• บริษัทต่าง ๆ ทุ่มงบกับ Cybersecurity เป็นพันล้าน แต่สุดท้ายระบบกลับถูกทะลวงด้วย “มนุษย์” ที่อยู่ด่านหน้าอย่างพนักงาน Call Center — ที่มักจะเป็นแรงงาน outsource ค่าแรงต่ำ และเข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยตรง

    เคสที่เด่นชัดที่สุดคือการโจมตี Call Center ที่ดูแลบัญชีลูกค้า Coinbase ซึ่งรับงานจากบริษัท TaskUs แฮกเกอร์เสนอสินบนอย่างน้อย $2,500 แลกกับการเปิดทางเข้าระบบหลังบ้าน และทำให้ข้อมูลลูกค้า มากถึง 97,000 ราย ถูกขโมยไป

    จากนั้นแฮกเกอร์ใช้ข้อมูลดังกล่าว ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Coinbase โทรหาลูกค้า พร้อมข้อมูลจริงครบถ้วน จนเหยื่อหลงเชื่อและโอนคริปโตให้กับกระเป๋าของคนร้าย

    วิธีโจมตีไม่ได้มีแค่การติดสินบน—บางกรณีแฮกเกอร์แค่ถามพนักงานว่ารันซอฟต์แวร์อะไร แล้วไปเจอว่า มี Extension ที่มีช่องโหว่ ก็ใช้ช่องนั้น inject script เพื่อดูดข้อมูลแบบ mass

    นอกจากนั้นยังมีเคสใน UK ที่กลุ่มโจรไซเบอร์ปลอมเป็นผู้บริหารจาก M&S และ Harrods เพื่อสั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายซัพพอร์ตเปิดทางเข้าระบบ (เทคนิคแบบเดียวกับที่ใช้โจมตี MGM Resorts ปี 2023)

    ✅ แฮกเกอร์เปลี่ยนเป้าหมายจากระบบ มาเป็น “คน” ในสายซัพพอร์ตค่าแรงต่ำ  
    • เสนอสินบนหลักพันดอลลาร์เพื่อให้เข้าถึงระบบบริษัท

    ✅ Coinbase ถูกเจาะข้อมูลผ่านพนักงาน TaskUs จนกระทั่งลูกค้าเสียหายกว่า 97,000 ราย  
    • แฮกเกอร์ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่จริง พร้อมข้อมูลละเอียด

    ✅ มีการใช้เทคนิคอื่น เช่นแอบ inject code ผ่าน Extension ที่พนักงานใช้ใน Call Center  
    • เริ่มจากการถามว่านายใช้ซอฟต์แวร์อะไร

    ✅ UK ก็มีเคสที่แฮกเกอร์ปลอมเป็นผู้บริหารโทรหาเจ้าหน้าที่ให้เปิดระบบให้  
    • เป็น “วิศวกรรมสังคม” แบบสายตรง

    ✅ บริษัทบางแห่งพบว่า แม้จะไล่พนักงานออกแล้ว คน ๆ นั้นสามารถหางานใหม่ได้ง่ายมากในตลาด outsource  
    • ทำให้การป้องกันด้านบุคคลทวีความยากขึ้น

    ✅ แม้มี Cybersecurity ขั้นสูง แต่ Human Interaction ยังคงเป็นจุดอ่อนที่สุดของระบบ  
    • กล่าวโดยผู้เชี่ยวชาญจาก ReliaQuest

    ‼️ การจ้าง outsource ที่ไม่มีระบบตรวจสอบจริยธรรมอาจเปิดทางให้คนในขายข้อมูล  
    • ความเสี่ยงไม่ได้อยู่แค่ในเทคโนโลยี แต่เป็นการจัดการแรงงาน

    ‼️ แฮกเกอร์เริ่มเก่งในการปลอมตัวและใช้ข้อมูลจริงโทรหลอกลูกค้า  
    • ต้องเพิ่มการยืนยันตัวตนหลายขั้น แม้จะดูยุ่งยาก

    ‼️ พนักงานที่ถูกไล่ออกมักหางานในบริษัท outsource อื่นได้ง่าย  
    • ขาดระบบ blacklist หรือ shared warning system ระหว่างบริษัท

    ‼️ การละเลยการอัปเดตซอฟต์แวร์ หรือใช้ Extension ที่มีช่องโหว่ในเครื่อง Call Center อาจเปิดช่องให้โดนดูดข้อมูลแบบ mass scale

    https://www.techspot.com/news/108387-low-wage-support-workers-become-new-gateway-cyberattacks.html
    บริษัทต่าง ๆ ทุ่มงบกับ Cybersecurity เป็นพันล้าน แต่สุดท้ายระบบกลับถูกทะลวงด้วย “มนุษย์” ที่อยู่ด่านหน้าอย่างพนักงาน Call Center — ที่มักจะเป็นแรงงาน outsource ค่าแรงต่ำ และเข้าถึงข้อมูลลูกค้าโดยตรง เคสที่เด่นชัดที่สุดคือการโจมตี Call Center ที่ดูแลบัญชีลูกค้า Coinbase ซึ่งรับงานจากบริษัท TaskUs แฮกเกอร์เสนอสินบนอย่างน้อย $2,500 แลกกับการเปิดทางเข้าระบบหลังบ้าน และทำให้ข้อมูลลูกค้า มากถึง 97,000 ราย ถูกขโมยไป จากนั้นแฮกเกอร์ใช้ข้อมูลดังกล่าว ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ Coinbase โทรหาลูกค้า พร้อมข้อมูลจริงครบถ้วน จนเหยื่อหลงเชื่อและโอนคริปโตให้กับกระเป๋าของคนร้าย วิธีโจมตีไม่ได้มีแค่การติดสินบน—บางกรณีแฮกเกอร์แค่ถามพนักงานว่ารันซอฟต์แวร์อะไร แล้วไปเจอว่า มี Extension ที่มีช่องโหว่ ก็ใช้ช่องนั้น inject script เพื่อดูดข้อมูลแบบ mass นอกจากนั้นยังมีเคสใน UK ที่กลุ่มโจรไซเบอร์ปลอมเป็นผู้บริหารจาก M&S และ Harrods เพื่อสั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายซัพพอร์ตเปิดทางเข้าระบบ (เทคนิคแบบเดียวกับที่ใช้โจมตี MGM Resorts ปี 2023) ✅ แฮกเกอร์เปลี่ยนเป้าหมายจากระบบ มาเป็น “คน” ในสายซัพพอร์ตค่าแรงต่ำ   • เสนอสินบนหลักพันดอลลาร์เพื่อให้เข้าถึงระบบบริษัท ✅ Coinbase ถูกเจาะข้อมูลผ่านพนักงาน TaskUs จนกระทั่งลูกค้าเสียหายกว่า 97,000 ราย   • แฮกเกอร์ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่จริง พร้อมข้อมูลละเอียด ✅ มีการใช้เทคนิคอื่น เช่นแอบ inject code ผ่าน Extension ที่พนักงานใช้ใน Call Center   • เริ่มจากการถามว่านายใช้ซอฟต์แวร์อะไร ✅ UK ก็มีเคสที่แฮกเกอร์ปลอมเป็นผู้บริหารโทรหาเจ้าหน้าที่ให้เปิดระบบให้   • เป็น “วิศวกรรมสังคม” แบบสายตรง ✅ บริษัทบางแห่งพบว่า แม้จะไล่พนักงานออกแล้ว คน ๆ นั้นสามารถหางานใหม่ได้ง่ายมากในตลาด outsource   • ทำให้การป้องกันด้านบุคคลทวีความยากขึ้น ✅ แม้มี Cybersecurity ขั้นสูง แต่ Human Interaction ยังคงเป็นจุดอ่อนที่สุดของระบบ   • กล่าวโดยผู้เชี่ยวชาญจาก ReliaQuest ‼️ การจ้าง outsource ที่ไม่มีระบบตรวจสอบจริยธรรมอาจเปิดทางให้คนในขายข้อมูล   • ความเสี่ยงไม่ได้อยู่แค่ในเทคโนโลยี แต่เป็นการจัดการแรงงาน ‼️ แฮกเกอร์เริ่มเก่งในการปลอมตัวและใช้ข้อมูลจริงโทรหลอกลูกค้า   • ต้องเพิ่มการยืนยันตัวตนหลายขั้น แม้จะดูยุ่งยาก ‼️ พนักงานที่ถูกไล่ออกมักหางานในบริษัท outsource อื่นได้ง่าย   • ขาดระบบ blacklist หรือ shared warning system ระหว่างบริษัท ‼️ การละเลยการอัปเดตซอฟต์แวร์ หรือใช้ Extension ที่มีช่องโหว่ในเครื่อง Call Center อาจเปิดช่องให้โดนดูดข้อมูลแบบ mass scale https://www.techspot.com/news/108387-low-wage-support-workers-become-new-gateway-cyberattacks.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Low-wage tech support workers become a new gateway for cyberattacks
    Hackers are increasingly turning the very systems designed to help customers – outsourced tech support and call centers – into powerful tools for cybercrime. Recent incidents in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนรู้จัก Mailchimp ในฐานะ “เครื่องมือส่งอีเมลเป็นกลุ่ม” แต่ใครจะคิดว่า…ตอนนี้มันเริ่ม “กลายร่าง” ไปเป็น CRM เต็มตัวสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMB) แล้ว โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อหรือหน้าตา

    ในงาน FWD: London 2025 ล่าสุด Mailchimp (ภายใต้บริษัทแม่ Intuit) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ชี้ชัดว่า “กำลังจะเป็นแพลตฟอร์มด้านลูกค้าครบวงจร” เช่น:

    - ดึง leads เข้าจาก TikTok, Meta, LinkedIn, Google และ Snapchat ได้ตรง ๆ
    - เชื่อมโยงแคมเปญโฆษณาเข้า automation flow ได้เลย
    - มี Metrics Visualizer ใหม่ แสดงข้อมูลกว่า 40 ประเภทในอีเมล+SMS
    - เพิ่ม Pop-up template กว่า 100 แบบ

    พูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยแค่ส่งจดหมายข่าว ตอนนี้ Mailchimp เริ่ม “ดูแลตั้งแต่หาลูกค้า → สื่อสาร → ปิดการขาย → ดูพฤติกรรม” แล้ว

    Ken Chestnut จาก Intuit บอกว่า Mailchimp กำลังกลายเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมการโฆษณากับ CRM ให้กลมกลืน ทั้งหา lead, ส่งข้อความอัตโนมัติ, วิเคราะห์พฤติกรรม และส่งเสริมความภักดีของลูกค้า

    แต่ในมุมหนึ่งก็ยังดูเหมือน “ของแปะเพิ่ม” มากกว่าจะเป็น CRM สมบูรณ์แบบแบบ HubSpot หรือ Salesforce เพราะยังขาดความเป็น unified system และยังต้องพึ่ง plugin หรือ integration พอสมควร

    ✅ Mailchimp อัปเดตไปแล้วกว่า 2,000 รายการในช่วงปีที่ผ่านมา  
    • มุ่งเป้าให้กลายเป็นแพลตฟอร์ม CRM สำหรับ SMB  
    • เน้น workflow automation และการใช้ข้อมูลลูกค้า

    ✅ เพิ่มการเชื่อมต่อ lead จากหลายแพลตฟอร์ม (TikTok, Meta, Google, ฯลฯ)  
    • นำ lead เข้าสู่ระบบอัตโนมัติทันที  
    • ลดขั้นตอน manual และเสริม personalisation

    ✅ มี Metrics Visualizer ใหม่  
    • วิเคราะห์ email/SMS campaign ได้ละเอียดกว่าเดิม  
    • ผู้ใช้สามารถสร้าง custom report จากตัวแปรกว่า 40 แบบ

    ✅ เพิ่ม pop-up template กว่า 100 แบบ  
    • ช่วยให้เก็บ leads หรือเสนอโปรโมชั่นได้ง่ายขึ้น

    ✅ Mailchimp พยายามจะเป็น “สะพาน” เชื่อม ad → automation → loyalty  
    • มีการผสานระหว่างแคมเปญโฆษณาและ CRM เข้าใกล้ real-time marketing

    ‼️ ฟีเจอร์บางอย่างยังดูเหมือน "ต่อเติม" มากกว่าระบบ CRM ที่ออกแบบมาจากศูนย์  
    • อาจเกิดปัญหาเรื่องความลื่นไหลและการตั้งค่าที่ซับซ้อน

    ‼️ ผู้ใช้ใหม่อาจยังต้องใช้เวลาเรียนรู้วิธีเชื่อมโยงทุกระบบเข้าหากัน  
    • แม้ระบบจะง่ายขึ้น แต่หลายฟีเจอร์ต้องอาศัยความเข้าใจทางเทคนิค

    ‼️ การวิเคราะห์แบบ cross-channel ต้องใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตั้งค่าถูกต้อง  
    • ไม่เช่นนั้นผลวิเคราะห์อาจนำไปใช้ผิดหรือให้ insight ไม่แม่นยำ

    ‼️ ยังไม่มีฟีเจอร์ core CRM หลายอย่าง เช่น การจัดการ sales pipeline แบบเต็มรูปแบบ  
    • อาจยังไม่ตอบโจทย์ทีมขายที่ต้องการระบบติดตามดีลละเอียด

    https://www.techradar.com/pro/intuits-mailchimp-is-gradually-growing-into-a-fully-fledged-crm-suite-for-smb-thanks-to-a-raft-of-new-additions-and-i-cant-wait-to-try-them
    หลายคนรู้จัก Mailchimp ในฐานะ “เครื่องมือส่งอีเมลเป็นกลุ่ม” แต่ใครจะคิดว่า…ตอนนี้มันเริ่ม “กลายร่าง” ไปเป็น CRM เต็มตัวสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMB) แล้ว โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อหรือหน้าตา ในงาน FWD: London 2025 ล่าสุด Mailchimp (ภายใต้บริษัทแม่ Intuit) เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ชี้ชัดว่า “กำลังจะเป็นแพลตฟอร์มด้านลูกค้าครบวงจร” เช่น: - ดึง leads เข้าจาก TikTok, Meta, LinkedIn, Google และ Snapchat ได้ตรง ๆ - เชื่อมโยงแคมเปญโฆษณาเข้า automation flow ได้เลย - มี Metrics Visualizer ใหม่ แสดงข้อมูลกว่า 40 ประเภทในอีเมล+SMS - เพิ่ม Pop-up template กว่า 100 แบบ พูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยแค่ส่งจดหมายข่าว ตอนนี้ Mailchimp เริ่ม “ดูแลตั้งแต่หาลูกค้า → สื่อสาร → ปิดการขาย → ดูพฤติกรรม” แล้ว Ken Chestnut จาก Intuit บอกว่า Mailchimp กำลังกลายเป็น “สะพาน” ที่เชื่อมการโฆษณากับ CRM ให้กลมกลืน ทั้งหา lead, ส่งข้อความอัตโนมัติ, วิเคราะห์พฤติกรรม และส่งเสริมความภักดีของลูกค้า แต่ในมุมหนึ่งก็ยังดูเหมือน “ของแปะเพิ่ม” มากกว่าจะเป็น CRM สมบูรณ์แบบแบบ HubSpot หรือ Salesforce เพราะยังขาดความเป็น unified system และยังต้องพึ่ง plugin หรือ integration พอสมควร ✅ Mailchimp อัปเดตไปแล้วกว่า 2,000 รายการในช่วงปีที่ผ่านมา   • มุ่งเป้าให้กลายเป็นแพลตฟอร์ม CRM สำหรับ SMB   • เน้น workflow automation และการใช้ข้อมูลลูกค้า ✅ เพิ่มการเชื่อมต่อ lead จากหลายแพลตฟอร์ม (TikTok, Meta, Google, ฯลฯ)   • นำ lead เข้าสู่ระบบอัตโนมัติทันที   • ลดขั้นตอน manual และเสริม personalisation ✅ มี Metrics Visualizer ใหม่   • วิเคราะห์ email/SMS campaign ได้ละเอียดกว่าเดิม   • ผู้ใช้สามารถสร้าง custom report จากตัวแปรกว่า 40 แบบ ✅ เพิ่ม pop-up template กว่า 100 แบบ   • ช่วยให้เก็บ leads หรือเสนอโปรโมชั่นได้ง่ายขึ้น ✅ Mailchimp พยายามจะเป็น “สะพาน” เชื่อม ad → automation → loyalty   • มีการผสานระหว่างแคมเปญโฆษณาและ CRM เข้าใกล้ real-time marketing ‼️ ฟีเจอร์บางอย่างยังดูเหมือน "ต่อเติม" มากกว่าระบบ CRM ที่ออกแบบมาจากศูนย์   • อาจเกิดปัญหาเรื่องความลื่นไหลและการตั้งค่าที่ซับซ้อน ‼️ ผู้ใช้ใหม่อาจยังต้องใช้เวลาเรียนรู้วิธีเชื่อมโยงทุกระบบเข้าหากัน   • แม้ระบบจะง่ายขึ้น แต่หลายฟีเจอร์ต้องอาศัยความเข้าใจทางเทคนิค ‼️ การวิเคราะห์แบบ cross-channel ต้องใช้ข้อมูลที่ครบถ้วนและตั้งค่าถูกต้อง   • ไม่เช่นนั้นผลวิเคราะห์อาจนำไปใช้ผิดหรือให้ insight ไม่แม่นยำ ‼️ ยังไม่มีฟีเจอร์ core CRM หลายอย่าง เช่น การจัดการ sales pipeline แบบเต็มรูปแบบ   • อาจยังไม่ตอบโจทย์ทีมขายที่ต้องการระบบติดตามดีลละเอียด https://www.techradar.com/pro/intuits-mailchimp-is-gradually-growing-into-a-fully-fledged-crm-suite-for-smb-thanks-to-a-raft-of-new-additions-and-i-cant-wait-to-try-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • Keylogger คือมัลแวร์ที่คอยแอบบันทึกสิ่งที่เราพิมพ์—โดยเฉพาะ “ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน” ที่กรอกตอนล็อกอินเข้าเว็บ ระบบอีเมล หรือหน้า admin ต่าง ๆ ล่าสุด นักวิจัยจาก Positive Technologies พบว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ JavaScript keylogger ฝังเข้าไปในหน้า Outlook on the Web (OWA) ของ Microsoft Exchange Server ที่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว

    พวกเขาไม่ได้ใช้มัลแวร์ขั้นสูงหรือ zero-day อะไรเลย แค่ใช้ช่องโหว่ที่ “รู้กันมานานแล้ว” แต่หลายองค์กรไม่ได้อัปเดตแพตช์ Keylogger เหล่านี้ทำงานเงียบ ๆ บันทึกสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ แล้วส่งออกผ่านช่องทางอย่าง DNS tunnel หรือ Telegram bot ให้แฮกเกอร์เอาไปใช้ภายหลัง

    ที่น่ากลัวคือ เหยื่อกว่า 65 รายจาก 26 ประเทศ ทั้งหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์—รวมถึงมีหลายรายในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

    และที่ยิ่งอันตรายคือ keylogger แบบนี้ “ฝังตัวอยู่นานหลายเดือนโดยไม่ถูกจับได้” เพราะมันซ่อนอยู่ในสคริปต์ของหน้าเว็บที่ดูปกติมาก

    ✅ พบแคมเปญ keylogger ฝังใน Microsoft Outlook Web Access (OWA)  
    • แฮกเกอร์เจาะ Exchange Server แล้วฝัง JavaScript เพื่อดักพิมพ์

    ✅ รูปแบบมัลแวร์มี 2 แบบหลัก  • แบบเก็บข้อมูลในไฟล์ local เพื่อดึงไปอ่านภายหลัง  
    • แบบส่งข้อมูลผ่าน DNS tunnel หรือ Telegram bot

    ✅ ฝังตัวอย่างแนบเนียนบนเซิร์ฟเวอร์ของเหยื่อหลายประเทศ (26 ประเทศ)  
    • เหยื่อหลักคือหน่วยงานภาครัฐ, IT, อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์  
    • พบมากในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

    ✅ มัลแวร์สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่ถูกตรวจจับ  
    • มีการจัดโครงสร้างไฟล์ให้แฮกเกอร์สามารถระบุตัวตนเหยื่อได้ง่าย

    ✅ ช่องทางเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่เคยแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้อัปเดตแพตช์  
    • สะท้อนปัญหาการจัดการความเสี่ยงในองค์กรที่ไม่ต่อเนื่อง

    ✅ นักวิจัยแนะนำองค์กรให้หันมาใช้ web app รุ่นใหม่ และระบบตรวจจับพฤติกรรมเครือข่าย  
    • รวมถึงสแกนโค้ดหน้า login อย่างสม่ำเสมอ

    ‼️ องค์กรที่ยังใช้ Exchange Server รุ่นเก่าหรือไม่ได้อัปเดตแพตช์มีความเสี่ยงสูงมาก  
    • ช่องโหว่เก่า ๆ กลายเป็นทางเข้าที่แฮกเกอร์ใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ

    ‼️ Keylogger แบบ JavaScript ฝังตัวในหน้าล็อกอินได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเลย  
    • ทำให้ยากต่อการตรวจจับหากไม่มีระบบแยกแยะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเว็บ

    ‼️ การส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ตรวจจับยาก เช่น DNS tunnel หรือ Telegram bot เพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม  
    • แฮกเกอร์สามารถดึงข้อมูลโดยไม่ถูกบล็อกจากไฟร์วอลล์มาตรฐาน

    ‼️ แอดมินหรือผู้ดูแลระบบอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ keylogger ไม่เปลี่ยนหน้าตาเว็บเลย  
    • องค์กรควรใช้ระบบ file integrity monitoring ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงในสคริปต์

    https://www.techspot.com/news/108355-keylogger-campaign-hitting-microsoft-exchange-servers-goes-global.html
    Keylogger คือมัลแวร์ที่คอยแอบบันทึกสิ่งที่เราพิมพ์—โดยเฉพาะ “ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน” ที่กรอกตอนล็อกอินเข้าเว็บ ระบบอีเมล หรือหน้า admin ต่าง ๆ ล่าสุด นักวิจัยจาก Positive Technologies พบว่า มีกลุ่มแฮกเกอร์ใช้ JavaScript keylogger ฝังเข้าไปในหน้า Outlook on the Web (OWA) ของ Microsoft Exchange Server ที่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว พวกเขาไม่ได้ใช้มัลแวร์ขั้นสูงหรือ zero-day อะไรเลย แค่ใช้ช่องโหว่ที่ “รู้กันมานานแล้ว” แต่หลายองค์กรไม่ได้อัปเดตแพตช์ Keylogger เหล่านี้ทำงานเงียบ ๆ บันทึกสิ่งที่ผู้ใช้พิมพ์ แล้วส่งออกผ่านช่องทางอย่าง DNS tunnel หรือ Telegram bot ให้แฮกเกอร์เอาไปใช้ภายหลัง ที่น่ากลัวคือ เหยื่อกว่า 65 รายจาก 26 ประเทศ ทั้งหน่วยงานรัฐบาล อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์—รวมถึงมีหลายรายในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน และที่ยิ่งอันตรายคือ keylogger แบบนี้ “ฝังตัวอยู่นานหลายเดือนโดยไม่ถูกจับได้” เพราะมันซ่อนอยู่ในสคริปต์ของหน้าเว็บที่ดูปกติมาก ✅ พบแคมเปญ keylogger ฝังใน Microsoft Outlook Web Access (OWA)   • แฮกเกอร์เจาะ Exchange Server แล้วฝัง JavaScript เพื่อดักพิมพ์ ✅ รูปแบบมัลแวร์มี 2 แบบหลัก  • แบบเก็บข้อมูลในไฟล์ local เพื่อดึงไปอ่านภายหลัง   • แบบส่งข้อมูลผ่าน DNS tunnel หรือ Telegram bot ✅ ฝังตัวอย่างแนบเนียนบนเซิร์ฟเวอร์ของเหยื่อหลายประเทศ (26 ประเทศ)   • เหยื่อหลักคือหน่วยงานภาครัฐ, IT, อุตสาหกรรม และโลจิสติกส์   • พบมากในรัสเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ✅ มัลแวร์สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนโดยไม่ถูกตรวจจับ   • มีการจัดโครงสร้างไฟล์ให้แฮกเกอร์สามารถระบุตัวตนเหยื่อได้ง่าย ✅ ช่องทางเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่เกิดจากช่องโหว่ที่เคยแจ้งแล้ว แต่ไม่ได้อัปเดตแพตช์   • สะท้อนปัญหาการจัดการความเสี่ยงในองค์กรที่ไม่ต่อเนื่อง ✅ นักวิจัยแนะนำองค์กรให้หันมาใช้ web app รุ่นใหม่ และระบบตรวจจับพฤติกรรมเครือข่าย   • รวมถึงสแกนโค้ดหน้า login อย่างสม่ำเสมอ ‼️ องค์กรที่ยังใช้ Exchange Server รุ่นเก่าหรือไม่ได้อัปเดตแพตช์มีความเสี่ยงสูงมาก   • ช่องโหว่เก่า ๆ กลายเป็นทางเข้าที่แฮกเกอร์ใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ ‼️ Keylogger แบบ JavaScript ฝังตัวในหน้าล็อกอินได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมอะไรเลย   • ทำให้ยากต่อการตรวจจับหากไม่มีระบบแยกแยะพฤติกรรมแปลก ๆ ของเว็บ ‼️ การส่งข้อมูลผ่านช่องทางที่ตรวจจับยาก เช่น DNS tunnel หรือ Telegram bot เพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม   • แฮกเกอร์สามารถดึงข้อมูลโดยไม่ถูกบล็อกจากไฟร์วอลล์มาตรฐาน ‼️ แอดมินหรือผู้ดูแลระบบอาจไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เพราะ keylogger ไม่เปลี่ยนหน้าตาเว็บเลย   • องค์กรควรใช้ระบบ file integrity monitoring ตรวจจับความเปลี่ยนแปลงในสคริปต์ https://www.techspot.com/news/108355-keylogger-campaign-hitting-microsoft-exchange-servers-goes-global.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Keylogger campaign hitting Outlook Web Access on vulnerable Exchange servers goes global
    Researchers from Positive Technologies recently unveiled a new study on a keylogger-based campaign targeting organizations worldwide. The campaign, which resembles a similar attack discovered in 2024, focuses...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก

    จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้:

    1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000  
    • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน  
    • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย

    2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000  
    • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR  
    • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน

    3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance  
    • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000  
    • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ

    4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม  
    • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000  
    • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM

    ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ

    ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง  
    • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%  
    • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security

    ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง  
    • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%  
    • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ

    ✅ สาย GRC ก็มาแรง  
    • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%  
    • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy

    ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น  
    • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%  
    • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity

    ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน  
    • Architect: CISSP, CCSP  
    • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH  
    • GRC: CRISC, CGRC  
    • Analyst: CySA+, SOC certs

    ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน  
    • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย

    ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร  
    • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้

    ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย  
    • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี

    ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer  
    • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill

    ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา  
    • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance

    https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    หลายคนอาจคิดว่า Cybersecurity คือแค่คนป้องกันไวรัส แต่จริง ๆ แล้วงานนี้แตกแขนงเป็นหลายสาย และแต่ละตำแหน่งก็มีค่าตอบแทนต่างกันมาก จากรายงาน Cybersecurity Staff Compensation Benchmark 2025 ระบุว่า “ชื่อตำแหน่ง” ไม่ได้บอกเสมอว่าใครทำอะไรมากน้อยแค่ไหน เพราะในความจริง 61% ของคนทำงานสายนี้ต้องทำหลายบทบาทควบกัน แต่ถ้าจะดูว่า “ใครได้เงินเดือนสูงที่สุด” ก็ยังพอแยกได้เป็นลำดับแบบนี้: 1️⃣ Security Architect — ค่าตัวอันดับ 1 ฐานเงินเดือนเฉลี่ย $179,000 รวมโบนัส $206,000   • ต้องรู้ลึกทั้งเครือข่าย ระบบ การออกแบบนโยบายการป้องกัน   • 34% ได้หุ้นประจำปีอีกด้วย 2️⃣ Security Engineer — รองแชมป์ รับเฉลี่ย $168,000 รวมโบนัสเป็น $191,000   • เน้นลงมือจริงกับระบบ เช่น firewall, IDS/IPS, pentest, EDR   • หลายคนมาจากสาย network หรือ sysadmin มาก่อน 3️⃣ Risk/GRC Specialist — มือวางด้านการจัดการความเสี่ยงและ compliance   • เงินเดือน $146,000 รวมโบนัส $173,000   • เน้น policy, audit, risk register, ISO, NIST, GDPR ฯลฯ 4️⃣ Security Analyst (เช่น SOC analyst) — มือ frontline จับภัยคุกคาม   • รับเฉลี่ย $124,000 รวมโบนัส $133,000   • คอยตรวจจับเหตุการณ์ ปรับ signature ดู log และ SIEM ทุกตำแหน่งต่างมีเส้นทางเฉพาะ เช่น Security Analyst → Engineer → Architect หรือ Risk Analyst → GRC Lead → CISO ก็ได้ ขึ้นกับสายที่ชอบและทักษะที่ฝึกต่อ ✅ รายได้สูงสุด: Security Architect ครองแชมป์แบบครบเครื่อง   • เงินเดือน $179K / รายได้รวม $206K / หุ้น 34%   • งานหลากหลาย: ออกแบบ, IAM, AppSec, Product Security ✅ Security Engineer มาเป็นอันดับสอง   • เงินเดือน $168K / รายได้รวม $191K / หุ้น 31%   • ต้องมีพื้นฐาน Network/IT แน่น ชำนาญอุปกรณ์/ระบบ ✅ สาย GRC ก็มาแรง   • เงินเดือน $146K / รายได้รวม $173K / หุ้น 26%   • ทักษะพิเศษ: Risk, Compliance, NIST, AI-policy ✅ Security Analyst รายได้เริ่มต้นดี และเป็นฐานสร้างอาชีพอื่น   • เงินเดือน $124K / รายได้รวม $133K / หุ้น 20%   • เหมาะสำหรับเริ่มต้นในสาย Cybersecurity ✅ แต่ละสายมีใบรับรองที่ช่วย boost เงินเดือน   • Architect: CISSP, CCSP   • Engineer: Security+, CCNP Sec, CEH   • GRC: CRISC, CGRC   • Analyst: CySA+, SOC certs ✅ สายงานมีความซ้อนทับสูง — หลายคนทำหลายบทบาทพร้อมกัน   • เช่น คนใน SecOps อาจทำ GRC, IAM, Product Security ด้วย ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ ชื่อตำแหน่งอาจไม่สะท้อนงานที่ทำจริงในแต่ละองค์กร   • ควรดูรายละเอียดงานจริง ไม่ใช่ดูแค่ title เวลาสมัครหรือเปรียบเทียบรายได้ ‼️ เงินเดือนสูงมาพร้อมกับ skill ที่ลึกและการสื่อสารกับทีมหลากหลายฝ่าย   • สาย Architect และ GRC ต้องสื่อสารกับผู้บริหารและทีมเทคนิคได้ดี ‼️ บางสายมีการแข่งขันสูงโดยเฉพาะระดับต้น เช่น Analyst และ Engineer   • ต้องมีจุดแข็ง เช่น cert, ผลงาน side project, หรือ soft skill ‼️ สายงานด้านความเสี่ยงและ compliance ต้องตามกฎระเบียบเปลี่ยนตลอดเวลา   • เช่น กฎหมาย AI, ความเป็นส่วนตัว, cloud compliance https://www.csoonline.com/article/4006364/the-highest-paying-jobs-in-cybersecurity-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The highest-paying jobs in cybersecurity today
    According to a recent survey by IANS and Artico Search, risk/GRC specialists, along with security architects, analysts, and engineers, report the highest average annual cash compensation in cybersecurity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคยได้ยินชื่อ RPS หรือ FPRPC ไหมครับ? ถ้าไม่รู้จัก นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ขององค์กรหลายแห่ง เพราะมันคือ “โปรโตคอลเก่า” ที่หลายแอปยังแอบใช้เวลาจะเปิดไฟล์หรือเชื่อมต่อ SharePoint, OneDrive หรือ Office 365 โดยไม่รู้ตัว

    Microsoft ประกาศชัดว่า จะเริ่มปิดใช้งานการล็อกอินผ่าน RPS และ FPRPC ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2025 และจะเสร็จสิ้นทั้งหมดภายในสิงหาคม 2025 การใช้งานพวกนี้จะไม่สามารถเปิดไฟล์ผ่าน browser-based authentication ได้อีกต่อไป

    เหตุผลคือสองโปรโตคอลนี้ เสี่ยงมากต่อการโดน brute-force และ phishing แถมยังมีบั๊กร้ายแรงที่เคยถูกใช้โจมตีระบบในอดีตอีกต่างหาก

    Microsoft จะไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไลเซนส์ใด ๆ แต่จะบังคับใช้ admin consent เป็นขั้นตอนใหม่—เช่น หากแอปที่ 3 ต้องเข้าถึงไฟล์หรือเว็บไซต์ใน Microsoft 365 ผู้ดูแลระบบต้องกดยินยอมก่อนเสมอ

    ข่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน Secure Future Initiative (SFI) ที่ Microsoft เริ่มผลักดันอย่างจริงจังหลังเจอภัยคุกคามระดับประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

    ✅ Microsoft 365 จะปิดใช้งานโปรโตคอลเก่าสำหรับการเข้าถึงไฟล์กลาง ก.ค. 2025  
    • ได้แก่ Relying Party Suite (RPS) และ FrontPage Remote Procedure Call (FPRPC)  
    • มีผลกับ OneDrive, SharePoint และ Microsoft 365 Office Apps

    ✅ เหตุผลหลักคือด้านความปลอดภัย  
    • RPS และ FPRPC ถูกระบุว่าสามารถถูก brute-force และ phishing ได้ง่าย  
    • มีช่องโหว่ที่เคยถูกใช้โจมตีในอดีต

    ✅ ไม่มีผลต่อ licensing เดิม แต่จะเพิ่มการบังคับใช้ admin consent เป็นมาตรฐาน  
    • แอป/บริการที่ต้องการเข้าถึงไฟล์หรือไซต์ ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ดูแลระบบก่อน

    ✅ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Secure Future Initiative (SFI)  
    • Microsoft ต้องการยกระดับความปลอดภัยระบบคลาวด์อย่างครอบคลุม

    ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง:
    ‼️ แอปหรือปลั๊กอินเก่าบางตัวอาจหยุดทำงานทันทีหลังการอัปเดตนี้  
    • โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ภายในที่เขียนเองในอดีต  
    • ควรรีบตรวจสอบ dependencies ทั้งหมดก่อนกลางเดือนกรกฎาคม

    ‼️ ระบบอัตโนมัติหรือสคริปต์ที่เข้าถึงไฟล์ผ่านโปรโตคอลเดิม อาจต้องแก้โค้ดใหม่  
    • เพื่อเปลี่ยนเป็น API สมัยใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เช่น Microsoft Graph

    ‼️ องค์กรที่ไม่มีการจัดการ admin consent อย่างเป็นระบบ อาจเจอปัญหาการเชื่อมต่อแอปที่ 3  
    • ผู้ใช้ทั่วไปจะไม่สามารถกด “อนุญาต” เองได้ ต้องผ่าน Admin เสมอ

    ‼️ การใช้ browser authentication แบบเดิมผ่าน iframe หรือ embedded application จะไม่ได้ผลอีกต่อไป  
    • ระบบจะบล็อกทันทีเพื่อป้องกันการ spoofing

    https://www.neowin.net/news/microsoft-365-will-soon-disable-outdated-authentication-protocols-for-file-access/
    เคยได้ยินชื่อ RPS หรือ FPRPC ไหมครับ? ถ้าไม่รู้จัก นั่นแหละคือปัญหาใหญ่ขององค์กรหลายแห่ง เพราะมันคือ “โปรโตคอลเก่า” ที่หลายแอปยังแอบใช้เวลาจะเปิดไฟล์หรือเชื่อมต่อ SharePoint, OneDrive หรือ Office 365 โดยไม่รู้ตัว Microsoft ประกาศชัดว่า จะเริ่มปิดใช้งานการล็อกอินผ่าน RPS และ FPRPC ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม 2025 และจะเสร็จสิ้นทั้งหมดภายในสิงหาคม 2025 การใช้งานพวกนี้จะไม่สามารถเปิดไฟล์ผ่าน browser-based authentication ได้อีกต่อไป เหตุผลคือสองโปรโตคอลนี้ เสี่ยงมากต่อการโดน brute-force และ phishing แถมยังมีบั๊กร้ายแรงที่เคยถูกใช้โจมตีระบบในอดีตอีกต่างหาก Microsoft จะไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขไลเซนส์ใด ๆ แต่จะบังคับใช้ admin consent เป็นขั้นตอนใหม่—เช่น หากแอปที่ 3 ต้องเข้าถึงไฟล์หรือเว็บไซต์ใน Microsoft 365 ผู้ดูแลระบบต้องกดยินยอมก่อนเสมอ ข่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน Secure Future Initiative (SFI) ที่ Microsoft เริ่มผลักดันอย่างจริงจังหลังเจอภัยคุกคามระดับประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ✅ Microsoft 365 จะปิดใช้งานโปรโตคอลเก่าสำหรับการเข้าถึงไฟล์กลาง ก.ค. 2025   • ได้แก่ Relying Party Suite (RPS) และ FrontPage Remote Procedure Call (FPRPC)   • มีผลกับ OneDrive, SharePoint และ Microsoft 365 Office Apps ✅ เหตุผลหลักคือด้านความปลอดภัย   • RPS และ FPRPC ถูกระบุว่าสามารถถูก brute-force และ phishing ได้ง่าย   • มีช่องโหว่ที่เคยถูกใช้โจมตีในอดีต ✅ ไม่มีผลต่อ licensing เดิม แต่จะเพิ่มการบังคับใช้ admin consent เป็นมาตรฐาน   • แอป/บริการที่ต้องการเข้าถึงไฟล์หรือไซต์ ต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ดูแลระบบก่อน ✅ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Secure Future Initiative (SFI)   • Microsoft ต้องการยกระดับความปลอดภัยระบบคลาวด์อย่างครอบคลุม ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง: ‼️ แอปหรือปลั๊กอินเก่าบางตัวอาจหยุดทำงานทันทีหลังการอัปเดตนี้   • โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ภายในที่เขียนเองในอดีต   • ควรรีบตรวจสอบ dependencies ทั้งหมดก่อนกลางเดือนกรกฎาคม ‼️ ระบบอัตโนมัติหรือสคริปต์ที่เข้าถึงไฟล์ผ่านโปรโตคอลเดิม อาจต้องแก้โค้ดใหม่   • เพื่อเปลี่ยนเป็น API สมัยใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เช่น Microsoft Graph ‼️ องค์กรที่ไม่มีการจัดการ admin consent อย่างเป็นระบบ อาจเจอปัญหาการเชื่อมต่อแอปที่ 3   • ผู้ใช้ทั่วไปจะไม่สามารถกด “อนุญาต” เองได้ ต้องผ่าน Admin เสมอ ‼️ การใช้ browser authentication แบบเดิมผ่าน iframe หรือ embedded application จะไม่ได้ผลอีกต่อไป   • ระบบจะบล็อกทันทีเพื่อป้องกันการ spoofing https://www.neowin.net/news/microsoft-365-will-soon-disable-outdated-authentication-protocols-for-file-access/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft 365 will soon disable outdated authentication protocols for file access
    Microsoft has announced that it is getting rid of some legacy authentication protocols that are used to access files across Microsoft 365 and SharePoint.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security

    เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ

    เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม

    สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย

    ✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud  
    • สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด

    ✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์  
    • ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta

    ✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง  
    • สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน

    ✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”  
    • ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม

    ✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร  
    • CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย

    ✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล  
    • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ

    ✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ  
    • ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น

    ✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”  
    • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud

    ‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน  
    • การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว

    ‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด  
    • ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง

    ‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security  
    • ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด

    ‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud  
    • โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม

    ‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย  
    • ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร

    https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
    ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย ✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud   • สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด ✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์   • ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta ✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง   • สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน ✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”   • ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม ✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร   • CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย ✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล   • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ ✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ   • ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น ✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”   • ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud ‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน   • การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว ‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด   • ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง ‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security   • ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด ‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud   • โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม ‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย   • ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 tips for mastering multicloud security
    Multicloud environments offer many benefits. Strong inherent security isn’t one of them.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่งาน Computex 2025 AMD เปิดไพ่เด็ด—Ryzen Threadripper 9000 รุ่นใหม่ล่าสุดที่อิงบนสถาปัตยกรรม Zen 5 โดยมีสูงสุดถึง 96 คอร์ พร้อมเทคโนโลยีที่สายทำงานหนัก เช่น นักเรนเดอร์ นักออกแบบกราฟิก หรือนักวิจัยด้าน AI ต้องร้องว้าว

    ซีรีส์นี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม:
    1) PRO 9000WX สำหรับเวิร์กสเตชันระดับองค์กร
    2) 9000 ซีรีส์ สำหรับผู้ใช้งานแบบ HEDT (High-End Desktop)

    ที่โหดคือ—AMD ไม่ได้มาแค่ “ตัวเลขสเปก” แต่จัด ตัวอย่างประสิทธิภาพจริง เทียบกับคู่แข่งอย่าง Intel Xeon W9-3595X เลยด้วย และผลลัพธ์ก็ไม่ธรรมดา เช่น ด้าน LLM (AI ใหญ่ ๆ อย่าง GPT) AMD บอกว่าเร็วกว่า Intel ถึง 49% ในบางกรณี

    ลองจินตนาการว่าเครื่องเวิร์กสเตชันที่ใช้ซีพียู 96 คอร์ พร้อมแรม DDR5 แบบ 8 แชนแนล และรองรับ PCIe Gen5 ถึง 128 เลนส์ จะทำงานกับโมเดล AI หรือเรนเดอร์ V-Ray ได้เร็วขนาดไหน—AMD เคลมว่าเร็วกว่า Xeon ถึง “เกือบ 2.5 เท่า!”

    ยังไม่มีราคาวางจำหน่ายนะครับ แต่คาดว่าเปิดตัวจริงภายในเดือนหน้า

    ✅ AMD เปิดตัว Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์ บน Zen 5  
    • รุ่นสูงสุดมีถึง 96 คอร์ / 192 เธรด  
    • แบ่งเป็นกลุ่ม PRO สำหรับเวิร์กสเตชัน และ X-series สำหรับ HEDT

    ✅ รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัย  
    • แรม DDR5-6400 สูงสุด 8 แชนแนล  
    • PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลนส์  
    • รองรับ EXPO กับแรมความเร็วสูงกว่า 7000 MT/s

    ✅ ผลทดสอบประสิทธิภาพแบบเทียบรุ่น  
    • รุ่น 9995WX เร็วกว่า 7995WX ถึง 26%  
    • รุ่น 9980X แรงกว่า Intel Xeon W9-3595X สูงสุด 108%  
    • ด้าน AI เร็วกว่าถึง 49% และใน Chaos V-Ray เร็วกว่าเกือบ 2.5 เท่า

    ✅ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพและ AI รุ่นใหญ่  
    • เหมาะกับการเรนเดอร์ภาพ 3D, โมเดล LLM, โปรแกรมออกแบบ และงานกราฟิกประสิทธิภาพสูง

    ‼️ ประสิทธิภาพ AI ยังรวมการ์ดจอเข้าไปในการวัดผลด้วย  
    • ผลลัพธ์ LLM ที่เร็วกว่า 49% มีการใช้งาน GPU ร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมดูเร็วเกินจริง

    ‼️ ยังไม่มีข้อมูลราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ  
    • อาจทำให้ผู้ซื้อประเมินงบประมาณหรือวางแผนจัดสเปกได้ยากในตอนนี้

    ‼️ การเปรียบเทียบกับ Intel ใช้ Xeon W9 ซึ่งเป็นซีรีส์คนละตลาด  
    • ถึงแม้ Xeon W9 จะใช้ในเวิร์กสเตชันเหมือนกัน แต่อาจมีบริบทของราคาหรือสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน

    ‼️ TDP สูงสุดถึง 350W อาจต้องระวังด้านการระบายความร้อนและพลังงาน  
    • เหมาะกับเคสระดับองค์กรหรือผู้ใช้ที่เข้าใจการจัดการความร้อนเป็นอย่างดี

    https://www.neowin.net/news/amd-thinks-ryzen-threadripper-9000-wipes-the-floor-with-intel/
    ที่งาน Computex 2025 AMD เปิดไพ่เด็ด—Ryzen Threadripper 9000 รุ่นใหม่ล่าสุดที่อิงบนสถาปัตยกรรม Zen 5 โดยมีสูงสุดถึง 96 คอร์ พร้อมเทคโนโลยีที่สายทำงานหนัก เช่น นักเรนเดอร์ นักออกแบบกราฟิก หรือนักวิจัยด้าน AI ต้องร้องว้าว ซีรีส์นี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม: 1) PRO 9000WX สำหรับเวิร์กสเตชันระดับองค์กร 2) 9000 ซีรีส์ สำหรับผู้ใช้งานแบบ HEDT (High-End Desktop) ที่โหดคือ—AMD ไม่ได้มาแค่ “ตัวเลขสเปก” แต่จัด ตัวอย่างประสิทธิภาพจริง เทียบกับคู่แข่งอย่าง Intel Xeon W9-3595X เลยด้วย และผลลัพธ์ก็ไม่ธรรมดา เช่น ด้าน LLM (AI ใหญ่ ๆ อย่าง GPT) AMD บอกว่าเร็วกว่า Intel ถึง 49% ในบางกรณี ลองจินตนาการว่าเครื่องเวิร์กสเตชันที่ใช้ซีพียู 96 คอร์ พร้อมแรม DDR5 แบบ 8 แชนแนล และรองรับ PCIe Gen5 ถึง 128 เลนส์ จะทำงานกับโมเดล AI หรือเรนเดอร์ V-Ray ได้เร็วขนาดไหน—AMD เคลมว่าเร็วกว่า Xeon ถึง “เกือบ 2.5 เท่า!” ยังไม่มีราคาวางจำหน่ายนะครับ แต่คาดว่าเปิดตัวจริงภายในเดือนหน้า ✅ AMD เปิดตัว Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์ บน Zen 5   • รุ่นสูงสุดมีถึง 96 คอร์ / 192 เธรด   • แบ่งเป็นกลุ่ม PRO สำหรับเวิร์กสเตชัน และ X-series สำหรับ HEDT ✅ รองรับเทคโนโลยีล้ำสมัย   • แรม DDR5-6400 สูงสุด 8 แชนแนล   • PCIe Gen5 สูงสุด 128 เลนส์   • รองรับ EXPO กับแรมความเร็วสูงกว่า 7000 MT/s ✅ ผลทดสอบประสิทธิภาพแบบเทียบรุ่น   • รุ่น 9995WX เร็วกว่า 7995WX ถึง 26%   • รุ่น 9980X แรงกว่า Intel Xeon W9-3595X สูงสุด 108%   • ด้าน AI เร็วกว่าถึง 49% และใน Chaos V-Ray เร็วกว่าเกือบ 2.5 เท่า ✅ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพและ AI รุ่นใหญ่   • เหมาะกับการเรนเดอร์ภาพ 3D, โมเดล LLM, โปรแกรมออกแบบ และงานกราฟิกประสิทธิภาพสูง ‼️ ประสิทธิภาพ AI ยังรวมการ์ดจอเข้าไปในการวัดผลด้วย   • ผลลัพธ์ LLM ที่เร็วกว่า 49% มีการใช้งาน GPU ร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมดูเร็วเกินจริง ‼️ ยังไม่มีข้อมูลราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ   • อาจทำให้ผู้ซื้อประเมินงบประมาณหรือวางแผนจัดสเปกได้ยากในตอนนี้ ‼️ การเปรียบเทียบกับ Intel ใช้ Xeon W9 ซึ่งเป็นซีรีส์คนละตลาด   • ถึงแม้ Xeon W9 จะใช้ในเวิร์กสเตชันเหมือนกัน แต่อาจมีบริบทของราคาหรือสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ‼️ TDP สูงสุดถึง 350W อาจต้องระวังด้านการระบายความร้อนและพลังงาน   • เหมาะกับเคสระดับองค์กรหรือผู้ใช้ที่เข้าใจการจัดการความร้อนเป็นอย่างดี https://www.neowin.net/news/amd-thinks-ryzen-threadripper-9000-wipes-the-floor-with-intel/
    WWW.NEOWIN.NET
    AMD thinks Ryzen Threadripper 9000 wipes the floor with Intel
    AMD is soon releasing its Ryzen Threadripper 9000 series processors, and it expects to completely wipe the floor with Intel's Xeon W 60-core.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 99 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนาคตของ HBM: จาก HBM4 สู่ HBM8 และการฝัง NAND
    สถาบันวิจัย KAIST ของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่เอกสารความยาว 371 หน้า ที่คาดการณ์การพัฒนาเทคโนโลยี HBM (High-Bandwidth Memory) จนถึงปี 2038 โดยเน้นการเพิ่ม แบนด์วิดท์, ความจุ, ความกว้างของ I/O และการจัดการพลังงาน.

    รายละเอียดการพัฒนา HBM
    ✅ HBM4 จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 348GB ต่อสแต็ก และใช้พลังงาน 75W ต่อสแต็ก.
    ✅ HBM5 จะเปิดตัวในปี 2029 พร้อม I/O 4,096 บิต และแบนด์วิดท์ 4TB/s.
    ✅ HBM6 จะมาถึงในปี 2032 โดยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น 16GT/s และแบนด์วิดท์ 8TB/s.
    ✅ HBM8 จะมี I/O สูงถึง 16,384 บิต และแบนด์วิดท์ 64TB/s ต่อสแต็ก.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ HBM รุ่นใหม่ต้องใช้พลังงานสูงขึ้น โดย HBM8 อาจใช้พลังงานถึง 180W ต่อสแต็ก.
    ‼️ การพัฒนา HBM ต้องใช้เทคนิคการระบายความร้อนที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ช่องระบายความร้อนแบบฝังในอินเตอร์โพเซอร์.
    ‼️ HBM7 และ HBM8 จะมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก HBM ในปัจจุบัน โดยจะรวม NAND storage เพื่อให้สามารถย้ายข้อมูลโดยไม่ต้องใช้ CPU หรือ GPU.

    แนวทางการพัฒนาและการนำไปใช้
    ✅ HBM5 จะรวม L3 Cache และอินเทอร์เฟซ LPDDR/CXL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ.
    ✅ HBM6 จะใช้การเชื่อมต่อแบบ Direct Bonding แทนการใช้ Microbump.
    ✅ HBM8 จะใช้ AI ในการจัดการพลังงานและสัญญาณแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี HBM
    ✅ Micron เริ่มส่งตัวอย่าง HBM4 ที่มีความจุ 36GB และแบนด์วิดท์ 2TB/s.
    ✅ Intel และ SoftBank กำลังพัฒนา HBM ที่ใช้พลังงานต่ำสำหรับศูนย์ข้อมูล AI.
    ‼️ HBM ที่มี NAND ฝังตัวอาจเปลี่ยนโครงสร้างของระบบประมวลผล โดยลดการพึ่งพา CPU และ GPU.

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/hbm-development-roadmap-revealed-hbm8-with-a-16-384-bit-interface-and-embedded-nand-in-2038
    อนาคตของ HBM: จาก HBM4 สู่ HBM8 และการฝัง NAND สถาบันวิจัย KAIST ของเกาหลีใต้ได้เผยแพร่เอกสารความยาว 371 หน้า ที่คาดการณ์การพัฒนาเทคโนโลยี HBM (High-Bandwidth Memory) จนถึงปี 2038 โดยเน้นการเพิ่ม แบนด์วิดท์, ความจุ, ความกว้างของ I/O และการจัดการพลังงาน. รายละเอียดการพัฒนา HBM ✅ HBM4 จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 348GB ต่อสแต็ก และใช้พลังงาน 75W ต่อสแต็ก. ✅ HBM5 จะเปิดตัวในปี 2029 พร้อม I/O 4,096 บิต และแบนด์วิดท์ 4TB/s. ✅ HBM6 จะมาถึงในปี 2032 โดยเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลเป็น 16GT/s และแบนด์วิดท์ 8TB/s. ✅ HBM8 จะมี I/O สูงถึง 16,384 บิต และแบนด์วิดท์ 64TB/s ต่อสแต็ก. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ HBM รุ่นใหม่ต้องใช้พลังงานสูงขึ้น โดย HBM8 อาจใช้พลังงานถึง 180W ต่อสแต็ก. ‼️ การพัฒนา HBM ต้องใช้เทคนิคการระบายความร้อนที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ช่องระบายความร้อนแบบฝังในอินเตอร์โพเซอร์. ‼️ HBM7 และ HBM8 จะมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก HBM ในปัจจุบัน โดยจะรวม NAND storage เพื่อให้สามารถย้ายข้อมูลโดยไม่ต้องใช้ CPU หรือ GPU. แนวทางการพัฒนาและการนำไปใช้ ✅ HBM5 จะรวม L3 Cache และอินเทอร์เฟซ LPDDR/CXL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ. ✅ HBM6 จะใช้การเชื่อมต่อแบบ Direct Bonding แทนการใช้ Microbump. ✅ HBM8 จะใช้ AI ในการจัดการพลังงานและสัญญาณแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี HBM ✅ Micron เริ่มส่งตัวอย่าง HBM4 ที่มีความจุ 36GB และแบนด์วิดท์ 2TB/s. ✅ Intel และ SoftBank กำลังพัฒนา HBM ที่ใช้พลังงานต่ำสำหรับศูนย์ข้อมูล AI. ‼️ HBM ที่มี NAND ฝังตัวอาจเปลี่ยนโครงสร้างของระบบประมวลผล โดยลดการพึ่งพา CPU และ GPU. https://www.tomshardware.com/tech-industry/hbm-development-roadmap-revealed-hbm8-with-a-16-384-bit-interface-and-embedded-nand-in-2038
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 126 มุมมอง 0 รีวิว
  • เยอรมนีเตรียมเลิกใช้ Microsoft: "เราพอแล้วกับ Teams!"
    รัฐ Schleswig-Holstein ทางตอนเหนือของเยอรมนี กำลังดำเนินการเปลี่ยนจากซอฟต์แวร์ของ Microsoft ไปใช้ โอเพ่นซอร์ส อย่างเต็มรูปแบบ โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 60,000 คน จะเลิกใช้ Teams, Word, Excel และ Outlook ภายในสามเดือนข้างหน้า เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระ ความยั่งยืน และความปลอดภัย.

    เหตุผลที่เยอรมนีเลิกใช้ Microsoft
    ✅ ลดค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ที่มีมูลค่าหลายล้านยูโรต่อปี.
    ✅ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากบริษัทสหรัฐฯ.
    ✅ ปฏิบัติตามกฎหมาย "Interoperable Europe Act" ที่สนับสนุนการใช้โอเพ่นซอร์สในหน่วยงานรัฐ.
    ✅ ปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยเฉพาะการจัดเก็บข้อมูลของพลเมือง.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ การเปลี่ยนระบบอาจมีความยุ่งยากในช่วงแรก เนื่องจากต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้คุ้นเคยกับซอฟต์แวร์ใหม่.
    ‼️ อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับเอกสารและระบบเดิม ที่ยังใช้ Microsoft Office.
    ‼️ ต้องมีการสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น.

    แนวทางการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส
    ✅ ใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office ซึ่งรองรับไฟล์เอกสารส่วนใหญ่.
    ✅ เปลี่ยนจาก Windows เป็น Linux เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่าย.
    ✅ ใช้ Nextcloud แทน OneDrive และ Google Drive สำหรับการจัดเก็บและแชร์ไฟล์.
    ✅ ใช้ Open-Xchange แทน Outlook เพื่อการจัดการอีเมลและปฏิทิน.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลเยอรมนี
    ✅ รัฐบาลฝรั่งเศสและอินเดียก็เริ่มเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส เช่นเดียวกับเยอรมนี.
    ✅ เมืองมิวนิกเคยเปลี่ยนไปใช้ Linux ในปี 2004 แต่กลับมาใช้ Windows ในปี 2017 เนื่องจากปัญหาด้านการสนับสนุน.
    ‼️ องค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์สควรมีแผนรองรับ เพื่อป้องกันปัญหาด้านความเข้ากันได้.

    https://www.techspot.com/news/108327-german-state-moves-closer-ditching-microsoft-products-government.html
    เยอรมนีเตรียมเลิกใช้ Microsoft: "เราพอแล้วกับ Teams!" รัฐ Schleswig-Holstein ทางตอนเหนือของเยอรมนี กำลังดำเนินการเปลี่ยนจากซอฟต์แวร์ของ Microsoft ไปใช้ โอเพ่นซอร์ส อย่างเต็มรูปแบบ โดยเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 60,000 คน จะเลิกใช้ Teams, Word, Excel และ Outlook ภายในสามเดือนข้างหน้า เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระ ความยั่งยืน และความปลอดภัย. เหตุผลที่เยอรมนีเลิกใช้ Microsoft ✅ ลดค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ ที่มีมูลค่าหลายล้านยูโรต่อปี. ✅ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากบริษัทสหรัฐฯ. ✅ ปฏิบัติตามกฎหมาย "Interoperable Europe Act" ที่สนับสนุนการใช้โอเพ่นซอร์สในหน่วยงานรัฐ. ✅ ปัญหาด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล โดยเฉพาะการจัดเก็บข้อมูลของพลเมือง. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ การเปลี่ยนระบบอาจมีความยุ่งยากในช่วงแรก เนื่องจากต้องฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้คุ้นเคยกับซอฟต์แวร์ใหม่. ‼️ อาจเกิดปัญหาความเข้ากันได้กับเอกสารและระบบเดิม ที่ยังใช้ Microsoft Office. ‼️ ต้องมีการสนับสนุนทางเทคนิคที่แข็งแกร่ง เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างราบรื่น. แนวทางการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส ✅ ใช้ LibreOffice แทน Microsoft Office ซึ่งรองรับไฟล์เอกสารส่วนใหญ่. ✅ เปลี่ยนจาก Windows เป็น Linux เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่าย. ✅ ใช้ Nextcloud แทน OneDrive และ Google Drive สำหรับการจัดเก็บและแชร์ไฟล์. ✅ ใช้ Open-Xchange แทน Outlook เพื่อการจัดการอีเมลและปฏิทิน. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลเยอรมนี ✅ รัฐบาลฝรั่งเศสและอินเดียก็เริ่มเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์ส เช่นเดียวกับเยอรมนี. ✅ เมืองมิวนิกเคยเปลี่ยนไปใช้ Linux ในปี 2004 แต่กลับมาใช้ Windows ในปี 2017 เนื่องจากปัญหาด้านการสนับสนุน. ‼️ องค์กรที่ต้องการเปลี่ยนไปใช้โอเพ่นซอร์สควรมีแผนรองรับ เพื่อป้องกันปัญหาด้านความเข้ากันได้. https://www.techspot.com/news/108327-german-state-moves-closer-ditching-microsoft-products-government.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    German government moves closer to ditching Microsoft: "We're done with Teams!"
    Plans to go open-source were drawn up by Schleswig-Holstein as far back as 2017. In 2021, the state found another incentive to make the switch: Windows 11's...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • Firefox เพิ่มวิธีใหม่ในการปักหมุดและยกเลิกการปักหมุดแท็บ
    Mozilla Firefox ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ลากแท็บไปยังพื้นที่แท็บที่ปักหมุด เพื่อปักหมุด หรือ ลากออกเพื่อยกเลิกการปักหมุด ได้อย่างง่ายดาย ฟีเจอร์นี้รองรับทั้ง มุมมองแท็บแนวตั้งและแนวนอน และช่วยลดความยุ่งยากในการใช้เมนูคลิกขวา.

    รายละเอียดฟีเจอร์ใหม่
    ✅ ลากแท็บไปยังพื้นที่แท็บที่ปักหมุดเพื่อปักหมุด หรือ ลากออกเพื่อยกเลิกการปักหมุด ได้ทันที.
    ✅ รองรับทั้งแท็บแนวตั้งและแนวนอน ทำให้ใช้งานได้สะดวกในทุกมุมมอง.
    ✅ ลดการพึ่งพาเมนูคลิกขวา ทำให้การจัดการแท็บรวดเร็วขึ้น.
    ✅ ฟีเจอร์นี้มีให้ใช้งานใน Firefox Nightly ซึ่งเป็นเวอร์ชันทดลองที่อาจมีบั๊กหรือความไม่เสถียร.

    ข้อควรระวัง
    ‼️ Firefox Nightly เป็นเวอร์ชันทดลอง อาจมีข้อผิดพลาดหรือทำให้บางฟีเจอร์ไม่ทำงานตามปกติ.
    ‼️ ยังไม่มีทางลัดสำหรับการปักหมุดแท็บ ซึ่งบางผู้ใช้มองว่าอาจทำให้การใช้งานยังไม่สะดวกที่สุด.
    ‼️ เบราว์เซอร์อื่นยังไม่มีฟีเจอร์นี้ แต่ก็อาจมีวิธีอื่นในการจัดการแท็บที่แตกต่างกัน.

    แนวทางการใช้งาน
    ✅ ทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ใน Firefox Nightly หากต้องการทดสอบก่อนเปิดตัวในเวอร์ชันเสถียร.
    ✅ ติดตามการอัปเดตจาก Mozilla เพื่อดูว่าฟีเจอร์นี้จะถูกนำไปใช้ใน Firefox เวอร์ชันหลักหรือไม่.
    ✅ ใช้แท็บแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการแท็บ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่เปิดหลายแท็บพร้อมกัน.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Firefox
    ✅ Firefox 136 เปิดตัวแท็บแนวตั้ง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมมาก.
    ✅ Firefox 139 มาพร้อมกับวอลเปเปอร์แบบกำหนดเองและการแสดงตัวอย่างลิงก์ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน.
    ‼️ Mozilla Nightly อาจมีบั๊กและไม่เสถียร ดังนั้นควรใช้ควบคู่กับเวอร์ชันหลัก.

    https://www.neowin.net/news/firefox-gets-new-way-to-pin-and-unpin-tabs/
    Firefox เพิ่มวิธีใหม่ในการปักหมุดและยกเลิกการปักหมุดแท็บ Mozilla Firefox ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ลากแท็บไปยังพื้นที่แท็บที่ปักหมุด เพื่อปักหมุด หรือ ลากออกเพื่อยกเลิกการปักหมุด ได้อย่างง่ายดาย ฟีเจอร์นี้รองรับทั้ง มุมมองแท็บแนวตั้งและแนวนอน และช่วยลดความยุ่งยากในการใช้เมนูคลิกขวา. รายละเอียดฟีเจอร์ใหม่ ✅ ลากแท็บไปยังพื้นที่แท็บที่ปักหมุดเพื่อปักหมุด หรือ ลากออกเพื่อยกเลิกการปักหมุด ได้ทันที. ✅ รองรับทั้งแท็บแนวตั้งและแนวนอน ทำให้ใช้งานได้สะดวกในทุกมุมมอง. ✅ ลดการพึ่งพาเมนูคลิกขวา ทำให้การจัดการแท็บรวดเร็วขึ้น. ✅ ฟีเจอร์นี้มีให้ใช้งานใน Firefox Nightly ซึ่งเป็นเวอร์ชันทดลองที่อาจมีบั๊กหรือความไม่เสถียร. ข้อควรระวัง ‼️ Firefox Nightly เป็นเวอร์ชันทดลอง อาจมีข้อผิดพลาดหรือทำให้บางฟีเจอร์ไม่ทำงานตามปกติ. ‼️ ยังไม่มีทางลัดสำหรับการปักหมุดแท็บ ซึ่งบางผู้ใช้มองว่าอาจทำให้การใช้งานยังไม่สะดวกที่สุด. ‼️ เบราว์เซอร์อื่นยังไม่มีฟีเจอร์นี้ แต่ก็อาจมีวิธีอื่นในการจัดการแท็บที่แตกต่างกัน. แนวทางการใช้งาน ✅ ทดลองใช้ฟีเจอร์นี้ใน Firefox Nightly หากต้องการทดสอบก่อนเปิดตัวในเวอร์ชันเสถียร. ✅ ติดตามการอัปเดตจาก Mozilla เพื่อดูว่าฟีเจอร์นี้จะถูกนำไปใช้ใน Firefox เวอร์ชันหลักหรือไม่. ✅ ใช้แท็บแนวตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการแท็บ โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่เปิดหลายแท็บพร้อมกัน. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Firefox ✅ Firefox 136 เปิดตัวแท็บแนวตั้ง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมมาก. ✅ Firefox 139 มาพร้อมกับวอลเปเปอร์แบบกำหนดเองและการแสดงตัวอย่างลิงก์ เพื่อเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน. ‼️ Mozilla Nightly อาจมีบั๊กและไม่เสถียร ดังนั้นควรใช้ควบคู่กับเวอร์ชันหลัก. https://www.neowin.net/news/firefox-gets-new-way-to-pin-and-unpin-tabs/
    WWW.NEOWIN.NET
    Firefox gets new way to pin and unpin tabs
    Mozilla is working on a welcome change that will make it easier to pin and unpin tabs in the Firefox browser. The best part is that you can try it now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • Patch Tuesday ทำให้ DHCP Server ใน Windows Server ขัดข้อง
    Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2025 ซึ่งมีการปรับปรุงหลายอย่าง เช่น Narrator scan mode, File Explorer, GDI+, Hyper-V และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าการอัปเดตนี้ทำให้ DHCP Server ใน Windows Server 2016, 2019, 2022 และ 2025 มีปัญหา.

    รายละเอียดปัญหา
    ✅ DHCP Server อาจหยุดทำงานเป็นระยะๆ หลังจากติดตั้งอัปเดต Patch Tuesday.
    ✅ ปัญหานี้ส่งผลต่อกระบวนการต่ออายุ IP บนเครื่องลูกข่าย ทำให้เกิดความล่าช้าในการเชื่อมต่อเครือข่าย.
    ✅ Microsoft ได้รับรายงานจากผู้ใช้บน Reddit และได้อัปเดตเอกสารเพื่อแจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหานี้.
    ✅ การรีบูตระบบสามารถแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราว แต่ยังไม่มีการแก้ไขถาวรจาก Microsoft.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    ‼️ IT Admin อาจต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการจัดการเครือข่าย เนื่องจาก DHCP Server ไม่ทำงานตามปกติ.
    ‼️ ยังไม่มีการระบุวันที่แน่ชัดสำหรับการแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มผู้ใช้.
    ‼️ Windows Server เคยมีปัญหาคล้ายกันมาก่อน เช่น Bug ใน Hyper-V ที่ต้องใช้ Out-of-Band (OOB) Hotfix.

    แนวทางแก้ไขเบื้องต้น
    ✅ รีบูตเซิร์ฟเวอร์เป็นวิธีแก้ไขชั่วคราว เพื่อให้ DHCP Server กลับมาทำงาน.
    ✅ ติดตามการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อรับแพตช์แก้ไขที่อาจปล่อยออกมาในอีกไม่กี่วัน.
    ✅ ตรวจสอบการตั้งค่า DHCP Server เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติหลังจากอัปเดต.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาด้าน Windows Server
    ✅ Microsoft เคยปล่อย Hotfix สำหรับ Hyper-V เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อแก้ไขปัญหาที่คล้ายกัน.
    ✅ Windows Server มีระบบ Logging และ Monitoring ที่ช่วยตรวจสอบปัญหา ซึ่ง IT Admin ควรใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อผิดพลาด.
    ‼️ การอัปเดต Windows Server อาจมีผลกระทบต่อบริการอื่นๆ ดังนั้นควรทดสอบก่อนติดตั้งในระบบที่ใช้งานจริง.

    https://www.neowin.net/news/latest-patch-tuesday-has-broken-dhcp-server-in-all-windows-server-editions/
    Patch Tuesday ทำให้ DHCP Server ใน Windows Server ขัดข้อง Microsoft ได้ปล่อยอัปเดต Patch Tuesday เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2025 ซึ่งมีการปรับปรุงหลายอย่าง เช่น Narrator scan mode, File Explorer, GDI+, Hyper-V และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าการอัปเดตนี้ทำให้ DHCP Server ใน Windows Server 2016, 2019, 2022 และ 2025 มีปัญหา. รายละเอียดปัญหา ✅ DHCP Server อาจหยุดทำงานเป็นระยะๆ หลังจากติดตั้งอัปเดต Patch Tuesday. ✅ ปัญหานี้ส่งผลต่อกระบวนการต่ออายุ IP บนเครื่องลูกข่าย ทำให้เกิดความล่าช้าในการเชื่อมต่อเครือข่าย. ✅ Microsoft ได้รับรายงานจากผู้ใช้บน Reddit และได้อัปเดตเอกสารเพื่อแจ้งเตือนเกี่ยวกับปัญหานี้. ✅ การรีบูตระบบสามารถแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราว แต่ยังไม่มีการแก้ไขถาวรจาก Microsoft. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ IT Admin อาจต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการจัดการเครือข่าย เนื่องจาก DHCP Server ไม่ทำงานตามปกติ. ‼️ ยังไม่มีการระบุวันที่แน่ชัดสำหรับการแก้ไขปัญหา ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่พอใจในกลุ่มผู้ใช้. ‼️ Windows Server เคยมีปัญหาคล้ายกันมาก่อน เช่น Bug ใน Hyper-V ที่ต้องใช้ Out-of-Band (OOB) Hotfix. แนวทางแก้ไขเบื้องต้น ✅ รีบูตเซิร์ฟเวอร์เป็นวิธีแก้ไขชั่วคราว เพื่อให้ DHCP Server กลับมาทำงาน. ✅ ติดตามการอัปเดตจาก Microsoft เพื่อรับแพตช์แก้ไขที่อาจปล่อยออกมาในอีกไม่กี่วัน. ✅ ตรวจสอบการตั้งค่า DHCP Server เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติหลังจากอัปเดต. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาด้าน Windows Server ✅ Microsoft เคยปล่อย Hotfix สำหรับ Hyper-V เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อแก้ไขปัญหาที่คล้ายกัน. ✅ Windows Server มีระบบ Logging และ Monitoring ที่ช่วยตรวจสอบปัญหา ซึ่ง IT Admin ควรใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อผิดพลาด. ‼️ การอัปเดต Windows Server อาจมีผลกระทบต่อบริการอื่นๆ ดังนั้นควรทดสอบก่อนติดตั้งในระบบที่ใช้งานจริง. https://www.neowin.net/news/latest-patch-tuesday-has-broken-dhcp-server-in-all-windows-server-editions/
    WWW.NEOWIN.NET
    Latest Patch Tuesday has broken DHCP Server in all Windows Server editions
    IT admins are in for a rude awakening yet again as it seems that the latest Patch Tuesday updates have broken the DHCP Server service in numerous versions of Windows Server, including 2025.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🍏 Apple A20: ชิป 2nm รุ่นใหม่สำหรับ iPhone 18 Pro และ iPhone 18 Fold
    Apple เตรียมเปิดตัว ชิป A20 ซึ่งใช้กระบวนการผลิต 2nm จาก TSMC พร้อมเทคโนโลยี WMCM (Wafer-Level Multi-Chip Module) ที่ช่วยให้สามารถรวมส่วนประกอบต่างๆ เช่น CPU, GPU และหน่วยความจำ ไว้ในระดับเวเฟอร์ก่อนตัดเป็นชิปแยก

    ✅ รายละเอียดของ Apple A20
    - ใช้ กระบวนการผลิต 2nm ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน
    - ใช้ WMCM packaging ทำให้สามารถรวมหลายชิปเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    - คาดว่าจะมี ประสิทธิภาพสูงกว่า A19 ถึง 15% โดยใช้พลังงานเท่าเดิม
    - จะถูกใช้ใน iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max และ iPhone 18 Fold
    - TSMC จะผลิตชิป A20 ที่โรงงาน Chiayi AP7 โดยมีกำลังผลิต 50,000 ชิ้นต่อเดือนภายในปี 2026

    ‼️ ข้อควรระวัง
    - iPhone 18 รุ่นปกติอาจไม่ได้ใช้ WMCM packaging เพื่อประหยัดต้นทุนการผลิต
    - Apple จะยังคงใช้ RAM ขนาด 12GB เท่าเดิม ไม่มีการเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน
    - ต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี 2026 เพื่อยืนยันข้อมูลทั้งหมด

    🔍 แนวโน้มของตลาดชิปและเทคโนโลยีใหม่
    ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีชิป
    - TSMC กำลังพัฒนาเทคโนโลยี 1.4nm ซึ่งอาจถูกใช้ใน Apple A22 ในอนาคต
    - Samsung และ Intel กำลังแข่งขันกับ TSMC ในการพัฒนากระบวนการผลิตที่เล็กลง
    - ตลาดชิป AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการพัฒนา Neural Processing Units (NPU) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

    ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาดชิป
    - ต้นทุนการผลิตชิป 2nm สูงมาก อาจทำให้ราคาของ iPhone 18 Pro สูงขึ้น
    - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยีของคู่แข่ง เช่น Qualcomm และ MediaTek
    - การเปลี่ยนไปใช้กระบวนการผลิตที่เล็กลงอาจมีความท้าทายด้านความร้อน และการจัดการพลังงาน

    https://wccftech.com/apple-a20-with-2nm-wmcm-packaging-exclusive-to-iphone-18-pro-and-foldable-flagship/
    🍏 Apple A20: ชิป 2nm รุ่นใหม่สำหรับ iPhone 18 Pro และ iPhone 18 Fold Apple เตรียมเปิดตัว ชิป A20 ซึ่งใช้กระบวนการผลิต 2nm จาก TSMC พร้อมเทคโนโลยี WMCM (Wafer-Level Multi-Chip Module) ที่ช่วยให้สามารถรวมส่วนประกอบต่างๆ เช่น CPU, GPU และหน่วยความจำ ไว้ในระดับเวเฟอร์ก่อนตัดเป็นชิปแยก ✅ รายละเอียดของ Apple A20 - ใช้ กระบวนการผลิต 2nm ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน - ใช้ WMCM packaging ทำให้สามารถรวมหลายชิปเข้าด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ - คาดว่าจะมี ประสิทธิภาพสูงกว่า A19 ถึง 15% โดยใช้พลังงานเท่าเดิม - จะถูกใช้ใน iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max และ iPhone 18 Fold - TSMC จะผลิตชิป A20 ที่โรงงาน Chiayi AP7 โดยมีกำลังผลิต 50,000 ชิ้นต่อเดือนภายในปี 2026 ‼️ ข้อควรระวัง - iPhone 18 รุ่นปกติอาจไม่ได้ใช้ WMCM packaging เพื่อประหยัดต้นทุนการผลิต - Apple จะยังคงใช้ RAM ขนาด 12GB เท่าเดิม ไม่มีการเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน - ต้องรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี 2026 เพื่อยืนยันข้อมูลทั้งหมด 🔍 แนวโน้มของตลาดชิปและเทคโนโลยีใหม่ ✅ การพัฒนาเทคโนโลยีชิป - TSMC กำลังพัฒนาเทคโนโลยี 1.4nm ซึ่งอาจถูกใช้ใน Apple A22 ในอนาคต - Samsung และ Intel กำลังแข่งขันกับ TSMC ในการพัฒนากระบวนการผลิตที่เล็กลง - ตลาดชิป AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการพัฒนา Neural Processing Units (NPU) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับตลาดชิป - ต้นทุนการผลิตชิป 2nm สูงมาก อาจทำให้ราคาของ iPhone 18 Pro สูงขึ้น - ต้องจับตาดูการพัฒนาเทคโนโลยีของคู่แข่ง เช่น Qualcomm และ MediaTek - การเปลี่ยนไปใช้กระบวนการผลิตที่เล็กลงอาจมีความท้าทายด้านความร้อน และการจัดการพลังงาน https://wccftech.com/apple-a20-with-2nm-wmcm-packaging-exclusive-to-iphone-18-pro-and-foldable-flagship/
    WCCFTECH.COM
    Apple’s A20 Rumored To Be Exclusive To The iPhone 18 Pro, iPhone 18 Pro Max And The Company’s Foldable Flagship, Will Leverage TSMC’s Advanced 2nm Process Combined With The Newer WMCM Packaging
    TSMC’s next-generation 2nm process and WMCM packaging is rumored to be used for Apple’s A20 chipset, which will power selective iPhone 18 models
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้เปิดตัว Microsoft 365 Copilot Notebooks ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Copilot Chat, ไฟล์, โน้ต และลิงก์ ไว้ในที่เดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ลูกค้าองค์กร ที่มี Microsoft 365 Copilot, SharePoint หรือ OneDrive licenses และสามารถใช้งานได้บน OneNote เวอร์ชัน 2504 (Build 18827.20128) หรือใหม่กว่า

    สรุปเนื้อหาข่าว
    ✅ Microsoft 365 Copilot Notebooks ถูกผนวกเข้ากับ OneNote บน Windows เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวบรวมข้อมูลและสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    ✅ ผู้ใช้สามารถสร้าง Copilot Notebook ได้โดยไปที่ Home > Create Copilot Notebook หรือ New notebook และสามารถเพิ่มเอกสารอ้างอิง เช่น OneNote pages, .docx, .pptx, .xlsx, .pdf หรือ .loop files เพื่อให้ Copilot มีบริบทในการให้คำตอบที่แม่นยำขึ้น
    ✅ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สรุปข้อมูล, วิเคราะห์เอกสาร และสร้างเนื้อหาเสียง ได้
    ✅ มีข้อจำกัดบางประการ เช่น สามารถเพิ่มไฟล์อ้างอิงได้สูงสุด 20 ไฟล์ และสามารถเพิ่มได้เฉพาะ หน้า OneNote แต่ไม่สามารถเพิ่ม sections หรือ notebooks ได้
    ✅ ฟีเจอร์บางอย่างของ OneNote ยังไม่สามารถใช้งานได้ใน Copilot Notebooks เช่น tags, section groups, inking, templates, password protection, Immersive Reader และ offline support
    ✅ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบ Insider Preview ซึ่ง Microsoft อาจปรับปรุงเพิ่มเติมก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    ✅ AI ในการทำงาน: การใช้ AI เช่น Copilot ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วยลดเวลาที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลและสร้างเนื้อหา
    ✅ แนวโน้มของ AI ในองค์กร: หลายองค์กรเริ่มนำ AI มาใช้เพื่อช่วยในการจัดการข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    ✅ การเปรียบเทียบกับเครื่องมืออื่น: Copilot Notebooks มีความคล้ายคลึงกับเครื่องมือจัดการข้อมูลอื่น ๆ เช่น Notion หรือ Evernote แต่มีการผสานรวมกับ Microsoft 365 ทำให้สะดวกต่อผู้ใช้ที่อยู่ในระบบของ Microsoft

    ‼️ ข้อจำกัดของฟีเจอร์: ผู้ใช้ควรทราบว่า Copilot Notebooks ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น จำนวนไฟล์ที่สามารถเพิ่มได้ และฟีเจอร์บางอย่างของ OneNote ที่ยังไม่รองรับ
    ‼️ การใช้งานในองค์กร: เนื่องจากฟีเจอร์นี้ออกแบบมาสำหรับลูกค้าองค์กร ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงได้
    ‼️ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: การใช้ AI ในการจัดการข้อมูลอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้ควรตรวจสอบนโยบายการใช้งานของ Microsoft เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของตนได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม

    https://www.neowin.net/news/microsoft-365-copilot-notebooks-now-integrated-in-onenote-on-windows/
    Microsoft ได้เปิดตัว Microsoft 365 Copilot Notebooks ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น Copilot Chat, ไฟล์, โน้ต และลิงก์ ไว้ในที่เดียวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยฟีเจอร์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อ ลูกค้าองค์กร ที่มี Microsoft 365 Copilot, SharePoint หรือ OneDrive licenses และสามารถใช้งานได้บน OneNote เวอร์ชัน 2504 (Build 18827.20128) หรือใหม่กว่า สรุปเนื้อหาข่าว ✅ Microsoft 365 Copilot Notebooks ถูกผนวกเข้ากับ OneNote บน Windows เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถรวบรวมข้อมูลและสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ผู้ใช้สามารถสร้าง Copilot Notebook ได้โดยไปที่ Home > Create Copilot Notebook หรือ New notebook และสามารถเพิ่มเอกสารอ้างอิง เช่น OneNote pages, .docx, .pptx, .xlsx, .pdf หรือ .loop files เพื่อให้ Copilot มีบริบทในการให้คำตอบที่แม่นยำขึ้น ✅ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ สรุปข้อมูล, วิเคราะห์เอกสาร และสร้างเนื้อหาเสียง ได้ ✅ มีข้อจำกัดบางประการ เช่น สามารถเพิ่มไฟล์อ้างอิงได้สูงสุด 20 ไฟล์ และสามารถเพิ่มได้เฉพาะ หน้า OneNote แต่ไม่สามารถเพิ่ม sections หรือ notebooks ได้ ✅ ฟีเจอร์บางอย่างของ OneNote ยังไม่สามารถใช้งานได้ใน Copilot Notebooks เช่น tags, section groups, inking, templates, password protection, Immersive Reader และ offline support ✅ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานในรูปแบบ Insider Preview ซึ่ง Microsoft อาจปรับปรุงเพิ่มเติมก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ✅ AI ในการทำงาน: การใช้ AI เช่น Copilot ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยช่วยลดเวลาที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลและสร้างเนื้อหา ✅ แนวโน้มของ AI ในองค์กร: หลายองค์กรเริ่มนำ AI มาใช้เพื่อช่วยในการจัดการข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ✅ การเปรียบเทียบกับเครื่องมืออื่น: Copilot Notebooks มีความคล้ายคลึงกับเครื่องมือจัดการข้อมูลอื่น ๆ เช่น Notion หรือ Evernote แต่มีการผสานรวมกับ Microsoft 365 ทำให้สะดวกต่อผู้ใช้ที่อยู่ในระบบของ Microsoft ‼️ ข้อจำกัดของฟีเจอร์: ผู้ใช้ควรทราบว่า Copilot Notebooks ยังมีข้อจำกัดหลายประการ เช่น จำนวนไฟล์ที่สามารถเพิ่มได้ และฟีเจอร์บางอย่างของ OneNote ที่ยังไม่รองรับ ‼️ การใช้งานในองค์กร: เนื่องจากฟีเจอร์นี้ออกแบบมาสำหรับลูกค้าองค์กร ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ ‼️ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล: การใช้ AI ในการจัดการข้อมูลอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ผู้ใช้ควรตรวจสอบนโยบายการใช้งานของ Microsoft เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลของตนได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม https://www.neowin.net/news/microsoft-365-copilot-notebooks-now-integrated-in-onenote-on-windows/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft 365 Copilot Notebooks now integrated in OneNote on Windows
    Microsoft has announced the availability of Microsoft 365 Copilot Notebooks in OneNote for Windows as an Insider preview for Enterprise customers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • พิธีปิด A.S. Champions League ครั้งที่ 10 ประจำปี พ.ศ. 2568 สุดยิ่งใหญ่
    .
    วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568 นายวัชรพล โตมรศักดิ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข, ประธานสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี, ที่ปรึกษาสโมสรนครราชสีมา คิวมินซี วีซี (แคทเดวิล) ให้เกียรติเป็นประธานปิดการแข่งขันฟุตบอล "A.S. Champions League ครั้งที่ 10 พ.ศ.2568" พร้อมกล่าวปิดการแข่งขันและมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 และของที่ระลึกแก่ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 20 ทีม โดยมี นายธีระ เอื้ออภิธร หุ้นส่วนใหญ่ของสนามฟุตบอลเอกสีมาหัวทะเล กล่าวต้อนรับและขอบคุณประธาน พร้อมมอบถ้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 3
    .
    หลังจากมอบรางวัลและของที่ระลึกเสร็จสิ้นลง ได้มีการร่วมร้องเพลง "สามัคคีชุมนุม" ปิดการแข่งขัน A.S. Champions League ครั้งที่ 10 ประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการ
    .
    ในการจัดการแข่งขัน A.S. Champions League ของสนามฟุตบอลเอกสีมาหัวทะเล ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทางสนามได้จัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ.2558 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทางสนามขอขอบคุณทีมนักฟุตบอลทุกทีม นักฟุตบอลทุกคน คณะกรรมการตัดสินทุกท่าน และพี่น้อง ครอบครัวทุกคน ที่ได้ให้การสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล A.S. Champions League ด้วยดีเสมอมา พร้อมทั้งขอขอบคุณ KCTV และประชาสัมพันธ์จังหวัดที่ได้นำเสนอข่าวมา ณ ที่นี้ด้วย.
    พิธีปิด A.S. Champions League ครั้งที่ 10 ประจำปี พ.ศ. 2568 สุดยิ่งใหญ่ . วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2568 นายวัชรพล โตมรศักดิ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข, ประธานสโมสรนครราชสีมา มาสด้า เอฟซี, ที่ปรึกษาสโมสรนครราชสีมา คิวมินซี วีซี (แคทเดวิล) ให้เกียรติเป็นประธานปิดการแข่งขันฟุตบอล "A.S. Champions League ครั้งที่ 10 พ.ศ.2568" พร้อมกล่าวปิดการแข่งขันและมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 และของที่ระลึกแก่ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันทั้งสิ้น 20 ทีม โดยมี นายธีระ เอื้ออภิธร หุ้นส่วนใหญ่ของสนามฟุตบอลเอกสีมาหัวทะเล กล่าวต้อนรับและขอบคุณประธาน พร้อมมอบถ้วยรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 3 . หลังจากมอบรางวัลและของที่ระลึกเสร็จสิ้นลง ได้มีการร่วมร้องเพลง "สามัคคีชุมนุม" ปิดการแข่งขัน A.S. Champions League ครั้งที่ 10 ประจำปี 2568 อย่างเป็นทางการ . ในการจัดการแข่งขัน A.S. Champions League ของสนามฟุตบอลเอกสีมาหัวทะเล ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา ทางสนามได้จัดการแข่งขันเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ.2558 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ทางสนามขอขอบคุณทีมนักฟุตบอลทุกทีม นักฟุตบอลทุกคน คณะกรรมการตัดสินทุกท่าน และพี่น้อง ครอบครัวทุกคน ที่ได้ให้การสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล A.S. Champions League ด้วยดีเสมอมา พร้อมทั้งขอขอบคุณ KCTV และประชาสัมพันธ์จังหวัดที่ได้นำเสนอข่าวมา ณ ที่นี้ด้วย.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..จริงหรือไม่จริง ไม่รู้,พรุ่งนี้วันทำการปกติต้องประกาศชัดเจนอย่างเป็นทางการแน่ๆ,ถ้าเป็น1:200,000จริง,ทหารไทยต้องยึดอำนาจแล้วมีคำสั่งยกเลิกmou43,44ทั้งหมดในคราวเดียวกันเลย,ประชุมอะไรคุยกับมันพวกมึนๆนี้ไม่ได้อีกแล้ว,ปลิ้นปล้อนตลบแตลงแบบพวกกิ้งก่าชัดเจนมาก.
    ..ทหารไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกครอบคลุมภาคกลางและกรุงเทพฯบวกรอบๆกทม.หรือปริมลฑลทันที,ตลอดอีสานใต้ทั้งหมดและภาคตะวันออกทั้งหมดด้วย,ปิดด่านสิ้นเชิงทันทีตัดน้ำตัดเสบียงตัดไฟฟ้าคว่ำบาตรเขมรอย่างเป็นทางการเลย,รบแบบไม่ต้องใช้อาวุธรบก็ได้,รบด้วยตังรบด้วยเศรษฐกิจปากท้องคนเขมรเอง,สุดท้ายประชาชนเขมรจะล้มจะยึดอำนาจฮุนเซนเอง,ทหารเขมรหรือฝ่ายไม่พอใจไม่ชอบฮุนเซนภายในประเทศเขมรเองก็พร้อมยึดอำนาจฮุนเซนหรือสร้างโกลาหลครั้งใหญ่หลายพันทางแก้ฮุนเซนแน่นอน,ยิ่งสงครามกองโจรภายในพนมเปตเปตๆนี้เองฝ่ายค้านฝ่ายทหารอีก2-3ฝ่ายที่อยากเหยียบฮุนเซนอยู่แล้วคงร่วมมือกันแน่นอน.ยิ่งประชาชนคลื่นใต้น้ำมวลประชาชนเขมรเองลุกต่อต้านจัดการครอบครัวฮุนเซนจะขนาดไหน,โดรนพลีชีพที่ฝ่ายค้านเขมรมีหรือฝั่งทหารเขมรที่ต้องการจัดการฮุนเซนอยู่แล้วพร้อมปฏิบัติการแน่นอน,ตอนกลางคืนระเบิดในวังฮุนเซนจะเกิดอะไรขึ้น.,เขมรจัดการเขมรเองนั้นเองคงเห็นเร็วๆนี้.ฮุนเซนยุคเสื่อมอำนาจบารมีแล้ว,มีแต่กรรมเพียวๆตามมาถึงแล้วเพราะประตูกรรมเปิดทั่วโลกแล้ว,ทั้งพลังงานดีๆบวกๆเข้ามาตรึมอีก,สนามแม่เหล็กดีๆเข้าทำลายสิ่งชั่วเลวบนโลกนี้แล้ว.

    https://youtube.com/shorts/51r0eOZH2P0?si=svwCTh3xDQN8Vj9x
    ..จริงหรือไม่จริง ไม่รู้,พรุ่งนี้วันทำการปกติต้องประกาศชัดเจนอย่างเป็นทางการแน่ๆ,ถ้าเป็น1:200,000จริง,ทหารไทยต้องยึดอำนาจแล้วมีคำสั่งยกเลิกmou43,44ทั้งหมดในคราวเดียวกันเลย,ประชุมอะไรคุยกับมันพวกมึนๆนี้ไม่ได้อีกแล้ว,ปลิ้นปล้อนตลบแตลงแบบพวกกิ้งก่าชัดเจนมาก. ..ทหารไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกครอบคลุมภาคกลางและกรุงเทพฯบวกรอบๆกทม.หรือปริมลฑลทันที,ตลอดอีสานใต้ทั้งหมดและภาคตะวันออกทั้งหมดด้วย,ปิดด่านสิ้นเชิงทันทีตัดน้ำตัดเสบียงตัดไฟฟ้าคว่ำบาตรเขมรอย่างเป็นทางการเลย,รบแบบไม่ต้องใช้อาวุธรบก็ได้,รบด้วยตังรบด้วยเศรษฐกิจปากท้องคนเขมรเอง,สุดท้ายประชาชนเขมรจะล้มจะยึดอำนาจฮุนเซนเอง,ทหารเขมรหรือฝ่ายไม่พอใจไม่ชอบฮุนเซนภายในประเทศเขมรเองก็พร้อมยึดอำนาจฮุนเซนหรือสร้างโกลาหลครั้งใหญ่หลายพันทางแก้ฮุนเซนแน่นอน,ยิ่งสงครามกองโจรภายในพนมเปตเปตๆนี้เองฝ่ายค้านฝ่ายทหารอีก2-3ฝ่ายที่อยากเหยียบฮุนเซนอยู่แล้วคงร่วมมือกันแน่นอน.ยิ่งประชาชนคลื่นใต้น้ำมวลประชาชนเขมรเองลุกต่อต้านจัดการครอบครัวฮุนเซนจะขนาดไหน,โดรนพลีชีพที่ฝ่ายค้านเขมรมีหรือฝั่งทหารเขมรที่ต้องการจัดการฮุนเซนอยู่แล้วพร้อมปฏิบัติการแน่นอน,ตอนกลางคืนระเบิดในวังฮุนเซนจะเกิดอะไรขึ้น.,เขมรจัดการเขมรเองนั้นเองคงเห็นเร็วๆนี้.ฮุนเซนยุคเสื่อมอำนาจบารมีแล้ว,มีแต่กรรมเพียวๆตามมาถึงแล้วเพราะประตูกรรมเปิดทั่วโลกแล้ว,ทั้งพลังงานดีๆบวกๆเข้ามาตรึมอีก,สนามแม่เหล็กดีๆเข้าทำลายสิ่งชั่วเลวบนโลกนี้แล้ว. https://youtube.com/shorts/51r0eOZH2P0?si=svwCTh3xDQN8Vj9x
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ทำไมทหารพระราชาเรา,ไม่ยึดอำนาจ,คดีสว.ฮั่วใดๆหรืออะไรที่ผิดทางผิดธรรมก็ยังสามารถดำเนินการจัดการได้ต่อเนื่องปกติตลอดถึงอาจเด็ดขาดกว่าอีก,ไม่เกรงใจใครหน้าไหนด้วยหรือถ่วงเวลาอ้างแม่น้ำทั้งเจ็ดมาแหกลิ้นปลิ้นปล้อนได้อีกหรือม่สามารถตลบแตลงแถลงข้างพ้นผิดพ้นภัยไปได้,
    ..ทหารเกรงใจใคร? จึงไม่ยึดอำนาจ.
    ..ทหารเกรงกลัวใคร? จึงไม่ยึดอำนาจ.
    ..ทหารรอคนชั่วเลวทำให้เสียอธิปไตยก่อนใช่มั้ยแบบเขาพระวิหาร?
    ..ทรัมป์ปฏิเสธศาลโลก ,แสดงว่าคำตัดสินใดๆของศาลโลกที่ผ่านมาล้วนไม่ซื่อสัตย์สุจริต,แค่เรื่องสันปนน้ำที่ฝรั่งเศสเองรู้ชัดเจนแล้วแต่ตัดสินเข้าข้างเขมรมันก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นเช่นทรัมป์ปฏิเสธศาลโลก,จึงสามารถโมฆะmouใดๆที่เขมรหมายทุจริตต่ออธิปไตยไทยได้.
    ..ทำไมเวลานี้ ทหารจึงไม่ปฏิวัติยึดอำนาจ?,ความสมเหตุสมผลมีมากมาย,แค่ไม่ซื่อสัตย์ก็เต็มที่สุดๆแล้ว.ม.114อีก.

    https://youtu.be/ufLynCFXc1g?si=GfUNZ7SyC7hHiKt2
    ..ทำไมทหารพระราชาเรา,ไม่ยึดอำนาจ,คดีสว.ฮั่วใดๆหรืออะไรที่ผิดทางผิดธรรมก็ยังสามารถดำเนินการจัดการได้ต่อเนื่องปกติตลอดถึงอาจเด็ดขาดกว่าอีก,ไม่เกรงใจใครหน้าไหนด้วยหรือถ่วงเวลาอ้างแม่น้ำทั้งเจ็ดมาแหกลิ้นปลิ้นปล้อนได้อีกหรือม่สามารถตลบแตลงแถลงข้างพ้นผิดพ้นภัยไปได้, ..ทหารเกรงใจใคร? จึงไม่ยึดอำนาจ. ..ทหารเกรงกลัวใคร? จึงไม่ยึดอำนาจ. ..ทหารรอคนชั่วเลวทำให้เสียอธิปไตยก่อนใช่มั้ยแบบเขาพระวิหาร? ..ทรัมป์ปฏิเสธศาลโลก ,แสดงว่าคำตัดสินใดๆของศาลโลกที่ผ่านมาล้วนไม่ซื่อสัตย์สุจริต,แค่เรื่องสันปนน้ำที่ฝรั่งเศสเองรู้ชัดเจนแล้วแต่ตัดสินเข้าข้างเขมรมันก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นเช่นทรัมป์ปฏิเสธศาลโลก,จึงสามารถโมฆะmouใดๆที่เขมรหมายทุจริตต่ออธิปไตยไทยได้. ..ทำไมเวลานี้ ทหารจึงไม่ปฏิวัติยึดอำนาจ?,ความสมเหตุสมผลมีมากมาย,แค่ไม่ซื่อสัตย์ก็เต็มที่สุดๆแล้ว.ม.114อีก. https://youtu.be/ufLynCFXc1g?si=GfUNZ7SyC7hHiKt2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..เขาก็ประกาศแล้วว่าเขมรคือภัยคุกคามอธืปไตยของประเทศไทย,หมายหัวว่าเขมรคือขาติที่อันตรายต่อประเทศไทยต่อคนไทย,แล้วพวกมรึงเข้าไปตายทำไม ส้นตีนไม่ใช้หัวสมองคิด,ทหารไทยก็เหี้ย ปิดด่านเป็นถาวรตลอดไปจนกว่าจะสงบศึกก็ไม่ทำ,กฎอัยการศึกมีในมือเสียของ ต้องห้ามคนไทยเข้าไปเขมรทันทีทุกๆกรณีเพราะเสี่ยงสูงจะไม่ปล่อยภัย สามารถคาดการณ์ว่าต้องมีลักษณะนี้แน่นอน,ทหารภายใต้กฎอัยการศึกมีอำนาจเหนือรัฐบาลและรัฐบาลปัจจุบันประเมินโดยทหารเองชัดเจนได้แล้วว่าคือภัยอันตรายภายในประเทศตนเองเสียเอง สุมเสี่ยงสมยอมต่อเสียเปรียบศัตรูภัยคุกคามของชาติให้แก่ประเทศเขมร,การปกป้องประชาชนมิให้เขมรจับคนไทยมาต่อรองลักษณะนี้สามารถทำได้ทันทีตัดตอนไว้ก่อนทันทีเพื่อไร้แรงกดดันลักกษณะนี้ในกลยุทธศึกแผนการจัดการเขมรต่อไป,เมื่อรับรู้แล้วว่าชุดรัฐบาลปัจจุบันมีใจใฝ่สมคบคิดหลายครัังหลายคราวไม่เด็ดขาดในสิ่งที่เป็นจังหวะเด็ดขาดแล้วไม่ทำ,เพื่อขยายเชื้อสร้างโกลาหลในกลากหลายสถานการณ์ก่อเหตุหลายๆมิติ,ทหารต้องเด็ดขาดยึดอำนาจได้แล้ว.
    https://youtube.com/shorts/FXTuLdgfEvY?si=esypGKMG7GLoTKsr
    ..เขาก็ประกาศแล้วว่าเขมรคือภัยคุกคามอธืปไตยของประเทศไทย,หมายหัวว่าเขมรคือขาติที่อันตรายต่อประเทศไทยต่อคนไทย,แล้วพวกมรึงเข้าไปตายทำไม ส้นตีนไม่ใช้หัวสมองคิด,ทหารไทยก็เหี้ย ปิดด่านเป็นถาวรตลอดไปจนกว่าจะสงบศึกก็ไม่ทำ,กฎอัยการศึกมีในมือเสียของ ต้องห้ามคนไทยเข้าไปเขมรทันทีทุกๆกรณีเพราะเสี่ยงสูงจะไม่ปล่อยภัย สามารถคาดการณ์ว่าต้องมีลักษณะนี้แน่นอน,ทหารภายใต้กฎอัยการศึกมีอำนาจเหนือรัฐบาลและรัฐบาลปัจจุบันประเมินโดยทหารเองชัดเจนได้แล้วว่าคือภัยอันตรายภายในประเทศตนเองเสียเอง สุมเสี่ยงสมยอมต่อเสียเปรียบศัตรูภัยคุกคามของชาติให้แก่ประเทศเขมร,การปกป้องประชาชนมิให้เขมรจับคนไทยมาต่อรองลักษณะนี้สามารถทำได้ทันทีตัดตอนไว้ก่อนทันทีเพื่อไร้แรงกดดันลักกษณะนี้ในกลยุทธศึกแผนการจัดการเขมรต่อไป,เมื่อรับรู้แล้วว่าชุดรัฐบาลปัจจุบันมีใจใฝ่สมคบคิดหลายครัังหลายคราวไม่เด็ดขาดในสิ่งที่เป็นจังหวะเด็ดขาดแล้วไม่ทำ,เพื่อขยายเชื้อสร้างโกลาหลในกลากหลายสถานการณ์ก่อเหตุหลายๆมิติ,ทหารต้องเด็ดขาดยึดอำนาจได้แล้ว. https://youtube.com/shorts/FXTuLdgfEvY?si=esypGKMG7GLoTKsr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • MediaTek เตรียมเปิดตัว Dimensity 9500 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตเรือธงที่ใช้ กระบวนการผลิต 3nm (N3P) ของ TSMC รุ่นที่สาม โดยคาดว่าจะให้ประสิทธิภาพเหนือกว่า Apple A19 Pro ในด้านมัลติคอร์ นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดโครงสร้าง L3 cache และ SLC cache รวมถึงเพิ่มความสามารถด้าน AI ผ่าน NPU รุ่นใหม่

    ✅ Dimensity 9500 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นล่าสุดของ TSMC
    - MediaTek เลือกใช้กระบวนการ N3P ซึ่งเป็น 3nm รุ่นที่สาม ของ TSMC
    - เพิ่มประสิทธิภาพของ L3 cache เป็น 16MB และ SLC cache เป็น 10MB
    - คาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงาน ในขณะที่เพิ่มความสามารถในการประมวลผล

    ✅ มัลติคอร์เร็วกว่า Apple A19 Pro
    - ผลการทดสอบระบุว่า Dimensity 9500 อาจให้คะแนนมัลติคอร์สูงกว่า 11,000+
    - แม้ Apple A19 Pro จะมี ประสิทธิภาพสูงกว่าในงานแบบซิงเกิลคอร์ แต่ Dimensity 9500 มีจุดเด่นเรื่องมัลติคอร์

    ✅ ใช้ ARM Cortex-X930 สำหรับความเร็วและ AI
    - คาดว่า Dimensity 9500 จะใช้ Cortex-X930 ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าชิปของ Apple และ Snapdragon
    - รองรับ ARM SME (Scalable Matrix Extension) ทำให้การจัดการงาน AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ‼️ การเลือกชิปเซ็ตต้องดูการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลข
    - แม้ Dimensity 9500 จะมีประสิทธิภาพมัลติคอร์สูง แต่ต้องดูการใช้งานจริง ในแอปและเกมที่ต้องใช้ CPU หนัก
    - การทดสอบชิปเซ็ตในสถานการณ์จริง เช่น การรันโมเดล AI หรือการเล่นเกมต่อเนื่อง จะให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า

    ‼️ การใช้ชิป ARM ทั่วไปอาจมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับชิปแบบปรับแต่งเอง
    - Apple และ Qualcomm ใช้ ชิปแบบปรับแต่งเอง ขณะที่ MediaTek ยังคงใช้โครงสร้างของ ARM มาตรฐาน
    - อาจส่งผลต่อความเร็วในการประมวลผลบางอย่าง เช่น งานที่ต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพเฉพาะทาง

    https://wccftech.com/dimensity-9500-tipped-to-be-faster-than-a19-pro-in-multi-core-claims-tipster/
    MediaTek เตรียมเปิดตัว Dimensity 9500 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตเรือธงที่ใช้ กระบวนการผลิต 3nm (N3P) ของ TSMC รุ่นที่สาม โดยคาดว่าจะให้ประสิทธิภาพเหนือกว่า Apple A19 Pro ในด้านมัลติคอร์ นอกจากนี้ยังมีการอัปเกรดโครงสร้าง L3 cache และ SLC cache รวมถึงเพิ่มความสามารถด้าน AI ผ่าน NPU รุ่นใหม่ ✅ Dimensity 9500 ใช้เทคโนโลยี 3nm รุ่นล่าสุดของ TSMC - MediaTek เลือกใช้กระบวนการ N3P ซึ่งเป็น 3nm รุ่นที่สาม ของ TSMC - เพิ่มประสิทธิภาพของ L3 cache เป็น 16MB และ SLC cache เป็น 10MB - คาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงาน ในขณะที่เพิ่มความสามารถในการประมวลผล ✅ มัลติคอร์เร็วกว่า Apple A19 Pro - ผลการทดสอบระบุว่า Dimensity 9500 อาจให้คะแนนมัลติคอร์สูงกว่า 11,000+ - แม้ Apple A19 Pro จะมี ประสิทธิภาพสูงกว่าในงานแบบซิงเกิลคอร์ แต่ Dimensity 9500 มีจุดเด่นเรื่องมัลติคอร์ ✅ ใช้ ARM Cortex-X930 สำหรับความเร็วและ AI - คาดว่า Dimensity 9500 จะใช้ Cortex-X930 ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าชิปของ Apple และ Snapdragon - รองรับ ARM SME (Scalable Matrix Extension) ทำให้การจัดการงาน AI มีประสิทธิภาพมากขึ้น ‼️ การเลือกชิปเซ็ตต้องดูการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลข - แม้ Dimensity 9500 จะมีประสิทธิภาพมัลติคอร์สูง แต่ต้องดูการใช้งานจริง ในแอปและเกมที่ต้องใช้ CPU หนัก - การทดสอบชิปเซ็ตในสถานการณ์จริง เช่น การรันโมเดล AI หรือการเล่นเกมต่อเนื่อง จะให้ข้อมูลที่แม่นยำกว่า ‼️ การใช้ชิป ARM ทั่วไปอาจมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับชิปแบบปรับแต่งเอง - Apple และ Qualcomm ใช้ ชิปแบบปรับแต่งเอง ขณะที่ MediaTek ยังคงใช้โครงสร้างของ ARM มาตรฐาน - อาจส่งผลต่อความเร็วในการประมวลผลบางอย่าง เช่น งานที่ต้องการการเพิ่มประสิทธิภาพเฉพาะทาง https://wccftech.com/dimensity-9500-tipped-to-be-faster-than-a19-pro-in-multi-core-claims-tipster/
    WCCFTECH.COM
    Dimensity 9500’s Partial Specifications & Performance Numbers Shared By Tipster; MediaTek’s Flagship SoC Tipped To Be Faster Than Apple’s A19 Pro In Multi-Core Capabilities
    A few specifications of the Dimensity 9500 and its estimated cores from a tipster reveals that the A19 Pro stands no chance of beating it in multi-core performance
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยว่า 35,000 อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีช่องโหว่และสามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น อินเวอร์เตอร์, ดาต้า ล็อกเกอร์ และเกตเวย์ ถูกเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮก โดย ยุโรปมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงสูงสุดถึง 76% โดยเฉพาะใน เยอรมนีและกรีซ

    ✅ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์กว่า 35,000 รายการมีช่องโหว่
    - ผลการศึกษาจาก Forescout’s Vedere Labs พบว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์หลายพันตัวเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต
    - พบ 46 ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์
    - อุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

    ✅ ยุโรปคือจุดเสี่ยงหลัก
    - 76% ของอุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและกรีซ
    - อุปกรณ์ SolarView Compact ถูกเปิดเผยมากขึ้น 350% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไซเบอร์ในปี 2024 ที่ทำให้บัญชีธนาคารในญี่ปุ่นถูกโจมตี

    ✅ ปัญหาการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย
    - นักวิเคราะห์พบว่า ผู้ผลิตที่มีอุปกรณ์เปิดเผยมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีการติดตั้งสูงสุด
    - ปัญหาอาจเกิดจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัย หรือคำแนะนำผู้ใช้ที่ไม่ชัดเจน

    ⚠️ คำเตือนและแนวทางป้องกัน
    ‼️ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจถูกโจมตีได้
    - อุปกรณ์ที่มี เฟิร์มแวร์ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ ถูกใช้ในการโจมตีในปัจจุบัน
    - ตัวอย่างเช่น SMA Sunny WebBox ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว ยังคงมีอุปกรณ์เปิดเผยจำนวนมาก

    ‼️ วิธีลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี
    - ห้ามเปิดเผยอินเทอร์เฟซการจัดการอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ต่ออินเทอร์เน็ต
    - ใช้ VPN ที่มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามแนวทางจาก CISA และ NIST
    - ใช้ระบบป้องกัน เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และเครื่องมือแอนตี้ไวรัสระดับสูง

    https://www.techradar.com/pro/security/35-000-solar-pv-devices-hit-by-dozens-of-vulnerabilities-and-weaknesses-is-yours-one-of-them
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยเผยว่า 35,000 อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ มีช่องโหว่และสามารถถูกโจมตีทางไซเบอร์ได้ อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น อินเวอร์เตอร์, ดาต้า ล็อกเกอร์ และเกตเวย์ ถูกเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแฮก โดย ยุโรปมีอุปกรณ์ที่เสี่ยงสูงสุดถึง 76% โดยเฉพาะใน เยอรมนีและกรีซ ✅ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์กว่า 35,000 รายการมีช่องโหว่ - ผลการศึกษาจาก Forescout’s Vedere Labs พบว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์หลายพันตัวเปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต - พบ 46 ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์ - อุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ต อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ ✅ ยุโรปคือจุดเสี่ยงหลัก - 76% ของอุปกรณ์ที่เปิดเผยต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีและกรีซ - อุปกรณ์ SolarView Compact ถูกเปิดเผยมากขึ้น 350% ในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเคยเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไซเบอร์ในปี 2024 ที่ทำให้บัญชีธนาคารในญี่ปุ่นถูกโจมตี ✅ ปัญหาการตั้งค่าที่ไม่ปลอดภัย - นักวิเคราะห์พบว่า ผู้ผลิตที่มีอุปกรณ์เปิดเผยมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่มีการติดตั้งสูงสุด - ปัญหาอาจเกิดจาก การตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัย หรือคำแนะนำผู้ใช้ที่ไม่ชัดเจน ⚠️ คำเตือนและแนวทางป้องกัน ‼️ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ที่ไม่ได้รับการอัปเดตอาจถูกโจมตีได้ - อุปกรณ์ที่มี เฟิร์มแวร์ล้าสมัย อาจมีช่องโหว่ที่ ถูกใช้ในการโจมตีในปัจจุบัน - ตัวอย่างเช่น SMA Sunny WebBox ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว ยังคงมีอุปกรณ์เปิดเผยจำนวนมาก ‼️ วิธีลดความเสี่ยงในการถูกโจมตี - ห้ามเปิดเผยอินเทอร์เฟซการจัดการอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ต่ออินเทอร์เน็ต - ใช้ VPN ที่มีความปลอดภัย และปฏิบัติตามแนวทางจาก CISA และ NIST - ใช้ระบบป้องกัน เช่น Zero Trust Network Access (ZTNA) และเครื่องมือแอนตี้ไวรัสระดับสูง https://www.techradar.com/pro/security/35-000-solar-pv-devices-hit-by-dozens-of-vulnerabilities-and-weaknesses-is-yours-one-of-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะหรือสแปม ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้มากกว่าที่คิด นักวิจัยระบุว่า การกดปุ่มนี้อาจนำไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์รู้ว่าบัญชีอีเมลของคุณยังใช้งานอยู่

    ✅ การกด "Unsubscribe" อาจเป็นกลลวง
    - TK Keanini, CTO ของ DNSFilter เตือนว่า ปุ่ม "Unsubscribe" อาจนำไปยังเว็บไซต์อันตราย
    - มีสถิติพบว่า 1 ใน 644 คลิกอาจนำไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นภัยคุกคาม
    - นักต้มตุ๋นอาจใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลของเหยื่อยังใช้งานอยู่ และเพิ่มเป็นเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม

    ✅ วิธีที่ปลอดภัยกว่าการจัดการสแปม
    - ใช้ฟีเจอร์ “List-Unsubscribe Headers” ในอีเมลไคลเอนต์ เช่น Gmail และ Outlook
    - ตั้งค่าตัวกรองสแปมหรือบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการ
    - ใช้อีเมลชั่วคราวหรือ Gmail Aliases (+alias) สำหรับการสมัครบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ

    🚨 คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ปุ่ม "Unsubscribe"
    ‼️ ความเสี่ยงเมื่อกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะ
    - อาจถูกนำไปยัง เว็บหลอกลวง หรือเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบอีเมลที่ยังใช้งานอยู่ และกำหนดเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม

    ‼️ วิธีป้องกันตัวจากอีเมลขยะและแฮกเกอร์
    - หากอีเมลมาจาก แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่ากดปุ่ม "Unsubscribe" ในเนื้อหาอีเมล
    - ใช้ตัวกรองสแปมและบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการแทน
    - พิจารณาการใช้บริการ อีเมลชั่วคราว สำหรับการสมัครเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย

    https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-clicking-unsubscribe-on-that-boring-email-could-actually-be-a-security-risk-heres-why
    มีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะหรือสแปม ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้มากกว่าที่คิด นักวิจัยระบุว่า การกดปุ่มนี้อาจนำไปยังเว็บไซต์ที่เป็นอันตราย และเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์รู้ว่าบัญชีอีเมลของคุณยังใช้งานอยู่ ✅ การกด "Unsubscribe" อาจเป็นกลลวง - TK Keanini, CTO ของ DNSFilter เตือนว่า ปุ่ม "Unsubscribe" อาจนำไปยังเว็บไซต์อันตราย - มีสถิติพบว่า 1 ใน 644 คลิกอาจนำไปสู่เว็บไซต์ที่เป็นภัยคุกคาม - นักต้มตุ๋นอาจใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบว่าอีเมลของเหยื่อยังใช้งานอยู่ และเพิ่มเป็นเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม ✅ วิธีที่ปลอดภัยกว่าการจัดการสแปม - ใช้ฟีเจอร์ “List-Unsubscribe Headers” ในอีเมลไคลเอนต์ เช่น Gmail และ Outlook - ตั้งค่าตัวกรองสแปมหรือบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการ - ใช้อีเมลชั่วคราวหรือ Gmail Aliases (+alias) สำหรับการสมัครบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ 🚨 คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ปุ่ม "Unsubscribe" ‼️ ความเสี่ยงเมื่อกดปุ่ม "Unsubscribe" ในอีเมลขยะ - อาจถูกนำไปยัง เว็บหลอกลวง หรือเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์ - แฮกเกอร์สามารถใช้ปุ่มนี้เพื่อตรวจสอบอีเมลที่ยังใช้งานอยู่ และกำหนดเป้าหมายโจมตีเพิ่มเติม ‼️ วิธีป้องกันตัวจากอีเมลขยะและแฮกเกอร์ - หากอีเมลมาจาก แหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อย่ากดปุ่ม "Unsubscribe" ในเนื้อหาอีเมล - ใช้ตัวกรองสแปมและบล็อกผู้ส่งที่ไม่ต้องการแทน - พิจารณาการใช้บริการ อีเมลชั่วคราว สำหรับการสมัครเว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-clicking-unsubscribe-on-that-boring-email-could-actually-be-a-security-risk-heres-why
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 145 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวล่าสุดจาก TechRadar เปิดเผยว่า Kioxia กำลังพัฒนา SSD รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยสามารถทำ 10 ล้าน IOPS เพื่อรองรับปริมาณงาน AI ที่ต้องการความเร็วระดับสูง โดยใช้ XL-Flash ซึ่งเป็นหน่วยความจำ SLC NAND พร้อมตัวควบคุมใหม่ที่พัฒนาโดยบริษัท

    ✅ Kioxia เตรียมเปิดตัว SSD รุ่นใหม่รองรับ AI
    - Kioxia กำลังพัฒนา SSD ที่มี IOPS สูงถึง 10 ล้าน เพื่อรองรับงานด้าน AI
    - ใช้เทคโนโลยี XL-Flash ซึ่งเป็นหน่วยความจำ SLC NAND
    - ตัวควบคุมได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดโดย Kioxia
    - คาดว่าจะมีตัวอย่างพร้อมทดสอบภายในครึ่งปีหลังของ 2026

    ✅ IOPS สำคัญอย่างไร
    - IOPS คือการวัดประสิทธิภาพของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในการจัดการ คำสั่งเล็กๆ จำนวนมากแบบสุ่ม
    - AI และเซิร์ฟเวอร์ต้องการ IOPS สูง เพื่อประมวลผลข้อมูลขนาดเล็กที่ถูกเรียกใช้บ่อย
    - แตกต่างจาก GBps ซึ่งเน้นความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่

    ✅ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
    - CM9 series ของ Kioxia มุ่งเน้นความเร็วและความเสถียรสำหรับ GPU ที่ใช้ใน AI
    - LC9 series เน้นความจุขนาดใหญ่ระดับ 122TB สำหรับฐานข้อมูลขนาดมหาศาล
    - ใช้เทคโนโลยี BiCS FLASH รุ่นที่ 8 พร้อม CBA tech เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน

    ⚠️ คำเตือนและข้อมูลเพิ่มเติม
    ‼️ SSD ที่มี IOPS สูงอาจไม่ได้เหมาะกับทุกการใช้งาน
    - SSD ที่ออกแบบสำหรับ AI ไม่เหมาะสำหรับงานทั่วไป เช่น ตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกม
    - IOPS สูงช่วยให้เข้าถึงข้อมูลขนาดเล็กได้เร็ว แต่ไม่ส่งผลกับความเร็วในการอ่านไฟล์ขนาดใหญ่

    ‼️ การเลือก SSD ที่เหมาะสมกับงาน
    - หากต้องการความเร็วในการรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ GBps สูงเป็นสิ่งสำคัญ
    - หากต้องการความเร็วในการอ่านข้อมูลเล็กๆ เช่นงานฐานข้อมูล IOPS สูงจึงมีประโยชน์มากกว่า
    - ตรวจสอบประเภทของ NAND และตัวควบคุมก่อนซื้อ SSD

    https://www.techradar.com/pro/samsung-rival-plans-monstrously-fast-ssd-that-can-reach-10-million-iops-using-slc-nand
    ข่าวล่าสุดจาก TechRadar เปิดเผยว่า Kioxia กำลังพัฒนา SSD รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยสามารถทำ 10 ล้าน IOPS เพื่อรองรับปริมาณงาน AI ที่ต้องการความเร็วระดับสูง โดยใช้ XL-Flash ซึ่งเป็นหน่วยความจำ SLC NAND พร้อมตัวควบคุมใหม่ที่พัฒนาโดยบริษัท ✅ Kioxia เตรียมเปิดตัว SSD รุ่นใหม่รองรับ AI - Kioxia กำลังพัฒนา SSD ที่มี IOPS สูงถึง 10 ล้าน เพื่อรองรับงานด้าน AI - ใช้เทคโนโลยี XL-Flash ซึ่งเป็นหน่วยความจำ SLC NAND - ตัวควบคุมได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดโดย Kioxia - คาดว่าจะมีตัวอย่างพร้อมทดสอบภายในครึ่งปีหลังของ 2026 ✅ IOPS สำคัญอย่างไร - IOPS คือการวัดประสิทธิภาพของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในการจัดการ คำสั่งเล็กๆ จำนวนมากแบบสุ่ม - AI และเซิร์ฟเวอร์ต้องการ IOPS สูง เพื่อประมวลผลข้อมูลขนาดเล็กที่ถูกเรียกใช้บ่อย - แตกต่างจาก GBps ซึ่งเน้นความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ ✅ ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง - CM9 series ของ Kioxia มุ่งเน้นความเร็วและความเสถียรสำหรับ GPU ที่ใช้ใน AI - LC9 series เน้นความจุขนาดใหญ่ระดับ 122TB สำหรับฐานข้อมูลขนาดมหาศาล - ใช้เทคโนโลยี BiCS FLASH รุ่นที่ 8 พร้อม CBA tech เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน ⚠️ คำเตือนและข้อมูลเพิ่มเติม ‼️ SSD ที่มี IOPS สูงอาจไม่ได้เหมาะกับทุกการใช้งาน - SSD ที่ออกแบบสำหรับ AI ไม่เหมาะสำหรับงานทั่วไป เช่น ตัดต่อวิดีโอหรือเล่นเกม - IOPS สูงช่วยให้เข้าถึงข้อมูลขนาดเล็กได้เร็ว แต่ไม่ส่งผลกับความเร็วในการอ่านไฟล์ขนาดใหญ่ ‼️ การเลือก SSD ที่เหมาะสมกับงาน - หากต้องการความเร็วในการรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ GBps สูงเป็นสิ่งสำคัญ - หากต้องการความเร็วในการอ่านข้อมูลเล็กๆ เช่นงานฐานข้อมูล IOPS สูงจึงมีประโยชน์มากกว่า - ตรวจสอบประเภทของ NAND และตัวควบคุมก่อนซื้อ SSD https://www.techradar.com/pro/samsung-rival-plans-monstrously-fast-ssd-that-can-reach-10-million-iops-using-slc-nand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚀 ChromeOS M137 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น
    Google ได้เปิดตัว ChromeOS M137 บนช่องทางเสถียร โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญสำหรับ ผู้ใช้ทั่วไปและผู้ดูแลระบบ IT รวมถึง นโยบายใหม่สำหรับการจัดการ Chromebook จำนวนมาก

    ChromeOS M137 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงและประสบการณ์เสียง เพื่อให้ ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้สะดวกขึ้น

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Face Control accessibility tool ได้รับการอัปเดต พร้อมนโยบาย FaceGazeEnabled
    - ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดหรือปิด Face Control สำหรับทั้งโรงเรียนหรือบริษัทได้
    - เพิ่มฟีเจอร์ Crosstalk Cancellation เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง
    - ChromeVox มีคีย์ลัดใหม่ (Search + O + C) เพื่อแสดงข้อความเสียงเป็น Braille captions
    - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น

    🔥 ผลกระทบต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ IT
    Google พยายามทำให้การจัดการ Chromebook ง่ายขึ้น โดยเพิ่ม ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติ ที่ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลเอง

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Face Control อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานกับบางอุปกรณ์
    - Crosstalk Cancellation อาจไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับระบบเสียงรอบทิศทางจริง
    - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติอัปโหลดข้อมูลเพียงสองครั้งต่อวันต่ออุปกรณ์

    https://www.neowin.net/news/chromeos-m137-goes-stable-bringing-new-face-control-policy-and-more/
    🚀 ChromeOS M137 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น Google ได้เปิดตัว ChromeOS M137 บนช่องทางเสถียร โดยมีการปรับปรุงที่สำคัญสำหรับ ผู้ใช้ทั่วไปและผู้ดูแลระบบ IT รวมถึง นโยบายใหม่สำหรับการจัดการ Chromebook จำนวนมาก ChromeOS M137 มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงและประสบการณ์เสียง เพื่อให้ ผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้สะดวกขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - Face Control accessibility tool ได้รับการอัปเดต พร้อมนโยบาย FaceGazeEnabled - ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดหรือปิด Face Control สำหรับทั้งโรงเรียนหรือบริษัทได้ - เพิ่มฟีเจอร์ Crosstalk Cancellation เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง - ChromeVox มีคีย์ลัดใหม่ (Search + O + C) เพื่อแสดงข้อความเสียงเป็น Braille captions - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น 🔥 ผลกระทบต่อผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ IT Google พยายามทำให้การจัดการ Chromebook ง่ายขึ้น โดยเพิ่ม ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติ ที่ช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถรับรายงานข้อผิดพลาดได้โดยไม่ต้องค้นหาข้อมูลเอง ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Face Control อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานกับบางอุปกรณ์ - Crosstalk Cancellation อาจไม่สามารถทำงานได้ดีเท่ากับระบบเสียงรอบทิศทางจริง - ระบบบันทึกข้อมูลเหตุการณ์อัตโนมัติอัปโหลดข้อมูลเพียงสองครั้งต่อวันต่ออุปกรณ์ https://www.neowin.net/news/chromeos-m137-goes-stable-bringing-new-face-control-policy-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    ChromeOS M137 goes stable, bringing new Face Control policy and more
    Google has rolled out ChromeOS M137 to the stable channel, bringing useful upgrades like an event-based logging system, improved accessibility features, and more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔐 8 บทเรียนสำคัญที่ CISOs ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์โจมตีไซเบอร์
    CISOs ที่เคยเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์ ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาความปลอดภัย โดยเน้นไปที่ การตอบสนองที่รวดเร็วและการป้องกันเชิงรุก เพื่อให้สามารถ ปรับกลยุทธ์และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบรักษาความปลอดภัย

    🔍 บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์โจมตี
    1️⃣ การแบ่งปันบทเรียนช่วยให้ทุกคนปลอดภัยขึ้น

    CISOs ที่เคยเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์ ควรแบ่งปันประสบการณ์เพื่อช่วยให้ชุมชนปลอดภัยขึ้น

    การวิเคราะห์เหตุการณ์โดยไม่มีการตำหนิ ช่วยให้สามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    2️⃣ ต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการรุก

    CISOs ที่เคยเผชิญกับการโจมตี ต้องปรับแนวคิดให้เข้าใจการโจมตีมากขึ้น

    การฝึกซ้อม Red Team และ Live Fire Drill ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ดีขึ้น

    3️⃣ ต้องมีแผนรับมือที่ชัดเจน
    - การมีแผนรับมือที่ดี ช่วยลดความตื่นตระหนกและเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนอง
    - ควรกำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถสื่อสารและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

    4️⃣ ต้องมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย
    - แฮกเกอร์มักโจมตีระบบสำรองข้อมูลก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อสามารถกู้คืนข้อมูลได้
    - ควรตรวจสอบและทดสอบระบบสำรองข้อมูลเป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีมัลแวร์แฝงอยู่

    5️⃣ ต้องตั้งมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงขึ้น
    - หลังจากเหตุการณ์โจมตี CISOs ควรปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แข็งแกร่งขึ้น
    - การฝึกซ้อม Tabletop Exercise ช่วยให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

    6️⃣ อย่าหลงไปกับเทคโนโลยีใหม่โดยไม่จำเป็น
    - CISOs ควรให้ความสำคัญกับ การจัดการช่องโหว่และการตรวจจับภัยคุกคามมากกว่าการใช้เทคโนโลยีใหม่
    - การใช้ Zero Trust และ Passwordless Authentication ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือที่ซับซ้อน

    7️⃣ งบประมาณด้านความปลอดภัยอาจลดลงหลังเหตุการณ์โจมตี
    - หลังจากเหตุการณ์โจมตี องค์กรอาจเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยชั่วคราว
    - CISOs ต้องวางแผนให้ดี เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้หลังจากงบประมาณลดลง

    8️⃣ ต้องดูแลสุขภาพจิตของตนเอง
    - CISOs ที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์โจมตี มักเผชิญกับความเครียดสูง
    - ควรมีแผนดูแลสุขภาพจิต เพื่อให้สามารถรับมือกับแรงกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    🔥 ความท้าทายในการรักษาความปลอดภัย
    ‼️ องค์กรที่ไม่มีงบประมาณเพียงพออาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย
    ‼️ การพึ่งพาเครื่องมืออัตโนมัติเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อน
    ‼️ CISOs ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายบริหารในการลดต้นทุนด้านความปลอดภัย
    ‼️ ต้องติดตามแนวโน้มภัยคุกคามใหม่ ๆ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อสถานการณ์

    https://www.csoonline.com/article/4002175/8-things-cisos-have-learnt-from-cyber-incidents.html
    🔐 8 บทเรียนสำคัญที่ CISOs ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์โจมตีไซเบอร์ CISOs ที่เคยเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์ ได้เปลี่ยนแนวทางการรักษาความปลอดภัย โดยเน้นไปที่ การตอบสนองที่รวดเร็วและการป้องกันเชิงรุก เพื่อให้สามารถ ปรับกลยุทธ์และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบรักษาความปลอดภัย 🔍 บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์โจมตี 1️⃣ การแบ่งปันบทเรียนช่วยให้ทุกคนปลอดภัยขึ้น CISOs ที่เคยเผชิญกับการโจมตีไซเบอร์ ควรแบ่งปันประสบการณ์เพื่อช่วยให้ชุมชนปลอดภัยขึ้น การวิเคราะห์เหตุการณ์โดยไม่มีการตำหนิ ช่วยให้สามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2️⃣ ต้องเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นการรุก CISOs ที่เคยเผชิญกับการโจมตี ต้องปรับแนวคิดให้เข้าใจการโจมตีมากขึ้น การฝึกซ้อม Red Team และ Live Fire Drill ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามได้ดีขึ้น 3️⃣ ต้องมีแผนรับมือที่ชัดเจน - การมีแผนรับมือที่ดี ช่วยลดความตื่นตระหนกและเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนอง - ควรกำหนดบทบาทของแต่ละฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถสื่อสารและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว 4️⃣ ต้องมีระบบสำรองข้อมูลที่ปลอดภัย - แฮกเกอร์มักโจมตีระบบสำรองข้อมูลก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อสามารถกู้คืนข้อมูลได้ - ควรตรวจสอบและทดสอบระบบสำรองข้อมูลเป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีมัลแวร์แฝงอยู่ 5️⃣ ต้องตั้งมาตรฐานความปลอดภัยให้สูงขึ้น - หลังจากเหตุการณ์โจมตี CISOs ควรปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้แข็งแกร่งขึ้น - การฝึกซ้อม Tabletop Exercise ช่วยให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น 6️⃣ อย่าหลงไปกับเทคโนโลยีใหม่โดยไม่จำเป็น - CISOs ควรให้ความสำคัญกับ การจัดการช่องโหว่และการตรวจจับภัยคุกคามมากกว่าการใช้เทคโนโลยีใหม่ - การใช้ Zero Trust และ Passwordless Authentication ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องมือที่ซับซ้อน 7️⃣ งบประมาณด้านความปลอดภัยอาจลดลงหลังเหตุการณ์โจมตี - หลังจากเหตุการณ์โจมตี องค์กรอาจเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยชั่วคราว - CISOs ต้องวางแผนให้ดี เพื่อให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้หลังจากงบประมาณลดลง 8️⃣ ต้องดูแลสุขภาพจิตของตนเอง - CISOs ที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์โจมตี มักเผชิญกับความเครียดสูง - ควรมีแผนดูแลสุขภาพจิต เพื่อให้สามารถรับมือกับแรงกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🔥 ความท้าทายในการรักษาความปลอดภัย ‼️ องค์กรที่ไม่มีงบประมาณเพียงพออาจมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ‼️ การพึ่งพาเครื่องมืออัตโนมัติเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการป้องกันภัยคุกคามที่ซับซ้อน ‼️ CISOs ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากฝ่ายบริหารในการลดต้นทุนด้านความปลอดภัย ‼️ ต้องติดตามแนวโน้มภัยคุกคามใหม่ ๆ เพื่อปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อสถานการณ์ https://www.csoonline.com/article/4002175/8-things-cisos-have-learnt-from-cyber-incidents.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    8 things CISOs have learned from cyber incidents
    CISOs who have been through cyber attacks share some of the enduring lessons that have changed their approach to cybersecurity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔐 Microsoft Edge for Business เปิดตัวระบบจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยสำหรับองค์กร
    Microsoft ได้เปิดตัว ฟีเจอร์ Secure Password Deployment สำหรับ Edge for Business ซึ่งช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถแชร์รหัสผ่านที่เข้ารหัสกับผู้ใช้ในองค์กร โดยไม่ต้องใช้ กระดาษโน้ตหรืออีเมล

    ผู้ดูแลระบบสามารถ จัดการรหัสผ่านผ่าน Microsoft Edge management service ใน Microsoft 365 admin center โดยสามารถ เพิ่ม, อัปเดต และเพิกถอนรหัสผ่านสำหรับกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft Edge for Business เปิดตัว Secure Password Deployment สำหรับองค์กร
    - ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถแชร์รหัสผ่านที่เข้ารหัสกับผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้กระดาษโน้ตหรืออีเมล
    - รหัสผ่านจะถูกจัดเก็บใน Edge password manager และสามารถใช้ autofill ได้
    - รหัสผ่านถูกผูกกับโปรไฟล์งานใน Edge บนอุปกรณ์ Windows ที่มีการจัดการ
    - ผู้ใช้ไม่สามารถดู, แก้ไข หรือส่งออกรหัสผ่านจาก password manager ได้

    🔥 ความปลอดภัยและข้อจำกัด
    Microsoft ใช้ Information Protection SDK เพื่อเข้ารหัสรหัสผ่าน และการถอดรหัสจะเกิดขึ้น เฉพาะเมื่อผู้ใช้ได้รับการตรวจสอบสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคสามารถเปิดเผยรหัสผ่านผ่าน Developer Tools

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ดูแลระบบควรจำกัดการเข้าถึง Developer Tools ผ่าน DeveloperToolsAvailability policy
    - รหัสผ่านที่แชร์ไม่สามารถดูหรือแก้ไขได้ อาจทำให้เกิดปัญหาในการจัดการ
    - ต้องใช้ Microsoft 365 Business Premium, E3 หรือ E5 subscription เพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้
    - ต้องมีสิทธิ์ Edge admin หรือ Global admin ใน Microsoft 365 admin center

    https://www.neowin.net/news/edge-for-business-gets-secure-password-deployment-for-organizations/
    🔐 Microsoft Edge for Business เปิดตัวระบบจัดการรหัสผ่านที่ปลอดภัยสำหรับองค์กร Microsoft ได้เปิดตัว ฟีเจอร์ Secure Password Deployment สำหรับ Edge for Business ซึ่งช่วยให้ ผู้ดูแลระบบสามารถแชร์รหัสผ่านที่เข้ารหัสกับผู้ใช้ในองค์กร โดยไม่ต้องใช้ กระดาษโน้ตหรืออีเมล ผู้ดูแลระบบสามารถ จัดการรหัสผ่านผ่าน Microsoft Edge management service ใน Microsoft 365 admin center โดยสามารถ เพิ่ม, อัปเดต และเพิกถอนรหัสผ่านสำหรับกลุ่มผู้ใช้เฉพาะ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft Edge for Business เปิดตัว Secure Password Deployment สำหรับองค์กร - ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถแชร์รหัสผ่านที่เข้ารหัสกับผู้ใช้โดยไม่ต้องใช้กระดาษโน้ตหรืออีเมล - รหัสผ่านจะถูกจัดเก็บใน Edge password manager และสามารถใช้ autofill ได้ - รหัสผ่านถูกผูกกับโปรไฟล์งานใน Edge บนอุปกรณ์ Windows ที่มีการจัดการ - ผู้ใช้ไม่สามารถดู, แก้ไข หรือส่งออกรหัสผ่านจาก password manager ได้ 🔥 ความปลอดภัยและข้อจำกัด Microsoft ใช้ Information Protection SDK เพื่อเข้ารหัสรหัสผ่าน และการถอดรหัสจะเกิดขึ้น เฉพาะเมื่อผู้ใช้ได้รับการตรวจสอบสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ที่มีความรู้ด้านเทคนิคสามารถเปิดเผยรหัสผ่านผ่าน Developer Tools ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ดูแลระบบควรจำกัดการเข้าถึง Developer Tools ผ่าน DeveloperToolsAvailability policy - รหัสผ่านที่แชร์ไม่สามารถดูหรือแก้ไขได้ อาจทำให้เกิดปัญหาในการจัดการ - ต้องใช้ Microsoft 365 Business Premium, E3 หรือ E5 subscription เพื่อใช้งานฟีเจอร์นี้ - ต้องมีสิทธิ์ Edge admin หรือ Global admin ใน Microsoft 365 admin center https://www.neowin.net/news/edge-for-business-gets-secure-password-deployment-for-organizations/
    WWW.NEOWIN.NET
    Edge for Business gets secure password deployment for organizations
    Microsoft Edge for Business customers can now enable secure password deployment, removing the need for organization members to share passwords insecurely.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🎨 เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อจัดระเบียบไฟล์ให้เป็นระเบียบมากขึ้น
    Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ จัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเลือก 16 สีที่แตกต่างกัน เพื่อให้โฟลเดอร์มีความโดดเด่นและค้นหาได้ง่ายขึ้น

    ฟีเจอร์นี้ แตกต่างจากการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer เนื่องจาก สีของโฟลเดอร์จะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อช่วยจัดระเบียบไฟล์
    - สามารถเลือกสีได้ 16 สี และสีจะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ
    - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive
    - กำลังจะเปิดตัวบนแอป OneDrive สำหรับ Android และ iOS ในเร็ว ๆ นี้
    - สำหรับบัญชีธุรกิจ สามารถเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ผ่าน OneDrive เวอร์ชันเว็บได้

    🔥 ผลกระทบต่อการจัดการไฟล์
    การเพิ่มสีให้กับโฟลเดอร์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ ผู้ที่มีโฟลเดอร์จำนวนมากและต้องการแยกประเภทไฟล์อย่างรวดเร็ว

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวใน OneDrive เวอร์ชันเว็บ
    - ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณรองรับการซิงค์สีโฟลเดอร์หรือไม่
    - การเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ไม่สามารถใช้แทนการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer
    - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์นี้ให้กับบัญชีส่วนตัวในอนาคตหรือไม่

    https://www.neowin.net/guides/how-to-change-folder-colors-in-onedrive/
    🎨 เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อจัดระเบียบไฟล์ให้เป็นระเบียบมากขึ้น Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถ จัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยสามารถเลือก 16 สีที่แตกต่างกัน เพื่อให้โฟลเดอร์มีความโดดเด่นและค้นหาได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้ แตกต่างจากการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer เนื่องจาก สีของโฟลเดอร์จะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนสีโฟลเดอร์ใน OneDrive เพื่อช่วยจัดระเบียบไฟล์ - สามารถเลือกสีได้ 16 สี และสีจะซิงค์ข้ามอุปกรณ์ที่รองรับ - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวในเวอร์ชันเว็บของ OneDrive - กำลังจะเปิดตัวบนแอป OneDrive สำหรับ Android และ iOS ในเร็ว ๆ นี้ - สำหรับบัญชีธุรกิจ สามารถเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ผ่าน OneDrive เวอร์ชันเว็บได้ 🔥 ผลกระทบต่อการจัดการไฟล์ การเพิ่มสีให้กับโฟลเดอร์ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดระเบียบไฟล์ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ ผู้ที่มีโฟลเดอร์จำนวนมากและต้องการแยกประเภทไฟล์อย่างรวดเร็ว ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ฟีเจอร์นี้ยังไม่สามารถใช้ได้กับบัญชีส่วนตัวใน OneDrive เวอร์ชันเว็บ - ต้องตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณรองรับการซิงค์สีโฟลเดอร์หรือไม่ - การเปลี่ยนสีโฟลเดอร์ไม่สามารถใช้แทนการเปลี่ยนไอคอนโฟลเดอร์ใน File Explorer - ต้องติดตามว่า Microsoft จะเพิ่มฟีเจอร์นี้ให้กับบัญชีส่วนตัวในอนาคตหรือไม่ https://www.neowin.net/guides/how-to-change-folder-colors-in-onedrive/
    WWW.NEOWIN.NET
    How to change folder colors in OneDrive
    Did you know that OneDrive lets you change folder colors? Here is how to do that so that you have more personalized cloud storage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts