะไม่ใช่แค่โทรศัพท์อีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางของระบบที่ประกอบด้วยสมาร์ตวอทช์, แว่นตาอัจฉริยะ, รถยนต์ และอุปกรณ์ edge computing ที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์

    6G จะต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบหน่วยความจำและหน่วยประมวลผลแบบ neural processing unit เพื่อรองรับการทำงานของ AI agent ที่จะมาแทนแอปพลิเคชันแบบเดิม เช่น การจัดการปฏิทิน, การจองร้านอาหาร, การส่งอีเมล — ทั้งหมดจะถูกจัดการโดย AI ที่เข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้

    Verizon ก็ได้จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia เพื่อกำหนด use case ใหม่ ๆ เช่น การใช้แว่นตาเป็นอินเทอร์เฟซหลัก, การเชื่อมต่อ edge-cloud แบบไร้รอยต่อ และการใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อสร้างระบบที่ “เข้าใจ” ผู้ใช้มากกว่าที่เคย

    แม้จะยังไม่มีมาตรฐาน 6G อย่างเป็นทางการ แต่ 3GPP ได้เริ่มศึกษาแล้วใน Release 20 และคาดว่า Release 21 จะเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐาน 6G ที่แท้จริงในช่วงปลายทศวรรษนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Qualcomm ประกาศว่าอุปกรณ์ 6G แบบ pre-commercial จะเริ่มออกในปี 2028
    6G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของยุค AI โดยเน้น edge computing และ AI agent
    อุปกรณ์จะทำงานร่วมกัน เช่น สมาร์ตวอทช์, แว่นตา, รถยนต์ และโทรศัพท์
    6G ต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ เช่น neural processing unit และ memory system แบบใหม่
    Verizon จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia
    3GPP เริ่มศึกษา 6G แล้วใน Release 20 และจะมีมาตรฐานใน Release 21
    Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Adobe, Asus, HP, Lenovo และ Razer เพื่อสร้าง ecosystem ใหม่
    AI agent จะมาแทนแอปแบบเดิม โดยเข้าใจเจตนาและบริบทของผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G Advanced จะเป็นรากฐานของ 6G โดยเน้น latency ต่ำและการเชื่อมต่อแบบ context-aware
    Snapdragon Cockpit Elite platform ของ Qualcomm ถูกใช้ในรถยนต์เพื่อสร้างประสบการณ์ AI
    Edge AI ช่วยให้ประมวลผลได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง cloud ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    แว่นตาอัจฉริยะ เช่น Meta Ray-Ban และ Xreal Project Aura จะเป็นอุปกรณ์หลักในยุค 6G
    ตลาด edge AI และอุปกรณ์เชื่อมต่อคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $200 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/04/5g-hasnt-yet-hit-its-stride-but-6g-is-already-on-the-horizon
    📡 “5G ยังไม่สุด แต่ 6G กำลังมา — Qualcomm, Verizon และ Meta ร่วมวางรากฐานสู่ยุค AI แบบไร้รอยต่อ” แม้ 5G จะยังไม่เข้าถึงศักยภาพเต็มที่ในหลายประเทศ แต่โลกเทคโนโลยีก็ไม่รอช้า ล่าสุด Qualcomm ได้ประกาศในงาน Snapdragon Summit 2025 ว่า “6G” กำลังถูกพัฒนาอย่างจริงจัง และจะเริ่มมีอุปกรณ์ “pre-commercial” ออกมาในปี 2028 ก่อนจะเข้าสู่การใช้งานจริงในช่วงปี 2030 Cristiano Amon ซีอีโอของ Qualcomm ระบุว่า 6G จะไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อที่เร็วขึ้น แต่จะเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของยุค AI” โดยอุปกรณ์จะไม่ใช่แค่โทรศัพท์อีกต่อไป แต่จะเป็นศูนย์กลางของระบบที่ประกอบด้วยสมาร์ตวอทช์, แว่นตาอัจฉริยะ, รถยนต์ และอุปกรณ์ edge computing ที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ 6G จะต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ทั้งหมด ทั้งระบบหน่วยความจำและหน่วยประมวลผลแบบ neural processing unit เพื่อรองรับการทำงานของ AI agent ที่จะมาแทนแอปพลิเคชันแบบเดิม เช่น การจัดการปฏิทิน, การจองร้านอาหาร, การส่งอีเมล — ทั้งหมดจะถูกจัดการโดย AI ที่เข้าใจบริบทและความต้องการของผู้ใช้ Verizon ก็ได้จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia เพื่อกำหนด use case ใหม่ ๆ เช่น การใช้แว่นตาเป็นอินเทอร์เฟซหลัก, การเชื่อมต่อ edge-cloud แบบไร้รอยต่อ และการใช้ข้อมูลจากเซนเซอร์เพื่อสร้างระบบที่ “เข้าใจ” ผู้ใช้มากกว่าที่เคย แม้จะยังไม่มีมาตรฐาน 6G อย่างเป็นทางการ แต่ 3GPP ได้เริ่มศึกษาแล้วใน Release 20 และคาดว่า Release 21 จะเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐาน 6G ที่แท้จริงในช่วงปลายทศวรรษนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Qualcomm ประกาศว่าอุปกรณ์ 6G แบบ pre-commercial จะเริ่มออกในปี 2028 ➡️ 6G จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานของยุค AI โดยเน้น edge computing และ AI agent ➡️ อุปกรณ์จะทำงานร่วมกัน เช่น สมาร์ตวอทช์, แว่นตา, รถยนต์ และโทรศัพท์ ➡️ 6G ต้องใช้สถาปัตยกรรมใหม่ เช่น neural processing unit และ memory system แบบใหม่ ➡️ Verizon จัดงาน 6G Innovation Forum ร่วมกับ Meta, Samsung, Ericsson และ Nokia ➡️ 3GPP เริ่มศึกษา 6G แล้วใน Release 20 และจะมีมาตรฐานใน Release 21 ➡️ Qualcomm ร่วมมือกับ Google, Adobe, Asus, HP, Lenovo และ Razer เพื่อสร้าง ecosystem ใหม่ ➡️ AI agent จะมาแทนแอปแบบเดิม โดยเข้าใจเจตนาและบริบทของผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G Advanced จะเป็นรากฐานของ 6G โดยเน้น latency ต่ำและการเชื่อมต่อแบบ context-aware ➡️ Snapdragon Cockpit Elite platform ของ Qualcomm ถูกใช้ในรถยนต์เพื่อสร้างประสบการณ์ AI ➡️ Edge AI ช่วยให้ประมวลผลได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องพึ่ง cloud ลดความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ➡️ แว่นตาอัจฉริยะ เช่น Meta Ray-Ban และ Xreal Project Aura จะเป็นอุปกรณ์หลักในยุค 6G ➡️ ตลาด edge AI และอุปกรณ์เชื่อมต่อคาดว่าจะมีมูลค่ากว่า $200 พันล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/04/5g-hasnt-yet-hit-its-stride-but-6g-is-already-on-the-horizon
    WWW.THESTAR.COM.MY
    5G hasn’t yet hit its stride, but 6G is already on the horizon
    The companies that power telecom providers are already laying the groundwork for 6G communications.
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง”

    ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด

    Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ”

    เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”

    Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น

    แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน
    เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก”
    เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น
    ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ
    ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว
    Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี
    หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม
    การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน
    แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร
    การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์

    https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    ⚖️ “Eric Raymond จุดชนวนถกเถียงในวงการโอเพ่นซอร์ส — เสนอให้ลบ ‘Code of Conduct’ ทิ้งทั้งหมด เพราะสร้างปัญหามากกว่าปกป้อง” ในโลกของโอเพ่นซอร์สที่เคยขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์เสรีภาพและความร่วมมือ ล่าสุด Eric S. Raymond ผู้เขียนบทความระดับตำนาน “The Cathedral and the Bazaar” และหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Open Source Initiative ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่แรงและชัดเจนว่า “Code of Conduct” หรือแนวปฏิบัติด้านพฤติกรรมในชุมชนโอเพ่นซอร์ส ควรถูกยกเลิกทั้งหมด Raymond ระบุว่า Code of Conduct ไม่ได้ช่วยสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้ แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือให้ “ผู้ก่อกวน” ใช้เพื่อสร้างดราม่า การเมือง และความขัดแย้งในชุมชน เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “โรคทางสังคมที่แพร่กระจาย” และเสนอให้ทุกโปรเจกต์ที่ยังไม่มี Code อย่าไปเริ่ม ส่วนโปรเจกต์ที่มีอยู่แล้ว — “ลบทิ้งซะ” เขาเสนอทางเลือกสำหรับโปรเจกต์ที่จำเป็นต้องมี Code ด้วยเหตุผลทางระบบราชการว่า ควรใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎยาวเหยียด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” Raymond เตือนว่าการเขียนกฎให้ละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้กฎเป็นอาวุธโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะในกรณีที่คำว่า “Be kind!” ถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเครื่องมือกดดันคนในชุมชน เขายอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้ความเมตตาเป็นข้ออ้างในการควบคุมผู้อื่น แม้แนวคิดของ Raymond จะได้รับเสียงสนับสนุนจากบางกลุ่มที่เบื่อกับความซับซ้อนของกฎเกณฑ์ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าการไม่มี Code อาจเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการ และอาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้ร่วมงานหลากหลายกลุ่ม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric S. Raymond เสนอให้ยกเลิก Code of Conduct ในโปรเจกต์โอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ เขาเรียก Code ว่า “โรคทางสังคม” ที่สร้างดราม่าและการเมืองในชุมชน ➡️ เสนอให้ใช้เพียงประโยคเดียวแทนกฎทั้งหมด: “ถ้าคุณน่ารำคาญเกินกว่าที่ผลงานของคุณจะคุ้มค่า คุณจะถูกไล่ออก” ➡️ เตือนว่าการเขียนกฎละเอียดเกินไปจะกลายเป็นช่องโหว่ให้คนใช้โจมตีผู้อื่น ➡️ ยอมรับว่าความเมตตาควรมี แต่ต้องเด็ดขาดกับคนที่ใช้มันเป็นอาวุธ ➡️ ชุมชนโอเพ่นซอร์สหลายแห่ง เช่น Linux, Fedora, Debian, Python มี Code of Conduct อยู่แล้ว ➡️ Raymond เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานแนวคิดโอเพ่นซอร์สตั้งแต่ยุคแรก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Code of Conduct ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเท่าเทียมในชุมชนเทคโนโลยี ➡️ หลายองค์กรใช้ CoC เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานจากกลุ่มที่ถูกกีดกันเข้ามามีส่วนร่วม ➡️ การไม่มี CoC อาจทำให้เกิดการล่วงละเมิดโดยไม่มีระบบจัดการหรือรายงาน ➡️ แนวคิด “Be kind!” ถูกใช้ในหลายชุมชนเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นมิตร ➡️ การจัดการความขัดแย้งในชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องอาศัยทั้งกฎและความเข้าใจมนุษย์ https://news.itsfoss.com/codes-of-conduct-debate/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    The Man Who Started Open Source Initiative Advocates for Abolishing Codes of Conduct
    Between Anarchy and Bureaucracy: The Code of Conduct Debate Ignited by Eric Raymond.
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว”

    ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์

    Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์

    ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI

    การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน
    Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย
    การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่
    Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions
    Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย
    Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB
    Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย
    การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove”
    Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก
    ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
    การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น
    การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร

    https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    🌐 “Com Laude ซื้อกิจการ Markmonitor มูลค่า $450 ล้าน — Newfold Digital หันไปโฟกัส Bluehost และ Network Solutions เต็มตัว” ในโลกของการจัดการโดเมนองค์กรที่มักถูกมองข้าม แต่มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงของแบรนด์ออนไลน์ ล่าสุดเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ Com Laude บริษัทจากลอนดอนที่เชี่ยวชาญด้านบริการโดเมนสำหรับองค์กร ได้เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital ด้วยมูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ Markmonitor ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมือง Boise ให้บริการจัดการโดเมนแก่ลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ โดยเน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัยของทรัพย์สินดิจิทัล การควบรวมครั้งนี้จะทำให้ Com Laude ขยายขอบเขตการให้บริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือใหม่ที่ใช้ AI เพื่อเสริมความสามารถในการปกป้องแบรนด์ออนไลน์ ด้าน Newfold Digital ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เว็บโฮสติ้งชื่อดังอย่าง Bluehost และ Network Solutions ได้ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อมุ่งเน้นทรัพยากรไปยังธุรกิจหลัก โดยเฉพาะการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการสร้างตัวตนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์และโดเมน โดยใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังเปลี่ยนจากการให้บริการแบบเฉพาะกลุ่ม ไปสู่การขยายฐานลูกค้าในระดับ mass-market ซึ่งแม้จะมีการแข่งขันสูงจากผู้ให้บริการฟรีและราคาถูก แต่ Newfold เชื่อว่าการโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions จะช่วยเร่งการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Com Laude เข้าซื้อกิจการ Markmonitor จาก Newfold Digital มูลค่า $450 ล้าน ➡️ Markmonitor มีลูกค้ากว่า 2,000 รายใน 80 ประเทศ เน้นการปกป้องแบรนด์และความปลอดภัย ➡️ การควบรวมจะช่วยให้ Com Laude ขยายบริการทั่วโลก พร้อมพัฒนาเครื่องมือ AI ใหม่ ➡️ Newfold Digital ตัดสินใจขาย Markmonitor เพื่อโฟกัสที่ Bluehost และ Network Solutions ➡️ Bluehost ให้บริการแก่ผู้ใช้ WordPress กว่า 5 ล้านราย ➡️ Network Solutions เป็นผู้นำด้านโดเมนและการสร้างตัวตนออนไลน์สำหรับ SMB ➡️ Newfold เน้นการใช้เครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อรองรับลูกค้ารายย่อย ➡️ การขายครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ปรับโครงสร้างธุรกิจของ Newfold ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Com Laude เป็นผู้ให้บริการโดเมนองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านบริการแบบ “white glove” ➡️ Markmonitor เคยเป็นผู้นำในตลาด corporate registrar และมีบทบาทสำคัญในการปกป้องแบรนด์ระดับโลก ➡️ ตลาด domain registrar สำหรับองค์กรมีมูลค่าสูงแต่ไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ➡️ การใช้ AI ในการจัดการโดเมนช่วยตรวจจับการละเมิดแบรนด์และการโจมตีแบบฟิชชิ่งได้ดีขึ้น ➡️ การควบรวมกิจการในตลาดนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือแบบครบวงจรสำหรับองค์กร https://www.techradar.com/pro/bluehost-owner-offloads-business-domain-registrar-markmonitor-to-focus-on-its-web-hosting-segment-and-its-seven-million-customers
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • “Micron เปิดตัว HBM4 แรงทะลุ 2.8TB/s — พร้อมแผน HBM4E แบบปรับแต่งได้สำหรับ Nvidia และ AMD”

    Micron ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในตลาดหน่วยความจำความเร็วสูง (HBM) ด้วยการเปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2.8TB/s และความเร็วต่อพินเกิน 11Gbps ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่กำหนดไว้ที่ 2TB/s และ 8Gbps อย่างชัดเจน โดยเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานจริงในแพลตฟอร์ม AI ระดับองค์กร

    HBM4 รุ่นใหม่ของ Micron ใช้เทคโนโลยี 1-gamma DRAM, ฐาน CMOS ที่พัฒนาเอง และการบรรจุชิปแบบใหม่ที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัว HBM4E ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีการเสนอ “base logic die” แบบปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เช่น Nvidia และ AMD เพื่อให้สามารถออกแบบ accelerator ที่มี latency ต่ำและการจัดการข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น

    Micron ร่วมมือกับ TSMC ในการผลิต base die สำหรับ HBM4E โดยคาดว่าจะสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดได้อย่างชัดเจน และเพิ่ม margin ให้กับผลิตภัณฑ์แบบปรับแต่งได้มากกว่ารุ่นมาตรฐาน

    ในไตรมาสล่าสุด Micron รายงานรายได้จาก HBM สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นอัตรารายได้ต่อปีที่ 8 พันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะครองส่วนแบ่งในตลาด HBM ที่มีมูลค่ารวมกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Micron เปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2.8TB/s และความเร็วต่อพินเกิน 11Gbps
    สูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่กำหนดไว้ที่ 2TB/s และ 8Gbps
    ใช้เทคโนโลยี 1-gamma DRAM, ฐาน CMOS ที่พัฒนาเอง และการบรรจุชิปแบบใหม่
    เริ่มส่งมอบตัวอย่าง HBM4 ให้ลูกค้าแล้ว
    เตรียมเปิดตัว HBM4E ที่สามารถปรับแต่ง base logic die ได้ตามความต้องการ
    พัฒนา HBM4E ร่วมกับ TSMC เพื่อรองรับการใช้งานใน accelerator ของ Nvidia และ AMD
    HBM4E แบบปรับแต่งจะมี margin สูงกว่ารุ่นมาตรฐาน
    Micron รายงานรายได้จาก HBM สูงถึง $2B ในไตรมาสล่าสุด
    ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งในตลาด HBM มูลค่า $100B

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำแบบ stacked ที่ใช้ในงาน AI และ GPU ระดับสูง
    JEDEC เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานด้านหน่วยความจำในอุตสาหกรรม
    การปรับแต่ง base die ช่วยให้ accelerator มี latency ต่ำและ routing ที่แม่นยำ
    TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก และเป็นพันธมิตรสำคัญของ Micron
    Nvidia และ AMD ต้องการหน่วยความจำที่เร็วขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของ compute die

    https://www.techradar.com/pro/micron-takes-the-hbm-lead-with-fastest-ever-hbm4-memory-with-a-2-8tb-s-bandwidth-putting-it-ahead-of-samsung-and-sk-hynix
    🚀 “Micron เปิดตัว HBM4 แรงทะลุ 2.8TB/s — พร้อมแผน HBM4E แบบปรับแต่งได้สำหรับ Nvidia และ AMD” Micron ประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ในตลาดหน่วยความจำความเร็วสูง (HBM) ด้วยการเปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2.8TB/s และความเร็วต่อพินเกิน 11Gbps ซึ่งสูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่กำหนดไว้ที่ 2TB/s และ 8Gbps อย่างชัดเจน โดยเริ่มส่งมอบตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานจริงในแพลตฟอร์ม AI ระดับองค์กร HBM4 รุ่นใหม่ของ Micron ใช้เทคโนโลยี 1-gamma DRAM, ฐาน CMOS ที่พัฒนาเอง และการบรรจุชิปแบบใหม่ที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างโดดเด่น นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัว HBM4E ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีการเสนอ “base logic die” แบบปรับแต่งได้ตามความต้องการของลูกค้า เช่น Nvidia และ AMD เพื่อให้สามารถออกแบบ accelerator ที่มี latency ต่ำและการจัดการข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น Micron ร่วมมือกับ TSMC ในการผลิต base die สำหรับ HBM4E โดยคาดว่าจะสามารถสร้างความแตกต่างในตลาดได้อย่างชัดเจน และเพิ่ม margin ให้กับผลิตภัณฑ์แบบปรับแต่งได้มากกว่ารุ่นมาตรฐาน ในไตรมาสล่าสุด Micron รายงานรายได้จาก HBM สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นอัตรารายได้ต่อปีที่ 8 พันล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าจะครองส่วนแบ่งในตลาด HBM ที่มีมูลค่ารวมกว่า 100 พันล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Micron เปิดตัว HBM4 ที่มีแบนด์วิดธ์สูงถึง 2.8TB/s และความเร็วต่อพินเกิน 11Gbps ➡️ สูงกว่ามาตรฐาน JEDEC ที่กำหนดไว้ที่ 2TB/s และ 8Gbps ➡️ ใช้เทคโนโลยี 1-gamma DRAM, ฐาน CMOS ที่พัฒนาเอง และการบรรจุชิปแบบใหม่ ➡️ เริ่มส่งมอบตัวอย่าง HBM4 ให้ลูกค้าแล้ว ➡️ เตรียมเปิดตัว HBM4E ที่สามารถปรับแต่ง base logic die ได้ตามความต้องการ ➡️ พัฒนา HBM4E ร่วมกับ TSMC เพื่อรองรับการใช้งานใน accelerator ของ Nvidia และ AMD ➡️ HBM4E แบบปรับแต่งจะมี margin สูงกว่ารุ่นมาตรฐาน ➡️ Micron รายงานรายได้จาก HBM สูงถึง $2B ในไตรมาสล่าสุด ➡️ ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งในตลาด HBM มูลค่า $100B ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HBM (High Bandwidth Memory) เป็นหน่วยความจำแบบ stacked ที่ใช้ในงาน AI และ GPU ระดับสูง ➡️ JEDEC เป็นองค์กรที่กำหนดมาตรฐานด้านหน่วยความจำในอุตสาหกรรม ➡️ การปรับแต่ง base die ช่วยให้ accelerator มี latency ต่ำและ routing ที่แม่นยำ ➡️ TSMC เป็นผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก และเป็นพันธมิตรสำคัญของ Micron ➡️ Nvidia และ AMD ต้องการหน่วยความจำที่เร็วขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของ compute die https://www.techradar.com/pro/micron-takes-the-hbm-lead-with-fastest-ever-hbm4-memory-with-a-2-8tb-s-bandwidth-putting-it-ahead-of-samsung-and-sk-hynix
    0 Comments 0 Shares 94 Views 0 Reviews
  • “Excel ครบรอบ 40 ปี — จากเครื่องมือบัญชีสู่เวทีแข่งขันระดับโลก แต่ Google Sheets กำลังเบียดขึ้นแท่น”

    Microsoft Excel เพิ่งครบรอบ 40 ปีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลกการทำงานอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดการบัญชีไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร Excel เริ่มต้นในปี 1985 บน Macintosh ด้วยอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก ซึ่งถือว่าแหวกแนวจากคู่แข่งที่ยังใช้แบบข้อความอยู่ในยุคนั้น ก่อนจะถูกพอร์ตมาสู่ Windows และกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็วในยุค 90 โดยเฉพาะหลังจากแซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro

    ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Excel ได้เพิ่มฟีเจอร์มากมาย เช่น VBA สำหรับเขียนฟังก์ชันเอง, Pivot Table, แผนภูมิ 3D และ Ribbon Interface ที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุด Excel ยังได้เสริมพลังด้วย AI ผ่าน Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตารางหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านคำสั่งธรรมดาได้ทันที

    แต่ในยุคที่การทำงานย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์, ใช้งานฟรี, และเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ ทำให้กลุ่มผู้ใช้รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนและธุรกิจขนาดเล็ก หันมาใช้ Google Sheets เป็นหลัก

    แม้ Excel จะยังครองใจองค์กรขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความซับซ้อนสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กำลังท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Excel อย่างจริงจัง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Excel ครบรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นบน Macintosh ในปี 1985
    แซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro จนกลายเป็นผู้นำตลาดในยุค 90
    เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น VBA, Pivot Table, Ribbon Interface
    ล่าสุดมี AI Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยสร้างตารางผ่านคำสั่งธรรมดา
    Excel ถูกใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่บัญชีไปจนถึงงานศิลปะและเกม
    มีการแข่งขัน Excel World Championship ที่จัดในลาสเวกัส
    Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้วยระบบคลาวด์และการทำงานร่วมกัน
    Excel บนเว็บพยายามตอบโต้ด้วยฟีเจอร์คล้าย Google Sheets

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    VisiCalc คือโปรแกรม spreadsheet ตัวแรกในปี 1979 บน Apple II
    VBA (Visual Basic for Applications) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Excel ตั้งแต่ยุค 90
    Google Sheets ใช้ Google Apps Script ซึ่งคล้ายกับ VBA สำหรับงานอัตโนมัติ
    Excel มีความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Sheets
    Google Sheets เหมาะกับงานที่ต้องการความร่วมมือและการเข้าถึงจากหลายอุปกรณ์

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-excel-turned-40-and-almost-nobody-noticed-worlds-most-popular-spreadsheet-now-faces-tough-competition-from-google-sheets-after-crushing-lotus-1-2-3-and-borland-quattro-pro
    📊 “Excel ครบรอบ 40 ปี — จากเครื่องมือบัญชีสู่เวทีแข่งขันระดับโลก แต่ Google Sheets กำลังเบียดขึ้นแท่น” Microsoft Excel เพิ่งครบรอบ 40 ปีอย่างเงียบ ๆ แม้จะเป็นหนึ่งในซอฟต์แวร์ที่เปลี่ยนโลกการทำงานอย่างมหาศาล ตั้งแต่การจัดการบัญชีไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลระดับองค์กร Excel เริ่มต้นในปี 1985 บน Macintosh ด้วยอินเทอร์เฟซแบบกราฟิก ซึ่งถือว่าแหวกแนวจากคู่แข่งที่ยังใช้แบบข้อความอยู่ในยุคนั้น ก่อนจะถูกพอร์ตมาสู่ Windows และกลายเป็นผู้นำตลาดอย่างรวดเร็วในยุค 90 โดยเฉพาะหลังจากแซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Excel ได้เพิ่มฟีเจอร์มากมาย เช่น VBA สำหรับเขียนฟังก์ชันเอง, Pivot Table, แผนภูมิ 3D และ Ribbon Interface ที่เปลี่ยนวิธีการใช้งานไปโดยสิ้นเชิง ล่าสุด Excel ยังได้เสริมพลังด้วย AI ผ่าน Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างตารางหรือวิเคราะห์ข้อมูลผ่านคำสั่งธรรมดาได้ทันที แต่ในยุคที่การทำงานย้ายเข้าสู่ระบบคลาวด์ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด ด้วยความสามารถในการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์, ใช้งานฟรี, และเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมใด ๆ ทำให้กลุ่มผู้ใช้รุ่นใหม่ โดยเฉพาะในโรงเรียนและธุรกิจขนาดเล็ก หันมาใช้ Google Sheets เป็นหลัก แม้ Excel จะยังครองใจองค์กรขนาดใหญ่และงานที่ต้องการความซับซ้อนสูง แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคออนไลน์และการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์กำลังท้าทายตำแหน่งผู้นำของ Excel อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Excel ครบรอบ 40 ปี โดยเริ่มต้นบน Macintosh ในปี 1985 ➡️ แซงหน้า Lotus 1-2-3 และ Quattro Pro จนกลายเป็นผู้นำตลาดในยุค 90 ➡️ เพิ่มฟีเจอร์สำคัญ เช่น VBA, Pivot Table, Ribbon Interface ➡️ ล่าสุดมี AI Copilot และ Agent Mode ที่ช่วยสร้างตารางผ่านคำสั่งธรรมดา ➡️ Excel ถูกใช้ในงานหลากหลาย ตั้งแต่บัญชีไปจนถึงงานศิลปะและเกม ➡️ มีการแข่งขัน Excel World Championship ที่จัดในลาสเวกัส ➡️ Google Sheets กลายเป็นคู่แข่งสำคัญ ด้วยระบบคลาวด์และการทำงานร่วมกัน ➡️ Excel บนเว็บพยายามตอบโต้ด้วยฟีเจอร์คล้าย Google Sheets ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ VisiCalc คือโปรแกรม spreadsheet ตัวแรกในปี 1979 บน Apple II ➡️ VBA (Visual Basic for Applications) เป็นภาษาสคริปต์ที่ใช้ใน Excel ตั้งแต่ยุค 90 ➡️ Google Sheets ใช้ Google Apps Script ซึ่งคล้ายกับ VBA สำหรับงานอัตโนมัติ ➡️ Excel มีความสามารถในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ได้ดีกว่า Sheets ➡️ Google Sheets เหมาะกับงานที่ต้องการความร่วมมือและการเข้าถึงจากหลายอุปกรณ์ https://www.techradar.com/pro/microsoft-excel-turned-40-and-almost-nobody-noticed-worlds-most-popular-spreadsheet-now-faces-tough-competition-from-google-sheets-after-crushing-lotus-1-2-3-and-borland-quattro-pro
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “Disaster Recovery ยุคใหม่: แผนรับมือภัยไซเบอร์และภัยธรรมชาติต้องเปลี่ยน — จากสำรองข้อมูลสู่การฟื้นธุรกิจในไม่กี่นาที”

    ในอดีต การสำรองข้อมูลและแผนฟื้นฟูระบบ (Disaster Recovery หรือ DR) เป็นเรื่องของฝ่ายไอทีและกฎหมายเท่านั้น แต่ในปี 2025 ทุกองค์กรต้องหันมาจริงจังกับเรื่องนี้ เพราะภัยคุกคามไม่ได้มาแค่จากไวรัสหรือไฟดับ แต่รวมถึง ransomware ที่สร้างโดย AI, ภัยธรรมชาติจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง, และความเสี่ยงจากระบบ cloud และ SaaS ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมของธุรกิจ

    บทความจาก CSO Online ได้สรุปแนวทางใหม่ในการวางแผน DR และ Business Continuity (BC) ที่ไม่ใช่แค่การสำรองข้อมูล แต่คือการ “ฟื้นธุรกิจให้กลับมาทำงานได้ภายในไม่กี่นาที” โดยใช้แนวคิด Minimum Viable Business (MVB) และเทคโนโลยีอย่าง AI, backup-as-a-service (BaaS), และ disaster recovery-as-a-service (DRaaS) เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ

    องค์กรต้องเริ่มจากการสร้างทีมข้ามสายงานที่รวมฝ่ายความปลอดภัย, กฎหมาย, การสื่อสาร, และฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อวางแผนร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เขียนแผนแล้วเก็บไว้เฉย ๆ ต้องมีการทดสอบจริง เช่น tabletop exercise แบบ gamified ที่ช่วยให้ทีมเข้าใจสถานการณ์จริง และรู้หน้าที่ของตนเองเมื่อเกิดเหตุ

    นอกจากนี้ยังต้องปรับกลยุทธ์การสำรองข้อมูลจากแบบ 3-2-1 ไปเป็น 3-2-1-1-0 โดยเพิ่มการสำรองแบบ air-gapped และเป้าหมาย “zero error” เพื่อรับมือกับ ransomware และความผิดพลาดของระบบ โดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแนะนำจุดที่ควรสำรอง

    สุดท้ายคือการจัดการหลังเกิดเหตุ — ไม่ใช่แค่กู้ข้อมูลกลับมา แต่ต้องวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น และใช้ข้อมูลสำรองเพื่อวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การใช้ backup เพื่อทำ inference หรือวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    DR และ BC กลายเป็นเรื่องสำคัญระดับ C-suite และได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น
    แนวคิด Minimum Viable Business (MVB) คือการฟื้นฟูเฉพาะระบบที่จำเป็นก่อน
    เทคโนโลยีที่ใช้ ได้แก่ AI, BaaS, DRaaS, และระบบ backup อัตโนมัติ
    กลยุทธ์สำรองข้อมูลใหม่คือ 3-2-1-1-0 โดยเพิ่ม air-gapped backup และ zero error
    การทดสอบแผนควรใช้ tabletop exercise แบบ gamified เพื่อให้ทีมเข้าใจจริง
    การจัดการหลังเกิดเหตุต้องมี post-mortem และใช้ backup เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
    Gartner คาดว่า 85% ขององค์กรขนาดใหญ่จะใช้ BaaS ภายในปี 2029
    AI จะถูกใช้ในการจัดการ backup และ restore อย่างอัตโนมัติมากขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MVB คล้ายกับแนวคิด Minimum Viable Product (MVP) แต่ใช้กับระบบธุรกิจ
    DRaaS ช่วยให้ธุรกิจสามารถ failover ไปยังระบบสำรองได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ
    Gamified tabletop exercise ช่วยให้การฝึกซ้อมไม่เป็นแค่การอ่านสไลด์
    Agentic AI คือ AI ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง เช่น การสำรองข้อมูล
    การใช้ backup เพื่อ inference คือการนำข้อมูลเก่ามาวิเคราะห์เชิงลึก เช่น พฤติกรรมลูกค้า

    https://www.csoonline.com/article/515730/business-continuity-and-disaster-recovery-planning-the-basics.html
    🧯 “Disaster Recovery ยุคใหม่: แผนรับมือภัยไซเบอร์และภัยธรรมชาติต้องเปลี่ยน — จากสำรองข้อมูลสู่การฟื้นธุรกิจในไม่กี่นาที” ในอดีต การสำรองข้อมูลและแผนฟื้นฟูระบบ (Disaster Recovery หรือ DR) เป็นเรื่องของฝ่ายไอทีและกฎหมายเท่านั้น แต่ในปี 2025 ทุกองค์กรต้องหันมาจริงจังกับเรื่องนี้ เพราะภัยคุกคามไม่ได้มาแค่จากไวรัสหรือไฟดับ แต่รวมถึง ransomware ที่สร้างโดย AI, ภัยธรรมชาติจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง, และความเสี่ยงจากระบบ cloud และ SaaS ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมของธุรกิจ บทความจาก CSO Online ได้สรุปแนวทางใหม่ในการวางแผน DR และ Business Continuity (BC) ที่ไม่ใช่แค่การสำรองข้อมูล แต่คือการ “ฟื้นธุรกิจให้กลับมาทำงานได้ภายในไม่กี่นาที” โดยใช้แนวคิด Minimum Viable Business (MVB) และเทคโนโลยีอย่าง AI, backup-as-a-service (BaaS), และ disaster recovery-as-a-service (DRaaS) เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพ องค์กรต้องเริ่มจากการสร้างทีมข้ามสายงานที่รวมฝ่ายความปลอดภัย, กฎหมาย, การสื่อสาร, และฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อวางแผนร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เขียนแผนแล้วเก็บไว้เฉย ๆ ต้องมีการทดสอบจริง เช่น tabletop exercise แบบ gamified ที่ช่วยให้ทีมเข้าใจสถานการณ์จริง และรู้หน้าที่ของตนเองเมื่อเกิดเหตุ นอกจากนี้ยังต้องปรับกลยุทธ์การสำรองข้อมูลจากแบบ 3-2-1 ไปเป็น 3-2-1-1-0 โดยเพิ่มการสำรองแบบ air-gapped และเป้าหมาย “zero error” เพื่อรับมือกับ ransomware และความผิดพลาดของระบบ โดยใช้ AI ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลและแนะนำจุดที่ควรสำรอง สุดท้ายคือการจัดการหลังเกิดเหตุ — ไม่ใช่แค่กู้ข้อมูลกลับมา แต่ต้องวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้น และใช้ข้อมูลสำรองเพื่อวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การใช้ backup เพื่อทำ inference หรือวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ DR และ BC กลายเป็นเรื่องสำคัญระดับ C-suite และได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น ➡️ แนวคิด Minimum Viable Business (MVB) คือการฟื้นฟูเฉพาะระบบที่จำเป็นก่อน ➡️ เทคโนโลยีที่ใช้ ได้แก่ AI, BaaS, DRaaS, และระบบ backup อัตโนมัติ ➡️ กลยุทธ์สำรองข้อมูลใหม่คือ 3-2-1-1-0 โดยเพิ่ม air-gapped backup และ zero error ➡️ การทดสอบแผนควรใช้ tabletop exercise แบบ gamified เพื่อให้ทีมเข้าใจจริง ➡️ การจัดการหลังเกิดเหตุต้องมี post-mortem และใช้ backup เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล ➡️ Gartner คาดว่า 85% ขององค์กรขนาดใหญ่จะใช้ BaaS ภายในปี 2029 ➡️ AI จะถูกใช้ในการจัดการ backup และ restore อย่างอัตโนมัติมากขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MVB คล้ายกับแนวคิด Minimum Viable Product (MVP) แต่ใช้กับระบบธุรกิจ ➡️ DRaaS ช่วยให้ธุรกิจสามารถ failover ไปยังระบบสำรองได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ ➡️ Gamified tabletop exercise ช่วยให้การฝึกซ้อมไม่เป็นแค่การอ่านสไลด์ ➡️ Agentic AI คือ AI ที่สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง เช่น การสำรองข้อมูล ➡️ การใช้ backup เพื่อ inference คือการนำข้อมูลเก่ามาวิเคราะห์เชิงลึก เช่น พฤติกรรมลูกค้า https://www.csoonline.com/article/515730/business-continuity-and-disaster-recovery-planning-the-basics.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Disaster recovery and business continuity: How to create an effective plan
    A well-structured — and well-rehearsed — business continuity and disaster recovery plan is more urgent than ever. Here’s how to keep your company up and running through interruptions of any kind.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • “YoLink Smart Hub ราคาแค่ $20 แต่เปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าบ้านคุณ — ช่องโหว่ 4 จุดที่ยังไม่มีแพตช์”

    ใครจะคิดว่าอุปกรณ์ IoT ราคาประหยัดอย่าง YoLink Smart Hub รุ่น v0382 ที่ขายเพียง $20 จะกลายเป็นประตูหลังให้แฮกเกอร์เข้าถึงบ้านคุณได้โดยตรง ล่าสุดทีมวิจัยจาก Bishop Fox ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุดในอุปกรณ์นี้ ซึ่งรวมถึงการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล, การขโมยข้อมูล Wi-Fi, และการรักษาสิทธิ์เข้าถึงแบบไม่หมดอายุ

    YoLink Hub ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทในบ้าน เช่น ล็อกประตู เซ็นเซอร์ และปลั๊กไฟ โดยใช้ชิป ESP32 และสื่อสารผ่านโปรโตคอล MQTT ร่วมกับเทคโนโลยี LoRaWAN ซึ่งแม้จะดูทันสมัย แต่กลับมีช่องโหว่ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้คนอื่นได้ หากรู้ device ID ซึ่งสามารถคาดเดาได้ง่าย

    ช่องโหว่แรกคือการ “ข้ามการตรวจสอบสิทธิ์” (CVE-2025-59449 และ CVE-2025-59452) ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้คนอื่นได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่ที่สองคือการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น รหัส Wi-Fi แบบไม่เข้ารหัส (CVE-2025-59448) ผ่าน MQTT ทำให้ข้อมูลถูกดักจับได้ง่าย และช่องโหว่สุดท้ายคือการจัดการ session ที่ผิดพลาด (CVE-2025-59451) ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถรักษาการเข้าถึงอุปกรณ์ได้อย่างต่อเนื่อง

    ที่น่ากังวลคือ YoSmart ผู้ผลิตยังไม่ได้ออกแพตช์หรือคำแนะนำใด ๆ แม้จะได้รับรายงานช่องโหว่ล่วงหน้ากว่า 90 วัน ทำให้ผู้ใช้ต้องรับมือเอง โดย Bishop Fox แนะนำให้ถอดอุปกรณ์ออกจากระบบเครือข่ายบ้านทันที และหลีกเลี่ยงการใช้กับอุปกรณ์ที่ควบคุมการเข้าถึงทางกายภาพ เช่น ล็อกประตูหรือประตูโรงรถ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YoLink Smart Hub รุ่น v0382 มีช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุดที่ยังไม่มีแพตช์
    ใช้ชิป ESP32 และสื่อสารผ่าน MQTT และ LoRaWAN
    ช่องโหว่ CVE-2025-59449 และ CVE-2025-59452: ข้ามการตรวจสอบสิทธิ์
    ช่องโหว่ CVE-2025-59448: ส่งข้อมูลสำคัญแบบไม่เข้ารหัส
    ช่องโหว่ CVE-2025-59451: การจัดการ session ที่ผิดพลาด
    นักวิจัยสามารถควบคุมล็อกประตูของผู้ใช้คนอื่นได้จริง
    Device ID สามารถคาดเดาได้ง่าย ทำให้การโจมตีเป็นไปได้จริง
    YoSmart ยังไม่ตอบสนองต่อรายงานช่องโหว่ภายในกรอบเวลา 90 วัน
    Bishop Fox แนะนำให้หยุดใช้งานอุปกรณ์ทันที

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ESP32 เป็นชิปยอดนิยมในอุปกรณ์ IoT แต่ต้องมีการเสริมความปลอดภัย
    MQTT เป็นโปรโตคอล lightweight ที่นิยมใช้ใน IoT แต่ต้องเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย
    LoRaWAN เหมาะกับการสื่อสารระยะไกล แต่มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย
    CVE (Common Vulnerabilities and Exposures) เป็นระบบจัดการช่องโหว่ที่ใช้ทั่วโลก
    การจัดการ session ที่ดีต้องมีการหมดอายุและตรวจสอบสิทธิ์ซ้ำ

    https://hackread.com/20-yolink-iot-gateway-vulnerabilities-home-security/
    🔓 “YoLink Smart Hub ราคาแค่ $20 แต่เปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าบ้านคุณ — ช่องโหว่ 4 จุดที่ยังไม่มีแพตช์” ใครจะคิดว่าอุปกรณ์ IoT ราคาประหยัดอย่าง YoLink Smart Hub รุ่น v0382 ที่ขายเพียง $20 จะกลายเป็นประตูหลังให้แฮกเกอร์เข้าถึงบ้านคุณได้โดยตรง ล่าสุดทีมวิจัยจาก Bishop Fox ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุดในอุปกรณ์นี้ ซึ่งรวมถึงการควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกล, การขโมยข้อมูล Wi-Fi, และการรักษาสิทธิ์เข้าถึงแบบไม่หมดอายุ YoLink Hub ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทในบ้าน เช่น ล็อกประตู เซ็นเซอร์ และปลั๊กไฟ โดยใช้ชิป ESP32 และสื่อสารผ่านโปรโตคอล MQTT ร่วมกับเทคโนโลยี LoRaWAN ซึ่งแม้จะดูทันสมัย แต่กลับมีช่องโหว่ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้คนอื่นได้ หากรู้ device ID ซึ่งสามารถคาดเดาได้ง่าย ช่องโหว่แรกคือการ “ข้ามการตรวจสอบสิทธิ์” (CVE-2025-59449 และ CVE-2025-59452) ที่ทำให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ของผู้ใช้คนอื่นได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่ที่สองคือการส่งข้อมูลสำคัญ เช่น รหัส Wi-Fi แบบไม่เข้ารหัส (CVE-2025-59448) ผ่าน MQTT ทำให้ข้อมูลถูกดักจับได้ง่าย และช่องโหว่สุดท้ายคือการจัดการ session ที่ผิดพลาด (CVE-2025-59451) ซึ่งทำให้แฮกเกอร์สามารถรักษาการเข้าถึงอุปกรณ์ได้อย่างต่อเนื่อง ที่น่ากังวลคือ YoSmart ผู้ผลิตยังไม่ได้ออกแพตช์หรือคำแนะนำใด ๆ แม้จะได้รับรายงานช่องโหว่ล่วงหน้ากว่า 90 วัน ทำให้ผู้ใช้ต้องรับมือเอง โดย Bishop Fox แนะนำให้ถอดอุปกรณ์ออกจากระบบเครือข่ายบ้านทันที และหลีกเลี่ยงการใช้กับอุปกรณ์ที่ควบคุมการเข้าถึงทางกายภาพ เช่น ล็อกประตูหรือประตูโรงรถ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YoLink Smart Hub รุ่น v0382 มีช่องโหว่ร้ายแรง 4 จุดที่ยังไม่มีแพตช์ ➡️ ใช้ชิป ESP32 และสื่อสารผ่าน MQTT และ LoRaWAN ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-59449 และ CVE-2025-59452: ข้ามการตรวจสอบสิทธิ์ ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-59448: ส่งข้อมูลสำคัญแบบไม่เข้ารหัส ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-59451: การจัดการ session ที่ผิดพลาด ➡️ นักวิจัยสามารถควบคุมล็อกประตูของผู้ใช้คนอื่นได้จริง ➡️ Device ID สามารถคาดเดาได้ง่าย ทำให้การโจมตีเป็นไปได้จริง ➡️ YoSmart ยังไม่ตอบสนองต่อรายงานช่องโหว่ภายในกรอบเวลา 90 วัน ➡️ Bishop Fox แนะนำให้หยุดใช้งานอุปกรณ์ทันที ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ESP32 เป็นชิปยอดนิยมในอุปกรณ์ IoT แต่ต้องมีการเสริมความปลอดภัย ➡️ MQTT เป็นโปรโตคอล lightweight ที่นิยมใช้ใน IoT แต่ต้องเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ➡️ LoRaWAN เหมาะกับการสื่อสารระยะไกล แต่มีข้อจำกัดด้านความปลอดภัย ➡️ CVE (Common Vulnerabilities and Exposures) เป็นระบบจัดการช่องโหว่ที่ใช้ทั่วโลก ➡️ การจัดการ session ที่ดีต้องมีการหมดอายุและตรวจสอบสิทธิ์ซ้ำ https://hackread.com/20-yolink-iot-gateway-vulnerabilities-home-security/
    HACKREAD.COM
    $20 YoLink IoT Gateway Vulnerabilities Put Home Security at Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • “Raspberry Pi OS รีเบสสู่ Debian 13 ‘Trixie’ — ปรับโฉมใหม่หมด เพิ่มความยืดหยุ่น พร้อมฟีเจอร์จัดการระบบแบบรวมศูนย์”

    Raspberry Pi OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมสำหรับบอร์ด Raspberry Pi ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 โดยรีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานหลัก พร้อมยังคงใช้ Linux Kernel 6.12 LTS เพื่อความเสถียรในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแค่ปรับปรุงด้านเทคนิค แต่ยังมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่ทันสมัยและฟีเจอร์จัดการระบบที่รวมศูนย์มากขึ้น

    หนึ่งในจุดเด่นของเวอร์ชันใหม่นี้คือการปรับโครงสร้างการติดตั้งแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพ ISO ได้ง่ายขึ้น เช่น การแปลงจากเวอร์ชัน Lite ไปเป็น Desktop หรือกลับกัน ซึ่งไม่เคยรองรับอย่างเป็นทางการมาก่อน

    ด้านการออกแบบ UI มีการเพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ ได้แก่ PiXtrix (โหมดสว่าง) และ PiXonyx (โหมดมืด) พร้อมไอคอนใหม่และฟอนต์ระบบ “Nunito Sans Light” ที่ให้ความรู้สึกทันสมัยมากขึ้น รวมถึงภาพพื้นหลังใหม่ที่เข้ากับธีมโดยรวม

    ระบบ taskbar ได้รับการปรับปรุงด้วย System Monitor plugin สำหรับแจ้งเตือนพลังงานและสถานะอื่น ๆ และมีการรวม Clock plugin ให้ใช้งานร่วมกันระหว่าง wf-panel-pi และ lxpanel-pi ซึ่งเป็นเวอร์ชัน fork ของ LXDE Panel ที่ตัดปลั๊กอินที่ไม่รองรับออกไป

    ที่สำคัญคือการเปิดตัว Control Centre แบบใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในที่เดียว แทนที่แอปแยกย่อยเดิม เช่น Raspberry Pi Configuration, Appearance Settings, Mouse and Keyboard Settings ฯลฯ ทำให้การจัดการระบบสะดวกขึ้นมาก

    ยังมีการเพิ่มเครื่องมือ command-line ใหม่ ได้แก่ rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update สำหรับปรับแต่งและอัปเดตคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ ส่วนแอป Bookshelf ก็ได้รับการปรับปรุงให้แสดงเนื้อหาพิเศษสำหรับผู้สนับสนุน พร้อมระบบปลดล็อกผ่านการ “Contribute”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Raspberry Pi OS รีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux Kernel 6.12 LTS
    ปรับโครงสร้างแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular เพื่อความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
    เพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ: PiXtrix และ PiXonyx พร้อมไอคอนและฟอนต์ใหม่
    Taskbar มี System Monitor plugin และ Clock plugin แบบรวมศูนย์
    LXDE Panel ถูก fork เป็น lxpanel-pi และลบปลั๊กอินที่ไม่รองรับ
    เปิดตัว Control Centre ใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในแอปเดียว
    เพิ่มเครื่องมือ command-line: rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update
    แอป Bookshelf แสดงเนื้อหาพิเศษพร้อมระบบปลดล็อกผ่านการสนับสนุน
    รองรับ Raspberry Pi ทุกรุ่น ตั้งแต่ 1A+ ถึง CM4 และ Zero 2 W
    ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่านคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Debian 13 “Trixie” มาพร้อมการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Modular package layout ช่วยให้การสร้าง image แบบ custom ง่ายขึ้นมาก
    ฟอนต์ Nunito Sans Light เป็นฟอนต์แบบ open-source ที่เน้นความอ่านง่าย
    Control Centre แบบรวมศูนย์เป็นแนวทางที่นิยมในระบบ desktop สมัยใหม่ เช่น GNOME และ KDE
    การ fork lxpanel ช่วยให้ทีม Raspberry Pi สามารถควบคุมการพัฒนาได้เต็มที่

    https://9to5linux.com/raspberry-pi-os-is-now-based-on-debian-13-trixie-with-fresh-new-look
    🍓 “Raspberry Pi OS รีเบสสู่ Debian 13 ‘Trixie’ — ปรับโฉมใหม่หมด เพิ่มความยืดหยุ่น พร้อมฟีเจอร์จัดการระบบแบบรวมศูนย์” Raspberry Pi OS ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมสำหรับบอร์ด Raspberry Pi ได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 โดยรีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” เป็นฐานหลัก พร้อมยังคงใช้ Linux Kernel 6.12 LTS เพื่อความเสถียรในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแค่ปรับปรุงด้านเทคนิค แต่ยังมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่ทันสมัยและฟีเจอร์จัดการระบบที่รวมศูนย์มากขึ้น หนึ่งในจุดเด่นของเวอร์ชันใหม่นี้คือการปรับโครงสร้างการติดตั้งแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งภาพ ISO ได้ง่ายขึ้น เช่น การแปลงจากเวอร์ชัน Lite ไปเป็น Desktop หรือกลับกัน ซึ่งไม่เคยรองรับอย่างเป็นทางการมาก่อน ด้านการออกแบบ UI มีการเพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ ได้แก่ PiXtrix (โหมดสว่าง) และ PiXonyx (โหมดมืด) พร้อมไอคอนใหม่และฟอนต์ระบบ “Nunito Sans Light” ที่ให้ความรู้สึกทันสมัยมากขึ้น รวมถึงภาพพื้นหลังใหม่ที่เข้ากับธีมโดยรวม ระบบ taskbar ได้รับการปรับปรุงด้วย System Monitor plugin สำหรับแจ้งเตือนพลังงานและสถานะอื่น ๆ และมีการรวม Clock plugin ให้ใช้งานร่วมกันระหว่าง wf-panel-pi และ lxpanel-pi ซึ่งเป็นเวอร์ชัน fork ของ LXDE Panel ที่ตัดปลั๊กอินที่ไม่รองรับออกไป ที่สำคัญคือการเปิดตัว Control Centre แบบใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในที่เดียว แทนที่แอปแยกย่อยเดิม เช่น Raspberry Pi Configuration, Appearance Settings, Mouse and Keyboard Settings ฯลฯ ทำให้การจัดการระบบสะดวกขึ้นมาก ยังมีการเพิ่มเครื่องมือ command-line ใหม่ ได้แก่ rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update สำหรับปรับแต่งและอัปเดตคีย์บอร์ดโดยเฉพาะ ส่วนแอป Bookshelf ก็ได้รับการปรับปรุงให้แสดงเนื้อหาพิเศษสำหรับผู้สนับสนุน พร้อมระบบปลดล็อกผ่านการ “Contribute” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Raspberry Pi OS รีเบสไปใช้ Debian 13 “Trixie” พร้อม Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ ปรับโครงสร้างแพ็กเกจให้เป็นแบบ modular เพื่อความยืดหยุ่นในการติดตั้ง ➡️ เพิ่มธีม GTK ใหม่ 2 แบบ: PiXtrix และ PiXonyx พร้อมไอคอนและฟอนต์ใหม่ ➡️ Taskbar มี System Monitor plugin และ Clock plugin แบบรวมศูนย์ ➡️ LXDE Panel ถูก fork เป็น lxpanel-pi และลบปลั๊กอินที่ไม่รองรับ ➡️ เปิดตัว Control Centre ใหม่ที่รวมการตั้งค่าทั้งหมดไว้ในแอปเดียว ➡️ เพิ่มเครื่องมือ command-line: rpi-keyboard-config และ rpi-keyboard-fw-update ➡️ แอป Bookshelf แสดงเนื้อหาพิเศษพร้อมระบบปลดล็อกผ่านการสนับสนุน ➡️ รองรับ Raspberry Pi ทุกรุ่น ตั้งแต่ 1A+ ถึง CM4 และ Zero 2 W ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่านคำสั่ง sudo apt update && sudo apt full-upgrade ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Debian 13 “Trixie” มาพร้อมการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Modular package layout ช่วยให้การสร้าง image แบบ custom ง่ายขึ้นมาก ➡️ ฟอนต์ Nunito Sans Light เป็นฟอนต์แบบ open-source ที่เน้นความอ่านง่าย ➡️ Control Centre แบบรวมศูนย์เป็นแนวทางที่นิยมในระบบ desktop สมัยใหม่ เช่น GNOME และ KDE ➡️ การ fork lxpanel ช่วยให้ทีม Raspberry Pi สามารถควบคุมการพัฒนาได้เต็มที่ https://9to5linux.com/raspberry-pi-os-is-now-based-on-debian-13-trixie-with-fresh-new-look
    9TO5LINUX.COM
    Raspberry Pi OS Is Now Based on Debian 13 "Trixie" with Fresh New Look - 9to5Linux
    Raspberry Pi OS 2025-10-01 is now available for download with based on Debian 13 "Trixie" and featuring new GTK and icon themes.
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • “Immich v2.0.0 เปิดตัวเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ — เสถียรขึ้น เร็วขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแผนบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส”

    Immich คือซอฟต์แวร์แบบ self-hosted สำหรับจัดการรูปภาพและวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google Photos หรือ iCloud

    หลังจากใช้เวลากว่า 1,337 วันในการพัฒนา ล่าสุดทีมงาน Immich ได้ประกาศเปิดตัวเวอร์ชัน v2.0.0 อย่างเป็นทางการในฐานะ “Stable Release” ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโครงการนี้

    การประกาศครั้งนี้มาพร้อมกับการยืนยันว่า Immich ได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และเข้าสู่สถานะที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร โดยจะเน้นการรักษาความเข้ากันได้ระหว่างเวอร์ชัน และลดภาระในการอัปเดตในอนาคต พร้อมทั้งนำระบบ semantic versioning มาใช้เพื่อให้การจัดการเวอร์ชันมีความชัดเจน

    เพื่อเฉลิมฉลอง ทีมงานได้เปิดตัว Immich ในรูปแบบแผ่น DVD ที่สามารถบูตระบบได้ทันที พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน และวางจำหน่ายผ่านร้าน merch ที่มีดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ

    ในแผนงานอนาคต Immich เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ auto-stacking, ปรับปรุงการแชร์, การจัดการกลุ่ม, และระบบ ownership รวมถึงการพัฒนาให้เว็บและแอปมือถือมีฟีเจอร์เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end ที่สามารถสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกได้ พร้อมฟีเจอร์ “buddy backup” สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น

    ทีมงานยังเน้นว่าจะไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่จะมีบริการเสริมแบบสมัครใจเพื่อสนับสนุนโครงการ และจะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Immich v2.0.0 เปิดตัวเป็นเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ
    ใช้ระบบ semantic versioning เพื่อจัดการเวอร์ชันแบบ MAJOR.MINOR.PATCH
    รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างแอปมือถือ v2.x.x กับเซิร์ฟเวอร์ v2.x.x ทุกเวอร์ชัน
    แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และลบแบนเนอร์คำเตือนออกจากเว็บไซต์
    เปิดตัวแผ่น DVD ที่สามารถบูต Immich ได้ พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน
    ร้าน merch มีสินค้าดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ
    แผนงานอนาคตรวมถึง auto-stacking, การแชร์, การจัดการกลุ่ม และ ownership
    เตรียมเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end และ buddy backup
    ไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่มีบริการเสริมแบบสมัครใจ
    จะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Immich เป็นหนึ่งในโครงการ open-source ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม self-hosted media
    Semantic versioning ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ง่ายขึ้น
    ระบบ buddy backup เป็นแนวคิดที่ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล
    การใช้ DVD บูตระบบเป็นการสร้างความทรงจำแบบ retro และลดความซับซ้อนในการติดตั้ง
    การเก็บข้อมูลการใช้งานแบบโปร่งใสช่วยลดความกังวลเรื่อง privacy ในชุมชน open-source

    https://github.com/immich-app/immich/discussions/22546
    📸 “Immich v2.0.0 เปิดตัวเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ — เสถียรขึ้น เร็วขึ้น พร้อมฟีเจอร์ใหม่และแผนบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส” Immich คือซอฟต์แวร์แบบ self-hosted สำหรับจัดการรูปภาพและวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวของตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการ Cloud จากผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Google Photos หรือ iCloud หลังจากใช้เวลากว่า 1,337 วันในการพัฒนา ล่าสุดทีมงาน Immich ได้ประกาศเปิดตัวเวอร์ชัน v2.0.0 อย่างเป็นทางการในฐานะ “Stable Release” ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของโครงการนี้ การประกาศครั้งนี้มาพร้อมกับการยืนยันว่า Immich ได้แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และเข้าสู่สถานะที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร โดยจะเน้นการรักษาความเข้ากันได้ระหว่างเวอร์ชัน และลดภาระในการอัปเดตในอนาคต พร้อมทั้งนำระบบ semantic versioning มาใช้เพื่อให้การจัดการเวอร์ชันมีความชัดเจน เพื่อเฉลิมฉลอง ทีมงานได้เปิดตัว Immich ในรูปแบบแผ่น DVD ที่สามารถบูตระบบได้ทันที พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน และวางจำหน่ายผ่านร้าน merch ที่มีดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ ในแผนงานอนาคต Immich เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ auto-stacking, ปรับปรุงการแชร์, การจัดการกลุ่ม, และระบบ ownership รวมถึงการพัฒนาให้เว็บและแอปมือถือมีฟีเจอร์เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end ที่สามารถสำรองข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอกได้ พร้อมฟีเจอร์ “buddy backup” สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทีมงานยังเน้นว่าจะไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่จะมีบริการเสริมแบบสมัครใจเพื่อสนับสนุนโครงการ และจะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็นก่อนนำไปใช้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Immich v2.0.0 เปิดตัวเป็นเวอร์ชัน Stable อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้ระบบ semantic versioning เพื่อจัดการเวอร์ชันแบบ MAJOR.MINOR.PATCH ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันระหว่างแอปมือถือ v2.x.x กับเซิร์ฟเวอร์ v2.x.x ทุกเวอร์ชัน ➡️ แก้ไขปัญหาทางเทคนิคจำนวนมาก และลบแบนเนอร์คำเตือนออกจากเว็บไซต์ ➡️ เปิดตัวแผ่น DVD ที่สามารถบูต Immich ได้ พร้อมภาพตัวอย่างจากทีมงาน ➡️ ร้าน merch มีสินค้าดีไซน์ย้อนยุคให้เลือกซื้อ ➡️ แผนงานอนาคตรวมถึง auto-stacking, การแชร์, การจัดการกลุ่ม และ ownership ➡️ เตรียมเปิดบริการสำรองข้อมูลแบบเข้ารหัส end-to-end และ buddy backup ➡️ ไม่มีการล็อกฟีเจอร์ไว้หลัง paywall แต่มีบริการเสริมแบบสมัครใจ ➡️ จะเก็บข้อมูลการใช้งานอย่างโปร่งใส โดยเปิดให้ชุมชนร่วมแสดงความคิดเห็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Immich เป็นหนึ่งในโครงการ open-source ที่เติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม self-hosted media ➡️ Semantic versioning ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถวางแผนการอัปเดตได้ง่ายขึ้น ➡️ ระบบ buddy backup เป็นแนวคิดที่ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ การใช้ DVD บูตระบบเป็นการสร้างความทรงจำแบบ retro และลดความซับซ้อนในการติดตั้ง ➡️ การเก็บข้อมูลการใช้งานแบบโปร่งใสช่วยลดความกังวลเรื่อง privacy ในชุมชน open-source https://github.com/immich-app/immich/discussions/22546
    GITHUB.COM
    v2.0.0 - Stable Release of Immich · immich-app/immich · Discussion #22546
    v2.0.0 - Stable Release of Immich Watch the video Welcome Hello everyone, After: ~1,337 days, 271 releases, 78,000 stars on GitHub, 1,558 contributors, 31,500 members on Discord, 36,000 members on ...
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • “CVE-2025-38352: ช่องโหว่ TOCTOU ใน Linux/Android Kernel — แค่เสี้ยววินาที ก็อาจเปิดทางสู่สิทธิ Root”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยชื่อ StreyPaws ได้เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของช่องโหว่ CVE-2025-38352 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) ที่เกิดขึ้นในระบบ POSIX CPU Timer ของ Linux และ Android kernel โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุใน Android Security Bulletin เดือนกันยายน 2025 และมีแนวโน้มว่าจะถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงในบางกรณีแล้ว

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ synchronization ที่ผิดพลาดในไฟล์ posix-cpu-timers.c โดยเฉพาะเมื่อมีสองเธรดทำงานพร้อมกัน — เธรดหนึ่งกำลังจัดการกับ timer ที่หมดเวลา ส่วนอีกเธรดพยายามลบ timer เดียวกัน ทำให้เกิด race condition ที่อาจนำไปสู่การอ้างอิงหน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว (use-after-free) ซึ่งอาจทำให้ระบบ crash หรือแม้แต่ privilege escalation ได้

    POSIX CPU Timer ใช้ติดตามเวลาการประมวลผลของ process ไม่ใช่เวลาจริง ทำให้มีความสำคัญในการวิเคราะห์ performance และจัดการทรัพยากร โดยระบบรองรับ clock หลายประเภท เช่น CPUCLOCK_PROF, CPUCLOCK_VIRT และ CPUCLOCK_SCHED เพื่อใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ

    นักวิจัยได้สร้างสภาพแวดล้อมจำลอง kernel บน Android และพัฒนา PoC ที่สามารถทำให้ระบบ crash ได้แม้จะเปิดใช้ CONFIG_POSIX_CPU_TIMERS_TASK_WORK ซึ่งเป็นการตั้งค่าที่ควรช่วยลดความเสี่ยง แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่นี้มีความซับซ้อนและอันตรายแม้ในระบบที่มีการป้องกันเบื้องต้น

    แพตช์ที่ออกมาเพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้มีการเพิ่มเงื่อนไขตรวจสอบสถานะการ exit ของ task ก่อนดำเนินการลบ timer ซึ่งช่วยป้องกันการเกิด race condition ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    CVE-2025-38352 เป็นช่องโหว่ TOCTOU ใน POSIX CPU Timer subsystem ของ Linux/Android kernel
    เกิดจาก race condition ระหว่างการจัดการ timer ที่หมดเวลาและการลบ timer พร้อมกัน
    อาจนำไปสู่ use-after-free, memory corruption และ privilege escalation
    POSIX CPU Timer ใช้ติดตามเวลาประมวลผลของ process ไม่ใช่เวลาจริง
    รองรับ clock หลายประเภท เช่น CPUCLOCK_PROF, CPUCLOCK_VIRT, CPUCLOCK_SCHED
    นักวิจัยสร้าง PoC ที่ทำให้ระบบ crash ได้แม้เปิดใช้ CONFIG_POSIX_CPU_TIMERS_TASK_WORK
    แพตช์แก้ไขโดยเพิ่มการตรวจสอบ exit_state เพื่อป้องกันการอ้างอิงหน่วยความจำที่ถูกปล่อย
    ช่องโหว่นี้ถูกระบุใน Android Security Bulletin เดือนกันยายน 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TOCTOU เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการตรวจสอบเงื่อนไขก่อนใช้งาน แต่เงื่อนไขเปลี่ยนไปในระหว่างนั้น
    Use-after-free เป็นช่องโหว่ที่อันตรายเพราะสามารถนำไปสู่การควบคุมระบบได้
    Race condition มักเกิดในระบบที่มีการทำงานแบบ multi-threaded หรือ interrupt context
    การตรวจสอบ exit_state เป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปในการป้องกันการอ้างอิง task ที่กำลังถูกลบ
    ช่องโหว่ระดับ kernel มีผลกระทบสูงต่อความมั่นคงของระบบ เพราะสามารถควบคุมทุกระดับได้

    https://securityonline.info/researcher-details-zero-day-linux-android-kernel-flaw-cve-2025-38352/
    🧨 “CVE-2025-38352: ช่องโหว่ TOCTOU ใน Linux/Android Kernel — แค่เสี้ยววินาที ก็อาจเปิดทางสู่สิทธิ Root” นักวิจัยด้านความปลอดภัยชื่อ StreyPaws ได้เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของช่องโหว่ CVE-2025-38352 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ TOCTOU (Time-of-Check to Time-of-Use) ที่เกิดขึ้นในระบบ POSIX CPU Timer ของ Linux และ Android kernel โดยช่องโหว่นี้ถูกระบุใน Android Security Bulletin เดือนกันยายน 2025 และมีแนวโน้มว่าจะถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงในบางกรณีแล้ว ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ synchronization ที่ผิดพลาดในไฟล์ posix-cpu-timers.c โดยเฉพาะเมื่อมีสองเธรดทำงานพร้อมกัน — เธรดหนึ่งกำลังจัดการกับ timer ที่หมดเวลา ส่วนอีกเธรดพยายามลบ timer เดียวกัน ทำให้เกิด race condition ที่อาจนำไปสู่การอ้างอิงหน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว (use-after-free) ซึ่งอาจทำให้ระบบ crash หรือแม้แต่ privilege escalation ได้ POSIX CPU Timer ใช้ติดตามเวลาการประมวลผลของ process ไม่ใช่เวลาจริง ทำให้มีความสำคัญในการวิเคราะห์ performance และจัดการทรัพยากร โดยระบบรองรับ clock หลายประเภท เช่น CPUCLOCK_PROF, CPUCLOCK_VIRT และ CPUCLOCK_SCHED เพื่อใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ นักวิจัยได้สร้างสภาพแวดล้อมจำลอง kernel บน Android และพัฒนา PoC ที่สามารถทำให้ระบบ crash ได้แม้จะเปิดใช้ CONFIG_POSIX_CPU_TIMERS_TASK_WORK ซึ่งเป็นการตั้งค่าที่ควรช่วยลดความเสี่ยง แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่นี้มีความซับซ้อนและอันตรายแม้ในระบบที่มีการป้องกันเบื้องต้น แพตช์ที่ออกมาเพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้มีการเพิ่มเงื่อนไขตรวจสอบสถานะการ exit ของ task ก่อนดำเนินการลบ timer ซึ่งช่วยป้องกันการเกิด race condition ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ CVE-2025-38352 เป็นช่องโหว่ TOCTOU ใน POSIX CPU Timer subsystem ของ Linux/Android kernel ➡️ เกิดจาก race condition ระหว่างการจัดการ timer ที่หมดเวลาและการลบ timer พร้อมกัน ➡️ อาจนำไปสู่ use-after-free, memory corruption และ privilege escalation ➡️ POSIX CPU Timer ใช้ติดตามเวลาประมวลผลของ process ไม่ใช่เวลาจริง ➡️ รองรับ clock หลายประเภท เช่น CPUCLOCK_PROF, CPUCLOCK_VIRT, CPUCLOCK_SCHED ➡️ นักวิจัยสร้าง PoC ที่ทำให้ระบบ crash ได้แม้เปิดใช้ CONFIG_POSIX_CPU_TIMERS_TASK_WORK ➡️ แพตช์แก้ไขโดยเพิ่มการตรวจสอบ exit_state เพื่อป้องกันการอ้างอิงหน่วยความจำที่ถูกปล่อย ➡️ ช่องโหว่นี้ถูกระบุใน Android Security Bulletin เดือนกันยายน 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TOCTOU เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการตรวจสอบเงื่อนไขก่อนใช้งาน แต่เงื่อนไขเปลี่ยนไปในระหว่างนั้น ➡️ Use-after-free เป็นช่องโหว่ที่อันตรายเพราะสามารถนำไปสู่การควบคุมระบบได้ ➡️ Race condition มักเกิดในระบบที่มีการทำงานแบบ multi-threaded หรือ interrupt context ➡️ การตรวจสอบ exit_state เป็นเทคนิคที่ใช้กันทั่วไปในการป้องกันการอ้างอิง task ที่กำลังถูกลบ ➡️ ช่องโหว่ระดับ kernel มีผลกระทบสูงต่อความมั่นคงของระบบ เพราะสามารถควบคุมทุกระดับได้ https://securityonline.info/researcher-details-zero-day-linux-android-kernel-flaw-cve-2025-38352/
    SECURITYONLINE.INFO
    Researcher Details Zero-Day Linux/Android Kernel Flaw (CVE-2025-38352)
    A High-severity TOCTOU race condition (CVE-2025-38352) in the Linux/Android POSIX CPU Timer subsystem can lead to kernel crashes and privilege escalation.
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที”

    Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร

    นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ
    CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย
    CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
    ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google
    ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000
    Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine
    เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac
    Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D
    Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ
    Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล
    V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย
    Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด

    https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    🛡️ “Chrome 141 อัปเดตด่วน! อุดช่องโหว่ WebGPU และ Video เสี่ยงถูกโจมตีระดับโค้ด — ผู้ใช้ทุกระบบควรรีบอัปเดตทันที” Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome 141 สู่ช่องทาง Stable สำหรับผู้ใช้บน Windows, macOS และ Linux โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมการแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัยถึง 21 รายการ ซึ่งรวมถึงช่องโหว่ระดับร้ายแรง 2 จุดที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าควบคุมระบบผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11205 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ใน WebGPU — เทคโนโลยีที่ใช้เร่งกราฟิกและการเรนเดอร์บนเว็บสมัยใหม่ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Atte Kettunen จาก OUSPG และได้รับเงินรางวัลถึง $25,000 ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในการอัปเดตครั้งนี้ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การเข้าถึงหน่วยความจำนอกขอบเขต และเปิดทางให้ผู้โจมตีรันโค้ดอันตรายหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้ ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11206 ซึ่งเป็น heap buffer overflow ในระบบ Video ของ Chrome โดยนักวิจัย Elias Hohl ช่องโหว่นี้แม้จะรุนแรงน้อยกว่า WebGPU แต่ก็สามารถถูกใช้เพื่อควบคุมหน่วยความจำระหว่างการเล่นวิดีโอ และอาจนำไปสู่การโจมตีหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียร นอกจากช่องโหว่หลักทั้งสองแล้ว Chrome 141 ยังแก้ไขช่องโหว่ระดับกลางและต่ำอีกหลายรายการ เช่น การรั่วไหลข้อมูลผ่าน side-channel ใน Storage และ Tab, การ implement ที่ไม่เหมาะสมใน Media และ Omnibox รวมถึงข้อผิดพลาดใน V8 JavaScript engine ที่อาจเปิดช่องให้รันโค้ดผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกระบบอัปเดต Chrome เป็นเวอร์ชัน 141.0.7390.54 (Linux) หรือ 141.0.7390.54/55 (Windows และ Mac) โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากช่องโหว่ที่ถูกเปิดเผยแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 21 รายการ ➡️ CVE-2025-11205: heap buffer overflow ใน WebGPU เสี่ยงรันโค้ดอันตราย ➡️ CVE-2025-11206: heap buffer overflow ใน Video component เสี่ยงทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ➡️ ช่องโหว่ WebGPU ได้รับรางวัล $25,000 จาก Google ➡️ ช่องโหว่ Video ได้รับรางวัล $4,000 ➡️ Chrome 141 แก้ไขช่องโหว่ใน Storage, Media, Omnibox และ V8 JavaScript engine ➡️ เวอร์ชันที่ปล่อยคือ 141.0.7390.54 สำหรับ Linux และ 54/55 สำหรับ Windows/Mac ➡️ Google แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ WebGPU เป็น API ใหม่ที่ใช้เร่งกราฟิกในเว็บแอป เช่น เกมและแอป 3D ➡️ Heap buffer overflow เป็นช่องโหว่ที่เกิดจากการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตหน่วยความจำ ➡️ Side-channel attack สามารถใช้วิเคราะห์พฤติกรรมระบบเพื่อขโมยข้อมูล ➡️ V8 เป็น engine ที่รัน JavaScript ใน Chrome และมีบทบาทสำคัญในความปลอดภัย ➡️ Google ใช้ระบบ AI ภายในชื่อ Big Sleep เพื่อช่วยตรวจจับช่องโหว่ในโค้ด https://securityonline.info/chrome-141-stable-channel-update-patches-high-severity-vulnerabilities-cve-2025-11205-cve-2025-11206/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 141 Stable Channel Update Patches High-Severity Vulnerabilities (CVE-2025-11205 & CVE-2025-11206)
    Google promoted Chrome 141 to Stable, patching 21 flaws including a High-severity Heap Buffer Overflow (CVE-2025-11205) in WebGPU that could lead to RCE.
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • “PoC หลุด! ช่องโหว่ Linux Kernel เปิดทางผู้ใช้ธรรมดาเข้าถึงสิทธิ Root — ระบบเสี่ยงทั่วโลก”

    เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 มีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงใน Linux Kernel ที่สามารถใช้เพื่อยกระดับสิทธิจากผู้ใช้ธรรมดาให้กลายเป็น root ได้ โดยช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำผิดพลาดในฟีเจอร์ vsock (Virtual Socket) ซึ่งใช้สำหรับการสื่อสารระหว่าง virtual machines โดยเฉพาะในระบบคลาวด์และ virtualization เช่น VMware

    ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในประเภท Use-After-Free (UAF) ซึ่งเกิดจากการลดค่าการอ้างอิงของวัตถุใน kernel ก่อนเวลาอันควร ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว และฝังโค้ดอันตรายเพื่อเข้าถึงสิทธิระดับ kernel ได้

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เผยแพร่ proof-of-concept (PoC) ที่แสดงให้เห็นขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด ตั้งแต่การบังคับให้ kernel ปล่อย vsock object ไปจนถึงการ reclaim หน่วยความจำด้วยข้อมูลที่ควบคุมได้ และการหลบเลี่ยง KASLR (Kernel Address Space Layout Randomization) เพื่อเข้าถึงโครงสร้างภายในของ kernel

    ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อระบบ Linux จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ใช้ virtualization และ container เช่น OpenShift หรือ Red Hat Enterprise Linux CoreOS ซึ่งแม้บางระบบจะมีสิทธิ root อยู่แล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ lateral movement หรือการฝัง backdoor ได้ในระดับ kernel

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่เกิดจากการจัดการ reference count ผิดพลาดใน vsock subsystem ของ Linux Kernel
    ประเภทช่องโหว่คือ Use-After-Free (UAF) ซึ่งเปิดช่องให้ควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อย
    มีการเผยแพร่ PoC ที่แสดงขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด
    ผู้โจมตีสามารถหลบเลี่ยง KASLR และ hijack control flow เพื่อเข้าถึงสิทธิ root
    ระบบที่ใช้ virtualization เช่น VMware และ OpenShift ได้รับผลกระทบโดยตรง
    Linux distributions ได้ออก patch แล้วสำหรับ kernel เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากผู้ใช้ธรรมดาที่ไม่มีสิทธิ root
    การใช้ vsock_diag_dump เป็นช่องทางในการ leak kernel address

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Use-After-Free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่มีการจัดการหน่วยความจำแบบ dynamic
    KASLR เป็นเทคนิคที่ใช้สุ่มตำแหน่งหน่วยความจำเพื่อป้องกันการโจมตี
    PoC ที่เผยแพร่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถทดสอบและตรวจสอบช่องโหว่ได้รวดเร็วขึ้น
    การโจมตีระดับ kernel มีความรุนแรงสูง เพราะสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้
    ระบบ container ที่เปิดใช้งาน user namespaces มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

    https://securityonline.info/poc-released-linux-kernel-flaw-allows-user-to-gain-root-privileges/
    🛡️ “PoC หลุด! ช่องโหว่ Linux Kernel เปิดทางผู้ใช้ธรรมดาเข้าถึงสิทธิ Root — ระบบเสี่ยงทั่วโลก” เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 มีการเปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงใน Linux Kernel ที่สามารถใช้เพื่อยกระดับสิทธิจากผู้ใช้ธรรมดาให้กลายเป็น root ได้ โดยช่องโหว่นี้เกี่ยวข้องกับการจัดการหน่วยความจำผิดพลาดในฟีเจอร์ vsock (Virtual Socket) ซึ่งใช้สำหรับการสื่อสารระหว่าง virtual machines โดยเฉพาะในระบบคลาวด์และ virtualization เช่น VMware ช่องโหว่นี้ถูกจัดอยู่ในประเภท Use-After-Free (UAF) ซึ่งเกิดจากการลดค่าการอ้างอิงของวัตถุใน kernel ก่อนเวลาอันควร ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว และฝังโค้ดอันตรายเพื่อเข้าถึงสิทธิระดับ kernel ได้ นักวิจัยด้านความปลอดภัยได้เผยแพร่ proof-of-concept (PoC) ที่แสดงให้เห็นขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด ตั้งแต่การบังคับให้ kernel ปล่อย vsock object ไปจนถึงการ reclaim หน่วยความจำด้วยข้อมูลที่ควบคุมได้ และการหลบเลี่ยง KASLR (Kernel Address Space Layout Randomization) เพื่อเข้าถึงโครงสร้างภายในของ kernel ช่องโหว่นี้มีผลกระทบต่อระบบ Linux จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ใช้ virtualization และ container เช่น OpenShift หรือ Red Hat Enterprise Linux CoreOS ซึ่งแม้บางระบบจะมีสิทธิ root อยู่แล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องให้เกิดการโจมตีแบบ lateral movement หรือการฝัง backdoor ได้ในระดับ kernel ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่เกิดจากการจัดการ reference count ผิดพลาดใน vsock subsystem ของ Linux Kernel ➡️ ประเภทช่องโหว่คือ Use-After-Free (UAF) ซึ่งเปิดช่องให้ควบคุมหน่วยความจำที่ถูกปล่อย ➡️ มีการเผยแพร่ PoC ที่แสดงขั้นตอนการโจมตีอย่างละเอียด ➡️ ผู้โจมตีสามารถหลบเลี่ยง KASLR และ hijack control flow เพื่อเข้าถึงสิทธิ root ➡️ ระบบที่ใช้ virtualization เช่น VMware และ OpenShift ได้รับผลกระทบโดยตรง ➡️ Linux distributions ได้ออก patch แล้วสำหรับ kernel เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้จากผู้ใช้ธรรมดาที่ไม่มีสิทธิ root ➡️ การใช้ vsock_diag_dump เป็นช่องทางในการ leak kernel address ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Use-After-Free เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยในระบบที่มีการจัดการหน่วยความจำแบบ dynamic ➡️ KASLR เป็นเทคนิคที่ใช้สุ่มตำแหน่งหน่วยความจำเพื่อป้องกันการโจมตี ➡️ PoC ที่เผยแพร่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถทดสอบและตรวจสอบช่องโหว่ได้รวดเร็วขึ้น ➡️ การโจมตีระดับ kernel มีความรุนแรงสูง เพราะสามารถควบคุมระบบทั้งหมดได้ ➡️ ระบบ container ที่เปิดใช้งาน user namespaces มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น https://securityonline.info/poc-released-linux-kernel-flaw-allows-user-to-gain-root-privileges/
    SECURITYONLINE.INFO
    PoC Released: Linux Kernel Flaw Allows User to Gain Root Privileges
    A high-severity flaw in the Linux ethtool netlink interface (CVE-2025-21701) enables a Use-After-Free attack to gain root privileges. A PoC has been publicly released.
    0 Comments 0 Shares 63 Views 0 Reviews
  • “Nothing OS 4.0 เปิดเบต้าแล้ว — ระบบ Android 16 ที่มาพร้อม AI, วิดเจ็ตอัจฉริยะ และฟีเจอร์เฉพาะรุ่น”

    Nothing ประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Nothing OS 4.0 เวอร์ชันเบต้าอย่างเป็นทางการ โดยพัฒนาบนพื้นฐาน Android 16 และมุ่งเน้นการใช้งาน AI เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้ให้ลึกและเฉพาะตัวมากขึ้น โดยเปิดให้ผู้ใช้บางรุ่นเข้าร่วมทดสอบก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ

    รุ่นที่สามารถเข้าร่วมเบต้าได้ทันที ได้แก่ Nothing Phone 3, Phone 2, Phone 2a และ Phone 2a Plus ส่วนรุ่นใหม่อย่าง Phone 3a และ 3a Pro ยังไม่สามารถเข้าร่วมได้ในตอนนี้ โดย Nothing ระบุว่าจะเปิดให้เข้าร่วมภายในเดือนตุลาคมนี้

    ฟีเจอร์เด่นของ Nothing OS 4.0 คือ “AI Usage Dashboard” ที่มีเฉพาะใน Phone 3 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมการทำงานของโมเดล AI ในเครื่องได้อย่างโปร่งใส พร้อมระบบ “Essential Apps” ที่สามารถสร้างวิดเจ็ตด้วยคำสั่งธรรมชาติ และแชร์ใน Playground ได้ทันที โดย Phone 3 รองรับวิดเจ็ตสูงสุด 6 ตัว ส่วนรุ่นอื่นรองรับ 2 ตัว

    Phone 2 และ 2a Series จะได้รับฟีเจอร์กล้องใหม่ชื่อ “Stretch” ซึ่งพัฒนาร่วมกับช่างภาพ Jordan Hemingway โดยเน้นการเพิ่มเงาและไฮไลต์ให้ภาพดูมีมิติยิ่งขึ้น พร้อมการปรับปรุงความเร็วเปิดแอปผ่านระบบ App Optimisation

    ฟีเจอร์ที่มีในทุกรุ่น ได้แก่ การสลับแอปผ่าน Pop-up View แบบสองไอคอน, หน้าปัดนาฬิกาใหม่ 2 แบบบนหน้าล็อก, การรองรับ Quick Settings แบบ 2x2 และ Extra Dark Mode สำหรับผู้ที่ชอบธีมมืดแบบสุดขั้ว

    ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมเบต้าได้โดยดาวน์โหลดไฟล์ .apk จากเว็บไซต์ Nothing แล้วติดตั้งผ่านเมนู Settings > System > Nothing Beta Hub โดยต้องอยู่บนเวอร์ชัน Nothing OS 3.5 ก่อน และต้องลงทะเบียนก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันปิดรับสมัคร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nothing OS 4.0 เบต้าเปิดให้ใช้งานแล้วบน Phone 3, 2, 2a และ 2a Plus
    Phone 3a และ 3a Pro จะเข้าร่วมได้ภายในเดือนตุลาคม
    Phone 3 ได้รับฟีเจอร์ AI Usage Dashboard และรองรับวิดเจ็ต AI สูงสุด 6 ตัว
    Phone 2 และ 2a Series ได้รับฟีเจอร์กล้อง Stretch และระบบ App Optimisation
    ฟีเจอร์ใหม่ที่มีในทุกรุ่น ได้แก่ Pop-up View, หน้าปัดนาฬิกาใหม่, Quick Settings 2x2 และ Extra Dark Mode
    ระบบ Essential Apps ช่วยสร้างวิดเจ็ตด้วยคำสั่งธรรมชาติ และแชร์ใน Playground
    ต้องลงทะเบียนเบต้าก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ผ่าน Nothing Beta Hub
    การติดตั้งต้องอยู่บนเวอร์ชัน Nothing OS 3.5 และดาวน์โหลดไฟล์ .apk จากเว็บไซต์ Nothing

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Android 16 เน้นการปรับปรุงความปลอดภัยและการจัดการ AI บนอุปกรณ์
    ระบบวิดเจ็ตแบบ AI เริ่มเป็นเทรนด์ใหม่ในหลายแบรนด์ เช่น Google และ Samsung
    การใช้คำสั่งธรรมชาติสร้างวิดเจ็ตช่วยลดขั้นตอนการตั้งค่าแบบเดิม
    Extra Dark Mode ช่วยลดการใช้พลังงานบนหน้าจอ OLED และถนอมสายตา
    การร่วมมือกับช่างภาพมืออาชีพช่วยยกระดับคุณภาพกล้องในสมาร์ตโฟน

    https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/the-nothing-os-4-0-open-beta-has-landed-but-its-availability-and-features-vary-a-lot-depending-on-your-phone
    📱 “Nothing OS 4.0 เปิดเบต้าแล้ว — ระบบ Android 16 ที่มาพร้อม AI, วิดเจ็ตอัจฉริยะ และฟีเจอร์เฉพาะรุ่น” Nothing ประกาศเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Nothing OS 4.0 เวอร์ชันเบต้าอย่างเป็นทางการ โดยพัฒนาบนพื้นฐาน Android 16 และมุ่งเน้นการใช้งาน AI เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้ให้ลึกและเฉพาะตัวมากขึ้น โดยเปิดให้ผู้ใช้บางรุ่นเข้าร่วมทดสอบก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ รุ่นที่สามารถเข้าร่วมเบต้าได้ทันที ได้แก่ Nothing Phone 3, Phone 2, Phone 2a และ Phone 2a Plus ส่วนรุ่นใหม่อย่าง Phone 3a และ 3a Pro ยังไม่สามารถเข้าร่วมได้ในตอนนี้ โดย Nothing ระบุว่าจะเปิดให้เข้าร่วมภายในเดือนตุลาคมนี้ ฟีเจอร์เด่นของ Nothing OS 4.0 คือ “AI Usage Dashboard” ที่มีเฉพาะใน Phone 3 ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมการทำงานของโมเดล AI ในเครื่องได้อย่างโปร่งใส พร้อมระบบ “Essential Apps” ที่สามารถสร้างวิดเจ็ตด้วยคำสั่งธรรมชาติ และแชร์ใน Playground ได้ทันที โดย Phone 3 รองรับวิดเจ็ตสูงสุด 6 ตัว ส่วนรุ่นอื่นรองรับ 2 ตัว Phone 2 และ 2a Series จะได้รับฟีเจอร์กล้องใหม่ชื่อ “Stretch” ซึ่งพัฒนาร่วมกับช่างภาพ Jordan Hemingway โดยเน้นการเพิ่มเงาและไฮไลต์ให้ภาพดูมีมิติยิ่งขึ้น พร้อมการปรับปรุงความเร็วเปิดแอปผ่านระบบ App Optimisation ฟีเจอร์ที่มีในทุกรุ่น ได้แก่ การสลับแอปผ่าน Pop-up View แบบสองไอคอน, หน้าปัดนาฬิกาใหม่ 2 แบบบนหน้าล็อก, การรองรับ Quick Settings แบบ 2x2 และ Extra Dark Mode สำหรับผู้ที่ชอบธีมมืดแบบสุดขั้ว ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมเบต้าได้โดยดาวน์โหลดไฟล์ .apk จากเว็บไซต์ Nothing แล้วติดตั้งผ่านเมนู Settings > System > Nothing Beta Hub โดยต้องอยู่บนเวอร์ชัน Nothing OS 3.5 ก่อน และต้องลงทะเบียนก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นวันปิดรับสมัคร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nothing OS 4.0 เบต้าเปิดให้ใช้งานแล้วบน Phone 3, 2, 2a และ 2a Plus ➡️ Phone 3a และ 3a Pro จะเข้าร่วมได้ภายในเดือนตุลาคม ➡️ Phone 3 ได้รับฟีเจอร์ AI Usage Dashboard และรองรับวิดเจ็ต AI สูงสุด 6 ตัว ➡️ Phone 2 และ 2a Series ได้รับฟีเจอร์กล้อง Stretch และระบบ App Optimisation ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ที่มีในทุกรุ่น ได้แก่ Pop-up View, หน้าปัดนาฬิกาใหม่, Quick Settings 2x2 และ Extra Dark Mode ➡️ ระบบ Essential Apps ช่วยสร้างวิดเจ็ตด้วยคำสั่งธรรมชาติ และแชร์ใน Playground ➡️ ต้องลงทะเบียนเบต้าก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ผ่าน Nothing Beta Hub ➡️ การติดตั้งต้องอยู่บนเวอร์ชัน Nothing OS 3.5 และดาวน์โหลดไฟล์ .apk จากเว็บไซต์ Nothing ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Android 16 เน้นการปรับปรุงความปลอดภัยและการจัดการ AI บนอุปกรณ์ ➡️ ระบบวิดเจ็ตแบบ AI เริ่มเป็นเทรนด์ใหม่ในหลายแบรนด์ เช่น Google และ Samsung ➡️ การใช้คำสั่งธรรมชาติสร้างวิดเจ็ตช่วยลดขั้นตอนการตั้งค่าแบบเดิม ➡️ Extra Dark Mode ช่วยลดการใช้พลังงานบนหน้าจอ OLED และถนอมสายตา ➡️ การร่วมมือกับช่างภาพมืออาชีพช่วยยกระดับคุณภาพกล้องในสมาร์ตโฟน https://www.techradar.com/phones/nothing-phones/the-nothing-os-4-0-open-beta-has-landed-but-its-availability-and-features-vary-a-lot-depending-on-your-phone
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • “Intel Arc B580 กลับมาแรง! อัปเดตไดรเวอร์ใหม่แก้ปัญหา CPU Overhead — เกมเมอร์สายประหยัดมีเฮ”

    Intel Arc B580 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น GPU ราคาประหยัดที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ CPU รุ่นเก่า เช่น Ryzen 5 5600 หรือแม้แต่ Ryzen 5 2600 ล่าสุดได้รับการอัปเดตไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ (7028) ที่ช่วยลดปัญหา CPU overhead ได้อย่างเห็นผลในหลายเกมยอดนิยม

    ก่อนหน้านี้ Arc B580 มีปัญหาเมื่อใช้งานกับ CPU ที่ไม่ใช่รุ่นล่าสุด โดยเฉพาะในเกมที่มีการประมวลผลหนัก เช่น Marvel’s Spider-Man Remastered และ Cyberpunk 2077 ซึ่งทำให้เฟรมเรตตกอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ GPU จาก AMD หรือ NVIDIA ในระดับเดียวกัน

    แต่หลังจากการอัปเดตไดรเวอร์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขในหลายเกม โดยเฉพาะ Spider-Man Remastered ที่เฟรมเรตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 36% และเฟรมเรตต่ำสุด (1% low) เพิ่มขึ้นถึง 43% เมื่อใช้งานร่วมกับ Ryzen 5 5600

    Cyberpunk 2077: Phantom Liberty ก็แสดงผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเกมอื่น ๆ เช่น Dying Light: The Beast, Marvel Rivals, Kingdom Come: Deliverance II และ Borderlands 4 ก็มีการปรับปรุงประสิทธิภาพเมื่อใช้กับ CPU ระดับกลาง

    แม้ว่า Ryzen 5 2600 ยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ใช้ Ryzen 5 5600 และ CPU ระดับใกล้เคียงกัน Arc B580 กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อราคาลดลงเหลือเพียง $249 พร้อมหน่วยความจำ 12GB ซึ่งหาไม่ได้ใน GPU ค่ายอื่นในช่วงราคานี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel Arc B580 ได้รับการอัปเดตไดรเวอร์เวอร์ชัน 7028 ในเดือนสิงหาคม 2025
    ปรับปรุงประสิทธิภาพเมื่อใช้งานร่วมกับ CPU รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Ryzen 5 5600
    Spider-Man Remastered เฟรมเรตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 36% และ 1% low เพิ่มขึ้น 43%
    Cyberpunk 2077 และเกมอื่น ๆ แสดงผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน
    ปัญหา CPU overhead ลดลงในหลายเกมยอดนิยม
    Arc B580 มีหน่วยความจำ 12GB และราคาล่าสุดอยู่ที่ $249
    เป็น GPU ราคาประหยัดที่เริ่มน่าสนใจสำหรับผู้ใช้ CPU ระดับกลาง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    CPU overhead คือภาระการประมวลผลที่เกิดจากการจัดการคำสั่งระหว่าง CPU และ GPU
    Ryzen 5 5600 ยังเป็น CPU ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเกมเมอร์สายประหยัด
    การอัปเดตไดรเวอร์แบบเจาะจงเกม (game-specific optimization) เป็นแนวทางที่ NVIDIA และ AMD ใช้มานาน
    Arc B580 เป็นหนึ่งใน GPU ที่ Intel พยายามผลักดันเพื่อแข่งขันในตลาดกลาง
    การมีหน่วยความจำ 12GB ทำให้ Arc B580 เหมาะกับเกม AAA และงาน AI เบื้องต้น

    https://wccftech.com/intel-arc-b580-receives-huge-performance-gains-in-some-titles-as-new-drivers-migitate-cpu-overhead-to-a-good-extent/
    🎮 “Intel Arc B580 กลับมาแรง! อัปเดตไดรเวอร์ใหม่แก้ปัญหา CPU Overhead — เกมเมอร์สายประหยัดมีเฮ” Intel Arc B580 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็น GPU ราคาประหยัดที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ CPU รุ่นเก่า เช่น Ryzen 5 5600 หรือแม้แต่ Ryzen 5 2600 ล่าสุดได้รับการอัปเดตไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ (7028) ที่ช่วยลดปัญหา CPU overhead ได้อย่างเห็นผลในหลายเกมยอดนิยม ก่อนหน้านี้ Arc B580 มีปัญหาเมื่อใช้งานกับ CPU ที่ไม่ใช่รุ่นล่าสุด โดยเฉพาะในเกมที่มีการประมวลผลหนัก เช่น Marvel’s Spider-Man Remastered และ Cyberpunk 2077 ซึ่งทำให้เฟรมเรตตกอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ GPU จาก AMD หรือ NVIDIA ในระดับเดียวกัน แต่หลังจากการอัปเดตไดรเวอร์ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขในหลายเกม โดยเฉพาะ Spider-Man Remastered ที่เฟรมเรตเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง 36% และเฟรมเรตต่ำสุด (1% low) เพิ่มขึ้นถึง 43% เมื่อใช้งานร่วมกับ Ryzen 5 5600 Cyberpunk 2077: Phantom Liberty ก็แสดงผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเกมอื่น ๆ เช่น Dying Light: The Beast, Marvel Rivals, Kingdom Come: Deliverance II และ Borderlands 4 ก็มีการปรับปรุงประสิทธิภาพเมื่อใช้กับ CPU ระดับกลาง แม้ว่า Ryzen 5 2600 ยังมีปัญหาอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ใช้ Ryzen 5 5600 และ CPU ระดับใกล้เคียงกัน Arc B580 กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อราคาลดลงเหลือเพียง $249 พร้อมหน่วยความจำ 12GB ซึ่งหาไม่ได้ใน GPU ค่ายอื่นในช่วงราคานี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel Arc B580 ได้รับการอัปเดตไดรเวอร์เวอร์ชัน 7028 ในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพเมื่อใช้งานร่วมกับ CPU รุ่นเก่า โดยเฉพาะ Ryzen 5 5600 ➡️ Spider-Man Remastered เฟรมเรตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 36% และ 1% low เพิ่มขึ้น 43% ➡️ Cyberpunk 2077 และเกมอื่น ๆ แสดงผลลัพธ์ดีขึ้นอย่างชัดเจน ➡️ ปัญหา CPU overhead ลดลงในหลายเกมยอดนิยม ➡️ Arc B580 มีหน่วยความจำ 12GB และราคาล่าสุดอยู่ที่ $249 ➡️ เป็น GPU ราคาประหยัดที่เริ่มน่าสนใจสำหรับผู้ใช้ CPU ระดับกลาง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ CPU overhead คือภาระการประมวลผลที่เกิดจากการจัดการคำสั่งระหว่าง CPU และ GPU ➡️ Ryzen 5 5600 ยังเป็น CPU ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มเกมเมอร์สายประหยัด ➡️ การอัปเดตไดรเวอร์แบบเจาะจงเกม (game-specific optimization) เป็นแนวทางที่ NVIDIA และ AMD ใช้มานาน ➡️ Arc B580 เป็นหนึ่งใน GPU ที่ Intel พยายามผลักดันเพื่อแข่งขันในตลาดกลาง ➡️ การมีหน่วยความจำ 12GB ทำให้ Arc B580 เหมาะกับเกม AAA และงาน AI เบื้องต้น https://wccftech.com/intel-arc-b580-receives-huge-performance-gains-in-some-titles-as-new-drivers-migitate-cpu-overhead-to-a-good-extent/
    WCCFTECH.COM
    Intel Arc B580 Receives Huge Performance Gains In Some Titles As New Drivers Mitigate CPU Overhead To A Good Extent
    Intel has been continuously delivering newer driver updates, which have seemingly mitigated the CPU Overhead problems for Arc B580.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “Photonicat 2 คอมพิวเตอร์พกพาแบบเปิดซอร์ส — แบตอึด 24 ชั่วโมง, รองรับ 5G, NVMe และปรับแต่งได้ทุกพอร์ต”

    ถ้า MacGyver ต้องเลือกคอมพิวเตอร์พกพาสักเครื่อง เขาอาจเลือก Photonicat 2 — อุปกรณ์ขนาดเท่าก้อนอิฐที่รวมทุกสิ่งไว้ในตัวเดียว ทั้งแบตเตอรี่ใช้งานได้ 24 ชั่วโมง, พอร์ตเชื่อมต่อรอบตัว, หน้าจอแสดงสถานะ, และระบบปฏิบัติการแบบเปิดซอร์สที่ปรับแต่งได้เต็มรูปแบบ

    Photonicat 2 เป็นรุ่นต่อยอดจาก Photonicat 1 ที่เคยเปิดตัวในฐานะเราเตอร์พกพาแบบเปิดซอร์ส โดยรุ่นใหม่นี้ยังคงแนวคิดเดิม แต่เพิ่มประสิทธิภาพอย่างชัดเจน ด้วยชิป Rockchip RK3576 แบบ 8 คอร์ ที่แรงกว่ารุ่นก่อนถึง 3 เท่า รองรับ RAM สูงสุด 16GB LPDDR5 และ eMMC สูงสุด 128GB พร้อมช่อง NVMe ขนาด 2230 สำหรับขยายพื้นที่เก็บข้อมูล

    ตัวเครื่องมีขนาด 154 x 78 x 32 มม. น้ำหนักประมาณ 485 กรัมเมื่อรวมแบตเตอรี่ ใช้แบตเตอรี่ 18650 จำนวน 4 ก้อน ให้พลังงานใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 24 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วผ่าน USB-C PD 30W

    ด้านการเชื่อมต่อ Photonicat 2 รองรับ dual gigabit Ethernet, HDMI 4K60, USB-C, USB 3.0, microSD, nano-SIM และช่องต่อเสาอากาศภายนอกสูงสุด 4 จุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณ 5G หรือ Wi-Fi ในพื้นที่ห่างไกล

    หน้าจอ LCD ด้านหน้าสามารถแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น ความเร็วเน็ต, อุณหภูมิ CPU, สถานะแบตเตอรี่ และ IP address โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอผ่าน JSON ได้ตามต้องการ

    ระบบปฏิบัติการรองรับ Linux kernel 6.12+, Debian, OpenWrt และ Android build script พร้อมรองรับ KVM virtualization ทำให้สามารถใช้งานเป็นทั้งคอมพิวเตอร์พกพา, เราเตอร์, NAS, หรือแม้แต่ UPS สำหรับอุปกรณ์เครือข่าย

    Photonicat 2 เปิดระดมทุนผ่าน Kickstarter และสามารถระดมทุนเกินเป้าหมายภายในเวลาไม่กี่วัน โดยมีแผนจัดส่งทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายน 2025

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Photonicat 2 เป็นคอมพิวเตอร์พกพาแบบเปิดซอร์สรุ่นใหม่จาก Photonicat
    ใช้ชิป Rockchip RK3576 แบบ 8 คอร์ แรงกว่ารุ่นก่อนถึง 3 เท่า
    รองรับ RAM สูงสุด 16GB LPDDR5 และ eMMC สูงสุด 128GB
    มีช่อง NVMe ขนาด 2230 สำหรับขยายพื้นที่เก็บข้อมูล
    ใช้แบตเตอรี่ 18650 จำนวน 4 ก้อน ใช้งานได้สูงสุด 24 ชั่วโมง
    รองรับการชาร์จเร็วผ่าน USB-C PD 30W
    มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: Ethernet, HDMI 4K, USB-C, USB 3.0, microSD, nano-SIM
    รองรับเสาอากาศภายนอกสูงสุด 4 จุด
    หน้าจอ LCD แสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ปรับแต่งได้ผ่าน JSON
    รองรับ Linux kernel 6.12+, Debian, OpenWrt และ Android build script
    ใช้งานได้ทั้งเป็นคอมพิวเตอร์, เราเตอร์, NAS หรือ UPS
    ระดมทุนผ่าน Kickstarter และจัดส่งทั่วโลกใน พ.ย. 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RK3576 เป็นชิป ARM ที่เน้นประสิทธิภาพและการจัดการพลังงาน
    NVMe 2230 เป็นฟอร์แมต SSD ขนาดเล็กที่นิยมใช้ในอุปกรณ์พกพา
    OpenWrt เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเราเตอร์ที่เน้นความปลอดภัยและการปรับแต่ง
    KVM virtualization ช่วยให้ Photonicat 2 รันหลายระบบพร้อมกันได้
    การใช้ JSON ปรับแต่งหน้าจอช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมอินเทอร์เฟซได้ละเอียด

    https://www.techradar.com/pro/if-mcgyver-bought-a-pc-it-would-probably-be-the-photonicat-brick-like-computer-has-built-in-24-hr-battery-ports-agogo-sim-slot-external-antennas-nvme-slot-and-is-open-source
    🧱 “Photonicat 2 คอมพิวเตอร์พกพาแบบเปิดซอร์ส — แบตอึด 24 ชั่วโมง, รองรับ 5G, NVMe และปรับแต่งได้ทุกพอร์ต” ถ้า MacGyver ต้องเลือกคอมพิวเตอร์พกพาสักเครื่อง เขาอาจเลือก Photonicat 2 — อุปกรณ์ขนาดเท่าก้อนอิฐที่รวมทุกสิ่งไว้ในตัวเดียว ทั้งแบตเตอรี่ใช้งานได้ 24 ชั่วโมง, พอร์ตเชื่อมต่อรอบตัว, หน้าจอแสดงสถานะ, และระบบปฏิบัติการแบบเปิดซอร์สที่ปรับแต่งได้เต็มรูปแบบ Photonicat 2 เป็นรุ่นต่อยอดจาก Photonicat 1 ที่เคยเปิดตัวในฐานะเราเตอร์พกพาแบบเปิดซอร์ส โดยรุ่นใหม่นี้ยังคงแนวคิดเดิม แต่เพิ่มประสิทธิภาพอย่างชัดเจน ด้วยชิป Rockchip RK3576 แบบ 8 คอร์ ที่แรงกว่ารุ่นก่อนถึง 3 เท่า รองรับ RAM สูงสุด 16GB LPDDR5 และ eMMC สูงสุด 128GB พร้อมช่อง NVMe ขนาด 2230 สำหรับขยายพื้นที่เก็บข้อมูล ตัวเครื่องมีขนาด 154 x 78 x 32 มม. น้ำหนักประมาณ 485 กรัมเมื่อรวมแบตเตอรี่ ใช้แบตเตอรี่ 18650 จำนวน 4 ก้อน ให้พลังงานใช้งานต่อเนื่องได้ถึง 24 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จเร็วผ่าน USB-C PD 30W ด้านการเชื่อมต่อ Photonicat 2 รองรับ dual gigabit Ethernet, HDMI 4K60, USB-C, USB 3.0, microSD, nano-SIM และช่องต่อเสาอากาศภายนอกสูงสุด 4 จุด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสัญญาณ 5G หรือ Wi-Fi ในพื้นที่ห่างไกล หน้าจอ LCD ด้านหน้าสามารถแสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น ความเร็วเน็ต, อุณหภูมิ CPU, สถานะแบตเตอรี่ และ IP address โดยผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าจอผ่าน JSON ได้ตามต้องการ ระบบปฏิบัติการรองรับ Linux kernel 6.12+, Debian, OpenWrt และ Android build script พร้อมรองรับ KVM virtualization ทำให้สามารถใช้งานเป็นทั้งคอมพิวเตอร์พกพา, เราเตอร์, NAS, หรือแม้แต่ UPS สำหรับอุปกรณ์เครือข่าย Photonicat 2 เปิดระดมทุนผ่าน Kickstarter และสามารถระดมทุนเกินเป้าหมายภายในเวลาไม่กี่วัน โดยมีแผนจัดส่งทั่วโลกในเดือนพฤศจิกายน 2025 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Photonicat 2 เป็นคอมพิวเตอร์พกพาแบบเปิดซอร์สรุ่นใหม่จาก Photonicat ➡️ ใช้ชิป Rockchip RK3576 แบบ 8 คอร์ แรงกว่ารุ่นก่อนถึง 3 เท่า ➡️ รองรับ RAM สูงสุด 16GB LPDDR5 และ eMMC สูงสุด 128GB ➡️ มีช่อง NVMe ขนาด 2230 สำหรับขยายพื้นที่เก็บข้อมูล ➡️ ใช้แบตเตอรี่ 18650 จำนวน 4 ก้อน ใช้งานได้สูงสุด 24 ชั่วโมง ➡️ รองรับการชาร์จเร็วผ่าน USB-C PD 30W ➡️ มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน: Ethernet, HDMI 4K, USB-C, USB 3.0, microSD, nano-SIM ➡️ รองรับเสาอากาศภายนอกสูงสุด 4 จุด ➡️ หน้าจอ LCD แสดงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ปรับแต่งได้ผ่าน JSON ➡️ รองรับ Linux kernel 6.12+, Debian, OpenWrt และ Android build script ➡️ ใช้งานได้ทั้งเป็นคอมพิวเตอร์, เราเตอร์, NAS หรือ UPS ➡️ ระดมทุนผ่าน Kickstarter และจัดส่งทั่วโลกใน พ.ย. 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RK3576 เป็นชิป ARM ที่เน้นประสิทธิภาพและการจัดการพลังงาน ➡️ NVMe 2230 เป็นฟอร์แมต SSD ขนาดเล็กที่นิยมใช้ในอุปกรณ์พกพา ➡️ OpenWrt เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเราเตอร์ที่เน้นความปลอดภัยและการปรับแต่ง ➡️ KVM virtualization ช่วยให้ Photonicat 2 รันหลายระบบพร้อมกันได้ ➡️ การใช้ JSON ปรับแต่งหน้าจอช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมอินเทอร์เฟซได้ละเอียด https://www.techradar.com/pro/if-mcgyver-bought-a-pc-it-would-probably-be-the-photonicat-brick-like-computer-has-built-in-24-hr-battery-ports-agogo-sim-slot-external-antennas-nvme-slot-and-is-open-source
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • “Peppy Pulse Aura 5G — เราเตอร์พกพาอัจฉริยะที่รวม Wi-Fi 7, ความจุ 256GB และปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือไว้ในขนาดเท่ากระเป๋าสตางค์”

    ในยุคที่การเดินทางและการทำงานนอกสถานที่กลายเป็นเรื่องปกติ Peppy Pulse ได้เปิดตัว Aura 5G Router รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น “เพื่อนร่วมทางดิจิทัล” โดยเฉพาะสำหรับนักเดินทาง, digital nomad และผู้ใช้ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่เสถียรและปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา

    Aura 5G Router มีสองรุ่นให้เลือก: Aura Pro และ Aura Ultra โดยรุ่น Ultra มาพร้อมกับ Wi-Fi 7, RAM 8GB, ความจุ 256GB และระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ส่วนรุ่น Pro รองรับ Wi-Fi 6, RAM 4GB และความจุ 64GB ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป

    จุดเด่นของ Aura คือการรองรับทั้ง eSIM และ SIM การ์ดแบบคู่ พร้อมระบบ “dual SIM smart switching” ที่สามารถเลือกเครือข่ายที่แรงที่สุดโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางข้ามประเทศหรือพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่แน่นอน

    ตัวเครื่องมีหน้าจอสัมผัสในตัวสำหรับตรวจสอบสถานะและตั้งค่า โดยไม่ต้องใช้แอปเสริม และใช้แบตเตอรี่ขนาด 6000mAh ที่รองรับการชาร์จเร็ว 45W พร้อมดีไซน์เรียบหรู ไม่มีเสาอากาศภายนอก แต่ใช้ระบบภายในแบบ high-gain เพื่อรักษาความบางและพกพาง่าย

    Aura Ultra ใช้ชิป Snapdragon X75 ซึ่งเป็นชิปโมเด็มระดับสูงที่รองรับ 5G แบบเต็มรูปแบบ ส่วน Aura Pro ใช้ Snapdragon X62 ที่รองรับ 5G เช่นกันแต่ในระดับรองลงมา

    แม้จะมีขนาดเพียง 140 x 70 x 14 มม. และหนัก 300 กรัม แต่ Aura ก็รวมฟีเจอร์ระดับเรือธงไว้ครบถ้วน และสามารถใช้เป็นฮับสำหรับแชร์อินเทอร์เน็ตให้กับหลายอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Aura 5G Router มีสองรุ่น: Aura Pro และ Aura Ultra
    Aura Ultra รองรับ Wi-Fi 7, RAM 8GB, ความจุ 256GB และปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ
    Aura Pro รองรับ Wi-Fi 6, RAM 4GB, ความจุ 64GB
    รองรับ eSIM และ SIM การ์ดแบบคู่ พร้อมระบบ smart switching
    ใช้ชิป Snapdragon X75 (Ultra) และ X62 (Pro)
    มีหน้าจอสัมผัสในตัว ไม่ต้องใช้แอปเสริม
    แบตเตอรี่ 6000mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W
    ดีไซน์ไม่มีเสาอากาศภายนอก ใช้ระบบ high-gain ภายใน
    ขนาด 140 x 70 x 14 มม. น้ำหนัก 300 กรัม
    ใช้เป็นฮับแชร์อินเทอร์เน็ตให้หลายอุปกรณ์ได้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wi-Fi 7 มีความเร็วสูงสุดถึง 46Gbps และ latency ต่ำกว่า Wi-Fi 6
    Snapdragon X75 รองรับ 5G Advanced และ mmWave พร้อมการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น
    eSIM ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน SIM การ์ด
    ระบบ smart switching ช่วยลดการหลุดสัญญาณในพื้นที่ที่มีเครือข่ายไม่เสถียร
    การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอุปกรณ์พกพา

    https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-most-beautiful-5g-mobile-router-ever-built-it-even-supports-wi-fi-7-and-offers-256gb-storage-plus-a-fingerprint-reader
    📶 “Peppy Pulse Aura 5G — เราเตอร์พกพาอัจฉริยะที่รวม Wi-Fi 7, ความจุ 256GB และปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือไว้ในขนาดเท่ากระเป๋าสตางค์” ในยุคที่การเดินทางและการทำงานนอกสถานที่กลายเป็นเรื่องปกติ Peppy Pulse ได้เปิดตัว Aura 5G Router รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อเป็น “เพื่อนร่วมทางดิจิทัล” โดยเฉพาะสำหรับนักเดินทาง, digital nomad และผู้ใช้ที่ต้องการอินเทอร์เน็ตที่เสถียรและปลอดภัยทุกที่ทุกเวลา Aura 5G Router มีสองรุ่นให้เลือก: Aura Pro และ Aura Ultra โดยรุ่น Ultra มาพร้อมกับ Wi-Fi 7, RAM 8GB, ความจุ 256GB และระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ส่วนรุ่น Pro รองรับ Wi-Fi 6, RAM 4GB และความจุ 64GB ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป จุดเด่นของ Aura คือการรองรับทั้ง eSIM และ SIM การ์ดแบบคู่ พร้อมระบบ “dual SIM smart switching” ที่สามารถเลือกเครือข่ายที่แรงที่สุดโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตนเอง เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางข้ามประเทศหรือพื้นที่ที่มีสัญญาณไม่แน่นอน ตัวเครื่องมีหน้าจอสัมผัสในตัวสำหรับตรวจสอบสถานะและตั้งค่า โดยไม่ต้องใช้แอปเสริม และใช้แบตเตอรี่ขนาด 6000mAh ที่รองรับการชาร์จเร็ว 45W พร้อมดีไซน์เรียบหรู ไม่มีเสาอากาศภายนอก แต่ใช้ระบบภายในแบบ high-gain เพื่อรักษาความบางและพกพาง่าย Aura Ultra ใช้ชิป Snapdragon X75 ซึ่งเป็นชิปโมเด็มระดับสูงที่รองรับ 5G แบบเต็มรูปแบบ ส่วน Aura Pro ใช้ Snapdragon X62 ที่รองรับ 5G เช่นกันแต่ในระดับรองลงมา แม้จะมีขนาดเพียง 140 x 70 x 14 มม. และหนัก 300 กรัม แต่ Aura ก็รวมฟีเจอร์ระดับเรือธงไว้ครบถ้วน และสามารถใช้เป็นฮับสำหรับแชร์อินเทอร์เน็ตให้กับหลายอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Aura 5G Router มีสองรุ่น: Aura Pro และ Aura Ultra ➡️ Aura Ultra รองรับ Wi-Fi 7, RAM 8GB, ความจุ 256GB และปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ ➡️ Aura Pro รองรับ Wi-Fi 6, RAM 4GB, ความจุ 64GB ➡️ รองรับ eSIM และ SIM การ์ดแบบคู่ พร้อมระบบ smart switching ➡️ ใช้ชิป Snapdragon X75 (Ultra) และ X62 (Pro) ➡️ มีหน้าจอสัมผัสในตัว ไม่ต้องใช้แอปเสริม ➡️ แบตเตอรี่ 6000mAh รองรับชาร์จเร็ว 45W ➡️ ดีไซน์ไม่มีเสาอากาศภายนอก ใช้ระบบ high-gain ภายใน ➡️ ขนาด 140 x 70 x 14 มม. น้ำหนัก 300 กรัม ➡️ ใช้เป็นฮับแชร์อินเทอร์เน็ตให้หลายอุปกรณ์ได้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wi-Fi 7 มีความเร็วสูงสุดถึง 46Gbps และ latency ต่ำกว่า Wi-Fi 6 ➡️ Snapdragon X75 รองรับ 5G Advanced และ mmWave พร้อมการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ➡️ eSIM ช่วยให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครือข่ายได้โดยไม่ต้องเปลี่ยน SIM การ์ด ➡️ ระบบ smart switching ช่วยลดการหลุดสัญญาณในพื้นที่ที่มีเครือข่ายไม่เสถียร ➡️ การปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอุปกรณ์พกพา https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-most-beautiful-5g-mobile-router-ever-built-it-even-supports-wi-fi-7-and-offers-256gb-storage-plus-a-fingerprint-reader
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s”

    ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน

    CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก

    ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี

    นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า

    บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025
    ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB
    แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia
    ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4)
    CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops
    สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า
    บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM
    SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน
    UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM
    การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน
    Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging

    https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    🚀 “Euclyd เปิดตัว CRAFTWERK — ชิป AI ขนาดฝ่ามือที่แรงกว่า Nvidia ด้วย 16,384 คอร์ และแบนด์วิดธ์ 8PB/s” ในงาน KISACO Infrastructure Summit 2025 ที่ซานตาคลารา สตาร์ทอัพจากยุโรปชื่อ Euclyd ได้เปิดตัวชิป AI รุ่นใหม่ชื่อว่า “CRAFTWERK” ซึ่งสร้างความฮือฮาในวงการด้วยสเปกที่เหนือกว่าชิปจากบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Nvidia และ Intel อย่างชัดเจน CRAFTWERK เป็นชิปแบบ SiP (System-in-Package) ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือ แต่ภายในบรรจุ SIMD processor ถึง 16,384 คอร์ พร้อมหน่วยความจำแบบใหม่ที่เรียกว่า UBM (Ultra Bandwidth Memory) ขนาด 1TB ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้เร็วถึง 8,000TB/s หรือ 8PB/s — เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ที่ Nvidia ใช้อย่างมาก ด้านการประมวลผล CRAFTWERK ให้พลังสูงถึง 8 PFLOPS ใน FP16 และ 32 PFLOPS ใน FP4 ซึ่งเหมาะกับงาน AI inference โดยเฉพาะแบบ agentic AI ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการจัดการพลังงานที่ดี นอกจากนี้ Euclyd ยังเปิดตัว CRAFTWERK STATION CWS 32 ซึ่งเป็นระบบ rack-scale ที่รวมชิป CRAFTWERK 32 ตัวเข้าด้วยกัน ให้พลังรวมถึง 1.024 exaflops และหน่วยความจำรวม 32TB โดยสามารถสร้าง token ได้ถึง 7.68 ล้านต่อวินาทีในโหมดหลายผู้ใช้ และใช้พลังงานเพียง 125kW ซึ่งถือว่าประหยัดกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า บริษัทตั้งอยู่ใน Eindhoven ประเทศเนเธอร์แลนด์ และมีสำนักงานในซานโฮเซ่ สหรัฐฯ โดยได้รับการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในวงการ เช่น Peter Wennink อดีต CEO ของ ASML และ Federico Faggin ผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Euclyd เปิดตัวชิป AI CRAFTWERK ที่งาน KISACO Summit 2025 ➡️ ชิปมี 16,384 SIMD คอร์ และหน่วยความจำ UBM ขนาด 1TB ➡️ แบนด์วิดธ์ของ UBM สูงถึง 8PB/s เร็วกว่าหน่วยความจำ HBM ของ Nvidia ➡️ ให้พลังประมวลผล 8 PFLOPS (FP16) และ 32 PFLOPS (FP4) ➡️ CRAFTWERK STATION CWS 32 รวมชิป 32 ตัว ให้พลังรวม 1.024 exaflops ➡️ สร้าง token ได้ 7.68 ล้านต่อวินาที ใช้พลังงานเพียง 125kW ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานและต้นทุนต่อ token ดีกว่าระบบทั่วไปถึง 100 เท่า ➡️ บริษัทมีสำนักงานในเนเธอร์แลนด์และสหรัฐฯ ได้รับการสนับสนุนจากอดีตผู้บริหาร ASML และผู้คิดค้นไมโครโปรเซสเซอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FP4 เป็นรูปแบบความแม่นยำต่ำที่เหมาะกับงาน inference โดยเฉพาะ LLM ➡️ SIMD (Single Instruction, Multiple Data) เหมาะกับงานที่ต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน ➡️ UBM เป็นหน่วยความจำที่ออกแบบมาเฉพาะ ไม่ใช้เทคโนโลยีจาก HBM หรือ SRAM ➡️ การใช้ SiP ขนาดเล็กช่วยลดความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและการจัดการพลังงาน ➡️ Euclyd ใช้แนวคิด “Crafted Compute” ที่ออกแบบทุกส่วนตั้งแต่ processor ถึง packaging https://www.techradar.com/pro/obscure-eu-ai-startup-outs-massive-chip-that-has-16-384-simd-processors-and-1tb-of-memory-thats-even-faster-than-nvidias-hbm-euclyds-ubm-has-8pb-s-bandwidth-32pf-fp4-compute-performance-and-some-iconic-backers
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “Alphawave Semi ผนึกกำลัง TSMC เปิดตัว UCIe 3D IP — ปลดล็อกขีดจำกัดการเชื่อมต่อชิปในยุค AI”

    Alphawave Semi บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูง ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC โดยใช้เทคโนโลยี SoIC-X ซึ่งเป็นการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูงที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด

    ชิปใหม่นี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบ 2.5D เดิม พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณได้ถึง 5 เท่า ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์โดยตรงต่อความต้องการของระบบ AI และ HPC ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ

    ในยุคที่ Moore’s Law เริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของโมเดล AI ได้อีกต่อไป การออกแบบชิปแบบเดิมที่สื่อสารกันผ่านขอบของแพ็กเกจเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Alphawave จึงเลือกแนวทางใหม่ด้วยการออกแบบชิปแบบ disaggregated architecture โดยใช้การวางชิปหลายตัวในแนวนอน หรือซ้อนกันในแนวตั้ง เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลดการใช้พลังงาน

    ชิป UCIe-3D รุ่นใหม่นี้ใช้ bottom die ขนาด 5nm ที่รองรับ TSVs (Through-Silicon Vias) เพื่อส่งพลังงานและกราวด์ไปยัง top die ขนาด 3nm ซึ่งช่วยให้การจัดการพลังงานภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alphawave ยังมีชุดเครื่องมือ 3DIO ที่ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ

    ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง Siemens ซึ่งนำแพลตฟอร์ม Calibre เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พารามิเตอร์ไฟฟ้าและความร้อนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alphawave Semi ประสบความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP บนแพลตฟอร์ม TSMC 3DFabric
    ใช้เทคโนโลยี SoIC-X สำหรับการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูง
    รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F)
    ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้น 10 เท่า และความหนาแน่นของสัญญาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า
    ใช้ bottom die ขนาด 5nm และ top die ขนาด 3nm โดยเชื่อมผ่าน TSVs
    ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านแบนด์วิดธ์และพลังงานในระบบ AI และ HPC
    Siemens ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการออกแบบและตรวจสอบร่วมกับ Alphawave
    ชุดเครื่องมือ 3DIO ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D มีประสิทธิภาพ
    การออกแบบแบบ disaggregated architecture เป็นแนวทางใหม่แทน SoC แบบเดิม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อชิปแบบ chiplet
    SoIC-X ของ TSMC เป็นเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ 3D ที่ใช้ในระดับองค์กรและ hyperscaler
    TSVs ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลระหว่างชิปมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง
    การออกแบบแบบ chiplet ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนของชิปได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด
    Siemens Calibre เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วิเคราะห์ความถูกต้องของวงจรในระดับนาโนเมตร

    https://www.techpowerup.com/341533/alphawave-semi-delivers-cutting-edge-ucie-chiplet-ip-on-tsmc-3dfabric-platform
    🔗 “Alphawave Semi ผนึกกำลัง TSMC เปิดตัว UCIe 3D IP — ปลดล็อกขีดจำกัดการเชื่อมต่อชิปในยุค AI” Alphawave Semi บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีการเชื่อมต่อความเร็วสูง ประกาศความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม 3DFabric ของ TSMC โดยใช้เทคโนโลยี SoIC-X ซึ่งเป็นการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูงที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิปมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด ชิปใหม่นี้รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) และให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้นถึง 10 เท่าเมื่อเทียบกับการเชื่อมต่อแบบ 2.5D เดิม พร้อมเพิ่มความหนาแน่นของสัญญาณได้ถึง 5 เท่า ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์โดยตรงต่อความต้องการของระบบ AI และ HPC ที่ต้องการแบนด์วิดธ์สูงและการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ในยุคที่ Moore’s Law เริ่มไม่สามารถรองรับความซับซ้อนของโมเดล AI ได้อีกต่อไป การออกแบบชิปแบบเดิมที่สื่อสารกันผ่านขอบของแพ็กเกจเริ่มกลายเป็นข้อจำกัด Alphawave จึงเลือกแนวทางใหม่ด้วยการออกแบบชิปแบบ disaggregated architecture โดยใช้การวางชิปหลายตัวในแนวนอน หรือซ้อนกันในแนวตั้ง เพื่อเพิ่มแบนด์วิดธ์และลดการใช้พลังงาน ชิป UCIe-3D รุ่นใหม่นี้ใช้ bottom die ขนาด 5nm ที่รองรับ TSVs (Through-Silicon Vias) เพื่อส่งพลังงานและกราวด์ไปยัง top die ขนาด 3nm ซึ่งช่วยให้การจัดการพลังงานภายในชิปมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Alphawave ยังมีชุดเครื่องมือ 3DIO ที่ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D เป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความร่วมมือครั้งนี้ยังรวมถึง Siemens ซึ่งนำแพลตฟอร์ม Calibre เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์พารามิเตอร์ไฟฟ้าและความร้อนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้ระบบมีความเสถียรและเชื่อถือได้มากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alphawave Semi ประสบความสำเร็จในการ tape-out ชิป UCIe 3D IP บนแพลตฟอร์ม TSMC 3DFabric ➡️ ใช้เทคโนโลยี SoIC-X สำหรับการบรรจุชิปแบบ 3D ขั้นสูง ➡️ รองรับการเชื่อมต่อแบบ face-to-face (F2F) ➡️ ประสิทธิภาพด้านพลังงานดีขึ้น 10 เท่า และความหนาแน่นของสัญญาณเพิ่มขึ้น 5 เท่า ➡️ ใช้ bottom die ขนาด 5nm และ top die ขนาด 3nm โดยเชื่อมผ่าน TSVs ➡️ ช่วยแก้ปัญหาคอขวดด้านแบนด์วิดธ์และพลังงานในระบบ AI และ HPC ➡️ Siemens ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มการออกแบบและตรวจสอบร่วมกับ Alphawave ➡️ ชุดเครื่องมือ 3DIO ช่วยให้การออกแบบและตรวจสอบชิปแบบ 3D มีประสิทธิภาพ ➡️ การออกแบบแบบ disaggregated architecture เป็นแนวทางใหม่แทน SoC แบบเดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ UCIe (Universal Chiplet Interconnect Express) เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการเชื่อมต่อชิปแบบ chiplet ➡️ SoIC-X ของ TSMC เป็นเทคโนโลยีการบรรจุชิปแบบ 3D ที่ใช้ในระดับองค์กรและ hyperscaler ➡️ TSVs ช่วยให้การส่งพลังงานและข้อมูลระหว่างชิปมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง ➡️ การออกแบบแบบ chiplet ช่วยให้สามารถอัปเกรดเฉพาะส่วนของชิปได้โดยไม่ต้องสร้างใหม่ทั้งหมด ➡️ Siemens Calibre เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้วิเคราะห์ความถูกต้องของวงจรในระดับนาโนเมตร https://www.techpowerup.com/341533/alphawave-semi-delivers-cutting-edge-ucie-chiplet-ip-on-tsmc-3dfabric-platform
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Alphawave Semi Delivers Cutting-Edge UCIe Chiplet IP on TSMC 3DFabric Platform
    Alphawave Semi (LSE: AWE), a global leader in high-speed connectivity and compute silicon for the world's technology infrastructure, has announced the successful tape-out of its cutting edge UCIe 3D IP on the advanced TSMC SoIC (SoIC-X) technology in the 3DFabric platform. This achievement builds on...
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • “Alpine Linux 3.23 ปรับโครงสร้างระบบไฟล์ครั้งใหญ่ — ก้าวสู่ยุค /usr-merged เพื่อความเสถียรและง่ายต่อการดูแล”

    หลังจากเตรียมการมานานหลายเดือน ทีมพัฒนา Alpine Linux ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.23 เป็นต้นไป Alpine Linux จะใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged โดยที่โฟลเดอร์หลักอย่าง /bin, /sbin และ /lib จะถูกเปลี่ยนเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ตามลำดับ

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมตำแหน่งของไฟล์ executable และไลบรารีให้เป็นจุดเดียว ลดความซับซ้อนในการดูแลแพ็กเกจ และทำให้การจัดการข้อมูลในระบบ container ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่นิยมใช้ในดิสโทร Linux อื่น ๆ เช่น Fedora, Debian และ Arch Linux

    สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 ระบบจะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า เช่น 3.22 จะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มทดสอบและย้ายระบบด้วยคำสั่ง doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr

    อย่างไรก็ตาม เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุนในอนาคต (คาดว่าในช่วงเวอร์ชัน 3.26 หรือ 3.27) ระบบที่ยังไม่เป็น /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ และจะถือว่า “ไม่รองรับอย่างเป็นทางการ”

    การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดจากการมี binary ซ้ำกันระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ เช่น มีไฟล์ใน /bin และ /usr/bin ที่ทำงานคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนในการดูแลระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alpine Linux 3.23 เริ่มใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged
    /bin, /sbin และ /lib จะกลายเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดภาระการดูแลแพ็กเกจและเพิ่มความเสถียรในระบบ container
    การติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 จะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้าไม่ถูกบังคับ แต่แนะนำให้เริ่มย้ายระบบ
    คำสั่งที่ใช้ในการย้ายระบบคือ doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr
    เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุน ระบบที่ไม่ใช่ /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้
    การรวมโฟลเดอร์ช่วยลดปัญหา binary ซ้ำระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดิสโทร Linux ชั้นนำหลายตัวได้เปลี่ยนมาใช้ /usr-merged แล้ว เช่น Fedora, Debian และ Arch
    Filesystem Hierarchy Standard (FHS) อาจปรับให้ /usr/bin และ /usr/sbin รวมกันในอนาคต
    การใช้ symbolic links ช่วยให้ PATH ไม่เปลี่ยน และยังคงความเข้ากันได้กับระบบเดิม
    การจัดการ container เช่น Docker หรือ Podman จะง่ายขึ้นเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ /usr
    postmarketOS ซึ่งใช้ Alpine เป็นฐาน ได้รับประโยชน์จากการ merge นี้ในการลดความซับซ้อนของระบบ

    https://9to5linux.com/alpine-linux-is-moving-to-a-usr-merged-file-system-layout
    🧭 “Alpine Linux 3.23 ปรับโครงสร้างระบบไฟล์ครั้งใหญ่ — ก้าวสู่ยุค /usr-merged เพื่อความเสถียรและง่ายต่อการดูแล” หลังจากเตรียมการมานานหลายเดือน ทีมพัฒนา Alpine Linux ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.23 เป็นต้นไป Alpine Linux จะใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged โดยที่โฟลเดอร์หลักอย่าง /bin, /sbin และ /lib จะถูกเปลี่ยนเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมตำแหน่งของไฟล์ executable และไลบรารีให้เป็นจุดเดียว ลดความซับซ้อนในการดูแลแพ็กเกจ และทำให้การจัดการข้อมูลในระบบ container ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่นิยมใช้ในดิสโทร Linux อื่น ๆ เช่น Fedora, Debian และ Arch Linux สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 ระบบจะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า เช่น 3.22 จะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มทดสอบและย้ายระบบด้วยคำสั่ง doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr อย่างไรก็ตาม เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุนในอนาคต (คาดว่าในช่วงเวอร์ชัน 3.26 หรือ 3.27) ระบบที่ยังไม่เป็น /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ และจะถือว่า “ไม่รองรับอย่างเป็นทางการ” การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดจากการมี binary ซ้ำกันระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ เช่น มีไฟล์ใน /bin และ /usr/bin ที่ทำงานคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนในการดูแลระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alpine Linux 3.23 เริ่มใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged ➡️ /bin, /sbin และ /lib จะกลายเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดภาระการดูแลแพ็กเกจและเพิ่มความเสถียรในระบบ container ➡️ การติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 จะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้าไม่ถูกบังคับ แต่แนะนำให้เริ่มย้ายระบบ ➡️ คำสั่งที่ใช้ในการย้ายระบบคือ doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr ➡️ เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุน ระบบที่ไม่ใช่ /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ การรวมโฟลเดอร์ช่วยลดปัญหา binary ซ้ำระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดิสโทร Linux ชั้นนำหลายตัวได้เปลี่ยนมาใช้ /usr-merged แล้ว เช่น Fedora, Debian และ Arch ➡️ Filesystem Hierarchy Standard (FHS) อาจปรับให้ /usr/bin และ /usr/sbin รวมกันในอนาคต ➡️ การใช้ symbolic links ช่วยให้ PATH ไม่เปลี่ยน และยังคงความเข้ากันได้กับระบบเดิม ➡️ การจัดการ container เช่น Docker หรือ Podman จะง่ายขึ้นเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ /usr ➡️ postmarketOS ซึ่งใช้ Alpine เป็นฐาน ได้รับประโยชน์จากการ merge นี้ในการลดความซับซ้อนของระบบ https://9to5linux.com/alpine-linux-is-moving-to-a-usr-merged-file-system-layout
    9TO5LINUX.COM
    Alpine Linux Is Moving to a /usr-merged File System Layout - 9to5Linux
    The Alpine Linux distribution will adopt a /usr-merged file system layout for future Alpine Linux releases starting with Alpine Linux 3.23.
    0 Comments 0 Shares 79 Views 0 Reviews
  • “OpenSSL 3.6 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับองค์กร”

    OpenSSL 3.6 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัสยอดนิยมที่ใช้ในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบเครือข่ายทั่วโลก เวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยระดับสูงและการเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังควอนตัม (post-quantum cryptography)

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการรองรับการตรวจสอบลายเซ็น LMS (Leighton-Micali Signature) ตามมาตรฐาน NIST SP 800-208 ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ โดย LMS รองรับทั้งในโหมด FIPS และโหมดทั่วไป

    OpenSSL 3.6 ยังเพิ่มการรองรับคีย์แบบ opaque symmetric key objects ผ่านฟังก์ชันใหม่ เช่น EVP_KDF_CTX_set_SKEY() และ EVP_PKEY_derive_SKEY() ซึ่งช่วยให้การจัดการคีย์ในระบบองค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย เช่น:
    เครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก
    รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 (ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป)
    เพิ่มการตรวจสอบ PCT (Power-On Self Test) สำหรับการนำเข้าคีย์ในโหมด FIPS
    รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตามมาตรฐาน RFC 9629
    เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5
    รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เพิ่มการปรับแต่งหน่วยความจำปลอดภัยด้วย CRYPTO_MEM_SEC
    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย Intel AVX-512 และ VAES สำหรับ AES-CFB128
    รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA แบบ interleaved บน AArch64
    เพิ่ม SHA-2 assembly สำหรับสถาปัตยกรรม LoongArch
    เพิ่ม API ใหม่ CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพาตัวแปร thread-local ของระบบปฏิบัติการ

    OpenSSL 3.6 ยังลบการรองรับแพลตฟอร์ม VxWorks และยกเลิกการใช้งานฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ที่ล้าสมัย พร้อมเพิ่มการตรวจสอบขนาด buffer ในการเข้ารหัส RSA เพื่อป้องกันการเขียนข้อมูลเกินขอบเขต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSL 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัส
    รองรับ LMS signature verification ตามมาตรฐาน SP 800-208 ทั้งใน FIPS และโหมดทั่วไป
    เพิ่มการรองรับ EVP_SKEY สำหรับการจัดการคีย์แบบ opaque
    เปิดตัวเครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก
    รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป
    เพิ่ม PCT สำหรับการนำเข้าคีย์ใน RSA, EC, ECX และ SLH-DSA
    รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตาม RFC 9629
    เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5
    รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เพิ่ม CRYPTO_MEM_SEC สำหรับจัดการหน่วยความจำปลอดภัย
    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย AVX-512, VAES และ SHA-2 assembly
    รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA บน AArch64
    เพิ่ม API CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพา OS thread-local
    ลบการรองรับ VxWorks และยกเลิกฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LMS เป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุค post-quantum
    ML-KEM เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ KEM ที่ใช้ในมาตรฐาน CMS รุ่นใหม่
    FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับระบบที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ
    การใช้ deterministic ECDSA ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ nonce ซ้ำ
    OCSP multi-stapling ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลการตรวจสอบใบรับรองหลายใบพร้อมกัน

    https://9to5linux.com/openssl-3-6-officially-released-with-lms-signature-verification-support-more
    🔐 “OpenSSL 3.6 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับองค์กร” OpenSSL 3.6 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัสยอดนิยมที่ใช้ในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบเครือข่ายทั่วโลก เวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยระดับสูงและการเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังควอนตัม (post-quantum cryptography) หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการรองรับการตรวจสอบลายเซ็น LMS (Leighton-Micali Signature) ตามมาตรฐาน NIST SP 800-208 ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ โดย LMS รองรับทั้งในโหมด FIPS และโหมดทั่วไป OpenSSL 3.6 ยังเพิ่มการรองรับคีย์แบบ opaque symmetric key objects ผ่านฟังก์ชันใหม่ เช่น EVP_KDF_CTX_set_SKEY() และ EVP_PKEY_derive_SKEY() ซึ่งช่วยให้การจัดการคีย์ในระบบองค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย เช่น: 🔰 เครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก 🔰 รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 (ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป) 🔰 เพิ่มการตรวจสอบ PCT (Power-On Self Test) สำหรับการนำเข้าคีย์ในโหมด FIPS 🔰 รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตามมาตรฐาน RFC 9629 🔰 เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5 🔰 รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์ 🔰 เพิ่มการปรับแต่งหน่วยความจำปลอดภัยด้วย CRYPTO_MEM_SEC 🔰 ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย Intel AVX-512 และ VAES สำหรับ AES-CFB128 🔰 รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA แบบ interleaved บน AArch64 🔰 เพิ่ม SHA-2 assembly สำหรับสถาปัตยกรรม LoongArch 🔰 เพิ่ม API ใหม่ CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพาตัวแปร thread-local ของระบบปฏิบัติการ OpenSSL 3.6 ยังลบการรองรับแพลตฟอร์ม VxWorks และยกเลิกการใช้งานฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ที่ล้าสมัย พร้อมเพิ่มการตรวจสอบขนาด buffer ในการเข้ารหัส RSA เพื่อป้องกันการเขียนข้อมูลเกินขอบเขต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSL 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัส ➡️ รองรับ LMS signature verification ตามมาตรฐาน SP 800-208 ทั้งใน FIPS และโหมดทั่วไป ➡️ เพิ่มการรองรับ EVP_SKEY สำหรับการจัดการคีย์แบบ opaque ➡️ เปิดตัวเครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก ➡️ รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป ➡️ เพิ่ม PCT สำหรับการนำเข้าคีย์ใน RSA, EC, ECX และ SLH-DSA ➡️ รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตาม RFC 9629 ➡️ เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5 ➡️ รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ เพิ่ม CRYPTO_MEM_SEC สำหรับจัดการหน่วยความจำปลอดภัย ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย AVX-512, VAES และ SHA-2 assembly ➡️ รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA บน AArch64 ➡️ เพิ่ม API CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพา OS thread-local ➡️ ลบการรองรับ VxWorks และยกเลิกฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LMS เป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุค post-quantum ➡️ ML-KEM เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ KEM ที่ใช้ในมาตรฐาน CMS รุ่นใหม่ ➡️ FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับระบบที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ ➡️ การใช้ deterministic ECDSA ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ nonce ซ้ำ ➡️ OCSP multi-stapling ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลการตรวจสอบใบรับรองหลายใบพร้อมกัน https://9to5linux.com/openssl-3-6-officially-released-with-lms-signature-verification-support-more
    9TO5LINUX.COM
    OpenSSL 3.6 Officially Released with LMS Signature Verification Support, More - 9to5Linux
    OpenSSL 3.6 is now available for download as a major update to this open-source software library that provides secure communications.
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร”

    openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย

    Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า

    ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต

    Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว

    ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025
    พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS
    เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร
    เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น
    ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม
    Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI
    ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์
    รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM
    รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x
    สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora
    Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration
    Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร
    Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น
    Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป

    https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร” openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 ➡️ พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร ➡️ เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม ➡️ Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI ➡️ ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM ➡️ รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x ➡️ สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora ➡️ Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration ➡️ Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร ➡️ Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น ➡️ Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Leap 16 Is Now Available for Download with Linux Kernel 6.12 LTS - 9to5Linux
    openSUSE Leap 16 operating system is now available for download as a major update based on SUSE Linux Enterprise 16 and Linux 6.12 LTS.
    0 Comments 0 Shares 115 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหารัฐบาลกัมพูชา ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการจัดการกับการค้ามนุษย์ แต่ยังสมคบคิดอย่างเป็นระบบเปิดทางอาชญากรรมดังกล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094033

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหารัฐบาลกัมพูชา ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการจัดการกับการค้ามนุษย์ แต่ยังสมคบคิดอย่างเป็นระบบเปิดทางอาชญากรรมดังกล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094033 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 274 Views 0 Reviews
More Results